Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (Lk001)หนังสือศรีลังกากติกาวัตร

(Lk001)หนังสือศรีลังกากติกาวัตร

Description: (Lk001)หนังสือศรีลังกากติกาวัตร

Search

Read the Text Version

มหาปรากรมพาหกุ ติกาวตั ร 89 กริ เิ วเหระเจดยี ์ ภายในเมอื งหลวงเกา โปโฬนนารวุ ะ(คดั ลอกจากwww.google.co.th/maps) ลงั กาตลิ กะภายในเมอื งหลวงเกา โปโฬนนารวุ ะ (คดั ลอกจาก www.google.co.th/maps)

90 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร เสนาสนะบรเิ วณเชตวนั วหิ าร ภายในเมืองเกา โปโฬนนารวุ ะ (คดั ลอกจาก www.google. co.th/maps) มหาพัทธสีมาแหงเชตวันวิหาร ภายในเมืองหลวงเกาโปโฬนนารุวะ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps)

มหาปรากรมพาหุกตกิ าวัตร 91 บริเวณทางเขาทิมบุลาคลคิริ วัดปาอรัญวาสีสมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps) เจดีย์เกาภายในทิมบุลาคลคิริ วัดปาอรัญวาสีสมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps)

92 ศรลี ังกากตกิ าวัตร บริเวณดานหนาทิมบุลาคลคิริหรือวัดปาอรัญวาสีสมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะ (คัดลอก จาก www.google.co.th/maps) ถา้ํ สาํ หรบั พาํ นกั อาศยั ของพระสงฆน์ กั ปฏบิ ตั ิ วดั ทมิ บลุ าคลคริ ิ (คดั ลอกจาก www.google. co.th/maps)

มหาปรากรมพาหุกตกิ าวัตร 93 ๒.ö ทศั นะและวจิ ารณ์ ๒.ö.๑ คติความเชื่อเรอ่ื งอายุพระศาสนา õ,ððð ป‚ คติความเช่ือเร่ืองอายุพระศาสนา ๕,๐๐๐ ปี สามารถย้อนรอย ถอยหลังถึงสมัยอาณาจักรอนุราธปุระตอนกลาง (พ.ศ.๕๐๐-๘๐๐) ซึ่งช่วงน้ันพระพุทธศาสนาได้ประดิษฐานมั่นคงบนเกาะลังกาแล้ว หลักฐานเก่าสุดปรากฏเห็นในคัมภีร์มิลินทปัญหาซึ่งพรรณนาไว้ว่า พระศาสนาของพระศาสดาเจ้าจะอันตรธานหรือสูญหายไปก็เน่ือง เพราะเหตุ ๓ ประการ กลา่ วคือ ๑) อธคิ มอันตรธานหมายถึงความ เลือนหายแห่งปฏิเวธหรือการบรรลุธรรม ๒) ปฏิปัตติอันตรธานหมาย ถึงความเลือนหายแหง่ การปฏบิ ตั ิธรรม และ ๓) ลิงคอนั ตรธานหมาย ถงึ ความเลอื นหายแหง่ เพศภกิ ษุ (พระตรปี ฎิ กจฬู าภยั เถระ: 2559; 209) หลกั ฐานดงั กลา่ วช้ีใหเ้ ห็นว่าอธิคมหรือปฏเิ วธจะเลอื นหายไปก่อนถัดมา จึงเปน็ การปฏบิ ตั ิ ตอ่ มาเป็นสิกขาบทแหง่ พระวนิ ัยบญั ญัติและเพศภกิ ษุ ตามล�าดับ สุดท้ายเป็นการบรรพชาและอุปสมบทจึงจะช่ือว่าหมดวงศ์ แหง่ สมณศากยบตุ ร คตคิ วามเชอ่ื ดงั กลา่ วนา่ จะทรงอทิ ธพิ ลตอ่ ชาวลงั กา ไม่น้อย เพราะคัมภีร์เล่มนี้น�ามาจากแคว้นคันธาระทางตอนเหนือของ อนิ เดยี แลว้ เรยี บเรยี งแตง่ ขนึ้ ใหมเ่ ปน็ ภาษาบาลี โดยพระสงฆน์ กั ปราชญ์ ชาวลงั กานามว่าพระตรปี ฎิ กจูฬาภัยเถระ (Bimala Churn Law. part II: 2000; 361) หากพจิ ารณาอยา่ งละเอยี ดจะเหน็ วา่ คมั ภรี ม์ ลิ นิ ทปญั หา เน้นความส�าคัญของเพศบรรพชิตเป็นกรณีพิเศษ อาจเป็นเพราะการมี อยขู่ องเพศบรรพชติ สามารถสง่ ผลตอ่ การปฏบิ ตั ธิ รรมและการบรรลธุ รรม หรือปฏิเวธ สันนิษฐานว่าสมัยพระตรีปิฎกจูฬาภัยเถระเรียบเรียงคัมภีร์ มิลินทปัญหาน้ัน พระสงฆ์ศรีลังกาผู้ศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติยังด�ารง

94 ศรลี ังกากตกิ าวตั ร คงอยู่เป็นจ�านวนมาก เนื้อหาในคัมภีร์จึงไม่เน้นกล่าวถึงการศึกษาเล่า เรียนหรือปริยตั แิ ต่อย่างใด โดยเนน้ กล่าวถงึ ผลแห่งสมณเพศเปน็ หลัก ผู้น�าประเด็นเรื่องอันตรธานของพระศาสนามาขยายความคือ พระพทุ ธโฆสเถระ เร่ิมจากเนื้อความในคัมภีร์ปปัญจสูทนีพระเถระผู้ประพันธ์ชี้ว่า อนั ตรธานแหง่ พระศาสนามี ๓ ประการ กลา่ วคอื ปรยิ ตั อิ นั ตรธานหมาย ถึงการศึกษาเล่าเรียน ปฏิเวธอันตรธานหมายถึงผลแห่งการปฏิบัติ และปฏปิ ตั ตอิ นั ตรธานหมายถงึ การปฏบิ ตั ธิ รรม (พระพทุ ธโฆสเถระ: 2552; 109-111) หลักฐานดังกล่าวสอดคลอ้ งกบั เนื้อหาในคัมภีรส์ ัมโหวิโนทนี (พระพทุ ธโฆสเถระ: 2560; 704-705) เนอื้ หาของคมั ภรี ท์ งั้ สองเลม่ ยนื ยนั ตรงกันวา่ ปริยตั เิ ป็นรากฐานสา� คญั ของพระศาสนา พระศาสนาจะดา� รง คงมนั่ อยไู่ ดเ้ พราะมปี รยิ ตั เิ ปน็ รากแกว้ หากขาดปรยิ ตั แิ ลว้ ไซรพ้ ระศาสนา ชอ่ื วา่ เสอ่ื มสญู เฉพาะคมั ภรี ป์ ปญั จสทู นไี ดผ้ อ่ นรายละเอยี ดลงไปวา่ หาก การบรรพชาอุปสมบทยังคงมีอยู่ พระศาสนาก็ชื่อว่าสามารถด�ารงอยู่ เช่นกัน เสมือนบอกเป็นนัยว่าเพศแห่งบรรพชิตเป็นความหวังสุดท้าย ของการด�ารงอยู่แห่งพระศาสนา ประเดน็ น้ีนา่ จะเปน็ การอธบิ ายวา่ เพศ ภิกษุเป็นเคร่ืองหมายของพระอรหันต์ หากยังคงมีเพศบรรพชิตด�ารง คงอยู่การศึกษาเล่าเรยี นและการปฏบิ ัติธรรมยอ่ มเกดิ มเี ป็นธรรมดา ถดั มาเปน็ คมั ภรี ม์ โนรถปรู ณผี ปู้ ระพนั ธไ์ ดข้ ยายความเพมิ่ ขน้ึ อกี วา่ อันตรธานแห่งพระศาสนานั้นมี ๕ ประการ กล่าวคือ ๑) อธิคม อันตรธานหมายถึงการสูญหายไปแห่งการบรรลุธรรม ๒) ปฏิปัตติ อันตรธานหมายถึงการสูญหายไปแห่งการปฏิบัติธรรม ๓) ปริยัติ

มหาปรากรมพาหกุ ติกาวตั ร 95 อันตรธานหมายถึงการสูญหายไปแห่งการศึกษาเล่าเรียน ๔) ลิงค- อนั ตรธานหมายถงึ การสญู หายไปแหง่ เพศภกิ ษุ และ ๕) ธาตอุ นั ตรธาน หมายถึงการสูญหายไปแห่งพระบรมสารีริกธาตุ (พระพุทธโฆสเถระ ภาค 1: 2553; 101-106) กล่าวโดยง่ายอธิคมหรือการบรรลุธรรมจะ สญู หายไปกอ่ น ถดั มาเปน็ ปฏบิ ตั แิ ละปรยิ ตั ติ ามลา� ดบั สว่ นเพศภกิ ษแุ ละ พระบรมสารีริกธาตุเป็นส่วนสุดท้าย แต่พระพุทธโฆสเถระสรุปท้าย ประเดน็ ว่า “ปรยิ ัติอนั ตรธานนน่ั แลเปน็ เหตุแห่งอนั ตรธาน ๕ ประการ จริงอยู่เม่ือปริยัติอันตรธาน ปฏิบัติย่อมอันตรธาน เมื่อปริยัติยังคงอยู่ ปฏบิ ตั กิ ย็ งั คงอย”ู่ ตรงนผี้ ปู้ ระพนั ธย์ กปรยิ ตั เิ ปน็ สว่ นสา� คญั กวา่ อยา่ งอน่ื เพราะผู้ประพันธ์เป็นนักปริยัติ ด้วยความเชี่ยวชาญด้านปริยัติอาจเห็น ช่องว่าปริยัติสามารถสอบทานความจริงแห่งการปฏิบัติได้ เพราะการ ศึกษาพระไตรปิฎกหมายถงึ การศึกษาพระพทุ ธพจน์ ผลอันใดทเ่ี กิดจาก การปฏิบัติตามพุทธพจน์ ย่อมสามารถตรวจสอบและเทียบเคียงด้วย พระไตรปฎิ ก อกี ประการหนงึ่ สมยั นน้ั การศกึ ษาเลา่ เรยี นกา� ลงั เปน็ ทรี่ จู้ กั แพร่หลาย ขณะที่พระสายปฏบิ ตั ิมกี า� ลังนอ้ ยจึงไมส่ ามารถแย้งพระสงฆ์ สายปฏิบัติได้ คติดังกล่าวจึงปรากฏเห็นในคัมภีร์ช้ันอรรถกถา (พระ- พทุ ธโฆสเถระ ภาค 1: 2553; 106-108) ส�าหรับหลักฐานเร่ืองอายุพระศาสนาท่ีระบุจ�านวนตัวเลขปรากฏ เห็นในคัมภีร์สมันตปาสาทิกา ซึ่งบรรยายไว้ว่า “พระขีณาสพสุกข วิปัสสกะย่อมสามารถด�ารงศาสนาได้ ๑,๐๐๐ ปี พระอนาคามีย่อม สามารถดา� รงศาสนาได้ ๑,๐๐๐ ปี พระสกทาคามียอ่ มสามารถดา� รง ศาสนาได้ ๑,๐๐๐ ปี และพระโสดาบันย่อมสามารถด�ารงศาสนาได้ ๑,๐๐๐ ปี รวมความวา่ ปฏเิ วธสทั ธรรมสามารถดา� รงพระศาสนาไดถ้ งึ

96 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร ๕,๐๐๐ ป”ี และเสริมความอกี วา่ “แม้ปรยิ ตั ิสัทธรรมกส็ ามารถด�ารง ศาสนาไดต้ ลอด ๕,๐๐๐ ปีเหมอื นกัน เพราะหากปริยตั ิไมม่ ี ปฏเิ วธก็ มีไม่ได้ จะมีแต่ปริยัติไม่มีปฏิเวธก็ไม่ได้ แม้หากปริยัติอันตรธานไป เพศภิกษุย่อมสามารถด�าเนินไปได้ตลอดกาลนาน” (พระพุทธโฆสเถระ ภาค 3: 2550; 500) สอดคล้องกับเนื้อความในคัมภีร์มโนรถปูรณี (พระพุทธโฆสเถระ ภาค 3: 2553; 368-369) หลักฐานดังกล่าว เบอ้ื งตน้ เนน้ ความส�าคัญปฏิเวธและปริยตั ิ โดยช้ีให้เห็นวา่ สองสว่ นตอ้ ง เคียงข้างกันและกัน ไม่สามารถแยกขาดจากกันได้ หากพิเคราะห์ อย่างละเอียดจะเห็นว่าหลักฐานในคัมภีร์ทั้งสองเล่มดังกล่าวก็มิได้ แตกตา่ งจากหลายคมั ภรี เ์ บอ้ื งตน้ ตา่ งกนั เพยี งเพมิ่ จา� นวนตวั เลขเทา่ นน้ั ระยะเวลาของคตคิ วามเชอื่ เรอื่ งอายพุ ระศาสนานน้ั สนั นษิ ฐานวา่ น่าจะเกิดมีขึ้นก่อนการเดินทางมาปริวรรตคัมภีร์อรรถกถาของพระพุทธ โฆสเถระ เพราะหลักฐานท่ีตกทอดส่งต่อถึงปัจจุบันล้วนมาจากผลงาน ของพระอรรถกาจารย์ผู้ย่ิงใหญ่รูปน้ีส้ิน ความน่าจะเป็นเกิดจาก เหตกุ ารณ์ ๒ อยา่ ง กล่าวคือ ๑) สมยั เกาะลงั กาประสบทุพภิกขภยั หลายปี พระสงฆผ์ ทู้ รงจา� พระไตรปฎิ กเปน็ อยดู่ ว้ ยความลา� บาก การทรง จ�าพระธรรมวินัยย่อมเป็นเรื่องยาก จึงเป็นเหตุให้มีการสังคายนา พระธรรมวินัย (พระพุทธโฆสเถระ ภาค 1: 2553; 106) และ ๒) เหตกุ ารณจ์ ากพระสงฆ์ศรลี ังกามีทฐิ ิสามญั ตาแตกตา่ งกัน เป็นเหตุ ใหเ้ กดิ การทะเลาะววิ าททางความคดิ อยา่ งรนุ แรงจนถงึ ขนั้ ยยุ งใหก้ ษตั รยิ ์ ท�าลาย½่ายตรงกันข้าม (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 1: 2553; 344-345) ดว้ ยเหตนุ ้นั พระสงฆ์นกั ปราชญ์ผูม้ องเหน็ การณ์ไกล จงึ ชใี้ หเ้ หน็ ภยั รา้ ยแรงวา่ อนาคตอนั ใกลอ้ นั ตรธานแหง่ พระศาสนาจะเกดิ ขน้ึ เพราะเหตุสองประการเปน็ เค้า

มหาปรากรมพาหุกติกาวตั ร 97 คร้ันล่วงเข้าสู่สมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะ คติความเชื่องอายุ พระศาสนายงั ทรงอทิ ธพิ ลอยู่ เพราะพระพทุ ธศาสนาไดร้ บั ผลกระทบจาก การบุกรุกยึดครองของทมิฬโจฬะบ้าง จากสงครามภายในของราชวงศ์ สงิ หลเพอ่ื แยง่ ชงิ ความเปน็ ใหญบ่ า้ ง และจากความเหน็ ตา่ งของพระสงฆ์ ต่างนิกายบ้าง แม้จะมีกษัตริย์ถวายความอุปถัมภ์อย่างเต็มก�าลังด้วย การปฏิรูปพระพุทธศาสนา แต่ความพยายามดังกล่าวจบลงด้วยความ ล้มเหลวเสียทุกคร้ัง ภาวะดังกล่าวย่ิงสะท้อนให้เห็นว่าอายุพระศาสนา จะบั่นทอนส้ันลงเหมือนกล่าวไว้ในคัมภีร์น้อยใหญ่ การจะรักษา พระศาสนาของพระศาสดาเจ้าให้ด�ารงคงอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี จึงเป็น เร่อื งจา� เปน็ เร่งด่วนของกษตั ริย์ชาวสิงหลทกุ พระองค์ ซ่ึงแตล่ ะพระองค์ ล้วนอา้ งว่าเป็นพระโพธิสัตว์ หากวิเคราะห์เนื้อหาในกติกาวัตรเพื่อเสริมคติความเชื่อเร่ืองอายุ พระศาสนานั้น ปรากฏเห็นเฉพาะประเด็นเดียวคือปริยัติหรือการศึกษา เล่าเรียนของพระสงฆ์สามเณรเท่าน้ัน ส่วนด้านการปฏิบัติมีกล่าวถึง น้อยมาก สันนิษฐานว่าด้วยระยะเวลาอันสั้นพระเจ้าปรากรมพาหุอาจ ทรงพิจารณาว่า การจัดการศึกษาเป็นเรื่องจ�าเป็นเร่งด่วน เพราะเป็น ปัจจัยส�าคัญส�าหรับปรับพฤติกรรมพระสงฆ์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สังเกตได้จากความไม่ลงตัวของหลักสูตรการเรียนการสอน ส่วนการ ปฏบิ ตั ถิ อื วา่ เปน็ สว่ นเสรมิ และเปน็ ทางเลอื กของผสู้ นใจดา้ นนโี้ ดยเฉพาะ โดยใช้ธดุ งควตั รเป็นหลกั การวางไว้ให้ปฏิบตั ติ าม ๒.ö.๒ การปกครองคณะสงฆ์ หลังจากปฏิรูปคณะสงฆ์และตรากติกาวัตรเพ่ือเป็นแนวทางการ ประพฤตปิ ฏบิ ัตขิ องพระสงฆ์ทว่ั เกาะลงั กาแล้ว พระสงฆท์ งั้ มวลลว้ นอยู่

98 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร ภายใต้ช่ือเดียวกันคือส�านักมหาวิหาร มิได้แตกแยกแบ่งนิกายเหมือน สมัยก่อน โดยมีพระทิมบุลาคละมหากัสสปเถระขึ้นร้ังต�าแหน่งมหาสามี (เทียบพระสังฆราช-ผู้เขียน) ท�าหน้าท่ีเป็นประมุขสงฆ์คอยบริหารดูแล คณะสงฆ์ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย และจารีตปฏิบัติของส�านัก มหาวิหาร เสมือนพระบูรพเถราจารย์เคยน�าทางเป็นแบบอย่าง (Yatadolawatte Dhammavisuddhi: 2559; 10) หลกั ฐานบางแห่ง ช้ีว่าต�าแหน่งพระมหาสามีรูปแรกสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุคือพระ สารบี ตุ รเถระ (Padasadhanatika: 1666; 134) ผเู้ ขยี นเชอ่ื วา่ ตา� แหนง่ พระมหาสามีรูปแรกคือพระทิมบุลาคละมหากัสสปเถระ เนื่องด้วยพระ เถระได้รับมอบหมายให้เป็นประธานสงฆ์ในการปฏิรูปพระพุทธศาสนา คมั ภรี ม์ หาวงศเ์ องกย็ นื ยนั ถงึ คณุ สมบตั ขิ องทา่ นวา่ “ทรงจา� พระไตรปฎิ ก รอบรู้พระวินัย ผู้รุ่งโรจน์เป็นเอกในเถรวงศ์ สมานสามัคคี มีช่ือเสียง” (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑิต ภาค 2: 2553; 217) ขณะทคี่ วาม โดดเด่นของพระสารีบุตรปรากฏเห็นสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะ สนั นษิ ฐานวา่ พระทมิ บลุ าคละมหากสั สปเถระนา่ จะมรณภาพหลงั พระเจา้ ปรากรมพาหุไม่นาน สังเกตได้จากเหตุการณ์พระศาสนาที่เกิดขึ้นสมัย หลังพระเจ้าปรากรมพาหุมิได้กล่าวถึงพระเถระแต่อย่างใด เป็นที่น่า สงั เกตวา่ ตา� แหนง่ พระมหาสามนี น้ั ไดร้ บั การยอมรบั จากคณะสงฆท์ งั้ มวล บนเกาะลงั กา พรอ้ มกนั นน้ั ตอ้ งไดร้ บั ยอมรบั จากสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ ด้วย (Yatadolawatte Dhammavisuddhi: 2559; 37) หากวเิ คราะหต์ ามหลกั ฐานจะเหน็ วา่ ตา� แหนง่ พระมหาสามมี ไิ ดเ้ กดิ ขนึ้ สมยั พระเจา้ ปรากรมพาหุ เพราะปรากฏพบเหน็ สมยั อาณาจกั รอนรุ าธปรุ ะ ตอนปลาย แต่หลักฐานสมัยนั้นไม่ระบุแน่ชัดว่ามีอ�านาจหน้าที่อย่างไร

มหาปรากรมพาหกุ ติกาวตั ร 99 หรอื เปน็ เพยี งคณุ สมบตั เิ ฉพาะตวั เทา่ นน้ั เพราะสมยั นน้ั คณะสงฆศ์ รลี งั กา ยังแบ่งออกเป็น ๓ ส�านักใหญ่ การจะยกสถานภาพพระมหาสามีให้ เปน็ ใหญเ่ หนอื สา� นกั อน่ื ยอ่ มเปน็ เรอื่ งยาก ตา� แหนง่ พระมหาสามดี งั กลา่ ว น่าจะเป็นการประกาศเกียรติคุณในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญแตกฉานใน คัมภีร์พระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถา หรืออาจเป็นต�าแหน่งส�าหรับ พระสงฆผ์ งู้ ดงามดา้ นศลี าจารวตั รสงั กดั อรญั วาสี สนั นษิ ฐานวา่ ตา� แหนง่ มหาสามอี าจแตง่ ตง้ั เฉพาะพระสงฆส์ า� นกั ทมิ บลุ าคละวหิ ารเทา่ นน้ั เพราะ สมัยอาณาจักรอนุราธปุระตอนปลายส�านักแห่งน้ีถือว่าเป็นอรัญวาสี ส�าคัญแห่งหน่ึงก่อนที่อาณาจักรจะล่มสลายกลายเป็นเมืองข้ึนของ กษัตริย์ทมิฬโจฬะ ด้วยความโด่งดังของวัตรปฏิบัติของพระเถระผู้เป็น เจ้าสา� นกั อาจเป็นเหตใุ ห้กษตั รยิ ์แต่งตัง้ ตา� แหนง่ ดังกลา่ ว การกา้ วขน้ึ ตา� แหนง่ พระมหาสามดี ว้ ยความเหน็ ชอบของคณะสงฆ์ ทั้งมวลถือว่าเป็นเร่ืองปกติ เพราะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของพระสงฆ์ ตามพระธรรมวินัย แต่การผูกต�าแหน่งไว้กับสถาบันกษัตริย์พบเห็นเป็น ครง้ั แรกในประวตั ศิ าสตรศ์ รลี งั กา เพราะเดมิ นน้ั สถาบนั กษตั รยิ ท์ า� หนา้ ท่ี อุปถัมภ์พระสงฆ์อย่างเดียว ไม่ก้าวล่วงเข้ามามีบทบาทถึงกับแต่งต้ัง พระสงฆใ์ หด้ า� รงสมณศกั ดเ์ิ ชน่ น้ี หากจะบอกวา่ กษตั รยิ ใ์ ชพ้ ระราชอา� นาจ ก้าวล่วงเขตแดนแห่งศาสนาจักรก็ไม่เกินความจริงนัก สันนิษฐานว่า พระราชอา� นาจดงั กลา่ วนา่ จะเปน็ ผลสบื เนอ่ื งมาจากการปฏริ ปู พระศาสนา และตรากติกาวัตรส�าหรับพระสงฆ์ ด้วยจ�านวนพระสงฆ์ท่ีมากอีก ท้ังนิกายน้อยใหญ่เพิ่งมีการจัดระเบียบใหม่ ล�าพังอ�านาจของพระมหา สามีย่อมเป็นเร่ืองยากท่ีจะควบคุมพระสงฆ์ทั้งเกาะให้เป็นไปในทิศทาง เดยี วกนั การอาศยั พระราชอา� นาจยอ่ มเปน็ เรอ่ื งสา� คญั ยากจะหลกี เลย่ี ง

100 ศรลี ังกากตกิ าวัตร ได้ ช่องว่างดังกล่าวจึงเป็นเหตุให้อาณาจักรก้าวล่วงเขตแดนของ ศาสนจกั ร ผู้เขียนเห็นว่าวิธีการน้ีพระเจ้าปรากรมพาหุน่าจะประพฤติเลียน แบบตามพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งชมพูทวีป เพราะหลักฐานในคัมภีร์ มหาวงศพ์ รรณนาไวว้ า่ การทพี่ ระองคแ์ ตง่ ตง้ั ใหพ้ ระมหากาศยปเถระเปน็ ประธานสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั ครง้ั นี้ ทรงทา� เชน่ เดยี วกบั พระเจา้ ธรรมา โศกมหาราชผู้ทรงมอบธุระให้แก่พระโมคคัลลีบัตรติสสเถระช�าระ พระศาสนาใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 2: 2553; 217) และอกี แหง่ หนง่ึ พบเหน็ ในกตกิ าวตั รความวา่ “พระองคโ์ ปรดใหข้ บั ไลพ่ ระภกิ ษอุ ลชั ชอี อกจากพระศาสนาของพระศาสดาเจา้ เหมอื นพระเจา้ ธรรมาโศกมหาราชทรงก�าจัดพระสงฆ์อลัชชี ด้วยการข่มขี่พระสงฆ์ นอกรตี แลว้ ชา� ระพระศาสนาอนั เปอ้ื นมลทนิ ดว้ ยการสงั คายนาครง้ั ที่ ๓ โดยความช่วยเหลือของพระโมคคัลลีบุตรติสสมหาสถวีระ ผู้ด�ารงตน เสมอื นพระพทุ ธเจา้ ” (EZ. II: 1985; 274) สนั นษิ ฐานวา่ การทพี่ ระองค์ ปฏิรูปศาสนาด้วยการใช้พระราชอ�านาจเข้าไปแทรกแซงคณะสงฆ์นั้น ส่วนหน่ึงนา่ จะได้รบั ความเห็นชอบจากคณะสงฆ์ และอีกสว่ นหนึง่ น่าจะ ได้รับความไว้วางจากใจพสกนิการทั่วเกาะลงั กา ถัดจากต�าแหนง่ มหาสามคี อื พระมหาสถวรี ะ ต�าแหน่งดังกล่าวเป็นหัวหน้าคณะแห่งคามวาสีและอรัญวาสี หลักฐานระบุว่าหากต�าแหน่งมหาสามีว่างลง พระมหากษัตริย์จะ พิจารณาคัดเลือกพระมหาสถวีระรูปหนึ่งข้ึนด�ารงต�าแหน่งสืบแทน สว่ นใหญล่ ว้ นตกเปน็ ของคณะสงฆส์ ายอรญั วาสี สนั นษิ ฐานวา่ คณะสงฆ์

มหาปรากรมพาหกุ ติกาวตั ร 101 อรญั วาสสี มยั นน้ั นา่ จะโดดเดน่ มากกวา่ คามวาสหี ลายเทา่ ไมว่ า่ จะกอปร ด้วยวัตรปฏิบัติอันงดงามแล้ว ความเช่ียวชาญแตกฉานด้านคัมภีร์ พระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถาน่าจะเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง สังเกตได้จากพระสงฆ์อรัญวาสีสมัยน้ันผลิตต�าราทางพระพุทธศาสนา เป็นจ�านวนมาก ส�าหรับคุณสมบัตินั้นไม่ได้ระบุชัดเจน แต่หากดูบริบท โดยรอบน่าจะหมายถึงพรรษายุกาลและคุณวุฒิประกอบการตัดสินใจ ประเด็นส�าคัญคอื ต�าแหน่งพระมหาสถวรี ะทัง้ สองคณะนนั้ ตอ้ งผา่ นการ รับรองจากสถาบันกษัตริย์ด้วย แม้จะได้รับการยอมรับจากคณะสงฆ์ ก็จริง แต่หากพระมหากษัตริย์ไม่เห็นด้วยก็ถือว่าต�าแหน่งยังไม่ได้รับ การยอมรับ ถัดจากตา� แหน่งพระมหาสถวรี ะคอื อายแตนนะ อายแตนนะหมายถึงเจ้าส�านักผู้ดูแลอายตนะน้อยใหญ่ พระสงฆ์ สามเณรผู้ปรารถนาศึกษาตามระบบการศึกษาคณะสงฆ์สมัยน้ัน ต้อง เข้าไปอาศัยตามอายตนะเหล่านี้ อายแตนนะน้ันได้รับการแต่งต้ังจาก คณะสงฆ์โดยตรง เน้นคณุ สมบตั ิวา่ มพี รรษาพ้นสบิ แล้วอีกทง้ั เป็นผมู้ าก ความสามารถด้วยคันถธุระและวิปัสสนาธุระ ต�าแหน่งอายแตนนะ สามารถเลือ่ นชน้ั ข้นึ เปน็ พระมหาสถวีระ โดยผา่ นการเห็นชอบของคณะ สงฆแ์ ละการรบั รองจากพระมหากษตั รยิ ์ เปน็ ทน่ี า่ สงั เกตวา่ ตา� แหนง่ อาย แตนนะนั้นพระราชอ�านาจมิได้เข้ามาก้าวล่วงแต่อย่างใด มอบหมายให้ คณะสงฆเ์ ปน็ ผพู้ จิ ารณาตดั สนิ ลงสงั ฆามตกิ นั เอง สนั นษิ ฐานวา่ คณะสงฆ์ สามารถตดั สนิ หรอื คดั เลอื กตวั แทนของตนเองไดโ้ ดยไมต่ อ้ งอาศยั พระราช

102 ศรลี ังกากตกิ าวตั ร อ�านาจ หรืออาจทรงทอดพระเนตรเห็นว่าการใช้พระราชอ�านาจล้วงลึก ภายในคณะสงฆม์ ากเกนิ ไป อาจเกิดความไม่พอใจแกพ่ ระสงฆก์ เ็ ป็นได้ ตา� แหน่งถัดมาเปน็ คณเดฏเตระ สนั นษิ ฐานวา่ ตา� แหนง่ คณเดฏเü ตระนา่ จะหมายถงึ พระสงฆห์ วั หนา้ ของแต่ละวัดหรือเจ้าอาวาส โดยทา� หนา้ ท่รี ับผดิ ชอบดแู ลความประพฤติ และการปฏิบัติของพระภิกษุสามเณรในอาวาสแห่งตน หลักฐานระบุว่า พระภิกษุผู้ด�ารงต�าแหน่งน้ีต้องทรงความรู้และรอบรู้สังฆกรรรม (Gunaratne Panabokke; 1993; 162) เป็นทีน่ า่ สังเกตว่าตา� แหน่งน้ี มิได้มาจากการคัดเลือกของพระสงฆ์ แต่ก�าหนดคุณสมบัติไว้เรียบร้อย หากพระเถระท่านใดผ่านเกณฑ์ก็ถือว่าสามารถร้ังต�าแหน่งดังกล่าวได้ ประเด็นค�าถามคือผู้ด�ารงต�าแหน่งน้ีสามารถเลื่อนชั้นเป็นอายแตนนะได้ หรือไม่ ผู้เขียนเช่ือว่าน่าจะไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะต�าแหน่งน้ีเป็นเพียง เจ้าอาวาสเท่านั้น มิได้รวมถึงอายแตนนะผู้ดูแลรับผิดชอบสถาบันการ ศึกษาขนาดใหญใ่ นนามว่าอายตนะ ประการสุดท้าย ทุกต�าแหน่งดังกล่าวมามิได้ท�าหน้าท่ีบริหารโดย ตวั คนเดยี ว แตเ่ ปน็ ไปในลกั ษณะของการกสงฆ์ กลา่ วคอื คณะกรรมการ หลายรปู ทา� หนา้ ทเ่ี สมอื นตวั แทนของพระสงฆส์ ามเณร การตดั สนิ ใจของ การกสงฆถ์ อื วา่ เปน็ มตเิ อกฉนั ท์ แมส้ ถาบนั พระมหากษตั รยิ ก์ ไ็ มส่ ามารถ คัดค้านได้ ผู้เขียนเห็นว่าด้วยลักษณะน้ีเองท�าให้การปกครองคณะสงฆ์ สมัยอาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะทรงประสิทธภิ าพ ๒.ö.ó การศึกษาของคณะสงฆ์ ระบบการศึกษาของคณะสงฆส์ มยั นี้แบง่ ออกเป็น ๓ ชั้น ดงั นี้

มหาปรากรมพาหกุ ตกิ าวตั ร 103 ๑) ชั้นต้นส�าหรับสามเณร ระยะเวลาของหลักสูตรมิได้ก�าหนด ตายตัว เพียงต้องการเตรียมผู้จะเข้าสู่การอุปสมบทให้เข้าใจพระธรรม วินัยเบ้ืองต้น กล่าวโดยย่อคือส�าหรับผู้มีอายุต่�ากว่า ๒๐ ปี ส�าหรับ หลักสูตรการเรียนการสอนช้ันน้ีใช้คัมภีร์ ๓ เล่ม กล่าวคือ คัมภีร์ เหรณสิขะ คัมภีร์เสขิยา และคัมภีร์ทสธัมมสูตร กล่าวเฉพาะคัมภีร์ เหรณสิขะและคัมภีร์เสขิยาน้ันไม่สามารถหาร่องรอยจากแหล่งใดได้ เพราะไม่มีหลงเหลือถึงปัจจุบัน สันนิษฐานว่าเน้ือหาอาจจะรวบรวมมา จากคัมภีร์จุลวรรคแห่งพระวินัยปิฎก (Godakumbura: 2561; 15) สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นคู่มือ½ƒกกิริยามารยาทเบื้องต้นส�าหรับผู้บวชใหม่ อาจคัดลอกเน้ือหามาจากเสขิยวัตรแห่งพระวินัยปิฎกแล้วปรับแต่ง ส�านวนให้สมสมัย เพื่อเป็นการง่ายต่อการท่องจ�าของสามเณร ส่วน คัมภีร์ทสธัมมสูตรหรือปัพพชิตอภิณหสูตรนั้นเน้ือหาคัดลอกมาจาก พระไตรปฎิ ก (อง.Ú ทสก. ๒๔/๔๘/๑๐๔-๑๐๕) นอกจากนนั้ สามเณร ผศู้ กึ ษาควรยนิ ดกี ารปลกี วเิ วกเพอ่ื ปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนากรรมฐานตามแนวทาง แหง่ วปิ สั สนาธรุ ะ โดยมอี ปุ ชั ¬ายห์ รอื อาจารยท์ า� หนา้ ทเี่ ปน็ กลั ยาณมติ ร คอยให้ค�าแนะน�า พร้อมกันกันนั้นสามเณรต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ เบอ้ื งตน้ และขอ้ วตั รปฏบิ ตั อิ นั ดงี ามของแตล่ ะอารามวหิ ารอยา่ งเครง่ ครดั ด้วย (Nandasena Ratnapala: 1971; 129) หลกั ฐานดังกล่าวชี้ให้ เห็นว่าสามเณรต้องอยู่ภายใต้การดูแลของอุปัช¬าย์อาจารย์อย่าง ใกลช้ ิด นอกจากประพฤตอิ าจาริยวัตรและอปุ ัช¬าย์วตั รแลว้ ยงั มีภาระ หนา้ ทข่ี องอารามวหิ ารเพมิ่ ขน้ึ ดว้ ย สนั นษิ ฐานวา่ หนา้ ทขี่ องแตล่ ะอาราม วิหารน่าจะเน้นการท�าความสะอาดตามศาสนสถานและสถานท่ีเรียน เปน็ หลกั นอกจากนน้ั นา่ จะเปน็ การจดั เตรยี มสถานทบ่ี ชู าตามลานวหิ าร เจดยี แ์ ละต้นโพธเ์ิ ปน็ ตน้

104 ศรลี ังกากตกิ าวัตร ๒) ช้ันกลางส�าหรับผู้ผ่านการอุปสมบทแล้ว เรียกชื่อว่านิสสยะ ระยะเวลาของหลกั สตู ร ๕ ปี สอดคลอ้ งกบั ระยะเวลาของภกิ ษผุ ถู้ อื นสิ ยั ตามพุทธบญั ญัติ (วิ.มหา. ๔/๑๐๓-๑๐๔/๑๕๗-๑๖๔) หลักสูตร การเรียนการสอนของชั้นนี้เริ่มต้นจากคัมภีร์ขุททกสิกขาและคัมภีร์ ปาฏิโมกข์แห่งพระวินัยปิฎก พร้อมท้ังทสธัมมสูตรและอนุมานสูตรจาก สุตตันตปิฎก คัมภีร์ขุททกสิกขาน้ันทราบแต่เพียงว่ารจนาโดยพระ ธรรมสิริเถระต้นฉบับดั้งเดิมไม่หลงเหลือตกทอดมาถึงปัจจุบันแล้ว (Godakumbura: 2561; 13) สนั นิษฐานว่านา่ จะเปน็ การคัดลอกเนอ้ื ความมาจากพระวินัยปิฎกเป็นหลัก โดยเฉพาะส่วนที่เห็นว่าเหมาะสม เพื่อวางเป็นเกณฑ์ส�าหรับผู้บวชใหม่ ส่วนคัมภีร์ปาฏิโมกข์หมายถึง วินัยสงฆ์ ๒๒๗ ข้อ ซ่ึงสงฆ์จะต้องยกขึ้นแสดงทุกครึ่งเดือน เพ่ือ สอบทานความบรสิ ทุ ธแิ์ หง่ ตน สา� หรบั เนอ้ื หาในทสธมั มสตู รหรอื ปพั พชติ อภิณหสูตรน้ันเป็นการสอบทานตนเองว่าเหมาะสมต่อเพศบรรพชิต หรอื ไม่ และเรง่ ปฏบิ ตั ธิ รรมใหบ้ รรลถุ งึ จดุ มงุ่ หมายสงู สดุ สว่ นอนมุ านสตู ร คดั ลอกมาจากพระไตรปิฎก (ม.มู. ๑๒/๑๘๑-๑๘๔/๑๘๖-๑๙๗) เป็นที่น่าสังเกตว่าเนื้อหาดังกล่าวข้างต้นเน้นให้ผู้เรียนต้องท่องจ�าจน ขน้ึ ใจ และเนอื้ หาของหลกั สตู รนนั้ นอกจากจะเหมาะสมกบั วฒุ ภิ าวะของ ผ้เู รียนแล้ว ยังเปน็ การเตรยี มความรู้เพื่อชนั้ สงู อกี ด้วย ส่งิ ทข่ี าดหายไป ของชน้ั นคี้ อื ความเขม้ ของการอปุ ฏั ฐากอาจารยแ์ ละอปุ ชั ¬าย์ สนั นษิ ฐาน วา่ ภาระหนา้ ทด่ี งั กลา่ วตา่ งเปน็ รกู้ นั ดนี บั แตช่ น้ั สามเณรแลว้ หรอื สามเณร อาจมีจ�านวนมาก นักศึกษาช้ันนี้จึงท�าหน้าท่ีส่วนที่สามเณรไม่สามารถ ท�าได้ เชน่ สังฆกรรมบางอยา่ ง ๓) ชั้นสูงส�าหรับผู้ผ่านชั้นกลางมาแล้ว หลักสูตรช้ันน้ีประกอบ ด้วยคมั ภรี ์มูลสกิ ขา คัมภรี ์เสขยิ า และคมั ภรี ส์ กิ ขวฬัณฑวนิ ิสะ เฉพาะ

มหาปรากรมพาหกุ ตกิ าวตั ร 105 คัมภีร์เสขิยาน้ันไม่มีหลักฐานระบุไว้ชัดเจน สันนิษฐานว่าน่าจะคัดลอก ข้อมูลมาจากเสขิยกัณฑ์ ซึ่งว่าด้วยกิริยาทางกายและทางวาจาท่ี เหมาะสมกับภิกษุ ส่วนคัมภีร์มูลสิกขานั้นเป็นผลงานของพระมหาสามี เถระ เปน็ คมั ภรี ค์ มู่ อื เลม่ เลก็ เกย่ี วกบั พระวนิ ยั เดมิ แตง่ เปน็ ภาษาบาลกี อ่ น ทจี่ ะแปลเปน็ ฉนั ทภ์ าษาสงิ หลในชอื่ วา่ มลู สกิ ขวฬณั ฑะ (Godakumbura: 2561; 13) เนื้อหาของคมั ภีรเ์ ลม่ น้เี ปน็ การรวบรวมพระวินยั บัญญตั ิพอ สังเขปเพ่ือให้ผ้อู า่ นเขา้ ใจ เร่ิมจากปาราชกิ เปน็ ตน้ จนถงึ ปาจิตตยี ์พร้อม วินัยจ�านวนหนึ่งซ่ึงผู้แต่งประกอบข้ึนเอง แต่เนื้อหาสอดคล้องเป็นใน ทิศทางเดียวกัน (Risiman Amarasinghe: 2014; 103-130) ส่วน คัมภีร์สิกขวฬัณฑวินิสะเป็นการแต่งขยายความต่อจากคัมภีร์มูล สกิ ขวฬนั ฑะ สนั นษิ ฐานวา่ เนอื้ หาเปน็ การผสมกนั ระหวา่ งภาษาบาลแี ละ ภาษาสงิ หล (Godakumbura: 2561; 13) ประเดน็ สา� คญั คอื ผเู้ รยี นตอ้ ง จดจ�าเนื้อความของคัมภีร์เหล่านี้อย่างข้ึนใจ เพราะมีการสอบทานทุก คร่ึงปี เป็นท่ีน่าสังเกตว่าหลักสูตรชั้นสุดท้ายเน้นคัมภีร์เกี่ยวกับกิริยา มารยาทเป็นหลักเหมือนชั้นสามเณร มิได้ขยายความรู้ต่อจากช้ันนิสยะ แต่อย่างใด สันนิษฐานว่าหลักสูตรชั้นน้ีออกแบบให้ผู้จบหลักสูตรท�า หน้าทเี่ ป็นอาจารยส์ อนสัง่ ศิษยต์ ่อไป หลกั สตู รสามชน้ั ดงั กลา่ วเบอื้ งตน้ ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ เนน้ ความสา� คญั ของ พระวินัยปิฎกเป็นหลัก โดยกล่าวถึงพระสุตตันตปิฎกเพียงเล็กน้อย ส่วนพระอภิธรรมปิฎกไม่กล่าวถึงเลย เป็นไปได้หรือไม่ว่าวินัยสงฆ์สมัย น้ันหย่อนยานมากจนต้องมีการปรับหลักสูตร เพ่ือเร่งสร้างพระสงฆ์ รนุ่ ใหม่ให้ประพฤติดีงามตามพระธรรมวินัย ซงึ่ น่าจะเปน็ พระราชปรารภ ของพระเจ้าปรากรมพาหุ ผู้ประสงค์จะเห็นพระสงฆ์ประพฤติดีงามเพื่อ

106 ศรีลงั กากตกิ าวัตร ให้เห็นผลในเร็ววัน จึงโปรดให้ก�าหนดหลักสูตรทุกชั้นโดยเน้นควบคุม พฤติกรรมของพระสงฆ์เป็นหลัก หากประมาณระยะเวลาการเรียนการ สอนของแตล่ ะชน้ั ๕ ปี กจ็ ะรวมเป็น ๑๕ ปี ย่อมถือว่ายาวนานพอ สมควรที่จะต้องศึกษาเฉพาะพระวินัยปิฎก น่าจะมีการเพ่ิมพระสุตตันต ปิฎกและพระอภิธรรมปิฎกบ้าง อีกประการหนึ่ง หากตรวจสอบคัมภีร์ ท่ีน�ามาเป็นหลักสูตรแล้วย่อมเห็นชัดว่าล้วนเป็นผลงานของบูรพาจารย์ ซึ่งมใิ ช่แตง่ ขนึ้ สมยั พระองค์ เป็นไปได้หรือไมว่ า่ ความรีบร้อนดงั กล่าวจงึ ทา� ใหพ้ ระสงฆน์ กั ปราชญส์ มยั นนั้ ไมส่ ามารถแตง่ คมู่ อื การเรยี นการสอน ได้ทัน จึงต้องน�าคัมภีร์ของบูรพาจารย์มาจัดเป็นคู่มือส�าหรับการเรียน การสอน ผลจากการจดั การเรียนการสอนปรากฏผลสา� เรจ็ เรว็ วัน เพราะมี พระนักปราชญ์ผลิตผลงานทางวิชาการเป็นจ�านวนมาก (Gatare Dhammapala: 2008; 37-51) เร่ิมต้นจากพระมหากัสสปเถระแห่ง สา� นกั อทุ มุ พรคริ วี หิ าร พระเถระรปู นไ้ี ดร้ บั มอบหมายจากพระเจา้ ปรากรม พาหุให้เป็นประธานสงฆ์ในการปฏิรูปพระศาสนา สันนิษฐานว่าท่านน่า จะเปน็ รปู หนง่ึ ซึ่งออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอนสมยั นนั้ พระเถระ รูปนี้ได้รับการยกย่องว่าเชี่ยวชาญด้านภาษาบาลี ภาษาสันสกฤตและ ภาษาสงิ หล ผลงานของทา่ น ไดแ้ ก่ ๑) คมั ภรี อ์ ภธิ มั มตั ถสงั คหฎกี าหรอื เรยี กอกี ชอ่ื หน่ึงวา่ โปราณฎกี า ๒) คัมภรี พ์ าลาวโพธนะหรอื ไวยากรณ์ ภาษาสันสกฤต และ ๓) คัมภีร์สมันตปาสาทิกาสันเนหรือคัมภีร์แต่ง อธบิ ายคมั ภรี ส์ มนั ตปาสาทกิ าของพระพทุ ธโฆสเถระ ประเดน็ นา่ สนใจคอื แมพ้ ระเถระจะมผี ลงานเชงิ ปราชญส์ ามเลม่ ดังกลา่ ว กลับไมม่ ีการน�าไป ใช้เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนเลย สันนิษฐานว่าเนื้อหาของคัมภีร์

มหาปรากรมพาหกุ ติกาวัตร 107 เหล่านั้นน่าจะลุ่มลึกยากต่อการเข้าใจของผู้ศึกษา น่าจะเป็นคัมภีร์อ่าน ประกอบโดยเฉพาะคมั ภรี ส์ มนั ตปาสาทกิ าสนั เน เพราะเนอื้ หาสอดคลอ้ ง กับหลักสูตรการเรยี นการสอน รปู ถดั มาเปน็ ศษิ ยเ์ อกของพระมหากาศยปเถระนามวา่ พระสารบี ตุ ร เถระ รปู นไี้ ดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ นกั ปราชญน์ ามอโุ ฆษแหง่ ยคุ โปโฬนนารวุ ะ ทา่ นไดน้ พิ นธค์ มั ภรี ห์ ลายเลม่ กลา่ วคอื ๑) คมั ภรี ส์ ารตั ถทปี นี ๒) คมั ภรี ์ สารัตถมัญชุสา ๓) คัมภีร์ปาลีมุตตกวินยวินิจฉัย คัมภีร์เหล่าน้ีล้วน แต่งเป็นภาษาบาลี ส่วนผลงานภาษาสันสกฤตคือ ๑) คัมภีร์ปัญจิกา ลังการะ และ ๒) คัมภรี ป์ ทาวตาระ และผลงานภาษาสงิ หลมีเลม่ เดยี ว ช่ือว่าอภิธรรมารถสังครสันนยะ คัมภีร์ผลงานของพระสารีบุตรเถระก็มี ลักษณะเดียวกันกับพระมหากาศยปเถระผู้เป็นอาจารย์ กล่าวคือมิได้ บรรจเุ ปน็ หลักสูตรการเรยี นการสอน สนั นิษฐานวา่ คัมภรี ์บางเล่มน่าจะ แต่งข้ึนภายหลังจากจัดการศึกษาสงฆ์เรียบร้อยแล้ว สุดท้ายคือ พระโมคคัลลานเถระ ท่านเป็นศิษย์อีกรูปหนึ่งของพระมหากัสสปเถระ ผลงานของทา่ นคอื คมั ภรี ไ์ วยากรณภ์ าษาบาลชี อื่ วา่ โมคคลั ลานวยากรณะ หรือบางครั้งเรียกว่าคัมภีร์สัททนีติ เป็นที่น่าสังเกตว่าผลงานของ พระเถราจารย์ช้ันปราชญ์ดังกล่าวล้วนกอปรด้วยภาษาบาลี ภาษา สันสกฤตและภาษาสิงหล แต่หลักสูตรการเรียนการสอนของคณะสงฆ์ สมัยนั้นกลับไม่ระบุชัดเจนว่าเน้นภาษาใด สันนิษฐานว่าน่าจะใช้ภาษา สิงหลเป็นหลักและเสริมด้วยภาษาบาลี สังเกตได้จากคัมภีร์ส�าหรับ ศึกษาเล่าเรยี นสมยั น้ัน

108 ศรลี งั กากตกิ าวัตร สัตตมหาปราสาทบริเวณวัดพระเขี้ยวแกว ภายในเมืองหลวงเกาโปโฬนนารุวะ (คัดลอก จาก www.google.co.th/maps) เทวาลัยของชาวฮินดู ภายในเมืองหลวงเกาโปโฬนนารุวะ (คัดลอกจาก www.google. co.th/maps)

มหาปรากรมพาหกุ ติกาวัตร 109 เสนาสนะบริเวณวัดเชตวันวิหาร ภายในเมืองหลวงเกาโปโฬนนารุวะ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps) สถูปเกาโบราณ บริเวณวัดเชตวนั วหิ าร ภายในเมืองหลวงเกาโปโฬนนารุวะ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps)

110 ศรลี ังกากตกิ าวัตร ซากปรักหักพังของเทวาลัย ภายในเมืองหลวงเกาโปโฬนนารุวะ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps) รูปสลักพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ภายในเมืองหลวงเกาโปโฬนนารุวะ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps)

มหาปรากรมพาหกุ ติกาวัตร 111 เสนาสนะบริเวณวัดเชตวันวิหาร ภายในเมืองหลวงเกาโปโฬนนารุวะ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps)

112 ศรีลงั กากตกิ าวัตร บริเวณโปคุลเวเหระหรือหอสมุด เมืองหลวงเกาโปโฬนนารุวะ (คัดลอกภาพจาก www.google.co.th/maps)

มหาปรากรมพาหกุ ติกาวัตร 113 บริเวณโปคุลเวเหระหรือหอสมุด เมืองหลวงเกาโปโฬนนารุวะ (คัดลอกภาพจาก www.google.co.th/maps)

114 ศรลี งั กากตกิ าวัตร

ดมั พเดณกิ ตกิ าวตั ร 115

บรรยายภาพ: ภาพวาดภายในพิพิธภัณฑ์พระแวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราช วัดมัลลวัตต มหาวหิ าร เมืองแคนดี

บทท่ี ๓ ดัมพเดณิกตกิ าวัตร ๓.๑ เกรน่ิ นำ� ดมั พเดณกิ ตกิ าวตั ร หมายถงึ กฎระเบยี บสำ� หรบั เปน็ หลกั ประพฤติ ปฏิบัติของพระสงฆ์สมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะ เกิดขึ้นจากพระ ราชโองการของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ (พ.ศ.๑๗๘๓-๑๘๑๓) โดยพระองคไ์ ด้อาราธนาคณะสงฆ์ใหป้ ระชุมกนั ช�ำระพระศาสนา เพ่อื ให้ ถูกต้องตามหลักค�ำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คร้ันเสร็จแล้วโปรด ใหต้ รากตกิ าวตั รขนึ้ ตามแนวทางแหง่ บรู พกษตั รยิ ์ การประชมุ ครงั้ นนั้ จดั ขน้ึ ทวี่ ดั วชิ ยั สนุ ทราราม (ปจั จบุ นั อยใู่ นเมอื งดมั พเดณยิ ะ เขตกรุ แุ ณคะละ มณฑลตะวันตกตอนเหนือ) สมัยน้ันเป็นพระอารามหลวงตั้งอยู่ภายใน บริเวณเมืองหลวงดัมพเดณิยะ (วัดแห่งน้ีไม่มีพระสงฆ์พ�ำนักอาศัยใช้ ประกอบพระราชพธิ ที างศาสนาเทา่ นน้ั ) สง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธท์ิ ป่ี ระดษิ ฐานภายใน วัดแห่งน้ีคือพระเข้ียวแก้ว ซ่ึงเป็นเสมือนศูนย์รวมใจของชาวสิงหลทุก รปู นาม และวดั แหง่ นถ้ี อื วา่ เปน็ ตน้ แบบทางสถาปตั ยกรรมและศลิ ปกรรม แห่งยคุ ดว้ ย กตกิ าวตั รสมยั อาณาจกั รดมั พเดณยิ ะนนั้ ไมม่ กี ารจารกึ ลงบนแผน่ หินเหมือนสมัยก่อน กษัตริย์โปรดให้จารลงในใบลานแล้วมีการคัดลอก แจกจ่ายไปตามวัดส�ำคัญท่ัวเกาะลังกา “เพื่อให้พระภิกษุสามเณรท่อง บ่นจนขึ้นใจ” และ “เพ่ือให้พระสงฆ์สวดสาธยายทุกวันอุโบสถ” สันนิษฐานว่าพระภิกษุสามเณรสมัยน้ันหละหลวมด้วยวัตรปฏิบัติจน ชินตา จึงเป็นเหตุให้มีการสวดสาธยายเช่นเดียวกับปาฏิโมกข์ ขณะ

118 ศรลี ังกากตกิ าวตั ร เดียวกันก็ช้ีให้เห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ก้าวล่วงอ�านาจของคณะ สงฆด์ ว้ ยการควบคมุ อยา่ งใกลช้ ดิ ลกั ษณะดงั กลา่ วนส้ี นั นษิ ฐานวา่ นา่ จะ เปน็ เหตผุ ลทางการเมอื งมากกวา่ ศาสนา เนอื่ งจากสมยั นนั้ เกาะลงั กาตก อยใู่ นลกั ษณะสมุ่ เสย่ี งตอ่ การสญู เสยี เอกราชเพราะมอี รริ าชศตั รรู อบดา้ น การจะควบคุมบ้านเมืองให้เป็นหน่ึงเดียว พระมหากษัตริย์จ�าต้องใช้ พระราชอ�านาจกับคนทกุ กล่มุ อย่างเดด็ ขาด ถามวา่ เหตใุ ดการจารเรอ่ื งราวในศลิ าจารกึ จงึ ไมป่ รากฏเหน็ สมยั น้ี นา่ จะมาจากสาเหตหุ ลายประการ ๑) การจารอกั ษรลงบนใบลาน น่าจะถึงความสมบูรณ์มากสุดยุคน้ี สังเกตได้จากคัมภีร์ส�าคัญทาง พระพุทธศาสนาซ่ึงได้รับอิทธิพลมาจากสมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะ มาถึงความสมบูรณ์พร้อมสมัยน้ี ด้วยเหตุดังกล่าว พระสงฆ์จึงไม่เห็น ความจา� เปน็ ตอ้ งจารเรอื่ งราวลงในศลิ าจารกึ เหมอื นสมยั กอ่ น ๒) คา่ นยิ ม ของพวกชา่ งงานศลิ ปเŠ ปลย่ี นไปจากสมยั เกา่ จากเดมิ สมยั โปโฬนนารวุ ะ นยิ มสลกั พระพทุ ธรปู จากแทง่ หนิ แตค่ รน้ั สมยั ดมั พเดณยิ ะกลบั นยิ มอยา่ ง อ่นื ความสา� คัญของการจารึกลงบนศิลาจงึ เปลีย่ นไป และ ๓) สถาบัน กษัตริย์อาจจะต้องการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะสมัยน้ันอาณา จักรดัมพเดณิยะแวดล้อมด้วยอริราชศัตรูพร้อมเข้ายึดครองตลอดเวลา การจะยึดตรึงอาณาประชาราษฎร์ให้รวมกันเป็นหน่ึงเดียวได้ นอกจาก พระราชอ�านาจแล้วการสร้างเอกลักษณ์ทางศิลปะก็เป็นอีกทางหน่ึง ดว้ ยเหตนุ นั้ ลกั ษณะงานดา้ นศลิ ปะของอาณาจกั รดมั พเดณยิ ะจงึ แตกตา่ ง จากสมัยกอ่ น เน้ือหาของดัมพเดณิกติกาวัตรสามารถแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน กลา่ วคือ ๑) เนอ้ื หานบั แต่เรม่ิ ตน้ เป็นการถอดข้อความมาจากปรากรม

ดมั พเดณิกตกิ าวัตร 119 พาหกุ ติกาวัตร แล้วสรุปจบท้ายดว้ ยการตรากตกิ าวัตรโดยพระเจา้ วชิ ยั พาหุท่ี ๓ การคัดลอกเนื้อหามาท้ังหมดช้ีให้เห็นถึงอิทธิพลสมัยโปโฬน นารุวะ ๒) เนื้อหาส่วนต่อมาพยายามช้ีให้เห็นถึงสาเหตุของการตรา กตกิ าวตั รครง้ั นี้ โดยความเหน็ ชอบของคณะสงฆผ์ า่ นการรอ้ งขอพระเจา้ แผน่ ดนิ โดยเนน้ ไปที่พฤตกิ รรมนอกรตี ของพระสงฆ์ และ ๓) เนอื้ หา กลา่ วถงึ กตกิ าวตั รคอ่ นขา้ งละเอยี ด เนน้ กลา่ วถงึ วตั รปฏบิ ตั ขิ องพระสงฆ์ อ�านาจหน้าที่ของพระเถระผู้ใหญ่ และการศึกษาของพระสงฆ์ ประเด็น น่าสนใจคือกติกาวัตรฉบับนี้เน้นความส�าคัญเรื่องการแต่งต้ังต�าแหน่ง ชั้นสูงของคณะสงฆ์ โดยให้สิทธิพิเศษแก่กุลบุตรผู้มาจากตระกูลสังคมุ และตระกลู คณแวสิ สนั นษิ ฐานวา่ สมยั นนั้ ตระกลู ทงั้ สองนา่ จะทรงอทิ ธพิ ล สงู สุดต่อสังคมชาวลังกา ó.๒ เหตุการณบ์ ้านเมือง อาณาจักรดมั พเดณยิ ะกอ่ ตัง้ ข้นึ โดยพระเจ้าวชิ ัยพาหทุ ี่ ๓ (พ.ศ. ๑๗๗๕-๑๗๘๓) โดยแยกตวั เปน็ อสิ ระจากเขตราชระฏะของพระเจา้ มาฆะผู้เป็นเชื้อพระวงศ์แห่งแคว้นกาลิงคะ เหตุที่พระองค์สามารถ ประกาศเอกราชจากพระเจา้ มาฆะไดน้ น้ั เพราะไดร้ บั การสนบั สนนุ จากเจา้ เมืองขนาดเล็กหรือเรียกว่าวันนิ (Rajavaliya: 2014; 58-59) คัมภีร์ มหาวงศก์ ลา่ ววา่ พระองคไ์ ดอ้ พยพชาวสงิ หลกลมุ่ หนงึ่ มาอยเู่ ขตมายาระฏะ ดังความว่า “ทรงปราบแคว้นมายาจนหมดเสี้ยนศัตรูให้สร้างเมืองน่า ร่ืนรมย์ มีก�าแพงและซุ้มประตูเมืองงดงาม บนยอดเขาชัมพุทโทณิอัน สูงยิ่ง พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงมีพระปรีชาได้ทรงพระเกษมส�าราญเสวย ราชสมบัติอยู่ ณ เมืองน้ัน” (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต

120 ศรลี งั กากตกิ าวัตร ภาค 2: 2553; 244) ตลอดระยะเวลาการครองราชย์แม้จะได้รับการ สนับสนุนเป็นอย่างดีจากเจ้าเมืองน้อยใหญ่ชาววันนิ แต่พระองค์หา สามารถขบั ไลพ่ ระเจา้ มาฆะออกจากเกาะลงั กาแลว้ กอบกบู้ า้ นเมอื งไดไ้ ม่ เพราะพระองค์ไม่สร้างพันธมิตรภายนอก ประวัติศาสตร์ศรีลังกาหลาย ครงั้ ทผี่ า่ นมาลว้ นระบวุ า่ ยามเมอื่ เกาะลงั กาตกอยภู่ ายใตก้ ารปกครองของ คนนอก กษัตริย์ลังกามักขอความช่วยเหลือจากอาณาจักรเพื่อนบ้าน ซง่ึ สว่ นใหญเ่ ปน็ อาณาจกั รทางอนิ เดยี ตอนใตแ้ ละพมา่ สนั นษิ ฐานวา่ ชว่ ง น้ันอาณาจักรทางอินเดียตอนใต้ก�าลังท�าสงครามแย่งชิงดินแดนกันเอง ระหว่างทมิฬโจฬะกบั ทมิฬปณั ฑยะ ส่วนอาณาจักรพกุ ามของพมา่ กอ็ ยู่ ในชว่ งเสอื่ มโทรมรอวนั ลม่ สลาย กอ่ นทีจ่ ะถกู พระเจา้ จักรพรรดมิ องโกล เข้าโจมตี (หม่องทินอ่อง: 2551; 75-81) คร้ันพระองค์สวรรคตสิ้นแล้ว พระราชโอรสพระนามว่าพระเจ้า ปรากรมพาหทุ ี่ ๒ (พ.ศ.๑๗๘๓-๑๘๑๓) ไดข้ ้นึ ครองราชยส์ บื แทน หนงึ่ ทศวรรษหลงั จากทรงเสพเสวยมไหศวรรย์ พระองคต์ อ้ งพบกับการ โจมตีครั้งใหญ่จากพระเจ้าจันทรภาณุผู้เป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักร ตามพรลิงค์ (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 2: 2553; 260) การบุกรุกโจมตีครั้งน้ีพระเจ้าจันทรภาณุต้องการครอบครองเกาะลังกา (Hatthavanagallaviharavamsa: 1956; 32) และต้องการควบคุม เส้นทางการค้าทางทะเล เนื่องจากสมัยนั้นศรีลังกาเป็นเส้นทางการค้า ข้ึนช่ือ (Chandra Richard de Silva: 2011; 99) นักวิชาการบาง ทา่ นแสดงความเหน็ วา่ พระเจา้ จนั ทรภาณบุ กุ รกุ เกาะลงั กาครานนั้ กระทา� ในฐานะโจรสลัด (Codrington: 1994; 77) สันนิษฐานว่าการบุกรุก เกาะลังกาของพระเจ้าจันทรภาณุน่าจะเป็นราโชบายแบบสิทธยาตรา

ดัมพเดณกิ ตกิ าวัตร 121 หรือการเดินทางอันศักด์ิสิทธ์ิด้วยความส�าเร็จ ซ่ึงเป็นธรรมเนียมของ กษตั รยิ แ์ หง่ อาณาจกั รศรวี ชิ ยั (Paul Michel Munoz: 2006; 124-125) เนื่องจากพระเจ้าจันทรภาณุเองก็เป็นชาวพุทธอาจทรงพิจารณาว่า เกาะลังกาเป็นสถานท่ีศักด์ิสิทธิ์เพราะเป็นสถานสถิตของพระเขี้ยวแก้ว บาตรของพระพทุ ธเจา้ และต้นพระศรีมหาโพธิ์ (พระมหานามเถระและ คณะบณั ฑติ ภาค 2: 2553; 10) การอญั เชญิ สงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธม์ิ าประดษิ ฐาน ในอาณาจักรตามพรลิงค์น่าจะท�าให้พระกิตติศัพท์เลื่องลือไปไกลเป็นที่ ยอมรบั ของชาววิเทศ สงครามคร้งั น้ันจบลงดว้ ยความพา่ ยแพ้ของพระเจ้าจนั ทรภาณุ ลว่ งเขา้ พุทธศักราช ๑๘๐๕ พระเจ้าจนั ทรภาณไุ ดย้ กทพั บุกรุก เกาะลงั กาอีกคร้งั (W.M. Sirisena: 2016; 48-51) คราวนพี้ ระองคไ์ ด้ ทรงสร้างสัมพันธไมตรีกับพระเจ้ามาฆะผู้ปกครองดินแดนราชระฏะ คาดเดาเอาวา่ อาจมกี ารตกลงแบง่ เกาะลงั กาเปน็ สองสว่ น กรณสี ามารถ ยึดครองอาณาจักรดัมเดณิยะได้สมมโนรถ พระองค์ได้เดินทัพจากด้าน เหนอื ของเกาะลงั กาพร้อมการสนบั สนนุ ของพระเจา้ มาฆะ ระหวา่ งทาง ได้เกลี้ยกล่อมชาวลังกาให้เข้าเป็นสมัครพรรคพวกเป็นจ�านวนมาก (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 1: 2553; 261) ประเด็น วิเคราะห์คือเหตุใดพระเจ้าจันทรภาณุจึงเป็นมิตรกับพระเจ้ามาฆะ สันนิษฐานว่าพระเจ้ามาฆะน่าจะเข้าร่วมรบกับพระเจ้าจันทรภาณุต้ังแต่ บกุ รกุ เกาะลงั กาหนแรก คราวนน้ั พระเจา้ จนั ทรภาณอุ าจเปน็ ผรู้ บั ผดิ ชอบ ในฐานะเปน็ แมท่ พั ใหญ่ ขณะทพ่ี ระเจา้ มาฆะทา� หนา้ ทเ่ี ปน็ ผสู้ นบั สนนุ ดว้ ย เสบียงอาหาร ส่วนสงครามครั้งนี้กษัตริย์ลังกาได้ขอความร่วมมือ จากกษัตริยป์ ณั ฑยะมาช่วยรบ พระเจา้ มาฆะซงึ่ เดมิ เป็นกองเสรมิ นา่ จะ

122 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร เห็นความแข็งแกร่งของ½่ายตรงกันข้าม จึงปรากฏตัวเคียงข้างพระเจ้า จันทรภาณุอยา่ งเปิดเผย คัมภีร์มหาวงศ์พรรณนาการเดินทัพของพระเจ้าจันทรภาณุครั้ง หลังไว้ว่า “พระเจ้าจันทรภาณุผู้เป็นจอมแห่งนรชน ได้เคล่ือนทัพใหญ่ บุกข้ามไปยังท่ามหาติตถะและสมทบกับกองทัพชาวะกะ พระองค์ทรง ปราบชาวสีหฬแคว้นปทีและแคว้นกุรุนทีไว้ใต้พระอ�านาจแล้วยกไป สภุ บรรพต ใหส้ รา้ งคา่ ยทหารแลว้ สง่ ทตู ไปทลู พระเจา้ วชิ ยั พาหวุ า่ เราจกั ยึดสีหฬทั้ง ๓ เขต จักไม่คืนแก่ท่าน ท่านจงมอบพระบรมธาตุ พระเขี้ยวแก้วของพระมุนีและราชสมบัติแก่เรา หรือไม่แล้วก็จงเร่งออก มาสรู้ บกัน” (พระมหานามเถระและคณะบัณฑติ ภาค 2: 2553; 296) ½่ายกษตั รยิ ล์ งั กาคร้ันเห็นว่าศกึ ครงั้ น้ีเกินกา� ลงั มากนกั จงึ ได้สง่ ราชทูต ไปขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าปัณฑยะผู้เป็นกษัตริย์แห่งแคว้น ปัณฑยะทางอินเดียตอนใต้ สมัยน้ันกษัตริย์แห่งอาณาจักรปัณฑยะ พระนามวา่ วรี ปัณฑยะ (Amaradasa Liyanagamage: 1963; 158) สงครามครง้ั สองพระเจา้ จนั ทรภาณกุ ต็ อ้ งพบกบั ความพา่ ยแพอ้ กี ครงั้ และ ทรงสวรรคตกลางสมรภูมิ (Rajavaliya: 2014; 117) สันนิษฐานว่า เนอื่ งจากกองทพั ของกษตั รยิ ท์ มฬิ ปณั ฑยะยงิ่ ใหญเ่ กรยี งไกร อกี ทง้ั รอบรู้ เชยี่ วชาญภมู ปิ ระเทศเปน็ อยา่ งดี ยอ่ มเปน็ เรอื่ งงา่ ยตอ่ การชงิ เอาชยั เหลา่ ทหารหาญของพระเจา้ จนั ทรภาณซุ ึ่งเดินทางขา้ มมหาสมทุ รมาไกล ถามวา่ เหตใุ ดลงั กาจงึ เชอื้ เชญิ กษตั รยิ แ์ หง่ ปณั ฑยะเขา้ มาชว่ ยเหลอื ตอบว่า เพราะความใกลช้ ิดฉันญาตมิ ิตร

ดมั พเดณกิ ตกิ าวตั ร 123 คัมภีร์กวสิฬุมิณะระบุว่าพระเจ้าวิชัยพาหุสังกัดราชวงศ์ปัณฑยะ (Codringon: 1994; 76) คัมภีร์เล่มนี้เป็นพระราชนิพนธ์ของพระเจ้า ปรากรมพาหผุ เู้ ปน็ พระราชโอรสของพระองคเ์ อง ความนา่ เชอื่ ถอื จงึ เปน็ ที่ยอมรับของนักวิชาการน้อยใหญ่ สันนิษฐานว่าพระเจ้าวิชัยพาหุเป็น เช้ือพระวงศ์สิงหลท่ีสืบสายโดยตรงมาจากพระเจ้าวิชัยพาหุผู้สถาปนา อาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะ กบั พระนางลลี าวดอี คั รมเหสผี เู้ ปน็ พระราชธดิ า ของกษตั รยิ ป์ ณั ฑยะ (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 1: 2553; 543-544) ดว้ ยเหตดุ งั กล่าว การที่กษัตริยท์ มฬิ ปัณฑยะชว่ ยเหลอื ลงั กา ขับไล่พระเจ้าจันทรภาณุแห่งอาณาจักรตามพรลิงค์ย่อมมิใช่เป็นเร่ือง ผดิ ปกติแต่อยา่ งใด ครนั้ มชี ยั เหนอื พระเจา้ จนั ทรภาณแุ ลว้ กษตั รยิ ท์ มฬิ ปณั ฑยะโปรด แต่งต้ังให้พระโอรสของพระเจ้าจันทรภาณุขึ้นเป็นกษัตริย์ครอบครอง บรเิ วณตอนเหนอื ของเกาะลงั กา (ปจั จบุ นั คอื เมอื งจฟั ฟนŠ า) ดว้ ยทรงอา้ ง ว่า “โอรสยอ่ มได้รบั สิทธอ์ิ นั เป็นมรดกพระราชบิดา” แม้กษัตรยิ ส์ งิ หลจะ ไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่สามารถคัดค้านได้ เพราะกองทัพชาวสิงหลหาได้มี กา� ลงั ทดั ทานกองทพั ชาวทมฬิ ความจรงิ คอื กษตั รยิ ท์ มฬิ ปณั ฑยะตอ้ งการ ให้พระโอรสของพระเจ้าจันทรภาณุท�าหน้าท่ีตรวจสอบและคานอ�านาจ กษตั รยิ ล์ งั กา เพอื่ ไมใ่ หเ้ ขม็ แขง็ เกนิ กวา่ จะควบคมุ ได้ ถอื วา่ เปน็ การถว่ ง อา� นาจของกษตั รยิ ศ์ รลี งั กา และเหตทุ ใี่ ชเ้ มอื งจฟั ฟนŠ าเปน็ ศนู ยก์ ลางการ ปกครอง กด็ ว้ ยเหตวุ า่ บรเิ วณนหี้ า่ งไกลจากเมอื งหลวงของกษตั รยิ ส์ งิ หล ประการหนึ่ง และเป็นเมืองท่าค้าขายส�าคัญอีกประการหนึ่ง นับแต่นั้น เปน็ ตน้ มาเกาะลังกาหาไดม้ ีสงครามหรือการกอ่ กบฏเกดิ ขน้ึ อีกไม่

124 ศรลี ังกากตกิ าวัตร ครั้นพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ สวรรคตล่วงแล้วสองทศวรรษ เกาะลงั กาตอ้ งพบกบั ความเปลยี่ นแปลงครงั้ ใหญ่ เมอ่ื กษตั รยิ ท์ มฬิ ปณั ฑยะ ได้ส่งเสนาบดีนามว่าอารยจักรวรัติเข้ามาครอบครองหัวเมืองทางตอน เหนือของเกาะลังกา (HCHC. I. part. II: 1960; 630) สนั นษิ ฐานว่า สมัยน้ันพระเจ้ามาฆะผู้ปกครองเขตราชระฏะหรือพระราชโอรสของ พระเจา้ จนั ทรภาณอุ าจจะสวรรคตแลว้ การสง่ เสนาบดเี ขา้ มาควบคมุ หวั เมืองทางตอนเหนือหมายถึงการควบคุมชะตากรรมของชาวศรีลังกา (Chandra Richard de Silva: 2011; 100) คัมภีร์มหาวงศ์อ้างว่า พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๓ (พ.ศ.๑๘๒๗-๑๘๓๙) ซ่ึงสมัยน้ัน เป็นกษัตริย์ปกครองอาณาจักรดัมพเดณิยะสืบแทนพระบรมชนกนาถ แต่ต้องย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่เมืองเก่าโปโฬนนานุวะตามค�าแนะน�า ของเสนาบดอี ารยจักรวรัติ (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 2: 2553; 300) เดชานุภาพของกษัตริย์ปัณฑยะแห่งอินเดียตอนใต้ท่ีเข้า ควบคุมเกาะลังกานั้นท�าให้กษัตริย์ลังกาเร่ิมหมดอ�านาจลง อีกทั้ง ชาวสิงหลท้ังมวลก็หมดท่ีพ่ึง สุดท้ายอาณาจักรดัมพเดณิยะจึงต้อง ล่มสลายกลายเป็นเพียงต�านานเท่านั้น รอเวลากษัตริย์ผู้กล้าเข้ามา กอบกบู้ า้ นเมอื งตอ่ ไป ó.ó การณ์พระศาสนา สมัยพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๓ สถาปนาอาณาจักรดัมพเดณิยะน้ัน เรื่องใหญ่ที่พระองค์ต้องเร่งลงมือคือการฟื้นฟูพระศาสนา เริ่มจาก ช�าระอธิกรณ์พระสงฆ์ผู้ประพฤตินอกธรรมนอกวินัย ประธานสงฆ์ครั้ง นน้ั คอื พระสงั ฆรกั ขติ สงั ฆราชผเู้ ปน็ ศษิ ยพ์ ระสารบี ตุ รเถระ พระเถระรปู นี้ สังกัดคณะสงฆ์คามวาสี สมัยน้ันท่านขึ้นร้ังต�าแหน่งพระมหาสามี (เทยี บพระสงั ฆราช-ผเู้ ขยี น) และพระเมธงั กรมหาเถระแหง่ สา� นกั อทุ มุ พร

ดัมพเดณิกตกิ าวัตร 125 คริ วี หิ าร½า่ ยอรญั วาสี นอกจากไตส่ วนพระสงฆผ์ ปู้ ระพฤตนิ อกธรรมนอก พระวนิ ยั แลว้ โปรดใหต้ รากฎระเบยี บหรอื กตกิ าวตั รเพอื่ เปน็ แนวประพฤติ ปฏิบัติส�าหรับพระสงฆ์ (พระสังฆราชเทวรักษิตะวิชัยพาหุ: 2559; 74) แต่หากสืบค้นหลักฐานจากกติกาวัตรจะเห็นว่าพระองค์ไม่ได้ออกกฎ ระเบยี บหรอื กตกิ าวตั รดงั กลา่ ว พระราชปรารภของพระองคม์ าสา� เรจ็ เปน็ รูปธรรมสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุผู้เป็นพระราชโอรส เป็นท่ีน่าสังเกต ว่าการตรากฎระเบียบหรือกติกาวัตรคร้ังนี้ เกิดจากความร่วมมือของ พระสงฆท์ ง้ั ½า่ ยคามวาสแี ละอรญั วาสี (Gunaratne Panabokke: 1993; 176) อีกเร่ืองหนึ่งคือครั้นเห็นว่าคัมภีร์ส�าคัญสูญหายไปเพราะภัย สงคราม พระองค์ได้โปรดให้พระสงฆ์นักปราชญ์ช่วยกันคัดลอกคัมภีร์ พระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถา นอกจากน้ัน พระองค์ได้ถวายความ อุปถัมภ์แก่พระสงฆ์สามเณรผู้เล่าเรียนคันถธุระ ด้วยทรงมีพระด�าริว่า “พระภิกษุสามเณรผมู้ คี วามศรัทธาเล่าเรยี นพระไตรปฎิ ก ท่องบ่นคลอ่ ง ปากอยเู่ สมอ ขออยา่ ไดล้ า� บากเพราะปจั จยั เครอื่ งเลยี้ งชพี จงมาสปู่ ระตู พระราชวังของเรา รับปัจจัยทุกอย่างตามต้องการเถิด” (พระมหานาม เถระและคณะบัณฑิต ภาค 2: 2553; 247) จะเห็นได้ว่าพระราช จริยาวัตรดังกลา่ วเปน็ ธรรมเนียมของกษตั รยิ ์ลังกา เพราะด�ารงในฐานะ ศาสนูปถัมภก การสงเคราะห์พระสงฆ์ด้วยปัจจัยชื่อว่าเป็นการด�ารง รกั ษาพระศาสนาอีกทางหน่งึ ครนั้ ลถุ งึ สมยั พระเจา้ ปรากรมพาหทุ ี่ ๒ พระองคไ์ ดป้ ระพฤตเิ ลยี น แบบพระบรมชนกนาถ ดังเช่น โปรดให้สร้างวิหารส�าหรับประดิษฐาน พระเขี้ยวแก้วและบาตรของพระพุทธเจ้า โปรดให้แต่งต้ังต�าแหน่ง พระเถระผใู้ หญ่ สรา้ งอารามวหิ ารถวายแดพ่ ระสงฆ์ และจดั พธิ อี ปุ สมบท

126 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร แก่กุลบุตรชาวสิงหล พร้อมกันน้ันโปรดให้สร้างปราสาททั้งภายใน พระนครและหวั เมืองรอบนอก คุณูปการของพระองค์ต่อพระศาสนานน้ั คัมภีร์มหาวงศ์อุปมาไว้ว่า “ดุจดวงจันทร์½ังขุมทรัพย์ไว้ในห้วงน�้า ทรงส่งเสริมพระศาสนาของพระตถาคตเจ้าผู้ทรงเป็นพระธรรมราชาให้ เจรญิ รงุ่ เรอื งโดยชอบธรรม” (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 2: 2553; 263-282) นอกจากนั้น ครนั้ ทรงสดับวา่ มพี ระสงฆป์ ระพฤตผิ ดิ เสยี หายจา� นวนมาก พระองคไ์ ดม้ อบหมายใหพ้ ระอรญั กเมธงั กรมหาสามี แห่งส�านักอุทุมพรคิรี ผู้เป็นศิษย์เอกของพระพุทธวังสวนรัตนเถระ พร้อมด้วยพระเถระผู้ใหญ่ช่วยกันไต่สวนอธิกรณ์ ขับไล่พระสงฆ์ผู้ ประพฤตเิ สยี หายออกจากหมคู่ ณะเสยี จากนน้ั ไดอ้ อกกตกิ าวตั รตราเปน็ กฎหมายตามความเหมาะสมแห่งพระวินัยสงฆ์ (พระสังฆรักษิตะวิชัย พาหุเถระ: 2559; 75) สันนิษฐานว่าพระองค์อาจจะประพฤติตาม พระเจา้ ปรากรมพาหมุ หาราชแหง่ อาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะ เพราะการจะ สร้างความม่ันคงให้แก่บ้านเมืองน้ัน ต้องสร้างความเข้มแข็งให้แก่พระ ศาสนาด้วย เพราะศาสนจักรและอาณาจักรตา่ งเกอ้ื หนุนกนั และกนั สมัยกษัตริย์พระองค์น้ีเกาะลังกามีปฏิสัมพันธ์ทางศาสนากับ อาณาจักรตามพรลิงค์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คราวหนึ่งพระองค์ทรง ทราบว่า “พระเถระรูปหนึ่งงดงามด้วยเดชแห่งศีลชื่อว่าธรรมกิตติ เม่ือพระเถระเดินบิณฑบาตมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับบนทางข้างหน้า ทรงปล้ืมปีติยินดีนัก ทรงส่งเครื่องธรรมบรรณาการ เพื่อสรงสนาน พระธาตุมีผงจันทร์หอม เป็นต้น และเคร่ืองราชบรรณาการอย่างดีเลิศ ไปยังแคว้นตัมพะ ทรงนิมนต์พระมหาเถระมาลังกาทวีป ทรงปลื้ม พระราชหฤทยั เสมอื นหนง่ึ วา่ ไดพ้ บพระอรหนั ต์ ทรงทา� ภาชนะบชู าสกั การะ

ดมั พเดณิกตกิ าวัตร 127 เป็นมหาบูชาแก่พระเถระอุปัฏฐากด้วยปัจจัยสี่โดยเคารพ” (พระมหา นามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 2: 2553; 264-265) หลกั ฐานดังกลา่ ว ช้ีให้เห็นว่าพระองค์ทรงศรัทธาพระเถระยิ่งนัก คราวน้ันโปรดให้สร้าง วดั ปา่ อรญั วาสนี ามวา่ ปลาภตั คละบรเิ วณทางขน้ึ ศรปี าทะถวายพระเถระ พรอ้ มถวายความอุปถมั ภ์ทุกสิ่งอยา่ ง หลกั ฐานจากคมั ภรี ส์ ามารถวเิ คราะหค์ ณุ สมบตั ขิ องพระธรรมกติ ติ เถระได้ ๓ ประการ ๑) มีศีลาจารวัตรงดงาม ๒) ทรงพระไตรปิฎก และ ๓) ทรงธุดงคคุณ หากตรวจสอบการศึกษาคณะสงฆส์ มยั อาณา จักรโปโฬนนารุวะและอาณาจักรดัมพเดณิยะจะเห็นว่า พระสงฆ์½่าย คามวาสีโดดเด่นด้านการทรงจ�าพระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถา ส่วน พระสงฆ์½่ายอรัญวาสีโดดเด่นท้ังการทรงจ�าพระไตรปิฎกและธุดงคคุณ หากเปน็ เชน่ นนั้ แสดงวา่ การศกึ ษาคณะสงฆใ์ นอาณาจกั รตามพรลงิ คน์ า่ จะไม่แตกต่างจากอาณาจักรดัมพเดณิยะ และพระธรรมกิตติเถระน่าจะ เป็นพระสงฆ์½่ายอรัญวาสีเพราะโดดเด่นท้ังสองด้าน แต่หากศึกษาราย ละเอียดจากเอกสารของอาณาจักรตามพรลิงค์สมัยเดียวกัน กลับไม่ พบเหน็ ความชดั เจนเรอื่ งการศกึ ษาคณะสงฆเ์ ลย สนั นษิ ฐานวา่ พระธรรม กิตติเถระรูปนี้อาจจะเป็นพระสมณทูตชาวลังกา ซ่ึงเดินทางไปเผยแผ่ พระศาสนายังอาณาจักรตามพรลิงค์ จนช่ือเสียงโด่งดังเป็นท่ีเคารพรัก ของพระเจา้ แผ่นดินตลอดสามญั ชนคนท่วั ไป คัมภีร์มหาวงศ์ระบุถึงสาเหตุการนิมนต์พระเถระ ๓ ประการ คือ ๑) ต้องการสนับสนุนพระศาสนา ๒) ต้องการรวมพระสงฆ์สอง นกิ ายให้เป็นน�า้ หนงึ่ ใจเดียวกัน และ ๓) น�าคมั ภรี ส์ า� คัญมาเกาะลังกา แต่หากมองในบริบทของประวัติศาสตร์สาเหตุดังกล่าวมีความสมเหตุ

128 ศรลี ังกากตกิ าวัตร สมผลน้อยมาก กล่าวเฉพาะการรวมสองนิกายให้เป็นหน่ึงเดียวน้ัน ขัดแย้งกับหลักฐานความเป็นจริง เพราะการปฏิรูปพระศาสนาสมัย พระเจ้าปรากรมพาหุน้ัน พระสงฆ์ท้ัง½่ายคามวาสีและอรัญวาสีล้วนให้ ความรว่ มมอื ช่วยเหลอื สงั คายนาคณะสงฆจ์ นประสบความส�าเร็จ ส่วน การน�าคัมภีร์ส�าคัญทางศาสนามาเกาะลังกานั้นย่ิงเป็นไปได้ยากนัก เพราะนับถึงปัจจุบันไม่ปรากฏหลักฐานว่าเมืองตามพรลิงค์หรือ นครศรีธรรมราชมีคัมภีร์ส�าคัญทางศาสนาเฉกเช่นศรีลังกา ยกเว้น ตา� นานท่มี เี ร่อื งราวสอดคล้องกบั คตคิ วามเชอ่ื ของลังกาเท่านนั้ การนิมนต์พระธรรมกิตติเถระมาเกาะลังกานั้นน่าจะเป็นเรื่อง การเมืองมากกว่าศาสนา เหตุการณ์น้ีน่าจะเกิดข้ึนภายหลังการท�า สงครามกบั พระเจา้ จนั ทรภาณแุ หง่ ตามพรลงิ คค์ รง้ั แรก เพราะมหี ลกั ฐาน ยืนยันว่าพระธรรมกิตติเถระมาลังกาตรงกับพุทธศักราช ๑๗๙๓ (IIangasinha: 2559; 65) ภายหลังสงครามระหว่างลังกากับตาม พรลงิ ค์ ๓ ปี สนั นษิ ฐานวา่ การทา� สงครามระหวา่ งลงั กากบั ตามพรลงิ ค์ นา่ จะสรา้ งความลา� บากใจใหแ้ กพ่ ระธรรมกติ ตเิ ถระในฐานะเปน็ สมณทตู ตัวแทนกษัตริย์ลังกา พระเจ้าปรากรมพาหุจึงได้ส่งราชทูตไปนิมนต์ ท่านกลับเกาะลังกา และด้วยลักษณะนิสัยของท่านเป็นพระนักปฏิบัติ กษัตริย์ลังกาจึงโปรดให้สร้างวัดอรัญวาสีบริเวณใกล้ศรีปาทะแล้ว น้อมถวาย คัมภีร์มหาวงศ์ระบุว่าพระธรรมกิตติเถระนั้นเช่ียวชาญศาสตร์ น้อยใหญ่ เช่น ตรรกศาสตร์และไวยากรณ์ นอกจากน้ัน ยังแตกฉาน ดา้ นการปฏบิ ตั ดิ ว้ ย ศษิ ยฆ์ ราวาสของพระเถระรปู แรกคอื เจา้ ชายภวู เนก พาหุผู้เป็นพระราชอนุชา กล่าวกันว่าพระมหาอุปราชพระองค์มีความรู้

ดัมพเดณกิ ตกิ าวตั ร 129 แตกฉานในคมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ กและอรรถกถา มคี วามสามารถแสดงธรรม แก่พระสงฆ์อย่างลึกซ้ึง (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 2: 2553; 265) ช่ือเสียงความเป็นปราชญ์ของพระธรรมกิตติเถระด้าน คันถธุระและวิปัสสนาธุระปรากฏเป็นรูปธรรมสมัยหลัง เม่ือศิษย์นาม อโุ ฆษหลายรปู ทรงความเปน็ ปราชญเ์ ชน่ เดยี วกบั อาจารยแ์ หง่ ตน พากนั สืบต่อประเพณีศิษยานุศิษย์ในนามว่าธรรมกีรติวงศ์ เป็นที่น่าสังเกตว่า ศิษยานุศิษย์สายน้ีล้วนได้รับการแต่งต้ังเป็นพระสังฆราชถึง ๓ รูป (Yatadolawatte Dhamma-visuddhi: 2559; 22-30) อีกประเด็นหน่ึงคือการให้ความส�าคัญแก่บุญสถานศักดิ์สิทธิ์รอบ เกาะลังกา นอกจากจะโปรดให้บูรณปฏิสงั ขรณ์สถานท่ศี ักดส์ิ ิทธ์บิ ริเวณ เมืองหลวงเก่าอนุราธปุระแล้ว ส่ิงหน่ึงซ่ึงให้ความส�าคัญพิเศษคือรอย พระพุทธบาทที่ศรีปาทะ โดยพระเจ้าปรากรมพาหุโปรดให้เสนาบดี เทวปรตริ าชะสรา้ งรปู ปน้ั สามนั ตเ์ ทพเจา้ และวหิ ารครอบรอยพระพทุ ธบาท พร้อมให้ถางทางสร้างถนนนับแต่พื้นเบื้องล่างจนถึงรอยพระพุทธบาท ชน้ั บน (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑิต ภาค 2: 2553; 278-279) นับแต่น้ันมาประเพณีการบูชารอยพระพุทธบาทเป็นท่ีรู้จักแพร่หลาย จนถึงปัจจุบัน กลายเป็นคตินิยมของชาวลังกาและแพร่หลายแก่นานา อารยวเิ ทศด้วย ó.ô สาเหตุการตรากติกาวัตร ข้อความบางแห่งในกติกาวัตรฉบับน้ีกล่าวถึงการตรากติกาวัตร ของพระเจ้าปรากรมพาหุแห่งอาณาจักรโปโฬนนารุวะ ด้วยความช่วย เหลือของคณะสงฆ์แห่งส�านักทิมบุลาคละวิหาร โดยมีพระราชประสงค์ วา่ “ในอนาคตกาลภายหนา้ คณะสงฆค์ วรมงุ่ มน่ั ตง้ั ใจศกึ ษาคนั ถธรุ ะและ วปิ สั สนาธรุ ะ ควรดา� รงเพศดว้ ยสมณธรรมดงั เชน่ ความสนั โดษ การรวม

130 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร คณะสงฆเ์ ปน็ หนง่ึ เดยี วยอ่ มทา� ใหพ้ ระศาสนาสามารถดา� รงคงอยอู่ ยา่ งไร้ มลทินถงึ ๕,๐๐๐ ป”ี การยกขอ้ ความของพระเจ้าปรากรมพาหุไว้แต่ เบ้ืองต้นน่าจะต้องการความชอบธรรมในการตรากติกาวัตรคร้ังนี้ หรือ กิตติศัพท์ความดีงามของพระเจ้าปรากรมพาหุยังทรงอิทธิพลจนถึง สมัยนี้ ส่ิงหน่ึงซ่ึงกติกาวัตรทั้งสองฉบับเห็นเหมือนกันคือการศึกษา คันถธุระและวิปัสสนาธุระ เพราะเชื่อว่าการศึกษาจะเป็นกลไกลพัฒนา คณะสงฆ์ให้สมบูรณ์พร้อมด้วยศีลาจารวัตร และเชี่ยวชาญแตกฉานใน คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนา เพราะลกั ษณะดงั กลา่ วประสบความสา� เรจ็ เปน็ รปู ธรรมชดั เจนสมัยอาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะ จุดเด่นชัดของกติกาวัตรฉบับนี้คือกระบวนการบวช เพราะมีการ ตรวจสอบหลายขั้นตอน เร่ิมต้นจากการตรวจสอบคุณสมบัติโดย พระเถระ ๓ รปู ไมว่ า่ จะเปน็ เรอื่ งอายุ การอนญุ าตของบดิ ามารดา หรอื การยินยอมของเจ้านายผู้ปกครองดูแล ฯลฯ ส�าคัญสุดคือมีการตรวจ สอบชาตแิ ละโคตรดว้ ย ประเดน็ หลงั นไ้ี มเ่ คยปรากฏเหน็ ในกตกิ าวตั รสมยั ก่อน ครั้นผ่านข้ันตอนเหล่าน้ีแล้วเป็นหน้าที่ของอุปัช¬าย์หรืออาจารย์ ต้องดูแลรับผิดชอบต่อไปจนกว่าจะพ้นนิสัยตามพระวินัยบัญญัติ หลกั ฐานดงั กลา่ วชใ้ี หเ้ หน็ วา่ สมยั นนั้ พระสงฆน์ า่ จะประพฤตผิ ดิ พระธรรม วนิ ยั ดาษดนื่ ทวั่ เกาะลงั กา จนเปน็ เหตใุ หก้ ษตั รยิ อ์ อกกตกิ าวตั รอยา่ งเขม้ งวด หรอื อกี นยั หนง่ึ พระองคต์ อ้ งการเหน็ ผลจากกตกิ าวตั รในเรว็ วนั จงึ ปรากฏเห็นความเข้มงวดดังกลา่ ว ประเด็นนา่ สนใจคอื พระสงฆ์ผูม้ ีส่วน ร่วมในการประชุมตรากติกาวัตรมิได้แสดงความเห็นแย้งแต่อย่างใด สังเกตได้จากโครงสร้างทางคณะสงฆ์มีการปรับเปล่ียนหลายบริบท ดังปรากฏในดัมพเดณิกติกาวัตร สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นการ ประนีประนอมระหว่างอาณาจักรกับศาสนจักร เหตุเพราะสมัยน้ัน

ดัมพเดณิกตกิ าวัตร 131 อาณาจกั รตอ้ งเผชญิ ศกึ หลายดา้ น หากจะเปดิ ศกึ ภายในกบั คณะสงฆจ์ ะ เป็นผลเสียสร้างความเสียหายใหญ่หลวง ด้วยเหตุนั้นคณะสงฆ์จึงโอน ออ่ นผอ่ นตามอาณาจกั รเพอ่ื ใหบ้ า้ นเมอื งสามารถดา� รงอยอู่ ยา่ งปลอดภยั ประเด็นน่าสนใจคือพระเถระผู้เป็นประธานการช�าระพระศาสนา สมยั นน้ั คือพระเมธงั กรมหาสามแี ห่งคณะสงฆ์อรัญวาสี พระเถระรปู นี้ เป็นศิษย์เอกของวนรัตนพุทธวังสเถระแห่งส�านักทิมบุลาคะวิหาร ซึ่ง สบื สายตอ่ มาจากพระมหากสั สปเถระและพระสารบี ตุ รเถระ (พระสงั ฆราช เทวรักษิตะวิชัยพาหุเถระ: 2559; 75) หลักฐานดังกล่าวชวนสงสัยว่า เหตุใดคณะสงฆ์อรัญวาสีจึงได้รับพระราชโองการให้เป็นประธานการ สังคายนาพระศาสนา เพราะสมัยน้ันพระสงฆ์คามวาสีท่ีโด่งดังด้านการ แต่งต�าราก็มีหลายรูป เป็นไปได้หรือไม่ว่าพระสงฆ์อรัญวาสีส่วนใหญ่มี วัตรปฏิบัติอันดีงาม อีกทั้งสังกัดตระกูลท่ีออกบวชจากตระกูลสูง ขณะ ทพี่ ระสงฆค์ ามวาสแี มจ้ ะโดดเดน่ ดา้ นการแตง่ คมั ภรี ท์ างพระศาสนากจ็ รงิ แต่อาจด้อยด้านวัตรปฏิบตั ิเพราะต้องคลุกคลีกบั ฆราวาส จึงเป็นเหตใุ ห้ กษตั รยิ ม์ อบหมายใหค้ ณะสงฆ์อรญั วาสที �าหนา้ ที่ปฏิรูปศาสนา ประเด็นสุดท้ายคือมีพระราชโองการให้น�ากติกาวัตรไปสวดทุกวัน อุโบสถเฉกเช่นปาฏิโมกข์ สันนิษฐานว่ากติกาวัตรฉบับนี้เป็นกฎหมาย ฉบบั สา� หรบั ควบคมุ พระสงฆผ์ ปู้ ระพฤตนิ อกรตี เพราะหากอาศยั พระวนิ ยั บัญญัตินั้นเป็นเร่ืองละเอียดอ่อนควบคุมได้ยากหรืออาจไม่เหมาะสมกับ ยคุ สมยั การออกกฎหมายควบคมุ พระสงฆย์ คุ นน้ั ตอ้ งใชก้ ตกิ าวตั รเทา่ นน้ั สว่ นผคู้ วบคมุ พระภกิ ษสุ ามเณรใหเ้ ปน็ ไปตามกตกิ าวตั รนน้ั เปน็ หนา้ ทข่ี อง พระผู้ใหญ่ชั้นหัวหน้าจนถึงช้ันสูงสุดคือพระมหาสามี นอกจากนั้น หากพบว่าพระเถระผู้ใหญ่รูปใดละเลยต่อหน้าท่ีปล่อยให้พระลูกศิษย์ ไมน่ า� พากตกิ าวตั รถือวา่ มีความผิดไมต่ ่างจากกฎหมายชาวบ้าน

132 ศรลี งั กากตกิ าวัตร วัดวิชยั สนุ ทรารามวิหาร ภายในเมอื งหลวงเกาดัมพเดณยิ ะ (คัดลอกจาก www.google. co.th/maps) รูปสลักชางศิลาทางข้ึนวิหารพระเข้ียวแกว บริเวณวัดวิชัยสุนทรารามวิหาร (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps)

ดมั พเดณิกตกิ าวัตร 133 บรเิ วณเมอื งหลวงเกา สมยั อาณาจกั รดมั พเดณยิ ะ(คดั ลอกจากwww.google.co.th/maps) ซากปรักหักพังของพระราชวัง บริเวณเมืองหลวงเกาดัมพเดณิยะ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps)

134 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร บริเวณวัดปลาภัตคะละหรือวัดไทยแหงแรกในศรีลังกา ปจจุบันเรียกวาวัดกีรติศรีราช สิงหวหิ าร บรเิ วณทางข้ึนศรปี าทะ ดา นเมืองรตั นปรุ ะ มณฑลสบรคามุวะ

ดมั พเดณกิ ตกิ าวตั ร 135 รูปปนพระเจาจันทรภาณุหรือพระเจาศรีธรรมาโศกราชบริเวณพระราชานุสาวรีย์ นครศรีธรรมราช (คดั ลอกจาก www.google.co.th/maps) หอพระศิวะภายในเมอื งนครศรีธรรมราช (คดั ลอกจาก www.google.co.th/maps)

136 ศรีลังกากตกิ าวตั ร วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช สัญลักษณ์ลังกาวงศ์แหงเมืองปกษ์ใต (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps) วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร สัญลักษณ์พุทธศาสนามหายานแหงเมืองปกษ์ใต (คดั ลอกจาก www.google.co.th/maps)

ดัมพเดณกิ ตกิ าวัตร 137 ó.õ ดัมพเดณกิ ติกาวตั ร (แปล) พระบรมศาสดาของชาวเราทง้ั หลายไดบ้ า� เพญ็ พระบารมคี รบถว้ น ๓๐ ประการ ตลอดสอ่ี สงไขยและหน่ึงแสนกัป ได้เสด็จขน้ึ ประทับใต้ต้น โพธซิ์ งึ่ เปน็ สถานผจญกบั พญามาร ทรงชา� นะมารผรู้ า้ ยกาจพรอ้ มบรวิ าร สิ้นแล้ว ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตลอดพระชนม์ชีพ ๔๕ พรรษา พระพุทธองค์ทรงปรากฏเสมือนมหาเมฆาเหนือทวีปทั้งส่ี ทรงหล่ังธรรมธาราดั่งน้�าอมฤตช่วยระงับดับเย็นแก่ปวงสรรพสัตว์ ผู้ เร่าร้อนด้วยไฟแห่งกิเลสตัณหาหลายแสนโกฏิกัปอันนับค�านวณมิได้ พระองคไ์ ด้เสด็จดบั ขันธปรนิ พิ พานภายใตต้ น้ สาละ ณ พระราชอุทยาน ของมลั ลกษตั ริย์แห่งเมืองกุสนิ ารา คร้นั พทุ ธปรินพิ พานลว่ งแลว้ ๔๕๔ พรรษา พระเจ้าวัฏฏคามิณี ไดเ้ สด็จข้ึนครองราชยเ์ หนือเกาะลงั กา ครั้นล่วงแล้ว ๑,๒๕๔ พรรษา ภายหลังพุทธปรินิพพาน คณะสงฆ์บนเกาะลังกาได้แตกแยกเป็นนิกาย น้อยใหญ่เป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาทรุดโทรมเส่ือมถอย สมัยน้ีแล กษัตริย์มหาราชผู้เสวยมไหศวรรย์พระนามว่าศรีสังฆโพธิปรากรมพาหุ ผู้สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้ามหาสัมมตะ พระองค์ผู้ทรงประสูติจาก ราชวงศ์สุริยโคตร ทรงเป็นราชาธิราชอุดมด้วยเดชานุภาพแผ่ไพศาล ทว่ั สารทศิ ทรงไดร้ บั พธิ มี ธรุ าภเิ ษกเปน็ กษตั รยิ ผ์ ยู้ งิ่ ใหญเ่ หนอื เกาะลงั กา และทรงเสพเสวยความเปน็ ราชาธิปัตยพ์ ร้อมบ�าเพญ็ บญุ บารมี คราวน้ันแลพระองค์ทอดพระเนตรเห็นกุลบุตรลังกา ผู้ทรงผ้ากา สาวพตั ร์พากนั ประพฤตเิ สียหาย ทา� ใหพ้ ระศาสนาดา่ งพรอ้ ยเสื่อมโทรม ไม่ยินดีรักษาพระธรรมวินัย ต่างพากันประพฤติผิดด้วยความเขลา

138 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร ชอ่ื วา่ เปน็ ความทกุ ขน์ า� ไปสอู่ บายภมู ิ ครนั้ แลว้ ทรงรา� พงึ วา่ “หากพระเจา้ จกั รพรรดเิ ฉกเชน่ เราทนเหน็ ความเสอื่ มแหง่ พระศาสนาอนั มวั หมองดว้ ย มลทนิ เชน่ นี้ เหน็ ทพี ระศาสนาจะเสอื่ มสญู เปน็ แน่ สตั วท์ งั้ หลายจะพากนั บังเกิดในอบายภูมิหมดสิ้น เห็นสมควรตัวเราจ�าต้องพิทักษ์รักษา พระศาสนาของพระศาสดาเจา้ เพอ่ื ใหม้ พี รรษายกุ าลมน่ั คงยาวนานจนถงึ ๕,๐๐๐ ป”ี ด้วยพระราชหฤทัยที่เปี›ยมด้วยพระเมตตาและกอปรด้วยพระ ปญั ญา พระองค์ทรงร�าพึงว่า “ใครหนอจะชว่ ยเป็นธุระฟนื้ ฟูพระศาสนา ท่ีเสื่อมโทรมเสียหาย เพื่อให้พระศาสนาของพระชินสีห์ไร้มลทินและ ด�ารงคงม่นั ถึง ๕,๐๐๐ ปี” คร้นั แล้วโปรดให้ประชุมหมสู่ งฆ์แห่งส�านัก มหาวหิ าร ผอู้ ยอู่ าศยั ทอ่ี ทุ มุ พรคริ วี หิ าร ซงึ่ มพี ระมหากาศยปมหาสถวรี ะ เปน็ ประธาน พระสงฆเ์ หลา่ นนั้ ลว้ นตกแตง่ ดว้ ยเครอ่ื งประดบั แหง่ อญั มณี กล่าวคือคุณธรรมคู่โลก เป็นผู้ส�ารวมกายวาจาและงามพร้อมด้วย ศีลาจารวัตรอันรักษาคุ้มครองดีแล้ว เป็นผู้มีการ½ƒก½นและหล่อเลี้ยง สงั่ สมดว้ ยคณุ ลกั ษณะอนั ดงี าม ไร้เสยี ซ่ึงขอ้ ตา� หนิติเตียน ครั้นแล้วพระองค์โปรดให้พระสงฆ์เหล่านั้นขับไล่พวกภิกษุอลัชชี หลายร้อยรูปออกจากพระศาสนาของพระศาสดาเจ้า เสมือนพระเจ้า ธรรมาโศกมหาราชทรงก�าจัดพระสงฆ์อลัชชี ด้วยการข่มข่ีพระสงฆ์ นอกรตี แลว้ ชา� ระพระศาสนาอนั เปอ้ื นมลทนิ ดว้ ยการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๓ โดยความช่วยเหลือของพระโมคคัลลีบุตรติสสมหาสถวีระ ผู้ด�ารงตน เสมอื นพระพุทธเจ้า พระเจ้าปรากรมพาหุน้ันได้แนะน�าคณะสงฆ์สามนิกายให้รวมกัน เป็นหน่งึ เดียว ทรงสรา้ งความปรองดองให้เกดิ ข้ึนกบั คณะสงฆ์ดว้ ยการ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook