Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore E-book หนังสือศรีลังกาและอุษาคเนย์ (1)

E-book หนังสือศรีลังกาและอุษาคเนย์ (1)

Description: E-book หนังสือศรีลังกาและอุษาคเนย์ (1)

Search

Read the Text Version

บทนำ� 39

บรรยายภาพ : ภาพจิตรกรรมต�ำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช วัดวังตะวันตก เมอื งนครศรธี รรมราช

บทท่ี ๒ ความสัมพันธ์ทางการเมอื งระหวา่ ง ศรลี งั กากับพม่าและกัมพชู า พระเจา้ วชิ ัยพาหุกับพมา่ รามัญ แม้จะปรากฏเห็นหลักฐานความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่าง ศรีลังกากับดินแดนอุษาคเนย์นับต้ังแต่พุทธศตวรรษท่ี ๕ แต่บริบท ทางการเมืองกลับปรากฏหลักฐานตอนย่างเข้าพุทธศตวรรษที่ ๑๖ สมยั ตอ่ มาหลกั ฐานดา้ นความสมั พนั ธท์ างการเมอื งกบั ดนิ แดนอษุ าคเนย์ กน็ อ้ ยลงรวมถงึ หลกั ฐานฝา่ ยศรลี งั กาดว้ ย จงึ ทำ� ใหย้ ากตอ่ การวเิ คราะห์ ลงลึกในรายละเอียด ขอ้ มลู บางแห่งบรรยายยอ่ สั้นมีเพียงหน่ึงหรือสอง บรรทดั เทา่ นนั้ บางครงั้ มเี พยี งดา้ นเดยี ว หลกั ฐานของดนิ แดนอษุ าคเนย์ เองกน็ อ้ ยนกั เพราะไมม่ กี ารบนั ทกึ เรอ่ื งราวเอาไว้ ดว้ ยเหตนุ นั้ เมอ่ื ตรวจ สอบความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างศรีลังกากับพม่าและกัมพูชา ยุคน้ี ปัญหาใหญ่ของผู้ศึกษาคือการขาดแคลนหลักฐาน ท�ำได้เพียง การตคี วามตงั้ ข้อสังเกตและสมมตฐิ านตามหลักฐานท่ีปรากฏ นกั วชิ าการชาวสงิ หลหลายทา่ นแสดงความเหน็ ไวว้ า่ สมยั กษตั รยิ ์ แห่งอินเดยี ใตส้ ร้างจักรวรรดดิ ว้ ยการแผ่แสนยานภุ าพ มักรวมศรีลงั กา เข้าเป็นส่วนหน่ึงของจักรวรรดิแห่งตนเสมอ๑ สันนิษฐานว่าเพราะ เกาะลังกาใกล้ชิดติดกับอินเดียอนุทวีป หรือเพราะเกาะลังกามีความ ส�ำคัญด้านยุทธศาสตร์ หรือว่าเพราะกษัตริย์ทมิฬสนใจใน ทรัพยากรธรรมชาติ กล่าวเฉพาะกษัตริย์ทมิฬโจฬะน้ันต้องการ

42 ศรีลงั กาและอุษาคเนย์ ครอบเกาะลังกามากกวา่ จักรวรรดแิ หง่ อินเดยี ใตอ้ ่นื เพราะตอ้ งการเขา้ ควบคุมเส้นทางการค้าทางทะเล ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างตะวันออกกับ ตะวันตก๒ ดว้ ยเหตุนัน้ เกาะลงั กาจงึ กลายเปน็ ส่วนหนึ่งของจกั รวรรดิ โจฬะ โดยเฉพาะรัชสมัยของพระเจ้าราชาราชโจฬะ (พ.ศ.๑๕๒๘- ๑๕๕๗) และพระเจา้ ราเชนทรโจฬะ (พ.ศ.๑๕๕๗-๑๕๘๗)๓ สมัยอาณาจักรอนุราธุประตกอยู่ภายใต้การยึดครองของกษัตริย์ ทมิฬโจฬะน้ัน เจ้าชายสิงหลพระองค์หน่ึงพระนามว่ากิตติ ได้รวบรวม ทหารกล้ากอบกู้เกาะลังกาจากทมิฬโจฬะ โดยซ่องสุมกำ� ลังพลบริเวณ ถ่ินห่างไกลกลางป่าทึบช่ือว่าโรหณะ สมัยนั้นเหล่าเจ้าชายและขุนนาง ต่างแยกตนเป็นอิสระกระจายกันอยู่รอบเกาะ ส�ำหรับเจ้าชายกิตติน้ัน ทรงครอบครองบริเวณมลัยประเทศ๔ ประมาณพุทธศักราช ๑๕๕๙ ครน้ พระองคป์ ระกาศอสิ รภาพจากทมฬิ โจฬะแลว้ ทรงขนานพระนามวา่ พระเจ้าวิชยั พาหุท่ี ๑ พร้อมเตรยี มสรรพก�ำลังเพ่อื ขบั ไลท่ มิฬโจฬะออก จากมาตุภูมิเป็นคร้ังสุดท้าย สงครามระหว่างชาวสิงหลกับทมิฬโจฬะ คร้ังนั้น ท�ำให้พบเห็นหลักฐานการติดต่อระหว่างศรีลังกากับพม่า (วรรณคดศี รลี งั กาเรยี กพมา่ วา่ รามญั ) ประเดน็ นน้ี กั วชิ าการแสดงความ เห็นไว้ว่า เน่ืองจากการท�ำสงครามต่อกรกับอริราชศัตรู กษัตริย์สิงหล ตอ้ งเตรยี มสรรพกำ� ลงั เปน็ จำ� นวนมาก๕ และพระองคน์ า่ จะมกี ำ� ลงั ทหาร จ�ำนวนจ�ำกัด คัมภีร์จุลวงศ์ระบุว่าพระองค์ได้ขอความช่วยเหลือจาก กษตั ริย์แหง่ อาณาจักรรามัญเพ่อื ท�ำสงครามครั้งนี้๖ ถามวา่ เหตุใดพระองค์จงึ ขอความชว่ ยเหลอื จากพมา่ หลักฐานหลายแห่งระบุว่านับแต่โบราณนานมา กษัตริย์ลังกา มกั ขอความชว่ ยเหลอื จากอนิ เดยี ตอนใต้๗ สนั นษิ ฐานวา่ สมยั นน้ั กษตั รยิ ์

ความสัมพนั ธ์ทางการเมอื ง 43 ทมฬิ โจฬะมกี องทพั ยงิ่ ใหญเ่ กรยี งไกรเหนอื อาณาจกั รเหลา่ อนื่ ประมาณ ตอนตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ พระเจา้ วชิ ยั พาหทุ รงทราบวา่ แมอ้ าณาจกั ร แห่งอินเดียใต้เหล่าอ่ืนพร้อมที่จะช่วยเหลือชาวสิงหลก็จริง แต่การส่ง กองทพั มาชว่ ยยอ่ มเปน็ เรอ่ื งยงุ่ ยาก เพราะพวกทมฬิ โจฬะไดเ้ ขา้ ควบคมุ เส้นทางบกและทางน�ำ้ หมดสนิ้ สมยั พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ กษตั รยิ ์พมา่ ทรงเดชานภุ าพกอปรด้วย กองทพั อนั ยงิ่ ใหญเ่ กรยี งไกร โดยเฉพาะพระเจา้ อโนรธา (พ.ศ.๑๕๘๗- ๑๖๒๐) ได้เข้ายึดครองเมืองสะเทิมหรือพม่าตอนล่างพร้อมแผ่ แสนยานุภาพเข้าครอบครองคาบสมุทรมาเลย์ด้วย ต�ำนานพม่าระบุว่า ตอนกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ เขมรไดย้ กทพั เขา้ มารกุ รานพมา่ ถงึ เมอื ง หงสาวดี คราวน้ันพระเจ้าอโนรธามอบหมายให้เสนาบดีกยันสิตถายก ทพั เขา้ ทำ� ลายศตั รจู นพา่ ยแพย้ อ่ ยยบั ๘ การเขา้ ยดึ ครองเมอื งสะเทมิ ของ พระเจา้ อโนรธานน้ั เปน็ ผลใหอ้ าณาจกั รนอ้ ยใหญบ่ รเิ วณลมุ่ แมน่ ำ�้ อริ วดี ยอมตนสวามิภักดิ์ ถอื ว่าเป็นการเปิดเส้นจากพมา่ ตอนเหนอื ลงสู่ทะเล๙ ต�ำนานพม่ายกย่องว่าพระเจ้าอโนรธาเป็นผู้เข้ายึดเมืองสะเทิม แต่ หลักฐานทางโบราณคดีชี้ว่าพระราชโอรสของพระองค์นามว่าสอลู เป็นผู้เข้าควบคุมบริเวณตอนเหนือคาบสมุทรมาเลย์จนถึงเมอร์กุย หลักฐานคือตราลัญจกรท�ำด้วยกระเบื้องดินเผาแบบพุทธพร้อม พระปรมาภิไธย พบเห็นดาษด่ืนจากภาโมทางตอนเหนือจนถึงเมือง พะสิมทางตอนใต้๑๐ ล่าสุดมีการค้นพบพระราชลัญจกรของพระเจ้า อโนรธาบริเวณเมอื งเมอร์กยุ ๑๑ หลกั ฐานเหลา่ นแ้ี สดงใหเ้ ห็นวา่ พระเจ้า อโนรธามอี ทิ ธพิ ลเหนอื บรเิ วณลมุ่ แมน่ ำ้� ๑๒ สว่ นดา้ นทศิ ตะวนั ตกและดา้ น เหนือของแคว้นอารกันก็อยู่ภายใต้ปกครองของพระองค์เช่นกันรวมถึง เมอื งจิตตกองด้วย๑๓

44 ศรลี งั กาและอุษาคเนย์ หลกั ฐานดงั กลา่ วแสดงใหเ้ หน็ วา่ พระเจา้ อโนรธาเปน็ กษตั รยิ ท์ รงมี เดชานุภาพมาก สันนิษฐานว่าพระเจ้าวิชัยพาหุน่าจะรับรู้ข่าวคราวเป็น อย่างดี หลักฐานฝ่ายลังการะบุว่าพระสงฆ์บางกลุ่ม ซึ่งอพยพหลบหนี ทมิฬโจฬะได้ไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารกษัตริย์รามัญ๑๔ พระสงฆ์ เหล่านั้นปรารถนาจะเห็นบ้านเมืองของตนหลดุ พน้ จากทมิฬโจฬะ นา่ จะ บอกกลา่ วเหตุการณบ์ า้ นเมืองแก่พระสงฆพ์ ม่า ขณะเดียวกันกร็ ายงาน ความเป็นไปของอาณาจักรพม่าแก่กษัตริย์แห่งตนด้วย คร้ันทราบ เรื่องราวทั้งหมดทั้งส้ินแล้ว พระเจ้าวิชัยพาหุจึงส่งราชทูตไปขอความ ช่วยเหลอื จากกษัตรยิ พ์ มา่ รามัญ คัมภีร์จุลวงศ์ระบุว่าคณะราชทูตลังกาได้เดินทางไปอาณาจักร รามญั พร้อมเคร่อื งราชบรรณาการมคี ่าจ�ำนวนมาก โดยบรรทุกลงเรอื สินค้าทั้งไปและกลับ กษัตริย์สามารถก�ำหัวใจทหารด้วยการแจกจ่าย สินค้าเหล่านี้๑๕ ประเด็นน้ีนักประวัติศาสตร์ตีความแตกต่างกันไป นิลกันตศาสตรี (Nilakanta Sastri) เห็นว่าพระเจ้าวิชัยพาหุไม่ได้รับ ความชว่ ยเหลอื จากษตั รยิ พ์ มา่ ดงั พระราชประสงค์ เพราะกษตั รยิ พ์ มา่ ไม่ ประสงคเ์ ขา้ ไปยงุ่ เกยี่ วเรอ่ื งสงครามกบั อาณาจกั รหา่ งไกล อกี ทงั้ เหน็ วา่ พระองค์ไม่มีกองทัพเข้มแข็งพอ การแก้ไขปัญหาจึงท�ำได้เพียง ประนปี ระนอมทางการค้า หรอื แสดงความเหน็ ใจเชิงมารยาทเท่านนั้ ๑๖ พระเจ้าอโนรธาน้ันไม่ประสงค์จะเข้าร่วมสงคราม จึงตอบค�ำร้อง ขอของกษตั รยิ ล์ งั กาดว้ ยเหตผุ ล แตเ่ ดชานภุ าพของพระองคไ์ ดแ้ ผไ่ พศาล ไปไกลจนถงึ คอคอดกระ (Kra Isthmus) พระองคท์ รงควบคมุ เสน้ ทาง คอคอดกระไปจนถึงตะวันออก ส่วนเส้นทางพื้นดินเช่ือมโยงมหาสมุทร อินเดียกับอ่าวไทย ซึ่งสมัยน้ันถือว่าเป็นเส้นทางส�ำคัญ ควบคุมโดย

ความสัมพันธ์ทางการเมอื ง 45 อาณาจักรศรีวิชัยผ่านเส้นทางทะเลบริเวณช่องแคบ๑๗ ก่อนหน้านั้น อาณาจกั รศรวี ชิ ยั ไดเ้ ขา้ ควบคมุ เสน้ ทางนเ้ี ปน็ ครง้ั คราว เชน่ เดยี วกบั สมยั วกิ ฤตขิ องเหลา่ จกั รวรรดทิ างทะเล๑๘ แมอ้ ทิ ธพิ ลการเมอื งของทมฬิ โจฬะ จะไม่สามารถเข้าควบคุมเหนืออาณาบริเวณของจักรวรรดิศรีวิชัยก็จริง แต่ก็พยายามเข้าท�ำลายการผูกขาดทางการค้าบริเวณคาบสมุทรมาเลย์ และเกาะน้อยใหญ่ใกล้เคียง ด้วยการยึดครองศูนย์กลางการค้าส�ำคัญ ของอาณาจกั รเหลา่ น๑ี้ ๙ แตค่ วามปรารถนากไ็ มป่ ระสบความสำ� เรจ็ มาก ไปกวา่ เส้นทางทะเลผา่ นช่องแคบ ซึง่ กษตั ริยแ์ หง่ อาณาจกั รศรวี ิชัยยงั มี อ�ำนาจครอบครองเหนืออาณาเขตหลังการบุกรุกของทมิฬโจฬะ๒๐ การบุกรุกของทมิฬโจฬะท�ำให้อ�ำนาจของอาณาจักรศรีวิชัยบริเวณ คาบสมุทรมาเลย์อ่อนแอลง หลักฐานทางโบราณคดีท่ีตะกั่วป่าและ เคดาห์ชี้ให้เห็นว่า ทมิฬโจฬะมีส่วนร่วมการค้าด้านทิศตะวันออกผ่าน ชอ่ งแคบคอคอดกระ๒๑ นาวานภุ าพของทมฬิ โจฬะอาจจะทำ� การปอ้ งกนั ดา้ นอนื่ จากการทำ� กำ� ไร และไมต่ อ้ งเกบ็ สว่ ยอากรกบั พอ่ คา้ ผไู้ ดป้ ระโยชน์ จากเสน้ ทางนี้ เพอื่ ทจี่ ะไดผ้ ลกำ� ไรจากการมชี ยั เหนอื อาณาบรเิ วณนอี้ ยา่ ง เรว็ วนั ดว้ ยเหตนุ น้ั พระเจา้ อโนรธาจงึ พยายามลดนาวานภุ าพของพวก ทมฬิ โจฬะบรเิ วณมหาสมทุ รอนิ เดยี เหตเุ พราะลงั กาเปน็ ยทุ ธศาสตรข์ อง เส้นทางค้าขายทางทะเลรวมถึงเป็นศูนย์กลางการค้า จึงเป็นประโยชน์ อย่างมากต่อทมิฬโจฬะ แต่หากเกาะลังกาสามารถแยกตนเป็นอิสระ ทมิฬโจฬะย่อมสูญเสยี ประโยชนท์ างการคา้ มหาศาล หลักฐานบางแห่งชี้ว่าอาณาจักรพม่าก็สูญเสียอ�ำนาจเช่นกัน เพราะเกดิ จากการบกุ รกุ ของพระเจา้ ราเชนทรโจฬะ ศลิ าจารกึ ของกษตั รยิ ์ ทมิฬพระองค์น้ีระบุว่า พระองค์สามารถยึดครองเมืองมาปัปปาฬัมในปี พทุ ธศกั ราช ๑๕๖๘๒๒ เซเดส์ (C.Coedes) ระบุวา่ สถานที่แห่งนเี้ ปน็

46 ศรลี งั กาและอุษาคเนย์ บริเวณชายหาดเมืองหงสาวดี ต�ำนานของศรีลังกาอ้างชื่อว่าปัปผาละ สอดคล้องกบั ความเหน็ ของนลิ กนั ตศาสตรี๒๓ หลกั ฐานดงั กลา่ วยืนยัน วา่ กษตั รยิ ท์ มฬิ โจฬะเขา้ ควบคมุ บรเิ วณมณฑลทางใตข้ องพมา่ สนั นษิ ฐาน ว่าพระเจ้าอโนรธาอาจจะประสงค์ปลดแอกบ้านเมืองจากอิทธิพลของ ทมฬิ โจฬะกเ็ ป็นได้ ประเด็นหน่ึงคือพม่าและศรีลังกาศรัทธาพระพุทธศาสนายิ่งนัก นอ้ี าจเปน็ เหตผุ ลทำ� ใหก้ ษตั รยิ พ์ มา่ ชว่ ยเหลอื พระเจา้ วชิ ยั พาหทุ ำ� สงคราม กับทมิฬโจฬะ พระเจ้าอโนรธาอาจได้รับการกราบทูลจากพระสงฆ์ ศรีลังกาผู้อพยพหลบหนีมาอยู่พม่า ผู้ปรารถนาป้องกันความเสียหาย จากการครอบครองของผบู้ กุ รกุ เกาะลงั กา ซงึ่ รอ้ งขอความชว่ ยเหลอื จาก พระองค์ หรือการท่ีกษัตริย์พม่าเข้าช่วยเหลือพระเจ้าวิชัยพาหุ อาจมา จากหลายเหตผุ ล เช่น การค้า การเมอื ง การศาสนา เปน็ ตน้ มีหลักฐานกล่าวถึงการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจของกษัตริย์พม่า ซึ่งปรากฏเห็นในคัมภีร์จุลวงศ์ความว่า พระเจ้าอโนรธาทรงด�ำเนินตาม ค�ำร้องขอของพระเจ้าวิชัยพาหุ ด้วยการส่งเรือส�ำเภาบรรทุกการบูร ไม้จันทน์แดงและสินค้ามีค่าเหล่าอื่นไปเกาะลังกา๒๔ สันนิษฐานว่า พระองค์ประสงค์สงเคราะห์พระเจ้าวิชัยพาหุ ซ่ึงขณะน้ันทรงประทับอยู่ เขตโรหณระฏะ เพราะถกู ทมฬิ โจฬะควบคมุ เสน้ ทางการคา้ และครอบครอง บริเวณตอนเหนือของเกาะ๒๕ ลูซ (Luce) เห็นว่าขณะทรงรับราชทูต ลงั กานน้ั พระเจา้ อโนรธาทรงครอบครองเหนอื คาบสมทุ รมาเลยเ์ รยี บรอ้ ย แลว้ และเครอื่ งราชบรรณาการสว่ นใหญล่ ว้ นเปน็ ผลผลติ ของชาวมาเลย์ ดังเชน่ การบรู และไมจ้ ันทน์ เปน็ ต้น๒๖ สนั นิษฐานว่าสนิ คา้ มรี าคาแพง เหลา่ นอ้ี าจชว่ ยใหก้ ษตั รยิ ล์ งั กาสามารถสะสมกำ� ลงั เพอ่ื กอบกบู้ า้ นเมอื งได้

ความสมั พนั ธ์ทางการเมอื ง 47 หลักฐานจากคัมภีร์จุลวงศ์ขาดความชัดเจนว่ากษัตริย์ลังกาได้รับ ความช่วยเหลือทางกองทัพจากกษัตริย์พม่าหรือไม่ ต�ำนานพม่าสมัย พระเจ้ากยันสิตถา (พ.ศ.๑๖๒๗-๑๖๕๖) ซ่ึงร่วมสมัยกับพระเจ้า วิชัยพาหุของลังกา กษัตริย์พระองค์นี้เคยส่งราชสาสน์ติดต่อกับลังกา โดยระบุว่าสมัยน้ันพระเจ้ากยันสิตถาได้ประกอบพิธีราชาภิเษก ตรงกับ พุทธศกั ราช ๑๖๒๗ คราวนน้ั เสนาบดีไดน้ ำ� นักโทษชาวทมฬิ มาถวาย แลว้ กราบทลู วา่ ขา้ พระพทุ ธเจา้ ไดช้ ำ� นะอาณาจกั รอนิ เดยี พรอ้ มหริ ญั บรรพ และทะเลแหง่ นาสมุ ครน้ั แลว้ พระองคโ์ ปรดใหน้ กั โทษชาวอนิ เดยี เหลา่ นน้ั อาศัยอยู่บริเวณเมืองสินคุ๒๗ ลูซอธิบายเสริมว่าบรรดาทหารหาญของ ลังกานั้นมีทหารรับจ้างชาวทมิฬเป็นจ�ำนวนมากชื่อว่าเวฬัยก์กาฬะ ปีพุทธศักราช ๑๖๒๘ กษัตริย์ลังกาโปรดให้ทหารเหล่าน้ียกทัพเข้า บุกรุกอาณาจักรทมิฬ ได้เข่นฆ่าชาวเมืองและเผาท�ำลายพระราชวัง พร้อมขับไล่กษัตริย์ทมิฬออกจากพระนครเมืองหลวง การต่อสู้คร้ังน้ัน สร้างความเสียหายเป็นจ�ำนวนมาก จารึกครันถทมิฬอ้างว่าพระเจ้า อโนรธาทรงให้การสนบั สนนุ พระเจา้ วชิ ยั พาหผุ ู้เปน็ พระสหายจรงิ แต่ไม่ แน่ชัดว่าพระองค์ได้ยกทัพเข้าร่วมกับทหารลังกาปราบทมิฬ หรือว่าต่อ กรกบั อรริ าชศัตรหู รือไม่๒๘ หากจะสรปุ ประเดน็ นใี้ หช้ ดั เจนยอ่ มเปน็ เรอื่ งยากเพราะไรห้ ลกั ฐาน อ้างอิง สนั นษิ ฐานวา่ การปราชยั ของชาวทมฬิ อนิ เดยี ครงั้ นน้ั นา่ จะเกดิ ขน้ึ ในอาณาจักรพม่า อาจจะเป็นชาวทมิฬโจฬะที่ต้ังรกรากบริเวณพม่า ตอนใต้ เหตุเพราะการรุกรานของพระเจ้าราเชนทรโจฬะ คราวน้ัน เสนาบดีของพระเจ้ากยันสิตถาน่าจะมีชัยเหนือพวกทมิฬ หรือว่าอาจ

48 ศรีลงั กาและอษุ าคเนย์ เป็นชาวอินเดียกลุ่มอ่ืนซ่ึงต้ังรกรากนับแต่บรรพกาล อีกด้านหน่ึงมีการ ตคี วามตามเนอื้ หาของคมั ภรี จ์ ลุ วงศว์ า่ พระเจา้ กยนั สติ ถาโปรดใหจ้ ดั สง่ ส�ำเภาบรรจุส่ิงของเคร่ืองใช้เป็นจ�ำนวนมาก พร้อมส่งกองทัพไปช่วย พระเจ้าวิชัยพาหุ หลังจากขับไล่ทมิฬโจฬะแล้วทหารรามัญเหล่านี้อาจ จะพักอาศยั บนเกาะลังการะยะหนงึ่ แลว้ เดินทางกลับพมา่ พรอ้ มนักโทษ ชาวทมฬิ โจฬะ ซง่ึ เปน็ เชลยจากสงครามกอ่ นการขน้ึ ครองราชยข์ องพระเจา้ กยนั สติ ถา ไมม่ หี ลกั ฐานยนื ยนั สมมตฐิ านนี้ จงึ ไมส่ ามารถระบชุ ดั เจนวา่ พระเจา้ วชิ ยั พาหไุ ดร้ ับความชว่ ยเหลอื จากพระเจ้าอโนรธาจริงหรอื ไม่ นอกจากรายละเอียดในคัมภีร์จุลวงศ์ ซึ่งชี้น�ำว่ากษัตริย์ลังกาได้ รับความช่วยเหลือจากกษัตริย์พม่า เพ่ือขับไล่ทมิฬโจฬะแล้ว ยังมี หลักฐานสมัยเดียวกันที่ช้ีให้เห็นความสัมพันธ์ทางศาสนาอย่างใกล้ชิด ระหว่างพระเจ้าวชิ ยั พาหุกบั กษตั รยิ ์พม่า คร้ันขับไล่ชาวทมิฬโจฬะออกไปจากเกาะลังกาแล้ว พระเจ้าวิชัย พาหไุ ดร้ วมเกาะลงั กาใหอ้ ยภู่ ายใตเ้ ศวตฉตั ร แตค่ วามเปน็ หนงึ่ เดยี วมไิ ด้ อยู่ยาวนาน เพราะครั้นพระองค์สวรรคตสิ้นแล้ว เกาะลังกาได้เข้าสู่ยุค แห่งความสบั สนวนุ่ วายและเกดิ สงครามกลางเมอื ง บ้านเมืองแตกแยก เป็นสองกลมุ่ หนงึ่ นน้ั โดยการนำ� ของอุปราชชัยพาหผุ ู้เป็นพระราชอนุชา อีกหน่ึงนั้นโดยการน�ำของอาทิปาทะวิกรมพาหุ ผู้เป็นพระราชโอรส พระองคเ์ ลก็ ของพระเจา้ วชิ ยั พาหุ๒๙ การแยง่ ชงิ ความเปน็ ใหญค่ รง้ั นเ้ี ปน็ เหตุใหเ้ กาะลังกาแตกแยกเปน็ อาณาจกั รน้อยใหญ่๓๐ ความสัมพนั ธก์ บั ดินแดนอุษาคเนย์สมัยเหตุการณ์วุ่นวาย จนถึงการข้ึนครองราชย์ของ พระเจา้ ปรากรมพาหมุ หาราช ไมม่ ีกล่าวถึงในคมั ภรี จ์ ุลวงศเ์ ลย แต่การ บุกรุกพม่าของพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช ซงึ่ ปรากฏในคมั ภรี จ์ ลุ วงศ์

ความสัมพันธ์ทางการเมือง 49 ช้ีให้เห็นว่าแม้จะเกิดความวุ่นวายทางการเมือง ความสัมพันธ์เชิง กัลยาณมติ รทงั้ สองประเทศยังคงรกั ษาเรอื่ ยมา คัมภีร์จุลวงศ์พรรณนาว่า กษัตริย์แห่งเกาะลังกาและรามัญล้วน นับถือพระสุคตเจ้าพระองค์เดียวกัน อีกทั้งบุรพกษัตริย์แห่งเราทั้งสอง ต่างเช่ือม่ันหยั่งรากฝั่งลึกในพระธรรมค�ำสอน ต่างแสดงความเป็นมิตร ด้วยการแลกเปลี่ยนราชบรรณาการอันล้�ำค่า และรักษาสัมพันธ์อันดี เป็นเวลายาวนานไรค้ วามขัดแย้ง แมส้ มยั พระเจา้ ปรากรมพาหมุ หาราช แห่งเกาะลังกา กษัตริย์แห่งรามัญก็ยังรักษาสัมพันธไมตรีเสมือน บูรพกษตั รยิ ์ผู้สรา้ งความมน่ั คงต่อกันเป็นเวลายาวนาน๓๑ ปัญหาคือผู้แต่งต�ำนานกล่าวอ้างเช่นน้ีหมายถึงความสัมพันธ์ ระหวา่ งศรลี งั กากบั พมา่ สมยั พระเจา้ วชิ ยั พาหหุ รอื ไม่ หรอื ตอ้ งการสบื ตอ่ เหตุการณ์ระหว่างการสวรรคตของพระเจ้าวิชัยพาหุจนถึงการข้ึน ครองราชย์ของพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช พระสงฆ์ลังกาท่ีพระเจ้า วชิ ยั พาหนุ มิ นตม์ าจากพมา่ อาจจะรกั ษาความสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กบั พมา่ และ กลับมาพ�ำนักบนเกาะลังกาแล้ว ถึงแม้ว่ากษัตริย์ทั้งสองอาณาจักร จะพพิ าทเรอ่ื งการเมืองก็จริง แตค่ งชว่ ยเหลือพระสงฆด์ ้วยความเคารพ ด้วยเหตุน้ัน คัมภีร์จุลวงศ์จึงระบุว่ามีการรักษาความสัมพันธ์ฉันท์มิตร สืบต่อระหว่างกษัตริย์สองแผ่นดิน จนถึงสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุ มหาราช แต่นา่ เสยี ดายต�ำนานของพม่าไมไ่ ด้กล่าวถงึ ประเดน็ น้ีเลย พระเจ้าปรากรมพาหุมหาราชกบั พม่า ครั้นท�ำสงครามปราบปรามเช้ือพระวงศ์น้อยใหญ่แล้ว พระเจ้า ปรากรมพาหุมหาราชทรงรวบรวมเกาะลังกาให้อยู่ภายใต้เศวตฉัตรอีก

50 ศรลี ังกาและอษุ าคเนย์ คร้ัง และทรงขึ้นเสวยราชสมบัติที่เมืองโปโฬนนารุวะ เม่ือพุทธศักราช ๑๖๙๖ ความผาสกุ ไดก้ ลับคืนสเู่ กาะลงั กาอีกครั้งหน่งึ พระองคโ์ ปรด ให้ตรากฎระเบียบข้ึนใหม่ พร้อมฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง ด้วยการ สง่ เสรมิ การเกษตร ชลประทาน และการคา้ ทงั้ ภายในและภายนอก ระยะ เวลาการครองราชย์ยาวนานถงึ ๓๓ ปี ทำ� ให้นกั ปราชญพ์ ากันยกย่อง ว่าเป็นยคุ ทองของประวัติศาสตร์ศรลี งั กา๓๓ ด้วยความมนั่ คงของบา้ น เมืองดังกล่าว ท�ำให้พระองค์ทรงด�ำเนินพระราชกรณียกิจและด�ำเนิน ราโชบายด้านตา่ งประเทศอย่างมปี ระสิทธภิ าพ คัมภรี ์จุลวงศบ์ รรยายไวว้ า่ ก่อนทีพ่ ระเจา้ ปรากรมพาหมุ หาราชจะ แทรกแซงการเมืองของอินเดียใต้น้ัน พระองค์ได้ส่งกองทัพเข้าโจมตี พม่าก่อน๓๔ ข้อมูลของคัมภีร์จุลวงศ์สอดคล้องกับจารึกร่วมสมัยแห่ง เดวนคะละบรเิ วณแกคลั ละ คมั ภรี จ์ ลุ วงศร์ ะบวุ า่ ครนั้ พระองคท์ รงขน้ึ เสวย ราชย์เหนือเกาะลังกาแล้ว พระเจ้าปรากรมพาหุมหาราชทรงรักษา มิตรภาพกับพม่า ซ่ึงเป็นประเพณีอันดีงามแลรักษาสืบต่อมาจาก บรู พกษัตริย์ และทรงแลกเปล่ยี นเครอื่ งราชบรรณาการอันมคี า่ แตด่ ้วย ระยะเวลาอันยาวนานเป็นเหตุให้สัมพันธภาพระหว่างสองอาณาจักร แตกหัก แต่กษัตริย์ทั้งสองแผ่นดินยังคงให้เกียรติราชทูตกันและกันอยู่ ราชทูตสิงหลบนแผ่นดินพม่านามว่าตปัสสินได้รับสิทธิพิเศษ๓๕ ต�ำนาน ศรีลังการะบุว่ากษัตริย์ลังกาทรงให้เกียรติทูตพม่าเป็นอย่างดีดุจ เดยี วกัน๓๖ ต�ำนานพม่านามว่าหมั่นนันระบุว่าพระเจ้าอลองสิทธู (พ.ศ. ๑๖๕๖-๑๗๑๐) ผู้เป็นกษัตริย์ร่วมสมัยกับพระเจ้าปรากรมพาหุ มหาราชไดเ้ สดจ็ ไปเกาะลงั กา๓๗ ทรงอภเิ ษกสมรสกบั ราชธดิ าของกษตั รยิ ์

ความสัมพนั ธ์ทางการเมอื ง 51 ลังกาแล้วเดินทางกลับพม่าพร้อมอัญเชิญรูปปั้นพระมหากัสสปเถระ มาด้วย ซ่ึงได้รับความเคารพสูงสุดบนเกาะลังกา ต�ำนานพม่าดังกล่าว พยายามอธิบายว่ากษัตริย์พม่าได้ส่งตัวแทนมาลังกา สันนิษฐานว่าน่า จะเป็นราชทูตซึ่งต่อมาได้สร้างความเสียหาย๓๘ การเสด็จเกาะลังกา และการอภิเษกสมรสกับพระราชธิดาของกษัตริย์พม่าไม่พบเห็นจาก หลกั ฐานของศรีลงั กาเลย หลักฐานศรลี งั กาและพม่าระบตุ รงกนั เฉพาะ การแต่งต้ังราชทูตพม่าบนเกาะลังกาเท่านั้น๓๙ ประเด็นคือราชทูตพม่า สามารถแนะน�ำราชทูตลังกาและให้ยอมรับค�ำส่ัง สันนิษฐานว่าราชทูต สามารถท�ำหน้าที่แทนบ้านเมืองแห่งตน พร้อมสามารถให้ค�ำแนะน�ำ ทางการคา้ ระหวา่ งสองอาณาจักรด้วย๔๐ คมั ภรี จ์ ลุ วงศพ์ รรณนาวา่ ครนั้ เดนิ ทางกลบั บา้ นเกดิ เมอื งนอนแลว้ ราชทตู พม่าไดก้ ราบทลู รายงานบางอยา่ งแก่กษัตรยิ ์แหง่ ตน จนเปน็ เหตุ ให้ความสัมพันธ์ไมตรีระหว่างสองอาณาจักรถึงคราวอวสาน๔๑ การตีความตามข้อมูลดังกล่าวเป็นเรื่องยากนัก ต�ำนานลังกาพรรณนา ว่า กษัตริย์พม่าทรงยึดรหัสนัยจากพระราชสาสน์ของราชทูตสิงหล ซ่ึงก�ำลังเดินทางไปยังอาณาจักรกัมพูชา จึงรับส่ังให้จับกุมเสีย๔๒ สมัยต่อมากษัตริย์พม่าได้จับตัวพระราชธิดาของพระเจ้าปรากรมพาหุ มหาราช ซึ่งโปรดให้ส่งไปมอบถวายแด่กษัตริย์กัมพูชา๔๓ คณะราชทูต พม่าได้กราบทูลกษัตริย์แห่งตนเกี่ยวกับคณะราชทูตลังกา ซึ่งพยายาม สร้างความสัมพันธ์กับกษัตริย์กัมพูชาผู้เป็นปรปักษ์ ส่วนประเด็นเกี่ยว กับเจ้าหญิงชาวลังกาน้ัน ชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราชทรง มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกัมพูชา๔๔ แม้หลักฐานมากกกว่านั้นจะไม่ สามารถยนื ยนั ชดั เจน คณะราชทตู พมา่ อาจจะรายงานตามคำ� รอ้ งขอของ กษัตริย์แห่งกัมพูชา หากเป็นราชทูตชาวกัมพูชาตามหลักฐานแล้วไซร้

52 ศรีลงั กาและอุษาคเนย์ วหิ ารทรงกลมหรอื วฏทาเค ภายในวดั พระเขยี้ วแกว้ เมอื งหลวงเกา่ โปโฬนนารวุ ะ ประเทศ ศรีลงั กา ทวารบาลทางเข้าวิหารทรงกลมหรือวฏทาเค ภายในวัดพระเข้ียวแก้ว เมืองหลวงเก่า โปโฬนนารุวะ ประเทศศรีลงั กา

ความสมั พันธ์ทางการเมอื ง 53 (บน-ลา่ ง) พระพทุ ธรปู ศลิ า ภายในวหิ ารทรงกลมหรอื วฏทาเค เมอื งหลวงเกา่ โปโฬนนารวุ ะ ประเทศศรลี งั กา

54 ศรีลงั กาและอุษาคเนย์ พระพทุ ธรปู ภายในเมอื งหลวงเกา่ พกุ าม ประเทศพมา่ (คดั ลอกภาพจาก www.facebook. com/Royal-Bagan-Hotel) เจดีย์ภายในเมืองหลวงเกา่ พุกาม ประเทศพมา่ (คัดลอกภาพจาก www.facebook.com/ Royal-Bagan-Hotel)

ความสัมพนั ธ์ทางการเมอื ง 55 พระพุทธรูปในเมืองหลวงเก่าพุกาม ประเทศพม่า (คัดลอกภาพจาก www.facebook. com/Royal-Bagan-Hotel) เจดึยภ์ ายในเมืองหลวงเก่าพุกาม ประเทศพม่า (คัดลอกภาพจาก www.facebook.com/ Royal-Bagan-Hotel)

56 ศรลี ังกาและอษุ าคเนย์ สันนิษฐานวา่ น่าจะเดนิ ทางมาจากศรีลังกา ซึ่งคณะราชทตู พมา่ ยังอยู่ท่ี นนั้ และนา่ จะรจู้ ดุ มงุ่ หมายของคณะราชทตู รวมถงึ การทพี่ ระเจา้ ปรากรม พาหุมหาราชส่งข่าวถึงกัมพูชาด้วย จึงกราบทูลรายงานต่อกษัตริย์ แห่งตนถึงพันธมิตรใหม่ของพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช หากราชทูต พม่าออกจากเกาะลังกาขณะเตรียมการตามพระราชด�ำรัส รวมถึงการ สง่ พระราชธดิ าลงั กาไปถวายกษตั รยิ ก์ มั พชู า พมา่ อาจคดิ วา่ คณะราชทตู ลังกาน่าจะเดินทางผ่านคอคอดกระไปยังกัมพูชา แม้ปรากฏว่าคณะ ราชทูตลังกาได้น�ำพระราชสาสน์ถึงกษัตริย์พม่า แต่ความจริงคือเป็น การสง่ มอบถวายแดก่ ษัตรยิ ก์ มั พชู า หลกั ฐานเกยี่ วกบั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพมา่ กบั อาณาจกั รกมั พชู า สมยั น้นั ไม่ปรากฏเห็น (ประมาณกลางพุทธศตวรรษท่ี ๑๗) การขยาย อาณาเขตอย่างรวดเร็วของพระเจ้าสุริยวรมันท่ี ๒ (พ.ศ.๑๖๕๖- ๑๖๙๓) น่าจะท�ำให้พม่าเกิดความระแวง ประวัติศาสตร์ราชวงศ์สุง ของจีนระบุว่าสมัยพระเจ้าสุริยวรมันแห่งอาณาจักรเจนละ (กัมพูชา) อาณาจักรมีขอบเขตกว้างขวาง ชายแดนด้านทิศใต้จรดอาณาจักร ชางเชง (จัมปา) ส่วนด้านทิศตะวันออกติดทะเล ทิศตะวันตกติด อาณาจักรพุกาม และด้านทิศใต้ติดชัยโลซี (เมืองครหิบริเวณไชยาและ อา่ วบ้านดอน ซ่ึงอยู่บริเวณชายฝ่ังทะเลดา้ นทศิ ตะวันตกของคาบสมุทร มาเลย์)๔๕ หลักฐานดังกล่าวชี้ให้เห็นว่ากัมพูชาก�ำลังขยายอาณาเขต ด้านทิศตะวันตก จารึกของพระเจ้าสุริยวรมันนั้นส่วนใหญ่พบเห็นใน ประเทศไทยและลาว๔๖ ตำ� นานทอ้ งถน่ิ ของผคู้ นบรเิ วณนก้ี ส็ อดคลอ้ งกบั หลักฐานดังกล่าว๔๗ การที่พระเจ้าสรุ ิยวรมนั ขยายอาณาเขตเข้าใกล้ชดิ ตดิ กบั อาณาจกั รพกุ าม กษตั รยิ พ์ ม่าคงเหน็ วา่ อาณาบรเิ วณนอี้ าจกลาย เปน็ เครอ่ื งมอื ของกษตั รยิ ก์ มั พชู า และไมน่ านพมา่ อาจเปน็ ผรู้ บั ชะตากรรม

ความสมั พันธ์ทางการเมือง 57 ยิง่ กว่านนั้ กษัตรยิ ์กมั พูชายงั มคี วามสมั พนั ธ์ใกล้ชิดกับเมอื งครหิ ซ่ึงอยู่เขตคาบสมุทรมาเลย์ เชื่อกันว่าราชวงศ์สุริยวรมันมีถิ่นก�ำเนิด บรเิ วณน๔้ี ๙ กษตั รยิ ก์ มั พชู านน้ั ควบคมุ บรเิ วณคอคอดกระของคาบสมทุ ร มาเลย์จึงกระทบการค้ากับพม่า ผลก�ำไรจากการค้าของพระเจ้าอลอง สิทธพู บเหน็ ในคมั ภรี ห์ มน่ั นนั ซึ่งระบุว่าพระองคท์ รงกำ� หนดน�้ำหนักและ มาตรการท้ังหมด และการเสดจ็ พระราชด�ำเนินไปคาบสมทุ รมาเลยบ์ อ่ ย ครง้ั ตามเสน้ ทางขนยา้ ยสนิ คา้ กษตั รยิ พ์ มา่ ยอ่ มมนั่ ใจวา่ สามารถควบคมุ เส้นทางเหล่าน๕ี้ ๐ และเช่ือม่ันว่าเมืองพะสิมต้องอยู่ภายใต้การยึดครอง ของพระองคต์ ลอดไป เพราะการขนสง่ สนิ คา้ สว่ นใหญต่ อ้ งผา่ นบรเิ วณนี้ การท่พี ระเจา้ ปรากรมพาหมุ หาราชสร้างสัมพนั ธไ์ มตรใี กล้ชิดกบั กมั พูชา น่าจะมาจากการค้า ครั้นกษัตริย์แห่งพม่าทราบเช่นน้ันย่อมไม่ต้องการ คบกับศรีลังกาอีกต่อไป แม้จะเป็นเพื่อนบ้านท่ีทรงพลานุภาพมากสุด เพราะหันหน้าไปแสดงความสัมพันธ์กับกัมพูชา ลักษณะเช่นน้ีถือว่า เป็นการขม่ ขู่พม่าท้งั การเมอื งและเศรษฐกจิ คัมภีร์จุลวงศ์พรรณนาว่า กษัตริย์แห่งพม่าทรงตอบโต้กษัตริย์ สิงหลทันที ด้วยการสร้างปัญหาแก่พ่อค้าสิงหล โดยมีพระราชโองการ ซง่ึ มผี ลกระทบอยา่ งรนุ แรงตอ่ การคา้ ชา้ งของศรลี งั กา ทรงรบั สงั่ ใหห้ ยดุ ขายชา้ งกับต่างประเทศ๕๑ และเพม่ิ ราคาของช้างจากหน่ึงรอ้ ยหรอื หนง่ึ พันเหรียญเงินนิกขละเป็นสองหรือสามพันเหรียญ๕๒ ทรงให้ยกเลิก ธรรมเนียมเดิมด้วยการส่งช้างหนึ่งเชือกต่อเรือส�ำเภาหนึ่งล�ำ เพ่ือเป็น บรรณาการการขนส่ง๕๓ รับสั่งให้ยึดช้างและเรือส�ำเภาของชาวสิงหล ท้ังหมด๕๔ และรับส่ังให้ยึดเครื่องราชบรรณาการ ซ่ึงกษัตริย์ศรีลังกา โปรดให้ส่งมาเพื่อซ้ือช้าง โดยให้สัญญาว่าจะมอบช้างและเหรียญเงิน คนื ๕๕

58 ศรีลงั กาและอุษาคเนย์ หลกั ฐานจากคมั ภรี จ์ ลุ วงศช์ วี้ า่ การคา้ ชา้ งระหวา่ งศรลี งั กากบั พมา่ สมัยน้ันเป็นเร่ืองส�ำคัญ และกษัตริย์พม่าโปรดตราข้อห้ามเกี่ยวกับการ ค้าด้วย แต่ผู้บันทึกต�ำนานไม่สามารถระบุชัดเจนว่า กษัตริย์พม่าโปรด ให้ตราข้อห้ามเมื่อไหร่และโปรดให้ขึ้นราคาสูงล่ิวสมัยไหน อีกด้านหน่ึง หากพระองค์ทรงให้หยุดค้าช้างอาจจะไม่มีการข้ึนราคา๕๖ ไกเกอร์เห็น วา่ กษัตรยิ พ์ มา่ หยุดการคา้ ชา้ งอย่างเสรแี ละผกู ขาดแต่ผเู้ ดยี ว เน่อื งจาก การขน้ึ ราคามากมาย๕๗ สนั นษิ ฐานวา่ พระองคอ์ าจจะโปรดหา้ มขายชา้ ง ท้ังหมด ด้วยการออกมาตรการชั่วคราวและทรงอนุญาตการผูกขาด เฉพาะของหลวงเพยี งอยา่ งเดียว เกาะลงั กานนั้ อดุ มสมบรู ณด์ ว้ ยชา้ ง๕๘ นบั ตง้ั แตบ่ รรพกาลนานเน และเปน็ ทร่ี จู้ ักของบรรดาพอ่ คา้ ชาววเิ ทศว่ามากมายดว้ ยชา้ ง๕๙ การน�ำ เข้าช้างระหว่างพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ จึงเป็นเร่ืองแปลกประหลาด เมกสั เธเนส (Megasthenes) ระบวุ า่ สมยั พทุ ธศตวรรษที่ ๘ เกาะลงั กา ไดส้ ่งออกชา้ ง๖๐ ประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๒๒ บารโ์ บซ่า (Barbosa) กลา่ ววา่ การคา้ ขายชา้ งเปน็ สทิ ธผิ กู ขาดเฉพาะกษตั รยิ ์๖๑ วกิ รมสงิ หะเหน็ วา่ เมอื่ บา้ นเมอื งเรมิ่ เปดิ กวา้ ง เกาะลงั กาแมจ้ ะอดุ มสมบรู ณด์ ว้ ยปา่ ไมแ้ ต่ ก็ขาดแคลนช้าง และตามมาด้วยความเส่ือมโทรมของอาณาจักร โปโฬนนารวุ ะ แมส้ มยั หนงึ่ ชา้ งจะมากมายกต็ าม เหตผุ ลตรงนอี้ ธบิ ายได้ วา่ เหตใุ ดศรลี งั กาจงึ ตอ้ งนำ� เขา้ ชา้ งจากพมา่ ๖๒ สว่ นนโิ คลสั (Nicholas) เหน็ วา่ การนำ� เขา้ ชา้ งแสดงวา่ เปน็ รางวลั อนั ทรงคณุ คา่ เพราะความชาญ ฉลาดและความเคารพ แต่ต้องผลิตงาช้างราคาต่�ำสุด จุดประสงค์ของ ศรีลงั กาคอื การใหค้ วามปลอดภยั สตั ว์มงี าเท่าน้นั ๖๓

ความสมั พันธ์ทางการเมอื ง 59 แมจ้ ะมกี ารอธบิ ายความสำ� คญั ของชา้ งแตกตา่ งกนั ออกไป เฉพาะ คอสมาส์เท่านั้นที่ยืนยันการน�ำเข้าช้างของศรีลังกา๖๔ นักเขียนท่านนี้ แตง่ หนงั สือราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๑ ไดร้ ะบวุ า่ เกาะลงั กาเป็นศูนย์กลาง การคา้ ทางทะเลสมยั นน้ั เนอื่ งจากอยตู่ รงกลางจงึ มเี รอื สนิ คา้ แวะพกั จาก ทกุ สว่ นของอนิ เดยี และเปอรเ์ ซยี รวมถงึ เอธโิ อเปยี การขนสง่ สนิ คา้ ทกุ สงิ่ อย่างเสมือนเป็นของตนเอง ส่วนอาณาจักรแดนไกลคือสีนิสตาได้รับ ผ้าไหม ยาด�ำ กานพลู ไมจ้ นั ทน์ และสินค้าเหล่าอ่ืน๖๕ เกาะลงั กาจึง กลายเป็นศูนย์การค้าของพ่อค้าชาววิเทศสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ ด้วยการขนส่งออกสินค้าจากดินแดนตะวันออกและน�ำเข้าสินค้าจาก ดินแดนตะวันตก การที่ชาวสิงหลน�ำเข้าช้างอาจเป็นการค้าจาก ดนิ แดนตะวนั ตก สมัยพระเจ้าปรากรมพาหมุ หาราชนัน้ เกาะลังการ่งุ เรืองด้านการ คา้ กบั ตา่ งประเทศ แมจ้ ะมชี า้ งสง่ ออกกจ็ รงิ แตค่ วามตอ้ งการนา่ จะสงู ขน้ึ จึงต้องน�ำเข้าช้างจากอาณาจักรอ่ืนเพ่ือมาใช้งาน และสินค้าส่งออกไป อนิ เดยี ใตอ้ ยา่ งหนง่ึ คอื ชา้ ง๖๖ ผเู้ ขยี นหนงั สอื ประมาณกลางพทุ ธศตวรรษ ท่ี ๒๐ ชอ่ื ว่าอบั ดรุ ราซ์ซัก อา้ งวา่ ชา้ งเปน็ สนิ ค้าส่งออกของศรลี งั กา และอนิ เดยี ๖๗ ประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ บารโ์ บซา่ กลา่ ววา่ ศรลี งั กา ได้ขายช้างให้พ่อค้าแห่งโครมันเดล นร์สิงคัว มลบาร์ ดันควัม๖๘ และ คมั เบยี หลกั ฐานเชน่ นพี้ บเหน็ ดาษดน่ื สมยั พระเจา้ ปรากรมพาหมุ หาราช เพราะความตอ้ งการชาวสิงหลจงึ น�ำเข้าชา้ งจากพม่า ความจริงนา่ จะมี จารกึ สมัยเดียวกันอา้ งถึงบ้าง จารกึ หลกั หนึ่งสรา้ งโดยพระเจา้ ปรากรม พาหตุ อนท้ายพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๗ พบท่ไี นนตวิ ะ (ปจั จุบันคือนาคทีปะ) บรเิ วณเมอื งจฟั ฟน์ า ระบวุ า่ หากเรอื บรรทกุ ขนชา้ งและมา้ ไปยงั เกาะลงั กา อับปางลง ส่วนท่ีส่ีของสินค้าควรตกเป็นของกรมคลัง๖๙ หลักฐาน

60 ศรลี ังกาและอุษาคเนย์ เบอื้ งตน้ ยนื ยนั ไดว้ า่ ชา้ งเปน็ สนิ คา้ นำ� เขา้ ของศรลี งั กาและกษตั รยิ ท์ รงยดึ เอาเป็นรายไดพ้ ิเศษ ประเดน็ การหา้ มคา้ ชา้ งของกษตั รยิ พ์ มา่ นา่ สนใจไมน่ อ้ ย หมา่ ตวั หลนิ ระบวุ า่ สมยั พระเจา้ สรู ยิ วรมนั ที่ ๒ กมั พชู ามชี า้ งสำ� หรบั รณรงคส์ งคราม ถงึ ๒๐๐,๐๐๐ เชอื ก๗๐ หากพิจารณาถึงจำ� นวนแม้จะดวู า่ มากเกนิ ความเปน็ จรงิ ๗๑ แตป่ รากฏวา่ กษตั รยิ ก์ มั พชู ามชี า้ งมากจรงิ กษตั รยิ พ์ มา่ คงสดับความเกรียงไกรของกองทัพกัมพูชาจึงห้ามส่งออกช้างเสีย สว่ นหนง่ึ อาจตอ้ งการใชใ้ นกองทพั ของตนกรณตี อ้ งทำ� สงครามกบั กมั พชู า ส่วนหนึ่งแม้พงไพรของกัมพูชาและหัวเมืองจะมากมายด้วยช้างก็จริง แตก่ มั พชู ากต็ อ้ งการนำ� เขา้ ชา้ งเชน่ กนั ความเปน็ ไปไดค้ อื พอ่ คา้ ชาวสงิ หล นั้นเองเป็นผู้จัดแจงเร่ืองช้าง เพราะกัมพูชาไม่สามารถติดต่อขอซ้ือจาก พมา่ ไดโ้ ดยตรง ครนั้ กษัตริย์พมา่ ทรงล่วงรเู้ ชน่ นั้นจงึ รบี ด�ำเนินการทันที ด้วยการหา้ มคา้ ชา้ งเสีย หลักฐานระบเุ พิม่ เตมิ ว่านอกจากห้ามคา้ ขายแล้ว กษัตรยิ ์พม่ายงั ประพฤติล่วงเกินราชทูตศรีลังกาหลายคร้ังหลายหน โดยอ้างว่าราชทูต เหล่านี้น�ำราชสาสน์ส่งถึงตนไปมอบให้กษัตริย์กัมพูชา จึงโปรดให้ริบ เคร่ืองราชบรรณาการทุกส่ิงอย่างพร้อมจับราชทูตโยนลงจากป้อม ปราการ คมั ภรี ร์ ะบสุ ถานทนี่ ามวา่ มลยประเทศ หลกั ฐานศรลี งั การะบวุ า่ กษัตริย์พม่ายึดเงินทองช้างและเรือบรรทุกที่เป็นของราชทูตศรีลังกา ทั้งหมด ทรงให้ตรึงเท้าด้วยไม้และทรมานอย่างโหดร้าย จากน้ันบังคับ ให้ท�ำงานโดยไม่ให้ด่ืมน้�ำ๗๒ สุดท้ายทรงบังคับให้รับสารภาพ จากน้ัน ทรงมีพระบรมราชโองการว่านับแต่น้ีห้ามเรือส�ำเภาเล่มใดของศรีลังกา เข้าจอดท่าเรือของพม่า หากศรีลังกาส่งผู้ถือสาสน์มาอีกครั้งจะต�ำหนิ

ความสมั พนั ธ์ทางการเมอื ง 61 พม่ามไิ ด้ แม้จะลงโทษประหารชีวิตราชทตู กต็ าม และทรงไม่อนุญาตให้ พวกราชทูตเดินทางกลับเกาะลังกาหากไม่ท�ำหนังสือรับรองเสียก่อน๗๓ หลังจากเหตุการณ์น้ีไม่นาน กษัตริย์พม่ารับสั่งให้ส่งพระวาคิสสรเถระ และนักปราชญ์นามว่าธรรมกิตติไปเกาะลังกาด้วยเรือบรรทุกอันรั่ว๗๔ คราวหนึ่งกษัตริย์พม่าได้ยึดสินค้าและสิ่งของอันมีค่าท้ังหมดของพ่อค้า ชาวสงิ หล และทรงสญั ญาวา่ จะมอบชา้ งและเงนิ ทองใหค้ นื แตก่ ล็ มื เสยี ๗๕ ผู้บันทึกต�ำนานพยายามอธิบายเหตุการณ์หลายคร้ังกรณีกษัตริย์ พม่าล่วงเกินชาวสิงหล แต่เหตุการณ์เหล่าน้ันกลับมีลักษณะพร่ามัว หลกั ฐานอกี แหง่ หนงึ่ ระบวุ า่ กษตั รยิ พ์ มา่ ชว่ ยเหลอื เจา้ ชายอนิ เดยี พระองค์ หนงึ่ กรณเี กดิ การแยง่ ชงิ บลั ลงั ก๗์ ๖ ตรงนผ้ี บู้ นั ทกึ ตำ� นานพากนั กลา่ วถงึ แบบคลุมเครือ สันนิษฐานว่าน่าจะต้องการช้ีให้เห็นวิธีการอันเลวทราม ของกษัตริย์พม่า๗๗ ย่ิงกว่าน้ัน เรื่องราวลักษณะเดียวกันนี้ผู้บันทึก ต�ำนานก็พากนั อธบิ ายแตกตา่ งกนั ๗๘ สาเหตุหลักของการขัดแย้งคือการห้ามค้าขายและประพฤติ ล่วงเกินคณะราชทูต คัมภีร์จุลวงศ์อธิบายเร่ืองราวเพียงด้านเดียวอย่างเกินจริง๗๙ สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากความผิดเสียหายร้ายแรงของศรีลังกา จึงท�ำให้กษัตริย์พม่าต้องด�ำเนินการดังกล่าว ผู้บันทึกต�ำนานอาจไม่รู้ ความจริงจึงปกป้องศรีลังกา โดยไม่ทราบเร่ืองราวฝ่ายพม่าเลย ครน้ั กษัตรยิ ์พมา่ รับสง่ั ให้หยดุ การค้าช้างอยา่ งเสรี พ่อคา้ ชาวสิงหลอาจ จะลักลอบค้าขายจึงผิดกฎหมาย๘๐ หรือบางทีกษัตริย์สิงหลอาจจะเสีย โอกาสทางการเมืองและเศรษฐกจิ จงึ พิโรธกษัตรยิ พ์ ม่า แล้วหันมาสร้าง สัมพันธ์ไมตรีด้านการค้ากับกัมพูชา ประเด็นนี้โดเรย์เสล์เห็นว่ากษัตริย์

62 ศรีลงั กาและอษุ าคเนย์ พกุ ามไม่ทราบวา่ เกิดอะไรขน้ึ บริเวณหัวเมอื งชายฝั่งทะเล และการสร้าง ความเสยี หายแกช่ าวศรลี งั กาลว้ นเปน็ ผลงานของเจา้ เมอื ง๘๑ ความจรงิ คือยุคนี้พม่าตอนล่างและพุกามเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน กษัตริย์แห่ง พุกามน้ันเพียรพยายามทจ่ี ะควบคุมบรเิ วณชายฝ่งั ทะเลทัง้ หมด เหตผุ ล คือการค้าทางทะเล หลักฐานชี้ให้เห็นว่าเจ้าเมืองล้วนด�ำเนินตาม พระราชอ�ำนาจ อีกด้านหน่ึงเช่ือว่าเจ้าเมืองอาจจะกระท�ำความรุนแรง เกนิ พระบรมราชโองการ คัมภีร์จุลวงศ์ชี้ให้เห็นว่าข้อห้ามอันรุนแรงของพม่า มีผลกระทบ ต่อการค้ากับต่างประเทศของศรีลังกา เพราะการติดต่อกับต่างประเทศ ทางทิศตะวันออกมีความส�ำคัญยิ่ง ดังเช่นอินเดียและชาติตะวันตก อาณาจกั รนอ้ ยใหญบ่ รเิ วณอษุ าคเนยแ์ ละจนี ลว้ นสงเคราะหส์ นิ คา้ มรี าคา จากตลาดโลกและศรลี งั กา ยทุ ธศาสตรก์ ารคา้ เชงิ ภมู ศิ าสตรจ์ งึ มกี ารแบง่ ปนั ตามชายฝง่ั ทะเล๘๒ จกั รวรรดศิ รวี ชิ ยั เปน็ ดนิ แดนปอ้ งกนั เรอื จากการ คา้ ดา้ นตะวนั ตกกบั จนี ทมฬิ โจฬะตอ่ สเู้ พอื่ ทำ� ลายสทิ ธขิ์ าดของอาณาจกั ร ศรีวิชัย และเพื่อควบคุมการค้าตามเส้นทางริมชายฝั่งทะเลเหล่าน้ี และสามารถปลอ่ ยคอคอดกระใหเ้ ปน็ อสิ ระจากการควบคมุ ของจกั รวรรดิ ศรวี ชิ ยั ครนั้ พระเจ้าราเชนทรโจฬะทรงท�ำสงครามแลว้ พวกทมิฬโจฬะ กส็ ามารถเข้าถือครองสว่ นการค้า โดยใช้เส้นทางบกเชอื่ มกบั มหาสมุทร อินเดียและอ่าวไทย๘๓ เจา้ จกู ัวะแสดงหลกั ฐานว่าพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ จกั รวรรดศิ รวี ชิ ยั เปน็ ผคู้ วบคมุ เสน้ ทางผา่ นชอ่ งแคบ๘๔ กลา่ วโดยสรปุ แม้ พุทธศตวรรษท่ี ๑๘ เรือสินค้าทุกล�ำยังต้องผ่านช่องแคบและต้อง จ่ายภาษีแกม่ หาราชแหง่ ศรวี ิชยั อยา่ งหนกั

ความสัมพันธ์ทางการเมือง 63 กอ่ นรชั สมยั ของพระเจา้ ปรากรมพาหมุ หาราชหนง่ึ ศตวรรษ พอ่ คา้ ชาวชาววิเทศพากันต้ังสถานีการค้าบนเกาะลังกาแล้ว หลักฐานคือ นักภูมิศาสตร์อาหรับนามว่าอัล-อิดริสิ (Al-Idrisi) (แต่งหนังสือ พทุ ธศกั ราช ๑๖๙๗) ไดร้ ะบวุ า่ เรอื พอ่ คา้ ชาววเิ ทศเปน็ จำ� นวนมากเขา้ จอดเทยี บทา่ เกาะลงั กา และระบถุ งึ สนิ คา้ สง่ ออกของลงั กาวา่ เปน็ ผา้ ไหม และนำ้� หอม๘๕ สนิ คา้ เหลา่ นมี้ ไิ ดผ้ ลติ ในลงั กา สนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะนำ� เขา้ มาทางเรือแลว้ เปลี่ยนถา่ ย หลักฐานการท�ำสงครามกับพม่าและการบุกรุกอินเดียใต้ช้ีให้เห็น วา่ พระเจ้าปรากรมพาหุมหาราชนนั้ ทรงมีแสนยานุภาพทางกองทพั เรือ และบางทีพระองค์อาจมีส่วนร่วมการค้าด้วย เหตุผลที่พระองค์ทรงส่ง ราชทูตไปพม่า อาจจะเห็นว่าราชทูตเหล่าน้ันสามารถดูแลรักษาการค้า ได๘้ ๖ หลกั ฐานดังกล่าวสอดคลอ้ งกับจารกึ ทมฬิ ไนนตวิ ุของพระองคเ์ อง ซ่ึงพรรณนาไว้ว่า ชาวต่างชาติควรพ�ำนักที่อูราตตุไรเพ่ือสามารถดูแล รกั ษา และพอ่ คา้ วาณชิ ชาววเิ ทศจากหลายทา่ ควรมารวมตวั กนั ทที่ า่ เรอื แห่งเรา ดังเช่นพวกชื่นชอบช้างและม้า หากเรือบรรทุกช้างและม้าเกิด อบั ปางลง สว่ นทส่ี ค่ี วรเปน็ ของกรมคลงั และอกี สามสว่ นทเี่ หลอื ควรเปน็ ของเจ้าของ และหากเรอื บรรทุกพร้อมสินคา้ ล่มอับปางลง ครง่ึ หน่งึ เปน็ ของกรมคลงั และอกี ครงึ่ หนงึ่ ควรมอบใหเ้ จา้ ของ ธรรมเนยี มนคี้ วรบงั คบั ใช้ตราบเทา่ พระจนั ทรแ์ ละพระอาทิตยย์ งั ส่องแสงอย๘ู่ ๗ เหตุเพราะพลานุภาพของพวกจักรวรรดิและการเก็บภาษีเรือต่าง ชาตอิ ยา่ งรนุ แรง พอ่ คา้ ชาวสงิ หลนา่ จะหนั มาใชเ้ สน้ ทางบกซง่ึ อยภู่ ายใต้ การควบคุมของกษัตรยิ พ์ มา่ กษัตรยิ ์ลังกานา่ จะรบั สง่ั ให้พวกราชทูตท�ำ เชน่ นนั้ เพอื่ ตอ้ งการสรา้ งสมั พนั ธไมตรกี บั กมั พชู า หลกั ฐานฝา่ ยจนี อา้ ง

64 ศรีลงั กาและอุษาคเนย์ วา่ กมั พชู าสนใจทำ� การคา้ กบั ตา่ งประเทศเชน่ กนั โดยเฉพาะจนี กอ่ นสมยั พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนขาดช่วงไป กษตั ริยห์ ลายพระองคพ์ ยายามฟน้ื ความสมั พนั ธข์ นึ้ มาใหม่ หมา่ ตวั หลนิ ระบุว่าปพี ทุ ธศักราช ๑๖๕๙, ๑๖๖๐ และ ๑๖๖๒ คณะราชทูต แห่งอาณาจักรเจนละเดินทางไปจีน และเสริมอีกว่าเพราะความยุ่งยาก ทางการค้าจึงถูกตรวจสอบและตราเป็นกฎขึ้น ระหว่างพุทธศักราช ๑๖๗๔-๑๖๙๐๘๘ สันนิษฐานว่าสมัยน้ีเองกัมพูชาได้ผูกสัมพันธ์ ทางการคา้ กบั จกั รวรรดจิ นี กษตั รยิ ล์ งั กาครน้ั ทราบเชน่ นน้ั อาจสง่ ราชทตู ไปท�ำการค้าด้วย พ่อค้าชาวศรีลังกาอาจจะขนถ่ายสินค้าทางทะเลผ่าน คอคอดกระแล้วเปลี่ยนเป็นทางเท้าเข้าสู่กัมพูชา และพ่อค้าชาวกัมพูชา คงนำ� สนิ คา้ ตนและสงิ หลสง่ ตอ่ ไปยงั จนี ขากลบั พอ่ คา้ ลงั กาอาจรบั สนิ คา้ จากจนี และดินแดนอษุ าคเนย์นำ� กลับมาอีกทอดหนึง่ นจ้ี ึงเปน็ เหตใุ ห้สนิ คา้ จนี ดังเชน่ ผา้ ไหมและนำ้� หอมมาถงึ ลงั กา สงครามระหวา่ งศรลี งั กากบั พมา่ ปรณวิตานะเห็นว่าเพ่ือป้องกันความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักร กัมพูชากับมหาราชแห่งศรีวิชัย พระเจ้าปรากรมพาหุมหาราชได้บังคับ กษัตริย์พม่า ซ่ึงเป็นศัตรูของอาณาจักรศรีวิชัย ให้ปิดกั้นเส้นทางไปยัง อาณาจักรกัมพูชาเสีย๘๙ แต่ยุคน้ีหาได้มีหลักฐานใดสามารถช้ีบอกถึง สัมพันธ์ระหว่างพม่ากับศรีวิชัยไม่ จึงสันนิษฐานว่ากษัตริย์พม่านั้นเอง เปน็ ผปู้ อ้ งกนั กษตั รยิ ล์ งั กา ซงึ่ พยายามสรา้ งความสมั พนั ธก์ บั อาณาจกั ร กมั พชู า พระเจา้ ปรากรมพาหมุ หาราชคงไม่มีทางเลอื กจงึ ส่งกองทัพเขา้ บุกรกุ พม่า เพ่ือบังคบั พระเจ้าชา้ งเผือกทำ� ตามที่พระองคท์ รงร้องขอ

ความสัมพันธ์ทางการเมือง 65 พระเจ้าปรากรมพาหุมหาราชทรงประกาศว่ากษัตริย์พม่าต้อง ถูกจับหรือประหารชีวิตเท่านั้น ผู้รับหน้าที่เป็นแม่ทัพรั้งต�ำแหน่ง ทมิฬาธิการินช่ือว่าอาทิจจะ๙๐ คราวนั้นเหล่าขุนนางของพระองค์ทูล ทัดทานมิใหเ้ ป็นแม่ทพั ด้วยเหตุนั้นพระองคท์ รงแต่งต้ังขุนนางท่านน้ีท�ำ หนา้ ทบ่ี ญั ชาการรบแทน ถอ้ ยคำ� เชน่ นเี้ ปน็ ความจรงิ มากนอ้ ยเพยี งไรยาก ท่ีจะรู้ได้ หรือว่าผู้บันทึกต�ำนานพยายามบอกเป็นนัยว่ากองทัพของ พระเจา้ ปรากรมพาหมุ หราชคราวนนั้ ไมไ่ ดใ้ หญโ่ ตมากนกั แตร่ ายละเอยี ด เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมเพื่อรณรงค์สงครามคราน้ี ช้ีให้เห็นว่า ลังกามีการวางแผนท�ำสงครามคร้ังใหญ่เป็นอย่างดี ส�ำหรับสถานท่ี เตรียมความพร้อมอยู่บริเวณหัวเมืองชายทะเล พระองค์โปรดให้สร้าง เรอื รบและอาวธุ พรอ้ มชดุ เกราะ๙๑ อาวธุ พเิ ศษอยา่ งหนง่ึ คอื ลกู ศรเตรยี ม ไว้ส�ำหรับต่อกรกับช้าง มีการตระเตรียมเสบียงอย่างพร้อมเพรียงเพื่อ สงครามยดื เยอ้ื หลายปี นอกจากนนั้ ยงั บรบิ รู ณพ์ รอ้ มดว้ ยแพทยแ์ ละเภสชั การตระเตรยี มความพรอ้ มเพอื่ การรณรงคส์ งครามครานใี้ ชเ้ วลา ๕ เดอื น พระองค์โปรดให้ตระเตรียมส่ิงของจ�ำเป็นที่ปัลลววังกะ๙๒ คร้ันพร้อม ทกุ สง่ิ เสรจ็ สรรพแลว้ กองทัพเรอื ไดอ้ อกเดนิ ทางมงุ่ ส่พู ม่า๙๓ แม้จะพรอ้ มทุกสิง่ อย่างแตพ่ ายอุ ันร้ายกาจก็บ่นั ทอนแผนการเสยี หลักฐานจากคัมภีร์จุลวงศ์ระบุว่าเรือบางล�ำถูกมรสุมผลักออก นอกเส้นทาง แล้วเกยต้ืนที่ชายฝั่งของศัตรู เรือล�ำหนึ่งข้ึนฝั่งท่ีเกาะ การอ้ ง๙๔ ทหารชาวสิงหลต้องต่อสู้กบั ผู้คนบนเกาะแห่งนจี้ นพา่ ยแพถ้ กู จับเป็นจ�ำนวนมาก เฉพาะเรือหกล�ำเท่านั้นที่สามารถขึ้นฝั่งพม่าอย่าง ปลอดภัย กล่าวคือห้าล�ำขึ้นฝั่งที่เมืองกุสุมิ ส่วนอีกล�ำขึ้นฝั่งท่ีเมือง ปปั ผาลมะ สำ� หรบั เรอื ทข่ี นึ้ ฝง่ั เมอื งกสุ มุ นิ นั้ ขนุ ศกึ นามวา่ นครคริ กิ ติ ตไิ ด้

66 ศรีลงั กาและอษุ าคเนย์ น�ำทหารหาญบุกเข้าท�ำลายกองทัพของรามัญ พร้อมเผาท�ำลายต้นไม้ และหมู่บ้านน้อยใหญ่ ส่วนเรือท่ีขึ้นฝั่งที่เมืองปับผาลมะ แม่ทัพทมิฬา- ธิการินได้น�ำทหารหาญเข้าต่อสู้กับทหารพม่าอย่างดุเดือด พร้อมบุก ทำ� ลายและเผาเมอื งรามญั จนพนิ าศย่อยยับ๙๕ ต�ำนานลังกาเสริมอีกวา่ ทหารหาญชาวสงิ หลไดเ้ ผาเมอื งอกุ กมะ พรอ้ มประหารกษตั รยิ แ์ หง่ รามญั ประเทศดว้ ย ครนั้ มชี ยั เหนอื ชาวพมา่ แลว้ เสนาบดที ง้ั สองไดข้ น้ึ ขชี่ า้ งเผอื ก เวยี นรอบเมอื ง แลว้ ประกาศความยงิ่ ใหญข่ องชนชาวสงิ หล ตำ� นานเสรมิ อีกว่าชาวรามัญทุกตัวคนได้ประชุมพร้อมกันถวายช้างเผือกเป็น บรรณาการแกก่ ษตั ริยล์ งั กาทกุ ปี และสง่ ผถู้ ือสาสนเ์ ดนิ ทางไปพร้อมกับ พระสงฆ์ศรีลังกา คราวน้ันมีการเปล่ียนแปลงสัญญาระหว่างสอง แผ่นดินและรื้อฟื้นมติ รภาพขน้ึ อกี ครัง้ ๙๗ ผู้บันทึกต�ำนานชาวสิงหลระบุว่ามีเรือเพียงหกล�ำสามารถขึ้น ฝง่ั พมา่ แตเ่ วลาบรรยายสงครามเหมอื นบอกเปน็ นยั วา่ กองทพั ชาวสงิ หล ครานั้นย่ิงใหญ่เกรียงไกร ผู้บันทึกตำ� นานสมัยนั้นไม่สามารถบอกได้ว่า เหตุใดเรือจึงสามารถขนผู้คนได้เพียงพอ เพื่อต่อสู้กับชาวพม่าจ�ำนวน มาก๙๘ หลกั ฐานจีนสมยั ราชวงศถ์ งั ตอนกลางกลา่ วขานวา่ เรือของชาว สิงหลมีขนาดใหญ่สุด มีความยาวประมาณ ๗๐ เมตร และสามารถ บรรทกุ คนไดถ้ งึ ๖๐๐-๗๐๐ คน๙๙ หากวเิ คราะห์ตามหลักฐานนก้ี ช็ ้ี ใหเ้ หน็ วา่ การเดนิ ทางไปพมา่ ครานนั้ นา่ จะมกี ารบรรทกุ ทหารหาญอยา่ ง น้อยเปน็ จำ� นวนเรอื นพัน แมจ้ ำ� นวนทหารอาจจะไมเ่ พียงพอส�ำหรบั การ ท�ำสงครามขนาดใหญ่ ผู้บันทึกต�ำนานเองก็ระบุจ�ำนวนมากเกินจริง ความน่าจะเป็นคือสงครามครั้งน้ีเป็นการบุกโจมตีเพียงท่าเรือบางแห่ง ของพมา่ ตอนลา่ งเทา่ นน้ั ๑๐๐

ความสัมพันธ์ทางการเมอื ง 67 คำ� วา่ “กุสมุ ิ” ยนื ยันแลว้ ว่าเป็นเมืองพะสิม๑๐๑ จารึกเทวนคระ อ้างว่าเป็นสถานท่ีขุนศึกนามว่ากิตนุวรคะละยกทัพเข้าโจมตี๑๐๒ ส่วน คำ� วา่ “ปบั ผาลมะ” ยนื ยนั แลว้ วา่ คอื เมอื งปบั ผาลมั เปน็ สถานทแ่ี หง่ หนงึ่ ซง่ึ พระเจา้ ราเชนทรโจฬะเขา้ บกุ รกุ โจมต๑ี ๐๓ สมยั รณรงคส์ งครามบรเิ วณ ดนิ แดนอษุ าคเนย์ เซเดสช์ วี้ า่ เมอื งนเ้ี ปน็ บรเิ วณชายฝง่ั เมอื งหงสาวดี และ ค�ำว่า “อุกกมะ” เป็นสถานท่ีปลงพระชนม์กษัตริย์รามัญ แต่ยืนยันได้ ยากนัก วิกรมสิงหะตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเมืองเมาะตะมะ๑๐๔ สมัยก่อน รู้จักกันแพร่หลายในนามว่ามุฮตมะหรือมุตตมะ หากยืนยันเป็นแนว เดยี วกนั ยอ่ มหมายความวา่ หวั เมอื งเหลา่ นเ้ี ปน็ ทา่ เรอื สำ� คญั ทางตอนใต้ ของพม่า จุดมุ่งหมายของการท�ำสงครามคร้ังน้ีคือ การเปิดเส้นทาง การคา้ ซงึ่ กษตั รยิ พ์ มา่ ปดิ กนั้ เอาไว้ และการทก่ี องทพั ชาวสงิ หลเขา้ โจมตี ทา่ เรือเหลา่ นี้น่าจะเป็นเรอื่ งปกตธิ รรมดาของวสิ ัยการคา้ สมยั อาณาจกั รพกุ ามนน้ั บรเิ วณพมา่ ตอนใตป้ กครองโดยเจา้ เมอื ง และขนึ้ ตรงตอ่ กษตั รยิ แ์ หง่ อาณาจกั รพกุ าม๑๐๕ เจา้ เมอื งเหลา่ นนั้ อาจจะ มีกองทัพขนาดเล็กส�ำหรับป้องกันตนเอง ด้วยกองทัพขนาดเล็กเช่นน้ี อาจไมส่ ามารถตอ่ กรกบั กองทพั ศรลี งั กาได้ จงึ เปน็ เหตผุ ลวา่ ทำ� ไมจงึ ยอม แพ้หลังจากสูญเสียเจ้าเมือง ความจริงคือกษัตริย์ลังกาต้องการจับกุม หรอื ปลงพระชนมก์ ษตั รยิ พ์ มา่ แหง่ เมอื งมรมิ ทั ทนะหรอื พกุ าม แตก่ ารสญู เสียเรือซึ่งอับปางเพราะพายุย่อมท�ำให้กองทัพไม่สามารถเดินหน้าได้ เพียงเท่าน้ันก็เข้มแข็งพอที่จะยึดหัวเมืองตอนใต้ของพม่าได้ ก่อนที่เจ้า เมืองเหล่านั้นจะขอความช่วยเหลือจากพุกาม แต่การติดต่อกันย่อมใช้ เวลาหลายวนั เจา้ เมอื งเหลา่ นนั้ จงึ ไมม่ ที างเลอื กอน่ื นอกจากยอมศโิ รราบ แกแ่ ม่ทพั ชาวศรลี ังกา ซ่ึงตอ่ มาเมืองหลวงกเ็ หน็ พร้อมยอมตาม สมยั น้ี การข่มขู่จากจักรวรรดิเขมรก็ยุติลง นับแต่ผู้สืบทอดต�ำแหน่งต่อจาก

68 ศรลี งั กาและอุษาคเนย์ พระเจา้ สรุ ยิ วรมันท่ี ๒ ลว้ นอ่อนแอ นอกจากนน้ั อาณาจกั รกมั พูชาก็ ตอ้ งเผชญิ กบั การบกุ รกุ ของชาวจาม๑๐๖ ดว้ ยเหตดุ งั กลา่ วนา่ จะเปน็ เหตุ ให้มีการตกลงท�ำสัญญาสงบศึก หลักฐานว่าชาวรามัญได้ส่งพระ ราชสาสน์ไปมอบให้พระสงฆ์ศรีลังกาโดยไม่ผ่านกษัตริย์ ตรงน้ีข้อมูลไม่ ชัดเจน สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพระสงฆ์ชาวพม่าทางตอนใต้ ซึ่งมี ความสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กบั พระสงฆศ์ รลี งั กาเปน็ ผทู้ ำ� หนา้ ชว่ ยสงบศกึ ครงั้ นี้ จึงมีความเป็นไปได้ว่าพระสงฆ์พม่าซึ่งก�ำลังรอเดินทางไปนมัสการ บุณยสถานบนเกาะลังกา น่าจะเข้าร่วมกับขบวนราชทูตอัญเชิญ พระราชสาสนไ์ ปทลู ถวายกษตั รยิ ศ์ รลี งั กา ครน้ั เดนิ ทางถงึ เกาะลงั กาแลว้ พระสงฆ์พม่าเหล่านั้นอาจจะพบกับพระเถระศรีลังกาก่อน จากน้ันจึง ตกลงพรอ้ มใจกนั เขา้ เฝา้ พระเจา้ ปรากรมพาหมุ หาราช เพอื่ ทลู เกลา้ ถวาย ราชสาสน์แห่งสันต๑ิ ๐๗ ความส�ำเร็จของการเข้าโจมตียึดครองพม่าปรากฏในจารึก เทวนคละ๑๐๘ สอดคลอ้ งกบั หลกั ฐานในคมั ภรี ป์ ชู าวลยิ ะซงึ่ ระบวุ า่ พระเจา้ ปรากรมพาหุมหาราชทรงรับเครื่องบรรณาการจากอรมณหรือพม่า๑๐๙ จารึกเทวนคละอ้างว่าพระเจ้าปรากรมพาหุโปรดพระราชทานท่ีดินแก่ เสนาบดกี ติ นวุ รคละ ในฐานะเปน็ แมท่ พั เขา้ ยดึ ครองพมา่ สว่ นลซู เหน็ วา่ ผลแหง่ สงครามคราวนี้ พระเจ้าปรากรมพาหุมหาราชได้เขา้ ครอบครอง เหนือเส้นทางคอคอดกระ๑๑๐ ส่วนอิทธิพลด้านการเมืองไม่มีหลักฐาน อ้างถึงแต่อย่างใด สันนิษฐานว่าหลังจากสงครามแล้วเสร็จพ่อค้าชาว สงิ หลมอี สิ รภาพทางการคา้ มากขนึ้ เพราะอปุ สรรคปญั หาไดร้ บั การแกไ้ ข แล้ว อีกด้านหน่ึง การท�ำสงครามกับพม่าคราวน้ีท�ำให้มีการฟื้นฟู วฒั นธรรมข้ึนอกี คร้ังระหวา่ งสอนแผน่ ดนิ

ความสัมพันธ์ทางการเมือง 69 หลกั ฐานจากจารกึ เทวนคละระบสุ งครามศรลี งั กากบั พมา่ คราวนน้ั ว่า ตรงกับปีท่ี ๑๒ แห่งการครองราชย์ของพระเจ้าปรากรมพาหุ๑๑๑ นกั วิชาการเช่นดโุ รเสเลย์ (Duroiselle) และฮาร์เวย์ (Harvey) ยืนยนั สงครามครั้งนั้นว่าตรงกับพุทธศักราช ๑๗๐๗๑๑๒ เพราะระยะเวลา การครองราชยข์ องพระเจา้ ปรากรมพาหนุ น้ั มไิ ดร้ ะบไุ วใ้ นจารกึ หลกั นเี้ ลย จึงยนื ยันว่าการบกุ รุกพม่าตรงกบั พทุ ธศกั ราช ๑๗๒๓ สอดคลอ้ งกบั เซเดส์ซึ่งต้ังข้อสังเกตเพิ่มเติมว่าการเดินทางไปเกาะลังกาของพระสงฆ์ ตามหลักฐานฝ่ายพม่าสามารถเช่ือมโยงกับการรณรงค์สงครามคร้ัง น้ัน๑๑๔ หลักฐานจากจารึกโบราณและต�ำนานระบุชัดเจนว่าพระเจ้า ปรากรมพาหุมหาราชเสวยราชย์เมื่อพุทธศักราช ๑๖๙๖ ส่วนจารึก เทวนคละสรา้ งขน้ึ ภายหลงั สงครามไมน่ าน ไดร้ ะบวุ า่ สงครามใชเ้ วลาเกนิ ๕ เดือน แต่อักษรบางส่วนไม่สามารถอ่านได้ ระยะเวลานับจากเสนา บดีกิตนวรคละยกทัพเรือหน่ึงพันล�ำเข้าเผาท�ำลายเมืองกุสุมิดังกล่าวน่า จะมากเกินจริง สันนิษฐานว่าหากจารึกสร้างข้ึนตอนเริ่มต้นปีที่ ๑๒ แหง่ การครองราชยข์ องพระเจา้ ปรากรมพาหมุ หาราช สงครามนา่ จะเกดิ ขน้ึ ตอนทา้ ยแหง่ ปที ี่ ๑๑ และหากจารกึ สรา้ งตอนทา้ ยปที ี่ ๑๒ กองทพั เรือน่าจะออกเดินทางตอนต้นปีเดียวกัน จึงสรุปว่าตรงกับตอนท้ายปี พทุ ธศักราช ๑๗๐๗ หรือตอนต้นพทุ ธศกั ราช ๑๗๐๘ จารึกระบุว่าความบาดหมางเกิดขึ้นต้ังแต่สมัยพระเจ้าภูวนา- ทติ ยา๑๑๕ หลกั ฐานนบ้ี ง่ ถงึ พระสมญั ญานามตามตำ� นานของพมา่ เพราะ สมัยอาณาจักรพุกามนั้นมีกษัตริย์มากกว่าหน่ึงพระองค์ที่ใช้พระนามน้ี ปรณวิตานะเห็นว่าหากถือตามประเพณีของพม่า พระนามน้ีใช้เฉพาะ พระเจ้าอลองสิทธูเท่าน้ัน โดยอ้างหลักฐานจากต�ำนาน หากพิเคราะห์ ตามหลกั ฐานสงครามลงั กากบั พมา่ นา่ จะเกดิ ขน้ึ สมยั กษตั รยิ พ์ ระองคน์ เ้ี อง

70 ศรีลังกาและอษุ าคเนย์ ตามตำ� นานพมา่ เองกล็ ะเลยเนอ้ื หาเชน่ นน้ี า่ จะหมายถงึ พระเจา้ อลองสทิ ธู ไม่ได้เก่ียวข้องกบั เร่อื งนี้ หรอื รบั ร้กู ารพ่ายแพ้สูญเสียตามขอ้ สงั เกตของ ดโุ รยเสเลย๑์ ๑๖ หรอื อกี ประการหนง่ึ สงครามครานม้ี ไิ ดส้ รา้ งชอ่ื เสยี งใหแ้ ก่ กษตั รยิ พ์ มา่ จงึ เปน็ เหตใุ หผ้ บู้ นั ทกึ ตำ� นานพากนั ละเลยเหตกุ ารณน์ เี้ สยี หลักฐานเบ้ืองต้นท�ำให้ทราบว่าศรีลังกาติดต่อทางการเมืองกับ พมา่ ตง้ั แตส่ มยั ของพระเจา้ วชิ ยั พาหทุ ่ี ๑ ซง่ึ สมยั นนั้ พระองคก์ ำ� ลงั ตอ่ สู้ ปลดแอกบา้ นเมอื งจากทมฬิ โจฬะ ขณะทคี่ วามสมั พนั ธท์ างศาสนาไดเ้ กดิ ขึ้นกอ่ นแล้ว พระเจา้ วิชัยพาหุได้รบั ความชว่ ยเหลือจากพระเจ้าอโนรธา ของพมา่ เปน็ อยา่ งดี ดว้ ยการตอ่ ตา้ นทมฬิ โจฬะ นบั จากวนั สวรรคตของ พระเจ้าวิชัยพาหุ จนถึงการขึ้นเสวยราชย์ของพระเจ้าปรากรมพาหุ มหาราช ไม่มีหลักฐานฝ่ายศรีลังกากล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างสอง แผน่ ดนิ เลย แมค้ มั ภรี จ์ ลุ วงศจ์ ะอา้ งวา่ มกี ารรกั ษาความสมั พนั ธส์ บื เนอื่ ง มาจนถงึ สมยั นี้ พระเจา้ ปรากรมพาหมุ หาราชนนั้ ทรงสนใจการคา้ ชายฝง่ั ทะเลมหาสมทุ รอนิ เดยี จงึ สรา้ งมติ รภาพกบั กมั พชู า ซงึ่ สมยั นน้ั เปน็ ผทู้ รง อิทธิพลบริเวณดินแดนอุษาคเนย์ ขณะเดียวกันพระเจ้าอลองสิทธูก็ให้ ความส�ำคัญด้านการค้าชายฝั่งทะเลเช่นกัน เพราะกลัวการรุกรานของ กัมพูชาจึงไม่ยอมรับนโยบายต่างประเทศของพระเจ้าปรากรมพาหุ มหาราช จึงเป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ระหว่างพม่าและศรีลังการ้าวฉาน เพอ่ื ที่จะแกไ้ ขขอ้ ห้ามเรอ่ื งการค้าของกษัตริย์พม่า พระเจ้าปรากรมพาหุ มหาราชจึงรับส่ังให้ยกทัพเข้าบุกรุกโจมตีท่าเรือส�ำคัญของพม่าทาง ตอนล่าง สดุ ทา้ ยความไมล่ งรอยกันระหว่างสองอาณาจักรก็มกี ารแก้ไข กลายมาเปน็ มติ รไมตรดี ังเดิม

ความสัมพันธ์ทางการเมอื ง 71 พระพทุ ธรปู ศิลา ภายในวัดกัลวหิ าร เมืองหลวงเกา่ โปโฬนนารวุ ะ ประเทศศรลี งั กา รูปสลักพระเจ้าปรากรมพาหุ ภายในโปตคุลวิหาร เมืองหลวงเก่าโปโฬนนารุวะ ประเทศ ศรีลงั กา

72 ศรีลงั กาและอุษาคเนย์ พระราชวังไวชยันตปราสาทของพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช ภายในเมืองหลวงเก่า โปโฬนนารุวะ ประเทศศรลี งั กา ทอ้ งพระโรงสำ� หรบั ออกวา่ ราชการของพระเจา้ นสิ สงั กมลั ละ เมอื งหลวงเกา่ โปโฬนนารวุ ะ ประเทศศรลี งั กา

ความสมั พนั ธ์ทางการเมอื ง 73 พระพทุ ธรปู ภายในเมอื งหลวงเกา่ พกุ าม ประเทศพมา่ (คดั ลอกภาพจาก www.facebook. com/Royal-Bagan-Hotel) อานนั ทเจดยี แ์ หง่ เมอื งพกุ าม ประเทศพมา่ (คดั ลอกภาพจาก www.google.co.th/maps)

74 ศรีลงั กาและอษุ าคเนย์ พระพทุ ธรปู ภายในเมอื งหลวงเกา่ พกุ าม ประเทศพมา่ (คดั ลอกภาพจาก www.facebook. com/Royal-Bagan-Hotel) เจดีย์เก่าภายในเมืองหลวงเก่าพุกาม ประเทศพม่า (คัดลอกภาพจาก www.facebook. com/Royal-Bagan-Hotel)

ความสมั พนั ธ์ทางการเมอื ง 75 เชิงอรรถ ๑ R.A.L.H. Gunawardene, ‘South Indian Invasions’ (in Sinhalese), Anuradhapura Yugaya, ed. Liyanagamage and Gunawardene (Vidyalankara University Press, first ed (1961), pp.264-87; K. Indrapala, ‘Dravidian Settlments in Ceylon and the beginnings of the kingdom of Jaffna, Ph.D. Thesis (University of London, 1965, unpublished). ๒ Nilakanta Sastri, The Colas, 2nd ed. (Madras, 1955), pp.218 ff; A.L. Basham, ‘The Background to the Rise of Parakramabahu I’, The Polonnaruva Period, p.15; O.W. Wolters, Early Indonesian Commerce, pp.250-51. ๓ UHC, Vol. I, pt.1, pp.350 ff; pt.2, pp.348ff; W.M.K. Wijetunga, ‘The Rise and Decline of the Cola Power in Ceylon’, Ph.D. Thesis (University of London, 1962, unpublished). ๔ Basham, op.cit., pp.16-19; UHC, Vol., pt.2, pp.417 ff; Wijetunge, op.cit. ประเดน็ นเ้ี กี่ยวขอ้ งกับความยาวของหนังสือเล่มน้ี ๕ Nilakanta Sastri, ‘Vijayabahu I, the Liberator of Lanka’, JCBRAS, NS, Vol.IV, pp.45-71; UHC, Vol.I, pt.2, pp.421-27. ๖ Cv., LVIII, 8-10. ๗ Mv., XXXIV, 28-30, XXXV, 26-28, XXXVI, 49-51, Cv., XXXIX, 20-22, XLVII, 40-42; Ranaweera Gunawardene, ‘South Indian Invasions’, loc.cit.

76 ศรีลงั กาและอษุ าคเนย์ ๘ G.H. Luce, ‘A Cambodian (?) Invasion of Lower Burma –A Comparative Study of Burmese and Talaing Chronicles’, JBRS, Vol.XII, pt.1 (1922), pp.39-45; Luce, ‘Some Old Reference to the South of Burma and Ceylon’, op.cit. p.270; Luce, ‘The Career of Htilaing (Kyanzittha), JRAS (1966), pp.57-58. ๙ Coedes, The Indianized States of South-east Asia (University of Hawai, 1968), p.150. ๑๐ Ibid., p.150; Luce, ‘Some Old Reference to the South of Burma and Ceylon’, op.cit., pp.270-71; Luce, ‘The Career of Htilaing (Kyanzittha)’, op.cit., p.59. ๑๑ Luce, ‘Some Old Reference to the South of Burma and Ceylon’, op.cit., p.271. ๑๒ Coedes, ‘Documents Sir I’histoire politique dt religieuns deu Laos Occidental’, BEFEO, Vol.XXV (1925), pp.113-14; Htin Aung, A History of Burma, pp.33-34. ๑๓ Harvey, History of Burma, pp.29-30; Coedes, The Indianized States, p.150. ๑๔ UHC., Vol.I, pt.2, pp.563-64. ๑๕ Cv., LVIII, 8-10. ๑๖ Nilakanta Sastri, ‘Vijayabahu I, the Liberation of Lanaka’, op.cit., p.49. ๑๗ สำ� หรบั เสน้ ทางพืน้ ดนิ น้ันดูใน Quaritch Wales, ‘A Newly Explored Route of Ancient Indian Expansion, IAL, Vol.IX, (1935), pp.1-35. ๑๘ Wolters, Early Indonesian Commerce, pp. 229ff.

ความสมั พนั ธ์ทางการเมือง 77 ๑๙ Nilankanta Sastri, The Colas, pp.211-20; Nilakanta Sastri, History of Srivijaya (Madras, 1949), pp.75ff.; Coedes, The Indianized States, pp.141-43; R.C. Majumdar, ‘The Overseas Expedition of King Rajendra Cola’, AA, Vol.XXIV, pp.338-42. ๒๐ Nilakanta Sastri, History of Srivijaya, pp. 66 ff. ๒๑ A. Lamb, ‘Miscellaneous Papers on Early Hindu and Buddhist Settlements in Northern Malay and Southern Thailand’, Federation Museums Journal, Vol.VI (1961), p.67, note 2. ๒๒ Nilakanta Sastri, The Colas, p.216; Nilakanta Sastri, History of Srivijaya, pp. 79ff. ๒๓ Coedes, ‘Le Royaume de Crivijaya’, BEFEO, Vol.XVIII, pp.14-15; Nilakanta Sastri, The Colas, p.216; Nilakanta Sastri, History of Srivijaya, p.81; Coedes, The Indianized States, p.143. ๒๔ Cv., LVIII, 8-10. ๒๕ Sirima Wickramasinghe, ‘Ceylon’s Relations with South-east Asia, with Special Reference to Burma’, op.cit., p.42. ๒๖ Luce, ‘Some Old References to the South of Burma and Ceylon’, op.cit., p.271. ๒๗ The Glass Palace Chronicles of the Kings of Burma, p.106. ๒๘ Luce, ‘Some Old Reference to the South of Burma and Ceylon’, op.cit., p.247; Luce, the Career of Htilaing Min (Kyanzittha), op.cit., p.67, note 4. ๒๙ Cv., LXI-LXXI. ๓๐ Basham, ‘The Background to the Rise of Parakramabahu I’, op.cit., p.20.

78 ศรีลังกาและอุษาคเนย์ ๓๑ Cv., LXXVI, 12-14. ๓๒ Ibid., LXVII-LXXI; UHC., Vol.1, pt.2, pp.438-460. ๓๓ G.P. Malalasekera, The Pali Literature of Ceylon, pp. 175-76; B.C. Law, ‘The Life of King Parakramabahu I’, The Polonnaruva Period, p.23. ๓๔ Cv., LXXVI, 10-75. ๓๕ Cv., LXXVI, 16. ๓๖ Ibid., 23-24. ๓๗ The Glass Palace Chronicle of the kings of Burma, p.114. ๓๘ Ibid. ๓๙ Sirima Wickramasinghe, ‘Ceylon’s Relations with South-east Asia, with special reference to Burma’, op.cit., p.51. ๔๐ Harvey, History of Burma, p.57. ๔๑ Cv, LXXVI, 14. ๔๒ Ibid., LXXVI, 21-22. ๔๓ Ibid., LXXVI, 35. ๔๔ พระเจ้าธรณินทรวรมันที่ ๒ (พ.ศ.๑๖๙๓-๑๗๐๓) และพระเจ้า ยโศวรมันท่ี ๒ (พ.ศ.๑๗๐๓-๑๗๐๙) เป็นกษัตริย์ร่วมสมัยกับ พระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช ก่อนที่จะการบุกรุกโจมตีพม่านั้น หาก คณะราชทูตมาจากกษัตริย์เหล่าน้ีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งระยะเวลาย่อมไม่ แนน่ อน

ความสมั พันธ์ทางการเมอื ง 79 ๔๕ Ma Tuan-Lin, Ethnographie des peuples etrangeres a la Chinois …. Ouvrage compose du xiii siècle (1883), pp.485-88; Coedes, The Indianized States, pp.161-62. ๔๖ L.P. Briggs, The Ancient Khmer Empire (Philadelphia, 1951), p.189. ๔๗ Coedes, The Indianized States, p. 161. ๔๘ Bringgs, ‘The Khmer Empire and the Malay Peninsula’, FEQ, Vol. IX (1950), p.285, note 125. ๔๙ The Glass Palace Chronicle of the kings of Burma, p.113. ๕๐ Htin Aung, A History of Burma, p.45. ๕๑ Cv., LXXVI, 17. ๕๒ Ibid., 18-19. ๕๓ Ibid., 20. ๕๔ Ibid., 24-25. ๕๕ Ibid., 33-34. ๕๖ Sirima Wickramasinghe, ‘Ceylon’s Relations with South-east Asia, with Special Reference to Burma’, op.cit., p.44. ๕๗ Geiger, Cv, tr. p.65, note 5. ๕๘ Geiger, Culture of Ceylon in Mediaeval Times (Wiesbaden, 1960), p.15. ๕๙ The Book of Duarte Barbosa, Vol.II, tr. Mansel Longworth Dames, Works Issued by Hakluyt Society, second series, no. XLIX (1921), p.113, note 1.

80 ศรีลงั กาและอษุ าคเนย์ ๖๐ McCrindle, Ancient India as Described by Megasthenes and Arrian (London, 1877), pp.173-75. ๖๑ The Book of Duarte Barbosa, p.115. ๖๒ Sirima Wickramasinghe, ‘The Age of Parakramabahu I’, p.204. ๖๓ UHC, Vol.I, pt.2, p.473, note 1. ๖๔ The Christian Topography of Cosmas, tr. and ed. McCrindle Works Issued by The Hakluyt Society, no.XCVIII (1897), p.375. ๖๕ Ibid., pp.365366. ๖๖ B.J. Perera, ‘The Foreign Trade and Commerce of Ancient Ceylon’, II ‘Ancient Ceylon and its Trade with India’, CHJ, Vol.I, no.3, p.202. ๖๗ R.H. Major, ed. India in the 15th Century: Being a collection of Voyage to India (London, MDCCLVII), p.29. ๖๘ The Book of Duarte Barbosa, p.113. ๖๙ K. Indrapala, ‘The Nainativu Tamil Inscription of Parakramabahu I’, UCR (1963), Vol. XXI, no.1, p.70. ๗๐ Ma Tuan-lin, op.cit., p.487. ๗๑ Briggs, The Ancient Khmer Empire, p.189. ๗๒ Cv., LXXVI, 21-25. การผูกรัดเท้านักโทษด้วยเครื่องจองจ�ำ และ บังคับให้รดน้�ำต้นไม้ถือว่าเป็นวิธีการลงโทษตามปกติ ซึ่งขุนนางพม่า ต้องมอบหมายในฐานะนักโทษละเลยต่อหน้าท่ี Htin Aung, A History of Burma, p.47. ๗๓ Cv., LXXVI, 28-31.

ความสัมพนั ธ์ทางการเมอื ง 81 ๗๔ Ibid., 32. ๗๕ Ibid., 33-34. ๗๖ Ibid., 26-27. ๗๗ Sirima Wickramasinghe, ‘The Age of Parakramabahu I’, p.206. ๗๘ Sirima Wickramasinghe, ‘Ceylon’s Relations with Souht-east Asia, with Special Reference to Burma’, op.cit., p.45. ๗๙ Ibid. ๘๐ Htin Aung, A History of Burma, p.47. ๘๑ RSASB (1920), p.19. ๘๒ Wolters, Early Indonesian Commerce, pp.146-48. ๘๓ Lamb, ‘Miscellaneous ….’, op.cit., p.67, note 2. ๘๔ F. Hirth and W.W. Rockhill, Chau Ju-Kua (St. Petersburg, 1911), pp. 60-62. ๘๕ Al-Idrisi, India and the Neighbouring Territories, tr. S. Maqbul Ahamd (Leiden, 1960), pp.28-29. ๘๖ Harvey, History of Burma, p.57. ๘๗ K. Indrapala, UCR, Vol.XXI, pp.63-70. ๘๘ Ma Tuan-lin, op.cit., pp.485-488; Coedes, The Indianized States, pp.159 and 162. ๘๙ S. Paranavitana, Ceylon And Malaysia, p.69.

82 ศรลี งั กาและอษุ าคเนย์ ๙๐ อธิการินเป็นขุนพลพร้อมนามเหมือนเสนาบดี ทมิฬาธิการินต้องเป็น เสนาบดีของเวฬักการะหรือทหารทมิฬผู้รับจ้างกษัตริย์สิงหล For Adhidarin see Geiger, Culture of Ceylon in Mediaeval Times, p.150; for Velakkara see Geiger, ‘Army and War in Mediaeval Ceylon’, The Polonnaruva Period, pp.153-68. ๙๑ ส�ำหรบั เกราะและอาวุธ see Geiger, ‘Army and War in Mediaeval Ceylon’, loc.cit. ๙๒ ยืนยันแล้วว่าปัลลววังกะคือปัลวักกิ ทางทิศเหนือของกุจจเวลิ Cordington, A Short History of Ceylon (London, 1945), p.62; UHC, Vol.I, pt.2, p.474. ๙๓ Cv., LXXVI, 45-56. ๙๔ Kakadipa, Geiger เห็นว่าเป็นเกาะหน่ึงแห่งหมู่เกาะอันดามัน Cv., tr., LXXVI, 57, p.65, note 6. ๙๕ Cv., LXXVI, 63-65. ๙๖ Ibid., 66-68. ๙๗ Ibid., 69-75. ๙๘ Harvey, History of Burma, p.328. ๙๙ Wang Gungwu, ‘The Nanhai Trade’, JMBRAS. Vol.XXXI (1958), pt.2, p.106; Wolters, Early Indonesian Commerce, p.148. ๑๐๐ Sirima Wickramasinghe, ‘Ceylon’s Relations with South-east Asia, with Special Reference to Burma’, op.cit., pp.48-49. ๑๐๑ Harvey, History of Burma, p.57. ๑๐๒ EZ., Vol.III, no.34, pp.312 ff. ๑๐๓ Coedes, ‘Le royaume de Srivijaya’, BEFEO Vol. XVIII (1918), pp. 141-15.

ความสัมพันธ์ทางการเมอื ง 83 ๑๐๔ Sirima Wickramasinghe, ‘Ceylon’s Relation with South-east Asia, with Special Reference to Burma’, op.cit., p.48. ๑๐๕ Htin Aung, A History of Burma, p.45. ๑๐๖ Coedes, The Indianized States, pp.163-64. ๑๐๗ A.D.1180 พระสงฆก์ ลมุ่ หนงึ่ โดยการนำ� ของพระอตุ ตราชวี เถระ ไดเ้ ดนิ ทางไปยังเกาะลังกาเพื่อจาริกแสวงบุญ เซเดส์พยายามเชื่อมโยง เหตุการณ์นี้และคณะสมณทูตท่ีเดินทางไปเกาะลังกา สมัยการบุกรุก พมา่ ของพระเจา้ ปรากรมพาหุ การอธบิ ายเชน่ นอ้ี าจเปน็ ความผดิ พลาด ของระยะเวลา ซึ่งระบุถึงการบกุ รุกของศรีลังกาวา่ ตรงกับพทุ ธศกั ราช ๑๗๒๓ แต่ความจริงแล้วเหตุการณ์เกิดข้ึนประมาณ ๑๐-๑๑ ปี ก่อนการเดินทางไปศรีลังกาของพระอุตตราชีวเถระ Coedes, The Indianized States, pp.177-78. For details of Uttarajiva’s pilgrimage see infra pp.238 ff. ๑๐๘ EZ, Vol.III, no.34, pp.312 ff. ช่ือกติ นุวรคละท่ีระบุในจารกึ น้ีวา่ ต้อง เป็นบุคคลเดียวกันที่กล่าวถึงในคัมภีร์จุลวงศ์ว่านครคิริกิตติ ซ่ึงเป็นผู้ เขา้ โจมตกี ุสุมิ ๑๐๙ Rjv., ed. Watuwatte Pemananda, p.67. ๑๑๐ Luce, ‘Some Old Reference to the South of Burma and Ceylon’, op.cit., p.276. ๑๑๑ EZ, Vol.III, no.34, p.324. ๑๑๒ Duroiselle, op.cit., p.20; Harvey, History of Burma, p.57. ๑๑๓ Coedes, ‘The Indianized States, pp. 177-78. ๑๑๔ UHC, Vol.I, pt.2, p.460. ๑๑๕ EZ, Vol.III, no.34, p.325. ๑๑๖ Duroiselle, RSASB (1920), pp.17-20.

84 ศรีลังกาและอุษาคเนย์

บทนำ� 85

บรรยายภาพ : ภาพจิตรกรรมต�ำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช วัดวังตะวันตก เมอื งนครศรธี รรมราช

บทที่ ๓ พระเจ้าจันทรภาณแุ ห่งอาณาจกั รตามพรลิงค์ สงครามสยามลงั กาครง้ั ที่ ๑ พระเจ้าจันทรภาณุแห่งอาณาจักรตามพรลิงค์บุกรุกเกาะลังกา ตรงกบั รชั สมยั พระเจา้ ปรากรมพาหทุ ่ี ๒ (พ.ศ.๑๗๘๓-๑๘๑๓) แหง่ อาณาจกั รดมั พเดณยิ ะ สงครามระหว่างสองอาณาจักรเกิดขึน้ สองครัง้ ความพยายามของพระเจ้าจันทรภาณุล้มเหลวทั้งสองคร้ัง โดยเฉพาะ คร้ังหลังพระองค์ได้สวรรคตกลางสมรภูมิ การรุกรานทั้งสองครั้งมีผลก ระทบทางการเมืองของลังกาเพียงเล็กน้อย และปรากฏเห็นเพียงหน้า หนงึ่ ในประวตั ิศาสตร์อันยาวนานของศรีลงั กา รายละเอียดเก่ียวกับการ รุกรานของพระเจ้าจันทรภาณุพบเห็นในคัมภีร์จุลวงศ์ คัมภีร์ปูชาวลิยะ คมั ภรี ห์ ตั ถนคลั ลวหิ ารวงั สะ คมั ภรี ร์ าชาวลยิ ะ และคมั ภรี ด์ มั พเดณ-ิ อสั นะ๑ คัมภีร์จุลวงศ์หรือต�ำนานหลักของศรีลังการะบุว่าปีท่ีสิบเอ็ดแห่ง การครองราชยข์ องกษตั รยิ ส์ งิ หลพระองคน์ ้ี กษตั รยิ แ์ หง่ ชาวะกะพระองค์ หนงึ่ พระนามวา่ จนั ทรภาณุ ไดย้ กพลขน้ึ ฝง่ั พรอ้ มกองทพั ชาวะกะจำ� นวน มาก แลว้ สำ� แดงวาจาขม่ ขูว่ ่าพวกตนเป็นสาวกของพระพทุ ธเจา้ ทหาร ชาวะกะผู้โหดร้ายเหล่านี้ได้บุกรุกท�ำลายท่ัวคามนิคมเขต ใช้ลูกศรอาบ ยาพษิ เหมอื นงตู วั มพี ษิ รา้ ย ไดเ้ ขน่ ฆา่ ผคู้ นเหมอื นคนขาดสติ สงั หารผคู้ น บนเกาะอย่างเกรย้ี วโกรธ๒ ต�ำนานเรียกพระเจ้าจันทรภาณุว่าชาวะกะยกทัพมาพร้อมกับ กองทพั ชาวะกะ

88 ศรลี ังกาและอุษาคเนย์ นักปราชญ์สมัยนั้นขนานนามพระองค์ว่าเจ้าชายแห่งชวา ส่วน กรอม (Krom) เหน็ ว่าพระองคเ์ ปน็ กษตั รยิ ์พระองคห์ น่ึงแห่งอาณาจักร ศรีวิชัย และเสริมอีกว่าการพ่ายศึกของพระเจ้าจันทรภาณุท้ังสองคร้ัง มีผลต่อการล่มสลายของจักรพรรดิศรีวิชัยอย่างมาก๓ เฟอร์ราน (Ferrand) ยืนยันว่าชาวะกะหมายถึงซาบัก ซง่ึ นักเขียนชาวอาหรบั ระบุ ว่าเป็นอาณาจักรศรีวิชัย๔ แต่การตีความมาถึงบทสรุปเม่ือเซเดส์ได้ตี พมิ พจ์ ารึกวัดหัวเวยี งไชยา ๑ ซง่ึ ระบพุ ุทธศกั ราช ๑๗๗๓ มีเนือ้ หา เกี่ยวข้องกับพระเจ้าจันทรภาณุ และพระองค์เป็นกษัตริย์พระนาม เดยี วกนั ทปี่ รากฏในคมั ภรี จ์ ลุ วงศ๕์ ตอ่ มาเซเดสไ์ ดว้ เิ คราะหบ์ ทความของ กรอมแล้วยืนยันว่า พระเจ้าจันทรภาณุมิใช่กษัตริย์แห่งอาณาจักร ศรีวิชัย๖ เพราะชาวะกะเป็นช่ือของชนชาติหนึ่งหมายถึงอินโดนิเชีย พเิ คราะหแ์ ลว้ กเ็ หมอื นคำ� วา่ “ชะวะ” ของชาวกมั พชู าสมยั ใหม่ ซง่ึ หมาย ถงึ มาเลยแ์ หง่ คาบสมทุ รบรเิ วณเกาะนอ้ ยใหญใ่ นอนิ โดนเิ ชยี ดว้ ยเหตนุ น้ั ค�ำวา่ “ชาวะกะ” ในคัมภรี ์จลุ วงศ์จงึ หมายถงึ ผ้อู ยู่อาศัยอาณาจกั รตาม พรลงิ คบ์ รเิ วณคาบสมทุ รมาเลย์นั้นเอง มีหลักฐานอ้างอิงมากมายยืนยันตัวตนของพระเจ้าจันทรภาณุ แห่งอาณาจกั รตามพรลิงค๗์ จารึกวัดหัวเวียไชยาระบุว่าพระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมราชาเป็น กษัตริย์แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์ คัมภีร์หัตถนคัลลวิหารวังสะอ้างว่า พระองค์มาจากอาณาจักรชื่อว่าตัมพลิงคะ๘ คัมภีร์เล่มนี้ถอดแปลเป็น ภาษาสิงหลเม่ือปีพุทธศักราช ๑๙๒๕ โดยอ้างว่าตัมพลิงคัมเป็น อาณาจักรของพระเจ้าจันทรภาณุ๙ การถอดแปลคัมภีร์ภาษาบาลี เลม่ เดมิ เปน็ ภาษาสงิ หลในพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ ไดร้ ะบชุ อื่ วา่ ตมั ลงิ คมุ๑๐