Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_26

tripitaka_26

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:37

Description: tripitaka_26

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย นิทานวรรค เลม ๒ - หนาที่ 201 [๑๓๙] ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย ผูใ ดพึงกลา ววา สังขารเปนไฉนและสงั ขารนี้เปน ของใคร หรอื พงึ กลา ววา สังขารเปนอยางอื่น และสังขารนเ้ี ปน ของผูอน่ื คําทั้งสองของผูน น้ั มเี นือ้ ความอยา งเดียวกัน ตางกันแตพ ยญั ชนะเทานนั้ เม่ือมีทฏิ ฐวิ า ชพี กอ็ ันนั้น สรรี ะกอ็ นั นั้น ความอยูประพฤติพรหมจรรยย อ มไมม ี หรอื เมอ่ื มที ฏิ ฐิวา ชพี อยางหน่งึ สรีระอยา งหน่ึง ความอยูป ระพฤตพิ รหมจรรยยอมไมมี ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย ตถาคตยอ มแสดงธรรมโดยสายกลาง ไมขอ งแวะสวนสดุ ทัง้ สองงนนั้ ดังน้วี าเพราะอวชิ ชาเปน ปจจยั จงึ มีสังขาร ฯ ล ฯ [๑๔๐] ดูกอนภกิ ษทุ งั้ หลาย ทิฏฐไิ มวา ชนิดใดชนดิ หน่ึง ท่ีเปนขา ศึก อันบุคคลเสพผิด สา ยหาไปวา ชรามรณะเปน ไฉน และชรามรณะเปน ของใคร หรือวาชรามรณะเปน อยา งอื่น และชรามรณะนี้เปน ของผอู ืน่วา ชพี ก็อันน้นั สรรี ะก็อันนั้น หรือวาชีพอยางหนงึ่ สรีระอยางหน่ึง ทิฏฐิเหลาน้นั ทัง้ ส้ิน อนั อริยสาวกน้ันละไดแลว ตดั รากขาดแลว กระทาํ ใหเปนดงั ตาลยอดดว น ถงึ ความไมมี มีอนั ไมเกิดอกี ตอไปเปน ธรรมดาเพราะอวชิ ชาดบั ดวยสํารอกโดยไมเหลือ. [๑๔๑] ดูกอนภิกษทุ งั้ หลาย ทิฏฐิไมว า ชนิดใดชนดิ หนงึ่ ทเี่ ปนขาศึก อนั บุคคลเสพผิด สายหาไปวา ชาตเิ ปน ไฉน และชาติน้เี ปนของใคร หรือวา ชาตเิ ปนอยางอนื่ และชาตินี้เปน ของผูอ นื่ วาชีพกอ็ นันน้ั สรรี ะกอ็ นั น้นั หรือวาชีพอยา งหนงึ่ สรีระอยางหน่ึง ทิฏฐเิ หลา น้ันท้งั ส้ิน อันอรยิ สาวกนัน้ ละไดแลว ตดั รากขาดแลว กระทาํ ใหเ ปนดงั ตาลยอดดว น ถงึ ความไมมี มีอนั ไมเ กิดอีกตอ ไปเปน ธรรมดา เพราะอวิชชาดบั ดวยสาํ รอกโดยไมเหลอื ฯลฯ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 202 ภพเปน ไฉน. . . อุปาทานเปน ไฉน. . . ตณั หาเปน ไฉน. . . เวทนาเปน ไฉน. . .ผสั สะเปน ไฉน. . .สฬายตนะเปนไฉน. . .นามรูปเปน ไฉน. . .วญิ ญาณเปนไฉน. . . [๑๔๒] ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย ทิฏฐไิ มวาชนดิ ใดชนิดหน่ึง ท่ีเปนขาศกึ อนั บุคคลเสพผดิ สา ยหาไปวา สังขารเปน ไฉน และสงั ขารนเี้ ปนของใคร หรือวา สังขารเปนอยางอื่น และสงั ขารนีเ้ ปนของผูอื่น วาชีพก็อันนน้ั สรรี ะกอ็ นั น้นั หรอื วาชีพอยางหน่งึ สรรี ะอยางหนึ่ง ทฏิ ฐิเหลา นนั้ทง้ั ส้นิ อันอรยิ สาวกนั้นละไดแ ลว ตัดรากขาดแลว กระทาํ ใหเ ปนดังตาลยอดดว น ถงึ ความไมมี มีอันไมเ กิดอกี ตอ ไปเปน ธรรมดา เพราะอวชิ ชาดับดว ยสํารอกโดยไมเ หลือ. จบทตุ ิยอวิชชาปจ จยสูตรท่ี ๖ อรรถกถาทุตยิ อวิชชาเปนปจ จยสูตรที่ ๖ พงึ ทราบวินจิ ฉัยในทตุ ิยอวิชชาปจจยสูตรที่ ๖ ตอไป. ขอ วา \"อติ ิ วา ภิกขฺ เว โย วเทยฺย ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ผูใ ดพึงกลา วอยางนี\"้ อธิบายวา ในบริษัทน้นั ผูถือทิฏฐิใครท ี่จะถามปญ หามีอยู. แตผูนน้ั พระธาตแุ หงผไู มกลาหาญจงึ ไมอาจจะลุกข้นึ ถามพระทศพล. เพราะฉะนน้ัพระศาสดาจงึ ตรสั ถามเสียเองตามความประสงคของเขา เม่อื จะทรงแก จึงตรสั อยา งน้.ี จบอรรถกถาทุตยิ อวชิ ชาปจจยสตู รท่ี ๖

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 203 ๗. นตมุ หสูตร วาดวยปจ จัยปรงุ แตง กรรม [๑๔๓] พระผมู พี ระภาคเจา ประทบั อยู ณ พระเชตวัน อารามของทานอนาถบิณฑกิ เศรษฐี กรุงสาวัตถี. พระผูมพี ระภาคเจา ไดตรัสวา ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย กายน้ีไมใชข องเธอทัง้ หลาย ท้ังไมใชของผอู ืน่ ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย กรรมเกานพี้ งึ เหน็ วา อันปจ จยั ปรงุ แตง เกิดขึน้ ดวยความตั้งใจ เปน ทต่ี ้งั ของเวทนา. [๑๔๔] ดูกอนภกิ ษทุ งั้ หลาย อริยสาวกผไู ดส ดบั แลว ในเร่ืองกายน้ัน ยอมมนสิการโดยแยบคายซ่งึ ปฏิจจสมปุ บาทเปน อยา งดวี า เมอื่ สิ่งน้ีมีสิง่ นจ้ี ึงมี เพราะสงิ่ นเี้ กดิ ขน้ึ ส่ิงนจี้ ึงเกิดข้ึน เม่อื สิ่งน้ีไมมี สิ่งนี้ก็ไมม ีเพราะสิง่ น้ีดับ สิ่งนี้จงึ ดับ ดวยประการดงั น้ี คือ เพราะอวชิ ชาเปนปจจัย จงึ มสี งั ขาร เพราะสังขารเปนปจ จัย จงึ มวี ิญญาณ ฯลฯ ความเกิดขึน้ แหง กองทกุ ขท ง้ั มวลน้ี ยอมมดี วยประการอยา งนี้ ก็เพราะอวชิ ชาดบัโดยสาํ รอกไมเ หลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจงึ ดับฯ ล ฯ ความดับแหงกองทุกขท้ังมวลนี้ ยอมมีดวยประการอยา งนี้. จบนตุมหสูตรที่ ๗ อรรถกถานตุมหสตู รที่ ๗ พึงทราบวินิจฉัยในนตมุ หสตู รที่ ๗ ตอไป. ขอวา \"นาย ตมุ ฺหาก กายนี้มใิ ชข องพวกเธอ\" อธบิ ายวา เมอ่ื อัตตามอี ยูขน้ึ ชอื่ วาส่งิ ที่เปน อัตตาก็ยอ มม.ี แตอ ัตตานั่นแหละยอมไมม ี เพราะฉะนน้ั

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย นิทานวรรค เลม ๒ - หนาท่ี 204พระผมู พี ระภาคเจา จึงตรัสวา กายนีม้ ิใชของพวกเธอ. ขอวา \"นาปอฺเส ทงั้ มิใชของผอู นื่ \" คือ อัตตาของคนอ่ืนชื่อวาเปนอื่นไป. เม่ืออัตตานน้ั มอี ยู ทช่ี ื่อวา อัตตาอนื่ ก็พงึ มี ทัง้ อตั ตาอืน่ นั้นก็ไมมี. เพราะเหตนุ ้นัพระผมู ีพระภาคเจาจงึ ตรัสวา ทั้งมิใชข องคนอืน่ . ขอ วา \"ปุราณมทิ ภกิ ฺขเว กมมฺ  ดูกอนภกิ ษทุ งั้ หลาย กรรมเกานี้ \" อธิบายวา กรรมนมี้ ใิ ชกรรมเกา เลย แตก ายน้ี บงั เกดิ เพราะกรรมเกา เพราะฉะน้นั พระผมู ีพระภาคเจา จงึ ตรสั ไวอ ยา งน้ีดวยปจจยโวหาร. บทวา อภสิ งขฺ ต เปน ตนพระผมู พี ระภาคเจา ตรสั ดว ยศพั ทเ ปน เพศชายโดยอาํ นาจแหงกรรมโวหารนนั่ เอง. กใ็ นคําวา อภสิ งฺขต เปน ตน น้ี มอี ธิบายดังนี้ บทวา อภสิ งขฺ ตไดแก กายนี้พึงเห็นวา อนั ปจจัยแตงแลว. บทวา อภิสฺเจตยติ  ไดแกพงึ ทราบวา มีเจตนาเปน ท่ตี ง้ั คอื มคี วามจงใจเปน มูล. บทวา เวทนยี ไดแก พงึ ทราบวา เปนท่ีตั้งแหง เวทนา. จบอรรถกถานตมุ หสตู รท่ี ๗ ๘. ปฐมเจตนาสตู ร วา ดวยความเกดิ และดบั กองทุกข [๑๔๕] พระผมู พี ระภาคเจา ประทบั อยู ณ พระเชตวัน อารามของทา นอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรงุ สาวตั ถี. พระผูมพี ระภาคเจาไดตรัสวา ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย ภิกษุยอมจงใจ ยอมดาํ ริ และครนุ คดิถงึ สิ่งใด ส่ิงนั้นเปนอารัมมณปจจยั เพ่อื ความต้งั อยแู หง วิญญาณ เม่อื มีอารัมมณปจ จยั ความตงั้ มัน่ แหง วิญญาณจึงมี เม่อื วิญญาณนั้นตัง้ ม่ันแลว

พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย นิทานวรรค เลม ๒ - หนาท่ี 205เจริญขึ้นแลว ความบงั เกดิ คือภพใหมต อไปจงึ มี เมอ่ื มคี วามบงั เกดิ คือภพใหมต อ ไป ชาติ ชราและมรณะ โสกปรเิ ทวทุกขโทมนสั และอุปายาสจึงมตี อไป ความเกิดข้นึ แหงกองทกุ ขทั้งมวลนี้ ยอมมดี วยประการอยางนี้ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย ภกิ ษไุ มจงใจ ไมด ําริ แตย ังครนุ คิดถึงสง่ิ ใด สิ่งนนั้เปน อารมั มณปจจยั เพอ่ื ความต้งั อยูแหง วิญญาณ เม่ือมอี ารมั มณปจจยั ความตัง้ ม่นั แหง วญิ ญาณจงึ มี เมือ่ วิญญาณนนั้ ตง้ั มั่นแลว เจริญขน้ึ แลว ความบงั เกิดคือภพใหมต อ ไปจงึ มี เม่อื มคี วามบงั เกดิ คือภพใหมต อ ไป ชาติชราและมรณะ โสกปรเิ ทวทกุ ขโทมนสั และอุปายาสจงึ มตี อไป ความเกดิแหงกองทุกขทงั้ มวลนี้ ยอ มมีดว ยประการอยา งน้ี. [๑๔๖] ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย เมื่อภกิ ษุไมจงใจ ไมดาํ ริ และไมครุนคดิ ถึงสง่ิ ใด สง่ิ นั้นยอ มไมเ ปน อารมั มณปจจยั เพื่อความต้งั อยแู หงวญิ ญาณ เมอ่ื ไมม ีอารมั มณปจ จัย ความตงั้ ม่ันแหงวญิ ญาณจึงไมม ี เม่อืวญิ ญาณน้ันไมตงั้ มัน่ แลว ไมเ จริญข้นึ แลว ความบังเกดิ คือภพใหมตอไปจึงไมม ี เม่อื ความบังเกิดคอื ภพใหมต อไปไมมี ชาติ ชราและมรณะโสกปริเทวทกุ ขโทมนัสและอุปายาสตอไปจึงดบั ความดบั แหง กองทุกขทั้งมวลนี้ ยอ มมดี วยประการอยา งน.้ี จบปฐมเจตนาสูตรที่ ๘ อรรถกถาปฐมเจตนาสูตรท่ี ๘ พงึ ทราบวนิ ิจฉัยในเจตนาสตู รท่ี ๘ ตอ ไป. ขอ วา ยจฺ ภิกขฺ เว เจเตติ \"ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษยุ อ มจงใจสง่ิ ใด\" อธิบายวา ยอ มจงใจ คือยังความจงใจใดใหเปน ไป. ขอ วา ยจฺ

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ที่ 206ปกปฺเปติ \"ยอ มดํารสิ ง่ิ ใด อธบิ ายวา ยอมดําริ คือยังความดําริใดใหเปนไป. ขอ วา \"ยจฺ อนุเสติ ยอ มครนุ คดิ ถึงสิง่ ใด\" อธิบายวา ยอ มครุน คดิคอื ยังความครนุ คดิ ใดใหเ ปนไป. กใ็ นขอ ความน้ี ความจงใจอันเปน กศุ ลและอกุศล ที่เปน ไปในภมู ิ ๓ พระผมู พี ระภาคเจา ทรงถอื เอาวา ยอมจงใจ ความดํารดิ ว ยตัณหาและทิฏฐิในจิตอันเกิดพรอ มดวยโลภะ ๘ ดวงทรงถอื เอาวา ยอ มดําร.ิ ความครุน คดิ ทรงถอื เอาดวยทส่ี ุดแหงเจตนา๑๒ ทเ่ี กดิ พรอ มกนั และดว ยท่ีสุดแหง อุปนิสยั วา ยอ มครุน คิด. ขอวา\" อารมฺมณเมต โหติ สง่ิ นน้ั เปนอารัมมณปจ จัย\" ไดแ ก ธรรมชาติมีเจตนาเปนตนนี้ เปนปจ จัย. และปจ จัยทรงประสงคเ อาวา อารมณใ นท่นี .ี้ ขอวา \"วิฺาณสสฺ ิตยิ า เพือ่ ความตง้ั อยูแหง วิญญาณ\" คือเพือ่ ความตัง้ อยแู หง กรรมวิญญาณ. ขอ วา \"อารมฺมเณ สติ เมื่อมีอารัมมณปจ จยั ไดแก เมื่อปจจยั นัน้ มอี ย.ู บทวา ปตฏิ า วิฺาณสสฺโหติ ความวา ยอมเปนท่ีตัง้ อาศยั แหงกรรมวิญญาณน้นั . บทวา ตสมฺ ึปติฏ ิเต วิ ฺาเณ ไดแ ก เมอื่ กมั มวญิ ญาณนัน้ ต้ังม่นั แลว . บทวา\"วิรุฬฺเห เจรญิ ขึ้นแลว \" ไดแ ก เม่อื เกิดมลู เหตแุ หง การบังเกิด เพราะสามารถใหก รรมทรดุ โทรมไปแลวชกั ปฏสิ นธมิ า. บทวา \"ปนุ พฺภวา-ภินพิ พฺ ตตฺ ิ\" แปลวา ความบังเกดิ กลาวคอื ภพใหม. ขณะที่ความจงใจอันเปน ไปในภมู ิ ๓ ไมเ ปนไป พระผูม ีพระภาคเจาตรัสดวยคาํ น้ีวา \"ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย ก็ภกิ ษุไมจ งใจ\" ขณะทีค่ วามดาํ รเิ รอื่ งตัณหาและทฏิ ฐิไมเปนไป พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั ดว ยคําวา \"โน จ ภกิ ขฺ เวเจเตติ ก็ภิกษุไมดาํ ร,ิ \" ดวยบทวา โน จ ปกปเฺ ปติ ทานกลาวถงึ ขณะแหง ความดํารดิ วยอํานาจตณั หาและทฏิ ฐไิ มเ ปน ไป. กิรยิ าท่ีเปนกามาพจร

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย นิทานวรรค เลม ๒ - หนา ที่ 207คือความครุนคิด ในวิบากอันเปนไปในภูมิ ๓ ทรงถอื เอาดว ยคาํ วา\"อนเุ สติ ยอมครนุ คดิ .\" ในคาํ วา \"อนุเสต\"ิ นี้ ทรงถือเอาผทู ่ียังละความครุน คิดไมได. ขอวา \"อารมฺมณเมต โหติ อารัมมณปจ จัยนัน้ยอ มม\"ี หมายความวา เมือ่ ความครุนคิดมอี ยู ความครุนคดิ นั้นจึงเปนปจจยั (แหงกัมมวญิ ญาณ) โดยแท เพราะความเกดิ ขน้ึ แหงกัมมวญิ ญาณเปนส่ิงทใี่ ครหา มไมได. ในบทวา \"โน จ เจเตติ ก็ภิกษไุ มจ งใจ\" เปน ตน กศุ ล-เจตนาและอกุศลเจตนาอนั เปนไปในภูมิ ๓ พระผมู พี ระภาคเจาตรสั ไวใ นบทท่ี ๑. ตัณหาและทิฏฐิในจิต ๘ ดวง ตรสั ไวในบทท่ี ๒. ความครุนคดิท่ีบุคคลครนุ คดิ โดยท่ีสดุ ท่ียงั ละไมไดใ นธรรมมีประการดงั กลาวแลว ตรสัไวในบทท่ี ๓. อกี อยางหนึ่ง เพื่อมิใหฉงนในพระสตู รน้ี ควรทราบหมวด ๔ดงั น้คี อื ยอ มจงใจ ยอ มดําริ ยอ มครนุ คดิ หมวด ๑. ยอ มไมจงใจแตด ําริ และครุนคดิ หมวด ๑. ยอ มไมจงใจ ไมดําริ แตครุนตดิหมวด ๑. ยอมไมจ งใจ ไมด าํ ริ และไมครุนคิด หมวด ๑. ในหมวด ๔นัน้ การกําหนดธรรม พระผมู ีพระภาคเจา ทรงแสดงไวใ นนัยท่ี ๑.กศุ ลเจตนาอนั เปน ไปในภมู ิ ๓ และอกศุ ลเจตนา ๔ ทรงถือเอาวา\" จงใจ\" ในนยั ที่ ๒. ตัณหาและทิฏฐใิ นจิต ๘ ดวง ทรงกลาววา\"ไมด ําร\"ิ ความครนุ คิด โดยท่ีสุดแหง อุปนสิ บั ในกุศลอนั เปนไปในภมู ิ ๓ กด็ ี โดยท่สี ดุ แหง ปจจยั ที่เกดิ พรอมกันในอกศุ ลเจตนา ๔ กด็ ีโดยท่ีสดุ แหงอปุ นิสยั กด็ ี ทรงถอื เอาวา \"อนสุ โย ครุนคดิ .\" กุศลและอกุศลทีเ่ ปน ไปในภูมิ ๓ ทรงกลา ววา \"ไมจ งใจ\" ในนยั ที่ ๓. ตัณหาและ

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนาที่ 208ทิฏฐใิ นจิต ๘ ดวง ทรงกลา ววา \"ไมดําริ\" พระผูม พี ระภาคเจาทรงหา มจติ ทีม่ าในพระสตู ร แลวทรงถือเอาอุปนสิ ยั โดยทสี่ ุดที่ยังละไมได ในกศุ ลจิต อกศุ ลจิต วปิ ากจติ กริ ยิ าจติ ทเ่ี ปนไปในภูมิ ๓ และรปูดวยคาํ วา \"ยอมครนุ คดิ .\" นัยท่ี ๔ เชน กบั นัยกอนแล. บทวา ตทปฺปตฏิ ิเต แปลวา เมื่อวญิ ญาณนั้นไมต้ังมนแลว .บทวา \"อวิรุฬฺเห ไมเ จริญขนึ้ แลว\" ไดแก เมอ่ื เกดิ มลู แหง การไมบงั เกดิ เพราะสามารถใหก รรมทรดุ โทรมแลว ชักปฏสิ นธมิ า. ถามวากใ็ นวาระที่ ๓ นีท้ า นกลา วถึงอะไร. แกวา กลา วถึงกจิ ของอรหตั มรรค.จะกลา ววา การกระทาํ กิจของพระขณี าสพบา ง นวโลกุตรธรรมบา งกค็ วร. แตในวาระน้ี มอี ธบิ ายวา ระหวางวญิ ญาณกับภพใหมใ นอนาคตเปนสนธิอันหนง่ึ ระหวางเวทนากับตัณหาเปนสนธิอนั หนึ่ง ระหวา งภพกบั ชาตเิ ปนสนธิอนั หนึ่ง. จบอรรถกถาปฐมเจตนาสูตรที่ ๑ ๙. ทตุ ิยเจตนาสูตร วาดว ยความเกิดดับแหงกองทกุ ข [๑๔๗] พระผูมพี ระภาคเจาประทับอยู ณ พระเชตวัน อารามของทานอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรงุ สาวตั ถี. พระผูมีพระภาคเจา ไดตรสัวา ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ภกิ ษยุ อมจงใจ ยอ มดําริ และครุนคิดถงึ ส่งิ ใดสงิ่ นนั้ ยอ มเปนอารมั มณปจจยั เพือ่ ความตงั้ อยแู หงวิญญาณ เมือ่ มีอารัมมณ-ปจ จัย ความตัง้ ม่นั แหง วญิ ญาณจึงมี เมือ่ วญิ ญาณนัน้ ต้งั มัน่ แลว เจรญิ

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย นิทานวรรค เลม ๒ - หนาท่ี 209ข้นึ แลว ความหยงั่ ลงแหง นามรปู จงึ มี เพราะนามรปู เปนปจจัย จงึ มีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเปน ปจจยั จึงมีผสั สะ เพราะผสั สะเปนปจ จยัจงึ มเี วทนา เพราะเวทนาเปน ปจจยั จงึ มีตัณหา เพราะตณั หาเปนปจจยัจงึ มีอุปาทาน เพราะอุปาทานเปนปจ จัย จึงมภี พ เพราะภพเปนปจ จยัจงึ มชี าติ เพราะชาตเิ ปน ปจ จยั จึงมชี ราและมรณะ โสกปรเิ ทวทุกข-โทนนัสและอปุ ายาส ความเกิดขน้ึ แหง กองทกุ ขท ้ังมวลนี้ ยอมมดี ว ยประการอยา งนี.้ ดกู อ นภิกษทุ ัง้ หลาย ภกิ ษไุ มจงใจ ไมดําริ แตย งั ครุนคดิ ถึงส่งิ ใดส่ิงนน้ั ยอ มเปน อารมั มณปจ จัยเพอ่ื ความตั้งอยแู หงวิญญาณ เม่อื มอี ารัมมณ-ปจ จยั ความตั้งม่ันแหงวิญญาณจงึ มี เม่อื วิญญาณนัน้ ต้ังมน่ั แลว เจรญิข้ึนแลว ความหยั่งลงแหงนามรูปจึงมี เพราะนามรูปเปน ปจ จัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเปน ปจจัย จงึ มผี ัสสะ เพราะผสั สะเปนปจ จัยจงึ มเี วทนา เพราะเวทนาเปน ปจ จยั จงึ มตี ัณหา เพราะตณั หาเปน ปจจยัจึงมอี ปุ าทาน เพราะอปุ าทานเปน ปจ จัย จึงมีภพ เพราะภพเปน ปจ จัยจงึ มีชาติ เพราะชาติเปน ปจจัย จงึ มชี ราและมรณะ โสกปรเิ ทวทกุ ข -โทมนสั และอปุ ายาส ความเกดิ ข้นึ แหงกองทุกขท ้ังมวลนี้ ยอมมดี ว ยประ-การอยา งน้.ี [๑๔๘] ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย เมือ่ ภิกษุไมจงใจ ไมดําริ และไมค รุนคิดถึงส่ิงใด สิ่งนั้นยอมไมเ ปนอารมั มณปจ จัยเพอ่ื ความตง้ั อยแู หงวิญญาณ เมือ่ ไมม อี ารมั มณปจจยั ความต้งั มนั่ แหงวญิ ญาณจงึ ไมม ี เม่ือวญิ ญาณนนั้ ไมต้ังมัน่ แลว ไมเ จรญิ ข้นึ แลว ความหยง่ั ลงแหงนามรูปจึงไมม ี เพราะนามรปู ดบั สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผสั สะจึงดบั

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย นิทานวรรค เลม ๒ - หนาท่ี 210เพราะผัสสะดบั เวทนาจึงดบั เพราะเวทนาดับ ภพจึงดับ เพราะภพดบัชาติจงึ ดับ เพราะชาตดิ บั ชราและมรณะ โสกปรเิ ทวทกุ ขโทมนสั และอปุ ายาสตอ ไปจงึ ดบั ความดบั แหงกองทกุ ขท ง้ั มวลน้ี ยอมมดี ว ยประการอยางน.้ี จบทุติยเจตนาสูตรท่ี ๙ อรรถกถาทุตยิ เจตนาสูตรที่ ๙ ในทุตยิ เจตนาสตู รท่ี ๙ มีอธบิ ายวา ระหวา งวิญญาณกับนามรปูเปน สนธอิ ันหน่ึง ระหวางเวทนากับตณั หาเปน สนธอิ ันหนง่ึ ระหวางภพกับชาติเปนสนธิอนั หนง่ึ ฉะน้ีแล. จบอรรถกถาทตุ ยิ เจตนาสูตรที่ ๙ ๑๐. ตติยเจตนาสูตร วา ดว ยความเกิดและดับกองทกุ ข [๑๔๙] พระผมู ีพระภาคเจาประทบั อยู ณ พระเชตวัน อารามของทา นอนาถบิณฑกิ เศรษฐี กรุงสาวตั ถี. พระผูมีพระภาคเจาไดต รสัวา ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย ภกิ ษยุ อมจงใจ ยอมดําริ และยอมครุน คดิ ถงึสิ่งใด สิง่ น้นั ยอ มเปน อารัมมณปจ จัยเพื่อความตง้ั อยูแ หงวญิ ญาณ เมือ่ มีอารัมมณปจ จยั ความต้งั มนั่ แหง วญิ ญาณจึงมี เมื่อวิญญาณน้ันตงั้ ม่นั แลวเจริญขน้ึ แลว ตัณหาจึงมี เมอื่ มตี ัณหา คตใิ นการเวียนมาจงึ มี เมือ่ มคี ติในการเวยี นมา จตุ ิและอปุ บัตจิ งึ มี เมื่อมจี ุตแิ ละอุปบตั ิ ชาตชิ ราและมรณะ

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 211โสกปรเิ ทวทกุ ขโทมนัสและอปุ ายาสจึงมี ความเกิดขึน้ แหง กองทุกขท ัง้ มวลน้ี ยอมมีดว ยประการอยา งนี้ ดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย ภกิ ษไุ มจ งใจ ไมด าํ ริแตย งั ครนุ คดิ ถงึ สงิ่ ใด ส่งิ นน้ั ยอมเปน อารัมมณปจจัยเพื่อความต้งั อยูแหงวิญญาณ เม่อื มอี ารมั มณปจจัย ความตง้ั มัน่ แหงวิญญาณจงึ มี เมื่อวญิ ญาณนน้ั ต้ังมน่ั แลว เจริญขนึ้ แลว ตณั หาจงึ มี เมือ่ มตี ณั หา คติในการเวียนมาจงึ มี เมื่อมีคติในการเวยี นมา จตุ แิ ละอุปบัตจิ ึงมี เมอื่ มีจตุ แิ ละอปุ บัติชาติชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอปุ ายาสจึงมี ความเกดิ ข้ึนแหงกองทุกขทง้ั มวลนี้ ยอมมีดว ยประการอยางน.้ี [๑๕๐] ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย เม่อื ภิกษไุ มจ งใจ ไมดาํ ริ และไมค รนุ คิดถึงสิง่ ใด ส่งิ นนั้ ยอมไมเ ปนอารัมมณปจจยั เพื่อความตงั้ อยูแหงวญิ ญาณ เม่ือไมม อี ารมั มณปจจยั ความต้งั มั่นแหง วิญญาณจงึ ไมม ี เม่อืวิญญาณนนั้ ไมต ้ังมั่นแลว ไมเจรญิ ขน้ึ แลว ตณั หาจึงไมมี เมื่อไมมีตณั หาคตใิ นการเวยี นมาจงึ ไมม ี เมอื่ ไมมคี ตใิ นการเวียนมา จุติและอุปบตั จิ งึไมมี เมือ่ ไมม ีจุตแิ ละอปุ บัติ ชาติ ชราและมรณะ โสกปรเิ ทวทุกข-โทมนัสและอุปายาสตอไปจึงดบั ความดับแหงกองทกุ ขทงั้ มวลน้ี ยอมมีดวยประการอยา งนี้. จบตตยิ เจตนาสูตรที่ ๑๐ กฬารขัตตยิ วรรคท่ี ๔ จบ

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 212 รวมพระสตู รทีม่ ีในวรรคน้ี คือ ๑. ภตู มทิ สูตร ๒. กฬารขัตติยสูตร ๓. ปฐมญาณวตั ถสุ ตู ร๔. ทุติยญาณวตั ถุสตู ร ๕. ปฐมอวิชชาปจ จยสตู ร ๖. ทตุ ยิ อวิชชา-ปจ จยสูตร ๗. นตุมหากังสูตร ๘. ปฐมเจตนาสูตร ๙. ทตุ ยิ เจตนา-สูตร ๑๐. ตติยเจตนาสตู ร. อรรถกถาตติยเจตนาสูตรที่ ๑๐ พึงทราบวินิจฉัยในตติยเจตนาสูตรที่ ๑๐ ตอไป. บทวา นติ แปลวา ตณั หา. กต็ ัณหานน้ั เรียกวา นติ เพราะอรรถวานอ มไปในอารมณมรี ปู เปน ตน อันเปนปย รปู รปู ท่นี า รกั . ขอ วา อาคตคิ ติโหติ แปลวา คติในการเวียนมาจงึ มี. เมอื่ กรรม กรรมนิมิต หรอื คตินมิ ติมาปรากฏ คติแหงวญิ ญาณยอ มมีดว ยอํานาจปฏิสนธิ. บทวา \"จตุ ูปปาโตจุตแิ ละอปุ บัติจึงมี\" หมายความวา เม่ือคติอันเปน อารมณแหง ปฏสิ นธมิ าปรากฏแกว ญิ ญาณ มอี ยู จตุ ิ กลา วคอื การเคล่อื นจากภพน้ีจึงมี. อปุ บตั ิกลา วคือการบงั เกดิ ขน้ึ ในภพนนั้ จงึ ม.ี ช่อื วาจตุ ิและอปุ บตั ิ (การตายและการเกดิ ) นจ้ี ึงมี. ระหวางตณั หากับคตใิ นการเวียนมา จงึ เปนอันพระผูมพี ระภาคเจา ตรัสวา เปน สนธอิ ันหนึ่งในพระสูตรน้ี ดว ยประการฉะนแี้ ล. จบตติยเจตนาสตู รที่ ๑๐ จบอรรถกถากฬารขัตติยวรรคที่ ๔

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยุตตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนาท่ี 213 คหบดีวรรคที่ ๕ ๑. ปฐมปญ จเวรภยสตู ร วา ดว ยภยั เวร ๕ ประการ [๑๕๑] พระผมู พี ระภาคเจาประทบั อยู ณ พระเชตวนั อารามของทา นอนาถบิณฑกิ เศรษฐี กรงุ สาวัตถี. ครั้งนน้ั แล ทานอนาถ-บณิ ฑิกคฤหบดเี ขา ไปเฝา พระผูมีพระภาคเจา ถึงที่ประทบั ถวายอภวิ าทแลว นงั่ อยู ณ ท่คี วรสวนขางหนงึ่ ครน้ั น่งั เรยี บรอ ยแลว พระผูมพี ระ-ภาคเจา ไดต รัสกะทา นอนาถบิณฑิกคฤหบดีวา ดูกอ นคฤหบดี เม่อื ใดแลภัยเวร ๕ ประการ ของอริยสาวกสงบแลว เม่อื นน้ั อรยิ สาวกยอ มประกอบดวยธรรมเปน องคแ หงโสดาปต ติ ๔ อยา ง และญายธรรมอยา งประเสรฐิอรยิ สาวกเหน็ ดแี ลว แทงตลอดดวยปญญา อริยสาวกน้นั หวงั อยู พึงพยากรณตนดว ยตนเองไดว า เราเปนผูมนี รกสน้ิ แลว มีกาํ เนิดสตั วดริ จั ฉานส้ินแลว มีปตตวิ สิ ยั สน้ิ แลว มอี บาย ทุคติ วนิ บิ าตส้ินแลวเราเปนโสดาบัน มอี นั ไมต กตํ่าเปนธรรมดา เปน ผูเทย่ี งจะตรัสรูในกายหนา. [๒๕๒] ภยั เวร ๕ ประการสงบแลวเปนไฉน. ดูกอ นคฤหบดีบุคคลผูฆาสตั ว ยอ มประสบภัยเวรใด อนั มีในชาตินีบ้ าง อันมใี นชาติหนา บาง ยอ มเสวยเจตสิกทุกขคอื โทมนสั บาง เพราะปาณาติบาตเปน เหตุภัยเวรของอริยสาวกผพู น ขาดจากปาณาติบาต สงบแลวดวยอาการอยา งนี้บุคคลผลู ักทรพั ยย อมประสบภัยเวรใด อันมใี นชาตนิ ้บี าง อนั มใี นชาติ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เลม ๒ - หนาท่ี 214หนา บา ง ยอมเสวยเจตสกิ ทุกขคอื โทมนสั บา ง เพราะอทนิ นาทานเปน เหตุภยั เวรของอรยิ สาวกผูเวน ขาดจากอทินนาทาน สงบแลวดว ยอาการอยา งนี้บคุ คลผปู ระพฤติผิดในกาม ยอ มประสบภยั เวรใด อนั มีในชาตินีบ้ าง อันมีในชาตหิ นา บา ง ยอ มเสวยเจตสกิ ทกุ ขคือโทมนัสบาง เพราะกาเมสุมิจฉา-จารเปนเหตุ ภยั เวรของอริยสาวกผูเ วนขาดจากกาเมสมุ ิจฉาจาร สงบแลวดวยอาการอยา งน้ี บคุ คลผพู ดู เท็จ ยอ มประสบภยั เวรใด อนั มใี นชาตินี้บา ง อันมีในชาติหนาบาง ยอมเสวยเจตสิกทุกขคอื โทมนัสบา ง เพราะมุสาวาทเปนเหตุ ภยั เวรของอรยิ สาวกผูเวน ขาดจากมสุ าวาท สงบแลว ดว ยอาการอยา งน้ี บคุ คลผูต้ังอยูในความประมาท เพราะด่ืมนํ้าเมาคือสรุ าและเมรยั ยอมประสบภัยเวรใด อนั มีในชาตินบี้ า ง อนั มใี นชาติหนา บา งยอ มเสวยเจตสิกทกุ ขคือโทมนัสบาง เพราะการดมื่ น้าํ เมาคือสรุ าและเมรยัอันเปน ท่ีตัง้ แหง ความประมาทเปนเหตุ ภัยเวรของอริยสาวกผูเวนขาดจากการดืม่ น้ําเมาคอื สรุ าและเมรยั อนั เปนที่ตั้งแหงความประมาท สงบแลวดวยอาการอยางนี้ ภยั เวร ๕ ประการนี้ สงบแลว. [๑๕๓] อริยสาวกยอมประกอบดว ยธรรมเปน องคแ หง โสดาปต ติ๔ อยา งเปน ไฉน. ดูกอ นคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยน้ี ยอ มประกอบดว ยความเล่ือมใส อันไมหว่นั ไหวในพระพุทธเจา วา แมเ พราะเหตนุ ้ี ๆพระผมู ีพระภาคเจาพระองคนน้ั เปน พระอรหันต ตรสั รเู องโดยชอบถงึ พรอ มแลวดวยวชิ ชาและจรณะ เสด็จไปดีแลว ทรงรูแจง โลก เปนสารถีฝก บรุ ษุ ทีค่ วรฝก ไมมีผูอ่ืนย่ิงกวา เปนศาสดาของเทวดาและมนุษยทงั้ หลาย เปนผูเบกิ บานแลว เปนผจู าํ แนกพระธรรม ดงั นี้ ยอ มประกอบดวยความเล่ือมใสอันไมห วัน่ ไหวในพระธรรมวา พระธรรมอนั พระผมู ี-

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนาท่ี 215พระภาคเจา ตรสั ดแี ลว อนั ผูไ ดบรรลุจะพงึ เหน็ เอง ไมป ระกอบดว ยกาลควรเรยี กใหม าดู ควรนอ มเขา มา อันวญิ ชู นพึงรูเ ฉพาะตน ดงั นี้ ยอ มประกอบดว ยความเล่ือมใสอนั ไมหวนั่ ไหวในพระสงฆวา พระสงฆส าวกของพระผูมพี ระภาคเจาเปน ผปู ฏบิ ตั ิดีแลว เปนผูปฏบิ ตั ิตรง เปนผูป ฏบิ ัติเปนธรรม เปนผูป ฏบิ ัตสิ มควร คอื คแู หงบรุ ุษ ๔ บุรษุ บคุ คล ๘ น่ีพระ-สงฆส าวกของพระผมู ีพระภาคเจา เปน ผูควรของคํานบั เปนผูควรของตอ นรับ เปน ผคู วรของทาํ บญุ เปนผคู วรทาํ อัญชลี เปนนาบญุ ของโลกไมม นี าบญุ อนื่ ยิ่งกวา ดังน้ี ยอ มประกอบดว ยศลี ที่พระอรยิ เจาปรารถนาอนั ไมข าด ไมท ะลุ ไมดา ง ไมพรอ ย เปน ไท อันวญิ ูชนสรรเสริญอันตัณหาและทฏิ ฐไิ มค รอบงําได เปนไปเพอื่ สมาธิ อรยิ สาวกยอ มประกอบดว ยธรรมเปน องคแหงโสดาปต ติ ๔ อยางนี้. [๑๕๔] กญ็ ายธรรมอนั ประเสริฐ อันอรยิ สาวกเหน็ ดีแลวแทงตลอดดีแลว ดว ยปญญาเปน ไฉน. ดูกอ นคฤหบดี อรยิ สาวกในธรรมวนิ ัยน้ี กระทําไวใ นใจโดยแยบคาย ถงึ ปฏิจจสมปุ บาทเปนอยางดวี าเมอ่ื สง่ิ นี้มี สงิ่ น้จี ึงมี เพราะสงิ่ นเ้ี กิดข้นึ สิง่ น้จี ึงเกดิ ขึน้ เมอ่ื ส่งิ นไ้ี มม ีสิง่ นจี้ ึงไมมี เพราะสงิ่ น้ดี ับ ส่งิ น้ีจึงดับ ดวยประการดงั นี้ คอื เพราะอวิชชาเปน ปจ จยั จึงมีสงั ขาร เพราะสงั ขารเปนปจจยั จึงมวี ิญญาณเพราะวญิ ญาณเปนปจ จัย จงึ มีนามรปู เพราะนามรูปเปน ปจ จัย จงึ มีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเปน ปจจัย จงึ มีผสั สะ เพราะผัสสะเปนปจ จยัจงึ มเี วทนา เพราะเวทนาเปนปจจัย จงึ มีตัณหา เพราะตัณหาเปน ปจจัยจึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเปนปจ จัย จึงมีภพ เพราะภพเปน ปจ จยัจงึ มชี าติ เพราะชาติเปน ปจจยั จงึ มีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข-

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 216โทมนสั และอปุ ายาส ความเกิดขึ้นแหง กองทุกขทั้งมวลนี้ ยอ มมีดวยประการอยา งน้ี กเ็ พราะอวิชชาดับดว ยสํารอกโดยไมเ หลอื สงั ขารจึงดบัเพราะสงั ขารดับ วิญญาณจงึ ดบั เพราะวิญญาณดบั นามรปู จงึ ดบั เพราะนามรูปดบั สฬายตนะจงึ ดบั เพราะสฬายตนะดับ ผสั สะจงึ ดบั เพราะผัสสะดบั เวทนาจึงดบั เพราะเวทนาดับ ตณั หาจึงดบั เพราะตัณหาดับ อุปาทานจงึ ดับ เพราะอุปาทานดบั ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาตดิ ับ ชราและมรณะ โลกปริเทวทุกขโทมนัสและอปุ ายาสจงึ ดบั ความดับแหง กองทกุ ขท้ังมวลน้ี ยอมมดี ว ยประการอยางนี้ ญาย-ธรรมอันประเสรฐิ นี้ อรยิ สาวกน้นั เห็นดีแลว แทงตลอดดีแลว ดวยปญ ญา. [๑๕๕] ดูกอ นคฤหบดี เมอ่ื ใดแล ภัยเวร ๕ ประการน้ขี องอริยสาวกสงบแลว เมอื่ นัน้ อรยิ สาวกยอ มประกอบดวยธรรมเปน องคแหง โสดาปต ติ ๔ อยา ง และญายธรรมอยา งประเสริฐน้ี อนั อริยสาวกนน้ั เห็นดีแลว แทงตลอดดีแลวดวยปญญา อริยสาวกนั้นหวังอยู พึงพยากรณด วยตนเองไดวา เราเปน ผมู ีนรกสน้ิ แลว มีกําเนิดสัตวด ิรัจฉานสิ้นแลว มปี ตติวิสัยสนิ้ แลว มอี บาย ทุคติ วนิ บิ าตสนิ้ แลว เราเปนโสดาบัน มีอันไมต กตํ่าเปน ธรรมดา เปน ผเู ท่ยี งจะตรสั รใู นภายหนา. จบปฐมปญ จเวรภยสูตรที่ ๑

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ที่ 217 คหปติวรรคที่ ๕ อรรถกถาปฐมปญ จภยเวรสตู รท่ี ๑ พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในปญจภยเวรสูตรท่ี ๑ แหง คหปตวิ รรคตอ ไป.บทวา ยโต แปลวา ในกาลใด. บทวา ภยานิ เวรานิ ไดแก เจตนาเปนเหตุกอภยั และเวร. บทวา \"โสตาปตตฺ ยิ งเฺ คหิ ดว ยธรรมเปนองคแหงโสดาปต ต\"ิ อธิบายวา องคแหงโสดาปตติ มี ๒ อยา ง คอืองคท่ีเปนไปในสว นเบอื้ งตนเพือ่ ไดเฉพาะโสดาปต ตมิ รรคที่มาอยา งนี้คอื สัปปุริสสงั เสวะ (การคบสตั บุรษุ ) สัทธมั มสวนะ (การฟงธรรมของสัตบรุ ุษ) โยนิโสมนสกิ าร (การกระทําไวใ นใจโดยแยบคาย)ธัมมานธุ ัมมปฏิบตั ิ (การปฏิบตั ธิ รรมสมควรแกธรรม) ซึ่งเรียกวาองคแหงโสดาปตติมรรค ๑ องคแหงบคุ คลผมู ีคณุ ธรรมอันไดแ ลว บรรลุโสดาปต ตมิ รรคแลว ดํารงอยู ซึง่ เรยี กวา องคแหงโสดาบนั ๑. คาํ วาโสตาปนฺนสฺส นี้ เปน ช่อื ของผมู คี วามเลื่อมใสไมหวนั่ ไหวเปนตน ในพระพทุ ธเจา คํานแี้ ลพระผูมีพระภาคเจาทรงประสงคเอาแลวในทีน่ ี้.บทวา อริโย แปลวา ผไู มม ีโทษ คอื ผูไ มมกี ารติเตียน. บทวาญาโย ไดแ ก ญาณทีร่ ปู ฏจิ จสมทุ บาทตงั้ อยบู าง ปฏจิ จสมุปบาทธรรมบา ง. เหมือนอยางทท่ี า นกลา ววา ปฏิจจสมุปบาท เรยี กวา ญายธรรม.แมอริยมรรคมีองค ๘ ทานกเ็ รยี กวา ญายธรรม. บทวา \"ปฺายดว ยปญ ญา\" ไดแ ก ดว ยวปิ สสนาปญ ญาทเ่ี กิดขึ้นตอ ๆ กันไป. บทวา\"สุทิฏโ โหติ อันอริยสาวกเห็นดแี ลว \" ไดแก อนั อริยสาวกเหน็แลวดว ยดี ดวยอํานาจการเห็นเกิดขนึ้ ตอ ๆ กนั .

พระสุตตันตปฎก สงั ยุตตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ที่ 218 บทวา \"ขีณนริ โย มีนรกส้นิ แลวเปนตน\" อธบิ ายวา นรกของเราส้นิ แลว เพราะไมเกดิ ขนึ้ ในนรกนน้ั ตอไปอีก เพราะฉะนั้น เราจงึชอ่ื วา เปน ผูมีนรกสน้ิ แลว. ในบททง้ั ปวงก็นยั น้.ี บทวา โสตาปนโฺ นแปลวา ถึงกระแสแหงมรรค. บทวา \"อวนิ ิปาตธมฺโม มีการไมต กต่ําเปนธรรมดา\" ไดแก มอี นั ไมตกตา่ํ เปนสภาวะ. บทวา \"นิยโต เทย่ี ง\"ไดแ ก เที่ยงโดยกําหนดความเปนชอบ กลาวคอื มรรคท่ี ๑ (โสดาปต ต-ิมรรค). บทวา \"สมโฺ พธปิ รายโน จะตรัสรูในภายหนา \" ไดแกปญญาเครอ่ื งตรสั รู กลาวคือมรรค ๓ เบอื้ งสูง เปนเบอื้ งหนา คอื เปนทางของเรา เพราะเหตุนั้น เรานัน้ จึงชือ่ วาจะมกี ารตรัสรูในเบอ้ื งหนา .อธบิ ายวา จะตรสั รพู ระสัมโพธิญาณนัน้ แนแท. บทวา \"ปาณาติบาตปจจฺ ยา เพราะปาณาตบิ าตเปน ปจ จยั \" ไดแ กเพราะกรรมคือปาณาตบิ าตเปนเหต.ุ สองบทวา \"ภย เวร เวร\" โดยเน้ือความเปนอนั เดยี วกัน . และขึน้ ชื่อวา เวรนีม้ ี ๒ อยา ง คือ เวรภายนอก ๑เวรภายใน ๑ ก็เมอื่ บดิ าของคนคนหนึง่ ถูกบุคคลหน่ึงฆาตาย เขาจึงคิดวา \"ขาววา บดิ าของเราถูกผูน ี้ฆาตายเสียแลว แมเ ราก็จกั ฆา มันใหตายเหมอื นกนั \" ดงั น้ี จงึ เอาศัสตราพกติดตัวไป. เจตนาอนั เปนเหตกุ อเวร อันเกิดข้นึ แลวในภายในของผูน้นั นี้ชื่อวา เวรภายนอก. สว นบุคคลนอกนีเ้ กดิ ความคิดวา \"ขา ววา บุคคลนี้เที่ยวเพ่ือจะฆา เราเรานแี่ หละจกั ฆามนั กอน\" นี้ช่อื วา เวรภายใน. แมเวรทง้ั ๒ อยางนี้กจ็ ักเปนเวรในปจจุบนั น่ันเอง. สว นความจงใจทเ่ี กดิ ข้นึ แกน ายนิรยบาลผเู ห็นเขาเกดิ ในนรกถือคอนเหลก็ อนั ลุกโพลงดวยคิดวา \"เราจกั ฆา มัน\"น้เี ปนเวรภายนอกอันจะมีในภายหนา . ผูท่ีมคี วามคิดมาวา ผนู ้ันเกิดความ

พระสตุ ตันตปฎก สังยุตตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ที่ 219จงใจข้นึ วา ผนู ้ีมาเพือ่ จะประหารเราผูไ มม ีความผิด เราน่แี หละ จกั ฆามันกอ น. นช้ี ่ือวา เวรภายในอนั จะมใี นภายหนา. อน่งึ เวรที่เปน ภายนอกนน้ี ้นั ในอรรถกถา ทา นเรยี กวา \"เวรสวนบุคคล\" สองบทวา\"ทกุ ฺข โทมนสฺส ทกุ ข โทมนสั \" โดยเนือ้ ความก็เปนอันเดยี วกนั นัน่ เอง.กใ็ นขอนีม้ ีอธิบายอยา งไร. แมใ นบททเ่ี หลอื กม็ ีอธบิ ายอยางน้ัน. พงึ ทราบความเกิดข้นึ แหง เวรโดยนัยมอี าทิวา \"ผนู ้ไี ดทาํ ลายสงิ่ ของของเราเสยี แลวผูนไี้ ดป ระพฤติ (ผิด) ในภรรยาของเราแลว ประโยชนถ ูกผูน ี้ทาํ ลายแลวเพราะกลาวเท็จ กรรนชอื่ นีอ้ นั บุคคลนกี้ อ (กระทํา) แลวดวยเหตุเพยี งเมาสรุ า\" ดงั นี้. บทวา อเวจฺจปปฺ สาเทน ไดแ ก ดวยความเลอื่ มใสอันไมหวนั่ ไหวอนั ตนบรรลุแลว . บทวา อรยิ กนเฺ ตหิ ไดแ ก ศลี ๕.เพราะวา ศลี ๕ เหลาน้ัน เปน ที่ปรารถนา คือเปนท่ีรักของพระอริยเจาทั้งหลาย. พระอริยเจาทง้ั หลายถึงไปสภู พก็ไมล ะศีล ๕ เหลานัน้ . เพราะ-ฉะน้นั ศีล ๕ เหลานั้น จึงเรยี กวา \"เปน ท่ปี รารถนาของพระอริยเจา .\"ขอ ท่ีเหลือซึง่ ควรกลาวในทน่ี ท้ี ัง้ หมดนั้น ไดกลาวแลว ในอนุสสตินิเทศในวสิ ทุ ธมิ รรคแล. จบอรรถกถาปฐมปญ จภยเวรสูตรที่ ๑ ๒. ทุตยิ ปญ จเวรภยสูตร วาดว ยภัยเวร ๕ ประการ [๑๕๖] พระผูม พี ระภาคเจาประทับอยู ณ พระเชตวนั อารามของทานอนาถบิณฑกิ เศรษฐี กรงุ สาวตั ถ.ี พระผมู ีพระภาคเจา ไดต รสัวา ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย เมือ่ ใดแล ภยั เวร ๕ ประการของอริยสาวก

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนกิ าย นิทานวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 220สงบแลว เม่อื นั้น อรยิ สาวกยอมประกอบดว ยธรรมเปน องคแ หง โสดา-ปต ติ ๔ อยา ง และญายธรรมอยางประเสรฐิ อันอริยสาวกนนั้ เห็นดีแลวแทงตลอดดแี ลว ดวยปญ ญา อรยิ สาวกนั้นหวังอยู พึงพยากรณต นดวยตนเองไดวา เราเปนผมู ีนรกส้ินแลว ฯลฯ มีอนั ไมตกต่ําเปน ธรรมดาเปน ผเู ทยี่ งจะตรสั รูใ นภายหนา . [คําทัง้ ปวง เปน ตนวา \" ภกิ ขฺ เว ดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย\" ควรใหพสิ ดาร] [๑๕๗] ภยั เวร ๕ ประการสงบแลว เปนไฉน. ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลายบคุ คลผูฆา สตั ว ยอ มประสบภัยเวรใด อันมีในชาตนิ บี้ าง อนั มใี นชาติหนา บาง ยอ มเสวยเจตสกิ ทุกขค อื โทมนัสบา ง เพราะปาณาตบิ าตเปน เหตุภยั เวรของอริยสาวกผูเวนขาดจากปาณาติบาต สงบแลวดวยอาการอยา งนี้บคุ คลผลู ักทรพั ย. . .บุคคลผูประพฤติผิดในกาม. . .บุคคลผูพดู เท็จ. . .บุคคลผตู ั้งอยใู นความประมาท เพราะด่ืมน้ําเมาคอื สุราและเมรยั ยอ มประสบภัยเวรใด อนั มีในชาตนิ บี้ าง อันมใี นชาติหนาบาง ยอ มเสวยเจตสิกทกุ ขค อื โทมนสั บาง เพราะด่มื นาํ้ เมาคอื สุราและเมรยั อันเปน ท่ตี ง้ัแหงความประมาท ภัยเวรของอรยิ สาวกผูเ วน ขาดจากการดื่มนํ้าเมา คอืสุราและเมรยั อนั เปน ต้งั แหง ความประมาท สงบแลวดวยอาการอยางน้ีภยั เวร ๕ ประการนี้ สงบแลว . [๑๕๘] อริยสาวกยอ มประกอบดว ยธรรมอนั เปนองคแ หง โสดา-ปต ติ ๔ อยา งเปนไฉน. ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ยอ มประกอบดว ยความเลอื่ มใสอันไมห วนั่ ไหวในพระพุทธเจา. . .ในพระ-ธรรม. . .ในพระสงฆ. . .และประกอบดวยศีลที่พระอริยเจาปรารถนา. . .

พระสตุ ตันตปฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 221ยอ มประกอบดวยธรรมเปนองคแ หง โสดาปตติ ๔ อยางนนั้ . [๑๕๙] ก็ญายธรรมอนั ประเสริฐ อันอริยสาวกน้นั เหน็ ดแี ลวแทงตลอดดแี ลว ดวยปญ ญาเปน ไฉน. ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย อรยิ สาวกในธรรมวนิ ัยน้ี กระทําไวในใจโดยแยบคาย ถงึ ปฏจิ จสมุปบาทเปน อยางดีฯ ล ฯ ญายธรรมอันประเสริฐน้ี อริยสาวกนั้นเหน็ ดีแลว แทงตลอดดีแลวดวยปญ ญา. [๑๖๐] ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย เมอื่ ใดแล ภัยเวร ๕ ประการน้ีของอริยสาวกสงบแลว เมอ่ื นน้ั อรยิ สาวกยอ มประกอบดวยธรรมอนั เปนองคแหงโสดาปต ติ ๔ อยา งนี้ และญายธรรมอนั ประเสริฐน้ี อันอรยิ สาวกนัน้ เหน็ ดีแลว แทงตลอดดแี ลวดว ยปญ ญา อรยิ สาวกนั้นหวงั อยู พงึพยากรณตนดวยตนเองไดว า เรายอมเปนผูมนี รกสิน้ แลว มกี ําเนดิ สัตวดิรจั ฉานสนิ้ แลว มปี ตติวสิ ยั ส้นิ แลว มีอบาย ทุคติ วินบิ าตสน้ิ แลว เรายอมเปน โสดาบนั มีอันไมตกต่ําเปนธรรมดา เปนผเู ที่ยงจะตรสั รใู นภายหนา . จบทุติยปญจภยเวรสตู รท่ี ๒ อรรถกถาทตุ ิยปญ จเวรภยสตู รท่ี ๒ ในสตู รท่ี ๒ เพียงแตภาวะทีพ่ วกภกิ ษุกลาวเทานั้น เปนความตางกนั . จบอรรถกถาปญจเวรภยสตู รที่ ๒

พระสุตตนั ตปฎก สังยตุ ตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ที่ 222 ๓. ทกุ ขนโิ รธสูตร วาดว ยเหตุเกดิ แหง ทุกขแ ละความดบั ทกุ ข [๑๖๑] พระผมู ีพระภาคเจา ประทับอยู ณ พระเชตวนั อารามของทานอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี กรุงสาวตั ถ.ี พระผูมพี ระภาคเจา ไดต รัสวา ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย เราจักแสดงเหตุเกิดแหง ทุกข และความดับแหงทกุ ข ทา นทัง้ หลายจงฟง จงทาํ ไวใ นใจใหด ี เราจกั กลาว ภิกษุเหลานน้ั ทลู รับพระผูมีพระภาคเจา วา พระพุทธเจา ขา. [๑๖๒] พระผูมีพระภาคเจาไดตรสั ดังนว้ี า ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลายก็ความเกิดขนึ้ แหง ทกุ ขเปนไฉน. เพราะอาศัยจกั ษุและรูป จงึ เกิดจักข-ุวญิ ญาณ ความประชมุ แหงธรรม ๓ ประการเปนผัสสะ เพราะผัสสะเปนปจ จัย จึงเกดิ เวทนา เพราะเวทนาเปนปจจัย จงึ เกิดตณั หา ภกิ ษทุ ง้ั หลายน้ีแลเปน ความเกดิ ขึน้ แหงทุกข เพราะอาศยั หูและเสียง . . . เพราะอาศยั จมูกและกลนิ่ . . . เพราะอาศยั ลิน้ และรส . . . เพราะอาศยั กายและโผฏฐพั พะเพราะอาศยั ใจและธรรม จงึ เกดิ มโนวิญญาณ ความประชุมแหง ธรรม ๓ประการเปน ผัสสะ เพราะผสั สะเปน ปจจัย จึงเกดิ เวทนา เพราะเวทนาเปนปจจัย จึงเกดิ ตณั หา ภิกษุทง้ั หลาย น้แี ลเปน ความเกิดข้ึนแหง ทุกข. [๑๖๓] ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย ก็ความดบั แหงทกุ ขเ ปน ไฉน. เพราะอาศัยจักษแุ ละรปู จงึ เกิดจกั ขวุ ิญญาณ ความประชมุ แหงธรรม ๓ ประการเปนผัสสะ เพราะผสั สะเปนปจ จยั จงึ เกดิ เวทนา เพราะเวทนาเปนปจจยัจงึ เกดิ ตณั หา เพราะตณั หานน้ั เทียวดบั ดวยสํารอกโดยไมเ หลือ อปุ าทานจึงดบั เพราะอปุ าทานดับ ภพจึงดบั เพราะภพดบั ชาตจิ ึงดับ เพราะชาติ

พระสุตตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย นทิ านวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 223ดบั ชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอปุ ายาสจงึ ดบั ความดบัแหงกองทกุ ขท ้ังมวลนี้ ยอ มมีดว ยประการอยางน้ี. ภกิ ษทุ ั้งหลาย น้แี ลเปนความดับแหงทุกข เพราะอาศัยหูและเสียง . . . เพราะอาศัยจมูกและกล่นิ . . . เพราะอาศัยลน้ิ และรส . . . เพราะอาศัยกายและโผฏฐพั พะ. . .เพราะอาศัยใจและธรรม จึงเกดิ มโนวญิ ญาณ ความประชมุ แหง ธรรม ๓ประการเปนผัสสะ เพราะผสั สะเปนปจจยั จงึ เกิดเวทนา เพราะเวทนาเปน ปจจยั จึงเกิดตณั หา เพราะตัณหานั้นเทยี วดบั ดว ยสํารอกโดยไมเหลอือปุ าทานจงึ ดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจงึ ดบั เพราะภพดับ ชาตจิ ึงดับเพ่อื ชาตดิ ับ ชราและมรณะ โสกปริเทวทกุ ขโทมนสั และอปุ ายาสจึงดับความดบั แหงกองทุกขทงั้ มวลนี้ ยอมดวยประการอยา งนี้ ภิกษุทงั้ หลายนี้แลเปนความดบั แหง ทกุ ข. จบทกุ ขนโิ รธสูตรท่ี ๓ อรรถกถาทกุ ขนิโรธสูตรที่ ๓ พึงทราบวินิจฉยั ในทกุ ขสตู รท่ี ๓ ตอไป. บทวา ทกุ ฺขสสฺ ไดแกวัฏทุกข ทุกขคือความเวียนวายตายเกิด. เหตุเกดิ ในบทวา สมทุ ย มี ๒ อยางคือ เหตเุ กิดทเ่ี ปน ชว่ั ขณะ ๑ เหตุเกดิ คือปจ จยั ๑. ภกิ ษุแมเ หน็ เหตเุ กดิ คือปจจัย ก็ชอื่ วา เหน็ เหตเุ กดิ ที่เปนไปช่วั ขณะ ถึงเห็นเหตุเกดิ ที่เปน ไปชวั่ ขณะ ก็ชือ่ วาเหน็ เกดิ คอื ปจจัย.ความดบั ในบทวา อฏ งคฺ โม มี ๒ อยา งคอื ความดบั สนิท ๑ ความดับคอื การแตกสลาย ๑. ภกิ ษแุ มเหน็ ความดับสนิท ก็ชื่อวาเหน็ ความดับคือการแตกสลาย ถึงเห็นความดบั คือการแตกสลาย ก็ชอ่ื วา เหน็ ความดบั สนิท.

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย นิทานวรรค เลม ๒ - หนา ท่ี 224บทวา เทเสสสฺ ามิ ไดแ ก เราจักแสดงความเกิดและความดบั ซ่งึ ชือ่ วา ความบงั เกดิ และความแตกแหงวฏั ทกุ ขน.ี้ อธิบายวา พวกเธอจงฟง เหตเุ กดิ และความดับนัน้ . บทวา ปฏิจฺจ ไดแ ก เพราะความประชุมแหง ธรรม ๓ประการ จงึ เกิดผัสสะ เพราะทําใหเปน ปจจยั ดวยอํานาจนสิ สยปจ จัยและอารัมมณปจจัย. บทวา อย โข ภิกฺขเว ทุกขฺ สสฺ สมุทโย ไดแกนชี้ ่อื วา เปน ความบังเกดิ แหง วัฏทุกข. ขอวา อฏงคฺ โม แปลวา ความแตกสลาย. วฏั ทกุ ขยอ มเปน อนั ถกู ทําลายแลว หาปฏสิ นธิมไิ ด ดว ยประการฉะน้แี ล. จบอรรถกถาทกุ ขนโิ รธสตู รที่ ๓ ๔. โลกนิโรธสตู ร วาดวยความเกดิ และความดับแหงโลก [๑๖๔] พระผมู พี ระภาคเจา ประทบั อยู ณ พระเชตวัน อารามของทานอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรงุ สาวตั ถี. พระผูมพี ระภาคเจา ไดต รัสวาดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย เราจักแสดงความเกดิ และความดับแหง โลก๑ เธอทงั้ หลายจงฟง . . . ภกิ ษุทงั้ หลาย กค็ วามเกดิ แหง โลกเปนไฉน. เพราะอาศยัจักษแุ ละรปู จึงเกดิ จักขวุ ญิ ญาณ ความประชมุ แหงธรรม ๓ ประการเปนผัสสะ เพราะผสั สะเปนปจ จยั จงึ เกิดเวทนา เพราะเวทนาเปน ปจจยั จึงเกดิตัณหา เพระตัณหาเปน ปจจัย จงึ เกิดอปุ าทาน เพราะอปุ าทานเปน ปจจัยจึงเกดิ ภพ เพราะภพเปน ปจจัย จงึ เกิดชาติ เพราะชาตเิ ปนปจ จยั จงึ เกิดชราและมรณะโสกปรเิ ทวทกุ ขโทมนัสและอปุ ายาส ภิกษุท้งั หลาย นี้แลเปนความเกดิ แหงโลก เพราะอาศยั หแู ละเสียง. . .เพราะอาศยั จมกู และกลิ่น. . .๑. สงั ขารโลก

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย นิทานวรรค เลม ๒ - หนาท่ี 225เพราะอาศยั ลิ้นและรส. . .เพราะอาศยั กายและโผฏฐัพพะ. . .เพราะอาศยั ใจและธรรม จงึ เกิดมโนวิญญาณ ความประชมุ แหง ธรรม ๓ ประการเปนผสั สะ เพราะผสั สะเปนปจจัย จึงเกิดเวทนา ฯล ฯ เพราะชาตเิ ปน ปจ จัยจึงเกิดชราและมรณะ โสกปริเทวทกุ ขโทมนสั และอุปายาส ภกิ ษุทัง้ หลายน้ีแลเปน ความเกิดแหง โลก. [๑๖๕] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย กค็ วามดับแหง โลกเปน ไฉน. เพราะอาศยั จกั ษแุ ละรูป จึงเกดิ จักขวุ ญิ ญาณ ความประชมุ แหง ธรรม ๓ ประการเปน ผสั สะ เพราะผัสสะเปน ปจจัย จงึ เกดิ เวทนา เพราะเวทนาเปน ปจจัยจึงเกิดตณั หา เพราะตัณหานัน้ เทียวดบั ดวยสํารอกโดยไมเหลอื อปุ าทานจึงดบั เพราะอปุ าทานดับ ภพจึงดบั เพราะภพดบั ชาตจิ งึ ดับ เพราะชาติดบั ชราและมรณะ โสกปรเิ ทวทุกขโทมนัสและอปุ ายาสจงึ ดับความดบั แหง กองทกุ ขท้งั มวลน้ี ยอมมีดวยประการอยา งนี.้ ภิกษุทั้งหลายนแ้ี ลเปนความดับแหง โลก เพราะอาศัยหูและเสียง. เพราะอาศยั จมูกและกล่นิ . . . เพราะอาศัยลนิ้ และรส. . . เพราะอาศัยกายและโผฏฐัพพะ. . .เพราะอาศัยใจและธรรม จงึ เกดิ มโนวิญญาณ ความประชุมแหงธรรม ๓ประการเปน ผัสสะ เพราะผสั สะเปน ปจจยั จงึ เกดิ เวทนา เพราะเวทนาเปน ปจ จัย จงึ เกดิ ตัณหา เพราะตัณหาน้ันเทียวดับดว ยสาํ รอกโดยไมเหลืออปุ าทานจึงดับ เพราะอปุ าทานดบั ภพจงึ ดบั ฯลฯ ความดบั แหง กองทกุ ขท ้งั มวลนี้ ยอมมดี วยประการอยางน้ี ภิกษุทงั้ หลาย นี้แลเปน ความดับแหงโลก. จบโลกนโิ รธสูตรท่ี ๔


















































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook