ดมั พเดณกิ ตกิ าวตั ร 139 บ�าเพ็ญวิริยบารมีอย่างแรงกล้า ซึ่งไม่เคยปรากฏเห็นสมัยบูรพกษัตริย์ เล่าลือกันว่าสมัยนั้นพระอรหันต์ผู้ประกอบด้วยอริยคุณกล่าวคือ ฉฬภิญญายังด�ารงคงอยู่ ครั้นแล้วพระองค์โปรดให้สร้างวิหารอัน สวยงามจา� นวนมากดงั เชน่ เชตวนั มหาวิหาร และอารามวหิ ารอีกหลาย แห่งตลอดเกาะลังกา แล้วน้อมถวายให้เป็นที่พ�านักของพระสงฆ์หลาย พันรูป นอกจากนัน้ โปรดให้พระสงฆ์สงเคราะห์ชาวบ้านด้วยการแสดง ธรรมเทศนาว่าด้วยปญั ญากถาและทานกถาเป็นอาทิ พระองค์ทรงปรารถนาให้พสกนิกรมีความสุขและเคารพพระสงฆ์ จงึ ประกาศเชญิ ชาวให้ชาวสงิ หลพากนั รกั ษาศีลอโุ บสถเปน็ นจิ พระองค์ เองขณะเสด็จเข้าวิหารมักทรงประทับนั่งท่ามกลางหมู่สงฆ์ ครั้นเห็น อาณาประชาราษฎร์ศรัทธาเล่ือมใสคณะสงฆ์ดีแล้วจึงตรัสว่า “ใน อนาคตกาลภายหน้าคณะสงฆ์ควรมุ่งม่ันตั้งใจศึกษาคันถธุระและ วปิ สั สนาธรุ ะ ควรดา� รงเพศดว้ ยสมณธรรมดงั เชน่ ความสนั โดษ การรวม คณะสงฆเ์ ปน็ หนง่ึ เดยี วยอ่ มทา� ใหพ้ ระศาสนาสามารถดา� รงคงอยอู่ ยา่ งไร้ มลทินถึง ๕,๐๐๐ ปี ขอให้พระคุณเจ้าช่วยกันคุ้มครองรักษา พระศาสนาด้วยการแนะน�าสั่งสอนด้วยเถิด” คร้ันรับค�าอาราธนาจาก พระเจา้ แผน่ ดนิ ผมู้ กี ริ ยิ านอบนอ้ มแลว้ พระเถระผใู้ หญม่ พี ระมหากาศยป มหาสถวีระเป็นประธาน ได้พร้อมใจกันตรากติกาวัตรขึ้น เพ่ือป‡องกัน มใิ ห้ประเพณกี ารสบื สายจากพระอปุ ชั ¬ายค์ ลาดเคลือ่ นเลอื่ นหาย จาก นน้ั ไดช้ กั ชวนกนั สงั คายนาพระธรรมวนิ ยั เพอ่ื ปอ‡ งกนั ผปู้ ระพฤตเิ สยี หาย และเพ่ือเปน็ การปิดทางผลู้ ะเมดิ พระธรรมค�าสอนพระศาสดาเจา้ คร้ันล่วงเข้าสมัยพระเจ้าวิชัยพาหุวัตหิมิ (úPhndyq-j;Aysñ) พระองคโ์ ปรดให้ปรับแก้กตกิ าวัตรข้ึนใหม่ เพราะทรงเห็นวา่ กุลบุตรชาว
140 ศรีลงั กากตกิ าวัตร สิงหลผู้เข้าสู่พระศาสนามีจ�านวนเพ่ิมมากขึ้น ต่างทนทุกข์ในอบายภูมิ เพราะพากันสร้างความเสียหายร้ายแรง ด้วยการแสดงความเขลา ประพฤติผิดพระธรรมวินัย และนับจากการสวรรคตของพระเจ้าปรกรม พาหุเป็นเวลาถึง ๓๖ ปี เกาะลังกาหาปรากฏมีกษัตริย์ผู้เข็มแข็ง ผู้มากด้วยศรัทธามีปัญญาพร้อมทรงธรรม อีกทั้งถวายความอุปถัมภ์ พระศาสนาจนมน่ั คงรุ่งเรอื ง พระเจา้ วชิ ยั พาหวุ ตั หมิ นิ น้ั โปรดใหถ้ วายจตปุ จั จยั ดงั เชน่ ผา้ จวี รแก่ พระสงฆ์ ผู้หลบหนีราชภัยจากเมืองใหญ่ดังเช่นโปโฬนนารุวะมาอาศัย อาณาจักรมายาระฏะ พระสงฆ์เหล่านั้นผู้หนีภัยสงครามต่างพากันท้ิง สงิ่ ของส�าคญั ไว้เบื้องหลัง ดังเช่นคมั ภรี แ์ ละตา� ราน้อยใหญ่ เพราะเกรง กลัวทหารชาวทมิฬหินชาติผู้ท�าลายบ้านเมืองและพระศาสนา คราวน้ัน พระองค์โปรดให้อุปถัมภ์พระสงฆ์ด้านปริยัติและปฏิบัติ พร้อมท้ังทรง พระอุตสาห์ให้คณะสงฆ์รวมกันเป็นหน่ึงเดียวโดยไม่แตกแยกแบ่งนิกาย สมัยนั้นพระเขี้ยวแก้วและบาตรของพระพุทธเจ้าตกอยู่ในเง้ือมมือของ อรริ าชศตั รู พระองคท์ รงใชอ้ บุ ายทางการทตู แลว้ อญั เชญิ กลบั เกาะลงั กา แลว้ โปรดใหส้ รา้ งวหิ ารสามชนั้ พรอ้ มประดษิ ฐานไวภ้ ายใน บรเิ วณ½าผนงั วหิ ารโดยรอบโปรดใหว้ าดภาพจติ รกรรมอยา่ งสวยสดงดงาม นบั จากนน้ั มาโปรดให้ท�าพิธีบูชาสักการะพระเข้ียวแก้วและบาตรของพระพุทธเจ้า มิใหข้ าด ทรงใหค้ วามเสมอภาคเท่าเทยี มกนั ทงั้ คนรวยและคนจน พระองค์โปรดให้สงเคราะห์พสกนิกรและถวายความอุปถัมภ์ พระศาสนา โดยใหส้ รา้ งอารามวหิ ารหลายแหง่ หนง่ึ นนั้ คอื วชิ ยั สนุ ทราราม
ดมั พเดณกิ ตกิ าวตั ร 141 เพอ่ื เปน็ สถานทปี่ ระชมุ ของคณะสงฆ์ คราวนนั้ คณะสงฆไ์ ดป้ ระชมุ พรอ้ ม กนั ทอี่ ารามแห่งน้ีแล ผทู้ �าหนา้ ที่เปน็ ประธานสงฆ์คอื พระมหาสวามสี ังฆ รักษิตเถระ (ix>rlaIs;) ซึ่งเป็นศิษย์ของพระมหาสวามีศารีบุตรเถระ (Ydrsmq;%) พระสังฆรักษิตเถระรูปน้ีเป็นที่รู้จักแพร่หลายในฐานะเป็นผู้ บา� เพญ็ ตนเพอ่ื พระศาสนา ถดั มาเปน็ หวั หนา้ แหง่ คณะสงฆค์ ามวาสนี าม ว่าพระเมธังกรมหาสถวีระ (fuOxlr) อีกหนึ่งนั้นเป็นหัวหน้าแห่ง คณะสงฆอ์ รญั วาสนี ามวา่ เมธงั กรมหาสถวรี ะ (fuOxlr) ผพู้ า� นกั อาศยั อยทู่ อี่ ทุ มุ พรคริ วี หิ าร พระสงฆท์ งั้ ปวงไดต้ กลงกนั ตรากตกิ าวตั ร ซง่ึ อาศยั การสืบต่อวงศ์แห่งพระอุปัช¬าย์อย่างไม่ขาดสาย และผ่านการช�าระ พระธรรมและวินัยเรียบร้อยแล้ว คณะสงฆ์สมัยน้ันล้วนพากันด�ารงคง อยู่ด้วยกติกาวัตรนัน้ แล พระราชโอรสผู้ประเสริฐของพระเจ้าวิชัยพาหุพระนามว่าปรากรม พาหุ (mrdl%undyq) ทรงเสมือนพระสุรีย์ยามรุกขชาติท้ิงใบ ผู้สามารถ ท�าลายอริราชศัตรูและทรงพลานุภาพเข้มแข็ง เสมือนพระจันทร์เปล่ง ประกายเหนือทะเลน�้านมกล่าวคือพระศาสนาของพระชินสีห์ ทรงพระ ปรชี าสามารถปกครองเกาะลงั กาภายใตเ้ อกเศวตฉตั ร พระองคส์ ามารถ ปราบปรามความวนุ่ วายอนั เกดิ จากพวกทราวฑิ พวกเกลฬะ และพวก ยาวกะ เพราะผลส�าเร็จแห่งกุศลกรรมอันพระองค์ทรงบ�าเพ็ญแล้ว ขณะพระองค์ทรงเสวยความเป็นกษัตริย์นั้น โปรดให้สร้างเสนาสนะ ส�าหรับพระสงฆ์หลายแห่ง พร้อมด้วยวิหาร ปราสาท ถนน คูคลอง และประตู ดงั เชน่ ทเี่ มอื งศรวี รรธนปุระเป็นตน้ ทรงบ�าเพ็ญบญุ บารมกี ับ พระสงฆห์ มใู่ หญ่ ดว้ ยการถวายจตปุ จั จยั จา� นวนมาก สา� หรบั พระเขยี้ วแกว้ และบาตรของพระพุทธเจ้านั้น โปรดให้ประดิษฐานภายในผอบทองค�า
142 ศรีลงั กากตกิ าวัตร อนั ตกแตง่ ดว้ ยอญั มณลี า้� คา่ มากมาย แลว้ สรา้ งเจดยี เ์ งนิ อนั งดงามครอบ ผอบทองคา� อกี ชนั้ หนง่ึ จากนน้ั โปรดใหบ้ ชู าสกั การะดว้ ยดอกไมแ้ ละของ หอมเปน็ นติ ย์ สมยั หนงึ่ พระองคท์ รงทราบวา่ มผี ทู้ ศุ ลี จา� นวนมากพากนั ประพฤติ เสียหายห่างไกลจากพระธรรมวินัย และด�าเนินชีวิตด้วยความประมาท เปน็ เหตใุ หพ้ ระศาสนาของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ถงึ กาลอวสาน จงึ รา� พงึ วา่ “ไมเ่ ปน็ การเหมาะสมยงิ่ หากพระศาสนาทฟี่ น้ื ฟโู ดยพระบรมชนกนาถ ผู้มากด้วยความเพียรพยายามจะปรากฏสภาพเช่นน้ีในสมัยแห่งเรา” ครนั้ ดา� รดิ งั นนั้ แลว้ โปรดใหป้ ระชมุ คณะสงฆท์ ง้ั ½า่ ยคามวาสแี ละอรญั วาสี พระองคท์ รงประทบั นง่ั ตรงกลาง ผมู้ พี ระทยั อนั ประเสรฐิ หวงั อยเู่ พอ่ื ความ มั่นคงแห่งบวรพระพุทธศาสนา ทรงอาราธนาคณะสงฆ์ด้วยการตรัสให้ เห็นความจ�าเป็น เพื่อช�าระอธิกรณ์พระสงฆ์ผู้ทุศีลเหล่าน้ัน เพราะการ เชื้อเชิญของพระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ คณะสงฆ์จึง พรอ้ มใจกนั ตรากตกิ าวตั รขนึ้ โดยดา� เนนิ ตามกตกิ าวตั รสมยั กอ่ น ซง่ึ เคย ตราข้ึนโดยคณะสงฆ์ทั้ง½่ายคามวาสีและอรัญวาสี พระมหาเถระผู้เป็น ประธานคือพระมหาสวามีอรัญกเมธังกรเถระ (wdrKHl fuOxlr) ผู้ปรารถนารักษาพระศาสนา และพระเถระผู้เป็นศิษย์ผู้ใหญ่นามว่า พระวนรัตนพุทธวังสมหาสถวีระ (jkr;k nqŠjxi) ผู้ปรารถนา สงเคราะห์พระศาสนาให้มัน่ คงถาวร ดงั กล่าวแลว้ วา่ “ครน้ั ยอมรบั กลุ บตุ รเขา้ สูค่ ณะสงฆ์โดยผ่านการ ตรวจสอบคุณสมบตั ิจากคณะสงฆ์แล้ว กอ่ นบวชและภายหลังบวชควร มีการตรวจสอบอีกครัง้ ครนั้ บวชแลว้ ควรใหถ้ อื นิสัย เพราะเม่อื กลุ บตุ ร
ดมั พเดณิกตกิ าวตั ร 143 คนหน่ึงผู้ผ่านการอนุญาตให้เข้าสู่คณะสงฆ์แล้ว ย่อมถือว่าเป็นผู้ค้�าจุน พระพทุ ธศาสนาท้งั หมด” ด้วยเหตุนน้ั หากมกี ลุ บตุ รผปู้ รารถนาจะบวช ได้รับอนุญาตเข้าสู่คณะสงฆ์แล้ว เบ้ืองต้นควรศึกษาคัมภีร์แอณวุม (weKjqï) คมั ภรี ส์ กสั กฑะ (iliAlv) คมั ภรี ส์ ตรบณวระ (i;rnKjr)A และคัมภีร์ธัมปิยา (oïmsh) ควรสอนให้อ่านและเขียนจนช�านาญ ควรเปน็ ผอู้ สิ ระจากการผกู มดั ดว้ ยกามคณุ และเวน้ จากความชน่ื ชอบการ เจรจา ควรกระทา� ไวใ้ นใจดว้ ยค�าสอนและพระวินัย ควรได้รับการ½ƒก½น และสอนโดยเว้นห่างจากการต�าหนิติเตียน และควรแสดงความเคารพ อยา่ งสูงสุดต่อพระภกิ ษุผ้ไู ดร้ บั การอุปสมบทแมว้ นั นั้น ควรมีการตรวจสอบเรื่องชาติและโคตรของกุลบุตรท่ามกลาง คณะสงฆ์ อย่างน้อยกรรมการตรวจสอบควประกอบด้วยพระเถระ ชน้ั สถวีระ ๓ รปู ครัน้ ตรวจสอบคุณสมบัติทกุ อยา่ งด้วยการสอบถาม โรคภัยไข้เจ็บและความสามารถด้านการอ่านและเขียนแล้ว ควรมอบ กลุ บตุ รนน้ั แกพ่ ระนายกะเพอื่ ตรวจสอบอกี รอบ และผลแหง่ การสอบถาม ควรมีการแจ้ง หากมีพระภิกษุผู้รู้จักสามารถรับประกันได้ว่ากุลบุตรคน นน้ั ไมม่ ีเร่ืองเสยี หายดา้ นกา� เนิดและความประพฤติ คร้นั กุลบุตรนน้ั อายุ ยา่ งเข้าอย่างน้อย ๑๒ ปี หากปรารถนาก็ให้พา� นักอาศยั วดั บา้ น และ ครั้นอายุย่างเข้า ๑๓ ปี กรณีปรารถนาก็ให้พ�านักอาศัยเสนาสนะป่า ครนั้ วา่ กลา่ วตกั เตอื นและสงั่ สอนพอสมควรแลว้ พระนายกะควรสง่ มอบ ใหพ้ ระอุปัช¬าย์ต่อไป ส�าหรับสามเณรผู้เข้าสู่พระศาสนาแล้วโดยภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง แต่ ไม่ได้รับการยอมรับจากคณะสงฆ์ ควรน�าสามเณรนั้นออกจากผู้เป็น
144 ศรีลังกากตกิ าวัตร อาจารยเ์ สยี แลว้ สง่ มอบแกภ่ กิ ษรุ ปู อน่ื หากมทิ า� เชน่ นน้ั ควรลงโทษภกิ ษุ ผู้ให้บวชอย่างหนัก หากการกระท�าบางอย่างตรงกันข้ามกับสัญญาท่ี ตกลงกนั ไว้ โดยมกี ารยนิ ยอมทา� ตามตอ่ เนอ่ื งและพจิ ารณาแลว้ วา่ ขดั แยง้ พระวินัยควรเว้นเสีย และคร้ันมีการลงโทษอย่างรุนแรงกับบฑุตุรุแล้ว ควรมอบสามเณรให้กบั พระภิกษรุ ูปอน่ื ผมู้ คี ณุ สมบตั ิเหมาะสม หากสาม เณรเป็นปัณฑุปลาสะ ควรให้½ƒก½นท่องจ�าคัมภีร์กาคิยาสิ (ld.shdis) คัมภรี ์เสขิยา (fiÅhd) คมั ภีรจ์ ตุปารสิ ทุ ธิศีละ (p;qmdrslqoAêiS,) และ กรรมฐานส่ี (i;rlugy) ขณะเป็นปณั ฑปุ ลาสะควรประพฤตติ นตาม ค�าส่ังสอนของพระพุทธเจ้า คร้ันถึงเวลาอันสมควร พระสงฆ์แห่งคณะ ประชุมกันพร้อมอ่านกติกาวัตรเก่ียวกับการบรรพชาแล้ว หากพบว่า สามเณรมสี ัมมาจรยิ าเหมาะสมควรอนญุ าตใหอ้ ปุ สมบท การอนญุ าตเขา้ สคู่ ณะสงฆแ์ ละการอปุ สมบทควรมกี ารประกอบพธิ ี โดยมพี ระอปุ ชั ¬ายท์ า� หนา้ ทเี่ ปน็ ประธาน สงั ฆกรรมนน้ั ไมม่ อี าจารยห์ รอื ผใู้ ดเหนอื กวา่ พระอปุ ชั ¬าย์ ดงั กลา่ วแลว้ วา่ สามเณรมอี ปุ ชั ¬ายร์ ปู หนง่ึ ท�าหน้าที่รับผิดชอบ เพราะพระอุปัช¬าย์ต้องดูแลสัทธิวิหาริกอย่าง ใกล้ชิด โดยเฉพาะการ½ƒก½นมารยาทให้งดงาม จากนั้นควรอบรม ส่ังสอนสัทธิวิหาริกให้ท่องจ�าคัมภีร์เหรณสิขะและพระวินัยดังกล่าวแล้ว ถดั มาควรตงั้ ใจมงุ่ มน่ั ในคนั ถธรุ ะและ½กƒ ½นวปิ สั สนาธรุ ะอยา่ งขะมกั เขมน้ และควรได้รับการสั่งสอนเพ่ือสามารถเป็นผู้รักษาพระพุทธศาสนาใน อนาคตกาลภายหน้า แมห้ ากบคุ คลมชี วี ติ อยปู่ ระมาณเกอื บขวบปี หากปรารถนาจะบวช เพราะมศี รทั ธาแก่กลา้ คร้นั สละทิง้ ความสขุ เชิงโลกยี ์แลว้ เบอื้ งต้นควร
ดัมพเดณิกตกิ าวัตร 145 ศึกษาคัมภีร์แอณวุม (weKjqï) คัมภีร์สกัสกฑะ (iliAlv) คัมภีร์ สตรบณวระ (i;rnKjrA) และคัมภรี ์ธมั ปิยะ (oïmsh) จากนั้นควรมี การตรวจสอบชาตกิ า� เนดิ และโคตร ครน้ั ตรวจสอบโรคภยั ไขเ้ จบ็ เรยี บรอ้ ย แล้ว ควรส่งมอบให้พระนายกะด้วยการท�าสามีจิกรรมก่อน ต่อมาควร สง่ั สอนกตกิ าวตั รแลว้ จงึ ใหบ้ รรพชา สามเณรนน้ั ควรทอ่ งจา� คมั ภรี เ์ หรณสขิ ะ ให้ช�านาญปาก ถัดมาควรศึกษาคัมภีร์กาคิยาสิ (ld.shdis) คัมภีร์ สตรกมฏหัน (i;r-lugykA) คัมภีร์เสขิยา (fiÅhd) และคัมภีร์ จตุปาริศุทธิศีละ (p;qmdrslqoAêiS,) ด้วยการท่องจ�าให้ข้ึนใจ เพื่อสวด ทกุ วนั อโุ บสถ และควรรกั ษาพระวนิ ยั อยา่ งเครง่ ครดั ถดั มาหากสามารถ สมาทานรักษาธุดงค์ได้อย่างน้อย ๓ ข้อ ด้วยพิจารณาว่าเวลาอัน เหมาะสม สามารถประพฤติปฏิบัติตามหน้าท่ีอย่างเอาใจใส่เป็นอย่างดี ประพฤติตนบริบูรณ์มิให้ด่างพร้อยอย่างน้อยหน่ึงปี และศึกษาคันถธุระ และ½ƒก½นวิปัสสนาธุระอย่างเอาใจใส่เป็นอย่างดี ควรอนุญาตให้ อุปสมบทหลังจากอ่านกติกาวัตรเก่ียวกับการอุปสมบทท่ามกลาง คณะสงฆ์ของคณะ และเห็นว่ามีสัมมาจริยาดีงามแล้ว จากน้ันควร ส่ังสอนอาบัตสิ งั ฆาทเิ สสและปฏคิ คหนสกิ ขา เนื่องจากการอุปสมบทเป็นสังฆกรรมส�าคัญ เพราะเป็นรากฐาน สา� หรบั การดา� รงอย่ขู องพระศาสนา จงึ ไมค่ วรจัดหลายแหง่ โดยขาดการ มีส่วนร่วมของผู้อุปถัมภ์พระศาสนาหรือกษัตริย์ หรือขาดการเข้าร่วม ของพระภกิ ษผุ ทู้ รงปราชญแ์ ละแตกฉานพระวนิ ยั โดยคา� สงั่ ของผอู้ ปุ ถมั ภ์ ศาสนาหรือกษัตริย์ และเว้นจากการยอมรับของพระมหากษัตริย์ หาก เปน็ สามเณรควรพา� นกั อยกู่ บั อปุ ชั ¬ายจ์ นกระทงั่ สามารถทอ่ งจา� และสวด คมั ภรี ์เหรณสิขะได้ทัง้ หมด หากเป็นพระภกิ ษคุ วรพา� นกั อยู่กับอปุ ัช¬าย์
146 ศรีลงั กากตกิ าวัตร จนกระท่ังสามารถท่องจ�าและสวดคัมภีร์มหะลุแปวิดดิบณะได้ทั้งหมด (meúoAos-nK) โดยไม่อนุญาตให้ไปอยู่ที่อื่น ส�าหรับผู้ผ่านการอุปสมบท แลว้ ควรท่องจา� คมั ภรี ์มลู สกิ ขาและกตกิ าวัตรใหไ้ ดท้ ้ังหมดและสาธยาย ทุกวันอุโบสถ นอกจากน้ัน ควรสาธยายและท่องจ�าคัมภีร์สิขวฬัณฑะ วินิสะทั้งหมด และทบทวนตั้งแต่เรม่ิ ต้นจนถงึ ท้ายสุดทกุ หกเดือน ควรมี สติทุกเมอื่ เพื่อสามารถทบทวนแต่ละส่วนของคมั ภีร์ได้อยา่ งถกู ต้อง คร้ันเวลาผ่านไปและการศึกษาคัมภีร์เกิดคุณภาพเพราะผลจาก ความพากเพยี รอยา่ งหนกั หากสาธยายคมั ภรี เ์ หลา่ นน้ั ไดอ้ ยา่ งคลอ่ งปาก และท่องคัมภรี ช์ ้ันฎกี าจบแลว้ ย่อมเปน็ อิสระจากการถอื นสิ ยั อปุ ชั ¬าย์ ควรส่งมอบให้พระนายกะ ควรยกย่องคุณธรรมหลายประการ ดังเช่น การถือธุดงค์คุณ คร้ันพระภิกษุรูปน้ันไม่มีความสงสัยได้ศึกษาและ สาธยายสองปาฏโิ มกข์ คมั ภรี ข์ ทุ ทกสกิ ขา (lqoQisL) คมั ภรี อ์ รถะ-สงั คหะ (wrA:iå.%y) คัมภีรว์ ยากรณสตู ร (jHlrK) และคัมภรี ธ์ าตปุ าฐสตู ร (Od;qmdO–r) ซึ่งสมยั น้ันนยิ มใชก้ นั ควรตรวจสอบความถกู ต้องสามแหง่ ในคมั ภีร์กงั ขาวิตรณี และหนึง่ แห่งจากคัมภีร์ทั้งเจ็ดอน่ื อีก จากนน้ั ควร ทอ่ งจา� คมั ภรี ซ์ ง่ึ จา� เปน็ สา� หรบั ศกึ ษาเพอื่ การพน้ จากนสิ ยั ครน้ั ตรวจสอบ สัมมาจริยาและความรู้แล้วก็ควรอนุญาตให้พ้นนิสัย ครั้นพ้นนิสัยแล้ว พระภกิ ษคุ วรทอ่ งจา� คมั ภรี ท์ ง้ั หมดเบอ้ื งตน้ ดงั เชน่ ปาฏโิ มกข์ และสาธยาย บางครั้งบางคราวท่ามกลางสงฆ์ ดังกล่าวแล้วว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เร่ืองราวจะพึงมี ตลอด หนทางอันยาวไกลในอนาคต ภิกษุผู้ไม่½ƒกกาย ไม่½ƒกศีล ไม่½ƒกจิตใจ ไม½่ กƒ การเหน็ แจง้ และภกิ ษผุ ไู้ ม½่ กƒ กาย ไม½่ กƒ ศลี ไม½่ กƒ จติ ใจ ไม½่ กƒ การ
ดมั พเดณกิ ตกิ าวัตร 147 เห็นแจ้ง จะให้การอุปสมบทแก่ผู้อื่น พระภิกษุเหล่าน้ันจะกลายเป็นผู้ ไม่½ƒกกาย ไม่½ƒกศีล ไม่½ƒกจิตใจ ไม่½ƒกการเห็นแจ้ง” เม่ือเป็นเช่นน้ัน เขาย่อมไม่สามารถด�ารงชีพอยู่ด้วยการควบคุมกายอย่างเหมาะสม ดกู อ่ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ยงิ่ กวา่ นน้ั ตลอดหนทางอนั ยาวไกลในอนาคต ภกิ ษุ ผู้ไม่½ƒกกาย ไม่½ƒกศีล ไม่½ƒกจิตใจ ไม่½ƒกการเห็นแจ้ง และพระเถระผู้ ไม่½ƒกตนจะกลายเป็นผู้ฟุ่มเฟือย หย่อนยาน เปล่ียนไปสู่ความเสื่อม หลบหลกี จากภาระแหง่ การอยสู่ นั โดษ สา� หรบั ผปู้ ระพฤตติ ามชอื่ วา่ ดา� เนนิ ไปสู่มิจฉาทิฐิ” หากภกิ ษรุ กั ษาศลี อยา่ งเครง่ ครดั กอปรดว้ ยความรชู้ นั้ สงู ทา� ตนให้ เป็นอาจารย์ของหมู่คณะ เว้นขาดจากชีวิตอันสุขสบายและเฉื่อยชา ชอื่ วา่ ยอ่ มแนะนา� สง่ั สอนผปู้ ระพฤตติ ามใหด้ า� เนนิ ทางอนั ถกู ตอ้ ง อาจารย์ ควรส่งมอบคืนให้พระนายกะ หลังจากยกย่องคุณธรรมหลายอย่าง ดังเช่นสมาทานธุดงค์ ตอนท้ายของเบญจมพรรษา หลังจากสาธยาย คมั ภรี ส์ ถวรี บณะพรอ้ มคมั ภรี ฎ์ กี า นอกจากนน้ั ปาฏโิ มกขท์ ง้ั สองดงั กลา่ ว แล้วเบื้องต้นควรมีการท่องจ�า ควรมีการตรวจสอบสามแห่งในอาบัติ ปาราชกิ และปาจติ ตยี ์ และอกี หลายแหง่ แตกตา่ งกนั ในคมั ภรี อ์ นั เหลอื อยู่ ด้วยลักษณะนี้หากก้าวเข้าถึงคุณธรรมและความรู้ และสาธยายคมั ภรี ์ สถวีรางคะเรียบร้อยแล้ว (iA:ùrdx.) ควรแต่งตั้งให้ด�ารงต�าแหน่ง สถวีระ หากมีความสามารถบริหารหมู่ศิษย์ควรมอบให้เป็นผู้ดูแล นอกจากคมั ภรี ก์ ลา่ วถงึ เบอ้ื งตน้ แลว้ ควรทรงจา� ปาฏโิ มกขโ์ ดยไมผ่ ดิ พลาด และสาธยายทา่ มกลางคณะสงฆเ์ ปน็ บางครง้ั บางคราว พระภกิ ษทุ งั้ หมด กลา่ วคอื พระเถระ พระนวกะ และพระมชั ¬มิ ะ ควรพจิ ารณาอนมุ านสตู ร และทสธมั มสูตรอยา่ งน้อยวันละครง้ั
148 ศรลี ังกากตกิ าวตั ร ควรพิจารณาถงึ การแนะนา� เฉพาะกาล เพอื่ ห้ามปรามผ้ปู ระพฤติ เสยี หายดว้ ยวธิ อี นั แยบยล สมดงั พระพทุ ธพจนว์ า่ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนุญาตภิกษตุ ัดสนิ อธิกรณด์ ้วยคุณธรรม ๘ ประการ เหมือนหา้ ม ปรามภกิ ษณุ ผี มู้ คี ณุ ธรรม...” และหากถอื ตามพระวนิ ยั บญั ญตั ิ ยอ่ มเปน็ เรอ่ื งยงุ่ ยากทจี่ ะสบื คน้ หาผเู้ หมาะสมซง่ึ กอปรดว้ ยคณุ ธรรม ๘ ประการ ผู้ไม่ละเมิดปาฏิโมกขสังวรสีล เพราะธรรมดาพระสงฆ์ควรด�ารงอยู่ด้วย การประพฤติตามปาติโมกขสังวรสีลอยา่ งเครง่ คัด เม่ือศาสนาถึงคราวเส่ือมเน่ืองจากการละเลยต่อการศึกษา พระไตรปิฎก ซ่งึ ขาดความจริงใจของชาวบา้ นผมู้ ีคุณธรรม ผู้อยรู่ ่วมกับ ครอบครัวด้วยศรัทธา และผู้ไม่ให้การประพฤติช่ัวเหมือนการให้ไม้ไผ่ เว้นจากการด�าเนินชีวิตอันผิด ควรศึกษาพระไตรปิฎกพร้อมกับคัมภีร์ อรรถกถาจากครูผู้ทรงศีลาจารวัตร ย่อมช่ือว่าสามารถเป็นผู้ทรง ปราชญไ์ ด้ ครนั้ แลว้ ควรจดจา� สง่ิ ทร่ี า�่ เรยี นมาแลว้ โดยเวน้ จากการทา� ลาย พระภกิ ษนุ น้ั สามารถเปน็ ผรู้ ดู้ ว้ ยการทรงจา� จากนนั้ ควรรกั ษาสงิ่ ทท่ี อ่ งจา� ได้แล้วโดยไม่หลงลืม แม้ผ่านเวลานานวัน พระภิกษุนั้นชื่อว่าเป็นคลัง แห่งความรู้ ดังกล่าวแล้ว “พระภิกษุควรเป็นผู้สามารถยกย่อง น่าเคารพ น่าเลื่อมใส เป็นท่ีปรึกษา เป็นผู้อดทนต่อการฟัง เป็นนักเทศน์ด้วย คา� สอนลกึ ซึง้ ไมค่ วรทา� ตนให้ไรป้ ระโยชนต์ อนท้าย” พระภกิ ษุควรสรา้ ง คุณสมบตั ดิ งั กลา่ วแลว้ ใหเ้ กดิ ขน้ึ ภายในตน เพราะเป็นส่ิงจา� เป็นสา� หรับ ส่ังสอนผู้อ่ืน จากนั้นควรเพ่ิมการควบคุมทั้งกายกรรมและวจีกรรม อย่างมั่นคง เป็นอิสระจากความยินดีในความฟุ‡งเฟ‡อ จากความ
ดมั พเดณิกตกิ าวัตร 149 เกยี จครา้ น จากการยดึ มนั่ ในการกระทา� จากการพดู จากการนอน และ จากการคลกุ คลหี มคู่ ณะ ควรเป็นผยู้ นิ ดกี ารหลีกเร้นส�าหรบั ภาวนา พระภิกษุควรประพฤติตามค�าสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า “เบื้อง ตนควรด�ารงตนอย่างเหมาะสม แล้วจึงสั่งสอนผู้อื่น หากท�าได้เช่นน้ี ผฉู้ ลาดจะไมเ่ ดอื ดร้อน” หากภิกษุน้ันมพี รรษาครบถ้วนยีส่ บิ ปี ประพฤติ ตนดว้ ยอาการไม่เอนเอียง และเป็นผเู้ ห็นดตี ามพระนายกะ พระภกิ ษนุ ัน้ ควรไดร้ บั การแตง่ ตงั้ ใหด้ า� รงตา� แหนง่ มหาสถวรี ะ (uydiA:ùr) หลงั จาก กษตั รยิ ถ์ วายความเคารพ ผคู้ รองราชยเ์ ปน็ อธปิ ตั ยเ์ หนอื อาณาจกั รสงิ หล ทงั้ สาม และดว้ ยการยอมรบั ของคณะสงฆ์แหง่ สามอาณาจกั ร จากนน้ั พระภกิ ษรุ ปู นน้ั ควรขน้ึ รงั้ ตา� แหนง่ เปน็ ทส่ี องรองจากพระมหาสวามเี ทา่ นนั้ (uydiAjdó) ผเู้ ปน็ ทเ่ี คารพของพระสงฆ์แหง่ คามวาสี พระภิกษุผกู้ อปร ด้วยสัมมาจริยาและความรู้ดังกล่าวแล้วน้ัน ช่ือว่าเป็นพระเถระระดับ แนวหนา้ เป็นผรู้ กั ษาพระวนิ ัยเกี่ยวกับการปฏิบตั แิ บบอรัญวาสี และเปน็ ตัวอยา่ งของพระสงฆอ์ รัญวาสที งั้ ปวง สามารถเปน็ ผนู้ �า และช้แี นะการ ปฏิบัติอันแตกต่าง ควรได้รับการแต่งต้ังให้ด�ารงต�าแหน่งมหาสถวีระ และรั้งต�าแหน่งช้ันสองรองจากพระมหาสวามี ผู้เป็นที่เคารพของ พระสงฆ์อรญั วาสี เม่ือเกิดมีความเห็นต่างของผู้เป็นหัวหน้า ย่อมเป็นเหตุท�าลาย พระศาสนา เพราะไม่มีภิกษุรปู อน่ื ใดเหมาะสม ภิกษทุ ง้ั สองรปู ควรได้รับ การแต่งตั้งให้ด�ารงต�าแหน่งมหาสถวีระ ครั้นพระมหาสวามีมรณภาพ หากต้องคัดเลือกพระเถระข้ึนร้ังต�าแหน่งมหาสวามี ควรพิจารณา พระมหาสถวรี ะสองรปู ขนึ้ ร้งั ต�าแหนง่ มหาสวามสี ืบแทน
150 ศรีลังกากตกิ าวัตร พระภิกษุผู้เคร่งครัดพระวินัยกอปรด้วยสัมมาจริยาและปัญญา ผไู้ มย่ ดึ มน่ั กบั การไดม้ าซงึ่ ตา� แหนง่ ดรกุ มั และวฏนาปสะ เปน็ ผสู้ บื สายตอ่ เนอื่ งมาจากตระกูลแหง่ หมู่บา้ นนามว่าสงั คมแุ ละคณแวสิ ซง่ึ เปน็ ที่รู้จกั แพร่หลายตลอดสามอาณาจักรว่าศรัทธามั่นคงต่อพระศาสนา ซ่ึงร้ัง ต�าแหน่งสถวีระควรแต่งตั้งเป็นอยแตน (wh;eka) ด้วยความเห็นชอบ ของพระนายกะและดว้ ยการยอมรบั ของพระมหากษตั รยิ ์ แมว้ า่ พระภกิ ษุ ผู้มีคุณสมบัติดังกล่าว เป็นผู้พ้นแล้วจากนิสัยและปรารถนามูฬะ ครั้น คณะสงฆ์และพระมหากษัตริย์รับรองแล้ว ควรได้รับการแต่งต้ังให้ด�ารง ต�าแหน่งถัดจากอยแตน ในฐานะเป็นเจ้าส�านักแห่งปริเวณะขนาดใหญ่ ซ่ึงเกยี่ วข้องกบั มูฬะของพระมหาสถวรี ะ เจ้าสา� นักแต่ละปริเวณะซ่ึงเป็น ดรุกัมและวฏนาปสะ ควรแต่งต้ังพระภิกษุผู้เหมาะสมรูปหน่ึงซ่ึงมีสัมมา จริยาและปัญญาให้ด�ารงต�าแหน่งนิศรยมุกตะ (ksY%huqla;) ซ่ึงเป็นผู้ สามารถสงั่ สอนปณั ฑปุ ลาสะใหป้ ระพฤตอิ นั ดงี าม พระเถระผเู้ ปน็ หวั หนา้ แห่งคณะควรส่ังสอนคันถธุระแก่อันเตวาสิกและสัทธิวิหาริกผู้เป็นศิษย์ และแมผ้ มู้ คี ณุ สมบตั เิ หมาะสมไมว่ า่ จะไดร้ บั อนญุ าตรบั นสิ ยั หรอื เปน็ ผพู้ น้ จากนสิ ยั แลว้ ไม่ควรอนญุ าตใหเ้ วน้ การทรงจ�าอย่างน้อยสองปาฏโิ มกข์ ควรแนะนา� ความประพฤตดิ งั เช่นการสนทนากบั หมู่คณะ ดังกล่าวเบ้ืองต้นแล้วผู้สนใจคันถธุระควรปลีกตัวอยู่วิเวกอย่าง เต็มกา� ลงั พระภิกษุควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้บริบูรณ์สามส่วนต่อวัน และบ�าเพ็ญประโยชน์ท้ังแก่ตนและผู้อื่น ส�าหรับอันเตวาสิกและสัทธิ วิหาริกผู้ไม่สามารถเป็นครูสอนส่วนอันย่ิงแห่งคันถธุระดังกล่าวถึงแล้ว
ดัมพเดณกิ ตกิ าวัตร 151 อุปัช¬ายอ์ าจารย์ควรแนะน�าใหป้ ลีกตวั อยู่วิเวกอย่างเต็มท่ี เมอ่ื จบการ ศกึ ษาแลว้ อาจารยค์ วรสอนหวั ขอ้ กรรมฐานตามจรติ แลว้ สอนการปฏบิ ตั ิ วิปัสสนาธรุ ะ พระภกิ ษุควรทมุ่ เทศกึ ษาพระสตู รแหง่ หมวดสีต่ ลอดทัง้ วนั พระภิกษุทั้งมวล ทั้งพระเถระผู้ใหญ่ พระนวกะและผู้มีพรรษา มัช¬ิมะ ไม่ควรเข้าบ้านในเวลาอันไม่เหมาะสมเพราะกิจบางอย่าง ยกเวน้ ออกรบั บณิ ฑบาตเพอ่ื เลย้ี งดบู ดิ ามารดาผไู้ รค้ นดแู ล ยกเวน้ พสี่ าว หรือน้องสาวร่วมสายโลหิตผู้เป็นหม้าย ยกเว้นพระอนุจรและคนรับใช้ ยกเว้นการเดินทางสมัยอาพาธเพ่ือขอค�าแนะน�าเรื่องยา และยกเว้น ส�าหรับพระอนุจรหรือว่าต้องเดินทางไปสวดพระปริตรในสถานท่ีนิมนต์ เอาไว้ หากได้รับอนุญาตเข้าบ้านตามหน้าท่ีเก่ียวกับอาพาธเป็นต้น อุปัช¬าย์ผู้อนุญาตพระภิกษุผู้ไม่เช่ียวชาญพระวินัยต้องอาบัติทุกกฎ ควรได้รับอนุญาตจากภิกษุผู้ทรงความรู้พระวินัย อย่างน้อยรู้อุโบสถ กรรมและปวารณากรรม หรือพระภิกษุผู้รู้ว่าการท�าเช่นนั้นผิดพระวินัย หรือไม่ ด้วยเหตุนัน้ ภกิ ษไุ มค่ วรไปในสถานที่หลายแห่งพรอ้ มพระนวกะ โดยไมม่ ีพระเถระไปด้วย หากพระภิกษุผู้มาจากคณะอื่นปรารถนาจะพักอาศัย ไม่ควรรีบ มอบเสนาสนะแก่ภิกษุรูปน้ัน โดยไม่ตรวจสอบจดหมายรับรอง หรือ พระภิกษุผู้เป็นตัวแทนของพระเถระผู้เป็นหัวหน้าแห่งคณะ พระภิกษุผู้ เดนิ ทางมาเพอ่ื ธรุ ะบางอยา่ งควรถอื เอาเสนาสนะตามความพอใจ ดงั เชน่ กุฎีและวิหาร พระภิกษุควรเว้นขาดจากการเจรจาด้วยความโกรธหรือ ตลกคะนอง ภิกษุไม่ควรสนทนากับเพศตรงกันข้ามในท่ีรโหฐาน หรือ บรเิ วณลานหญา้ หนา้ บา้ น แมผ้ สู้ นทนานนั้ จะเปน็ มารดาตนเอง พระภกิ ษุ
152 ศรลี งั กากตกิ าวัตร ไม่ควรเก็บสมบัติแม้เป็นตุ้มหูของมารดาแห่งตน ด้วยความคิดว่าเป็น สมบตั ิสว่ นตวั พระภกิ ษไุ มค่ วรแยกตนอยโู่ ดดเดย่ี วจากอาจารยแ์ ละอปุ ชั ¬ายน์ าน เกนิ สองเดอื น ยกเว้นมธี ุระส�าคัญ พระภิกษุจะแสดงเทศนาธรรมหลาย แหง่ ได้ เฉพาะไดร้ บั อนญุ าตแลว้ เทา่ นน้ั พระภกิ ษไุ มค่ วรแตง่ โศลกเปน็ ตน้ แล้วสาธยายแก่ฆราวาส พระภิกษุไม่ควรศึกษาศิลปะอันน่ารังเกียจ ดังเชน่ กาพย์กลอนและละคร หรอื สอนแก่ผอู้ น่ื พระภิกษไุ มค่ วรต�าหนิ คนรบั ใชโ้ ดยไม่แจง้ แก่พระเถระกอ่ น แม้ส่ิงของจะเปน็ ของตนพระภกิ ษกุ ็ ไมค่ วรใหค้ นอื่น ยกเวน้ ได้รบั อนญุ าตจากพระเถระก่อน พระภกิ ษุผู้ชอบ เดินทางถือเอาบริขารของพระเถระ บริขารเหล่าน้ันอาจเสียหายเพราะ ½น ควรรบี หาท่พี ักหรือหลบ½น หรอื วา่ ควรเรง่ รบี เดิน ดังกล่าวแล้วว่า “น้ีเหมือนความเป็นเด็กในพระวินัย ผู้ช่ือว่า อริยะหัวเราะทันทีด้วยการเปิดให้เห็นฟัน แม้ว่าจะมีเหตุให้หัวเราะ” พระภกิ ษสุ ามารถแสดงความพอใจดว้ ยการเปดิ ปากได้ โดยเวน้ การยงิ ฟนั และหัวเราะเหมือนเด็ก พร้อมท�าเสียงดัง กรณีมีการช�าระอธิกรณ์ เรอ่ื งการทะเลาะววิ าทในอารามใดเรยี บร้อยแลว้ พระภิกษผุ ู้พา� นกั อาศัย อารามนน้ั ไมค่ วรเปดิ เผยแกค่ นภายนอก ไมค่ วรเขา้ ไปยงุ่ เกย่ี วการทะเลาะ ววิ าทในอารามแห่งอืน่ ทีช่ �าระอธกิ รณ์แลว้ ดังกล่าวแล้วว่า “ภิกษุผู้ไม่สละสิ่งเล็กน้อยในเพศพรหมจรรย์ ไมค่ วรแสดงความยนิ ดตี ่อความเพลิดเพลินทางวตั ถุ แมเ้ คารพบริขารที่ มพี ทุ ธานุญาตแล้ว” พระภิกษไุ ม่ควรสนทนากนั ขณะกราบไหว้บูชาสถปู เจดยี ์ ตน้ พระศรีมหาโพธิ์ เป็นต้น หรือขณะถวายของหอมและดอกไม้
ดมั พเดณิกตกิ าวตั ร 153 เปน็ ตน้ หรอื ขณะแสดงแดวฏุ แü ละขณะออกรบั บณิ ฑบาต พระภกิ ษไุ มค่ วร สนทนากับฆราวาสเร่อื งจตปุ ัจจัยและเรือ่ งไมเ่ หมาะสมกับสมณภาวะ หมวดอนาจารนริ เทศพรรณนาไวว้ า่ “สมาชกิ แหง่ สงฆผ์ เู้ ขา้ ไปสทู่ ี่ ประชมุ สงฆ์ ผยู้ นื หรอื นงั่ ดว้ ยการแสดงกริ ยิ าเบยี ดพระเถระ สนทนาขณะ ยืนพร้อมกางแขนและลูบศีรษะเด็กช่ือว่าเป็นอาบัติเล็กน้อย” ด้วยเหตุ นน้ั พระภกิ ษผุ เู้ ขา้ สทู่ า่ มกลางสงฆไ์ มค่ วรเบยี ดพระเถระดว้ ยกายหรอื จวี ร หากเกดิ เรอื่ งเช่นนัน้ ตอ้ งแจ้งพระเถระกอ่ น ขณะสนทนากับพระเถระนัน้ พระนวกะควรยืนด้วยการส�ารวมไม่ใกล้นัก มีกายอันค้อมแสดงความ เคารพ และเวน้ จากการชไี้ มช้ ม้ี อื พระภกิ ษไุ มค่ วรสมั ผสั กายเดก็ ชายและ ลูบคลา� ดว้ ยแสดงการปลอบเดก็ การกระท�าด้วยความต้ังใจโดยความไม่รู้กล่าวคือการพูดมาก พระภิกษุควรเว้นจากการพูดวกวน ขณะสนทนาธรรมและวินัยกับ พระนายกะ ควรตอบอย่างตรงไปตรงมาตามความเหมาะสม สังฆกรรม ประเภทจตรุ วรคกรณยี ะกรรม ควรมีพระภิกษุเข้ารว่ มอย่างน้อยแปดรปู ยกเวน้ โอกาสแหง่ อโุ บสถ สว่ นสงั ฆกรรมประเภทปญั จวรคกรณยี ะกรรม ควรมีพระภิกษุเข้าร่วมอย่างน้อยสิบรูป ยกเว้นปวารณากรรม หรือว่า สังฆกรมประเภทวิงศติวรคกรณียะกรรม ควรมีภิกษุเข้าร่วมอย่างน้อย สามสิบหรอื สามสิบหา้ รปู พระภิกษุควรบูชากราบไหว้สถูปเจดีย์ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ แสดง ความเคารพต่ออาจารย์ พระอุปัช¬าย์และพระเถระผู้อยู่ร่วมอาวาส เดยี วกนั สามยามแหง่ วนั สา� หรบั วนั อโุ บสถ พระภกิ ษคุ วรออกจากสถาน ท่ีพักอาศัยแล้วเข้าไปหาอาจารย์ ควรแสดงกิจทุกอย่างเก่ียวกับวัน
154 ศรีลังกากตกิ าวตั ร อุโบสถ จากนั้นกราบไหว้บูชาสถูปเจดีย์และต้นพระศรีมหาโพธิ์ พร้อม แสดงความเคารพพระเถระผู้พ�านักอยู่ในอาวาสเดียวกันหลังจากซัด ปัตกฑะแล้ว จากนั้นควรเตรียมอาสนะส�าหรับผู้แสดงธรรมเทศนาด้วย ความเคารพอย่างสูง ต้อนรับดูแลพระเถระผู้สาธยายพระปาติโมกข์ และนั่งฟังการสาธยายพระปาติโมกข์อย่างตั้งใจ หากการสวดพระ ปาติโมกข์ไม่มีอันตรายควรสาธยายให้จบทั้งหมด ส�าหรับยาวกาลิก และยามกาลกิ ควรเก็บไว้ในห้องอนั เหมาะสม ซ่งึ เว้นจากความสงสยั ว่า เปน็ ทรพั ย์สินและเตรยี มสา� หรับปรุงอาหาร เมื่อสัมมาจริยาของพระภิกษุรูปหนึ่งจะมีอยู่หรือไม่มีอยู่ แต่งบท กวีและสาธยายเป็นโศลกเพ่ือโน้มน้าวตนและปรารถนาการได้ส่ิงของ พระภิกษุนั้นแสดงความยินดีและเว้นจากการพิจารณาความผิดอันเป็น เหตุท�าลายสิ่งที่ให้ด้วยศรัทธา ไม่ควรจะเสนอดังเช่นผ้า แม้อย่างน้อย ชกั ชวนโดยความเมตตาสงเคราะหต์ วั เองพรอ้ มนา� ผตู้ ดิ ตามตนในทางผดิ เมอื่ รบั ผา้ กฐนิ ควรกางออกแลว้ ตากใหแ้ หง้ ดว้ ยความเหมาะสม ความชว่ั ส่งผลจากอาบัติหนักกล่าวคือปาราชิก ซ่ึงท�าให้เป็นอันตรายต่อ พรหมจรรย์ย่อมเป็นเร่ืองใหญ่ สมัยเริ่มต้นแห่งกฐิน และจบด้วยเดือน อานิสงส์แห่งกฐิน พระภิกษุควรเรียนทุกอย่างเกี่ยวกับกฐิน อุปสรรค น้อยใหญ่ พ้ืนฐานแปดประการเกี่ยวกับการขยายอานิสงส์กฐิน และ ประโยชน์ของกฐินห้าประการ ควรสอนพระภิกษุรูปอ่ืนและประพฤติตน อย่างเหมาะสม พระภกิ ษผุ ไู้ ดร้ บั สง่ิ ของมากควรใชส้ อยปจั จยั สรี่ ว่ มกบั ภกิ ษผุ อู้ าศยั อารามเดยี วกนั และแนะนา� ภกิ ษอุ น่ื ใหศ้ กึ ษาและปฏบิ ตั ธิ รรม และการทา�
ดัมพเดณกิ ตกิ าวัตร 155 อย่างอื่นอีกซึ่งจะเป็นผลในการป‡องกันตนเองและพระศาสนา ภิกษุ ไม่ควรซื้อและขายสิ่งของ ไม่ควรสะสมสิ่งของท้ังเหมาะสมและไม่ เหมาะสม และชื่อว่าท�าลายตนเองและผู้เก่ียวข้องกับตน หากยอมรับ ทาสชายหญิง ทด่ี นิ อา่ งเก็บน�า้ โคและกระบือ ภกิ ษผุ ฉู้ ลาดในพระวนิ ยั เป็นอย่างดีและมีความละอายควรปรึกษาก่อน การรับทาสเป็นต้น เหล่าน้ันควรปรึกษาพระเถระก่อน ไม่ว่าจะยินดีปัจจัยท่ีเป็นของอุบาสก หรือไม่ ภิกษุไม่ควรเย็บหรือร้อยสิ่งใด ดังเช่น ผ้ากฐินและอัฐบริขาร และให้สิ่งเหล่านแ้ี ก่อุบาสก พระภิกษุไม่ควรรับบ้านตามหมู่บ้านและพักอยู่แม้ราตรีเดียว พระภกิ ษไุ มค่ วรซอ้ื ขายบรขิ ารเชน่ จวี รทกุ สถาน เมอ่ื มกี ารปฏเิ สธตอ่ สว่ น แห่งบุคคลมีการรักษาท้ังหมด ควรรวมกันไว้เพื่อห้ามปรามจากส่ิงนั้น แต่ไม่ควรแบ่งเป็นสองส่วนและท�าในลักษณะที่ควรจะเป็นเหตุให้เกิด อันตรายท้ังแก่ภิกษุและพระศาสนา เม่ือแนะน�าภารกิจดังเช่นดูแล ฆราวาสผู้ป่วยแล้ว พระภิกษุไม่ควรท�าให้ครอบครัวมัวมอง ทองแดง โลหะและลกั ษณะคลา้ ยโลหะดงั เชน่ กระโถนทองเหลอื ง ควรเกบ็ ไวภ้ ายใน อารามและใช้เป็นทรัพย์สินสงฆ์อันเป็นสาธารณ์ แต่สามารถถือไปใช้ ท่อี น่ื โดยใชส้ อยเป็นการสว่ นตัวได้ การต้ังสมญานามว่า “มหาสมทุ รแหง่ คณุ ธรรม” และ “ผู้เปน็ เจ้า แหง่ ภตั ร” แกส่ ามเณรหรอื สามเณรี อบุ าสก หรอื อบุ าสกิ า เพอื่ โนม้ นา้ ว คนเหลา่ นน้ั ใหม้ อบสงิ่ ทไ่ี ดม้ าแกต่ นเอง โดยไมค่ า� นงึ ถงึ วา่ แบง่ ภกิ ษรุ ปู อน่ื หรอื ไม่ พระภกิ ษไุ มค่ วรเปน็ อยดู่ ว้ ยการรบั สงิ่ ของและเปน็ เหตทุ า� ลายตน และเพ่ือนพรหมจารี พระภิกษุไม่ควรใช้ขวานไม้และขวานหินเป็นต้น
156 ศรีลงั กากตกิ าวัตร หลังจากยึดเอาเป็นสมบัติส่วนตัว การเดินทางด้วยอุปกรณ์ดังเช่น คานหามก็ไม่ควรใช้ ด้วยการเปลี่ยนของภิกษุอ่ืนเพื่อให้เป็นสมบัติ ส่วนตัว ภิกษุไม่ควรใช้ตะกร้าท่ีประดับตกแต่งเพื่อเก็บน้�ามะนาวและ ยาหยอดตา ไม่ควรใช้จันทน์หอมท่ีประดับด้วยขนนกยูงอย่างสวยงาม ยกเวน้ นา� เครอ่ื งประดับตกแตง่ ทง้ั หมดออกเสียก่อน การโน้มน้าวตระกูลที่มีศรัทธา ซึ่งเขลาต่อพิธีกรรมทางศรัทธาให้ ถวายผ้าจีวร ด้วยการสัญญาว่าจะให้บวช และไม่ว่าจะเป็นการท�าจีวร เว้นจากผ้าที่ได้มาจริงหรือไม่ หรือไม่ว่าจะเป็นการรับลูกหลานให้บวช ภกิ ษไุ มค่ วรแทนบคุ คลผเู้ สนอตวั ดว้ ยผา้ จวี รในสถานะแหง่ บดิ ามารดาตน แสดงบิดามารดาด้วยรายการอาหาร ดูแลสุขภาพ เป็นต้น น้ีเป็นเหตุ ท�าลายพระภิกษุ ท�าลายตนและเพ่ือนพรหมจารี พระภิกษุไม่ควรท�า ศาสนาใหม้ วั หมอง พระภิกษุควรท�าหน้าที่ดูแลพระเถระผู้ร่วมอาศัยตามพุทธด�ารัส อันเตวาสิกและสัทธิวิหาริกควรท�าหน้าท่ีอย่างชาญฉลาด ควรท�าวัตร ปฏบิ ตั ติ อ่ อาจารยแ์ ละอปุ ชั ¬าย์ เมอ่ื อนั เตวาสกิ และสทั ธวิ หิ ารกิ บกพรอ่ ง ต่อหน้าที่ กล่าวคือประพฤติวัตรปฏิบัติต่อท่านเหล่านั้น อาจารย์และ อุปัช¬าย์ควรประพฤติเองโดยไม่ต้องลังเล ดังกล่าวแล้ว “พวกเราขอ ถวายปจั จยั สา� หรบั ผา้ จวี รแกภ่ กิ ษรุ ปู นน้ั ตามโอกาสแหง่ การอปุ สมบทของ ความเปน็ พระสถวรี ะ ผมู้ โี อกาสพน้ แลว้ จากนสิ ยั ผมู้ โี อกาสไดร้ บั แตง่ ตง้ั เปน็ เจา้ สา� นกั แห่งปริ เิ วณะ” ดว้ ยการกลา่ วดงั น้ี มีผศู้ รัทธาเปน็ จ�านวน มากถวายแด่ภิกษุ พระภิกษุไม่ควรใช้ผ้าคลุม เส้ือผ้า กลอง เป็นต้น จากปจั จยั ส�าหรบั ผ้าจีวรทร่ี ับแลว้
ดัมพเดณิกตกิ าวตั ร 157 การอนุญาตบรรพชาและอุปสมบทเพราะต้องการการรับส่ิงของ เชน่ ผ้าจวี ร พระภิกษไุ มค่ วรให้ผ้าจวี รเหลา่ น้นั เปน็ ต้นแก่ผอู้ ืน่ คหิ ิปฏสิ งั ยุกตกรรมควรจะกระท�าหลังจากขอโทษฆราวาสแล้วเท่าน้ัน แม้จะเป็น อภิยุกตยะ (wNshqla;h) ส�าหรับผู้อาศัยอยู่ในอาณาบริเวณแห่งตนไม่ ควรแสดงความหยาบคายดว้ ยการเอย่ ถงึ ชาตเิ ปน็ ตน้ หากพระภกิ ษสุ นใจ ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเป็นการเฉพาะ ควรท�าตามพระวินัยปิฎก และพระสตุ ตนั ตปฎิ ก ตอ้ งประกอบพธิ ตี อนพระอาทติ ยข์ น้ึ ควรเรม่ิ ตน้ ใน เวลาที่สามารถเปน็ ไปไดส้ �าหรับตน เพื่อให้เสร็จตามเวลาอยา่ งน้อยสอง ชั่วโมงกอ่ นพระอาทติ ยข์ น้ึ แตไ่ ม่ควรประกอบพธิ ีกรรมขณะพระอาทิตย์ ก�าลงั ขึน้ หากพระภิกษุให้สร้างอาคารท่ีอยู่แล้วพักอาศัย ควรท�าหลังจาก ก่อสรา้ งพร้อมกันในระยะทางอยา่ งนอ้ ยสองกณั ฑสนะ ระหวา่ งเขตของ อาคารทีอ่ ย่กู บั เขตของหมู่บ้าน เมอื่ อาศัยอยู่ดว้ ยกิรยิ านัน้ ควรใหส้ รา้ ง ดว้ ยอฐิ ขนาดหนาแต่ไม่ควรสงู มกี �าแพงรอบ ซงึ่ เปน็ เรอื่ งยากส�าหรับคน ภายนอกมองเห็นภายใน หรือคนภายในมองเห็นคนภายนอก และเป็น เรอื่ งยากสา� หรบั คนกระโดดขา้ ม ควรสรา้ งในลกั ษณะทค่ี นเดนิ ผา่ นประตู เข้าไปภายในบริเวณ โดยไม่สามารถสังเกตเห็นพระภิกษุผู้อยู่ภายใน พระภกิ ษไุ มค่ วรสรรเสรญิ คณุ แหง่ ศลี และความฉลาดของภกิ ษทุ อ่ี ยอู่ าศยั ด้วยกันต่อหน้าฆราวาส ดังเช่นพระมหากษัตริย์และพระมหาอุปราช เจตนาเพ่ือชักจูงให้ถวายปัจจัย หากท�ากิริยาด้วยการชักจูงเช่นน้ัน พระภิกษุ (ผู้มีคุณแห่งศีลและความฉลาดอันปราชญ์สรรเสริญแล้ว) ไม่ควรยนิ ดตี ่อปจั จยั ท่รี ับมาแลว้ น้นั
158 ศรลี ังกากตกิ าวัตร เมอื่ ผใู้ กลช้ ดิ กบั พระภกิ ษกุ ลา่ ววา่ “ตงั้ ตนในสกิ ขาบทหรอื สกิ ขาบท อันแนะน�าดแี ลว้ เปน็ เชน่ สิง่ ท่ไี มค่ วรทา� ” พระภกิ ษไุ ม่ควรดถู กู ผู้นนั้ หรอื วินัยที่เขาได้เอ่ยแล้ว เม่ืออันเตวาสิกและสัทธิวิหาริกขออนุญาตเพ่ืออยู่ อาศัยใกล้ชิดกับพระภิกษุรูปอ่ืน ซ่ึงฉลาดและมีความละอาย เน่ืองจาก เกดิ นวิ รณเ์ รอ่ื งบดิ ามารดาของตน หรอื เนอ่ื งจากความเจบ็ ปว่ ยของบดิ า มารดาทไี่ มส่ ามารถเยยี วยาได้ หรอื วา่ เนอื่ งจากพจิ ารณาเหน็ วา่ ตนไมไ่ ด้ รับคันถธุระและวิปัสสนาธุระ หลังจากแนะน�าให้ด�ารงตนและประพฤติ ตามภาระแหง่ ตนแลว้ อาจารยแ์ ละอปุ ชั ¬ายค์ วรอนญุ าตและปลอ่ ยตาม อิสระโดยไม่ขัดขวาง พระภิกษุควรด�ารงชีวิตด้วยจิตพร้อมด้วยสติ ดังเช่นว่า แม้วันหนึ่งเราไม่ควรตระหนักถึงความโกรธต่อผู้อื่น ยกเว้น ต้ังใจจะบวชคนเหล่าน้ันเสียแล้ว พระภิกษุไม่ควรสอนลูกหลานของ อุบาสก ไม่ควรให้สอนและเลี้ยงดู พระภิกษุไม่ควรยินดีปัจจัยที่อุบาสก ถวายเพราะการสอนลูกหลาน พระภิกษุไม่ควรสนใจกิจอันไม่เหมาะสม ดังเช่น การระบ�าปีศาจ การบูชายัญบาลี และพิธีกรรมบาลีเพื่อรักษา ความเจบ็ ปว่ ย หากบุคคลได้สละเพศบรรพชิตแห่งตนเป็นเวลานาน ยอมรับการ เคารพของฆราวาสและพระภิกษุ ขณะที่เพลิดเพลนิ โดยไร้ความกลัวตอ่ บรขิ ารทถ่ี วายโดยฆราวาส เปน็ ผสู้ ญู เสยี ความละอายและความพอเพยี ง ปรารถนาบรรพชาอปุ สมบทอกี ครั้ง นุ่งหม่ ผ้ากาสาวพัตร์เหมอื นเดมิ อกี ครั้ง ไม่ควรให้บรรพชาบุคคลเช่นน้ัน เน่ืองจากไม่สามารถประพฤติตน ห่างไกลจากบาปแม้ประพฤติพรหมจรรย์เป็นเวลานาน หากสามเณร ด�ารงเพศลักษณะเดียวกัน ด้วยความสงสัยว่าคนเช่นน้ีจะรักษาเพศ บรรพชาและอุปสมบทได้หรือไม่ แม้จะสามารถบวชอีกครั้ง พระภิกษุ
ดมั พเดณิกตกิ าวตั ร 159 ไม่ควรวางเฉยกับคนเช่นนี้ ผู้ปราศจากการยินดีต่อการสรรเสริญ พระภิกษุควรมุ่งมั่นกับความประพฤติอันดีงามทั้งกายและวาจา ความ ประพฤตินนั้ ย่อมท�าให้ทกุ คนเกดิ ความยนิ ดเี มอ่ื พบเห็น พระภิกษุควรรักษาธุดงค์ตามความสามารถแห่งตน ควรต้ังใจมุ่ง มน่ั อยา่ งนอ้ ยหนงึ่ ในสามตามความพอใจ ความทะยานอยากอนั ยง่ิ ใหญ่ ดงั กลา่ วแลว้ กลา่ วคอื ความอยากจะประกาศคณุ สมบตั เิ หลา่ นน้ั ดงั เชน่ การทรงศลี าจารวัตรและทรงความรู้ภายใน ความปรารถนาลามกกลา่ ว คือการอวดคุณธรรมอันไม่มี และความปรารถนามากเกินไป ซ่ึงกล่าว ถงึ แลว้ หลายตอ่ หลายครง้ั ควรละทง้ิ เสยี หรอื ควรหลกี เลย่ี ง การรา่� เรยี น และการสาธยายอเนสนาวิธี ๒๑ ประการ การพูดอันน่ารังเกียจ ๓๒ ประการ ความทะยานอยากในกามคณุ ๒๗ ประการ และยักษ์ ตัวจับศีลอีก ๓๔ ตัว ภิกษุควรด�ารงเพศพรหมจรรย์ให้เป็นอิสระจาก ความชว่ั เหล่าน้ี พระสถวรี ะ พระนวกะ และพระมชั ¬มิ ะทงั้ มวล ผเู้ ปน็ สมาชกิ ของ คณะสงฆ์ ควรหาท่ีจ�าวัดกลางคืนด้วยการด�ารงสติพิจารณาตัวตนและ ก�าหนดกายคตาสติ ควรตืน่ ตอนเชา้ ตรูแ่ ลว้ พิจารณากรรมฐาน จากนน้ั บริหารร่างกายด้วยการเดินจงกรม ควรซักซ้อมคัมภีร์ท่ีตนร่�าเรียนมา จากนนั้ นงุ่ สบงหม่ จวี รใหเ้ ปน็ ปรมิ ณฑล ทา� ความสะอาดฟนั และประพฤติ วัตรตามขันธกะ ดังเช่น วัตรเก่ียวกับสถูปเจดีย์ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และบริเวณอาราม วัตรเกี่ยวกับอาจารย์ วัตรเกี่ยวกับพระเถระ วัตรส�าหรับผู้อาพาธ และเสนาสนวัตร หากต้องการอาหารควรเข้าไป โรงฉนั ถอื เอาขา้ วต้มทา� ภตั กิจเสรจ็ ควรทา� วตั รเกยี่ วกบั โรงฉัน ยกเว้น
160 ศรลี งั กากตกิ าวัตร ผูต้ อ้ งทา� วัตร ดงั เชน่ การศึกษาคัมภรี ์และตา� รา การเย็บและการตากผา้ จีวร และการแจกจา่ ยบรขิ ารแกพ่ ระสงฆ์ เปน็ ต้น คร้นั ทา� วตั รเหลา่ นนั้ เสรจ็ แลว้ จึงรับเอาข้าวต้ม พระภิกษุควรใช้เวลากับการปฏิบัติกรรมฐาน ควรสนใจคันถธุระ และวปิ สั สนาธรุ ะดงั กลา่ วแลว้ ระหวา่ งเวลาภตั ตาหารเพลและเวลากลางวนั พระภิกษุควรเว้นจากการคลุกคลีกับฆราวาสหรือหมู่คณะ ยกเว้นเวลา ทา� หนา้ ที่ ดงั กลา่ วแลว้ วา่ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย มอี ยสู่ องประการ ภกิ ษุ ควรรักษาด้วยการร่วมประชุมสงฆ์ กล่าวคือการสนทนาธรรมหรือการ สงบนง่ิ โดยธรรม” ภกิ ษทุ ง้ั หลายผชู้ มุ นมุ กนั เพอ่ื สวดพระปรติ รตามความ จา� เปน็ ไมค่ วรพูดค�ามุสา คดิ ฟง‡ุ ซ่าน กอปร ความอยากและความชอบ เพราะการท�าเช่นน้ันชื่อว่าเป็นเหตุขัดขวางท�าให้ออกห่างจากความ ประพฤตอิ นั ถกู ตอ้ ง พระภกิ ษคุ วรพจิ ารณาในปฐมยามแหง่ ราตรดี ว้ ยการ ปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนาธรุ ะ และหลกี เลย่ี งสง่ิ ไรแ้ กน่ สาร ดงั เชน่ การเทศนาธรรม การฟังธรรม การสาธยายธรรม และการสนทนาหัวข้อธรรม ครั้น มัช¬มิ ยามของราตรีควรหาทจ่ี า� วดั ดา� รงสติและพจิ ารณากายคตาสติ ภิกษุท้ังมวลควรอ่านกติกาวัตรทุกวันอุโบสถ หากภิกษุรูปใดไม่ ต้ังใจรักษากติกาวัตรน้ี พระเถระผู้เป็นหัวหน้าแห่งคณะควรลงโทษ หลงั จากพระภกิ ษสุ ารภาพความผดิ แลว้ และควรลงโทษหากละเมดิ ความ ประพฤตอิ ยา่ งอนื่ ครัน้ แล้วควรตักเตอื นเพือ่ ไม่ใหท้ า� ผิดซา�้ อีก พระภกิ ษุ ผู้เป็นเพื่อนพรหมจารีควรปฏิบัติต่อเธอเพ่ือรักษาประโยชน์ท้ังสอง ซ่ึง ปลายทางจะน�าไปสูพ่ ระนพิ พาน พระสังฆปรินายกะ (ix>mrsKdhl) ผู้ทราบความจริงว่า พทุ ธศาสนายอ่ มมน่ั คงถาวร เนอื่ งจากมากดว้ ยพระสงฆผ์ มู้ คี วามละอาย
ดมั พเดณิกตกิ าวัตร 161 ควรประชมุ สงฆแ์ ละสงั่ สามเณรผปู้ รารถนาใหอ้ ปุ สมบท โดยประกอบพธิ ี ท่ามกลางคณะสงฆ์ จากน้ันพระอุปัช¬าย์ควรประกาศยืนยันว่า สามเณรเหล่าน้ีเป็นผู้เหมาะสมส�าหรับการอุปสมบทแล้วควรมอบตัวต่อ ที่ประชุมสงฆ์ สามเณรเหล่านั้นควรมีการตรวจสอบตามวิธีการและ การยอมรบั ตามขั้นตอน ดงั กลา่ วแลว้ “สามเณรเหลา่ นม้ี อี ายคุ รบ ๒๐ ปหี รอื ไม?่ ศรทั ธา มั่นคงในพระรัตนตรัยหรือไม่? สนใจศึกษาเพื่อความส�าเร็จแห่งตน หรือไม่? เป็นผู้พูดดีหรือไม่? หน่ึงปีขณะด�ารงเพศพรหมจรรย์ดูแลใกล้ ชิดอาจารย์หรือไม่? พยายามรักษาคุณธรรมและระเบียบวินัยโดยเว้น จากการท�าความเสียหายหรือไม่? ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยการรักษา ธุดงค์ตามความสามารถแห่งตนหรือไม่? ท่องจ�าคัมภีร์เหรณสิกขะได้ หรอื ไม?่ ทอ่ งจา� กตกิ าวตั รไดห้ รอื ไม?่ ขณะดา� รงเพศพรหมจรรยป์ ระพฤติ วตั รเกย่ี วกบั พระเถระผใู้ หญ่ รกั ษาหนา้ ทแี่ ละดแู ลพระเถระผใู้ หญห่ รอื ไม?่ หมดความสงสัยว่าอาบัติปาราชิกข้ออทินนาทานามีความเก่ียวข้อง หรือไม่? เมื่อมีการทะเลาะวิวาทจนเกิดความวุ่นวายได้แจ้งคณะสงฆ์ หรือไม่? เป็นผู้ไม่ชอบการทะเลาะวิวาทใช่หรือไม่? เป็นผู้ไม่ชอบการ ยกย่องชมเชยใชห่ รอื ไม่? ดังกล่าวแล้ว “พระภิกษุพอใจยินดีในตนหรือสันโดษ ซ่ึงเป็น พระพุทธพจนอ์ ้างถงึ ปจั จัย ๔ จรงิ หรอื ไม่? เปน็ ผสู้ นใจตอ่ การประพฤติ วตั รและทา� หนา้ ทต่ี อ่ อาจารยแ์ หง่ ตนหรอื ไม?่ เปน็ ผดู้ า� รงเพศพรหมจรรย์ ด้วยความประพฤติตนตามแบบชาวบ้านท�าให้คนอื่นยินดีหรือไม่? เป็นผู้ด�ารงเพศพรหมจรรย์อย่างชาญฉลาดในคันถธุระและวิปัสสนาธุระ
162 ศรลี งั กากตกิ าวัตร หรือไม่? เป็นผู้มุ่งม่ันศึกษาคันถธุระโดยสละเวลาประพฤติวิปัสสนาธุระ แม้มีเวลาอันน้อยนิดหรือไม่? ไม่เป็นทหารใช่หรือไม่? มิใช่ผู้ท้ิงผ้าจีวร ใชห่ รอื ไม?่ เปน็ ผเู้ ขา้ สคู่ ณะสงฆด์ ว้ ยความเขา้ ใจหรอื ไม?่ ไมม่ ปี ญั หาเรอ่ื ง ชาตแิ ละโคตรใชห่ รอื ไม?่ เปน็ ผมู้ สี ขุ ภาพแขง็ แรงใชห่ รอื ไม?่ เปน็ ผทู้ อ่ งจา� กติกาวัตรได้หรอื ไม?่ คร้ันตรวจสอบคุณสมบัติเหล่าน้ีแล้ว ควรท�าข้อตกลงว่าระยะ เวลาสามปขี ณะดา� รงเพศพรหมจรรยจ์ ะอยภู่ ายใตก้ ารดแู ลของอปุ ชั ¬าย์ อย่างใกล้ชิด จากน้ันควรอนุญาตการอุปสมบท ดังนี้ช่ือว่าพระศาสนา รงุ่ เรอื งตัง้ มัน่ แล้ว ปณั ฑปุ ลาสะควรอยอู่ าศยั ภายใตก้ ารดแู ลของพระอปุ ชั ¬ายอ์ ยา่ ง ใกล้ชิดเป็นเวลาหน่ึงปี หากโอกาสแห่งบรรพชามาถึงควรประชุมสงฆ์ แห่งคณะแล้วน�าเข้าสู่ท่ามกลางสงฆ์ จากนั้นพระอุปัช¬าย์มอบตัวต่อ หมู่สงฆ์แล้วสอบถามสัมมาจริยา หลังจากตรวจสอบคุณสมบัติและ คณะสงฆ์ยอมรับแล้วก็ควรให้บรรพชา เด็กชายคนน้ีไม่ยึดติดปัจจัย ใช่หรือไม่? เด็กชายคนนี้พอใจส่ิงท่ีตนได้รับหรือไม่? เป็นผู้ชอบทะเลาะ ววิ าทหรอื ไม?่ เปน็ ผสู้ มาทานรกั ษาเบญจศลี โดยไมด่ า่ งพรอ้ ยใชห่ รอื ไม?่ เปน็ ผเู้ คารพออ่ นนอ้ มตอ่ คณะสงฆห์ มใู่ หญห่ รอื ไม?่ ประพฤตพิ รหมจรรย์ เว้นขาดจากส่ิงไม่เหมาะสมหรือไม่? เป็นผู้ไม่ช่ืนชอบกีฬาใช่หรือไม่? ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยการขยันหม่ันเพียรศึกษาหรือไม่? เป็นผู้ผ่าน การเรยี นรู้กติกาวตั รหรือไม่? ครั้นตรวจสอบคุณสมบัติดังกล่าวครบแล้ว ควรมอบตัวต่อสงฆ์ และสอบถามสัมมาจรยิ าแลว้ ควรใหก้ ารบรรพชา
ดัมพเดณิกตกิ าวตั ร 163 ส�าหรับผู้สอบผ่านคัมภีร์นิสบณะ (ksinK) และคัมภีร์เตรบณะ แล้ว (f;rnK) หลังจากอาจารย์และอุปัช¬าย์สอบถามสัมมาจริยา แล้วควรมอบตัวต่อพระนายกะ ควรถามจ�านวนปีเกิดว่าครบถ้วนหรือ ไม่? ไม่ตอ้ งอาบตั ิปาราชกิ และสงั ฆาทิเสสหรอื สิกขาบทเหล่าอื่นหรือไม่? ทอ่ งจ�าบณะได้หรอื ไม่? เรียนบณะพรอ้ มกบั คัมภรี ฎ์ กี าหรอื ไม่? อาจารย์ ผู้สอนเปน็ ใคร? ไดเ้ รียนสิลิและปรินิรวาณสูตรหรอื ไม?่ ครน้ั แลว้ ควรให้ ทอ่ งสง่ิ ทต่ี นเรยี นมา ควรใหท้ อ่ งบณะของแตล่ ะคมั ภรี ์ จากนนั้ ตรวจสอบ คุณสมบัติตามกติกาวตั ร ดังนช้ี ่อื วา่ พระศาสนาร่งุ เรอื งตงั้ มน่ั แล้ว
164 ศรลี ังกากตกิ าวัตร สามันเทวาลัย บริเวณเมืองรัตนปุระ มณฑลสบรคามุวะ (คัดลอกจาก www.google. co.th/maps) วิหารประดิษฐานเทพสามัน ภายในสามันเทวาลัย เมืองรัตนปุระ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps)
ดมั พเดณิกตกิ าวัตร 165 วิหารประดิษฐานรอยพระพุทธบาทบนยอดเขาศรปี าทะ บริเวณทางข้ึนศรีปาทะหรือสถานที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps)
166 ศรลี ังกากตกิ าวตั ร เทวาลยั ของเทพวษิ ณแุ หง เมอื งเดวนิ วู ะระ มณฑลใต (คดั ลอกจากwww.google.co.th/maps) สัญลักษณ์การเซนไหวหลังจากสมความปรารถนาแลว เทวาลัยของเทพวิษณุแหงเมือง เดวนิ วู ะ (คดั ลอกจาก www.google.co.th/maps)
ดัมพเดณิกตกิ าวตั ร 167 ศิลาคํ้าเสา ภายในเมืองหลวงเกาดมั พเดณยิ ะ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps) เสาศลิ าสําหรบั ยนั อาคาร ภายในเมืองหลวงเกา ดมั พเดณิยะ (คัดลอกจาก www.google. co.th/maps)
168 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร ทางขึ้นพระราชวังดัมพเดณิยะ ภายในเมืองหลวงเกาดัมพเดณิยะ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps) ทองพระโรงสมัยดัมพเดณิยะ ภายในเมืองหลวงเกาดัมพเดณิยะ (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps)
ดมั พเดณกิ ตกิ าวตั ร 169 ó.ö ทัศนะและวจิ ารณ์ ó.ö.๑ คตคิ วามเชือ่ เรือ่ งพระเข้ียวแกว้ คมั ภรี ท์ าฐาธาตวุ งศพ์ รรณนาไวว้ า่ พระอรหนั ตเ์ ถระรปู หนง่ึ ชอื่ วา่ เขมะไดอ้ ญั เชญิ พระเขย้ี วแกว้ ขา้ งซา้ ยจากเชงิ จติ กาธานของพระพทุ ธเจา้ นา� ไปมอบถวายแดพ่ ระเจา้ พรหมทตั กษตั รยิ แ์ หง่ นครทนั ตบรุ แี ควน้ กาลงิ คะ คราวนั้นกษัตริย์และชาวเมืองศรัทธานับถือพระเขี้ยวแก้วมาก นับจาก นั้นเป็นต้นมาพระเข้ียวแก้วได้ประดิษฐานม่ันคงที่แคว้นกาลิงคะหลาย ชว่ั อายคุ น จนถงึ สมยั พระเจา้ คหุ สวิ ะจงึ เกดิ สงครามแยง่ ชงิ พระเขยี้ วแกว้ กบั กษตั รยิ ห์ วั เมอื งเหลา่ อน่ื ดว้ ยเกรงวา่ จะเปน็ อนั ตรายตอ่ พระเขย้ี วแกว้ พระเจ้าคุหสิวะจึงรับสั่งให้เจ้าชายทันตกุมารและเจ้าหญิงเหมมาลา อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วไปถวายกษัตริย์ลังกา ในระหว่างทางกษัตริย์ สองพระองค์ต้องพบกับอุปสรรคมากมาย แต่อาศัยปาฏิหาริย์ของพระ เขี้ยวแก้วจึงเดินทางถึงเกาะลังกาด้วยความปลอดภัย (พระธรรมกิตติ เถระ: 2544; 20-47) กษัตริย์แหง่ เกาะลังกาสมยั น้ันพระนามวา่ พระเจา้ กิตติสิริเมฆะ พระองค์ทรงปีติโสมนัสยิ่งนักได้มอบถวายเกาะลังกา ทั้งหมดเป็นพุทธบูชา จากนั้นให้จัดพิธีแห่แหนพระเขี้ยวแก้วเข้าเมือง หลวงอย่างยิ่งใหญ่พร้อมสร้างวิหารประดิษฐานภายในพระราชวัง (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 1: 2553; 352) ความศรัทธาของชาวลังกาต่อพระเข้ียวแก้วพบเห็นในบันทึกของ พระภิกษุฟาเหียน ผู้เดินทางมาเกาะลังกาและพบเห็นพิธีแห่แหนพระ เข้ียวแก้ว ดังความว่า “พระราชาได้ให้ท�ารูปภาพร่างกายแบบต่างต่าง นานา แสดงไว้ตามริมถนนท้ังสองข้าง ๕๐๐ รูป ส่วนเป็นภาพท่ีมี ปรากฏมาในต�านานของพระโพธสิ ตั ว์ เชน่ คร้งั เป็นสทุ าน ครั้งเปน็ สามะ
170 ศรลี ังกากตกิ าวัตร ครั้งเป็นพระยาคชสาร และเม่ือคร้ังเป็นกวางหรือม้า รูปภาพท้ังหมด เหล่านี้ระบายดว้ ยสอี ยา่ งสดใสและสา� เร็จพรอ้ มไปดว้ ยความงดงาม แล ดูประดุจสิ่งมีชีวิต ต่อจากน้ีพระทันตธาตุของพระองค์ถูกเชิญออกมา และพาไปในกลางถนน ทุกแห่งล้วนถวายเครื่องสักการบูชาต่อพระ ทันตธาตุตลอดทาง จนกระท่ังถึงวิหารของพระพุทธองค์ ณ อภัยคิรี อาราม ณ ทนี่ ั้น พระภกิ ษแุ ละคฤหัสถร์ วมกนั เปน็ กลมุ่ นอ้ ยใหญต่ า่ งเผา เคร่ืองหอมและจุดประทีปโคมไฟ ปฏิบัติกันอยู่เช่นน้ีตลอดก�าหนดเวลา ท้ังกลางวันและกลางคืนโดยมไิ ดห้ ยดุ จนกระท่งั ครบเวลาทมี่ ีงาน ๘๐ วันบรบิ รู ณ์ เมอื่ (พระทนั ตธาตุถูกอญั เชิญ) กลบั ไปสู่วิหารภายในนคร (ตามเดมิ ) แลว้ ในวนั ถือศีลประตวู ิหารจะเปิด ผู้ท่เี คารพนบั ถือก็เข้าไป กระท�ากิจพิธีและบ�าเพ็ญศีลตามวินัย” (จดหมายเหตุแห่งพุทธจักรของ ภิกษุฟาเหียน: 2561; 200-203) บันทึกดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าสถาบัน กษัตริย์ให้ความส�าคัญแก่พระทันตธาตุอย่างสูงยิ่ง ในฐานะเป็นตัวแทน ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ครั้นเข้าสู่สมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะสถานะของพระเข้ียวแก้ว เปลยี่ นไป จากเดมิ เปน็ ตวั แทนองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดก้ ลาย เปน็ ส่ิงศักดสิ์ ทิ ธิ์ปกปอ‡ งบ้านเมือง (the palladium of the kingdom) และสิทธิตามกฎมณเฑียรบาลเพื่อขึ้นครองราชย์ หลักฐานคือสมัย พระเจ้าวิชัยพาหุกอบกู้บ้านเมืองแล้วโปรดให้สร้างวิหารส�าหรับ ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วอย่างงดงามภายในบริเวณพระราชวัง พร้อมโปรดให้จัดพิธีแห่แหนบูชาอย่างยิ่งใหญ่ (พระธรรมกิตติเถระ: 2544; 552) ครนั้ ล่วงเขา้ สมยั พระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๑ ความสา� คญั ของพระเข้ียวแก้วยังคงมีลักษณะเช่นเดิม ดังหลักฐานว่า “แม้ในเกาะ
ดมั พเดณิกตกิ าวตั ร 171 สีหลจะมีรตนชาติซึ่งมีค่ามากทุกประเภทเป็นต้นว่าแก้วมณีและมุกดา แต่เกาะลังกาจะกลายเป็นเกาะร้าง เพราะพระเข้ียวแก้วและพระบาตร ธาตุของพระพุทธเจ้าไม่ใช่รัตนะธรรมดาเหมือนแก้วชนิดอ่ืน” (พระมหา นามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 1: 2553; 145) การแหแ่ หนพระเขยี้ วแกว้ แต่ละครั้ง พระเจ้าปรากรมพาหุแสดงความศรัทธาอย่างสุดซึ้งด้วยการ ทูนพระเข้ียวแก้วด้วยพระเศียร (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 1: 2553; 152-153) พระราชศรทั ธาดงั กลา่ วสามารถเกาะกมุ หวั ใจ ของชาวพุทธสิงหลทุกหมู่เหล่า เป็นเสมือนสะพานเชื่อมต่อระหว่าง อาณาจกั รกับศาสนาจกั รอย่างลงตัว ล่วงเข้าสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะ บทบาทของพระเขี้ยวแก้ว ในฐานะสทิ ธติ ามกฎมณเฑยี รบาลยง่ิ เดน่ ชดั มากขน้ึ สงั เกตไดจ้ ากพระเจา้ วิชัยพาหุที่ ๓ ผู้ประกาศแยกตนเป็นอิสระจากพระเจ้ามาฆะแห่ง เขตราชระฏะ ครั้นพระองค์ทราบว่าพระเขี้ยวแก้วได้มีพระสงฆ์อัญเชิญ ไปซุกซ่อนไว้ในที่ปลอดภัย จึงมีพระราชโองการให้เสนาบดีไปอัญเชิญ มายงั เมอื งดมั พเดณยิ ะ “ครน้ั พระองคท์ รงทอดพระเนตเหน็ พระเขยี้ วแกว้ แล้วมีพระราชหฤทัยยินดีย่ิงดุจรับจักรรัตนะเป็นต้น ดุจได้รับขุมทรัพย์ มหาศาลและดุจบรรลุพระนิพพาน ทรงมีพระหฤทัยเบิกบาน ทรงถือ พระธาตทุ ง้ั สอง ทรงอม่ิ เอบิ เสมือนเสวยสมบตั เิ หมือนพระเจ้ามนั ตธาต”ุ (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑิต ภาค 2: 2553; 245) สนั นษิ ฐาน ว่าสมัยนั้นชาวศรีลังกาหาได้มีศูนย์รวมแห่งจิตใจไม่ เพราะบ้านเมือง แตกแยกระส�่าระสาย พระเข้ียวแก้วจึงเป็นศูนย์รวมใจหนึ่งเดียวท่ีชาว ศรลี งั กาสามารถยึดเหนีย่ วได้
172 ศรลี ังกากตกิ าวตั ร ประเด็นน่าศึกษาเพ่ิมเติมคือสมัยนั้นเกาะลังกามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มากมายรอบเกาะลงั กา แตล่ ว้ นเปน็ ศาสนสถานไมส่ ามารถเคลอื่ นยา้ ยได้ และส่วนใหญ่อยู่ในเขตราชระฏะภายใต้การปกครองของพระเจ้ามาฆะ ขณะทพ่ี ระเขยี้ วแกว้ สามารถเคลอ่ื นยา้ ยไปตามหวั เมอื งนอ้ ยใหญไ่ ด้ ดว้ ย เหตุนี้พระเข้ียวแก้วจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ิหนึ่งเดียวที่ชาวศรีลังกาสามารถ เข้าสักการะได้อย่างใกล้ชิด ประการส�าคัญคือหากเปรียบเทียบกับส่ิง ศักดิ์สิทธ์ิเหล่าอ่ืน พระเขี้ยวแก้วถือว่าเป็นพระธาตุใกล้ตัวพระพุทธเจ้า มากกวา่ สง่ิ อนื่ เพราะเหตผุ ลทางศาสนาและเหตกุ ารณบ์ า้ นเมอื งผสานกนั จงึ ทา� ให้คติความเชอื่ พระเขยี้ วแก้วหลอมรวมเปน็ เนอื้ เดยี วกนั คตคิ วามเช่ือพระเข้ยี วแก้วสมัยพระเจา้ ปรากรมพาหุที่ ๒ มกี าร เสริมสาระหลายประการ ดังเช่น โปรดให้ตกแต่งวิหารประดิษฐาน พระเขยี้ วแกว้ อยา่ งสวยงามตระการตา สมยั จดั งานแหแ่ หนพระเขย้ี วแกว้ โปรดให้ตกแต่งพระนครเมืองหลวงท้ังหมด และทรงอ้างความศักดิ์สิทธิ์ ของพระเข้ียวแก้วกอ่ นท�าสงครามกับกษัตริย์อาณาจกั รอ่ืน เหนือส่ิงอื่น ใดทรงอ้างว่าเกาะลังกาเป็นดินแดนเหมาะสมต่อการประดิษฐานพระ พุทธศาสนา เพราะพระพทุ ธเจา้ เคยเสดจ็ มาโปรดสามครง้ั สามหน และ ด้วยอานุภาพของพระเข้ียวแก้วจึงท�าให้เกาะลังการอดปลอดภัยจาก กษัตริย์ผู้เป็นมิจฉาทิฐิ (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 2: 2553; 252-253) สนั นษิ ฐานวา่ วธิ กี ารดงั กลา่ วนนั้ กษตั รยิ ล์ งั กาตอ้ งการ สร้างแรงจูงใจแก่พสกนิกรเพื่อกอบกู้บ้านเมืองจากอริราชศัตรู ผู้ครอบ ครองเกาะลังกาหรือผู้รุกรานเฉกเช่นพระเจ้าจันทรภาณุแห่งอาณาจักร ตามพรลิงค์เปน็ ต้น
ดัมพเดณกิ ตกิ าวัตร 173 สถานภาพอีกอย่างหนึ่งของพระเขี้ยวแก้วที่เพิ่มเข้ามาสมัยนี้คือ เป็นผู้ประทาน½น (rain maker) คัมภีร์มหาวงศ์พรรณนาเร่ืองราว ดังกล่าวไว้ว่า “สมัยนั้นเกาะลังกาล�าบากเดือดร้อนข้าวกล้าเห่ียวแห้ง เฉาตาย มหาชนชาวลงั กาอดอยากยากแคน้ หวาดหวนั่ พรน่ั พรงึ ไปทวั่ ทกุ หวั ระแหง พระเจา้ แผน่ ดนิ รบั สงั่ ใหเ้ ฉลมิ ฉลองพรอ้ มกนั ทว่ั ลงั กา เปน็ การ เฉลิมฉลองถวายบูชาแด่พระรัตนตรัย พระเจดีย์ ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ ทวยเทพผู้มีมหิทธิฤทธิ์ที่น่าบูชามีเมตไตยเทพผู้เป็นที่พึ่งเป็นต้นด้วย เคร่ืองบูชานานาชนิด ทรงชุมนุมพระสงฆ์หมู่ใหญ่พร้อมเพรียงกัน อาราธนาให้สวดพระปริตรถวายเป็นพุทธบูชา รับสั่งให้ท�าประทักษิณ พระเขย้ี วแกว้ รอบพระนครดว้ ยความเคารพ ทรงตง้ั จติ อธษิ ฐานวา่ ขอ½น จงตก” (พระมหานามเถระและคณะบัณฑติ ภาค 2: 2553; 283-284) สันนิษฐานว่าอาณาจักรดัมพเดณิยะตั้งอยู่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของ เกาะลังกา ซึ่งเป็นบริเวณร่องมรสุมแตกต่างจากเขตอ่ืน อีกทั้งมีพ้ืนท่ี ทา� การเพาะปลกู เปน็ อนั มาก ความตอ้ งการนา�้ ½นเพอ่ื ทา� การเกษตรยอ่ ม มมี ากเปน็ ธรรมดาวสิ ยั พระเขยี้ วแกว้ ในฐานะสงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธสิ์ งู สดุ จงึ ไดร้ บั การยกสถานภาพให้เป็นเทพเจ้าผู้ประทาน½น เพื่อให้สอดคล้องกับ ความตอ้ งการของชาวลังกาผอู้ าศยั อยบู่ ริเวณนั้น ประเด็นเพ่ิมเติมคืออิทธิพลความย่ิงใหญ่ของพระเข้ียวแก้ว ในฐานะเป็นสิทธิโดยชอบธรรมในการครองราชย์เหนือเกาะลังกา (the legitimate right to the sovereignty) นา่ จะส่งผลตอ่ ความ คดิ ของพระเจา้ จนั ทรภาณแุ หง่ ตามพรลงิ คไ์ มน่ อ้ ย สงั เกตไดจ้ ากพระองค์ ยกทัพอันย่ิงใหญ่เกรียงไกรจากอาณาจักรตามพรลิงค์ เพื่อมายึดครอง พระเขยี้ วแกว้ ของชาวลงั กา (พระมหานามเถระและคณะบณั ฑติ ภาค 2: 2553; 296)
174 ศรีลังกากตกิ าวัตร ó.ö.๒ การศึกษาของคณะสงฆ์ การศกึ ษาของคณะสงฆส์ มยั นี้ แบ่งออกเปน็ ๔ ช้ัน ดงั น้ี ๑) ชั้นแรกเรยี กวา่ ปณั ฑปุ ลาสะ สา� หรบั ผเู้ ตรยี มเขา้ พิธบี รรพชา หรือผู้มีคุณสมบัติบกพร่องขาดความเหมาะสมที่จะเข้าพิธีอุปสมบท หลักสูตรช้ันน้ีมีระยะเวลาเรียน ๑ ปี คัมภีร์ส�าหรับเป็นหลักสูตรการ เรียนการสอนคือ ๑) คัมภีร์แอนะวุม (เก่ียวกับอักษรภาษาสิงหล) ๒) คมั ภรี ส์ กสกฑะ (คมั ภรี เ์ กย่ี วกบั พทุ ธประวตั )ิ ๓) คมั ภรี ส์ ตรภาณวาร (พระสูตรจากคัมภีร์สวดพระปริตร) และ ๔) คัมภีร์ธรรมปิยา (คัมภีร์ เกย่ี วกบั ธรรมบท) พเิ คราะห์แล้วเหน็ วา่ นา่ จะเป็นการปพู ้นื ฐานดา้ นการ อ่านเขียนพุทธประวัติเป็นเบ้ืองต้น เพ่ือกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดศรัทธาใน พุทธจริยา ส่วนพระปริตรและคาถาธรรมบทน่าจะเป็นการสงเคราะห์ ชาวบ้านด้วยการสวดและสนทนาธรรม น่าเสียดายไม่มีรายละเอียด ชดั เจนวา่ พระปรติ รทนี่ า� มาสวดมพี ระสตู รใดบา้ ง หรอื คาถาธรรมบททนี่ า� มาศึกษาเล่าเรียนนั้นมีมากมายครบถ้วนตามคัมภีร์ธรรมบทหรือไม่ แต่ ส่ิงที่น่าเชื่อถือได้มากสุดคือช้ันน้ีนักเรียนน่าจะเน้นท่องจ�าให้ขึ้นใจเป็น หลกั เพราะเป็นธรรมเนยี มปฏิบตั ขิ องการศึกษาศรีลงั กาสมัยโบราณ สว่ นคา� แนะนา� ของนกั เรยี นชน้ั นคี้ อื เวน้ จากการคลกุ คลกี บั หมคู่ ณะ และเว้นจากการเจรจาไร้สาระ ต้องมีกริยามารยาทงดงาม และปฏิบัติ ตามกฎระเบียบของอารามวิหาร ครั้นจบหลักสูตรช้ันนี้แล้วแล้วควรน�า ตวั ไปมอบใหแ้ กพ่ ระนายกะแตนหรอื พระเถระผใู้ หญ่ เพอื่ ตรวจสอบความ ร้แู ละวัตรปฏิบัติ หากอายุเพยี ง ๑๒ ปี จะตอ้ งพกั อาศยั ในอารามของ คณะสงฆ์½่ายคามวาสี แต่หากมีอายุ ๑๓ ปี จะต้องไปอยู่กับอาราม
ดมั พเดณกิ ตกิ าวัตร 175 ของคณะสงฆ์½่ายอรัญวาสี สันนิษฐานว่าการระบุวัยดังกล่าวน่าจะ เป็นการก�าหนดโดยภาพกว้าง มิได้ระบุแน่นอนตายตัว เน่ืองจากคณะ สงฆ์สมัยน้ันแบ่งออกเป็นสองคณะ กล่าวคืออรัญวาสีและคามวาสี สามเณรของแต่ละคณะย่อมมีสิทธิเลือกสถานท่ีเรียนตามครูอาจารย์ แห่งตน การก�าหนดอายุการปฏิบัติธรรมว่า ๑๓ ปี น่าจะเป็นวัย เหมาะสมท่ีจะอยู่วัดป่าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แต่ก็ต้องมีครูอาจารย์ ควบคุมดแู ลอยา่ งใกลช้ ดิ อีกส่วนหน่ึงคือผู้เรียนช้ันนี้ต้องศึกษาคัมภีร์กาคิยาสิ คัมภีร์ จตุปาริสุทธิสลี ะ คัมภรี ส์ ตรกมฏหนั และมหาณกตกิ าวตั ร รายละเอียด ของแต่ละคัมภีร์เหล่าน้ีไม่สามารถสืบค้นหาหลักฐานได้ เพราะล้วน สูญหายไปตามกาลเวลา หากตรวจสอบชื่อของคัมภีร์เหล่าน้ีสามารถ วเิ คราะหไ์ ดว้ า่ ลว้ นเปน็ คมั ภรี ส์ า� หรบั เปน็ แนวทางแหง่ การปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนา กรรมฐาน เฉพาะมหาณกิตาวัตรไม่สามารถชี้ชัดเจนได้ว่ามีเน้ือหา เก่ียวข้องอะไร เชื่อว่าคัมภีร์เหล่านี้น่าจะสอนนักศึกษาผู้ใ½่การปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน เป็นไปได้หรือไม่ว่าสามเณรผู้มีอายุ ๑๓ ปี ผู้จะ ตอ้ งไปอยกู่ บั อารามคณะสงฆอ์ รญั วาสตี ามกตกิ าวตั รระบนุ นั้ คอื ผศู้ กึ ษา คมั ภรี เ์ หลา่ นใ้ี หถ้ อ่ งแท้ สว่ นมหาณกตกิ าวตั รนา่ จะเปน็ การสวดสาธยาย ในวนั สงั ฆกรรมของคณะสงฆ์ ๒) ชน้ั สองเรยี กวา่ สามเณร ชน้ั น้เี หมาะสา� หรบั สามเณร โดยผู้ เรยี นตอ้ งพกั อาศยั และศกึ ษาภายใตค้ า� แนะนา� สง่ั สอนของอปุ ชั ¬ายอ์ ยา่ ง ใกล้ชิด หลักสูตรชั้นน้ีประกอบด้วย ๑) คัมภีร์เหรณสิกขา เน้ือหาว่า ดว้ ยเสขยิ ะ ๒) คัมภีรจ์ ตปุ าริสุทธิศีล วา่ ดว้ ยศีลคือบรสิ ุทธิ์ ๔ ประการ ๓) คมั ภรี ก์ าคยิ าสี วา่ ดว้ ยการพจิ ารณากายสงั ขาร ๔) คมั ภรี ส์ ตรกมฏหนั
176 ศรีลงั กากตกิ าวัตร วา่ ดว้ ยหวั ขอ้ กรรมฐาน และ ๕) ธดุ งควตั ร วา่ ดว้ ยขอ้ ปฏบิ ตั เิ พอื่ ขดั เกลา กเิ ลสอยา่ งยง่ิ พเิ คราะหแ์ ลว้ หลกั สตู รชน้ั นส้ี บื เนอ่ื งตอ่ จากชน้ั ปณั ฑปุ ลาสะ กล่าวคือต้องการให้ผู้เรียนโน้มเอียงเพ่ือการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เฉพาะธงุ ควตั รน้นั ไม่สามารถยนื ยันไดว้ า่ นกั ศึกษาควรเลอื กปฏบิ ตั ิข้อใด หรอื ตอ้ งปฏบิ ตั ทิ งั้ หมด ๑๓ ขอ้ สนั นษิ ฐานวา่ ดว้ ยวยั เพยี งเปน็ สามเณร ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ผู้เรียนน่าจะเลือกธุดงควัตรตามจริตและความ สามารถแหง่ ตน และการปฏิบัตนิ ่าจะเรม่ิ จากพ้นื ฐานเป็นหลัก โดยมีครู อาจารย์เปน็ ผ้สู อนสั่งดูแลควบคมุ อยา่ งใกลช้ ดิ หลักสูตรชั้นน้ีชี้ให้เห็นว่าอุปัช¬าย์อาจารย์ผู้ท�าหน้าที่สอนส่ัง ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระ หากเป็นเช่นน้ียืนยัน ไดว้ า่ หลกั สตู รการศกึ ษาคณะสงฆส์ มยั นน้ั ไมม่ กี ารแยกคณะคามวาสแี ละ อรญั วาสี ประการสา� คญั คอื พระสงฆค์ ามวาสผี ทู้ า� หนา้ ทเี่ ปน็ อาจารยส์ อนสง่ั กเ็ ชยี่ วชาญดา้ นวปิ สั สนาธรุ ะเชน่ กนั หากเปน็ เชน่ นนั้ ยอ่ มหาขอ้ แตกตา่ ง ระหว่างคณะสงฆ์คามวาสีและอรัญวาสีมิได้ สันนิษฐานว่าผู้ก�าหนด หลกั สตู รตอ้ งการใหผ้ เู้ รยี นศรทั ธามน่ั คงในบวรพระพทุ ธศาสนาแตต่ น้ มอื เพราะเนื้อหาของคัมภีร์ล้วนชี้ว่าเป็นอุบายชักน�าให้เกิดความเล่ือมใสใน พระพุทธศาสนา เพอื่ เป็นศาสนทายาทท่ีดสี บื ทอดพระพทุ ธศาสนาต่อไป ๓) ช้ันสามเรียกว่านิสสัยหรือนวกะ หลักสูตรชั้นน้ีส�าหรับ พระสงฆ์ชั้นนวกะข้ึนไปแต่ยังไม่พ้นนิสัยหรือครบเบญจพรรษา ส�าหรับ ผู้ท�าหน้าท่ีส่ังสอนน้ันเน้นพระสงฆ์นักปราชญ์ด้านพระวินัยเป็นหลัก ส่วนระยะเวลาการเรยี นการสอน ๕ ปี คัมภีร์สา� หรบั การเรียนการสอน ชั้นน้ี คอื ๑) คัมภีรน์ สิ บณะ ๒) คัมภรี ์นศิ รยมกุ ตภาหสุ รตุ ยยะ และ
ดมั พเดณิกตกิ าวัตร 177 ๓) คัมภีร์นิสสยมุกตสัมมุติ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าคัมภีร์ท้ังสามเล่ม ดังกล่าวมีรายละเอียดเก่ียวกบั อะไร สืบเนอื่ งตอ่ จากชน้ั สามเณรหรือไม่ แต่หากวิเคราะห์ศัพท์หลักสูตรน่าจะบ่งถึงภาวะของพระนวกะก่อนที่จะ พ้นนิสัย พิเคราะห์คัมภีร์นิสบณะแล้วน่าจะมีเนื้อหาว่าด้วยการเทศนา ธรรมสา� หรบั สงเคราะหช์ าวบ้าน หรอื เนอ้ื หาว่าดว้ ยการอนโุ มทนาคาถา หลังจากกระทา� ภัตกจิ เสร็จแล้ว สว่ นอกี สองคมั ภรี น์ ่าจะมีเนื้อหาว่าด้วย พระวนิ ยั บญั ญตั แิ ละสงั ฆกรรมสา� คญั เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นรอบรแู้ ละเชยี่ วชาญ ก่อนทีจ่ ะพ้นนิสยั กลายเปน็ ครูอาจารย์สอนสัง่ ศษิ ยานศุ ิษย์สบื ตอ่ ไป นอกน้ันแล้ว ผู้เรียนชั้นนี้ยังต้องศึกษาคัมภีร์มูลสิกขา คัมภีร์ กตกิ าบณะ (อาจเปน็ คา� สอนทตี่ ราไวใ้ นกตกิ าวตั ร) คมั ภรี ส์ ขิ ะวลณั ฑวนิ สิ ะ เฉพาะคัมภีร์สิขะวลัณฑวินิสะมีการสอบสองครั้งต่อปี สันนิษฐานว่า เนอ้ื หาของคมั ภรี เ์ หลา่ นน้ี า่ จะเปน็ การทบทวนความรชู้ น้ั สามเณร สงั เกต ได้จากชั้นน้ีผู้ท�าหน้าที่ส่ังสอนนอกจากจะเป็นพระสงฆ์นักปราชญ์แล้ว พระอุปัช¬าย์ก็ต้องท�าหน้าท่ีดูแลอย่างใกล้ชิด ตามพระวินัยบัญญัติว่า ด้วยหน้าที่ของพระอุปัช¬าย์ ความเข้มข้นของช้ันน้ีน่าจะเป็นการ เค่ียวเข็ญผู้เรียนให้เป็นพระสงฆ์ท�าหน้าท่ีอย่างมีประสิทธิภาพท้ังต่อ พระศาสนาและชาวบ้าน ๔) ชั้นสูงสุดเรียกว่ามหาเถระ หลักสูตรชั้นนี้เข้มข้นกว่าทุกชั้น กล่าวคือผู้เรียนต้องศึกษาพระไตรปิฎกพร้อมคัมภีร์อรรถกถาทั้งหมด จุดประสงค์คือเสริมความแข็งแกร่งของเสาหลักแห่งพระพุทธศาสนา ได้แก่ ความร้ดู ้านคา� สอน (ปรยิ ัติ) การ½ƒก½น (ปฏิบัต)ิ และการรู้แจ้ง (ปฏเิ วธ) พเิ คราะหแ์ ลว้ ผผู้ า่ นหลกั สตู รชนั้ นต้ี อ้ งใชเ้ วลาหลายปี สว่ นการ
178 ศรีลังกากตกิ าวตั ร สอบวัดผลน่าจะผ่านกระบวนการหลายอย่าง เพราะเป‡าหมายต้องการ ให้พระสงฆ์มีความสามารถครบถ้วน สันนิษฐานว่าแต่ละปีน่าจะมี พระนักศึกษาผ่านช้ันนี้เพียงจ�านวนน้อย เนื่องจากหลักสูตรเป็นปัจจัย ช้ีบอก ประเด็นเพ่ิมเติมคือหลักฐานมิได้บอกว่าอาจารย์ผู้สอนช้ันนี้มี คุณสมบัตอิ ยา่ งไร เชอ่ื ว่าผูส้ อนนา่ จะเป็นพระเถระผูใ้ หญ่ชัน้ มหาสถวรี ะ หรือมหาสามี ส�าหรับผู้ผ่านช้ันน้ีถือว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน นอกจาก เป็นอาจารย์สอนสั่งศิษยานุศิษย์แล้ว ย่อมมีสิทธิ์ได้รับการคัดเลือกให้ ด�ารงต�าแหน่งมหาสถวรี ะของคณะสงฆ์½่ายคามวาสแี ละอรญั วาสี ผลจาการศึกษาอันเป็นระบบท�าให้พระสงฆ์นักปราชญ์แต่งต�ารา เปน็ จา� นวนมาก ตัวอย่างเช่น ๑) พระสังฆราชอโนมทัสสีไดแ้ ตง่ คัมภรี ์ ฉันท์โหราศาสตร์ช่ือว่าไทวัญการนเธนุ ๒) ศิษย์ของท่านได้แต่งคัมภีร์ ภาษาบาลีช่ือว่าหัตถวนคัลลวิหารวังสะ ว่าด้วยพระราชประวัติของ กษัตริยผ์ ู้บ�าเพญ็ โพธสิ ัตว์บารมี ๓) พระเวเทหเถระผู้เป็นศษิ ย์ของพระ อรญั ญรตั นะอานนทเ์ ถระไดแ้ ตง่ ฉนั ทภ์ าษาบาลนี ามวา่ สมนั ตกฏู วณั ณนา วา่ ดว้ ยการพรรณนารอยพระพทุ ธบาทที่ศรีปาทะ ๔) ถดั มาชอ่ื วา่ คัมภีร์ รสวาหินีเป็นการรวบรวมนิทานของอินเดียและลังกา ๕) อีกเล่มหนึ่ง พระเวเทหเถระไดแ้ ตง่ คมั ภรี ไ์ วยากรณ์ชอ่ื ว่าสีหลสัททลกั ขณะ ๖) ศษิ ย์ ของพระอานนทเ์ ถระอกี รปู หนงึ่ นามวา่ โคตมะ ไดแ้ ตง่ คมั ภรี ส์ มั พนั ธจนิ ตา สันยยะเป็นภาษาสิงหล ๗) ศิษย์พระอานนท์เถระอีกรูปหนึ่งคือ พระพทุ ธปั ปยิ เถระไดแ้ ตง่ คมั ภรี ไ์ วยากรณภ์ าษาบาลชี อ่ื วา่ รปู สทิ ธิ ๘) อกี เลม่ ชอ่ื วา่ คมั ภรี ป์ ชั ชมธวุ า่ ดว้ ยพทุ ธลกั ษณะ ๙) คมั ภรี ป์ ชู าวลยิ ะเปน็ ผล งานของพระมยูรปาทเถระวา่ ด้วยเรือ่ งราวทางศาสนา และ ๑๐) เป็น คมั ภรี ท์ างการแพทยช์ อ่ื วา่ เภสชั ชมญั ชสุ าเปน็ ผลงานของพระปญั จมลู เถระ
ดัมพเดณกิ ตกิ าวัตร 179 ó.ö.ó วรรณะเหนอื คณะสงฆ์ ดมั พเดณกิ ตกิ าวัตรระบวุ า่ การพิจารณาแตง่ ตง้ั พระสงฆเ์ พื่อด�ารง ต�าแหน่งเจ้าส�านกั อายตนะ ต้องประกอบดว้ ยคุณสมบตั ิ ดังนี้ ๑) ต้อง มีพรรษายุกาลครบ ๑๐ ปี ๒) ต้องมีศีลาจารวัตรงดงาม ๓) ต้อง แตกฉานในคมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ ก และ ๔) ตอ้ งสบื สายมาจากตระกลู สงั คมุ และตระกูลคณแวสิเท่าน้ัน ส�าหรับผู้ท�าหน้าท่ีตรวจสอบคุณสมบัติ ดังกล่าวต้องได้รับการแต่งตั้งจากคณะสงฆ์ และสุดท้ายการด�ารง ตา� แหนง่ จะสมบรู ณต์ อ้ งไดร้ บั การยอมรบั จากสถาบนั พระมหากษตั รยิ ด์ ว้ ย ประเด็นคือต�าแหน่งเจ้าส�านักอายตนะต้องมาจากตระกูลสังคมุและ ตระกูลคณแวสินั้น ถือว่าท้าทายความคิดของนักวิชาการชาวศรีลังกา นับแต่อดีตถึงปรัตยุบัน เหตุเพราะคตินิยมเช่นน้ีไม่เคยปรากฏเห็นใน ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกามาก่อน ขณะเดียวกันการสืบค้นหา หลักฐานมาอ้างอิงก็เป็นไปได้ยากย่ิงนัก ด้วยเหตุน้ัน นักวิชาการชาว ศรีลังกาจงึ ใช้วธิ ีวิเคราะหห์ ลักฐานอันนอ้ ย เพอื่ เปรียบเทยี บพัฒนาการ ของประวตั ิศาสตร์คณะสงฆเ์ นน้ ตคี วาม สมยั พระเจา้ วชิ ยั พาหทุ ่ี ๑ (พ.ศ.๑๕๙๘-๑๖๕๓) แหง่ อาณาจกั ร โปโฬนนารุวะ คร้ันพระองค์กอบกู้บ้านเมืองจนเป็นอิสระจากทมิฬโจฬะ เรียบร้อยแล้ว พระองค์ทรงหันมาปฏิรูปพระศาสนาพร้อมถวายความ อุปถัมภ์แก่พระสงฆ์ตลอดเกาะลังกา ด้วยการบูรณปฏิสังขรณ์อาราม วิหารเก่าที่ทรุดโทรมผุผังสมัยทมิฬโจฬะเผาท�าลาย และโปรดให้สร้าง อารามวหิ ารหลายแหง่ เพอื่ ใหเ้ พยี งพอตอ่ พระสงฆผ์ สู้ นใจศกึ ษาพระธรรม คา� สอนของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ นอกจากถวายความอปุ ถมั ภพ์ ระสงฆ์
180 ศรลี งั กากตกิ าวัตร แล้ว พระองค์ยังโปรดให้ประทานหมู่บ้านหลายแห่งส�าหรับบ�ารุงรักษา อารามวิหารแก่เครือญาติของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานด้วย (พระมหานามเถระและคณะบัณฑติ ภาค 1: 2553; 545-546) ประเดน็ นไ้ี มส่ ามารถทราบไดช้ ดั เจนวา่ การพระราชทานหมบู่ า้ นแกเ่ ครอื ญาตขิ อง พระสงฆ์น้ัน เป็นการมอบให้เป็นสิทธิส่วนตัวหรือว่าถวายเพ่ือเป็นส่วน หนง่ึ ของอารามวหิ าร ผเู้ ขยี นเชอ่ื วา่ ลกั ษณะดงั กลา่ วนา่ จะถวายแดค่ ณะ สงฆแ์ ตท่ �าในนามเครอื ญาติ เนอื่ งจากสมัยน้นั คณะสงฆ์ศรีลังกายังแบ่ง แยกออกเปน็ สามนกิ ายหลกั หากมกี ารถวายแกเ่ ครอื ญาตโิ ดยตรงนา่ จะ ปรากฏเหน็ หลกั ฐานในคณะสงฆ์ การแยกถวายเฉพาะนกิ ายใดนกิ ายหนง่ึ น่าจะไม่สมเหตุสมผล อย่างไรกต็ าม การอ้างถึงเครอื ญาตินา่ จะชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ รอ่ งรอยของวรรณะภายในคณะสงฆน์ บั แตส่ มยั นนั้ เปน็ ตน้ มา คุณวรรธนะเช่ือว่าวรรณะภายในคณะสงฆ์สมัยอาณาจักรโปโฬน นารุวะได้รับอิทธิพลมาจากพราหมณ์ เพราะหลักฐานชี้บอกว่านับจาก สมัยโปโฬนนารุวะเป็นต้นมา กษัตริย์สิงหลล้วนให้ความส�าคัญแก่ พราหมณ์ผู้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา สงั เกตได้จากมีเทวาลัยติดกบั วัดพระเข้ยี วแก้วภายในบรเิ วณพระราชวัง บางคร้ังกษตั รยิ ์พระราชทาน ที่ดินเป็นจ�านวนมากแก่พราหมณ์ผู้มีช่ือเสียง หรือพราหมณ์ผู้ประกอบ พิธีกรรม ด้วยการครอบครองท่ีดินเป็นจ�านวนมากพวกพราหมณ์น่าจะ มีระบบการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นเหตุให้พระสงฆ์พากัน ประพฤตเิ ลยี นแบบ ครน้ั นานวา่ การครอบครองทดี่ นิ เปลย่ี นจากอารามกิ ะ กลายเป็นเครือญาติ ทั้งน้ีเพ่ืออ้างสิทธิการครอบครองทางตระกูล เช่นเดียวกับการรับมรดกเปลี่ยนมือจากบิดาสู่บุตร (Gunawardhana; 1979; 220-221) หลกั ฐานดังกล่าวนา่ จะมีความเปน็ ไปไดค้ อ่ นข้างมาก เนอื่ งจากการขุดคน้ ทางโบราณคดบี รเิ วณเมืองเก่าโปโฬนนารุวะ ได้พบ
ดมั พเดณกิ ตกิ าวตั ร 181 หลกั ฐานทางประตมิ ากรรมเทพเจา้ Îนิ ดซู งึ่ มลี กั ษณะคลา้ ยอนิ เดยี ตอนใต้ (Anuradha Seneviratna: 1998; 273-274) เช่อื วา่ การปกครองของ กษัตริย์ทมิฬโจฬะเหนือลังกาเกือบเจ็ดทศวรรษ น่าจะมีอิทธิพลต่อ ความเชอ่ื ของชาวศรลี งั กาไมน่ ้อย ส่วนปาณโบกเกได้แสดงความเห็นว่าวรรณะภายในคณะสงฆ์เร่ิม ต้นอย่างชัดเจนนับตั้งแต่สมัยโปโฬนนารุวะเป็นต้นมา หลักฐานคือ วรรณกรรมของพระสงฆ์ชาวอินเดียตอนใต้ ซ่ึงอ้างว่าตนสังกัดวรรณะ พราหมณ์ ตัวอย่างเช่น พระกัสสปเถระแห่งแคว้นโจฬะผู้แต่งคัมภีร์ วมิ ตวิ โิ นทนอี า้ งวา่ ตนสงั กดั วรรณะพราหมณ์ สว่ นพระสงั ฆราชอโนมทสั สี เถระผู้มีชีวิตสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ ระบุว่าตนสังกัดวรรณะ พราหมณ์เช่นกัน อิทธิพลเรื่องวรรณะของพระสงฆ์แห่งอินเดียใต้น่าจะ ส่งผลต่อคณะสงฆ์ศรีลังกา (Gunaratne Panabokke: 1993; 186-187) ผู้เขียนเชื่อว่าอิทธิพลดังกล่าวน่าจะมีผลน้อยกว่าพวก พราหมณผ์ ปู้ ระกอบพธิ กี รรม เนือ่ งจากพระสงฆช์ าวอนิ เดยี ใตท้ เี่ ดนิ ทาง เขา้ มาเกาะลงั กาสมยั นนั้ ลว้ นเปน็ ผเู้ ชยี่ วชาญดา้ นคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนา หาได้มีบทบาทส่งผลต่อการเปลยี่ นแปลงโครงสรา้ งทางสงั คมไม่ การะบุ วา่ ตนสงั กดั วรรณะพราหมณเ์ ปน็ เพยี งธรรมเนยี มนยิ มของการแตง่ คมั ภรี ์ สมยั นน้ั ซึ่งผแู้ ตง่ จะต้องอ้างถงึ ชื่อเสยี งพรอ้ มตระกูลแห่งตน ประเด็นเก่ยี วกับตระกูลสงั คมแุ ละตระกูลคณแวสนิ ่าสนใจยง่ิ นกั หลกั ฐานจากศลิ าจารกึ อา้ งวา่ สงั คมหุ มายถงึ อารามวหิ ารทพ่ี ระเจา้ คชพาหุแห่งอาณาจักรโปโฬนนารุวะกับเจ้าชายปรากรมพาหุแห่งเขต มายาระฏะทรงท�าสัญญาสงบศึก โดยผู้ท�าหน้าที่เป็นสักขีพยานคือ
182 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร คณะสงฆ์หมู่ใหญ่ (EZ. IV: 1994; 1-3) หลกั ฐานดังกลา่ วไม่สามารถ ยืนยันได้ว่าเก่ียวข้องกับตระกูลสังคมุหรือไม่ หากวิเคราะห์ศัพท์น่าจะ ตคี วามไดว้ า่ อารามวหิ ารแหง่ นบ้ี รหิ ารดว้ ยคณะสงฆเ์ ปน็ ใหญ่ นกั วชิ าการ บางท่านได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่าสังคมุน่าจะมาจากภาษาบาลีว่า สังฆสั สะ คาโม แปลวา่ หมู่บ้านของสงฆ์ ซึ่งหลกั ฐานลกั ษณะเดียวกัน นพ้ี บเหน็ จา� นวนมากในคมั ภรี ม์ หาวงศ์ (Yatadovalle Dhammavisuddhi: 2559; 93-94) ผู้เขียนเห็นว่าหมู่บ้านของสงฆ์ดังกล่าวน่าจะมีลักษณะ เดยี วกนั กบั สมยั อาณาจกั รอนรุ าธปรุ ะ กลา่ วคอื คณะสงฆม์ มี ตมิ อบหมาย ให้อารามิกะท�าหน้าท่ีบริหารท่ีดินและทาส เพ่ือน�ารายได้มาบ�ารุงรักษา อารามวิหารแห่งตน กรณีอิทธิพลของเครือญาติพระสงฆ์น่าจะปรากฏ เด่นชัดสมยั อาณาจกั รดัมพเดณิยะ ส่วนตระกูลคณแวสิปรากฏพบเห็นในคัมภีร์ดาฬดาสิริตะ ซึ่งแต่ง สมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ แห่งอาณาจักรดัมพเดณิยะ ความว่า ตระกลู คณแวสเิ ปน็ ผทู้ า� หนา้ ทพี่ ธิ กี รรมแหแ่ หนพระเขย้ี วแกว้ ใหเ้ ปดิ ผอบ ประดิษฐานพระเข้ียวแก้วและกะเทาะตราหุ้มผอบต่อพระพักตร์กษัตริย์ และต่อหน้าเหล่าขุนนางผู้ใหญ่ การท�าหน้าที่ดูแลรักษาและประกอบ พธิ กี รรมแหแ่ หนพระเขยี้ วแกว้ ถอื วา่ เปน็ ตระกลู พเิ ศษมคี วามสา� คญั เสมอ กษัตริย์ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าการดูแลรักษาพระเขี้ยวหมายถึงการ ครอบครองทดี่ นิ อนั เปน็ มรดกทก่ี ษตั รยิ พ์ ระราชทานแดพ่ ระเขยี้ วแกว้ หรอื ไม่ หากมอี า� นาจครอบครองทดี่ นิ ดงั กลา่ วนน้ั หมายความวา่ หลกั ฐานการยดึ ครอง ทรัพยส์ มบัตขิ องคณะสงฆป์ รากฏเหน็ ภาพชดั เจนตั้งแตส่ มยั นัน้ หลกั ฐานเบอื้ งตน้ สามารถตคี วามไดว้ า่ ความผกู พนั ทางเครอื ญาติ ของพระสงฆ์น่าจะเป็นตัวชี้วัดให้เห็นอิทธิพลวรรณะเหนือคณะสงฆ์
ดัมพเดณกิ ตกิ าวตั ร 183 ประเด็นส�าคัญคือการครอบครองท่ีดินหมายถึงความทรงอิทธิพลทาง เศรษฐกิจด้วย ครั้นเม่ือคณะสงฆ์ครอบครองท่ีดินเป็นจ�านวนมาก ยอ่ มเป็นเร่ืองงา่ ยท่ีจะถ่ายโอนให้ญาติเป็นผบู้ ริหารดูแล เบอื้ งตน้ อาจจะ เป็นผู้ท�าหน้าที่ตามมติของคณะสงฆ์ แต่คร้ันนานวันความผูกพันทาง เครือญาติใกล้ชิดมากขึ้น (Gunawardhana; 1979; 167-168) คาดเดาเอาว่าอาจเป็นด้วยเหตุผลทางการเมืองเพราะเกิดสงครามกับ ภายนอกบ่อยคร้ัง หรือเกิดการแย่งชิงความเป็นใหญ่ระหว่างราชวงศ์ สงิ หลบอ่ ยครงั้ ตระกลู ดงั กลา่ วจงึ มองเหน็ เปน็ โอกาสในการเขา้ มาครอบ ครองทรัพยส์ ินของวัดอนั เป็นมรดกตกทอดของตระกูลแหง่ ตน ประเด็นชวนสงสัยคือ เหตุใดคณะสงฆ์จึงเปิดกว้างให้เครือญาติ เข้ามาแทรกแซงการบริหารคณะสงฆ์ โดยท่ีสถาบันกษัตริย์ไม่สามารถ ปฏิเสธความย่ิงใหญ่ของสองตระกูลดังกล่าวได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า พระเจา้ ปรากรมพาหทุ ่ี ๑ แหง่ อาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะ ทรงเหน็ ภยั รา้ ย แรงของการผูกพันระหว่างพระสงฆ์กับเครือญาติซึ่งซ่อนรูปอยู่ใน สามนิกาย การปฏิรูปพระพุทธศาสนาสมัยพระองค์พยายามลดทอน อา� นาจตระกลู ดงั กลา่ ว แตอ่ ทิ ธพิ ลของสองตระกลู ไดซ้ มึ ลกึ ลงสคู่ ณะสงฆ์ ยากต่อการถอน โดยมีคณะสงฆ์คอยเป็นโล่ก�าบัง จนเข้าสู่สมัยอาณา จกั รดมั พเดณยิ ะ ตระกลู ทง้ั สองไดส้ า� แดงพลงั แผอ่ านภุ าพเหนอื คณะสงฆ์ และสถาบันพระมหากษัตริย์ กลายเป็นจุดด่างพร้อยของคณะสงฆ์ สมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะ เพราะแม้จะมีการปฏิรูปคณะสงฆ์และออก กติกาวัตรควบคุมคณะสงฆ์ก็จริง แต่หาได้ส�าเร็จตามเจตนาประสงค์ ของพระมหากษตั รยิ ์ไม่
184 ศรีลังกากตกิ าวตั ร บรเิ วณวดั วชิ ยั สนุ ทรารามวหิ าร เมอื งหลวงเกา ดมั พเดณยิ ะ (คดั ลอกภาพ www.google. co.th/maps) ชา งศลิ าบนั ไดทางขนึ้ วหิ ารพระเขย้ี วแกว วดั วชิ ยั สนุ ทรารามวหิ าร เมอื งหลวงเกา ดมั พเดณยิ ะ (คดั ลอกภาพจาก www.google.co.th/maps)
ดมั พเดณิกตกิ าวัตร 185 วหิ ารประดษิ ฐานพระเขย้ี วแกว ภายในวดั วชิ ยั สนุ ทรารามวหิ าร เมอื งหลวงเกา ดมั พเดณยิ ะ (คดั ลอกจาก www.google.co.th/maps) ประตูทางเขาออกส่ีทิศภายในวัดวิชัยสุนทรารามวิหาร เมืองหลวงเกาดัมพเดณิยะ (คดั ลอกจาก www.google.co.th/maps)
186 ศรีลงั กากตกิ าวัตร ทางขึ้นพระราชวังดัมพเดณิยะ เมืองหลวงเกาดัมพเดณิยะ (คัดลอกจาก www.google. co.th/maps) ทอ งพระโรงดมั พเดณยิ ะ เมอื งหลวงเกา ดมั พเดณยิ ะ(คดั ลอกจากwww.google.co.th/maps)
ดัมพเดณกิ ตกิ าวตั ร 187 สระสรงน้ําของพระมเหสี ภายในพระราชวังดัมพเดณิยะ เมืองหลวงเกาดัมพเดณิยะ (คดั ลอกจาก www.google.co.th/maps) ลานทัศนานาฏศลิ ป ภายในพระราชวังดมั พเดณยิ ะ เมอื งหลวงเกา ดมั พเดณยิ ะ (คัดลอก จาก www.google.co.th/maps)
188 ศรีลงั กากตกิ าวัตร วดั เขียนบางแกว อําเภอเขาชยั สน จงั หวัดพัทลงุ ศนู ยก์ ลางลงั กาวงศแ์ หง หัวเมืองปก ษใ์ ต (คดั ลอกภาพจาก www.google.co.th/maps) ฐานชน้ั ลางพระมาลิกเจดีย์ วดั ราชประดิษฐาน อําเภอสทงิ พระ จังหวดั สงขลา ศูนย์กลาง ลงั กาวงศ์แหงหวั เมอื งปก ษ์ใต (คดั ลอกภาพจาก www.google.co.th/maps)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388