Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (Lk001)หนังสือศรีลังกากติกาวัตร

(Lk001)หนังสือศรีลังกากติกาวัตร

Description: (Lk001)หนังสือศรีลังกากติกาวัตร

Search

Read the Text Version

มิหนิ ตะเลกตกิ า 39 แห่แหนหรือเฉลิมฉลองเป็นประจ�าทุกปี พิธีกรรมดังกล่าวถือว่าเป็น พระราชภารธุระ (Gunaratne Panabokke: 1993; 130) เพ่ือผ่อน ภาระแห่งตนให้น้อยลง พระเจ้าแผ่นดินจึงอุทิศถวายอ่างเก็บน้�าบ้าง คลองน้�าบ้าง และท่ีดินบ้าง เพื่อเป็นค่าบ�ารุงรักษาศาสนสถานและค่า ใช้จา่ ยสา� หรบั พธิ ีแห่แหนส่งิ ศักดิ์สทิ ธ์ิเหลา่ น้ัน เปน็ ทนี่ ่าสังเกตวา่ พระบรมราชูทศิ ดังกล่าว มวี ัตถุประสงคเ์ พือ่ ให้ อารามวิหารสามารถบริหารและดูแลรักษาตนเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพา สถาบันกษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นการบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะหรือแม้แต่ การแหแ่ หนบชู าสง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธภิ์ ายในวดั แมพ้ ระบรมราชทู ศิ จะเปน็ การมอบ ถวายแดค่ ณะสงฆก์ จ็ รงิ แตเ่ จตนาเพอื่ ถวายเปน็ พทุ ธบชู า (Gunaratne Panabokke: 1993; 131) กล่าวคือ โปรดให้ถวายไว้ในบวรพระ พุทธศาสนา มิใช่เป็นสมบัติของผู้ใดผู้หน่ึงไม่ว่าพระภิกษุหรือฆราวาส ผู้ดูแลอารามวิหาร สันนิษฐานว่าประเพณีดังกล่าวมีการรักษาสืบเน่ือง เร่ือยมานับจากสมัยพระมหินทเถระผู้รับพระราชอุทยานนันทวันจาก พระเจ้าเทวานมั ปิยติสสะ (พระพทุ ธโฆสเถระ ภาค 1: 2550; 104-105) แต่คร้ันพระพุทธศาสนาเป็นที่นิยมแพร่หลายตลอดเกาะลังกา พระสงฆ์ มจี า� นวนเพมิ่ มากขนึ้ อกี ทง้ั ผถู้ วายอทุ ศิ แกพ่ ระสงฆม์ ากขน้ึ จา� เปน็ ตอ้ งมี ฆราวาสเข้ามาดูแลแทนพระสงฆ์ในฐานะไวยาวัจกร โครงสร้างการ บริหารทรัพย์สินของอารามวิหารจึงเปล่ียนรูปแปลงร่างไปตามยุคสมัย พทุ ธบชู าเดมิ จงึ เปลย่ี นความหมายแทนทด่ี ว้ ยทรพั ยส์ นิ ของอารามวหิ าร หลักฐานหลายแห่งระบุว่าพระบรมราชูทิศเกิดพัฒนาการ หลายอยา่ ง โดยเฉพาะสงิ่ ของสา� หรบั อทุ ศิ ถวายอารามวหิ าร เดมิ นนั้ เปน็

40 ศรลี งั กากตกิ าวัตร อ่างเก็บน้�าคลองและที่ดิน สมัยหลังเพิ่มการถวายโคและกระบือแก่ อารามวหิ ารดว้ ย (EZ. I: 1994; 48-49) และมกี ารออกกฎระเบยี บว่า ทรัพย์สินของอารามวิหารเช่นนี้ห้ามใครยึดครองเป็นสมบัติส่วนตัว หาก½า่ ½นื ตอ้ งถกู ลงราชทณั ฑ์ (EZ. IV: 1994; 67; EZ. V: 1994; 169) สันนิษฐานว่าท่ีดินของอารามวิหารอาจเพ่ิมมากข้ึนตามจ�านวนของผู้ อุทิศถวาย จึงเป็นเหตุให้เกิดความต้องการโคกระบือส�าหรับใช้แรงงาน ในทด่ี นิ ของอารามวหิ ารนน้ั ฆราวาสผมู้ ศี รทั ธามากแตม่ กี า� ลงั ทรพั ยน์ อ้ ย จึงถวายโคกระบือเพ่ือจุดประสงค์ดังกล่าว และเหตุที่มีข้อห้ามถือครอง โคกระบือของอารามวิหารน้ัน นอกจากจะเป็นสมบัติของอารามวิหาร แล้ว ยังถือว่าเป็นทรัพย์สินของพระพุทธศาสนาด้วย ซึ่งผู้ใดไม่ควรยึด เอาเปน็ สมบัตสิ ่วนตน พระบรมราชูทิศอีกอย่างหนึ่งคือการถวายทาสแก่อารามวิหาร (EZ. IV: 1994; 139) สันนิษฐานว่าทาสดังกล่าวน่าจะมาจากเชลย สงคราม อาจเป็นไปได้ว่าอารามวิหารแต่ละแห่งมีที่ดินเป็นจ�านวนมาก จึงต้องการแรงงานมาก แรงงานชาวบ้านปกติมักจ่ายค่าแรงเป็นการ ตอบแทน ขณะทท่ี าสไมต่ อ้ งเสยี คา่ ใชจ้ า่ ยอนั ใด หลกั ฐานดงั กลา่ วพบเหน็ ในคัมภีร์มหาวงศ์ ซึ่งระบุว่าพระเจ้าสิลาเมฆวัณณะโปรดให้ถวายเชลย ชาวทมิฬเป็นทาสของอารามวิหาร (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 1: 2553; 419) นับจากนั้นเป็นต้นมาน่าจะมีกษัตริย์หรือข้าราช บริพารประพฤติตามเอาแบบอย่างพระองค์ เหตุเพราะอารามวิหารมี จ�านวนมากมายกระจัดกระจายกันอยู่ตามหัวเมืองส�าคัญน้อยใหญ่ แรงงานจา� เปน็ สา� หรบั ดแู ลการงานของอารามวหิ ารนา่ จะขน้ึ กบั ทาสเปน็ หลกั

มิหนิ ตะเลกติกา 41 สอดคล้องกับจารึกกัลปาตะวิหารของพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราชแห่ง อาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะ ซงึ่ ระบวุ า่ วหิ ารแหง่ นมี้ ที าสหลายประเภทแตล่ ะ คนต่างมีหน้าท่ีการงานแตกต่างกันออกไป (EZ. IV: 1994; 209) ประเด็นน่าสนใจเพิ่มเติมคือ ความเป็นทาสสามารถไถ่ถอนได้ด้วยเงิน เป็นจ�านวนมาก จารึกกุฑารัตมาเลอ้างถึงเจ้าหน้าที่คนหน่ึงได้ไถ่ พระสงฆ์รูปหน่ึงนามว่าสิทธารถะจากความเป็นทาสด้วยเงินจ�านวน ๑๐๐ เหรียญทองกหาปณะ (EZ. V: 1994; 34) เปน็ ทน่ี า่ สงั เกตวา่ นอกจากการครอบครองทรพั ยส์ นิ แลว้ อาราม วิหารยังมีส่วนเก่ียวข้องกับการค้าขายด้วย คัมภีร์มหาวงศ์ระบุว่า พระเจา้ มหนิ ทะที่ ๔ โปรดใหส้ รา้ งปะรา� ขายหมากและพลู (ตมั บลู ะ-มณั ฑ ปะ) และมอบรายได้ถวายเป็นค่าเภสัชแก่พระสงฆ์แห่งเถรวงศ์ (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 1: 2553; 517) หลักฐาน ดังกล่าวนี้สอดคล้องกับจารึกแห่งบดุลละ ซึ่งกล่าวถึงปะร�าพิเศษหรือ มณฑปสา� หรบั ขายหมากและพลู สา� หรบั เจา้ หนา้ ทผ่ี ไู้ ดร้ บั การแตง่ ตง้ั แลว้ หา้ มขายส่ิงเหลา่ นนี้ อกสถานท่ี นอกจากนัน้ มณฑปสา� หรบั ขายหมาก และพลนู ั้นตอ้ งปดิ บรกิ ารในวนั อโุ บสถ หากผู้ขายไม่ปฏิบตั ติ ามตอ้ งจ่าย ค่าปรบั แกอ่ ารามวิหาร (EZ. VI: 1994; 183, 187) คุณวรรธนะยืนยนั ว่าหลักฐานดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าสมัยนั้นอารามวิหารเกี่ยวข้องกับ การค้าขาย (Gunawardhana: 1979; 78-79) ผู้เขียนเหน็ ว่าสถานที่ ขายน่าจะอยู่ภายในอาณาบริเวณของอารามวิหาร มิได้เกล่ือนกลาด ทวั่ ไปตามสถานที่เหล่าอ่ืน

42 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร ๑.ö.๒ ผู้บริหารและก�ากบั ดูแลอารามวหิ าร ผู้บริหารและผู้ก�ากับดูแลอารามวิหารสามารถแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม คือการกสงฆ์และอารามกิ ะ การกสงฆ์หมายถึงพระสงฆ์ผู้เป็นตัวแทนของคณะสงฆ์แต่ละ หมู่คณะ กล่าวตามหลักฐานสมัยอาณาจักรอนุราธปุระนั้น หน่วยเล็ก สุดของคณะสงฆ์เรียกวา่ ปญั จวาสะหรอื ปญั จายตนะ หมายถงึ บรเิ วณท่ี ตั้งกฎุ ี ๕ หลงั ซ่งึ อย่ภู ายในอารามวิหาร ลักษณะทางกายภาพคอื กุฎี หลังใหญ่ต้ังอยูต่ รงกลางและมกี ุฎขี นาดเล็ก ๔ หลัง เรยี งรายโดยรอบ สันนิษฐานว่ากุฎีหลังใหญ่เป็นท่ีพ�านักของพระสงฆ์ผู้เป็นอาจารย์ ส่วน กุฎีขนาดเล็กต้ังอยู่เรียงรายโดยรอบนั้นเป็นท่ีพ�านักของผองศิษย์ สอดคลอ้ งกบั หลกั ฐานทางโบราณคดวี า่ “ตรงกลางปญั จายตนะนน้ั เปน็ อาคารขนาดปานกลางตงั้ อยเู่ รยี กวา่ ปาสาทะ (ปราสาท) และบรเิ วณโดย รอบส่ีทิศเป็นกุฎี ๔ หลัง ตั้งแวดล้อมปาสาทะเสมือนเป็นบริวาร” (Senake Bandaranayake, 2009: 86-95) สนั นิษฐานว่าน้เี ปน็ ระบบ การศกึ ษาสงฆส์ มยั อนรุ าธปรุ ะ กฎุ หี ลงั กลางอาจเปน็ ทอี่ ยขู่ องอปุ ชั ¬าย์ หรืออาจารย์ ส่วนกุฎีโดยรอบสี่ทิศเป็นท่ีพ�านักของสัทธิวิหาริกหรือ อันเตวาสิก ศิษย์เหล่านั้นนอกจากจะท�าหน้าท่ีอุปัฏฐากรับใช้อุปัช¬าย์ อาจารยแ์ ลว้ ยงั ตอ้ งศกึ ษาเลา่ เรยี นพระธรรมวนิ ยั และเรยี นรวู้ ตั รปฏบิ ตั ดิ ว้ ย หนว่ ยของคณะสงฆท์ ีใ่ หญก่ ว่าปญั จวาสะหรอื ปัญจายนะเรียกวา่ คณะ หลักฐานจากคัมภีร์วิสุทธิมรรคชี้บอกว่าคณะสงฆ์ศรีลังกาสมัย อนรุ าธปรุ ะแบง่ ออกเปน็ สตุ ตนั ตกิ คณะและอภธิ มั มกิ คณะ (พระพทุ ธโฆส เถระ: 2548; 153) สุตตันติกคณะหมายถึงกลุ่มพระสงฆ์ผู้ศึกษาพระ

มิหนิ ตะเลกติกา 43 สุตตันตปิฎก ส่วนอภิธัมมิกคณะหมายถึงกลุ่มพระสงฆ์ผู้ศึกษาพระ อภิธรรมปิฎก หลักฐานดังกล่าวสอดคล้องกับคัมภีร์สมันตปาสาทิกา ซงึ่ ระบวุ า่ สมยั อาณาจกั รอนรุ าธปรุ ะนนั้ พระสงฆแ์ บง่ กลมุ่ เลา่ เรยี นศกึ ษา พระธรรมวินัยเป็นแผนก กล่าวคือ กลุ่มมัช¬ิมนิกายภาณกะเรียน มูลปณั ณาสก์ กลุ่มทฆี นกิ ายภาณกะเรียนมหาวรรค กลุ่มสังยุตตนิกาย ภาณกะเรียนสามวรรคเบ้ืองต้นหรือมหาวรรค และกลุ่มอังคุตตรนิกาย ภาณกะเรยี นก่ึงนกิ ายขา้ งต้น (พระพุทธโฆสเถระ ภาค 2: 2500; 386) สันนิษฐานว่าอาจารย์ผู้สอนมัช¬ิมนิกายภาณกะก็ดี ทีฆนิกายภาณกะ ก็ดี สังยตุ ตนิกายภาณกะกด็ ี หรืออังคตุ ตรนกิ ายภาณกะกด็ ี หรือแม้แต่ สตุ ตนั ตกิ คณะและอภธิ มั มกิ คณะกด็ ี นา่ จะเปน็ ตา� แหนง่ ของแตล่ ะหมคู่ ณะ โดยคัดเลือกจากพระเถระผู้ใหญ่ผู้เช่ียวชาญแตกฉานในคัมภีร์ พระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถา นอกจากนั้นน่าจะมีคุณสมบัติอื่นอีก ประกอบเข้าด้วย เช่น มีศีลาจารวัตรงดงาม เป็นท่ีเคารพยกย่องของ หม่คู ณะ และไดร้ บั การยอมรบั จากสถาบันพระมหากษตั รยิ ์ หนว่ ยของคณะสงฆท์ ใี่ หญก่ วา่ คณะเรยี กวา่ นกิ าย (หมายถงึ กลมุ่ คณะสงฆ์ผู้มีแนวคิดและวัตรปฏิบัติแตกต่างจากกลุ่มอื่น-ผู้เขียน) หลักฐานปรากฏพบเห็นในคัมภีร์มโนรถปูรณีของพระพุทธโฆสเถระ ซง่ึ แตง่ แกค้ มั ภรี อ์ งั คตุ ตรนกิ ายแหง่ พระสตุ ตนั ตปฎิ ก ไดก้ ลา่ วถงึ พระสงฆ์ ๒ นกิ าย กลา่ วคือ ธรรมกถิกนิกายกบั ปังสกุ ลู กิ นกิ าย พระสงฆ์กลุม่ ธรรมกถกิ นกิ ายหมายถงึ พระสงฆผ์ เู้ ชยี่ วชาญแตกฉานในการแสดงธรรม ค�าสอนของพระพุทธเจ้าหรือผู้รอบรู้พระปริยัติ ส่วนพระสงฆ์ปังสุกูลิก นิกายหมายถึงพระสงฆ์ผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรพากันปฏิบัติเคร่งครัด ตามพระวินัยบัญญัติของพระพุทธเจ้า ถือว่าเป็นผู้รอบรู้ด้านการปฏิบัติ

44 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร (พระพุทธโฆสเถระ ภาค 1: 2553; 106-107) อีกกลุ่มหน่ึงเรียกว่า อารัญวาสีหรือวนวาสีหมายถึงผู้ประพฤติธุดงควัตรด้านการอยู่ป่า เป็นวัตร พระสงฆ์นิกายนี้ต่อมารวมเข้ากับกลุ่มปังสุกูลิกนิกายเป็น คณะเดียวกัน (Walpola Rahula: 1996; 196-197) ส่วนพระสงฆ์ ธรรมรุจินิกายและสาคลนิกายก็เป็นคณะหนึ่งภายในส�านักอภัยคิรีวิหาร ตอ่ มาไดก้ ่อรา้ งสร้างตวั กลายเปน็ หมใู่ หญ่ หน่วยสุดท้ายเรียกว่าวิหาร (ผู้เขียนนิยามจากวิหารหลายแห่งที่ อยู่ภายใต้ส�านักขนาดใหญ่) คณะสงฆ์กลุ่มน้ีมิได้แยกตนเป็นเอกเทศ ตา่ งหากแตย่ งั เปน็ สว่ นหนงึ่ ของสา� นกั ขนาดใหญ่ ไมว่ า่ จะเปน็ สา� นกั มหาวหิ าร สา� นกั อภยั คริ วี หิ าร หรอื แมแ้ ตส่ า� นกั เชตวนั วหิ าร ยกตวั อยา่ งเชน่ สา� นกั มหาวิหารภายในเมืองหลวงอนุราธปุระนั้นแบ่งวิหารออกเป็น ๓ กลุ่ม ไดแ้ ก่ ถูปารามวหิ าร มรจิ วัฏฏิวหิ าร และทกั ขิณวหิ าร แต่ละวิหารตา่ ง มีหัวหน้าคณะเป็นผู้ปกครองดูแลพระสงฆ์ในกลุ่มแห่งตน ส่วนวิหาร ภายนอกเมอื งอนรุ าธปรุ ะ เชน่ มหิ นิ ตะเล หตั ถกิ จุ ฉวิ หิ าร จติ ตบรรพตวหิ าร เป็นตน้ วิหารน้อยใหญ่ภายในเมืองหลวงแมจ้ ะแยกเปน็ นิกายนอ้ ยใหญ่ แต่การปกครองยังอยู่ภายใต้ส�านักขนาดใหญ่ในนามว่าการกสงฆ์ โดย แตล่ ะกลมุ่ สง่ ตวั แทนเขา้ ไปเปน็ คณะกรรมการของการกสงฆโ์ ดยมสี ถาบนั กษตั รยิ เ์ ปน็ ผสู้ นบั สนนุ สง่ เสรมิ สว่ นวหิ ารทอ่ี ยภู่ ายนอกเมอื งหลวงแมจ้ ะ สังกัดส�านักใหญ่ก็จริง แต่มีอ�านาจในการบริหารตนเองในลักษณะของ การกสงฆ์เช่นเดียวกัน โดยคัดเลือกตัวแทนจากคณะหรือนิกายเข้ามา บริหารอารามวิหารแห่งตน มิหินตะเลวิหารอยู่ในลักษณะหลังนี้ โดย การกสงฆ์สามารถออกกฎระเบียบควบคุมดูแลพระสงฆ์ภายในอาราม

มหิ นิ ตะเลกตกิ า 45 วิหารแห่งตน พร้อมออกกฎกติกาควบคุมฆราวาสผู้ดูแลรักษาอาราม วิหารด้วย แต่ตอ้ งไดร้ ับการยอมรบั จากสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ ส่วนอารามิกะหมายถึงฆราวาสผู้ท�างานให้กับอารามวิหาร หาก ถือตามหลักฐานในศิลาจารึกแห่งมิหินตะเลสามารถแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่มใหญ่ กล่าวคือ กลุ่มงานทั่วไป กลุ่มงานดูแลรักษาศาสนสถาน และกลมุ่ งานทะเบยี น สา� หรบั กลมุ่ งานทว่ั ไปและกลมุ่ งานดแู ลรกั ษาศาสน สถานน้ัน ต่างมีอ�านาจหน้าท่ีควบคุมดูแลสายงานแยกย่อยลงไปอีก หลายแผนก แต่ดูเหมือนว่าผู้ท�าหน้าที่บันทึกการท�างานทั้งสองกลุ่มคือ กลมุ่ งานทะเบยี น ซง่ึ จะขน้ึ ตรงตอ่ การกสงฆ์ การพจิ ารณาความดคี วาม ชอบหรือความถูกต้องของการกสงฆ์จะอาศัยหลักฐานจากกองงาน ทะเบยี นเปน็ หลกั แตค่ า่ ตอบแทนหวั หนา้ ทง้ั สามกองงานกลบั ไมแ่ ตกตา่ งกนั สนั นษิ ฐานวา่ การออกกฎระเบยี บใหห้ วั หนา้ ทง้ั สามกองงานมคี า่ ตอบแทน เทา่ เทียมกนั เช่นน้ี น่าจะเปน็ การคานอา� นาจระหว่างสามกล่มุ งาน ทั้งนี้ เพอื่ มใิ หเ้ กดิ ช่องวา่ งสรา้ งอคตภิ ายในการบรหิ ารอารามวิหาร กลุ่มงานทั่วไปน้ันมีสายงานเป็นจ�านวนมาก ได้แก่ ผู้ดูแล ภัตตาหารหวานคาวส�าหรับพระสงฆ์ ผู้จัดเตรียมพิธีกรรมทางศาสนา เช่น การบูชาเทศกาลเข้าพรรษาและออกพรรษา ผู้ดูแลอัฐบริขาร พระสงฆ์ ผู้รักษาปศุสัตว์ ผู้วาดภาพจิตรกรรม ผู้ดูแลฉางข้าว ผู้จัด เตรียมดอกไม้ส�าหรับบูชา ผู้แจกวัสดุอุปกรณ์ ช่างแกะสลัก ช่าง½ีมือ และช่างก่ออิฐ เป็นต้น ส่วนกลุ่มงานดูแลรักษาศาสนสถาน ได้แก่ ผดู้ แู ลรกั ษาหอพระธาตหุ รอื หอประดษิ ฐานพระบรมสารรี กิ ธาตุ (บางครง้ั หอพระธาตุหมายถึงหอประดิษฐานคัมภีร์ส�าคัญ หรือหอประดิษฐาน

46 ศรลี ังกากตกิ าวัตร พระเข้ียวแก้วหรือบาตรของพระพุทธเจ้า) ผู้ดูแลวิหารประดิษฐาน พระพุทธรูป ผู้ดูแลต้นพระศรีมหาโพธ์ิ และผู้ดูแลสถูปเจดีย์ รวมถึง ผู้จัดเตรียมพิธีกรรมส�าหรับเทศกาลบูชา แม้ดูเหมือนว่าแต่ละกลุ่มงาน จะแบง่ หนา้ ทเ่ี ปน็ เอกเทศ แตค่ วามเปน็ จรงิ แลว้ ทงั้ สองกลมุ่ งานสามารถ ช่วยเหลือเก้ือกูลกันและกันได้ แต่ต้องแจ้งให้กลุ่มงานทะเบียนทราบ เพ่ือบนั ทกึ การท�างาน เม่อื กลุ่มงานมภี าระหนา้ ท่แี ยกยอ่ ยเป็นจ�านวนมาก อารามวหิ าร ต้องมีค่าตอบแทนเป็นส่ิงของหรือทรัพย์สินมาเป็นทุน โดยน�ามาจาก ผลผลติ ทเ่ี กดิ จากทดี่ นิ หรอื พระบรมราชทู ศิ รายละเอยี ดดงั กลา่ วพรรณนา ไว้แล้วในมิหินตะเลกติกา ประเด็นน่าสนใจคือค่าตอบแทนฆราวาสผู้ ท�างานให้อารามวิหารเป็นปกติวิสัย แต่มิหินตะเลกติการะบุว่าค่า ตอบแทนสามารถมอบถวายแก่พระสงฆ์ผู้ท�าหน้าท่ีบางอย่างด้วย เช่น ผู้สามารถเข้าใจพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎกหรือพระอภิธรรมปิฎก รวมถงึ พระสงฆผ์ ดู้ แู ลเพอ่ื นพรหมจารี สนั นษิ ฐานวา่ คา่ ตอบแทนดงั กลา่ ว น่าจะเป็นสินน�้าใจกลายเป็นแรงกระตุ้นให้พระสงฆ์สามเณรเห็นความ สา� คญั ของการศกึ ษาพระไตรปฎิ ก และการชว่ ยเหลอื ดแู ลเพอื่ นพรหมจารี แม้จะเป็นค่าตอบแทนเหมือนฆราวาสผู้ท�างานให้แก่อารามวิหาร หากพิจารณาถึงจ�านวนก็น้อยกว่าหลายเท่าตัว ผู้เขียนเห็นว่าลักษณะ ดังกล่าวน้ีน่าจะเป็นธรรมเนียมของกษัตริย์ การกสงฆ์ผู้ออกกติกาน่า จะคลอ้ ยตามพระราชประเพณี เปน็ ลกั ษณะศาสนจกั รหนนุ เสรมิ นโยบาย ของอาณาจกั ร

มิหนิ ตะเลกตกิ า 47 ๑.ö.ó การศึกษาของคณะสงฆ์ การศกึ ษาของคณะสงฆส์ มยั นแี้ บง่ เปน็ ๓ ชนั้ (พระพทุ ธโฆสเถระ ภาค 2: 2550; 386-387) ๑. ช้ันแรกเรียกว่าผู้พ้นนิสัย (นิสสัยมุจจนกะ) นักศึกษาช้ันน้ี จา� ตอ้ งมพี รรษาครบหา้ เสยี กอ่ น เนอ้ื หาของหลกั สตู รแบง่ ออกเปน็ ๖ กลมุ่ ได้แก่ ๑) การท่องภิกขุปาติโมกข์และภิกขุนีปาติโมกข์ให้ช�่าชอง คล่องปาก เพอ่ื ให้เขา้ ใจพุทธบญั ญัตอิ ย่างถกู ต้อง ๒) ศึกษาภาณวาร ทัง้ ๔ จากคมั ภรี พ์ ระปริตร เพ่ือเปน็ ประโยชนส์ า� หรบั สาธชุ นผูเ้ ขา้ วัดใน วันแห่งปักษ์ ๓) ศึกษาอันธกวินทสูตร มหาราหุโลวาทสูตร และ อมั พัฏฐสตู ร เพือ่ สามารถสนทนาธรรมกบั สาธุชน ๔) เรยี นอนุโมทนา คาถา ๓ อย่าง เพ่ือกล่าวสัมโมทนียกถาในคราวสังฆภัต งานมงคล และงานอวมงคล ๕) ศึกษาการวินิจฉัยสังฆกรรมจนเข้าใจแจ่มแจ้ง ดังเช่น อุโบสถกรรมและปวารณากรรมเป็นต้น และ ๖) เรียน กมั มฏั ฐานสกั ขอ้ หนง่ึ เพอื่ บา� เพญ็ สมณธรรม ทงั้ สว่ นสมาธแิ ละวปิ สั สนา โดยมีเป‡าหมายคือพระอรหัตเป็นท่ีสุด กล่าวเฉพาะการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานน้ัน หลักสูตรช้ันนี้เป็นเพียงความรู้เบ้ืองต้นเกี่ยวกับการ ประพฤติพรหมจรรย์เท่านั้น หากต้องการปฏิบัติอย่างถูกต้องผู้ศึกษา จ�าต้องแสวงหาครูอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ีโดยเฉพาะ (พระพุทธโฆส เถระ: 2548; 156) ๒. ช้ันสองเรียกว่าผู้ให้บริษัทอุปัฏฐาก (ปริสุปัฏฐาปกะ) นักศึกษาชั้นนจ้ี �าตอ้ งมีพรรษาครบ ๑๐ เริม่ ตน้ จากทอ่ งสองวิภงั ค์หรอื มหาวิภังค์และภิกขุนีวิภังค์ให้ช�่าชองคล่องปาก เพ่ือแนะน�าภิกษุและ

48 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร ภิกษุณีบริษัทให้รู้และเข้าใจในอภิวินัย หากท่องจ�าสองวิภังค์มิได้ก็ควร ท่องอีกสามวิภังค์ที่เหลือ ต่อมาควรศึกษาวินัยกรรมและขันธกวัตร เพ่ือแนะน�าภิกษุและภิกษุณีบริษัทให้รู้และเข้าใจในพระอภิธรรม ส�าหรับ ผเู้ ปน็ มชั ¬มิ นกิ ายภาณกะกพ็ งึ เรยี นมลู ปณั ณาสก์ ผเู้ ปน็ ทฆี นกิ ายภาณกะ ก็พึงเรียนมหาวรรค ผู้เป็นสังยุตตนิกายภาณกะพึงเรียนสามวรรคแรก หรอื มหาวรรค และผเู้ ปน็ องั คตุ ตรนกิ ายภาณกะพงึ เรยี นกงึ่ หนงึ่ ของนกิ าย เบอื้ งตน้ หรอื เบอื้ งปลาย เฉพาะองั คตุ ตรนกิ ายภาณกะนน้ั หากไมส่ ามารถ เรยี นเบอื้ งตน้ และเบอื้ งปลายไดก้ ค็ วรเรมิ่ ตน้ ศกึ ษาจากตกิ นบิ าต สา� หรบั ผู้เป็นชาตกภาณกะนั้นจ�าต้องแตกฉานในคัมภีร์ชาดกพร้อมคัมภีร์ อรรถกถา หากนักศึกษารูปใดผ่านชั้นน้ีเรียกช่ือว่าทิศาปาโมกข์ (Walpola Rahula: 1996; 296) ประเด็นน่าสนใจคือผู้ศกึ ษาต้องเรียน คัมภีร์ชาดกและคัมภีร์อรรถกถาทั้งหมด ตรงน้ีสันนิษฐานว่าน่าจะเป็น วธิ ีการสงเคราะหช์ าวบ้านดว้ ยเทศนาวิธเี ป็นแน่ ๓. ชั้นสุดท้ายเรียกว่าผู้ส่ังสอนภิกษุณี (ภิกขุโนวาทกะ) ช้ันนี้ ไม่ได้ก�าหนดอายุผู้เรียนแต่เชื่อว่าน่าจะผ่านชั้นปริสุปัฏฐาปกะมาแล้ว สา� หรบั ชน้ั สดุ ทา้ ยนกี้ ารศกึ ษาคอ่ นขา้ งยาก เพราะเนน้ ผเู้ รยี นใหเ้ ชย่ี วชาญ แตกฉานทั้งคัมภีร์พระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถาทั้งหมด เพราะจุด ประสงค์หลักต้องการให้ส่ังสอนภิกษุณี เป็นเร่ืองน่าแปลกคือเฉพาะ พระอภิธรรมปิฎกนน้ั เนน้ ใหศ้ ึกษาเพยี งสี่ปกรณเ์ ทา่ นั้น ด้วยอา้ งวา่ แม้ เพยี งเทา่ นกี้ ส็ ามารถเขา้ ใจปกรณท์ เ่ี หลอื ได้ หากมองเนอ้ื หาโดยรวมของ หลักสูตรชั้นนี้ สันนิษฐานว่าน่าจะใช้เวลาเกินห้าปีเป็นแน่ แม้หลักสูตร ทง้ั สองชน้ั เบอ้ื งตน้ จะเปน็ การปทู างแตเ่ รมิ่ ตน้ กจ็ รงิ แตเ่ ปน็ เพยี งสว่ นนอ้ ย เทา่ นั้น เพราะการศึกษาพระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถาทั้งหมดจ�าเปน็ ตอ้ งใชเ้ วลา ประเดน็ นา่ สนใจคอื พระสงฆผ์ ้ไู ด้รบั ฉันทามติจากคณะสงฆ์

มิหนิ ตะเลกติกา 49 ใหส้ ง่ั สอนภกิ ษุณีจะต้องมีการกลน่ั กรองเปน็ กรณีพเิ ศษ แสดงให้เห็นวา่ ภิกษุณีศรีลังกาสมัยนั้นต้องมีความรู้พระไตรปิฎกเป็นอย่างดีเฉกเช่น ภิกษุสงฆ์ หลกั ฐานดงั กลา่ วเบอ้ื งตน้ เปน็ การเรยี นการสอนของสา� นกั มหาวหิ าร บันทึกโดยพระพุทธโฆสเถระผู้½ักใ½่พระสงฆ์ส�านักมหาวิหาร จึงเป็น ธรรมดาวิสัยที่จะต้องละเลยกล่าวถึงส�านักอภัยคิรีวิหารและส�านัก เชตวนั วหิ ารผเู้ ปน็ ปฏปิ กั ษ์ สว่ นการเรยี นการสอนของสองสา� นกั มบี นั ทกึ ไว้ในการเดินทางของสมณะเหี้ยนจังหรือถังซ�าจëังความว่า “พระสงฆ์ แห่งส�านักอภัยคิรีวิหารน้ันศึกษาทั้งมหายานและหีนยาน วิจัยค้นคว้า และเผยแพร่พระไตรปิฎก พระภิกษุเหล่าน้ันเคร่งครัดในพระธรรมวินัย มุ่งมั่น½ƒก½นสมาธิและปัญญา ล้วนเป็นผู้สมควรแก่การเคารพนับถือ เปน็ แบบอยา่ งของบคุ คลทัว่ ไป” (ถงั ซ�าจังë : 2547; 444) สนั นษิ ฐานว่า หลักสูตรของส�านักมหาวิหารน่าจะเน้นภาษาบาลีเป็นหลัก ส่วนส�านัก อภัยคิรีวิหารและส�านักเชตวันวิหารน่าจะให้ความส�าคัญภาษาสันสกฤต ท้ังน้ีเพื่อให้สอดคล้องกับภาษาบันทึกพระไตรปิฎกตามคติความเช่ือ แห่งตน ส�าหรับบรรยากาศการเรียนการสอนสมัยน้ันพบเห็นในคัมภีร์ สมันตปาสาทิกา ซ่ึงระบุว่าพระสงฆ์แบ่งกลุ่มออกเป็นแผนกเพ่ือศึกษา พระธรรมวินัย กล่าวคือ กลุ่มมัช¬ิมนิกายภาณกะเรียนมูลปัณณาสก์ กลุ่มทีฆนิกายภาณกะเรียนมหาวรรค กลุ่มสังยุตตนิกายภาณกะเรียน สามวรรคเบื้องต้นหรือมหาวรรค และกลุ่มอังคุตตรนิกายภาณกะเรียน ก่ึงนิกายข้างต้น (พระพุทธโฆสเถระ ภาค 2: 2500; 386) หลักฐาน อีกแห่งหนึ่งพบเห็นในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งกล่าวถึงกลุ่มพระสงฆ์

50 ศรลี ังกากตกิ าวัตร ศึกษาพระสูตร (สุตตันติกคณะ) และกลุ่มพระสงฆ์ศึกษาพระอภิธรรม (อภธิ มั มิกคณะ) (พระพุทธโฆสเถระ: 2548; 153) สนั นิษฐานว่าเบ้อื ง ตน้ การศกึ ษานา่ จะเปน็ การสง่ั สอนระหวา่ งอาจารยก์ ับศษิ ยผ์ อู้ ยอู่ าศยั ใน ปัญจายตนะ ส่วนการเรียนการสอนข้ึนอยู่กับความเชี่ยวชาญของ อาจารย์เป็นหลัก หาได้มีรูปแบบการเรียนการสอนที่เป็นระบบไม่ คร้ัน ต่อมาจ�านวนนักศึกษาเพ่ิมมากข้ึนจึงเป็นเหตุให้มีการเพ่ิมขยายสถานท่ี ศึกษา และมกี ารจัดระบบการเรียนการสอนใหเ้ ป็นไปในทศิ ทางเดยี วกนั สมัยนี้ค�าเรียกว่าปัญจายตนะปิริเวณะน่าจะกร่อนเป็นปิริเวณะ เพื่อให้ เข้ากับพัฒนาการที่เกิดขึ้นกับการศึกษาคณะสงฆ์ และสมัยนั้นส�านัก มหาวหิ ารมปี รเิ วณะถงึ ๓๖๔ แหง่ (พระสงั ฆราชเทวรกั ษติ ะชยั พาหเุ ถระ: 2559; 45) สา� นกั ตสิ สมหาวหิ ารแหง่ แควน้ โรหณะมปี ริ เิ วณะ ๓๖๓ แหง่ (E.Z. III: 1994; 223) สอดคล้องกับบันทึกของพระภิกษุฟาเหียนซึ่ง พรรณนาไวว้ า่ ภายในเมอื งอนรุ าธปรุ ะมพี ระสงฆจ์ า� นวน ๑๐,๐๐๐ รปู กล่าวคือ ส�านักอภัยคิรีวิหารมี ๕,๐๐๐ รูป ส�านักมหาวิหารมี ๓,๐๐๐ รูป และเจติยวิหารมี ๒,๐๐๐ รูป (จดหมายเหตุแห่ง พทุ ธอาณาจักรของพระภกิ ษฟุ าเหียน: 2561: 203-204) สมยั พระเจา้ มหนิ ทะที่ ๔ หรอื ตอนปลายของอาณาจกั รอนรุ าธปรุ ะ ดูเหมือนว่าพระอภิธรรมปิฎกจะเป็นที่นิยมแพร่หลาย สังเกตได้จาก หลกั ฐานในศลิ าจารกึ แหง่ มหิ นิ ตะเลระบวุ า่ “หากพระภกิ ษผุ พู้ า� นกั ภายใน อารามวิหารแห่งน้ีสามารถเข้าใจพระวินัยปิฎกย่อมได้รับค่าอาหารและ เคร่ืองนุ่งห่ม ๕ วะสัก หากสามารถเข้าใจพระสุตตันตปิฎกย่อมได้ ๗ วะสัก และสามารถเข้าใจพระอภิธรรมปิฎกย่อมได้ ๑๒ วะสัก” (EZ. I: 1994; 245) คัมภีร์มหาวงศ์ระบุว่าพระองค์โปรดอาราธนา พระธรรมมิตตเถระแห่งส�านักติตถคามให้แต่งคัมภีร์อภิธรรมวรรณนา

. มหิ นิ ตะเลกติกา 51 และอาราธนาพระทาฐานาคเถระ½่ายอรัญวาสีผู้เป็นเครื่องประดับลังกา ให้บรรยายพระอภิธรรมปิฎก” (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 1: 2553; 516) กล่าวเฉพาะคัมภีร์อภิธรรมวรรณนานั้นว่าตาม ความจริงหมายถึงคัมภีร์แต่งอธิบายความตามเนื้อหาในคัมภีร์ พระไตรปฎิ ก แตไ่ มส่ ามารถระบไุ ดช้ ดั เจนวา่ เนอื้ หาของคมั ภรี เ์ ปน็ อยา่ งไร เพราะไม่มีหลักฐานอ่ืนกล่าวถึงรายละเอียดไว้ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็น คัมภีร์แต่งอธิบายความบางแห่งในพระอภิธรรมปิฎกส่วนใดส่วนหน่ึง เปน็ การเฉพาะ หากเปน็ คมั ภรี ม์ เี นอื้ หาลกึ ซงึ้ นา่ จะมพี ระภกิ ษพุ ากนั ศกึ ษา และรกั ษาสืบต่อถึงสมัยปัจจบุ นั อีกส่วนหน่ึงเหตุที่พระอภิธรรมปิฎกเป็นท่ีนิยมแพร่หลายน่าจะได้ รับอิทธิพลมาจากสมัยพระบรมชนกนาถ ซึ่งคัมภีร์มหาวงศ์ระบุว่า พระเจา้ กสั สปะที่ ๕ โปรดใหจ้ ารกึ พระอภธิ รรมปฎิ กลงในพระสพุ รรณบฏั ทรงสร้างคัมภีร์พระธรรมสังคณีประดับด้วยนานารัตนะ พร้อมโปรดให้ สรา้ งหอกลางพระนครอยา่ งงดงามตระการตา แลว้ ประดษิ ฐานพระคมั ภรี ์ พระธรรมสังคณีน้ันไว้ภายในหอน้ันแล้ว และโปรดให้พระโอรสผู้รั้ง ต�าแหน่งสักกเสนาบดี ท�าหน้าที่รักษาดูแลคัมภีร์พระธรรมสังคณีที่ หอพระคมั ภรี ์ นอกจากนน้ั ทรงอญั เชญิ คมั ภรี พ์ ระธรรมสงั คหะขนึ้ เหนอื พระคชาธาร แลว้ เสดจ็ เลยี บราชวถิ รี อบพระนคร ครนั้ แลว้ ใหป้ ระดษิ ฐาน เหนอื พระแทน่ บชู าภายในมณฑปประดว้ ยดว้ ยรตั นะมากมายหลายชนดิ ” (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 1: 2553; 502-503) ดว้ ยเหตุ ดังกล่าว พระองค์ในฐานะพระราชโอรสย่อมให้การสนับสนุนผู้ศึกษา พระอภิธรรมปิฎกเฉกเช่นพระบรมราชชนก จึงปรากฏหลักฐานว่า สมัยพระองค์น้ันคัมภีร์พระอภธิ รรมปฎิ กเปน็ ทน่ี ยิ มแพรห่ ลายไมต่ า่ งจาก สมยั พระบรมราชบดิ าเจา้ ความนิยมดังกล่าวส่งผลต่อเนื่องเร่ืองมาถึง สมยั อาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะดว้ ย

52 ศรีลงั กากตกิ าวัตร ตนพระศรมี หาโพธ์ิ ภายในสาํ นักมหาวิหาร เมืองหลวงเกาอนรุ าธปุระ อภัยคิรีเจดีย์ ภายในสํานักอภัยคิรีวิหาร เมืองหลวงเกาอนุราธปุระ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps)

มิหินตะเลกตกิ า 53 เวสสคิริวหิ ารหรือวัดปา ยุคตน เมอื งหลวงเกาอนรุ าธปุระ บริเวณถูปารามเจดยี ์ เมืองหลวงอนุราธปรุ ะ (คดั ลอกจาก www.google.co.th/maps)

54 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร บรเิ วณสาํ นกั มหาวหิ ารเมอื งหลวงเกา อนรุ าธปรุ ะ(คดั ลอกจากwww.google.co.th/maps) ปญจวาสะแหงสํานักมหาวิหารเมืองหลวงเกาอนุราธปุระ (คัดลอกจาก www.google. co.th/maps)

มิหินตะเลกตกิ า 55 รฏิ ิคะละวิหาร วัดอรญั วาสียคุ แรกของศรลี งั กา นอกเมืองหลวงเกา อนรุ าธปุระ หอสมดุ แหง รฏิ คิ ะละวหิ าร วดั อรญั วาสยี คุ แรกของศรลี งั กา นอกเมอื งหลวงเกา อนรุ าธปรุ ะ

56 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร

มหาปรากรมพาหุกตกิ าวัตร 57

บรรยายภาพ: ภาพวาดภายในพิพิธภัณฑ์พระแวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราช วัดมัลลวัตต มหาวหิ าร เมืองแคนดี

บทที่ ๒ มหาปรากรมพาหุกติกาวัตร ๒.๑ เกริ่นนำ� แทน่ ศลิ าจารกึ ของพระเจา้ ปรากรมพาหทุ ี่ ๑ (Rock-Inscription of Parakkama-bahu I) ต้ังอยู่ภายในหมู่พระพุทธปฏิมาศิลาแห่ง กัลวิหาร (วิหารหิน) หรืออีกชื่อหน่ึงคืออุตตราราม (อารามทักษิณ) บริเวณทิศเหนือของเขตพุทธาวาสภายในเมืองหลวงโปโฬนนารุวะ ลักษณะเป็นแท่นหินขนาดกลางสกัดเป็นรูปสี่เหล่ียมผืนผ้า มีความยาว ๔ เมตร ความกว้าง ๒ เมตร ๙๗ เซนติเมตร ตวั อักษรมที ั้งหมด ๕๑ แถว นักโบราณคดีช้ีว่าภาษาบันทึกมีความคล้ายคลึงกับคัมภีร์ อรรถกถาภาษาสงิ หลสมยั ตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ ดงั เชน่ คมั ภรี อ์ มาวตรุ ะ และคัมภีร์ถูปวงศ์เป็นต้น และพบเห็นความกระจัดกระจายของศัพท์ สันสกฤตอย่างชัดเจนมากกว่าศิลาจารึกยุคก่อน (Edward Muller: 1883; 62) หากสงั เกตจะเหน็ ความโนม้ เอยี งดว้ ยการหลกี เลยี่ งอกั ษรแม้ ศพั ทท์ ห่ี ยบิ ยมื มาจากภาษาสนั สกฤตและภาษาบาลี (EZ. II: 1985; 258) ผู้เปิดเผยให้ชาวโลกรู้จักส่ิงมหัศจรรย์ภายในกัลวิหารและแท่น ศิลาจารึกคือรัฐมนตรีว่าการอาณานิคมแห่งศรีลังกานามว่าแทนแนนท์ (Colonial Secretary of Ceylon) ซึ่งคราวหนึ่งได้มโี อกาสเดนิ ทางไป เทย่ี วชมเมอื งหลวงเก่าโปโฬนนารุวะ พรอ้ มบันทกึ รายละเอียดเกี่ยวกับ การเทยี่ วชมโบราณสถานแล้วตีพิมพเ์ ผยแพรใ่ นปพี ุทธศกั ราช ๒๔๐๒ แต่เน่ืองจากไม่สามารถอ่านอักษรจากแท่นศิลาจารึกได้ แทนแนนท์จึง แสดงความเห็นว่า “ศิลาจารึกใช้ค�ำฟุ่มเฟือยมากเกินไป ต้องเป็นการ

60 ศรีลังกากตกิ าวตั ร ร�าลึกถึงคุณธรรมและความย่ิงใหญ่ของผู้สร้างเป็นแน่” (James Emerson Tennent: 2011; 597) ต่อมามลุ เลอร์ไดแ้ ปลข้อความบาง ส่วนของศิลาจารึกพร้อมแสดงความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า “ข้อความ เหลา่ นแ้ี ละความคลา้ ยคลงึ กนั แสดงถงึ ความสนใจอยา่ งยง่ิ ตอ่ พทุ ธศาสนา จารึกแห่งกัลวิหารให้รายละเอียดมากมายเก่ียวกับสิ่งท่ีพระเจ้าปรากรม พาหุทรงสร้างไว้ เพ่ือความก้าวหน้าของพระพุทธศาสนาและประโยชน์ สุขของพระสงฆ์ จารึกแห่งนี้ยังไม่มีการถอดแปลมาก่อน อาจเป็น เพราะความยงุ่ ยากดา้ นรายละเอยี ดทป่ี รากฏเหน็ ในปัจจบุ นั ” (Edward Muller: 1883; 62) พทุ ธศกั ราช ๒๔๕๐ ขา้ หลวงชาวองั กฤษคนแรกผดู้ แู ลโบราณคดี นามวา่ เบลล์ (H.C.P. Bell) ได้แปลอกั ษรจากแทน่ ศิลาจารกึ แหง่ น้เี ป็น ภาษาอังกฤษพร้อมแสดงความเห็นไวว้ ่า “อารามวิหารซ่ึงสกัดจากแทง่ หินแห่งนี้ตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นตรงจุดส�าคัญพิเศษบ่งบอกถึง ความเก่าโบราณ สามารถสร้างความประทับใจตราตรึงจิตอันวิเศษสุด เหมาะส�าหรับการทัศนาของผู้ช่ืนชอบเกาะลังกา และเชื่อว่าไม่มีใคร ทัดเทยี มได้ตลอดอนทุ วีปอินเดยี ” (EZ. II: 1985; 256) ความสมเหตุ สมผลของแท่นศิลาจารึกแห่งนี้มีความสมบูรณ์มากข้ึนเมื่อมีการค้นพบ แท่นศิลาจารึกเดวนคละ (Devanagala Rock-Insription of Parakramabahu I) แท่นศิลาจารึกแห่งสัมคามุวิหาร (Samgamu Vihara Rock-Inscription) และแผ่นศิลาจารึกรุวันแวฬิแสยะของ พระมเหสีกัลยาณวดี (The Ruvanvalisaya Slap-Inscription of Queen Kalyanavati) ซ่ึงศิลาจารึกเหล่านี้ล้วนสร้างขึ้นสมัยพระเจ้า ปรากรมพาหทุ ่ี ๑ และพระมเหสขี องพระองคพ์ ระนามวา่ พระนางกลั ยาณวดี

มหาปรากรมพาหุกตกิ าวตั ร 61 เนื้อหาของศิลาจารึกสามารถแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน กล่าวคือ ส่วนแรกเป็นการแนะน�าพุทธศาสนาแบบย่อนับจากพุทธกาลจนถึงสมัย พระเจ้าปรากรมพาหุ และส่วนหลังกล่าวถึงการตรากติกาวัตรส�าหรับ เป็นหลักประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์สมัยนั้น ประเด็นน่าสนใจศึกษา คือการตรากติกาวัตรคร้ังน้ีเกิดขึ้นหลังจากพระองค์ทรงปราบปรามบ้าน เมอื งใหเ้ ปน็ ปกƒ แผน่ เรยี บรอ้ ยแลว้ และเกดิ ขนึ้ หลงั จากพระองคท์ รงปฏริ ปู พระศาสนารวมคณะสงฆ์ให้เป็นนิกายเดียวแล้ว คัมภีร์นิกายสังครหยะ พรรณนาพระองค์ว่าเพราะผลานิสงส์แห่งการบ�าเพ็ญบุญบารมีคร้ังนี้ ครั้นสวรรคตล่วงแล้วพระองค์ได้บังเกิดเป็นราชาชาวสวรรค์นามว่า นรเทพ ทรงเสวยสขุ เปน็ เวลาหนง่ึ กปั (พระสงั ฆราชเทวรกั ษติ ะวชิ ยั พาหุ เถระ: 2559; 73) ๒.๒ เหตกุ ารณบ์ า้ นเมือง พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๑ (พ.ศ.๑๖๙๖-๑๗๒๙) เป็น พระโอรสของเจา้ ชายมานาภรณะกบั เจา้ หญงิ รตั นาวลี สมยั นน้ั เกาะลงั กา แบ่งการปกครองออกเป็น ๓ เขต กล่าวคอื ๑) เขตราชระฏะ บริเวณ ตอนเหนอื ของแมน่ า�้ มหาแวลคิ งคาจนถงึ ดา้ นเหนอื สดุ ของเกาะปกครอง โดยพระเจ้าวิกรมพาหุ มีเมืองโปโฬนนารุวะเป็นศูนย์กลางการบริหาร บ้านเมอื ง ๒) เขตโรหณระฏะ บริเวณตอนใต้ของแมน่ �้ามหาแวลคิ งคา จนถึงทางตอนใต้สุดของเกาะปกครองโดยเจ้าชายกิตติสิริเมฆะกับ เจ้าชายศรวี ัลลภ มีเมอื งมหานาคหลุ ปุระเปน็ ศนู ย์กลางการบรหิ าร และ ๓) เขตทกั ขิณเทศะ (บางทเี รยี กวา่ เขตมายาระฏะ) บรเิ วณตอนกลาง ของเกาะจนถงึ ดา้ นทศิ ตะวนั ตกของเกาะปกครองโดยเจา้ ชายมานาภรณะ

62 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร ผู้เป็นพระบิดาของพระองค์ มีเมืองสังขนายกัตถลีเป็นศูนย์กลางการ บริหาร บรรดาผู้ปกครองสามหัวเมืองเหล่าน้ันเขตโรหณระฏะได้รับการ ยกย่องจากชาวลังกามากกว่า เหตุเพราะเป็นสถานที่ประดิษฐาน พระเขี้ยวแก้วและบาตรของพระพุทธเจ้า เสมือนเป็นศูนย์รวมใจของ ชาวลังกา สมยั พระกมุ ารปรากรมพาหทุ รงพระเยาวน์ น้ั เจา้ ชายมานาภรณะ ผเู้ ปน็ พระบดิ าไดส้ นิ้ พระชนม์ เขตทกั ขณิ เทศะอนั เปน็ สมบตั ขิ องพระบดิ า จึงตกเป็นของเจ้าชายกิตติสิริเมฆะผู้เป็นพระปิตุลา พระกุมารปรากรม พาหุและครอบครัวจึงมาอาศัยพระบารมีของเจ้าชายศรีวัลลภผู้เป็น พระปิตุลาอีกพระองค์หน่ึง ซึ่งปกครองเขตโรหณระฏะ ครั้นเจริญวัย พระองคไ์ ดไ้ ปศกึ ษาศาสตรแ์ ละศลิ ปกŠ บั เจา้ ชายกติ ตสิ ริ เิ มฆะพระปติ ลุ าแหง่ เขตทักขิณเทศะ นัยว่าผู้ปกครองแห่งเขตนั้นประสงค์ให้พระองค์เป็น รัชทายาท (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 2: 2553; 5-6) แต่ความจริงคือเจ้าหญิงรัตนาวลีผู้เป็นพระมารดาทรงวางแผนเอาไว้ ตงั้ แตส่ มยั พระองคย์ งั ทรงพระเยาว์ เพราะเหน็ วา่ เจา้ ชายกติ ตสิ ริ เิ มฆะไร้ รัชทายาท สมัยนั้นพระกุมารปรากรมพาหุถือว่าเป็นผู้เหมาะสมย่ิง กว่าใคร (Chandra Richard de Silva: 2011; 78) เป็นทีน่ ่าสังเกต วา่ ศาสตรแ์ ละศลิ ปทŠ เ่ี จา้ ชายปรากรมพาหทุ รงศกึ ษาเรยี นรนู้ น้ั เนน้ ความรู้ ทางคดีโลกเป็นหลัก ไม่มีความรู้คดีธรรมแทรกเสริมแต่อย่างใด เหตุ เพราะจุดประสงค์คือต้องการให้พระองค์เป็นกษัตริย์นักปกครองผู้ทรง ประสิทธิภาพ (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 2: 2553; 7-8) พระลกั ษณะนสิ ยั ของเจา้ ชายปรากรมพาหนุ นั้ ประสงคจ์ ะปกครอง เกาะลงั กาภายใตเ้ อกฉตั รมาแตย่ งั ทรงพระเยาว์ พระองคจ์ งึ ทรงวางแผน

มหาปรากรมพาหกุ ติกาวัตร 63 การเพอ่ื รวบรวมเกาะลงั กาให้เปน็ หนงึ่ เดียว เบอ้ื งตน้ ได้หลบหนจี ากเขต ทักขิณเทศะของพระปิตุลาไปสืบข่าวเขตราชระฏะของพระเจ้าคชพาหุ ครน้ั ตอ่ มาเจา้ ชายกติ ตสิ ริ เิ มฆะทรงพระประชวรและสนิ้ พระชนม์ พระนาง รตั นาวลผี เู้ ปน็ พระมารดาจงึ แจง้ ขา่ วใหพ้ ระองคเ์ ดนิ ทางกลบั มาปกครอง เขตทกั ขณิ เทศะสบื แทน คราวนน้ั แมจ้ ะพระองคป์ ระสงคจ์ ะรวบรวมเกาะ ลังกาเป็นหน่ึงเดียว แต่ส่ิงเร่งด่วนท่ีจะต้องท�าคือการสะสมสรรพก�าลัง จึงเป็นเหตุให้พระองค์สร้างอ่างเก็บน้�าและคลองส่งน้�าจ�านวนมาก เพ่ือ ใหเ้ ปน็ ประโยชนต์ อ่ การทา� เกษตรกรรมของอาณาประชาราษฎร์ พระองค์ ทรงมีพระราชดา� รอิ ันหนักแน่นวา่ “ตลอดอาณาจกั รแหง่ เรา พ้นื ทป่ี ลกู ขา้ วกล้าทุกแห่งจะเกบ็ เกี่ยวได้ตอ้ งอาศยั น�า้ เป็นส่วนใหญ่” และ “พื้นท่ี แห่งน้ีแม้½นตกเพียงเล็กน้อยอย่าปล่อยให้ไหลลงทะเลเสียเปล่าโดยไม่ เกิดประโยชน์ต่ออาณาประชาราษฎร์” และอีกแห่งหน่ึงว่า “ตลอด อาณาจักรแห่งเราอย่าปล่อยให้มีท่ีดินอันรกร้างว่างเปล่าโดยไม่ท�า ประโยชนอ์ นั ใด” (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 2: 2553; 46-50) คร้ันทรงพิจารณาเห็นว่าเขตทักขิณเทศะม่ังคั่งพร่ังพร้อมด้วย สรรพก�าลังอันเกรียงไกร และบริบูรณ์ด้วยเสบียงอาหารแล้ว เจ้าชาย ปรากรมพาหุจึงทรงมีพระราชด�ารัสว่า “บัดนี้ เราควรครอบครอง เอกเศวตรฉัตรบนเกาะลังกา ธ�ารงรกั ษาพระศาสนาใหถ้ ูกตอ้ งดงี าม ให้ ชาวลังกาเห็นชอบบัดเดëียวน้ีเถิด” (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 2: 2553; 50) พระองค์ไดท้ รงยาตราทพั เข้าตีเขตราชระฏะโดยเว้น การบุกรุกเขตโรหณะของเจ้าชายมานาภรณะ ผู้เป็นโอรสของเจ้าชาย ศรีวัลลภผู้ส้ินพระชนม์ก่อนน้ัน เหตุดังนั้นเพราะว่าเขตราชระฏะเป็น เมืองหลวงของเกาะลังกา หากยึดครองได้ก็เสมือนปกครองเกาะลังกา

64 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร ทงั้ หมด อกี ประการหนง่ึ พระเจา้ คชพาหแุ หง่ เขตราชระฏะอาจออ่ นแอกวา่ การบกุ รกุ ยดึ ครองนา่ จะงา่ ยกวา่ เขตโรหณระฏะของเจา้ ชายมานาภรณะ ครนั้ ทราบข่าวพหยุ าตราของเจ้าชายปรากรมพาหุ พระเจ้าคชพาหไุ ดส้ ง่ สาสนร์ อ้ งขอความชว่ ยเหลอื จากเจา้ ชายมานาภรณะแหง่ เขตโรหณระฏะ แต่การตัดสินพระทัยของเจ้าชายมานาภรณะนั้นช้านัก ด้วยเห็นความ พา่ ยแพใ้ กลถ้ งึ ตวั พระเจา้ คชพาหจุ งึ ทรงทา� สญั ญาสงบศกึ พรอ้ มแตง่ ตง้ั ให้เจ้าชายปรากรมพาหุด�ารงต�าแหน่งมหาอุปราชหรือรัชทายาทผู้จะ ครองราชย์สบื แทน เปน็ ทน่ี ่าสังเกตว่าการทา� สัญญาครั้งน้ีพระสงฆ์เปน็ ผู้ท�าหน้าท่ีสื่อกลางระหว่างกษัตริย์สอง½่าย (EZ. IV: 1994; 1-6) ลกั ษณะดงั กลา่ วดเู หมอื นวา่ เปน็ ธรรมเนยี มปฏบิ ตั ขิ องกษตั รยิ ล์ งั กา กรณี ท้ังสอง½่ายไม่สามารถตกลงกันได้ คณะสงฆ์มักเสนอตัวเข้ามาเป็น คนกลางชว่ ยไกลเ่ กลย่ี เหตเุ พราะพระสงฆเ์ ปน็ สญั ลกั ษณข์ องความเปน็ กลางและความสงบสุข คร้ันตอ่ มาพระเจา้ คชพาหุเสด็จสวรรคต เจา้ ชายมานาภรณะแหง่ เขตโรหณระฏไดย้ กทพั เขา้ ยดึ ครองเขตราชระฏะ โดยอา้ งความชอบธรรม ในฐานะพระองค์สืบเชื้อสายทางพระมารดาของพระเจ้าคชพาหุ แต่ พระองคท์ รงปกครองดว้ ยความโหดรา้ ยทารณุ กลา่ วคอื ยา�่ ยบี ฑี าอาณา ประชาราษฎร์จนล�าบากยากเข็ญแสนสาหัส จึงเปิดช่องให้เจ้าชาย ปรากรมพาหุถือโอกาสเข้าบุกรุกยึดครองเขตราชาระฏะ แล้วสถาปนา พระองคเ์ ปน็ กษตั รยิ เ์ หนอื เกาะลงั กา (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 2: 2553; 91-120) คัมภีร์มหาวงศ์พรรณนาบรรยากาศพิธี เฉลิมฉลองการครองราชย์ไว้ว่า “ขณะจัดพิธีมงคลเฉลิมพระมงกุฎนั้น กลองหลากหลายชนิดก็บันลือพร้อมกันด้วยเสียงอันกึกก้อง ดุจเสียง

มหาปรากรมพาหกุ ตกิ าวตั ร 65 คลน่ื ถูกลมพายุร้ายพัดกระหน�่า ตลาดราชวิถีตามริมทางเนอื งแน่นด้วย ½ูงช้างท่ีสวมเกราะทองค�าดุจก้อนเมฆสีฟ‡าแลบแปลบปลาบ เวลานั้น ท่ัวพระนครเป็นดุจคลื่นอันเกิดจากสีแห่งม้าเต็มล้นดุจสาครสมุทร ช่องว่างในอากาศโดยรอบประหน่ึงว่าถูกปกปิดด้วยฉัตรและระเบียบ ดอกไมอ้ ันวจิ ิตรตระการตาและธงทองเป็นทวิ แถว ธงโบกสะบดั การดดี นิว้ ดังสนนั่ ชาวพระนครพรอ้ มกันเปลง่ เสียงสรรเสรญิ พระองค์วา่ ทรง พระเจริญ ทรงพระเจริญ ทั่วพ้ืนธรณีมีการจัดมงคลพิธีเต็มไปด้วย ซุ้มกล้วย ดารดาษด้วยพวงแห่งบุปผชาติ” (พระมหานามเถระและ คณะบณั ฑติ ภาค 2: 2553; 118-119) นอกจากทรงเป็นกษัตริย์มหาราชของชาวลังกาท้ังมวลแล้ว พระกฤษดาภนิ หิ ารของพระองคย์ งั แผแ่ สนยานภุ าพออกไปนอกเกาะลงั กา ดว้ ย คราวหนึ่งพระเจา้ อลองสทิ ธุแหง่ อาณาจกั รพกุ ามไดย้ กเลกิ โบราณ ประเพณีอันดีงามระหว่างเกาะลังกากับพม่ารามัญ ด้วยการห้ามพ่อค้า พม่ารามญั ท�าการค้าขายช้างกับลังกาบ้าง ด้วยการทา� ร้ายราชทูตลงั กา แล้วริบทรัพย์สินเงินทองบ้าง และด้วยการใช้ก�าลังแย่งชิงและข่มเหง เจา้ หญงิ แหง่ ลงั กาทพี่ ระเจา้ ปรากรมพาหโุ ปรดใหส้ ง่ ไปมอบถวายกษตั รยิ ์ แห่งอาณาจักรกัมพูชาบ้าง กษัตริย์ลังกาทรงตอบโต้พระเจ้าอลองสิทธุ ผู้ด้ือรั้น ด้วยการส่งกองทัพเรือเข้าโจมตีเมืองพะสิมและเผาท�าลายจน สิน้ ซาก (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑิต เล่ม 2: 2553; 178-181) ครน้ั เสรจ็ สงครามครานนั้ พระองคโ์ ปรดใหพ้ ระราชทานทรพั ยส์ นิ เงนิ ทอง และทีด่ นิ แก่แม่ทัพนายกองทกุ รูปนาม (EZ. III: 1994; 312-325) ดา้ น อาณาจักรทมิฬทางอินเดียตอนใต้ เดิมเกาะลังกาต่างถูกชาวทมิฬ เหล่านี้เข้ารุกรานยึดครองหลายต่อหลายครั้ง แต่สมัยพระองค์กษัตริย์ ทมิฬได้ท�าสงครามแย่งชิงดินแดนกันและกัน พระองค์ในฐานะเป็น

66 ศรลี ังกากตกิ าวตั ร พระญาติวงศ์แห่งราชวงศ์ปัณฑยะจึงส่งกองทัพเจ้าช่วยเหลือไกล่เกล่ีย ชาวทมิฬให้สามัคคีปรองดองกัน (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 2: 2553; 184-186) ด้วยเหตุดังกล่าวเกาะลังกาสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุจึงเจริญ รุ่งเรืองมั่นคงทุกด้าน ท้ังทางการเมือง การศาสนา การค้าและการ เชื่อมสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ จนเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของ เกาะลังกา ชาวศรีลังกาท้ังมวลต่างสรรเสริญพระองค์ว่าเป็นมหาราช ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้สร้างความรุ่งเรืองให้แก่เกาะลังกา อีกทั้งสร้างชื่อเสียงให้ เป็นท่ีรู้จักแพร่หลายของชาววิเทศ (Amaradasa Liyanagamage: 1963; 91) คุณูปการอันย่ิงใหญ่มหาศาลของพระองค์พรรณนาไว้ใน คัมภีร์มหาวงศ์ถึง ๙ บท ซ่ึงถือว่ามีจ�านวนเน้ือหามากกว่ากษัตริย์ พระองค์อ่ืน ด้วยเหตุน้ัน ชาวลังกาทุกรูปนามจึงพร้อมใจกันยกย่อง พระองค์เป็นกษัตรยิ ์มหาราชหนง่ึ เดยี วของลังกา ๒.ó การณพ์ ระศาสนา ก่อนประสูติกาลของพระกุมารปรากรมพาหุสองทศวรรษ บ้าน เมืองตกอยู่ในสภาพแตกแยกแบ่ง½่าย เพราะราชวงศ์สิงหลต่างท�า สงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่กันเอง นอกจากจะยกพลเข้าห�้าห่ันเข่น ฆา่ กันเองจนเสียหายยอ่ ยยบั แลว้ เช้อื สายกษัตรยิ ์สิงหลบางพระองคย์ งั เข้าบุกรุกท�าลายศาสนสถานอันเป็นศูนย์รวมใจของชาวสิงหลด้วย คมั ภรี ม์ หาวงศพ์ รรณนาไวว้ า่ “พระเจา้ วกิ รมพาหทุ รงใหร้ อื้ ถอนโภคคาม อันเป็นของพระพุทธเจ้าแล้วมอบแก่เหล่าทหาร โปรดให้พระราชทาน วหิ ารอนั มพี ระบรมธาตเุ ปน็ หลกั กลางเมอื งโปโฬนนารวุ ะแกท่ หารตา่ งชาติ และรับส่ังให้ยึดแก้วมณีและมุกดาของผู้มีจิตศรัทธาถวายบูชาบาตรและ

มหาปรากรมพาหกุ ติกาวตั ร 67 พระเข้ียวแก้ว นอกจากนั้น ทรงให้น�าจันทน์กฤษณาการบูรและพระ พุทธปฏิมาทองค�าเป็นต้นไปใช้สอยตามอัธยาศัยจนหมดส้ิน” (พระมหา นามเถระและคณะบัณฑติ ภาค 1: 2553; 562-563) อีกท้งั คณะสงฆ์ เองก็แตกแยกแบ่ง½่ายเป็น ๓ นิกาย ได้แก่ ส�านักมหาวิหาร ส�านัก อภัยคิรีวิหาร และส�านักเชตวันวิหาร แต่ละส�านักต่างประพฤติตาม เลียนแบบบูรพาจารย์ท่ีเคยส่ังสอนมา ดังพรรณนาไว้ในคัมภีร์มหาวงศ์ ว่า “พระสงฆ์ต่างพากันแสดงค�าสอนนอกธรรมนอกวินัย เบื่อหน่าย การปฏิบัตธิ รรมตา่ งครองชีวติ ตามสมคั รใจแห่งตน” (พระมหานามเถระ และคณะบณั ฑิต ภาค 1: 2553; 51) ครั้นพระเจ้าปรากรมพาหุขึ้นเสวยราชย์แล้ว พระราชภารกิจ เร่งด่วนคือการปฏิรูปพระศาสนาช�าระพระอลัชชีผู้ประพฤติเยี่ยงหิริชน คราวนั้นโปรดแต่งต้ังให้พระมหากาศยปมหาเถระ “ผู้แกล้วกล้าทรงจ�า พระไตรปิฎกรอบรู้พระวินัย ผู้รุ่งโรจน์เป็นเอกในเถรวงศ์สมานสามัคคี มชี อื่ เสยี ง” พรอ้ มทงั้ มอบหมายพระญาณปาลเถระแหง่ เมอื งอนรุ าธปรุ ะ พระโมคคัลลานเถระ พระนาคินทปัลลิยเถระ และพระนันทเถระแห่ง เสลนั ตรายตนะผอู้ ยอู่ าศยั ในแควน้ โรหณะ ใหช้ ว่ ยเหลอื ชา� ระอธกิ รณส์ งฆ์ ฟื้นฟูการพระศาสนา (คัมภีร์มหาวงศ์ ภาค 2: 2553; 217-218) จุดมุ่งหมายของการปฏิรูปพระศาสนาครั้งนั้น นอกจากต้องการเห็น พฤติกรรมอันดีงามของพระสงฆ์ผู้ประพฤติตามธรรมวินัยแล้ว พระเจ้า ปรากรมพาหุยังปรารถนารวบรวมนิกายน้อยใหญ่ให้เป็นหน่ึงเดียว ภายใต้จารีตประเพณีของส�านักมหาวิหาร ดังปรากฏเห็นในคัมภีร์ มหาวงศ์ว่า “พระเจ้าปรากรมพาหุผู้ทรงมีพระปัญญา ทรงได้รับความ ล�าบากเป็นทวีคูณ ทรงสมาทานพระสงฆ์ท้ัง ๓ นิกายให้สามัคคีกัน ทรงท�าพระศาสนาของพระชินเจ้าให้เป็นดุจน�้ากับน�้านม เพ่ือให้บริสุทธิ์ ตราบจนส้ิน ๕,๐๐๐ ป”ี (คมั ภีรม์ หาวงศ์ ภาค 2: 2553; 123)

68 ศรลี ังกากตกิ าวตั ร คัมภีร์นิกายสังครหยะบรรยายวิธีการปฏิรูปคณะสงฆ์คร้ังนั้นว่า “พระเจา้ ปรากรมพาหไุ ดเ้ สดจ็ เขา้ ไปปรกึ ษาพระสงฆแ์ หง่ สา� นกั มหาวหิ าร ซ่ึงมีพระมหากาศยปเถระแห่งส�านักอุทุมพรคิรีเป็นต้นเป็นประธาน พระองคผ์ ศู้ รทั ธาตอ่ พระรตั นตรยั และกอปรดว้ ยคณุ ธรรมอนั มาก ดงั เชน่ ความมนั่ คง ความซือ่ สัตย์ เปน็ ตน้ ไดแ้ จง้ ความปรารถนาแหง่ พระองค์ แก่พระสงฆ์ทั้งปวงทราบ จากน้ันโปรดให้ส่งข่าวแก่พระนอกรีตหลาย ร้อยรูป ผู้ประพฤติผิดศีลผิดธรรม หมายถึงพระสงฆ์สามส�านัก ได้แก่ ธรรมรุจิ สาคลิกะ และไวตุลยะ เพราะความประพฤติของพระสงฆ์ เหล่านี้สร้างความเสียหายแก่พระศาสนา จึงรับสั่งให้พระสงฆ์เหล่าน้ัน รวมตวั กันในอาคารขนาดใหญ่ แล้วมอบใหค้ ณะสงฆ์สอบสวนตลอดคืน แล้วขับออกจากพระศาสนา ให้ท�าการช�าระพระศาสนาและให้ประสาน สามนกิ ายเปน็ หนง่ึ เดยี ว” (พระสงั ฆราชเทวรกั ษติ ะวชิ ยั พาหเุ ถระ: 2559; 72-73) กล่าวกันว่าการช�าระอธิกรณ์สงฆ์และรวมนิกายเป็นหน่ึงเดียว ครั้งน้ียิ่งใหญ่นักเสมือนยกขุนเขาสิเนรุ (พระมหานามเถระและคณะ บณั ฑติ ภาค 2: 2553; 218) และถือวา่ เปน็ เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่แหง่ ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา เพราะท�าให้สิ้นสุดความ แตกแยกและความบาดหมางทางนกิ าย ซึ่งรดั รึงผกู ติดภายในคณะสงฆ์ เปน็ เวลามากกว่าพนั ปี (Gunawardana: 1979; 314) คร้ันแล้วโปรดใหต้ รากตกิ าวัตรเพ่อื ชน้ี �าพระสงฆ์ใหป้ ระพฤติดงี าม (EZ. II: 1985; 273-283) นอกจากนน้ั พระเจ้าปรากรมพาหุยังเหน็ ความส�าคญั ของอาราม วิหารเพื่อให้เพียงพอต่อคณะสงฆ์ พระองค์จึงโปรดให้มีการสร้าง เสนาสนะอีกเป็นจ�านวนมาก ดังปรากฏในคัมภีร์มหาวงศ์ว่า “ทรงให้

มหาปรากรมพาหกุ ติกาวตั ร 69 สร้างมหาวิหารเชตวันเสมือนเชตวันมหาวิหารสมัยพุทธกาล โปรดให้ สร้างปราสาท ๓ ช้ัน ๘ หลัง แล้วมอบถวายพระเถระผู้ใหญ่แห่ง อายตนะท้ังแปด ถัดมาโปรดให้สร้างมหาปราสาทปูด้วยห้องพื้นทองค�า ถวายพระสารีบุตรมหาเถระ โปรดใหส้ ร้างปราสาทยาว ๘ ช้ัน ๙ หลัง เพ่ือเปน็ ที่อย่ขู องพระสงฆแ์ ห่งปิรเิ วณะ ๗๕ แหง่ จากนนั้ โปรดให้สร้าง โรงไฟ วจั กฎุ ี ศาลาแสดงธรรม และโปรดใหส้ รา้ งมหาพทั ธสมี า ๑๒ ชน้ั ประกอบดว้ ยหอ้ งเป็นจา� นวนมาก” (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑิต ภาค 2: 2553; 220-226) กล่าวเฉพาะพระเขี้ยวแก้วนั้นพระเจ้าปรากรมพาหุทรงมีพระราช ศรทั ธายงิ่ นกั เหน็ ไดจ้ ากขอ้ มลู ในคมั ภรี ม์ หาวงศว์ า่ “พระองคท์ รงสรงสนาน ทรงพระวสั ตราภรณ์ ทรงลบู ไลป้ ระดบั ตกแตง่ ดจุ ดวงจนั ทรแ์ วดลอ้ มดว้ ย หมู่ดาวในฤดใู บไมร้ ่วง พระผูม้ ีพระบญุ ญานภุ าพยง่ิ ใหญเ่ สดจ็ ไปต้อนรับ พระบรมธาตยุ งั สถานทป่ี ระมาณ ๑ โยชน์ ในการทอดพระเนตรครง้ั แรก นั่นเอง ทรงบูชาด้วยอาภรณ์วิจิตร รัตนะล�้าค่าเป็นต้นว่าแก้วมณี แก้วมุกดา ธูปต่างæ ประทีป ดอกไม้สวยงาม และเครื่องสุคนธชาติ จ�านวนมาก ทรงบูชาเสมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพ พระวีรเจ้าทรงแสดงความเอ้ือเฟื้ออย่างย่ิง ทรงหลั่งอัสสุชลแห่งความ ยินดีไม่ขาดสาย ความเลื่อมใสในพระทัยประหนึ่งว่าไหลล้นออกมา ข้างนอก ปลายพระโลมชาติลุกชูชันท�าให้ตลอดพระวรกายงดงาม พระทยั ของพระองคด์ ม่ื ดา�่ อยใู่ นหว้ งนา�้ ใหญค่ อื ปตี ิ ประหนง่ึ มพี ระวรกาย ราดรดด้วยสายน�้าทิพยรส พระธีรเจ้าผู้ประเสริฐทรงใช้พระเศียรทูน พระธาตเุ ขยี้ วแกว้ อนั ประเสรฐิ ไว้ ดจุ พระจนั ทธรใชพ้ ระเศยี รทนู พระจนั ทรเ์ สย้ี ว ฉะนน้ั ” (พระมหานามเถระและคณะบัณฑติ ภาค 2: 2553; 152-153)

70 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร นอกจากจะทรงมีพระราชศรัทธาส่วนพระองค์แล้ว การครอบครองสิ่ง ศักด์ิสิทธิ์ดังกล่าวยังถือว่าเป็นผู้มีสิทธิโดยชอบธรรมในการครองราชย์ เหนือเกาะลังกา (Dharmaratna Herath: 1994; 67-74) อีกสิ่งหน่ึงซ่ึงพระองค์ให้ความส�าคัญคือการศึกษาของคณะสงฆ์ สถาบันการศึกษาของคณะสงฆ์สมัยน้ันเรียกว่าอายตนะ ท่ีปรากฏ หลักฐานมีอยู่ ๘ แห่ง ได้แก่ ๑) คลตุรุมูละ (ภาษาบาลีเรียกว่า เสลันตรายตนะ-มูละ) ๒) อุตุรุมูละ (ภาษาบาลีเรียกว่าอุตตรมูละ) ๓) วิลคมั มูละ (ภาษาบาลเี รยี กว่าสโรคามะมูละ) ๔) มหาเนตปามูละ (ภาษาบาลเี รียกว่ามหเนตตปาสาทะมูละ) ๕) ปญั จปริ เิ วณมลู ะ (ภาษา บาลเี รียกวา่ ปสั มหมูละ) ๖) กปาลมลู ะ (ภาษาบาลเี รยี กวา่ กปั ปุรมลู ะ) ๗) เสนาปติมลู ะ (ภาษาบาลเี รยี กว่าเสนาปติมลู ะ) และ ๘) วหดมุ ลู ะ (ภาษาบาลีเรียกว่าวาหทีปกะ) (Adikari: 2006; 73-91) ผู้ท�าหน้าที่ บริหารอายตนะเรียกวา่ เจา้ ส�านกั มีอา� นาจหนา้ ทเ่ี ปน็ รองเพียงพระมหา สามแี ละพระมหาสถวรี ะเทา่ นน้ั หลกั ฐานระบวุ า่ พระเถระผดู้ า� รงตา� แหนง่ เจ้าส�านักแห่งอายตนะท้ังแปดต้องได้รับการแต่งตั้งจากพระสงฆ์ผู้น�า (นายกแตนะ) โดยผ่านการยอมรับจากคณะสงฆ์และพระมหากษัตริย์ ก่อน ความทรงอิทธิพลของเจ้าส�านักแห่งอายตนะนั้น สังเกตได้จาก สามารถพิจารณาคัดเลือกผู้ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ได้ (Yatadolawatte Dhammavisuddhi: 2559; 58) เป็นท่ีน่าสังเกตว่าอายตนะเหล่าน้ัน ล้วนเป็นผลผลิตของนิกายท้ังสาม และเกิดขึ้นนับเน่ืองมาแต่สมัย อาณาจักรอนุราธปุระ บางส�านักเจริญรุ่งเรืองสืบเนื่องมาถึงสมัยนี้ สว่ นบางส�านกั ถดถอยเหลือจ�านวนนักศกึ ษาจา� นวนน้อย

มหาปรากรมพาหุกตกิ าวัตร 71 ส่วนเหตุท่ีอายตนะโดดเด่นขึ้นสมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะน้ัน สนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะเปน็ ราโชบายหนนุ ศาสนาเปน็ แน่ เพราะอายตนะเปน็ องคาพยพส�าคัญในการเรียนการสอนของแต่ละนิกาย สามารถสร้าง พระสงฆ์นกั ปราชญ์เปน็ จ�านวนมาก และพระสงฆ์เหลา่ นน้ี า่ จะมบี ทบาท ในการบรหิ ารนกิ ายแห่งตน ตลอดทง้ั ทรงอทิ ธิพลต่อสงั คม เนอื่ งจากว่า เปน็ อาจารยส์ อนสง่ั ศษิ ยฆ์ ราวาสเปน็ จา� นวนมาก การทพี่ ระเจา้ ปรากรม พาหุมหาราชปฏิรูปพระศาสนาด้วยการรวมนิกายสงฆ์ให้เป็นหน่ึงเดียว หาได้เพียงพอไม่ การสนับสนุนให้อายตนะมีความเข้มแข็งจึงเป็นเร่ือง สา� คญั ไมแ่ พก้ นั และเปน็ เหตใุ หพ้ ระองคส์ รา้ งอาคารทพี่ กั สา� หรบั พระสงฆ์ ระดบั เจา้ สา� นกั อายตนะภายในวดั เชตวนั วหิ ารกลางเมอื งหลวงโปโฬนนารวุ ะ เพอ่ื ใหเ้ ปน็ ศนู ยก์ ลางการบรหิ ารคณะสงฆ์ อกี ทง้ั ใหม้ กี ารปฏริ ปู หลกั สตู ร การเรียนการสอนให้ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น ราชูปถัมภ์อย่างเต็มท่ี คร้ังน้ีท�าให้ความเห็นต่างเร่ืองนิกายหายไป กลายเป็นความโดดเด่น ด้านผลิตต�าราทางพระพทุ ธศาสนาเขา้ มาแทนที่ ๒.ô สาเหตุการตรากติกาวัตร ข้อความบางแหง่ ในแทน่ ศิลาจารึกของพระเจา้ ปรากรมพาหทุ ่ี ๑ บรรยายวา่ พระองคท์ รงทอดพระเนตรเหน็ กลุ บตุ รลงั กาผทู้ รงผา้ กาสาวพตั ร์ พากันประพฤตเิ สยี หาย ท�าใหพ้ ระศาสนาด่างพรอ้ ยเสอ่ื มโทรม ไมย่ ินดี รักษาพระธรรมวินัย ต่างพากันประพฤติผิดด้วยความเขลา ชื่อว่าเป็น ความทุกข์น�าไปสู่อบายภูมิ ด้วยเหตุน้ันจึงทรงตัดสินพระทัยแน่วแน่ว่า “หากพระเจา้ จกั รพรรดเิ ฉกเชน่ เราทนเหน็ ความเสอื่ มแหง่ พระศาสนาอนั มัวหมองด้วยมลทินเช่นนี้ เห็นทีพระศาสนาจะเส่ือมสูญเป็นแน่ สัตว์

72 ศรลี ังกากตกิ าวตั ร ทั้งหลายจะพากันบังเกิดในอบายภูมิหมดส้ิน เห็นสมควรตัวเราจ�าต้อง พทิ กั ษ์รกั ษาพระศาสนาของพระศาสดาเจ้า เพ่อื ให้มีพรรษายกุ าลมัน่ คง ยาวนานจนถึง ๕,๐๐๐ ปี” คัมภีร์นิกายสังครหยะระบุว่าพระสงฆ์ นอกรีตเหล่าน้ันคือธรรมรุจินิกาย สาคลิกนิกายและไวตุลยนิกาย ซ่ึงประพฤติตามคติความเชื่อของมหายานมาแต่คร้ังบูรพกษัตริย์ (พระสงั ฆราชเทวรักษติ ะวิชัยพาหเุ ถระ: 2559; 72) สนั นษิ ฐานว่านอก จากพระสงฆ์นอกรีตกลุ่มน้ีแล้ว น่าจะมีอีกหลายกลุ่มแยกย่อยเป็น กลุ่มเล็กกลุ่มน้อย เพราะธรรมเนียมของพระสงฆ์ผู้½ักใ½่มหายานนั้น มักเปน็ อสิ ระทางความคิดและการปฏิบัติ คตคิ วามเชอื่ นา่ จะเป็นรปู แบบ เดียวกัน แต่รายละเอยี ดของพิธกี รรมน่าจะมีการแยกยอ่ ยออกไป หากวิเคราะห์ให้ละเอียดลึกซึ้งน่าจะมีประเด็นทางการเมืองผสม แทรกเขา้ มาดว้ ย เพราะนบั แตอ่ ดตี กาลมาการปฏริ ปู ฟน้ื ฟพู ระศาสนาเปน็ พระราชธรุ ะสา� คญั อยา่ งหนง่ึ ของสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ หากพจิ ารณา ตามความเป็นจริงสถาบันสงฆ์เป็นองค์กรขับเคลื่อนการศึกษาของ บ้านเมือง และเป็นองคาพยพส�าคัญของอาณาจักรในการส่ังสอน ชาวบา้ นใหอ้ ยรู่ ว่ มกันอยา่ งเปน็ ปกตสิ ขุ ประเดน็ ชวนคดิ คอื พระสงฆเ์ ปน็ ตัวแทนของการใช้พระคุณ ขณะที่กษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ของพระเดช การจะใช้พระราชอ�านาจส่ังการอาณาประชาราษฎร์โดยตรงมักเป็นผล เสียมากกว่าผลดี ด้วยเหตุน้ัน กษัตริย์จึงใช้พระราชอ�านาจผ่านทาง คณะสงฆ์ น้คี ือพระราโชบายอย่างหนึ่งในการปกครองสมัยนั้น หลักฐานจากคัมภีร์มหาวงศร์ ะบวุ า่ พระเจา้ ปรากรมพาหนุ นั้ ทรง ทอดพระเนตรเห็นความวุ่นวายภายในคณะสงฆ์ต้ังแต่ทรงพระเยาว์วัย แลว้ ทรงตงั้ ความปรารถนาวา่ หากรวบรวมเกาะลงั กาเปน็ หนงึ่ เดยี วแลว้

มหาปรากรมพาหกุ ติกาวตั ร 73 จะทรงอปุ ถัมภ์คมุ้ ชพู ระศาสนาใหร้ ่งุ เรืองถาวร เพราะทรงพิจารณาเหน็ ว่า “เกาะลังกาแห่งน้ีแม้จะสมมติว่าศักด์ิสิทธิ์ เพราะเป็นที่ประดิษฐาน พระเกสธาตุ พระบรมสารรี กิ ธาตุ พระรากขวญั และพระศอ พระเขยี้ วแกว้ บาตรธาตุ เจดีย์คือรอยพระพุทธบาทของพระศาสดาเจ้า และต้นพระ ศรีมหาโพธ์ิ อีกท้ังพระสัทธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และเปน็ แหลง่ กา� เนดิ อัญมณอี นั ล�้าค่ามีแกว้ มณแี ละไขม่ กุ เปน็ ตน้ จา� นวนมากมายตลอดกาลเปน็ นติ ย”์ (พระมหานาม เถระและคณะบัณฑิต ภาค 2: 2553; 10) หากวิเคราะห์หลักฐาน ดังกล่าวจะเห็นว่าเกาะลังกาเป็นดินแดนเต็มไปด้วยศาสนสถานอัน ศกั ดิส์ ทิ ธิ์ แตพ่ ระสงฆก์ ลับพากนั ประพฤติเสยี หาย การจะรกั ษาสถานที่ ศักด์ิสิทธิ์และพระธรรมค�าสอนเหล่าน้ันไว้ต้องปฏิรูปคณะสงฆ์เสียก่อน “เพอื่ ใหพ้ ระศาสนาของพระศาสดาเจา้ สามารถดา� รงคงอยอู่ ยา่ งไรม้ ลทนิ ถึง ๕,๐๐๐ ปี” ผู้เขียนเช่ือว่าพระสงฆ์ผู้กระตุ้นพระเจ้าปรากรมพาหุให้ช�าระ พระศาสนาและตรากติกาวัตร เพื่อควบคุมความประพฤติพระสงฆ์คือ สา� นกั ทมิ บลุ าคละ (ภาษาไทยเรยี กวา่ อทุ มุ พรคริ )ี แมไ้ มม่ หี ลกั ฐานยนื ยนั ชัดเจน แต่การที่พระองค์มอบหมายให้พระสงฆ์ส�านักแห่งนี้เป็นผู้น�าใน การปฏิรูปพระศาสนา ย่อมสามารถช้ีชัดได้ว่าทรงมีพระราชศรัทธา พระสงฆ์ส�านักแห่งนี้เป็นการเฉพาะ เพราะทรงเชื่อว่าพระสงฆ์ส�านัก แห่งนี้รักษาสืบต่อประเพณีแห่งส�านักมหาวิหารมาแต่บูรพกษัตริย์ สอดคล้องกับข้อความบางแห่งในแท่นศิลาจารึกว่า “พระสงฆ์ส�านัก ทมิ บลุ าคละเป็นผูม้ เี ครือ่ งประดบั คือคุณธรรม ส�ารวมกายวาจาและงาม พรอ้ มด้วยศลี าจารวัตร เปน็ ผ½ู้ ƒก½นแล้ว มีคณุ ธรรมอนั รักษาหล่อเลย้ี ง ไวด้ ีแลว้ และไรเ้ สียซึง่ ค�าตา� หนติ ิเตียน” (EZ. II: 1985; 274)

74 ศรลี ังกากตกิ าวตั ร รูปสลักพระเจาปรากรมพาหุมหาราช ดานหนา ปรากรมสมทุ ร ใกลโ ปตคุลเวเหระ ไวชยันต์ปราสาทหรือพระราชวังของพระเจาปรากรมพาหุ ภายในเมืองหลวงเกา โปโฬนนารวุ ะ (คดั ลอกจาก www.google.co.th/maps)

มหาปรากรมพาหุกติกาวัตร 75 วฏทาเคหรือวิหารทรงกลมภายในวัดพระเขี้ยวแกว เมืองหลวงเกาโปโฬนนารุวะ (คดั ลอกจาก www.google.co.th/maps) รูปปนพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ภายในวัดพระเข้ียวแกว เมืองหลวงเกาโปโฬนนารุวะ (คดั ลอกจาก www.google.co.th/maps)

76 ศรลี ังกากตกิ าวัตร ตสิ สมหารามเจดยี ์ เมืองตสิ สมหารามะ ของแควนศูนยก์ ลางโรหณระฏะสมัยอดีต รางศิลาลางเทากอ นเขาศาสนสถาน ตสิ สมหารามราชมหาวหิ าร เมืองตสิ สมหารามะ

มหาปรากรมพาหกุ ตกิ าวัตร 77 สิตุลเพาวะหรือจิตตบรรพต วัดปาอรัญวาสีแหงแควนโรหณระฏะ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps) เสนาสนะบริเวณสิตุลเพาวะ แควน รโหณระฏะสมยั อดตี

78 ศรีลังกากตกิ าวัตร สิตุลเพาวะหรือศูนย์กลางวัดปาอรัญวาสีแหงแควนโรหณระฏะสมัยอดีต (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps)

มหาปรากรมพาหกุ ตกิ าวตั ร 79 ๒.õ มหาปรากรมพาหกุ ติกาวัตร (แปล) พระบรมศาสดาของชาวเราทง้ั หลายไดบ้ า� เพญ็ พระบารมคี รบถว้ น ๓๐ ประการ ตลอดสี่อสงไขยและหนึ่งแสนกัป ได้เสด็จขึ้นประทับใต้ ต้นโพธิ์ซึ่งเป็นสถานผจญกับพญามาร ทรงช�านะมารผู้ร้ายกาจพร้อม บริวารส้ินแล้ว ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตลอดพระชนม์ชีพ ๔๕ พรรษา พระพุทธองค์ทรงปรากฏเสมือนมหาเมฆาเหนือทวีปทั้งส่ี ทรงหลั่งธรรมธาราดั่งน้�าอมฤตช่วยระงับดับเย็นแก่ปวงสรรพสัตว์ ผู้เร่าร้อนด้วยไฟแห่งกิเลสตัณหาหลายแสนโกฏิกัปอันนับค�านวณมิได้ พระองค์ไดเ้ สดจ็ ดบั ขันธปรนิ พิ พานภายใต้ตน้ สาละ ณ พระราชอทุ ยาน ของมัลลกษัตรยิ แ์ หง่ เมืองกสุ ินารา ครน้ั พุทธปรนิ พิ พานลว่ งแล้ว ๔๕๔ พรรษา พระเจา้ วฏั ฏคามิณี ได้เสวยมไหศวรรย์เหนือเกาะลังกา ครั้นล่วงเข้า ๑,๒๕๔ พรรษา ภายหลังพุทธปรินิพพาน คณะสงฆ์บนเกาะลังกาได้แตกแยกเป็นนิกาย น้อยใหญ่เป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาทรุดโทรมเสื่อมถอย สมัยนี้แล กษัตริย์มหาราชผู้เสวยมไหศวรรย์พระนามว่าศรีสังฆโพธิปรากรมพาหุ (Y%Six>fndê-mrdl%undyq) ผู้สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้ามหาสัมมตะ พระองค์ผู้ทรงประสูติจากราชวงศ์สุริยโคตร ทรงเป็นราชาธิราชอุดม ดว้ ยเดชานภุ าพแผไ่ พศาลทว่ั สารทศิ ทรงไดร้ บั พธิ มี ธรุ าภเิ ษกเปน็ กษตั รยิ ์ ผูย้ ิง่ ใหญ่เหนือเกาะลงั กา และทรงเสพเสวยความเปน็ ราชาธปิ ตั ย์พร้อม บ�าเพ็ญบุญบารมี คราวน้ันแลพระองค์ทอดพระเนตรเห็นกุลบุตรลังกาผู้ทรงผ้า กาสาวพตั รพ์ ากนั ประพฤตเิ สยี หาย ทา� ใหพ้ ระศาสนาดา่ งพรอ้ ยเสอ่ื มโทรม

80 ศรีลังกากตกิ าวตั ร ไม่ยินดีรักษาพระธรรมวินัย ต่างพากันประพฤติผิดด้วยความเขลา ชอ่ื วา่ เปน็ ความทกุ ขน์ า� ไปสอู่ บายภมู ิ ครน้ั แลว้ ทรงรา� พงึ วา่ “หากพระเจา้ จกั รพรรดเิ ฉกเชน่ เราทนเหน็ ความเสอื่ มแหง่ พระศาสนาอนั มวั หมองดว้ ย มลทนิ เชน่ นี้ เหน็ ทพี ระศาสนาจะเสอ่ื มสญู เปน็ แน่ สตั วท์ งั้ หลายจะพากนั บังเกิดในอบายภูมิหมดส้ิน เห็นสมควรตัวเราจ�าต้องพิทักษ์รักษา พระศาสนาของพระศาสดาเจา้ เพอื่ ใหม้ พี รรษายกุ าลมนั่ คงยาวนานจนถงึ ๕,๐๐๐ ป”ี ด้วยพระราชหฤทัยที่เปี›ยมด้วยพระเมตตาและกอปรด้วยพระ ปัญญา พระองคท์ รงรา� พึงว่า “ใครหนอจะช่วยเปน็ ธุระฟนื้ ฟูพระศาสนา ที่เส่ือมโทรมเสียหาย เพ่ือให้พระศาสนาของพระชินสีห์ไร้มลทินและ ดา� รงคงม่ันถงึ ๕,๐๐๐ ปี” ครน้ั แลว้ โปรดใหป้ ระชุมหมู่สงฆ์แหง่ ส�านัก มหาวหิ าร ผอู้ ยอู่ าศยั ทอ่ี ทุ มุ พรคริ วี หิ าร (Woïnr.rs )s ซงึ่ มพี ระมหากาศยป มหาสถวีระเป็นประธาน (uydldYHm uydiA:ùr) พระสงฆ์เหล่านั้น ลว้ นตกแต่งด้วยเคร่ืองประดับแหง่ อัญมณกี ลา่ วคอื คณุ ธรรมคู่โลก เปน็ ผสู้ า� รวมกายวาจาและงามพรอ้ มดว้ ยศลี าจารวตั รอนั รกั ษาคมุ้ ครองดแี ลว้ เป็นผู้มีการ½ƒก½นและหล่อเล้ียงสั่งสมด้วยคุณลักษณะอันดีงาม ไร้เสีย ซง่ึ ขอ้ ต�าหนิติเตียน คร้ันแล้วพระองค์โปรดให้พระสงฆ์เหล่านั้นขับไล่พวกภิกษุอลัชชี หลายร้อยรูปออกจากพระศาสนาของพระศาสดาเจ้า เสมือนพระเจ้า ธรรมาโศกมหาราชทรงก�าจัดพระสงฆ์อลัชชี ด้วยการข่มข่ีพระสงฆ์ นอกรตี แลว้ ชา� ระพระศาสนาอนั เปอ้ื นมลทนิ ดว้ ยการสงั คายนาครงั้ ท่ี ๓ โดยความช่วยเหลือของพระโมคคัลลีบุตรติสสมหาสถวีระ ผู้ด�ารงตน เสมือนพระพทุ ธเจา้

มหาปรากรมพาหุกติกาวัตร 81 พระเจ้าปรากรมพาหุน้ันได้แนะน�าคณะสงฆ์สามนิกายให้รวมกัน เป็นหนึ่งเดียว ทรงสร้างความปรองดองให้เกิดข้ึนกับคณะสงฆ์โดย บ�าเพ็ญวิริยบารมีอย่างแรงกล้า ซึ่งไม่เคยปรากฏเห็นสมัยบูรพกษัตริย์ เล่าลือกันว่าสมัยนั้นพระอรหันต์ผู้ประกอบด้วยอริยคุณกล่าวคือ ฉฬภิญญายังด�ารงคงอยู่ คร้ันแล้วพระองค์โปรดให้สร้างวิหารอัน สวยงามจ�านวนมากดังเช่นเชตวันมหาวหิ าร และอารามวิหารอีกหลาย แห่งตลอดเกาะลังกา แล้วน้อมถวายให้เป็นที่พ�านักของพระสงฆ์ หลายพันรูป นอกจากน้นั โปรดใหพ้ ระสงฆส์ งเคราะห์ชาวบ้านดว้ ยการ แสดงธรรมเทศนาว่าด้วยปญั ญากถาและทานกถาเป็นอาทิ พระองค์ทรงปรารถนาให้พสกนิกรมีความสุขและเคารพพระสงฆ์ จงึ ประกาศเชญิ ชวนใหช้ าวสงิ หลพากนั รกั ษาศลี อโุ บสถเปน็ นจิ พระองค์ เองขณะเสด็จเข้าวิหารมักทรงประทับนั่งท่ามกลางหมู่สงฆ์ ครั้นเห็น ชาวบา้ นศรทั ธาเลอื่ มใสคณะสงฆด์ แี ลว้ จงึ ตรสั วา่ “ในอนาคตกาลภายหนา้ คณะสงฆค์ วรมุ่งมั่นตง้ั ใจศกึ ษาคันถธรุ ะและวิปสั สนาธุระ ควรดา� รงเพศ ดว้ ยสมณธรรมดงั เชน่ ความสนั โดษ การรวมคณะสงฆเ์ ปน็ หนง่ึ เดยี วยอ่ ม เป็นเหตใุ หพ้ ระศาสนาสามารถดา� รงคงอย่อู ย่างไร้มลทนิ ถึง ๕,๐๐๐ ปี ขอให้พระคุณเจ้าช่วยกันคุ้มครองรักษาพระศาสนาด้วยการแนะน�า สงั่ สอนเถดิ ” ครัน้ รับค�าอาราธนาจากพระเจา้ แผ่นดนิ ผมู้ ีกริ ิยานอบนอ้ ม แล้ว พระเถระผู้ใหญ่มีพระมหากาศยปะมหาสถวีระเป็นประธาน ได้ พร้อมใจกันตรากติกาวัตรข้ึน เพื่อป‡องกันมิให้ประเพณีการสืบสายจาก พระอุปัช¬าย์คลาดเคล่ือนเล่ือนหาย จากน้ันได้ชักชวนกันสังคายนา พระธรรมวินยั เพือ่ ป‡องกันผปู้ ระพฤตเิ สยี หาย และเพื่อเป็นการปดิ ทาง ผลู้ ะเมิดพระธรรมค�าสอนขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสัมพุทธเจ้า

82 ศรีลังกากตกิ าวัตร เนือ้ ความแหง่ กตกิ าวัตร ดงั ต่อไปน:ี้ พระเถระผเู้ ป็นหัวหน้าของหมูค่ ณะควรตรวจสอบดูแลอันเตวาสกิ และสัทธิวิหาริกอย่างเข้มงวด ซ่ึงพากันเปล่งค�าขอนิสัยและขอค�าช้ีแนะ จากตน หรอื แม้แต่ผู้พ้นจากนสิ ัยแล้วก็ตาม อันเตวาสิกและสัทธิวิหาริก ควรสาธยายขุททกสิกขาและพระปาฏิโมกข์แห่งคัมภีร์พระวินัยปิฎก และควรท่องจ�าทสธัมมสูตรและอนุมานสูตรแห่งคัมภีร์พระสุตตันตปิฎก พระเถระผเู้ ปน็ หวั หนา้ ของหมคู่ ณะควรสงั่ สอนกรยิ ามารยาทแกอ่ นั เตวา สิกและสทั ธิวหิ ารกิ ดังเช่นการยนิ ดีอยไู่ ดก้ บั หมคู่ ณะ พระภิกษุรูปใดปรารถนาศึกษาวิปัสสนาธุระควรปลีกตัวอยู่ผู้เดียว ควร½กƒ ½นศลี าจารวตั รใหส้ มบรู ณ์ ควรมพี ฤตกิ รรมงดงามตลอดกาลสาม โดยไร้ความมัวหมอง ควรมีจิตจดจ่อเฉพาะอารมณ์พระกรรมฐาน ดงั เช่นความไมเ่ ที่ยงแท้แห่งกายตน ควรลงมือนัง่ สมาธปิ ฏบิ ตั กิ รรมฐาน สองหรอื สามครงั้ ตอ่ วนั หรอื ควรปลกี ตนอยคู่ นเดยี วโดยไมม่ ผี ใู้ ดรบกวน พระภกิ ษคุ วรวางตวั ใหเ้ หมาะสม ควรประพฤตติ วั อยา่ งเครง่ ครดั ดว้ ยการ ส�ารวมกริยามารยาท เพอื่ ประโยชน์ตนและผู้อื่น หากอนั เตวาสกิ และสทั ธวิ หิ ารกิ รปู ใดไมเ่ ชยี่ วชาญชา� นาญสว่ นอนั เลิศของคันถธุระ ควรท่องจ�าคัมภีร์มูลสิกขา (uQ,AisL) คัมภีร์เสขิยา (fiÅhd) และคัมภีร์สิขวฬัณฑวินิสะ (isLj<|úksi) ควรทบทวน และพิจารณาบางสว่ นของคมั ภีรซ์ ้า� แลว้ ซ้า� อกี ใหถ้ กู ต้อง นับจากเร่ิมตน้ จนถงึ ปลายสดุ เพอื่ ทา� การสอบทานทกุ หกเดอื น ควรทอ่ งจา� ทสธมั มสตู ร และท�าหน้าที่ให้สมบูรณ์ด้วยการปลีกตัวอยู่โดดเดี่ยว คร้ันทรงจ�าคัมภีร์ ตามความสามารถแหง่ ตนแลว้ ควรศกึ ษาวธิ กี ารแหง่ กรรมฐานตามจรติ

มหาปรากรมพาหกุ ตกิ าวัตร 83 แหง่ ตน จากนนั้ ลงมอื ปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนาธรุ ะอยา่ งจรงิ จงั สา� หรบั เพลากลาง วันน้นั ควรศกึ ษาพระสตู รน้อยใหญ่ตามนัยแหง่ หมวดส่ี ส�าหรับสามเณรนั้นควรท่องจ�าคัมภีร์เหรณสิขะ (fyrKisL) คมั ภรี เ์ สขยิ า (fiÅhd) และทสธมั มสูตร จากน้นั สาธยายใหค้ ลอ่ งปาก จนขึ้นใจ และควรหาเวลาปลกี ตัวอยูค่ นเดยี วเพื่อรักษาศลี ให้บรบิ รู ณ์ อุปัช¬าย์และอาจารย์ไม่ควรอนุญาตให้พระภิกษุเข้าบ้านในเวลา อันไม่เหมาะสมหรือเพื่อกิจอ่ืนใด ยกเว้นออกรับบิณฑบาตเพื่อน�ามา เล้ียงดูบิดามารดาผู้ไร้ท่ีพึ่ง เช่นเดียวกันกับสาวเท้ือหญิงม่ายพ่ีสาวและ น้องสาว นอกจากนั้นมีข้อยกเว้นส�าหรับภิกษุอนุจรและคนใช้ หรือ การเดินทางไปปรุงยาแก่ผู้กล่าวถึงเบื้องต้น ซึ่งเจ็บป่วยหรือร้องขอ ปัญจเภสัช และยกเว้นแก่ภิกษุอนุจรหรือการเดินทางไปสวดพระปริตร ตามคา� นมิ นต์ของอุบาสกอุบาสิกา การอนญุ าตให้พระภกิ ษเุ ข้าบ้านเพ่ือ ปรุงยาแก่คนป่วยดังกล่าวแล้วเบื้องต้นนั้น หากพระภิกษุรูปน้ันไม่รู้ พระวินัย พระอุปัช¬าย์ผู้อนุญาตต้องอาบัติทุกกฎ กรณีพระภิกษุไม่รู้ พระวินัยหากได้รับอนุญาตควรมีภิกษุทรงปราชญ์ติดตามไปด้วย หรือ อย่างน้อยควรเป็นภิกษุผู้รู้อุโบสถกรรมและปวารณากรรม และภิกษุ ผสู้ ามารถวนิ จิ ฉยั ไดว้ า่ ผดิ หรือถกู ติดตามไปด้วย หากพระภิกษุผู้มาจากคณะสงฆ์กลุ่มอ่ืนปรารถนาจะพักอาศัยกับ อีกคณะหน่ึงไม่ควรรีบแจกเสนาสนะ แต่ควรขอค�าแนะน�าจากพระเถระ ผู้เป็นหัวหนา้ แห่งคณะหรือถามไถถ่ งึ พระสงฆ์ผูส้ ่งมาเสียก่อน ความจริงพระเถระช้ันสถวีระ สามเณรและพระสงฆ์มัช¬ิมะ ท้ังหมด ควรหาท่ีพักแรมตอนราตรีด้วยการด�ารงสติพิจารณากายตน

84 ศรีลงั กากตกิ าวัตร ควรตนื่ นอนตอนรงุ่ เชา้ แล้วเดินจงกรมบรหิ ารกาย ควรห่มจีวรคลุมกาย ใหเ้ ปน็ ปรมิ ณฑลและทา� ภารกจิ สว่ นตนใหแ้ ลว้ เสรจ็ ดว้ ยการสฟี นั จากนนั้ ควรตั้งใจท�าหน้าที่ดังปรากฏในคัมภีร์ขันธกะ ดังเช่น ท�าความสะอาด เจดีย์ บริเวณรอบต้นโพธ์ิ และบริเวณรอบวัด ประพฤติอาจาริยวัตร และเถรวตั ร ดแู ลพระสงฆอ์ าพาธและเกบ็ งา� เสนาสนะทพ่ี กั หากตอ้ งการ เข้าไปยังโรงฉนั เพ่ือรบั ขา้ วต้ม ควรประพฤตวิ ัตรโรงฉนั ให้เรยี บรอ้ ยเสยี ก่อน ควรเวน้ ของท่คี วรเว้น และประพฤตวิ ัตรเหลา่ อ่ืน ดังเชน่ ศกึ ษา คมั ภรี แ์ ละตา� รา ร้จู ักการเย็บจวี ร การย้อมจวี ร การแจกจ่ายส่งิ จา� เปน็ สา� หรบั พระสงฆ์ หรอื ประพฤตวิ ตั รเหลา่ อน่ื พระภกิ ษคุ วร½กƒ ½นกรรมฐาน ตามกาลเวลาอันสมควร ควรสนใจคันถธุระและ½ƒก½นวิปัสสนาธุระ หลังจากท�าภัตกิจกลางวันเสร็จแล้ว ไม่ควรคลุกคลีกับคฤหัสถ์หรือ หมู่คณะจนเวลาลว่ งเลย “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธุระมีสองอย่าง หน่ึงน้ันสมควรรักษา ท่ามกลางสมาคมแห่งสงฆ์ กล่าวคือการสนทนาธรรมหรืออาการดุษฎี อยา่ งนกั ปราชญ์” ขณะประชุมกันเพื่อสวดพระปริตร ภิกษุไม่ควรพูดค�าเพ้อเจ้อ ไม่ ควรคดิ ฟง‡ุ ซา่ นเรอื่ งกามคณุ และสนทนาเรอ่ื งภายนอก ยกเวน้ การสนทนา ธรรมและเรอื่ งกรรมฐาน เพราะสงิ่ เหลา่ นเี้ ปน็ สาเหตใุ หภ้ กิ ษพุ ลาดโอกาส จากความประพฤตอิ นั ชอบ ยามแรกแหง่ รตั ตกิ าลควรปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนาธรุ ะ และท�าตนให้ว่างเปล่า ดังเช่นเว้นการเทศนาธรรม สาเหตุให้เกิดการ เทศนาธรรม การฟังธรรม การท่องจ�าและการสนทนาธรรม คร้ันล่วง เขา้ ส่ยู ามมัช¬ิมาภกิ ษคุ วรหลับอย่างมีสตแิ ละพิจารณากายตน

มหาปรากรมพาหกุ ติกาวัตร 85 ส�าหรับพระภิกษุผู้เดินทางไกลด้วยธุระบางอย่าง ซ่ึงยืนเจรจา ภายนอกบรเิ วณวดั ควรถอื เอาเสนาสนะอนั เหมาะสม เชน่ กฏุ ดิ นิ เหนยี ว วหิ าร เปน็ ตน้ ภกิ ษคุ วรเวน้ หา่ งจากการสนทนาตลอดเวลา ไมว่ า่ จะเปน็ เร่ืองโกรธเคืองหรือการพูดจาตลกคะนอง ภิกษุไม่ควรสนทนาความลับ กับสตรี ไม่ว่าจะเป็นสตรีคนเดียว หรือสตรีนั้นเป็นมารดาของตน รวมท้ังเดก็ หนุม่ ไมว่ า่ จะเป็นน้องชายของตนก็ตาม ภิกษุไมค่ วรตา� หนิดดุ า่ คนใช้โดยมไิ ดแ้ จง้ แก่พระเถระก่อน แม้พัสดุ สิ่งของจะเป็นของตนเอง พระภิกษุไม่ควรมอบให้แก่รูปอื่นยกเว้นได้รับ การอนุญาตจากพระเถระก่อน ส�าหรับพระภิกษุผู้เดินทางได้น�าบริขาร ของพระเถระตดิ ตวั ไปดว้ ย หากบรขิ ารเหลา่ นน้ั เสยี หายเพราะ½นควรเดนิ ทางอย่างเรง่ รีบ ควรหาทพ่ี �านกั ขณะ½นตกหนัก หรอื มฉิ ะนน้ั ก็ควรเดิน ทางดว้ ยความเร็ว “ภิกษุไมค่ วรหวั เราะเสียงดังตามความพอใจแหง่ ตนขณะเดนิ หรอื ขณะนงั่ หากยนิ ดกี ค็ วรแสดงอาการยมิ้ แตเ่ พยี งนอ้ ย” แมม้ เี หตใุ หห้ วั เราะ กไ็ มค่ วรเสยี งดัง ควรปิดปากดว้ ยอาการสา� รวม การวิวาทกันเร่ืองวินัยซึ่งสามารถระงับได้ภายในอารามวิหาร หาก½่ายหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ไม่ควรน�าไปเปิดเผยนอกอารามวิหาร ภิกษุไม่ ควรโจทก์อธิกรณ์ทต่ี ัดสินเรยี บร้อยแลว้ “ภิกษุผู้ไม่สละแม้สิ่งเล็กน้อยตามสมณภาวะ ไม่ควรแสดง ความปรารถนายินดีต่อสมณปัจจัย แม้บริขารน้ันจะเป็นพุทธานุญาต แล้วกต็ าม”

86 ศรีลงั กากตกิ าวัตร ภิกษุไม่ควรสนทนากัน ขณะกราบไหว้บูชาสถูปเจดีย์ ต้นพระ ศรมี หาโพธิ์ เป็นต้น ขณะถวายของหอมดอกไมเ้ ปน็ ตน้ ขณะใชไ้ ม้สฟี นั หรือขณะถอดถลกบาตร ภิกษุไม่ควรสนทนากับฆราวาสเร่ืองบริขาร และเรื่องไม่เหมาะสม หมวดอนาจารนิรเทศกล่าวไว้ว่า “สมาชิกแห่งสงฆ์ผู้เข้าไปสู่ สมาคมสงฆย์ นื และนัง่ เบียดพระภิกษผุ พู้ รรษามาก สนทนาขณะยืนและ เหยียดแขนหรือจับหัวเด็กชื่อว่าประพฤติตัวไม่เหมาะสม ภิกษุผู้ขยับตัว ทา่ มกลางคณะสงฆไ์ มค่ วรเบียดเสยี ด ไมว่ า่ จะเปน็ กายหรอื จวี ร หากท�า ดังนั้นต้องถามพระภิกษุผู้มีพรรษามากก่อน ภิกษุผู้มีพรรษาน้อยควร สนทนาด้วยความเคารพนอบน้อม ไม่ควรยืนใกล้เกินไป ควรค้อมกาย ดว้ ยอาการเคารพ ละเวน้ การชไี้ ม้ชีม้ อื ภิกษไุ ม่ควรจบั ตอ้ งกายเด็กหรอื ทา� ทีปลอบเด็ก” ภิกษุควรต้ังใจศึกษาด้วยการท่องจ�าคัมภีร์ โดยไม่สร้างความ ร�าคาญในหอปฏิบตั ิกรรมฐาน “เม่ือคฤหัสถ์เข้าสู่คณะสงฆ์หลังจากตรวจสอบคุณสมบัติดีแล้ว ควรใหร้ บั นสิ ยั เพราะวา่ บตุ รชายคนเดยี วผไู้ ดร้ บั อนญุ าตใหบ้ วช ยอ่ มชอ่ื วา่ สามารถทรงพระศาสนาทงั้ หมดได”้ ดว้ ยเหตนุ นั้ การอนญุ าตคฤหสั ถ์ เขา้ สคู่ ณะสงฆค์ วรตรวจสอบอยา่ งละเอยี ดเสยี กอ่ น ครน้ั ใหก้ ารอปุ สมบท แลว้ ควรให้รบั นิสยั พระภิกษุควรสมาทานธดุ งค์ตามความสามารถแห่งตน หากภกิ ษุ รูปใดสมาทานธุดงคโ์ ดยไม่ตงั้ ใจกไ็ ม่ชือ่ วา่ เปน็ เรื่องเสยี หาย

มหาปรากรมพาหุกตกิ าวตั ร 87 พระภิกษุรูปใดไม่ปฏิบัติตามกติกาวัตรนี้ ประพฤติตนตรงกันข้าม ควรลงโทษแล้วตักเตือน หากยังประพฤติเช่นเดิมควรงดนิสัยเป็นเวลา หน่งึ เดอื น แม้หนึง่ เดอื นผา่ นไปยังประพฤติผดิ พระวนิ ยั อยู่ ควรขับออก จากหมู่คณะโดยไม่ต้องเมตตา หากพระเถระผู้เป็นหัวหน้าแห่งหมู่คณะ ละเลยตอ่ การปฏบิ ตั หิ นา้ ทต่ี ามทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย และไมก่ วดขนั พระภกิ ษุ ภายใตก้ ารดแู ลแห่งตน พระมหาสถวรี ะควรลงโทษพระเถระรปู นั้น

88 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร พระพุทธรูปสลักจากหินวัดกัลวิหาร ภายในเมืองหลวงเกาโปโฬนนารุวะ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps) พระพุทธรูปสลักจากหนิ วดั กัลวิหาร ดานขางเปนจารกึ กตกิ าวตั รสมัยโปโฬนนารวุ ะ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook