ดมั พเดณกิ ตกิ าวตั ร 189 ปกหนงั สอื ปชู าวลยิ ะ เนอ้ื หาวา ดว ยพทุ ธคณุ และประวตั ศิ าสตรส์ มยั อาณาจกั รดมั พเดณยิ ะ
190 ศรลี งั กากตกิ าวัตร
ดมั พเดณกิ ตกิ าวตั ร 191
บรรยายภาพ: ภาพวาดภายในพิพิธภัณฑ์พระแวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราช วัดมัลลวัตต มหาวหิ าร เมืองแคนดี
บทที่ ๔ ปรากรมพาหกุ ติกาวัตร ๔.๑ เกร่นิ นำ� ปรากรมพาหุกติกาวัตรหรือเรียกอีกชื่อหน่ึงว่าจารึกแปปิฬิยานะ (Inscription of Papiliyana) พบเหน็ ภายในวดั สเุ นตรามหาเทววี ิหาร แห่งหมู่บ้านแปปิฬิยานะนอกเมืองโคลัมโบ กษัตริย์ผู้โปรดให้จารึกคือ พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ (พ.ศ.๑๙๕๔-๒๐๐๙) แห่งอาณาจักร โกฏเฏ สมภารเจา้ อาวาสเหน็ ความสำ� คญั ของจารกึ ดงั กลา่ วจงึ ไดค้ ดั ลอก ลงใบลานเก็บรักษาไว้ในฐานะสิ่งส�ำคัญคู่วัด ครั้นอาณาจักรโกฏเฏ ล่มสลายเพราะการแทรกแซงยึดครองของโปรตุเกส จารึกแปปิฬิยานะ พร้อมวัดสุเนตรามหาเทวีวิหารถูกโปรตุเกสรื้อเผาท�ำลายจนสิ้นซาก ส่วนส�ำเนาจารึกแปปิฬิยานะพระสงฆ์ได้น�ำไปมอบถวายกษัตริย์แห่ง อาณาจักรแคนดี ตอ่ มากษตั รยิ โ์ ปรดใหเ้ ก็บไว้ภายในหอสมดุ หลวง ไมม่ ี หลักฐานยืนยันได้ว่ากษัตริย์แห่งอาณาจักรแคนดีโปรดให้คัดลอกส�ำเนา แจกจ่ายไปตามวัดท่ัวอาณาจักรหรือไม่ แม้ฉบับจริงก็ยังไม่มีการน�ำมา ศึกษาหรือตีพมิ พ์เผยแผ่ ลว่ งเขา้ สมัยอังกฤษปกครองเกาะลงั กา ข้าราชการผใู้ หญช่ น้ั มหา มุดาลิยาร์ทา่ นหนึ่งนามว่า แอล เดอ ซอยซา (L. De Soyza) ไดร้ ับ มอบสำ� เนาจารกึ แปปฬิ ยิ านะจากเจา้ อาวาสวดั สเุ นตรามหาเทววี หิ าร โดย อ้างว่ามีการรักษาสืบทอดเรื่อยมาตามสายครูอาจารย์ คร้ันตรวจสอบ เบื้องต้นแล้วเห็นว่าเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าย่ิง จึงเดินทางไปวัดสุเนตรามหาเทวีวิหารเพื่อตรวจสอบหลักฐานทาง
194 ศรีลงั กากตกิ าวัตร โบราณคดดี งั อา้ งไวใ้ นสา� เนา แตพ่ บวา่ เจา้ อาวาสนา� ชน้ิ สว่ นของจารกึ ไป กอ่ เปน็ กา� แพงวดั แลว้ แม้จะหลงเหลอื ข้อมูลของจารึกเพยี งบางส่วนแต่ ก็พิสูจน์ได้ว่ามีเนื้อหาตรงกับส�านวนของเจ้าอาวาส ข้าราชการผู้ใหญ่ ท่านน้ันจึงถอดแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ช่ือว่า Ceylon Times เร่ิมต้นจากเดือนมิถุนายน ๒๔๑๖ แต่น่าเสียดาย การถอดแปลคร้ังนั้นไม่ส�าเร็จ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพราะอายุขัย ของทา่ นมหามุดาลยิ ารเ์ ป็นอปุ สรรค ครั้นปีพุทธศักราช ๒๔๒๕ บี คุณเสกระ (B. Gunasekara) ผู้ท�างานเปน็ เจ้าหน้าทแี่ ปลเอกสารของรฐั บาลอาณานคิ มอังกฤษ ไดร้ ับ มอบหมายใหค้ ดั ลอกสา� เนาปรากรมพาหกุ ตกิ าวตั รของขา้ ราชการผใู้ หญ่ ท่านน้ัน แล้วถอดแปลเป็นภาษาอังกฤษจนแล้วเสร็จ จากน้ันตีพิมพ์ใน วารสาร Journal of The Ceylon Branch of the Royal Asiatic Society พร้อมกันนั้นผแู้ ปลไดล้ งภาษาสงิ หลตามต้นฉบับ และถอดเปน็ อกั ษรโรมนั พร้อมคา� แปลภาษาองั กฤษ นอกจากนั้น ยังไดอ้ ธบิ ายเสริม รายละเอียดของจารึกหลักนี้พร้อมแสดงทัศนะจนเกิดประเด็นความรู้ใน วงกว้างหลายประการ คุณเสกระไดแ้ สดงความเห็นน่าสนใจวา่ “ลักษณะของจารึกหลัก น้ีมีความคล้ายคลึงกับการแต่งต�าราสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๑๙-๒๐ ซึ่งอัลวิสได้อธิบายอย่างละเอียดในบทน�าของคัมภีร์สิทัตสังคราแล้ว เน้ือหาตอนต้นของจารึกหลักน้ีมีลักษณะคล้ายส่วนหนึ่งของกวีนิพนธ์ ยุคน้ัน การสร้างประโยคมีลักษณะพิเศษ เน้ือหาของจารึกทั้งหมดแต่ง เปน็ ประโยคคอ่ นขา้ งยาวและรวมกนั เปน็ กลมุ่ แตล่ ะประโยคแสดงถงึ สว่ น
ปรากรมพาหุกตกิ าวตั ร 195 แห่งความหมายเล็กสุดถึงเล็กสุด เหมือนเป็นเพียงกริยาท่ีแสดงความ รสู้ ึกอันแน่นอน โดยท่ัวไปศพั ท์มีการนา� มาใชก้ บั สมยั ใหมบ่ า้ ง แตม่ ีการ ยอมรบั นอ้ ยมากสังเกตเห็นไดจ้ ากการบันทึก” (J.R.A.S. vol. vii, pt. iii: 1884; 188) ปรากรมพาหกุ ตกิ าวตั รหรอื จารกึ แปปฬิ ยิ านะเปน็ หลกั ฐานสา� คญั ช้ีบอกถึงศาสนูปถัมภ์ของอาณาจักร ซ่ึงเป็นโบราณราชประเพณีของ กษตั รยิ ล์ งั กา แตม่ ลี กั ษณะแปลกกวา่ สมยั อนื่ คอื กตกิ าวตั รฉบบั นม้ี ไิ ดเ้ กดิ จากการประชมุ คณะสงฆแ์ ลว้ หามตริ ว่ มกนั เปน็ แตเ่ พยี งพระราชโองการ ½า่ ยเดยี ว และเหตทุ กี่ ษตั รยิ ท์ รงเลอื กวดั สเุ นตรามหาเทววี หิ ารเปน็ สถาน ท่ีจารึกนั้น สันนิษฐานว่าวัดแห่งน้ีเป็นอนุสรณ์ของพระราชมารดา อีกท้ังเป็นสถานที่พ�านักอาศัยของพระผู้ใหญ่ช้ันสังฆราช หากดูตาม รายละเอียดของกติกาวัตรบ่งชี้ให้เห็นว่าพระองค์มีพระราชประสงค์ให้ พระสงฆอ์ ารามแหง่ นี้สามารถบริหารทรพั ยส์ นิ ได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ô.๒ เหตุการณ์บ้านเมอื ง พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๖ (พ.ศ.๑๙๕๔-๒๐๐๙) เป็น ปฐมบรมกษัตริย์แห่งอาณาจักรโกฏเฏ กล่าวกันว่าพระองค์ทรงสืบ เช้ือสายมาจากเจ้าชายสุมิตรา ผู้เดินทางมาเกาะลังกาพร้อมกับพระ สังฆมิตตาเถรี ซึ่งท�าหน้าที่เป็นผู้อัญเชิญหน่อพระศรีมหาโพธ์ิตาม พระราชโองการของพระเจา้ อโศกมหาราช (Mahabodhivamsa: 1985; 153) ส�าหรับพระราชบิดาของพระองค์พระนามว่าเจ้าชายชัยมหาเลนะ เชอ่ื วา่ เปน็ พระราชนดั ดาของพระเจา้ ปรากรมพาหมุ หาราชแหง่ อาณาจกั ร โปโฬนนารุวะ (Parakumbasirita: 1986; 27) ส่วนพระราชมารดา
196 ศรลี ังกากตกิ าวตั ร พระนามว่าสุเนตราเทวีสืบสายมาจากกษัตริย์แห่งอาณาจักรกาลิงคะ (Vrttaratnakara-panjika: 1908; 20) หลกั ฐานบางแหง่ ระบวุ า่ พระเจา้ ปรากรมพาหุสังกัดตระกูลคีรีวงศ์ (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 2: 2553: 318) และสมัยเป็นพระกุมารไดห้ ลบหนีราชภยั ไปอาศัย คณะสงฆ์ โดยการน�าของพระวีทาคมเถระก่อนท่ีจะรวบรวมบ้านเมือง สถาปนาอาณาจักรโกฏเฏข้ึน (Rajavaliya: 2014: 63) เป็นที่น่าสังเกต อยา่ งหนง่ึ คือเรอ่ื งราวของพระองคม์ คี วามน่าเชื่อถือเฉพาะสมยั หลบหนี ราชภัยไปอาศัยคณะสงฆเ์ ท่านน้ั สว่ นนอกน้ันเปน็ การแตง่ ประกอบเพ่อื ให้พระราชประวัตมิ ีความสมบรู ณ์ลงตวั มากขึ้น พระเจ้าปรากรมพาหุทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงแห่งตระกูล กิรแวลิ แต่น่าเสียดายไม่มีหลักฐานยืนยันมากกว่านี้ นักวิชาการบาง ท่านสันนิษฐานว่าพระมเหสีพระองค์น้ีเป็นพระราชมารดาของเจ้าหญิง โลกนาถะ (UCHC. I. part. ii; 1960: 891) ต่อมาเจา้ หญิงพระองค์ นไ้ี ดอ้ ภเิ ษกสมรสกบั เจา้ ชายชาวทมฬิ นามวา่ นนั นรุ ตุ นุ ายย์ ารแ์ ลว้ เปลย่ี น พระนามใหม่เป็นภาษาทมิฬตามพระสวามีว่าอุลกุลฑยะเทวี ส่วน พระราชโอรสนนั้ พระเจา้ ปรากรมพาหทุ รงชบุ เลยี้ งพระราชบตุ รบญุ ธรรม ๓ พระองค์ กลา่ วคอื เจา้ ชายสะปมุ ัลกมุ าร เจ้าชายอัมบุคะละกุมาร ทง้ั สองพระองคถ์ อื วา่ เปน็ นกั รบคพู่ ระทยั แมจ้ ะมสี ายเลอื ดเปน็ ชาวทมฬิ แต่พระองค์ก็ทรงไว้วางพระราชหฤทัย (สมัยต่อมาเจ้าชายทั้งสอง พระองคท์ รงขึน้ ครองราชย์เหนอื เกาะลงั กา) และพระองคส์ ดุ ทา้ ยคือเจ้า ชายราหุลกุมาร ภายหลังออกผนวชมีนามว่าพระโตฏคามุเว ศรีราหุล เ¶ระ รั้งต�าแหน่งเป็นพระสังฆราชและได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ เอกแหง่ อาณาจกั รโกฏเฏ ตอนปลายพระชนมช์ พี พระนางอลุ กลุ ฑยะเทวี
ปรากรมพาหกุ ติกาวัตร 197 มพี ระประสตู กิ าลพระโอรสพระนามวา่ ชัยพาหุ พระเจ้าปรากรมพาหุทรง ยินดีย่ิงนักโปรดแต่งตั้งให้ด�ารงต�าแหน่งมหาอุปราช เพ่ือครองราชย์สืบ ตอ่ หลังพระองค์สวรรคตส้นิ แลว้ สมยั พระเจา้ ปรากรมพาหสุ ถาปนาอาณาจกั รโกฏเฏนน้ั เกาะลงั กา แบง่ ออกเปน็ ๓ เขต กล่าวคอื ๑) บริเวณดา้ นเหนอื ของเกาะจนถึง เมืองหลวงเก่าอนุราธปุระปกครองโดยกษัตริย์ทมิฬราชวงศ์อารยจักร วรตั ิแห่งอาณาจกั รจฟั ฟนŠ า ๒) บริเวณรมิ ½ั›งทะเลท้งั ทางทศิ ตะวันออก และทิศตะวันตกปกครองโดยเจ้าเมืองวันนิหลายหัวเมือง และ ๓) บริเวณใต้เมืองหลวงเก่าอนุราธปุระลงมาจนถึงท่าเรือโคลัมโบเป็น อาณาเขตของพระองค์ ส�าหรับอาณาจักรท่ีทรงอ�านาจสูงสุดคืออาณา จักรจฟั ฟนŠ าของกษตั รยิ ท์ มฬิ แห่งราชวงศ์อารยจกั รวรตั ิ เพราะหัวเมือง วนั นนิ อ้ ยใหญล่ ว้ นเปน็ เมอื งขน้ึ ของอาณาจกั รจฟั ฟนŠ าสนิ้ และตอ้ งจดั สง่ เครอ่ื งราชบรรณาการไปถวายเป็นประจา� ทกุ ปี (Fernoa De Queyroz, I: 1992; 83-86) ส�าหรบั การรวบรวมบ้านเมืองน้ันเบอื้ งตน้ พระองคต์ ้ัง ศูนย์บัญชาการอยู่ท่ีเมืองรัยคามะ ต่อมาได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ใกล้ที่ เรอื โคลมั โบขนานนามวา่ ชยั วรรธนะปรุ ะ-โกฏเฏ (Rajavaliya: 2014: 65) การท�าสงครามรวบรวมเกาะลังกาให้เป็นหนึ่งเดียวนั้น พระองค์ ทรงมีพระราชโอรสบุญธรรมสองพระองค์เป็นทหารเอก (Rajavaliya: 2014: 64) สา� หรบั ยทุ ธวธิ ขี องพระเจา้ ปรากรมพาหคุ อื โปรดใหย้ กทพั เขา้ ตหี วั เมอื งวนั นเิ สยี กอ่ น โดยเฉพาะหวั เมอื งทเ่ี ปน็ ชายแดนรอยตอ่ ระหวา่ ง อาณาจักรโกฏเฏกับอาณาจักรจัฟฟŠนา นอกจากเป็นการสร้างขวัญ และกา� ลงั ใจใหท้ หารหาญÎกึ เหมิ แลว้ ยงั เปน็ การเปดิ ทางยาตราทพั เขา้ ไป
198 ศรลี ังกากตกิ าวัตร สู่อาณาจักรจัฟฟŠนาได้อย่างสะดวกโดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง สงครามคร้ังนั้นพระองค์ทรงวางพระราชหฤทัยให้เจ้าชายสะปุมัลกุมาร เปน็ แมท่ พั ใหญบ่ ญั ชาการรบ สว่ นเจา้ ชายอมั บคุ ะละกมุ ารเปน็ กองเสบยี ง เจา้ ชายสะปมุ ลั กมุ ารนนั้ เปน็ นกั รบทเี่ กง่ กาจเชยี่ วชาญตา� ราพชิ ยั สงคราม จึงสามารถเข้าย�่ายีและยึดครองหัวเมืองวันนิได้ตามพระราชประสงค์ คร้ันแล้วได้เคลื่อนทัพใหญ่เข้าสู่อาณาเขตของอาณาจักรจัฟฟŠนา สงครามคร้ังใหญ่ครั้งเดียวระหว่างชาวสิงหลกับชาวทมิฬเกิดขึ้นท่ีเมือง ชวากะโกฏเฏ กล่าวกันว่าเมืองนี้มีป‡อมปราการอันแข็งแกร่งและมีกอง ก�าลังทหารของจักรวรรดิวิชัยนครประจ�าการอยู่เป็นจ�านวนมาก การ ปะทะกันระหว่างสอง½่ายเกิดขึ้นอย่างรุนแรงหลายเพลา แต่สุดท้าย ชาวสิงหลเปน็ ½า่ ยไดร้ ับชัยชนะ (Alakesvarayuddhaya: 2014; 23) การยดึ ครองอาณาจกั รจฟั ฟนŠ าสง่ ผลใหเ้ จา้ ชายสะปมุ ลั กมุ ารกลาย เป็นวีรบุรุษในสายตาของชาวสิงหล ความรู้สึกช่ืนชมและยินดีของชาว สิงหลทุกหมู่เหล่าพรรณนาไว้ในคัมภีร์แสฬลิหิณิ-สันเดศยะและคัมภีร์ โกกิละ-สันเดศยะ (Kokilasandesaya: 1956; vv.8, 81) แม้พระเจ้าปรากรมพาหุเองก็ทรงชื่นชมยินดีกับความส�าเร็จของ พระราชโอรส โดยโปรดให้ครองเมืองจัฟฟŠนาท�าหน้าที่ปกครองดูแลสืบ ตอ่ ไป (Rajavaliaya: 2014: 65) สนั นษิ ฐานว่าการเข้ายึดครองอาณา จักรจัฟฟŠนาคร้ังน้ี เจ้าชายสะปุมัลกุมารน่าจะวางเป‡าหมายเพื่อเป็น รชั ทายาท เพราะชัยชนะแห่งสงครามเท่านั้นสามารถยกพระองค์ใหเ้ ดน่ จนเปน็ ทย่ี อมรบั ของชาวสงิ หลทกุ รปู นาม นอกจากนนั้ พระองคย์ งั สรา้ ง ความเป็นมิตรกบั ชาวทมิฬ สังเกตได้จากตลอดเส้นทางเดนิ ทพั พระองค์ ทรงแสดงไมตรีจิตกับชาวทมิฬผู้เข้ามาสวามิภักดิ์ และต่อมาแม้จะยึด
ปรากรมพาหุกติกาวตั ร 199 ครองเมืองจัฟฟŠนาได้แล้วก็มิให้เข่นฆ่าชาวเมือง แต่อนุญาตให้ด�าเนิน ชีวิตปกติดังเดิม ความเอ้ืออาทรของพระองค์เห็นได้จากตลอดระยะ เวลาเกือบสองทศวรรษในการปกครองหัวเมืองจัฟฟŠนา หาได้มีการก่อ กบฏสรา้ งความวุน่ วายแม้แตค่ รง้ั เดยี ว ประเดน็ นา่ สนใจคอื วรี กรรมอนั ยงิ่ ใหญข่ องเจา้ ชายสะปมุ ลั กมุ ารได้ รบั การเชดิ ชจู ากพระสงฆก์ ลมุ่ หนง่ึ โดยการนา� ของเจา้ สา� นกั ตลิ กะปริ เิ วณะ แหง่ เมอื งเดวนิ วู ะระ (ปจั จบุ นั เรยี กวา่ ดอนดรา) พระเถระรปู นไ้ี ดแ้ ตง่ คมั ภรี ์ สรรเสริญเกียรติคุณของพระองค์ พร้อมสวดสรรเสริญเทพเจ้าอุบลวัน ให้ประทานพรและความย่ิงใหญ่พร้อมคุ้มครองป‡องกันพระองค์ (Godakumbura: 2561; 166-167) ส่วนพระบรมราชทู ิศอรมั แกเกระ ระบวุ า่ พระวที าคามะไมตรยี เถระพรอ้ มคณะสงฆก์ ลมุ่ หนง่ึ ครนั้ ทราบขา่ ว ชยั ชนะของพระองค์ ไดช้ กั ชวนกนั เดนิ ทางไปเมอื งจฟั ฟนŠ า เพอ่ื นมสั การ บุณยสถานอันศักดิ์สิทธิ์กล่าวคือนาคทวีป (IA. xxii: 1893; 13) สนั นษิ ฐานวา่ การเดนิ ทางไปเมอื งจฟั ฟนŠ าของพระสงฆก์ ลมุ่ นี้ นา่ จะเขา้ เ½า‡ เจ้าชายสะปุมัลกุมารในฐานะพระองค์สามารถมีชัยเหนืออาณาจักรของ ชาวทมฬิ ส่วนการอา้ งวา่ ไปนมัสการบุษณยสถานศกั ด์สิ ทิ ธิ์น้นั เห็นจะ เป็นวิธีการหลบเล่ียงตามธรรมเนียมของวรรณกรรมเท่าน้ัน หลักฐาน ดงั กลา่ วชใี้ หเ้ หน็ วา่ พระสงฆบ์ างกลมุ่ พรอ้ มสนบั สนนุ เจา้ ชายสะปมุ ลั กมุ าร ใหข้ น้ึ ครองราชย์ภายหลังการสวรรคตของพระเจา้ ปรากรมพาหุแล้ว พระเจ้าปรากรมพาหุถือว่าเป็นกษัตริย์สิงหลพระองค์สุดท้ายท่ี สามารถครอบครองเกาะลังกาเป็นหน่ึงเดียวดังบูรพกษัตริย์มหาราช (Mirando: 2010: 1) ตลอดการครองราชย์เกือบครึ่งศตวรรษของ
200 ศรีลงั กากตกิ าวัตร พระองค์ ถือว่าเป็นยุครุ่งเรืองสูงสุดในประวัติศาสตร์ศรีลังกาก่อนการ เข้ามาของโปรตุเกสคนเถอื่ น รัชสมัยของพระองค์ตา่ งไดร้ บั การเล่าขาน จากชาวลงั กาตราบเทา่ ถงึ ปจั จบุ นั ถอื วา่ เปนš ยคุ รงุ่ เรอื งกอ่ นเขา้ สยู่ คุ มดื (Malalasekera: 2554; 344) ครนั้ พระองคส์ วรรคตลว่ งแลว้ อาณาจกั ร โกฏเฏอันย่ิงใหญ่เกรียงไกรได้แตกแยกล่มสลาย เร่ิมต้นจากเจ้าชาย สะปุมัลกุมารได้ยกทัพเข้ายึดครองเมืองหลวงชัยวรรธนปะโกฏเฏพร้อม ประหารเจ้าชายชัยพาหุ แม้เจ้าชายสะปุมัลกุมารจะสถาปนาตนเป็น กษัตริย์เหนือเกาะลังกาและประพฤติตามพระราชจริยาวัตรของ พระราชบิดาก็จริง แต่หาได้มีปรีชานุภาพเสมอเหมือนไม่ เห็นได้จาก อาณาจักรจัฟฟŠนาของกษัตริย์ราชวงศ์อารยจักรวรัติสามารถฟื้นฟู แยกตนเปน็ อสิ ระอกี ครง้ั หนง่ึ สว่ นราชวงศส์ งิ หลเองกท็ า� สงครามแยง่ กนั เป็นใหญ่ เป็นเหตุให้เกิดอาณาจักรแคนดีในเวลาต่อมา ความยิ่งใหญ่ เกรยี งไกรของบรู พกษตั รยิ จ์ งึ นบั ถอยหลงั เขา้ สคู่ วามเสอ่ื มโทรมกอ่ นทจี่ ะ กลายเปน็ เมอื งขึ้นของโปรตุเกสในสมัยต่อมา ô.ó การณพ์ ระศาสนา ครั้นพระเจ้าปรากรมพาหุข้ึนครองราชย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระราชกรณยี กจิ ดา้ นศาสนาเรง่ ดว่ นคอื การบรู ณปฏสิ งั ขรณอ์ ารามวหิ าร ให้เป็นแหล่งสัปปายะของพระสงฆ์สามเณร โดยพระองค์โปรดให้บูรณะ อารามวหิ ารหลายแหง่ ทว่ั เกาะลงั กา เชน่ วดั มหยิ งั คณะ วดั ลงั กาตลิ กะ วดั คฑลาเดณยิ ะ (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 2: 2553: 320) วดั แกลาณยี ะและวดั โดรแนโคฑะ อารามวหิ ารเหลา่ นลี้ ว้ นเปน็ วดั ชนั้ ราช มหาวหิ ารมพี ระสงฆส์ ามเณรพา� นกั พกั อาศยั เปน็ จา� นวนมาก ถดั มาโปรด
ปรากรมพาหกุ ติกาวตั ร 201 ให้บูรณะอาคารห้าช้ันภายในวัดแกลาณียะและสร้างวิหารส�าหรับ ประดษิ ฐานพระพทุ ธปฏมิ าอกี หลายแหง่ เชน่ วดั แหง่ หมบู่ า้ นสลปลิ มิ เคยะ วัดแห่งหมู่บ้านโตปิลิมเคยะ วัดแห่งหมู่บ้านนาเมเนวิเคยะ วัดแห่งหมู่ บ้านสมาธิปิลิมเคยะ วัดแห่งหมู่บ้านมลสุนเคยะ วัดแห่งหมู่บ้าน มหาตริวังกเคยะ วดั แห่งหม่บู ้านเตลกฏารเคยะ และวดั ถ้�าแหง่ หม่บู า้ น อตั ตนคลั ละ (Saddharmaratnakaraya: 1931: 296) พระบรมราชทู ศิ แหง่ มหาสมันเทวาลยั ระบุว่า “พระองคท์ รงมพี ระราชศรทั ธาพระศาสนา อย่างแรงกล้า ทรงทุ่มเททุกส่ิงอย่างเพ่ือป‡องกันความเสื่อมโทรมของ พระศาสนา ซ่ึงเสียหายจากการถูกทอดทิ้งยามเกิดสงครามสมัยบูรพ กษตั รยิ ์ พระองคท์ รงประทบั นั่งทา่ มกลางคณะสงฆ์ พร้อมกับเจา้ เมือง น้อยใหญ่และเสนาอ�ามาตย์ ทรงสอบถามวิธีการฟื้นฟูและด�ารงรักษา อารามวิหารและเทวาลัย” (CALR 2: part 1: 42) สา� หรับผลงานอันโดดเดน่ ของพระองค์คอื การถวายความอปุ ถัมภ์ ดา้ นการศกึ ษาคณะสงฆ์ ซงึ่ สมยั นน้ั ศนู ยก์ ลางการศกึ ษาเรยี กวา่ ปริ เิ วณะ มมี ากมายหลายแหง่ ทวั่ อาณาจกั ร ไดแ้ ก่ วชิ ยั พาหปุ ริ เิ วณะแหง่ หมบู่ า้ น โตฏคามวุ ะ ปทั มวดปี ริ เิ วณะแหง่ หมบู่ า้ นแกรคะละ ราชครหศรฆี นานนั ทะ ปริ เิ วณะแหง่ หมบู่ า้ นวที าคามะ วนวาสปี รเิ วณะแหง่ หมบู่ า้ นปลาภตั คะละ อิรุกคัลกุลติลกะปิริเวณะแห่งหมู่บ้านเดวินูวะระ เอรบัฏโฏฏธรรมราชะ ปิริเวณะแห่งเมืองหลวงโกฏเฏ ชัยมหาเลสิตุปยะปิริเวณะแห่งหมู่บ้าน นิยัมคัมปะยะ ปัญจมูละปิริเวณะและคตระปิริเวณะแห่งเมืองกัลยาณี สัปตรัตนะปรติราชะปริเวณะแห่งเมืองกัลยาณี ศรีนิวาสะปิริเวณะและ ราชรัตนะปิริเวณะแห่งเมืองกัลยาณี ลังกาติลกะปิริเวณะและมหาปิยะ ปริ เิ วณะแหง่ หมบู่ า้ นอสุ สปติ ยิ ะ และรมั ภวหิ ารมนวลุ ปุ ริ เิ วณะ (Adikari:
202 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร 2006: 241-243) ปริ ิเวณะเหล่านี้สามารถแบง่ ออกเป็น ๒ กลมุ่ ใหญ่ คือ ปิริเวณะที่สังกัดคณะสงฆ์คามวาสีมีวิชัยพาหุปิริเวณะแห่งหมู่บ้าน โตฏคามวุ ะเปน็ หวั หนา้ และปริ เิ วณะทสี่ งั กดั คณะสงฆอ์ รญั วาสมี ปี ทั มวดี ปริ เิ วณะแห่งหมบู่ า้ นแกรคะละเปน็ หวั หน้า ศูนย์กลางการศึกษาอีกแห่งหนึ่งคือสุเนตรามหาเทวีปิริเวณะแห่ง หมู่บ้านแปปิฬิยานะ พระองค์โปรดให้สร้างเพ่ือเป็นอนุสรณ์ร�าลึกถึง พระราชมารดาสเุ นตราเทวี (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 2: 2553: 319) จารึกแปปิฬิยานะระบุว่าพระองค์โปรดให้สร้างศูนย์กลาง การศกึ ษาสงฆ์แหง่ นี้ในวันเพญ็ เดือนแมดนิ ในปีที่ ๓๙ แห่งการครอง ราชย์เหนือเกาะลังกา (ตรงกับพุทธศักราช ๑๙๕๘) โปรดให้สร้าง เสนาสนะและส่ิงก่อสร้างเป็นจ�านวนมาก เพื่อให้เพียงพอต่อพระสงฆ์ ผู้พ�านักพักอาศัย พร้อมถวายปัจจัยเคร่ืองยังชีพส�าหรับพระสงฆ์ จากนนั้ มอบถวายแดพ่ ระมงั คลเถระ ซงึ่ เปน็ ศษิ ยผ์ ใู้ หญข่ องพระเมธงั กร มหาเถระแหง่ ส�านักคลตุรุมูละ (Kts: 1955; 40-41) เน่อื งจากสุเนตรา มหาเทวีปิริเวณะแห่งน้ีอยู่ภายใต้ราชูปถัมภ์อีกทั้งอยู่ใกล้เมืองหลวง จึงมีพระสงฆ์นักปราชญ์เดินทางมาพ�านักพักอาศัยหลายรูป ดังเช่น พระคลตุรุมูละศรีเมธังกรมหาเถระ พระโตฏคามุเว ศรีราหุลเถระผู้เป็น เจา้ สา� นกั วชิ ยั พาหปุ ริ เิ วณะแหง่ หมบู่ า้ นโตฏคามวุ ะ และพระปรากรมพาหุ วิลคมั มูลเถระ (Adikari: 2006: 269) สา� หรบั หลกั สตู รการเรยี นการสอนในปริ เิ วณะนนั้ สามารถแบง่ เปน็ สองกล่มุ ใหญ่ กลุ่มแรกคือปัทมาวดีปิริเวณะแห่งหมู่บ้านแกรคะละในฐานะเป็น ตัวแทนคณะสงฆ์อรัญวาสี หลักสูตรของปิริเวณะแห่งน้ีแบ่งออกเป็น
ปรากรมพาหกุ ติกาวตั ร 203 ๓ ระดบั กล่าวคือ ๑) ช้ันตน้ สา� หรับสามเณร เร่ิมตน้ จากท่องจา� คัมภีร์ เหรณสิกขาหรือหนังสือความรู้เบ้ืองต้นส�าหรับสามเณร ต่อมาต้อง ท่องจ�าคัมภีร์เก่าและคัมภีร์อ้างอิงอีกหลายเล่ม การเรียนแต่ละครั้ง สามเณรต้องแสดงความเคารพต่ออาจารย์ผู้สอนด้วยการกราบเท้า ท้ังก่อนเรียนและหลังเรียน ๒) ชั้นกลางส�าหรับพระภิกษุผู้ถือนิสัย เบื้องต้นศึกษาคัมภีร์มูลสิขา คัมภีร์สิขะ-วลัณฑะ-วินิสะ (คัมภีร์ว่าด้วย พระวินัย) และคัมภีร์สดหัม (คัดเลือกเน้ือหาบางส่วนมาจากคัมภีร์ พระไตรปิฎก) ครั้นจบสามคัมภีร์แล้วต้องศึกษาคัมภีร์นิสบณวินิสะ (การอธบิ ายส่วนแห่งธรรมเพอ่ื เขา้ เป็นสมาชิกสงฆ์) จากนั้นตอ้ งท่องจ�า พระปรติ รโดยคดั เลอื กพระสตู รมาจากคมั ภรี ข์ ทุ ทกปาฐะแหง่ ขทุ ทกนกิ าย และศึกษาไวยากรณ์ภาษาบาลีตามคัมภีร์กัจจายนะและคัมภีร์แนสฎีกา และ ๓) ชน้ั ปลายสา� หรับพระสงฆช์ ้นั เถระ เบ้ืองต้นนกั ศึกษาต้องศกึ ษา คัมภีร์เตรบณะ (สองวิภังค์แห่งพระวินัยปิฎก) ถัดมาเป็นพระอภิธรรม ปิฎกและพระสุตตันตปิฎก และอธิบายพระวินัยปิฎกโดยใช้คัมภีร์อรรถ กถาและคัมภีร์อภิธานศัพท์เป็นคู่มือ นอกจากน้ัน พระสงฆ์ช้ันเถระจ�า ตอ้ งศึกษาอีกหลายวิชา ดงั เชน่ ตรรกศาสตร์ ไวยากรณ์ ฉันทลกั ษณ์ วาทศาสตร์ กวีนิพนธ์ และการละคร (Hamsasandesaya: 2013; vv.180-181) เฉพาะกวีนิพนธ์และการละครน้ันส�าหรับนักศึกษาท่ีเป็น ฆราวาสเทา่ นน้ั สว่ นพระสงฆส์ ามเณรหา้ มเรยี นเพราะเปน็ วชิ าตอ้ งหา้ ม (Hamsasandesaya: 2013; 195) สว่ นบรรยากาศการเรยี นการสอนของวชิ ยั พาหปุ ริ เิ วณะมลี กั ษณะ ตรงกนั ขา้ ม กลา่ วคอื การเรยี นการสอนมไิ ดแ้ บง่ ออกเปน็ ระดบั ชน้ั ชดั เจน ส่วนใหญ่เลือกสถานท่ีเรียนตามความเหมาะสมรอบปิริเวณะ บางกลุ่ม
204 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร ก็สนทนาโต้เถียงเนื้อหาพระอภิธรรมปิฎก บางกลุ่มนั่งสาธยายคัมภีร์ สตุ ุรุดหัม (พระสตุ ตนั ตปฎิ ก) บางกลุ่มอธิบายเน้ือหาคัมภีรพ์ ระวนิ ยนยะ อย่างละเอยี ด (พระวินัยปิฎก) โดยใช้คมั ภีร์อรรถกาเป็นคมู่ อื บางกลุม่ ท่องกฎไวยากรณ์และคัมภีร์เหรณสิกะ (หนังสือส�าหรับสามเณร) บางกลุ่มศึกษาคมั ภีร์สมยกรณะ (ค�าสอนของศาสนาอน่ื ) นกั ศกึ ษาบาง กลุ่มเป็นพราหมณ์ชาววิเทศพากันศึกษาคัมภีร์เวดรุต (คัมภีร์พระเวท) คมั ภรี ป์ รุ าณะและคมั ภรี ส์ า� คญั ของอนิ เดยี ดงั เชน่ รามยนะและมหาภารตะ บางกลุ่มศึกษาโหราศาสตร์ด้วยการย้ายสังข์บนกระดานขาวแสดงถึง การเคล่ือนย้ายของจักรวาลบนท้องฟ‡า และพราหมณ์บางกลุ่มพากัน ตรวจสอบความหมายและอธิบายคัมภีร์อรถศาสตรา (เศรษฐศาสตร์) (Girasandesaya: 1963; vv.205-210) กลา่ วโดยยอ่ หลกั สตู รการเรยี น ของวชิ ัยพาหปุ ริ ิเวณะสามารถแบ่งออกเปน็ ๔ กลุม่ ดังน้ี ๑) ประเภท ศาสตร์ (สัตถันตระ) ได้แก่ คณิตศาสตร์ การละคร แพทย์ศาสตร์ นิติศาสตร์ และโหราศาสตร์ ๒) ประเภทศาสนาและปรัชญา (สมยันตระ) ได้แก่ นิกายหกของÎินดู กล่าวคือ นยายะ ไวเศษิกะ สังขยะ โยคะ อุตตระมีมางสา และอปรมีมางสา ๓) ประเภทภาษา (ภาสันตระ) ได้แก่ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาสิงหล และ ภาษาปรากฤต และ ๔) ประเภทคัมภีร์ ได้แก่ พระไตรปิฎก คัมภีร์ อรรถกถา และคมั ภีร์ฎกี า หลักฐานเบ้ืองต้นช้ีให้เห็นว่าปิริเวณะสมัยนี้มีพัฒนาการเจริญ รุ่งเรืองสูงสุดภายใต้ราชูปถัมภ์ของพระเจ้าปรากรมพาหุ พระองค์มิใช่ เพียงแต่สนับสนุนนักปราชญ์และก่อสร้างสถาบันการศึกษาเท่านั้น แตไ่ ดถ้ วายความอปุ ถมั ภช์ ว่ ยเหลอื สนบั สนนุ ทกุ สง่ิ อยา่ ง คมั ภรี ก์ วนี พิ นธ์ ชื่อว่าแปรกุมบาสิริตะได้สรรเสริญพระองค์ว่าเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ย่ิง
ปรากรมพาหกุ ติกาวตั ร 205 ใหญ่เสมอพระเจ้าโภชะ ผู้สงเคราะห์การศึกษาอินเดียสมัยโบราณ (Parakumbasirita: 1945: v.16) สอดคลอ้ งกับหลกั ฐานว่านกั กวีและ ผู้ประพันธ์จ�านวนมากต่างพากันแสดงความยินดีด้วยการแต่งกลอนใน หอแห่งนักกวีนามว่ากวิการะ-มฑุวะ (Wickramasinhe: 1950: 1) นอกจากนนั้ ยงั มเี ชอื้ พระวงศแ์ ละขา้ ราชบรพิ ารเปน็ จา� นวนมากทด่ี า� เนนิ ตามแบบอย่างพระองค์ ด้วยการสงเคราะห์การศึกษาคณะสงฆ์ จนกระท่ังเกิดมีพระสงฆ์นักปราชญ์ช่วยกันผลิตวรรณกรรมพระพุทธ ศาสนาเป็นจ�านวนมาก (IIangasinha: 2559: 136) เป็นที่น่าสังเกต อยา่ งหนงึ่ คอื การอปุ ถมั ภพ์ ระสงฆเ์ นน้ ถวายทด่ี นิ เปน็ หลกั และถวายเปน็ สมบัตสิ ่วนบุคคลมิใช่แก่คณะสงฆ์ แม้เบ้ืองตน้ พระสงฆจ์ ะมอบหมายให้ ฆราวาสเข้ามาบริหารที่ดินของอารามวิหารก็จริง แต่ต่อมาไม่นานเกิด ระบบการมอบที่ดินอันเป็นมรดกให้แก่ศิษย์และลูกหลาน เรียกกันว่า ศิษยานุศิษย์ปรัมปราหรือญาติปรัมปรา จารีตปฏิบัติเช่นน้ีมีการ สบื ตอ่ มาจนถึงปัจจุบัน ô.ô สาเหตกุ ารตรากตกิ าวตั ร ข้อความตอนหนึ่งของกติกาวัตรระบุว่า “พระราชกรณียกิจด้าน ศาสนานน้ั เปน็ งานสา� คญั อนั ผคู้ นทง้ั มวลบนผนื โลกตา่ งรสู้ กึ รบั รเู้ สมอกนั พระองคท์ รงอปุ ถมั ภด์ แู ลพระศาสนาเปน็ อยา่ งด”ี หลกั ฐานตรงนช้ี ใ้ี หเ้ หน็ ว่าพระองค์ทรงให้ความส�าคัญด้านศาสนาเสมอเหมือนบ้านเมือง สันนิษฐานว่าพระด�ารัสดังกล่าวน้ีน่าจะบ่งถึงความเป็นไปในคณะสงฆ์ ดว้ ย แมห้ ลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรจ์ ะระบวุ า่ สมยั เรมิ่ ตน้ สรา้ งบา้ นแปลง เมอื งนน้ั พระองคใ์ หค้ วามสนใจการณพ์ ระศาสนาคอ่ นขา้ งนอ้ ย เนอ่ื งจาก บ้านเมืองยังอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการรุกรานของกษัตริย์แห่งอาณาจักร
206 ศรลี งั กากตกิ าวัตร จัฟฟŠนา แต่ต่อมาครั้นทรงรวบรวมบ้านเมืองเป็นหน่ึงเดียวและมั่นคง ดีแล้ว พระองค์ได้หันมาทุ่มเทให้พระศาสนาอย่างเต็มที่ การสนับสนุน ดังกล่าวนอกจากจะบูรณปฏิสังขรณ์อารามวิหารเพื่อให้เพียงพอต่อ พระภิกษุสามเณรแล้ว ยังถวายความอุปถัมภ์สถาบันการศึกษาอย่าง เตม็ ทจี่ นสามารถผลดิ อกออกผลในระยะเวลาอนั สนั้ ทนั เหน็ กอ่ นพระองค์ จะสวรรคต นา่ สนใจคอื การตรากตกิ าวตั รซง่ึ สามารถสง่ ผลตอ่ การศกึ ษา คณะสงฆ์กลบั ไม่ปรากฏเหน็ ในกตกิ าวัตรสมัยพระองค์ ประเดน็ ชวนสงสยั คอื จารกึ แปปฬิ ยิ านะซงึ่ เปน็ กตกิ าวตั รหนงึ่ เดยี ว สมัยพระองค์ครอบคลุมคณะสงฆ์ท้ังเกาะลังกาหรือไม่ หากตรวจสอบ รายละเอียดดูเหมือนว่าเน้นเฉพาะวัดสุเนตรามหาเทวีวิหารเท่านั้น ดังข้อความตอนหน่ึงว่า “พระภิกษุผู้สืบทอดต�าแหน่งต่อจากพระมหา เถระรปู นี้ (พระสมุ งั คลเถระแหง่ สเุ นตรามหาเทววี หิ าร) ควรเปน็ ผสู้ มบรู ณ์ พร้อมด้วยคุณสมบัติด้านการรักษาพระพุทธศาสนา กล่าวคือการตอบ ถามหลักธรรมค�าสอนและเชี่ยวชาญดา้ นเทศนาธรรม จงึ ควรแต่งต้ังให้ อาศัยอาราแห่งน”ี้ เป็นไปไดห้ รือไม่วา่ พระองคป์ รารถนาให้อารามแห่งนี้ เป็นต้นแบบของอารามเหล่าอื่น ด้วยการวางรากฐานให้ม่ันคงทุกด้าน โดยใช้กติกาวัตรฉบับน้ีเป็นเคร่ืองมือ ไม่ว่าจะเป็นระบบการปกครอง ภายในวดั และการบรหิ ารทรพั ยส์ ินของอารามวิหาร ตอนท้ายของกตกิ าวตั รฉบบั น้ี พระองคต์ รัสไวว้ ่า “นบั แต่นีส้ ืบไป ภายหนา้ หากผใู้ ดสรา้ งความวนุ่ วาย หรอื ละเมดิ กตกิ าวตั ร หรอื วา่ ตา� หนิ ใครดังกล่าวถึงแล้ว สร้างความเสียหายแก่พระรัตนตรัย หรือหากผู้ใด ตรากตกิ าวตั รขนึ้ ใหมโ่ ดยมใิ ชเ่ ปน็ พระบรมราชโองการ เขาผนู้ น้ั จะบงั เกดิ ในนรกขุมเล็กหน่ึงร้อยสามสิบหกขุม รวมถึงมหานครแปดขุม ดังเช่น
ปรากรมพาหกุ ติกาวตั ร 207 สญั ชวี ะ กาฬสตู ร เปน็ ตน้ และจะทนทกุ ขท์ รมานโดยไมส่ ามารถพรรณนา ได้ ย่อมเป็นผู้รบั ผลกรรมแห่งการลงโทษ เสมือนเปน็ ผ้มู ีความผิดเสมอ ปญั จอนนั ตรยิ กรรมดงั เชน่ ปติ ฆุ าตเปน็ ตน้ ” ลกั ษณะเชน่ นม้ี ลี กั ษณะคลา้ ย การสาปแชง่ มากกวา่ การชกั จงู ใหเ้ หน็ ความจา� เปน็ ในการรกั ษากตกิ าวตั ร หากเปรียบเทียบกับกติกาวัตรสมัยก่อน ดูเหมือนว่าพระองค์จะใช้ พระราชอ�านาจมากเกินความจ�าเปน็ เปน็ ไปได้หรอื ไมว่ า่ กตกิ าวัตรฉบบั นไ้ี มส่ าธารณแ์ กพ่ ระสงฆท์ ง้ั หมด วธิ สี าปแชง่ จงึ เปน็ การขม่ ขผู่ ไู้ มเ่ หน็ ดว้ ย เน้ือหาของกติกาวัตรสามารถแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ดังน้ี ๑) ว่าด้วยการสร้างสุเนตรามหาเทวีวิหารเพ่ือเป็นอนุสรณ์สถานแก่ พระราชมารดาผู้ล่วงลับ ๒) พระบรมราชูทิศและรายได้ท่ีเกิดจาก พระบรมราชูทิศควรมีการจัดแบ่งให้พระสงฆ์และผู้ท�างานรับใช้พระสงฆ์ ตามสัดส่วนอย่างเหมาะสม และ ๓) การสาปแช่งผู้ล่วงละเมิดกติกา วัตรด้วยการอ้างนรก พร้อมต้ังจิตอธิษฐานให้กษัตริย์ผู้เกิดภายหลัง เหน็ ความส�าคัญของกตกิ าวตั ร ลักษณะเด่นของกติกาฉบับน้ีคือมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คอ่ นขา้ งละเอยี ด สนั นษิ ฐานวา่ จารกึ หลกั นนี้ า่ จะเกดิ จากการปรารภของ พระองค์ โดยมีเสนาบดีผใู้ หญ่ด�าเนินการก่อนที่จะส่งั ผา่ นอาลักษณ์อกี ที หนง่ึ สง่ิ ทเ่ี หน็ ชดั เจนจากกตกิ าฉบบั นคี้ อื ภมู ศิ าสตรข์ องอาณาจกั รโกฏเฏ โดยเฉพาะบริเวณหมู่บ้านแปปิฬิยานะท่ีอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ ธญั ญาหาร จนสามารถบา� รงุ พระสงฆเ์ ปน็ รายปไี ดอ้ ยา่ งไมข่ ดั สน เชอื่ วา่ บรเิ วณแถบนน้ี า่ จะมเี สนาบดผี ใู้ หญช่ อื่ วา่ สกิ รุ ามดุ ลั โปตเุ ปน็ ผรู้ บั ผดิ ชอบ ดูแล เน่ืองจากรายการส่ิงของแต่ละอย่างค่อนข้างละเอียดชัดเจน และ เสนาบดที า่ นนน้ี า่ จะไดร้ บั ความไวว้ างใจใกลช้ ดิ จากพระเจา้ ปรากรมพาหุ เป็นกรณพี ิเศษ
208 ศรลี งั กากตกิ าวัตร ภาพวาดพระเจาปรากรมพาหุ แหงอาณาจักรโกฏเฏ (คัดลอกจากหนังสือ Mahavira Vamsayo)
ปรากรมพาหกุ ตกิ าวตั ร 209 วัดโกฏเฏราชมหาวิหาร ภายในเมืองหลวงเกาชัยวรรธนปุระโกฏเฏ (คัดลอกภาพจาก www.google.co.th/maps)
210 ศรลี ังกากตกิ าวตั ร นาลลูรกันดสวามีเทวาลัย บุณยเขตสําคัญสูงสุดของชาวฮินดู บริเวณเมืองจัฟฟนา (คดั ลอกภาพจาก www.google.co.th/maps) ประตูพระราชวังของกษัตริย์จัฟฟนาแหงราชวงศ์อารยจักรวรัติ (คัดลอกภาพจาก www.google.co.th/maps)
ปรากรมพาหุกตกิ าวตั ร 211 เคหสถานของเสนาบดีแหงอาณาจักรจัฟฟนา (คัดลอกภาพจาก www.google. co.th/maps) ปอมปราการเมืองจัฟฟนา สรางโดยฮอลันดาสมัยปกครองอาณาจักรจัฟฟนา (คัดลอก ภาพจาก www.google.co.th/maps)
212 ศรีลังกากตกิ าวตั ร ปทมวดีปิริเวณะ เมืองแกลคะระ เปนศูนย์กลางของคณะสงฆ์สํานักอรัญวาสี สมัยอาณาจกั รโกฏเฏ (คดั ลอกภาพจาก www.google.co.th/maps)
ปรากรมพาหกุ ติกาวัตร 213 ô.õ ปรากรมพาหกุ ติกาวัตร (แปล) พระเจ้าปรากรมพาหุผู้เป็นราชาธิราชแห่งเกาะลังกาอันรุ่งเรือง สว่างไสว ทรงประดับด้วยเครื่องอลังการแห่งสุริยโคตร ข้าแต่เจ้าชาย ผจู้ ะขนึ้ เสวยรชั สมบตั เิ หนอื บลั ลงั กล์ งั กา ขอพระองคท์ รงสดบั สนุ ทรวาจา ของขา้ พเจา้ ผมู้ ศี กั ดนิ์ อ้ ย พระราชกรณยี กจิ ดา้ นศาสนานนั้ เปน็ งานสา� คญั อนั ผคู้ นทง้ั มวลบนผนื โลกตา่ งรสู้ กึ รบั รเู้ สมอกนั พระองคท์ รงอปุ ถมั ภด์ แู ล พระศาสนาเป็นอย่างดี ตัวข้าพเจ้ารู้สึกเล่ือมใสยินดีน้อมคารวะต่อกุศล กรรมอันน้ัน และขอผลแห่งกุศลทานของข้าพเจ้าจงบรรลุถึงพระองค์ ด้วยเทอญ เพื่อรักษาดูแลมหาวิหารซ่ึงพระองค์โปรดให้สร้างข้ึนแล้ว ขนานนามตามพระมารดาของพระองค์ บัดน้ีพระเจ้าปรากรมพาหุ ผรู้ าชาธริ าชแหง่ เกาะลงั กาอนั รงุ่ เรอื งสวา่ งไสว ไดน้ อ้ มถวายสมณปจั จยั หลายอย่างแก่พระสงฆ์ ได้แก่ หมู่บ้านหลายประเภท พร้อมผู้อาศัย สวน อา่ งเกบ็ นา้� และภาชนะใส่นา�้ หลายชนดิ พระองคโ์ ปรดใหจ้ ารกึ ลงบนแผน่ หนิ เพอ่ื ความมน่ั คงถาวร ดงั ตอ่ ไปน:้ี วันขึน้ ๘ ค่า� เดือนเมดินดนิ ะ (มนี าคม-เมษายน) ในวันที่ ๑๕ ตรงกับปีท่ี ๓๙ แห่งการครองราชย์ของราชวงศ์อันประเสริฐ ผู้ทรง เป็นพระมหาจักรพรรดิพระนามว่าศรี-สังฆะ-โพธิ-ศรี-ปรากรมพาหุ (YS%ix>fndê Y%Smrdl%undyq) ผู้มปี ระสตู กิ าลจากสุริยวงศ์ ผู้สบื เชอื้ สาย มาจากพระเจา้ มหาสมั มตะ ผเู้ สวยมไหศวรรยเ์ หนอื เกาะลงั กาอนั รงุ่ เรอื ง ในปี ๑๙๕๘ แห่งพุทธศักราชอันรุ่งเรืองแผ่ไพศาล พระองค์ทรงมี พระรัศมีสว่างไสวกอปรด้วยเครื่องประดับ ๖๔ ชนิด รวมถึงมงกุฎ เทวาลยั ของเทพธดิ าศรผี ปู้ ระทานความรา่� รวยมง่ั คงั่ พระราชบลั ลงั กข์ อง เทวราชา ทรงแวดล้อมด้วยเหล่าเชื้อพระวงศ์ พระมหาอุปราช และ
214 ศรีลังกากตกิ าวตั ร ข้าราชบริพาร ทรงประทับเหนือบัลลังก์อันประดับประดาอย่างตระการ ตาภายในท้องพระโรง ตรงข้ามกับพระราชวังนามว่าสุมังคละ ภายใน มหานครอนั ยิ่งใหญ่นามวา่ ชัยวรรธนปุระ (PhjrAOkmqr) ขณะน้ันทรง ประทานพระราชด�ารัสต่อประยูรญาติและมุขมนตรี ให้ช่วยกันปกครอง ดแู ลอาณาประชาราษฎรต์ ลอดราชอาณาจกั ร พระองคท์ รงพระราชทาน ที่ดินเพ่ือความด�ารงอยู่ยาวนานและเพื่อเป็นประโยชน์ต่ออารามวิหาร ผู ้ รั บ ส น อ ง พ ร ะ ร า ช โ อ ง ก า ร คื อ เ ส น า บ ดี น า ม ว ่ า สิ กุ ร า มุ ดั ล โ ป ตุ (islqrduqo,afmd;q) โปรดได้สร้างอารามแห่งใหม่อุทิศส่วนกุศลให้แก่ พระราชมารดาผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยพระราชทรัพย์เป็นจ�านวน ๒๕,๐๐๐ เหรียญ ณ หมู่บ้านแปปิฬิยานะในเขตปานบุนุ (ปัจจุบัน เรียกว่าปานดุเร) พร้อมสร้างก�าแพงดิน หอ วิหาร หอแสดงธรรม ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ พระพุทธรูป วิหารน้อยใหญ่ และเทวาลัยท้ังส่ี อุทิศถวายแก่เทพเจ้าน้อยใหญ่ นอกจากนั้น โปรดให้สร้างหอสมุด สวนดอกไม้ และสวนผลไม้ เปน็ ตน้ หมู่บ้านแปปิฬิยานะและและหมู่บ้านแมดิมาลานั้น (ปัจจุบันเรียก ว่าแนดิมาละ) มีอาณาเขตติดกัน พื้นท่ีด้านล่างมีเนื้อที่ ๑๐ อมุณะ ส่วนด้านบนเป็นอ่างเก็บน�้าบริเวณหมู่บ้านดิมบุลปิฏิยะและหมู่บ้าน อรักโกฑวิละ ถัดออกไปเป็นบริเวณเช่ือมติดกับป่าใหญ่ ทุ่งหญ้า สวนดอกไมแ้ ละกระทอ่ ม สว่ นเขตกาฬตุ ะระ กฑุ ะ แวลคิ ามะ และ ........... รันโคดะอยู่ในเขตต�าบลปัสโยดุน หน่ึงยาละแห่งขอบเขตการหว่านจาก ทุ่งนาเกเหลเสมาวะพร้อมด้วยส่วนเสริมในเขตมัคโคนะ สองยาละแห่ง ขอบเขตการหว่านจากโบลลตาวิละและเขตติดพื้นดินสูงในอลุตกูวุรุวะ คิริโดระในเขตสีเนรฏะ (ปัจจุบันเรียกว่าสิยาเนโกรเฬ) มันเคดระในเขต เบลคิ ลั นวู ะระ หา้ อมณุ ะแหง่ พน้ื ทส่ี งู จากเมดโคฑะและเมฑเลนโคฑะ และ
ปรากรมพาหกุ ตกิ าวัตร 215 สี่อมุณะแห่งขอบเขตการหว่านจากทุ่งนาในเขตโดโลสดหสรฏะลบุคามะ ซงึ่ มอบถวายแดว่ ดั ชอ่ื วา่ เวรคลั เลนะวหิ าร สว่ นเขตรยคิ มั นวู ะระเปน็ บา้ น หนึ่งหลังและสวนหน่ึงแห่งพร้อมด้วยสามแปละแห่งขอบเขตการหว่าน จากทุ่งนาในสัลโตฏะ ถัดมาเป็นห้าอมุณะแห่งขอบเขตการหว่านจาก ทงุ่ นานอกหมบู่ า้ นอติ ตวะ หมบู่ า้ นปาลตลาวละ หมบู่ า้ นดมั ลเิ ยดดะ และ หมบู่ า้ นแตมบลิ หิ ริ ะ ซงึ่ มอบถวายแดว่ ดั ชอ่ื วา่ กนั เดวหิ ารในเขตแวลคิ ามะ ถือว่าเป็นหนึ่งในสิบวัดของเขตน้ี ส่วนหนึ่งอมณะและหน่ึงแปละ แห่งโอวิฏะในเขตเอปามุละก็เช่นเดียวกับหมู่บ้านอุวาลุโกฑะ หมู่บ้าน นตุโกฑะ และหมู่บ้านแวลลลานะ รวมถึงป่าใหญ่และทุ่งหญ้า บริเวณ หมบู่ า้ นปตฏิ ฏาคามะในตา� บลบลุ ตั คามะแหง่ เขตเบลคิ ลั นูวะระ อปุ ฏั ฐาก ๒๕ คน สองยาละแห่งโค ชา้ งสองเชอื ก เรือเกลอื หน่งึ ปาดะ เคร่อื ง มอื จา� เป็นอกี หลายอยา่ งสา� หรับอารามวหิ าร ทุกส่ิงอย่างเหล่าน้ีพระเจ้า แผ่นดินโปรดพระราชทานให้เป็นสมบัติของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ ครั้นแล้วโปรดขนานนามอารามวิหารแห่งน้ีว่าสุเนต รามหาเทวีปิริเวณะ (iqfka;%duydfoAùmsrsfjK) เพ่ือเป็นอนุสรณ์แก่ พระราชมารดาผทู้ รงคุณอนั ประเสรฐิ โปรดพระราชทานช่ือสเุ นตรามหา เทวีปิริเวณะเถระแด่พระสุมังคลเถระ (iqux.,) ผู้เป็นศิษย์ศึกษาตาม คา� แนะนา� ของพระมหาเถระนามวา่ คลตรุ มุ ลู ะเมธงั กร (.,;rq uq ,q fuOxlr) ผู้รั้งต�าแหน่งพระเถระผู้ใหญ่แห่งอารามวิหารนี้ จากน้ันทรงมีพระราช ด�ารัสว่า “พระภิกษุผู้จะสืบทอดต�าแหน่งต่อจากพระมหาเถระรูปน้ี ควรสมบูรณ์พร้อมด้วยคุณสมบัติด้านการรักษาพระพุทธศาสนา กล่าว คือสามารถตอบถามหลักธรรมค�าสอนและเชี่ยวชาญด้านเทศนาธรรม จงึ แตง่ ตงั้ ให้ดแู ลอารามแหง่ น”ี้ ผลผลิตอันเกิดจากที่ดินดังกล่าวแล้วนั้นควรน�ามาจัดสรรแบ่งปัน ดงั ตอ่ ไปน้ี สว่ นหนง่ึ สา� หรบั ตน้ พระศรมี หาโพธ์ิ สว่ นหนงึ่ สา� หรบั เทวาลยั
216 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร เมตไตรยโพธิสัตว์ อีกส่วนหนึ่งส�าหรับเทวาลัยเหล่าอื่น การจัดสรร แบง่ ปนั ควรทา� เปน็ นติ ย์ สบิ หา้ แนลแิ หง่ สป่ี ะตะควรใหส้ า� หรบั ขา้ วบรสิ ทุ ธ์ิ เพอ่ื ประกอบอาหาร แกงควรมรี าคาสามมสั สะแหง่ ทอง มะพรา้ วสามลกู น�้าตาลหนึ่งถุง หนึ่งในสามส่วนของเกลือหน่ึงแนลิ หน่ึงมัสสะมีค่า ส�าหรับกระเทียม เมล็ดยี่หราและขมิ้น มะพร้าวห้าลูกส�าหรับน้�ามัน ตะเกยี ง ดอกไม้หอมหนึ่งพันดอก ใบพลูยส่ี ิบหกใบ หมากดิบสบิ หา้ ลูก เกลือหน่ึงหรือสองแนลิต่อหนึ่งเดอื น สองแสลิแหง่ เนย แปดพาลัมแห่ง ไม้จนั ทรส์ �าหรบั ท�าขผ้ี ้ึงยา สามพลัมแหง่ ไม้หอม สามพลัมแหง่ ไมจ้ ันทร์ และสามพลมั แห่งไมห้ อมสา� หรับทา� ธูป ส่วนแห่งการถวายประจ�าปี ได้แก่ข้าวแกลบดิบไม่ซาวและไม่ต้ม หนึง่ ร้อยและห้าสบิ แนลิพร้อมมะพร้าวอีกหนง่ึ รอ้ ยลูก สว่ นแหง่ การบชู า ด้วยประทีป ได้แกม่ ะพรา้ วหนึง่ พนั ลกู สา� หรับการบูชาพิเศษ ซึ่งจัดขนึ้ ใน วันที่สิบห้าข้างข้ึนเดือนวิสาขบูชา ตรงกับวันเสด็จสู่สวรรคาลัยของ พระมเหสี นอกนั้นเป็นข้าวแกลบดิบไม่ซาวและไม่ต้มสามร้อยแห่ง แนลิพร้อมมะพร้าวสองร้อยลูก ส่วนแห่งการถวายเปลวประทีปได้แก่ มะพร้าวสองร้อยลูก ส่วนแห่งการถวายพระภิกษุผู้คัดลอกคัมภีร์ พระไตรปิฎกหนึ่งพันเจ็ดร้อยเล่มภายในหน่ึงเดือน ได้แก่ ข้าวสามแนลิ สองมัสสะทองมีค่าเทา่ แกง มะพรา้ วสองลกู พลูสิบใบ หมากดบิ หา้ ลูก แตล่ ะวนั เกลอื สบิ แนละ พรกิ หนงึ่ แนลิ หนง่ึ ฟานมั มคี า่ แหง่ หวั หอมยหี่ รา่ และขม้ิน เป็นตน้ เป็นสว่ นแห่งการใชจ้ า่ ยหน่ึงเดือน เคร่อื งแต่งกายตอ่ หนึ่งปี เปน็ หนง่ึ รอ้ ยฟานมั ส่วนแหง่ อาจารยใ์ หญ่ของอารามวหิ ารเป็น ข้าวสะอาดเพ่ือภัตตาหารห้าแนลิทุกวัน ส่วนแห่งพระสงฆ์ผู้พักอาศัย ห้ารูปผู้ได้รับการแต่งตั้ง เป็นข้าวสะอาดยี่สิบหกแนลิก�าหนดส่ีส่วน เท่าเทยี มกนั แกงมคี า่ แปดทองมสั สะ มะพรา้ วเกา้ ลกู มะพรา้ วออ่ นอกี เจด็ ลกู และไม้หอมสามถุงคร่งึ
ปรากรมพาหกุ ติกาวัตร 217 ส่วนแห่งน้�ามันประทีปเป็นมะพร้าวหกลูกส�าหรับใช้ภายในวิหาร แต่ละวัน ถัดมาเป็นพลูสามสิบใบ หมากดิบสิบห้าลูก ส่วนแห่งวิทาเน เป็นพลูสิบห้าใบและหมากดิบเจ็ดลูก ส่วนแห่งพระสงฆ์ท่ีเหลือเป็นพลู ส่สี ิบแปดใบ หมากดิบย่สี ิบส่ีลูก สว่ นแห่งหน่งึ เดอื นเปน็ เกลอื ห้าสบิ แนลิ พรกิ หก เก้าฟานัมมคี ่าเทา่ หัวหอม ย่หี ร่าและขมน้ิ เป็นตน้ สว่ นแหง่ คา่ ใช้จ่ายภายในวิหารประจ�าปี เป็นเสื้อผ้าสองชุดมีค่าหนึ่งร้อยฟานัม จีวรสองผนื เสื้อผา้ หนึง่ ชดุ เฉพาะผ้าชั้นในมคี า่ ยี่สิบห้าฟานมั อาหารมอ้ื หนง่ึ รวมถงึ ผา้ มคี า่ เจด็ ฟานมั ผา้ สองชน้ิ สา� หรบั ปดิ แผลเนา่ เปอ›ื ยมคี า่ สบิ ฟานมั บรขิ ารแปด ดงั เชน่ เครอ่ื งกรองนา�้ เปน็ ตน้ เกา้ อหี้ นง่ึ ชดุ มยี สี่ บิ เอด็ ตัวใช้ส�าหรับสวดมกุลปิริตร ประกอบด้วยปะร�า ผ้าคลุมเตียง เพดาน มา่ น เป็นต้น สว่ นแหง่ เครอ่ื งใช้ส�าหรับพระสงฆ์ทเ่ี หลอื เปน็ ผา้ สบิ ชนิ้ แตล่ ะรูปมี คา่ สามสบิ ฟานมั สว่ นแหง่ ผา้ สบิ ผนื ตามพระราชอธั ยาศยั สา� หรบั พระภกิ ษุ อาพาธ ผู้หายจากอาพาธ ค่าใช้จ่ายขณะอาพาธเป็นต้น เป็นพระราช ภารธุระ หมู่บ้านนิกปยะในเขตปานบุนุเป็นส่วนแห่งพระราชบัลลังก์อัน พระเจ้าแผ่นดินประทับแล้ว ควรจัดสรรเพื่อบ�ารุงบริขารสี่แด่พระสงฆ์ เจตนาเพอ่ื บา� รงุ รกั ษาอารามวหิ าร ผดู้ แู ลวทิ านจากหลายหมบู่ า้ นอนั เปน็ สมบัติของอารามวิหารเป็นห้าอมุณะ การถวายการรักษาพระภิกษุผู้มา จากสท่ี ศิ เปน็ ขา้ วสแี่ นลิ แกงมคี า่ หนงึ่ ทองมสั สะ มะพรา้ วหนง่ึ ลกู เครอื่ ง หอมคร่ึงหน่ึง มะพร้าวอ่อนหนึ่งลูก เกลือ พริก ขม้ิน ผงปรุงอาหาร เนย น�า้ มนั ประทปี เปน็ ตน้ พร้อมถวายพลูสบิ ใบและหมากดิบหา้ ลูก สว่ นแหง่ พระเถระชน้ั ผใู้ หญ่ ไดแ้ ก่ ขา้ วหา้ แนลิ แกงมคี า่ สามมสั สะ ทอง มะพร้าวห้าลูก ไม้จันทร์หน่ึงแนลิ เกลือหน่ึงแนลิ มะพร้าวอ่อน
218 ศรลี ังกากตกิ าวตั ร สองลูก พริกปน่ หวั หอม ขมิน้ ผงปรุงอาหาร เนย น�า้ มันสา� หรับทา ศรี ษะ พลูสามสิบใบ หมากดบิ สิบห้าลกู และน้า� มันเติมประทีปหนงึ่ ถ้วย ส่ือ ผ้าปู หม้อน�้า เป็นต้น ควรให้เพียงพอส�าหรับสามวัน ส่วนแห่ง อาหารถวายพระสงฆ์ผู้มาสู่วิหารทุกสามเดือนควรให้เพียงพอสามวัน หลังจากรักษาด้วยเภสัชเป็นต้นแล้ว ส่วนแห่งพระภิกษุผู้อาพาธตาม ค�าสั่งแพทย์ควรกันไว้ กลา่ วคือ พระภิกษผุ กู้ ลบั ส่วู หิ ารแห่งตน ดงั เชน่ วัตตละ เกลานียะ อตรุ คุ ิรยิ ะ วิทาคามะ และกลุโตฏะ ส่วนแหง่ ผดู้ แู ล รักษาอารามวหิ าร กล่าวคอื วิหาร สถปู เจดีย์ และเสนาสนะ รวมถึง ผทู้ า� งานในอารามวหิ ารแหง่ น้ี คา่ ใชจ้ า่ ยทงั้ หมดควรนา� มาจากรายไดข้ อง อารามวิหาร กรณีเร่งด่วนซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ค�าตัดสินย่อมมี ผลกระทบต่อรายไดข้ องอารามวหิ าร หมบู่ า้ น ทงุ่ นา ผคู้ น สตั วป์ า่ หรอื ทรพั ยส์ นิ อนั เปน็ ของอารามวหิ าร ไม่ควรมกี ารซ้ือขายทุกกรณี ผู้ดูแลอารามวหิ าร คนใชอ้ ารามวหิ ารท้งั ส่ี ผสู้ ง่ สารทง้ั หา้ ผปู้ ระกอบอาหารหา้ คน และอปุ ฏั ฐากเหลา่ อน่ื ควรประจา� หน้าท่ีตามกฎระเบียบของอารามวิหาร ควรท�าหน้าท่ีทั้งหมดอย่าง เครง่ ครดั ตามเจตนาของพระสงฆ์ผตู้ รากติกาไว้แล้ว การดแู ลรกั ษาพระภกิ ษอุ าพาธตามโรงพยาบาล ซง่ึ เปน็ อาคนั ตกุ ะ ของอารามวหิ ารแหง่ น้ี พรอ้ มทง้ั งานนอ้ ยใหญข่ องอารามวหิ ารควรมอบ ใหค้ นเหลา่ นน้ั หากพระภกิ ษรุ ปู ใดแตกฉานในพระไตรปฎิ ก ตรรกศาสตร์ ไวยากรณ์ เปน็ ตน้ ซง่ึ เดนิ ทางมาพกั อาศยั อารามวิหารแห่งน้ี พระภกิ ษุ เจ้าถิ่นควรถวายการดูแลเป็นอย่างดี และเรียนรู้จากท่านเหล่านั้น ส่วนภิกษุผู้ล่วงละเมิดอาบัติปาราชิกไม่ควรพ�านักอยู่ในอารามวิหาร แห่งน้ี ส�าหรับผู้ล่วงละเมิดวินัยข้ออื่น ควรแก้ไขความผิดเสียก่อนจึง อนุญาตให้พักอาศัยได้ โดยด�าเนินการตามพุทธบัญญัติแห่งพระวินัย
ปรากรมพาหุกตกิ าวตั ร 219 ส�าหรับพระภิกษุผู้อาศัยอารามแห่งนี้ควรศึกษาพระสูตร พระอภิธรรม พระวินยั ตรรกศาสตร์ ไวยากรณ์ เป็นตน้ คนงานเป็นต้นของอารามวิหารควรได้รับการแบ่งปันตามวิธีการ เพ่ือสามารถด�ารงชีพได้ กรรมห้าประการของสังข์และแตรเป็นต้น รายการส่ิงของดังเช่น เศวตฉัตร ปะร�าผ้าไหม กลองขนาดเล็ก เทริด เสื้อแขนสั้น เป็นต้น ควรใชท้ นั ที สา� หรบั ค่าใช้จา่ ยอยา่ งอ่นื และค่าบชู า พระรัตนตรัยควรรักษาไว้เช่นเดิม เน่ืองจากเป็นสิ่งของจ�าเป็นและ อนุญาตเฉพาะพระสงฆ์ผู้พักอาศัยภายในอารามวิหารแห่งนี้ รวมถึง พระอาคันตุกะผู้มาอาศัยอารามวิหารแห่งน้ีด้วย เน้ือความตามจารึก หลกั น้ีสร้างขนึ้ เพราะพระบรมราชโองการ พระภกิ ษสุ องประเภท กษตั รยิ ์ พระมหาอปุ ราช และเสนาบดผี ใู้ หญ่ เปน็ ตน้ กลา่ วคอื ผรู้ กั ษาอารามวหิ ารแหง่ นใ้ี หม้ นั่ คงยนื นาน ยอ่ มสามารถ บรรลุถึงทิพยสมบัติและนฤพาน ไม่หล่นลงไปสู่โลกทั้งสองกล่าวคือ นิรยโลกและสัตว์ดริ ัจฉาน วันอาทติ ยว์ นั ที่หา้ ข้างข้ึนแหง่ เดอื นอนุ ดุวัน ตรงกับปที ี่ ๔๔ แหง่ การครองราชย์ของพระเจ้าศรีปรากรมพาหุ พระองค์มีพระราชประสงค์ อทุ ศิ กศุ ลใหแ้ กพ่ ระราชมเหสี จงึ มพี ระบรมราชโองการใหเ้ สนาบดนี ามวา่ เสฬิยดรยรน (fi<shorhrqka) สร้างวิหาร ศาลา กุฎิ เป็นต้น ตามอารามวิหารน้อยใหญ่ในเขตกลุโบวิละ เขตวัตตละ เขตมหระ เขตมาดัมเป เขตเมฑโิ คมวุ ะ เขตนวโยดนะ เขตเดสวกะ และเขตอรมา นาหละ คราวคร้ังนั้นพระองค์โปรดให้พระราชทานที่ดินแด่พระสุเนตรา มหาเทวีปริวันเถระแห่งหมู่แปปิฬิยานะ ด้วยการหล่ังน�้าทักขิโณทก จากเตา้ ทองคา� แลว้ มอบอทุ ศิ ถวายแกพ่ ระรัตนตรยั ดงั ต่อไปน้ี;
220 ศรีลังกากตกิ าวตั ร สิบห้าอมุณะแห่งขอบเขตการหว่านจากเกเหปัตโดลเวละพร้อม หมู่บ้านและสวน บริเวณโตฏกุมบุระในเขตกสเวละมิริสคละกันดะ พร้อมป่าใหญ่และพื้นท่ีโล่ง บริเวณแกนดันโคมุวะเอลบฑกุมบุระของ สองอมณุ ะแหง่ ขอบเขตการหวา่ น บรเิ วณเดลโตฏะกมุ บรุ ะในเขตมาคามะ เป็นบริเวณป่าใหญ่และพ้ืนท่ีลุ่มประกอบด้วยหมู่บ้าน ชาวบ้านชายและ หญงิ ยีส่ ิบคน บริเวณโมรโตฏะและปัฏฏิยะสา� หรบั อุดหนนุ เคร่อื งตกแต่ง อารามวหิ าร พระสงฆผ์ ทู้ รงปราชญแ์ หง่ อารามวหิ ารมปี ระเพณสี บื ตอ่ ดงั อธบิ าย แลว้ เบอ้ื งตน้ นับแต่น้ีสืบไปภายหน้า หากผู้ใดสร้างความวุ่นวาย หรือละเมิด หรือว่าต�าหนิใครดังกล่าวแล้ว สร้างความเสียหายแก่พระรัตนตรัย หรอื หากผู้ใดตรากตกิ าวัตรข้ึนใหมโ่ ดยมิใชเ่ ปน็ พระบรมราชโองการ เขา ผู้น้ันจะบังเกิดในนรกขุมเล็กหน่ึงร้อยสามสิบหกแห่ง รวมถึงมหานคร แปดแห่ง ดงั เชน่ สัญชีวะ กาฬสูตร เป็นต้น และจะทนทุกขท์ รมานโดย ไม่สามารถพรรณนาได้ ย่อมเป็นผู้รับผลกรรมแห่งการลงโทษ เสมือน เป็นผู้มีความผิดในปัญจอนันตริยกรรมดังเช่นปิตุฆาตเป็นต้น หากผู้ใด ยึดคืนที่ดินอันตนหรือผู้อื่นมอบถวายแล้ว หรือว่ายินดีผลประโยชน์ ดังกล่าวแล้ว ผู้น้ันย่อมบังเกิดเป็นหนอนด้วยแรงแห่งกรรมเป็นเวลา ๖๐,๐๐๐ ปี หากผใู้ ดถอนหญ้าหรอื วา่ ตดั ไม้ เดด็ ดอกไม้หรือวา่ สอย ผลไมอ้ นั เป็นสมบตั ขิ องพระพทุ ธเจา้ ผ้นู ้นั จะเกิดเปน็ เปรต ขอพระมหากษัตริย์ในอนาคตกาลและเหล่าเสนาบดีเป็นต้น จง ตงั้ ใจรบั คา� รอ้ งขอแหง่ เราโดยความเคารพวา่ “อนั ตวั เรานามวา่ ปรากรม พาหุ ผู้เป็นราชาธิราชแห่งเกาะลังกาอันรุ่งเรืองแผ่ไพศาล ผู้เป็นเคร่ือง
ปรากรมพาหกุ ตกิ าวตั ร 221 ประดบั แหง่ สรุ ยิ โคตร ไดร้ อ้ งขอทา่ นผเู้ ปน็ เจา้ ชาย ผจู้ ะขน้ึ ครองราชยส์ บื แทนตัวเรา จงรักษาค�าพูดแห่งเรา พระราชกรียกิจด้านศาสนานี้เป็น ภาระหน้าทขี่ องทา่ นผ้อู าศยั เกาะลงั กา ชาวโลกทงั้ ผองควรกระท�าอยา่ ง เทา่ เทียมกัน ขอทา่ นจงแสดงความยินดรี กั ษาดูแลตลอดไป เช่นนน้ั แลว้ ชื่อว่าแสดงความเมตตาต่อเรา ขอส่วนแห่งกุศลผลบุญคราวครั้งนี้จง บงั เกิดผลดลบันดาลใหท้ า่ นเกษมส�าราญตลอดไป เทอญ” คนโบราณกาลกล่าวไว้ว่า “ที่ดินจะกลายเป็นของศักดิ์สิทธ์ิก็ เพราะการบริจาคจากพระองคุลีกนิษฐาของเจ้าชายท้ังหมดบนโลกน้ี ท่ีดินเหล่าน้ันมิได้เป็นทรัพย์สินและไม่ควรเรียกเก็บภาษี” ขอให้เราท่าน ทัง้ หลายพิจารณาคา� พดู ดงั กล่าวแลว้ น้ัน ควรด�ารงจติ ให้เป็นปกติ ควร เข้าใจบุญกุศลซึ่งพอกพูนเสมือนท�าด้วยตนเอง ไม่ควรท�างานอัน ผิดพลาดดังเช่นการจ่ายภาษีหรือมอบเครื่องบรรณาการ ซ่ึงผู้อาศัย ภายในอารามวิหารเป็นผู้ก�าหนดข้ึน ผู้พ�านักในอารามวิหารไม่ว่า ร้ังต�าแหน่งใดไม่ควรขายด้วยตัวเอง ขอให้ค�าสั่งน้ีจงมีการรักษาสืบต่อ อยา่ งเขม้ งวดกวดขันพร้อมอ�านาจแหง่ ราชปู ถมั ภ์ บุรุษเจริญผู้ปรารถนาเสพความสุขแห่งพระนิพพาน ควรถือเอา ประโยชน์อันล�้าลึกกล่าวคือการบ�ารุงรักษาอารามวิหารดังกล่าวแล้ว เบื้องต้น และหม่ันเพียรส่ังสมกุศลกรรม เพ่ือมีโอกาสพบพระเมตไตรย พุทธเจ้า ได้ฟังพระสัทธรรมของพระองค์ และสุดท้ายสามารถเข้าถึง มหานครนิพพานอันสงบสุข อันมีสภาพไม่แก่ ไม่ตาย ปลอดภัย และเป็นอมตะ ซ่ึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี และพระอรหันต์ทง้ั ปวงกด็ ี ล้วนเข้าถงึ เปน็ ทเ่ี รียบรอ้ ยแลว้
222 ศรีลังกากตกิ าวตั ร วัดกัลยาณีราชมหาวิหาร เปนวัดสําคัญสูงสุด สมัยอาณาจักรโกฏเฏ (คัดลอกภาพจาก www.google.co.th/maps) แมน าํ้ กลั ยาณดี า นหนา วดั กลั ยาณรี าชมหาวหิ าร สมยั อาณาจกั รโกฏเฏพระสงฆไ์ ทยเคยมา บวชแปลงบรเิ วณแหง น้ี (คัดลอกภาพจาก www.google.co.th/maps)
ปรากรมพาหุกตกิ าวัตร 223 บริเวณวัดสุเนตรามหาเทวีวิหาร พระเจาปรากรมพาหุแหงอาณาจักรโกฏเฏ โปรดให สรา งขน้ึ เพ่ือเปนมาตานสุ รณ์ (คดั ลอกภาพจาก www.google.co.th/maps)
224 ศรลี งั กากตกิ าวัตร ศลิ าจารกึ ของพระเจา ปรากรมพาหแุ หง อาณาจกั รโกฏเฏภายในทวี่ ดั สเุ นตรามหาเทววี หิ าร (คัดลอกภาพจาก www.google.co.th/maps)
ปรากรมพาหกุ ติกาวัตร 225 วัดเบลลันวิลมหาวิหาร ใกลเมืองโคลัม เปนวัดใหญแหงหนึ่งสมัยอาณาจักรโกฏเฏ (คัดลอกภาพจาก www.google.co.th/maps) มหิยังคณเจดีย์ บุณยสถานศักดิ์สิทธิ์แหงหนึ่งของชาวพุทธลังกา (คัดลอกภาพจาก www.google.co.th/maps)
226 ศรีลังกากตกิ าวตั ร มุติยังคณเจดีย์ บุณยสถานศักด์ิสิทธ์ิแหงหน่ึงของชาวพุทธลังกา (คัดลอกภาพจาก www.google.co.th/maps) ประตูทางเขา มตุ ยิ งั คณเจดีย์ (คดั ลอกภาพจาก www.google.co.th/maps)
ปรากรมพาหกุ ตกิ าวัตร 227 ô.ö ทัศนะและวจิ ารณ์ ô.ö.๑ เหตุใดจงึ เปนš แปปÌ ยานะ? ดังทราบกันแล้วว่าเน้ือหาของปรากรมพาหุกติกาวัตรหรือจารึก แปปิฬิยานะ เน้นกล่าวถึงเร่ืองราวเกี่ยวกับวัดสุเนตรามหาเทวีวิหาร แมจ้ ะพาดพงิ ถงึ บคุ คลหรอื สถานทอี่ นื่ บา้ งกล็ ว้ นเกยี่ วพนั กบั อารามวหิ าร แหง่ นท้ี งั้ สนิ้ จงึ เกดิ คา� ถามวา่ เหตใุ ดจารกึ หลกั นจี้ งึ เนน้ อารามแหง่ นเี้ ปน็ กรณีพิเศษ การตีความนัยยะท่ีซ่อนอยู่ในกติกาวัตรฉบับน้ีน่าจะเป็น ประโยชนต์ อ่ ผสู้ นใจ เปน็ เรอ่ื งแปลกอยา่ งหนงึ่ คอื วรรณกรรมสา� คญั สมยั น้ันมิได้กล่าวถึงจารึกแห่งนี้เลย ชวนให้ตีความว่าพระเจ้าปรากรมพาหุ โปรดให้ตรากติกาวัตรส�าหรับวัดสุเนตรามหาเทวีวิหารแห่งนี้เท่าน้ัน หรือไม่ หากกติกาวัตรใช้ควบคุมคณะสงฆ์ทั้งเกาะลังกา น่าจะผ่าน กระบวนการประชุมและลงสังฆามติพร้อมประกาศใช้เหมือนกติกาวัตร สมัยก่อน การก�าหนดเฉพาะวัดสุเนตรามหาเทวีวิหารน่าจะบ่งถึงว่า สถาบันกษัตริย์มิได้แสดงบทบาทเข้าไปแทรกแซงคณะสงฆ์เหมือน บูรพกษัตริย์เคยประพฤติมา เพียงถวายราชูปถัมภ์ด้วยปัจจัยจ�าเป็น ส�าหรับสมณะเทา่ นน้ั ประเด็นแรกการเลือกแปปิฬิยานะน่าจะเป็นถิ่นก�าเนิดของ พระราชมารดาเจา้ หลักฐานจากกติกาวัตรช้ีให้เห็นแล้วว่าบริเวณแห่งนี้เป็นชุมชน ขนาดใหญ่มีอาณาเขตกว้างขวาง ดังเช่น หมู่บ้านแมดิมาลา หมู่บ้าน ดมิ บลุ ปฏิ ยิ ะ หมบู่ า้ นอรกั โกฑวลิ ะ หมบู่ า้ นรนั โคดะ หมบู่ า้ นโบลลตาวลิ ะ หมบู่ า้ นอลตุ กุวุรุวะ และหม่บู ้านคริ โิ ดวะ เป็นตน้ แต่ละหมู่บ้านรวมกัน
228 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร เป็นต�าบลแล้วขึ้นตรงต่อเมืองหลวงชัยวรรธนปุระโกฏเฏ นอกจากน้ัน บรเิ วณนี้ยงั อุดมสมบรู ณ์ดว้ ยพชื พนั ธุ์ธัญญาหาร สังเกตไดจ้ ากรายการ สงิ่ ของท่ถี วายแด่พระสงฆ์และเจา้ หน้าท่ีของอารามวหิ าร สันนษิ ฐานวา่ ต�าแหน่งขุนนางผู้รับผิดขอบดูแลน่าจะเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ และพระราช มารดาสุเนตราเทวีน่าจะเป็นธิดาของขุนนางผู้ใหญ่ ซ่ึงเป็นผู้รับผิดชอบ ดแู ลบรเิ วณแหง่ นี้ การสรา้ งวดั สเุ นตรามหาเทววี หิ ารบรเิ วณบา้ นเกดิ ของ พระราชมารดาจึงถือว่าสมเหตุสมผล นอกจากเป็นการแสดงความ กตัญูกตเวทีต่อพระราชมารดาแล้ว ยังเป็นการเสริมก�าลังใจให้แก่ พระประยรู ญาตดิ ว้ ย การใหค้ วามรว่ มมอื ของชมุ ชนแปปฬิ ยิ านะสามารถ ชบี้ อกไดว้ ่าพระประยรู ญาติให้ความเคารพต่อพระองค์เพียงไร วัดสุเนตรามหาเทวีวิหารดังปรากฏในหลักฐานน่าจะมิใช่วัดใหม่ หากแต่เป็นวัดเก่าโบราณเพียงแต่พระองค์โปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์เป็น วัดใหญ่ชนิดราชมหาวิหาร เพ่ือให้สมพระเกียรติของพระราชมารดา หลกั ฐานจากกตกิ าวตั รชวนใหค้ ดิ วา่ นอกจากบรู ณปฏสิ งั ขรณว์ ดั เกา่ แลว้ พระเจ้าปรากรมพาหุยังรวมวัดขนาดเล็กอีกหลายแห่งบริเวณเดียวกัน เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวัดสุเนตรามหาเทวีวิหารแห่งน้ีด้วย เหตุผลคือ ธรรมดาการสร้างวัดใหม่ไม่น่าจะมีพระสงฆ์จ�าพรรษามากหากเปรียบ เทียบกับจ�านวนรายการส่ิงของถวายสงฆ์ ความน่าจะเป็นคือการ รวมวัดขนาดเล็กหลายวัดให้อยู่ภายใต้วัดสุเนตรามหาเทวีวิหาร แล้วอาราธนานิมนต์พระสงฆ์ผู้ใหญ่ให้มาเป็นสมภารเจ้าอาวาส เพ่ือ ปกครองพระสงฆใ์ หเ้ ปน็ ไปในทศิ ทางเดยี วกนั ตามเจตนารมณข์ องกตกิ าวตั ร ฉบับน้ี หากดูรายละเอียดของกติกาวัตรก็สามารถระบุได้ว่าสมภาร เจ้าอาวาสแห่งนี้น่าจะเป็นปราชญ์แตกฉานในคัมภีร์พระพุทธศาสนา อีกทงั้ เป็นพระมหาเถระช้นั ผ้ใู หญแ่ ละเปน็ ทย่ี อมรบั ของสงั คมชน้ั สูง
ปรากรมพาหุกติกาวัตร 229 ประเด็นต่อมา ผู้รับสนองพระราชโองการสร้างอารามแห่งน้ีคือ เสนาบดสี ิกุรามดุ ัลโปตะ เบ้ืองต้นสันนิษฐานว่าเสนาบดีท่านนี้น่าจะเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ บริเวณน้ี พระเจ้าปรากรมพาหุน่าจะทรงไว้วางพระราชหฤทัยเสนาบดี ทา่ นนเ้ี ปน็ อยา่ งมาก เพราะหลกั ฐานในกตกิ าวตั รระบวุ า่ คา่ ใชจ้ า่ ยในการ สรา้ งวดั สเุ นตรามหาเทววี หิ ารแหง่ นจ้ี า� นวนมากถงึ ๒๕,๐๐๐ เหรยี ญเงนิ เนื้อหาบางส่วนของกติกาวัตรระบุว่า “โปรดให้สร้างก�าแพงดินโดยรอบ อาราม หอ วิหาร หอแสดงธรรม ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ พระพุทธรูป วิหารนอ้ ยใหญ่ และเทวาลยั ท้งั สี่อทุ ศิ ถวายแกเ่ ทพเจ้านอ้ ยใหญ่ พร้อม สร้างหอสมุด สวนดอกไม้ และสวนผลไม้ เปน็ ต้น” หลกั ฐานดังกล่าว แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความละเอยี ดของเสนาบดสี กิ รุ ามดุ ลั โปตะ สนั นษิ ฐานวา่ เสนาบดที า่ นนนี้ า่ จะมภี มู ลิ า� เนาบรเิ วณนี้ และอาจจะเปน็ พระประยรู ญาติ ½่ายพระราชมารดาสุเนตราเทวี การได้รับความไว้วางใจจากพระเจ้า ปรากรมพาหปุ ระการหนง่ึ และการใสใ่ จรายละเอยี ดของงานประการหนงึ่ น่าจะสมเหตุสมผลว่าเหตุใดท่านจึงได้รับความไว้วางใจจากกษัตริย์ และการท�างานของเสนาบดีสิกุรามุดัลโปตะมีการตรวจสอบอีกชั้นหนึ่ง โดยเสนาบดีนามว่าเสฬิยดรยรุน นอกจากท�าหน้าท่ีตรวจสอบวัด สุเนตรามหาเทวีวิหารแล้ว เสนาบดีท่านน้ียังมีหน้าท่ีตรวจสอบวัดน้อย ใหญห่ ลายเขต ดว้ ยลกั ษณะดงั กลา่ วนจ้ี งึ ทา� ใหอ้ ารามวหิ ารนอ้ ยใหญส่ มยั นน้ั มกี ารบรหิ ารจดั การทรัพยส์ นิ ของวดั ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ประเดน็ สดุ ทา้ ยคือสมภารเจ้าอาวาสวัดสุเนตรามหาเทวีวิหาร วรรณกรรมหลายเลม่ สมยั นนั้ ระบวุ า่ สมภารเจา้ อาวาสวดั สเุ นตรา มหาเทวีวิหารรูปแรกคือ พระคลตุรุมูละเมธังกรมหาเถระ เดิมนั้น
230 ศรลี ังกากตกิ าวัตร พระมหาเถระรูปน้ีเป็นสมภารเจ้าส�านักวิชัยพาหุปิริเวณะแห่งหมู่บ้าน โตฏคามุวะและมหาปิยะปิริเวณะแห่งหมู่บ้านอุสสปิฏิยะ ด้วยกิตติศัพท์ อนั โดง่ ดงั ในฐานะนกั ปราชญน์ ามอโุ ฆษ พระเจา้ ปรากรมพาหจุ งึ โปรดให้ อาราธนานิมนต์พระเถระมาเป็นสมภารวัดแห่งน้ี ประเด็นชวนสงสัยคือ พระมหาเถระรปู นอ้ี าจเปน็ ผแู้ นะนา� ใหพ้ ระเจา้ ปรากรมพาหตุ รากติ กาวตั ร ฉบบั นก้ี เ็ ปน็ ได้ ดว้ ยความเปน็ ปราชญแ์ ละรอบรคู้ วามเปน็ ไปในคณะสงฆ์ โดยเฉพาะการบรหิ ารคณะสงฆแ์ ละการจดั การทรพั ยส์ นิ ของอารามวหิ าร หากมีการประชุมคณะสงฆ์แล้วตรากติกาวัตรน่าจะเป็นเรื่องยาก พระมหาเถระจงึ แนะนา� พระเจา้ ปรากรมพาหอุ อกกตกิ าวตั ร เพอื่ ควบคมุ พระสงฆ์และบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดเฉพาะอารามแห่งน้ีเป็น ตัวอยา่ งเสียกอ่ น พระคลตุรุมูละเมธังกรมหาเถระนั้นมีศิษย์มากมายหลายรูป เฉพาะทรงความรู้ช้ันปราชญ์มี ๕ รูป ได้แก่ ๑) พระโตฏคามุเว ศรีราหุลเถระ พระเถระรูปน้ีได้รับการยกย่องว่าเป็นจอมปราชญ์แห่ง ยุคโกฏเฏมีผลงานวรรณกรรมหลายเล่ม ล้วนได้รับการยกย่องว่าเป็น งานชัน้ ครเู สมอกวนี ิพนธข์ องโลก ๒) พระวที าคมไมตรยี เถระ พระเถระ รปู นเ้ี ปน็ นกั กวนี พิ นธผ์ เู้ รอื งนามสมยั อาณาจกั รโกฏเฏ ๓) พระสมุ งั คล มหาเถระ ผรู้ งั้ ตา� แหนง่ สมภารเจา้ อาวาสวดั สเุ นตรามหาเทววี หิ ารสบื ตอ่ อาจารยแ์ หง่ ตน ตอ่ มาไดร้ บั การสถาปนาตา� แหนง่ พระสงั ฆราชแหง่ โกฏเฏ ๔) พระรันมุโกฑะ ทีปังกรมหาเถระ พระเถระนักปราชญ์รูปนี้ต่อมารั้ง ตา� แหนง่ สมภารเจา้ อาวาสตอ่ จากพระสมุ งั คลสงั ฆราช และ ๕) บณั ฑติ ศรีรามจันทรภารติ ท่านน้ีเป็นพราหมณ์เดินทางมาจากอินเดีย ได้แต่ง หนงั สือสรรเสริญอาจารยแ์ ห่งตนหลายเล่ม
ปรากรมพาหกุ ติกาวตั ร 231 ประเด็นชวนศึกษาเพิ่มเติมคือพระคลตุรุมูละเมธังกรมหาเถระน้ัน ได้น�าเอาระบบการศึกษาของคณะสงฆ์หรือเรียกว่าปิริเวณะมาจัดการ เรยี นการสอนทวี่ ดั สเุ นตรามหาเทววี หิ ารดว้ ยหรอื ไม่ หลกั ฐานจากกตกิ า วตั รระบวุ า่ “หากพระอาคันตุกะผ้แู ตกฉานในพระไตรปฎิ ก ตรรกศาสตร์ ไวยากรณ์ เป็นต้น เดินทางมาพักอาศัยอารามวิหารแห่งนี้ พระภิกษุ เจ้าถิ่นควรถวายการดูแลเป็นอย่างดี และเรียนรู้จากท่านเหล่าน้ัน” และอีกแห่งหนึ่งว่า “พระภิกษุผู้อาศัยอารามแห่งน้ีควรศึกษาพระสูตร พระอภิธรรม พระวินัย ตรรกศาสตร์ ไวยากรณ์ เป็นต้น” หลักฐาน ดงั กลา่ วชใ้ี หเ้ หน็ วา่ ความเปน็ ปราชญข์ องพระคลตรุ มุ ลู ะเมธงั กรมหาเถระ สามารถสร้างศิษยานุศิษย์ให้เป็นพระนักปราชญ์ระดับแนวหน้าหลายรูป คัมภีร์สูรยศตกะสันนยะและคัมภีร์วิมุกติสังครหยะขนานนามพระ มหาเถระว่า “ศัพฑภาศาปรเมศวร” หมายความว่า ผู้เปšนเลิศด้วย หกภาษา (Adikari: 2006; 269) หากเป็นเช่นน้ันแสดงให้เห็นว่าวัดสุเนตรามหาเทวีวิหารเป็น ศูนย์กลางการศึกษาสงฆ์อันโด่งดังแห่งหน่ึงของยุค น่าจะมีพระภิกษุ สามเณรจา� นวนมากเดนิ ทางมาศกึ ษาทอี่ ารามแหง่ น้ี ประการหนง่ึ นนั้ นา่ จะสัปปายะด้วยปัจจัยส่ีดังปรากฏเห็นในรายละเอียดของกติกาวัตร และอีกประการหน่ีงนั้นน่าจะสัปปายะด้วยครูอาจารย์ผู้ท�าหน้าที่สอนสั่ง ประเด็นชวนสังเกตคือพระสงฆ์ผู้ท�าหน้าที่สอนสั่งในอารามแห่งนี้มีค่า บ�ารุงนับต้ังแต่ท�าหน้าที่คัดลอกคัมภีร์ส�าคัญทางพระพุทธศาสนาจนเป็น อาจารย์สอนในปิริเวณะหรือสถาบันการศึกษาสงฆ์แห่งยุค ด้วยความ สปั ปายะดงั กลา่ วนา่ จะเสรมิ สง่ ใหอ้ ารามแหง่ นรี้ งุ่ เรอื งแพรห่ ลายในเรว็ วนั
232 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร ô.ö.๒ อทิ ธิพลÎินดตู ่อสังคมชาวโกฏเฏ ชาวสิงหลมีปฏิสัมพันธ์กับชาวทมิฬมาเนิ่นนานนับแต่โบราณกาล ดา้ นคตคิ วามเช่ือน้ันชาวสิงหลล้วนนบั ถือพระพุทธศาสนาสว่ นชาวทมฬิ นับถือลัทธิÎินดู แม้จะต่างกันด้านความเช่ือแต่ท้ังสอง½่ายก็อยู่ร่วมกัน อยา่ งผาสกุ เสมอมา ยามใดเกาะลงั กาถกู กษตั รยิ ท์ มฬิ แหง่ อนิ เดยี ตอนใต้ เข้าบุกรุกยึดครอง ลัทธิÎินดูก็ได้รับการยกย่องเชิดชูเหนือพุทธศาสนา และพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าน้อยใหญ่ก็เป็นที่นิยมแพร่หลาย อีกทั้งภาษา สันสกฤตซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการประกอบพิธีกรรมบูชายัญและการแต่ง วรรณกรรมก็เฟื›องฟู จนสามารถสอดแทรกเข้าไปยังคณะสงฆ์ผู้เชิดชู ภาษาบาลีว่าเป็นภาษาทรงจ�าพระพุทธพจน์ คร้ันนานวันพราหมณ์ผู้ ประกอบพธิ บี ชู ายญั จากเดมิ ทา� หนา้ ทเี่ พยี งประกอบพธิ กี รรมในเทวาลยั ของเทพเจ้าชาวÎินดู ได้รับการยกย่องจากสถาบันกษัตริย์ให้ด�ารง ตา� แหน่งช้ันสงู ปโุ รหิตาจารยท์ �าหนา้ ที่เสมอเสนาบดีผูใ้ หญ่ นบั แตน่ ้นั มา อทิ ธพิ ลÎนิ ดเู รมิ่ ปรากฏเหน็ ภาพชดั เจนจนสามารถเรยี กไดว้ า่ ทรงอทิ ธพิ ล ต่อสงั คมชาวโกฏเฏ ส่ิงหน่ึงซ่ึงพวกพราหมณ์พยายามท�าคือการเปล่ียนสถานภาพ ของเทพเจา้ ชาวสิงหลให้เปšนÎินดู เทพเจ้าองค์แรกคือเทพอุบลวัน หลักฐานยืนยันว่าเทพเจ้าองค์นี้ ทรงอิทธิพลสูงย่ิงต่อชาวสิงหล ตัวตนของเทพเจ้าองค์นี้สามารถย้อน ถอยหลังไปถึงสมัยหลังพุทธปรินิพพาน เมื่อได้รับมอบหมายจากพระ อินทราธิราชให้เป็นผู้ท�าหน้าท่ีคุ้มครองพระศาสนาของพระศาสดาเจ้า บนเกาะลังกา นับแต่เร่ิมประดิษฐานจนถึงกาลอวสานแห่งโลก (พระ
ปรากรมพาหุกติกาวัตร 233 มหานามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 1: 2553; 71-72) นบั แตน่ นั้ เปน็ ตน้ มาเทพอุบลวันอยู่เคียงคู่กับชาวลังกาเรื่อยมา ล่วงเข้าสมัยอาณาจักร โกฏเฏเทวาลยั ของเทพอบุ ลวนั อยทู่ เี่ มอื งเดวนิ วู ะระ (ปจั จบุ นั คอื ดอนดรา) แม้จะอยู่ภายในบริเวณวัดแต่ผู้ท�าหน้าที่ประกอบพิธีกรรมคือพราหมณ์ และพราหมณเ์ หลา่ นล้ี ว้ นไดร้ บั ราชปู ถมั ภอ์ ยา่ งดยี ง่ิ ทง้ั ยศถาบรรดาศกั ดิ์ และทรพั ยส์ นิ เปน็ จา� นวนมาก หลกั ฐานบางแหง่ บอกวา่ พราหมณบ์ างคน แต่งต�าราเป็นภาษาสันสกฤตมีเนื้อหาว่าด้วยการสรรเสริญบูชาเทพเจ้า Îินดูด้วย (IIangsinghe: 2559; 188-189) ด้วยฐานะเป็นพราหมณ์ ประกอบพธิ กี รรมหนึ่ง ดว้ ยฐานะเปน็ ปุโรหิตาจารยห์ น่งึ และดว้ ยฐานะ เป็นนักประพันธ์หนึ่ง น่าจะเป็นเหตุให้พราหมณ์เหล่านี้พยายามเปล่ียน สถานภาพเทพอบุ ลวนั ของชาวสงิ หลใหเ้ ปน็ เทพวิษณขุ องÎนิ ดู เทพเจ้าอีกองค์หนึ่งคือเทพสามัน หลักฐานระบุว่าเทพสามันนั้น เปน็ เทพเจา้ เกา่ แกด่ งั้ เดมิ ของชาวเกาะลงั กา ทา� หนา้ ทร่ี กั ษาขนุ เขาศรปี าทะ ซ่ึงเป็นสถานที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท เทพเจ้าองค์นี้น่าจะมีการ นับถือเป็นทางการมากกว่าเทพเจ้าเหล่าอื่น เน่ืองจากพระมหากษัตริย์ ทุกพระองค์นับแต่อาณาจักรอนุราธปุระเรื่อยมาล้วนให้ความส�าคัญเป็น กรณีพเิ ศษ กล่าวคือต่างพากันเสด็จจาริกไปแสวงบญุ สกั การกราบไหว้ รอยพระพทุ ธบาท จนถงึ การสร้างรปู ป้ันและเทวาลยั สา� หรบั ประดิษฐาน เทพสามัน ล่วงเข้าสมัยโกฏเฏเทวาลัยประดิษฐานเทพสามันอยู่ที่ เมืองรัตนปุระ และผู้ประกอบพิธีกรรมบูชาเทพองค์น้ีคือพราหมณ์ (IIangsinghe: 2559; 177-181) มีหลักฐานยืนยันว่าพวกพราหมณ์ พยายามยกสถานภาพเทพสามันให้เป็นเทพลักษมณะตามคติความเชื่อ ของลทั ธÎิ ินดู แตห่ าไดส้ า� เร็จตามความปรารถนาไม่
234 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร ส่วนเทพเจ้าผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดของชาวÎินดูบนเกาะลังกาคือ เทพศิวะ กล่าวกันว่าเทพเจ้าองค์น้ีเป็นที่รู้จักแพร่หลายสมัยอาณาจักร โปโฬนนารวุ ะตกเป็นเมืองขึ้นของกษัตรยิ ์ทมฬิ โจฬะ แมเ้ บอ้ื งตน้ จะไดร้ บั ความนิยมเฉพาะคนช้ันสูง แต่ครั้นเวลาผ่านไปความเช่ือได้แพร่หลาย ออกไปตามคามนคิ มนอ้ ยใหญ่ สงั เกตไดจ้ ากหวั เมอื งชายทะเลสว่ นใหญ่ ล้วนมีเทวาลยั ประดษิ ฐานเทพศิวะ เป็นที่น่าสงั เกตว่าเทพเจ้าองค์นีเ้ ปน็ ท่ีนิยมแพร่หลายเฉพาะชาวทมิฬเท่านั้นไม่ส่งผลต่อชาวพุทธสิงหล อาจเปน็ ไปไดว้ า่ เทพเจา้ ชาวพทุ ธมอี ยแู่ ลว้ อกี ทงั้ สถานภาพกท็ รงมหทิ ธา นุภาพไม่แตกตา่ งจากเทพศวิ ะของÎินดู ล่วงเข้าสมัยโกฏเฏเทวาลัยของ เทพศิวะได้รับราชูปถัมภ์เป็นอย่างดีเสมออารามวิหารของชาวพุทธ ความทรงอิทธิพลของเทพศิวะยุคน้ีน่าจะสูงสุด สังเกตได้จากสามารถ สอดแทรกเข้าไปประดิษฐานภายในวิหารเคียงคู่กับพระพุทธรูปได้อย่าง เสมอภาคเท่าเทียมกัน (IIangsinghe: 2559; 189) สันนิษฐานวา่ ด้วย ราชานภุ าพหนงึ่ และดว้ ยการผอ่ นปรนของชาวพทุ ธหนงึ่ จงึ ทา� ใหเ้ ทพเจา้ ของชาวÎินดูสามารถอย่เู คียงขา้ งกบั พระพุทธรปู อย่างเสรี คนอีกกลุ่มหนึ่งซ่ึงท�าให้ลัทธิÎินดูทรงอิทธิพลคือคนชั้นสูง หลักฐานบอกว่าพระเจ้าปรากรมพาหุแห่งอาณาจักรโกฏเฏทรงช่ืนชอบ ชาวทมิฬยิ่งนัก เร่ิมต้นจากพระราชโอรสบุญธรรมสองพระองค์ กล่าว คือเจ้าชายสะปุมัลกุมารและเจ้าชายอัมบุคะละกุมารก็เป็นชาวทมิฬ ทง้ั สองพระองคน์ เี้ ปน็ นกั รบคพู่ ระทยั ของพระองค์ การรวบรวมเกาะลงั กา ได้เป็นหน่ึงเดียวก็ล้วนอาศัยพระปรีชาสามารถของสองพระองค์น้ี คร้ันพระองค์สวรรคตล่วงแล้วท้ังสองพระองค์ก็ขึ้นครองราชย์สืบแทน ถัดมาเป็นเจ้าชายนันนุรุตุนายาร์ ว่ากันว่าพระเจ้าปรากรมพาหุทรง
ปรากรมพาหุกติกาวัตร 235 ชนื่ ชอบเจา้ ชายพระองคน์ ย้ี ง่ิ นกั โดยโปรดใหอ้ ภเิ ษกสมรสกบั พระราชธดิ า นามว่าโลกนาถา ภายหลงั ตอ่ มาพระราชธิดาองค์นีเ้ ปล่ยี นพระนามเปน็ ภาษาทมิฬว่าอุลกุฑยเทวี (IIangsinghe: 2559; 38) นอกจากน้ัน ยังมีกลุ่มชาวทมิฬช้ันสูงอีกเป็นจ�านวนที่ทรงอิทธิพลต่อสังคม ซึ่งส่วน ใหญ่ใชป้ ระเพณีการแต่งงานเกย่ี วดองกับชาวสิงหลชัน้ สงู ความเป็นไป ได้คือชาวทมิฬเหล่าน้ีเป็นผู้มีส่วนผลักดันให้วัฒนธรรมÎินดูเป็นที่รู้จัก แพรห่ ลายตลอดเกาะลังกา โดยเฉพาะพิธกี รรมของพราหมณน์ อ้ ยใหญ่ ประเด็นชวนสนใจคือเหตุใดกษัตริย์ลังกาจึงให้ความส�าคัญชาว ทมฬิ มากขนาดนน้ั สันนิษฐานว่าเพราะความมากบารมีของชาวทมิฬจึงท�าให้คน ชั้นสูงของสิงหลยากท่ีจะปฏิเสธได้ หลักฐานระบุว่าก่อนการสถาปนา อาณาจักรโกฏเฏของพระเจ้าปรากรมพาหุนั้น กล่าวตามพฤตินัยเกาะ ลงั กาอยภู่ ายใตอ้ า� นาจของชาวทมฬิ อาณาจกั รจฟั ฟนŠ า กลา่ วคอื กษตั รยิ ์ แห่งอาณาจักรจัฟฟŠนาสามารถส่งขุนนางเข้ามาเก็บส่วยโดยชาวสิงหล ไม่สามารถทัดทานได้ ขณะเดียวกันความเจริญทุกสิ่งอย่างล้วนกระจุก ตวั อยทู่ อี่ าณาจกั รจฟั ฟนŠ าของชาวทมฬิ หากชาวสงิ หลตอ้ งการประกาศ เอกราชจ�าต้องศึกษาเรียนรู้วิธีการจากชาวทมิฬแห่งอาณาจักรจัฟฟŠนา ด้วย สมยั พระเจ้าปรากรมพาหเุ ริ่มกอ่ ร่างสร้างตัวยอ่ มไมส่ ามารถต่อกร กับความย่ิงใหญ่ของพระเจ้าอารยจักรวรัติได้ วิธีเดียวที่จะน�าพาบ้าน เมืองให้รอดปลอดภัยคือการเกี่ยวดองด้วยการแต่งงานกับคนชั้นสูง วิธีการน้ีเป็นเสมือนการยกสถานภาพชาวทมิฬให้เสมอชาวสิงหล ด้วย เหตุดังกล่าว จึงเห็นว่ามีชาวทมิฬจ�านวนมากด�ารงต�าแหน่งชั้นสูงของ สงั คมสมัยนั้น
236 ศรีลงั กากตกิ าวัตร ส�าหรับพระสงฆ์ส่วนใหญ่เห็นชอบกับนโยบายการประนีประนอม พิธีกรรมของชาวÎินดู แต่มีพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งกล้าออกมาวิพากษ์ วิจารณ์คติความเชื่อของพราหมณ์Îินดูอย่างรุนแรง พระมหาเถระรูปนี้ เปน็ พระสงฆท์ รงปราชญน์ ามอโุ ฆษรปู หนง่ึ ของศรลี งั กาสมยั นนั้ ทา่ นคอื พระวีทาคมไมตรียเถระเจ้าส�านักแห่งธรรมราชาปิริเวณะ ท่านต�าหนิ เทพเจ้าว่า “ผู้มีมือถือตรีศูล มีล�าคอฉาบทาด้วยสีด�า นุ่งห่มเสื้อคลุม อนั บางและเคียงขา้ งด้วยนางอมุ า มีรปู พระจันทรเ์ สี้ยวตดิ ท่ผี า้ โพกเศยี ร มงี ทู ไ่ี รช้ วี ติ พนั รอบพระศอ เตน้ รา� ทกุ แหง่ หนและเวยี นรอบววั ตวั แกห่ งอ่ ม ทะยานข้ึนสู่สถานะอันสูงส่งด้วยเศียรที่ช�าระล้างจากแม่น�้าสวรรค์ เทพเจ้าองค์นี้ถูกเผาผลาญด้วยอนังคะ ส่วนท่ีเราพบเห็นเป็นเพียง รูปเคารพบชู าเทา่ น้นั ” อีกแหง่ หนงึ่ ความวา่ “เม่อื นางสดี าถูกทศกณั ฑ์ ลักพาตัวไป พระรามไม่มีความสามารถแย่งชิงมาได้ ต้องไปขอความ ช่วยเหลอื จากพวกวานร แลว้ จะเรยี กวา่ เปน็ เทพเจ้ายิ่งใหญ่ได้อย่างไร” (IIangsinghe: 2559; 187) พระสงฆ์อีกกลุ่มหน่ึงซ่ึงออกมาวิพากษ์วิจารณ์คติความเชื่อของ พราหมณ์Îินดูคือคณะสงฆ์อรัญวาสีวนรัตน์ โดยมีศูนย์กลางอยู่ท่ี ปทั มวดปี ริ เิ วณะแหง่ เมอื งแกรคะละ พระเถระประธานสงฆค์ อื พระวนรตั น เ¶ระ นอกจากจะรักษาจารีตประเพณีเดิมตามสายอรัญวาสีแล้ว พระเถระและคณะยงั แตง่ ตา� ราอธบิ ายความสา� คญั ของหลกั การประพฤติ ปฏบิ ตั ติ ามแนวคา� สอนของพระพทุ ธเจา้ อกี ทงั้ ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ความผดิ พลาด ของการสักการะเซ่นไหว้ตามคติความเชื่อของÎินดู เน่ืองจากเทพเจ้า เหล่านั้นล้วนเป็นการแต่งเร่ืองขึ้นเพื่อให้คนลุ่มหลง ไม่สามารถให้ผล ดีร้ายแก่ผู้กราบไหว้บูชาได้ ขณะที่พระรัตนตรัยมีผลโดยตรงต่อผู้แสดง ตนวา่ เปน็ ทพี่ งึ่ เปน็ สรณะ เปน็ กา้ วแรกแหง่ การเขา้ ถงึ ความเปน็ พทุ ธอยา่ ง แทจ้ ริง
ปรากรมพาหุกตกิ าวตั ร 237 ô.ö.ó พระเมตไตรยโพธสิ ตั ว์หรือเทพนาถะ? สมยั อาณาจกั รโกฏเฏนน้ั มคี ตคิ วามเชอ่ื เกดิ ขน้ึ มากมายหนง่ึ ในนน้ั คือเทพนาถะ ประเด็นที่มีการถกเถียงกันในวงกว้างว่าเทพนาถะองค์น้ี เปน็ พระเมตไตรยโพธสิ ตั วต์ ามคตขิ องเถรวาท หรอื วา่ เปน็ พระอวโลกเิ ตศวร โพธิสัตว์ตามคติมหายาน กล่าวตามหลักฐานสมัยน้ีค�าสอนมหายาน หมดสิ้นไปจากเกาะลังกาแล้ว หลงเหลือเพียงเถรวาทนิกายเท่านั้น หากแต่คติความเช่ือที่ซ่อนอยู่ในประเพณีนิยมของศรีลังกาสมัยน้ัน ล้วนเป็นมหายาน จึงเกิดค�าถามย้อนแย้งว่าการกล่าวอ้างดังกล่าวเป็น จริงมากน้อยเพียงใด เป็นเพียงการตีความตามความรู้สมัยใหม่หรือว่า เป็นการอ้างอิงจากวรรณกรรมสมัยนั้น การคลี่คลายประเด็นค�าถามนี้ นอกจากจะเกิดประโยชน์ต่อวงวิชาการแล้วยังมีผลต่อความรู้ด้าน ประตมิ านวทิ ยาดว้ ย คา� ตอบตอ่ ไปนจี้ ะเปน็ กญุ แจไขไปสคู่ วามจรงิ ทซ่ี อ่ น อยู่ในวรรณกรรมและประติมากรรมสมยั อาณาจกั รโกฏเฏ คติความเชื่อเกี่ยวกับพระเมตไตรยโพธิสัตว์เป็นท่ีรู้จักแพร่หลาย ของชาวศรลี งั กา นบั แตพ่ ระมหนิ ทเถระผเู้ ปน็ พระสมณทตู ไดป้ ระดษิ ฐาน พระธรรมคา� สอนอยา่ งมนั่ คงบนผนื เกาะลงั กาแลว้ และคตคิ วามเชอื่ เชน่ น้ีน่าจะค่อยผสมแทรกเข้าสู่วิถีชีวิตประจ�าวัน หลักฐานดังกล่าวปรากฏ เห็นในคัมภีร์มหาวงศ์ ซ่ึงพรรณนาถึงคติภพเบ้ืองหน้าหลังจากพระเจ้า ทฏุ ฐคามณอี ภยั สวรรคตล่วงแล้ววา่ “พระเจา้ ทฏุ ฐคามณที รงเหมาะสม กับพระสมญาว่ามหาราช จักเป็นพระอัครสาวกของพระเมตไตรย พทุ ธเจา้ พระราชบดิ าจกั เปน็ พระบดิ า พระราชมารดาจกั เปน็ พระมารดา พระกนิษฐาคือพระเจ้าสัทธาติสสะจักเป็นพระทุติยสาวก ส่วนพระโอรส
238 ศรีลังกากตกิ าวตั ร ของพระเจ้าทุฏฐคามณีคือพระสาลิราชกุมาร จักเป็นพระโอรสของ พระเมตไตรยพุทธเจ้า” (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 1: 2553; 290) หลกั ฐานดังกลา่ วชใ้ี ห้เหน็ วา่ คตคิ วามเชื่อเร่ืองพระเมไตรย โพธิสัตว์มีอิทธิพลต่อสถาบันกษัตริย์มากเพียงไร คร้ันล่วงเข้าสมัย พระเจ้าธาตุเสนะ (พ.ศ.๙๙๘-๑๐๑๖) พระองค์ทรงพระราชศรัทธา ตอ่ พระเมตไตรยโพธสิ ตั วย์ งิ่ นกั โปรดใหห้ ลอ่ รปู ปน้ั พระเมตไตรยโพธสิ ตั ว์ และประกอบพธิ แี หแ่ หนอยา่ งยง่ิ ใหญต่ ระการตา พรอ้ มทง้ั ทา� การอารกั ขา อยา่ งเขม้ แขง็ (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 1: 2553; 380) พัฒนาการของคติความเชื่อเก่ียวกับพระเมตไตรยโพธิสัตว์สมัย อนุราธปุระดังกล่าว สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากการแข่งขันกับคติ ความเชื่อของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ของมหายาน จะเห็นได้ว่าสมัย พระเจ้าทุฏฐคามณีน้ันส�านักอภัยคิรีวิหารผู้ชื่นชอบพระพุทธศาสนา มหายานยังไม่ถอื กา� เนดิ ขน้ึ ครั้นหนึง่ ศตวรรษลว่ งแลว้ อิทธิพลมหายาน จากอนิ เดยี ไดถ้ าโถมเขา้ สเู่ กาะลงั กา โดยมสี า� นกั อภยั คริ วี หิ ารกลางเมอื ง อนุราธปุระเป็นศูนย์กลาง ท้ังค�าสอนและคติความเชื่อจึงเกิดข้ึนอย่าง แพรห่ ลาย โดยเฉพาะการสรา้ งพระพทุ ธรปู และรปู ปน้ั พระอวโลกิเตศวร เพ่ือสักการบูชา ส�านักมหาวิหารซึ่งสืบสายค�าสอนเถรวาทนิกายและ เคร่งครัดต่อค�าสอน ไม่สามารถน่ิงเฉยได้จึงปฏิรูปวิธีการใหม่โดย ลอกเลยี นแบบวธิ กี ารของมหายาน สรปุ ลงตรงการสรา้ งพระพทุ ธรปู และ รปู ปน้ั พระเมตไตรยโพธสิ ตั ว์ สนั นษิ ฐานวา่ พฒั นาการดงั กลา่ วนา่ จะคอ่ ย เป็นค่อยไปตามธรรมเนียมของเถรวาทนิกาย สังเกตได้จากนับต้ังแต่ สมัยพระเจ้าทุฏฐคามณีจนถึงพระเจ้าธาตุเสนะนั้นประมาณได้หก ศตวรรษกว่าจะมีการปนั้ รูปพระเมตไตรยโพธิสตั ว์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388