Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_22

tripitaka_22

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:38

Description: tripitaka_22

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 213 ๒. ฉวิโสธนสูตร หลักการตรวจสอบจติ ท่พี น จากอาสวะ [๑๖๖] ขาพเจาไดส ดับมาแลว อยา งนี:้ - สมัยหน่งึ พระผูม พี ระภาคเจา ประทบั อยูทีพ่ ระวหิ ารเชตวันอารามของทาน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวตั ถีสมัยนนั้ พระผูมีพระภาคเจา ตรสั เรียกภิกษุท้ังหลายวา ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย ภกิ ษเุ หลานั้นทลู รับพระดาํ รัสแลว. โวหาร ๔ [๑๖๗] พระผมู ีพระภาคเจา ไดต รสั คาํ นี้ ไวว า ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลายภิกษุในธรรมวนิ ยั นี้ พยากรณอรหตั ผลวา ขาพเจา รูชดั วา ชาตสิ น้ิ แลวพรหมจรรยอ ยจู บแลว กจิ ที่ควรทาํ ไดท ําเสรจ็ แลว กิจอ่นื เพอ่ื ความเปน อยางน้ีมิไดมี. ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย เธอทงั้ หลาย ไมควรชมเชย ไมค วรคัดคานคาํ ทีภ่ กิ ษุน้นั กลาวแลว. คร้นั แลว ควรถามปญ หาเธอวา ดกู อ นทา นผมู ีอายุพระผูมพี ระภาคเจา พระองคน ัน้ ผทู รงรู ทรงเห็น เปน พระอรหันตสัมมา-สัมพุทธเจาตรสั โวหารไว ๔ อยา งเหลา นั้น โดยชอบ, ๔ อยา งคอื อะไร? คือ ความท่ีบุคคลมปี กตกิ ลาวสง่ิ ท่ีเห็นแลว วาไดเ หน็ แลว ๑ ความท่ีบคุ คลมีปกตกิ ลาวสิ่งที่ไดยนิ แลว วาไดย ินแลว ๑ ความทบ่ี ุคคลมีปกตกิ ลา วสิ่งที่ไดทราบแลว วาไดท ราบแลว ๑ ความที่บคุ คลมีปกติกลา วสง่ิ ท่ไี ดรูแลว วา ไดร ูแลว ๑น้ีแล โวหาร ๔ อยางท่ี พระผูม พี ระภาคเจา พระองคน ั้น ผทู รงรู ทรง

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 214เห็น เปนพระอรหนั ตสัมมสัมพุทธเจา ไดต รสั ไวโ ดยชอบแลว. ก็จิตของทา นรอู ยางไร เห็นอยางไร จงึ หลุดพน จากอาสวะทงั้ หลาย เพราะไมย ดึ มั่นในโวหารท้ัง ๔ เหลา นี้.การพยากรณอรหัตผลที่พระพุทธเจา รับรอง [๑๖๘] ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย ภิกษผุ สู ิ้นอาสวะแลว อยจู บพรหมจรรยแลว ทํากจิ ท่ีควรทําเสรจ็ แลว ปลงภาระไดแลว บรรลุประโยชนตนแลวโดยลําดบั สิ้นสงั โยชนใ นภพแลว พนวเิ ศษแลว เพราะรโู ดยชอบ จงึ มีธรรมอนั สมควรจะพยากรณไ ดดงั น้วี า ดกู อนทา นผมู ีอายุ ขาพเจาไมยินดีไมยนิ ราย ไมถกู ตณั หาและทิฏฐิอาศยั ไมตดิ ใจ ในส่งิ ที่ไดเหน็ แลว หลุดพน แลว พรากออกไดแลว มีจติ ท่ีถกู ทาํ ใหปราศจากเขตแดนแลวอยู ขา พเจาจะไมย นิ ดี ไมย ินรา ย .... ในส่งิ ทไ่ี ดย นิ แลวแล... ขาพเจา จะไมยินดี ไมยนิ รา ย... ในสงิ่ ทีไ่ ดท ราบแลวแล... ขาพเจา จะไมยนิ ดี ไมยนิ ราย ไมถกู ตัณหา และ ทิฏฐิ อาศัย ไมต ดิ ใจ ในสง่ิ ทไ่ี ดร แู ลว แล หลุดพนแลวพรากออกไดแลว มีจติ ที่ถูกทาํ ใหป ราศจากเขตแดนแลวอยู ดกู อนทานผมู ีอายุ จติ ของขา พเจา ผูรอู ยู เหน็ อยูอยางนแ้ี ล หลุดพนแลว จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไมย ดึ มนั่ ในโวหารทง้ั ๔ เหลาน้ี. ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย คาํ กลาวของภิกษุนัน้ เธอทง้ั หลายควรชมเชยควรอนุโมทนา วา สาธุ. คร้ันแลว ก็ควรถามปญ หาสูงขึ้นไปอกี วา ดูกอนทานผูมอี ายุ อปุ าทานขนั ธทงั้ ๕ พระผูมพี ระภาคเจาพระองคน ้นั ผูท รงรูทรงเหน็ เปน พระอรหนั ตสัมมาสัมพุทธเจา ตรัสไวช อบแลว ๕ ประการ๕ ประการคืออะไร คอื :-

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 215 อปุ าทานขนั ธ คือ รปู ๑ อุปาทานขนั ธ คอื เวทนา ๑ อุปาทานขันธ คือ สญั ญา ๑ อปุ าทานขนั ธ คอื สงั ขาร ๑ อปุ าทานขนั ธ คอื วิญญาณ ๑ดกู อนทานผูมอี ายุ อปุ าทานขันธท งั้ ๕ เหลา นแ้ี ล พระผมู พี ระภาคเจาผทู รงรู ทรงเห็น เปน พระอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา ตรสั ไวโดยชอบแลว .ก็จิตของทา นผมู อี ายุ ผูร อู ยอู ยางไร เห็นอยอู ยางไร จงึ หลุดพนจากอาสวะท้ังหลาย เพราะไมย ดึ มั่น ในอุปาทานขันธทั้ง ๕ เหลา น้ี . [๑๖๙] ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย ภกิ ษผุ ูสน้ิ อาสวะแลว อยจู บพรหม-จรรยแลว ทาํ กิจท่คี วรทาํ เสร็จแลว ปลงภาระไดแลว บรรลปุ ระโยชนต นแลวโดยลําดับ ส้นิ สังโยชนในภพแลว หลดุ พน แลวเพราะรูโดยชอบ จึงมีธรรมอันสมควรจะพยากรณไ ดด ังนี้ วา ดูกอนทา นผูมอี ายุ ขา พเจา รูแจง รูปแลวแลวาไมมกี าํ ลัง ปราศจากความนา รัก ไมนา ชน่ื ใจ จึงทราบชดั วา จิตของเราหลุดพนแลว เพราะส้ินไป เพราะสํารอก เพราะดับ เพราะสละ เพราะสลัดท้ิงซึ่งอุปาทานขนั ธ ท่ียดึ มน่ั ในรปู และอนุสัยคอื ความตั้งใจ และความยึดม่นั ในรปู ได ขาพเจารแู จงเวทนาแลวแลวา.. ขาพเจา รูแจงสัญญาแลว แลวา . . . ขา พเจารูแจงสงั ขารแลวแลวา . . ขา พเจา รแู จง วิญญาณแลว แลวา ไมม กี ําลัง ปราศจากความนา รกั ไมน าชน่ื ใจ จงึ ทราบชัดวาจิตของเราหลุดพนแลว เพราะส้ินไป เพราะสํารอก เพราะดับ เพราะสละเพราะสลดั ทง้ิ ซง่ึ อุปาทานขนั ธ ทีย่ ึดมนั่ วิญญาณ และ อนุสัยคอื ความต้ังใจ และความยดึ มั่นในวญิ ญาณ ดกู อ นทานผมู ีอายุ จิตของขาพเจา ผรู อู ยู เหน็ อยอู ยา งนี้ พนแลว จากอาสวะทง้ั หลาย เพราะไม

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 216ยดึ มั่นในอปุ าทานขนั ธท้ัง ๕ เหลา น.ี้ ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย คําท่ีภกิ ษนุ ้ันกลา วแลว เธอทั้งหลายควรชน่ื ชม ควรอนโุ มทนาวา สาธุ ครน้ั แลว ควรถามปญหาใหย่งิ ในรูปอีกวา ดูกอนทา นผูมอี ายุ พระผมู ีพระภาคเจา พระองคน น้ัผทู รงรู ทรงเห็น ทรงเปน พระอรหันตสมั มาสัมพทุ ธเจา ไดตรัส ธาตุ ไว๖ อยางโดยชอบ ธาตุ ๖ อยา ง คอื อะไร คือ ปฐวธี าตุ ๑. อาโปธาตุ ๑.เตโชธาตุ ๑ วาโยธาตุ ๑ อากาสธาตุ ๑ วิญาณธาตุ ๑ ดูกอนทา นผมู อี ายุ ธาตุ ๖ อยา งเหลา นแ้ี ล พระผมู พี ระภาคเจา พระองคน ั้น ผูทรงรูทรงเห็น เปน พระอรหันตสมั มาสัมพทุ ธเจา ไดตรัสไวโดยชอบแลว . กจ็ ติของทานผมู อี ายุ ผูรอู ยู เหน็ อยูอยา งไร จึงหลุดพน จากอาสวะท้งั หลาย เพราะไมย ดึ มั่นในธาตุ ๖ เหลานี้. [๑๗๐] ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย ภกิ ษุผูส ้นิ อาสวะแลว อยจู บพรหม-จรรยแ ลว ทํากจิ ท่ีควรทาํ เสรจ็ แลว ปลงภาระไดแลว บรรลุประโยชนต นแลวโดยลาํ ดับ สิน้ สงั โยชนในภพแลว หลุดพน แลวเพราะรูชอบ จึงมธี รรมอนั สมควรพยากรณไ ดด ังน้ีวา ดูกอนทานผูมีอายุ ขา พเจา เขา ถึง ปฐวธี าตุแล โดยความเปนอนัตตา และไมไ ดเขาถึงอัตตา อาศัย ปฐวีธาตุ และทราบชดั วา จิตของเราหลดุ พน แลว เพราะสิน้ ไป เพราะสาํ รอก เพราะดบัเพราะสละ เพราะสลดั ทง้ิ ซ่ึง อุปาทานขันธ ทย่ี ดึ มนั่ อาศัย ปฐวธี าตุและ อนสุ ยั คือความตัง้ ใจ และความยึดมัน (ในปฐวธี าตุ). ขา พเจา เขา ถึงอาโปธาตุ แล โดยความเปน อนัตตา.... ขาพเจา เขา ถงึ เตโชธาตุ แลโดยความเปน อนตั ตา.... ขา พเจา เขาถึง วาโยธาตุ แล โดยความเปนอนัตตา.... ขาพเจา เขา ถงึ อากาสธาตุ แล โดยความเปน อนตั ตา....ขาพเจาเขาถงึ วิญญาณธาตุ แล โดยความเปน อนตั ตา ไมไ ดเขา ถึงอัตตา อาศยั วญิ ญาณธาตุ และรูชัดวา จติ ของเราหลดุ พน แลว เพราะ

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 217สน้ิ ไป เพราะสาํ รอก เพราะดับ เพราะสละ เพราะสลัดท้ิง ซ่งึ อุปาทานขันธทั้งหลายทยี่ ึดมนั่ อนั อาศยั วญิ ญาณธาตุ และ อนสุ ยั คือความตง้ั ใจ และความยึดมนั่ ในวิญญาณ ดูกอ นทา นผูมอี ายุ จิตของขา พเจา ผรู อู ยู ผูเ ห็นอยูอยางนแ้ี ล พน แลว จากอาสวะท้ังหลาย เพราะไมยึดมัน่ ในธาตุ ๖ ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย คําทภี่ กิ ษุน้ันกลา วแลว เธอท้งั หลาย ควรชนื่ ชม ควรอนโุ มทนาวา สาธุ ครน้ั แลว ควรถามปญหาใหย งิ่ ข้นึ ไปอกี วา ดูกอนผมู ีอายุ พระผูมพี ระภาคเจา พระองคนน้ั ผทู รงรู ทรงเหน็ ทรงเปน พระอรหันตสัมมา-สัมพุทธเจา ไดตรสั อายตนะทง้ั ภายในภายนอก ๖ อยา งเหลา นแ้ี ลไว โดยชอบ. ๖ อยา งคอื อะไร ? คอื จกั ษแุ ละรูป ๑ โสตะและเสยี ง ๑ ฆานะและกลิ่น ๑ ชิวหาและรส ๑ กายและโผฏฐพั พะ ๑ มโนและธรรม ๑ดกู อนทา นผมู อี ายุ อายตนะทั้งภายใน และภายนอก ๖ อยา งเหลาน้ีแล พระผูมีพระภาคเจาพระองคน ัน้ ผทู รงรู ทรงเหน็ ทรงเปนพระอรหันตสมั มาสมั -พุทธเจา ไดต รสั ไวโ ดยชอบแลว . ก็จิต ของทา นผมู อี ายุ ผรู อู ยู เห็นอยูอยางไร จงึ หลุดพน จากอาสวะทงั้ หลาย เพราะไมยดึ มัน่ ใน อายตนะ ๖เหลา น้ี ทัง้ ภายใน และภายนอก. [๑๗๑] ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย ภิกษผุ ูส น้ิ อาสวะแลว อยูจบพรหม-จรรยแลว ทํากิจทีค่ วรทาํ เสรจ็ แลว ปลงภาระไดแลว บรรลปุ ระโยชนตนแลวโดยลําดบั ส้ินสังโยชนในภพแลว หลดุ พนแลว เพราะรโู ดยชอบ จงึ มธี รรมอันสมควรพยากรณไดด ังนี้วา ดูกอ นทานผูมีอายุ ขาพเจา ทราบชัดวา จติของเราหลดุ พนแลว เพราะสน้ิ ไป เพราะสาํ รอก เพราะดบั เพราะสละเพราะสลัดท้ิงซง่ึ ความพอใจ ความกําหนดั ความเพลิดเพลนิ ความทะเยอ-ทะยาน อปุ าทานขันธที่ยึดมัน่ และอนุสยั คอื ความตั้งใจและความเชือ่ มนั่

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 218ในจักษุ ในรปู ในจักษวุ ิญญาณ (และ) ในธรรมทจ่ี ะพึงทราบไดดวยจกั ษุ-วญิ ญาณ. ดกู อนทา นผมู ีอายุ ขา พเจารชู ัดวา ....ในโสตะในเสียง ในโสต-วญิ ญาณ.... ขาพเจารูชัดวา .... ในฆานะ ในกลิน่ ใน ฆานวญิ ญาณ ....ขาพเจารชู ดั วา .... ในชิวหา ในรส ในชิวหาวิญญาณ.... ขา พเจารูช ัดวา ....ในกาย ในโผฏฐพั พะ ในกายวญิ ญาณ.... ขา พเจารชู ดั วา จติ ของขาพเจา หลดุ พน แลว เพราะสิ้นไป เพราะสํารอก เพราะคับ เพราะสละเพราะสลัดทิ้ง ซ่งึ ความพอใจ ความกําหนัด ความเพลิดเพลนิ ความทะเยอ-ทะยาน อปุ าทานขนั ธท ่ยี ึดมน่ั (และ) อนสุ ัย คอื ความตั้งใจ และความเชือ่ -มน่ั ในมนะ ในธรรมารมณ (และ) ในธรรมท้งั หลายทพ่ี ึงรไู ด ดวยมโน-วิญญาณ ดูกอนทานผมู อี ายุ จติ ของขา พเจา ผรู ูอยู ผูเ ห็นอยอู ยางนแ้ี ลจงึ หลดุ พน แลว จากอาสวะท้ังหลาย เพราะไมยึดมน่ั ในอายตนะ ๖ ทั้งภายในและภายนอก ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย เธอทงั้ หลายควรชนื่ ชม อนุโมทนา คําท่ีภิกษนุ ้นั กลา วแลววา สาธ.ุ ครนั้ แลว กค็ วรถามปญหาใหยงิ่ ขึ้นไปอกี วาเม่อื ทานผูม อี ายรุ ูอยู เห็นอยอู ยางไร จึงถอน อนสุ ยั คอื อหงั การ และมมงั การ ในกายอันมวี ิญญาณนี้ และในนมิ ติ ท้ังหมด ทเี่ ปน ภายนอกออกไดดว ยดี. [๑๗๒] ดูกอนภิกษุท้ังหลาย ภกิ ษุผสู ิ้นอาสวะแลว อยจู บพรหม-จรรยแ ลว ทาํ กจิ ที่ควรทําเสร็จแลว ปลงภาระลงไดแลว บรรลุประโยชนต นแลวโดยลาํ ดบั สน้ิ สงั โยชนใ นภพแลว หลุดพนแลว เพราะรโู ดยชอบ จึงมีธรรมอนั สมควรจะพยากรณไ ดดังนวี้ า ดกู อ นทา นผมู ีอายุ เม่ือกอนขา พเจาเปนผูครองเรอื น ยงั เปนผูไ มรู พระตถาคตบาง สาวกของพระตถาคตบางแสดงธรรมแกข า พเจานนั้ ขาพเจา ฟงธรรมน้นั แลว จึงไดศรทั ธาในพระ-ตถาคต. ขาพเจาน้นั ประกอบดว ยการไดศรทั ธานนั้ จึงพจิ ารณาเหน็ ดงั น้ี

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 219วา ฆราวาสดบั แคบ เปน ทางมาแหงธลุ ี บรรพชาเปน ชองวา ง เรายังอยูครองเรอื น จะพระพฤตพิ รหมจรรยใ หบ ริสุทธบ์ิ รบิ รู ณโ ดยสว นเดียว ดุจสังขท่เี ขาขดั แลว นไี้ มใชท ําไดงา ย อยา กระนน้ั เลย เราพงึ ปลงผมและหนวดนุงหม ผา กาสาวพัสตร แลวออกจากเรอื น บวชเปน อนาคารกิ เถิด. ดูกอ นทานผมู ีอายุ สมัยตอ มา ขาพเจาน้ันแล จึงละโภคสมบัติ นอ ยบาง มากบา งละวงศญ าติ เลก็ บา ง ใหญบ า ง ปลงผมและหนวดนงุ หม ผา กาสาวพสั ตรแ ลวออกจากเรือน บวชเปน อนาคารกิ . ขาพเจา น้ันเปนผบู วชแลวอยางนี้ ถงึพรอมดวย สิกขา และ สาชพี ของภิกษุทั้งหลาย เพราะละ ปาณาตบิ าตจงึ เปนผูเ วนขาดจากปาณาติบาต วางอาชญา วางศสั ตรา มคี วามละอาย มีความเอน็ ดูไดเ ปนผอู นุเคราะหเก้ือกูลภตู และสรรพสตั ว. เพราะละ อทนิ นา-ทาน จงึ เปน ผูเวนขาดจากอทินนาทาน ถือเอาแตของทเ่ี ขาให หวงั แตของที่เขาให มีตนเปนคนสะอาด ไมใชขโมยอย.ู เพราะละกรรมอันเปน ขา ศกึ แกพรหมจรรย จึงเปน ผูป ระพฤติพรหมจรรย พระพฤติหางไกล (และ) เวนจากเมถุน อันเปน ธรรมของชาวบา น. เพราะละมุสาวาท จึงเปน ผูเวนขาดจากมุสาวาท เปน ผูก ลาวคําจรงิ ดํารงอยใู นคาํ สัตยเ ปน หลกั ฐาน เชื่อถือได ไมพ ูดลวงโลก. เพราะ ละวาจาสอเสียด จงึ เปน ผูเวนขาดจากวาจาสอเสยี ด ไดย นิ จากฝายนแ้ี ลว ไม (นาํ ไป) บอกฝายโนน เพื่อทาํ ลายฝายน้ีหรือไดย ินจากฝายโนนแลว ไม (นําไป) บอกฝายนี้ เพ่อื ทาํ ลายฝา ยโนน ทั้งนี้เมอ่ื เขาแตกกนั แลว กส็ มานใหด ีกนั หรอื เม่อื เขาดกี ันอยู ก็สง เสริมชอบความพรอมเพรยี งกนั ยินดีในคนที่พรอ มเพรียงกัน ชื่นชมในคนท่ีพรอ มเพรียงกนัเปนผูก ลาววาจาสมานสามคั คกี นั . เพราะละวาจาหยาบ จงึ เปนผูเ วน ขาดจากวาจาหยาบ เปนผูก ลาววาจาซงึ่ ไมมโี ทษ เสนาะโสต ชวนใหร ักใคร จบั ใจเปนภาษาของคนเมืองท่ีคนสวนมากปรารถนาและชอบใจ. เพราะละการเจรจา

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อุปรปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 220เพอ เจอ จงึ เปน ผูเ วนขาดจากการเจรจาเพอ เจอ กลา วถูกกาละ กลาวตามเปนจรงิ กลา วอรรถ กลาวธรรม กลา ววินยั เปนผูก ลา ววาจามหี ลักฐาน มีที่อา ง มขี อบเขต ประกอบดว ยประโยชน ตามกาล ขาพเจาน้นั ไดเปนผูเวนขาดจากการพรากพืชคามและภตู คาม เปนผุฉ นั หนเดียว งดฉันในเวลาราตรเี วนขาดจากการฉนั ในเวลาวิกาล เปน ผเู วน ขาดจากการฟอ นรํา ขับรอ งเลนดนตรี และดูการเลนอันเปน ขา ศกึ ตอ กุศล เปน ผเู วนขาดจากการทดั ทรงและตกแตง (แตงตวั ) ดว ยดอกไมของหอม และเครื่องประเทืองผวิ อันเปนฐานะแหงการแตง ตวั เปน ผูเวนขาดจากการน่งั นอน บนทน่ี ่ังท่นี อนอันสงูและใหญ เปน ผเู วนขาดจากการรบั ทองและเงิน เปนผเู วน ขาดจากการรับขาวเปลอื กดิบ เปน ผูเวน ขาดจากการรับเนอื้ ดบิ เปนผูเวนขาดจากการรบั สตรีและเด็กสาว เปนผเู วน ขาดจากการรบั ทาสหญิงและทาสชาย เปน ผเู วนขาดจากการรบั ไกและสุกร เปนผูเ วนขาดจากรบั ชาง โค มา และลา เปน ผูเวนขาดจากการรับไรนาและท่ีดนิ เปนผูเวน ขาดจากการประกอบทตู กรรมและการรบั ใช เปนผเู วนขาดจากการซอื้ และขาย เปนผูเวน ขาดจากการโกงดว ยตราชง่ัโกงดว ยของปลอม. และโกงดวยเครื่องตวงวดั เปนผเู วน ขาดจากการรบั สินบนการลอลวง และการตลบตะแลง เปน ผูเ วน ขาดจากการตดั การฆา การจองจาํ การตีชงิ การปลน และการขกู รรโชก ขาพเจา นน้ั ไดเ ปนผสู นั โดษดว ยจีวร เปน เคร่ืองบริหารกาย และบิณฑบาตเปน เครื่องบริหารทอง จะไปยงั ทใี่ ด ๆ กย็ อ มถือเอา (บริขาร) ไปไดหมด เหมือนนกมีแตป กจะบนิ ไปยังที่ใด ๆ กย็ อ มมเี ฉพาะปกของตนเทา น้นั เปนภาระบินไป ฉะนั้น. [๑๗๓] ขาพเจานั้น ประกอบดว ย สีลขนั ธ อนั เปน อรยิ ะนแ้ี ลวจึงไดเ สวยสุขอันปราศจากโทษในภายใน ขา พเจานน้ั เหน็ รปู ดวยจกั ษแุ ลวไมเ ปน ผถู อื เอาโดย นมิ ิต และโดย อนพุ ยัญชนะ ปฏิบตั เิ พ่ือสํารวม-

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 221จกั ขุนทรียอนั มีการเหน็ รูปเปน เหตุ ซึง่ บคุ คลผเู มือ่ ไมสาํ รวมอยู จะพึงถกู อกุศลธรรมอันลามก คอื อภิชฌา และ โทมนัส ครอบงาํ ได รักษา จกั ขุนทรียถึงความสาํ รวมในจักขุนทรยี แ ลว ไดย นิ เสียงดว ยโสตะแลว .... ดมกล่ินดว ยฆานะแลว ....ลมิ้ รสดวยชวิ หาแลว .... ถกู ตองโผฎฐัพพะดวยกายแลว รธู รรมา-รมณด ว ยใจแลว ไมเ ปนผถู ือเอา โดย นิมิต และโดย อนุพยัญชนะปฏบิ ตั ิเพอ่ื สํารวมมนนิ ทรีย อนั มีการรธู รรมารมณเ ปนเหตุ ซึง่ บุคคลผูเ มือ่ ไมสาํ รวมอยู จะพึงถูกอกศุ ลธรรมอนั ลามก คอื อภิชฌา และ โทมนัสครอบงาํ ได รกั ษามนนิ ทรยี  ถึงความสาํ รวมในมนนิ ทรยี แ ลว . [๑๗๔] ขา พเจา นนั้ ประกอบดวยอินทรยี สังวร อนั เปนอริยะนี้แลว จึงไดเสวยสุข อนั ไมเ จอื ทกุ ขภายใน ไดเปน ผูทําความรสู กึ ตวั ในเวลากาวไปและถอยกลบั ในเวลาแลดู และเหลียวดู ในเวลางอแขน และเหยียดแขนในเวลาทรงผาสงั ฆาฏิ บาตร และจีวร ในเวลาฉัน ดมื่ เคยี้ วและลม้ิ ในเวลาถายอุจจาระและปสสาวะ ในเวลาเดนิ ยืน นงั่ นอนหลบั ตื่น พูด และนง่ิ . [๑๗๕] ขาพเจา นัน้ ประกอบดวย สีลขันธ อนั เปน อริยะนี้ ประกอบดว ย อินทรียสังวร อนั เปนอรยิ ะนี้ ประกอบดวยสตสิ ัมปชญั ญะอันเปน อรยิ ะนีแ้ ลว จึงไดพ อใจ เสนาสนะอันสงดั คือปา โคนไม ภเู ขา ซอกเขา ถํ้าในภเู ขาปาชา ปา ชฎั ที่แจง และลอมฟาง. ขาพเจา นัน้ กลับจากบิณฑบาต ภายหลังฉนั อาหารแลว นงั่ คูบลั ลังก(นง่ั ขดั สมาธ)ิ ตง้ั กายตรง ดาํ รงสตมิ ่ันเฉพาะหนา . ขา พเจานัน้ ละอภิชฌาในโลกไดแ ลว มใี จปราศจากอภิชฌาอยู ชอื่ วา ไดช ําระจิตใหบ ริสทุ ธ์จิ ากอภชิ ฌา ละความชว่ั คอื พยาบาทแลว เปนผูมจี ิตไมพ ยาบาท อนเุ คราะหเก้ือกลู ในสรรพสตั วแ ละภตู ช่อื วา ไดชําระจติ ใหบริสทุ ธจิ์ ากความชั่วคอื

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 222พยาบาท ละ ถีนมิทธะแลว เปน ผมู ีจิตปราศจาก ถนี มิทธะ มี อาโลก-สญั ญา มสี ติสัมปชญั ญะ อยู ชือ่ วาไดชําระจิตใหบ ริสทุ ธจิ์ าก ถีนมิทธะละ อทุ ธัจจะกุกกจุ จะแลว เปนผไู มฟ ุงซาน มีจติ สงบภายในอย.ู ชอ่ื วาไดช ําระจติ ใหบ รสิ ทุ ธ์ิจาก อุทธัจจกกุ กจุ จะ ละ วิจิกจิ ฉา แลวเปน ผขู า มความสงสยั ได ไมมคี าํ ถามแสดงความสงสัย ในกุศลธรรมทัง้ หลายอยู ชื่อวาไดชําระจติ ใหบ ริสุทธ์จิ ากวจิ กิ ิจฉา. [๑๗๖] ขาพเจา น้ัน ครั้นละนวิ รณ ๕ ประการน้ี อันเปน เคร่ืองทาํใจใหเศราหมอง บ่นั ทอนปญ ญาไดแลว จึงไดส งัดจากกาม สงดั จากอกุศลธรรม ไดเ ขาปฐมฌาน มี วิตก มวี จิ าร มปี ต ิสขุ เกิดแตว เิ วก ไดเ ขาทตุ ิยฌานมคี วามผองใสแหงใจภายใน มคี วามเปน ธรรมเอกผุดข้ึน เพราะสงบวิตกและวจิ าร ไมม วี ติ ก และไมมีวิจาร มีปติ และสุข เกิดแตส มาธอิ ยูไดเปนผูวางเฉย เพราะหนา ยปติ มีสติสมั ปชญั ญะอยู และเสวยสขุ ดวยนามกายไดเ ขา ตตยิ ฌาน.... ไดเ ขาจตตุ ถฌาน อนั ไมม ที ุกข ไมมีสุข เพราะละทกุ ขละสขุ และดบั โสมนัสโทมนสั กอน ๆ ได มีสตบิ รสิ ุทธ์ิ เพราะอเุ บกขาอยู. [๑๗๗] ขา พเจา นนั้ เมือ่ จิตเปน สมาธิ บรสิ ทุ ธ์ิผดุ ผองไมมีกิเลสดุจเนิน ปราศจาก อุปกเิ ลส เปนจิตออนโยน ควรแกก ารงานดาํ รงอยูแลวถึงความไมหวั่นไหว อยา งนแี้ ลว จึงไดนอมจิต เพือ่ อาสวักขยญาณ. ขาพเจานัน้ ไดร ูชดั ตามความเปน จริงวา นีท้ กุ ข นีเ้ หตุใหเกดิ ทกุ ข น้ีความดบั ทุกขนป้ี ฏปิ ทาใหถงึ ความดบั ทกุ ข นีอ้ าสวะ นเ้ี หตใุ หเ กดิ อาสวะ น้คี วามดับอาสวะ นีป้ ฎปิ ทาใหถงึ ความดับอาสวะ เมื่อขา พเจานน้ั รอู ยา งน้ี เห็นอยา งน้ี จติ กห็ ลดุ พนแมจาก กามาสวะ แมจาก ภวาสวะ แมจาก อวิชชา-สวะ เม่อื จิตหลุดพน แลว ไดม ีญาณรวู า เราหลดุ พนแลว รูช ดั วา ชาตสิ ิ้น

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย อุปริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 223แลว พรหมจรรยอยจู บแลว กจิ ทคี่ วรทําไดท าํ เสรจ็ แลว กจิ อ่นื เพอ่ื ความเปนอยางนีม้ ิไดมี. ดกู อนทานผูมีอายุ เมอื่ ขาพเจา รูอ ยู เหน็ อยู อยางนีแ้ ลวอนสุ ยั คือ อหังการ และ มมงั การ ในกายท่มี ีวญิ ญาณน้ี และในนิมิตทั้งหมด ในภายนอก เปนอันขาพเจาถอนขน้ึ แลวดวยดี. ดูกอ นภิกษุทงั้ หลายคาํ ท่ีภกิ ษุนน้ั กลา วแลว เธอทั้งหลายควรชนื่ ชม ควรอนโุ มทนาวา สาธ.ุครนั้ แลว พึงกลาวแกภ กิ ษรุ ูปน้ันอยา งน้ีวา ดกู อนทา นผูม อี ายุ เปน ลาภของขา พเจาท้ังหลาย เปนโชคของขาพเจาท้งั หลายทไ่ี ดเ หน็ ทานผูม ีอายุ ผเู ปนสพรหมจารีเชนทาน. พระผมู ีพระภาคเจา ไดตรัสพระพุทธพจนนแี้ ลว ภิกษเุ หลา น้นัตา งชน่ื ชม ยนิ ดพี ระภาษิตของ พระผมู พี ระภาคเจาแล. จบ ฉวโิ สธนสูตรที่ ๒

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย อปุ ริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 224 อรรถกถาฉวโิ สธนสูตร ฉัพพิโสธนสูตร๑ มคี าํ เรม่ิ ตน วา ขาพเจาไดสดับมาแลวอยางน้.ี พยากรณอรหัตผล ในฉพั พิโสธนสูตรนั้น พึงทราบวนิ ิจฉัยดังตอ ไปนี.้ พระอรหัตยอ มเปนอันพยากรณแลวทีเดยี วดวยบทเดียวบาง สองบทบาง ในบททัง้ หลาย มอี าทิวา ขณี า ชาติ (ชาตสิ น้ิ แลว ) ดังนี.้ แตใ นสูตรนท้ี านนําเอาการพยากรณพระอรหตั ผลมา (กลาวครบ) ท้ัง ๔ บท. ในบททวี่ า ทิฏเ ทฏิ  วาทติ า (ความเปน ผมู วี าทะวาเหน็ ในอารมณ ชอื่ วา ความเปนผมู วี าทะวาเหน็ ในอารมณทเ่ี หน็ แลว. ดวยเจตนาใดเจตนานัน้ เปน เหตุกลาววา เราเหน็ ในอารมณท่เี ห็นแลว นัน้ แมในบทท่เี หลอืกน็ ัยนน้ี ่ีแหละ. บทวา อยมนุธมโฺ ม แปลวา สภาพน.้ี บทวา อภินนทฺ ติ พพฺ  คอื อยาพงึ ยินดอี ยา งเดยี ว กเ็ มอื่ ภิกษุนี้ปรินพิ พานแลว ควรทําสกั การะ (ในฐาน) พระขีณาสพ แมท กุ ประการ. บทวา อตุ ตฺ รึ ปโฺ ห ทานแสดงวา ถาทา นทง้ั หลายยังไมพ อใจการพยากรณ (พระอรหตั ) ของภกิ ษนุ ี้ ควรถามปญ หาน้ี แมใหสงู ขึ้น.ในวาระทง้ั ๓ แมข า งหนาแตวาระนไี้ ป กม็ นี ยั น้ีเหมอื นกนั . บทวา อพล แปลวา ทุรพล. บทวา วราคุน คือ มกี ารปราศจากไปเปนสภาพ.๑. บาลีเปนฉวิโสธนสูตร

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 225 บทวา อนสฺสาสิก ไดแ ก เวน จากความโปรงใจ. บทวา อปุ ายปู าทานา นี้เปน ชื่อของตัณหาและทฏิ ฐ.ิ จริงอยูตัณหาและทิฏฐทิ ัง้ หลาย ชือวา อุบาย เพราะเขาถึงธรรมอันเปนไปในภมู ิท้งั ๓ ชอ่ื วา อปุ าทาน เพราะยึดถือ. ชอ่ื วา อภินเิ วสา(การยดึ ม่ัน) เพราะยึดมนั่ รปู นน้ั ดวยตัณหาและทิฏฐิเหลา นัน้ . เรยี กวา อนสุ ยัเพราะนอนแนบสนิทอยูก ับรูปน้ัน ดว ยตณั หาและทิฏฐเิ หลา นน้ั นนั่ แล. ในบทวา ขยา วริ าคา เปนตน ความวา เพราะความสนิ้ ไปเพราะความคลายกาํ หนดั . บทแมท้ังหมดเหลานี้ เปน ไวพจนข องกนั และกันท้งั นัน้ . ความหมายของธาตุ ธาตุท่ีทาํ ใหต้ังอยู ชอ่ื วา ปฐวธี าตุ. ธาตุทป่ี ระสานใหติดอยู ช่ือวาอาโปธาต.ุ ธาตุท่ีทําใหอบอนุ ชอ่ื วา เตโชธาต.ุ ธาตทุ ่ที าํ ใหเ คลือ่ นไหวช่ือวา วาโยธาตุ. ธาตุที่ถกู ตองไมได ชื่อวาอากาศธาตุ. ธาตทุ ่ีรแู จง ชอื่ วาวญิ ญาณธาต.ุ บทวา อนตฺตโต อปุ คจฉฺ ึ ความวา เรายอมไมเ ขาถึง (คอื ยึดครอง) โดยสว นแหง อัตตาวา นเ้ี ปนอตั ตา. อนึง่ ยอมไมเ ขาถึงธาตทุ งั้ หลายท่เี หลือซ่งึ อาศัยปฐวีธาตุ และอปุ า-ทายรปู . แมอ รปู ขันธท งั้ หลายกอ็ าศยั ปฐวีธาตโุ ดยปรยิ ายหนึ่งเหมือนกันเพราะวตั ถรุ ูปทงั้ หลายทอ่ี รปู ขันธท้งั หลายน้ันอาศยั กอ็ าศยั อยกู บั ปฐวีธาตุเพราะฉะนั้น เม่ือกลาววายอมไมย ดึ ครองธาตทุ ี่เหลอื อันอาศัยปฐวีธาตุ ยอ มกลา ววา เรายอมไมย ึดครองแมรปู ธรรมและอรปู ธรรมทีเ่ หลอื ท้ังหลาย วาเปนอัตตา. กใ็ นบทท่วี า อาศัยอากาศธาตุ ภูตรูปและอปุ าทายรูปแมท งั้ หมด

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 226ชื่อวา อาศยั อากาศธาตุ โดยเปนอวนิ ิโภครูป. อรูปขันธท้งั หลายทมี่ ีรปู วตั ถุเปน ทีอ่ าศัย กช็ อื่ วา อาศัยอากาศธาตเุ หมือนกัน. เม่อื เปนอยางนัน้ แมใ นทีน่ ี้ รูปและอรูปยอมเปนอันถอื เอาแลวทเี ดียว. สว นในบททวี่ า อาศยัวิญญาณธาตุ ขันธ ๓ ท่ีเกิดรวมกัน และรปู ที่มจี ติ เปนสมฏุ ฐาน เปน รปูอาศัยวญิ ญาณธาตุดงั กลา วมานั้น รูปและอรปู ยอ มเปน อันถอื เอาแลว ทเี ดยี ว. รปู ในบทวา รเู ป จกฺขุวิฺ าเณ จกขฺ วุ ิฺาเณน วิฺาตพเฺ พสุธมฺเมสุ นี้มีอธบิ ายวา เม่ือกลา ววา รปู ใดมาสูค ลองจกั ขทุ วารแลว ดับไปในอดตี รปู ใดทมี่ าสูค ลองจักขทุ วาร แลวจักดบั ไปในอนาคต และรปู ใดมาแลวดับไปในปจ จุบนั รปู ท้งั หมดน้นั ชอื่ วา รูป. สว นรูปใดไมมาสูคลองจกั ขทุ วารดบั แลวแมในอดตี ท่ยี ังไมม าจกั ดับแมในอนาคต และทีย่ งั ไมมาก็ดบั แลว แมในปจจุบนั รูปนัน้ สงเคราะหเ ขา ในธรรมท้งั หลายท่พี ึงรูแ จง ดว ยจกั ขวุ ญิ ญาณดังน้ี พระจุลลาภยเถระผูชํานาญพระไตรปฎ กไดก ลา ววา ในฐานะน้ี เธอแยกรปู เปน ๒ แลว เธอจะทําอยา งไร ในวาระวาดวยฉันทะท่ีจะมาถงึ ขางหนาขอ นไ้ี มถ กู นะ. เพราะเหตุนั้น รปู ทม่ี าสูคลองจักขทุ วารแลว ก็ดี. ท่ยี ิง่ ไมมาถึงก็ดี ในกาลท้ัง ๓ ทง้ั หมด จดั เปน รูปทัง้ นัน้ สว นขันธ ๓ ทสี่ มั ปยุตดวยจกั ขุวญิ ญาณ พึงทราบวา เปนธรรมท่พี งึ รูแจง ดวยจักขุวญิ ญาณ. กใ็ นทน่ี ้ีมคี วามหมายดังนว้ี า \"ในธรรมท้ังหลายทพี่ ึงรูแจง พรอ มกบัจักขวุ ิญญาณ\" บทวา ฉนฺโท ไดแ ก ความพอใจดว ยตัณหา. บทวา ราโค ไดแ ก ฉนั ทะนน่ั แหละ จดั เปนราคะดวยอํานาจความกาํ หนัด.

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 227 บทวา นนทฺ ิ ไดแ ก ฉันทะน่นั แหละ จัดเปน นนั ทิ ดว ยอํานาจความเพลดิ เพลินยนิ ดี. บทวา ตัณหา ความวา ฉันทะน่ันแหละจดั เปนตัณหา ดว ยอํานาจความทะยานอยาก. แมใ นทวารท้งั หลายที่เหลือ ก็นัยน้ีเหมือนกนั . ในบทวา อหงกฺ ารมมงฺการมานานุสยา นี้ อหังการเปนตัวมานะมมงั การเปน ตัณหา. ท้ังอหงั การ ทงั้ มมงั การนน้ั แหละ เปน มานานสุ ัย. เหตุผลทต่ี รสั อาสวักขยญาณ ถามวา เหตุไฉน พระผมู พี ระภาคเจา จงึ ไมตรสั ปพุ เพนิวาสญาณและทพิ พจักขญุ าณไว แตก ลับมาตรสั คํานีว้ า อาสวาน ขยาณาย. แกว า เพราะภกิ ษทุ ั้งหลาย ไมท ูลถามธรรมะท่เี ปน โลกยิ ะ ถามแตโลกุตรเทา นั้น เพราะฉะน้นั เมือ่ จะตรสั บอกปญ หาที่ ทูลถามเทา นน้ั จึงตรสัอยา งน้นั . นช้ี ือ่ เอกวสิ ชั ชิตสูตรนั้น มชี ื่อ (อกี อยางหนึ่ง) วา ฉัพพโิ สธน-สูตรบาง. ฉัพพโิ สธนยิ ธรรม ในพระสูตรนี้ (ธรรม) ๖ หมวดนี้ คอื โวหาร ขันธ ๕ ธาตุ๖ อายตนะภายในและอายตนะภายนอก ๖ กายท่มี ีวิญญาณของตน ๑ กายท่ีมวี ญิ ญาณของคนอ่นื ๑ เปนธรรมบรสิ ุทธ์หิ มดจดแลว เพราะฉะนัน้ จงึ เรียกวา ฉัพพิโสธนิยะ สว นพระปรสมุททวาสีเถระกลาวหมวด (ธรรม) ๖ หมวด โดยรวมกายที่มวี ญิ ญาณของตน กบั ของคนอน่ื เขา เปนหมวดเดยี วกันกบั อาหาร ๔.

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 228 ก็หมวด (ธรรม) ๖ หมวดน้ี พงึ ชําระใหถ ูกตอ ง โดยปรยิ ายท่ีขยายความไวในพระวนิ ยั อยา งน้ีวา ทา นบรรลอุ ะไร ? บรรลุอยางไร ? บรรลุเมอื่ ไร ? บรรลุที่ไหน ? ละกเิ ลสพวกไหน ? ไดธ รรมพวกไหน ? ก็ในทน่ี ้ี คาํ ท่วี า ทา นบรรลอุ ะไร ? เปน คําถามถึงการบรรลุคอื (ถามวา) ทา นบรรลอุ ะไร ในบรรดาฌาณและวโิ มกขเปนตน หรอื ในบรรดามรรคมีโสดาปต ติมรรคเปน ตน. คาํ วา ทานบรรลุอยา งไร ? เปน คาํ ถามถึงอบุ าย (วธิ ีทําใหบ รรลุ)เพราะวา ในขอนีม้ อี ธบิ ายดงั น้ีวา ทานทําอนจิ จลักษณะใหเ ปน ธุระ จงึ บรรลุหรอื ทําทกุ ขลักษณะและอนตั ตลกั ษณะอยางใดอยางหน่งึ ใหเปนธุระ จึงบรรลุอีกอยางหนง่ึ ทานยึดมั่นดวยอาํ นาจสมาธิ หรอื ยดึ ม่นั ดว ยอํานาจวปิ ส สนาอน่ึง ยึดมนั่ ในรปู หรือยดึ มน่ั ในอรปู อีกอยางหนงึ่ ยึดมั่นในภายใน หรอืยึดม่นั ในภายนอก จึงบรรลุ. คําวา ทา นบรรลุเมอื่ ไร ? เปน การถามถึงเวลา (ที่ไดบ รรลุ) มีคําอธิบายวา ทานบรรลุในเวลาไหน ในบรรดาเวลาเขา และเวลาเทย่ี งเปนตน คําวา ทา นบรรลทุ ่ีไหน ? เปนการถามถงึ โอกาส (ท่ีบรรลุ) มีคําอธบิ ายวา ในโอกาสไหน คือในทีพ่ ักกลางคนื ในท่ีพกั กลางวัน ท่ีโคนไม ท่มี ณฑป หรอื ที่วิหารไหน. คาํ วา ทา นละกเิ ลสพวกไหน ? เปน การถามถงึ กิเลสทล่ี ะได มีคําอธิบายวา ทา นละกิเลสท่มี รรคไหนจะพึงฆา . คําวา ทา นไดธรรมพวกไหน ? เปนการถามถึงธรรมทไี่ ดบ รรลุมีคําอธบิ ายวา บรรดาธรรมมีปฐมมรรคเปนตน ทานไดธรรมเหลาไหน

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 229 เพราะฉะนั้น ในปจจบุ ันนี้ แมหากจะมภี กิ ษุบางรปู พยากรณก ารบรรลุธรรมอนั ยิงยวดของมนุษย กย็ ังไมควรทําความเคารพเธอดวยเหตุเพียงเทาน.้ี กใ็ นฐานะ ๖ ประการนี้ ควรจะพูดเพอ่ื ความบริสุทธ์ิ ทานบรรลุอะไร คอื ฌานหรอื หรือวาวโิ มกขเปนตน อยา งใดอยางหน่งึ . จรงิ อยธู รรมใด อันผูใดบรรลุแลว ธรรมน้ันยอมปรากฏแกผนู น้ั . ถา พูดวา ขา พเจาบรรลุธรรมชื่อนี้ แตนนั้ ก็จะตอ งถูกถามวา ทา นบรรลุอยา งไร ? อธบิ ายวาทา นทาํ อะไร ในบรรดาอนจิ จลักษณะเปน ตน ใหเ ปนธรุ ะ แลวยดึ ถอื โดยมขุอะไร ในบรรดาอารมณ ๓๘ หรอื ในบรรดาธรรมทงั้ หลาย ชนดิ รปู ธรรมอรูปธรรม อัชฌตั ตธรรม และพหทิ ธาธรรมเปนตน แลวจึงบรรลุ เพราะอภินิเวส (การยึดถอื การอยสู าํ ราญ) อันใด ของคนใด อภนิ เิ วสอันน้นัยอมปรากฏแกค นนน้ั . ถากลาววา อภินิเวส ชอื่ น้ี ขา พเจา บรรลอุ ยางนี้ ตอ แตนัน้ ก็จะตอ งถกู ถามวา ทานบรรลุเมือ่ ไร คือ บรรลใุ นเวลาเชา หรือเวลาเทยี่ งเปน ตนเวลาใดเวลาหน่ึง. เพราะเวลาบรรลุของตนยอมปรากฏแกทุก ๆ คน. ถา กลา ววา บรรลุในเวลาชอื่ โนน ตอแตนั้นก็ถกู ถามวา ทา นบรรลทุ ไ่ี หน คือบรรลุในทพ่ี กั กลางวัน หรือในทพ่ี กั กลางคนื เปน ตน โอกาสใดโอกาสหนึง่ เพราะเวลาท่ตี นบรรลุยอมปรากฏแกทกุ ๆ คน. ถา พูดวา ขาพเจาบรรลใุ นโอกาสชื่อโนน ตอ แตนนั้ กจ็ ะตองถูกถามวา ทา นละกเิ ลสพวกไหน คอื ทา นละกิเลสท่ปี ฐมมรรคจะพึงฆา หรอื ท่ที ุติยมรรคเปนตน จะพงึ ฆา นะ เพราะกเิ ลสท่ลี ะดวยมรรคอนั ตนบรรลุ ยอมปรากฏแกทุก ๆ คน. ถาพูดวา ขา พเจา ละกิเลสชอ่ื นี้ แตน ้ัน ก็จะตองถกู ถามวา ทา นไดธรรมเหลา ไหน คือไดโ สดาปต ตมิ รรคหรอื สกทาคามิมรรคเปนตน อยา งใดอยาง

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 230หนง่ึ . เพราะธรรมทต่ี นบรรลุยอ มปรากฏแกทุกคน. ถา พดู วา ขา พเจาไดธ รรมชื่อน.้ี แมด วยเหตุเพยี งเทา นกี้ ็ไมควรเชือ่ คาํ ของเธอ. กภ็ กิ ษุทั้งหลายผูเ ปน พหสู ตู ฉลาดในการเลา เรยี นและการสอบถามยอมสามารถชาํ ระฐานะ ๖ ประการเหลา นีใ้ หหมดจด. แตสาํ หรับภิกษุนีค้ วรชําระปฏปิ ทา อันเปน เครอ่ื งบรรลุขั้นตน . หากปฏิปทาเปนเครื่องบรรลขุ น้ั ตนยงั ไมบ ริสุทธิ์ ควรปลีกออก (จากปฏญิ ญาของตน) ชอ่ื วา โลกุตรธรรม ทั้งหลาย เราจะไมไ ดด ว ยปฏปิ ทาน้ี. แตถ า ปฏปิ ทาเครือ่ งบรรลุขนั้ ตน ของทานหมดจด ปรากฏวาภกิ ษุนี้ไมป ระมาทในสิกขา ๓ ประกอบความเพยี ร ไมตดิ ในปจจยั มจี ติ เสมอเหมือนนกในหวงอากาศอยตู ลอดกาลนาน. การพยากรณข องภกิ ษุนนั้ เทยี บกนัไดสมกันกับขอ ปฏบิ ัติ คอื เปน เชนดงั ท่ีตรสั ไวว า น้ําในแมน้ําคงคากับนา้ํ ในแมน า้ํ ยมุนา ยอมเขา กนั ได เสมอเหมอื นกนั ช่ือฉันใด ขอ ปฏิบัติอันเปนเครอื่ งดาํ เนนิ ไปสูพระนิพพานของพระสาวกทั้งหลาย คือ นิพพานและปฏปิ ทาอนั พระผมู พี ระภาคเจานั้น บญั ญัติไวดแี ลว ก็ฉนั น้ันเหมอื นกัน ยอ มเทียบกันได ยอมลงกันได. กอ็ กี อยางหนึง่ แล ไมค วรทาํ สักการะแมดวยเหตมุ ปี ระมาณเทานี้อธิบายวา เพราะเหตุทีภ่ กิ ษุบางรูปแมย งั เปน ปุถชุ นอยูก ็ยอมมปี ฏิปทาเหมือนขอ ปฏบิ ตั ิอยา งพระขีณาสพ ฉะน้ัน ภกิ ษนุ ้นั ควรใชอ ุบายวิธนี ้นั ๆ ทําใหสะดงุหวาดเสียว. ธรรมดาพระขีณาสพ เมอื่ อสนีบาตตกลงเหนอื กระหมอมตัวยอ มไมม ีความกลวั ความสะดุง หรือทําใหข นลกุ สวนสําหรบั ปุถุชนยอ มมี (ความกลัวเปน ตน) ดว ยเหตกุ ารณแ มเ ล็กนอย. ในขอน้นั มีเร่อื งเหลานีเ้ ปน ตัวอยา ง:-

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ท่ี 231 เร่อื งพระทฑี ภาณกอภยเถระ ไดยินวา พระทฆี ภาณกอภยเถระ ไมส ามารถจะพสิ จู นภ กิ ษรุ ูปหนึง่ ที่ถือบิณฑบาตเปนวัตรได จงึ ไดใหส ัญญาแกภ ิกษุหนมุ ไว. ภกิ ษหุ นุมรปูนั้นจึงดํานํ้าอยูท่ปี ากน้ํากัลยาณี จับเทา พระท่ีถือบณิ ฑบาตเปน วตั รรปู นน้ั ท่ีกําลงั อาบนา้ํ อย.ู พระที่ถอื บณิ ฑบาตเปนวัตรนัน้ เขา ใจวาเปน จรเข กส็ ง เสียงรอ งขึ้น. ต้งั แตน้นั ใคร ๆ เขาก็รวู า ทานยังเปน ปุถุชน. แตในรัชสมัยของพระเจาจัณฑิมุขตสิ สะ พระสงั ฆเถระในมหาวหิ ารเปนพระขีณาสพ แตเสยี จกั ษุอยูในวหิ ารนน้ั แหละ. พระราชาคิดวา จะพิสจู นพระเถระ เม่อื ภิกษุทงั้ หลายออกไปภกิ ษาจาร จงึ ยองเขา ไปจบั เทา พระเกระทําเปน เหมอื นงูรดั . พระเถระนง่ิ เหมือนเสาหนิ ถามวา ใคร ในท่ีน.้ี พระราชาตรสั วา กระผม ติสสะขอรบั .ขอถวายพระพรมหาบพิตรตสิ สะ พระองคท รงไดกลน่ิ หอมมิใชหรือ. ชอ่ื วาความกลัวยอ มไมม ีแกพระขณี าสพ ดวยประการอยางนี้ กบ็ ุคคลบางคน แมจะเปนปถุ ุชนกเ็ ปน คนกลา หาญไมข ขี้ ลาด. คนผูน้นั ตองพสิ จู นด วยอารมณท นี่ ารัก จรงิ อยู แมพระเจาวสภะเมอื่ จะพสิ ูจนพระเถระรูปหนงึ่ จงึ นิมนตใ หน ่ังในพระราชมณเฑยี ร แลว รับสงั่ ใหคนขยําผลพทุ ราในสํานักของทาน. พระมหาเถระนํา้ ลายสอ. แตน น้ั ความที่พระเถระเปนปถุ ชุ นก็ชดั แจง เพราะวาธรรมดาความอยากในรสพระขณี าสพละไดห มด ช่อืวาความใครในรสท้งั หลายแมเ ปนทิพยก ไ็ มม .ี ฉะน้ัน จึงพิสูจนดวยอุบายเหลาน้ี ถาความกลัว ความหวาดเสยี ว หรือความอยากในรสยังเกดิ แกทานก็พงึตดั ออกไดว า ทา นไมไดเปน พระอรหนั ต. แตถาไมกลัว ไมส ะดุง ไมหวาดเสยี ว คงนัง่ (สงบ) เหมอื นราชสหี  แมใ นอารมณอันเปนทิพย กไ็ มทําความใครใหเ กิดขน้ึ ภกิ ษนุ ้ีเปน ผูส มบรู ณดว ยการพยากรณ ยอมควรแกเครื่องสักการะ ทีพ่ ระราชาและมหาอํามาตยของพระราชาเปน ตน สงมาโดยรอบแล. จบ อรรถกถาฉวิโสธนสตู ร

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย อปุ ริปณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 232 ๓. สัปปรุ สิ สตู รวา ดว ยอสปั ปรุ ิสธรรมและสปั ปรุ สิ ธรรม [๑๗๘] ขา พเจา ไดสดบั มาแลวอยางน:้ี - สมัยหน่งึ พระผูมีพระภาคเจา ประทับอยทู พี่ ระวหิ ารเชตวนั อารามของอนาถบิณฑกิ เศรษฐี กรงุ สาวัตถ.ี สมยั น้ันแล พระผูมีพระภาคเจา ตรสั เรยี กภิกษุท้งั หลายมาวา ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย. ภิกษทุ ัง้ หลายทลู รบั พระพทุ ธดํารสั แลว .พระผูมีพระภาคเจา จึงไดต รสั คําน้ไี ววา ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย เราตถาคตจกัแสดงสปั ปรุ ิสธรรมและอสัปปรุ ิสธรรมแกเ ธอทัง้ หลาย เธอทง้ั หลายจงฟง ธรรมนน้ั จงใสใ จใหดีเราจกั กลา ว (ตอ ไป). ภิกษเุ หลานั้น ทลู รบั พระผูมีพระ-ภาคเจา วา พรอ มแลว พระเจาขา . อสปั ปุรสิ ธรรม [๑๗๙] พระผูม ีพระภาคเจา ไดตรสั คาํ น้วี า ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย ก็อสปั ปรุ ิสธรรมคอื อะไร ? ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย คอื อสตั บุรุษในโลกนี้เปนผอู อกจากสกลุ สงู บวชแลว . เธอพจิ ารณาเหน็ อยางนีว้ า เราเปน ผอู อกจากสกลุ สงู บวชแลว แล สว นภกิ ษเุ หลา นอี้ ืน่ ๆ ไมไดออกจากสกลุ สงู บวช. เธอจงึ ยกตนขมผอู ่นื เพราะความเปน ผูมสี กุลสูงนน้ั ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย นค้ี ืออสัปปรุ ิสธรรม. สปั ปุรสิ ธรรม ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย สวนสตั บุรุษแล พจิ ารณาเห็นอยา งนี้วา ธรรมคอื โลภะ ธรรมคือโทสะ หรือธรรมคอื โมหะ ยอ มไมถึงความเสอื่ มสน้ิ ไปเพราะความเปนผมู ีสกุลสงู เลย ถงึ แมผูทไ่ี มไ ดออกบวชจากตระกูลสูง เธอก็

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย อุปรปิ ณณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาที่ 233เปน ผปู ฏิบตั ธิ รรมสมควรแกธรรม ปฏิบตั ชิ อบ ประพฤตติ ามธรรม คนทัง้หลาย ก็จะบูชาสรรเสริญเธอในท่ีนนั้ ๆ. สตั บรุ ษุ นน้ั กระทาํ ขอปฏบิ ัตใิ หเปนไปในภายใน (เปน สว นตัว) เทานัน้ ไมย กตนขมผอู นื่ เพราะความเปน ผมู ีสกุลสูงน้นั . ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย น้แี ลคอื สปั ปรุ สิ ธรรม. อสปั ปรุ สิ ธรรม [๑๘๐] ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ประการอืน่ ยงั มอี กี (คอื ) อสตั บุรษุเปน ผูอ อกบวชจากตระกูลใหญ ออกบวชจากตระกูลทีม่ ีโภคะมาก ออกบวชจากตระกูลท่มี โี ภคะโอฬาร. เธอพจิ ารณาเหน็ อยา งน้วี า เราเปนผอู อกบวชจาก (ตระกูลใหญ ตระกลู มีโภคะมาก) ตระกลุ มโี ภคะโอฬารแล แตภ ิกษุอืน่ ๆ เหลา นี้ ไมไดออกบวชจาก (ตระกลู ใหญ ตระกลู มีโภคะมาก) ตระกูลมโี ภคะโอฬาร. เธอยกตนขมขผู อู ่นื เพราะความเปนผูมโี ภคะโอฬารนน้ั ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย นแี้ ลคอื อสปั ปุริสธรรม. สัปปรุ ิสธรรม ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย สวนสัตบุรษุ พิจารณาเหน็ อยา งนี้แลวา ธรรมคือโลภะ ธรรมคอื โทสะ หรอื ธรรมคือโมหะ ยอมไมถึงความเสื่อมส้นิ ไปเพราะความเปน ผูมโี ภคะโอฬาร ถงึ แมภกิ ษุผูไมไ ดออกบวชจาก (ตระกูลใหญตระกูลมโี ภคะมาก) ตระกูลมโี ภคะโอฬาร เธอก็ปฏิบตั ิธรรมสมควรแกธรรมปฏิบัติชอบ ประพฤตติ ามธรรม คนท้งั หลายก็จะบชู าสรรเสริญเธอในท่นี นั้ ๆสตั บุรษุ นนั้ กระทําขอปฏิบัตใิ หเ ปน ไปในภายใน (เปนสวนตวั ) เทานั้นไมยกตนไมขมผอู ื่น เพราะความเปน ผูมโี ภคะโอฬารนน้ั ดกู อนภิกษุทงั้ หลายน้แี ลคือ สัปปุริสธรรม.

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนา ที่ 234 อสปั ปรุ สิ ธรรม [๑๘๑] ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย ประการอ่นื ยังมีอยูอกี (คอื ) อสัตบุรษุเปน คนเดน มียศ เขาพิจารณาเหน็ อยางน้ีวา เราแลเปนผูเดน มยี ศ สว นภกิ ษอุ นื่ ๆ เหลา นี้ เปน ผไู มเดน ดอยศักด์.ิ อสตั บรุ ษุ นั้นจงึ ยกตนขม ผอู ่ืนเพราะความเปน คนเดน นน้ั ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย นีแ้ ลคือ อสปั ปุรสิ ธรรม. สปั ปรุ สิ ธรรม ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย สวนสตั บุรษุ พจิ ารณาเห็นอยา งนแี้ ลวา ธรรมคือความโลภ ธรรมคือความประทษุ รา ย หรอื ธรรมคือความหลงไมถ งึ ความเส่ือมส้นิ ไปเพราะความเปนคนเดนน้นั ถงึ แมจะไมเปนคนเดน มยี ศ แตก็เปน ผูปฏิบัตธิ รรมสมควรแกธ รรม ปฏิบตั ชิ อบ พระพฤตติ ามธรรม เธอเปนผทู ีค่ นท้ังหลายควรบชู าสรรเสรญิ ในที่นั้นๆ. เธอไมย กตนไมข มผอู ื่นเลยเพราะความเปนคนเดน น้นั ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย น้ีแลคอื สัปปุรสิ ธรรม. อสปั ปุรสิ ธรรม [๑๘๒] ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลาย ประการอ่ืนยังมีอกี (คือ) อสตั บุรุษเปน ผูไ ด จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปจ จยั เภสชั บริขาร. เธอพจิ ารณาเหน็ อยา งนี้วา เราเทา นั้น ไดจ ีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะและคลิ านปจจัยเภสชั บริขาร สวนภิกษุอน่ื ๆ เหลา นนั้ ไมไดจ ีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะและคลิ านปจ จยั เภสัชบริขาร เธอยกตนขมผอู ืน่ เพราะการไดนั้น ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย นี้แลคอื อสปั ปุรสิ ธรรม. สปั ปรุ สิ ธรรม ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย สว นสัตบุรุษแล พิจารณาเหน็ อยา งนีว้ า ธรรมคอื โลภะ ธรรมคอื โทสะ หรอื ธรรมคอื โมหะ จะไมถึงความเสอื่ มสิน้ ไปเลย

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก เลม ๓ ภาค ๑ - หนาท่ี 235เพราะการได (น้ัน) ถึงแมเธอจะเปน ผไู มได จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคลิ านปจจยั เภสชั บรขิ าร แตก็เปน ผปู ฏบิ ัตธิ รรมสมควรแกธ รรม ปฏบิ ตั ิ-ชอบ ประพฤตติ ามธรรม เปนผูทค่ี นทัง้ หลายควรบชู า ควรสรรเสริญ ในทนี่ ั้น ๆ. เธอทําขอ ปฏิบตั ิ ใหเปน ไปในภายใน (เปน สวนตัว) เทา นนั้ ไมยกตนไมขม ผอู ืน่ เพราะการไดน น้ั . ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย น้ีแลคอื สปั ปรุ สิ ธรรม. อสัปปรุ ิธรรม [๑๘๓] ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย ประการอน่ื ยงั มอี ยูอ กี (คือ) อสตั บุรษุผูเปนพหสู ตู . เธอพิจารณาเห็นอยา งนีว้ า เราแลเปนพหูสตู สว นภกิ ษุอื่น ๆเหลา นัน้ ไมเปนพหูสูต. เธอยกตนขมผอู นื่ เพราะความเปนพหสู ตู น้นัดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย น้ีแลคือ อสปั ปุริสธรรม. สัปปุริสธรรม ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย สว นสตั บุรุษแล พิจารณาเหน็ อยางนว้ี า ธรรมคอื โลภะ ธรรมคอื โทสะ หรอื ธรรมคือโมหะ หาถึงความเสือ่ มส้นิ ไปเพราะความเปนพหุสูตไมเ ลย ถงึ แมเธอจะเปนพหสู ูต แตเธอก็ปฏิบตั ิธรรมสมควรแกธรรม ปฏบิ ตั ชิ อบ ประพฤติตามธรรม เปนผูท่คี นท้ังหลายควรบูชา สรร-เสรญิ . เธอกระทาํ ขอ ปฏิบตั ิใหเ ปน ไปในภายใน (เปน สว นตัว) เทา น้ัน ไมย กตนไมข มผูอื่น เพราะความเปน พหสู ูตนั้น ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย นีแ้ ลคือสัปปรุ ิสธรรม. อสปั ปุริสธรรม [๑๘๔] ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย อสตั บรุ ษุ เปนพระวินัยธร (ทรงวนิ ยั ). เธอพิจารณาเห็นอยางนี้วา เราแลเปน พระวนิ ยั ธร สวนภกิ ษุอืน่ ๆเหลาน้นั ไมเ ปนพระวนิ ยั ธร. เธอยกตนขมผูอ่นื เพราะความเปนพระวนิ ัยธรนั้น ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย น้แี ลคือ อสัปปรุ ิสธรรม






























Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook