Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_14

tripitaka_14

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:39

Description: tripitaka_14

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนา ที่ 261 อกี นัยหนงึ่ ชอ่ื วา เอกายนะ เพราะอรรถวิเคราะหว า เปนทางท่บี ุคคลพงึ ไปผเู ดยี ว. คาํ วา ผเู ดียว คือคนทีล่ ะการคลกุ คลดี วยหมู ปลีกตวั ไปสงบสงัด.ขอวา พึงไป คือ พงึ ดําเนนิ ไป. อีกนัยหนงึ่ ชื่อวา อยนะ เพราะอรรถวิเคราะวาเปนเครือ่ งไป อธิบายวา ไปจากสงั สารวัฏสูพ ระนพิ พาน. หนทางไปของบคุ คลผูเ ปน เอก ชือ่ วา เอกายนะ. บทวา เอกสสฺ คือ ของบุคคลผปู ระเสริฐสดุ แหงสรรพสตั ว. กพ็ ระผูม ีพระภาคเจา นั้นทรงประเสริฐกวาสรรพ-สตั ว เพราะฉะนนั้ ทานจึงอธบิ ายวา หนทางของพระผมู พี ระภาคเจา . แมส ตั วเหลา อน่ื ถงึ จะเดินไปดวยหนทางนั้นก็จรงิ แมเ ชนน้ัน หนทางนัน้ กเ็ ปนทางเดนิ ของพระผมู ีพระภาคเจาเทา น้ัน เพราะเปน ทางทพ่ี ระองคทรงทาํ ใหเกิดขึน้ .เหมอื นอยา งที่ตรัสไว (ในโคปกโมคคลั ลานสูตร) วา ดกู อนพราหมณ พระผมู ีพระภาคเจา นนั้ เปน ผทู าํ มรรคทีย่ ังไมเ กิด ใหเ กดิ ขน้ึ ดงั นเี้ ปนตน . อกี นยั หนงึ่ทางยอมไป เหตนุ ั้น จึงชอ่ื วา อยนะ อธบิ ายวา ไป คอื เปน ไป. หนทางไปในธรรมวินัยอนั เดียว ช่อื วา เอกายนะ ทา นอธิบายวา หนทางเปน ไปในธรรมวินัยนีเ้ ทา นน้ั ไมเปน ไปในธรรมวนิ ัย (ศาสนา) อืน่ . เหมอื นอยา งท่ตี รัสไว(ในมหาปรนิ พิ พานสตู ร) วา ดูกอ นสุภทั ทะ มรรคมอี งค ๘ ท่ีเปนอรยิ ะ บุคคลจะไดก แ็ ตใ นธรรมวนิ ัยน้ีแล ดังนี้. กม็ รรคนัน้ ตางกนั โดยเทศนา แตโ ดยอรรถกอ็ ันเดยี วกนั นั้นเอง. อีกนัยหน่งึ หนทางยอ มไปครงั้ เดยี ว เหตุนน้ั หนทางน้นั จึงชอ่ืเอกายนะ (ทางไปครง้ั เดยี ว). ทา นอธิบายวา หนทางแมเ ปน ไปโดย มุข คือภาวนามนี ยั ตางๆ กัน เบอ้ื งตน ในเบ้อื งปลายกไ็ ปสูพระนพิ พานอันเดียวกันน่นั เอง. เหมอื นอยางทที่ านกลาวไว (ในสังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค) วาทาวสหัมบดีพรหมกราบทูลพระผมู พี ระภาคเจา วา

พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนาท่ี 262 เอกายน ชาติขยนฺตทสสฺ ี มคคฺ  ปชานาติ หิตานกุ มปฺ  เอเตน มคเฺ คน ตรสึ ุ ปุพฺเพ ตริสฺสเร เจว ตรนตฺ ิ ใจฆ พระผมู ีพระภาคเจาทรงเหน็ ธรรม เปน ทีส่ ิ้นชาติ ทรงพระกรณุ าอนเุ คราะห ดว ยประโยชนเ กื้อกูล ทรงทราบชัด เอกายนมรรค พระพทุ ธะทงั้ หลายในอดตี พากนั ขา ม โอฆะ(โอฆะ ๔) ดวยมรรคน้ัน มาแลว พระพทุ ธะท้ังหลาย ในอนาคตก็ จกั ขา มโอฆะดว ยมรรคนั้น และพระพทุ ธะ ทั้งในปจ จุบนั ก็ขามโอฆะดวยมรรคอยาง เดียวกันนนั้ แล. แตเกจิอาจารยก ลาวตามนยั แหง คาถาทวี่ า ชนท้ังหลาย ไมไ ปสูฝง(พระนพิ พาน) สองคร้ังดังน้ี วา เพราะเหตบุ คุ คลไปพระนิพพานไดคราวเดียวฉะน้ัน หนทางน้ัน จงึ ชอื่ วา เอกายนะไปคราวเดยี ว. คาํ น้นั ไมถ กู . เพราะอรรถน้ีจะพงึ มีพยัญชนะอยางนวี้ า สกึ อยโน ไปคราวเดยี ว. ก็ถา หากวา จะพึงประกอบอรรถะ กลา วอยา งนีว้ า การไปคร้งั เดียว คือการดําเนินครงั้ เดียวของมรรคนนั้เปนไปอยดู ังน้ี พยญั ชนะกน็ าจะถกู . แตอรรถะ ไมถ ูกท้งั สองประการ. เพราะเหตไุ ร. ก็เพราะในทีน่ ี้ ทานประสงคแตม รรคทเี่ ปนสวนเบื้องตน . เปนความจรงิในทน่ี ี้ ทา นประสงคเ อาแตม รรคท่ีมสี ตปิ ฏฐานเปนสว นเบื้องตน ซง่ึ เปนไปโดยอารมณ ๔ มกี ายเปนตน. มิไดป ระสงคเ อามรรคท่เี ปน โลกุตตระ. ดว ยวามรรคท่ีเปน สว นเบื้องตน นน้ั ยอ มดาํ เนนิ ไปแมมากครั้ง ทั้งการดาํ เนินไปของมรรคนัน้ ก็มิใชมคี รั้งเดียว.

พระสุตตันตปฎ ก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนา ที่ 263 ธรรมสากัจฉาของพระมหาเถระ ในขอน้ี แตก อ นพระมหาเถระท้งั หลาย กไ็ ดเ คยสนทนากันมาแลว.ทานพระจุลลนาคเถระ ผทู รงพระไตรปฎกกลา ววา สติปฏ ฐาน เปน มรรคเบือ้ งตน (บุพภาค). สว นทานจุลลสมุ นเถระ ผทู รงพระไตรปฎก อาจารยของทานพระจุลลนาคเถระ กลาววา เปนมรรคผสม (มิสสกะ). ศษิ ยว า เปนสวนเบือ้ งตน ขอรบั . อาจารยวาเปน มรรคผสมนะเธอ. แตเ มื่ออาจารยพูดบอยๆเขา ศิษยก ไ็ มค าน กลบั นิ่งเสีย. ทัง้ ศิษยท้งั อาจารยตกลงปญ หากนั ไมไ ดตา งกล็ ุกไป. ภายหลงั พระเถระผเู ปนอาจารย เดนิ ไปโรงสรงน้ํา คิดใครค รวญวาเรากลา ววา เปนมรรคผสม สว นทานจลุ ลนาคยึดหลักกลาววา เปน สว นเบอ้ื งตนขอวนิ จิ ฉยั ในขอ นเ้ี ปน อยางไรกนั หนอ เม่อื ทบทวนสวดพระสตู ร (มหาสติปฏ ฐานสูตร) ตั้งแตต น กก็ ําหนดไดตรงนี้ทีว่ า ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ผใู ดผหู น่ึงพงึ เจริญสตปิ ฏฐาน ๔ เหลา น้ี ถึง ๗ ป กร็ ูวา โลกตุ ตมรรคเกดิ ขน้ึ แลว ชื่อวาตัง้ อยูถ ึง ๗ ป ไมม ี ทเ่ี รากลาววา เปนมรรคผสม ยอมไมได (ไมถูก) สวนทท่ี านจลุ ลนาคเห็นวา เปนมรรคสวนเบอ้ื งตน ยอมได (ถก) เม่ือเขาประกาศการฟงธรรมวัน ๘ ค่ํา ทานกไ็ ป. เลา กนั วา พระเถระเกา ๆ เปนผูรักการฟงธรรม คร้ันไดย นิ เสยี งประกาศ ก็เปลงเสยี งเปนอันเดียวกัน วา ผมกอน ผมกอ น. วนั น้ัน เปน วาระของทา นพระจลุ ลนาคเถระ. ทานน่งั บนธรรมาสน จับพดั กลา วคาถาเบ้ืองตนพระเถระผูอาจารยอ ยหู ลงั อาสนะก็คิดวา จะนัง่ ลบั ๆ ไมพ ูดจาละ. แทจรงิพระเถระเกา ๆ ไมร ิษยากัน ไมหยิบยกเอาความชอบใจของตนข้ึนเปน ภาระอยา งแบกทอ นออ ย ถือเอาแตเหตุ (ท่คี วร) เทานั้น ทมี่ ใิ ช ก็สละไป เพราะฉะน้ัน ทา นพระจุลลสมุ นเถระจงึ เรียกทานจลุ ลนาคเบา ๆ ทานจลุ ลนาคเถระไดย ินเหมือนเสยี งอาจารยเรียก จึงหยดุ ธรรมกถาถามวา อะไรขอรับ .

พระสุตตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนาที่ 264อาจารยกลา ววา ทานจุลลนาค ทีเ่ รากลาววาเปน มรรคผสมน้นั ไมถูกดอกสว นทเ่ี ธอกลา ววา สตปิ ฏ ฐานเปน มรรคเบอ้ื งตน ถูกแลว . ทานพระจลุ ลนาคเถระคิดวา อาจารยของเราทรงปรยิ ัติธรรมไวทัง้ หมด เปนสุตพทุ ธะทางพระไตรปฎ กภกิ ษุเหน็ ปานน้ียังวนุ วายกบั ปญ หามาก ตอ ไปภายภาคหนา พระธรรมกถกึทงั้ หลายจกั วุนวายกบั ปญ หาชนิดนี้ เพราะฉะนั้น เราจักยึดพระสตู รเปนหลักทําปญหาชนดิ นี้ ไมใหว ุน วายตอไปละ. สติปฏฐานเปนมรรคเบ้อื งตน แตปฏสิ ัมภทิ ามรรค เรยี กวา เอกายนมรรค. ทา นจึงนําพระสูตร (ในธรรมบทขทุ ทกนิกาย) ตงั้ เปน บทอุเทศวามคฺคานฏงคฺ ิโก เสฏโ  สจจฺ าน จตโุ ร ปทาวริ าโค เสฏโฐ ธมฺมาน ทปิ ทานฺจ จกฺขุมาเอเสว มคฺโค นตฺถโฺ  ทสฺสนสฺส วิสทุ ธฺ ยิ าเอตหฺ ิ ตุมเฺ ห ปฏปิ ชชฺ ถ มารเสนปปฺ มทฺทนเอตฺหิ ตมุ เฺ ห ปฏิปนนฺ า ทุกขสฺสสนตฺ  กริสฺสถบรรดาทางท้งั หลาย ทางมอี งค ๘ประเสรฐิ สุด บรรดาสัจจะทัง้ หลาย บทท้ัง ๔ (อรยิ สจั ) ประเสริฐสุด บรรดาธรรมทง้ั หลาย วิราคธรรมประเสริฐสุด บรรดาสัตวส องเทาทงั้ หลาย พระพุทธเจา ผูมีจักษุประเสรฐิ สุด ทางนีเ้ ทา นัน้ เพือ่ ความหมดจดแหงทรรศนะ ทางอน่ื ไมมี ทา นทงั้ หลายจงเดินทางนี้ ท่เี ปน เครือ่ งกําจัดกองทัพมารทา นทั้งหลายเดินทางนีแ้ ลว จกั กระทาํทส่ี ดุ แหง ทุกขไ ดดงั น.้ี

พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนา ที่ 265 ในขอ วา มรรค ท่ีชือ่ วามรรค เพราะอรรถวา อะไร. เพราะอรรถวาเปน เครอื่ งเดนิ ไปสูพ ระนพิ พานอยางหนึ่ง เพราะอรรถวา อนั ผตู อ งการพระนพิ พานพงึ คนหา อยางหนึ่ง. ขอ วา เพอ่ื ความหมดจดของสัตวท ั้งหลาย หมายความวา เพ่อืประโยชนแกค วามหมดจดของสัตวท้งั หลายผูมจี ติ เศราหมอง เพราะมลทนิทง้ั หลายมรี าคะเปนตน และเพราะอุปกเิ ลสทั้งหลาย มอี ภิชฌาวิสมโลภะเปนตน เปนความจรงิ สตั วเหลาน้ีคือ พระสัมมาสมั พทุ ธเจาทัง้ หลายเปน อเนกต้ังตน แตพ ระพทุ ธเจา พระนามวา ตัณหังกร เมธงั กร สรณังกร ทีปง กรซ่งึ ปรินิพพานในกัปเดียวเทานัน้ เบ้อื งตนแต ๔ อสงไขยแสนกปั ป แตก ปั ปน้ีลงมาจนถงึ พระพทุ ธเจาพระนามวา ศากยมนุ ี เปนทส่ี ุด พระปจเจกพทุ ธเจาหลายรอ ย แลพระอรยิ สาวกทง้ั หลาย อกี นบั ไมถวน ตา งลอยมลทินทางจติทงั้ หมด ถงึ ความหมดจดอยางยิง่ ดว ยทางนีเ้ ทานั้น. การบญั ญตั คิ วามเศราหมองและผอ งแผว โดยมลทนิ ทางรปู อยา งเดยี ว ไมม .ี สมจริง ดงั คาํ ทก่ี ลาวไววา รเู ปน สงฺกิลิฏเ น ส กิลสิ สฺ นฺติ มาณวา รูเป สุทฺเธ วสิ ชุ ฺฌนฺติ อนกฺขาต มเหสนิ า จิตฺเตน สงกฺ ลิ ฏิ เ น ส กิลสิ สฺ นฺติ มาณวา จติ ฺเต สุทเฺ ธ วสิ ชุ ฌฺ นฺติ อติ ิ วตุ ตฺ  มเหสนิ า. พระพุทธเจา ผูทรงแสวงหาคณุ อันยิ่ง ใหญ มิไดต รสั สอนวา คนทงั้ หลาย มรี ูป เศราหมองแลว จงึ เศรา หมอง มีรปู หมดจด แลว จึงหมดจด แตพระผทู รงแสวงหาคณุ อนั ยิ่งใหญ ทรงสอนวา คนทง้ั หลาย มีจติ เศรา หมองแลว จงึ เศราหมอง มจี ิตหมด จดแลวจึงหมดจด ดังนี้.

พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนา ที่ 266เหมือนอยางทตี่ รสั ไว (ในสังยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค) วา ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลายสัตวท ้ังหลายยอ มเศรา หมอง เพราะจติ เศราหมอง ยอมบรสิ ทุ ธิ์ เพราะจติผองแผว ดงั น้ี. กค็ วามผองแผว แหงจิตนั้น ยอมมไี ดด วยมรรค คอื สติปฏฐานน.้ีเพราะฉะนัน้ พระผมู พี ระภาคเจาจงึ ตรสั วา เพอื่ ความหมดจดของสตั วท ้งั หลาย. ขอวา เพ่อื กาวลวงโสกะ และปริเทวะ หมายความวา เพือ่ กาวลวง คอื ละโสกะ และปรเิ ทวะ. จรงิ อยู มรรคนี้ อันบคุ คลเจรญิ แลวยอมเปนไปเพ่อื กา วลวง โสกะ เหมือนอยาง โสกะของสนั ตตมิ หาอํามาตยเ ปน ตนเพ่อื กา วลว ง ปรเิ ทวะ เหมือนอยา งปรเิ ทวะของนางปฏาจาราเปนตน เพราะเหตุน้นั พระผมู พี ระภาคเจา จึงตรัสวา เพื่อกาวลวง โสกะ และปริเทวะ. แทจ ริงสันตตมิ หาอํามาตยฟ ง คาถาท่วี า ย ปุพเฺ พ ต วโิ สเธหิ ปจฉฺ า เต มาหุ กิ ฺจน มชเฺ ฌ เจ โน คเหสสฺ สิ อุปสนฺโต จรสิ สฺ สิ ทา นจงทาํ ความโศกในกาลกอ นให เหือดแหง ทา นอยามีความกังวลใจ ในกาล ภายหลงั ถาทานจักไมย ึดถือในทา มกลาง กจ็ กั เปน ผสู งบเท่ยี วไป ดังน้ีแลวกบ็ รรลุพระอรหตั พรอมดว ยปฏิสมั ภิทา นางปฏาจารา ฟง พระคาถาน้วี า น สนฺติ ปุตฺตา ตาณาย น ปต า นป พนธฺ วา อนตฺ เกนาธปิ นนฺ สสฺ นตฺถิาตีสุ ตาณตา มบี ตุ รไวเพือ่ ชว ยกไ็ มไ ด บิดาก็ไมได พวกพองก็ไมได เม่อื ความตายมาถงึ ตวั แลว ญาตทิ งั้ หลายกช็ วยไมไ ด ดังน้ี

พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนาที่ 267แลวกต็ ง้ั อยูในโสดาปต ตผิ ล ก็เพราะเหตุวา ชอ่ื วา การไมถ ูกตอ งธรรมบางอยา งในกายเวทนาจิต ธรรมทั้งหลายแลว ภาวนาไมม ีเลย ฉะนน้ั สันตติมหา-อาํ มาตยกบั นางปฏาจาราแมนน้ั จงึ ควรทราบวา เปนผกู า วลวงโสกะ และปรเิ ทวะดว ยมรรคนเ้ี อง. ขอวา เพ่อื ดบั ทกุ ข และโทมนัส ความหมายวา เพ่อื ต้งั อยไู มไ ดคอื ดบั ทั้งสองนี้ คอื ทกุ ขทางกาย และโทมนสั ทางใจ. ดวยวามรรคน้ีบคุ คลเจรญิ แลว ยอ มเปน ไปเพอ่ื ดับทุกข เหมือนทุกขข องพระตสิ สเถระเปนตนดบั โทมนสั เหมอื นอยา งโทมนสั ของทา วสักกะเปนตน. ในเร่อื งทัง้ สองนั้นแสดงความดงั ตอไปน้.ี เรื่องทกุ ขข องพระตสิ สเถระ เลากนั วา ในกรงุ สาวัตถี บตุ รของกฏุ ม ภชี ื่อติสสะทรพั ย ๔๐ โกฏิออกบวชโดดเด่ียวอยูใ นปา ทไ่ี มม บี าน. ภริยาของนอ งชายทา น สงโจร ๕๐๐ ใหไปฆา ทา นเสยี . พวกโจรไปลอ มทา นไว. ทานจึงถามวา ทานอบุ าสกมาทาํ ไมกันพวกโจรตอบวา มาฆาทานนะซ.ิ ทานจึงพดู ขอรอ งวา ทานอุบายสกทง้ั หลายโปรดรบั ประกันอาตมา ใหช ีวติ อาตมาสักคนื หนงึ่ เถิด. พวกโจรกลา ววา สมณะใครจักประกันทานในฐานะอยา งนไ้ี ด. พระเถระกจ็ บั หนิ กอนใหญท ุบกระดกู ขาทง้ั สองขาง แลว กลาววาประกันพอไหม. เหลา โจรพวกน้ันก็ยงั ไมหลบไปกลบั กอ ไฟนอนเสียทใี่ กลจงกรม พระเถระขมเวทนา พิจารณาศีล อาศยั ศลีทีบ่ รสิ ทุ ธิก์ ็เกดิ ปตแิ ละปราโมช. ลําดบั ตอ จากนั้น กเ็ จรญิ วปิ สสนา ทาํ สมณธรรมตลอดคืน ในยามทัง้ สาม พออรณุ ขนึ้ กบ็ รรลพุ ระอรหตั จึงเปลง อุทานวา อโุ ภ ปาทานิ ภินฺทิตวฺ า สฺมิสฺสามิ โว อห อฏฏยิ ามิ หรายามิ สราคมรเณ อห

พระสตุ ตันตปฎก ทฆี นิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนา ที่ 268 เอวาห จินตฺ ยติ วฺ าน ยถาภตู  วิปสสฺ ิส สมฺปตฺเต อรณุ ุคฺคมหฺ ิ อรหตฺต อปาปุณึ เราทุบเทาสองขาง ปองกันทาน ท้ังหลาย เราเอือมระอาในความตายทงั้ ท่ี ยังมรี าคะ เราคิดอยา งนแ้ี ลว กเ็ ห็นแจง ตามเปนจริง พอรงุ อรุณมาถึง เรากบ็ รรลุ พระอรหตั ดงั น.ี้ เรือ่ งทุกขข องภิกษุ ๓๐ รปู ภกิ ษุ ๓๐ รูป อกี กลุมหนึ่ง เรยี นกมั มฏั ฐานในสาํ นกั ของพระผูมีพระภาคเจา แลวจําพรรษาในวัดปา ทํากตกิ ากนั วา ผูมีอายุ เราควรทาํ สมณ-ธรรม ตลอดคืนในยามทั้งสาม เราไมควรมายงั สาํ นกั ของกันและกัน แลวตา งคนตางอยู. เมื่อภกิ ษเุ หลา นัน้ ทาํ สมณธรรม ตอนใกลรุงก็โงกหลบั เสอื ตัวหนงึ่ก็มาจับภกิ ษไุ ปกนิ ทีละรปู ๆ. ภิกษุไร ๆ ก็มิไดเ ปลง แมว าจาวา เสือคาบผมแลว .ภิกษุถูกเสือกนิ ไป ๑๕ รูป ดว ยอาการอยา งน้ี ถงึ วนั อุโบสถ ภิกษทุ เ่ี หลือก็ถามวาทานอยทู ่ีไหน และรเู ร่อื งแลวกก็ ลาววา ถูกเสอื คาบควรบอกวา บัดนี้เราถูกเสอื คาบไป ๆ แลว กอ็ ยกู ันตอ ไป. ตอ มาเสอื ก็จับภกิ ษหุ นุมรปู หน่ึง โดยนยั กอน. ภิกษหุ นมุ ก็รอ งวา เสือขอรับ. ภิกษุท้งั หลายกถ็ ือไมเทา และคบเพลงิ ตดิ ตามหมายวา จะใหม ันปลอ ย เสอื กข็ ้นึ ไปยังเขาขาด ทางที่ภกิ ษุทัง้ หลายไปไมไ ด เรม่ิ กินภิกษุน้นั ต้ังแตนวิ้ เทา. ภกิ ษทุ ง้ั หลายนอกน้ัน กไ็ ดแตก ลา ววาสัปบรุ ษุ บดั น้ี กจิ ที่พวกเราจะตอ งทําไมม ี ขึ้นช่อื วา ความวิเศษของภกิ ษุทัง้ หลายยอมปรากฏในฐานะเชนนี.้ ภกิ ษหุ นมุ น้นั นอนอยูในปากเสอื ขม เวทนา

พระสุตตันตปฎก ทฆี นิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนาท่ี 269เจบ็ ปวด แลว เจรญิ วิปส สนา ตอนเสอื กินถงึ ขอเทา เปนพระโสดาบนั ตอนกินไปถึงหวั เขา เปน พระสกทาคามี ตอนเสือกนิ ไปถึงทอง เปนพระอนาคามีตอนเสือกินไปยังไมถึงหวั ใจ กบ็ รรลุพระอรหตั พรอ มดว ยปฏิสมั ภิทา จึงเปลงอุทาน ดงั นว้ี า สีลวา วตฺตสมฺปนโฺ น ปฺ วา สสุ มาหโิ ต มุหตุ ฺต ปมาทมนฺวาย พฺยคเฺ ฆ โน รุทธฺ มานโส ปฺชรสฺมึ โส คเหตวฺ า สลิ าย อุปรี กโต กาม ขาทตุ ม พฺยคฺโฆ อฏยิ า จ นหฺ ารุสสฺ จ กิเลเส เขปยสิ สฺ ามิ ผสุ สิ สฺ ามิ วมิ ตุ ฺติย เรามศี ลี ถึงพรอ มดวยวัตร มปี ญ ญา มีใจมัน่ คงดีแลว อาศัยความประมาท ครู หนึง่ ทง้ั ทีม่ ีใจไมคิดรายในเสือ มันก็จบั ไวในกรงเล็บ พาไปไวบ นกอ นหนิ เสอื จงกินเราถึงกระดูกและเอน็ กต็ ามที เราจัก ทาํ กเิ ลสใหสนิ้ ไป จกั สัมผัสวิมุตติ ดังนี้. เรอื่ งทกุ ข ของพระปต มิ ลั ลเถระ ภกิ ษอุ ีกรูปหน่ึง ช่อื ปติมัลลเถระ ครง้ั เปนคฤหัสถ ทา นถอื ธงมาเกาะลังกา ถงึ ๓ รัชกาล เขา เฝาพระราชาแลว ไดรบั พระราชานุเคราะหวนั หนึ่ง เดนิ ทางไปประตศู าลา ที่มที น่ี งั่ ปูดว ยเสอ่ื ลาํ แพน ไดพ ึงนตมุ หากวรรค(ในสังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค) วา ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย รูปไมใ ชข องทา น

พระสุตตันตปฎก ทฆี นกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนา ที่ 270ทา นจงละรปู น้นั เสีย รปู นน้ั ทา นละไดแ ลว จักมเี พ่อื ประโยชนเ ก้ือกูล เพ่ือความสขุ ตลอดกาลนาน ดง่ั นแ้ี ลวกค็ ดิ วา มใิ ชร ปู เทา น้นั เวทนาก็ไมใ ชข องตน. เขาทาํ พระบาลนี ้ันใหเปนหัวขอ แลว ออกไปยงั มหาวหิ ารขอบวชบรรพชาอุปสมบท แลว กระทาํ มาตกิ า ใหทงั้ สองคลอ งแคลว พาภิกษุ ๓๐ รูปไปยงั ลาน ณ ตําบลควปรปาลี กระทาํ สมณธรรม. เมื่อเทา เดินไมไหว ก็คกุเขา เดินจงกรม. ในคืนนัน้ พรานเน้ือผูห น่ึงสําคญั วา เนอ้ื กพ็ ุงหอกออกไปหอกกแ็ ลน ถูกทา นถงึ ทะลุ ทานก็ใหเ ขาชกั หอกออก เอาเกลียวหญา อุดปากแผลใหเขาจบั ตัวนงั่ บนหลังแผน หิน ใหเ ขาเปดโอกาส เจรญิ วปิ สสนา ก็บรรลุพระอรหัตพรอ มดวยปฏิสมั ภทิ า พยากรณ แกภกิ ษทุ ง้ั หลายทพี่ ากนั มาโดยใหเสียงไอ จาม เปลงอุทานดังน้ีวาภาสติ  พุทธฺ เสฏสสฺ สพฺพโลกคคฺ วาทิโนน ตมุ หฺ ากมิท รปู  ต ชเหยฺยาถ ภกิ ขฺ โวอนจิ ฺจา วต สงขฺ ารา อปุ ปฺ าทวยธมฺมิโนอปุ ปฺ ชชฺ ิตฺวา นิรชุ ฺฌนตฺ ิ เตส วปู สโม สโุ ขพระพุทธเจา ผูประเสรฐิ สุด ที่สรร-เสริญกนั วา เลศิ ทกุ แหลงลา ทรงภาษิตไววา ดูกอนภิกษุท้ังหลาย รูปน้ีมใิ ชข องทานทานท้งั หลายพงึ ละรปู น้ันเสยีสงั ขารทั้งหลายไมเ ทย่ี งหนอ มเี กดิและเสอ่ื มไปเปน ธรรมดา เกิดแลว ก็ดบัความสงบระงบั แหงสงั ขารเหลา น้ัน เปนสขุ ดงั น.ี้

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนาท่ี 271 มรรคนี้ยอมเปนไปเพือ่ ดบั ทุกขเ หมือนอยา งทกุ ขของพระติสสเถระเปนตนเพียงเทาน้กี อน. เร่ืองโทมนัสของทาวสกั กะ กท็ า วสักกะ จอมเทพ ทรงเหน็ บพุ นิมิต ๕ ประการ ของพระองคถูกมรณภัยคกุ คาม เกดิ โทมนัส เขาเฝา พระผูม พี ระภาคเจาทูลถามปญหา.ทา วเธอก็ดํารงอยใู นโสดาปต ตผลพรอ มดว ยเทวดาแปดหมื่นองคดว ยอาํ นาจการวิสัชนาอเุ บกขาปญ หา. เรอ่ื งการอุบัติของทาวเธอจงึ กลับเปน ปกติอีก. เรอื่ งโทมนัสของสพุ รหมเทพบุตร แมส ุพรหมเทพบตุ ร อันนางเทพอปั สรพันหนง่ึ หอ มลอม ก็เสวยสวรรคสมบตั .ิ ในจาํ พวกนางเทพอัปสรพนั หนงึ่ นนั้ นางเทพอัปสรหา รอ ยมัวเกบ็ ดอกไมจากตน ก็จตุ ไิ ปเกิดในนรก สพุ รหมเทพบุตรรําพึงวา ทําไม เทพอัปสรเหลา นจ้ี งึ ชักชา อยู ก็รูวาพวกนางไปเกดิ ในนรก จึงหนั มาพจิ ารณาดูตัวเองวา อายุเทาไรแลว หนอ กร็ ูวา ตนจะสนิ้ อายุ จะไปเกดิ ในนรกนัน้ ดวยก็หวาดกลวั เกดิ โทมนสั อยางยิง่ เห็นวา พระบรมศาสดาเทาน้ัน จะยังความโทมนัสของเรานี้ใหพ นิ าศไป ไมม ผี ูอืน่ แลว กพ็ านางเทพอัปสรหา รอ ยทีเ่ หลอืเขา เฝาพระผูมพี ระภาคเจาทูลถามปญหาวา นิจจฺ ุตฺรสตฺ มทิ  จิตฺต นิจจฺ ุพพฺ ิคฺคมทิ  มโน อนปุ ปฺ นฺเนสุ กิจเฺ จสุ อโถ อปุ ฺปตตฺ เิ ตสุ จ สเจ อตถฺ ิ อนตุ รฺ สตฺ  ต เม อกฺขาหิ ปจุ ฺฉิโต

พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนา ที่ 272 จติ นสี้ ะดงุ อยูเปน นติ ย จิตใจนหี้ วาด อยเู ปน นิตย ทงั้ ในกิจทีย่ ังไมเ กดิ ท้ังในกจิ ที่เกิดแลว ถาหากวาความไมหวาดสะดงุ มีอยู ขอพระองคท ี่ถูกทูลถามแลว โปรด บอกความไมห วาดสะดงุ นน้ั แกขา พระ- องคดว ยเถดิ . ลําดับน้ัน พระผมู พี ระภาค- เจา จึงไดต รสั บอก สุพรหมเทพบตุ ร (ในสงั ยุตตนกิ าย สคาถวรรค) วา นาฺตรฺ โพชฺฌา ตปสา นาฺตฺร อนิ ทฺ ฺริยส วรา นาฺญตรฺ สพพฺ ปฏินิสฺสคคฺ า โสตฺถึ ปสสฺ ามิ ปาณิน นอกจากปญ ญาเครอ่ื งรู ตปะเครื่อง เผาความชัว่ นอกจากความสํารวมอนิ ทรีย นอกจากความสละคืนทุกส่ิงทุกอยา ง เราก็ มองไมเหน็ ความสวสั ดีของสตั วทง้ั หลาย ดังน.ี้ ในทสี่ ดุ เทศนา สพุ รหมเทพบุตรกด็ าํ รงอยูในโสดาปตตผิ ล พรอมดวยนางเทพอปั สรหารอยทําสมบัตนิ ้ันใหถ าวรแลว กลบั ไปยังเทวโลก. มรรคน้ีอนั บคุ คลเจริญแลว บัณฑิตพงึ ทราบวา ยอ มเปนไปเพือ่ ดบัโทมนัส เหมอื นอยา งโทมนสั ของทาวสักกะ เปน ตน ดงั กลาวมานี.้ มรรคมีองค ๘ ที่เปน อริยะ เรยี กวา ญายธรรม ในขอทีว่ า าย-สสฺ อธิคมาย เพื่อบรรลุญายธรรม ทา นอธบิ ายวา เพอื่ บรรลุ คือเพ่อื ถึงญายธรรมนั้น. จรงิ อยู มรรค คือสติปฏฐานท่เี ปน โลกิยะเบือ้ งตนน้ี อนั

พระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนาท่ี 273บคุ คลเจรญิ แลว ยอ มเปน ไปเพื่อบรรลุมรรคที่เปนโลกตุ ตร. เพราะเหตุนน้ัพระผมู ีพระภาคเจาจึงตรัสวา เพือ่ บรรลุญายธรรม. ขอวา เพ่ือใหแ จง พระนิพพาน ทานอธิบายวา เพอ่ื ทําใหแจงคือเพ่ือประจกั ษด วยตนเอง ซึ่งอมตธรรมท่ีไดชือ่ วานิพพาน เพราะเวน จากตณั หาเคร่ืองรอ ยรัด. จริงอยู มรรคน้ี อนั บุคคลเจรญิ แลว ยอมยงั การทาํใหแจง พระนพิ พานใหส ําเร็จไปตามลําดับ. เพราะฉะนั้น พระผมู พี ระภาคเจาจงึ ตรสั วา เพ่อื ทําใหแ จงพระนพิ พาน ดงั น.้ี ในพระสตู รนน้ั ถึงเม่ือพระผูมพี ระภาคเจาตรสั วา เพอื่ ความหมดจดของสัตวท ้ังหลายแลว ขอทีว่ า เพือ่ กาวลว งโสกะ และปริเทวะเปน ตนกเ็ ปน อันสาํ เรจ็ ใจความไดกจ็ รงิ แตยกเวนผฉู ลาดรขู อ ยตุ ขิ องคําส่งั สอนเสียแลวก็ไมปรากฏแกค นอ่ืน ๆ ได แตพระผูมีพระภาคเจา หาไดท รงทาํ ใหช นผูฉลาดรขู อ ยุติของคําส่ังสอนเสยี กอนแลว ทรงแสดงธรรมในภายหลงั ไม หากแตทรงยังชนทง้ั หลายใหร ูอรรถะนน้ั ๆ ดวยสูตรนัน้ ๆ เลยทีเดียว เพราะฉะน้ัน ในทนี่ ี้เอกายนมรรค จะยังอรรถใด ๆ ใหสาํ เร็จได ก็ทรงแสดงอรรถน้นั ๆ ใหป รากฏจึงตรัสขอวา เพื่อกา วลวงโสกะ และปริเทวะเปนตน . หรืออกี นยั หน่ึงความหมดจดของสัตวทง้ั หลาย ยอมเปน ไปไดดวยเอกายนมรรค ความหมดจดนัน้ . ยอ มมีไดด ว ยความกา วลว งโสกะ และปรเิ ทวะ ความกาวลว งโสกะ และปริเทวะ ยอ มมไี ดดวยความดับทกุ ข และโทมนสั ความดบั ทกุ ขแ ละโทมนัสยอ มมีไดด วยการบรรลญุ ายธรรม การบรรลญุ ายธรรม ยอ มมีไดด วยการทําใหแจง พระนิพพาน เพราะฉะนนั้ เม่ือจะทรงแสดงลาํ ดับการอันนี้ จึงตรสั วาเพ่อื ความหมดจดของสัตวทง้ั หลาย แลวตรัส ขอ วา เพอ่ื กาวลว งโสกะและปริเทวะเปนตน ไป.

พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนา ท่ี 274 อีกนัยหนึ่ง คําที่กลา วมานเ้ี ปนการพรรณนาคุณของเอกายนมรรค. 0เปรยี บเหมือนอยา งวา พระผูมพี ระภาคเจาไดต รสั คณุ ดวยบทท้ัง ๘ ดวยฉฉักกเทศนา (ฉฉักกสูตร มชั ฌิมนิกายอปุ ริปณณาสก) วา ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย เราจักแสดงแกทา นทงั้ หลาย ถึงธรรมอนั งามในเบอ้ื งตน งามในทามกลาง งามในเบ้ืองปลาย จักประกาศพรหมจรรยอนั บริสุทธิ์ บริบรู ณส้นิ เชิงพรอมทง้ั อรรถ พรอมทงั้ พยญั ชนะ คือ ฉฉักกธรรม ๖ ดงั นี้ฉันใดและตรสั คณุ ดวยบททั้ง ๙ ดว ย อรยิ วงั สเทศนา (อังคุตตรนกิ าย จตุกกนิบาต)วา ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย อริยวงศ ๔ เหลาน้ีรกู ันวา เลิศมีมานาน เปน วงศพระอรยิ ะ เปน ของเกา ในอดีตกไ็ มม ใี ครรงั เกยี จไมเคยรงั เกียจ ในปจจบุ ันก็ไมร งั เกยี จกัน ในอนาคตกจ็ กั ไมร งั เกียจกัน สมณพราหมณผ ูร ูก็ไมเ กลียดแลวดังน้ี ฉันใด พระผูม ีพระภาคเจา กไ็ ดตรสั คุณของ เอกายนมรรค แมอ ันนี้ดวยบททงั้ ๗ มีวา เพือ่ หมดจดของสตั วท้งั หลาย เปนตน กฉ็ ันนัน้ . ถาจะถามวาเพราะเหตใุ ด กต็ อบไดว า เพือ่ ใหเกิดอุตสาหะ แกภ ิกษเุ หลานนั้ . จรงิ อยูภิกษเุ หลานัน้ ฟง การตรัสคณุ (ของเอกายนมรรค) รูวา มรรคนี้นําไปเสียซ่งึอปุ ททวะ ๔ คือ โสกะ อันเปน เครอื่ งเผาใจ ปริเทวะ อนั เปน การพไิ รราํ พันทุกขะ อันเปนความไมสําราญทางกาย โทมนสั อันเปน ความไมสาํ ราญทางใจนาํ มาซึ่งคุณวิเศษ ๓ คือ วสิ ุทธิ ญายธรรม พระนิพพาน ดังน้ีแลวกเ็ กดิอุตสาหะ สาํ คัญ เทศนานวี้ า ควรเลา ควรเรยี น ควรทรงจํา ควรบอกกลาวและจักสําคัญมรรคอันนี้วา ควรเจรญิ . เพราะฉะน้ัน พระผมู ีพระภาคเจา ไดตรสั คุณ (ของเอกายนมรรค) เพอ่ื ใหเ กิดอุตสาหะ แกภกิ ษเุ หลา นนั้ เหมอื นพอ คา ผา กมั พลเปนตน โฆษณาคณุ ภาพของผา กัมพล เปน ตน ฉะนัน้ . เหมอื นอยา งวา แมวาพอ คา ผากัมพลอนั มีคานบั แสน โฆษณาวา โปรดซือ้ ผา กมั พล มนษุ ยท ัง้ หลายก็ยงั ไมท ราบกอนดอกวา ผมคนก็มี ผา กัมพล

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนาที่ 275ทําดวยขนสตั วก ม็ ีเปน ตน มนั มกี ลนิ่ สาบสัมผัสหยาบ แตก็เรยี กวา ผา กัมพลเหมอื นกนั ตอเมือ่ ใดพอคา นนั้ โฆษณาวา ผา กมั พลสแี ดงทําในแควน คนั ธาระละเอียดสดใส สัมผัสละมุน เม่อื น้นั ถา มเี งนิ พอก็จะซอื้ เอา มไี มพอ กอ็ ยากจะชม ฉันใด แมเมื่อพระผมู ีพระภาคเจา ตรสั วา ดกู อนภิกษุท้ังหลาย หนทางนี้เปน ทางเดียวดงั น้ี ก็ยงั ไมปรากฏกอ นดอกวา หนทางไหน ดวยวา แมห นทางท่ไี มน าํ สตั วออกจากทุกขมปี ระการตา ง ๆ กเ็ รยี กกันวา หนทางเหมือนกัน แตเม่อื พระผมู พี ระภาคเจาตรัสวา เพ่อื ความหมดจดของสัตวท้ังหลายดงั นี้ เปน ตนภิกษทุ งั้ หลายกท็ ราบวาหนทางนี้นาํ มาซง่ึ อปุ ท วะ ๔ นาํ มาซง่ึ คณุ วเิ ศษ ๓แลว ก็เกดิ อตุ สาหะ สาํ คัญเทศนานี้วา ควรเลา ควรเรียน ควรทรงจําควรบอกกลาว และจกั สาํ คัญมรรคอันน้ีวา ควรเจรญิ เพราะฉะน้ัน พระผูมีพระภาคเจา เม่อื จะตรัสคณุ (ของเอกายนมรรค) จึงตรัสวาเพ่อื ความหมดจดของสัตวทงั้ หลาย เปนตน. อนึ่ง ขออุปมาวา ดว ยพอ คาผา กัมพลสีเหลอื ง อนั มีคาแสน นาํ มาเปรยี บฉนั ใด ในขอ นี้กค็ วรนาํ ขออปุ มาวา ดวยพอคา ทองชมพูนุทสสี ุก แกวมณีกรองนํา้ ใหใ ส แกว มกุ ดาท่ีบริสทุ ธิ์ ผาขนสตั ว และแกว ประพาฬเปนตนเอามาเปรยี บฉันนน้ั . คําวา ยททิ  เปน ศัพทนิบาต. ศัพทน บิ าตน้ัน มคี วามดงั น้วี าเหลา นี้ใด (เย อเิ ม). คําวา จตตฺ าโร (๔) เปน ศพั ทก ําหนดจาํ นวน ดวยจาํ นวนนัน้ พระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงการกาํ หนดจํานวนสตปิ ฏฐานวา ไมตา่ํ กวาน้ัน ไมสูงกวานั้น คาํ วา สตปิ ฏ ฐานทั้งหลาย ไดแก สตปิ ฏฐาน ๓ คอือารมณแ หงสตกิ ม็ ี ความทพี่ ระบรมศาสดาทรงลว งเลยความยนิ รายและยนิ ดใี นพระสาวกทัง้ หลาย ผปู ฏิบัติ ๓ อยางก็มี ตวั สตกิ ็ม.ี อารมณแ หง สติ เรยี กวาสติปฏฐาน ไดในบาลเี ปนตน (สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค) วา ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย เราจกั แสดงความเกิดและความดับไปแหง สตปิ ฏ ฐาน ๔ ทา นทงั้ หลาย

พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนาที่ 276จงฟง ฯลฯ ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ความเกดิ แหงกายเปนอยางไร ความเกดิ แหงกาย กเ็ พราะอาหารกอ ใหเกดิ ดังน.้ี อกี อยา งหนึ่ง ชอื่ วา สติปฏ ฐาน ไดใ นบาลี(ขทุ ทกนกิ าย ปฏิสัมภทิ ามรรค) เปน ตนวา กายเปน ทปี่ รากฏมใิ ชส ติ สติเปนทป่ี รากฏดวย เปน ตัวสตดิ ว ย. คําน้ันมีความดังน.ี้ ช่ือวา ปฏฐาน เพราะอรรถวิเคราะหวา เปนทตี่ งั้ ในท่นี .้ี ถามวา อะไรตง้ั . ตอบวา สต.ิ ทตี่ ้ังอยูแหงสติ ช่ือวา สติปฏฐาน. อกี นัยหนงึ่ ความต้งั เปนประธาน เหตนุ ัน้จึงช่ือวา ปฏฐาน. ความตง้ั แหง สติ ชอื่ วา สติปฏ ฐานเหมือนอยางการยนื ของชาง การยนื ของมาเปน ตน . ความท่ีพระบรมศาสดาทรงลว งเลยความยินรา ย และความยินดใี นพระสาวกท้งั หลาย ผปู ฏิบัติ ๓ อยางเรยี กวา สติปฏฐาน ไดในบาลี (สฬายตน วภิ งั สตู ร มัชฌิมนกิ าย อุปริปณณาสก)นว้ี า สตปิ ฏ ฐาน ๓ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ผูเปนพระอรยิ ะ ทรงเสพสติปฏฐานไรเลา เมอ่ื ทรงเสพสตปิ ฏฐาน ไรเลา จงึ เปนพระศาสดา สมควรสอนพระสาวกดงั นี.้ คาํ นนั้ มคี วามดงั น้ี ชื่อวา ปฏ ฐาน เพราะเปน ธรรมทค่ี วรตัง้ ไว อธิบายวาควรใหเปนไป. ถามวา เพราะเปนธรรมที่ควรต้ังไวดวยอะไร. ตอบวา ดวยสต.ิการต้งั ไวดว ยสติชือ่ วา สติปฏ ฐาน กส็ ติเทานั้น เรียกวา สตปิ ฏ ฐาน ไดในบาลี(สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค) เปนตน วาสตปิ ฏฐาน ๔ อันบุคคลเจริญแลวทาํ ใหม ากแลว ยอมยงั สัมโพชฌงค ๗ ใหบริบูรณดังนี้ . คํานัน้ มคี วามดงั นี้ธรรมชาติใดต้ังอยทู ั่ว อธิบายวา เขา ไปตัง้ ม่ัน คือแลนเปนไป เหตุนนั้ธรรมชาตนิ ้ัน ชอื่ วา ปฏ ฐาน. สตินัน้ เอง ชือ่ วาสตปิ ฏ ฐาน. อกี นัยหน่งึ ทช่ี ื่อวาสติเพราะอรรถวา ระลกึ ได ท่ีช่ือวา ปฏฐาน เพราะอรรถวา เขา ไปตัง้ ไว. เพราะฉะนน้ั สตินนั้ ดว ย ปฏฐานดวย เพราะเหตนุ ั้น จึงช่อื วา สติปฏ ฐาน. ในท่ีนี้พระผมู ีพระภาคเจาทรงประสงคเ อาสติปฏ ฐานอันน.ี้ ถามวา หากเปนเชนนัน้เหตุไร คาํ วาสติปฏ ฐานทง้ั หลายจงึ เปนคาํ พหพู จน. ตอบวา เพราะตอ งมีสติมาก

พระสุตตันตปฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนา ท่ี 277เปน ความจริง สตเิ หลา นัน้ มมี าก เพราะตางแหงอารมณ. ถามวา แตเ หตุไรคาํ วา มรรค จึงเปน เอกวจนะ. อบวา เพราะมที างเดยี ว ดวย อรรถวาเปน มรรค. เปนความจรงิ สตเิ หลา นัน้ แมมี ๔ ก็นับวา ทางเดียว ดว ยอรรถวา เปน มรรค. สมจรงิ ดังที่ทานกลาวไววา ถามวา ในคาํ วามรรค ท่ชี ื่อวามรรค เพราะอรรถวา อะไร ตอบวา เพราะอรรถวา เปนเครอ่ื งไปสูพระนพิ พานดว ย เพราะอรรถวา ผูต อ งการพระนิพพานจะพึงคนหาดวย. สติท้ัง ๔ น้นัทาํ กจิ ใหสาํ เร็จ ในอารมณทั้งหลาย มกี ายเปนตนจงึ ถึงพระนพิ พานในภายหลงัแตผตู องการพระนิพพานทง้ั หลาย จําตองดาํ เนินไปตั้งแตต นมา เพราะฉะนั้นสตทิ ้ัง ๔ จงึ เรียกวา หนทางเดียว. เทศนาพรอ มดว ยอนสุ นธิ ยอ มมีดวยการอนุสนธิ คําวาสติ เหมือนดงั ในบาลีทง้ั หลาย (สังยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค)เปนตนวา ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย เราจกั แสดงมรรค เปนเครื่องกาํ จดั กองทัพมารเธอจงฟง มรรคนัน้ เปนเคร่ืองกาํ จัดกองทพั มารเปนอยา งไร คอื สมั โพชฌงค ๗ดงั น้ี. คําวามรรคเปน เครือ่ งกําจดั กองทพั มาร และคาํ วาสัมโพชฌงค ๗ โดยอรรถกเ็ ปน อนั เดียวกนั ตา งกันแตพ ยญั ชนะเทานนั้ ฉนั ใด คาํ วา เอกายนมรรคกบั คาํ วา สตปิ ฏฐาน ๔ โดยอรรถก็เปนอันเดยี วกัน ตางกนั แตพ ยัญชนะเทา นนั้กฉ็ นั น้นั เพราะฉะน้นั บณั ฑติ พึงทราบวา เปนเอกวจนะ ก็เพราะเปน ทางเดยี ว ดวยอรรถวาเปน มรรค เปนพหุวจนะ ก็เพราะมีสติมาก โดยความตา งแหงอารมณ. ถามวา กเ็ พราะเหตุไร พระผมู ีพระภาคเจา จงึ ตรัสสติปฏ ฐานวามี ๔ไมห ยอ นไมยิง่ . ตอบวา ก็เพราะจะทรงใหเปนประโยชนเ กือ้ กลู แกเ วไนยสัตว.แทจริง ในจําพวกเวไนยสัตวท เี่ ปนตณั หาจริต ทิฏฐิจริต ผูเปนสมถยานิก(ผมู ีสมถะเปน ยาน) และวิปสสนายานกิ (ผมู วี ปิ ส สนาเปนยาน) ทเ่ี ปน ไปโดยสวนทงั้ สอง คือ ปญ ญาออน และปญญากลา กายานปุ ส สนาสตปิ ฏฐานมอี ารมณ

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนา ที่ 278หยาบเปน ทางหมดจด สาํ หรบั เวไนยสัตวผมู ีตัณหาจริต มีปญญาออน เวทนานุปส สนาสตปิ ฏ ฐานมอี ารมณล ะเอียด เปน ทางหมดจด สําหรบั เวไนยสตั วผ มู ีตัณหาจริต มีปญญากลา จิตตานุปส สนาสตปิ ฏฐาน ที่มีอารมณไมแยกออกมากนกัเปนทางหมดจด สําหรบั เวไนยสตั วผูมีทิฏฐจิ ริต มปี ญญาออน ธัมมานปุ ส สนาสตปิ ฏฐาน ทีม่ อี ารมณแ ยกออกมาก เปนทางหมดจด สําหรับเวไนยสตั ว ผูมีทิฏฐจิ รติ มปี ญ ญากลา อนึง่ สติปฏฐานขอ ๑ ทีม่ นี มิ ิตอนั จะพงึ บรรลไุ ดโดยไมย าก เปน ทางหมดจด สาํ หรับ เวไนยสตั วผูเปนสมถยานกิ มปี ญ ญาออ น สติปฏฐาน ขอท่ี ๒ เพราะไมตัง้ อยใู นอารมณอ ยา งหยาบ จึงเปนทางหมดจดสาํ หรับเวไนยสตั วผเู ปนสมถยานิก มปี ญ ญากลา สตปิ ฏ ฐาน ขอท่ี ๓ มอี ารมณทแี่ ยกออก. ไมมากนกั เปนทางหมดจด สําหรบั เวไนยสัตวผ ูเปนวิปส สนายานกิมปี ญ ญาออน สตปิ ฏฐาน ขอที่ ๔ มอี ารมณท แ่ี ยกออกมาก เปนทางหมดจดสาํ หรบั เวไนยสัตวผ เู ปน วปิ สสนายานกิ มปี ญ ญากลา เพราะเหตดุ งั นนั้ จึงกลาววาสตปิ ฏ ฐานมี ๔ เทาน้ัน ไมห ยอ นไมยง่ิ . อีกอยางหนง่ึ ทีต่ รสั วา สติปฏ ฐานมี ๔กเ็ พ่ือละเสียซง่ึ วิปลลาสความสําคญั ผดิ วางาม สุข เท่ียง และเปนตัวตน. แทจริงกายเปน อสภุ ะ ไมง าม แตสัตวทง้ั หลายกย็ งั สําคญั วา งาม ในกายน้นั . ดว ยทรงแสดงความไมงามในกายน้ันแกสัตวเหลา น้นั จงึ ตรสั สตปิ ฏฐานขอที่ ๑ เพอ่ื ละวิปลลาสน้ันเสีย. และในเวทนาเปนตน ทส่ี ัตวยดึ ถือวาสุข เท่ียง เปน ตวั ตนเวทนากเ็ ปน ทุกข จติ ไมเที่ยง ธรรมทง้ั หลายเปนอนตั ตา. แตส ัตวท งั้ หลายก็ยงัสําคญั วา สุข เทยี่ งเปน ตวั ตน ในเวทนา จิต ธรรมน้ัน ดว ยทรงแสดงความเปนทกุ ขเ ปนตน ในเวทนา จิต ธรรมนัน้ แกส ัตวเ หลา นน้ั จงึ ตรสั สติปฏ ฐาน ๓ ทเ่ี หลือเพือ่ ละวปิ ลลาสเหลาน้นั เสีย เพราะฉะนน้ั บณั ฑติ พงึ ทราบวา ท่ตี รัสวา สติปฏฐาน ๔ ไมห ยอ นไมย ิง่ ก็เพอื่ ละความสําคัญผดิ วา งาม สุข เทีย่ ง และตวั ตนเสีย ดังท่ีกลา วมาน.้ี มิใชเพ่อื ละวปิ ล ลาสอยา งเดยี วเทาน้ัน บณั ฑิตพงึ ทราบวา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนาท่ี 279ที่ตรสั สตปิ ฏ ฐาน ๔กเ็ พอ่ื ละ โอฆะ โยคะ อาสวะ คณั ฐะ อปุ าทาน และอคติ อยางละ ๔ ดวย เพอื่ กําหนดรูอาหาร ๔ อยางดวย พงึ ทราบในท่ีมาในปกรณ (บาลี) เทานก้ี อน. สว นในอรรถกถาทานกลา ววา สติปฏ ฐาน มีอนั เดียวเทาน้ัน โดยเปนความระลกึ และโดยเปนทป่ี ระชุมลงเปน อนั เดียวกัน มี ๔ ดวยอาํ นาจอารมณ.เปรยี บเหมอื นพระนครมี ๔ ประตู คนท่ีมาแตท ิศตะวันออก นาํ ส่ิงของที่อยูทางทศิ ตะวันออก มาเขา พระนครทางประตทู ิศตะวนั ออก คนที่มาแตท ิศใต ทิศตะวนั ตกก็เหมือนกัน คนทีม่ าแตท ศิ เหนือก็นาํ สิ่งของทอี่ ยูทางทิศเหนอื มาเขาพระนครทางประตูทศิ เหนอื ฉนั ใด ขออปุ ไมยนกี้ ฉ็ ันนนั้ . จรงิ อยูนิพพานเปรยี บเหมือนนคร โลกุตตรมรรคมอี งคแ ปด เปรียบเหมอื นประตพู ระนคร สติปฏ ฐานมกี ายเปน ตน เปรยี บเหมือนทิศทัง้ หลายมที ิศตะวันออกเปน ตน. กค็ นทมี่ าแตท ิศตะวันออก นําสง่ิ ของท่ีอยูท างทิศตะวนั ออกมาเขา พระนครทางประตูทศิ ตะวันออก ฉนั ใด ผูปฏิบตั โิ ดยมขุ แหง กายานุปสสนา เจรญิ กายานปุ สสนา๑๔ วธิ ี ยอ มหยงั่ ลงสพู ระนพิ พานอนั เดียวกนั นัน่ เอง ดว ยอรยิ มรรคทเ่ี กิดจากอานุภาพแหงการเจรญิ กายานุปส สนา กฉ็ นั น้นั . คนทีม่ าแตทศิ ใต นําสงิ่ ของที่อยูทางทศิ ใตยอมเขา มาสพู ระนครทางประตทู ิศใต ฉนั ใด ผปู ฏบิ ตั ิโดยมขุ แหง เวทนานุปสสนาเจริญเวทนานุปสสนา ๙ วิธยี อ มหยง่ั ลงสพู ระนพิ พานอันเดียวกนั น่ันเองดวยอรยิ มรรคทีเ่ กดิ จากอานภุ าพแหง การเจรญิ เวทนานปุ สสนากฉ็ นั นน้ั . คนท่มี าแตทิศตะวันตก นาํ สง่ิ ของทอ่ี ยูทางทิศตะวันตก ยอ มเขามาสูพระนครทางประตูทศิ ตะวนั ตกฉนั ใด ผปู ฏิบัติโดยมุขแหงจติ ตานปุ ส สนา เจรญิ จติ ตานุปสสนา๑๖ วธิ ี ยอ มหยง่ั ลงสูพระนพิ พานอันเดียวกันนน้ั เอง ดว ยอริยมรรค ทเ่ี กิดจากอานภุ าพแหงการเจรญิ จิตตานุปสสนาฉนั น้นั . คนทีม่ าแตทศิ เหนอื นําสงิ่ ของท่ีอยทู างทิศเหนือ ยอ มเขามาสพู ระนครทางประตูทศิ เหนอื ฉันใด ผูปฏิบตั ิโดยมขุแหงธมั มานุปส สนา เจรญิ ธมั มานุปสสนา ๕ วิธี ยอมหยั่งลงสพู ระนพิ พาน

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนา ที่ 280อนั เดียวกนั นั้นเอง ดว ยอรยิ มรรค ทีเ่ กิดจากอานภุ าพแหง การเจรญิ ธัมมานุ-ปสสนากฉ็ นั นน้ั . บัณฑิตพึงทราบวา ท่ีทา นกลาววา สติปฏ ฐานมี อนั เดยี วเทา นั้นก็ดว ยอาํ นาจความระลกึ ได อยางหนงึ่ ดวยอานุภาพประชุมลงสูความเปน อันเดยี วกันหน่งึ ที่กลา ววามี ๔ กโ็ ดยจัดตามอารมณ ดงั กลาวมาฉะนี.้ คาํ วา มี ๔ เปน อยา งไร เปน คําถามดวยหมายจะตอบ (ถามเองตอบเอง). คําวา ในธรรมวินยั นี้ คือ ในพระศาสนาน้.ี คําวา ภิกขฺ เวนนั้ เปนคําเรียกบคุ คลผรู บั ธรรม. คําวา ภกิ ษนุ ั้น เปน คําแสดงถึงบคุ คลผูถ งึ พรอ มดว ยขอ ปฏบิ ัต.ิ เทวดา และมนุษย แมเ หลาอื่น กด็ าํ เนินการปฏิบตั ใิ หพรอ มเหมือนกนั . แตที่ตรัสวา ภิกษุ กเ็ พราะเปน ผูป ระเสรฐิอยางหนงึ่ เพราะทรงแสดงภาวะของภกิ ษดุ วยการปฏบิ ัติอยางหน่ึง. เปนความจริง ในบุคคลทั้งหลาย ผูรับคาํ สัง่ สอนของพระผมู ีพระภาคเจา ภกิ ษุเปนผปู ระเสริฐ เพราะเปนประหนึง่ ภาชนะรองรับคําสงั่ สอนมีประการตาง ๆเพราะฉะนนั้ จงึ ตรสั วา ภิกษุ เพราะเปน ผูประเสริฐ. แตเมอ่ื ทรงถือเอาภิกษุแลว คนทัง้ หลายทเ่ี หลอื กเ็ ปนอันทรงถือเอาดวย เหมอื นอยา งในการเสดจ็ พระ-ราชดําเนนิ เปน ตน เหลา ราชบริพารนอกนั้น ก็เปนอนั ทา นรวมไวดวยศัพทวา ราช. ผูใ ดปฏิบตั ิขอ ปฏิบัตนิ ้ี ผูน นั้ ยอ มชื่อวา ภกิ ษุ เพราะฉะนน้ั พระ-ผูมพี ระภาคเจาตรัสวา ภกิ ษุ กเ็ พราะจะทรงแสดงภาวะของภิกษุดว ยการปฏบิ ัต.ิเปน ความจริง ผปู ฏิบัตจิ ะเปน เทวดา หรือมนษุ ยกต็ าม ยอมนบั ไดวา เปนภกิ ษทุ ัง้ น้นั . เหมอื นอยา งท่ตี รสั ไว (ในธรรมบท ขทุ ทกนกิ าย) วา อลงกฺ โตฺ เจป สม จเรยฺย สนโฺ ต ทนโฺ ต นิยโต พฺรหฺมจารี สพฺเพสุ ภเู ตสุ นธิ าย ทณฺฑ โส พฺราหฺมโณ โส สมโณ ส ภิกขฺ ุ

พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนา ที่ 281 หากวา บุคคลมธี รรมประดับแลว เปน ผสู งบแลว ฝก แลว เปนคนแน เปน พรหมจารี เลิกอาชญากรรมในสัตวทัง้ ปวง พงึ ประพฤตสิ มา่ํ เสมออยไู ซร ผนู ้ันกช็ ่ือวา พราหมณ ผูน ้ันกช็ ่ือวา สมณะ ผนู น้ั ก็ ช่อื วา ภกิ ษุ ดงั น.ี้ คําวา ในกาย คอื ในรปู กาย. จรงิ แลว รปู กายในทนี่ น้ั ทานประสงคเอาวา กาย เพราะอรรถวา เปน ท่ีรวมแหงอวยั วะนอ ยใหญ และธรรมทัง้ หลายมีผม เปน ตน เหมือนตัวของชางตวั ของรถเปนตน. ท่ชี ่ือวา กายเพราะอรรถวาเปน ทร่ี วมฉันใด ทช่ี ื่อวา กาย เพราะอรรถวา เปนแหลงท่มี าของสิ่งทีน่ า รงั เกียจฉนั นนั้ . จรงิ แลว กายนน้ั เปน แหลงทีม่ าของสงิ่ นารงั เกยี จ คือนา เกียจอยางยง่ิแมเพราะเหตุนั้นจงึ ชอ่ื วา กาย. คาํ วาเปนแหลงท่มี า คอื เปนถิน่ เกิด ใจความของคําในคําวา เปนแหลงท่มี านนั้ มดี งั นี้ ธรรมชาติทงั้ หลายมาแตก ายน้นั เหตุนนั้กายนนั้ จงึ ชอ่ื วา เปนแหลงทีม่ า. อะไรมา. สิ่งอนั นาเกลียดท้งั หลายมีผมเปน ตนยอ มมา. ชอื่ วา อายะ เพราะเปนแหลง มาแหงสิ่งนาเกลียดท้ังหลาย ดว ยประการฉะน้ี. คาํ วา พิจารณาเหน็ กาย หมายความวา มปี กตพิ ิจารณาเหน็ ในกาย หรอื พิจารณาเหน็ กาย. พระผมู พี ระภาคเจาแมจ ะตรสั วา ในกายแลว บณั ฑติ พงึ ทราบวาทรงกระทาํ ศัพทว า กาย คร้งั ทสี่ องวา พจิ ารณาเหน็กายอีกครัง้ หน่ึง เพือ่ ทรงแสดงการกาํ หนด และการแยกออกจากกอนเปน ตนโดยไมปนกัน. ภกิ ษุพิจารณาเห็นเวทนาในกาย หรือพจิ ารณาเห็นจติ ในกายหรือพจิ ารณาเห็นธรรมในกายหามิได ทแ่ี ทพจิ ารณาเหน็ กายในกายตางหากเพราะฉะนน้ั จงึ เปน อนั ทรงแสดงการกาํ หนดไมปนกัน ดว ยทรงแสดงอาการ

พระสุตตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนาที่ 282คอื พิจารณาเหน็ กายในวตั ถุที่นบั วา กาย. มใิ ช พจิ ารณาเหน็ ธรรมอยา งหนงึ่ ท่ีพนจากอวยั วะนอ ยใหญในกายทง้ั มิใชพ จิ ารณาเห็นเปน หญิงหรือเปนชาย ท่พี นจากผมขนเปนตน. จรงิ อยูในขอนนั้ กายแมอนั ใด ท่ีนบั วา เปนท่ีรวมของภูตรปู และอปุ าทายรูป มผี มขนเปน ตน มใิ ชพจิ ารณาเหน็ ธรรมอยา งหนึง่ ท่ีพน จากภูตรูป และอปุ าทายรูป ท่ีแทพจิ ารณาเหน็ กายเปน ที่รวมอวยั วะนอ ยใหญในกายแมอันนั้น เหมอื นพจิ ารณาเห็นสว นประกอบของรถฉะน้นั พจิ ารณาเห็นกายเปนทรี่ วมของ ผม ขน เปนตน เหมือนพิจารณาเห็นสวนนอ ยใหญของพระนคร พิจารณาเหน็ กายเปน ทีร่ วมของภูตรูป และ อุปาทายรูป เหมือนแยกใบและกา นของตนกลวย และเหมอื น แบกํามอื ที่วางเปลา ฉะนั้น เพราะฉะน้นั จงึ เปนอนั ทรงแสดงการแยกออกจากกอ น ดวยทรงแสดงวัตถทุ ่นี บัไดวา กาย โดยเปน ทร่ี วมโดยประการตาง ๆ นัน่ แลว. ความจริง กายหรอืชายหญิง หรอื ธรรมไร ๆ อน่ื ทพ่ี นจากกายอนั เปนทีร่ วมดงั กลา วแลว หาปรากฏในกายน้ันไม แตส ตั วท ง้ั หลาย ก็ยดึ มันผดิ ๆ โดยประการนนั้ ๆ ในกายทสี่ ักวาเปน ทร่ี วมแหง ธรรมดงั กลาวแลว อยนู ั่นเอง. เพราะฉะนัน้ พระโบราณาจารยทง้ั หลายจึงกลา ววา ย ปสฺสติ น ต ทิฏ  ย ทิฏ  ต น ปสฺสติ อปสสฺ  พชฌฺ เต มูฬโฺ ห พชฌฺ มาโน น มจุ ฺจติ บคุ คลเหน็ ส่ิงใด สิง่ น้นั กไ็ มไดเ หน็ สิง่ ใดเหน็ แลว กไ็ มเห็นสิ่งน้ัน เมื่อไมเห็น ก็หลงติด เม่อื ตดิ กไ็ มหลุดพน ดงั น.ี้ ทา นกลา วคํานี้ กเ็ พ่ือแสดงการแยกออกจากกอนเปน ตน. ดว ยศัพทวาอาทเิ ปนตน ในคาํ น้ีบณั ฑติ พึงทราบความดงั นี้. กภ็ ิกษนุ ี้ พจิ ารณาเหน็ กาย

พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนา ท่ี 283ในกายนเี้ ทา น้ัน ทา นอธบิ ายวา มใิ ชพิจารณาเห็นธรรมอยา งอ่นื . คนทั้งหลายแลเห็นนา้ํ ในพยบั แดด แมท ่ีไมมนี าํ้ ฉนั ใด ภิกษุพจิ ารณาเหน็ กายอันนีว้ าเปนของไมเ ทย่ี ง เปน ทกุ ข ไมใ ชตวั ตน ไมส วยงามวา เปนของเทย่ี ง เปน สุขเปนตวั ตน และสวยงาม ฉนั นนั้ หามิได ท่ีแท พจิ ารณาเห็นกาย ทานอธิบายวา พิจารณาเห็นกายเปน ท่รี วมของอาการ คอื ไมเ ทย่ี ง เปน ทกุ ขมิใชตวั ตน และไมส วยงามตา งหาก. อกี อยา งหนึง่ ก็กายอนั นีใ้ ด ท่ีทานกลาวไวข างหนาวา มีลมอสั สาสะปส สาสะ เปน ตน มกี ระดูกทีป่ น เปนทส่ี ดุ ตามนยั พระบาลเี ปนตน วาดกู อนภิกษุท้งั หลาย ภกิ ษุในธรรมวนิ ัยนีไ้ ปปา ก็ดี ฯลฯ เธอมีสติหายใจเขา ดังน้ี และกายอนั ใดทท่ี านกลาวไวใ นปฏิสมั ภิทามรรค (ขุททกนิกาย) วาภกิ ษบุ างรปู ในธรรมวินัยนี้ พจิ ารณาเหน็ กายคือดนิ กายคือนา้ํ กายคือไฟกายคอื ลม กายคอื ผม กายคอื ขน กายคอื ผิวหนงั กายคือหนง่ึ กายคอื เนือ้กายคอื เลอื ด กายคือเอน็ กายคือกระดูก กายคือเย่อื ในกระดกู โดยความเปนของไมเทยี่ ง ดงั น้ี บณั ฑติ พึงทราบเน้อื ความของกายนัน้ ทัง้ หมด แมอ ยา งน้วี าภกิ ษุพจิ ารณาเห็นกายในกาย โดยพจิ ารณาเห็นในกายอนั นเี้ ทา นน้ั . อีกอยา งหนงึ่ พึงทราบความอยา งนวี้ า พิจารณาเห็นกาย ทน่ี บั วาเปน ทีร่ วมแหง ธรรมมผี มเปนตน ในกาย โดยไมพิจารณาเห็นสวนใดสว นหน่งึทพี่ งึ ถือวา เปนเรา เปน ของเราในกาย แตพจิ ารณาเหน็ กายนั้น ๆ เทา นน้ั เปนทีร่ วมแหงธรรมตาง ๆ มผี ม ขนเปน ตน. อนง่ึ พึงทราบความอยางนวี้ า พจิ ารณาเห็นกายในกาย แมโ ดยพจิ ารณาเห็นกายทีน่ บั วา เปนทีร่ วมแหง อาการ มีลกั ษณะไมเ ทยี่ ง เปน ตน ทัง้ หมดทีเดียวซ่งึ มนี ัยที่มาในปฏิสัมภทิ ามรรค ตามลาํ ดับบาลี เปน ตนวา พิจารณาเหน็ ใน

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนา ท่ี 284กายน้ี โดยความเปนของไมเทยี่ ง ไมใ ชโ ดยเปน ของเท่ยี งดงั นี้. จรงิ อยางนั้นภิกษุผูปฏิบตั ิ ปฏิปทา คือพิจารณาเหน็ กายในกายรปู นี้ ยอ มพจิ ารณาเหน็ กายอนั นีโ้ ดยเปน ของไมเท่ียง ไมใ ชเหน็ โดยเปน ของเทยี่ ง พจิ ารณาเห็นโดยเปนทุกข ไมใชเห็นโดยเปน สุข พิจารณาเห็นโดยมใิ ชตัวตน ไมใ ชเห็นเปนตัวตนดวยอํานาจ อนุปส สนา (การพจิ ารณาเห็น) ๗ ประการ มพี จิ ารณาเหน็ ความไมเ ท่ยี งเปนตน ยอ มเบอื่ หนาย มิใชยนิ ดี ยอมคลายกําหนัด มิใชกาํ หนัด ยอ มดบั ทุกข มิใชก อ ทุกข ยอ มสละ มใิ ชยดึ ถอื . ภกิ ษุนั้นเมื่อพจิ ารณาเหน็ กายอันนี้โดยความเปน ของไมเท่ียง ยอ มละนจิ จสัญญาความสาํ คัญวา เทยี่ งเสยี ได เมือ่พิจารณาเห็นโดยความเปน ทกุ ข ยอ มละทกุ ขสัญญาความสําคัญวาเปน สุขเสียไดเม่ือพิจารณาเหน็ โดยความเปนของไมใชต ัวตน ยอ มละอัตตสัญญาความสําคัญวาเปนตัวตนเสยี ได เมอ่ื เบ่ือหนา ย ยอมละความยนิ ดเี สียได เมอื่ คลายกําหนัดยอ มละความกําหนัดเสยี ได เมื่อดบั ทกุ ข ยอมละเหตเุ กดิ ทกุ ขเ สียได เมอ่ื สละยอ มละความยึดถือเสียได ดงั นี้ พึงทราบดังกลา วมาฉะนี้. คําวา อยู คอื เปนไปอย.ู คําวา มีเพยี ร มอี รรถวา สภาพใด ยอ มแผดเผากเิ ลสทงั้ หลายในภพทั้ง ๓ เหตนุ ัน้ สภาพน้นั ช่อื วา อาตาปะแผดเผากเิ ลส คาํ น้เี ปนช่ือของความเพยี ร. ความเพยี รของผูน้นั มีอยู เหตนุ ั้น ผนู ้นัชอ่ื วา อาตาปมีความเพียร. คําวา มสี มั ปชัญญะ คอื ผูประกอบดว ยความรูที่นับวา สมั ปชัญญะ. คําวา มสี ติ คอื ประกอบดวยสตกิ าํ กบั กาย. กภ็ ิกษรุ ูปนี้กาํ หนดอารมณ ดว ยสตพิ ิจารณาเห็นดวยปญ ญา ธรรมดาวาปญญาพิจารณาเห็นของผูเวน จากสติ ยอ มมีไมไ ด ดวยเหตนุ น้ั พระผมู ีพระภาคเจา จึงตรสั(สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค) วา ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย เรากลาววาสตแิ ลจาํ ปรารถนาในที่ทง้ั ปวง เพราะฉะนั้น ในทน่ี จี้ ึงตรสั วา ยอมพิจารณา เห็นกายในกาย อยู ดังนี้. กายานปุ สสนาสติปฏ ฐาน เปน อันทรงอธิบาย ดวย

พระสุตตนั ตปฎก ทฆี นกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนาท่ี 285ประการฉะนี.้ อกี อยางหนึง่ ความทอ แทภ ายใน ยอ มทําอนั ตรายแกผไู มมีความเพียร ผูไมมีสมั ปชัญญะ ยอ มหลงลมื ในการกาํ หนด อุบายในการงดเวนสง่ิ ท่มี ใิ ชอ บุ าย ผูมีสติหลงลืมแลว ยอ มไมสามารถในการกําหนดอบุ าย และในการสละสิง่ ท่ีไมใ ชอ ุบาย ดวยเหตุน้นั กัมมัฏฐานนน้ั ของภกิ ษนุ น้ั ยอมไมส าํ เร็จ เพราะฉะน้ัน กมั มัฏฐานนั้น ยอมสําเร็จดว ยอานุภาพแหง ธรรมเหลาใด เพ่ือทรงแสดงธรรมเหลาน้ัน พงึ ทราบวา พระผูมีพระภาคเจาตรสั วามเี พียร มสี ัมปชัญญะ มสี ติ. ทรงแสดงกายานปุ สสนาสติปฏ ฐาน และองคแหงสัมปโยคะ บัดนเ้ี พื่อจะทรงแสดงองคแ หง การละ จึงตรัสวา นาํ ออกเสยีซึ่งอภชิ ฌา และ โทมนัสในโลก. บรรดาคําเหลา นน้ั คาํ วา นาํ ออกเสีย หมายความวา นาํ ออกเสียดวยการนาํ ออกช่วั ขณะหรอื ดว ยการนําออกดว ยการขม ไว. คําวา ในโลกกค็ อืในกายอันนนั้ แหละ. จริงอยู กายในท่นี ี้ ทรงหมายถงึ โลก เพราะอรรถวา ชํารุดชุดโทรม. อภชิ ฌา และโทมนัส มิใชพระโยคาวจรนนั้ ละไดใ นอารมณเพยี งกายเทา น้นั แมในเวทนาเปนตน กล็ ะไดเ หมอื นกัน เพราะฉะนนั้ทา นจึงกลาวไวใ นวิภงั ค (สติปฏ ฐานวภิ งั ค) วา อุปาทานขนั ธ ๕ กช็ ื่อวาโลก.คําน้นั ทานกลาวตามนัยแหง การขยายความ เพราะธรรมเหลาน้นั นบัไดว าเปนโลก. แตท า นกลาวคาํ อนั ใดไวว า โลกเปนอยา งไร โลกก็คือกายอนั นั้นแหละ ความในคาํ น้นั มดี งั นี้แล. พงึ เหน็ การเช่อื มความดงั นว้ี า นาํ ออกเสียซง่ึ อภิชฌา และโทมนัสในโลกนั้น . กเ็ พราะในทน่ี ี้ กามฉันทร วมเขา กับศพั ทวา อภิชฌา พยาบาทรวมเขา กับศพั ทว าโทมนัส ฉะน้นั จงึ ควรทราบวาทรงอธบิ าย การละนิวรณดว ยการทรงแสดงธรรมอนั เปน คูที่มกี ําลงั นบั เนือ่ งในนวิ รณ. แตโดยพิเศษ ในที่น้ี ตรัสการละความยนิ ดที ีม่ กี ายสมบัตเิ ปนมลู ดวยการกาํ จัดอภิชฌา ตรัสการละความยนิ รายที่มกี ายวิบัติเปน มลู ดว ยการ

พระสุตตันตปฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนาที่ 286กําจัดโทมนสั ตรัสการละความยินดียงิ่ ในกาย ดว ยการกาํ จัดอภิชฌา ตรสัการละความไมยินดีย่งิ ในการเจรญิ กายานปุ ส สนา ดว ยการกาํ จัดโทมนสั ตรัสการละกายของผูใสซ่ึงภาวะวางามเปนสขุ เปนตน ท่ไี มม จี รงิ ในกาย ดว ยการกําจดั อภิชฌาและตรสั การละการเอาออกไปซ่งึ ภาวะท่ีไมง าม เปน ทุกขเปนตนทีม่ อี ยูจรงิ ในกาย ดว ยการกาํ จัดโทมนัส. ดวยพระดาํ รสั นัน้ เปน อันทรงแสดงอานุภาพของความเพยี ร และความเปน ผูส ามารถในการประกอบความเพยี รของพระโยคาวจร. แทจ ริงอานุภาพของความเพยี รนนั้ กค็ ือ เปนผูห ลุดพน จากความยินดี ยนิ รา ย ครอบงาํ ความไมยินดี และความยนิ ดี และเวน จากใสสิง่ ท่ีไมมีจริง และนาํ ออกซง่ึ สง่ิ ที่มจี รงิ ก็พระโยคาวจรนน้ั เปน ผหู ลุดพนจากความยนิ ดียินราย เปน ผูครอบงําความไมยินดี และความยนิ ดี ไมใ สสงิ่ ทไ่ี มม จี รงิ ไมนําออกซึง่ สงิ่ ท่มี จี ริง จงึ ชือ่ วา เปนผูสามารถในการประกอบความเพียรดวยประการฉะนนั้ . อีกนัยหนึง่ . ตรสั กัมมฏั ฐานดวย อนุปส สนา ในคาํ ทีว่ า กาเย กายานปุ สฺสี พจิ ารณาเหน็ กายในกาย. ตรัสการบริหารกายของพระโยคาวจรบาํ เพญ็กัมมฏั ฐาน ดว ยวิหารธรรมทกี่ ลา วไวแลว ในคาํ นว้ี า วหิ รติอย.ู ก็ในคาํ เปนตน วา อาตาปมีความเพียร พงึ ทราบวา ตรสั ความเพียรชอบ ดว ยอาตาปะความเพยี รเครอ่ี งเผากิเลส ตรสั กัมมฏั ฐานทใี่ หสาํ เร็จประโยชนท ั่ว ๆ ไป หรอือุบาย เครือ่ งบรหิ ารกัมมัฏฐาน ดวยสติสัมปชัญญะ หรอื ตรสั สมถะ ทไ่ี ดมาดวยอาํ นาจกายานุปส สนา ตรัสวปิ สสนาดว ยสมั ปชญั ญะ ตรสั ผลแหง ภาวนาดว ยการกาํ จดั ซง่ึ อภิชฌา และโทมนัสฉะน.ี้ บาลวี ิภงั ค สว นในบาลีวิภงั ค กลา วความของบทเหลา นนั้ ไวอยา งนวี้ า บทวาอนุปสฺสี ความวา อนุปส สนาในคาํ นัน้ เปนอยางไร ความรอบรู ความรูท ่วั

พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนาท่ี 287ฯลฯ ความเหน็ ชอบ น้ีเรียกอนปุ สสนา บุคคลไดป ระกอบแลว ประกอบพรอมแลว เขาไปแลว เขา ไปพรอ มแลว เขา ถงึ แลว เขาถงึ พรอ มแลว มาตามพรอมแลว ดว ยอนุปส สนานี้ เหตนุ นั้ บคุ คลนัน้ จงึ เรยี นวา อนุปสสฺ ี. บทวา วหิ รติแปลวา เปนอยู เปนไปอยู รกั ษาอยู ดาํ เนนิ ไปอยู ใหอัตตภาพดาํ เนนิ ไปอยูเที่ยวไปอยู เหตนุ นั้ จงึ เรียกวา วิหรติ. บทวา อาตาป ผมู เี พยี ร ความวาอาตาปะ ความเพียรในคาํ น้ันเปน อยา งไร การปรารภความเพยี รเปน ไปทางใจฯลฯ สัมมาวายามะใด นเ้ี รียกวา อาตปะ บคุ คลผูป ระกอบดวยอาตาปะนี้ เหตนุ น้ับุคคลน้นั จงึ เรียกวาอาตาป. บทวา สมปฺ ชาโน ความวา สมั ปชัญญะ ในคํานน้ั เปน อยางไร ความรอบรู ความรูท ่ัว ฯลฯ ความเหน็ ชอบ น้ีเรียกวา สัมปชญั ญะบคุ คลใดประกอบแลว ฯลฯ มาตามพรอ มแลว ดว ยสมั ปชญั ญะนี้ เหตุน้นับคุ คลนนั้ จงึ เรียกวา สมปฺ ชาโน. บทวา สตมิ า ความวา สตใิ นคํานัน้เปน อยางไร ความระลึกได ความระลึกถงึ ฯลฯ ความระลกึ ชอบ นีเ้ รียกวาสติ บคุ คลใดประกอบแลว ฯลฯ มาตามพรอมแลวดวยสตนิ ้ี เหตนุ ั้น บคุ คลนนั้ จงึ เรียกวาสตมิ า. ขอ วา วเิ นยยฺ โลเก อภชิ ฌฺ าโทมนสสฺ  ความวาโลกในคาํ นั้น เปนอยางไร กายนัน้ แล ช่ือวา โลก อุปาทานขันธแ มทงั้ ๕ ก็ชื่อวาโลก นี้เรยี กวาโลก. อภชิ ฌาในคาํ นั้นเปน อยางไร ความกาํ หนดั ความกาํ หนัดนัก ความดีใจ ความยนิ ดี ความเพลิดเพลนิ ความกาํ หนดั ดวยอํานาจความเพลิดเพลนิ ความกําหนดั นักแหงจติ นเ้ี รียกวา อภชิ ฌา โทมนัสในคาํ นั้นเปนอยางไร ความไมสําราญทางใจ ทกุ ขท างใจ ฯลฯ เวทนาทไ่ี มสําราญเปนทกุ ข อันเกิดแกส มั ผัสทางใจ น้ีเรยี กวา โทมนัส อภชิ ฌา และโทมนสั น้ีเปน อนั พระโยคาวจรกําจัด เสยี แลว นําออกไปแลว สงบแลว ใหสงบแลว ใหระงบั แลว ใหถ ึงความต้ังอยูไมไดแ ลว ใหถึงความสาบศนู ยแลว ใหถ ึงความไมมแี ลว ใหถงึ ความยอยยบั แลว ใหเหอื ดแหงแลว ใหแหง ผากแลว

พระสตุ ตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนาที่ 288ทาํ ใหถ งึ ทสี่ ุดแลว เหตนุ ้นั จงึ ตรัสวา วเิ นยยฺ โลเก อภิชฌฺ า โทมนสฺสดังน.้ี นยั ที่มาในอรรถกถานี้ กบั บาลวี ิภงั คนน้ั บณั ฑติ พึงทราบไดโ ดยการเทยี บกัน. พรรณนาความแหง อทุ เทสท่วี า ดวย กายานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน มเี พยี งเทา น้ีกอ น.อทุ เทสวารแหง เวทนาจิตตธมั มานปุ ส สนา บดั น้ี จะวนิ จิ ฉยั ในคําวา ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย จติ ในจติ ธรรมในธรรมท้งั หลาย อยู ฯลฯ กําจัดอภชิ ฌา และโทมนัสในโลก ดังน้ี ประโยชนในอนั จะกลา วซํา้ เวทนาเปนตน ในคาํ ซงึ่ มีอาทิอยางน้วี า เวทนาสุ เวทนานปุ สสฺ ี พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย พงึ ทราบโดยนัยทกี่ ลาวมาแลวในกายานุปสสนาน่นั แล. อนึ่ง ในขอทวี่ า พิจารณาเหน็เวทนาในเวทนาทงั้ หลาย พจิ ารณาเห็นจิตในจิต พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทง้ั หลาย น้ี มวี นิ ิจฉัยดังน้ี เวทนาไดแ กเวทนา ๓ กเ็ วทนา ๓ นนั้ เปนโลกยิ ะอยางเดียว แมจิตกเ็ ปนโลกยิ ะ ธรรมทัง้ หลายก็เปนโลกยิ ะเหมือนกัน. การจําแนกเวทนาจติ ธรรมน้นั จกั ปรากฏในนิทเทสวาร. สว นในอุทเทสวารนี้ภกิ ษผุ ูพจิ ารณาเวทนา ๓ นน้ั โดยประการทีค่ นพงึ พิจารณาเห็นกพ็ งึ ทราบวาเปนผพู จิ ารณาเห็นเวทนาในเวทนาทัง้ หลาย. แมใ นจติ และธรรมก็นยั นี้เหมอื นกนั . ถามวา จะพึงพจิ ารณาเห็นเวทนาอยางไร. ตอบวา พึงพจิ ารณาเห็นสขุ เวทนา โดยความเปนทกุ ข เห็นทกุ ขเวทนาโดยเปนดจุ ลูกศร เห็นอทกุ ขมสุขเวทนา โดยความเปนของไมเทีย่ ง. ดงั ทตี่ รสั ไววา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนาท่ี 289โย สุข ทุกฺขโต อทฺท ทกุ ฺขมททฺ กขฺ ิ สลลฺ โตอทกุ ฺขมสขุ  สนตฺ  อททฺ กฺขิ น อนิจจฺ โตส เว สมมฺ ททฺ โส ภิกฺขุ อุปสนโฺ ต จริสสฺ ติภกิ ษใุ ดเหน็ สุขเวทนาโดยความเปนทุกข เหน็ ทกุ ขเวทนาโดยความเปนดังลกูศร เห็นอทกุ ขมสุขเวทนาที่มีอยูโ ดยความเปน ของไมเ ท่ียง ภกิ ษุนัน้ แล เปน ผูเห็นชอบ จักเปน ผูสงบเทีย่ วไป ดงั นี.้อนึ่ง พระโยคาวจรพงึ พจิ ารณาเห็นเวทนาท้งั หมดนั้นแหละ โดยความเปน ทกุ ขด ว ย. สมจริง ดังทตี่ รัสไวด ังนี้วา เรากลาวเวทนาทกุ อยางบรรดามีอยใู นทกุ ขท ้ังนั้น. พึงพิจารณาเหน็ เวทนาโดยความเปน สุข เปน ทกุ ข (เปลี่ยนเวียนกนั ไป). ดังทตี่ รัสไววา สุขเวทนา เปนสขุ เม่ือเกดิ ข้นึ เมอื่ ตง้ั อยูเปน ทกุ ขเ มอ่ื แปรไป ดงั น้ี คาํ ท้ังหมด ผูศึกษาพึงเขา ใจใหก วางขวาง.อนง่ึ พระโยคาวจร พงึ พจิ ารณาเหน็ แมดว ยอํานาจอนปุ สสนา ๗ มีอนจิ จานปุ ส สนา เปน ตน. ขอควรกลา วน้ียงั เหลอื จักปรากฏในนิทเทสวารแล.กอนอนื่ บรรดาจิตและธรรม จิตอนั พระโยคาวจร พึงพจิ ารณาเห็นดวยอาํ นาจประเภทแหง จิตอันตา ง ๆ กัน มอี ารัมมณจิต อธปิ ติจติ สหชาตจติภมู จิ ติ กมั มจิต วปิ ากจิตและกริ ิยาจิต เปนตน และดว ยอํานาจประเภทแหงจิต มจี ติ มีราคะเปนตน ซ่ึงมาในนิทเทสวารแหงอนุปส สนา มีอนิจจานุปสสนาเปน ตน . ธรรมอนั พระโยคาวจร พึงพิจารณาเห็นดว ยอํานาจแหง ลกั ษณะเฉพาะตนและลักษณะทว่ั ไป และแหงธรรมท่ีเปนสภาพวางเปลา และดว ยอาํ นาจประเภทแหง ธรรมมธี รรมอนั มีสงบเปนตน ซงึ่ มาในนทิ เทสสวาร แหง อนปุ ส สนา๗ มีอนิจจานปุ ส สนาเปน ตน. คําทีเ่ หลอื มนี ยั ดงั กลา วมาแลว ท้งั นน้ั .

พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนาที่ 290 อภชิ ฌา และโทมนสั ในโลกคือ กาย อันพระโยคาวจรใดละไดแลวในกายานปุ สสนาสติปฏ ฐานนี้ แมอ ภิชฌา และโทมนัสในโลก คือเวทนาเปน ตนกเ็ ปนอนั พระโยคาวจรน้นั ละไดแลว เหมือนกนั กจ็ ริงอยู ถึงดังน้ัน พระผูมี-พระภาคเจากย็ ังตรสั การละอภชิ ฌา และโทมนัสไวในสติปฏฐานทกุ ขอ ดว ยอาํ นาจแหง บคุ คลตาง ๆ กนั และดวยอํานาจแหง สติปฏ ฐานภาวนา อันเปน ไปในขณะจิตตา งกนั . อีกนยั หนึ่ง เพราะอภิชฌา และโทมนสั ทีล่ ะไดใ นสติปฏ ฐานขอหนง่ึ ถึงในสติปฏ ฐานทเี่ หลือทัง้ ๓ ขอ ก็เปน อนั ละไดเ หมอื นกัน. เพราะฉะนัน้ แล จงึ ควรทราบวา การละอภชิ ฌา และโทมนัสน้ี ตรสั ไวเพอ่ื ทรงแสดงการละในสตปิ ฏ ฐานเหลาน้นั ของภกิ ษนุ ้นั ฉะน้ันแล. จบอุทเทสวารกถา

พระสุตตนั ตปฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนาท่ี 291 นิทเทสวารกถา กายานปุ ส สนาสติปฏ ฐาน สัมมาสตมิ อี ารมณ ๔ นายชางจกั สานผฉู ลาด ประสงคจะทาํ เคร่ืองใช เชน เส่อื หยาบเสอ่ื ออ น เตียบ ลงุ และฝาชีเปนตน ไดไ มไ ผล าํ ใหญม าลาํ หนงึ่ ตัดเปน ๔ ทอ นแลว พึงเอาทอน ๆ หนงึ่ แต ๔ ทอ นน้ันมาผาออกทําเปนเครือ่ งใชนนั้ ๆ แมฉันใด พระผมู พี ระภาคเจา ก็ฉนั น้ันเหมอื นกัน บดั นี้ ทรงประสงคจะทาํ สตั วทัง้ หลายใหบรรลคุ ุณวเิ ศษตา ง ๆ ดว ยการทรงแสดงสตปิ ฏ ฐานจาํ แนกสัมมาสติอยางเดยี วเทานน้ั ออกเปน ๔ สวน ดว ยสามารถแหง อารมณ โดยนัยเปน ตนวา สติปฏ ฐาน ๔ เปน อยางไร ภกิ ษุในธรรมวนิ ัยน้ี พิจารณาเห็นกายในกายอยู ดงั น้ี ทรงถอื เอาสตปิ ฏ ฐานแตล ะอยาง จาก ๔ อยางนนั้ เม่ือจะทรงจําแนกกาย จงึ ทรงเร่มิ ตรัส นทิ เทสวาร โดยนยั เปน ตนวา กถจฺ ภิกขฺ เว. อธิบายศัพทใ นปุจฉวา ในนิทเทสวารนัน้ คาํ วา กถฺจ อยา งไรเลา เปน ตน เปน คาํ ถามดวยหมายจะขยายใหก วางขวาง. กแ็ ล ความยอในปุจฉวารน้มี ีดงั นว้ี า ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย ภิกษุพจิ ารณาเห็นกายในกายโดยประการไรเลา. ในปุจฉวารทกุ ขอกน็ ยั น.้ี ขอ วา ดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย ภกิ ษุในธรรมวนิ ัยน้ี คือภกิ ษุในพระศาสนานี.้ ก็อธิ ศัพทในคาํ น้ี เปน เครื่องแสดงศาสนา อันเปน ท่ีอาศยั อยา งดี

พระสตุ ตนั ตปฎก ทฆี นิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนา ท่ี 292ของบุคคลผบู าํ เพญ็ กายานุปส สนาสตปิ ฏ ฐานทุกประการ ใหเ กดิ ขนึ้ แลว และเปน เคร่อื งปฏิเสธความไมเ ปนจรงิ ของศาสนาอื่น. สมจริง ดงั ทีต่ รสั ไว (ในจูฬ-สหี นาทสตู ร มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก) วา ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย สมณะท่ี๑-๒-๓-๔ มอี ยใู นศาสนาน้เี ทา นัน้ ศาสนาอ่ืนวา งเปลาจากสมณะผูเปนพระอรหันตท ง้ั หลาย เพราะฉะนั้น จงึ ตรัสวาภิกษใุ นศาสนานี.้ อานาปานบรรพ คําวา ภิกษไุ ปปากด็ ี ไปทโ่ี คนไมก็ดี ไปยงั เรอื นวางก็ดี น้ีเปนเครอื่ งแสดงการกําหนดเอาเสนาสนะอนั เหมาะแกการเจริญสตปิ ฏ ฐาน ของภิกษนุ ้นั . เพราะจติ ของเธอซานไปในอารมณท ั้งหลาย มรี ูปเปนตน มานานยอมไมป ระสงคจ ะลงสูว ถิ ีแหงกมั มัฏฐาน คอยแตจะแลน ออกนอกทางทาเดียวเหมอื นเกวยี นท่เี ทียมดว ยโคโกงฉะน้ัน. เพราะฉะนน้ั ภกิ ษผุ ูจ ะเจรญิ สตปิ ฏ ฐานน้ีประสงคจะทรมานจติ ท่ีรา ย ทเ่ี จริญมาดวยการดื่มรส มีรปู ารมณเ ปน ตนมานาน พงึ พรากออกจากอารมณเชน รูปารมณเปน ตน แลวเขา ไปปากไ็ ดโคนไมก ไ็ ด เรือนวางก็ได แลว เอาเชือก คอื สตผิ กู เขา ไวท หี่ ลัก คอื อารมณของสติปฏ ฐานน้ัน จิตของเธอนัน้ แมจะดิน้ รนไปทางน้นั ทางน้ี เมือ่ ไมไ ดอารมณท ค่ี นุ เคยมากอน ไมอ าจตดั เชอื ก คือสติใหข าดแลวหนไี ปไดก ็จะแอบแนบสนทิ เฉพาะอารมณนนั้ อยางเดยี ว ดว ยอํานาจเปน อุปจารภาวนา และอปั ปนาภาวนา เหมอื นอยางคนเลยี้ งโค ตองการจะทรมานลกู โคโกง ทด่ี ่มื นมแมโคตวั โกงจนเตบิ โต พงึ พรากมนั ไปเสียจากแมโ ค แลว ปก หลักใหญไ วหลักหนงึ่ เอาเชือกผูกไวท ี่หลกั นนั้ ครั้งน้ันลูกโคของเขานั้น กจ็ ะด้นิ ไปทางโนนทางนี้ เมอื่ ไมอาจหนไี ปได ก็หมอบ หรอื นอนแนบหลักนั้นนน้ั แล ฉะนน้ั .เหตุนั้น พระโบราณาจารยจึงกลา ววา

พระสตุ ตันตปฎ ก ทฆี นิกาย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนา ที่ 293 ยถา ถมฺเภ นิพนฺเธยฺย วจฺฉ ทม นโร อธิ พนฺเธยเฺ ยว สก จติ ฺต สติยารมฺมเณ ทฬหฺ  นรชนในพระศาสนานี้ พึงผูกจติ ของตนไวในอารมณใหมั่นดว ยสติ เหมือน คนเล้ียงโค เมื่อจะฝกกลกู โค พึงผูกมนั ไว ที่หลกั ฉะนน้ั . เสนาสนะนี้ ยอ มเหมาะแกก ารเจริญสติปฏ ฐานของภกิ ษุผูเจริญสติปฏ -ฐานน้ัน ดวยประการฉะน.้ี เพราะฉะน้ัน ขา พเจาจงึ กลา ววา คํานี้ เปน เครื่องแสดงการกําหนดเสนาสนะอันเหมาะแกก ารเจริญสติปฏฐาน ของภิกษนุ ัน้ ดงั นี้.เสนาสนะทีเ่ หมาะแกการเจรญิ อานาปานสติ อีกอยางหนึง่ เพราะพระโยคาวจรไมละ ละแวกบา นอันออ้ื อึงดวยเสียงหญิงชาย ชา งมาเปน ตน จะบาํ เพญ็ อานาปานสตกิ มั มฏั ฐาน อันเปนยอดในกายานุปส สนา เปนปทัฏฐานแหง การบรรลคุ ณุ วเิ ศษ และธรรมเคร่อื งอยูเปนสขุ ในปจจบุ นั ของพระพุทธเจา พระปจ เจกพุทธเจา และพระสาวกทงั้ ปวงนใ้ี หสาํ เร็จ ไมใชทาํ ไดงา ย ๆ เลย เพราะฌานมีเสียงเปนขาศึก แตพ ระโยคาวจรกําหนดกมั มฏั ฐานนีแ้ ลว ใหจ ตตุ ถฌาน มอี านาปานสตเิ ปน อารมณ เกดิ ข้ึนทาํ ฌานน้ันนน่ั แล ใหเปน บาท พิจารณาสังขารทงั้ หลาย แลว บรรลุพระอรหตัซึง่ เปน ผลอนั ยอดจะทาํ ไดง าย กแ็ ตใ นปา ทไ่ี มมีบา น ฉะนน้ั พระผูมพี ระภาคเจาเมอ่ื จะทรงแสดงเสนาสนะอันเหมาะแกภ กิ ษโุ ยคาวจรนัน้ จึงตรสั วา อรฺ-คโต วา ไปปากด็ ี เปน ตน . กพ็ ระผมู ีพระภาคเจา เปรยี บเหมอื นอาจารยผรู ชู ัยภูมิ. อาจารยผ รู ชู ัยภูมิเหน็ พืน้ ทค่ี วรสรางนครแลว ใครค รวญถถ่ี วนแลว ก็ชี้วา ทานทง้ั หลาย

พระสตุ ตันตปฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม ๒ ภาค ๒ - หนาท่ี 294จงสรางนครตรงนี้ เม่อื เขาสรา งนครเสร็จ โดยสวสั ดีแลว ยอมไดร บั ลาภสกั การะอยา งใหญ จากราชสกลุ ฉันใด พระผมู พี ระภาคเจานนั้ ก็ฉนั นัน้ทรงใครครวญถึงเสนาสนะอนั เหมาะแกพระโยคาวจรแลวทรงช้วี า เสนาสนะตรงน้ี พระโยคาวจรควรประกอบกัมมัฏฐานเนือง ๆ ตอแตน น้ั พระโยคเี จรญิกัมมฏั ฐานเนือง ๆ ในเสนาสนะนนั้ ไดบรรลุพระอรหตั ตามลาํ ดับยอมทรงไดรับสกั การะอยางใหญว า พระผูมพี ระภาคเจา พระองคน ้นั ทรงเปนผูตรสั รเู องโดยชอบ จรงิ หนอ. กภ็ ิกษุนท้ี า นกลาววา เปน เชนเดยี วกับเสอื เหลอื ง. เหมอื นอยางพระยาเสอื เหลอื งขนาดใหญอ าศัยพงหญาปาชัฏ หรือเทอื กเขาในปา ซอนตัวคอยจับหมูม ฤค มกี ระบอื ปา ละมัง หมูปา เปน ตน ฉันใด ภิกษนุ ี้ผมู เี พยี รประกอบเนือง ๆ ซงึ่ กัมมัฏฐานในปาเปน ตน ยอ มถอื เอาซ่งึ มรรค ๔ และอริยผล ๔ ไดตามลาํ ดับฉนั นน้ั เหมือนกัน. เพราะเหตนุ นั้ พระโบราณาจารยจงึ กลาววา. ยถาป ทปี โก นาม นลิ ยี ติ วฺ า คณหฺ ตี มเิ ค ตเถวาย พทุ ฺธปุตโฺ ต ยตุ ฺตโยโค วปิ สสฺ โก อรฺ ปวิสติ ฺวาน คณฺหติ ผลมตุ ตฺ ม อนั เสือเหลืองซอนตัวคอยจับหมู มฤคฉนั ใด ภิกษผุ ูเ ปนพทุ ธบุตรน้ีก็ฉันนนั้ เหมือนกนั เขา ไปสูปาแลว ประกอบ. ความเพียร เปน ผมู ีปญญาเหน็ แจง (เจริญ วปิ ส สนา) ยอมถือไวไ ดซ งึ่ ผลอันสงู สุด ได. เพราะฉะนั้น พระผูมีพระภาคเจา เมื่อจะทรงแสดงเสนาสนะปา อนัเปนภมู ทิ เ่ี หมาะแกชวนปญ ญา อนั เปนเครอ่ื งบากบนั่ ของพระโยคาวจรน้ันจึงตรสั วา อรฺ คโตวา ไปปา กด็ ี เปน ตน .












Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook