Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore E-book หนังสือศรีลังกาและอุษาคเนย์ (1)

E-book หนังสือศรีลังกาและอุษาคเนย์ (1)

Description: E-book หนังสือศรีลังกาและอุษาคเนย์ (1)

Search

Read the Text Version

การข้ามกระแสทางสถาปตั ยกรรม 289 เหนือสุโขทัย๑๔๓ หลักฐานจากศิลาจารึกและศิลปะช้ีให้เห็นถึงความ สัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างศรีลังกากับวัดศรีชุมของสุโขทัยก็ดี ไม่ว่าจะเป็น พระสงฆ์จากศรีลังกาหรือพระสงฆ์สุโขทัยก็ดี ไม่ว่าจะเป็นช่างฝีมือชาว สงิ หลผพู้ ำ� นกั อยใู่ นสโุ ขทยั กด็ ี คนเหลา่ นเี้ องเปน็ ผกู้ ำ� หนดผงั ปชู นยี สถาน แห่งเมืองโปโฬนนารุวะ ซึ่งเป็นฐานหรือเป็นต้นแบบการสร้างวิหาร แห่งวัดศรีชุม ด้วยเหตุที่ปชนียสถานแห่งเมืองโปโฬนนารุวะเป็น ศนู ย์กลางของศรลี งั กาสมัยนน้ั อาศัยความสมั พนั ธท์ างศาสนาอิทธิพล ลงั กาจึงส่งผลต่อดินแดนอษุ าคเนยด์ ้วย อทิ ธพิ ลเขมรในสถาปตั ยกรรมลังกา ดา้ นทศิ ใตข้ องเมอื งโปโฬนนารวุ ะมซี ากปรกั หกั พงั ชอื่ วา่ โปตคลุ เวเหระ สถานทแ่ี ห่งน้ีเป็นจุดเดน่ ส�ำคัญด้านอาคารส่ิงกอ่ สร้างแบบสิงหล เบลล์ ตรวจสอบโครงสร้างอย่างละเอียดเห็นว่าการวางแผนผังน่าจะได้รับ อทิ ธพิ ลจากกมั พชู า๑๔๔ ผงั พนื้ ฐานชใ้ี หเ้ หน็ วา่ เปน็ การวางฐานอยา่ งเปน็ ระบบสมบรู ณ์ดเี ย่ยี ม บริเวณเหมือนปากกว้างประมาณ ๑๒๐ หยาด ติดกับก�ำแพงด้านนอก ส่วนทางเข้าหลักอยู่ด้านทิศตะวันออกภายใต้ หน้ามุข ประตูทางเข้าด้านทิศใต้และตะวันตกตรงเข้าไปภายในอาราม กำ� แพงชน้ั นอกและชน้ั ทสี่ งู ขนึ้ ไปเปน็ กำ� แพงชน้ั ในลอ้ มปริ เิ วณะหลายแหง่ และขึ้นไปช้ันชานชาลาเป็นวิหารหลักอันโดดเด่น มาตราส่วนภายนอก ของอาคารทรงกลมกว้างประมาณ ๗๕ หยาด๑๔๕ กุฎีพระสงฆ์บาง หลังตง้ั อย่เู ป็นชอ่ งระหวา่ งประมาณ ๒๐ หยาด ระหวา่ งก�ำแพงชน้ั ใน และชน้ั นอก มรี ะเบยี งกวา้ งประมาณ ๔ เมตร ๑๕ เซนตเิ มตร ระหวา่ ง

290 ศรลี งั กาและอุษาคเนย์ ก�ำแพงชั้นนอกและช้นั ในปริ ิเวณะและพืน้ ที่ตรงกลาง พระสงฆอ์ าจจะใช้ ส�ำหรบั ออกกำ� ลงั กาย๑๔๖ ถัดจากระเบียงเป็นร้ัวกั้นรอบปิริเวณะหรือท่ีอยู่ของพระสงฆ์วาง ผงั เปน็ ระเบยี บ ผงั เดมิ ประกอบดว้ ยแปดปริ เิ วณะ สแี่ หง่ อยดู่ า้ นทศิ เหนอื และอกี สแ่ี หง่ อยทู่ างทศิ ใตห้ นั หนา้ เขา้ ตรงกลางวหิ าร ปริ เิ วณะขนาดใหญ่ อยู่ตรงกลางส่วนขนาดเล็กอยู่ทางด้านทิศตะวันออก๑๔๗ สันนิษฐานว่า ปริ เิ วณะขนาดใหญน่ า่ จะสรา้ งเพมิ่ เขา้ มาทหี ลงั ซง่ึ เดมิ ทางทศิ ตะวนั ออก หรือทิศตะวันตกน่าจะไม่มีส่ิงก่อสร้าง๑๔๘ ช้ันบนสุดยันอาคารประธาน โปตคุลเวเหระสร้างด้วยอิฐ แม้ว่าจะหักพังทรุดโทรมแต่ยังคงเห็นหัตถี ปราการอยู่ ลานช้ันบนเปน็ รปู ส่ีเหลยี่ มผืนผา้ ประมาณ ๓๙ เมตร หรือ ๓๔ เมตร ยนื่ ออกไปประมาณ ๒ เมตร จากชนั้ ทรงกลมแวดลอ้ มดว้ ย ปริ เิ วณะ๑๔๙ ชน้ั บนยงั มวี หิ ารตรงกลางแวดลอ้ มดว้ ยเจดยี เ์ ลก็ สอ่ี งคต์ รง หัวมุมเป็นรูปโค้งกลม เจดีย์ส่ีองค์มีขนาดเท่ากัน อาจจะสร้างเข้ามา ทหี ลงั เพอ่ื ลอ้ มบรเิ วณและแยกออกจากวหิ ารประธานซงึ่ ตงั้ อยตู่ รงกลาง ลาน๑๕๐ บริเวณอันเป็นมงคล ไม่วา่ จะเป็นวหิ ารประธานตรงกลางหรอื เจดยี ท์ งั้ สอ่ี งคต์ รงหวั มมุ มกี ารจดั วางอยา่ งเปน็ ระบบในบรเิ วณปริ เิ วณะ สว่ นวหิ ารตรงกลางวางผงั เหมอื นอาคารทรงกลมพรอ้ มดว้ ยหอ้ งดา้ นหนา้ รปู ทรงสเ่ี หลยี่ มผนื ผา้ และมณฑลทางทศิ ตะวนั ออก๑๕๑ ระเบยี งทางเขา้ หลักด้านก�ำแพงทิศตะวันออกอาจจะเรียกว่ามุรเคหรือเทพารักษ์ ข้ัน บันไดน�ำขึ้นไปถึงระเบียงช้ันสอง บันไดแต่ละข้ันและหน้าบันทำ� ด้วยอิฐ จากปิริเวณะลงไปลานมีบนั ไดพรอ้ มกับหน้าบนั วา่ งเปลา่ ๑๕๒ จากโครงสรา้ งของสง่ิ กอ่ สรา้ งจำ� นวนมากเชน่ น้ี ชใี้ หเ้ หน็ วา่ อาราม แห่งน้ีเป็นส่ิงก่อสร้างเพียงแห่งเดียวของศรีลังกาสมัยโปโฬนนารุวะ

การข้ามกระแสทางสถาปัตยกรรม 291 ลักษณะบางอย่างของโปตคุลเวเหระพบเห็นตามวิหารสมัยอนุราธปุระ เช่นกัน ซ่ึงเป็นจุดเด่นของอารามวิหารจ�ำนวนมากซึ่งเป็นลักษณะทรง กลมขนาดใหญใ่ นเมอื งอนรุ าธปรุ ะ ดา้ นกายภาพลอ้ มดว้ ยคนู ำ้� กวา้ งและ เชื่อมติดกับอาณาบริเวณขนาดกว้างด้านเดียวหรือส่ีด้าน ปูชนียสถาน อันส�ำคัญกล่าวคือเจดีย์วิหารและพระอุโบสถ ยกตัวอย่างเช่น ระเบียง ตรงกลางลอ้ มรอบเชอ่ื มติดกำ� แพง ระหวา่ งระเบยี งและคนู �ำ้ เปน็ แท่นชนั้ ลา่ งเปน็ ทพ่ี กั สงฆ์ เลยคนู ำ�้ เปน็ แทน่ อกี อนั หนงึ่ และอารามวหิ ารทง้ั หมด เช่ือมติดกับก�ำแพงแนวเขตด้านนอก เหมือนวัดวิชัยรามและวัดปุลิยัม กุฬัมกม็ แี ผนผงั คลา้ ยกนั ๑๕๓ แมอ้ ารามวิหารเหล่านีจ้ ะมสี ามชน้ั เหมือน โปตคุลเวเหระ โครงสร้างทั้งหมดของสิ่งก่อสร้างดูเหมือนแตกต่างกัน เบลล์จึงสรุปว่าหลักฐานอ่ืนใดนอกจากโปตคุลเวเหระสามารถพิจารณา ว่าเป็นแรงกระตุ้นต่อโครงสร้างของอารามแห่งน้ี โดยเฉพาะลักษณะ อนั โดดเด่นในเมืองโปโฬนนารุวะ สว่ นความแตกตา่ งกนั อยา่ งชดั เจนพบ ในเมืองอนุราธปุระ ดงั เชน่ วัดปลุ ยิ ัมกุฬัมและวดั วิชยาราม เปน็ ต้น๑๕๔ เบลลเ์ หน็ วา่ อทิ ธพิ ลสง่ิ กอ่ สรา้ งเหลา่ นถี้ า่ ยแบบมาจากปราสาทแม่ บนของขอม๑๕๕ ศาสนสถานของกัมพูชาดังเช่นปราสาทแม่บนและ ปราสาทแปรรปู แหง่ เสยี มเรยี มมแี ผนผงั คลา้ ยกบั โปตคลุ เวเหระ ปราสาท แม่บนทางทิศตะวันออกสร้างพุทธศักราช ๑๔๙๕ เป็นตัวอย่างของ อารามทรงกรวยเหลี่ยมแบบขอม เป็นสามชั้นบนระเบียงจ�ำลอง๑๕๖ ฐานช้ันสูงสดุ ประมาณ ๒๘ เมตร แทน่ สเ่ี หลี่ยมสงู ประมาณ ๑ เมตร ๑๗ เซนติเมตร สรา้ งจากหินทรายต้นแบบ๑๕๗ ท�ำหน้าท่ียันอาคารหา้ หลังซึ่งออกแบบเป็นห้าสิ่งห้าจุด อาคารตรงกลางยกข้ึนบนฐานสูง ประมาณ ๑๒๑ เซนตเิ มตร๑๕๘ ลกั ษณะอาคารคลา้ ยกบั วหิ ารตรงกลาง

292 ศรีลงั กาและอุษาคเนย์ และเจดยี ส์ อี่ งคช์ นั้ บนของโปตคลุ เวเหระ๑๕๙ ชน้ั ลา่ งของอาคารทรงปริ า มดิ ตรงกลางมมี ากกวา่ สองชน้ั เชอ่ื มตดิ กบั กำ� แพงพรอ้ มซมุ้ ทางเขา้ แตล่ ะ ขา้ งของชน้ั บนมอี กี สองชน้ั ยดึ คลมุ ดว้ ยอาคารอฐิ ขนาดเลก็ อาคารขนาด เล็กท้ังแปดหันหน้าไปทางทิศตะวันออก อาคารส่ีเหล่ียมมุมฉากส่ีหลัง ตรงมุมหันหนา้ ไปทางทิศตะวนั ออกและทิศตะวนั ตก๑๖๐ กำ� แพงรวมช้ัน น้ีค่อนข้างต�่ำพร้อมกับฐานเป็นศิลาแลง และมีประตูหน้าบันขนาดเล็ก (โคปรุ ะ) สว่ นบันไดแต่ละข้างมุ่งหน้าไปส่ชู ัน้ ล่าง ชน้ั สามและช้ันล่างสดุ ล้อมรอบดว้ ยก�ำแพงขนาดเตย้ี เช่ือมติดบันไดเลก็ และประตูทางเขา้ แตล่ ะ ด้าน ชนั้ นีป้ ระมาณ ๙๖ เมตร๑๖๑ และครอบคลุมดว้ ยแถวของหอตอ่ เนอ่ื งกนั ดว้ ยระเบยี ง๑๖๒ ตรงหวั มมุ ของแตล่ ะชน้ั เปน็ ชา้ งทำ� ดว้ ยหนิ ทราย ผูกด้วยเชือกและกระดิ่ง๑๖๓ แผนผังมีขนาดเล็กกว่าปราสาทแปรรูป ซึ่งสร้างประมาณสิบห้าปีภายหลังจากน้ัน๑๖๔ จึงเห็นความคล้ายกัน ระหว่างส่ิงก่อสร้างเหล่านั้นและโปตคุลเวเหระ เพราะท้ังหมดมีสามชั้น การวางระเบียบปิริเวณะท่ีคล้ายกัน และการจัดระเบียบปูชนียสถานห้า แห่งบนชนั้ สูงสุดกเ็ ปน็ ระบบเหมือนกนั แตค่ วามแตกตา่ งอยา่ งชดั เจนกม็ หี ลกั ฐานยนื ยนั เชน่ กนั โครงสรา้ ง ของระเบียงที่โปตคุลเวเหระมิได้เป็นลักษณะส่ีเหล่ียมผืนผ้าเหมือน ปราสาทแมบ่ น และทางเขา้ มคี วามเรยี บงา่ ยกวา่ ศาสนสถานของกมั พชู า ปราสาทแม่บนมีทางเข้าหลักสี่ด้านแต่โปตคุลเวเหระมีเพียงด้านเดียว บวกกบั ทางเขา้ สำ� รองอกี สองดา้ นสำ� หรบั ขนึ้ ไปชนั้ สงู สองชนั้ จากทางทศิ ใต้ และทิศตะวันตก ปราสาทแม่บนนั้นเป็นเทวาลัยฮินดู แต่โปตคุลเวเหระ เป็นสังฆาราม๑๖๕ แต่ความแตกต่างเล็กน้อยอาจจะเป็นธรรมดาของรปู แบบส่ิงก่อสร้างทรงสิงหลและขอม ลักษณะส�ำคัญเหมือนกันคือความ

การข้ามกระแสทางสถาปัตยกรรม 293 สงา่ งามมากกวา่ หลกั ฐานทางโบราณคดีช้วี า่ ช่างไมช้ าวกมั พูชาคุ้นเคย ทั้งแผนผังและรายละเอียดของรูปแบบส่ิงก่อสร้าง ซึ่งมีตัวอย่างหลาย แหง่ ในกมั พชู า จงึ เชอื่ ไดว้ า่ ปชู นยี สถานแหง่ โปตคลุ เวเหระนา่ จะไดร้ บั แรง บันดาลใจมาจากส่ิงก่อสร้างของกัมพูชา และปรับแก้ตามความจ�ำเป็น และความต้องการของชาวพุทธสิงหลแห่งยุคโปโฬนนารุวะ ศิลาจารึก แหง่ โปตคลุ เวเหระระบุว่าบรเิ วณเดมิ สรา้ งโดยพระเจ้าปรากรมพาหทุ ี่ ๑ (พ.ศ.๑๖๙๖-๑๗๒๙) และขยายเพ่ิมเติมโดยพระมเหสีสอง พระองค์๑๖๖ คัมภีร์จุลวงศ์พรรณนาไว้ว่าพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช โปรดให้สร้างมณฑลมันทิระเป็นสถานท่ีสดับนิทานชาดก๑๖๗ เบลล์เห็น วา่ มณฑลมนั ทริ ะอาจเปน็ โปตคลุ เวเหระ๑๖๘ ไกเกอรไ์ มเ่ หน็ ดว้ ยกบั เบลล์ แต่ไม่ให้เห็นเหตุผลอะไร๑๖๙ แม้ไม่สามารถระบุได้ว่าโปตคุลเวเหระเป็น มัณฑลมันดิระจริงหรือไม่ แต่หลกั ฐานยนื ยันแลว้ ว่าบริเวณนสี้ รา้ งสมยั พระเจา้ ปรากรมพาหุมหาราช ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งศรลี งั กากบั กมั พชู าสมยั พระเจา้ ปรากรมพาหุ มหาราชใกล้ชิดกนั มาก จนเป็นเหตใุ ห้เกิดการปะทะกันระหว่างศรลี ังกา กับพม่า๑๗๐ หลักฐานกล่าวถึงการเดินทางมาของคณะราชทูตกัมพูชา สมยั พระเจา้ ปรากรมพาหมุ หาราช๑๗๑ เบลลเ์ หน็ วา่ กมั โพชวาสละซง่ึ อา้ ง ถึงในจารึกหลักหน่ึงของพระเจ้านิสสังกมัลละทางด้านทิศใต้ของเมือง โปโฬนนารุวะ ความว่าโปตคุลเวเหระสร้างเพ่ือเป็นอนุสรณ์การมาของ คณะราชทูตกัมพูชา หากคณะราชทตู กัมพูชาถวายแผนผังของปราสาท แบบกมั พชู าตามคำ� รอ้ งขอของกษตั รยิ ส์ งิ หล ชา่ งฝมี อื ชาวสงิ หลผดู้ ำ� เนนิ ตามค�ำสั่งอาจจะสร้างตามความรู้ด้านสิ่งก่อสร้างทางพุทธศาสนา การสรรคส์ รา้ งดว้ ยการหลอมสง่ิ กอ่ สรา้ งกมั พชู าและสงิ หลเขา้ ดว้ ยกนั จงึ

294 ศรลี งั กาและอษุ าคเนย์ พบเห็นท่ีโปตคุลเวเหระ เบลล์เห็นว่าการสร้างอารามโปตคุลเวเหระน้ัน ถือว่าเป็นการจับมือประสานระหว่างกัมพูชาและศรีลังกา เป็นความ ยินยอมอนุญาตลักษณะเฉพาะของชาวต่างชาติ ด้วยการหลอมรวม ศรัทธาและพันธมิตรอย่างแนบแน่น๑๗๒ อิทธิพลของกัมพูชาต่อสิ่ง ก่อสร้างสิงหลยังสามารถพบเห็นในท่ีอื่นอีก ดังเช่นป้อมปราการแห่ง เมืองยาปหุวะ บันไดทางข้ึนคล้ายบันไดทางขึ้นปราสาทของกัมพูชา เ พ ร า ะ น� ำ ต ร ง ไ ป ยั ง ร ะ เ บี ย ง เ ช่ื อ ม ติ ด กั บ บั น ไ ด ท า ง ขึ้ น ห ม า ย ถึ ง พระราชวงั ๑๗๓ พระราชวังแห่งน้ีหรือราชมาลิกาวะเชื่อมติดด้านทิศตะวันออก มีบันไดสามชั้นแยกออกจากระเบยี ง ช้นั แรกสุดมี ๒๔ ขน้ั และมหี น้า บันแบบเทอ่ื น�ำไปส่รู ะเบยี งขนาดกวา้ งตดิ กับกำ� แพงหิน ประมาณ ๑๕ ช้ัน ชั้นบนและช้ันล่างมีบันได ๔๐ ข้ัน และน�ำไปสู่ระเบียงอ่ืนอีกจาก ช้ันท่ีสามและชั้นบนสุด ช้ันบันไดสุดท้ายน�ำไปสู่ระเบียงพระราชวัง๑๗๔ ชนั้ บันไดนีเ้ ปรยี บเทยี บกับบันไดกมั พูชา ๓๕ ชน้ั ทอดตวั ตามหน้าบนั ขนาดใหญ่ ตอนปลายตกแตง่ อย่างอลงั การดว้ ยภาพสลักอย่างอัศจรรย์ บันไดช้ันน้ีเกิดระเบียงขนาดแคบด้านหน้าทางเข้าประตูพระราชวัง บันไดช้ันล่างมีลักษณะหดตัวด้วยแท่น ชั้นแรกสุดยันคชสิงห์คู่หรือสัตว์ เทพนิยาย พรอ้ มดว้ ยศีรษะชา้ งและรา่ งของราชสหี ์๑๗๕ เบลล์อธิบายวา่ กำ� แพงดา้ นขา้ งตดิ กบั บนั ไดมงุ่ ขนึ้ ตงั้ ตรงดว้ ยเสน้ ขอบอนั เปน็ แบบมากสดุ เป็นประเภทของชานชาลาด้านนอก ว่าตามแผนผังบันไดแสดงถึงเส้น ขอบของทางเดนิ ไปหามขุ พรอ้ มกบั มขุ สำ� หรบั พกั ทยี่ นื่ ออกไปจากพนื้ ผวิ ของห้องโถงที่เป็นระเบียง ส�ำหรับระเบียงชานชาลาซึ่งเป็นบันไดย่ืน ออกไป ๓ เมตร ๒๐ เซนตเิ มตร จากระเบียงและหลังจากหมนุ ทาง

การข้ามกระแสทางสถาปตั ยกรรม 295 ขวา ๑๒๑ เซนติเมตร ขยายออกไปอีก ๑ เมตร ใหเ้ ปน็ ระเบยี ง ๕ เมตร ๒๐ เซนตเิ มตร๑๗๖ ลักษณะของบนั ได ตัวอยา่ งเช่น ราวบันได อฑั จันทนศ์ ิลา และ เทพารกั ษ์ เป็นสิ่งก่อสรา้ งแบบสิงหลอยา่ งเด่นชดั นับจากคริสต์วรรษตน้ บันไดช้ันที่สามแห่งยาปหุวะแตกต่างจากบันไดอื่นที่ย่ืนออกไป โฮคาร์ท คิดว่า๑๗๗ นี้เป็นอิทธิพลของรูปแบบปัณฑยะหรือวิชัยนครแห่งอินเดีย แต่รูปแบบไม่เหมือนทางขึ้นบันไดอ่ืน วิคเตอร์ โคโลบิวเป็นคนแรกท่ีต้ัง ขอ้ สงั เกตความคลา้ ยกนั ระระหวา่ งบนั ไดทางขนึ้ ยาปหวุ ะกบั บนั ไดทางขน้ึ ปราสาทขอม แตไ่ ม่อาจเช่อื ได้เพราะการปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ งศรีลงั กากบั กัมพูชา๑๗๘ หากตรวจสอบข้ันบันไดแบบกัมพูชาจะเห็นว่าโคโลบิว ถูกต้องแล้ว ปราสาทบาแค็งสร้างสมัยพระเจ้ายโสธรวรมันท่ี ๑ (พ.ศ.๑๔๓๒-๑๔๕๓) มีข้ันบันไดเป็นแกนพร้อมสิงห์หินนั่งทางข้ึน ด้านข้าง อกี แหง่ หนง่ึ คือปราสาทบากองสรา้ งสมัยพระเจ้าอนิ ทรวรมันที่ ๑ (พ.ศ.๑๔๒๐-๑๔๓๒) มีขั้นบันไดคล้ายกับปราสาทแปรรูป๑๗๙ ตวั อยา่ งกมั พชู าทดี่ สี ดุ สำ� หรบั เปรยี บเทยี บกบั บนั ไดทางขน้ึ เมอื งยาปาหวุ ะ คือบันไดทางข้ึนปราสาทพิมานอากาศแห่งนครวัด ซึ่งสร้างสมัย พระเจา้ ชยวรมนั ที่ ๕ (พ.ศ.๑๕๑๑-๑๕๔๓)๑๘๐ ความคลา้ ยกนั แสดง ให้เห็นว่าบันไดทางข้ึนเมืองยาปหุวะเป็นตัวอย่างอีกอันหนึ่ง ซึ่งเป็น อทิ ธพิ ลกมั พูชามตี อ่ ส่ิงก่อสรา้ งของศรีลังกา อิทธิพลกัมพูชาน่าจะส่งผลต่อเมืองยาปหุวะผ่านเกาะชวาอีก ทอดหนง่ึ เบอ้ื งตน้ มาจากการปฏสิ มั พนั ธก์ บั ชวาสมยั พระเจา้ จนั ทรภาณุ ผยู้ กทพั มาเกาะลงั กา ซงึ่ จดุ หมายคอื ตอ้ งการยดึ ครองพระบรมสารรี กิ ธาตุ จากพระเจ้าปรากรมพาหทุ ี่ ๒๑๘๑ แมค้ ัมภรี จ์ ลุ วงศจ์ ะไมอ่ า้ งถงึ การยดึ

296 ศรลี งั กาและอุษาคเนย์ ครองยาปหุวะของพระเจ้าจันทรภาณุก็จริง แต่หลักฐานเบื้องต้นก็ สามารถจินตนาการได้ว่าพระองค์ต้องยึดป้อมปราการยาปหุวะ เพราะ เป็นจุดยุทธศาสตร์ ต�ำนานระบุว่าพระองค์ทรงปราชัยต่อมาชาวสิงหล พระราชสมบตั ิ พระสนม มา้ ชา้ งเปน็ ตน้ ถกู ยดึ หมดสน้ิ และความปราชยั ของพระองค์เกิดข้ึนใกล้กับป้อมปราการเมืองยาปหุวะ ต่อมาพระ ราชโอรสของพระองค์ได้ครองอำ� นาจสืบต่อ สันนิษฐานว่าพระองค์อาจ จะยดึ ครองอาณาจกั รยาปหวุ ะ ภายหลงั การสวรรคตของพระเจา้ ภวู เนก พาหทุ ่ี ๑ (พ.ศ. ๑๘๑๕-๑๘๒๗)๑๘๒ จะเหน็ ไดว้ า่ เรอ่ื งราวของยาปหุ วะปรากฏเหน็ สองครง้ั สมยั กษตั รยิ ช์ วาบกุ รกุ เกาะลงั กา ทงั้ พระเจา้ จนั ทร ภาณุและพระราชโอรส โดยเฉพาะสมัยน้ันโปรดให้สร้างป้อมปราการท่ี เมืองยาปหวุ ะด้วย จึงเชอื่ วา่ อทิ ธพิ ลกัมพชู าอาจสง่ ผลตอ่ เมอื งยาปหวุ ะ ผา่ นกษัตรยิ ช์ วาเหลา่ น้ี๑๘๓ เหตุเพราะพระองคม์ าจากคาบสมุทรมาเลย์ ซ่ึงหลักฐานยืนยันว่าอิทธิพลศิลปกรรมแบบกัมพูชาส่งผลต่อศิลปกรรม และสถาปตั ยกรรมดินแดนคาบสมทุ รมาเลย์จริง ลังกาติลกวิหารบริเวณเมืองแคนดีสร้างสมัยอาณาจักรคัมโปละ ชีใ้ หเ้ หน็ ว่ามลี กั ษณะแบบอุษาคเนย์ วิหารแหงน้สี ร้างบนเนนิ บริเวณหมู่ บ้านปหังคละ เขตหันเดสสะใกล้เมืองคัมโปละ จารึกสิงหลระบุว่าเสนา ลังกาธกิ าระ ผู้เป็นอคั รเสนาบดีของพระเจ้าภวู เนกพาหุ เป็นผูส้ ร้างเมือ่ พทุ ธศักราช ๑๘๘๗๑๘๔ แผนผังของวิหารมลี ักษณะเป็นรปู กากบาท บนลานกวา้ ง ๑๐ เมตร ติดกับกำ� แพงภายนอก มีทางเดนิ อ้อมตลอด สามดา้ น ปรณวติ านะอธบิ ายวา่ บรเิ วณภายในลงั กาตลิ กะประกอบดว้ ย วิหารภายในหน่ึงหลัง ซึ่งเป็นมาตรฐานช้ันนอก ๑๐ เมตร และ ๓ เมตร พร้อมชานเช่ือมต่อกันระหว่างสองระเบียง เหมือนการออกแบบ

การข้ามกระแสทางสถาปัตยกรรม 297 แต่ต้น อาคารปรากฏว่ามีการขยายอีกหลายส่วน ส�ำหรับก�ำแพงของ ครรภคฤห์มีการขยาย เสาผนังด้านหน้าอันเป็นต้นแบบและส่วนบนสุด ของผนงั ปกตอิ าคารสิ่งก่อสรา้ งแบบอนิ เดียและศรีลงั กามีเพยี งกำ� แพง ที่ย่ืนออก วิหารภายในเช่ือมติดกับก�ำแพงภายนอกหนาประมาณ ๒ เมตร สว่ นสด่ี า้ นของวหิ ารเปน็ รปู แบบสำ� เรจ็ ตดิ ผนงั มเี นอ้ื ทแ่ี ตล่ ะขา้ ง ๕ เมตร ซ่ึงเป็นระเบียงทั้งส่ีทิศ ชานทางทิศเหนือทิศตะวันตกและทิศใต้ ประมาณ ๗๓ เมตร สว่ นทศิ ตะวนั ออกเปน็ ประตทู างเขา้ วดั ไดป้ ระมาณ ๙๖ เมตร ทางเข้าประตูกับชั้นบันไดเฉลี่ยด้านหน้าของแต่ละชาน๑๘๕ ภายในวิหารแห่งนี้มีส่วนคล้ายกับปูชนียสถานแห่งเมืองโปโฬนนารุวะ ดังเช่นถูปารามและลังกาติลกะ๑๘๖ ห้องใต้ดินภายในลังกาติลกะแห่ง เมอื งแคนดเี ป็นอิฐขนาดใหญ่ และพระพทุ ธรูปปางประทับน่ังขนาดใหญ่ ฉาบด้วยปูน ถัดมาเป็นเทวาลัยหรือเทพเจ้าและพระมเหสี ซึ่งอยู่ตรง กลางกำ� แพงภายนอกแตล่ ะแห่งของวิหาร๑๘๗ สมัยน้ันแผนผังของวิหารแห่งน้ีมีความงดงามเชิงศิลปกรรม จากการตรวจสอบสง่ิ กอ่ สรา้ งแหง่ เมอื งอนรุ าธปรุ ะบางแหง่ คลา้ ยกบั หอ้ ง ใต้ดินเช่ือมติดกันและระเบียงสี่ด้าน เช่ือว่าได้รับอิทธิพลจากปาละ๑๘๘ แตส่ งิ่ กอ่ สรา้ งสมยั อนรุ าธปรุ ะและโปโฬนนารวุ ะไมม่ กี ารเลยี นแบบอกี เลย ความจรงิ คอื มสี งิ่ กอ่ สรา้ งบางแหง่ เทา่ นนั้ ทคี่ ลา้ ยกนั กลา่ วคอื ลงั กาตลิ กะ สรา้ งขน้ึ ภายหลงั ประมาณหา้ ศตวรรษ จงึ เปน็ ไปไดย้ ากทจี่ ะไดร้ บั อทิ ธพิ ล ต่างถิ่น และสมัยอาณาจักรคัมโปละไม่มีปฏิสัมพันธ์กับอินเดียมากนัก หลักฐานจากวัดพาหารปุร์แห่งเมืองเบ็งกอลชี้ให้เห็นว่ามีแผนผังคล้าย กัน สันนิษฐานว่าช่างฝีมือแห่งอาณาจักรคัมโปละอาจจะศึกษาเป็นต้น

298 ศรีลงั กาและอษุ าคเนย์ แบบ แต่สถาปัตยกรรมแบบอินเดียใต้กลับไม่มีส่วนใดเหมือน ช่างฝีมือ ชาวสิงหลสมยั นน้ั จงึ มองหาแรงกระตนุ้ จากที่อ่นื นนั ทเสนะมดุ ยิ นั เสเหน็ วา่ ลงั กาตลิ กวหิ ารคลา้ ยกบั วดั อานนั ทะแหง่ เมืองพุกาม สันนิษฐานว่าชาวสิงหลน่าจะได้รับอิทธิพลบางอย่าง๑๘๙ ลกั ษณะแตกตา่ งอยา่ งเดน่ ชดั ของวดั อานนั ทะคอื แผนผงั มลี กั ษณะเปน็ รปู กากบาท อาคารสร้างบนฐานสี่เหล่ียม ๕๓ เมตร สูง ๙ เมตร ช่องขนาดใหญ่ยื่นจากฐานทุกด้าน โดยหันหน้าไปทางจุดสี่จุดตามเข็ม ทิศ เป็นพระพุทธรูปปางประทับยืนขนาดใหญ่ แต่ละองค์อยู่ตรงกลาง ฐานของแต่ละด้าน๑๙๐ ทางเดินเป็นช่วงสั้นและแนวขนานหมุนไปรอบ ครอบคลุมด้วยหลังคาโค้งและเชื่อมติดกับท่ีน่ังพักมีก้ันตรงกลาง และ ช่องภายนอกเช่ือมทางเดินในตึกแนวขวาง๑๙๑ วิหารแห่งน้ีสร้างสมัย พระเจ้ากยันสิตถาแห่งอาณาจักรพุกาม ต�ำนานระบุว่าเริ่มก่อสร้าง พ.ศ.๑๐๙๐ หากเปรียบเทยี บอารามสองแหง่ เห็นทงั้ ความเหมอื นและ ความตา่ ง วดั อานนั ทะมฐี านสเ่ี หลย่ี มผนื ผา้ ขนาดใหญแ่ ทนหอ้ งใตด้ นิ ตรง กลาง แตว่ หิ ารลงั กาตลิ กะมคี รรภค์ ฤหล์ กั ษณะคลา้ ยกบั สง่ิ กอ่ สรา้ งแบบ สิงหล วัดอานันทะมีระเบียงขนาดสั้นแทนชานชาลาแบบลังกา ลังกา ติลกวิหารมีเทวาลัยหลายแห่งแต่ไม่ใช่พระพุทธรูป หันหน้าไปทางทิศ ท้ังสี่เหมือนวัดอานันทะ ส่วนความเหมือนกันอย่างเด่นชัดคือแผนผัง ความโคง้ หลังคา และแนวก�ำแพง๑๙๒ ทง้ั หมดน้อี าจเปน็ ไปไดว้ า่ ลังกา ติลกวิหารได้รับอิทธิพลบางอย่างจากวัดของพุกาม ความสัมพันธ์ทาง ศาสนาระหว่างศรลี งั กากับพม่าอาจจะไม่ใชค่ ำ� ตอบ๑๙๓ วัดอานนั ทะนั้น เปน็ ปชู นยี สถานสำ� คญั แหง่ หนงึ่ ของพมา่ พระสงฆพ์ มา่ กด็ ี ผจู้ ารกิ แสวง บุญก็ดี ซ่ึงมีโอกาสเดินทางมาศรีลังกาอาจจะถ่ายแบบแผนผังของวัด

การข้ามกระแสทางสถาปัตยกรรม 299 อานนั ทะ ครนั้ เชอื่ มตอ่ กบั ความคดิ ของชาวพทุ ธสงิ หลจงึ ผลสง่ กลายเปน็ วิหารลงั กาติลกวิหาร กลา่ วโดยสรปุ การสรา้ งเจดยี ใ์ นประเทศไทยพมา่ และคาบสมทุ รมาเลย์ ได้รับอิทธิพลมาจากลังกา ดังปรากฏเห็นปูชนียสถานของประเทศไทย นับแต่พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ เป็นต้นมา อกี ดา้ นหนึ่งสถาปัตยกรรมแบบ พมา่ และกมั พูชากท็ รงอิทธิพลตอ่ ศรีลังกาเช่นกัน

300 ศรีลังกาและอษุ าคเนย์ รุวันแวฬิมหาแสยะเจดีย์แห่งเมืองอนุราธปุระ ต้นแบบเจดีย์ช้างล้อมของไทย (คัดลอก ภาพจาก www.google.co.th/maps) กริ เิ วเหระเจดยี แ์ หง่ เมอื งหลวงเกา่ โปโฬนนารวุ ะ ตน้ แบบพระบรมธาตเุ จดยี น์ ครศรธี รรมราช (คดั ลอกจาก www.google.co.th/maps)

การข้ามกระแสทางสถาปัตยกรรม 301 เจดยี ว์ ชิ โยตปฏะ วัดคฑลาเดณยิ วหิ าร นอกเมอื งแคนดี ประเทศศรลี ังกา วดั ลงั กาติลกวิหาร สร้างสมัยอาณาจกั รคัมโปละ นอกเมอื งแคนดี ประเทศศรีลงั กา

302 ศรลี ังกาและอุษาคเนย์ พระธาตุชเวชิกอง เมอื งพกุ าม ประเทศพม่า (คัดลอกจาก www.google.co.th/maps) พระธาตมุ เุ ตา เมอื งหงสาวดี ประเทศพมา่ (คดั ลอกภาพจาก www.google.co.th/maps)

การข้ามกระแสทางสถาปัตยกรรม 303 พระประโทณเจดีย์ วัดพระประโทณเจดีย์วรวิหาร นครปฐม (คัดลอกภาพจาก www. pantip.com) ปราสาทพนมบาเคง็ เมอื งเสยี มเรยี ม ประเทศกมั พชู า(คดั ลอกภาพจากwww.pantip.com)

304 ศรลี ังกาและอุษาคเนย์ พระพทุ ธรปู มมี กรโตรานอยดู่ า้ นหลงั วดั ถำ�้ ดมั บลุ ลราชมหาวหิ าร เมอื งดมั บลุ ละ ประเทศ ศรีลังกา พระพุทธรูปภายในซุ้มเจดีย์วิชโยตปฏะ วัดคฑลาเดณิยะวิหาร นอกเมืองแคนดี ประเทศ ศรีลังกา

การข้ามกระแสทางสถาปัตยกรรม 305 เชงิ อรรถ ๑ F.C. Bartlett, Psychology and Primitive Culture (Cambridge, 1923), pp. 140-41. ๒ Quaritch Wales, The Making of Greater India (London, 1951), p. 12. ๓ Dietrich Seckel, The Art of Buddhism, Art of the World Series (London, 1964), p. 21. ๔ For this mission see supra, pp. 108-109. ๕ J. Boisselier, Le Cambodge, Manuel d’archeologie d’Extreme-Orient, premiere partie, Asie du Sud-est, tome I (Paris, 1966). ๖ Le May, A Concise History of Buddhist Art in Siam, pp. 142 ff. ๗ R.M. Sutjipto Wirjosuparto, ‘The Role of Buddhism of South India on the Development of Buddhist thought in Indonisia’, Glimpses of Cultural History of Indonesia (Djakarta, 1963), pp. 29-40. ๘ D. Ghosh, ‘Two Bodhisattva Images from Ceylon and Srivijaya’, JGIS, Vol. IV (1937), pp. 125-27); J.G. De Casparis, ‘New Evidence on Cultural Relations between Java and Ceylon in Ancient Times’, AA, Vol. XXIV (1961), pp. 241-48; S.J. O’Connor, ‘Ritual De posit Boxes in Southeast Asian Sanctuaries’, AA, Vol. XXVIII (1966), pp.53-60. ๙ A.B.Griswold,‘BuddhasofSukhodaya’,ACASA,Vol.VII(1953),p.15. ๑๐ G. Coedes, 'L’art siamois de Sukkhodaya (XIIIe-XIVss), Arts Asiatiuques, Vol. I (1954), pp. 291 ff.

306 ศรลี งั กาและอุษาคเนย์ ๑๑ Percy Brown, Indian Architecture (Bombay, 1956), p. 229. ๑๒ A. H. Longhurst, ‘ The Development of the Stupa’, JRIBA, Vol. XXXVI, No. 4 (1928), pp. 136 ff; A.M. Hocart, ‘The Origin of the Stupa’, CJSG, Vol. I (1924-28), pp. 15 ff; Paranavitana, The Stupa in Ceylon (Colombo, 1946), p. 1; Seckel, op.cit, p. 103. ๑๓ Phya Anuman Rajadhon, ‘Phra Cedi’, JSS, Vol. XL (1952), p. 66. ๑๔ Ibid. ๑๕ Paranavitana, The Stupa in Ceylon, pp. 12ff., Plates I-IV. ๑๖ PercyBrown,IndianArchitecture,pp.17-18;A.K.Coomarasswamy, History of Indian and Indonesian Art (London, 1927), Plate, XIV, Fig. 50. ๑๗ Anuradhapura period was from the sixth century B.C. to the eleventh century A.D. ๑๘ Paranavitana, The Stupa in Ceylon, p. 44. ๑๙ Longhurst, op.cit., pp. 135 ff. ๒๐ Mv., XXXII, 5 ff. ๒๑ Paranavitana, The Stupa in Ceylon, pp. 31 ff. ๒๒ Ibid., p. 42. ๒๓ Ibid., p. 43. ๒๔ Coedes, Recueil des inscriptions du Siam, Vol. I, p. 47; Le May, A Concise History of Buddhist Art in Siam, p. 122. ๒๕ La May, A Concise History of Buddhist Art in Siam, p. 122.

การข้ามกระแสทางสถาปตั ยกรรม 307 ๒๖ Griswold, ‘Siam and the “Sinhalese” “stupa”, Buddhist Annual, Inaugural Number (1964), p. 77; Louis Frederic, The Temples and Sculptured of South-east Asia (London, 1965), p. 361, No.384. ๒๗ Paranavitana, The Stupa in Ceylon, p. 66, Plates XII (b), XIII (a). ๒๘ Mv, XXXIII, 5; this feature is also referred to in the later portion of the chronicle. Cv, XXXIX, 30. ๒๙ Paranavitana, The Stupa in Ceylon, p. 67. ๓๐ Cv, XXXVIII, 10; XLI, 95. ๓๑ J.Y. Claeya, ‘L’ archeology du Siam’, BEFEO, Vol. XXXI (1931), p. 411; Le May, A Concise History of Buddhist Art in Siam, p. 122. ๓๒ Louis Frederic, op.cit., No. 385. ๓๓ Griswold, Buddhist Annual (1964), p. 74. ๓๔ Luang Boribal Buribhand, ‘Excavations at the Chapel Royal at Ayudhya’, JSS, Vol. XLIII (1956), p.138; Louis Frederic, op.cit., No. 415. ๓๕ Ibid. ๓๖ Jinakalamiali, pp. 81 ff; Camille Notton, Annales du Siam, Vol. III (Paris, 1932), pp. 41 ff; Coedes, The Indianized States, p. 208; Griswold, in The Arts of Thailand, ed. T. Bowie (Bloomington, 1960), p. 121. ๓๗ See supra, pp. 97ff. ๓๘ Notton, Annales du Siam, Vol. III, pp. 78 ff; Coedes, the Indianized States, p. 266.

308 ศรีลังกาและอษุ าคเนย์ ๓๙ La May, A Concise History of Buddhist Art in Siam, p. 130; Le May, The Culture of South-east Asia (London, 1954), p. 185, Fig. 192. ๔๐ Claeys, op.cit., pl. LXXIX, p. 427; pl. LXXX, p, 428. ๔๑ Coedes, ‘Documents … Laos …’, BEFEO, Vol. XXV, p. 86 note I; Notton, Annales du Siam, vol. III, pp. 54-61. ๔๒ E.W. Hutchinson, ‘The Seven Spires’, JSS, Vol. XXXIX, p. 29, Plate I; Le May, The Culture of South-east Asia, Fig. 168. ๔๓ Plate I; Le May, The Culture of South-east Asia, p. 168. ๔๔ See supra, p. 104. ๔๕ La May, A Concise History of Buddhist Art in Siam, p.128. Fig.151. ๔๖ Ibid. ๔๗ Claeys, op.cit., pp. 439 ff: Le May, The Culture of South-east Asia, p.173. ๔๘ Louis Ferderic, op.cit., No. 396. ๔๙ Grisworld, Buddhist Annual (1964), p.76; Le May, A Concise History of Buddhist Art in Siam, p.41, Fig.38. ๕๐ เรอื่ งราวของพระราหลุ เถระและความเกยี่ วพนั กบั คาบสมทุ รมาเลย์ see supra, p. 85 ff. ๕๑ Griswold, Buddhist Annual (1964), p. 76. ๕๒ See supra, pp. 85ff. ๕๓ Griswold and others, Burma Korea Tibet, Art of the World Series (London: 9164), pp. 13 ff.

การข้ามกระแสทางสถาปัตยกรรม 309 ๕๔ ASIAR (1960-7), p.31; Louis Prederic, op.cit., No.56. ๕๕ See supra, pp.69ff. ๕๖ ASIAR (1906-7), p. 30; Louis Prederic, op.cit., No.53. ๕๗ ASIAR (1908), p. 11; Louis Frederic, op.cit., p. 59, No.48. ๕๘ Louis Frederic, op.cit., p.76, No.57. ๕๙ H. Parker, Ancient Ceylon, (London, 1909), p. 336. ๖๐ Paranavitana, The Stupa in Ceylon, pp. 45-46. ๖๑ See infra, p. 132. ๖๒ Griswold, Buddhist Annual (1954), p. 75. ๖๓ Ibid. ๖๔ Paranavitana, The Stupa in Ceylon, p. 98. ๖๕ Bell, ASCAR (1903), p. 14. ๖๖ Paranavitana, The Stupa in Ceylon, p. 99. ๖๗ Ibid. ๖๘ EZ, Vol. II, no. 15, p. 92. ดว้ ยเหตนุ ัน้ ไดม้ ีการยกพระราชวงั แห่ง หนึ่งซึ่งมีการก่อสร้างในเมืองหลวงอย่างเป็นทางการในปีที่เจ็ด เดือนที่เจ็ด เช่ือว่าปราสาทแห่งน้ีเป็นประโยชน์ต่อเราผู้นั่งใน พระราชวังที่สร้างโดยกษัตริย์ผู้เหมือนเรา พระองค์โปรดให้สร้าง ภายในสบิ หา้ วันเป็นพระราชวังเจด็ ชน้ั Ibid., p. 95. ๖๙ Paranavitana, The Stupa of Ceylon, p. 99. ๗๐ Coomaraswamy, History of Indian and Indonesian Art, p. 165.

310 ศรลี งั กาและอษุ าคเนย์ ๗๑ Benjamin Rowland, The Art and Architecture of India (London, 1953), p. 218. ๗๒ J. Fergusson, History of Indian and Eastern Architecture, Vol. I (London, 1910), p. 245. ๗๓ Bell, ASCAR (1903), p. 16. ๗๔ Coedes, BEFEO, Vol. XXV, p. 83. ๗๕ P. Dupont, L’archeologie M’one de Dvaravati, Vol. I, p. 94. ๗๖ Dupont, op.cit., p. 93; Le May, A Concise History of Buddhist Art in Siam; Frederic, op.cit., p. 379. ๗๗ Frederic, op.cit., p. 379, No. 394. ๗๘ Ibid., p. 41, No. 39. ๗๙ Ibid., p. 360, No. 377. ๘๐ Dupont, L’archeologie M’one de Dvaravati, Vol. I, pp. 96-98. ๘๑ Ibid., pp. 134-35. ๘๒ Bell, ARASC (1903), p. 16. ๘๓ Paranavitana, The Stupa in Ceylon, p. 99; Le May, A Concise History of Buddhist Art in Siam, p. 97; Qauritch Wales JRAS (1966), p. 48. ๘๔ Paranavitana, The Stupa in Ceylon, p. 99; see Louis Prederic, op.cit., No. 301, Mountain Temple of Baksei chamkrong Angkor, Cambodia. ๘๕ Quaritch Wales, JRAS (1966), p. 48.

การข้ามกระแสทางสถาปัตยกรรม 311 ๘๖ Seckel, op.cit., p. 111. ๘๗ About Chinese pagodas see Heinrich Gerhard Franz ‘Pagode, Stupa, Trumtemple- Untersuchungen zum Ursprung der Pagoda’, Kunst des Orients, ed. Frnst Kuhnel, III (Wiesbanden, Franz Steiner, 1959), pp. 14-28; Seckel, op.cit., p. 115. ๘๘ Ibid. ๘๙ S.Beal, Buddhist Records of the Western World, Vol. I (Calcutta, 1958), p. 72. ๙๐ Gisbet Combez, ‘L’evolution du stupa en Asie’, Melanges Chinois et boundhiques, deuxieme volume (1932-33), pp. 187ff; fig. 11 shows the tower from a torana relief from Mathura. ๙๑ Franz, op.cit., pp. 22 ff.; Seckel, op.cit., p. 112. ๙๒ Coomaraswamy, History of Indian and Indonesian Art, pl. 62; Seckel. Op.cit., pp. 113-114, plate next to p. 292. ๙๓ Seckel, op.cit., pp. 112-16. ๙๔ Coedes, ‘Recent Archaeological Progress in Siam’ IAL., NS, Vol. I, pp. 57-72; Coedes, ‘Excavations of P’ong Tuk’, The Siam Society 50th Anniversary Commenmoration Publication, Vol. I (Bangkok, 1954), pp. 205-38; Dupont, L’archeologie M’one de Dvaravati; Griswold, Arts of Thailand, pp. 40ff. ๙๕ Dupont, L’archeologie Mone de Dvaravati, Vol. I, pp. 92ff. ๙๖ Le May, A Concise History of Buddhist Art in Siam, pp. 97-98; Le May, The Culture of South-east Asia, p. 161; Dupont, L’archeoogie M’one de Dvaravati, Vol.I. p. 98.

312 ศรลี ังกาและอษุ าคเนย์ ๙๗ Griswold, The Arts of Thailand, p. 41. ๙๘ Claeys ตั้งข้อสังเกตว่าเจดีย์กู่กุดอาจได้รับอิทธิพลมาจากสิงหล แตก่ ารคน้ พบทางโบราณคดลี า่ สดุ แสดงใหเ้ หน็ วา่ ลกั ษณะเชน่ นรี้ จู้ กั ในประเทศไทยดีก่อนสมัยสัตมหาลปราสารท Claeys, op.cit., p. 435. ๙๙ Quaritch Wales, ‘The Origin of Sukhodaya Art’, JSS, Vol. XLIV, pt. 2 (1956), pp. 113 ff. ๑๐๐ Ibid., p. 116. ๑๐๑ Peroy Brown, Indian Architecture, p. 226. ๑๐๒ Griswold, Towards A History of Sukhodaya Art, p. 3. ๑๐๓ Coedes, Recueil des inscriptons du Siam, Vol. I, pp. 62-75. ๑๐๔ Ibid. ๑๐๕ Griswold, Towards A History of Sukhodaya Art, p. 21. ๑๐๖ L. Prematilleke and R. Silva, ‘A Buddhist Monastery type of Ancient Ceylon showing Mahayanist influence’, AA, Vol. XXX (1968), p. 68. ๑๐๗ See supra, p. 122. ๑๐๘ Griswold, Towards A History of Sukhodaya Art, p. 21. ๑๐๙ Ibid., Figs. 19. 20 and 21. ๑๑๐ Claeys, op.cit., p. 417. ๑๑๑ Le May, Concise History of Buddhist Art in Siam, p. 121. ๑๑๒ Parmentier, L’art architectural Hindou dans I’Inde et en Extreme-Orient, pp. 189-90.

การข้ามกระแสทางสถาปัตยกรรม 313 ๑๑๓ Qaritch Wales, JSS, Vol. XLIV, pp. 119 ff. ๑๑๔ O.C. Ganguly, ‘A Note on Kirtiukha; being the life history of an Indian architectural ornament’, Rupam, Vol. X (1922), pp. 11-18; K. R. Srinivasan, Cave Temples of the Pallavas’, (New Delhi, 1964), pp. 38, 74 and 180. ๑๑๕ William E. Ward, ‘Sinhalese Makara Toranas in Cleveland’, CHJ, Vol. II (1952), p. 23. ๑๑๖ Ibid. ๑๑๗ Ibid. ๑๑๘ Coomaraswamy, Bronzes from Ceylon, Chiefly in the Colombo Museum, Plate, xiv, Figs, 33 and 35; Plate. Xv, Fig. 39. ๑๑๙ Ward, op.cit., pp. 24-26. ๑๒๐ ASCAR (1911-12), p. 65, pls. LXXVII and LXXX. ๑๒๑ Nandasena Mudiyanse, The Art and Archtecture of the Gampola Period, (Colombo, 1963), p. 65; A. M. Mocart, MASC, II (Colombo, 1926), drawing next to p. 20. Plate LIX, No. 68. ๑๒๒ Nanasena Mudiyanse, The Art and Architectural of the Gampola Period, pp. 55-56. ๑๒๓ Quritch Wales, JSS. Vol. XLIV, p. 120. ๑๒๔ Coedes, Recueil des inscriptions du Siam, Vol. I, p. 71. ๑๒๕ H. Parmentier, L’art architectural Hindou dans I’Inde et en Extreme-Orient, (Paris, 1948), p. 192, Fig. 234. ๑๒๖ Claeys, BEFEO, op.cit., p. 411; Le May agrees with Claeys, A Concise History of Buddhist Art in Siam, p. 81.

314 ศรลี งั กาและอุษาคเนย์ ๑๒๗ Paranavitana, The Stupa in Ceylon, p. 71. ๑๒๘ Ibid. ๑๒๙ Ibid. ๑๓๐ Paranavitana, The Encyclopaedia of Buddhism, Specimen Articles, p. 17. ๑๓๑ Quaritch Wales, JSS, Vol. XLIV, p. 119. ๑๓๒ Percy Brown, op.cit., p. 229; Quaritch Wales, loc.cit. ๑๓๓ Le May, The Culture of Southeast Asia, p. 117. ๑๓๔ Fournereau, Le Siam ancient, Vol. II, pp. 2ff. ๑๓๕ Fournereau,HistoryofIndianandEasternArchitecture,Vol.II,p.408. ๑๓๖ Griswold, Towards A History of Sukhodaya Art, p. 49. ๑๓๗ Quaritch Wales, JSS. Vol. XLIV, p. 119. ๑๓๘ A.M. Hocart, MASC, Vol. II (1926), p. 9. ๑๓๙ ASCAR (1903), p. 29. ๑๔๐ See Supra, p. 132. ๑๔๑ Fournereau, op.cit., pp. 10-20. ๑๔๒ Ibid., pp. 35-42. ๑๔๓ Coomaraswamy, History of Indian and Indonesian Art, p. 177. ๑๔๔ Bell, ASCAR (1906), pp. 16ff. ๑๔๕ Ibid., p. 10.

การข้ามกระแสทางสถาปตั ยกรรม 315 ๑๔๖ Ibid. ๑๔๗ Ibid. p. 13. ๑๔๘ Ibid. ๑๔๙ Ibid. p. 14. ๑๕๐ Ibid. ๑๕๑ Ibid. ๑๕๒ Ibid. ๑๕๓ Prematilleke and Silva, op.cit., p. 64. ๑๕๔ Bell, ASCAR (1906), p. 16. ๑๕๕ Ibid. p. 17. ๑๕๖ L. P. Brigge, the Ancient Khmer Empire, p. 127. ๑๕๗ H. Parmentier, Angkor-guide, (Saigon, n.d.), p. 100. ๑๕๘ Briggs, the Ancient Khmer Empire, p. 127. ๑๕๙ สง่ิ กอ่ สรา้ งดงั กล่าวมใิ ชเ่ ป็นการจดั ระเบยี บใหม่ทง้ั หมด เน่อื งจาก เจดยี แ์ หง่ อนรุ าธปรุ ะหลายแหง่ มรี ปู รา่ งเลก็ และทงั้ สมี่ มุ ของชนั้ ทำ� หนา้ ทย่ี นั อาคารหลกั ๑๖๐ Briggs, The Ancient Khmer Empire, p. 127; Parmentier, Ankor-guide, p. 101. ๑๖๑ Parmentier, Angkor-guide, p. 101. ๑๖๒ Briggs, The Ancient Khmer Empire, p. 127. ๑๖๓ Parmentier, Angkor-guide, p. 101.

316 ศรลี งั กาและอษุ าคเนย์ ๑๖๔ Ibid., pp. 98 ff. ๑๖๕ Bell, ASCAR (1960), p. 17. ๑๖๖ EZ, Vol. II, pp. 238ff. ๑๖๗ Cv, LXXIII, 72. ๑๖๘ ASCAR (1906), pp. 10 ff. ๑๖๙ Cv, LXXII, 72, note 1. ๑๗๐ See supra, p. 25. ๑๗๑ See supra, p. 23. ๑๗๒ Bell, ASCAR (1960), p. 17. ๑๗๓ ASCAR (1910-11), pp. 57ff; Plate LIV; UHC, Vol. I, pt. 2, Plate XLVIII(b). ๑๗๔ ASCAR (1910-11), p. 57. ๑๗๕ Ibid. p. 58. ๑๗๖ Ibid. ๑๗๗ CJSG, Vol. I (1924-28), p. 148. ๑๗๘ JGBRAS, Vol. XXXI, p. 461. ๑๗๙ S. Philip Rawson, The Art of South-east Asia (London, 1967), pp. 48, 54, 65, 75. ๑๘๐ Groslier, Tndo-China, p. 119; Louis Frederic, op.cit., No. 319. ๑๘๑ Cv, LXXXVIII, 64 ff. ๑๘๒ See supra, p. 54.

การข้ามกระแสทางสถาปตั ยกรรม 317 ๑๘๓ Paranavitana, UHC, Vol. I, pt. 2, p. 780. ๑๘๔ Paranavitana, ‘Lankatilaka Inscriptions’, UCR, XVIII, )1960), pp. 4-14; Nandasena Mudiyanse, The Art and Architecture of the Gampola Period, pp. 29, 145-153. ๑๘๕ Paranavitana, UHC, Vol. I. pt. 2, pp. 782-83. ๑๘๖ A.M. Hocart, MASC, Vol. II (1926), p. 19. ๑๘๗ Ibid., UHC, Vol. I, pt. 2, p. 783. ๑๘๘ Paranavitana, The Excavations in the Citadel of Anuradhapura (Colombo, 1936), pp. 3ff.; S. K. Sarasvati, JGIS, Vol. IV, pp. 156-58. ๑๘๙ Mudiyanse, The Art and Architecture of the Gampola Period, pp. 68-69. ๑๙๐ Charles Duroiselle, ‘The Ananda Temple in Pagan’, MASI, No. 56, pp. 10 ff. ๑๙๑ Ibid. ๑๙๒ Mudiyanse, The Art and Architecture of the Gampola Period, p. 69. ๑๙๓See supra, pp. 58ff.

318 ศรลี งั กาและอษุ าคเนย์

อทิ ธพิ ลด้านประตมิ ากรรม 319

บรรยายภาพ : ภาพจิตรกรรมต�ำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช วัดวังตะวันตก เมอื งนครศรธี รรมราช

บทท่ี ๗ อทิ ธิพลด้านประตมิ ากรรม ศิลปกรรมสมัยทวารวดี ด้วยความแพร่หลายของลัทธิฮินดูและพระพุทธศาสนา เหนือดิน แดนอุษาคเนย์เป็นระยะเวลายาวนาน คติความเชื่อจากอินเดียอนุทวีป จึงไหลทะลักเข้าสู่ดินแดนแห่งนี้ตลอดภูมิภาค หลักฐานทางโบราณคดี ยืนยนั วา่ การบชู าเทพเจ้าฮินดูก็ดี การกราบไหว้สกั กระพระพทุ ธรปู กด็ ี ล้วนเป็นท่ีรู้จักแพร่หลายของชาวอุษาคเนย์นับจากศตวรรษแรกเป็นต้น มา ภายหลังต่อมาคร้ันศรีลังกากลายเป็นผู้น�ำพระพุทธศาสนานิกาย เถรวาท คติความเช่ือและศิลปกรรมบางอย่างก็แพร่หลายเข้าสู่ดินแดน อษุ าคเนยเ์ ชน่ กนั พรอ้ มสรา้ งความสมั พนั ธท์ างศาสนาสบื ตอ่ เรอื่ ยมา จงึ ปรากฏเห็นประติมากรรมพุทธศาสนาแบบสิงหลเป็นจ�ำนวนมาก อกี ท้งั เทวรูปกระจายกันอยู่ตลอดดินแดนอุษาคเนย์ เชื่อกันว่าประติมากรรม เหลา่ นล้ี ้วนน�ำมาจากศรลี งั กาท้งั ส้นิ การแพร่หลายของแนวคิดเก่ียวกับประติมากรรมนั้นปรากฏเห็น ผลเร็วกว่าสถาปัตยกรรม เหตุเพราะเป็นเร่ืองง่ายต่อการประกอบ พธิ กี รรมของพระสงฆ์ ผจู้ ารกิ แสวงบญุ และพอ่ คา้ ผปู้ ระกอบวาณชิ กรรม ซึ่งพากันอัญเชิญพระพุทธรูปและเทวรูปติดตัวมาด้วย พระสงฆ์น้ัน อัญเชิญพระพุทธรูปก็เพื่อพิธีกรรมทางศาสนา ผู้จาริกแสวงบุญมักพก พารูปปนั้ ขนาดเล็กหรือพระพิมพด์ นิ เผา อาจจะไดม้ าจากการเดินทางไป สกั การะสงั เวชนยี สถานทงั้ อนิ เดยี และศรลี งั กา สว่ นพอ่ คา้ ผศู้ รทั ธามน่ั คง

322 ศรลี ังกาและอุษาคเนย์ ในศาสนาแห่งตนอาจจะน�ำรูปปั้นมาด้วย แล้วบูชาสักการะเพ่ือสร้าง ความมั่นใจดา้ นการค้าและความปลอดภัยในการเดินทาง สว่ นสถาปัตยกรรมน้ันจ�ำตอ้ งอาศัยเวลานาน ช่างฝีมือผู้ช�ำนาญแห่งดินแดนอุษาคเนย์ผู้ปรารถนาสรรค์สร้าง ศาสนสถาน น่าจะได้แรงบันดาลใจจากต้นแบบกล่าวคืออินเดียและศรี ลังกา ช่างฝีมือเหล่านั้นจะต้องอาศัยความทรงจำ� ของผู้คน ซ่ึงเคยเห็น อินเดียและสัมผัสความเป็นศรีลังกามาแล้ว บางทีอาจเป็นพระสงฆ์ผู้ สามารถอธิบายสิ่งก่อสร้างที่ตนเคยเห็นและจ�ำได้ ตัวอย่างเช่นผู้จาริก แสวงบญุ ชาวจีนไดค้ ัดลอกส่ิงก่อสร้างขนาดเล็ก ภาพสดุ ท้ายแหง่ ความ ทรงจำ� อาจจะทงิ้ รอ่ ยรอยแหง่ จนิ ตนาการใหเ้ กดิ แกช่ า่ งฝมี อื ผชู้ ำ� นาญดา้ น นีโ้ ดยเฉพาะ ประตมิ ากรรมอาจจะมเี รอื่ งราวแตกตา่ งกนั เลก็ นอ้ ย ความสำ� คญั ของเทวรปู จากอินเดียและพระพทุ ธรปู จากศรลี ังกา อาจจะนำ� พาใหช้ า่ ง ฝีมือสร้างศิลปกรรมตามแบบฉบับของตน ความจริงคือก่อนจะลงมือ สร้างสรรค์งานศิลป์นั้น เหล่าช่างจะต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและ ท�ำจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ จึงจะสามารถสร้างสรรค์งานอันเป็นเลิศ ประติมากรรมเหล่าน้ันยืนยันไดจ้ ากหลกั ฐานทางโบราณคดี แต่หนังสือ เลม่ นเี้ นน้ กลา่ วถงึ เฉพาะอทิ ธพิ ลของพทุ ธศาสนาแบบสงิ หล ซง่ึ สง่ ผลตอ่ ประติมากรรมตลอดดินแดนอษุ าคเนยเ์ ทา่ น้ัน พระพทุ ธรปู จำ� นวนมากซงึ่ คน้ พบหลายหวั เมอื งบรเิ วณอษุ าคเนย์ ล้วนมีความใกล้ชิดกับเทวรูปของอินเดีย สันนิษฐานว่าน่าจะน�ำมาจาก

อทิ ธพิ ลด้านประตมิ ากรรม 323 อนิ เดยี อนทุ วปี แตก่ ารคน้ พบเทวรปู อนิ เดยี มไิ ดห้ มายความวา่ ตอ้ งนำ� มา จากอินเดียเสมอไป อาจจะเป็นดินแดนท่ีได้รับอิทธิพลศิลปะจากอินเดีย กเ็ ปน็ ได้ หรอื อาจเปน็ ฝมี อื ของชา่ งพนื้ ถนิ่ ซง่ึ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากอนิ ดยี หรอื วา่ อาจไดศ้ กึ ษาเรยี นรจู้ ากอนิ เดยี อนทุ วปี ๑ บรเิ วณดนิ แดนอษุ าคเนยน์ นั้ บางเมืองอาจมีการพบพระพุทธรูปสัมฤทธ์ิจ�ำนวนน้อย ซ่ึงสร้างแบบ ศลิ ปะอมราวดผี สมสงิ หล และระบวุ า่ ประมาณกลางพทุ ธศตวรรษที่ ๑๐ นอกจากนั้น ดินแดนเดียวกันยังมีการค้นพบพระพุทธรูปอีกหลายองค์ เช่น องคห์ นึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประทบั ยืนจากนครราชสีมาของไทย๒ องคห์ นง่ึ คน้ พบทส่ี เิ กนเดงในเซเลเบสของมาเลเซยี ๓ และอกี สององคจ์ าก เกาะชวา เป็นปางประทับน่ังหนึ่งองค์และปางประทับยืนอีกหน่ึงองค์ซ่ึง จัดเข้ากับกลุ่มนี้เช่นกัน๔ พระพุทธรูปดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับศิลปะ ทวารวดกี จ็ รงิ แตห่ ากวเิ คราะหอ์ ยา่ งละเอยี ดจะเหน็ วา่ ลกั ษณะบางอยา่ ง แตกตา่ งจากศลิ ปะอมราวดขี องอนิ เดยี ลกั ษณะเชน่ นเี้ ปน็ สามญั วสิ ยั ของ พระพุทธรูปแบบศรีลังกา ซ่ึงได้รับอิทธิพลมาจากอมราวดีอีกทอดหน่ึง หากเปรยี บเทยี บจะเหน็ วา่ พระพทุ ธรปู เหลา่ นส้ี รา้ งในศรลี งั กาและนำ� เขา้ มาส่ดู ินแดนอษุ าคเนย์ภายหลงั ๕ ความแตกตา่ งเชงิ ประจกั ษอ์ ยา่ งชดั เจนของสง่ิ กอ่ สรา้ งสมยั สโุ ขทยั คือ ไม่สามารถสังเกตเห็นอิทธิพลด้านประติมากรรมแบบสิงหลได้เลย เหตเุ พราะชา่ งฝมี อื ชาวสโุ ขทยั มคี วามสามารถและจนิ ตนาการ ซงึ่ ซมึ ซบั อิทธิพลมาจากต่างถ่ินอย่างเต็มท่ี ช่างเหล่าน้ีได้เปลี่ยนจารีตประเพณี งานศิลป์ต่างถิ่นใหก้ ลายเป็นตระกลู ช่างตามวธิ กี ารแห่งตน จึงมใิ ชเ่ รือ่ ง แปลกหากพบว่าความคล้ายคลึงกับพระพุทธรูปของศรีลังกาไม่ปรากฏ พบเห็นเลย และหากศึกษาเปรยี บเทียบดา้ นประติมานวิทยาของตระกลู ชา่ งสโุ ขทยั อยา่ งละเอยี ด จะเหน็ วา่ มีการเออ้ื เฟอื้ แบบสงิ หลปนอย่ดู ้วย

324 ศรลี ังกาและอุษาคเนย์ สมัยสุโขทัยถือว่าเป็นยุครุ่งเรืองแรกสุดของวัฒนธรรมไทย เป็น หนึ่งในยุควัฒนธรรมทางประวัติศาสตร์ท่ีดีสุด พระพุทธรูปสัมฤทธิ์และ พระพทุ ธรปู ปนู ปน้ั หลายรอ้ ยองค์ ลว้ นสรา้ งสมยั อาณาจกั รสโุ ขทยั หาก พิจารณาเชิงศิลปะของพระพุทธรูปบางองค์ สามารถจัดเข้าเป็นกลุ่ม พระพทุ ธรปู สวยทสี่ ดุ ของโลกแหง่ พระพทุ ธศาสนาได้ หากตรวจสอบดา้ น กายวิภาคศาสตร์เคร่ืองแต่งตัวและท่วงท่าของพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย จะสงั เกตเหน็ องคป์ ระกอบอนั แตกตา่ งของงานศลิ ป์ ซงึ่ เปน็ รปู แบบเฉพาะ ของตระกลู ชา่ งดา้ นประตมิ ากรรม กรสิ เวรลิ ดเ์ หน็ วา่ ประตมิ านวทิ ยาของ พระพุทธรูปตามแบบทวารวดีและเขมร พรอ้ มกับเนือ้ หาในพระไตรปฎิ ก ซึง่ อธบิ ายรายละเอียดเกยี่ วกับพทุ ธลกั ษณะ ถอื ว่าเป็นอทิ ธพิ ลหลักของ ตระกูลช่างแห่งสุโขทัย อีกด้านหนึ่ง แรงกระตุ้นด้านสัญลักษณ์ของ พระพุทธเจ้าตามคัมภีร์ภาษาสันสกฤตบ้าง จากพระพิมพ์ดินเผาขนาด เลก็ ซงึ่ นำ� มาจากอนิ เดยี บา้ ง จากพมา่ และศรลี งั กาบา้ ง และจากการเลยี น แบบตามธรรมชาติบ้าง ถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตระกูลช่าง สุโขทยั ๖ หากตรวจสอบประติมานวิทยาของพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยอย่าง ละเอียด จะเหน็ วา่ อิทธิพลสิงหลส่งผลต่อรปู แบบของตระกลู ช่างสโุ ขทยั จริง ลักษณะเช่นนี้ปรากฏเห็นเด่นชัดในพระพุทธรูปปางประทับน่ัง มากกวา่ ปางประทบั ยนื และปางลลี า ทว่ งทา่ ทน่ี ยิ มมากสดุ เปน็ ปางประทบั น่ังเรียกว่าวีราสนะหรือปางมารวิชัย อีกชื่อหน่ึงคือประยังคาสนะ พุทธลักษณะคือพระบาททั้งสองมิได้ประสานกัน พระบาทขวาวางบน พระบาทซ้ายและหมุนข้ึนข้างบน ส่วนพระบาทซ้ายซ้อนอยู่ข้างล่าง สามารถมองเห็นหลงั พระชงฆ์ การจัดวางพระบาทสมัยสโุ ขทยั แตกตา่ ง

อทิ ธพิ ลด้านประตมิ ากรรม 325 จากปางขัดสมาธิ ตามลกั ษณะนิยมของประตมิ ากรรมแบบอนิ เดียเหนอื หากพจิ ารณาจากการขดั พระบาทดว้ ยขอ้ พระบาท จะเหน็ ความแตกตา่ ง เล็กน้อยของลกั ษณะแบบอมราวดแี หง่ อนิ เดียตอนใต๗้ พระพุทธรูปปาง นิยมมากสุดของศรีลังกาคือท่าวีราสนะ ลักษณะคือพระบาทท้ังสองไร้ ความคล้ายคลึงกนั แบบตายตวั และจัดวางในท่าสบาย พระพทุ ธรูปสมัย พุทธศตวรรษที่ ๑๘-๒๕ ซ่ึงมีความใกล้ชิดกับสมัยสุโขทัยแสดงถึง ท่วงท่าอย่างเป็นจังหวะของพระบาทซึ่งโค้งขึ้นบนเล็กน้อย ความแตก ต่างชัดเจนคือพระพุทธรูปปางประทับนั่งที่กัลวิหารเมืองโปโฬนนารุวะ สมัยพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ ซึ่งตรงกับรัชสมยั ของพระเจ้าปรากรมพาหทุ ี่ ๑ (พ.ศ.๑๖๙๖-๑๗๒๙)๘ ลกั ษณะทา่ ทางตามจงั หวะเชน่ นสี้ ามารถ เห็นไดจ้ ากพระพทุ ธรูปสมยั สโุ ขทยั จึงสนั นิษฐานวา่ อาจจะไดร้ บั อทิ ธพิ ล ประตมิ ากรรมแบบสิงหล๙ อีกท่าหนึ่งซ่ึงจ�ำลองมาจากพุทธรปู สิงหลคอื อุษณียะเหมอื นเปลว ไฟ ซึ่งโดดเด่นมากในพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย แนวคิดนี้มาจากอินเดีย แนน่ อนและนา่ จะอ้างอิงมาจากวรรณกรรม การอา้ งถึงอษุ ณียะปรากฏ เห็นในคัมภีร์สัทธรรมปุณฑริกสูตรเป็นลักษณะค�ำถาม ความว่า ด้วย เหตุแห่งฌานประเภทไหนจึงท�ำให้ส่วนท่ียื่นออกจากพระเศียรของ พระตถาคตเปล่งประกายโชติช่วง (มุรธนี-อุษณียะ)๑๐ และค�ำถามจาก คมั ภรี ล์ ลิ ติ วสิ ตระวา่ ขณะพระพทุ ธเจา้ ประทบั นง่ั สมาธิ พระรศั มเี รยี กวา่ เครอ่ื งประดบั แหง่ แสงของฌาน ไดพ้ งุ่ ออกจากสว่ นทยี่ นื่ (อษุ ณยี ะ) แลว้ พงุ่ ออกจากพระเศยี รดา้ นบน๑๑ เชอ่ื กนั วา่ พระรศั มนี เ้ี องเคลอ่ื นออกจาก พระเศยี รของพระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธรปู หลายองคส์ มยั คปุ ตะไดย้ ดึ เอารศั มี รอบพระเศียรของพระพุทธเจ้า ลักษณะเชน่ นเ้ี องไดแ้ พรห่ ลายเขา้ มายัง

326 ศรลี งั กาและอษุ าคเนย์ ดินแดนอุษาคเนย์ จึงปรากฏเห็นว่าด้านหลังพระเศียรเป็นเคร่ืองหมาย รัศมีเชื่อมเข้ากันเป็นหน่ึงเดียว พระพุทธรูปสัมฤทธ์ิปางประทับยืนจาก สุไหโกลกหน่ึง จากนครปฐมหน่ึง และปางประทับนั่งจากชวาหนึ่ง ล้วนมีส่วนที่ย่ืนออกมาด้านหลังพระเศียร อาจจะหมายถึงการตรึงรัศมี เอาไวก้ ็เป็นได้๑๒ พระพุทธรูปด้ังเดิมองค์อื่นมีเพียงอุษณียะบนพระเศียร เปลวไฟ และส่วนยื่นหรือเรียกว่าอุษณียะอาจจะเกิดขึ้นจากผ้าโพกศีรษะ ซึ่งต่อ มากลายเป็นสัญลักษณ์พิเศษ หรือลักษณะของบุคคลประเภท พระจักรพรรดิหรือว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า๑๓ พัฒนาการของอุษณียะ เหมือนเปลวไฟในประติมากรรมอินเดียปรากฏขึ้นเมื่อใดยากเกินเดา พบเห็นหลักฐานเพียงพระพุทธรูปจากพุทธคยา นาลันทา และนาค ปัฏฏนัม ซ่ึงมีอุษณียะเหมือนเปลวไฟบนพระเศียร๑๔ การเปลี่ยนแปลง เช่นน้ียังไม่แพร่หลายถึงดินแดนอุษาคเนย์ จนกระทั่งชาวไทยเร่ิมสร้าง พระพทุ ธรูปในพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ พระพทุ ธรูปสมยั ทวารดแี ละก่อนยคุ เขมรนนั้ ไมม่ อี ษุ ณยี ะเหมอื นเปลวไฟ ความจรงิ แลว้ พระพทุ ธรปู นำ� เขา้ ซงึ่ พบที่ไทยล้วนเป็นยุคอมราวดี แม้คติความเชื่อเช่นนี้จะเป็นที่รู้จักกันดี สมัยทวารวดกี จ็ ริง แต่ช่างฝีมือแห่งดินแดนนคี้ งปฏิเสธเสยี พระพทุ ธรปู จากนครราชสีมาซ่ึงน�ำมาจากศรีลังกา สันนิษฐานว่าประมาณพุทธ ศตวรรษท่ี ๑๐ มพี ทุ ธลกั ษณะคอื มรี ศั มขี นาดเลก็ แตกออกเปน็ สามสาย หรือมสี ว่ นยอดเปน็ เปลวไฟ ตอ่ มาปรากฏเหน็ สมยั พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ ถือได้ว่าคติความเชื่อเก่ียวกับส่วนยอดเหมือนเปลวไฟนี้ปรากฏเห็นครั้ง แรกสมัยสุโขทยั

อทิ ธพิ ลด้านประตมิ ากรรม 327 เนอื่ งจากสโุ ขทยั มคี วามสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กบั ศรลี งั กามากกวา่ อนิ เดยี จงึ เชอื่ วา่ อษุ ณยี ะเหมอื นเปลวไฟนา่ จะนำ� เขา้ สโุ ขทยั จากศรลี งั กา ซง่ึ สมยั นั้นประติมานวิทยาแนวพุทธรู้จักกันแพร่หลายและยอมรับกันอย่าง กว้างขวาง อาศัยความสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่างศรีลังกาและสุโขทัย เปน็ สอื่ พระพทุ ธรปู สมยั อนรุ าธปรุ ะยคุ ตน้ ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ เรมิ่ ปรากฏเหน็ เปลวไฟบนพระเศยี ร ตวั อยา่ งเชน่ พระพทุ ธรปู สมั ฤทธแิ์ หง่ กันตโรได๑๕ บัตติคาโลว์ และพระพุทธรูปหินขนาดใหญ่ที่เอาวุกะนะ๑๖ การจะก�ำหนดระยะเวลาการปรากฏของเปลวไฟนั้นยากนัก สนั นิษฐาน ว่าน่าจะเกิดขึ้นก่อนพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ สังเกตได้จากการขาดหายไป ของเปลวไฟบนพระเศียรของพระพุทธรูปแห่งกัลวิหาร สมัยอาณาจักร โปโฬนนารวุ ะ เชอื่ วา่ ตน้ กำ� เนดิ ดงั้ เดมิ อาจมกี ารแตกตวั สมยั หลงั ๑๗ ยา่ ง เขา้ ตอนทา้ ยสมยั อาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะ อษุ ณยี ะเหมอื นเปลวไฟเปน็ ท่ี นิยมแพร่หลาย คร้ันล่วงเข้าสู่สมัยอาณาจักรคัมโปละ ซึ่งศรีลังกาและ สโุ ขทยั มคี วามสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ ทางศาสนา พทุ ธลกั ษณะดงั กลา่ วจงึ กลาย เปน็ กฎอยา่ งเหมาะสมลงตัว๑๘ ด้วยเหตนุ ้นั อุษณยี ะเหมือนเปลวไฟจงึ กลายเปน็ ลกั ษณะอนั โดดเดน่ ของพระพทุ ธรปู สมยั สโุ ขทยั สนั นษิ ฐานวา่ ชา่ งฝมี อื อาจจะสรา้ งตามคำ� แนะนำ� ของชาวพทุ ธสงิ หลผพู้ ำ� นกั อยใู่ นเมอื ง สโุ ขทยั กเ็ ปน็ ได้๑๙ สว่ นใหญพ่ ระพทุ ธรปู สมยั สโุ ขทยั ครองผา้ จวี รแบบเปดิ กวา้ ง ปลาย จีวรวางพาดเหนือพระอังสะด้านซ้าย ลักษณะนี้ดูเหมือนว่าเป็นการห่ม ของพระสงฆส์ มัยสุโขทยั ส่วนชา่ งฝมี ือชาวสงิ หลจะปลอ่ ยแบบเปดิ โดย ปล่อยพระองั สะดา้ นขวาเปลอื ย ตามวธิ หี ่มของพระสงฆศ์ รีลังกา๒๐ นบั ตั้งแต่พระสงฆ์สุโขทัยรับอิทธิพลพุทธศาสนาแบบสิงหล ต่างพากันชื่น

328 ศรีลงั กาและอษุ าคเนย์ ชอบลกั ษณะการเปดิ แบบนน้ั ชา่ งฝมี อื ชาวสโุ ขทยั ผสู้ รา้ งพระพทุ ธรปู อาจ เลียนแบบการห่มของพระสงฆ์ท่ีตนเห็นและสัมผัสรอบตัว การส่ือทาง จติ ใจ ความสงบเยน็ และความเคารพศรทั ธา ซงึ่ ปรากฏเหน็ ในพระพทุ ธ รปู สมัยสโุ ขทยั สอดคล้องกับความเหน็ ของศิลป์ พีระศรีว่า พระพุทธรูป สมัยสุโขทัยประเภทหน่ึงพยายามสื่อพระพุทธเจ้าโคตมะภายหลังตรัสรู้ แล้ว สังเกตได้จากมีพระวรกายสมบูรณ์ กล้ามเนื้อแบบผ่อนคลาย พระพักตร์สงบเย็นด้วยการแย้มพระสรวล สะท้อนให้เห็นถึงภาวะแห่ง ความสขุ เกษมภายในอนั ละเอยี ดลึกซงึ้ หลงั จากตรสั รู้พระสมั มาสัมโพธิ ญาณแล้ว พระพุทธเจ้าทรงเข้าสู่ภาวะนฤพานมากกว่ากลับสู่โลกวิสัย คนไทยพากันจนิ ตนาการถงึ พระพุทธรูป ซงึ่ มีลักษณะบอบบาง เป็นการ รู้แจ้งเห็นจริง พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยน้ัน ไม่ว่าจะเป็นปางประทับน่ัง ปางลีลา หรือปางไสยาสน์ ล้วนมลี กั ษณะเป็นเกลียวคลืน่ และลอยเด่น เหมอื นไมม่ ตี วั ตน สรา้ งดว้ ยทองสมั ฤทธขิ์ นาดหนกั ความเปน็ จริงเชน่ น้ี มไิ ด้ทำ� ลายคุณลักษณะของพระพทุ ธรูปแตอ่ ย่างใด๒๑ ศลิ ปกรรมสงิ หลสมยั สโุ ขทยั คุณลักษณะดังกล่าวอาจจะมีการผ่านอิทธิพลพุทธศาสนานิกาย เถรวาทจากศรีลงั กาสสู่ ุโขทัย ภาวะแห่งความสงบเย็นเชน่ นี้ปรากฏเห็น เฉพาะพระพทุ ธรปู สงิ หลเทา่ นน้ั บง่ ถงึ ความเคารพพระพทุ ธเจา้ มากกวา่ คติของอินเดีย ชาวพุทธสิงหลเห็นว่าพระบรมครูทรงเกิดข้ึนเหนืออคติ และเหมาะสมกับสถานการณ์พิเศษ ค�ำสอนของพระพุทธองค์คือมนุษย์ ต้องช�ำนะอารมณ์แห่งความรักและความสุข เพื่อเข้าถึงความสงบเย็น อ่อนโยน และความเงียบสงบไร้ความกังวล ซึ่งเป็นความต้องการของ

อทิ ธิพลด้านประติมากรรม 329 มนุษย์ทั้งมวล ช่างฝีมือชาวสิงหลนั้นส่วนใหญ่ผูกพันกับพระพุทธเจ้า พระพักตร์ของพระพุทธองค์สะท้อนถึงความสง่างาม และชัยชนะอัน บริบูรณ์เหนืออารมณ์จึงไร้ข้อครหานินทา ช่างฝีมือชาวสิงหลสามารถ สอื่ ความวเิ ศษของพระพุทธรปู ผ้ไู รก้ ิเลสตณั หาและผทู้ รงชำ� นะโลกวิสัย คณุ ลกั ษณะของพระพทุ ธรปู เชน่ นสี้ ามารถพบเหน็ มากสดุ ในศรลี งั กา ไม่ วา่ จะเปน็ พระพทุ ธรปู ปางประทบั นง่ั หรอื ปางประทบั ยนื นบั ตงั้ แตศ่ ตวรรษ แรกแห่งคริสต์ศักราชเป็นต้นมา๒๒ คุณลักษณะเช่นนี้ก็พบในสุโขทัย สนั นษิ ฐานวา่ พระสงฆผ์ เู้ ดนิ ทางมาจากศรลี งั กาหรอื ผผู้ า่ นการศกึ ษาจาก ศรีลังกา อาจจะแนะน�ำช่างฝีมือพื้นถ่ินถึงความรู้สึกแบบช่างศรีลังกา จึงปรากฏเห็นอทิ ธิพลสงิ หลบางอยา่ งส่งต่อถงึ ศลิ ปะสโุ ขทัย อทิ ธพิ ลสงิ หลเชน่ นเ้ี ขา้ สสู่ โุ ขทยั หลายชอ่ งทาง สญั ลกั ษณส์ ำ� คญั สดุ คอื ความอยากรมู้ นษุ ยภ์ าวะของพระพทุ ธเจา้ ซงึ่ พรรณนาไวใ้ นคมั ภรี ์ พระไตรปฎิ กและคมั ภรี อ์ รรถกถาของศรลี งั กา๒๓ ชา่ งฝมี อื ชาวสโุ ขทยั นน้ั ยดึ เอาคำ� พรรณนาเหลา่ นน้ั เปน็ แบบอยา่ งเดนิ ตาม โดยคดิ วา่ สญั ลกั ษณ์ เหลา่ นเี้ ปน็ ปจั จยั สำ� คญั ในการวาดภาพพระพทุ ธเจา้ เมอ่ื จะสรา้ งพระพทุ ธ รูปก็เกิดความรู้สึกดื่มด�่ำและมองเห็นสัญลักษณ์ตามจินตนาการ ลกั ขณสตู รแหง่ ทีฆนิกายไดอ้ ธบิ ายลกั ษณะ ๓๒ ประการ ส�ำหรับมหา บรุ ษุ ผจู้ ะเปน็ พระเจา้ จกั รพรรดิ หรอื วา่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ บรรดาพทุ ธ ลักษณะน้ันคือมีส้นพระบาทยาว พระองคุลีและนิ้วพระบาทยาว และ พระหตั ถย์ าว หากดตู ามเนอ้ื หาของพระสตู รมหาบรุ ษุ สามารถสมั ผสั และ ลบู คลำ� หวั เขา่ ดว้ ยมอื ทงั้ สองขา้ งขณะยนื ขน้ึ โดยโดยไมต่ อ้ งกม้ มอี วยั วะ เพศชายปกปดิ และผวิ สที อง มหาบรุ ษุ นนั้ ไมม่ รี อยยน่ ระหวา่ งไหลท่ ง้ั สอง ขา้ ง สว่ นไฝระหวา่ งกลางควิ้ หรอื เรยี กวา่ อรู ณะ ชอ่ื วา่ เปน็ หนงึ่ ในลกั ษณะ

330 ศรลี ังกาและอุษาคเนย์ ๓๒ ประการ เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ส�ำคัญสุดของลักษณะ ๓๒ ประการ ซึ่งช่างฝีมือเพ่ิมเข้ามาก่อนจะปั้นพระพุทธรูป๒๔ มหาบุรุษ ลักษณะแบบน้ียังมีการอ้างถึงในคัมภีร์พระพุทธศาสนาอีกหลายเล่ม๒๕ และพระอรรถกถาจารย์ผู้ย่ิงใหญ่นามว่าพุทธโฆสะก็อธิบายความหมาย อกี หลายอยา่ งในคัมภีร์อรรถกถาของท่าน25a ขอ้ มลู ตามคมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ กและคมั ภรี อ์ รรถกถาอาจจะเปน็ ทรี่ จู้ กั ของชา่ งฝมี อื เปน็ อยา่ งดี ผเู้ คยศกึ ษากบั พระสงฆห์ รอื วา่ เคยดำ� รงเพศเปน็ สมณะมาก่อน อีกด้านหนึ่งพระสงฆ์ผู้เดินทางไปพม่าก็ดี ศรีลังกาก็ดี หรือว่านครศรีธรรมราชก็ดี อาจจะแตกฉานในคัมภีร์พระไตรปิฎกและ คัมภีร์อรรถกถาของศรีลังกา แล้วช่วยกันแนะน�ำรายละเอียดพุทธ ลกั ษณะตามคมั ภรี แ์ กช่ า่ งฝมี อื อทิ ธพิ ลของคมั ภรี เ์ หน็ ไดจ้ ากพระพทุ ธรปู ยกตวั อยา่ งเชน่ สพี ระพทุ ธรปู ทาดว้ ยทอง ขดั เงาดว้ ยนำ้� มนั หรอื ทองแผน่ ฝ่าพระบาทสลักเป็นกงล้อ และลายเส้นบนฝ่าพระหัตถ์ก็เป็นกงล้อ พระอังสะกว้าง พระอุระปดู ออก บั้นพระองคเ์ ล็ก พระพาหายาว พระ คยุ หฐานปกปดิ สน้ พระบาทยน่ื ออกยาว ลกั ษณะเชน่ นส้ี ามารถเหน็ จาก พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย๒๖ สันนิษฐานว่าตระกูลช่างสุโขทัยน่าจะรู้จัก คมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ กจากศรลี งั กาเปน็ อยา่ งดี นอกจากนน้ั แลว้ ยงั มคี มั ภรี ์ นิยมของศรีลังกา ซึ่งพรรณนาวิธีการสร้างพระพุทธปฏิมาหรือวาด พระพุทธรูปมีรายละเอียดหลากหลายมิติ คูมรัสวามีอ้างถึงคัมภีร์ เล่มหนึ่งชื่อว่าสาริปุตตะ ซึ่งว่าด้วยมิติของรูปปั้นท่ัวไปและพระพุทธรูป เป็นกรณีพิเศษ คัมภีร์เล่มน้ีแต่งเป็นภาษาสันสกฤตและมีคัมภีร์อธิบาย ศัพท์ภาษาสิงหลประกอบด้วย ส่วนแรกของคัมภีร์ว่าด้วยรูปปั้นท่ัวไป ส่วนสองเปน็ การกำ� หนดวิธสี รา้ งพระพทุ ธรปู สำ� หรับคมั ภีรอ์ ธิบายศพั ท์

อทิ ธพิ ลด้านประติมากรรม 331 ภาษาสงิ หลนา่ จะแตง่ สมยั โปโฬนนารวุ ะ แตร่ ะยะเวลาของคมั ภรี ต์ น้ ฉบบั ยากท่จี ะกำ� หนดได้๒๗ คำ� อธบิ ายตอ่ ไปนแ้ี สดงถงึ คณุ สมบตั ขิ องคมั ภรี ส์ ารปี ตุ ตะ ความวา่ หากพิจารณาความยาวของใบหน้าสามารถแบ่งเป็นสามภาคะ อุศนิศะ เท่ากับแปดยะวะ ความยาวของส่วนท่ีเหนือข้ึนไปจากคิ้ว คลุมด้วยผม เป็นสามอังกัล จากตรงกลางของหน้าผากจนถึงกลางช่องว่างระหว่าง ตาทั้งสองข้าง และจากปลายจมูกถึงฟันเป็นหนึ่งภาคะ ส่วนที่ย่ืนออก มาเลยคางเป็นครึ่งหน่ึงอังคละ จากฐานล�ำคอจนถึงเหนือคอเป็นสาม และคร่งึ น้ิว และจากนนั้ (ตอนท้ายของอรุ ะและจากนัน้ ) ถึงปลายสะดือ และจากนั้นถึงปลายขององคชาตเป็นหน่ึงตาละตามกรณี๒๘ เนื้อหา คมั ภรี ์ส่วนใหญ่วา่ ด้วยวิธีการของการท�ำรูปป้นั สันนษิ ฐานวา่ น่าจะชว่ ย เหลือช่างฝีมือ เพ่ือแก้ปัญหาความยุ่งยากด้วยการแนะวิธีการ ไมส่ ามารถระบไุ ดว้ า่ มกี ารนำ� คมั ภรี เ์ ลม่ นเ้ี ขา้ มาสโุ ขทยั หรอื ไม่ แตป่ จั จบุ นั ไม่ปรากฏว่ามีคัมภีร์เล่มน้ีอยู่ในประเทศไทย สันนิษฐานว่าช่างฝีมือชาว สิงหลผู้ท�ำงานในสุโขทัยน่าจะคุ้นเคยกับคัมภีร์เล่มนี้เป็นอย่างดี๒๙ ความคนุ้ เคยดงั กลา่ วเปน็ การแบง่ ปนั ความรแู้ กช่ า่ งฝมี อื ชาวสโุ ขทยั หรอื พระสงฆ์จากศรีลังกาหรือว่าพระสงฆ์ไทยผู้ศึกษาในศรีลังกา อาจจะ แนะนำ� ช่างฝมี อื สรา้ งพระพุทธรปู ตามเนื้อหาของคมั ภีร์เล่มนีก้ เ็ ปน็ ได้ ส่วนอิทธิพลแบบสิงหลทางอ้อมอีกด้านผ่านประติมากรรมแบบ ทวารวดี และน่าจะได้รับแรงกระตุ้นจากศรีลังกาเช่นกัน พระพุทธรูป ศิลปะทวารวดีในท่าประยังคาสนะอันงดงามที่สุด๓๐ อาจจะเป็นผลจาก การแพรห่ ลายของพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทจากศรลี งั กา เพราะพระพทุ ธ

332 ศรลี งั กาและอษุ าคเนย์ รูปางน้ีพบมากสุดในศรีลังกา ส่วนท่าของพระพุทธรูปศิลปะทวารวดีท่ี แพร่หลายมากสุดเป็นปางประทับน่ังหรือท่าธยานะมุทรา๓๑ ท่าธยานะ มุทรานั้นเป็นการวางต�ำแหน่งพระหัตถ์ท้ังสองข้าง พบเห็นมากสุดว่า เชื่อมกับท่าประยังคาสนะ สันนิษฐานว่าน่าจะได้รับแรงบันดาลใจจาก ศรีลังกา๓๒ ศิลปะสมัยทวารวดีอย่างหนึ่งคือพระพุทธรูปปางประทับน่ัง เหนือพญานาคส่อื ให้เห็นถึงอิทธพิ ลของศรลี งั กา พญานาคเจ็ดเศยี รกด็ ี ทา่ ธยานะมทุ รากด็ ี และทา่ ประยงั คาสนะกด็ ี เปน็ ศลิ ปะแบบอมราวดผี สม สิงหล๓๓ ลักษณะสิงหลซึ่งปรากฏเห็นในพระพุทธรูปเหล่านี้เด่นชัด สนั นษิ ฐานวา่ ลกั ษณะพระพทุ ธรปู แบบทวารวดกี ม็ าจากศรลี งั กา ยกเวน้ พระพทุ ธรปู ยุคแรกของอมราวดี๓๔ ซงึ่ ไม่ปรากฏเห็นพระพุทธรปู ประทับ เหนือพญานาค จึงเชื่อได้ว่าลักษณะเช่นนี้เกิดข้ึนหลังศิลปะอมราวดี ส�ำหรับความคิดอันเฉิดฉายเพ่ือสร้างพระพุทธรูปมาจากชาวสิงหลน้ัน หลกั ฐานระบวุ า่ เพราะอทิ ธพิ ลสมยั คปุ ตะและหลงั คปุ ตะแหง่ อนิ เดยี นนั่ เอง เป็นการเปลยี่ นแปลงรูปร่างและลกั ษณะของพระพุทธรูปเหนือพญานาค ของชาวสงิ หล๓๕ หากพิจารณาอย่างละเอียดจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าประทับเหนือ พญานาคแบบทวารวดี มีความคล้ายกับศิลปะศรีลังกาอย่างชัดเจน พงั พานของพญานาคในพระพทุ ธรปู แบบทวารวดกี ค็ ลา้ ยกบั ศลิ ปะสงิ หล เปรียบเทียบพญานาคจากดงศรีมหาโพธ์ิของไทย และรูปปั้นพญานาค จากอนรุ าธปรุ ะ ตริ กุ กาวี และเสรวุ ลิ ะในศรลี งั กากค็ ลา้ ยกนั อยา่ งเหน็ ไดช้ ดั ด้วยเหตุน้ันสามารถยืนยันพระพุทธรูปองค์อื่นของทวารวดี ซ่ึงปัจจุบัน เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพมหานคร ลักษณะของพระพุทธปฏิมาคือจีวรส่วนบนแผ่ไปทางพระอังสะขวาซึ่ง

อทิ ธิพลด้านประตมิ ากรรม 333 เปลือยเปล่า ท่าธยานะมุทราและท่าประยังคาสนะแสดงให้เห็นว่าเป็น ลักษณะสิงหลผสมอมราวดี แม้วา่ ความเรียบของจีวรจะมีสว่ นคลา้ ยกบั พระพทุ ธรปู สงิ หลกจ็ รงิ แตล่ กั ษณะแสดงวา่ เปน็ อทิ ธพิ ลคปุ ตะ ดูปองท์เหน็ ว่านี้เป็นการหลอมรวมลักษณะของศิลปะอมราวดีและศิลปะคุปตะเข้า ด้วยกัน ซ่ึงเกิดมีข้ึนในศรีลังกาก่อนท่ีจะมีการน�ำเข้ามายังทวารวดี๓๖ หลงั จากเปรยี บเทยี บกบั พระพทุ ธรปู เหลา่ นก้ี บั ตน้ แบบอนิ เดยี และศรลี งั กา แล้ว ดูปองท์ได้สรุปว่าหากต้องการเห็นการเก้ือกูลของอมราวดีและ ศรลี ังกา ซ่งึ เขา้ ถงึ การสร้างพระพทุ ธรูปเหนอื พญานาค เห็นควรศึกษา พระพทุ ธรปู เปน็ อนั ดบั แรก โดยเฉพาะทา่ ธยานะมทุ ราและทา่ ประยงั คสานะ พร้อมด้วยการคลุมสังฆาฏิเพียงพระอังสาข้างเดียว แล้วจะงดการโต้ เถยี งเกย่ี วกบั พญานาค ซงึ่ กลา่ วถงึ จำ� นวนเศยี รรวมกนั และลกั ษณะของ พญานาค นอกจากลกั ษณะของท่าประยังคาสนะแล้ว ความคล้ายคลงึ กนั อยา่ งอน่ื ก็เกย่ี วพันกบั ศรลี งั กาดว้ ย๓๗ พระพุทธรูปท่ีน�ำมาจากศรีลังกาโดยตรงก็ค้นพบบริเวณทวารวดี ดว้ ย กรสิ เวริลด์เห็นว่าประติมานวิทยานา่ สนใจมาก เพราะเป็นการเดนิ ทางจากท่ีหนึ่งไปสู่อีกทีหนึ่ง เมื่อไหร่ก็ตามท่ีพระพุทธรูปเดินทางและ กระต้นุ ให้มกี ารลอกเลยี นแบบ พระพทุ ธรปู ทน่ี �ำเข้ามาต้องแสดงบทบาท อยา่ งสำ� คญั ตามแบบตระกลู ชา่ งหลายกลมุ่ ของไทย๓๘ กรณพี ระพทุ ธรปู ซ่ึงพบที่นครราชสมี าสมยั พทุ ธศตวรรษที่ ๑๐ สามารถยืนยันได้วา่ เป็น ขาวสิงหลเข้ามาแนะน�ำช่างฝีมือพ้ืนถ่ิน๓๙ พระพุทธรูปองค์นี้คล้ายกับ พระพุทธรูปปางประทับยืน ซึ่งสื่อถึงลักษณะศิลปะแบบสิงหลผสม อมราวดี รอยจีบของผ้าพับก็ดี การแสดงความรู้สึกอ่อนหวานบนพระ พักตร์ก็ดี ความแบนราบของพระเกศาก็ดี และพระโอษฐ์ขนาดเล็กก็ดี

334 ศรีลงั กาและอุษาคเนย์ เปน็ ลักษณะพเิ ศษของพระพุทธรูปองค์น้ี บนพระเศียรมรี ัศมแี ผเ่ ปน็ สาม สายขนาดเลก็ หรอื สว่ นยอดเหมอื นเปลวไฟ การขาดหายไปของอษุ ณยี ะ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของพระพุทธรูปศิลปะอมราวดี ท�ำให้มองเห็นความ ใกล้ชิดระหว่างพระพุทธรูปนครราชสีมาและพระพุทธรูปศรีลังกา พระพทุ ธรปู แบบอมราวดเี หน็ ไดจ้ ากจงั หวะอนั ราบรน่ื และความเปน็ อสิ ระ แห่งแถวตามแนวรอยพับของจวี ร ด้วยภูมคิ วามรูเ้ ก่ยี วกบั แถวของจวี ร อันชัดเจนและเส้นขนานอันขาดความยืดหยุ่น จึงเป็นเอกลักษณ์ส�ำคัญ ของพระพุทธรูปสิงหลตามแบบศิลปะอมราวดี นอกจากนั้น จุดเด่นอีก อยา่ งหนึ่งคอื การทำ� รอยพบั ของเครอ่ื งประดับ หากเปรียบเทียบพระพุทธรูปสิงหลกับนาคารชุนโกณฑะก็จะเห็น จุดน้ีอย่างชัดเจน จีวรของพระพุทธรูปแห่งนาคารชุนโฏณฑะคลุมเป็น แนวทแยงมุมอย่างเหมาะสมเหนือพระอังสะซ้ายไหลลงไปพระหัตถ์ขวา รอยขรขุ ระแบบฟนั เลอื่ ยตามรอยพบั กส็ ามารถสงั เกตเหน็ ไดอ้ ยา่ งชดั เจน จากดา้ นหนา้ สว่ นพระพทุ ธรปู ศรลี งั กาสมยั พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ พบเหน็ ที่เมดวัจฉิยะทางมณฑลเหนือตอนกลางของศรีลังกา ชี้ให้เห็นลักษณะ อันโดดเด่นของพระพุทธรูปสิงหลสมัยอาณจักรอนุราธปุระ พร้อมกับ อทิ ธพิ ลบางอยา่ งของอมราวดี ลกั ษณะคอื จวี รคลมุ เปน็ รอยพบั ตกลงไป ข้างล่างจากพระอังสะขวา ก่อนท่ีจะปัดข้ึนด้านข้างพระหัตถ์ขวาใน ลกั ษณะแสดงความเคารพ๔๐ สว่ นพระพทุ ธรปู จากอมราวดใี นพพิ ธิ ภณั ฑ์ รฐั บาลมทั ราส๔๑ มลี กั ษณะคอื จวี รพบั ไปตามแนวทแยงมมุ จากพระองั สะ ซา้ ยไลไ่ ปทางตอนลา่ งดา้ นขวาใตพ้ ระหตั ถ์ พระพทุ ธรปู จากรวุ นั แวฬแิ สยะ ของศรีลังกา๔๒ มีลักษณะรอยพับเหมือนพระพุทธรูปจากเมดวัจฉิยะ ลักษณะรอยพับของพระพุทธรูปจากนครราชสีมาคล้ายกับพระพุทธรูป

อทิ ธพิ ลด้านประติมากรรม 335 สิงหล รอยพับเช่นน้ีมีความเหมือนกันท้ังรูปทรงและความตายตัว ซง่ึ มใิ ชล่ กั ษณะตามแบบพระพทุ ธรปู อมราวดี แตม่ สี ว่ นคลา้ ยกบั พระพทุ ธ รูปสิงหลมากกว่า พระพุทธรูปปางประทับยืนอีกองค์หนึ่งแบบทวารวดี ซ่ึงฝังอยู่ใต้พื้นดินระหว่างซากปรักหักพังแห่งเมืองนครปฐม ประมาณ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๑ มลี กั ษณะจวี รเหมอื นกบั พระพทุ ธรปู ทน่ี ครราชสมี า ลักษณะอื่นอีกชี้ให้เห็นว่าพระพุทธรูปองค์นี้น�ำมาจากสิงหลแน่นอน๔๓ ยังมีพระพุทธรูปแบบทวารวดีอีกสององค์ซ่ึงจ�ำลองต้นแบบสิงหล หาก พิสูจน์ลักษณะสิงหลดังปรากฏเห็น สันนิษฐานว่าน่าจะประมาณพุทธ ศตวรรษท่ี ๑๑ และพทุ ธศตวรรษที่ ๑๓๔๔ อิทธพิ ลสิงหลเหนอื ศิลปะ ทวารวดปี รากฏเหน็ อยา่ งชดั เจน สอดคลอ้ งกบั ความจรงิ วา่ ชา่ งฝมี อื ชาว สุโขทยั ไดร้ ับการแนะนำ� จากชา่ งปน้ั ชาวทวารวดี ครั้นชนชาติไทยย้ายมาอยู่บริเวณประเทศไทยปัจจุบัน ก่อนจะ ลงมือสร้างพระพุทธรูปนั้น คนไทยเรียนรู้การกราบไหว้พระพุทธรูปใน ฐานะเปน็ สงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ และอาณาจกั รเพอ่ื นบา้ นลว้ นประพฤตเิ ชน่ นน้ั เปน็ เวลาหลายศตวรรษ พระพุทธรูปเก่าบางองค์สร้างโดยชาวมอญหลาย ศตวรรษ บางองค์สร้างโดยชาวมอญผูเ้ ปน็ อสิ ระจากอทิ ธิพลเขมร และ อีกหลายองค์สร้างโดยตระกูลช่างหลายตระกูล ซึ่งด�ำเนินตามลักษณะ ของทวารวดีนับต้ังแต่สมัยเขมรปกครอง๔๕ กษัตริย์แห่งสุโขทัยทรงสน พระทยั พระพทุ ธรปู เกา่ แกโ่ บราณมาก สอดคลอ้ งกบั หลกั ฐานในจารกึ วดั ศรีชุมว่า คร้ันก่อพระมหาวิหารด้วยอิฐเสร็จสมบูรณ์แล้ว โปรดให้คน สบื คน้ หาพระพทุ ธรปู หนิ เกา่ แกแ่ ตโ่ บราณ ไปหาไกลชว่ั สองสามคนื แลว้ เอามาประดษิ ฐานไวท้ พี่ ระมหาวหิ ารนน้ั พระพทุ ธรปู บางองคบ์ างแหง่ ได้ แคแ่ ขน คอ หรอื เศียร ไดส้ ว่ นองค์พระบา้ ง อกบ้าง บางแหง่ เศียรพระ

336 ศรีลงั กาและอษุ าคเนย์ พระเอาวก์ ะนะ ศลิ ปะสิงหลยคุ อนรุ าธปุระ มีอุษณยี ะเป็นเปลวเพลิง ประเทศศรลี ังกา พระพุทธรปู ศิลา ศิลปะสงิ หลยุคโปโฬนนารุวะ ไม่นยิ มอษุ ณยี ะเหมอื นยุคอนุราธปุระ

อิทธิพลด้านประติมากรรม 337 (บน-ลา่ ง) พระพทุ ธรปู ภายในเมอื งหลวงเกา่ พกุ าม ประเทศพมา่ (คดั ลอกภาพจาก www. facebook.com/Royal-Bagan-Hotel)

338 ศรีลงั กาและอุษาคเนย์ (บนซา้ ย) พระพทุ ธสหิ งิ คแ์ หง่ หอพระพทุ ธสหิ งิ ค์ นครศรธี รรมราช (บนขวา) พระพทุ ธสหิ งิ ค์ แห่งพระท่นี ่ังพทุ ไธสวรรย์ พระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร และ (ลา่ ง) พระสหิ ิงค์ ภายในวิหารลายค�ำ วัดพระสิงหว์ รวหิ าร เชียงใหม่ (คัดลอกภาพจาก www.pantip.com)