ความสัมพนั ธ์ทางศาสนา 189 ๑๐๒ Buddhippasadini-tika, cited by Sannasgala, op.cit., p. 256. note. 11. ๑๐๓ Katikavat-sangara, ed. D. B. Jayatilaka (Kalaniya, 1955), pp.32-34. ๑๐๔ Harvey, History of Burma, p. 112. ๑๐๕ For details about this Medhankara see infra pp. 93ff. ๑๐๖ Sv, tr. Law, p. 47. ๑๐๗ IA, Vol. XXII, p. 47. ๑๐๘ Harvey, op.cit., pp. 117-8; Maung Htin Aung, A History of Burma, pp. 99ff. ๑๐๙ Ray, An introduction to the Study of Theravada Buddhism in Burma, p. 184. ๑๑๐ This is the Burmese Era beginning in A.D. 638. ๑๑๑ IA, Vol. XXII, pp. 34-53, 85-9; Sv, tr. Law, pp. 48-51.
190 ศรลี งั กาและอษุ าคเนย์
บทนำ� 191
บรรยายภาพ : ภาพจิตรกรรมต�ำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช วัดวังตะวันตก เมอื งนครศรธี รรมราช
บทที่ ๕ ความสมั พันธ์ทางศาสนา ระหว่างศรลี งั กากับไทยและกมั พูชา อทิ ธิพลพุทธศาสนานิกายเถรวาทแบบพุกาม เร่ืองราวทางศาสนาของไทยหรอื สยามนัน้ มกี ารตดิ ตอ่ สมั พันธ์กับ ชาวพทุ ธหลายอาณาจกั ร บรรดาอาณาจกั รเหลา่ นนั้ ศรลี งั กามคี วามโดด เด่นมากกว่าใคร นับจากพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เป็นต้นมา อาณาจักร ชาวพุทธบรเิ วณอษุ าคเนย์ ตา่ งขนานนามอาณาจักรไทยว่าเป็นดนิ แดน แหง่ พทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาท ความสมั พนั ธท์ างศาสนาระหวา่ งศรลี งั กา และไทยจงึ มเี รอ่ื งราวนา่ สนใจมากมาย แมบ้ างครงั้ หลกั ฐานสำ� หรบั ยดึ ถอื เป็นหลักอาจขาดหายไปบ้าง ส่วนความสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่าง ศรลี งั กากบั กมั พชู านนั้ กน็ า่ สนใจเชน่ เดยี วกนั สนั นษิ ฐานวา่ อทิ ธพิ ลของ พุทธศาสนาแบบสิงหล นา่ จะสง่ ผลตอ่ อาณาจกั รกัมพูชาไมไ่ กลเกินกว่า พุทธศตวรรษที่ ๑๘ ปัจจุบันวันน้ีแม้มีการวิเคราะห์และอ้างถึงศาสนาอื่นก็จริง แต่ ประชากรส่วนใหญ่ของไทยล้วนนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท เหมือนพม่าและอีกหลายแคว้นตลอดดินแดนอุษาคเนย์ ประวัติศาสตร์ พระพุทธศาสนาสมัยด้ังเดิมของไทยประสบปัญหาหลายด้าน เนื่องจาก หลักฐานทางโบราณคดีที่หลงเหลือไม่สามารถช้ีบอกเป็นแนวทางได้ เซเดสเ์ หน็ วา่ ชนชาตดิ ง้ั เดมิ ผนู้ บั ถอื พระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทบรเิ วณ ประเทศไทยตอนกลางคือชาวมอญ อาณาจักรของมอญสมัยนั้นชื่อว่า
194 ศรลี งั กาและอษุ าคเนย์ ทวารวดี ซึ่งมีหลักฐานยืนยันว่ารุ่งเรืองม่ันคง๑ อาณาจักรแห่งน้ีหลง เหลอื หลกั ฐานเกย่ี วกบั พทุ ธศาสนาเปน็ จำ� นวนมากบรเิ วณรอบอา่ วไทย๒ น่าเสียดายคือหลักฐานท่ีกระจัดกระจาย ไม่สามารถชี้บอกความเป็นไป ทางการเมืองของอาณาจักรแห่งนี้ได้ แม้นักประวัติศาสตร์วัฒนธรรม พยายามคน้ หาพฒั นาการความยง่ิ ใหญแ่ หง่ อษุ าคเนย์ เหตเุ พราะมคี วาม ส�ำคญั ย่งิ ๓ แมร้ บั รู้กนั ว่าพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท เป็นที่รู้จักแพร่ หลายตลอดอาณาจกั รทวารวดกี จ็ รงิ แตห่ ลกั ฐานไมส่ ามารถยนื ยนั ไดว้ า่ พระพทุ ธศาสนาเขา้ มายงั ประเทศไทยอยา่ งไร หลกั ฐานทงั้ หมดลว้ นอา้ ง จากการสืบต่อพุทธประเพณีของพระโสณเถระและพระอุตตรเถระ ซึ่ง บนั ทึกไวใ้ นตำ� นานของศรีลงั กา๔ อินเดียนั้นไม่ได้ช่วยเหลือด้วยการอนุเคราะห์และเผยแผ่พระพุทธ ศาสนาบนดนิ แดนอษุ าคเนยเ์ ลย หลกั ฐานทางโบราณคดชี วี้ า่ ชาวศรลี งั กา ได้เผยแผ่วัฒนธรรมพระพุทธศาสนาแก่ไทยนับตั้งแต่ยุคแรกเร่ิม เพราะ มกี ารคน้ พบอิทธิพลสิงหลท่ีพงตกึ ๕ ดูปองท์ (Dupont) อ้างว่ามีการคน้ พบพระพทุ ธรปู ศลิ ปะทวารวดี ซงึ่ เปน็ การถอดแบบคลา้ ยกบั ลกั ษณะของ สกุลช่างอมราวดศี รีลงั กาและคปุ ตะ๖ หลังยคุ ทวารวดผี า่ นไปไมพ่ บหลกั ฐานความสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่างศรีลังกากับไทย จนกระทั่งเข้าสู่ สมยั อาณาจกั รสโุ ขทยั ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘-๒๐ กอ่ นทค่ี นไทย จะรวบรวมอาณาจกั รไทยเปน็ หน่งึ เดยี ว เดิมนั้นอาณาเขตของไทยสว่ น ใหญอ่ ยภู่ ายใตอ้ ำ� นาจของเขมร ซง่ึ เขา้ ยดึ ดนิ แดนจากชาวมอญแหง่ ทวาร วดีอีกทอดหนึ่ง๗ ชาวเขมรน้ันศรัทธาพระพุทธศาสนามหายานและ ลัทธิฮินดู สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๘ หลักฐานความสัมพันธ์ระหว่าง ศรีลังกากับไทยหาได้ยากนัก เพราะสมัยน้ันชาวเขมรครอบครองความ เป็นใหญ่เหนือไทยอยู่ แต่หลังจากอาณาจักรสุโขทัยต้ังมั่นดีแล้ว การ
ความสัมพันธ์ทางศาสนา 195 เผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาท เพอ่ื สรา้ งความสมั พนั ธท์ างศาสนา จึงเปน็ การเรม่ิ ตน้ ใหม่ ส�ำหรับถิ่นก�ำเนิดของชนชาติไทยถูกปกปิดด้วยความลึกลับดำ� มืด แต่เชื่อว่าการตั้งถ่ินฐานมั่นคงคร้ังแรกเริ่มท่ีเขตยูนนานของจีน เพื่อน บ้านชาวจีนมองไทยว่าเป็นพวกป่าเถื่อน ชาวไทยนั้นเกิดมีพัฒนาการ ทางวัฒนธรรมบ้างแล้วก่อนจะมีการอพยพโยกย้าย๘ สันนิษฐานว่า เพราะอยตู่ ดิ กบั จนี จงึ ถกู กดดนั บงั คบั การอพยพลงใตจ้ งึ เกดิ ขน้ึ หลายตอ่ หลายครั้ง สำ� หรบั ชาวไทยทเ่ี ดินทางถึงดนิ แดนไทยในปัจจบุ นั ได้พากนั สร้างศูนย์กลางการปกครองหลายแห่ง ดังเช่น เชียงแสน เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา สวรรคโลก (ศรีสัชนาลัย) และสุโขทัย ต่อมาผู้น�ำ ชาวไทยแห่งเมืองสุโขทัยและเมืองสวรรคโลก ซ่ึงเดิมอยู่ภายใต้การ ปกครองของเขมร ไดพ้ ากันลกุ ขนึ้ ตอ่ ตา้ นเขมรแลว้ สรา้ งอาณาจักรเปน็ อิสระ โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นกษัตริย์พระองค์แรก เหตุการณ์ ตอนนน้ั ประมาณกลางพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ กษตั รยิ แ์ หง่ สโุ ขทยั พระองค์ ใหม่ได้ขยายอาณาเขตและรวมอ�ำนาจเป็นหน่ึงเดียวอย่างรวดเร็ว พระราชภารกิจของพระองค์สืบต่อโดยพระราชโอรสพระนามว่าพ่อขุน รามคำ� แหง ท้ายพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ พระองค์ไดค้ รอบครองอาณาเขต ประเทศไทยในปัจจบุ ันทง้ั หมด อาณาจักรสุโขทัยน้ันแม้จะโดดเด่นทางวัฒนธรรมมากกว่า ประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื ง หรอื การสรา้ งอาณาจกั รจนเจรญิ ถงึ ขดี สดุ เพราะ ศาสนาเป็นฐานก็จริง แต่จากหลักฐานในศิลาจารึกโบราณคดีและ วรรณกรรมสามารถยืนยันได้ว่าพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท เป็น หลักประพฤติของชาวอาณาจักรสุโขทัย๙ เหตุเพราะชาวไทยไม่รู้จัก
196 ศรีลังกาและอษุ าคเนย์ ศาสนาอื่นใดก่อนอพยพโยกย้ายมายังดินแดนประเทศไทย๑๐ ประเด็น คำ� ถามคอื ชาวไทยยอมรบั นบั ถอื พระพทุ ธศาสนาตง้ั แตเ่ มอ่ื ใดและอยา่ งไร กรสิ เวรลิ ด์ (Griswold) ไดอ้ า้ งหลกั ฐานของมอญแหง่ ทวารวดแี ลว้ แสดง ความเหน็ วา่ ๑๑ แมค้ วามรงุ่ เรอื งของพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทจะอบั แสง สมัยเขมรหรือทวารวดีเรอื งอ�ำนาจ แต่ยงั หลงเหลือชาวมอญผปู้ ระพฤติ ตามคติความเชื่อแบบพุทธอยู่ สันนิษฐานว่าชนชาติไทยน่าจะรู้จัก พระพุทธศาสนาจากชาวมอญเหล่านี้เอง ค�ำถามคือการยอมรับนับถือ คตคิ วามเชอ่ื ใหม่ มเี หตผุ ลเชอ่ื ถอื ไดม้ ากนอ้ ยเพยี งไร เปน็ ไปไดห้ รอื ไมว่ า่ มีอ�ำนาจภายนอกบีบบังคับให้ชาวไทยนับถือพุทธศาสนา หรือว่ามี อทิ ธพิ ลบางอยา่ งจงู ใจใหช้ าวไทยยอมรบั พทุ ธศาสนา และเตม็ ใจสง่ เสรมิ จนรุ่งเรอื งแพรห่ ลายสมัยหลัง กล่าวตามหลักฐานอาณาจักรชาวมอญตอนเหนือแห่งหน่ึงช่ือว่า หริภุญไชยหรือปัจจุบันเรียกว่าล�ำพูน นับถือพระพุทธศาสนานิกาย เถรวาทตามคติความเช่ือของพม่า สันนิษฐานว่าน่าจะเข้าไปเผยแผ่ยัง อาณาจักรสุโขทัยด้วย นับจากสมัยพระเจ้าอโนรธาเป็นต้นมา ศาสนา หลักแห่งพุกามคือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท และเผยแผ่แพร่หลาย อย่างกว้างขวางเพราะราชูปถัมภ์ อิทธิพลของพุทธศาสนาแบบพุกาม มิใช่หลงเหลือเฉพาะพม่าเท่านั้น แต่ยังกระจัดกระจายแพร่หลายนอก พมา่ ดว้ ย จงึ เปน็ เรอ่ื งไมแ่ ปลกหากอาณาจกั รหรภิ ญุ ไชยซง่ึ ใกลช้ ดิ ตดิ กบั พม่าจะได้รับอิทธิพลพระพทุ ธศาสนาแบบพุกาม เซเดส์เห็นวา่ สมยั เมือง หริภุญไชยตกเป็นเมืองขึ้นของเขมรนั้นอิทธิพลท้ังหมดล้วนคล้อยตาม เขมรสน้ิ แตร่ อ่ งรอยของวฒั นธรรมสมยั แรกเรมิ่ บรเิ วณอาณาจกั รหรภิ ญุ ไชยช้ีให้เห็นว่าชาวมอญได้รับอิทธิพลมาจากพม่า จารึกรุ่นแรกสุดทาง ภาคเหนือของประเทศไทยพบท่ีล�ำพูนประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๘
ความสมั พนั ธ์ทางศาสนา 197 ช้ีให้เห็นถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจารึกมอญแห่งพุกามท้ังด้านภาษา และอกั ขรวทิ ยา เฉพาะอกั ขรวทิ ยานน้ั มคี วามคลา้ ยคลงึ กบั ชาวมอญหลงั สมยั พระเจา้ กยนั สติ ถา๑๒ หากลำ� พนู สมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กบั พทุ ธศาสนาจาก พม่าแล้วไซร้ ก็เช่ือได้ว่าชาวล�ำพูนรู้จักพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ เรียบร้อยแล้ว เพราะสมัยนั้นสิงหลนิกายตั้งมั่นดีแล้วในพม่า อีกท้ัง พระสงฆแ์ หง่ สงิ หลนกิ ายในพมา่ ลว้ นไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ งามพรอ้ มดว้ ย ศีลาจารวัตรและแตกฉานในพระคัมภีร์ พระสงฆ์พม่าและกษัตริย์แห่ง พุกามต่างเคารพนับถือพระสงฆ์สิงหลนิกายอย่างสูงสุด ด้วยเหตุน้ัน กติ ติศพั ท์อาจจะขจรขยายไปยังหัวเมอื งนอ้ ยใหญน่ อกอาณาจักรพกุ าม อิทธิพลของรูปแบบศิลปะทวารวดีต่อประติมากรรมยุคต้นของ ลำ� พนู แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความคลา้ ยคลงึ กนั ดา้ นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสอง อาณาจักร หลังจากการไหลบ่าคร้ังแรกของพุทธศาสนา ซ่ึงได้รับแรง กระตนุ้ จากพม่านา่ จะท�ำให้ทวารวดีและล�ำพนู ๑๓ เกดิ ความสัมพนั ธใ์ กล้ ชดิ กนั มากขน้ึ สมยั ตอ่ มาพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทในทวารวดเี สอื่ มถอย เพราะการครอบครองของเขมร ชาวมอญแหง่ ทวารวดจี งึ หนั ไปขอความ ช่วยเหลือด้านศาสนากับล�ำพูน หลังจากการอพยพเข้ามาของชนชาติ ไทย มติ รภาพอันเก่าแก่น่าจะมกี ารรักษาสบื เน่อื งตอ่ มา และกระแสของ พระพุทธศาสนาจากศรีลังกาซ่ึงชาวล�ำพูนรับมาจากพม่าอีกทอดหนึ่ง นา่ จะสง่ ผลถงึ สโุ ขทยั ดว้ ย กลา่ วโดยออ้ มชาวศรลี งั กานนั้ เองไดช้ ว่ ยเหลอื ดว้ ยการชกั ชวนกษตั รยิ ไ์ ทยและผคู้ น ใหห้ นั มานบั ถอื พทุ ธศาสนาเถรวาท อีกด้านหนึ่ง พระพุทธศาสนาเถรวาทและอิทธิพลสิงหลน่าจะเข้า สู่สุโขทัยผ่านนครศรีธรรมราช ซ่ึงปัจจุบันนครศรีธรรมราชและไชยา ยังหลงเหลือหลักฐานทางโบราณคดีและพระพุทธรูปเป็นจำ� นวนมาก๑๔
198 ศรีลังกาและอษุ าคเนย์ วัดพระบรมธาตุไชยาเป็นสถานที่หน่ึงซึ่งมีหลักฐานหลงเหลือดาษด่ืน พระเจดยี ป์ จั จบุ นั สามารถระบรุ ะยะเวลายอ้ นหลงั ถงึ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๓ นอกจากนนั้ บรเิ วณโดยรอบเจดยี ย์ งั มกี ารคน้ พบพระพทุ ธรปู จำ� นวนมาก หลักฐานระบุว่าไชยามีสกุลช่างประติมากรรมระหว่างพุทธศตวรรษท่ี ๑๓-๑๗๑๕ ประติมากรรมทางพระพุทธศาสนาเหล่าน้ีช้ีให้เห็นถึง อิทธิพลของทวารวดี และเชื่อว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างทวารดีกับ นครศรีธรรมราช อิทธิพลพุทธศาสนาแบบสิงหลต่อนครศรีธรรมราชมีหลักฐาน มากมาย ดูปองท์ยืนยันว่าอิทธิพลหลักอย่างหนึ่งระหว่างพุทธศตวรรษ ที่ ๑๒-๑๕ คอื สงิ หล๑๖ สว่ นจารกึ กลั ยาณขี องพระเจา้ ธรรมเจดยี ส์ มยั พทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ อา้ งถงึ อทิ ธพิ ลพทุ ธศาสนาแบบสงิ หลเหนอื บรเิ วณ คาบสมุทรมาเลย์ โดยอ้างถึงพระสงฆ์ชาวสิงหลนามว่าพระราหุลเถระ ซง่ึ เป็นสหธรรมิกกับพระฉปฏเถระพากนั เดนิ ทางจากศรีลงั กามาพมา่ ๑๗ พระเถระรปู นไ้ี ดม้ จี ติ ปฏพิ ทั ธก์ บั สตรนี างรำ� ชาวพมา่ จงึ ตดั สนิ ใจลาสกิ ขา เพอ่ื ครองเพศฆราวาส พระฉปฏเถระและเพอื่ นสหธรรมกิ พยายามเปลย่ี น การตดั สนิ ใจ โดยแนะนำ� ทา่ นใหเ้ ดนิ ทางไปยงั มลยทปี ะ ครนั้ ถงึ อาณาจกั ร นั้นแล้วพระราหุลเถระได้สั่งสอนหลักธรรมค�ำสอนแห่งพระพุทธศาสนา แกก่ ษตั รยิ ์ ตอ่ มาไดล้ าสกิ ขาและสรา้ งบา้ นเรอื นดว้ ยความชว่ ยเหลอื ของ กษตั ริยแ์ หง่ เมืองน้ัน๑๘ คณุ วรรธนะอ้างวา่ มลยทีปะหมายถึงมลายูหรือ เกาะสมุ าตรา โดยชวี้ า่ พระพทุ ธศาสนาไดร้ บั การอปุ ถมั ภด์ ว้ ยดจี ากกษตั รยิ ์ แห่งมลายู จึงมีความน่าเช่ือถือว่าพระราหุลเถระได้รับการต้อนรับเป็น อย่างดจี ากกษัตริยอ์ าณาจักรน้ี แตก่ ารมาของพระเถระไม่สามารถสรา้ ง ความประทบั ใจได้มากนัก๑๙
ความสัมพันธ์ทางศาสนา 199 ผู้เขียนเห็นว่ามลยทีปะหมายถึงคาบสมุทรมลายูบริเวณเมือง นครศรธี รรมราช ซง่ึ พระพทุ ธศาสนารงุ่ เรอื งแพรห่ ลาย บรเิ วณนพ้ี ระพทุ ธ ศาสนามหายานเป็นที่รู้จักแพร่หลายมาก่อน จึงไม่สามารถม่ันใจได้ว่า พระพุทธศาสนาแบบสิงหลมีผู้ยอมรับมากน้อยเพียงใด และเมือง นครศรีธรรมราชสมัยนั้นสามารถประกาศตนในฐานะเป็นศูนย์กลาง พระพุทธศาสนาเถรวาทหรือไม่ และกษัตริย์แห่งอาณาจักรนี้สนับสนุน พระพุทธศาสนาเป็นอย่างดีเพียงไร สันนิษฐานว่ากษัตริย์แห่งเมือง นครศรธี รรมราช อาจจะถวายการตอ้ นรบั พระสงฆช์ าวสงิ หล ผแู้ ตกฉาน ในคัมภีร์พระไตรปิฎก อาณาจักรน้อยใหญ่ใกล้กับพม่าอาจจะติดต่อ สัมพันธ์ทางศาสนากับนิกายสงฆ์ในพม่า และพระสงฆ์พม่าน่าจะทราบ ความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในอาณาจักรนครศรีธรรมราช และน้ี อาจจะเป็นสาเหตุชักน�ำให้พระราหุลเถระเดินทางมาอาณาจักรแห่งนี้ สำ� หรบั คำ� วา่ “ทปี ะ” นา่ จะเปน็ ไวพจนข์ องคาบสมทุ ร การปฏเิ สธวา่ มลย ทีปะตามจารึกกัลยาณีบ่งถึงคาบสมุทรมลายูและนครศรีธรรมราชน้ัน ยอ่ มไมค่ วร การตงั้ ขอ้ สงั เกตวา่ พระราหลุ เถระอาจจะชว่ ยเผยแผอ่ ทิ ธพิ ล สิงหลตลอดดนิ แดนแหง่ นน้ี ้นั ยอ่ มควร๒๐ พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า นิ ก า ย เ ถ ร ว า ท แ ล ะ อิ ท ธิ พ ล สิ ง ห ล จ า ก นครศรีธรรมราช อาจจะแพร่หลายไปถึงสุโขทัย เพราะมีหลักฐานการ ติดต่อระหว่าสองอาณาจักร หลักฐานจากจารึกแห่งหน่ึงระบุว่าพ่อขุน รามค�ำแหงแห่งอาณาจกั รสุโขทยั ไดน้ ิมนต์พระสงฆ์สายป่าอรญั วาสขี ้ึน ไปจากเมืองนครศรีธรรมราช จารกึ ระบุว่า ดา้ นทศิ ตะวันออกของเมือง สุโขทัยมอี ารามของพระปา่ อรัญวาสี พ่อขนุ รามคำ� แหงโปรดใหส้ ร้างขึน้ แล้วถวายแด่ปู่ครูผู้เรียนรู้สรรพวิชาและปิฎกไตรย์ ผู้แตกฉานเหนือ พระสงฆ์ทัง้ มวล ซง่ึ ลุกมาแต่เมืองนครศรีธรรมราช๒๑ พระสงฆส์ ายป่า
200 ศรลี งั กาและอษุ าคเนย์ หรืออรัญวาสีเป็นพระสงฆ์กลุ่มหน่ึง ซ่ึงเป็นที่นิยมแพร่หลายตลอด อาณาจกั รสมัยนนั้ ถอื วา่ เปน็ อิทธพิ ลโดยตรงจากศรีลังกา ตำ� นานฝา่ ย ศรีลังการะบุว่าสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราชแห่งอาณาจักรโปโฬน นารุวะน้ัน มีพระสงฆ์สายป่าอรัญวาสีเป็นจ�ำนวนมาก เฉพาะส�ำนัก ทิมบุลาคะละน้ันได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ท�ำหน้าที่ปฏิรูปและเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนา๒๒ อทิ ธพิ ลของคณะสงฆก์ ลมุ่ นจ้ี งึ ไดแ้ พรห่ ลายเขา้ มายงั หัวเมืองบริเวณอุษาคเนย์ แม้การนิมนต์พระสงฆ์จากนครศรีธรรมราช ไปสโุ ขทยั ไม่ปรากฏเหน็ ในหลกั ฐานฝา่ ยศรีลังกา แตเ่ ช่ือแนว่ ่าพระสงฆ์ กลมุ่ อน่ื อาจจะเดนิ ทางไปมาระหวา่ งสองอาณาจกั ร อทิ ธพิ ลรปู แบบศลิ ปะ ของทวารวดีด้านประติมากรรมแห่งนครศรีธรรมราช ช้ีให้เห็นว่าสอง อาณาจักรมีความเชื่อมโยงกัน ซึ่งอาจจะต่อเน่ืองเร่ือยมาจนถึงสมัย ก่อต้งั อาณาจักรสุโขทยั ก็เปน็ ได้ กล่าวโดยสรุปพระพุทธศาสนาเถรวาทเข้าสู่สุโขทัยสามเส้นทาง หน่ึงน้ันจากพม่าผ่านล�ำพูน สองนั้นจากนครศรีธรรมราช และสามนั้น จากทวารวดีซ่ึงสมัยน้ันอยภู่ ายใตก้ ารปกครองของสโุ ขทัย เสน้ ทางสาม สายดังกล่าวเป็นการกระจายอิทธิพลสิงหลและความรู้พระพุทธศาสนา สงิ หลตอ่ กษตั รยิ ส์ โุ ขทยั เพราะความสนใจเปน็ แรงกระตนุ้ กษตั รยิ ส์ โุ ขทยั จึงน�ำพระพุทธศาสนาสิงหลเป็นหลักในการบริหารบ้านเมือง หลักฐาน หลายแหง่ ยนื ยนั วา่ อทิ ธพิ ลสงิ หลปรากฏผลอยา่ งชดั เจนหลงั การสถาปนา อาณาจักรสโุ ขทยั ไมน่ าน สมัยพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ คัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ได้บันทึก ความสัมพันธ์ระหว่างศรีลังกานครศรีธรรมราชและสุโขทัยอย่าง ละเอียด๒๓ โดยกล่าวว่าพระเจ้าโรจราชแห่งสุโขทัยปรารถนาจะเห็น
ความสมั พันธ์ทางศาสนา 201 มหาสมทุ ร จงึ เสดจ็ ไปยงั เมอื งสริ ธิ รรมนครหรอื นครศรธี รรมราช พระเจา้ สิริธรรมถวายการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ และได้กราบทูล ความอัศจรรย์แห่งพระพุทธปฏิมาซ่ึงอัญเชิญมาจากศรีลังกา จากนั้น คัมภีร์ได้พรรณนาถึงก�ำเนิดของพระพุทธปฏิมา เหตุการณ์หลังพุทธ ปรนิ พิ พานลว่ งแลว้ ๗๐๐ ปี ประวตั พิ ระอรหนั ตช์ าวศรลี งั กา ๒๐ รปู กษัตริย์ลังกาปรารถนาจะทอดพระเนตรพุทธลักษณะ จึงนิมนต์พระ อรหันตเ์ หลา่ น้นั มาแล้วทลู ถามวา่ พระอรหนั ต์รปู ใดทนั เห็นพระลักษณะ ของพระพุทธเจา้ บ้าง เพราะพระพทุ ธองค์เคยเสด็จมาเกาะลงั กาถึงสาม ครง้ั และดว้ ยอานภุ าพของพระอรหนั ตพ์ ญานาคราชจงึ เนรมติ รปู เปรยี บ พระพทุ ธเจา้ กษัตริย์ลงั กาทรงโสมนสั ยิง่ นกั โปรดให้ท�ำการบชู าสกั การะ ตลอดเจ็ดวัน คร้ันแล้วโปรดให้ช่างสร้างรูปปฏิมาของพระพุทธเจ้าด้วย แร่ทองเงินและทองสัมฤทธิ์ คร้ันสำ� เร็จแล้วพระพุทธปฏิมานั้นสว่างไสว งดงาม เสมือนพระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่ กษัตริย์ลังกาหลาย พระองค์ต่อมาไดถ้ วายสักการะพระพทุ ธปฏิมานน้ั อย่างย่งิ ใหญ่ พระเจ้าสิริธรรมทรงสดับกิตติศัพท์ของพระพุทธปฏิมาดังกล่าว จึงให้ราชทตู ไปกราบทลู กษัตรยิ ส์ โุ ขทัย คราวน้ันพระเจา้ โรจราชทลู ถาม พระเจ้าสิริธรรมว่า มีใครสามารถเดินทางไปลังกาหรือไม่ คร้ันได้รับ คำ� ตอบวา่ มใิ ช่เปน็ เรอื่ งง่ายทจ่ี ะอัญเชญิ พระพทุ ธปฏมิ าองคน์ ั้น เพราะมี เทพเจ้าผูท้ รงฤทธคิ์ อยปกป้องค้มุ ครองอยู่ ครัน้ แล้วพระเจา้ โรจราชและ พระเจา้ สริ ธิ รรม จงึ โปรดใหส้ ง่ คณะราชทตู เดนิ ทางไปกราบทลู ขอพระเจา้ แผ่นดินลังกา ครั้นกษัตริย์ลังกาทราบดังนั้นแล้วจึงโปรดให้เฉลิมฉลอง พระพุทธปฏิมาเป็นเวลาหน่งึ สปั ดาห์ จากนน้ั โปรดใหม้ อบถวายแก่คณะ ราชทูตแห่งสิริธรรมนครและสุโขทัย ครั้นเรือบรรทุกพระพุทธปฏิมาเดิน ทางถงึ กลางมหาสมทุ รกอ็ บั ปางลง แตพ่ ระพทุ ธปฏมิ าไดส้ ำ� แดงปาฏหิ ารยิ ์
202 ศรีลงั กาและอษุ าคเนย์ น�ำพาเรือจนถึงเมืองนครศรีธรรมราชอย่างปลอดภัย คราวน้ันกษัตริย์ แหง่ สริ ธิ รรมนครโปรดใหป้ ระกอบพธิ บี ชู าสกั การะอยา่ งยง่ิ ใหญ่ ครนั้ แลว้ โปรดให้ส่งคณะราชทตู ไปกราบทูลรายงานแดก่ ษตั ริย์สุโขทยั คร้นั ทราบ ดังนั้นพระเจ้าโรจราชได้เดินทางมาเมืองนครศรีธรรมราชอีกครั้งหนึ่ง พรอ้ มอญั เชญิ พระพทุ ธปฏมิ าไปประดษิ ฐานยงั เมอื งสโุ ขทยั ๒๔ เนอื้ หาใน คัมภรี ์ชินกาลมาลีปกรณ์เต็มไปดว้ ยเร่ืองราวเชงิ เทพนยิ าย แตก่ ็มีความ จรงิ เชงิ ประวตั ศิ าสตร์ผสมแทรกอยูบ่ า้ ง เรอื่ งราวกำ� เนดิ พระพทุ ธรปู ถอื วา่ เปน็ ตำ� นานอนั บรสิ ทุ ธิ์ หลกั ฐาน ฝ่ายศรลี ังกากล่าวถงึ พระพุทธรปู เชน่ นั้น สนั นิษฐานว่าพระพุทธรูปอาจ จะเกดิ ขน้ึ เพราะความแพรห่ ลายของคตคิ วามเชอ่ื เกย่ี วกบั พระพทุ ธปฏมิ า ซงึ่ นำ� มาจากศรลี งั กา เรอื่ งราวเกยี่ วกบั พระพทุ ธปฏมิ าดงั กลา่ วเปน็ เรอื่ ง สำ� คญั สำ� หรับเรื่องราวของกษตั รยิ ์สองพระองค์ไมป่ รากฏพระนามตาม พระญาติวงศ์แห่งสุโขทัยหรือนครศรีธรรมราช แต่มิได้หมายความว่า กษตั รยิ ท์ งั้ สองพระองคไ์ มม่ ตี วั ตนทางประวตั ศิ าสตร์ เพราะประวตั ศิ าสตร์ สุโขทัยและนครศรีธรรมราชมีช่องว่างให้ตีความมากมาย แต่เพราะ ขาดแคลนแหลง่ ขอ้ มลู โดยเฉพาะหลกั ฐานดา้ นพระญาตวิ งศข์ องกษตั รยิ ์ นครศรีธรรมราช อาจเป็นไปได้ว่ากษัตริย์สองอาณาจักรมีพระนาม มากกว่าหนึ่งพระนาม ต�ำนานและจารึกจงึ ไม่บันทึกไวท้ ัง้ หมด พระเจา้ สิริธรรมปรากฏเห็นในคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์น้ันหมายถึงพระเจ้า จนั ทรภาณุ สอดคลอ้ งกบั จารกึ วดั หวั เวยี งไชยาและคมั ภรี จ์ ลุ วงศ์ ตำ� นาน ลังการะบุว่าพระเจ้าจันทรภาณุน้ันครั้นพ่ายแพ้ต่อกษัตริย์ศรีลังกาด้วย ก�ำลงั แล้ว ได้หันมาใช้วิธสี ันติและเกยี่ วขอ้ งกับกษตั รยิ ส์ ุโขทยั ๒๕ ปรณวิตานะเห็นด้วยกับเซเดส์ว่าพระเจ้าสิริธรรมในคัมภีร์ชินกาล มาลปี กรณ์หมายถงึ พระเจา้ จนั ทรภาณุ และอธบิ ายเสรมิ อกี วา่ หลงั จาก
ความสมั พนั ธ์ทางศาสนา 203 พระองค์บุกรุกเกาะลังกาครั้งแรกแล้ว ได้ริเริ่มวิธีการแห่งสันติ เซเดส์ อ้างข้อความในคัมภีร์จุลวงศ์ซึ่งระบุถึงพระเถระนามว่าธรรมกิตติ พระ เถระรปู นพ้ี ระเจา้ ปรากรมพาหแุ หง่ อาณาจกั รดมั พเดณยิ ะ โปรดใหน้ มิ นต์ มาจากแควน้ ตมั พรฏั ฐะ คมั ภรี จ์ ลุ วงศร์ ะบวุ า่ กษตั รยิ ล์ งั กาโปรดใหส้ ง่ คณะ ส่งราชทูตน�ำเครื่องราชบรรณาการไปถวายแด่กษัตริย์แคว้นตัมพะ พร้อมกับการนิมนต์พระธรรมกิตติเถระ แต่ไม่กล่าวถึงพระนามของ กษัตริย์แห่งตัมพรัฏฐะ ปรณวิตานะเช่ือว่าตัมพรัฏฐะหมายถึง นครศรีธรรมราช และพระเจ้าปรากรมพาหุแหง่ ลงั กาไดจ้ ัดส่งเครอ่ื งราช บรรณาการไปถวายนนั้ คอื พระเจา้ จนั ทรภาณจุ รงิ โดยอธบิ ายวา่ หลงั จาก สงครามระหว่างลังกาและตัมพรัฏฐะส้ินสุดลง ความสัมพันธ์เชิงสันติ ระหว่างสองอาณาจักรได้มีการร้ือฟื้นข้ึนมา ประเด็นนี้น่าจะสอดคล้อง กบั เนอ้ื หาบางสว่ นในคมั ภรี ช์ นิ กาลมาลปี กรณ์ และการอญั เชญิ พระพทุ ธ รปู จากลงั กามามอบถวายแดพ่ ระเจา้ สริ ธิ รรม นา่ จะเปน็ บรรณาการของ กษตั รยิ ล์ งั กาแดก่ ษัตรยิ แ์ ห่งตมั พรัฏฐะ๒๖ ปรณวิตานะยืนยันว่าตัมพรัฏฐะในคัมภีร์จุลวงศ์นั้นหมายถึง นครศรธี รรมราช แตต่ อ่ มากลายเปน็ คำ� ถามปลายเปดิ การอา้ งตมั พรฏั ฐะ อาจจะมิได้หมายถึงนครศรีธรรมราช จารึกแผ่นศิลาของพระนางสุนทร มหาเทวผี เู้ ปน็ มเหสขี องพระเจา้ วกิ รมพาหทุ ี่ ๑ (พ.ศ.๑๖๕๔-๑๖๗๕) ระบุว่าพระมหาเถระชาวสิงหลนามว่าอานนท์ได้เป็นผู้ช�ำระคณะสงฆ์ใน ตัมพรฏั ฐะ๒๗ บทสง่ ทา้ ยของคัมภีรป์ รมตั ถวินิจฉัยระบวุ ่า แตง่ โดยพระ เถระผ้เู กิดในเมืองกาวรี ะในแผน่ ดินแหง่ เมืองกาญจิ ขณะแต่งคมั ภรี เ์ ลม่ นี้ท่านพ�ำนักอยู่ในเมืองตัญชนคระแห่งแคว้นตัมพรัฏฐะ๒๘ คัมภีร์ชินา ลงั การะอา้ งวา่ ผแู้ ตง่ คมั ภรี ป์ รมตั ถวนิ จิ ฉยั ไดร้ บั การยกยอ่ งสงู สดุ บรรดา ผู้ทรงปราชญ์แห่งโจฬิยะตัมพรัฏฐะ๒๙ หลักฐานนี้อาจตีความได้ว่า
204 ศรลี ังกาและอษุ าคเนย์ แผ่นดินโจฬะแห่งตัมพรัฏฐะหรือตัมพรัฏฐะอยู่ในอาณาจักรโจฬะ๓๐ คุณวรรธนะไดว้ ิเคราะห์การตคี วามของปรณวิตานะวา่ แม้ว่าตมั พรฏั ฐะ ซง่ึ ปรากฏในคมั ภรี จ์ ลุ วงศจ์ ะสามารถยนื ยนั วา่ เปน็ ตามพรลงิ คห์ รอื เมอื ง นครศรีธรรมราชแห่งคามสมุทรมาเลย์ได้จริง แต่ความยุ่งยากในการ ยอมรบั สมมตฐิ านกย็ อ่ มลดลง เพราะหลงั จากพเิ คราะหแ์ ลว้ อาจตคี วาม ไดอ้ กี มมุ หนงึ่ ตมั พรฏั ฐะพบเหน็ เปน็ จำ� นวนมากจากหลกั ฐานทางอนิ เดยี ใต้ โดยเฉพาะเมอื งโจฬะ สนั นษิ ฐานวา่ ตมั พรฏั ฐะอาจเปน็ บรเิ วณใกลช้ ดิ ตดิ กับอาณาจักรโจฬะ เมืองตัญชนะในคัมภีร์ปรมัตถวินิจฉัยอาจจะเป็น ตันจัยในแคว้นปัณฑยะ การต้ังข้อสังเกตว่าพระสงฆ์รูปหน่ึงซึ่งเกิดใน เมืองกาเวรี ได้เดินทางไปพักอาศัยแคว้นปัณฑยะน่าจะสมเหตุสมผล มากกวา่ การท่ปี รณวิตานะอ้างวา่ พระเถระเดินทางไปคาบสมุทรมาเลย์ จึงไม่สมเหตสุ มผล เพราะหลกั ฐานเบือ้ งต้นชีใ้ ห้เห็นชดั เจนวา่ ตัมพรฏั ฐะ อยู่ทางอนิ เดยี ใต๓้ ๑ หากยอมรับว่าตัมพรฏั ฐะอยทู่ างอนิ เดียตอนใต้ คัมภรี ์จลุ วงศ์ก็ไม่ สามารถอา้ งองิ เกย่ี วกบั พระเจา้ จนั ทรภาณไุ ด้ ซงึ่ พระองคม์ คี วามสมั พนั ธ์ อย่างใกล้ชิดกับกษัตริย์สิงหล ภายหลังจากบุกรุกเกาะลังกาครั้งแรก คัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ระบุว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์แห่งกรุงสุโขทัย ผู้ร่วมสมัยกับพระเจ้าจันทรภาณุ ได้ติดต่อกับกษัตริย์สิงหลพระนามว่า พระเจา้ ปรากรมพาหแุ หง่ อาณาจกั รดมั พเดณยิ ะ พระพทุ ธศาสนาเถรวาท ชกั นำ� ใหก้ ษตั รยิ ท์ ง้ั สองอาณาจกั รมศี รทั ธาเสมอกนั และสงเคราะหเ์ กอื้ กลู กัน และนับแต่น้ันเป็นต้นมาอิทธิพลสิงหลได้ส่งผลต่ออาณาจักรสุโขทัย อย่างแพร่หลาย ระหว่างสมัยของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์กับพ่อ ขุนรามค�ำแหง พระพุทธศาสนาเถรวาทได้แพร่หลายตลอดอาณาจักร สุโขทัยอย่างรวดเร็วจนอิทธิพลสิงหลม่ันคงรุ่งเรือง พระสงฆ์สิงหลก็ดี
ความสมั พันธ์ทางศาสนา 205 พระสงฆไ์ ทยผไู้ ดร้ บั การอปุ สมบทจากพระสงฆส์ งิ หลกด็ ี ไดร้ บั การยกยอ่ ง อยา่ งสูงจากสถาบันกษัตรยิ ์ ลว่ งเขา้ สมัยพระยาลิไทผ้คู รองราชย์สืบต่อ พอ่ ขนุ รามคำ� แหง พระองคไ์ ดท้ รงดำ� เนนิ เปน็ ศาสนปู ถมั ภกเปน็ อยา่ งดยี ง่ิ สมยั พระองคน์ นั้ สามารถเหน็ เสน้ ทางลทั ธลิ งั กาวงศเ์ ขา้ สสู่ โุ ขทยั ซงึ่ ผา่ น ศรีลงั กาโดยตรงและผ่านพม่าทางอ้อม อิทธพิ ลลัทธิลงั กาวงศเ์ หนอื สโุ ขทยั คัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์บันทึกเร่ืองราวของพระเถระรูปหน่ึงว่า ทา่ นได้รับการอุปสมบทจากพระสงฆส์ งิ หลในอาณาจักรพมา่ จากนั้นได้ เดินทางไปอาณาจักรสุโขทัย และเผยแผ่ประเพณีการอุปสมบทตามรูป แบบของพระสงฆส์ งิ หล อกี เรอื่ งหนงึ่ วา่ สมยั พญากอื นาแหง่ เมอื งนพบรุ ี ศรีนครพิงคเ์ ชียงใหม่ (พ.ศ.๑๘๙๘-๑๙๒๘) พระเถระนามวา่ สุมนะ ชาวเมืองสุโขทัย ได้เดินทางไปยังเมืองอโยธยาและศึกษาคัมภีร์ พระไตรปฎิ กกบั พระเถราจารย์ ครนั้ เจนจบคมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ กแลว้ ไดเ้ ดนิ ทางกลับสุโขทัย อีกเร่ืองหน่ึงว่าพระสงฆ์ชาวศรีลังการูปหน่ึงนามว่า อทุ มุ พรมหาสามไี ดเ้ ดนิ ทางมาเมอื งหงสาวดี ครน้ั พระสมนุ เถระทราบขา่ ว ได้ชักชวนสหธรรมิก เดินทางไปศึกษาพระธรรมวนิ ยั ภายใต้พระอุทมุ พร มหาสามนี นั้ นอกจากศกึ ษาวตั รปฏิบตั ิแบบศรลี งั กาแล้ว พระสมุ นเถระ ยังได้บวชแปลงกับพระเถระด้วย ด้านพระมหาธรรมราชาแห่งสุโขทัย ผศู้ รทั ธามนั่ คงตอ่ พระศาสนา ปรารถนาจะมพี ระสงฆม์ าชว่ ยทำ� สงั ฆกรรม จงึ โปรดใหส้ ง่ ราชทตู ไปนมิ นตพ์ ระมหาสามเี ถระ คราวนนั้ พระอทุ มุ พรมหา สามีรับค�ำนิมนต์ของกษัตริย์แห่งสุโขทัยด้วยความยินดี พร้อมส่งพระ สุมนเถระไปท�ำหน้าที่แทนตน กษัตริย์แห่งสุโขทัยทราบข่าวเช่นนั้นทรง ยนิ ดียิง่ นกั โปรดให้จดั เตรยี มอารามป่ามะมว่ งสำ� หรบั เปน็ ท่พี ำ� นัก และ
206 ศรีลังกาและอษุ าคเนย์ ด้วยความช่วยเหลือของกษัตริย์สุโขทัย พระสุมนเถระได้เผยแผ่พุทธ ศาสนาเถรวาทตลอดอาณาจกั รสโุ ขทัย๓๒ หลักฐานเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าพระสงฆ์ไทยยอมรับความเป็น ปราชญ์แตกฉานในคัมภีร์พระไตรปิฎกของพระสงฆ์ศรีลังกา กิตติศัพท์ ของพระอุทุมพรมหาสามีน่าจะต้องโด่งดังมาไกลถึงอาณาจักรสุโขทัย จนพระสมุ นเถระรบั รเู้ รอ่ื งราวของพระเถราจารยร์ ปู น้ี และการทพี่ ระมหา ธรรมราชาร้องขอพระสงฆ์มาสุโขทัย น่าจะช้ีให้เห็นว่าพระองค์มี พระประสงค์จะนิมนต์พระสุมนเถระกลับสุโขทัย หรืออาจเป็นความ ต้องการของพระสงฆ์เมืองสุโขทัยหลายรูป ซึ่งไม่สามารถเดินทางไป ศึกษากับพระอุทุมพรมหาสามีได้ จึงสันนิษฐานว่าการท่ีกษัตริย์สุโขทัย นมิ นตพ์ ระมหาสามหี รือพระสมุ นเถระมาสโุ ขทยั นน้ั เพราะทรงพจิ ารณา ว่าพระสงฆ์ชาวสุโขทัยเหล่าน้ัน สามารถศึกษาและเข้ารับการอุปสมบท จากพระเถระได้ การจะยืนยันความเป็นมาของพระอุทุมพรมหาสามีเป็นเร่ืองยาก นัก เพราะหลักฐานเก่ียวกับพระเถระมีน้อยมาก หลักฐานระบุเพียงว่า ท่านเป็นพระสงฆ์ผู้เดินทางจากศรีลังกามารามัญประเทศ๓๓ หลักฐาน เพียงเท่านี้ไม่สามารถยืนยันได้ว่าพระเถระเกิดในรามัญ หรือว่าเป็น พระสงฆ์ชาวสิงหลผู้เดินทางมาเยือนพม่าตอนใต้เพื่อเผยแผ่พระศาสนา สมยั ตอ่ มามหี ลกั ฐานระบวุ า่ นกิ ายสงิ หลไดต้ งั้ มน่ั ในพมา่ แตก่ ลมุ่ พระสงฆ์ เหล่าน้ันไม่เป็นที่ยอมรับ ต�ำนานพม่าไม่เอ่ยถึงพระสงฆ์นามว่าอุทุมพร มหาสามีเลย แม้ผู้แต่งต�ำนานจะบันทึกเรื่องราวพระสงฆ์ศรีลังกาอีก หลายรปู ซงึ่ เดนิ ทางมาพมา่ หลกั ฐานศรลี งั กาเองกไ็ มย่ นื ยนั การเดนิ ทาง มาพม่าของพระอุทุมพรมหาสามีเถระ๓๔ ปรณวิตานะแสดงเหตุผลว่า
ความสัมพันธ์ทางศาสนา 207 พระอุทุมพรเถระมใิ ช่ชอ่ื สว่ นตวั อาจหมายถึงสมาชกิ ของคณะสงฆแ์ หง่ อรญั วาสนี ามวา่ อทุ มุ พรคริ ิ (ภาษาสงิ หลเรยี กวา่ ทมิ บลุ าคะละ) ซงึ่ ตง้ั อยู่ เขตตมันกฑุวะแห่งศรีลังกา๓๕ ความจริงคือส�ำนักทิมบุลาคะละเป็น ศูนยก์ ลางทางพระพุทธศาสนา นับแต่พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๗ เปน็ ตน้ มา การเดินทางมาพม่าของพระสงฆ์ส�ำนักนี้ ชี้ให้เห็นว่าเป็นการเผยแผ่ พุทธศาสนานิกายเถรวาทในต่างแดน พระเถระผู้เดินทางไปเผยแผ่ยัง พม่าอาจด�ำรงต�ำแหน่งชั้นพระมหาสามี ชาวพม่าจึงรู้จักพระเถระในช่ือ นี้ พระสุมนเถระเองอยู่ภายใต้อิทธิพลของพุทธศาสนาสิงหล อาจจะได้ รับค�ำแนะนำ� จากอาจารยแ์ หง่ ตนใหเ้ ดนิ ทางกลบั สโุ ขทัย หลักฐานจากจารึกช้ีให้เห็นว่ากษัตริย์สุโขทัยทรงความรู้ด้านพุทธ ศาสนาเป็นอย่างดี และสอนรูปแบบของพุทธศาสนาสิงหล เนื้อหาของ จารกึ วดั มหาธาตเุ มอื งสโุ ขทยั เนน้ การบรู ณปฏสิ งั ขรณว์ ดั แหง่ นี้ วนั เวลา การจารึกไม่ชัดเจน สันนิษฐานว่าประมาณพุทธศักราช ๑๘๘๗- ๑๘๘๙ ซงึ่ ตรงกบั รชั สมยั ของพพระยาลไิ ท๓๖ จารกึ หลกั นร้ี ะบพุ ระนาม ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ่อขุนรามค�ำแหง และพระมหาธรรมราชาผู้ เป็นพระราชนัดดา ซ่ึงตีความว่าพระมหาธรรมราชาอาจจะเป็นผู้สร้าง จารกึ หลกั น๓้ี ๗ จารกึ หลกั นสี้ ำ� คญั มากเพราะอา้ งถงึ เจา้ ชายพระองคห์ นง่ึ ซงึ่ เปน็ พระราชนดั ดาของพอ่ ขนุ ผาเมอื ง๓๘ เจา้ ชายพระองคน์ อี้ อกผนวช และเดินทางไปศรีลังกาพร้อมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาด้วย ระบุ พระนามวา่ สมเดจ็ พระมหาเถรศรศี รทั ธาราชจฬุ ามนุ ศี รรี ตั นลงั กาทปี มหา สามี วันเวลาท่ีพระเถระเดินทางไปศรีลังกามิได้ระบุไว้ และไม่ทราบว่า พ�ำนักอยู่ศรีลังกานานเพียงใด สันนิษฐานว่าอาจจะศึกษาจารีตปฏิบัติ และบวชแปลงตามประเพณีศรลี ังกา ค�ำว่า “ศรรี ัตนลังกาทปี มหาสามี” ช้ีให้เห็นว่าพระเถระสังกัดคณะสงฆ์สิงหล แม้การเดินทางไปเกาะลังกา
208 ศรลี ังกาและอษุ าคเนย์ ไมส่ ามารถระบวุ นั เวลาได้ แต่สันนิษฐานวา่ นา่ จะตรงกับรชั สมัยพระเจา้ วิชัยพาหุท่ี ๕ (พ.ศ.๑๘๗๘-๑๘๘๔) หรือพระเจ้าภวู เนกพาหทุ ี่ ๔ (พ.ศ.๑๘๘๔-๑๘๙๔)๓๙ รายละเอียดจากจารึกช้ีให้เห็นอีกว่า พระเถระรั้งต�ำแหน่งชั้นสูง ได้รับการเคารพจากสถาบันกษัตริย์ ได้ อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุกลับมาตุภูมิ และได้รับการต้อนรับอย่างยิ่ง ใหญ่ อีกทั้งมีการบันทึกเก่ียวกับการแสดงปาฏิหาริย์ของพระบรม สารรี ิกธาตุด้วย๔๐ จารึกอีกหลักหน่ึงพบบนเนินเขากบ และปัจจุบันเก็บรักษาไว้ท่ี พพิ ธิ ภณั ฑส์ ถานแหง่ ชาตพิ ระนคร กรงุ เทพมหานคร จารกึ หลกั นคี้ ดั ลอก จากจารึกต้นฉบับสมัยพระยาลิไทซ่ึงสูญหายไป๔๑ เน้ือหากล่าวถึงชาย คนหน่ึงเดินทางจาริกไปยังอินเดียและศรีลังกา เพ่ือสืบหาพระบรม สารีริกธาตุ และอ้างถึงพระมหาเถรศรีศรัทธาฯเหมือนจารึกหลักแรก หลักฐานดังกล่าวอ้างว่าพระมหาเถรศรีศรัทธาฯ อัญเชิญพระบรม สารีริกธาตุมาจากศรีลังกา จารึกวัดมหาธาตอุ ้างวา่ พระเถระได้อัญเชิญ พระเกศาธาตุและพระธาตุส่วนพระศอมาด้วย นอกจากน้ันยังอ้างถึง พระทันตธาตุและพระธาตุส่วนอื่นแต่ไม่ระบุว่าน�ำมาจากท่ีใด๔๒ หาก พระมหาเถรศรศี รทั ธาฯ อญั เชญิ พระธาตมุ าจากศรลี งั กาจรงิ นา่ จะเปน็ สว่ นทอ่ี กั ษระตกหลน่ ชำ� รดุ สว่ นพระทนั ตธาตจุ ากศรลี งั กานนั้ อาจจะเปน็ องค์จ�ำลอง เพราะไม่ปรากฏเห็นว่าพระทันตธาตุองค์จริงมีการอัญเชิญ มาสโุ ขทยั เชน่ เดยี วกบั กษตั รยิ พ์ มา่ ทรงพอพระทยั กบั พระทนั ตธาตจุ ำ� ลอง การส�ำแดงปาฏิหาริย์ของพระบรมสารีริกธาตุก็มีลักษณะคล้ายกัน ดงั ตวั อย่างเช่นพระบรมสารรี ิกธาตทุ ะลุออกจากเจดยี ์แล้วเหาะขึ้นไปบน อากาศและเปล่งแสงโชติช่วงชัชวาล ครั้นเห็นการส�ำแดงปาฏิหาริย์เช่น น้ันแล้ว กษัตริย์แห่งสุโขทัยได้ต้ังจิตปรารถนาว่าจะนับถือศาสนาแห่ง ลงั กาทวีปตลอดไป
ความสมั พันธ์ทางศาสนา 209 จารึกหลักเดิมเสริมอีกว่ามีหมู่บ้านชาวสิงหลห้าแห่งภายในเมือง สโุ ขทยั ซง่ึ พระมหาเถรศรศี รทั ธาฯ เปน็ ผชู้ กั ชวนใหม้ าชว่ ยตน ชาวสงิ หล เหล่าน้ีอ้างว่าคุ้นเคยกับคณะสงฆ์อรัญวาสี สันนิษฐานว่าอาจจะเป็น อารามเปน็ ทพี่ กั ของพระสงฆส์ งิ หลนกิ าย จารกึ สมยั พระยาลไิ ทสองหลกั นชี้ ใี้ ห้เห็นว่า มคี วามสัมพนั ธท์ างศาสนาอยา่ งมนั่ คงระหวา่ งศรลี งั กากบั สุโขทัย กษัตริย์และข้าราชบริพารต่างด�ำรงตนเป็นตัวอย่างของอาณา ประชาราษฎร์ ดว้ ยการประพฤตติ ามคำ� สอนแหง่ พระพทุ ธศาสนา พระยา ลิไทผู้เป็นพระราชโอรสของพระยาเลอไทยนั้น ทรงถวายความอุปถัมภ์ พระศาสนาเปน็ อยา่ งดยี ง่ิ จารกึ หลายแหง่ สมยั พระองคพ์ รรณนาถงึ การ ติดต่อสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่างศรีลังกากับสุโขทัย๔๓ จารึกบาง หลกั กลา่ วถงึ การนมิ นตพ์ ระสงฆจ์ ากศรลี งั กามายงั สโุ ขทยั และไดร้ บั การ ยกยอ่ งสรรเสรญิ อยา่ งสงู จากชาวสโุ ขทยั จารกึ ภาษาเขมรทวี่ ดั ปา่ มะมว่ ง เมอื งสุโขทัยระบุวา่ ปพี ทุ ธศักราช ๑๘๒๖ ซงึ่ เปน็ ปฉี ลู พระเจา้ แผ่น ดินโปรดให้ราชบัณฑิตเดินทางไปนิมนต์พระสังฆราชมหาสามีแห่งลังกา ผู้ด�ำรงภาวะเป็นพระอุปัชฌาย์ ผู้ศึกษาพระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน และผู้งดงามดว้ ยศีลาจารวัตรเสมือนพระขณี าสพเจา้ ๔๔ จารึกได้อธิบายรายละเอียดเก่ียวกับกษัตริย์สุโขทัยและเสนา อ�ำมาตย์ ซ่ึงพากันตระเตรียมเมืองสุโขทัยเพื่อต้อนรับพระมหาสามี หลักฐานดังกล่าวน้ีช้ีให้เห็นความกระตือรือร้นการต้อนรับของพระเจ้า แผ่นดินและพสกนิกร และแสดงถึงความเคารพพระมหาสามีอย่าง สมเกียรติ จารึกอีกแห่งหน่ึงระบุว่าพระยาลิไททรงเป็นพระพุทธเจ้า๔๕ จารกึ หลกั นแ้ี ละจารกึ ภาษาไทยซง่ึ ระบพุ ทุ ธศกั ราช ๑๙๐๓ ไดพ้ รรณนา วา่ กษตั รยิ ส์ โุ ขทยั ไดส้ ละราชบลั ลงั ก์ และเสดจ็ ออกผนวชภายใตก้ ารดแู ล ของพระสังฆราช๔๖ สอดคล้องกับจารึกภาษาบาลีซึ่งเขียนโดยพระมหา
210 ศรีลงั กาและอษุ าคเนย์ เถรศรีศรัทธาฯ และอ้างว่าพระยาลิไทได้เสด็จออกผนวชจริง๔๗ ต่อมา ทรงลาสิกขาเพ่ือปกครองบ้านเมือง๔๘ เป็นที่น่าสังเกตว่าต�ำแหน่ง พระสังฆราชไมม่ กี ล่าวถึงในจารึกหลกั ใดเลย พระสงฆ์สิงหลเดินทางไป สุโขทัยกไ็ ม่มีกลา่ วถึงในวรรณกรรมภาษาสงิ หลหรือภาษาบาลี ประเดน็ นี้ปรณวิตานะเห็นว่าภาษาในจารึกซ่ึงแต่งโดยพระสังฆราช มีลักษณะ คลา้ ยกบั คัมภรี ห์ ตั ถวนคัลลวหิ ารวงั สะและคมั ภีร์สมันตกฏู วณั ณนาของ ศรีลังกา ซึ่งแต่งสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ พระสังฆราชรูปนี้อาจ จะได้รับการศกึ ษาจากประเทศศรลี ังกา เหมอื นผ้แู ตง่ คมั ภีร์หตั ถวนคลั ล วหิ ารวงั สะและคมั ภรี ส์ มนั ตกฏู วณั ณนา จารกึ หลกั นไ้ี ดร้ บั อทิ ธพิ ลกาพย์ ภาษาสันสกฤตและโคลงประเภทรอ้ ยกรองสัมผัสอักษร๔๙ คมั ภรี ภ์ าษาบาลหี ลายเล่มสามารถยืนยันพระสังฆราชรูปนี้ ตอนท้ายของคัมภีร์โลกัปปทีปกสารระบุว่าพระเมธังกรเถระผู้แต่ง คัมภีร์เล่มนี้พ�ำนักอาศัยในพม่าและไทย ขณะพ�ำนักที่พม่าน้ันพระเถระ อาศยั อยทู่ ม่ี ตุ ตมิ งั คเลเมอื งเมาะตะมะในอารามชอื่ วา่ โสณณมยมหาวหิ าร ซ่ึงสร้างถวายโดยพระราชมารดาของพระเจ้าเสตุกุญชราธิบดี๕๐ ตอน ท้ายคัมภีร์พระเมธังกรเถระบอกว่าตนเป็นอาจารย์ของพระยาลิไท๕๑ พระยาลไิ ทหมายถงึ กษตั รยิ แ์ หง่ สโุ ขทยั ตามพระนามนน้ั หรอื อกี พระนาม หนง่ึ วา่ พระมหาธรรมราชา แตพ่ ระนามเชน่ นไี้ มป่ รากฏเหน็ ในอาณาจกั ร อืน่ นอกจากสโุ ขทัย นบั แตพ่ ระยาลไิ ทแห่งสุโขทัยนิมนต์พระสงฆ์มาจาก ศรีลังกา และแต่งต้ังให้ด�ำรงต�ำแหน่งพระราชครูแล้ว ไม่มีหลักฐานใด กล่าวถึงพระสังฆราชรูปนี้อีกเลย นอกจากผู้แต่งคัมภีร์โลกัปปทีปกสาร เท่านั้น๕๒ คัมภีร์สาสนวังสะระบุว่าพระมหาเถระรูปน้ีได้รับนิมนต์จาก กษตั รยิ ส์ โุ ขทยั และเนอ้ื หากม็ ลี กั ษณะเชน่ เดยี วกบั คมั ภรี โ์ ลกปั ปทปี กสาร
ความสมั พันธ์ทางศาสนา 211 ดังความว่าพระเมธังกรเถระผู้เป็นครูของพระราชมารดาของพระเจ้า เสตภิ ินทะแห่งเมืองมตุ ติมะ (เมาะตะมะ) ได้เดนิ ทางไปลงั กา และได้รบั การศึกษาภายใต้พระเถระแห่งส�ำนักอรัญวาสีจนแตกฉานในคัมภีร์ พระไตรปิฎก คร้ันกลับเมืองมุตติมะแล้วได้พ�ำนักในอารามของพระราช มารดาของพระเจ้าเสติภินทะ ซึ่งโปรดให้สร้างถวายด้วยเงินและทอง เฉพาะยอดอาคารคลุมดว้ ยเงนิ พระเถระนั้นได้ช่วยประกาศพระศาสนา และแต่งคัมภีร์โลกัปปทีปกสาร๕๓ ค�ำว่า “เสติภนิ ทะ” เป็นพระราชทนิ นามของกษตั ริยแ์ ห่งหงสาวดี คัมภีร์โลกัปปทีปกสารและคัมภีร์สาสนวังสะยืนยันว่าหมายถึงพระยาอู่ ซงึ่ ปกครองอาณาจกั รหงสาวดรี ะหวา่ งพทุ ธศกั ราช ๑๘๙๖-๑๙๒๘ อีกพระนามหนง่ึ คอื คยนิ บยซู นิ (ผเู้ ปน็ พระเจา้ ช้างเผือก) ส่วนเมอื งเมาะ ตะมะสมยั นน้ั เปน็ เมืองหลวงของพระองค๕์ ๔ คมั ภรี โ์ ลกปั ปทปี กสารเหน็ ดว้ ยกบั ความหมายของพระนามวา่ คยินบยูชิน คมั ภรี ส์ าสนวังสะระบุวา่ พระเมธงั กรเถระนนั้ ขณะแตง่ คมั ภรี โ์ ลกปั ปทปี กสารไดพ้ ำ� นกั ทเ่ี มอื งเมาะ ตะมะ สันนิษฐานว่าพระเถระอาจจะนิพนธ์คัมภีร์เล่มนี้เสร็จก่อนร้ัง ตำ� แหนง่ พระราชครขู องกษตั รยิ ส์ โุ ขทยั ตอนทา้ ยของคมั ภรี ส์ าสนวงั สะก็ สรปุ แบบเดยี วกนั ผนู้ พิ นธม์ ไิ ดบ้ อกวา่ ตนเปน็ ราชครขู องพระยาลไิ ท สว่ น ประโยคสดุ ทา้ ยของคมั ภรี ซ์ งึ่ ผแู้ ตง่ บอกวา่ ตนเปน็ ราชครขู องพญาลไิ ทนนั้ น่าจะเป็นการเสริมเข้ามาทีหลัง๕๕ ปรณวิตานะเห็นว่าหลังจากพระ สงั ฆราชเมธงั กรเถระเดนิ ทางมาถงึ สโุ ขทยั แลว้ คมั ภรี ผ์ ลงานของทา่ นนา่ จะมีการศึกษาอย่างกว้างขวาง ต่อมาผู้คัดลอกน่าจะสอดแทรกเนื้อหา เข้ามา ดังปรากฏเห็นในประโยคสุดท้ายว่าพระเถระเป็นราชครูของ กษตั รยิ ์สุโขทัย๕๖
212 ศรลี ังกาและอุษาคเนย์ พระสุวรรณจังโกฏเจดีย์หรือเจดีย์กู่กุด วัดจามเทวี อ�ำเภอเมืองล�ำพูน (คัดลอกภาพจาก www.pantip.com) อนสุ าวรีย์พระนางจามเทวี เทศบาลเมอื งล�ำพนู (คดั ลอกภาพจาก www.pantip.com)
ความสัมพนั ธ์ทางศาสนา 213 วัดมหาธาตุภายในอุทยานประวัติศาสตร์สโุ ขทยั (คดั ลอกภาพจาก www.pantip.com) พระปรางค์วัดศรีสวาย อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย (คัดลอกภาพจาก www.pantip. com)
214 ศรลี ังกาและอษุ าคเนย์ วัดชา้ งลอ้ ม อุทยานประวตั ิศาสตรศ์ รีสัชนาลยั (คัดลอกภาพจาก www.panitp.com) วดั เจดยี เ์ จด็ แถว อทุ ยานประวตั ศิ าสตรศ์ รสี ชั นาลยั (คดั ลอกภาพจาก www.pantip.com)
ความสมั พนั ธ์ทางศาสนา 215 เจดยี ว์ ดั พระธาตุ อทุ ยานประวตั ศิ าสตรก์ ำ� แพงเพชร (คดั ลอกภาพจาก www.pantip.com) เจดยี ว์ ดั พระแกว้ อทุ ยานประวตั ศิ าสตรก์ ำ� แพงเพชร (คดั ลอกภาพจาก www.pantip.com)
216 ศรลี ังกาและอุษาคเนย์ หลักฐานทั้งหมดเบ้ืองต้นชี้ให้เห็นว่าพระสังฆราชชาวสิงหล ผู้ได้ รบั อาราธนาจากพระยาลไิ ทแหง่ สโุ ขทยั คอื พระเมธงั กรเถระ ซง่ึ พำ� นกั พกั อาศัยเมืองเมาะตะมะ หากยืนยันเช่นนั้นต้องพบกับปัญหาอีกปมหน่ึง คมั ภรี ส์ าสนวงั สะระบวุ า่ พระเมธงั กรเถระเปน็ ชาวพมา่ เดนิ ทางไปศรลี งั กา แต่จารึกวัดป่ามะม่วงระบุว่าพระสังฆราชซึ่งกษัตริย์สุโขทัยนิมนต์มา สุโขทัยเป็นพระสงฆ์ชาวสิงหล เน้ือหาจากคัมภีร์โลกัปปทีปกสาร สอดคลอ้ งกบั จารกึ หลกั นี้ เหตใุ ดคมั ภรี ส์ าสนวงั สะจงึ ยนื ยนั วา่ พระเมธงั กร เถระเป็นชาวพม่า ปรณวิตานะเฉลยว่าครั้นคัมภีร์สาสนวังสะแต่งเสร็จ ในปีพุทธศักราช ๑๘๖๑ ข้อเท็จจริงเก่ียวกับพระเมธังกรเถระอาจจะ เปลย่ี นความสำ� คญั ไปยงั เมอื งทพี่ ระเถระแตง่ คมั ภรี ์ พระเถระอาจจะเปน็ ทรี่ จู้ กั วา่ เปน็ พระสงฆช์ าวพมา่ ผเู้ ดนิ ทางไปศรลี งั กา๕๗ คมั ภรี ส์ าสนวงั สะ นนั้ ยนื ยนั วา่ พระสงั ฆราชผเู้ ดนิ ทางมาสโุ ขทยั สมยั พระยาลไิ ท เปน็ พระเม ธังกรเถระผู้แต่งคัมภีร์โลกัปปทีปกสาร ซ่ึงต่อมาได้พ�ำนักอยู่ที่ประเทศ พมา่ แตค่ วามจริงคือทา่ นเป็นพระสงิ หลโดยกำ� เนิด มกี ารตง้ั ขอ้ สงั เกตวา่ พระอทุ มุ พรมหาสามเี ปน็ พระเมธงั กรเถระ ซงึ่ เป็นผ้แู ตง่ คัมภรี ์โลกปั ปทปี กสาระจริง แตค่ ัมภรี ์เล่มน้รี ะบเุ พยี งวา่ พระเม ธังกรเถระสังกัดคณะสงฆ์อรัญวาสีนิกายแห่งศรีลังกา ซึ่งสมัยนั้นมี ศูนย์กลางสองแห่งกล่าวคือปลาภัตคะละและทิมบุลาคะละ พระสงฆ์ผู้ พ�ำนักส�ำนักปลาภัตคะละมีนามตามอาจารย์วา่ ธรรมกติ ติ ส่วนพระสงฆ์ ผู้พ�ำนักส�ำนักทิมบุลาคะละมีนามตามอาจารย์ว่าเมธังกร๕๘ อุทุมพรคิรี เป็นภาษาบาลีบ่งถึงส�ำนักทิมบุลาคะละน้ันเอง หากพระเมธังกรผู้แต่ง คมั ภรี โ์ ลกปั ปทปี กสารและเปน็ ราชครขู องพระยาลไิ ทสงั กดั สำ� นกั อรญั วาสี แห่งทิมบุลาคะละจริง ท่านอาจจะเป็นท่ีรู้จักแพร่หลายในช่ือว่าอุทุมพร คิริมหาสามีตามช่ือส�ำนักแห่งตน พระสงฆ์รูปน้ีปรากฏในคัมภีร์ชินกาล
ความสัมพนั ธ์ทางศาสนา 217 มาลีปกรณ์และเชื่อว่าเป็นรูปเดียวกันกับผู้แต่งคัมภีร์โลกัปปทีปกสาร๕๙ สนั นษิ ฐานวา่ พระสมุ นเถระนา่ จะศกึ ษาภายใตพ้ ระสงฆผ์ มู้ นี ามเหมอื นกนั ซงึ่ ตอ่ มาไดร้ บั แตง่ ตง้ั เปน็ ราชครขู องพระยาลไิ ท พระเถระรปู นอี้ าจจะเปน็ พระสงฆช์ าวสงิ หล ซง่ึ เดนิ ทางออกจากอาณาจกั รรามญั เพอ่ื มาเผยแผ่ พทุ ธศาสนายงั สุโขทัยอีกทอดหนงึ่ หลักฐานทั้งหมดเบ้ืองต้นช้ีให้เห็นแล้วว่าสมัยนี้พระพุทธศาสนา นิกายเถรวาท ได้หยัง่ รากม่นั คงในอาณาจักรสุโขทัยจนอทิ ธิพลสงิ หลได้ เป็นที่รู้จักแพร่หลาย จากจารึกปรากฏเห็นว่าการพระศาสนาซ่ึงเร่ิมต้น สมยั พอ่ ขนุ ศรีอนิ ทราทติ ยไ์ ด้เจรญิ รุ่งเรอื งสงู สดุ สมัยพระยาลไิ ท๖๐ ส่วน คมั ภรี ไ์ ตรภมู กิ ถาซง่ึ วา่ ดว้ ยอภธิ รรมบง่ ชวี้ า่ มกี ารศกึ ษาวรรณกรรมภาษา บาลขี องศรีลังกาในสโุ ขทัย พระยาลไิ ทยผแู้ ต่งคมั ภีร์เลม่ น้ไี ด้ระบุรายช่อื วรรณกรรมอย่างละเอียด ดังความว่า ดว้ ยการนพิ นธค์ มั ภรี ์ไตรภมู ิกถา เล่มนีอ้ ย่างวจิ ติ รบรรจง ผปู้ ระพันธไ์ ดค้ ดั ลอกข้อมูลจากคัมภรี อ์ รรถกถา ทงั้ สี่ บางเลม่ คดั ลอกจากคมั ภรี อ์ รรถกถาและฎกี าแหง่ คมั ภรี อ์ ภธิ รรมาว ตาร บางแหง่ มาจากคมั ภรี อ์ ภธิ รรมาสงั คหะ บางแหง่ มาจากคมั ภรี ส์ ารตั ถปกาสินี บางแหง่ มาจากคัมภีร์มโนรถปูรณี บางแห่งมาจากคัมภรส์ โิ น รถปกาสนิ ี บางแหง่ มาจากคมั ภรี อ์ รรถกถาและคมั ภรี ฎ์ กี าพระวินยั บาง แหง่ มาจากคมั ภีรธ์ รรมบท บางแห่งมาจากคมั ภรี ์มหากถา บางแห่งมา จากคัมภีร์ชินาลังการะ บางแห่งมาจากคัมภีร์สารัตถทีปนี บางแห่งมา จากคัมภีร์พุทธวังสะ บางแห่งมาจากคัมภีร์สารัตถสังคหะ บางแห่งมา จากคัมภีร์มิลินทปัญหา .......... ผู้ประพันธ์ได้คัดลอกแต่ละส่วนของ วรรณกรรมเหล่าน้ัน แล้วผสมผสานเป็นคัมภีร์เรียกว่าไตรภูมิกถา”๖๑ เนอื้ หาสว่ นใหญข่ องคมั ภรี ไ์ ตรภมู กิ ถาอา้ งถงึ คมั ภรี พ์ ทุ ธศาสนาภาษาบาลี หลายเล่ม ซึ่งแต่งในประเทศศรีลังกาและเป็นท่ีรู้จักแพร่หลายของพระ
218 ศรีลงั กาและอษุ าคเนย์ สงฆล์ งั กา การอา้ งถงึ คมั ภรี เ์ หลา่ นนี้ า่ จะเกยี่ วขอ้ งระหวา่ งสองอาณาจกั ร กเ็ ป็นได้ จารกึ ของพระยาลไิ ทชใี้ หเ้ หน็ การตดิ ตอ่ สมั พนั ธท์ างศาสนาระหวา่ ง ศรลี งั กากบั สโุ ขทยั จารกึ หลกั หนง่ึ ระบปุ พี ทุ ธศกั ราช ๑๘๒๒/๑๙๐๐ และจารกึ วดั ศรชี มุ ระบวุ า่ มกี ารอญั เชญิ หนอ่ พระศรมี หาโพธจ์ิ ากศรลี งั กา มาปลูกที่วัดแห่งนี้๖๒ และจุดประสงค์ของการสร้างจารึกหลักนี้คือ เป็นการร�ำลึกถึงการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่นครศรีชุม ซ่ึง อญั เชญิ มาจากศรลี งั กา สว่ นจารกึ หลกั กอ่ นกลา่ วถงึ การนมิ นตพ์ ระมหา เถระมาสโุ ขทยั สว่ นจารกึ หลกั นอี้ า้ งวา่ มกี ารอญั เชญิ พระบรมสารรี กิ ธาตุ และหน่อพระศรีมหาโพธิ์มาสุโขทัย ก่อนจะนิมนต์พระเถระภายหลัง แต่เป็นการยากนักที่จะระบุว่าการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาจาก ศรีลังกาเกิดข้ึนสมัยพระยาลิไท หรือว่าสมัยพระราชบิดาของพระองค์ หลกั ฐานจากจารกึ ระบชุ ดั เจนวา่ พระธาตดุ งั กลา่ วเปน็ พระบรมสารรี กิ ธาตุ น�ำมาจากลังกาทีปะ สันนิษฐานว่าพระเถระผู้เดินทางไปศรีลังกาสมัย พระยาลไิ ท ไดอ้ ญั เชิญพระบรมสารรี ิกธาตมุ าดว้ ย และพระองค์อาจจะ ประดษิ ฐานไวท้ ว่ี ดั ศรชี มุ สว่ นจารกึ อกี แหง่ หนง่ึ ระบวุ า่ กษตั รยิ พ์ ระองคน์ ี้ ทรงศรัทธารอยพระพุทธบาทบนยอดเขาสุมนกูฏของศรีลังกาย่ิงนัก ทรงโปรดให้คดั ลอกแลว้ มาสร้างทเี่ มืองสโุ ขทยั และศรสี ชั นาลัย๖๓ จารึกหลักน้ีแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของพระพุทธศาสนาศรีลังกา กษตั รยิ ส์ โุ ขทยั ทรงรบั บทบาทของผพู้ ยากรณ์ และอธบิ ายวา่ พทุ ธศาสนา จะเสื่อมสูญหายไป สอดคล้องกับการพยากรณ์ในวรรณกรรมของ ศรลี งั กา๖๔ และเสรมิ อกี วา่ พระบรมสารรี กิ ธาตทุ งั้ หลายซงึ่ กระจดั กระจาย อยตู่ ามอาณาจกั รนอ้ ยใหญ่ จะสำ� แดงปาฏหิ ารยิ เ์ หาะมายงั รตั นมาลเี จดยี ์
ความสัมพนั ธ์ทางศาสนา 219 แห่งเมืองอนุราธปุระ สมัยพระพุทธศาสนาก�ำลังเข้าสู่ภาวะเสื่อมสูญ สดุ ทา้ ยพระบรมสารรี กิ ธาตเุ หลา่ นจ้ี ะรวมกนั ใตต้ น้ พระศรมี หาโพธอ์ิ นั เปน็ สถานที่ตรัสรู้ พร้อมส�ำแดงรูปแห่งพระพุทธเจ้าเหมือนสมัยยังทรงมี พระชนม์ชีพและเกิดเป็นเปลวไฟ ด้วยเหตุนั้นบุณยสถานศักด์ิสิทธ์ิใน ศรลี งั กา จงึ ได้รับการยอมรบั จากชาวไทยสมัยนนั้ ๖๕ หลกั ฐานเบ้ืองตน้ แสดงใหเ้ ห็นวา่ อิทธพิ ลสิงหล ไดห้ ยง่ั รากฝังลกึ อยา่ งมน่ั คงในอาณาจกั ร สโุ ขทยั และวฒั นธรรมทางศาสนาระหวา่ งสองอาณาจกั รกผ็ กู พนั ใกลช้ ดิ ความศรัทธาอันเรียบง่ายเห็นได้จากจารึกรุ่นก่อนและภายหลังมีการ เพมิ่ เตมิ เสรมิ แตง่ ทลี ะเลก็ ละนอ้ ย สนั นษิ ฐานวา่ การตดิ ตอ่ สมั พนั ธก์ บั พระ สงฆ์ทรงปราชญ์ชาวสิงหลนั้นเอง ท�ำให้ชาวสุโขทัยสนใจปรัชญาของ พุทธศาสนา ดังปรากฏเห็นในคัมภีร์ไตรภูมิกถาของพระยาลิไท ซ่ึงผู้ นิพนธ์อ้างว่าแตง่ เพือ่ อธิบายพระอภธิ รรมปิฎกแกพ่ ระราชมารดา๖๖ อทิ ธิพลลัทธิลงั กาวงศเ์ หนือล้านนา คริสเวริด์เห็นว่าพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทและอิทธิพลสิงหล มิได้แพร่หลายไปทางเหนือไกลเกินเมืองล�ำพูนจนกระท่ังเข้าสู่พุทธ ศตวรรษท่ี ๑๘ เหตเุ พราะมหี ลกั ฐานยนื ยนั วา่ ดนิ แดนเหนอื ลำ� พนู ขนึ้ ไป ตกอย่ภู ายใตอ้ ิทธิพลพุทธศาสนาแบบพกุ าม๖๗ แม้ดินแดนเหลา่ นัน้ จะมี ชาวไทยตั้งถ่ินฐานปะปนกับคนพื้นเมืองด้ังเดิม แต่ไม่สามารถยืนยันได้ ว่ามกี ารนับถอื ศาสนาใด๖๘ เพราะไมห่ ลงเหลอื จารกึ หรอื หลักฐานอน่ื ใด ครั้นพญามังรายสถาปนาอาณาจักรล้านนาโดยการรวมเมืองล�ำพูนและ ผู้ตั้งถิ่นฐานตอนเหนือ ประมาณพุทธศักราช ๑๘๓๙ กลายเป็นจุด เริ่มต้นประวัติศาสตร์พุทธศาสนาทางภาคเหนือตอนบนของไทย พญา มังรายและข้าราชบริพารได้เรียนรู้พระพุทธศาสนาท่ีเมืองล�ำพูนเป็น
220 ศรีลังกาและอษุ าคเนย์ แห่งแรก สำ� หรบั ผรู้ ักษาประเพณีอันประณตี งดงามดว้ ยศิลปะและอกั ษร คอื กลมุ่ พระสงฆ๖์ ๙ ผตู้ งั้ ถน่ิ ฐานบรเิ วณนน้ั พากนั ออกตอ้ นรบั กษตั รยิ เ์ ปน็ อย่างดี ปูชนียสถานและประติมากรรมจ�ำนวนมากสามารถบ่งช้ีถึง พฒั นาการของพระพทุ ธศาสนาบรเิ วณภาคเหนอื ตอนบนของไทยไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ล่างเข้าตอนกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ สมัยพญากือนา (พ.ศ. ๑๘๙๘-๑๙๒๘) แห่งอาณาจักรล้านนา พระพระพุทธศาสนาและ ศิลปะเชิงพุทธเกิดการตื่นตัวคร้ังใหญ่ จารึกของพระองค์และคัมภีร์ ชินกาลมาลีปกรณ์กล่าวถึงพระสงฆ์สุโขทัยรูปหน่ึง ซึ่งเดินทางมาเมือง เชยี งใหม่โดยการอาราธนาของพญากอื นา เหตเุ พราะพระองคท์ รงสดับ เรอื่ งราวของพระสงฆอ์ รญั วาสี ซงึ่ กำ� ลงั เผยแผพ่ ระศาสนาในอาณาจกั ร สุโขทัย จึงโปรดให้นิมนต์พระสงฆ์รูปหน่ึงนามว่าพระสุมนเถระมาเมือง เชียงใหม่๗๐ กล่าวกันว่าพระเถระรูปนี้เป็นรูปเดียวกันกับพระสุมนะใน คัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ เพราะท่านได้อุปสมบทท่ีพม่าภายใต้พระสงฆ์ ผู้สังกัดสิงหลนิกาย เบื้องต้นน้ันพระสุมนเถระแสดงความลังเลใจ แต่ สุดท้ายได้ตัดสินใจยอมรับค�ำนิมนต์ของพญากือนา การมาคร้ังน้ัน พระเถระอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาด้วย พญากือนาทรงเสด็จไป ตอ้ นรบั พระเถระทเ่ี มอื งลำ� พนู โดยโปรดใหจ้ ดั เตรยี มอารามแหง่ หนงึ่ เพอ่ื เป็นท่ีพ�ำนัก พระเถระกราบทูลกษัตริย์แห่งล้านนาให้สร้างพระพุทธรูป ทองสมั ฤทธขิ์ นาดใหญส่ ำ� หรบั สกั การบชู า นบั แตน่ น้ั มาพญากอื นาถวาย ความอุปถัมภ์ทุกสิ่งอย่างแก่พระสุมนเถระ เพ่ือสะดวกต่อการเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนาตลอดอาณาจกั รของพระองค์ คัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์เสริมความอีกว่าพญากือนามีพระราช ประสงค์ จะนมิ นตพ์ ระสงฆผ์ ฉู้ ลาดสามารถในสงั ฆกรรมตามพทุ ธบญั ญตั ิ
ความสมั พนั ธ์ทางศาสนา 221 จึงโปรดให้ส่งคณะราชทูตเดินทางไปรามัญเพ่ือนิมนต์พระอุทุมพรสามี เถระ คราวน้ันพระเถระรับค�ำอาราธนานิมนต์ของกษัตริย์ล้านนาแล้ว ไดส้ ง่ พระอานนทเ์ ถระผเู้ ปน็ ศษิ ยเ์ ดนิ ทางมาแทนตน ครนั้ เดนิ ทางถงึ เมอื ง เชยี งใหมแ่ ลว้ พระอานนทเ์ ถระไมป่ รารถนากระทำ� สงั ฆกรรม เพราะเหน็ ว่าอาจารย์แหง่ ตนยงั ไม่อนญุ าต ครนั้ แล้วจงึ แนะน�ำกษัตรยิ ล์ ้านนาใหไ้ ป นิมนต์พระสุมนเถระแห่งเมืองสุโขทัย เบื้องต้นพระสุมนเถระปฏิเสธ คณะราชทตู จึงไปนิมนตพ์ ระสัทธาตสิ สเถระแทน แต่พระอานนทเ์ ถระไม่ ตอ้ งการทำ� สงั ฆกรรมกบั พระสทั ธาตสิ สเถระ กษตั รยิ ล์ า้ นนาจงึ สง่ ราชทตู ไปสโุ ขทยั เพอ่ื นิมนต์พระสุมนเถระอีกครั้งหน่ึง สุดท้ายพระเถระเดินทาง มาเชียงใหม่พร้อมอญั เชญิ พระบรมสารรี ิกธาตมุ าด้วย๗๑ เนื้อหาหลักในคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์คล้ายกับศิลาจารึก แต่ ค�ำถามคือเหตุใดพระอานนท์เถระผู้เป็นศิษย์ของพระอุทุมพรมหาสามี จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ท�ำสังฆกรรมจากอาจารย์แห่งตน ประเด็นน้ีชวน สงสัยย่ิงนัก เน้ือหาระบุว่ากษัตริย์แห่งล้านนาได้ส่งราชทูตไปนิมนต์ พระอทุ มุ พรมหาสามเี ถระ เพอ่ื นมิ นตพ์ ระสงฆร์ ปู หนงึ่ ผฉู้ ลาดสามารถใน การทำ� สงั ฆกรรม พระมหาเถระจึงสง่ พระอานนทเ์ ถระมาตามคำ� ร้องขอ ของกษตั รยิ ์ล้านนา แล้วเหตใุ ดพระมหาเถระจึงส่งพระอานนท์มาโดยไม่ อนญุ าตใหท้ ำ� สงั ฆกรรม สนั นษิ ฐานวา่ พระสงฆช์ าวเชยี งใหมอ่ าจจะอา้ ง สทิ ธใิ นการทำ� สงั ฆกรรม เนอ่ื งจากกษตั รยิ ไ์ ดน้ มิ นตพ์ ระมหาเถระเปน็ การ เฉพาะ แตพ่ ระอานนท์เถระเดินทางมาแทน พระสงฆช์ าวเชยี งใหม่อาจ จะไม่พอใจจึงไม่ร่วมท�ำสังฆกรรม พระเจ้าแผ่นดินจึงโปรดให้ราชทูตไป นมิ นตพ์ ระสมุ นเถระซง่ึ พำ� นกั อยทู่ เ่ี มอื งสโุ ขทยั ในฐานะพระเถระรงั้ อนั ดบั สองรองจากอาจารยแ์ หง่ ตน และการทพ่ี ระสมุ นเถระไดแ้ สดงความลงั เล เมอ่ื ทราบขา่ ววา่ จะเดนิ ทางไปเมอื งเชยี งใหมน่ น้ั เหตเุ พราะพระสงฆอ์ รญั
222 ศรีลังกาและอุษาคเนย์ วาสีได้รับการอุปถัมภ์และยกย่องจากชาวสุโขทัยเป็นอย่างดี พระเถระ ย่อมจะพอใจพ�ำนักอยสู่ โุ ขทัยเป็นปกติวสิ ัย หรือพระสงฆล์ ูกศิษยอ์ าจไม่ ต้องการให้อาจารย์แหง่ ตนเดนิ ทางไปเชยี งใหม่กเ็ ปน็ ได้๗๒ การเดินทางมาเชียงใหม่ของพระสุมนเถระเกิดผลดีในระยะยาว เหตเุ พราะพระเถระไดร้ บั การอปุ สมบทจากคณะสงฆน์ กิ ายสงิ หล การมา เชยี งใหมถ่ อื วา่ เปน็ การสถาปนาพระพทุ ธศาสนานกิ ายสงิ หลเปน็ ครง้ั แรก ทางภาคเหนอื ตอนบนของไทย ภารกจิ ของพระเถระประสบความสำ� เร็จ อยา่ งยงิ่ ใหญ่ เหน็ ไดจ้ ากศลิ ปะกรรมเกยี่ วกบั พระพทุ ธรปู และศาสนสถาน ตลอดอาณาเขตลา้ นนาปรากฏมเี ปน็ จำ� นวนมาก พทุ ธศาสนาสงิ หลนกิ าย กลายเปน็ ทร่ี จู้ กั แพรห่ ลายและคณะสงฆน์ กิ ายอรญั วาสี ไดห้ ยงั่ รากมน่ั คง บนอาณาจักรล้านนา การท�ำสังฆกรรมของพระสุมนเถระเกิดผลส�ำเร็จ เมื่อพระสงฆ์เชียงใหม่เดินทางไปประกอบพิธีอุปสมบทท่ีศรีลังกา ครั้น กลับบ้านเกิดแล้วได้ฟื้นฟูพิธีอุปสมบทข้ึนใหม่กลายเป็นความส�ำเร็จ ระยะยาว ซง่ึ เหตุการณน์ ้นั เกดิ ข้ึนประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ อิทธิพลพุทธศาสนาแบบสิงหลบริเวณภาคเหนือตอนบนของไทย เห็นได้จากเรื่องราวของพระพุทธปฏิมาสิงหล ซึ่งพรรณนาไว้ในคัมภีร์ สหิ งิ คนิทานและคมั ภรี ์ชนิ กาลมาลีปกรณ์ ความว่าพระพทุ ธรปู องคน์ ีช้ ื่อ ว่าพุทธสหิ ิงค์ได้อัญเชิญมาจากศรลี งั กาเพอื่ ถวายแดก่ ษตั รยิ แ์ ห่งสโุ ขทยั และไดร้ บั ความเคารพสงู สดุ จากกษตั รยิ แ์ ละชาวสโุ ขทยั ทง้ั มวล จนตอ่ มา ช่ือเสยี งแพรห่ ลายไปไกลตลอดอาณาจักรน้อยใหญ่ เปน็ เหตใุ หเ้ จา้ เมอื ง หลายแหง่ ประสงคจ์ ะครอบครองจึงยกทพั เข้ามาแยง่ ชิง ตอ่ มาพระพุทธ สิหิงค์ได้รับการคุ้มครองรักษาโดยพระเจ้าบรมราชาแห่งอยุธยา เร่ิมต้น จากพระองค์ได้ยกทัพบุกรุกสุโขทัย เพื่ออัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไป
ความสมั พันธ์ทางศาสนา 223 ประดษิ ฐานทอ่ี ยธุ ยา แตพ่ ระมารดาของเจา้ เมอื งกำ� แพงเพชรวางเพทบุ าย มอบถวายแดพ่ ระโอรสของพระนางเอง เจา้ ชายแห่งเชียงใหม่ครั้นทราบ ปาฏิหาริย์ของพระพุทธสิหิงค์จากพระสงฆ์รูปหนึ่ง จึงโปรดให้ท�ำการ อารักขาและอญั เชิญมามอบถวายแด่พระอนุชาพระนามวา่ กอื นา ผเู้ ป็น กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา ต่อมามีการอัญเชิญไปเชียงรายแล้ว หล่อองค์จ�ำลองข้ึน และสุดท้ายมีการค้นพบพระพุทธสิหิงค์องค์จริงที่ อารามแห่งหน่งึ กลางเมืองเชียงใหม๗่ ๓ เร่ืองราวของพระพุทธสิหิงค์มีการแต่งข้ึนภายหลังอัญเชิญมาถึง ไทยหลายศตวรรษ แตเ่ นอื่ งจากการแพรห่ ลายของคตคิ วามเชอื่ จงึ นา่ จะ มีการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น จนกระทั่งมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ด้วยเหตุนั้นจึงเกิดมีความสับสนเน่ืองจากมีการเพิ่มและตัดทอนเน้ือหา จึงยากที่จะตอบว่าเร่ืองราวแท้จริงมีรักษาสืบต่อมากน้อยเพียงไร๗๔ รายละเอียดอาจถูกลืมส้ิน เหตุเพราะระยะเวลาเนิ่นนานนับจากเริ่มต้น จนถึงสมัยผู้แต่ง หรือว่าอาจจะไม่มีการบันทึกไว้เลย รายช่ือของ อาณาจักรน้อยใหญ่ซ่ึงปรากฏในคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์และคัมภีร์ สิหิงคนิทานน้ันมีรายละเอียดเพียงเล็กน้อย กริสเวริด์เห็นว่าการสร้าง องค์จ�ำลองและอีกสามองค์ขึ้นใหม่ก็เพื่อป้องกันองค์จริงตกเป็นของ ผอู้ ื่น๗๕ สนั นษิ ฐานว่าพระพุทธสหิ ิงค์ที่เจา้ เมืองหลายแหง่ รกั ษาบชู าน้ัน อาจจะมิใช่องค์จริงเป็นเพียงองค์จ�ำลองเท่าน้ัน เพราะหลักฐานระบุถึง การจ�ำลองอย่างน้อยหนึ่งคร้ัง และเร่ืองราวการจ�ำลองพระพุทธสิหิงค์ อาจจะเป็นการร้อยเรียงข้ึนมาใหม่ เพราะคัมภีร์เองก็ไม่สามารถอ้างว่า พระพุทธสิหิงค์องค์ไหนจริงองค์ไหนจ�ำลอง๗๖ กล่าวโดยสรุปการ พรรณนาเรอ่ื งราวพระพทุ ธสหิ งิ คเ์ พยี งองคเ์ ดยี ว สามารถอา้ งถงึ อกี หลาย องคท์ ง้ั องคจ์ รงิ และองคจ์ ำ� ลอง และความสำ� คญั ของพระพทุ ธสหิ งิ คเ์ ปน็
224 ศรลี ังกาและอษุ าคเนย์ นัยบอกให้รู้ถึงอิทธิพลสิงหลต่อเมืองน้อยใหญ่ของไทย สังเกตได้จากมี กษัตริย์น้อยใหญ่หันมานับถือพระพุทธศาสนา พร้อมอัญเชิญพระบรม สารีริกธาตุไปประดิษฐานยังเมืองแห่งตน ถือได้ว่าพระพุทธศาสนาแบบ สงิ หลไดห้ ย่ังรากฝงั ลึกบนอาณาจกั รน้อยใหญเ่ รียบร้อยแล้ว กล่าวเฉพาะอาณาจักรสุโขทัย แม้พระพุทธศาสนาจะแพร่หลาย ไปไกลแตอ่ าณาเขตกม็ จี ำ� กดั ครนั้ พระยาลไิ ทสวรรคตสน้ิ แลว้ อาณาจกั ร อยุธยาได้แผ่แสนยานุภาพเข้าครอบครองสุโขทัยจนกลายเป็นเมืองขึ้น แต่ความสัมพันธ์ทางศาสนากับศรีลังกายังด�ำเนินต่อเน่ืองอย่างมั่นคง และพระสงฆ์ยังคงสืบต่อประเพณีด้วยการเดินทางไปศรีลังกา เพ่ือดับ กระหายความอยากรู้เก่ียวกับความเป็นลังกา คร้ันกลับมาตุภูมิแล้วได้ ช่วยกนั เผยแผพ่ ระศาสนาและการศึกษา ตอนท้ายของคัมภีร์สัทธรรมสังคหะระบุว่าผู้แต่งเป็นศิษย์ของพระ สงฆ์ศรีลังกา เน้ือหาของคัมภีร์เล่มนี้ระบุว่าขณะอาศัยอยู่ที่ศรีลังกา ท่านได้ศึกษาเรียนรู้กับพระเถระนักปราชญ์นามว่าธรรมกิตติ ผู้มีนาม อโุ ฆษเพราะทรงปราชญค์ มั ภรี พ์ ระไตรปฎิ กและคมั ภรี ไ์ วยากรณ์ หลงั จาก เขา้ พธิ อี ปุ สมบทแลว้ ไดเ้ ดนิ ทางกลบั อยธุ ยาและเขา้ พำ� นกั อารามใหญน่ าม วา่ ลงั การาม ซง่ึ สรา้ งโดยพระเจา้ บรมราชา (สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าช- ผเู้ ชยี น) ขณะพำ� นกั อยอู่ ารามแหง่ นพ้ี ระเถระไดแ้ ตง่ คมั ภรี น์ ามวา่ สทั ธรรม สังคหะ๗๗ ตอนทา้ ยของคมั ภรี เ์ ลม่ น้ไี ด้อ้างถงึ พระเถระนามวา่ ธรรมกติ ติ ๒ รปู ผแู้ ตง่ คมั ภรี ก์ ม็ นี ามวา่ ธรรมกติ ตแิ ละอาจารยก์ ม็ นี ามวา่ ธรรมกติ ติ เช่นกนั การจะยนื ยันอาจารย์ของผ้แู ตง่ คมั ภีร์สัทธรรมสังคหะไมใ่ ชเ่ ร่ือง ง่าย เพราะสมยั พทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ พระเถระนามวา่ ธรรมกติ ตมิ ีหลาย รูป สันนิษฐานว่าอาจารย์ของผู้แต่งเป็นพระธรรมกิตติเถระรูปหน่ึง ซง่ึ ร้ังต�ำแหนง่ พระสังฆราช๗๘
ความสัมพันธ์ทางศาสนา 225 สมยั พระเจา้ ภวู เนกพาหทุ ี่ ๔ ทรงขน้ึ ครองราชยเ์ หนอื คงั คาสริ ปิ รุ ะ หรือคมั โปละ ตรงกับปีพุทธศักราช (พ.ศ.๑๘๘๔) สมัยนนั้ พระเถระรูป หนงึ่ ซง่ึ รงั้ ตำ� แหนง่ พระสงั ฆราชมนี ามวา่ ธรรมกติ ติ พระสงั ฆราชพระองค์ น้ีมีศิษย์รูปหนึ่ง ซึ่งใช้นามเดียวกันและช้ึนรั้งต�ำแหน่งพระสังฆราชสมัย พระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๕ (พ.ศ.๑๙๐๒-๑๙๑๗) พระธรรมกิตติ สังฆราชเถระรูปหลังนี้เป็นผู้นิพนธ์คัมภีร์นิกายสังครหยะ คัมภีร์พาลาว ตารสนั เน และคมั ภีร์สทั ธรรมาลังการะ การสบื สายธรรมกิตติวงศส์ มัย อาณาจกั รคัมโปละเปน็ ทรี่ จู้ กั กนั แพรห่ ลาย พระธรรมกิตตสิ งั ฆราชเถระ ซ่ึงปรากฏเห็นในคมั ภรี ์สทั ธรรมสงั คหะ น่าจะเป็นพระธรรมกิตติเถระรูป ใดรปู หนงึ่ เปน็ แน่ ตอนทา้ ยของคมั ภรี ส์ ทั ธรรมสงั คหะระบวา่ ผแู้ ตง่ ไดเ้ ดนิ ทางกลับเมืองอยุธยา มาลาลาเสเกราเห็นว่าอโยธยาหมายถึงเมืองใน อนิ เดีย๗๙ แตเ่ ซเดสย์ ืนยนั วา่ อโยธยาอย่ปู ระเทศไทย๘๐ เพราะสมยั พทุ ธ ศตวรรษที่ ๑๙ เมอื งอโยธยาในอนิ เดยี ไมเ่ ปน็ ทร่ี จู้ กั แพรห่ ลาย และสมยั นนั้ ไมม่ คี วามสำ� คญั ในฐานะศนู ยก์ ลางพทุ ธศาสนา สนั นษิ ฐานวา่ พระเจา้ บรมราชาผู้สร้างลังการามถวายพระธรรมกิตติเถระนั้น อาจจะเป็น กษัตริย์พระองค์หนึ่งแห่งอาณาจักรอยุธยาของไทย กล่าวตาม หลักฐานกษัตริย์แห่งอาณาจักรอยุธยาใช้พระนามว่าบรมราชามี ๒ พระองค์ พระองคห์ นงึ่ นน้ั ทรงครองราชยพ์ ทุ ธศกั ราช ๑๙๑๓-๑๙๓๑ (สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชที่ ๑-ผเู้ ขยี น) อกี พระองคห์ นง่ึ ทรงครองราชย์ พุทธศักราช ๑๙๖๗-๑๙๙๑ (สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒- ผเู้ ขยี น) พระธรรมกติ ตเิ ถระผรู้ ง้ั ตำ� แหนง่ พระสงั ฆราชสมยั พระเจา้ ภวู เนก พาหุท่ี ๔ แห่งอาณาจักรคัมโปละน้ัน มีชีวิตก่อนพระเจ้าบรมราชา พระองคแ์ รก พระธรรมกติ ตเิ ถระผเู้ ปน็ ครขู องผแู้ ตง่ คมั ภรี ส์ ทั ธรรมสงั คหะ อาจจะรงั้ ตำ� แหนง่ พระสงั ฆราชของศรลี งั กาสมยั พระเจา้ ภวู เนกพาหทุ ่ี ๕
226 ศรลี ังกาและอุษาคเนย์ แหง่ อาณาจกั รคมั โปละ เหตเุ พราะพระเจา้ บรมราชาแหง่ อยธุ ยาพระองค์ แรก เป็นกษัตริย์ร่วมสมัยกับพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๕ แห่งอาณาจักร คมั โปละ จงึ สรปุ ไดว้ า่ พระเถระผแู้ ตง่ คมั ภรี ส์ ทั ธรรมสงั คหะ เปน็ ศษิ ยข์ อง พระธรรมกิตตสิ งั ฆราชรูปทสี่ อง๘๑ หลกั ฐานเบอ้ื งตน้ ยนื ยนั วา่ พระธรรม กิตติเถระได้รับการอุปสมบทจากศรีลังกา สันนิษฐานว่าตอนท้ายพุทธ ศตวรรษท่ี ๑๙ พระสงฆ์ไทยยังเห็นว่าศรีลังกาเป็นศูนย์กลางของ พุทธศาสนานิกายเถรวาท และนามว่าลังการามน่าจะต้ังเพ่ือยกย่อง อารามของชาวศรีลังกา ในฐานะอยุธยาเป็นศูนย์กลางคณะสงฆ์สิงหล อกี ทงั้ สถาบนั กษตั รยิ ต์ า่ งใหก้ ารสนบั สนนุ สงเคราะหค์ ณะสงฆส์ งิ หลนกิ าย เป็นอยา่ งดี ประเพณีการอุปสมบทของสิงหลนิกายเข้าสู่ไทยต้ังแต่พุทธ ศตวรรษที่ ๒๐ โดยคณะสงฆ์ไทยกลุ่มหน่ึงซ่ึงเดินทางไปบวชแปลงที่ เกาะลังกา คมั ภรี ช์ นิ กาลมาลีปกรณ์และคัมภรี ์สาสนวังสะตา่ งพรรณนา รายละเอียดเกี่ยวกับพระสงฆ์กลุ่มน้ีอย่างชัดเจน ซ่ึงสนับสนุนหลักฐาน จากศิลาจารึกอีกทางหน่ึง คัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ระบุว่าพุทธศักราช ๑๙๖๗ พระเถระชาวเชียงใหม่ ๒๕ รูป และพระเถระจากกัมพูชา ๘ รูป ชักชวนกันเดินทางไปศรีลังกา เพื่อบวชแปลงและศึกษาคัมภีร์ พระพทุ ธศาสนา คราวนน้ั ไดศ้ กึ ษาพระธรรมวนิ ยั กบั พระวนรตั นมหาเถระ โดยเฉพาะศึกษาคัมภีร์พระพุทธศาสนาอันเป็นที่นิยมในศรีลังกา และ เรียนรู้วิธีการตรวจทานการสวดมนต์และสาธยายคัมภีร์อย่างถูกต้อง พร้อมกันน้ันเพราะต้องการเป็นสมาชิกของคณะสงฆ์สิงหลนิกาย จึง ขอร้องการอุปสมบทจากพระเถระชาวสิงหล เหตุการณ์นั้นตรงกับ พทุ ธศกั ราช ๑๙๖๘ กษตั รยิ ศ์ รลี งั กาโปรดใหป้ ระกอบพธิ อี ปุ สมบทบน แพกลางแม่น้�ำกัลยาณี คราวนั้นมีพระสงฆ์ไทย ๒๕ รูป พระสงฆ์
ความสมั พันธ์ทางศาสนา 227 กัมพูชา ๘ รูป และพระพม่าอีก ๖ รูป พระสงฆ์ศรีลังกาเข้าร่วม สังฆกรรม ๒๐ รูป ส่วนผู้ท�ำหน้าที่เป็นพระกรรมวาจารย์คือพระวน รัตนมหาเถระ หลังจากน้ัน พระสงฆ์แห่งอุษาคเนย์ได้พากันเดินทาง จาริกบุณยสถานศักด์ิสิทธ์ิหลายแห่งท่ัวเกาะลังกา รวมทั้งเข้าสักการะ รอยพระพทุ ธบาทบนยอดเขาสมุ นกฏู และพระเขยี้ วแกว้ ภายในพระราชวงั ดว้ ย ตอ่ มาพากนั เดนิ ทางกลบั มาตภุ มู พิ รอ้ มอญั เชญิ พระบรมสารรี กิ ธาตุ มาดว้ ย คราวนัน้ ได้ชกั ชวนพระเถระชาวศรีลงั กานามว่าวิกรมพาหเุ ถระ และอุตตมปัญญาเถระเดินทางมาด้วย รูปแรกด�ำรงเพศสมณะได้ เบญจทสมพรรษาส่วนรูปหลังได้ทสมพรรษา เหตุเพราะต้องการให้ท�ำ หนา้ ทเ่ี ปน็ พระอปุ ชั ฌายแ์ ละกรรมวาจาจารยค์ ราวประกอบพธิ อี ปุ สมบทกรรม ตำ� นานอา้ งวา่ ขณะเดนิ ทางกลบั นน้ั พระสงฆก์ ลมุ่ นไี้ ดพ้ บพระภกิ ษุ สองรูป ซึ่งได้รับการอุปสมบทกลางมหาสมุทรแต่หลักฐานหาได้ชัดเจน ไม่ สันนิษฐานว่าขณะเดินทางไปศรีลังกานั้น พระสงฆ์กลุ่มน้ีได้พบ พระสงฆส์ องรปู ซง่ึ ผา่ นการอุปสมบทหลายครั้ง ครน้ั เดนิ ทางถงึ ไทยแล้ว พระสงฆ์กลุ่มนี้ได้ประกอบพิธีอุปสมบทคร้ังแรกที่อยุธยา พระมหาเถระ สลี วสิ ทุ ธผิ ้เู ปน็ ราชครขู องพระมเหสีของสมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชที่ ๒ (พ.ศ.๑๙๖๗-๑๙๙๑) แห่งอาณาจกั รอยุธยา และพระเถระนามว่า สัทธัมมโกวิทะได้เข้าพิธีอุปสมบท จากน้ันได้เดินทางไปประกอบพิธี อุปสมบทอีกหลายหัวเมือง จนมีพระสงฆ์หลายพันรูปเข้าสังกัดเป็น สมาชิกกลุ่มตน ประมาณพุทธศักราช ๑๙๗๔ พระสงฆ์อีกกลุ่มหนง่ึ โดยการนำ� ของพระมหาธมั มคมั ภรี เถระและพระมหาเมธงั กรเถระ ไดเ้ ดนิ ทางมาเชียงใหม่แล้วตกลงกันท�ำสังฆกรรมที่รัตตวนหาวิหาร ซึ่งต่อมา กลายเป็นศูนย์กลางของคณะสงฆ์กลุ่มน้ี นอกจากนั้น มีการสาธยาย พระวนิ ยั หลายแหง่ ทางภาคเหนอื ตอนบนของไทย นบั แตน่ น้ั มาคณะสงฆ์
228 ศรีลังกาและอุษาคเนย์ นิกายสิงหลกลายเป็นท่ีรู้จักแพร่หลาย๘๒ คัมภีร์สาสนวังสะบันทึกการ ประกอบพิธีอุปสมบทในไทย เฉพาะตอนว่าด้วยประวัติศาสตร์พระพุทธ ศาสนาในโยนกรฏั ฐะและมหารฏั ฐะ๘๓ ผแู้ ตง่ ตำ� นานระบวุ า่ พระมหาธมั ม คมั ภีรเถระและพระมหาเมธงั กรเถระได้เดนิ ทางไปศรีลงั กา ครั้นเดินทาง กลับไทยได้ก่อตั้งสิงหลนิกายในเมืองโยนกและสยาม๘๔ สันนิษฐานว่า พระเถระสองรูปซึ่งเป็นหัวหน้าน�ำพระสงฆ์เดินทางไปเกาะลังกา น่าจะ สอดคล้องกบั คมั ภีรช์ ินกาลมาลีปกรณ์และคัมภีร์สาสนวงั สะ หลกั ฐานอกี แหง่ หนง่ึ ระบวุ า่ มพี ระสงฆไ์ ทยกมั พชู าและพมา่ ไดเ้ ดนิ ทางไปศรลี งั กาสมยั พระเจา้ ปรากรมพาหทุ ี่ ๖ (พ.ศ.๑๙๕๔-๒๐๐๙) แหง่ อาณาจกั รโกฏเฏ สมยั นมี้ พี ระสงฆท์ รงปราชญช์ นั้ พระมหาเถระเปน็ จ�ำนวนมาก ล้วนได้รับการกยกย่องว่าเช่ียวชาญแตกฉานในคัมภีร์ พระพทุ ธศาสนา๘๕ พระมหาเถระวนรตั นะซงึ่ อา้ งถงึ ในคมั ภรี ช์ นิ กาลมาลี ปกรณ์รั้งต�ำแหน่งพระสังฆราช และเป็นสมภารเจ้าอาวาสแห่งแกรคละ ปิริเวณะ พระสังฆราชพระองค์นี้นิพนธ์คัมภีร์ภาษาสิงหลช่ือว่าหังสสัน เดศยะ๘๖ จารึกสมยั พระมหาธรรมราชาที่ ๔ (พ.ศ.๑๙๖๒-๑๙๘๑) สนบั สนุนตำ� นานเล่มน้ี จารกึ หลักนสี้ ร้างขน้ึ ในปีพุทธศกั ราช ๑๙๖๙ เนอื้ หาระบวุ า่ รอยพระพทุ ธบาทสองแหง่ ซง่ึ สลกั ดว้ ยหนิ กอ้ นเดยี วภายใน เมืองสโุ ขทยั สรา้ งตามค�ำร้องขอของพระมหาเถระเมธังกร จารึกหลกั น้ี อธิบายเสริมอีกว่าลักษณะและรูปทรงของรอยพระพุทธบาทท้ังสอง คลา้ ยกับรอยพระพทุ ธบาทบนยอดเขาสมุ นกูฏ๘๗ พระมหาเมธังกรเถระ ซึ่งอ้างถึงในจารึกหลักน้ี ต้องเป็นพระเถระผู้เป็นหัวหน้าเดินทางไป ศรลี งั การปู ใดรปู หนง่ึ เปน็ แน่ คมั ภรี ช์ นิ กาลมาลปี กรณร์ ะบอุ กี วา่ พระสงฆ์ เหล่าน้ี พ�ำนักอยูศ่ รลี งั กาหกพรรษานบั แต่อุปสมบท จากนั้นพากนั เดิน ทางกลบั สโุ ขทัย ตรงกับปพี ุทธศกั ราช ๑๙๗๒๘๘ จารกึ หลักน้ีระบุว่า
ความสมั พันธ์ทางศาสนา 229 สร้างขึ้นสองปีภายหลังพระสงฆ์กลุ่มนี้เดินทางกลับสุโขทัยแล้ว ความ เป็นไปได้คือพระมหาเมธังกรเถระรูปน้ี ต้องเดินทางถึงสุโขทัยก่อน หลงั จากนั้นจึงชกั ชวนกันจ�ำพรรษาท่เี มืองสโุ ขทยั ๖ พรรษา๘๙ สมยั เดนิ ทางไปเผยแผพ่ ระศาสนาตลอดเดนิ แดนตอนเหนอื ของไทย พระสงฆก์ ลมุ่ นไี้ ดบ้ วชกลุ บตุ รเขา้ เปน็ สมาชกิ คณะสงฆส์ งิ หลเปน็ จำ� นวน มาก กษัตริย์ไทยทางตอนเหนือได้ถวายความอุปถัมภ์เป็นอย่างดี เหตุการณ์ส�ำคัญของพระสงฆ์แห่งสิงหลนิกายเกิดข้ึนในปีพุทธศักราช ๑๙๙๘ เมอ่ื พญาตโิ ลกราช (พ.ศ.๑๙๘๔-๒๐๓๐) แหง่ อาณาจกั ร ล้านนาโปรดให้ปลูกหน่อพระศรีมหาโพธ์ิบริเวณอารามกลางเมือง เชยี งใหม่ ซง่ึ หนอ่ โพธต์ิ น้ นไ้ี ดอ้ ญั เชญิ มาจากตน้ พระศรมี หาโพธแ์ิ หง่ เมอื ง อนรุ าธปรุ ะ โดยพระสงฆผ์ ้เู ดนิ ทางกลบั มาจากศรีลงั กา อารามแหง่ นไ้ี ด้ รับการขนานนามวา่ มหาโพธาราม๙๐ พุทธศกั ราช ๒๐๒๑ พระมหา ธัมมคัมภีรเถระได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาจากศรีลังกา พญาติ โลกราชจึงโปรดให้ประดิษฐานภายในวิหารนามว่าราชกูฏแห่งเมือง เชียงใหม๙่ ๑ กลา่ วโดยสรปุ อทิ ธพิ ลพทุ ธศาสนาสงิ หล ไดห้ ยงั่ รากฝงั ลกึ บนแผน่ ดนิ ไทยตงั้ แตส่ มยั ทวารวดี สนั นษิ ฐานวา่ สมยั นน้ั คนไทยไดเ้ คลอ่ื นยา้ ยมา อยู่บริเวณปัจจุบันนี้แล้ว อิทธิพลพระพุทธศาสนาสิงหลได้เข้าถึงไทย เรียบร้อยแล้วสามทาง กล่าวคือพม่านครศรีธรรมราชและทวารวดี แต่คร้ันเข้าสู่พุทธศตวรรษท่ี ๑๘ เป็นต้นมา อาณาจักรไทยน้อยใหญ่ ต่างติดต่อสัมพันธ์ทางศาสนากับศรีลังกาโดยตรง เหตุเพราะพระสงฆ์ ท้ังสองแผ่นดินได้ศึกษาวัตรปฏิบัติและประเพณีอุปสมบท โดยพระสงฆ์ ไทยสมยั พุทธศตวรรษที่ ๒๐
230 ศรีลงั กาและอษุ าคเนย์ อิทธิพลลัทธิลังกาวงศ์เหนือกมั พูชา ส่วนสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่างศรีลังกากับกัมพูชามีหลักฐาน กล่าวถึงน้อยมาก แม้จะปรากฏเห็นความแพร่หลายของพุทธศาสนา เถรวาทตลอดดินแดนเขมรสมัยพุธศตวรรษที่ ๑๘ เป็นต้นมา แต่ หลักฐานเหล่าน้ันหาได้ตอบค�ำถามว่าพุทธศาสนาเข้าสู่กัมพูชาอย่างไร เพราะกษัตริย์กัมพูชาล้วนถวายความอุปถัมภ์ลัทธิฮินดูและศาสนา มหายาน ค�ำถามว่าพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเข้าสู่กัมพูชาอย่างไร หรือว่าใครเป็นผนู้ ำ� มาเผยแผย่ ังอาณาจกั รกัมพูชา เห็นสมควรใหม้ ีการ ศึกษาอย่างลึกซึ้งต่อไป ความสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่างศรีลังกากับ กมั พชู าปรากฏเหน็ ครง้ั แรก สมยั พระเจา้ ปรากรมพาหมุ หาราชแหง่ อาณา จักรโปโฬนนารุวะ หลักฐานระบุว่าสมัยพระฉปฏเถระเดินทางกลับพม่า นน้ั พระสหธรรมกิ รปู หนงึ่ ซงึ่ เดนิ ทางมาพรอ้ มกนั มนี ามวา่ ตามลนิ ทเถระ เช่อื ว่าพระเถระรปู นเ้ี ป็นพระราชโอรสของกษตั รยิ ์กมั พชู า๙๒ เซเดส์เห็น วา่ พระเถระรปู นเี้ ปน็ พระโอรสของพระเจา้ ชยวรมนั ท่ี ๗ (พ.ศ.๑๗๒๔- ๑๗๖๑)๙๓ หลกั ฐานระบุวา่ ประมาณพทุ ธศักราช ๑๗๒๔ พระฉปฏเถระได้ กอ่ ตง้ั คณะสงฆส์ งิ หลขน้ึ ในพมา่ หากพระตามลนิ ทเถระเปน็ พระราชโอรส ของพระเจ้าชัยวรมันท่ี ๗ พระเถระจะต้องเดินทางมาศรีลังกาก่อน พระราชบดิ าจะขน้ึ เสวยราชยเ์ หนอื อาณาจกั รกมั พชู า หลกั ฐานฝา่ ยพมา่ ไม่ระบุชัดเจนว่าพระตามลินทเถระเดินทางไปศรีลังกากับพระฉปฏเถระ หรอื ไม่ หรอื วา่ พระเถระและพระสหธรรมกิ พำ� นกั อยศู่ รลี งั กากอ่ นการเดนิ ทางมาของพระฉปฏเถระ เซเดสบ์ อกวา่ พระเจา้ ชยั วรมนั ที่ ๗ ทรงนบั ถอื พุทธศาสนามหายาน๙๔ ส่วนพระโอรสของพระองค์ศรัทธาพระพุทธ
ความสัมพนั ธ์ทางศาสนา 231 ศาสนานิกายเถรวาทน้ันไม่แน่ชัด แต่กษัตริย์แห่งกัมพูชาทรงสนับสนุน พทุ ธศาสนามหายานเปน็ อยา่ งดยี งิ่ จนกระทง่ั สมยั พระราชโอรสพระนาม ว่าพระเจา้ อนิ ทวรมันท่ี ๒ (พ.ศ.๑๗๖๒-๑๗๘๖)๙๕ อีกดา้ นหนง่ึ ช้ี วา่ อาณาจกั รทวารวดรี จู้ กั พทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทแลว้ ซง่ึ บางสว่ นของ อาณาจกั รแหง่ นอี้ ยภู่ ายใตอ้ ำ� นาจของเขมร นบั จากพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ เปน็ ตน้ มา พมา่ กลายเปน็ ศนู ยก์ ลางพระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทอยา่ ง เขม้ แขง็ หลกั ฐานระบวุ า่ มกี ารตดิ ตอ่ ระหวา่ งพมา่ และและกมั พชู าโดยตรง เนื่องจากมีการแต่งตั้งพราหมณ์ผู้เป็นนักปราชญ์ชาวพม่า ให้ด�ำรง ต�ำแหนง่ ปุโรหติ ของพระเจ้าชยั วรมันท่ี ๘๙๖ สันนษิ ฐานว่าทง้ั พระสงฆ์ และชาวพทุ ธจากอาณาจักรพุกามอาจจะเดินทางไปกัมพูชาสมัยน้ี และ พระตามลินทเถระะอาจะเรียนรู้ความเป็นศรีลังกาในฐานะศูนย์กลาง ส�ำคัญของพระพุทธศาสนาจากพระสงฆ์ชาวพม่าเหล่าน้ัน อีกด้านหนึ่ง มีการติดต่อสัมพันธ์ทางการเมืองระห่างศรีลังกากับกัมพูชาสมัยพระเจ้า ปรากรมพาหุมหาราช สันนิษฐานว่าความสัมพันธ์ลักษณะน้ีอาจจะเกิด ขึ้นสบื เนอ่ื งเร่อื ยมา จนเปน็ เหตใุ ห้เจ้าชายกัมพูชาสนใจพระพทุ ธศาสนา แบบสิงหล แล้วตัดสินใจเดินทางไปศึกษาคัมภีร์ส�ำคัญทางพระพุทธ ศาสนาทีด่ ินแดนลงั กาทวีป แต่การเดินทางกลับมาตุภูมิของพระตามลินทเถระมิได้เกิดผลต่อ กมั พชู าแตอ่ ยา่ งไร หลกั ฐานพมา่ ระบวุ า่ พระเถระรปู นไี้ มเ่ คยเดนิ ทางกลบั มาตุภูมิเลย ท่านท�ำหน้าที่เผยแผ่พระศาสนาในอาณาจักรพุกามจน มรณภาพ๙๗ หากพระเถระเดนิ ทางกลบั บา้ นเกดิ กมั พชู าจรงิ นา่ จะไดร้ บั การสนับสนุนจากพระราชบิดา ประมาณพุทธศักราช ๑๙๖๙ มี พระสงฆ์กัมพูชาเข้าพิธีอุปสมบทกรรม ๘ รูป แต่หลักฐานระบุว่านับ จากพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ เป็นต้นมา พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทได้
232 ศรลี งั กาและอุษาคเนย์ รับการอุปถัมภ์ด้วยดีกษัตริย์กัมพูชา แม้ก่อนหน้าน้ันกษัตริย์กัมพูชาจะ นับถือลัทธิฮินดูและมหายานก็จริง แต่ได้หันมานับถือเถรวาทแล้ว สนบั สนุนการเผยแผจ่ นแพร่หลาย พระพุทธศาสนาเถรวาทต้องเป็นที่รู้จักแพร่หลายในรัชสมัยของ พระเจ้าชัยวรมันท่ี ๘ (พ.ศ.๑๗๘๖-๑๘๓๙) เพราะทูตจีนนามว่า จูต้ากวนได้เดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรีกับกษัตริย์กัมพูชาประมาณ พุทธศักราช ๑๘๓๙ หลังจากพระองค์ข้ึนครงอราชย์แล้วไม่นาน บันทึกของทูตจีนท่านนี้ยืนยันว่าพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทได้ตั้งมั่น ดีแล้ว จูต้ากวนและทูตท่านอ่ืนได้พ�ำนักอยู่กัมพูชาเกือบหน่ึงปีเพ่ือท�ำ หน้าที่ทูต คร้ันเดินทางกลับจีนแล้วได้บันทึกเหตุการณ์ในอาณาจักร กัมพชู าตามประสบการณ์ทต่ี นพบเห็น๙๘ เฉพาะเรอื่ งราวของพิธปี ฏิบัติ ทางศาสนาของชาวเขมรนนั้ จตู า้ กวนกลา่ วถงึ ศาสนาสามลทั ธดิ งั ความ ว่า พระสงฆ์ (จูกู) ปลงผม หม่ ผา้ กาสาวพสั ตร์ เปิดไหล่ขวา ขมวดผ้า สีเหลืองรอบสะเอว และเดนิ เท้าเปล่า อารามมหี ลังคามุ่งดว้ ยกระเบ้ือง มีรูปปั้นหน่ึงองค์มีลักษณะคล้ายกับพระศรีศากยมุนีเรียกกันว่าโปไล (พระ) .... อาหารสำ� หรับถวายพระรปู ป้นั สมั ฤทธเิ์ ป็นปลาและเนื้อ ซึง่ จดั เตรียมเป็นชุดภาชนะส�ำหรับถวายต่อหน้าพระพุทธเจ้ายกเว้นน้�ำเมา ส่วนพระสงฆ์ฉันอาหารหน่ึงมื้อต่อวัน ซึ่งน�ำมาจากบ้านของอุปัฏฐาก ไม่มีการหุงหาอาหารในอารามวิหารแต่อย่างไร คัมภีร์ส�ำหรับพระสงฆ์ อ่านท�ำด้วยใบลานมีเป็นจ�ำนวนมาก โดยผูกสอดเข้ากันอย่างประณีต สายรัดคัมภีร์ทั้งหมดท�ำด้วยตัวอักษรสีแดงแต่ไม่ใช้แปรงและหมึก การ เขียนคัมภีร์เป็นเรื่องลึกลับ พระสงฆ์ช้ันเถราจารย์ย่อมมีสิทธิใช้เคร่ือง คานหามมีคานเป็นทอง ส่วนฉัตรน้ันท�ำด้วยทองหรือเงิน หากมีเร่ือง ส�ำคัญกษัตริย์จะเข้าไปปรึกษาพระสงฆ์เหล่าน้ี ส่วนภิกษุณีไม่ปรากฏ
ความสมั พันธ์ทางศาสนา 233 เหน็ ๙๙ หลกั ฐานเบ้ืองต้นยืนยนั วา่ มกี ารบชู าพระพทุ ธรปู ทุกแห่งหน๑๐๐ แต่ละหมู่บ้านจะมีวัดประจ�ำหนึ่งแห่งหรืออย่างน้อยมีสถูปหน่ึงหลัง๑๐๑ การครองผา้ กาสาวพสั ตรด์ ว้ ยการเปดิ ไหลข่ วาเปน็ ลกั ษณะของพระสงฆ์ นกิ ายเถรวาท จงึ เชอื่ ไดว้ า่ พระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทไดร้ บั ความนยิ ม อยา่ งแพรห่ ลายในหมสู่ ามัญชนคนรากหญ้า นับจากสมยั ขอพระเจา้ อินทรวรมันท่ี ๓ (พ.ศ.๑๘๓๙) เป็นต้น มา ภาษาบาลีเริม่ แทนทภ่ี าษาสนั สกฤต สงั เกตได้จากจารึกของกษตั ริย์ เขมร จารึกภาษาบาลีเก่าสุดของกัมพูชาอ้างถึงกษัตริย์พระองค์นี้ ซึ่งสรา้ งประมาณพุทธศกั ราช ๑๘๕๒ และระบวุ ่าพระเจ้าอินทรวรมัน ทรงข้ึนครองราชย์ในปีพุทธศักราช ๑๘๕๐ หน่ึงปีหลังจากขึ้นครอง ราชย์แล้ว พระองค์โปรดให้ประทานหมู่บ้านแห่งหน่ึงแก่พระมหาเถระ อีกหนึ่งปีถัดมารับส่ังให้อุบาสิกาสร้างพระพุทธรูปแล้วถวายแก่หมู่บ้าน นั้น จากน้ันโปรดถวายหมู่บ้านสี่แห่งให้ท�ำหน้าที่ดูแลอารามวิหาร๑๐๒ เซเดส์เห็นว่ากษัตริย์พระองค์นี้น่าจะขึ้นครองราชย์ขณะทรงพระเยาว์ คร้นั เขา้ สู่ชราภาวะแลว้ ได้สละราชบัลลงั ก์เสดจ็ ออกผนวช๑๐๓ สังเกตได้ ว่ากษัตริย์กัมพูชาพระองค์น้ีมีลักษณะเหมือนกษัตริย์ไทยบางพระองค์ ซงึ่ ทรงสนพระทยั อทุ ศิ ชวี ติ ดว้ ยการศกึ ษาคมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนา และ ประพฤตติ ามแบบพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาท จูตา้ กวนระบุว่าทงั้ หมดทงั้ มวลน้ัน กษัตริย์กัมพูชามีเพียงเจดีย์ทองขนาดเล็กต้ังอยู่ด้านหน้า พระพุทธรูปทองค�ำ๑๐๔ หลักฐานเบ้ืองต้นช้ีให้เห็นว่ากษัตริย์กัมพูชามี พระราชศรทั ธาต่อพระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทอยา่ งไร พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๖ (พ.ศ.๑๖๓๙-๑๖๕๐) เปน็ กษตั รยิ เ์ ขมร อีกพระองค์หน่ึงซ่ึงถวายความอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา เป็นเหตุให้
234 ศรลี ังกาและอษุ าคเนย์ พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทแพร่หลายจนถึงอาณาจักรล้านช้าง เจ้า ชายพระองคห์ นง่ึ ของอาณาจกั รลา้ นชา้ งพระนามวา่ ฟา้ งมุ้ ไดร้ บั การเลย้ี ง ดูในราชส�ำนักของกัมพูชา ผู้ท�ำหน้าที่สอนสั่งพระองค์คือพระสงฆ์ กษตั รยิ ก์ มั พชู าทรงรกั ใครย่ ง่ิ นกั โปรดประทานพระราชธดิ าแกเ่ จา้ ชายฟา้ งุม้ ต่อมาครน้ั พระราชบิดาสวรรคตสิ้นแลว้ กษตั รยิ ์กมั พูชาสนบั สนุนให้ พระราชบตุ รเขยขึน้ ครองราชย์ และชกั ชวนใหพ้ ระราชบตุ รเขยยดึ มั่นใน หลักค�ำสอนพุทธศาสนา หลังจากข้ึนครองราชย์แล้วไม่นานพระเจ้าฟ้า งุ้มได้ส่งคณะราชทูตไปยังกัมพูชาโดยการน�ำของพระเถระผู้เป็นอาจารย์ แหง่ ตน เหตกุ ารณน์ นั้ ตรงกบั ปพี ทุ ธศกั ราช ๑๘๙๖ คราวนน้ั พระสงฆ์ ได้อัญเชิญพระพุทธรูปพร้อมน�ำคัมภีร์พุทธศาสนาบางเล่มกลับหลวง พระบางด้วย๑๐๕ จึงเช่ือไดว้ า่ ตอนกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ พระพทุ ธ ศาสนานิกายเถรวาทได้ตั้งม่ันในกัมพูชา และส่งต่ออาณาจักร เพอื่ นบา้ น๑๐๖ หลกั ฐานเบอื้ งตน้ ยนื ยนั วา่ พระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทเปน็ ทร่ี จู้ กั แพร่หลายในกมั พูชา นับจากพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ เปน็ ต้นมา แตย่ าก นักท่ีจะตดั สินวา่ มผี ู้นับถือพระพุทธศาสนามากมายเพยี งไร การร่วมมือ ระหว่างกัมพูชากับดินแดนลุ่มแม่น�้ำเจ้าพระยา อาจจะมีโอกาสเรียนรู้ พระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาท เหมอื นจารกึ บริเวณนซี้ งึ่ ระบุว่าพระพุทธ ศาสนาอยู่ภายใต้ความยิ่งใหญ่ของเขมร๑๐๗ จารึกหลักหนึ่งสร้าง ประมาณพุทธศักราช ๑๕๖๕ ระบุว่าตอนต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ มีพระสงฆ์จ�ำนวนมากท้ังนิกายมหายานและเถรวาทพ�ำนักอาศัยเมือง ละโว้ (ลพบรุ )ี ๑๐๘ สว่ นศาสนสถานและพระพทุ ธปฏมิ าบรเิ วณเมอื งลพบรุ ี ชใี้ หเ้ หน็ วา่ อยภู่ ายใตอ้ ำ� นาจของเขมร แตพ่ ระพทุ ธศาสนากย็ งั มคี นนบั ถอื นับแต่สมัยอาณาจักรทวารวดีเป็นต้นมา๑๐๙ ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ ชาวไทยได้เข้ายึดครองบริเวณเหนือลุ่มน้�ำตอนใต้ สันนิษฐานว่า
ความสมั พนั ธ์ทางศาสนา 235 ชาวกมั พชู าบางสว่ นไดอ้ พยพหนไี ปอยนู่ ครวดั ๑๑๐ และเผยแผศ่ าสนาใหม่ ให้แกช่ าวกมั พชู า ประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ พ่อขุนรามค�ำแหงแห่ง สุโขทัยได้ขยายอาณาเขตตลอดดินแดนลุ่มแม่น�้ำเจ้าพระยา ซึ่งเดิมเคย เปน็ อาณาบรเิ วณของอาณาจักรเขมร อาจจะมสี ่วนส่งเสรมิ การเผยแผ่ พระพุทธศาสนาเถรวาทไกลออกไปถงึ ชายแดนของอาณาจกั รกัมพูชา การเปลี่ยนความเชื่อทางศาสนากะทันหันของผู้คนก็ดี การที่ กษตั รยิ แ์ หง่ กมั พชู าหนั ไปนบั ถอื พทุ ธศาสนากด็ ี กลายเปน็ การทดแทนคติ ความเชื่อเดิมของอาณาจักรใกล้เคียง อิทธิพลพุทธศาสนาแบบสิงหล กลายเป็นศูนย์กลางส�ำคัญของพม่าไทยและนครศรีธรรมราช ส่วนทาง ตอนเหนือของไทยมีการประกอบศาสนกิจแบบพุทธแทนคติความเช่ือ ดั้งเดิม สันนิษฐานว่าเพราะความมั่นคงแพร่หลายดังกล่าว พระพุทธ ศาสนานิกายเถรวาทจึงมีอิทธิพลแผ่เข้าไปถึงกัมพูชาด้วย ด้วยคำ� สอน อนั เรยี บงา่ ยและความเทา่ เทยี มกนั อนั เปน็ ระบบและมวี ธิ กี ารเปน็ รปู ธรรม พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทอาจจะท�ำให้ชาวเขมร ซึ่งยึดติดพิธีกรรม เป็นเวลาหลายศตวรรษเกิดความประทับใจ โดยเฉพาะวิถีชีวิตอันเรียบ ง่ายของพระสงฆ์ ผู้มักน้อยยึดมั่นค�ำสอนและบ�ำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น ชาวเขมรจงึ สรา้ งความสมั พันธก์ ับพระสงฆ์เหล่านั้นโดยตรง และหันมา นับถือศาสนาใหม่ตามกษัตรยิ แ์ หง่ ตน บนั ทกึ ของจตู ้ากวนยนื ยนั ว่าชาว กมั พชู าสว่ นใหญน่ บั ถอื พระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทจนถงึ ตอนทา้ ยพทุ ธ ศตวรรษท่ี ๑๘ อกี ดา้ นหนงึ่ ครน้ั พทุ ธศาสนาสงิ หลเปน็ ทร่ี จู้ กั แพรห่ ลาย ในพม่าและไทย ก็ย่อมแพร่หลายเข้าไปยังกัมพูชาด้วย โดยเฉพาะ พระสงฆ์สิงหลนิกาย หลักฐานดังกล่าวปรากฏพบเห็นในคัมภีร์ชินกาล มาลีปกรณ์ โดยระบุว่ามีพระสงฆ์ไทยและกัมพูชาชักชวนกันเดินทางไป ศรีลังกา เพราะเห็นว่าศรีลังกาเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกาย เถรวาท คัมภีร์เสริมอีกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะทรงพระชนม์
236 ศรลี ังกาและอษุ าคเนย์ ชีพได้เสด็จมาเกาะลังกาสามครั้ง เพราะทรงทราบว่าพระศาสนาของ พระองค์จะเจริญรุ่งเรืองในเกาะแห่งน้ี พวกเราควรไปเกาะลังกาเพื่อรับ ความรู้พระศาสนาอย่างเต็มที่ ซ่ึงจะต้ังมั่นอย่างเดียวกันในดินแดน มาตุภูมิ๑๑๑ ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่าต�ำนานของกัมพูชาเชื่อว่าศรีลังกาเป็น ศนู ยก์ ลางยงิ่ ใหญแ่ หง่ พทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาท สนั นษิ ฐานวา่ คตคิ วาม เชอ่ื แบบนน้ี า่ จะไดร้ บั การหลอ่ เลยี้ งภายใตอ้ ทิ ธพิ ลของพทุ ธศาสนาสงิ หล จนแทรกซมึ เขา้ สูจ่ ิตใจของชาวกมั พูชา ความสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่างศรีลังกากับกัมพูชาปราฏเห็น เฉพาะในคมั ภรี ช์ นิ กาลมาลปี กรณ์ ซง่ึ ระบวุ า่ มพี ระสงฆช์ าวกมั พชู า ๘ รปู พรอ้ มพระสงฆ์ไทยเดนิ ทางไปศรีลงั กา เพอื่ ศกึ ษาคมั ภีรพ์ ทุ ธศาสนาและ บวชแปลงเปน็ นกิ ายสงิ หล๑๑๒ วรรณกรรมเลม่ นร้ี ะบวุ า่ พระสงฆก์ มั พชู า กลมุ่ นพี้ ากนั เดนิ ทางกลบั มาตภุ มู ิ พรอ้ มพระสงฆไ์ ทยแตเ่ ชอื่ ถอื ไดย้ ากนกั แต่การขวนขวายเพ่ือประกอบพิธีอุปสมบทแก่ดินแดนมาตุภูมิของพระ สงฆ์กลุ่มน้ีเชื่อถือได้ การประกอบศาสนกิจและความก้าวหน้าของงาน พระศาสนาเชื่อถือได้ยาก นับแต่พุทธศาสนาสิงหลเป็นท่ีรู้จักแพร่หลาย และพระสงฆ์ขวนขวายเพอ่ื เผยแผ่พระศาสนา เชอ่ื แนว่ า่ นา่ จะไดร้ บั การ ต้อนรับอย่างดียิ่ง จึงสรุปว่าพระพุทธศาสนาจากศรีลังกาเข้าสู่กัมพูชา ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ กล่าวโดยสรุปการติดต่อสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่างศรีลังกากับ กัมพูชาไม่มีหลักฐานชัดเจน พระตามลินทเถระเดินทางไปลังกาก็ดี การแนะน�ำประเพณีอุปสมบทแก่ชาวกัมพูชาก็ดี เป็นการยืนยันความ สัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักร สันนิษฐานว่าอิทธิพลพุทธศาสนา แบบสงิ หลได้แพรห่ ลายถึงอาณาจักรกมั พชู า ประมาณตน้ พทุ ธศตวรรษ ที่ ๑๘
ความสัมพันธ์ทางศาสนา 237 เจดยี ์วดั ป่าสกั อ�ำเภอเชียงแสน จงั หวดั เชียงราย (คดั ลอกภาพจาก www.pantip.com) ซากวหิ ารวดั ปา่ แดง อำ� เภอเชยี งแสน จงั หวดั เชยี งราย(คดั ลอกภาพจากwww.pantip.com)
238 ศรลี ังกาและอษุ าคเนย์ เจดีย์วัดเจ็ดยอดหรือวัดโพธารามมหาวิหาร เมืองเชียงใหม่ (คัดลอกภาพจาก www. pantip.com) เจดยี ์วดั ป่าแดงหลวงมหาวหิ าร เมืองเชยี งใหม่ (คัดลอกภาพจาก www.pantip.com)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404