Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (Lk001)หนังสือศรีลังกากติกาวัตร

(Lk001)หนังสือศรีลังกากติกาวัตร

Description: (Lk001)หนังสือศรีลังกากติกาวัตร

Search

Read the Text Version

กีรติศรีราชสิงหะกติกาวัตร 289 õ.ö ทัศนะและวจิ ารณ์ õ.ö.๑ เหตุใดจึงเลอื กอาณาจักรสยาม? ดงั ทราบกนั แลว้ วา่ การฟน้ื ฟพู ระศาสนาเปน็ ภารกจิ หลกั อยา่ งหนง่ึ ของสถาบันกษัตรยิ ์ นอกจากเปน็ การสร้างความชอบธรรมในการครอง ราชยแ์ ลว้ ยงั เปน็ เครอื่ งมอื ยดึ ครองจติ ใจของอาณาประชาราษฎรผ์ นู้ บั ถอื พระพุทธศาสนาดว้ ย พระราชกรณยี กจิ ดา้ นศาสนาครง้ั แรกเกิดขนึ้ สมยั พระเจ้าวิมลธรรมสูริยะที่ ๑ (พ.ศ.๒๑๓๔-๒๑๔๗) แห่งราชวงศ์ เปราเดณิยะ คราวน้ันพระองค์โปรดให้ส่งราชทูตไปอาณาจักรยะไข่ “เพราะว่าท่ัวลังกาทวีปไม่มีภิกษุผู้ให้อุปสมบทเลย ทรงนิมนต์ภิกษุ นนั ทจิ ักกะเปน็ ตน้ มาลงั กาทวปี นิมนตใ์ หอ้ ยใู่ นเมืองสริ ิวฑั ฒนะ (แคนด)ี ทรงบ�ารุงด้วยความเคารพ ทรงสร้างเรือนงดงามที่อุทกุกเขปสีมาใน ทา่ นา้� คณั ฐมั พะแหง่ แมน่ า�้ มหาวาลกุ คงคา ภายหลงั พระชนิ เจา้ ปรนิ พิ พาน ได้ ๒๑๔๐ ปี ทรงพาภิกษุท้ังหลายไปในท่ีน้นั รับส่ังให้ท�าพธิ อี ปุ สมบท กลุ บตุ รจา� นวนมากในสา� นกั ของภกิ ษสุ งฆห์ มใู่ หญ่ ทรงใหก้ ลุ บตุ รบรรพชา ในพระพุทธศาสนารักษาพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” (พระ มหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 2: 2553; 329) แต่การฟื้นฟู พระศาสนาคร้ังน้ันไม่ยืนนานเพราะชาวสิงหลคลางแคลงใจพระเจ้า แผ่นดินแห่งตน เน่ืองจากพระองค์และพระมเหสีทรงชื่นชอบวิถีชีวิต แบบโปรตเุ กส (Mirando: 2010; 37-38) ชาวสงิ หลจงึ เชอ่ื วา่ ศาสนปู ถมั ภ์ คร้ังนี้เป็นการเอาใจชาวพุทธมากกวา่ ทา� ดว้ ยความศรทั ธาเลอ่ื มใสอยา่ ง แทจ้ รงิ (Urmila Phadnis: 1849; 98)

290 ศรีลังกากตกิ าวัตร การฟน้ื ฟพู ระศาสนาเกดิ ขนึ้ อกี ครงั้ ประมาณหนงึ่ ศตวรรษ ตรงกบั รัชสมัยของพระเจ้าวิมลธรรมสูริยะท่ี ๒ (พ.ศ.๒๒๓๐-๒๒๕๐) แห่งราชวงศ์เปราเดริยะเช่นกัน สมัยนี้เกาะลังเข้าสู่ภาวะร่มเย็นเป็นสุข เพราะโปรตุเกสคนเถ่ือนถูกขับไล่ออกจากเกาะลังกาเรียบร้อยแล้ว การฟน้ื ฟพู ระศาสนาครานน้ั พระองคโ์ ปรดใหส้ ง่ ราชทตู เดนิ ทางไปสบื การ พระศาสนาที่แคว้นยะไข่เสียก่อน (Jayatilake: 1995; 1) คร้ันทราบ ความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนาแล้ว จึงโปรดให้ราชทูตอีกชุดหน่ึง เดนิ ทางไปทลู ขอพระสงฆ์จากกษตั ริยย์ ะไข่ การอปุ สมบทคราวนนั้ โปรด ใหจ้ ดั ขนึ้ ทแ่ี คฏมั เบนทสี มี ารมิ ½ง›ั แมน่ า้� มหาแวฬิ โดยโปรดใหส้ รา้ งมณฑป ขนาดใหญ่กลางน้�า แล้วประดับประดาด้วยลวดลายและธงทิวอย่าง สวยสดงดงาม จากนน้ั นมิ นตพ์ ระสงฆ์ชาวพม่าให้ประกอบพธิ ีอุปสมบท แก่กุลบุตรตระกูลสูงชาวลังกาจ�านวน ๑๒๐ คน (พระมหานามเถระ และคณะบัณฑิต ภาค 2: 2553; 339-340) แต่การฟื้นฟูพระศาสนา คราวน้ันได้รับความสนใจจากชาวสิงหลน้อยนัก เพราะหน่ึงนั้นนักบวช คณินนานเสปฏิเสธเข้าร่วมพิธีกรรม และสองน้ันชาวสิงหลเห็นว่าเป็น กุศโลบายเบ่ียงเบนความสนใจเร่ืองการอภิเษกสมรสของพระองค์กับ ราชธิดาของกษัตริย์แห่งทมิฬนายักการ์แห่งอินเดียใต้ (ลังกากุมาร: 2560; 285-286) การฟื้นฟูพระศาสนาสองครั้งดังกล่าวกษัตริย์แห่งอาณาจักร แคนดีต่างมุ่งหน้าไปขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์แห่งอาณาจักรยะไข่ ด้วยการนิมนต์พระสงฆ์มาประกอบพิธีอุปสมบทแก่กุลบุตรชาวสิงหล การปฏิสัมพันธ์ทางศาสนากับอาณาจักรยะไข่ดังกล่าว น่าจะมาจาก ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างพระสงฆ์ศรีลังกากับพระสงฆ์แห่ง

กรี ตศิ รีราชสิงหะกตกิ าวตั ร 291 อาณาจกั รยะไข่ ซ่งึ ต่างเดินทางไปมาหาสเู่ พ่อื แลกเปลย่ี นเรียนร้กู ันและ กันหลายศตวรรษ จึงส่งผลให้เกิดความใกล้ชิดทางอาณาจักรด้วย (Ashon Nyanuttara: 2012; 265-271) คร้นั การพระศาสนาบนเกาะ ลังกาถึงคราวทรุดโทรมเส่ือมถอย ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่กษัตริย์แห่ง อาณาจกั รแคนดจี ะตอ้ งหนั หนา้ ไปขอความชว่ ยเหลอื จากอาณาจกั รยะไข่ สนั นษิ ฐานวา่ นอกจากดา้ นพระศาสนาแลว้ กษตั รยิ แ์ หง่ อาณาจกั รแคนดี นา่ จะมปี ฏสิ มั พนั ธด์ า้ นการคา้ กบั อาณาจกั รยะไขด่ ว้ ย สงั เกตไดจ้ ากสนิ คา้ จ�าเป็นหลายอย่างของศรีลังกาเป็นท่ีต้องการของพ่อค้าชาวยะไข่ ขณะ เดยี วกนั สนิ คา้ ขาดแคลนบางอยา่ งของศรลี งั กากไ็ ดร้ บั การชว่ ยเหลอื รบั ซอ้ื จากพ่อคา้ ชาวยะไข่เช่นกัน (Stepha van Galen: 1976; 205-212) หลักฐานระบุว่าชาวศรีลังกาหันมาสนใจการพระศาสนาของ อาณาจักรสยามครงั้ แรกสมยั พระเจ้าศรีวชิ ัยราชสงิ หะ (พ.ศ.๒๒๘๒- ๒๒๙๐) คมั ภรี ม์ หาวงศพ์ รรณนาไวว้ า่ “พระองคท์ รงสดบั ศภุ กถาของ พ่อค้าÎอลันดาว่าพระพุทธศาสนาในอยุธยาบริสุทธ์ิหมดจดยิ่งนัก จึง พระราชทานสาส์นพร้อมด้วยเครื่องราชบรรณาการเป็นอันมากมีเครื่อง บูชาเป็นต้น ทรงส่งพวกอ�ามาตย์ไปเพ่ืออาราธนาภิกษุจากอยุธยามา ลังกา” (พระมหานามเถระและคณะบัณฑิต ภาค 2: 2553; 359) ประเด็นค�าถามคือเหตุใดกษัตริย์แห่งอาณาจักรแคนดีจึงหันมาสนใจ อาณาจักรสยาม เพราะการฟื้นฟูศาสนาแต่ละคร้ังกษัตริย์ลังกามักทรง หันพระพักตร์ไปยังอาณาจักรยะไข่ นักวิชาการศรีลังกายืนยันว่าเพราะ สมัยนั้นพระพุทธศาสนาในอาณาจักรยะไข่เจือปนด้วยพิธีกรรมแบบ มหายาน (Kotagama Wachissara: 1961; 239) สว่ นนกั วชิ าการไทย แสดงความเห็นว่า การส่งคณะราชทูตไปสืบข่าวพระศาสนาแต่ละ

292 ศรีลังกากตกิ าวตั ร อาณาจักรนั้น กษัตริย์แห่งอาณาจักรแคนดีได้รับความช่วยเหลือเป็น อย่างดีจากÎอลันดา อาจเป็นไปได้ว่าÎอลันดาต้องการสร้างอิทธิพล ควบคุมเส้นทางการค้าแต่เพียงผู้เดียว และÎอลันดานี้เองเป็นผู้ชักชวน กษัตริย์ลงั กาให้สนใจการพระศาสนาในอาณาจักรสยาม เพราะสมยั น้นั Îอลันดาท�าการค้าขายกับอาณาจักรสยามจนกลายเป็นมิตรรักใคร่กันดี (พิมพ์ร�าไพ เปรมสมทิ ธ์:ิ 2525; 50-51) ผู้เขียนมองว่ากษัตริย์แห่งอาณาจักรแคนดีหันความสนใจมายัง อาณาจักรสยามน้ัน น่าจะเป็นเหตุผลทางการเมืองมากกว่าอย่างอื่น จะบอกว่าศรีลังกาไม่รู้จักอาณาจักรสยามเลยก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะหลักฐาน½่ายไทยหลายแห่งก็ยืนยันว่าสมัยน้ันอาณาจักรสยาม ทา� การคา้ ขายชา้ งกบั อาณาจกั รแคนดี และพอ่ คา้ ของอาณาจกั รแคนดกี ็ รู้จักคุ้นเคยกับอาณาจักรสยามเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนั้น หากบอกว่า Îอลนั ดาชกั จูงให้กษตั รยิ แ์ หง่ อาณาจักรแคนดรี จู้ ักอาณาจักรสยามย่อม ไม่สมเหตุสมผล ผู้เขียนเห็นว่าการเมืองภายในอาณาจักรยะไข่หรือ หวั เมอื งมอญนา่ จะเปน็ เหตใุ หอ้ าณาจกั รแคนดเี ปลยี่ นเปา‡ หมายมากกวา่ ประวัติศาสตร์ชี้บอกว่าสมัยน้ันอาณาจักรน้อยใหญ่ภายในแผ่นดินพม่า ตา่ งแตกแยกปกครองตนเองเปน็ อสิ ระ หาไดร้ วมกนั เปน็ หนงึ่ เดยี วเหมอื น อดีตไม่ (พิมพ์ร�าไพ เปรมสมิทธ์ิ: 2525; 52-53) ส่วนด้านศาสนาน้ัน ขึน้ อยกู่ ับพระราชอธั ยาศยั หากกษัตรยิ ท์ รงสนพระทยั พระพทุ ธศาสนาก็ ย่อมส่งเสริมพระศาสนาจนรุ่งเรือง หากทรงสนพระทัยลัทธิÎินดูหรือ มหายานก็เป็นธรรมดาที่ลัทธินิกายน้ันได้รับการสนับสนุนให้สูงเด่นกว่า นิกายอื่น ด้วยความผันผวนทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงทาง ลัทธิศาสนาดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้กษัตริย์แห่งอาณาจักรแคนดีหันมา สนใจการพระศาสนาในอาณาจกั รสยาม

กีรตศิ รีราชสิงหะกติกาวัตร 293 ด้านกษัตริย์แห่งอาณาจักรสยามก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ซึ่งสมัยน้ันตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์แสดง ความปรารถนาชว่ ยเหลอื สบื ตอ่ อายพุ ระพทุ ธศาสนาดว้ ยความเตม็ ใจยง่ิ เพราะทรงพจิ ารณาวา่ นอกจากจะเปน็ การสรา้ งกศุ ลบารมมี หาศาลเหลอื ประมาณแลว้ ยงั เปน็ การสง่ เสรมิ พระเกยี รตคิ ณุ ใหแ้ ผไ่ พศาลไปตา่ งแดน ดว้ ย และทรงเหน็ วา่ การชว่ ยเหลอื ครานี้ นอกจากจะเปน็ ประโยชนเ์ กอ้ื กลู ทางศาสนจกั รแลว้ ยงั เปน็ การสานสมั พนั ธไมตรอี นั ดดี า้ นอาณาจกั รดว้ ย (ลังกากุมาร: 2555; 149) ขณะท่ีนักวิชาการศรีลังกามองว่าการช่วย เหลอื ดา้ นศาสนาครง้ั นถี้ อื วา่ ไทยไดใ้ ชห้ นต้ี อบแทนศรลี งั กา เหตเุ พราะวา่ นับแตอ่ ดีตมาประเทศไทยรบั คติความเชอ่ื แบบลังกาวงศ์มายาวนานตา่ ง กรรมตา่ งวาระ แลว้ พฒั นาจนกลายเปน็ สยามวงศ์ การทกี่ ษตั รยิ อ์ ยธุ ยา ส่งคณะสมณทูตโดยการน�าของพระอุบาลีมหาเถระมาประกอบพิธี อุปสมบทแก่กุลบุตรชาวลังกาก็ไม่ต่างจากการตอบแทนบุญคุณของ ศรีลงั กานัน่ เอง (JRASSL. vol.48: 2003; 75-90) การหันมาสนใจอาณาจักรสยามถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลง ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในศรีลังกา ซ่ึงจากเดิมเคยมีปฏิสัมพันธ์ อันดีกับอาณาจักรยะไข่เสมอมา แต่ครั้นเปล่ียนมาสร้างศาสนไมตรีกับ อาณาจกั รสยามแลว้ ประวตั ศิ าสตรข์ องศรลี งั กากไ็ มก่ ลา่ วถงึ อาณาจกั ร ยะไข่อีกเลย อาจเป็นเพราะการเมืองภายในยะไข่เปลี่ยนแปลงไป การค้าขายก็อาจลดบทบาทลงไปด้วย จึงเป็นเหตุให้เร่ืองราวของ อาณาจักรยะไขห่ ลงั จากน้ปี รากฏเห็นในหลักฐานศรลี งั กาน้อยนัก

294 ศรลี งั กากตกิ าวัตร õ.ö.๒ การศกึ ษาของคณะสงฆ์ การศกึ ษาคณะสงฆส์ มัยน้แี บ่งออกเป็น ๔ ระดบั ช้นั (Naimbara Dhammadassi: 1996; 169-170) ๑. ชนั้ ตน้ ครสู อนแนะนา� ใหน้ กั เรยี นรจู้ กั อกั ษรและ½กƒ นกั เรยี นให้ รู้จักวิธีเขียนตัวอักษรจนชินมือ แต่ไม่มีหลักฐานระบุว่าครูสอนใช้ต�ารา เลม่ ใดเปน็ คมู่ อื ในการเรยี นการสอน หากเดนิ ตามเสน้ ทางการศกึ ษาของ พระแวฬิลิฏะสรณังกรสังฆราช จะเห็นว่าเริ่มต้นจากคัมภีร์พาลาวตาร ก่อน เพราะคัมภีร์เล่มนี้เน้นเร่ืองศัพท์ภาษาบาลีจากง่ายไปหายาก ส่วนการ½ƒกการเขียนน้ันพบเห็นในคัมภีร์สังฆราชสาธุจริยาความว่า “คร้ันสามเณรสามารถท่องบ่นจนจ�าได้หมดสิ้นแล้ว ได้เกลี่ยพ้ืนทราย เบื้องหน้าอาจารย์แห่งตน แล้วร้องพระมหาเถระให้แนะน�าวิธีเขียนบน พ้ืนทราย\" (ลังกากมุ าร: 2560; 8) สนั นิษฐานวา่ การเขียนบนพืน้ ทราย นา่ จะเปน็ ประเพณกี ารเรยี นการสอนของศรลี งั กาสมยั นน้ั เนอื่ งจากเนน้ ระบบการท่องจ�าเป็นหลักการเขียนบนพ้ืนทรายก็คือการทวนความจ�า อย่างหน่ึง ขณะเดียวกันก็เป็นการง่ายส�าหรับการลบทิ้ง อาจเป็น เพราะวสั ดอุ ปุ กรณอ์ ยา่ งอนื่ เปน็ ของหาไดย้ ากอกี ทงั้ สน้ิ เปลอื ง การเกลยี่ ทรายลงบนอปุ กรณน์ า่ จะเป็นเรอ่ื งงา่ ยกวา่ อยา่ งอ่นื ò. ชั้นสอง ครูสอนเริ่ม½ƒกให้นักเรียนอ่านออกเสียงให้ถูกต้อง โดยใชห้ นงั สอื พทุ ธประวตั เิ ปน็ คมู่ อื ครสู อนจะอา่ นใหฟ้ งั และนกั เรยี นออก เสียงตาม นอกจากหนังสือพุทธประวัติแล้ว ครูสอนจะแนะน�าคัมภีร์ ส�าคัญให้นักเรียนท่องจนขึ้นใจ เพ่ือเป็นการปูพื้นฐานส�าหรับช้ันต่อไป ชน้ั นม้ี หี นงั สอื คมู่ อื หลายเลม่ ดงั เชน่ นมั โปตะ มกลุ ลกณุ ะ วทนั กวปิ าตะ

กีรตศิ รีราชสงิ หะกติกาวตั ร 295 แอนวุม สกัสกฑะ นามาษฏศาตกะ นามรัตนะศาตกะ วยาสการะ และหิโตปเทศ ส่วนหนังสืออนุรุทศาสตกะ ปรัตยศาตกะและวฤตตมาล ขยาวะใช้เป็นหนังสืออ่าน ประเด็นน่าสนใจคือจ�านวนต�าราเรียนของ ชนั้ นมี้ มี ากผดิ สงั เกต การจะ½กƒ อา่ นและเขยี นดว้ ยการใชต้ า� ราเหลา่ นย้ี อ่ ม เปน็ เรอื่ งยาก เพราะตา� ราบางเลม่ เปน็ โศลกภาษาสนั สกฤตชน้ั ครู แมบ้ าง เล่มจะเป็นพุทธประวัติก็จริงแต่แต่งเป็นภาษาสันสกฤต สันนิษฐานว่า ระยะเวลาการเรยี นการสอนของชนั้ นนี้ า่ จะมากเกนิ กวา่ สามปี อกี ทง้ั การ เรียนการสอนไมน่ ่าจะใชห้ ลักสตู รครบท้ังหมด นา่ จะอยใู่ นดุลยพนิ ิจของ อาจารย์ผูส้ อน ๓. ชั้นสาม เพ่ิมคัมภีร์เหรณสิขะและคัมภีร์ดินจาริยาวะเข้ามา ถัดมาเป็นคัมภีร์เล่มอื่นส�าหรับผู้เช่ียวชาญในการใช้ภาษา ชั้นนี้ถือว่า เป็นการเตรียมผู้เรียนเพ่ือเข้าสู่การอุปสมบทในบวรพระพุทธศาสนา คัมภีร์เหรณสิขะน้ันว่าด้วยมารยาทดังปรากฏในเสขิยวัตร ส่วนคัมภีร์ ดนิ จารยิ าวะเปน็ คมั ภรี ส์ อนการวางตวั ใหเ้ หมาะสมตามกจิ วตั รประจา� วนั พิเคราะห์แล้วเน้ือหาเน้น½ƒกกิริยามารยาทเป็นหลักไม่ได้ต้องการความ ลุม่ ลึกแต่อยา่ งใด นอกจากน้นั นกั เรียนจะต้องศกึ ษาเก่ยี วกบั วินัยสงฆ์ วธิ ปี ฏบิ ตั วิ ปิ สั สนากรรมฐาน และศกึ ษาคมั ภรี ศ์ าตกะ ซงึ่ เปน็ กาพยภ์ าษา สันสกฤต โดยครูท�าหน้าท่ีเลือกหนังสือที่เห็นว่าเหมาะสม อธิบาย ความหมายของกาพย์แต่ละบทอย่างชัดเจนและแต่งให้ดูเป็นตัวอย่าง การศึกษากาพย์ดังกล่าวเป็นการวางพ้ืนฐานให้นักเรียนได้ศึกษาด้าน โหราศาสตรแ์ ละกวศี กึ ษาตอ่ ไป นอกจากนนั้ ครจู ะคดั เลอื กพระสตู รทเ่ี หน็ ว่าส�าคัญ วินัยบางกลุ่มหรือหยิบยกหลักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานบาง ขอ้ มาสนทนาในบทเรียนดว้ ย

296 ศรลี ังกากตกิ าวัตร ๔. ช้ันสี่หรือชั้นสุดท้าย นักเรียนจะต้องเรียนรู้พระไตรปิฎกใน เชิงลึก ½ƒก½นการแสดงพระธรรมเทศนา และแต่งคัมภีร์ทางพระพุทธ ศาสนาภายใตก้ ารควบคมุ ของครสู อนอยา่ งใกลช้ ดิ นอกจากนน้ั นกั เรยี น จะตอ้ งศึกษาวชิ าโหราศาสตร์ วธิ ีรกั ษาโรค และกฎหมายทางโลกควบคู่ ไปด้วย และหลักสูตรจะต้องโน้มไปสู่พระวินัย เสขิยวัตรและธุดงควัตร สนั นษิ ฐานวา่ หลกั สตู รชน้ั นเี้ ตรยี มพระนวกะใหเ้ ปน็ ผงู้ ดงามดว้ ยศลี าจารวตั ร เครง่ ครดั ในพระวนิ ยั บญั ญตั แิ ละขดั เกลากเิ ลสดว้ ยธดุ งคค์ ณุ ประเดน็ คอื คมั ภรี ท์ เ่ี ปน็ หลกั สตู รชนั้ นไ้ี มร่ ะบไุ วช้ ดั เจน พดู โดยภาพรวมเพยี งพระวนิ ยั และเสขยิ วตั รเทา่ นนั้ หลกั สตู รเพยี งเทา่ นย้ี อ่ มแยง้ กบั ระยะเวลาหา้ ปขี อง การถือนิสัย สันนิษฐานว่าคัมภีร์ส�าหรับการเรียนการสอนนั้นขึ้นอยู่กับ ดลุ ยพนิ จิ ของครผู สู้ อน โดยมกี รอบการเรยี นการสอนคอื พระวนิ ยั บญั ญตั ิ เสขิยวตั รและธุงควัตร เปน็ ทนี่ า่ สงั เกตอยา่ งหนงึ่ คอื พระแวฬวิ ฏิ ะสรณงั กรสงั ฆราชไมเ่ รยี ก สถาบันการศึกษาว่าปิริเวณะเหมือนสมัยก่อน แต่เรียกว่าอุสัสวิทยา สถานหรือมัธยสถาน ด้วยเหตุผลว่าปิริเวณะเป็นศูนย์กลางการศึกษา หลากหลายสรรพวิชาทั้งทางโลกและทางธรรม แต่มัธยสถานนั้นเป็น เพียงสถาบันขนาดเล็ก จัดสอนหลักสูตรเฉพาะพระพุทธศาสนาเท่านั้น โดยพระสงั ฆราชเนน้ ใหน้ กั เรยี นแตกฉานทงั้ ดา้ นภาษาและหลกั ธรรมทาง พระพทุ ธศาสนา (ลงั กากุมาร: 2552; 125) หลักฐานระบุอีกว่ามีคัมภีร์ส�าหรับใช้การเรียนการสอนอีกชุดหนึ่ง ส�าหรับผู้สนใจศึกษาไวยากรณ์ท่ีสูงข้ึน กล่าวคือ คัมภีร์ธาตุปาฐะ และคัมภีร์นิฆัณฑุ จุดมุ่งหมายของการศึกษาคัมภีร์เหล่าน้ีเพ่ือต้องการ

กรี ตศิ รีราชสงิ หะกตกิ าวัตร 297 ให้สามารถพูดคุยภาษาบาลี เพราะต้องสนทนากับพระสงฆ์ชาวต่าง ประเทศดังเช่นพม่าและไทย เพราะสมัยน้ันภาษาบาลีเป็นภาษากลาง ส�าหรับติดต่อสื่อสารกับอาณาจักรที่นับถือพุทธศาสนา (Naimbara Dhammadassi: 1996; 170) สนั นษิ ฐานวา่ นกั เรยี นผสู้ นใจศกึ ษาคมั ภรี ์ สองเล่มน้ีต้องมีพ้ืนฐานด้านคัมภีร์มาก่อน อย่างน้อยต้องผ่านความรู้ ชนั้ สองเสยี กอ่ น เนอ่ื งจากไวยากรณภ์ าษาบาลตี อ้ งอาศยั การเรยี นรแู้ ละ ½ƒก½นหลายปี เป็นไปได้หรือไม่ว่าคัมภีร์ทั้งสองเล่มสามารถเรียนรู้ไป พรอ้ มกบั การเรยี นการสอนดงั กลา่ วเบอื้ งตน้ หากแตผ่ สู้ อนแยกหลกั สตู ร ออกมาเป็นการเฉพาะส�าหรับนักศึกษาผูส้ นใจเทา่ น้ัน สง่ิ หนงึ่ ซง่ึ สงั เกตเหน็ จากการจดั การเรยี นการสอนสมยั นค้ี อื ตา� ราเรยี น หากเปรยี บเทยี บกบั สมยั กอ่ นดงั เชน่ อาณาจกั รดมั พเดณยิ ะ แมห้ ลกั สตู ร แต่ละชั้นจะไม่สมบูรณ์ลงตัวแต่พระเถราจารย์ยุคน้ันได้จัดวางต�าราไว้ อยา่ งเหมาะสม โดยใชค้ มั ภรี ท์ พ่ี ระบรู พาจารยแ์ ตง่ ไวเ้ ปน็ หลกั จนสมบรู ณ์ ลงตัว ส่วนสมัยแคนดีกลับไม่มีการจัดวางหลักสูตรไว้ชัดเจนเหมือน ยุคเก่า แม้คัมภีร์สมัยเก่าของครูอาจารย์ยังปรากฏว่ามีอยู่ สันนิษฐาน ว่าเน่ืองจากคณะศีลวัตรสมาคมเป็นการรวมตัวกันของผู้ศรัทธา อดุ มการณ์ของสามเณรแวฬิวิฏะสรณังกร และคนเหล่าน้ันไม่มีพื้นฐาน การศกึ ษามากอ่ น การจดั วางหลกั สตู รโดยอาศยั คมั ภรี เ์ กา่ จงึ ไมส่ ามารถ ทา� ได้ เพราะคมั ภรี แ์ ตล่ ะเลม่ ลว้ นลมุ่ ลกึ ยากตอ่ การเขา้ ใจ จงึ เนน้ ใชค้ มั ภรี ์ เกยี่ วกบั ศัพทแ์ ละพทุ ธประวตั เิ ปน็ หลกั ผลของการจัดการเรียนการสอนเห็นได้จากการผลิตผลงานเป็น จ�านวนมาก ดังเช่น พระแวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราชได้นิพนธ์คัมภีร์

298 ศรลี งั กากตกิ าวัตร หลายเลม่ บางเลม่ แตง่ เพอื่ เปน็ หลกั สตู รสอนสามเณรคณะศลี วตั รสมาคม และบางเล่มที่เขียนข้ึนเพ่ือเป็นแนวทางแก่บรรดาลูกศิษย์ ได้แก่ ๑) คัมภีร์รูปมาลา เป็นหนังสือบาลีไวยากรณ์ แต่งขึ้นเพ่ือเป็นคู่มือ ส�าหรับผู้เร่ิมต้นเรียนภาษาบาลี ๒) คัมภีร์อภิสัมโพธิอลังการ คือ โคลงยอเกียรติพระพุทธคุณ แต่งเป็นภาษาบาลีประกอบด้วย ๑๐๐ พระคาถา ๓) คัมภีร์มธุรารถประกาศนี เขียนขึ้นเพ่ืออธิบายคัมภีร์ มหาโพธิวังสะแต่งเป็นภาษาสิงหล ๔) คัมภีร์เภสัชชะมัญชูสาสันเน แต่งเป็นภาษาสิงหลตามค�าทูลนิมนต์ของพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ ๕) คมั ภรี ส์ ารารถทปี นี อธบิ ายพระสตู รสา� คญั ทใ่ี ชส้ า� หรบั สวดพระปรติ ร เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าจตุภาณวารบาลี ๖) คัมภีร์สารารถสังครหะ หยิบยกเอาหลักค�าสอนส�าคัญแต่ละพระสูตรในพระไตรปิฎกมาอธิบาย และ ๗) คัมภีร์มุนิคุณาลังการยะ แต่งเป็นกลอนภาษาสิงหลเพ่ือ สรรเสรญิ พทุ ธคณุ (ลังกากมุ าร: 2555; 126-127) นอกจากน้ัน ยังมีลูกศิษย์ของพระแวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราชอีก มากมายหลายรูป ทั้งพระสงฆ์และฆราวาสที่ผลิตคัมภีร์อันลือนาม เช่น อุบาสกอัตตรคมะ บณั ฑาระราชคุรุ พระติบโบฏวü าเว สิทธัตถเถระ พระสิฏินามลุเว ธมั มโชตเิ ถระ พระสิทธตั ถะ พทุ ธรกั ขิตเถระ พระญาณ รตั นเถระ พระÎีนฏกิ ุมมุเร สุมงั คลเถระ และพระดรมฏิ ิโปละ ธัมมรกั ขติ เถระ เป็นต้น (Mirando: 1985; 76-114) ผลงานด้านวรรณกรรม เหลา่ นเ้ี ปน็ เครอ่ื งยนื ยนั ไดว้ า่ การจดั การศกึ ษาของพระแวฬวิ ฏิ ะสรณงั กร สังฆราชประสบความสา� เรจ็ เพยี งไร

กีรติศรีราชสิงหะกตกิ าวตั ร 299 õ.ö.ó ประเพณปี รัมปราคอื อะไร? ประเพณีปรัมปรา (Succession Tradition) หมายถึง การ สืบทอดมรดกหรือทรัพย์สินจากอาจารย์สู่ลูกศิษย์ หรือบางคร้ังเป็น การถา่ ยโอนมรดกหรอื ทรพั ยส์ นิ จากพระสงฆส์ เู่ ครอื ญาตแิ มเ้ ปน็ ฆราวาส ประเพณีเช่นน้ีแม้จะมีต้นก�าเนิดมาต้ังแต่สมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะ แต่เกิดพัฒนาการจนรุ่งเรืองถึงขีดสุดสมัยอาณาจักรแคนดี สันนิษฐาน ว่าประเพณีเช่นนี้น่าจะเกิดจากกษัตริย์เป็นปฐม เพราะกษัตริย์ศรีลังกา นับแต่อดีตมานิยมถวายท่ีดินและทรัพย์สินแก่พระสงฆ์ เพื่อเป็นปัจจัย เก้ือหนุนอารามวิหารให้มั่นคงยาวนาน ครั้นต่อมาพระสงฆ์ทรงอิทธิพล มากข้ึน อาจมีการปรับเปล่ียนบทบาทผู้ท�าหน้าท่ีดูแลทรัพย์สินของ อารามวิหารจากเดิมเป็นฆราวาสทั่วไปขยับมาเป็นเครือญาติก่อนท่ีจะ ยึดครองเป็นสมบตั เิ ฉพาะตนจงึ กลายเป็นประเพณีปรัมปรา ประเพณปี รัมปรานน้ั สามารถสรปุ ได้ ๓ ประเภท ๑. สาสนปรมั ปรา (Religious Descent) หมายถึง การสั่งสอน ดูแลระหว่างอาจารย์กับศิษย์ วิธีการเช่นน้ีเน้นการ½ƒก½นมารยาทและ สง่ั สอนความรรู้ ะหวา่ งอปุ ชั ¬ายก์ บั สทั ธวิ หิ ารกิ หรอื อาจารยก์ บั อนั เตวาสกิ สมยั กอ่ นแคนดเี นน้ การเดินตามอาจารย์แหง่ ตน กลา่ วคอื หากอาจารย์ แตกฉานในพระไตรปิฎกผู้เป็นศิษย์มักเดินตามแนวทางแห่งอาจารย์ ของตน ส่วนการสืบทอดทรัพย์สินหรือมรดกไม่มีหลักฐานกล่าวถึงแต่ อย่างใด ลักษณะเช่นน้ีชื่อว่าเป็นการเดินตามพุทธจริยาดังปรากฏใน พระวินัยปิฎก สิ่งหน่ึงซ่ึงเป็นเอกลักษณ์ของประเพณีสาสนปรัมปราคือ ศษิ ยม์ กั นยิ มนา� ช่ืออาจารยแ์ หง่ มาน�าหนา้ ชื่อตน อาจเปน็ เพราะตอ้ งการ

300 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร บ่งชี้ถึงสถานที่อยู่หรืออาจเป็นเพราะต้องการสรรเสริญเกียรติคุณ อาจารยแ์ หง่ ตน แมส้ มยั หลงั ตอ่ มาจะเปลยี่ นคา่ นยิ มนา� ชอื่ หมบู่ า้ นมานา� หน้าชื่อตนก็ตาม แต่ลักษณะสาสนปรัมปราก็ยังคงด�าเนินตามแบบ อยา่ งคร้งั อดตี ย่างเข้าสมัยแคนดีประเพณีสาสนปรัมปราเปลี่ยนความหมายไป จากเดมิ คอื การสบื ตอ่ ประเพณขี องครอู าจารยก์ ลายเปน็ การสบื ทอดมรดก หรือทรัพย์สินจากอาจารย์สู่ศิษย์ ดังตัวอย่างเช่น พระเจ้าเสนาสัมมต วกิ รมพาหุ (พ.ศ.๒๐๑๒-๒๐๕๔) ผูเ้ ปน็ ปฐมกษตั รยิ แ์ ห่งอาณาจกั ร แคนดไี ดถ้ วายทดี่ นิ อนั เปน็ ทรพั ยส์ นิ ของวดั โกบแบกฑเุ ว ตอ่ มาทรพั ยส์ นิ ของวัดท้ังหมดตกเป็นของศรีมัต เมนวระ เมเวละ รัตนแวลลิ ผู้เป็น เครือญาติและกลายเป็นสิทธิ์ของขุนนางชื่อว่าตระกูลโกบแบกฑุเว ดังความว่า “ตระกูลแห่งเราเป็นผู้ครอบครองวัดโกบแบกฑุววิหาร เจา้ อาวาสตอ้ งไดร้ บั การแตง่ ตงั้ โดยสมาชกิ แหง่ ตระกลู แหง่ เรา เพราะจดุ ประสงค์นั้น สมาชิกในตระกูลอุปสมบท ตระกูลทั้งหมดเกี่ยวพันกับ ต�าแหน่งของอารามวิหาร ซึ่งเป็นของขุนนางแคนดี” (Kitsiri Malalgoda: 1976; 52-53) สันนิษฐานว่าด้วยการโอนอ่อนผ่อนตาม ของสถาบันกษัตริย์ ทรัพย์สินของอารามวิหารจึงเปลี่ยนผ่านเป็นของ ตระกูล หรืออีกนัยหนึ่งตระกูลนี้ทรงอิทธิพลต่อสังคมศรีลังกาสมัยนั้น การจะปรับเปล่ียนวิธีการใหม่ด้วยการมอบให้วัดเป็นอิสระน่าจะส่ง ผลกระทบในวงกวา้ ง จะอาจกลายเป็นเหตวุ ่นุ วายที่ยากจะระงับได้ ๒. ศิษยานุศิษย์ปรัมปรา (Pupillary Succession) หมายถึง การสืบทอดมรดกจากอาจารย์สู่ศิษย์ พิเคราะห์ตามประวัติศาสตร์ การรกั ษาจารตี ปฏบิ ตั ขิ องอาจารยน์ า่ จะเปน็ ประเพณสี บื ตอ่ มาตง้ั แตส่ มยั อาณาจกั รอนรุ าธปรุ ะ สงั เกตไดจ้ ากอาจารยส์ งั กดั คามวาสศี ษิ ยก์ ด็ า� เนนิ

กีรติศรีราชสิงหะกตกิ าวัตร 301 ตามวตั รปฏบิ ตั อิ าจารยแ์ หง่ ตน หากอาจารยส์ งั กดั อรญั วาสศี ษิ ยก์ ร็ กั ษา สืบต่อเรื่อยมา คร้ันเข้าสู่สมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะความนิยมเร่ือง วรรณะเรมิ่ เข้าแทรกแซงคณะสงฆ์ อาจทา� ใหจ้ ารีตปฏิบตั ขิ องคณะสงฆ์ เปลย่ี นแปลงไป ลว่ งเขา้ สมยั อาณาจกั รแคนดนี น้ั เกดิ ประเพณปี รมั ปราขน้ึ โดยกษตั รยิ ม์ อบถวายทด่ี นิ และทรพั ยส์ นิ แกพ่ ระสงฆเ์ ปน็ สมบตั สิ ว่ นบคุ คล ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นขุนนางชั้นสูงสังกัดวรรณะโคยิคามะ เพื่อต้องการจะ รักษาทรัพย์สมบัติแห่งตระกูลจึงเกิดระบบสืบทอดมรดกกลายเป็น ประเพณที ่ียากจะเปล่ยี นแปลงได้ ศษิ ยานศุ ษิ ยป์ รมั ปราเรยี กอกี นยั หนงึ่ วา่ วหิ าราธปิ ติ (Succession to Incumbency) หมายความว่าการส่งมอบต�าแหน่งเจ้าอาวาสจาก อาจารย์สู่ศิษย์ ธรรมเนียมของการแต่งต้ังเจ้าอาวาสของศรีลังกา สมยั นน้ั มกั ขนึ้ อยกู่ บั การเหน็ ชอบจากคณะสงฆภ์ ายในวดั เสยี กอ่ น จงึ จะ สามารถดา� รงตา� แหนง่ ได้ สว่ นคณุ สมบตั นิ น้ั ขนึ้ อยกู่ บั ลกั ษณะของอาราม วหิ ารวา่ เปน็ แบบใด หากเปน็ สา� นกั เรยี นมพี ระภกิ ษสุ ามเณรพา� นกั อาศยั อยู่มาก คุณสมบัติของเจ้าอาวาสก็มักมีคุณวุฒิสูง แต่คร้ันกาลเวลา เปล่ียนไปคตินิยมวรรณะภายนอกเข้ามามีบทบาทภายในคณะสงฆ์ ประเพณีวิหาราธิปติซึ่งคล้อยตามประเพณีศิษยานุศิษย์ปรัมปรา ซึ่ง ปัจจุบันยึดถือเป็นกฎหมายพระสงฆ์ (Wickrama Weerasoonria: 2011; 278-281) ลว่ งเขา้ สมยั ปจั จบุ นั กฎหมายพระสงฆด์ งั กลา่ วเดน่ ชดั มากข้ึน เนื่องจากศรีลังกาไม่มีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ แต่ละวัดต่าง เป็นอิสระสามารถด�าเนินกิจกรรมได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องข้ึนตรงต่อใคร การถ่ายโอนมรดกของวัดจึงเป็นลักษณะมอบแก่ศิษย์ผู้เข้าบวชใน พระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุหรือสามเณรการด�าเนินการเช่น นัน้ ย่อมถูกต้องตามกฎหมาย

302 ศรีลังกากตกิ าวัตร ๓. ญาติศิษยาปรัมปรา (Blood Relationship) หมายถึง การสบื ทอดมรดกทางสายเลอื ด ประเพณนี พ้ี ฒั นามาจากสาสนปรมั ปรา อนั เน่ืองมาจากตระกูลแห่งตนได้รับมอบท่ดี ินหรอื ทรพั ย์สินจากพระมหา กษตั รยิ ข์ ณะดา� รงเพศเปน็ พระสงฆ์ หรอื ขณะเปน็ ฆราวาสแตอ่ อกบวชใน พระพทุ ธศาสนา ครน้ั พระภกิ ษรุ ปู นนั้ มรณภาพแลว้ หรอื ฆราวาสผนู้ นั้ เสยี ชวี ิตลง มรดกทกุ สง่ิ อย่างย่อมตกเปน็ ของตระกลู แห่งตน กรณพี ระสงฆ์ มศี ษิ ยบ์ วชกบั ตนมรดกยอ่ มตกแกศ่ ษิ ยร์ ปู นนั้ (Wickrama Weerasoonria: 2011; 285-287) ประเพณีเช่นน้ีพบเห็นตั้งแต่สมัยอาณาจักรแคนดี และสืบเนื่องเร่ือยมาจนถึงปัจจุบัน สันนิษฐานว่าระบบนี้น่าจะได้รับ อิทธิพลมาจากคติวรรณะ ซึ่งสมัยอาณาจักรแคนดีวรรณะเป็นค่านิยม ทางสงั คม สถาบันกษตั ริย์เองเปน็ เพยี งชาวทมิฬคนนอกย่อมไม่มีความ สามารถเปล่ียนแปลงได้ คณะสงฆ์แทนทจี่ ะปฏเิ สธกลบั ยึดถือวา่ เป็นสง่ิ ถูกต้อง จึงกลายเป็นประเพณีปฏบิ ัตสิ บื เน่อื งมา ประเพณญี าตศิ ษิ ยาปรมั ปราพบเหน็ คอ่ นขา้ งนอ้ ยหากเปรยี บเทยี บ กับประเพณีศิษยานุศิษย์ปรัมปรา สันนิษฐานว่าประเพณีศรีลังกาเน้น พระสงฆ์ออกบวชโดยไม่มีการลาสิกขามาครองชีวิตแบบฆราวาสวิสัย แมจ้ ะมีบ้างแตเ่ ปน็ จ�านวนนอ้ ย ด้วยเหตนุ นั้ มรดกและทรพั ย์สินทุกอย่าง จึงส่งมอบให้แก่ศิษย์ ซ่ึงส่วนใหญ่ก็เป็นญาติของตน ประเด็นน่าสนใจ คือกรณีสมบัติของอารามวิหารท่ีตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นโดยเฉพาะอาราม วิหาร หากไม่มพี ระสงฆ์พ�านักรักษาดูแล สมาชกิ คนหนง่ึ ในตระกูลต้อง เสียสละชีวิตฆราวาสออกบวชดูแลมรดกนั้นต่อไป ไม่ได้นิมนต์พระสงฆ์ วดั อนื่ มาเปน็ สมภารเจา้ อาวาสแตอ่ ยา่ งใด อกี ทางเลอื กหนงึ่ สมาชกิ ของ ตระกูลรักษาไวใ้ นนามญาติปรมั ปรา

กีรตศิ รีราชสงิ หะกตกิ าวัตร 303 ประเพณปี รมั ปราดงั กลา่ ว แมจ้ ะไมถ่ กู ตอ้ งตามพระธรรมวนิ ยั หาก เปน็ คตนิ ยิ มของสงั คมกย็ ากทจี่ ะปรบั เปลยี่ นได้ เพราะมคี วามผกู พนั เรอ่ื ง วรรณะผสมกับทรัพย์สินของอารามวิหาร นักบวชกลุ่มหนึ่งซึ่งมีส่วน กระตุ้นให้เกดิ ระบบนอ้ี ยา่ งชดั เจนคอื คณินนานเส สมยั อาณาจกั รแคนดี นักบวชกลุ่มนี้ทรงอิทธิพลมากทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ เนื่องจากมี ตา� แหนง่ สา� คญั ทางการเมอื งยอ่ มสามารถเพด็ ทลู กษตั รยิ ไ์ ด้ ขณะเดยี วกนั ในฐานะเป็นผู้ครอบครองที่ดินเป็นจ�านวนมาก ย่อมมีสิทธิในการ เปลี่ยนแปลงกลไกลทางตลาดได้ด้วย ประเด็นน่าคิดคือคณินนานเส เหล่านี้ล้วนเป็นคนจากวรรณะชั้นสูงในสังคม เหตุท่ีรักษาสถานภาพ นักบวชเพราะต้องครอบครองดูแลทรพั ย์สนิ อนั เป็นของอารามวหิ าร ซงึ่ รักษาสืบต่อทางเครือญาติ เพราะเป็นคนช้ันสูงจึงเช่ือมโยงกับขุนนาง ผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเครือญาติเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น การแต่งตั้งสมภาร เจ้าอาวาสวัดมัลลวัตตมหาวิหารและวัดอัศคิริยมหาวิหารกลางเมือง แคนดี ตอ้ งไดร้ ับการยอมรับจากขนุ นางวรรณะโคยิคามะเท่าน้ัน ประเพณปี รมั ปราเปน็ ผลเสยี มากกวา่ ผลดี กลา่ วคอื หนงึ่ นน้ั ทา� ให้ สังคมยึดตรึงอยู่กับระบบวรรณะมิได้คัดเลือกจากผู้มีความสามารถ และสองนนั้ อารามวหิ ารควรเปน็ สมบตั สิ าธารณะไมค่ วรเปน็ ของคนใดคน หนงึ่ ตามแนวคา� สอนของพระพทุ ธเจา้ แตค่ รน้ั มเี จา้ ของครอบครองโดย เปน็ สมบตั สิ ว่ นตน การบรู ณปฏสิ งั ขรณห์ รอื สรา้ งสงิ่ ใดกต็ ามลว้ นตกเปน็ ภาระของสมภารเจ้าอาวาสแต่ผู้เดียว ขณะเดียวกันแต่ละวัดก็พร้อม ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อแห่งตนโดยมิได้สนใจชาวพุทธผู้อยู่ รอบวดั

304 ศรลี งั กากตกิ าวัตร พระพุทธรปู ปนู ปนศิลปะสมยั แคนดี ภายในวิหารวัดอาลุวิหาร เมืองมาตะเล รูปหลอพระอุบาลีมหาเถระและพระแวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราช วัดมัลลวัตตมหาวิหาร เมืองแคนดี

กรี ตศิ รีราชสงิ หะกติกาวัตร 305 พธิ อี ปุ สมบทตามธรรมเนยี มของนกิ ายมลั ลวตั ตสยามนกิ าย วดั มลั ลวตั ตมหาวหิ าร เมอื งแคนดี

306 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร รูปปนู ปนพระเจากรี ติศรีราชสงิ หะ วัดถาํ้ ดมั บลุ ลราชมหาวหิ าร

กีรติศรีราชสงิ หะกตกิ าวตั ร 307 ปอมปราการเมืองบัตติคาโลว์ สรางสมัยฮอลันดาปกครอง (คัดลอกภาพจาก www.google.co.th/maps)

308 ศรลี งั กากตกิ าวัตร

ราชาธิราชสงิ หะกตกิ าวัตร 309

บรรยายภาพ: ภาพวาดภายในพิพิธภัณฑ์พระแวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราช วัดมัลลวัตต มหาวหิ าร เมืองแคนดี

บทที่ ๖ ราชาธิราชสิงหะกตกิ าวัตร ๖.๑ เกรนิ่ นำ� ราชาธิราชสิงหะกติกาวัตร หมายถึง กติกาวัตรที่พระเจ้า ราชาธริ าชสงิ หะแหง่ อาณาจกั รแคนดตี อนปลายโปรดใหป้ ระชมุ สงฆส์ อง อารามแล้วตราขึ้น เพ่ือเป็นหลักประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์ตลอด อาณาจักรแคนดี ครน้ั ตรากตกิ าวตั รแล้วโปรดใหค้ ัดลอกเป็น ๓ ฉบบั หนึ่งน้ันเก็บไว้ที่หอสมุดหลวง สองน้ันมอบถวายคณะสงฆ์วัดมัลลวัตต มหาวิหารและสามนั้นมอบถวายวัดอัศคริ ยิ มหาวหิ าร สันนษิ ฐานวา่ การ ตรากติกาวัตรคร้ังน้ีน่าจะมาจากการกดดันของคณะสงฆ์สองอาราม อีกประการหนึ่งน่าจะเป็นเพราะพระองค์ปรารถนาประพฤติตามเอาแบบ อย่างพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะผู้เป็นพระเชษฐาธิราชเจ้า กล่าวคือการ สงเคราะหศ์ าสนาจกั รตามวถิ ปี ฏบิ ตั แิ หง่ พระเจา้ จกั รพรรดิ แตก่ ตกิ าวตั ร ฉบับนี้เกิดผลในวงแคบเฉพาะสองอารามเท่าน้ัน ส่วนอารามวิหาร เหล่าอนื่ ตา่ งประพฤตติ ามจารีตปฏบิ ัตขิ องอาจารยแ์ ห่งตน หากวเิ คราะหใ์ หล้ ะเอยี ดจะเหน็ วา่ การตรากตกิ าวตั รครง้ั นี้ เปน็ การ จ�ำกัดขอบเขตเฉพาะเรื่องวรรณะเท่านั้น ด้วยเหตุว่าสมัยน้ันประเพณี ศษิ ยานศุ ษิ ยป์ รมั ปรากำ� ลงั เปน็ ทร่ี จู้ กั แพรห่ ลาย ประเพณดี งั กลา่ วหมายถงึ การสืบต่อมรดกและทรัพย์สินของอารามวิหารจากอาจารย์สู่ลูกศิษย์ ซง่ึ สว่ นใหญเ่ ปน็ การเปลยี่ นผา่ นในวงศต์ ระกลู แหง่ ตน หากรบั วรรณะอนื่ เขา้ มาสภู่ ายในคณะสงฆ์ มรดกและทรพั ยส์ นิ ของวดั กจ็ ะเปลยี่ นมอื กลาย เปน็ ของวรรณะอนื่ การตรากตกิ าวตั รฉบบั นจ้ี งึ หมายถงึ การสงวนมรดก

312 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร และทรัพย์สินของวัดให้ตกทอดเฉพาะตระกูลแห่งตน สันนิษฐานว่า ประเพณดี งั กลา่ วนา่ จะทรงอทิ ธพิ ลจนสถาบนั กษตั รยิ ไ์ มส่ ามารถทดั ทานได้ อันเน่ืองจากพระสงฆว์ รรณะสูงส่วนใหญส่ ังกัดตระกลู โคยิคามะ ซึ่งเป็น กลุ่มเดียวกันกับขุนนางผู้ใหญ่สมัยน้ัน ด้วยความทรงอิทธิพลดังกล่าว กษัตรยิ จ์ ึงตอ้ งคลอ้ ยตามความประสงคข์ องคณะสงฆ์สองอาราม กตกิ าวตั รฉบับน้กี ลายเป็นรอยดา่ งพร้อยของคณะสงฆ์ หากเปรยี บเทยี บกบั กตกิ าวตั รฉบบั อน่ื ราชาธริ าชสงิ หะกตกิ าวตั ร ฉบบั นห้ี าคนกลา่ วถงึ ยากนกั อาจเปน็ เพราะบรบิ ทเกยี่ วกบั ประวตั ศิ าสตร์ มนี อ้ ยมาก อกี ทงั้ รายละเอยี ดของเนอ้ื หากม็ สี าระนอ้ ยเชน่ กนั จนจบั เอา เปน็ ประเดน็ วเิ คราะหม์ ไิ ด้ สนั นษิ ฐานวา่ เหตทุ คี่ ณะสงฆส์ องอารามกระตนุ้ ใหต้ รากตกิ าวตั รขนึ้ เพราะกตกิ าวตั รสมยั พระเจา้ กรี ตศิ รรี าชสงิ หะลดความ สา� คญั ลง หรอื อาจเกดิ จากการกระตนุ้ ของเหลา่ ขนุ นางผเู้ ปน็ ญาตติ ระกลู เดียวกันกับคณะสงฆ์สองอาราม กติกาวัตรฉบับน้ีเกิดผลเสียมากกว่า ผลดี เพราะหลังจากน้ันไม่นานเกิดวิวาทะระหว่างคณะสงฆ์สองอาราม กบั คณะสงฆก์ ลุ่มอื่น จนกลายเป็นจดุ แตกแยกแบง่ นกิ ายภายหลงั ส่ิงหน่ึงซ่ึงปรากฏเห็นในกติกาวัตรฉบับน้ีคือปฏิสัมพันธ์ระหว่าง พระสงฆ์กับฆราวาส แต่เดิมน้ันพระสงฆ์มีความใกล้ชิดกับฆราวาส ท้ังเครือญาติและฆราวาสทั่วไป จนต้องมีข้อห้ามคลุกคลีกับคฤหัสถ์ แตร่ าชาธริ าชสงิ หะกตกิ าวตั รฉบบั นก้ี ลบั หา้ มพระสงฆร์ อ้ งเรยี นคดคี วาม ต่อกษัตริย์หรือขุนนาง ยกเว้นต้องได้รับอนุญาตจากพระเถระผู้ใหญ่ ช้ันนายกะหรืออนุนายกะ ลักษณะเช่นน้ีไม่สามารถยืนยันได้ว่าเพราะ สาเหตุใด สนั นษิ ฐานวา่ อาจเกิดจากความใกลช้ ิดทางเครือญาตริ ะหวา่ ง

ราชาธิราชสงิ หะกติกาวัตร 313 พระสงฆ์กับขุนนางชาวสิงหลจนยากจะควบคุม หรือว่าอาจเกิดจาก พระสงฆเ์ ขา้ แทรกแซงการท�างานของขนุ นางจนเกนิ งาม ผู้เขียนมองว่าน่าจะมาจากสาเหตุของเครือญาติมากกว่า อันเนื่องจากสมัยน้ันเกิดความหวาดระแวงระหว่างราชวงศ์ทมิฬกับ ชาวสงิ หล ผทู้ รงอทิ ธพิ ลตอ่ สงั คมชาวลงั กาสมยั นน้ั นอกจากพวกขนุ นาง แล้ว พระสงฆ์ก็ถือว่าทรงอ�านาจไม่แพ้กัน หากพระสงฆ์และขุนนางผู้ เปน็ เครอื ญาตริ ว่ มมอื กนั ยอ่ มเปน็ เรอ่ื งยากตอ่ การควบคมุ การมขี อ้ หา้ ม ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพระสงฆ์กับขุนนางน่าจะเป็นเหตุผลทางการเมือง มากกว่าศาสนา และประเด็นนี้น่าจะเป็นพระราชโองการมากกว่า ความพอใจของคณะสงฆ์สองอาราม ö.๒ เหตุการณบ์ า้ นเมอื ง พระเจา้ ราชาธริ าชสงิ หะ (พ.ศ.๒๒๒๕-๒๓๔๑) เป็นเช้ือสาย ชาวทมฬิ แหง่ ราชวงศน์ ายกั การแ์ หง่ อนิ เดยี ตอนใต้ ทรงขน้ึ ครองราชยส์ บื ตอ่ พระเจา้ กรี ตศิ รรี าชสงิ หะผเู้ ปน็ พระเชษฐาธริ าช เหตเุ พราะทรงพระเยาว์ พระราชบดิ าจงึ ทา� หน้าที่เป็นผสู้ �าเรจ็ ราชการออกว่าราชการแทน สมยั น้ี ต�าแหน่งส�าคัญภายในอาณาจักรแคนดีล้วนตกอยู่ภายใต้การดูแลของ พระประยูรญาติชาวทมิฬหมดส้ิน เป็นเหตุให้เกิดความหวาดระแวง ระหว่างชาวทมิฬกับชาวสิงหลมากข้ึน กล่าวตามความจริงความ ตึงเครียดสืบเนื่องต่อจากสมัยพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะผู้เป็นพระ เชษฐาธิราช กล่าวคือพระองค์ได้เชิญชวนพระประยูรญาติจากเมือง มถุราแห่งอินเดียตอนใต้ให้เดินทางมาเกาะลังกา แล้วแต่งต้ังให้ด�ารง ต�าแหน่งส�าคัญแทนขุนนางชาวสิงหล ขณะเดียวกันก็โยกย้ายขุนนาง

314 ศรลี งั กากตกิ าวัตร ชาวสงิ หลผมู้ บี ทบาทสา� คญั ใหไ้ ปดา� รงตา� แหนง่ เจา้ เมอื งรอบนอก พรอ้ ม ก�าหนดอ�านาจหน้าท่ีค่อนข้างจ�ากัด เหนือสิ่งอ่ืนใด ทรงแต่งตั้งพระ ประยูรญาติให้มีอ�านาจหน้าท่ีในการตรวจสอบการท�างานของขุนนาง ชาวสงิ หล (Horace Perera: 1959; 90) ดว้ ยเหตนุ น้ั ทา� ใหเ้ หลา่ ขนุ นาง ชาวสงิ หลเร่ิมวางแผนเพื่อล้มล้างราชวงศ์ทมิฬนายักการ์ ขุนนางผู้ใหญ่ชาวสิงหลผู้ทรงบารมีมากสุดสมัยน้ันเรียกว่า อาทิการ์หรืออัครเสนาบดีมี ๒ ท่าน หนึ่งนั้นชื่อว่าปิลิเม ตะละเว มี อ�านาจหน้าที่ดูแลหัวเมืองทางตอนเหนือและตะวันออกของอาณาจักร และหนง่ึ นน้ั มนี ามวา่ เอเรววาละ มอี า� นาจหนา้ ทด่ี แู ลหวั เมอื งทางตอนใต้ และตะวันตกของอาณาจักร (Horace Perera: 1959; 91) หากวัด บารมีกนั แลว้ อคั รเสนาบดปี ลิ เิ ม ตะละเวมอี ทิ ธพิ ลมากกวา่ อคั รเสนาบดี เอเรวาละ เพราะมเี ครอื ญาตดิ า� รงตา� แหนง่ เปน็ เจา้ เมอื งหลายแหง่ เหนอื สง่ิ อน่ื ใด ทา่ นเปน็ ผเู้ สนอพระนามพระเจา้ ราชาธริ าชสงิ หะขน้ึ ครองราชย์ เหนอื บลั ลงั กแ์ คนดี อกี ประการหนงึ่ อคั รเสนาบดที า่ นนม้ี คี วามใกลช้ ดิ กบั พอ่ คา้ Îอลนั ดา ซงึ่ ขณะนนั้ ครอบครองดนิ แดนชาย½ง›ั ทะเลรอบเกาะลงั กา ดว้ ยความมากอทิ ธพิ ลของอคั รเสนาบดปี ลิ เิ ม ตะละเว พระเจา้ ราชาธริ าช สงิ หะเกรงวา่ จะยากตอ่ การควบคมุ จงึ ทรงแตง่ ตง้ั อคั รเสนาบดเี อเรววาละ เพื่อถ่วงดุลอ�านาจ แต่ด้วยความชาญฉลาดของอัครเสนาบดีปิลิเม ตะละเว ความพ่ายแพ้จึงตกแก่อัครเสนาบดีเอเรววาละ เมื่อถูกใส่ ความและประหารชีวิตตอนปลายรัชสมัยของพระเจ้าราชาธิราชสิงหะ (Alicia Schrikker: 2007; 124) นับแต่นั้นมาอาณาจักรแคนดีก็เริ่ม ส่ันคลอนจนนา� ไปส่กู ารลม่ สลายในเวลาต่อมา นัน่ คือศกึ ภายในอาณาจักรแคนดี

ราชาธิราชสิงหะกติกาวัตร 315 สว่ นศกึ ษาภายนอกนน้ั กษตั รยิ แ์ หง่ ราชวงศน์ ายกั การต์ อ้ งพบกบั มหาอา� นาจตะวนั ตกหลายชาติ เรมิ่ ตน้ จากÎอลนั ดา ซงึ่ เขา้ มาครอบครองดนิ แดนชาย½ง›ั ทะเลรอบ เกาะแทนท่ีโปรตุเกสคนเถ่ือน นโยบายของÎอลันดาน้ันต้องการความ เปน็ มิตรกบั กษัตรยิ ์แคนดมี ากกว่าเป็นศัตรู จงึ แสดงความโอนอ่อนผอ่ น ตามทุกส่ิงอย่าง แม้กษัตริย์แคนดีจะพยายามสร้างความวุ่นวายหลาย ครั้ง Îอลันดากพ็ ร้อมเจรจามากกว่าทา� สงครามเข้าทา� ลาย สนั นิษฐาน ว่าเพราะความไม่พร้อมของพ่อค้าÎอลันดา หรือว่าเพราะพึ่งพาอาศัย เคร่ืองเทศของอาณาจักรแคนดี กษัตริย์ชาวทมิฬแห่งแคนดีนั้นไม่ทรง พอใจพอ่ คา้ Îอลนั ดาทป่ี ดิ ลอ้ มทา่ เรอื ทกุ แหง่ รอบเกาะลงั กา หากกษตั รยิ ์ แหง่ แคนดจี ะซอื้ ขายสนิ คา้ กบั พอ่ คา้ วานชิ ชาววเิ ทศจะตอ้ งผา่ นพอ่ คา้ ชาว Îอลันดาก่อน เหตุเพราะÎอลันดามองว่าหากเปิดโอกาสให้กษัตริย์ แคนดีติดต่อกับชาวต่างประเทศจะเป็นการชักศึกเข้าบ้านยากต่อการ ควบคุม (UCHC vol.3: 1973; 15) ดูเหมือนว่ากุศโลบายนี้ประสบ ความสา� เรจ็ เปน็ อยา่ งดี สงั เกตไดจ้ ากมชี าวตา่ งชาตเิ ขา้ มาปฏสิ มั พนั ธก์ บั อาณาจกั รแคนดีนอ้ ยนัก ยกเวน้ องั กฤษและ½รั่งเศส แต่Îอลนั ดากอ็ ้าง เหตุผลกดดนั กษตั รยิ ์แหง่ แคนดจี นตอ้ งปฏิเสธความสมั พันธท์ กุ คร้ัง ชาติถัดมาคือ½รั่งเศส สมัยน้ันÎอลันดามองว่า½รั่งเศสเป็น พันธมิตรส�าคัญบนดินแดนยุโรป อีกทั้งมีแสนยานุภาพเท่าเทียมกับ อังกฤษ ซึ่งสมัยนั้นก�าลังแผ่อ�านาจเข้าครอบครองอินเดีย ด้วยเห็นว่า เปน็ คณุ มากกวา่ โทษÎอลนั ดาจงึ อนญุ าตให½้ รง่ั เศสดแู ลทา่ เรอื ตรนิ โคมาลี ส่วน½ร่ังเศสเองก็ยินดีเพราะสามารถยึดครองคาบสมุทรพอล์ก

316 ศรลี ังกากตกิ าวัตร (Palk Strait) เพื่อเชื่อมโยงกับเมืองปอนดีเชอรี (Pondicherry) ทาง อนิ เดยี ตะวนั ออกตอนใต้ ซงึ่ เปน็ อาณานคิ มของตน ½รง่ั เศสนน้ั มที รรศนะ คตเิ ปน็ มติ รกบั Îอลนั ดาและกษตั รยิ แ์ หง่ แคนดเี ปน็ อยา่ งดี แมบ้ างครงั้ จะ แสดงความต้องการเข้าครอบครองท่าเรือหลายแห่งแทนที่Îอลันดา โดยส่งทูตเขา้ ไปเจรจาขอก�าลงั หนุนจากกษัตริย์แห่งแคนดี แตส่ ดุ ท้ายก็ จบลงด้วยการเจรจากบั Îอลันดาเสียทุกครั้ง เพราะผูท้ �าหน้าทส่ี ่งข่าวให้ แกÎ่ อลนั ดาคอื อคั รเสนาบดวี า่ ปลิ เิ ม ตะละเว (Perera I: 1955; 153) สันนิษฐานว่าสินค้าทุกสิ่งอย่างของอาณาจักรแคนดีสมัยนั้นอยู่ภายใต้ การควบคมุ ของพ่อค้าÎอลนั ดา ตลอดทงั้ สนิ ค้าน�าเข้าจากภายนอกล้วน อยู่ในก�ามือของÎอลันดาสิ้น ขณะที่½ร่ังเศสเป็นเพียงกองก�าลังคอยท�า หน้าที่ป‡องกันแสนยานุภาพของอังกฤษให้พ่อค้าÎอลันดาเท่านั้น หาก กษตั รยิ แ์ หง่ แคนดรี ว่ มมอื กบั ½รง่ั เศสขบั ไลÎ่ อลนั ดาจรงิ กไ็ มต่ า่ งอะไรจาก ทุบท�าลายหม้อข้าวตนเอง ผลดีท่ีหวังไว้ก็จะกลายเป็นผลร้ายยากต่อ การควบคมุ ส่วนชาติสุดท้ายคืออังกฤษ มหาอ�านาจชาติน้ีหมายมั่นปั้นมือจะ เข้ายึดครองเกาะลังกานานแล้ว เพราะมองเห็นว่าเกาะลังกาเป็นชัยภูมิ อันเหมาะสมทางการทหารและการค้า หากสามารถครอบครองเกาะ ลงั กาได้ “ยอ่ มสามารถ ๑) ควบคมุ คาบสมทุ รอนิ เดยี ทงั้ หมดเพอื่ ปอ‡ งกนั ½รั่งเศสรวบรวมกองทัพหรือก�าลังหนุนทางทหารพร้อมกับการโต้ตอบ จากยุโรป ๒) ควบคุมชาย½ั›งตะวันออกและตะวันตกของอินเดีย และ ๓) ยึดครองท่าเรืออันเหมาะสมแห่งอนื่ ในอ่าวเบงกอล” Horace Perera: 1959; 141) แต่สมัยนนั้ อปุ สรรคสา� คัญของอังกฤษคอื ½ร่งั เศส และÎอลนั ดาซึง่ ร่วมมือกนั เป็นอย่างดี ข้าหลวงองั กฤษแห่งเมอื งมัทราส

ราชาธริ าชสิงหะกติกาวัตร 317 จงึ สง่ ทตู ไปเจรจากบั กษตั รยิ แ์ คนดี แมจ้ ะมที ตู หลายคนหมนุ เวยี นเปลยี่ น มอื มาท�าสนธสิ ญั ญากบั กษตั ริยแ์ คนดี เพื่อเปน็ กา� ลงั หนุนขับไล่½ร่ังเศส และÎอลันดาแต่หาประสบความส�าเร็จไม่ เพราะกษัตริย์แห่งแคนดียัง สงสยั ความจรงิ ใจขององั กฤษประการหนง่ึ เพราะเหลา่ ขนุ นางมไิ ดแ้ สดง ความจ�านงพร้อมเพรียงกันประการหน่ึง ต่อมาเกิดจลาจลการบน แผ่นดินÎอลันดาในยุโรป เจ้าเมืองÎอลันดาผู้ถือหุ้นส่วนบริษัทÎอลันดา ตะวนั ออกหลายคน (Stadtholder) ไดพ้ ากนั หลบหนภี ยั ไปอาศยั พระบรม โพธิสมภารของกษัตริย์อังกฤษ พร้อมน�าเอกสารการค้าของบริษัท Îอลันดาตะวันออกไปด้วย จึงเป็นเหตุให้อังกฤษอ้างเหตุเข้ายึดครอง ดนิ แดนชาย½ง›ั ทะเลรอบเกาะลังกา (Codrington: 1994; 155-157) สงครามครั้งนั้นใชเ้ วลาไม่ถึงปีÎอลันดาก็ยอมแพ้ศิโรราบ เปน็ ทนี่ า่ สงั เกตวา่ การทา� สงครามขององั กฤษครง้ั นนั้ กษตั รยิ แ์ หง่ แคนดีมิได้เข้าช่วยเหลือแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะกษัตริย์ไม่สามารถ ตัดสินใจได้เด็ดขาดว่าจะร่วมมือกับอังกฤษหรือไม่ เพราะประวัติศาสตร์ ที่ผ่านมาล้วนชี้ให้เห็นว่าการชักชวนชาติมหาอ�านาจเข้ามาขับไล่ มหาอา� นาจกลมุ่ เกา่ กไ็ มต่ า่ งจากพรกิ แลกเกลอื ชาวแคนดหี าไดป้ ระโยชน์ อนั ใดไม่ ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ การไมเ่ ขา้ รว่ มสงครามคราวนน้ั อาจจะมาจากการ คัดค้านของอัครเสนาบดีปิลิเม ตะละเว ซ่ึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ Îอลันดา อัครเสนาบดีท่านน้ีอาจกราบทูลกษัตริย์แห่งตนให้เห็น ภยันตรายของอังกฤษผู้มาใหม่ โดยเฉพาะข่าวลือว่าอังกฤษใช้อ�านาจ ขม่ ขกู่ ษตั รยิ แ์ หง่ อนิ เดยี ตอนใตห้ ลายหวั เมอื ง ความลงั เลผสมกบั ขา่ วลอื น่าจะเป็นเหตุให้กษัตรยิ แ์ คนดีไม่สง่ ก�าลังเข้าชว่ ยเหลืออังกฤษ

318 ศรีลังกากตกิ าวตั ร ครนั้ องั กฤษเขา้ ยดึ ครองหวั เมอื งชายทะเลรอบเกาะแทนทÎี่ อลนั ดา แลว้ ไดแ้ สดงความเปน็ มติ รอยา่ งเปดิ เผยกบั กษตั รยิ แ์ หง่ แคนดี กลา่ วคอื เปิดโอกาสให้กษัตริย์แห่งแคนดีสามารถติดต่อค้าขายกับอาณาจักร ภายนอกไดอ้ ยา่ งอสิ รเสรี แมท้ า่ เรอื จะอยภู่ ายใตก้ ารควบคมุ ของตนกต็ าม (UCHC vol.3: 1973; 15) ขณะเดยี วกนั กโ็ อนออ่ นผอ่ นตามทางศาสนา ด้วย กล่าวคือคณะสงฆ์สยามนิกายแห่งหัวเมืองแดนใต้สามารถจัด กิจกรรมได้อย่างอิสรเสรี โดยได้รับการการสนับสนุนจากอังกฤษเป็น อยา่ งดี (Kitsiri Malalgoda: 1976; 83) เหตเุ พราะองั กฤษไมม่ นี โยบาย เขา้ ครอบครองอาณาจกั รแคนดแี ตอ่ ยา่ งใด เพยี งแตอ่ าศยั เกาะลงั กาเปน็ ศูนย์กลางควบคุมเส้นทางการค้าเคร่ืองเทศเท่านั้น แต่ภายหลังขุนนาง ชาวสิงหลกลับชักชวนอังกฤษให้เข้ายึดครองอาณาจักรแคนดีจนล่ม สลายกลายเปน็ อาณานคิ มอังกฤษเกือบสามศตวรรษ ö.ó การณพ์ ระศาสนา กล่าวตามความจริงพระเจ้าราชาธิราชสิงหะน้ันเดินทางเข้ามา อาณาจกั รแคนดตี งั้ แตย่ งั ทรงพระเยาว์ พระองคท์ รงศกึ ษาขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ภายใต้การแนะน�าสั่งสอนของพระแวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราช ในฐานะราชคุรุ จนท�าให้พระองค์ทรงเชี่ยวชาญแตกฉานท้ังคดีโลกและ คดีธรรม แม้พระองค์จะทรงแสดงตนเป็นพุทธมามกะท�าหน้าท่ีอุปถัมภ์ พระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี เฉกเช่นพระเชษฐาธิราชเจ้า แต่ความ หวาดระแวงพระองคใ์ นฐานะชาวทมฬิ คนนอกกย็ ากจะสลดั พน้ จากความ คดิ เห็นของชาวสิงหลได้ เหตุเพราะความหวาดระแวงได้แทรกซึมเขา่ กบั พวกขุนนางชั้นสูงชาวสิงหล ซึ่งมีความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันกับ

ราชาธิราชสงิ หะกติกาวตั ร 319 พระสงฆ์ผู้เป็นเครือญาติตระกูลเดียวกัน ด้วยลักษณะดังกล่าวท้ังสอง ½่ายต่างคอยหาจังหวะเข้าท�าลายกันและกันตลอดเวลา ซึ่งตรงกันข้าม กับสมัยพระเจ้ากรี ตศิ รรี าชสงิ หะผู้เป็นพระเชษฐาธิราช สมยั นั้นราชวงศ์ นายักการจ์ ะไม่เป็นทีพ่ อใจของชาวสิงหล แตพ่ ระองคก์ เ็ ปลยี่ นความคิด ดว้ ยการแปรรปู นโยบายเปน็ รปู ธรรม กลา่ วคอื ปฏริ ปู พระศาสนาและฟน้ื ฟู วฒั นธรรมจนได้รบั การยอมรับจากชาวสิงหลทกุ หมูเ่ หลา่ คัมภีร์มหาวงศ์พรรณนาพระกิตติคุณด้านพระศาสนาของพระเจ้า ราชาธริ าชสงิ หะไวว้ า่ พระองคโ์ ปรดใหบ้ รู ณปฏสิ งั ขรณอ์ ารามหลายแหง่ ซงึ่ ทรดุ โทรมเสียหายตามกาลเวลา โปรดใหส้ รา้ งวหิ ารภายในคงั คาราม สืบต่อพระเชษฐาธิราช โปรดให้สร้างพระอุโบสถหลายแห่งเพื่อให้เพียง พอตอ่ การประกอบอปุ สมบทพธิ ี เฉพาะวหิ ารพระเขย้ี วแกว้ ซง่ึ ประดษิ ฐาน ภายในพระราชวงั นน้ั โปรดใหต้ ามประทปี ตลอดคนื เพอื่ บชู าพระเขยี้ วแกว้ นอกจากนน้ั โปรดใหส้ รา้ งพระพทุ ธปฏมิ าดว้ ยโลหะขนาดเทา่ พระวรกาย ของพระองค์ และโปรดใหถ้ วายกฐนิ แกพ่ ระสงฆท์ กุ ปี (พระมหานามเถระ และคณะบัณฑิต ภาค 2: 2553; 408-409) สว่ นอฐั มสถานศักดส์ิ ิทธ์ิ แห่งเมืองเก่าอนุราธปุระก็ทรงโปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์เช่นกัน รวมถึง วิหารเก่าแก่แห่งเมืองเก่าโปโฬนนารุวะ วิหารสมโนละกันดะแห่งเมือง สบรคามุวะ ริดีวิหารแห่งหันโกฬะเร วิหารแกลาณียะซ่ึงติดกับท่าเรือ โคลัมโบ และวหิ ารมลุ คริ คิ ละแหง่ ภาคใต้ (Kitsiri Malalgoda: 1976; 66-67) สังเกตว่าอารามวิหารเหล่าน้ีล้วนเป็นอารามขนาดใหญ่มี พระภิกษุสามเณรพักอาศัยเป็นจ�านวนมาก เช่ือว่านอกจากบูรณ ปฏิสังขรณ์แล้วน่าจะถวายความอุปถัมภ์ปัจจัยส่ี เพื่อให้พระภิกษุ สามเณรสามารถปฏิบตั ศิ าสนากิจได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ

320 ศรีลังกากตกิ าวัตร พระราชกรณียกิจทางศาสนาเช่นนี้ สันนิษฐานว่าส่วนหน่ึง พระองค์น่าจะทรงประพฤติตามแบบอย่างพระเชษฐาธิราชเจ้า อีกส่วน หน่ึงน่าจะเป็นการเอาใจชาวสิงหลเพ่ือลดความหวาดระแวง ส่วนดีเกิด ประโยชนม์ หาศาลแกพ่ ระสงฆแ์ ละบวรพระพทุ ธศาสนา เพราะราชปู ถมั ภ์ หมายถึงการปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างเต็มท่ีโดยไม่ต้องพะวงต่อปัจจัย สา� หรบั ดา� เนนิ ชวี ติ ประเดน็ นา่ สนใจคอื หลกั ฐานเกยี่ วกบั พระบรมราชทู ศิ สมัยพระองค์มีกล่าวถึงน้อยนัก สันนิษฐานว่าสาเหตุอาจเป็นเพราะ พระบรมราชูทิศส่วนใหญ่พระเชษฐาธิราชเจ้าทรงด�าเนินการก่อนแล้ว อีกประการหน่ึงสมัยนั้นพระสงฆ์อาจแยกกันปกครองอย่างชัดเจน การถวายพระบรมราชทู ศิ แก½่ า่ ยใด½า่ ยหนงึ่ เปน็ การเฉพาะอาจจะเกดิ ผล เสยี มากกวา่ ผลดี บรรดาพระสงฆ์ทั้งปวงน้ัน พระเจ้าราชาธิราชสิงหะทรงมีความ คุ้นเคยกับพระโมรโตฏะ ธัมมักขันธเถระมากสุด ด้วยเหตุว่าพระเถระ รูปน้ีแตกฉานในคัมภีร์พระไตรปิฎกและคัมภีร์พระพุทธศาสนา อีกท้ัง โดดเด่นด้านเทศนาธรรม และพระเถระรูปน้ีได้รับแต่งตั้งให้ท�าหน้าที่ เป็นราชคุรุสืบต่อจากพระแวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราช (Gunaratne Panabokke: 1993; 220) และพระเถระอกี รปู หนงึ่ คอื พระโกบบากดเุ ววะ ศรีนิวาสเถระ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวยากรณ์หลากหลายภาษา ท�าหน้าท่ี ถวายความรู้การเขียนหลากหลายภาษา (Dewaraja: 1972; 173) จนพระองค์สามารถแต่งกวีนิพนธ์เสมอปราชญ์ช้ันครู หลักฐานระบุว่า พระองค์ทรงนิพนธ์กาพย์ชื่อว่าอสทิสชาดก (พระมหานามเถระและ คณะบัณฑิต ภาค 2: 2553; 408) แม้เน้ือหาจะเดินตามอสทิสชาดก ก็จริง แต่พระองค์ได้เพิ่มรายละเอียดมากข้ึน โดยเฉพาะการร้อยเรียง ศพั ทอ์ นั วจิ ิตรและรสความอันไพเราะเสนาะโสตร

ราชาธริ าชสงิ หะกตกิ าวตั ร 321 นอกจากพระองคจ์ ะทรงปราชญแ์ ลว้ ยงั มปี ราชญส์ มยั พระองคอ์ กี หลายทา่ น ดงั เชน่ ดนุ วุ ลิ เล คชนายกะ นลิ าเม ไดแ้ ตง่ กวอี นั ไพเราะสองเลม่ ไดแ้ ก่ รตริ ตั นะอลงั การและดตุ นวุ ลิ หะตะนะ สว่ นนกั กวชี าวใตน้ ามอโุ ฆษ ได้แก่ ทิสสนายกะมุดาลิยาร์แห่งเมืองมาตระ ได้แต่งคัมภีร์มักกรัททช ดา้ นสมรชีวะ ปตั ตยะเม เลขมั นนั้ แตง่ กวนี ิพนธเ์ กี่ยวกบั ความรกั ช่อื ว่า วโิ ยวครนั มละยะ และกวนี พิ นธช์ อ่ื วา่ กาพมนิ โิ กนดละ โดยเดนิ ตามเนอื้ หา ของอลิสจิตตชาดก และสุดท้ายสมรเสเกระ ทิสสนายกะ มุดหันดิรัม แหง่ เมอื งกตวะนะ ไดแ้ ตง่ กาพยม์ นิ มิ ลั ดามะโดยเดนิ เรอื่ งตามเนอื้ หาของ โสณกชาดก (Horace Perera: 1959; 99-100) เปน็ ทน่ี ่าสงั เกตว่าการ แพร่หลายของวรรณกรรมสมัยน้ีมิได้เกิดจากราชูปถัมภ์ของพระองค์ แต่เป็นผลพลอยได้จากการปฏิรูปพระพุทธศาสนาสมัยพระเจ้ากีรติ ศรีราชสิงหะ สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากการจัดการเรียนการสอนของ พระแวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราช ด้วยหลักสูตรที่เหมาะสมกับผู้เรียน เร่ิมต้นจากง่ายแล้วพัฒนาไปหายาก จึงสามารถผลิตนักปราชญ์เป็น จ�านวนมาก โดยสรา้ งสรรคผ์ ลงานเป็นภาษาสงิ หล อีกด้านหนึ่งน้ัน พระเจ้าราชาธิราชสิงหะมีข้อขัดแย้งกับพระสงฆ์ อย่างรนุ แรง ประเดน็ แรกเกย่ี วกบั ผรู้ บั มรดกศรปี าทะ กลา่ วตามหลกั ฐานศรปี าทะ หรอื สถานทปี่ ระดษิ ฐานรอยพระพทุ ธบาทบรเิ วณหวั เมอื งสบรคามวุ ะนนั้ พระเจา้ กรี ตศิ รรี าชสงิ หะมอบถวายแดพ่ ระแวฬวิ ฏิ ะสรณงั กรสงั ฆราชสมยั ประดิษฐานสยามวงศ์ ต่อมาพระแวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราชได้มอบให้ ศิษย์ ๓ รูป กล่าวคือ พระมาลิมบะฑะ ธัมมธรเถระ พระแวแÎลเล

322 ศรลี ังกากตกิ าวตั ร ธัมมทินนเถระ และพระกุมบุรุปิฏิเย คุณรัตนเถระ ซึ่งพระเถระเหล่าน้ี ล้วนเป็นพระสงฆ์แห่งหัวเมืองแดนใต้ ซ่ึงสมัยน้ันหัวเมืองแดนใต้อยู่ ภายใต้การครอบครองของÎอลันดา เฉพาะพระธัมมทินนเถระและ พระคณุ รตั นเถระนน้ั รง้ั ตา� แหนง่ สา� คญั ทางคณะสงฆแ์ หง่ หวั เมอื งแดนใต้ ต่อมาครั้นพระเถระทั้งสองรูปมรณภาพแล้ว (พุทธศักราช ๒๓๒๒) ทรัพย์สินของศรีปาทะได้ถูกแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหน่ึงน้ันตกเป็นของ พระโมรโตฏะ ธัมมักขันธเถระ ผู้เป็นราชครขู องพระเจ้าราชาธริ าชสงิ หะ อีกส่วนหนึ่งนั้นตกเป็นของพระกรโตฏะ ธัมมารามเถระ ผู้สืบทอด ตา� แหนง่ คณะสงฆต์ อ่ จากพระกมุ บรุ ปุ ฏิ เิ ย คณุ รตั นเถระ เฉพาะสว่ นของ พระธมั มารามเถระนั้นถือว่าน้อยนกั ส�าหรบั ผู้ทา� หนา้ ทต่ี ัดสินแบง่ มรดก ดงั กลา่ วเปน็ พระราชธรุ ะของพระเจา้ ราชาธริ าชสงิ หะ พระธมั มารามเถระ เห็นว่าการแบ่งมรดกแห่งศรีปาทะไม่มีความยุติธรรม จึงย้ายไปอยู่หัว เมอื งแดนใตโ้ ดยÎอลนั ดาทา� หนา้ ทอ่ี ปุ ถมั ภเ์ ปน็ อยา่ งดี ทง้ั นเ้ี พอ่ื แสดงออก ถึงการต่อต้านพระราชอ�านาจของพระเจ้าราชาธิราชสิงหะ ภายหลังต่อ มาอังกฤษได้สนับสนุนพระเถระด้วยการแต่งต้ังการกสงฆ์แห่งหัวเมือง แดนใต้ ให้ด�าเนินกิจการตามแบบการกสงฆ์แห่งเมืองแคนดีทุกประการ (Alicia Schrikker: 2007; 124) ความขัดแย้งดังกล่าวลุกลามไปถึง ขุนนางผู้เป็นเครือญาติของพระธัมมารามเถระด้วย แม้ไม่แสดงออกถึง ความไม่พอใจให้เห็น แต่ถือได้ว่าเป็นอีกจุดหน่ึงซ่ึงเร่งความล่มสลาย ของราชวงศน์ ายกั การ์แหง่ อาณาจกั รแคนดี ประเดน็ ตอ่ มาเป็นอคติเรื่องวรรณะ กลา่ วตามหลกั ฐานอคตเิ รอื่ ง วรรณะภายในคณะสงฆเ์ กดิ มขี นึ้ สมยั พระเจา้ กรี ตศิ รรี าชสงิ หะ โดยมกี าร ตราในกตกิ าวตั รหา้ มอปุ สมบทแกว่ รรณะอน่ื นอกจากโคยคิ ามะ เปน็ การ

ราชาธริ าชสิงหะกติกาวตั ร 323 ปิดประตูส�าหรับกุลบุตรจากวรรณะอื่นผู้ปรารถนาเป็นสมาชิกแห่ง คณะสงฆ์ ครนั้ พระเจา้ ราชาธริ าชสงิ หะขนึ้ ครองราชยแ์ ลว้ กลุ บตุ รวรรณะ อื่นนอกจากวรรณะโคยิคามะต่างรอคอยโอกาสจากพระองค์ แต่การณ์ ปรากฏว่าพระองค์โปรดให้ประชุมสงฆ์สองอารามตรากติกาวัตรส�าทับ เรื่องวรรณะอีกคร้ังหน่ึง เป็นเหตุให้กุลบุตรวรรณะอื่นไม่พอใจเป็น อย่างยิ่ง รวมถึงเครือญาติของวรรณะเหล่าน้ันด้วย ความไม่พอใจ ดังกล่าวเป็นผลให้คณะสงฆ์หันไปสวามิภักด์ิต่อÎอลันดาและอังกฤษ อย่างจริงใจ (Kitsiri Malalgoda: 1976; 90-91) วรรณะเหล่าน้ีได้รบั การสนับสนุนจากÎอลันดาและอังกฤษเป็นอย่างดี นับต้ังแต่ด�ารง ต�าแหน่งส�าคญั ด้วยการดูแลผู้คนภายใต้อาณานิคม ตลอดจนเป็นพ่อคา้ วานิชท�าการติดต่อค้าขายตามหัวเมืองอาณานิคม ความเมินเฉยของ คณะสงฆ์สยามนกิ ายและกษัตรยิ ์แห่งแคนดกี ลายเปน็ ผลเสยี หายมหันต์ ต่ออาณาจกั รแคนดีในสมัยตอ่ มา ö.ô สาเหตุการตรากตกิ าวัตร ข้อความบางแห่งในราชาธิราชสิงหะกติกาวัตรระบุว่า “ครั้นทรง สดับการพระศาสนาเศร้าหมองเสมือนอดีตกาล เพราะเกลื่อนกล่นด้วย พระภิกษุผู้ไร้ความละอาย และมากด้วยพระภิกษุผู้มีความอยาก” จากนนั้ ทรงรา� พงึ วา่ “การแกไ้ ขความประพฤตเิ สยี หายและผดิ พลาดจาก พระวนิ ยั ของพระภกิ ษเุ หลา่ นี้ ชอ่ื วา่ เปน็ ภาระของพระพทุ ธเจา้ ผมู้ คี ณุ อนั เปรียบมิได้ บัดนี้ อันตัวเราควรท�าหน้าที่แทนพระพุทธเจ้า” หลักฐาน ดงั กลา่ วเบอื้ งตน้ หากเปรยี บเทยี บกบั ประวตั ศิ าสตรส์ มยั พระองคม์ คี วาม เปน็ ไปไดน้ อ้ ยมาก เหตเุ พราะระยะเวลานบั จากการปฏริ ปู พระศาสนาสมยั

324 ศรีลงั กากตกิ าวัตร พระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะไม่นานนัก อีกทั้งพระสงฆ์ส่วนใหญ่ล้วนศึกษา ภายใต้การส่ังสอนของพระแวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราช การกล่าวว่า พระสงฆ์สมัยน้ันประพฤติเสียหายนอกธรรมวินัยย่อมไม่สมเหตุสมผล ผู้เขียนเช่ือว่าการอ้างดังกล่าวน่าจะมาจากพระสงฆ์สองอารามผู้ ปรารถนาให้ตรากตกิ าวตั ร ประเด็นการอ้างประวัติศาสตร์นับแต่พุทธกาลมาจนถึงสมัย พระองค์นั้น มีลักษณะเร่งรีบโดยผ่านบูรพกษัตริย์ผู้ทรงคุณช้ันมหาราช ดังเช่น พระเจ้าปรากรมพาหุมหาราชแห่งอาณาจักรโปโฬนนารุวะ แม้ พระราชประวัติของพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะผู้เป็นพระเชษฐาธิราชก็ น้อยนักจนผิดสังเกต การละเลยดังกล่าวอาจเป็นเพราะความเร่งรีบให้ แล้วเสร็จภายในระยะเวลาอันสั้น สอดคล้องกับหลักฐานว่ากติกาวัตร ฉบับน้ีโปรดให้ตราขึ้นในปีท่ี ๗ แห่งการครองราชย์ (พุทธศักราช ๒๓๔๑) ซึ่งเป็นปีสุดท้ายแห่งการครองราชย์ สันนิษฐานว่าพระองค์ อาจได้รับแรงกดดันจากพระสงฆ์สองอารามและขุนนางผู้เป็นเครือญาติ ของพระสงฆ์สองอาราม หรือว่าเพราะความขัดแย้งของคณะสงฆ์ หลายคร้งั จงึ เป็นเหตุใหพ้ ระองคต์ ระหนกั ถึงความส�าคัญของกติกาวัตร ประกอบกับพระสงฆ์สองอารามต้องการให้ตรากติกาวัตรข้ึนใหม่ จึง โปรดให้ประชุมสงฆ์สองอารามและตรากตกิ าวัตรฉบับนข้ี ้นึ หากเปรียบเทียบกับกีรติศรีราชสิงหะกติกาวัตร สิ่งที่ขาดหายไป ของกติกาวัตรฉบับนี้คือ ความสอดคล้องกันระหว่างอาณาจักรกับ ศาสนจักร พิเคราะห์แล้วเห็นว่าราชาธิราชสิงหะกติกาวัตรเน้นควบคุม พฤติกรรมของพระสงฆ์เป็นหลัก โดยเว้นปฏิสัมพันธ์กับขุนนางและ สถาบนั กษตั รยิ ์ และเนน้ อา� นาจหนา้ ทข่ี องพระนายกะและพระอนนุ ายกะ ส่ิงที่แตกต่างจากกีรติศรีราชสิงหะกติกาวัตรคือระบบอุปัช¬าย์กับสัทธิ

ราชาธิราชสงิ หะกติกาวัตร 325 วหิ ารกิ และอาจารยก์ บั อนั เตวาสกิ แตเ่ ปลยี่ นอา� นาจดงั กลา่ วไปเปน็ หนา้ ท่ี ของพระนายกะและอนุนายกะแทน โดยมีการกสงฆ์เป็นผู้ไต่สวนอีก ชนั้ หนงึ่ กรณอี ธกิ รณน์ นั้ เกนิ กวา่ อา� นาจของพระนายกะและพระอนนุ ายกะ จะสามารถแก้ไขได้ แม้ทราบว่าการากสงฆม์ อี �านาจสงู สดุ กต็ าม แต่การ พิจารณาคดีความของพระสงฆ์ก็ขึ้นอยู่แต่ละกลุ่ม ซึ่งสมัยนั้นแบ่งเป็น ๒ กล่มุ กล่าวคอื วดั มลั ลวตั ตมหาวหิ ารและวัดอัศคิรยิ ะมหาวิหาร เนื้อหาสาระของกติกาวัตรฉบับนี้สามารถแบ่งออกเป็น ๔ ส่วน กลา่ วคอื ๑) วา่ ดว้ ยประวตั ศิ าสตรโ์ ดยสงั เขปนบั แตพ่ ทุ ธกาลจนถงึ อาณา จักรโกฏเฏ ๒) ว่าด้วยประวัติศาสตร์ของพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะและ สมัยพระองค์โดยย่อ ๓) กล่าวถึงเหตุแห่งการตรากติกาวัตรและ ความเห็นชอบของคณะสงฆ์สองอาราม และ ๔) ว่าด้วยเน้ือหาแห่ง กติกาวตั ร เรมิ่ ตน้ จากการบรรพชาอุปสมบท หน้าท่ีของพระนายกะและ พระอนุนายกะ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างพระสงฆ์กับฆราวาส สิ่งควร ละเวน้ ส�าหรบั พระสงฆ์ และมารยาทของพระสงฆ์ ด้วยเนื้อหาสาระอันมีขอบเขตจ�ากัดจึงท�าให้กติกาวัตรฉบับน้ีเป็น ท่ีร้จู กั ในวงแคบ อกี ทั้งหลกั ฐานบางส่วนในกติกาวัตรฉบบั นีก้ ล่าวถึงไม่ ชัดเจน ขณะที่หลักฐานเหล่าอื่นมีรายละเอียดชัดเจนมากกว่า หาก พเิ คราะหร์ ายละเอยี ดจะเหน็ ความไมล่ งรอยกนั ของเนอ้ื หา เปน็ ไปไดห้ รอื ไม่ว่าการตรากติกาวัตรฉบับน้ีแม้จะเป็นพระราชโองการก็จริง แต่ พระสงฆส์ องอารามไดป้ รบั แกเ้ นอื้ หาใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของตน ส่วนกษัตริย์แม้จะคล้อยตามคณะสงฆ์สองอารามก็จริง แต่ก็พยายาม ยึดหลักการใหญ่ไว้ จึงปรากฏเห็นความไม่สอดคล้องลงตัวของเน้ือหา ตลอดกติกาวตั ร

326 ศรลี งั กากตกิ าวัตร ภาพวาดพระเจาราชาธิราชสิงหะ แหงอาณาจักรแคนดี (คัดลอกจากหนังสือ Mahavira Vamsayo)

ราชาธริ าชสิงหะกตกิ าวตั ร 327 ขุนนางแคนดีและครอบครัวพรอมเคร่ืองทรงเต็มยศ (คัดลอกจาก www.lankapura.com)

328 ศรีลังกากตกิ าวตั ร ขนุ นางแคนดกี บั ขา หลวงชาวองั กฤษ(คดั ลอกจากwww.lankapura.com) ขุนนางแคนดีและมิชชันนารีชาวอังกฤษ (คัดลอกจาก www. lankapura.com)

ราชาธิราชสิงหะกติกาวัตร 329 ภาพวาดอดีตพระมหานายกะแหงมัลลวัตตสยามนิกาย พิพิธภัณฑ์แวฬิวิฏะสรณังกร สังฆราช วัดมัลลวตั ตมหาวหิ าร เมอื งแคนดี

330 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร สถูปทองคําประดษิ ฐานพระเขี้ยวแกว วิหารพระเขย้ี วแกว เมอื งแคนดี

ราชาธริ าชสงิ หะกตกิ าวัตร 331 ö.õ ราชาธริ าชสิงหะกตกิ าวตั ร (แปล) พระบรมศาสดาของชาวเราทงั้ หลายไดบ้ า� เพญ็ พระบารมคี รบถว้ น ๓๐ ประการ ตลอดส่ีอสงไขยและหนึ่งแสนกัป ได้เสด็จข้ึนประทับใต้ ต้นโพธ์ิซึ่งเป็นสถานผจญกับพญามาร ทรงช�านะมารผู้ร้ายกาจพร้อม บริวารสิ้นแล้ว ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตลอดพระชนม์ชีพ ๔๕ พรรษา พระพุทธองค์ทรงปรากฏเสมือนมหาเมฆาเหนือทวีปท้ังส่ี ทรงหล่ังธรรมธาราด่ังน้�าอมฤตช่วยระงับดับเย็นแก่ปวงสรรพสัตว์ ผู้เร่าร้อนด้วยไฟแห่งกิเลสตัณหาหลายแสนโกฏิกัปอันนับค�านวณมิได้ พระองคไ์ ด้เสด็จดบั ขันธปรนิ พิ พานภายใตต้ น้ สาละ ณ พระราชอุทยาน ของมลั ลกษตั ริยแ์ ห่งเมืองกสุ ินารา คร้นั ต่อมา ๒๓๖ พรรษาหลงั พทุ ธปรนิ พิ พาน พระพุทธศาสนา ไดป้ ระดษิ ฐานบนเกาะลงั กา และดา� รงคงอยอู่ ยา่ งบรสิ ทุ ธโิ์ ดยไมแ่ ตกแยก แบ่ง½่าย คร้ันล่วงถึงสมัยของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย คณะสงฆ์ได้ แตกแยกแบ่ง½่ายเป็นสองนิกาย ครั้นล่วงเข้าสู่ ๑,๒๕๔ พรรษา ภายหลังพุทธปรินิพพาน กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระนามว่าปรากรมพาหุ ไดเ้ สวยมไหศวรรยเ์ หนอื นครโปโฬนนารวุ ะ สมยั นแี้ ลพระองคโ์ ปรดใหร้ วม คณะสงฆ์เป็นหนึ่งเดียว แล้วตรากติกาวัตรข้ึนเพื่อเป็นแนวทางแห่ง การปฏิบัตขิ องพระสงฆ์ในอนาคตกาลภายหน้า สมัยต่อมามีกษัตริย์อีกหลายพระองค์เสวยรัชสมบัติเหนือ เกาะลังกา ทุกพระองค์ล้วนช�าระพระศาสนาและรวมคณะสงฆ์ให้เป็น หนงึ่ เดยี วจนถงึ สมยั พระเจา้ ภวู เนกรมพาหุ (Nqjfkl%undyq) แหง่ อาณา จักรโกฏเฏ (fldaÜfÜ) ตอ่ มาการพระศาสนาขาดราชปู ถมั ภ์และกลุ บตุ ร ผบู้ วชอทุ ศิ พระศาสนาไดห้ มดสน้ิ ไป พระภกิ ษบุ างรปู ดา� รงชวี ติ ดว้ ยอาการ

332 ศรลี งั กากตกิ าวัตร แห่งอเนสนาวิธี ดังเช่น โหราศาสตร์ วิชารักษาโรค และปลุกเสก เวทมนตร์ขับไล่ภูตผีปีศาจ พระศาสนาได้ถึงกาลเส่ือมโทรมเป็นเวลา ยาวนาน เหลือเพียงสามเณรจ�านวนน้อย สมัยนี้แลเชื้อพระวงศ์แห่ง เทพเจา้ ผูป้ ระเสริฐกลา่ วคือพระเจา้ กรี ตศิ รีราชสงิ หะ (lSrA;s YS% rdcisxy) ผเู้ ปน็ ทพี่ งึ่ ของคนอนาถา ผเู้ ปน็ หนอ่ พทุ ธางกรู อนั บรสิ ทุ ธ์ิ ทรงกอปรดว้ ย พระเมตตาและกรุณา พระองค์ทรงเสวยมไหศวรรย์เหนือเกาะลังกา ตรงกับปีพทุ ธศักราช ๒,๒๙๓ พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นความเสื่อมโทรมของพระศาสนา จงึ ทรงรา� พงึ วา่ “เราจกั ขอความชว่ ยเหลอื จากสามเณรสรณงั กรใหช้ า� ระ พระศาสนา ซึ่งสามเณรรูปนี้ทรงกิตติศัพท์ว่าอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา เปน็ ท่พี ง่ึ ของคนอนาถา และเป็นผู้ยนิ ดดี ้วยการดา� ริอนั ประเสริฐ” คราว น้ันพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะโปรดให้อ�ามาตย์อัญเชิญเคร่ืองราช บรรณาการจ�านวนมากเดินทางไปยังอาณาจักรสยาม เพื่อนิมนต์มหา สังฆะมาประกอบพิธอี ุปสมบทแก่กุลบตุ รสงิ หล จากนั้นพระองคโ์ ปรดให้ ฟื้นฟูพระศาสนา ด้วยการประกอบพิธีบรรพชาและอุปสมบทแก่กุลบุตร เป็นจ�านวนพัน เพราะทรงศรัทธาต่อพระศาสนาพระองค์โปรดประกาศ ให้พระภิกษุละเว้นความประพฤติอันไม่เหมาะสม ดังเช่น การเล่าเรียน โหราศาสตร์ การรักษาโรค และการปลกุ เสกเวทมนตร์คาถา คร้ันแลว้ โปรดให้ตรากติกาวัตรข้ึนใหม่ผสมกับกติกาวัตรฉบับเก่าก่อน เพื่อ ต้องการรักษาศาสนาของพระชินสีห์ให้บริสุทธิ์จากนักบวชผู้ประพฤติ ตามคตคิ วามเช่อื แหง่ ตน สมัยต่อมาพระอนุชาของกษัตริย์พระองค์นั้น ผู้เป็นราชวงศ์อัน ประเสริฐแห่งสวรรคโลก ทรงพระนามว่าพระเจ้าศรีราชาธิราชสิงหะ

ราชาธริ าชสิงหะกติกาวตั ร 333 (YS% rdcdêrdcisxy) ผู้ประสูติร่วมพระครรภ์พระราชมารดาพระองค์ เดยี วกนั และทรงกติ ตศิ พั ทแ์ พรห่ ลายดว้ ยเครอื่ งประดบั อญั มณกี ลา่ วคอื คุณธรรมอนั มากลน้ ดงั เช่น ศรทั ธา ศลี ทรงความรู้ มพี ระทยั เกอื้ กลู และทรงปัญญา พระองค์ทรงเดชานุภาพหาผู้ใดเปรียบมิได้ ทรงเสวย มไหศวรรย์เหนือนครศรีวรรธนะอันรุ่งเรืองสว่างไสว สมัยนั้นเป็น พุทธศักราช ๒,๓๒๔ ตรงกบั ปที เี่ จด็ แห่งการครองราชย์ของพระองค์ ครนั้ ทรงสดบั การพระศาสนาอนั เศรา้ หมองเสมอื นอดตี กาล เพราะเกลอ่ื น กลน่ ดว้ ยพระภกิ ษผุ ไู้ รค้ วามละอาย และมากดว้ ยพระภกิ ษผุ มู้ คี วามอยาก จึงทรงร�าพึงว่า “การแก้ไขความประพฤติเสียหายและผิดพลาดจาก พระวนิ ยั ของพระภกิ ษเุ หลา่ น้ี ชอื่ วา่ เปน็ ภาระของพระพทุ ธเจา้ ผมู้ คี ณุ อนั เปรียบมิได้ บัดนี้อันตัวเราควรท�าหน้าท่ีแทนพระพุทธเจ้า” ด้วยมี พระเมตตาอนั เปย›ี มดว้ ยปญั ญา จงึ โปรดใหป้ ระชมุ สงฆส์ องอารามภายใน ท้องพระโรง ทรงมีพระราชประสงค์ขับไล่พระภิกษุผู้ประพฤติเสียหาย ออกจากพระศาสนา ให้หันมาประพฤติดีงามตามพระธรรมวินัย แล้ว โปรดให้มหาสงั ฆะแหง่ สองอารามตรากตกิ าวตั รเปน็ กฎระเบยี บข้ึน ส�าหรับผู้บรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ควร สมาทานธุระสองกล่าวคือคันถธุระและวิปัสสนาธุระอย่างน้อยหนึ่งธุระ ตามก�าลังปัญญาแห่งตน และควรอยู่อาศัยร่วมกันอย่างเสมอภาค เท่าเทียมกันด้วยการส�ารวมกายวาจา ยกเว้นมีเหตุจ�าเป็นเร่งด่วน สามเณรและพระภิกษุไม่ควรอยู่เพียงล�าพังตามความปรารถนาแห่งตน ควรอยู่ร่วมกับภิกษุรูปอื่นผู้สามารถดูแลรักษาตน ควรสวดสาธยาย พระปรติ รตามประเพณี และใหค้ วามเคารพตอ่ อาจารยแ์ ละอปุ ชั ¬ายด์ ว้ ย อาการสา� รวมคารวะ หากพระภกิ ษรุ ปู ใดจะเขา้ หมบู่ า้ นควรชกั ชวนเพอี่ น สหธรรมิกรว่ มเดนิ ทางไปด้วย และควรแจง้ กิจธุระน้ันแก่พระภกิ ษุเพ่อื น สหธรรมิกเสยี กอ่ น

334 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร หากมีเรื่องส�าคัญจะกราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน หรือมีเรื่องราวจะ บอกกล่าวต่อหน้าขุนนางช้ันรดฬา (ro<d) ควรแจ้งแก่พระนายกะและ พระอนุนายกะเสียก่อน การกราบทูลต่อพระพักตร์พระเจ้าแผ่นดินหรือ บอกตอ่ หนา้ ขนุ นางชนั้ รดฬา โดยไมแ่ จง้ แกพ่ ระนายกะเปน็ ตน้ ชอ่ื วา่ ไมค่ วร พระภิกษุไม่ควรรักษาคนนอกศาสนาดังอ้างไว้ในพระวินัยปิฎก พระภิกษุไม่ควรด�ารงอาชีพด้วยอเนสนาวิธี ๒๑ ประการ ดังเช่นการ ทา� นายดวงชะตา หากรบั ปัจจยั จากอเนสนาวิธี ๒๑ ประการเหล่าน้นั ควรสละท้ิงเสียเพราะเป็นเสมือนอาหารผสมยาพิษ พระภิกษุไม่ควรรับ และใชส้ อยเงนิ และทองเปน็ ตน้ จากกปั ปยิ การก พระสงฆท์ ง้ั ปวงกลา่ วคอื พระภกิ ษชุ นั้ เถระ มชั ¬มิ ะและสามเณร ไมค่ วรรบั สงิ่ ของอนั ไมเ่ หมาะสม ดงั เชน่ เงนิ และทอง แตส่ ามารถใชส้ อยสง่ิ ของทเ่ี หมาะสมจากกปั ปยิ การกได้ พระภิกษุไมค่ วรจา� นองหรือเช่าสงิ่ ของท้ังเหมาะสมและไมเ่ หมาะสม พระภิกษุไม่ควรรับค่าใช้จ่ายจากของยืมหรือเป็นก�าไรโดย กปั ปยิ การก พระภกิ ษไุ มค่ วรไปทอี่ ยขู่ องขนุ นางชนั้ รดฬา เพราะเหตแุ หง่ คดีความอันเก่ียวกับญาติหรือผู้มิใช่ญาติ ยกเว้นส่วนแห่งตนด้วยการ รักษาส่วนทั้งหลาย พระภิกษุรูปอ่ืนควรพร้อมใจกันห้ามปรามพระภิกษุ รปู นน้ั เสยี แตไ่ มค่ วรแยกพระสงฆเ์ ปน็ สองกลมุ่ และไมค่ วรทา� สงั ฆกรรม อนั จะเกดิ อนั ตรายตอ่ หมคู่ ณะและพระศาสนา พระภกิ ษผุ ปู้ ระพฤตผิ ดิ ควร ยอมรับตามสังฆามติ พระภิกษุไม่ควรศกึ ษาศลิ ปะอันน่ารังเกียจ ดงั เช่น เวทมนตรค์ าถาของยกั ษ์ การทา� นายดวงชะตาดว้ ยการอา่ นแสง การจบั ผู้ร้ายด้วยการท่องมนตร์ การอ่านดวงชะตาด้วยวิธีแห่งสัญญาณและ เครอ่ื งราง อกี ท้ังพระภิกษไุ ม่ควรประกอบพธิ ีกรรมดว้ ยศลิ ปะเชน่ นนั้ หากกัปปิยการกมอบถวายกิจการงาน ดังเช่นพาณิชกรรมและ เกษตรกรรม พระภกิ ษไุ ม่ควรยนิ ดี การทา� ตนใหบ้ ริสุทธ์เิ ป็นเร่ืองยากนกั

ราชาธริ าชสิงหะกติกาวตั ร 335 หากไม่ขอโทษฆราวาสผู้ได้รับความเสียหายเสียก่อน ด้วยการแสดงคิหิ ปฏิสังยุกตะกรรม ควรยอมรับความผิดแห่งตน พระภิกษุไม่ควรชวน ฆราวาสทะเลาะเบาะแว้ง ฆราวาสผู้ไร้ท่ีพ่ึงท�าทีห่มผ้ากาสาวพัสตร์ เป็นคนโดดเดี่ยว ไร้ยางอาย ไม่รู้จักพอ ไม่เคยประกอบสังฆกรรม ดงั เชน่ อโุ บสถกรรมและปวารณากรรมกบั คณะสงฆเ์ ปน็ เวลานาน ชอื่ วา่ มีตนตกไปสู่อบายและมีสวรรค์ปิดกั้นเสียแล้ว และชื่อว่าด�าเนินนอก เสน้ ทางแหง่ พระนพิ พาน ฆราวาสผมู้ ใิ ชพ่ ระภกิ ษเุ ปน็ เวลานานแมส้ าบาน ว่าเป็นพระภิกษุ แต่ภายในเต็มไปด้วยความไม่บริสุทธ์ิ มีลักษณะนิสัย “ชอบโยนไม้กวาดท้ิง มักโปรย½ุ่น ไม่ชอบคนพูดจาโผงผาง เป็นผู้ไร้ ยางอายแต่เสแสรง้ ประพฤติตนว่าเป็นพระภกิ ษุ แม้ถูกเนรเทศแล้ว ก็ยัง ชื่นชอบความโหดร้ายและประพฤติเสียหาย โดยอาการหลอกลวงว่า ด�ารงชวี ิตดว้ ยความบรสิ ทุ ธิ์ มีสตแิ ละบริสทุ ธด์ิ ้วยตน” ดังกล่าวแล้ว “พระภิกษุเช่นนี้ควรขับไล่ไปสู่ฆราวาสวิสัย ไม่ให้ อาศัยรูปแบบพระภิกษุ” หากไม่ประสบกับอันตรายดังอ้างในพระวินัย ภิกษุไม่ควรอยู่โดยไม่ประกอบอุโบสถกรรมและปวารณากรรม การ กล่าวว่า “เราก�าลังประกอบศาสนกิจ” พระภิกษุไม่ควรรับสิ่งของจาก ทายกผมู้ ใิ ชญ่ าตแิ ละผมู้ ไิ ดป้ วารณา การสะสมสง่ิ ของอนั ไมเ่ หมาะสมและ การประกอบพธิ ีกรรมทางศาสนา หากไมม่ อี นั ตรายตอ่ เพศสมณะ ภิกษุ ไม่ควรพักในบา้ นแม้ราตรีเดียว หากพระภกิ ษลุ ะเมดิ กตกิ าวตั รดงั กลา่ วแลว้ ชอ่ื วา่ ละเมดิ คา� สงั่ ของ พระพุทธเจ้าและพระราชอ�านาจ ด้วยเหตุนั้น จึงเป็นเร่ืองยากนักท่ีผู้ ประพฤติหลอกลวงจะได้อานิสงส์จากกติกาวัตร พระภิกษุควรท่องจ�า กติกาวัตรให้ขึ้นใจ ป‡องกันรักษาไว้เป็นอย่างดี ให้เป็นประโยชน์แก่ตน และคนอื่น เช่นนี้แล้วช่ือว่าพยายามรักษาประโยชน์สุขในโลกนี้และ พระนิพพาน

336 ศรีลงั กากตกิ าวตั ร ภาพวาดพระโมรโตฏะ ธัมมักขันธเถระ ภายในพิพิธภัณฑ์แวฬิวิฏะสรณังกรสังฆราช วดั มัลลวัตตมหาวิหาร เมืองแคนดี

ราชาธิราชสงิ หะกติกาวัตร 337 จารึกของฮอลนั ดา พิพธิ ภณั ฑส์ ถานแหง ชาติโคลมั โบ เมืองโคลมั โบ

338 ศรลี งั กากตกิ าวตั ร แผนดีของเกาะลงั กาสมยั อาณาจกั รแคนดตี อนปลาย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook