ราชาธิราชสิงหะกติกาวัตร 339 ทตู ชาวฮอลนั ดาเขา เฝา กษตั รยิ แ์ หง อาณาจกั รแคนดี(คดั ลอกจากhttp//sing.raremaps.com) ทตู ชาวฮอลนั ดาเขา เฝา กษตั รยิ แ์ หง อาณาจกั รแคนดี(คดั ลอกจากhttp//sing.raremaps.com)
340 ศรลี ังกากตกิ าวตั ร ภาพวาดทาเรือเมอื งเนกอมโบ (https:://en.wikipedia.org) ขนุ นางแคนดพี รอ มเครอ่ื งทรงเตม็ ยศ(คดั ลอกจากwww.lankapura.com)
ราชาธริ าชสงิ หะกตกิ าวตั ร 341 ö.ö ทศั นะและวจิ ารณ์ ö.ö.๑ สองอารามคืออะไร? สองอารามหมายถงึ วดั มลั ลวตั ตมหาวหิ ารและวดั อศั คริ ยิ มหาวหิ าร ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่อยู่ภายใต้ราชูปถัมภ์ของกษัตริย์แห่งอาณาจักรแคนดี มานานกอ่ นการประดษิ ฐานสยามวงศ์ เดมิ ผบู้ รหิ ารดแู ลอารามสองแหง่ น้ี รจู้ กั กนั ในชอ่ื วา่ คณนิ นานเส ครน้ั พระเจา้ กรี ตศิ รรี าชสงิ หะโปรดสถาปนา สยามวงศแ์ ลว้ คณนิ นานเสแหง่ สองอารามตา่ งพากนั ยอมเปน็ ศษิ ยข์ อง พระแวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราช และเขา้ พิธีอุปสมบทภายใต้สยามนกิ าย หมดส้ิน อีกทั้งเป็นก�าลังส�าคัญในการบริหารคณะสงฆ์และช่วยเหลือ การเรียนการสอนตามระบบของพระแวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราช ลังกากุมารแสดงความเห็นต่างว่าลักษณะดังกล่าวไม่ได้เกิดจากความ สมัครใจอย่างแท้จริง เป็นเพียงวิธีการโอนอ่อนผ่อนตามสถานการณ์ เท่าน้ัน เป็นการหาช่องว่างให้ตนเองมีท่ีอยู่ดีกว่าถูกบังคับให้พ้นจาก ตา� แหนง่ เดมิ (ลงั กากมุ าร: 2560; 238-239) ดว้ ยเหตนุ น้ั คณนิ นานเส เหลา่ นน้ั จงึ เสมอื นเปลย่ี นรา่ งทรงใหมจ่ ากกลมุ่ อา� นาจเกา่ กลายเปน็ กลมุ่ อา� นาจใหมใ่ นนามสยามนกิ าย สงั เกตไดจ้ ากแมก้ ษตั รยิ แ์ ละพระแวฬวิ ฏิ ะ สรณังกรสังฆราชไม่สามารถควบคุมอันใดได้ เหน็ ควรเร่ิมตน้ รู้จกั กบั วัดอศั คริ ยิ มหาวหิ ารก่อน อารามแห่งน้ีถือว่าเป็นวัดเก่าแก่สุดในเมืองแคนดี หลักฐานระบุ ว่าสร้างสมัยอาณาจักรคัมโปละโดยพระเจ้าวิกรมพาหุท่ี ๑ (พ.ศ. ๑๙๐๒-๑๙๑๗) บริเวณอันเป็นจิตกาธานของพระราชมารดา คราวนนั้ พระองคม์ อบหมายใหส้ ริ วิ รรธนะเสนาบดเี ปน็ ผทู้ า� หนา้ ทค่ี วบคมุ
342 ศรีลังกากตกิ าวัตร งานการกอ่ สรา้ ง ครน้ั เสรจ็ แลว้ ไดม้ อบถวายแดพ่ ระสงฆส์ า� นกั วะลสั คะละ จากเมืองยาปหุวะ ซ่ึงมีชื่อเสียงโด่งดังด้านวิปัสสนาธุระ วัดอัศคิริย มหาวหิ ารรกั ษาอรญั วาสปี ระเพณตี อ่ เนอื่ งเรอื่ ยมา แตค่ รนั้ เขา้ สสู่ มยั แคน ดีตอนกลางได้เปล่ียนจารีตปฏิบัติเป็นคามวาสี (Kitsiri Malalgoda: 1976; 67) สันนิษฐานว่าคณะสงฆ์อารามแห่งน้ีอาจมีความใกล้ชิดกับ สถาบันกษัตริย์ สังเกตได้จากสมภารเจ้าอาวาสหลายรูปด�ารงต�าแหน่ง ราชครุ ุ (Kulatunge: 2018; 108-109) คร้ันล่วงเข้าสู่สมัยพระเจ้าวิมลธรรมสูริยะที่ ๑ (พ.ศ.๒๑๓๔- ๒๑๔๗) แห่งราชวงศ์เปราเดณิยะ สมภารเจ้าอาวาสวัดอัศคิริย มหาวหิ ารชอื่ วา่ ธรรมกรี ตภิ วู เนกพาหเุ ถระ (Kulatunge: 2018; 61-62) ประเดน็ นชี้ วนใหต้ คี วามวา่ พระเถระรปู นสี้ บื สายมาจากพระธรรมกติ ตเิ ถระ ผู้เป็นประธานสงฆ์ในการประกอบพิธีอุปสมบทกรรมสมัยพระเจ้าเสนา สัมมตวิกรมพาหุหรือปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรแคนดี (ลังกากุมาร: 2560; 266-268) ผเู้ ขยี นเชอื่ วา่ ธรรมกรี ตนิ า่ จะเปน็ สมญานามทกี่ ษตั รยิ ์ โปรดแตง่ ตั้งใหใ้ นฐานะเปน็ ผทู้ รงพระไตรปิฎก สว่ นคา� ว่า “ภวู เนกพาหุ” นา่ จะบง่ ถงึ เชอ้ื พระวงศแ์ หง่ อาณาจกั รคมั โปละ หากเปน็ เชน่ นน้ั แสดงให้ เหน็ วา่ อารามแหง่ นมี้ คี วามสา� คญั มากในฐานะมเี ชอ้ื พระวงศอ์ อกบวชแลว้ ครองอารามเป็นสมภารเจ้าอาวาส จงึ ไมแ่ ปลกทก่ี ษตั ริยแ์ ห่งอาณาจกั ร แคนดสี มยั นน้ั จะถวายราชูปถมั ภ์เปน็ อยา่ งดี สมัยต่อมาคณะศีลวัตรสมาคมโดยการน�าของสามเณรแวฬิวิฏะ สรณังกร เป็นที่ยอมรับของชาวลังกาและโด่งดังแพร่หลายในฐานะผู้ ปฏิบัติดีงามตามพระธรรมวินัย คณินนานเสผู้รั้งต�าแหน่งสมภารเจ้า อาวาสวดั อศั คริ ยิ ะมหาวหิ ารนามวา่ โคลแหนวตั เต ธมั มทสั สี (Kotagama
ราชาธิราชสงิ หะกติกาวัตร 343 Wachisara: 1961; 351) แมไ้ ม่มีหลักฐานยืนยันวา่ คณนิ นานเสทา่ นน้ี ทรงภูมคิ วามรมู้ ากน้อยเพยี งไร แต่การครองตา� แหนง่ สมภารเจ้าอาวาส ย่อมถือว่าได้รับการยอมรับท้ังจากคณินนานเสและสถาบันพระ มหากษัตริย์ หลักฐานบอกว่าสมภารเจ้าอาวาสแห่งน้ีมีส่วนร่วมในการ กราบทูลพระเจ้านเรนทรสิงหะ (พ.ศ.๒๒๕๐-๒๒๘๒) ให้ลงโทษ สามเณรแวฬวิ ฏิ ะสรณงั กรในฐานะไมแ่ สดงความเคารพเหลา่ คณนิ นานเส (พระมหาพจน์ สุวโจ: 2560; 19) คราวเมอื่ พระเจา้ กรี ตศิ รรี าชสงิ หะอาราธนานมิ นตพ์ ระสมณทตู ไทย โดยการน�าของพระอุบาลีมหาเถระมาประดิษฐานสยามวงศ์นั้น เหล่า คณินนานเสทั้งหมดของวัดอัศคิริยะมหาวิหารยอมเข้าร่วมพิธีอุปสมบท ด้วย ครั้นมีการแต่งตั้งพระแวฬิวิฏะสรณังกรให้ด�ารงต�าแหน่งสังฆราช คราวน้ันสมภารเจ้าอาวาสวดั อศั คริ ิยะนามวา่ พระอุรแุ ววตั เต ธรรมสทิ ธิ เถระ ไดร้ บั การแตง่ ตงั้ ใหด้ า� รงตา� แหนง่ พระมหานายกะแหง่ อศั คริ ยิ ะวหิ าร เชน่ กัน (พระมหาพจน์ สวุ โจ: 2560; 49) คราวเดยี วกนั นัน้ พระเจา้ กีรติ ศรีราชสิงหะโปรดถวายโบราณสถานสิบหกแห่งบริเวณเมืองเก่าโปโฬน นารุวะ มหิยังคณะวิหาร และมุตยิ ังคณวหิ าร รวมถงึ ดมั บุลลวหิ ารเป็น สมบตั ิของวัดอศั คริ ยิ ะมหาวิหาร (Kitsiri Malalgoda: 1976; 68) จะเห็นได้ว่าวัดอัศคิริยมหาวิหารทรงอิทธิพลต่อสังคมชาวสิงหล ไมน่ อ้ ย สนั นษิ ฐานวา่ อารามแหง่ นม้ี พี ระสงฆผ์ ทู้ รงปราชญเ์ ปน็ หลกั ของ อาณาจักรหลายรูปสืบเน่ืองต่อมา แม้ภายหลังจะเปล่ียนสถานภาพ เป็นนักบวชคณินนานเส ความทรงอิทธิพลก็หาได้เสื่อมคลายไม่ นอกจากน้ันอาจมคี วามเกย่ี วพันกบั เชือ้ พระวงศ์ เพราะหลักฐานระบุว่า
344 ศรีลังกากตกิ าวัตร สมภารเจา้ อาวาสวดั แหง่ นล้ี ว้ นดา� รงตา� แหนง่ ราชครุ หุ ลายรปู ดว้ ยเหตผุ ล ดังกล่าว อารามแห่งน้ีจึงได้รับความยอมรับจากสังคมเรื่อยมา แต่น่า เสยี ดายจารตี ปฏบิ ตั อิ นั เปน็ ของอรญั วาสเี ดมิ ไดเ้ ปลยี่ นแปลงไปกลายเปน็ คามวาสี แม้จะเป็นท่ียอมรับกันว่าอารามแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของ คณะสงฆ์อรัญวาสีก็จริง แต่เป็นการกล่าวถึงในฐานะวรรณคดีเท่านั้น (Gunaratne Panabokke: 1993; 218) อารามอีกแหง่ หนึง่ นามว่าวัดมัลลวัตตมหาวหิ าร ก่อนสร้างวัดมัลลวัตตะมหาวิหารนั้น พระสงฆ์คณะน้ีพ�านักอยู่ที่ วัดโปยมลุวิหารใกล้พระราชวัง หลักฐานระบุว่าสมัยพระเจ้าราชสิงหะ ที่ ๒ (พ.ศ.๒๑๗๘-๒๒๓๐) สมภารเจ้าอาวาสแห่งน้ีนามว่า โกบแบกฑุเว คณินนานเส ร้ังต�าแหน่งเจ้าเมืองปุตตลัมและต�าแหน่ง บัสนายกะนิลาเมแห่งเทวาลัยสี่แห่งของเมืองอุฑุนูวะระ (Kotagama Wachisara: 1961; 128) หลกั ฐานดงั กลา่ วชใี้ หเ้ หน็ วา่ สมภารเจา้ อาวาส แห่งน้ีมีอิทธิพลมากน้อยเพียงไร หลักฐานอีกแห่งหนึ่งระบุว่าพระสงฆ์ แหง่ อารามนลี้ ว้ นยา้ ยมาจากวดั อศั คริ ยิ มหาวหิ ารตงั้ แตแ่ รกตงั้ อาณาจกั ร แคนดี (Kotagama Wachisara: 1961; 352) หากเป็นเชน่ นนั้ แสดง ว่าสมภารเจ้าอาวาสแห่งน้ีน่าจะเข้าร่วมกับเจ้าอาวาสวัดอัศคิริยะ มหาวหิ าร ดว้ ยการกราบทลู พระเจา้ นเรนทรสงิ หะใหล้ งโทษสามเณรแวฬิ วฏิ ะสรณงั กรผไู้ มใ่ หค้ วามเคารพเหลา่ คณนิ นานเส (พระมหาพจน์ สวุ โจ: 2560; 19) สมัยต่อมาครั้นสถาบันกษัตริย์ให้การยอมรับคณะศีลวัตร สมาคม สามเณรสรณังกรและผองศิษย์ต่างเดินทางมาพ�านักที่วัด โปยมลวุ หิ าร พรอ้ มปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ภายในเมอื งหลวงแคนดี ดว้ ยเหตนุ นั้
ราชาธริ าชสงิ หะกติกาวตั ร 345 อารามแห่งนี้จึงเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระธรรมของคณะศีลวัตร สมาคมนบั แตน่ ั้นมา ส่วนบริเวณวัดมัลลวัตตมหาวิหารน้ัน พื้นที่เดิมเป็นพระราช อุทยานของพระเจ้าเสนาสัมมตวิกรมพาหุ ผู้เป็นปฐมกษัตริย์แห่ง อาณาจกั รแคนดี (พ.ศ.๒๐๑๒-๒๐๕๔) สมยั ตอ่ มาพระเจา้ วมิ ลธรรม สรู ยิ ะที่ ๑ โปรดใหส้ รา้ งอโุ บสถขนึ้ เพอ่ื ประกอบพธิ อี ปุ สมบทกรรม คราว พระสงฆ์อาณาจักรยะไข่โดยการน�าของพระนันทิจักกเถระและพระจันท วิมลเถระด�าเนินการจัดสังฆกรรม สมัยต่อมาพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ โปรดให้บูรณะพระอุโบสถขึ้นใหม่ เพ่ือประกอบพิธีอุปสมบทกรรมแก่ กุลบุตรสิงหล คราวน้ันพระอุบาลีมหาเถระของชาวไทยเป็นประธาน พธิ กี รรม (ลงั กากมุ าร: 2555; 152-154) สมยั นนั้ วดั มลั ลวตั ตมหาวหิ าร มสี องอารามชอื่ วา่ อโุ ปสถารามและปษุ ปาราม (Kulatunge: 2018; 111) พระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะโปรดให้รวมเป็นอารามเดียวกันนามว่าวัด มัลลวัตตะมหาวิหารแล้วมอบถวายแด่พระสังฆราชสรณังกร และทรง ขนานนามอีกช่ือหนึ่งว่าธรรมิการาม เพื่อร�าลึกถึงคุณงามความดีของ พระเจา้ ธรรมกิ ราชแหง่ สยามประเทศ (Kotagama Wachisara: 1961; 353) ครั้นวัดมัลลวัตตะมหาวิหารกลายเป็นศูนย์กลางม่ันคงดีแล้ว พระสงฆ์ ส่วนใหญ่จึงพากันย้ายจากวัดโปยมลุวิหารมาพ�านักอาศัยวัดมัลลวัตต มหาวหิ ารแห่งนี้ นับแต่นั้นเป็นต้นมา วัดมัลลวัตตมหาวิหารเป็นท่ียอมรับอย่าง รวดเร็ว เพราะหนึ่งน้ันเป็นท่ีอยู่ของพระแวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราช ผดู้ า� รงสถานภาพสงู สดุ ของคณะสงฆ์ สองนนั้ เปน็ ทพี่ า� นกั ของพระอบุ าลี
346 ศรีลังกากตกิ าวัตร มหาเถระผู้เป็นประธานในการประดิษฐานสยามวงศ์ สามน้ันบริเวณ ของวัดอยู่ใกล้พระราชวัง และสี่น้ันคณะสงฆ์มีความใกล้ชิดกับกษัตริย์ มากกว่าวัดอัศคิริยมหาวิหาร (Kulatunge: 2018; 83) นอกจากนั้น พระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะยังโปรดถวายอารามวิหารหลายแห่งรอบเกาะ ลังกาให้เป็นสมบัติของวัดมัลลวัตตมหาวิหาร ได้แก่ โบราณสถาน ทง้ั แปดแหง่ บรเิ วณเมอื งเกา่ อนรุ าธปรุ ะ สมโนละกนั ดะวหิ าร แกลาณยี ะ วิหาร และริดีวิหาร พร้อมกับอารามวิหารอีกหลายแห่งทางตอนใต้ ของอาณาจกั รแคนดี (Kitsiri Malalgoda: 1976; 68) สา� หรบั การบรหิ ารปกครองของสองอารามนนั้ กลา่ วคอื วดั มลั ลวตั ต มหาวหิ ารและวดั อศั คริ ยิ มหาวหิ าร แตล่ ะวดั ตา่ งมอี า� นาจปกครองตนเอง เปน็ เอกเทศ สา� หรบั ผูท้ า� หนา้ ทีเ่ ป็นประธานสงฆเ์ รียกวา่ พระมหานายกะ ซง่ึ ไดร้ บั การแตง่ ตง้ั จากพระมหากษตั รยิ ์ ถดั มาเปน็ รองประธานสงฆส์ อง รูปเรียกว่าอนุนายกะ ส่วนคณะกรรมการนายกะต้องผ่านการคัดเลือก ตวั แทนจากอารามวหิ ารภายในสงั กดั ทงั้ หมด สา� หรบั การตดั สนิ คดคี วาม นั้น หากเป็นเร่อื งภายในคณะสงฆ์คณะกรรมการนายกะสามารถตัดสิน ลงโทษได้เอง แต่หากคดีความใดเกี่ยวข้องกับกฎหมายบ้านเมือง ต้อง นา� เขา้ สกู่ ระบวนการยุติธรรม โดยมพี ระมหากษตั ริย์และคณะลกู ขุนเป็น ผตู้ ดั สนิ (Kitsiri Malalgoda: 1976; 67-68) ลกั ษณะดงั กลา่ วชใี้ หเ้ หน็ ชัดเจนว่าแต่ละอารามบริหารปกครองกันเองอย่างเป็นเอกเทศ โดยมี พระมหากษัตริย์ท�าหนา้ ทเ่ี สมอื นผถู้ วายความอุปถมั ภ์ แม้พระสรณงั กร สงั ฆราชกด็ า� รงฐานะเพยี งเปน็ ทเี่ คารพเทา่ นน้ั หาไดม้ อี า� นาจแทรกแซงไม่ สันนิษฐานว่าด้วยฐานเดิมเป็นคณินนานเสอีกทั้งมากมีเครือญาติ ผู้ด�ารงต�าแหน่งทางการเมือง ผสมแทรกกับประเพณีศิษยานุศิษย์ ปรัมปรา จงึ ท�าให้สองอารามต่างแยกกนั บริหารตนเองอย่างเปน็ อิสระ
ราชาธิราชสิงหะกตกิ าวัตร 347 แม้จะบริหารเปน็ อิสระแตก่ เ็ กิดขอ้ ขดั แย้งกันและกัน หลกั ฐานระบวุ า่ ความขดั แยง้ ระหวา่ งวดั มลั ลวตั ตมหาวหิ ารกบั วดั อศั คริ ยิ มหาวหิ ารเกดิ ขนึ้ ครงั้ แรกสมยั พระเจา้ กรี ตศิ รรี าชสงิ หะ ภายหลงั การสถาปนาสยามนกิ ายแลว้ ไมน่ าน เนอื่ งจากพระองคม์ อบถวายอาราม วิหารอันเป็นสมบัติของวัดอัศคิริยมหาวิหารแก่วัดมัลลวัตตมหาวิหาร (Kitsiri Malalgoda: 1976; 125) สนั นษิ ฐานวา่ การมอบถวายดงั กลา่ ว พระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะอาจมิได้ปรึกษาหรือขออนุญาตจากคณะสงฆ์ วัดอัศคิริยมหาวิหารเสียก่อน กล่าวกันว่านับแต่น้ันเป็นต้นมาพระสงฆ์ วดั อศั คริ ยิ มหาวหิ ารแสดงอาการหมางเมนิ ไมร่ ว่ มสงั ฆกรรมกบั คณะสงฆ์ วัดมัลลวัตตมหาวิหารอีกเลย แม้พระสรณังกรสังฆราชจะพยายาม ประนีประนอมด้วยการเข้าร่วมสังฆกรรมหลายคร้ัง หรือสับเปลี่ยนท่ี พา� นกั หลายตอ่ หลายครง้ั กห็ าไดเ้ กดิ ผลไม่ (พระมหาพจน์ สวุ โจ: 2560; 98) ผู้เขียนเชื่อว่าความขัดแย้งดังกล่าวน่าจะมาจากกษัตริย์เอง กล่าวคือ พระองค์ทรงใกล้ชิดพระสงฆ์วัดมลั ลวัตตะมหาวิหารมากกว่าวัดอัศคิริย มหาวหิ าร สองอารามขัดแย้งกันครั้งใหญ่หลังเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ พระเจา้ กรี ตศิ รรี าชสงิ หะ เหตเุ รม่ิ จากพระสงฆแ์ หง่ วดั มลั ลวตั ตมหาวหิ าร โดยการน�าของพระแวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราชและพระติบบฏüวาเว พุทธรักขิตเถระ ได้วางแผนลอบปลงพระชนม์พระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ คราวนั้นพระยฏวตั เตนายกเถระแหง่ วดั อศั คิรยิ มหาวหิ ารทราบความลบั ไดเ้ ขา้ ไปรายงานกษตั รยิ ถ์ งึ พระราชวงั เปน็ เหตใุ หม้ กี ารจบั กมุ และประหาร ชีวิตผู้ก่อกบฏเป็นจ�านวนมาก ส่วนพระสังฆราชและพระติบบฏüวาเว
348 ศรีลังกากตกิ าวตั ร พุทธรักขิตเถระน้ันโปรดให้ถอดสมณศักด์ิแล้วจองจ�าในฐานะนักโทษ (Dewaraja: 1972; 120-121) หลงั จากเหตกุ ารณค์ รง้ั นน้ั แลว้ พระเจา้ กีรติศรีราชสิงหะทรงหันมาใกล้ชิดคณะสงฆ์วัดอัศคิริยมหาวิหารใน ฐานะผู้ซ่ือสัตย์ต่อพระองค์และรักษาราชบัลลังก์แคนดี (Kitsiri Malalgoda: 1976; 67) ความขดั แยง้ คร้งั นี้น่าจะเป็นรอยร้าวคร้ังใหญ่ ระหว่างสองอาราม จนเป็นเหตุให้มีการกล่าวโจทก์กันอีกหลายครั้ง หลายหน แม้สมัยต่อมาเกาะลังกาตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษแล้ว ก็ตาม บางครั้งแม้จะมีคนกลางเข้ามาไกล่เกลี่ยแต่หาได้เกิดผลอันใดไม่ ทั้งสองอารามยังสรา้ งทิฐเิ ปน็ ก�าแพงกน้ั กนั และกนั ö.ö.๒ ระบบการบริหารบา้ นเมอื ง การปกครองสมัยอาณาจักรแคนดีมีลักษณะเดียวกันเฉกเช่น อาณาจกั รทวั่ ไป กลา่ วคอื ทกุ สงิ่ อยา่ งไมว่ า่ บนพน้ื ดนิ หรอื พน้ื นา้� ยอ่ มเปน็ สมบัติของพระเจ้าแผ่นดิน อีกทั้งมีอ�านาจเหนือหัวของอาณา ประชาราษฎร์ทุกตัวคน การตรากฎหมาย การบริหารราชการแผ่นดิน และการตดั สนิ คดคี วาม ล้วนต้องผ่านพระราชอ�านาจทัง้ ส้นิ กษตั รยิ จ์ ึง เป็นผู้มีอ�านาจสูงสุดเหนือกว่าผู้อ่ืนใด แม้กระนั้นพระองค์ต้องประพฤติ ปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายและประเพณขี องบา้ นเมอื ง สว่ นรชั สมบตั มิ กั สง่ มอบ ต่อพระอนุชาธิราชหรือพระราชโอรส หากกษัตริย์สวรรคตโดยไร้พระ อนุชาหรือพระราชโอรส เหล่าขุนนางผู้ใหญ่จะต้องปรึกษากันและ อคั รเสนาบดคี นท่ี ๑ ควรเสนอพระนามเชอ้ื พระวงศเ์ พอื่ บรหิ ารบา้ นเมอื ง แตต่ อ้ งเปน็ ผทู้ อี่ าณาประชาราษฎรย์ อมรบั ธรรมดากษตั รยิ ม์ กั ทรงปรกึ ษา กับขุนนางผู้ใหญ่และพระสงฆ์ช้ันมหาเถระ ซึ่งกลุ่มคนเหล่าน้ีล้วนทรง อิทธิพลและมีอ�านาจเหนือผู้คนตลอดอาณาจักร (Horace Perera:
ราชาธริ าชสิงหะกตกิ าวัตร 349 1959; 91) จะเห็นได้ว่าแม้พระมหากษัตริย์จะทรงเป็นผู้มีอ�านาจสูงสุด เหนอื ชวี ติ ของพสกนกิ รทกุ คน แตพ่ ระราชภารกจิ อนั ใดมกั ผา่ นความเหน็ ชอบของขุนนางผู้ใหญ่และพระสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์ด้วย ลักษณะเช่นนี้ ถือว่าเป็นคตินิยมของกษัตริย์ตลอดดินแดนอุษาคเนย์ สันนิษฐานว่า หากเป็นพระราชโองการโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของเหล่าขุนนางและ พระสงฆ์ผู้ใหญ่ อาจจะขาดความชอบธรรมกลายเป็นผลเสีย เพราะ พสกนิกรมองว่าขาดทศพิธราชธรรม กล่าวตามประเพณีพระเจ้าแผ่นดินทรงปกครองบ้านเมืองผ่าน ขนุ นางนอ้ ยใหญ่ อาณาจกั รแคนดนี น้ั แบง่ การปกครองออกเปน็ ๒ เขต ตามอา� นาจ หน้าที่ของอัครเสนาบดี กล่าวคือเขตตอนเหนือและตะวันออกของ อาณาจกั รบรหิ ารดแู ลโดยอคั รเสนาบดคี นท่ี ๑ ดา� รงตา� แหนง่ ปลั เลคมั ปเห ส่วนเขตตอนใตแ้ ละตะวันตกบริหารดแู ลโดยอัครเสนาบดคี นที่ ๒ ด�ารง ต�าแหน่งอุดคัมปะเห (Horace Perera: 1959; 91) อัครเสนาบดีน้ัน ถอื วา่ เปน็ ผสู้ งู สดุ ดว้ ยชาติ ดว้ ยตา� แหนง่ และการสรรเสรญิ ยอมรบั เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทบ่ี รหิ ารบา้ นเมอื งและดแู ลจดั งานเทศกาลอนั สา� คญั เกย่ี วกบั พระราชพธิ ี และบูรณปฏิสังขรณอ์ ารามวหิ ารตามพระราชโองการ รวม ถึงควบคุมดูแลกรมคชสารและงานสาธารณ์ประโยชน์ทั่วไป (Perera: 1955; 140-141) ตา� แหนง่ ทงั้ สองมอี า� นาจสงู สดุ รองจากพระมหากษตั รยิ ์ พระราชโองการทุกสิ่งอย่างผ่านอัครเสนาบดีท้ังสองท่านนี้และส่งต่อไป ยงั ขนุ นางนอ้ ยใหญ่ เปน็ ทนี่ า่ สงั เกตวา่ ตา� แหนง่ ทงั้ สอง พระมหากษตั รยิ ์ มกั ทรงแต่งตั้งขนุ นางผู้มศี ักด์เิ สมอกัน กล่าวคอื มีเครือญาตติ ระกูลทรง
350 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร อิทธิพลเท่าเทียมกัน หรือมีความผูกพันใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ เหมือนกัน สันนิษฐานว่าการแต่งต้ังดังกล่าวเป็นการคานอ�านาจกัน ระหว่างอัครเสนาบดีทั้งสอง โดยมิให้ผู้ใดทรงอิทธิพลเสมอพระมหา กษัตรยิ ์ เพราะจะเปน็ ยากตอ่ การควบคมุ นอกจากน้ัน ตา� แหน่งอคั รเสนาบดที งั้ สองยงั มีหนา้ ทค่ี วบคุมการ ท�างานของทาสและไพร่ เป็นประธานในการตัดสินคดีความ และก�ากับ กา� ลงั พลตามอา� นาจหนา้ ทข่ี องตน ประเดน็ นช้ี ใี้ หเ้ หน็ วา่ นอกจากมอี า� นาจ หน้าที่ในการบริหารปกครองคนในเขตของตนแล้ว อัครเสนาบดียัง สามารถสะสมก�าลังพลได้อีกด้วย และย่ิงสามารถตัดสินคดีความได้เอง ย่ิงท�าให้ต�าแหน่งอัครเสนาบดีมีคนต้องการมากข้ึน จึงไม่แปลกอันใดท่ี ต�าแหน่งดังกล่าวน้ีมักจบลงด้วยการถูกประหารชีวิต ด้วยข้อหาสะสม ก�าลังเพ่ือก่อการกบฏ เป็นท่ีน่าสังเกตว่าต�าแหน่งอัครเสนาบดีท้ังสอง แต่งต้ังเฉพาะขุนนางตระกูลสูงชาวสิงหลเท่าน้ัน ไม่มีการแต่งตั้งเช้ือ พระวงศช์ าวทมฬิ เลย สนั นษิ ฐานวา่ ตา� แหนง่ อคั รเสนาบดตี อ้ งทา� งานใกล้ ชิดกับขุนนางใหญ่น้อยตามล�าดับ และต้องได้รับการยอมรับจากชาว สิงหล หากแต่งต้ังเช้ือพระวงศ์ชาวทมฬิ น่าจะส่งผลร้ายมากกวา่ ผลดี ต�าแหน่งถัดต่อมาเรียกว่าทิสสาเว (เจ้าเมือง-ผู้เขียน) สมัยนั้น อาณาจักรแคนดีแบ่งการปกครองออกเป็น ๑๖ ทิสสวานิ (หัวเมือง- ผู้เขียน) และ ๙ ระฏะ (ต�าบล-ผู้เขียน) ส�าหรับผู้ปกครองดูแลต�าบล เรียกว่ารเตมะหันมะยะ (ก�านัน-ผู้เขียน) ขุนนางช้ันทิสสาเวและรเตมะ หนั มะยะมหี นา้ ทรี่ กั ษาความสงบ ออกคา� สง่ั ภายในบรเิ วณของตน ปฏบิ ตั ิ ตามพระราชโองการอย่างเคร่งครัด จัดเก็บภาษี ดูแลเกษตรกรรมและ พาณิชกรรม ตัดสินคดีความช้ันต้น และแนะน�าหรือแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้าน
ราชาธิราชสิงหะกติกาวัตร 351 ภายใต้การปกครองดูแล นอกจากนั้นยังด�ารงต�าแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ ทหาร แต่รั้งต�าแหน่งต่�ากว่าอัครเสนาบดี (Horace Perera: 1959; 91-92) แม้จะดูเหมือนว่าต�าแหน่งทิสสาเวและรเตมะหันมะมีขอบเขต อา� นาจเสมอื นอคั รเสนาบดี แตค่ วามเปน็ จรงิ ตา� แหนง่ ทงั้ สองตา่ งอยภู่ าย ใตก้ ารดูแลของอคั รเสนาบดี บางครง้ั บางโอกาสหากมองเห็นวา่ เปน็ ภยั ต่อตน อัครเสนาบดีมักกราบทูลกษัตริย์ให้ถอดถอนหรือประหารชีวิต เปน็ ทนี่ า่ สงั เกตวา่ ตา� แหนง่ ทงั้ สองมกั ผกู พนั กนั ในเครอื ญาติ เพอ่ื หนนุ สง่ ตา� แหนง่ อัครเสนาบดใี หท้ รงอิทธพิ ลมากข้นึ ตา� แหน่งถัดมาเรียกว่าโกฬะเร (นายบา้ น-ผเู้ ขียน) เป็นผ้บู รหิ ารดู แลโกฬะเร (หลายหมู่บา้ นรวมกนั ) ตา� แหน่งอตุโกรเฬเป็นผู้บรหิ ารดแู ล ปัตตุ และต�าแหน่งวิทาเน (ผู้ใหญ่บ้าน) เป็นผู้ปกครองดูแลหมู่บ้าน ขุนนางเหล่านี้ทั้งหมดต้องปฏิบัติตามพระราชโองการอย่างเคร่งครัด มีหน้าที่เก็บส่วยและตัดสินคดีความเบื้องต้นภายในขอบเขตอ�านาจ แหง่ ตน ต�าแหน่งเหล่าน้ีไม่ได้เก่ียวข้องกับทหารแต่อย่างใด (Horace Perera: 1959; 92) สนั นษิ ฐานวา่ เนอื่ งจากปกครองดแู ลบรเิ วณอนั นอ้ ย จงึ ไมจ่ า� เปน็ ตอ้ งมกี า� ลงั ทหารสา� หรบั ปอ‡ งกนั รกั ษาตนเอง ตา� แหนง่ เหลา่ นน้ี า่ จะทา� งานลกั ษณะเหมอื นเลขาของทสิ สาเวและรเตมะหนั มะยะ เพราะ ต�าแหน่งดังกล่าวต้องผ่านการเห็นชอบจากทิสสาเวและรเตมะหันมะ และน่าจะการผกู พนั ในเชงิ เครือญาติดว้ ย ตา� แหนง่ ทงั้ หมดดงั กลา่ วไมม่ เี งนิ ประจา� ตา� แหนง่ พระมหากษตั รยิ ์ มักทดแทนด้วยการพระราชทานท่ีดินให้เป็นสมบัติของตระกูล เรียกว่า นินทคัม แม้จะเป็นส่ิงของพระราชทานแต่นินทคัมสามารถขายหรือ
352 ศรลี ังกากตกิ าวัตร บริจาคให้อารามวิหารได้ ขุนนางน้อยใหญ่มักแสวงหาทรัพย์สิน หลายทาง ดังเช่น ค่าธรรมเนียมการแต่งตั้งต�าแหน่งส�าคัญ เป็นที่น่า สังเกตว่าขุนนางท่านใดได้รับการแต่งตั้งเพ่ือด�ารงต�าแหน่งใดต�าแหน่ง หนึง่ ต้องถวายราชทานบรรณาการแกพ่ ระมหากษัตรยิ ์ทกุ ปี และลดต�่า เรื่อยมาจนถึงต�าแหน่งชั้นต่�าสุด ลักษณะเช่นน้ีสามารถพิเคราะห์ได้ว่า เป็นการแสดงออกถึงการสวามิภักดิ์ต่อกษัตริย์แห่งตน รายได้อีกส่วน หนึ่งของพวกขุนนางคือเก็บค่าธรรมเนียมการพิจารณาคดีความ และ ค่าปรับหรือภาษีศาล เฉพาะอัครเสนาบดีน้ันมีสิทธ์ิปรับค่าธรรมเนียม บริเวณชายแดนด้วย ค่าธรรมเนียมและค่าปรับอาจจ่ายเป็นเงินหรือ สง่ิ ของอยา่ งอน่ื ได้ ดว้ ยเหตนุ น้ั พวกขนุ นางและครอบครวั จงึ รา่� รวยมงั่ คง่ั (Horace Perera: 1959; 92) ประเด็นน่าศึกษาเพ่ิมเติมคือการตัดสินคดีความมักมากด้วยอคติ การตัดสินของขุนนางถือว่าเป็นยุติห้ามแย้งหรือว่าคัดค้าน เพราะการ พิจารณาคดีความไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร อีกทั้งการเดิน ทางกล็ า� บาก หากจะรอ้ งเรยี นตอ้ งใชเ้ วลาเดนิ ทางหลายวนั อกี ทงั้ ทพี่ กั ก็ ไม่สะดวก เหนือส่ิงอื่นใดค่าปรับสินไหมมักเป็นไปตามการก�าหนดของ ขุนนาง ลักษณะเช่นนี้จึงเปิดช่องให้มีการรับสินบนอย่างเปิดเผย การ ตัดสินคดีความยังผูกกับการเก็บภาษีของพวกขุนนางด้วย หากเห็นว่า ใครร้องเรียนต่อศาล พวกขุนนางมักเรียกเก็บภาษีเพ่ิมขึ้นหลายเท่าตัว (Horace Perera: 1959; 93) เปน็ ทนี่ า่ สงั เกตวา่ ทุกคนล้วนยอมรบั การ ตัดสินคดีความ แม้จะโต้แย้งบ้างก็มีน้อย เหตุเพราะสมัยนั้นสังคมชาว ศรลี งั กายดึ มน่ั ในระบบวรรณะซง่ึ เชอื่ มโยงกบั หนา้ ทกี่ ารงาน การจะสรา้ ง อ�านาจต่อรองย่อมเป็นเร่ืองยากนัก เพราะมักจบลงด้วยความเสียหาย ใหญ่หลวง
ราชาธิราชสิงหะกตกิ าวตั ร 353 ตา� แหนง่ อกี กลมุ่ หนง่ึ จดั เปน็ กรมกอง ไดแ้ ก่ ๑) ตา� แหนง่ มดเุ วเลกมั ท�าหน้าท่ีดแู ลการทา� งานของทหาร ๒) ต�าแหน่งมดิเกเลกมั ทา� หน้าที่ ดูแลเกวียนเทียมด้วยโคกระบือ ๓) ต�าแหน่งนนยกระเลกัม ท�าหน้าท่ี เก็บบนั ทึกการรับภาษี และ ๔) เวทิการและโกดติ วุ กั กุเลกัม ทา� หนา้ ท่ี ดูแลเหล่าปืนใหญ่และพลเดินเท้า ต�าแหน่งเหล่านี้มีขุนนางผู้ใหญ่ดูแล และข้ึนตรงต่อกษัตริย์เท่านั้น ขุนนางเหล่านี้มิได้รับเงินเดือนแต่ได้รับ พระราชทานท่ดี ินแทน Horace Perera: 1959; 92-93) หากพิเคราะห์ ให้ละเอียดจะเห็นว่าขุนนางต�าแหน่งเหล่านี้มิได้ข้ึนตรงต่ออัครเสนาบดี ทั้งสอง แต่มีอ�านาจบริหารเป็นอิสระข้ึนตรงต่อพระมหากษัตริย์เท่าน้ัน ต�าแหน่งส่วนใหญ่ล้วนเก่ียวกับก�าลังพล เป็นไปได้หรือไม่ว่าก�าลังพล เหล่านี้เป็นกองเสริมท�าหน้าท่ีสนับสนุนพระมหากษัตริย์ ย่อมสามารถ คานอ�านาจกับอัครมหาเสนาบดีได้โดยตรง และอาจเป็นไปได้ว่าผู้รั้ง ต�าแหน่งดังกล่าวเหล่านี้น่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ชาวทมิฬ ซึ่งกษัตริย์ ไว้วางพระราชหฤทยั หากมองโครงสร้างการปกครองจะเห็นว่ามีลักษณะเป็นปิรามิด กษตั รยิ ผ์ อู้ ยชู่ นั้ บนสดุ ยอ่ มเปน็ เรอ่ื งยากทจี่ ะรเู้ หน็ ความเปน็ ไปของพสกนกิ ร ทุกหมู่เหล่า การจะออกกฎหมายหรือพระราชโองการมักจะเป็นไปตาม การกราบบังคมทูลของขุนนางน้อยใหญ่ จึงไม่แปลกอันใดที่ชาวเมือง แคนดีจะให้ความเคารพเช่ือฟังอัครเสนาบดีหรือขุนนางน้อยใหญ่ชาว สิงหลมากกว่าพระมหากษัตริย์ ด้วยเหตุนี้กษัตริย์จึงหันไปสนับสนุน พระสงฆ์ นอกจากเป็นการเอาใจอาณาประชาราษฎร์แล้ว ยังสามารถ รับรู้ความเป็นไปของบ้านเมืองผ่านพระสงฆ์ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นไปใน ลกั ษณะของการแสดงธรรมเทศนา
354 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร บรรดาขุนนางน้อยใหญ่สมัยแคนดี ต�าแหน่งอัครเสนาบดีท้ังสอง ทรงอิทธิพลสูงสุด นอกจากมีอา� นาจส่งั สมก�าลังพลแลว้ ยังสามารถเกบ็ ภาษไี ด้อย่างอสิ รเสรี ขอบเขตของอา� นาจการปกครองมลี ักษณะเหมอื น ต�าแหน่งสมุหกลาโหมและสมุหนายกของไทย เพราะแบ่งขอบเขตการ ปกครองปักษ์ใต้½่ายเหนือเช่นกัน แต่อาณาจักรแคนดีมีความพิเศษ มากกวา่ กลา่ วคอื ตา� แหนง่ ขนุ นางนอ้ ยใหญภ่ ายใตอ้ าณาเขตตน ตอ้ งผา่ น การคัดเลือกจากอัครเสนาบดีแต่ละท่าน โดยความเห็นชอบของพระ มหากษัตริย์ นอกจากน้ัน ขุนนางที่อัครเสนาบดีคัดเลือกนั้นมักเป็น เครอื ญาตผิ มู้ วี รรณะเสมอกัน จงึ เปน็ เรอ่ื งงา่ ยตอ่ การควบคุมและก�ากบั ดูแล และเป็นเรื่องยากที่ขุนนางน้อยใหญ่ภายใต้การก�ากับดูแลของตน จะประทว้ งหรอื ขดั ขืน ความทรงอิทธิพลของต�าแหน่งอัครเสนาบดีท้ังสอง เป็นสิ่งท่ี กษตั ริย์ทมิฬราชวงศ์นายกั การ์ทรงทราบดี เพราะแต่ละพระองค์ตา่ งเข้า มาพ�านักอาศัยอาณาจักรแคนดีแต่ทรงพระเยาว์ การจะลิดรอนอ�านาจ ของอัครเสนาบดีย่อมเป็นภัยมากกว่าเป็นคุณ เพราะต�าแหน่งดังกล่าว ล้วนสืบต่อทางตระกูลและได้รับการยอมรับจากชาวสิงหลทุกตัวคน การจะแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์ชาวทมิฬแทนที่ย่อมเป็นเร่ืองเส่ียงต่อการ ล่มสลายของราชวงศ์ทมิฬ ด้วยเหตุนั้น กษัตริย์ชาวทมิฬจึงป‡องกัน อิทธิพลของอัครเสนาบดีทั้งสองคือ ๑) หันมาอุปถัมภ์พระสงฆ์ทุกสิ่ง อย่าง นอกจากได้รับการยอมรับจากชาวพุทธสิงหลแล้ว ยังเกิดความ ผกู พนั ใกลช้ ดิ กบั พระสงฆ์ ซงึ่ พระสงฆล์ ว้ นเปน็ ญาตกิ บั ขนุ นางนอ้ ยใหญ่ รอบเกาะลังกา เรื่องราวน้อยใหญ่ของขุนนางท่ัวอาณาจักรแคนดีล้วน ส่งผ่านมาจากพระสงฆ์ จึงเป็นเร่ืองง่ายท่ีพระมหากษัตริย์จะทรงรับรู้
ราชาธริ าชสิงหะกติกาวัตร 355 เรอื่ งราวของบา้ นเมอื งเปน็ อยา่ งดี ๒) ทรงแตง่ ตง้ั ตา� แหนง่ ขนุ นางผใู้ หญ่ ท�าหน้าท่ีดูแลก�าลังพลโดยข้ึนตรงต่อพระมหากษัตริย์ ก�าลังพลในที่นี้ หมายรวมถึงการเกณฑ์ชายหนุ่มตามหัวเมืองน้อยใหญ่รอบอาณาจักร แคนดี โดยอัครเสนาบดีไม่สามารถคัดค้านได้เพราะเป็นพระราชโองการ และ ๓) ทรงแต่งต้ังต�าแหน่งอัครเสนาบดีให้มีชาติตระกูลเสมอกัน ลักษณะดังกล่าวเป็นการคานอ�านาจกันเองระหว่างขุนนางผู้ใหญ่ชาว สิงหล ถือว่าเป็นกุศโลบายท่ีชาญฉลาด เพราะอัครเสนาบดีท้ังสองมี ลกั ษณะขดั แยง้ มากกวา่ เปน็ มติ ร บางครง้ั ถงึ กบั กราบทลู ขอ้ ผดิ พลาดของ กันและกัน จนเป็นเหตุใหม้ ีการประหารชีวติ แต่ความมากอทิ ธพิ ลของอัครเสนาบดกี ็ยากทจี่ ะควบคุม เพราะมี ปัจจัยภายนอกเข้ามาแทรกแซงกล่าวคือพวกอาณานิคมตะวันตก ซ่ึงล้วนต้องการครอบครองเกาะลังกาแทบทั้งส้ิน เพราะสมัยนั้นถือว่า เปน็ ศนู ยก์ ลางควบคมุ การคา้ สา� คญั แหง่ มหาสมทุ รอนิ เดยี ความตอ้ งการ ดงั กลา่ วมกั ไดร้ บั การชว่ ยเหลอื จากอคั รเสนาบดี โดยมสี งิ่ แลกเปลยี่ นคอื ตา� แหนง่ พระมหากษตั รยิ ์ จงึ ไมแ่ ปลกทอี่ คั รเสนาบดหี ลายทา่ นจะใกลช้ ดิ กับเจ้าอาณานิคมเหล่านี้ แม้บางคร้ังจะถูกกษัตริย์ชาวทมิฬหาเลศอ้าง เรอ่ื งกบฏเขา้ จบั กมุ ประหารชวี ติ หลายทา่ น แตห่ าไดต้ ดั วงจรความคดิ เชน่ นไ้ี ด้ สดุ ทา้ ยอคั รเสนาบดที า่ นหนง่ึ ไดเ้ ปดิ ประตเู มอื งใหอ้ งั กฤษเขา้ ยดึ ครอง อาณาจักรแคนดีจนสูญเสียบ้านเมืองหมดสิ้นอิสรภาพ สันนิษฐานว่า เพราะศาสนูปถัมภ์ของกษัตริย์ทมิฬสมัยหลังขาดหายไป จึงเป็นเหตุให้ พระสงฆ์เอาใจออกห่าง หันไปสนับสนุนขุนนางน้อยใหญ่ให้ล้มล้าง ราชวงศน์ ายักการ์ แล้วฟ้นื ฟูราชวงศ์สงิ หลข้นึ มาใหม่
356 ศรีลังกากตกิ าวัตร วหิ ารวดั ปิฏเิ ยเคดะระ เมืองแคนดี วหิ ารวัดคังคาราม เมอื งแคนดี
ราชาธริ าชสิงหะกติกาวัตร 357 วดั คลั มดวุ ะวหิ าร เมอื งแคนดี ไมแกะสลักนกั รบ วหิ ารแอมแบกเก นอกเมอื งแคนดี
358 ศรีลังกากตกิ าวตั ร รูปปูนปนพระแวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราช กับภาพวาดเจากีรติศรีราชสิงหะ วิหารวัดปิฏิเย เคดะระ เมืองแคนดี
ราชาธริ าชสิงหะกตกิ าวตั ร 359 ภาพวาดชาวสงิ หลทาํ สงครามกบั อังกฤษ (ภาพวาดโดย Prasanna Weerakkody)
360 ศรีลังกากตกิ าวัตร การแตงกายของสตรีเด็กหญิงและเด็กชายสมัยอาณาจักรแคนดี (คัดลอกจาก www.lankapura.com)
บรรณานุกรม ã'î' ch;,s l ^2002&' l;ls dj;a iÕrd' je,,A ïmás h# j;rq uÞQ Kd,h' จดหมายเหตุของวิละภาเคทะระ เรื่องคณะทูตลังกาเข้ามาประเทศสยาม และสยามปู สมั ปทา จดหมายเหตุเรอ่ื งประดษิ ฐานพระสงฆ์สยามวงศ์ ในลังกาทวีป (๒๕๕๖). แปลและเรียบเรียงโดย นางนันทนา วรเนติวงศ.์ นครปฐม: บญุ เจรญิ อนิ เตอร์เทรด จำ� กดั . จดหมายเหตแุ หง่ พทุ ธอาณาจกั รของพระภกิ ษฟุ าเหยี น (๒๕๖๑). แปลโดย พระยาสุรินทรฤาชยั . นนทบรุ ี: สำ� นกั พมิ พ์ศรีปัญญา. ถงั ซ�ำจั๋ง: จดหมายเหตกุ ารณ์เดนิ ทางสู่ดินแดนตะวนั ตกของมหาราชวงศ์ถงั (๒๕๔๗). แปลโดย ชิว ชหู ลุน. กรงุ เทพมหานคร: สำ� นักพิมพม์ ตชิ น. พระธรรมกิตติ (๒๕๔๔). คัมภีร์ทาฐาธาตุวงศ์ ต�ำนานพระเข้ียวแก้ว. ปริวรรตและแปลโดยนายสวาท เหล่าอุด. กรุงเทพมหานคร: ธีรพงษ์ การพมิ พ.์ พระพุทธโฆสเถระ (๒๕๔๘). คัมภีร์วิสุทธิมรรค. แปลโดย สมเด็จพระ พุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ). Taiwan: The Corporate Body of the Buddha Educational Foundation. -------------------. (๒๕๕๐). สมนั ตปาสาทิกา ภาค ๒. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพม์ หาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. -------------------. (๒๕๕๒). ปปัญจสูทนี. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . -------------------. (๒๕๕๓). มโนรถปูรณี ภาค ๑. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย.
-------------------. (๒๕๖๐). สัมโมหวิโนทนี. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (๒๔๖๘). สมณศาสนพระ เถระธรรมยุตกิ ามไี ปยงั ลังกาทวีป. พระนคร: โรงพมิ พ์บ�ำรงุ นกุ ลู กิจ. พระปิฎกจูฬาภัยเถระ (๒๕๔๙). มิลินทปัญหา. กรุงเทพมหานคร: สำ� นกั พมิ พศ์ ิลปาบรรณาคาร. พระมหานามเถระและคณะบัณฑติ (๒๕๕๓). คมั ภีรม์ หาวงศ์ ภาค ๑-๒. แปลโดย ผศ.สเุ ทพ พรมเลศิ . กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. พระสังฆราชเทวรักษิตะวิชัยพาหุ (๒๕๕๙). นิกายสังครหยะ: (บันทึก การพระศาสนาของชมพทู วปี และลงั กา). แปลโดย พระมหาพจน์ สวุ โจ, ดร. นครปฐม: สาละพิมพการ. พิมพ์ร�ำไพ เปรมสมิทธ์ (๒๕๒๕). ความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนาระหว่าง ไทยกบั ลงั กาตงั้ แตร่ ชั กาลสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ จนถงึ รชั กาล พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั . จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั : วิทยานพิ นธ์อักษรศาสตรมหาบณั ฑติ . รามัญสมณะวงศ์ (๒๕๕๒). แปลโดย พระมหาวิชาธรรม (เรือง เปรียญ) แปลจากจาฤกสลิ ากลั ยาณี. นนทบรุ :ี สำ� นักพิมพ์ศรีปัญญา. ลังกากุมาร (๒๕๕๒). ตามรอยพระอุบาลีไปฟื้นฟูพระศาสนาท่ีศรีลังกา. นครปฐม: สาละพมิ พการ. .................. (๒๕๖๐). เล่าเรื่องเมือง(ศรี)ลังกา: รวมบทความวิชาการใน วาระครบรอบหนงึ่ ศตวรรษ. นครปฐม: สาละพมิ พการ.
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ (๒๕๔๖). เรื่องประดิษฐานพระสงฆ์สยามวงศ์ในลังกาทวีป. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนกั พิมพม์ ติชน. หมอ่ งทินอ่อง (2551). ประวัตศิ าสตร์พมา่ . กรงุ เทพมหานคร: มูลนธิ โิ ครงการ ตำ� ราสงั คมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศาสตร์. อายติ ตาลยิ ดั เด มหุ นั ดริ มั (๒๕๖๐). สงั ฆราชสาธจุ รยิ า (บนั ทกึ เกยี รตปิ ระวตั ิ พระสรณังกรสังฆราชเถระ). แปลโดย พระมหาพจน์ สุวโจ, ดร. นครปฐม: สาละพมิ พการ. Godakumbura, C.E. (๒๕๖๑). วรรณคดภี าษาสงิ หล: วา่ ดว้ ยวรรณกรรม ร้อยแก้ว ร้อยกรอง และพระธรรมวินัย. แปลโดย ลังกากุมาร. นครปฐม: สาละพมิ พการ. Malalasekera, G.P. (2554). ศรีลังกา: ว่าด้วยประวัติศาสตร์ การณ์ พระศาสนา และวรรณคดี. แปลโดย ลังกากุมาร. นครปฐม: สำ� นักพิมพส์ าละ. IIangasinha, H.B.M. (2559). ประวตั ศิ าสตรศ์ รลี งั กาสมยั อาณาจกั รโกฏเฏ: ว่าด้วยอาณาจักร ศาสนจักร คติความเชื่อ และความสัมพันธ์กับ ดินแดนอุษาคเนย์. แปลโดย พระมหาพจน์ สุวโจ, ดร. นครปฐม: สาละพมิ พการ. Yatadolawatte Dhammavisuddhi (2559). ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ ศรลี งั กายคุ กลาง: วา่ ดว้ ยนกิ ายสงฆ์ การบรหิ ารทรพั ยส์ นิ การศกึ ษา สงฆ์ คตคิ วามเช่อื และการฟื้นฟูพระศาสนา. แปลโดย พระมหาพจน์ สุวโจ, ดร. นครปฐม: สาละพมิ พการ.
Adikaram, E.W. (2009). Early History of Buddhism in Ceylon. Sri Lanka: Ajith Printers. Adikari, A. (2006). The Classical Education and The Community o f M a h a s a n g h a i n S r i L a n k a . C o l o m b o : G o d a g e International Publishers. Ahugalle Arunatilaka (1999). Golden Links Myanmar-Sri Lanka. Colombo: S. Godage and Brothers. Alakesvarayuddhaya (2014). Translated by Suraweera, A.V. Colombo: Vijitha Yapa Publications. Alan Strathern (2010). Kingship and Conversion in Sixteenth- Century Sri Lanka. Colombo: Vijitha Yapa Publications. Alica Schrikker (2007). Dutch and British Colonial Intervention in Sri Lanka 1780-1815. Boston: Leiden. Amaradasa Liyanagamage (1963). The Decline of Polonnaruva and the Rise of Dambadeniya. Unpublished Thesis presented for the degree of Ph.D. in the University of London. Ananda K. Coomaraswamy (2003). Mediaeval Sinhalese Art. New Delhi: Munshiram Manoharlal Publisher. Ananda S. Pilimatalavuva (2008). The Chieftains in the Last Phase of The Kandyan Kingdom. Colombo: A Stamford Lake Publications.
Anne M. Blackburn (2001). Buddhist Learning and Textual Practice in Eighteenth-Century Lankan Monastic Culture. New Jersey: Princeton University Press. Anuradha Seneviratna (1998). Polonnaruva: Medieval Capital of Sri Lanka. Sri Lanka: Archaeological Survey Department. ------------------- (1994). Ancient Anuradhapura. Sri Lanka: Archaeological Survey Department. ------------------- (1993). Kandy. Sri Lanka: Central Cultural Fund. Anthonisz, R.G. (1929). The Dutch in Ceylon. Colombo: The C.A.C. Press. Ashon Nyanuttara (2012). A Historical and Cultural Study of the Influence of Buddhism on Inhabitants of Arakan (Rakhaing) State. Unpublished Thesis presented for the degree of Ph.D. in the University of Kelaniya. Bimala Churn Law (2000). A History of Pali Literature, part. I-II. New Delhi: Rekha Printers. Ceylon Antiquary and Literary Register Vol.2 (1916). Ceylon: Office of the Times of Ceylon. Chandra Richard de Silva (2011). Sri Lanka: A History. New Delhi: Vikas Publishing House. Codrington, H.W. (1994). A Short History of Ceylon. New Delhi: Asian Educational Services.
D.B. Jayatilaka (1955). Katikawatasamaya. Kelaniya: 1955. Dewaraja, L.S. (1966). History of Buddhism in Ceylon during the Nayakkar Period (1739-1815). Unpublished dissertation submitted for the Degree of Master of Arts, University of Ceylon. ------------------- (1972) The Kandyan Kingdom of Sri Lanka 1707-1782. Colombo: Lake House Investments LTD. ------------------- (1989). Sri Lanka Through French Eyes. Sri Lanka: Institute of Fundamental Studies. de Silava, K.M. (2005). A History of Sri Lanka. Colombo: Vijitha Yapa Publications. da Silva Cosme, O.M. (1986). Sri Lanka and the Portuguese (1541-1557). Colombo: Gunasena. Dharmaratna Herath (1994). The Tooth Relic and the Crown. Colombo: Gunaratne Offset. Education in Ceylon: A Centenary Volume I-III (1969). Colombo: The Government Press. Edward Muller (1883). Ancient Inscriptions in Ceylon. London: Trubner. Epigraphia Zeylanica Being Lithic and Other Inscriptions of Ceylon, vol. I. (1994). New Delhi: Asian Educational Services.
-------------------, vol.II. (1985). London: Oxford University Press. -------------------, vol.III. (1994). New Delhi: Asian Educational Services. -------------------, vol.IV. (1994). New Delhi: Asian Educational Services. Fernando, C.M. (1908). The Nikaya Sangrahawa. Ceylon: H.C. Cottle, Government Printer. Gatare Dhammapala (2008). A Comparative Study of Sinhala Literature. Colombo: Godage International Publishers. George D. Bond (1992). The Buddhist Revival in Sri Lanka: Religious Tradition, Reinterpretation and Response. Delhi: Motilal Banarsidass Publishers. Girasandesaya (1963). Ed by Munidasa Kumaratung. Colombo. Gopalakrishnan, S. (1986). South India-Sri Lanka Relations, 1762-1802. Unpublished Thesis presented for the degree of Ph.D. in the University of Mysore. Gunaratne Panabokke (1993). History of the Buddhist Sangha in India and Sri Lanka. Colombo: Karunaratne & Sons Ltd. Gunasekara Mudaliyar, B. (1895). A Contribution to the History of Ceylon (1895). Ceylon: H.C. Cottle Acting Govt. Gunasinghe, P.A.J. (1987). The Political History of Yapahuva- Kurunagala and Gampola. Colombo: Lake House Printers and Publisher.
Gunawardana, R.A.L.H. (1979). Robe and Plough: Monasticism and Economic Interest in Early Medieval Sri Lanka. Tucson: The University of Arizona Press. Hansasandesaya (2013). Translated by E.L.S. Dharmatilaka. Colombo: Samayawardhana Book Shop. Horace Perera, L.H. (1959) Ceylon under Western Rule. Madras: Macmillan. Jakasekera, U.D. (1969). Early History of Education in Ceylon. Colombo: The Department of Cultural Affair. James Emersson Tennent (2011). Ceylon: An Account of the Island Physical, Historical, and Topographical. New Delhi: Asian Educational Services. Jayatilaka, D.B. (2003). Saranankara, The Last Sangha-Raja of Ceylon. Sri Lanka: A Visidunu Publication. Joan De Barros and Diogo De Couto (1909). The History of Ceylon from the Earliest Times to 1600 A.D. as Related. Translated by Donald Ferguson. Colombo: Acting Government Printer. John Clifford Holt (1996). The Religious World of Kirti Sri. New York: Oxford University Press. Jonathan A. Young (2011). Adornments of Virtue: the Production of Lay Buddhist Virtuosity in the Upasakajanalankara. Unpublished Thesis presented for the degree of Ph.D. in the Cornell University.
Journal of the Royal Asiatic Society of Ceylon. Vol.3, pt.iii (1884). Colombo: The Time of Ceylon Press. Journal of the Royal Asiatic Society of Sri Lanka. Vol.48 (2003). Colombo: The Royal Asiatic Society of Sri Lanka. Kitsiri Malalgoda (1976). Buddhism in Sinhalese Society 1750-1900. Berkeley: University of California Press. Kokilasandesaya (1956). ed. K.T.W. Sumanasuriya. Colombo. Kotagama Wachissara (1961). Valivita Saranankara and the Revival of Buddhism in Ceylon. Unpublished thesis presented for the Degree of Ph.D. in the University of London. Kulatunge, T.G. (2018). Buddhist Nikayas in Sri Lanka. Nugegoda: Taranjee Printers-Maharagama. Mahinda Ralapanawe (2011). Buddhist Temporalities Ordinance. Nugegoda: Sarasavi Publishers. Mirando, A.H. (1984). Buddhism in Sri Lanka in the 17th and 18th Centuries with Special Reference to Sinhalese Literary Source. Dehiwala: Tisara Prakasakayo Ltd. Naimbala Dhammadassi (1996). The Development of Buddhist Monastic Education in Sri Lanka with Special Reference to the Modern Period. Unpublished Thesis presented for the degree of Ph.D. in the University of Lancaster. Nandasena Ratnapala (1971). The Katikavatas. Bruderstrabe: Mikrokpie GmbH.
Nandasena Mudiyanse (2018). The Art and Archtecture of the Gampola Peroid (1341-1415 A.D.). Colombo: S. Godage & Brothers. Parakumbasirita (1954). Ed. Sir Charles de Silva. Ceylon. Perera, S.G. (1955). A History of Ceylon for Schools vol.1. Colombo: Lake House. ------------------- (1959). A History of Ceylon for Schools vol.2. Colombo: Lake House. Rajavaliya (2014). Translated by Suraweera, A.V. Colombo: Vijitha Yapa Publications. Ralph Pieris (1956). Sinhalese Social Organization. Colombo: The Ceylon University Press Board. Rangama Chandawimala (2016). Heterodox Buddhism: The School of Abhayagiri. Colombo. Reginal L. Rajapakse (1973). Chrisian Missions, Theosophy and Trade: A History of American Relations with Ceylon 1815-1915. Michigan: University Microfilms. Richard F. Gombrich (2006). Theravada Buddhism. London: Routledge. Robert Knox (1981). An Historical Relation of Ceylon. Sri Lanka: Tisara Prakasakayo LTD.
Sagara Kusumaratne (2011). The Role of Bhikkhus in Sri Lanka. Colombo: Godage International Pubishers. Saparamadu, S.D. (2006). The Polonnaruva Period. Sri Lanka: Tisara Press. Senake Bandaranayake (2009). Sinhalese Monastic Architecture: The Viharas of Anuradhapura. Hyderabad: Orient Black Swan. Sinnappah Arasaratnam (1958). Dutch Power in Ceylon 1658-1687. Netherlands: Djmbatan Amsterdam. Sirima Wickramasinghe (1958). The Age of Parakramabahu I. Unpublished Thesis presented for the degree of Ph.D. in the University of London. Sirisena, W.M. (2016). Sri Lanka and South-East Asia. Sri Lanka: Chathura Printers. Sivasubramaniam Pathmanathan (1969). The Kingdom of Jaffna (circa A.D. 1250-1450). Unpublished Thesis presented for the degree of Ph.D. in the University of London. Sri Lanka Journal of Buddhist Studies vol.11 (1988). Buddhist and Pali University Sri Lanka. Somapala Jayawardhana (1994). Handbook of Pali Literature. Colombo: Karunaratne & Sons. Somaratna, G.P.V. (2016). The Political History of the Kingdom of Kotte 1400-1521. Colombo: S. Godage & Brothers.
Stephan van Galen (1971). Arakan and Bengal: The Rise and Decline of Mrauk U Kingdom. Unpublished Thesis presented for the degree of Ph.D. in the University of Leiden. The Indian Antiquary Vol.12 (1893). Bombay: Bombay Education Society Press. The Portuguese in the Orient (2010). Sri Lanka: International Centre for Ethnic Studies. Tikiri Abeyasinghe (2005). Jaffna under the Portuguese. Sri Lanka: A Stamford Lake Publication. Tissa Kariyawasam (2009). Religious Activities and the Development of a New Poetical Tradition in Sinhalese 1852-1906. Colombo: Godage International Publisher. University of Ceylon. History of Ceylon vol. 1 part I (1956). Colombo: Ceylon University Press. ------------------- vol. 1 part II (1960). Colombo: Ceylon University Press. ------------------- vol.2 (1995). Dehiwala: Sridevi. ------------------- Vol. 3 (1973). Colombo: University of Ceylon Press. Urmila Phadnis (1975). Religion and Politics in Sri Lanka. London: C.Hurst.
Victor Ivan (2009). Revolt in the Temple. Sri Lanka: Ravaya Publication. Walpoloa Rahula (1996). History of Buddhism in Ceylon. Colombo: The Buddhist Cultural Centre. Wickramasinhe (1950). Sinhalese Literature. Ceylon. Wickrema Weerasooria (2011). Buddhist Ecclesiastical Law. Nugegoda: Sarasavi Publishers. Wijetunga, W.M.K. (2003). Sri Lanka and The Cholas. Colombo: Vishva Lekha Publications.
ประวตั ิผ้เู ขียน ลังกากมุ าร เปน็ นามปากกาของพระมหาพจน์ สุวโจ, ผศ.ดร. (น.ธ.เอก, ป.ธ.๖, พธ.บ., พธ.ม., Ph.D.) ผลงานตพี ิมพ์ • ตามรอยพระอุบาลไี ปฟน้ื ฟพู ระพทุ ธศาสนาท่ศี รลี งั กา (๒๕๕๒) • กรณีพระสงฆศ์ รลี งั กาเล่นการเมอื ง (๒๕๒๓) • ศรีลังกา: ว่าด้วยประวัติศาสตร์ การณ์พระศาสนา และวรรณคดี (๒๕๕๔) • ของดศี รลี ังกา: คมู่ ือน�ำเท่ียวเชิงประวตั ศิ าสตร์ (๒๕๕๕) • พระอรหนั ต:์ วธิ ตี รวจสอบคณุ ลกั ษณะตามนยั พระไตรปฎิ ก (๒๕๕๖) • ตำ� นานคาถาพระอรหันต์ ๘ ทศิ (๒๕๕๘) • ประวัติศาสตรศ์ รลี งั กาสมยั อาณาจักรโกฏเฏ (๒๕๕๙) • ประวัตคิ ณะสงฆ์ศรีลังกายคุ กลาง (๒๕๕๙) • สืบค้นหาพระพุทธบาท ๕ รอย (๒๕๕๙) • นกิ ายสงั ครหยะ (๒๕๕๙) • สงั ฆราชสาธุจริยา (๒๕๖๐) • พระมาลัยเถระ เปน็ ใคร? มาจากไหน? (๒๕๖๐) • เลา่ เรื่องเมอื ง (ศรี) ลังกา: รวมบทความวชิ าการในวาระครบรอบหนง่ึ ทศวรรษ (๒๕๖๐) • พระอปุ คตุ เถระ เปน็ ใคร? มาจากไหน? (๒๕๖๑) • วรรณคดภี าษาสงิ หล (๒๕๖๑)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388