ทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 87 สามารถดังเช่นพระเจ้าปรากรมพาหุก็หาได้สร้างความก้าวหน้าให้พอเพียงกับความ ต้องการของประชากรจ�านวนมากได้ ซ่ึงล้วนอพยพเคล่ือนย้ายมาจากแคว้นราชระฏะ และส่วนหน่ึงมาจากทิศตะวันออกตอนใต้ เช่นเดียวกันกับศาสนจักรแม้มีศูนย์กลาง มากมายหลายแห่ง ดังเช่น วัดกัลยาณี วัดอัตตนคัลละ และวัดเบนโตฏะ เป็นต้น ย่อมไม่พอเพียงต่อความต้องการของพระสงฆ์จ�านวนมาก ซึ่งพากันเคล่ือนย้ายมาอยู่ เหตุเพราะเกิดความเจริญรุ่งเรืองแพร่หลาย จึงต้องปรับตัวโดยการอุทิศถวายท่ีดิน เพ่ือสร้างอารามวิหารบริเวณแคว้นมายาระฏะ เป็นผลให้เกิดมีการบริหารดูแลอาราม วิหารเหล่าน้ันตามมา ทรัพย์สมบัติของอารามวิหารสามารถแจกแจงรายละเอียดดังนี้ หมู่บ้าน (ภาษาบาลีใช้คามะ ภาษาสันสกฤตใช้คัม ครามะ และคัมบิน) ไร่ (ภาษาบาลีใช้ อุยยานะ ภาษาสันสกฤตใช้วตุ อุทยานและอุยัน) สวน (ภาษาบาลีใช้อาราม ภาษาสันสกฤตใช้อรัม) ที่ดิน (ภาษาบาลีใช้วัตถุ ภาษาสันสกฤตใช้วัตและวตุ) ป่า ทุ่งนา ส่ิงของมีค่า การถวายเงิน ทาส คนใช้ และสัตว์ ดังเช่น วัว ควาย และช้าง เรื่องยุ่งยากอย่างหนึ่งเม่ือต้องอธิบายถึงการอุทิศก็คือ การใช้ถ้อยค�าบ่งถึง ส่ิงของโดยใช้ภาษาที่เข้าใจได้ยาก เพราะขาดแคลนข้อมูลอ้างอิงทางวัตถุ ดังเช่น ค�าว่าบ้าน (ภาษาบาลีใช้คามะ ภาษาสันสกฤตใช้คม) ทุ่งนา ไร่ และสวน ก็มักสับสน เพราะหลักฐานอ้างอิงไม่ลงรอยกัน หากหลักฐานทางคัมภีร์ระบุถึงการถวายหมู่บ้าน ก็อาจตีความหมายได้ว่าเป็นการมอบให้กลุ่มคนผู้ครอบครองอาศัยที่ดินรวมถึงไร่ และทุ่งนาด้วย แต่ค�าว่าหมู่บ้าน (คามะ) อาจหมายถึงชนบทบ้านนอกก็เป็นได้ ซึ่งไม่ จ�าเป็นต้องมีทุ่งนาหรือไร่ก็ได้ อีกส่วนหนึ่งการถวายหมู่บ้านจ�านวนมากอาจหมาย รวมถึงการถวายภัตตาหารเป็นนิตย์ หรือสิ่งของเคร่ืองใช้จ�าเป็นเหล่าอื่น ซึ่งบ่งถึงการ เปล่ียนถ่ายภาษีและสิทธิมรดกก็ได้ ด้วยเหตุผลน้ี หลักฐานอ้างอิงดังกล่าวจึงเป็นที่ ยอมรับได้ยากนัก นามว่ากลัม อุฑุสละ และคัมพาวสะพบเห็นในจารึกโกฏฏังเคหมายเลข ๒๑๕ และค�าว่าอลุ (อุละ) และนุคเวละปรากฏในจารึกนารันพัทเท แต่ไม่ทราบได้ว่าเป็นชื่อ หมู่บ้าน หมายถึงไร่ หรือบ่งถึงการมอบถวายท่ีดินอย่างใดอย่างหน่ึง
88 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง การมอบถวายที่ดินและไร่สวนมีกล่าวถึงบ่อยแต่ไม่พูดถึงการเพาะปลูก พบ แต่ศัพท์ภาษาบาลีว่าอุยยานะหรือภาษาสิงหลว่าอุยนะ (บางครั้งเป็นอุทยานะ) แปล เป็นภาษาอังกฤษว่าสวน สันนิษฐานว่าน่าจะมีการปลูกพืชไร่ ศัพท์ว่าอุยยานะหรือ อุยนะที่ปรากฏในต�านานภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตบ่งถึงไร่สวนขนาดใหญ่ ดังกรณี ความกว้างใหญ่ของสวนมะพร้าวอันเป็นมรดกของภิมติตเถวิหาร ซ่ึงมีเน้ือท่ีกว้างขวาง มากเกินกว่าหน่ึงโยชน์๑๖ แต่เพราะขาดหลักฐานอ้างอิงจึงยากนักท่ีจะระบุถึงชนิด ของพืชพันธุ์ หลักฐานอันจ�ากัดเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องยุ่งยากท่ีจะค�านวณให้ถูกต้อง โดยเฉพาะจ�านวนที่ดินท่ีมอบถวายแก่อารามวิหาร ถึงแม้ว่าจะเข้าถึงภาวะถดถอยอ่อนแรงมาเป็นเวลานาน ต้ังแต่สวรรคตกาล ของพระเจ้านิสสังกมัลละ (๑๗๓๙) แต่วงการคณะสงฆ์ก็ยังได้รับการฟื้นฟูช่วยเหลือ อีกครั้งสมัยพระนางกัลยาณวดี (พ.ศ.๑๗๔๕-๑๗๕๑) คัมภีร์จุลวงศ์กล่าวถึงวิหารสอง แห่งท่ีได้รับราชินูปถัมภ์ว่า พระนางโปรดให้สร้างวัดแห่งหนึ่งที่หมู่บ้านปัณณสาลกะ แล้วมอบถวายคณะสงฆ์รวมถึงหมู่บ้าน ทุ่งนา สมณปัจจัย ทาสรับใช้ คนสวนและ อื่นอีกมากมาย๑๗ เสนาบดีนามว่าอายัสมันตะส่ังให้อธิการเทพอ�ามาตย์สร้างวัดท่ี หมู่บ้านวัลลิคามะ (บางทีเรียกว่าสราชกุลวรรธนะ) แล้วมอบถวายคณะสงฆ์ รวมถึง หมู่บ้าน ทุ่งนา สวน สมณปัจจัย และทาสชายหญิง๑๘ ในปีที่ห้าแห่งการครองราชย์ ของพระนาง ทรงรับส่ังให้ลักวิชัยสิงคุเสเนวิเสนาบดีสร้างเสเนวิรัตปริเวณะที่มังคลปุระ แล้วบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรมอบให้แก่คณะสงฆ์๑๙ พระบรมราชูทิศ คัมภีร์หัตถวนคัลลวิหารวังสะได้บันทึกข้อมูลอันทรงคุณค่ายิ่ง ซึ่งไม่พบจาก แหล่งอ้างอิงอื่นใด เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้านศาสนาของพระเจ้าวิชัยพาหุท่ี ๓ (พ.ศ.๑๗๗๕-๑๗๗๙) โดยระบุว่าพระองค์โปรดมอบถวายเงินจ�านวน ๘๔,๐๐๐ กหาปณะ๒๐ เพ่ือพระธรรมค�าสอนของพระพุทธเจ้า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์๒๑ การ น้อมถวายไทยธรรมหลายวิธีการ ดังเช่น เขียนหนังสือ ดูแลห้องสมุด และแสดงธรรม ค�าสอน ถือว่าเป็นการเผยแผ่พระศาสนาอย่างหน่ึง
ทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 89 พระเจ้าวิชัยพาหุท่ี ๓ โปรดให้สร้างวัดที่อัตตคัลละแล้วน้อมถวายคณะสงฆ์ พร้อมกับหมู่บ้าน ทุ่งนา คนรับใช้หรือทาสติดที่ดิน (ภาษาบาลีใช้สปริชนะ ภาษา สันสกฤตใช้ปริวารชน) และโปรดให้จัดแจงภัตตาหารเป็นนิตย์๒๒ ส่วนลาภเพื่อสงฆ์มี พัฒนาการอย่างเห็นได้ชัดในสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ กล่าวกันว่าพระองค์ โปรดให้ปฏิรูปการถวายที่ดนิ แกอ่ ารามวหิ าร ภายหลังทรงมชี ัยเหนือพระเจา้ จันทรภาณุ (พ.ศ.๑๗๙๐) คมั ภรี จ์ ลุ วงศบ์ รรยายรายละเอยี ดวา่ หมบู่ า้ นและสวนเปน็ ของพระพทุ ธเจา้ และพระธรรม เรียกว่ารักษาหมู่บ้าน (ปัจจยัคคามะ) หมู่บ้านท่ีเป็นกลุ่มเรียกว่าคณะ (คณสันตกคามะ) หมู่บ้านที่เป็นสมบัติส่วนตัวของพระสงฆ์ (ปุคคลิกคามะ) หมู่บ้าน ทเี่ ปน็ สมบตั ขิ องอายตนะทงั้ แปด (อฏั ฐยตนคามะ)๒๓ และหมบู่ า้ นทเี่ ปน็ สมบตั ขิ องปรเิ วณะ (ปาริเวณิกคามะ) แต่ไม่มีหลักฐานระบุรายละเอียดเกี่ยวกับสถานท่ีเหล่าน้ีเลย การวิเคราะห์พระราชกรณียกิจของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ น่าจะเปิดเผย ให้เห็นถึงสถานภาพของพระสงฆ์ยุคนั้นได้ชัดเจนมากขึ้น หลักฐานระบุว่าพระองค์โปรดให้น้อมถวายหมู่บ้านหลายแห่งแก่อารามวิหาร ซง่ึ มนี ามปรากฏวา่ โภคคามะและปจั จยคั คามะ และโปรดใหส้ รา้ งสริ วิ รรธนปรุ ะปรเิ วณะ ตามนามผู้สร้าง อีกท้ังโปรดให้สร้างปรากรมพาหุปริเวณะและมอบถวายโภคคาม แก่ปริเวณะแห่งน้ัน พร้อมทั้งถวายส่ิงของอันมีค่าตามสมควรแก่สมณภาวะ๒๔ สมัยพระราชโอรสพระนามว่าพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๔ พระองค์โปรดให้น้อมถวายกุฎีที่ มหาวิหารแห่งหัตถิกุจฉิปุระ (ปัจจุบันคือกุรุแนคละ) อีกท้ังปัจจยัคคามะ (หมู่บ้าน ที่รักษา) และข้าทาสจ�านวนมาก (ภาษาบาลีใช้ปริวารชน ภาษาสันสกฤตใช้ปริวระ)๒๕ คัมภีร์ปูชาวลิยะกล่าวถึงโภคคามะอีกนามหน่ึงว่าดรุคัมวฏนาปะสะ๒๖ และปัจจยัคคามะ ว่าวฏนาปะสะเช่นเดียวกับดรุคัมวฏนาปะสะ๒๗ มีข้อสังเกตพิเศษเก่ียวกับการถวายชื่อ ว่าดรุคัมวฏนาปะสะและวฏนาปะสะ เช่นเดียวกับโภคคามะ และปัจจยัคคามะ ศัพท์ว่าโภคคามะบ่งถึงหมู่บ้านที่จ่ายภาษีหรือหมู่บ้านที่เสียภาษี ตราบท่ีทายกยัง ศรัทธายินดีอยู่ เวณิสาลวัตถุแห่งคัมภีร์สหัสสวัตถุปปกรณะบอกว่าเสนาบดีนามว่าติสสะผู้ เป็นบุตรของเวณิสาละได้สร้างมหาคามะให้เป็นโภคคามะ๒๘ ปัณฑรังควัตถุแห่งคัมภีร์
90 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง รสวาหินีบอกว่ากษัตริย์ทรงโปรดให้เปล่ียนมหาคามะเป็นโภคคามะ แล้วพระราชทาน แก่ปัณฑรังคะผู้เลื่อนต�าแหน่งขึ้นเป็นเสนาบดี๒๙ โภคคามะอาจเป็นหน่วยย่อยของ รายได้ ซ่ึงยินดีตามความต้องการของผู้ครอบครอง สันนิษฐานว่าน่าจะมีความหมาย ตามศัพท์ดั้งเดิมแท้ ส่วนการมอบถวายทางศาสนาน้ันความหมายอาจจะมาจากศัพท์ ปัจจยัคคามะ วฏนาปะสะ และดรุคัมวฏนาปะสะ เพราะศัพท์เหล่านี้ท้ังหมดล้วนเป็น ค�าพ้องกัน ศัพท์ว่าปัจจยัคคามะบ่งถึงหมู่บ้านท่ีถวายปัจจัยแก่พระสงฆ์ คัมภีร์จุลวงศ์ อธิบายศัพท์ปัจจยัคคามะว่ามีคุณสมบัติเหมือนกัปปิยะซ่ึงหมายถึงสิ่งของอันสมควร หรือสามารถอนุโลมได้ ด้วยเหตุนั้นกัปปิยะปัจจยัคคามะจึงบ่งถึงหมู่บ้านที่ถวายปัจจัย อันสมควร ความจริงคือบริขารของพระสงฆ์สามารถอนุญาตได้ ด้วยเหตุนั้นกัปปิยะ จึงลงกับปัจจยัคคามะได้ สันนิษฐานว่าการใช้ค�าคุณนามตามนัยทางศาสนาจึงกลาย เป็นกัปปิยะปัจจยัคคามะ ส่วนความหมายของศัพท์ว่าดรุคัมวฏนาปะสะนั้นยากต่อการตีความ ค�าว่า ปะสะในศัพท์วฏนาปะสะมีรากเหง้ามาจากภาษาบาลีว่าปัจจยะ เม่ือใช้ในภาษาสิงหล จึงบ่งถึงบริขารของพระสงฆ์๓๐ ปรณวิตานะชี้ว่าวฏนาหมายถึงบริขารอันจ�าเป็นของ พระสงฆ์ตามอารามวิหาร๓๑ ส่วนธัมมินทาสภะแย้งว่าวฏนาหมายถึงการสมมติฐาน ศัพท์ว่าวฏนาปะสะจึงหมายถึงบริขารท่ีสมมุติฐานข้ึนจากทรุคัม๓๒ อีกอย่างหนึ่งคือ วฏนาหมายถึงสิ่งอันเหมาะสม สอดคล้องกับศัพท์ว่าวะฏะนักที่มีใช้ในวรรณกรรม ภาษาสิงหล๓๓ ศัพท์ว่าวฏนาอาจมีรูปแบบตามวฏนักและน่าจะมีความหมายเดียวกัน หากเป็นเช่นน้ันวฏนาปะสะอาจหมายถึงบริขารอันเหมาะสม ความจรงิ คอื ทรคุ มั วฏนาปะสะมคี วามหมายเหมอื นกนั กบั กปั ปยิ ะปจั จยคั คามะ๓๔ กัปปิยะหมายถงึ อันเหมาะสมอาจยดึ เปน็ หลกั ตามศพั ทว์ ฏนาในศพั ท์ทรุคมั วฏนาปะสะ หากเป็นเช่นนั้น ศัพท์ว่าคามะที่เป็นหลักส�าหรับทรุคัมและปัจจยะให้เป็นไปตามศัพท์ ปะสะ ก็สามารถยอมรับได้ว่าวฏนาปะสะหมายถึงรายการอันเหมาะสม หลักฐานอีก ด้านหนึ่งบอกว่าทรุคัมวฏนาปะสะและวฏนาปะสะใช้บ่งถึงหมู่บ้านตามลักษณะของ
ทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 91 ปัจจยัคคามะและโภคคามะ สันนิษฐานว่าศัพท์เหล่านี้เป็นภาษาใช้ทางศาสนามิได้ หมายถึงหมู่บ้านแต่อย่างใด หากถือตามพุทธบัญญัติพระสงฆ์ไม่สามารถรับหมู่บ้านหรือทุ่งนาเป็นต้นได๓้ ๕ แต่คัมภีร์สมันตปาสาทิกาบอกว่าหากยอมรับเพ่ือปัจจัยอันจ�าเป็นก็ท�าได๓้ ๖ ความหมาย ของศัพท์ว่าวฏทาปะทางวรรณกรรมหมายถึงบริขารอันเหมาะสมส�าหรับพระสงฆ์ พระสงฆ์ล้วนได้รับการปรนนิบัติด้วยส่ิงของอันเหมาะสม จึงปรากฏเห็นศัพท์วฏนาปะสะ และทรุคัมวฏนาปะสะ สันนิษฐานว่าศัพท์เหล่าน้ีอาจต้องการแสดงความหมาย เชิงจริยธรรมด้วยการดัดแปลงให้พระสงฆ์สามารถยอมรับท่ีดิน ซ่ึงพระสงฆ์เองก็ ปฏิเสธได้ ปรณวิตานะบอกว่าศัพท์ว่าทรุคัมนั้นแตกต่างจากศัพท์ว่าวฏนาปะสะ จึงแปล ศัพท์ทรุคัมว่าไร่สวนเพื่อรักษาพระสงฆ์ หมายถึงการธ�ารงรักษาพระสงฆ์หรือส�านัก เรียนของสงฆ์ซ่ึงรู้จักกันในนามอายตนะ ส่วนศัพท์ว่าวฏนาปะสะหมายถึงการอุดหนุน ปัจจัยส�าหรับพระภิกษุ๓๗ แต่การแปลของปรณวิตานะก็ขาดความน่าเช่ือถือจึงหา คนคล้อยตามได้ยาก ไม่มีความชัดเจนว่าท�าไมหมู่บ้านน้อยใหญ่ท่ีมอบถวายแก่ อารามวิหารจึงเรียกว่าทรุคัม ศัพท์ว่าทรุหมายถึงเล็ก๓๘ หากรวมกับค�าว่าคัมอาจบ่งถึง หมบู่ า้ นขนาดเลก็ แตก่ รณขี องศพั ทว์ า่ ทรกุ สุ ลนั และมหกสุ ลนั มคี วามหมายอกี นยั หนง่ึ ๓๙ ศัพท์ว่าทรุคัมมีความหมายคล้ายกับศัพท์ว่ามหคัม จึงพอสรุปเป็นเบ้ืองต้นว่าที่ดิน ของอารามวิหารอันเป็นศูนย์กลางก็ดี หมู่บ้านด้านหน้าและหมู่บ้านเหล่าอ่ืนท่ีเป็น สมบัติของอารามวิหารแห่งน้ันเรียกว่าทรุคัม ซ่ึงหมายถึงหมู่บ้านขนาดเล็ก หลักฐาน อีกส่วนหนึ่งบอกว่าทรุคัมมีรากศัพท์มาจากทรุมา ซ่ึงมาจากภาษาบาลีว่าอธาระ (อาธาระ-อทะระ-อทะรุ-ทรุ) แปลว่าอุปถัมภ์ดูแล๔๐ หากเป็นเช่นน้ันจริงศัพท์ว่าทรุคัม ก็หมายถึงหมู่บ้านส�าหรับอุปถัมภ์ดูแลอารามวิหาร เบลล์อ่านจารึกนารันแพททะซ่ึงสร้างสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ แล้วพบ ว่ากษัตริย์มอบถวายท่ีดินแล้วสร้างเสลวิหารยะ เพ่ือความปรารถนาดีแก่หมู่สงฆ์ ซ่ึงมีลักษณะเช่นเดียวกันกับปรากรมพาหุปริเวณะ๔๑ เหตุเพราะจารึกหลักนี้ผ่านหลาย ฤดูกาลมาเน่ินนานจึงสามารถอ่านได้เพียงบางส่วนเท่าน้ัน เบลล์ระบุเพิ่มเติมอีกว่า
92 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง รายชื่อบริจาครวมถึงหมู่บ้านแห่งนจรเสละ ต้นไม้ สระน�้า สวน ทุ่งนา สถานที่นามว่า อลุ (อุละ) และนุคเวละ๔๒ คัมภีร์จุลวงศ์และคัมภีร์ปูชาวลิยะระบุว่าพระเจ้าปรากรม พาหุท่ี ๒ โปรดให้มอบถวายสวนมะพร้าวอันมีหลายพันต้น เพ่ือท�าเป็นน้�ามันมอบ ถวายแก่วัดท่ีเกลาณียะ๔๓ ส่วนเสนาบดีผู้ใหญ่นามว่าเทวปรติราชะได้ออกแบบ ภิมติตถะวิหารให้มีสวนมะพร้าวนามว่าปรากรมพาหุมีความกว้างประมาณหน่ึงโยชน์๔๔ มีเนื้อท่ีทอดยาวตั้งแต่วัดเกลาณียะจนถึงแม่น้�ากาลนที๔๕ ศิลาจารึกจากคลปาตวิหารอ้างถึงสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒๔๖ ด้วยการ อธิบายรายการมอบถวายอารามวิหารว่าประกอบด้วยสวน ท่ีดิน ทุ่งนา ข้าทาส และสัตว์เลี้ยง บางอย่างเป็นการอุทิศถวาย แต่บางอย่างอารามวิหารเป็นผู้ซื้อเอง บางสวนปลูกต้นมะพร้าวและต้นหมาก๔๗ จารึกหลักเดิมระบุเพิ่มเติมว่าชนิดของภาษี เรียกว่าโกลเวลอะยะ ซ่ึงรวมถึงการบริจาคมะพร้าวและต้นหมาก (กุสลัน โกตะ) ส่วนผู้บริจาคน้อมถวายแก่อารามวิหารคือมหัมลันกุลุ กินทัลนาและตระกูลของท่าน๔๘ ศัพท์ว่าโกลเวลอะยะยากนักท่ีจะตีความ ปรณวิตานะอ้างว่าศัพท์น้ีมีนัยว่าหมายถึง ภาษี เน่ืองจากเจา้ ของทีด่ ินหรอื อาณาจกั รเน้นเรือ่ งกสกิ รรม๔๙ ศพั ท์ดงั กล่าวยังสามารถ บ่งถึงวตุพัททะกล่าวคือภาษีเรือกสวนด้วย๕๐ หลักฐานสนับสนุนศัพท์น้ีปรากฏเห็น เฉพาะในจารึกคลปตะวิหารเท่าน้ัน การตีความหมายของศัพท์ว่าโกลเวลอะยะ ซึ่งบอกว่ารวมถึงต้นมะพร้าวและ ต้นหมากนั้นอาจแปลได้เป็นสองนัยยะ เพราะค�าว่าโกละเวลเป็นศัพท์สามัญหมายถึง ประกอบด้วยมะพร้าวและลูกหมาก หรือเป็นพืชสวนชนิดหนึ่งท่ีแตกต่างจากมะพร้าว และลูกหมาก จารึกหลักเดิมยังอ้างถึงท่ีดินเกินกว่าสามแห่งว่ามีการปลูกพืชพันธุ์ที่ โกละเวล ได้แก่ ส่วนแบ่งของฏิณควฏะ โบลุตุฑาวะ และการเพาะปลูกในบริเวณอ่ืน อันมีการก�าหนดขอบเขต ซึ่งถือเอานิสสังกคัลละเป็นจุดศูนย์กลาง๕๑ สันนิษฐานว่า มีความสัมพันธ์กับศัพท์ว่าโบลุฏฑาวะ ส่วนศัพท์ว่าโกละเวลน่าจะบ่งถึงการเพาะปลูก หลังจากถากถางป่าจนเตียนราบแล้ว จารึกคลปาตะวิหารระบุถึงสวนนามว่าปแนส โปลวัตตะ๕๒ ศัพท์ว่าปแนสโปลวัตตะประกอบด้วย ๓ ค�า ปแนส แปลว่าต้นขนุน โปล แปลว่าต้นมะพร้าว และวัตตะแปลว่าสวน๕๓ หากการประกอบศัพท์เป็นปแนสโปลวัตตะ ดังกล่าวถูกต้องคงหมายถึงสวนมะพร้าวและขนุนเป็นแน่
ทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 93 หลักฐานดังกล่าวเบ้ืองต้นชี้ให้เห็นว่าสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ นอกจาก ต้นมะพร้าวและต้นหมากแล้ว อาจมีการปลูกพืชอย่างอ่ืนด้วยเช่นต้นขนุน ซ่ึงต่าง รวมอยู่ในท่ีดินของวัด ดังเช่นสวนมะพร้าวของกัลยาณีวิหารเป็นตัวอย่าง โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อเป็นน้�ามันจุดตะเกียง๕๔ คัมภีร์ปูชาวลิยะระบุว่าเสนาบดีเทวปรติราชะ เป็นผู้ออกแบบสวนมะพร้าวของภีทติตถวิหาร โดยขยายพื้นท่ีใหญ่เกินหนึ่งโยชน์๕๕ การถวายสวนดังกล่าวเปรียบเสมือนการฉาบทาด้วยความสุรุ่ยสุร่าย จุดประสงค์ คงมิใช่เพื่อเป็นน้�ามันจุดตะเกียงอย่างเดียวเป็นแน่ น่าจะประสงค์ส�าหรับบริโภคด้วย หลักฐานอีกแห่งหนึ่งกล่าวถึงอารามวิหารซื้อท่ีดินอีกหลายชนิด ซ่ึงประกอบด้วย ติอเตนยาวัตตะ อิสสังวิฏิยาวัตตะ กัสคลุโคดะ ละคันโตฏวัตตะ และเกาะอีกสอง แห่งนามว่าธรรมนันทนะและนโนนันทนะ๕๖ แต่น่าเสียดายไม่มีรายละเอียดกล่าวถึง ช่ือเหล่านี้เลย ทรัพย์สินนอกจากที่ดิน หลักฐานระบุว่าการอุทิศถวายแก่คลปตวิหารมีสองชนิด หน่ึงน้ันเป็นท่ีดินของ สิยามพลาปยะและสุมพุลุปแถลละ ซึ่งเป็นทายาทของตระกูลผู้ถวายทุ่งนานามว่า สุมพุลุปแถตตละ ส่วนอีกหน่ึงน้ันเป็นที่เหมาะสมส�าหรับเก็บเกี่ยว ซ่ึงมีวัตถุประสงค์ อันเดียวกันกับการบริจาคที่ดินแก่วิหาร๕๗ ต่างพากันน้อมถวายหลังจากตระเตรียมเป็น ท่ีเรียบร้อยแล้ว หลักฐานอีกแห่งหน่ึงระบุว่าทุ่งนาอีกแห่งหนึ่งซ่ึงเป็นส่วนแบ่งของ ฏณิ ควฏะ ไดม้ าเพราะการซอื้ โดยการจา่ ยทองใหแ้ กห่ วั หนา้ กองเกวยี นนามวา่ กนุ รามา๕๘ ไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้บริจาคหรืออารามวิหารเป็นผู้ซื้อทุ่งนาเหล่าน้ีหรือไม่ จารกึ คลปาตวหิ ารไดข้ ยายขอ้ มลู เกย่ี วกบั ทาสทที่ า� งานตามสวนของอารามวหิ าร หลักฐานส่วนนี้เป็นการเติมเต็มรายละเอียดที่หายไป เนื้อหาบอกไว้ว่ามีทาสชาวสิงหล และทมิฬทั้งเพศชายและหญิง เบลล์ค�านวณตามจารึกหลักนี้ว่ามีทาสประมาณ ๙๐ คน๕๙ หลักฐานเชิงสงสัยปรากฏในจารึกว่าการซื้อทาสด้วยการจ่ายเป็นทองจาก มุณฑุกรัณฑุวะแห่งอารามวิหาร๖๐ ปรณวิตานะได้แปลข้อความว่า การถวายดังต่อไปน้ี จากบรรดาทาส ผู้เป็นมรดกตกทอดมาแต่บรรพบุรุษและสืบเนื่องถึงตระกูลแห่งเรา
94 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง (อันวยาคตะวหลิน) ได้ซ้ือขายทาส (รัน วหลิน) ด้วยการจ่ายเป็นทองค�าจากทรัพย์สิน ของอารามวิหาร๖๑ การแปลว่าอันวยาคะตะ วหลิน และรัน วหะลิน เจาะจงถึงวิหาร โดยเดมฬะอธิการะ ทาสเหล่านี้ได้มาด้วยการจ่ายเป็นทองค�าของอารามวิหารจริง แต่สามารถแปลอีกแบบหน่ึงได้ว่า ทาสผู้ได้มาโดยการจ่ายเป็นทองค�าจากทรัพย์สิน ของวิหาร ซ่ึงซ้ือจากพวกทาสผู้เป็นสมบัติอันตกทอดมาแต่บรรพบุรุษและสืบเนื่อง ถึงแก่ตระกูลของเรา ค�าว่าตระกูลของเราหมายถึงเดมฬะอธิการะน่ันเอง๖๒ จารึกหลัก ปัจจุบันยังอ้างถึงวัวและควายว่าเป็นสมบัติของอารามวิหารด้วย๖๓ หลักฐานส่วนน้ี ปรากฏตอนท้ายรายชื่อของทาสที่อารามวิหารซื้อมา เหตุน้ันสัตว์เหล่านี้ก็ถูกซื้อด้วย ทรัพย์ของวัดด้วยเช่นกัน หลักฐานอีกแห่งหน่ึงแสดงว่าคลปาตวิหารซ้ือทาสด้วยการจ่ายเป็นทองค�า จากมุณฑุกรัณฑุวะแห่งอารามวิหารน้ัน๖๔ ปรณวิตานะบอกว่ารากเหง้าของศัพท์มุณฑุ มาจากภาษาสันสกฤตว่ามุทรา หมายถึงผอบ เพราะปรณวิตานะเห็นว่ารากเหง้าของ ศัพท์นี้ต้องเป็นตราประทับผอบ หรือกล่องขนาดเล็กใส่ส่ิงของอันมีค่าและเก็บรักษา ไว้ภายในอารามวิหาร และเสริมอีกว่าศัพท์น้ีอาจขยายความบ่งถึงทองค�าและอัญมณี ที่รักษาในสถานท่ีน้ันด้วย และเก็บไว้อย่างปลอดภัย๖๕ ศัพท์ว่ามุณฑุกรัณฑุยังปรากฏ เห็นในจารึกมิหินตะเลของพระเจ้ามหินทะท่ี ๔ (พ.ศ.๑๕๐๒-๑๕๑๕) ซ่ึงวิกรมสิงหะ แปลว่า ผอบใต้หินและกุญแจ๖๖ หลักฐานดังกล่าวแสดงว่ามีการเก็บรักษาด้วยวิธี ปลอดภัยในหอพระธาตุพร้อมตราประทับประจ�าต�าแหน่ง หลักฐานจากจารึกคลปาต วิหารท�าให้เข้าใจว่ามัณฑุกรัณฑุวะหมายถึงการเก็บรักษาสถานท่ีเดียวกันกับทอง สันนิษฐานว่าอัญมณีหรือส่ิงของอันมีค่าอย่างอ่ืนก็เก็บไว้ในมุณฑุกรัณฑุวะเช่นกัน ความแตกต่างของศัพท์ว่ามุณฑุกรัณฑุวะดังกล่าวเบื้องต้น อาจตีความหมาย บ่งถึงว่าเป็นทรัพย์สินอันเป็นท่ีดิน สันนิษฐานว่าการค้าสมัยอนุราธปุระอาจใช้การ แลกเปล่ียนซ้ือขายเป็นเกณฑ์ ตลอดจนการค�านวณระบบเงินตราก็มีใช้เคียงคู่กันไป ยคุ นน้ั การซอื้ ขายเปน็ เรอ่ื งสา� คญั มากเพราะถอื วา่ เปน็ ตวั กลางตามระบบการแลกเปลยี่ น ศิลาจารึกมิหินตะเลของพระเจ้ามหินทะท่ี ๔ เปิดเผยรายละเอียดที่เก็บไว้ใน มุณฑุกรัณฑุวะ การค�านวณด้วยระบบเงินตราอาจจะพัฒนาข้ึนสมัยดัมพเดณิยะ
ทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 95 เพราะต้องท�าการค้ากับต่างประเทศมากข้ึน๖๗ คาดเดาเอาว่ามุณฑุกรัณฑุวะมีความ หมายสื่อถึงโรงเก็บทองและพัฒนาการแบบใหม่ แต่หลักฐานของยุคดัมพเดณิยะกลับ ไม่ให้รายละเอียดว่าเก่ียวข้องกับทองค�าเลย คัมภีร์จุลวงศ์ระบุว่าพระเจ้าปรากรมพาหุ ที่ ๒ โปรดให้อุทิศถวายผู้คนชายหญิงภายในรัศมีสิบคาวุตแด่ศรีปาทะ๖๘ ซ่ึงร่�ารวย ม่ังค่ังด้วยอัญมณีหลายชนิด๖๙ ผู้คนบริเวณเขตรัตนปุระนั้นร�่ารวยด้วยอัญมณีต้ังแต่ อดีตถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุนั้นศรีปาทะจึงมีรายได้มากมายมหาศาลจากผู้คนบริเวณ รอบขุนเขาสุมนกูฎ คัมภีร์ปเรวิสันเศยะระบุว่าสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะนั้น มีการ ถวายสิ่งของอันมีค่าแก่พระศาสนาเป็นจ�านวนมาก ดังเช่น พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ โปรดให้มอบถวายส่ิงของมีค่าแก่พระเขี้ยวแก้ว๗๐ ส่วนพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๔ โปรดให้ มอบถวายแก่รอยพระพุทธบาทท่ีศรีปาทะ๗๑ สิ่งของมีค่าเช่นน้ีมิได้ระบุชัดเจน อาจ เป็นเคร่ืองใช้หรือส่ิงของท�าด้วยทองและพลอย หรือผสมกับด้วยอัญมณีหลายชนิด หลักฐานเบื้องท�าให้ทราบว่าผู้ได้รับประโยชน์คือพระสงฆ์ ซ่ึงเริ่มต้นจากยุคน้ี จนถึงส้ินสุดรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ แต่หลังจากพระองค์สวรรคตจนถึง รัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๔ (อีกพระนามหนึ่งว่าพระเจ้าบัณฑิตปรากรมพาหุ) ไมม่ หี ลกั ฐานกลา่ วถงึ การถวายของมคี า่ แกว่ ดั มากนกั เหตผุ ลหลกั เพราะความไมม่ น่ั คง ทางการเมือง ครั้นพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๔ เสวยราชสมบัติ (พุทธศักราช ๑๘๔๕) ณ เมืองกุรุแณคะละ พระองค์ได้ทรงรื้อฟื้นกฎหมายเกี่ยวกับพระราชกุศลของกษัตริย์ พระองค์ก่อน คัมภีร์จุลวงศ์กล่าวถึงปริเวณะและอารามวิหารท่ีได้รับราชูปถัมภ์จาก กษัตริย์พระองค์น้ี พระองค์โปรดให้สร้างปริเวณะตามชื่อของพระองค์เองแล้วน้อม ถวายแด่พระเมธังกรเถระ ผู้เดินทางมาจากแคว้นโจฬะทางอินเดียตอนใต้ และทรง มอบถวายหมู่บ้านส่ีแห่งนามว่าปุราณคามะ สันนีรเสละ ลพุชคามกะ และโมรวังกะแก่ ปริเวณะแห่งน้ีด้วย๗๒ คัมภีร์ดาฬดาสิริตะก็อ้างว่ากษัตริย์พระองค์นี้โปรดให้สร้าง ศรีปรากรมพาหุปริเวณะและอุทิศถวายพร้อมด้วยหมู่บ้านท่ีด�ารงรักษา (คัมบิม วฏนาปะสะ) วัว ควาย ทาสชายหญิง เป็นต้น๗๓ หากถือเอาข้อความตามอ้างนี้ หมู่บ้าน สี่แห่งเหล่านี้น่าจะเป็นชนิดเดียวกันกับคัมบิมวฏนาปะสะ ซึ่งปรากฏเห็นในคัมภีร์ ดาฬดาสิริตะ ศัพท์ว่าคัมบิมซ่ึงบ่งถึงหมู่บ้านคล้ายกับศัพท์ว่าทรุคัม จึงสามารถพิสูจน์ ยืนยันได้ว่าทรุคัมวฏนาปะสะและคัมบิมวฏนาปะสะมีความหมายคล้ายคลึงกัน๗๔
96 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง ราชูปถัมภ์ของกษัตริย์พระองค์นี้ยังรวมถึงการเคารพบูชาพระเขี้ยวแก้วด้วย คัมภีร์จุลวงศ์ระบุว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงอุทิศถวายหมู่บ้านหลายแห่ง ทุ่งนา ทาสชาย หญิง ช้าง วัวควายและของขวัญจ�านวนมากแด่พระเข้ียวแก้ว๗๕ คัมภีร์ดาฬดาสิริตะ ขยายความว่านอกจากวัดพระเข้ียวแก้วจะมีรายได้เช่นนั้นแล้ว ยังมีประเพณีถวาย ปมุณุอย่างหน่ึง (ถวายท่ีดินถาวร) ในวันพระราชสมภพของพระเจ้าแผ่นดิน และ ในวันพระราชพิธีเสด็จเสวยราชย์ (วนุวักมังคุเลหิ)๗๖ หลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จะต้องมีประเพณีถวายปมุณุสองครั้งแก่วัดพระเข้ียวแก้วทุกปี ว่าตามตัวบทกฎหมาย ปัณฑุระควรจะให้โดยผู้ครอบครองที่ดินอย่างอิสระ และแวฏิตัล (น้�ามันส�าหรับใส่ตะเกียง) โดยผู้ถือทิเวลคัม๗๗ ศัพท์ว่าปัณฑุรุมีกล่าวถึง หลายแห่งในคัมภีร์ดาฬดาสิริตะ กฎหมายข้อหน่ึงตราไว้ว่าปราสาทดินเหนียวผสมของ หอมควรให้แก่ผู้น้อมถวายปัณฑุรุ ศัพท์บาลีว่าปัณฑาการะซ่ึงเป็นรากเหง้าของภาษา สิงหลปัจจุบันมีความหมายว่าของขวัญเป็นต้น คัมภีร์มหาวงศ์อ้างถึงการแลกเปลี่ยน ระหว่างพระเจ้าอโศกกับพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะก็ใช้ศัพท์ว่าปัณณาการะ ซ่ึงเป็น เคร่ืองราชบรรณาการของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ ประกอบด้วยหินมีค่าสามชนิด เสาลากเกวยี นทา� ดว้ ยแปง เปยี กสามอนั เปลอื กหอยทกั ษณิ าวรรตและไขม่ กุ แปดชนดิ ๗๘ ส่วนเครื่องราชบรรณาการของพระเจ้าอโศกนั้น ประกอบด้วยเคร่ืองราชกกุธภัณฑ์ ส�าหรับประกอบพิธีมูรธาภิเษกตามประเพณีอินเดีย บรรดาเครื่องราชบรรณาการ เหล่านั้นมีเคร่ืองประดับหลากหลายชนิด ดาบ เศวตฉัตร เหยือกสองหู น้�าจาก สระอโนดาตและแม่น�้าคงคา หอยสังข์ทักษิณาวรรตเพื่อประกอบพิธีอันเป็นมงคล สาวรับใช้วัยสะคราญ เป็นต้น๗๙ ความหมายของค�าว่าปัณฑุรุเบ้ืองต้นรวมถึงของขวัญ ฉันมิตรท้ังท่ีเคลื่อนไหวได้และเคลื่อนไหวไม่ได้ ปัจจุบันทายกผู้เปียมด้วยศรัทธา มีเจตนาน้อมถวายแด่เทพเจ้า ดังเช่น ส่ิงของอันมีค่า เครื่องประดับ เคร่ืองแก้บน และอาหารหลายอย่าง แลตามอารามวิหารของชาวพุทธก็มีไทยทานหลายอย่างน้อม ถวายแดป่ ัณฑุรุลว้ นแลว้ แตเ่ ป็นเหรียญ จงึ เปน็ เรอื่ งยากนักทจ่ี ะระบวุ า่ ปัณฑุรุเกย่ี วขอ้ ง กับการบริจาคแด่พระเข้ียวแก้วจริงหรือไม่ คัมภรี ด์ าฬดาปูชาวลิยะบอกว่ารายได้ของวัดพระเขย้ี วแก้วมาจากการเกบ็ ภาษี ชักหนึ่งส่วนสี่จากท่าเรือเก้าแห่งรอบเกาะลังกา และมีการน้อมถวายเพียงสองวัน
ทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 97 กล่าวคือวันข้ึนปีใหม่และวันการะติกะ๘๐ คัมภีร์จุลวงศ์กล่าวว่าพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๔ ได้น้อมถวายหมู่บ้านสาลัคคามะแก่วิชัยพาหุปริเวณะท่ีติตถคามอันเป็นท่ีอยู่ของ พระกายสตั ถิมหาเถระ๘๑ และได้นอ้ มถวายหมบู่ ้านคนั ตมิ านะซึ่งแวดล้อมด้วยสวนเปน็ พุทธบูชาภายในอารามวิหารเรียกว่าสีหเสยิตะท่ีเมืองเดวปุระ (ปัจจุบันคือเดวุนทระ)๘๒ อีกทั้งโปรดให้สร้างอาคารสองช้ันที่วัลลิคามวิหารตามนามของพระองค์และมอบแก่ หมู่บ้านช่ือว่าสาลคิริให้ท�าหน้าท่ีดูแลรักษา (โภคคามะ) ส�าหรับเป็นเคร่ืองใช้สอยของ มหาสังฆะ๘๓ หลักฐานเบ้ืองต้นช้ีให้เห็นว่าสถาบันกษัตริย์ได้อุปถัมภ์ค้�าชูพระสงฆ์ตาม หัวเมืองชายทะเลอย่างดีย่ิง คมั ภรี จ์ ลุ วงศอ์ า้ งถงึ ราชปู ถมั ภแ์ กว่ ชิ ยั พาหปุ รเิ วณะโดยบอกวา่ กษตั รยิ พ์ ระองค์ นี้โปรดให้ออกแบบสวนเปน็ สัดสว่ นพรอ้ มมะพรา้ วหา้ พันต้นบริเวณหมู่บ้านติตถคาม๘๔ แต่น่าเสียดายไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นการอุทิศแก่อารามวิหารหรือไม่ การอ้างอิงถึงสวน ของกษัตริย์พระองค์น้ียังเป็นค�าถาม หลักฐานนี้กับหลักฐานในคัมภีร์ดาฬดาสิริตะ น่าจะหมายถึงการถวายสวนมะพร้าวแก่อารามวิหาร กล่าวคือถวายแก่ปริเวณะที่ ติตถคามนั้นเอง จารึกเหฏฏิโปละเมืองกุรุแณคะละกล่าวถึงการลงทะเบียนรายชื่อ ทุ่งนาแก่ยานเลนะ๘๕ ยังมีพระราชกุศลอีกชนิดหน่ึงเรียกว่าทรุกุสลันและมหกุสลัน คัมภีร์ดาฬดา สิริตะตีความหมายบ่งถึงพระรัตนตรัย๘๖ แต่หาได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับชนิดแห่ง พระราชกุศลไม่ วิกรมสิงหะแปลศัพท์กุสลันว่าภาชนะส�าหรับใช้ด่ืม๘๗ ส่วนเบลล์ แปลว่ากุศลที่เกิดจากผลบุญ๘๘ การแปลของเบลล์นั้นเป็นที่ยอมรับกันในวงกว้าง๘๙ เห็นสมควรหันไปศึกษาหลักฐานทางอักษรโบราณยุคก่อน ศิลาจารึกสมัยโปโฬนนารุวะ (พุทธศักราช ๑๖๔๘) บอกว่าท่ีดินแบบหน่ึงท่ีน้อมถวายเป็นค่าชดใช้ส�าหรับการท�างาน และซ่อมแซมวิหารแห่งวฏกุรุปริเวณะภายในส�านักมหาวิหาร๙๐ จารึกนาโคลคนะระบุ ว่าแสฏมัณฑลัสสะ กุฑามุณฑลัน และมหมุณฑลันได้น้อมถวายแก่นาคละวิหาร๙๑ ส่วนจารึกกฎคมุวะแห่งมานาภรณะกล่าวถึงทุ่งนาส�าหรับเก็บเกี่ยวอันกว้างใหญ่ขนาด ๑๓ อมุณะ ได้น้อมถวายแด่มุหุณฑุคิริวิหาร๙๒ ตัวอย่างเหล่าน้ีถือว่าเป็นจารีตปฏิบัติ แห่งการบริจาค ซึ่งแสดงถึงความจงใจตามข้อความกุสลันโกฏะ
98 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง การกัลปนาช่ือว่ากุสลันน้ันเป็นที่ดินจ�านวนมากหมายถึงหมู่บ้านและทุ่งนา จารึกแห่งคลปาตะวิหารบอกว่าแม้ภาษีที่ดินประเภทโกลเวลอะยะก็น้อมถวายใน นามกสุลัน๙๓ ศิลาจารึกขุดพบข้างรั้วใกล้เจดีย์ด้านทิศตะวันออกของเมืองอนุราธปุระ ระบุถึงศาลาน้�าหรือส่วนหนึ่งของศาลาน�้าช่ือว่ากุสลัน๙๔ จึงเช่ือน่าจะมีการบริจาค หลายอย่างในนามกุสลัน ศัพท์ว่าทะรุในค�าว่าทรุกุสลันหมายถึงขนาดเล็ก ส่วนศัพท์ ว่ามะหะในค�าว่ามหกุสลันหมายถึงขนาดใหญ่ เบลล์จึงแปลศัพท์ทะรุกุสลันและ มหกุสลันว่าการบริจาคกุศลขนาดเล็กและขนาดใหญ่๙๕ แนวความคิดนี้ต้องการบอก ว่าทะรุกุสลันและมหกุสลันหมายถึงการบริจาคหมู่บ้าน ทุ่งนา ที่ดินหรือไร่สวนตลอด จนภาษี เป็นต้น เรียกว่าขนาดเล็กและใหญ่ตามสัดส่วนของขนาด ตามความส�าคัญ และคุณค่าของการบริจาค กัลปนาที่มอบถวายแก่อารามวิหารสมัยคัมโปละนั้น ไร่นา ข้าทาสและสัตว์ล้วนส�าคัญยิ่ง หมู่บ้านท่ีดินและเงินตราก็มีส่วนเช่นเดียวกับทรัพย์ สมบัติเหล่านั้น จารกึ คฑลาเดณิยะระบุว่าในปที ี่ ๓ แหง่ การครองราชยข์ องพระเจ้าภวู เนกพาหุ ท่ี ๓ (พ.ศ.๑๘๘๔-๑๘๙๔) มีการลงทะเบียนรายชื่อไร่นาจ�านวนมากที่น้อมถวายแก่ คฑลาเดณิยะวิหาร๙๖ แต่น่าเสียดายเกิดรอยแตกขนาดใหญ่หน้าศิลาจารึกจึงท�าให้ ข้อความหลุดหายไปไม่สามารถตีความได้ รายละเอียดส่วนอื่นไม่สามารถก�าหนดได้ ส่วนข้อความชัดเจนระบุถึงสถานที่ ๒๖ แห่ง ซ่ึงหมายถึงวิหารท่ีได้รับไร่นาอัน เก็บเก่ียวขยายกว้างออกไปถึง ๔ ยานะ ๑๖ อมุณะ และ ๓ แปละ๙๗ ทรัพย์สิน ท้ังหลายเหล่าน้ีอุทิศถวายโดยปฏิคาหกท้ังน้ัน ไร่นาบางแห่งขนานนามตามผู้บริจาค ว่าทิเวลหมายถึงหมู่บ้านท่ีมีการดูแลรักษา๙๘ ดังตัวอย่างเช่น หนึ่งยาละและสิบอมุณะ บริจาคโดยเสนาบดีนามว่าเสนาลังกาธิการะซ่ึงร้ังต�าแหน่งทิเวล ส่วนหกอมุณะบริจาค โดยเทวคิริปติราชะ๙๙ การบริจาคเหล่าน้ีมีกล่าวถึงศัพท์ว่าวฏปสะเทแปเล็ค๑๐๐ ค�าว่า เทแปเล็ค หมายถึงมาตราวัดสองแปละ และบ่งถึงไร่นาที่ทอดยาวออกไปเป็นสอง แปละ ด้วยเหตุนั้นวตนาปะสะเทแปเล็คอาจหมายถึงไร่นาตามรายการท่ีเหมาะสม ต่อการสนับสนุนก็เป็นได้๑๐๑ จารึกภาษาสิงหลของพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๔ จากลังกาติลกวิหารบันทึก เกย่ี วกบั บญั ชไี รน่ าทที่ อดยาวออกไปสบิ เจด็ วาละและสบิ สองอมณุ ะจากเกา้ เขต ซง่ึ ลว้ น
ทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 99 น้อมถวายพร้อมกับวิหาร ๑๐๒ หลักฐานส่วนหนึ่งบอกว่าหน่ึงยาละของเมล็ดพันธุ์ข้าว จากโคนวนิเกสิตทวุลเลมอบถวายโดยเสนาลังกาธิการะจากท่ีดินอันเป็นของพระเถระ ผู้ใหญ่๑๐๓ ไร่นาอันมีการเก็บเกี่ยวที่ทอดยาวออกไปหกยาละของเมล็ดพันธุ์ข้าว ตั้งอยู่ ในเขตบดลโกฑะใหม่ซ่ึงมีการสร้างคลองส่งน�้าและอ่างเก็บน�้า๑๐๔ ไร่นาเหล่าน้ีอาจ เตรียมไว้ส�าหรับบริจาค ศิลาจารึกท่ีอลวลอมุณะระบุว่าในรัชสมัยของพระเจ้าปรากรม พาหุที่ ๕๑๐๕ มีการรวบรวมรายละเอียดของการบริจาคแก่ลังกาติลกวิหาร ไร่นาที่ ตระเตรียมส�าหรับบริจาคต้ังอยู่ในบริเวณส่ีหมู่บ้านนามว่า ปรณิดลโกฑะ กสัมพิลยาโกฑะ นารันโคฑะ และอลุตลดลโกฑะ๑๐๖ ศิลาจารึกท่ีอลวละอมุณะซ่ึงระบุการลงทะเบียนไร่นาท่ีบริจาคแก่ลังกาติลก วิหารมีรายละเอียดแตกต่างกันค่อนข้างมาก ซึ่งเกี่ยวกับเน้ือที่ของไร่นาจากจารึก ภาษาสิงหลของพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๔ ท่ีจารึกไว้ในแผ่นหินข้างลังกาติลกวิหาร จารึกหลักแรกบอกว่าไร่นาจ�านวน ๙๐ ยาละ ได้มอบถวายแก่วิหารจากหมู่บ้านท้ัง ๔ นามว่า ปรณะบดลโกฑะ กสัมพิลิยาโคฑะ นารันโคฑะ และหดลโคฑะ๑๐๗ ส่วนจารึก ด้านข้างวิหารระบุว่าไร่นาที่เก็บเก่ียวมีจ�านวนเพียง ๑๔ ยาละ ได้มอบถวายจากหมู่บ้าน เหล่าน้ี๑๐๘ ปรณวิตานะต้ังข้อสังเกตว่าการเพิ่มจ�านวนมากข้ึนในมาตรการที่ระบุไว้ในศิลา จารึกอลวละอมุณะ เน่ืองจากว่าหลังจากมีการประกาศตีพิมพ์จารึกภาษาสิงหลที่ ด้านข้างวิหารแล้ว มีที่ดินอีกเป็นจ�านวนมากที่อยู่ด้านล่างของอ่างเก็บน้�าบดลโกฑะที่ พบเจอเพราะการไถเพ่ือท�านา๑๐๙ พืชพันธุ์สามยาละได้รับมอบถวายจากหมู่บ้านสิตทวุลละโคนวนิกะ คิริววุลุวะ และโคฑเวละ ท้ังหมดปรากฏอยู่ในจารึกท้ังสองหลัก๑๑๐ อีกครั้งหลักฐานในจารึก อลวละอมุณะระบุอีกว่า ไร่นาที่มีการเก็บเก่ียวแล้วมากกว่า ๗ ยาละ ได้มีการมอบ ถวายแก่วิหารโดยทายกผู้ไม่ออกนาม๑๑๑ ไร่นาเหล่านี้ไม่ปรากฏเห็นในจารึกด้านข้าง วิหาร และอาจจะมีการบริจาคหลังจากการประกาศไว้ในจารึกหลักน้ัน ด้วยเหตุนั้น จ�านวนไร่นาทั้งหมดท่ีประมาณไว้ในจารึกอลวละอมุณะเป็นการรวมการเก็บเกี่ยวด้วย คือ ๑๐๐ ยาละ๑๑๒ แต่มีระบุในจารึกหลักอื่นเพียง ๑๗ ยาละ และ ๑๒ อมุณะ๑๑๓
100 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง จารึกเปติคัมมะนะของกษัตริย์พระนามว่าสิริสังฆโพธิวิกรมพาหุได้บันทึกถึง การมอบถวายไร่นาเนื้อที่การหว่านหนึ่งอมุณะ พร้อมกับที่ดินอันว่างเปล่าแก่เสโมรทา คมะวิหาร๑๑๔ ไม่มีหลักฐานกล่าวถึงกว่าการบริจาคน้ีถวายโดยพระเจ้าวิกรมพาหุที่ ๓ หรือว่า พระเจ้าวิกรมพาหุท่ี ๔ ซ่ึงเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรแคนดี จากรายละเอยี ดเบอื้ งตน้ ปรากฏวา่ ไร่นาท่บี รจิ าคแก่อารามวิหารระหว่างยคุ คัม โปละมีราคาแพงมากกว่าหากเปรียบเทียบกับยุคแรกท่ีวิเคราะห์กันนี้ ส�าหรับทาส วัว และควายที่เจาะจงถวายแก่คฑลาเดณิยะวิหารและลังกาติลกวิหารน้ัน วิหารแห่งแรก ได้รับวัวสิบตัวจากเทวคิริปติราชะ และทาสสามคนจากวิชยปติราชะพร้อมด้วยควาย สองตัว๑๑๕ ส่วนเสนาลังกาธิการบริจาคแก่ลังกาติลกวิหารเป็นข้าทาสชายหญิงสองร้อย คน และวัวควายส่ีร้อยตัว๑๑๖ ข้าทาสมีสองชนิดกล่าวคือมังคุลวหลิณ๑๑๗ และรันวหลิน (ทาสท่ีซ้ือ) จารึกกิตสิริเมวันเกลานิยะระบุพุทธศักราช ๑๘๘๗ ลงทะเบียนหมู่บ้าน และไร่นาพร้อมทั้งทาส ๓๐ คน มอบถวายแด่ต้นโพธ์ิที่เกลาณิยะวิหาร ที่ดินมอบ ถวายระบุไว้ในจารึกท่ีมีมาจากยุคโปโฬนนารุวะท่ีแมนดะปานะมุนเน ทาสแบ่งเป็น สองชนิดเท่าเทียมกัน หนึ่งนั้นได้รับในฐานะพระราชทานเพื่อการแสดงธรรมกลางคืน (ราตรีบณะ)๑๑๘ ส่วนจารึกนิยัมคัมปายะระบุพุทธศักราช ๑๙๑๖ บันทึกการบริจาค ทาสสิบคนและเอณเฑรปัฏฏติสอง๑๑๙ แก่นิยัมคัมปายะวิหาร๑๒๐ การบริจาคเพื่อเปนพุทธบูชา บรรดาการบริจาคมากมายสมัยคัมโปละนั้น มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งน้อมถวาย เป็นพุทธบูชา จารึกลังกาติลกวิหารของพระเจ้าวิกรมพาหุที่ ๓ ระบุว่าหมู่บ้านนามว่า ปัฏฏิเยคามอยู่เขตโคฑรฏะพรั่งพร้อมทุกสิ่งอย่างรวมถึงท่ีต้ังเคหสถาน๑๒๑ (คัมมุดละ) ป่าข้าทาสและสัตว์ ล้วนน้อมอุทิศถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่ีลังกาติลกวิหาร โดยพระเจ้าวิกรมพาหุที่ ๓๑๒๒ หลักฐานอีกแห่งหน่ึงระบุว่าพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๔ แห่งอาณาจักรกุรุแณคะละได้น้อมถวายหมู่บ้านแก่พระนอนที่แคฏมานเน๑๒๓
ทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 101 ประเพณีการน้อมถวายหมู่บ้านเป็นพุทธบูชาเป็นพัฒนาการท่ีน่าสนใจเคียงคู่ กบั ถวายทดี่ นิ ตวั อยา่ งหลกั ฐานทบี่ นั ทกึ เปน็ ครงั้ แรกเกยี่ วกบั การนอ้ มถวายโดยกษตั รยิ ์ ผู้ท�าปิตุฆาตพระนามว่าพระเจ้ากัสสปะที่ ๑ หลังจากจัดแจงถวายหมู่บ้านเพื่อดูแล รักษาอิสสรสมณวิหารแล้ว พระองค์ประสงค์ให้พระสงฆ์แห่งเถรนิกาย กล่าวคือมหา วิหารยอมรับการถวายคร้ังน้ี เมื่อพระสงฆ์เหล่าน้ีรีรอท่ีจะยอมรับการน้อมถวาย เหตุ เพราะกลัวการต�าหนิจากฆราวาส เน่ืองจากรับจากกษัตริย์ผู้ท�าปิตุฆาตแม้มีเจตนาน้อม ถวายแด่พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์๑๒๔ หลักฐานส่วนน้ีแสดงให้เห็นถึงการบิดเบือน พระพุทธเจ้าให้ยอมรับของมีค่าแม้พระองค์ทรงปฏิเสธ อย่างไรก็ตามการน้อมถวาย เป็นพุทธบูชาดังกล่าวข้างต้นเร่ิมต้นจากทรัพย์สินที่ดินจนถึงการยอมรับคนรับใช้และ สัตว์ ประเพณีการน้อมถวายเป็นพุทธบูชาด้วยส่ิงของทุกอย่างดังกล่าวถึงแล้วข้างต้น รวมถึงช่างไม้ นักดนตรี เป็นต้น จ�านวนไทยธรรมที่ฟุ่มเฟือยมากมายพบเห็นดาษด่ืน ในประเทศพม่ายุคพุกาม๑๒๕ ประเพณีเช่นน้ีกลายเป็นที่รู้จักแพร่หลายในเกาะลังกา ตั้งแต่พุทธศตวรรษท่ี ๑๙ เป็นต้นมา การส่ังสมพอกพูนเรื่อยไปหลายศตวรรษช้ีให้ เห็นว่า ประเพณีการถวายกัลปนาแก่พระพุทธเจ้าเป็นการปองกันรักษาการน้อมถวาย ทรัพย์สมบัติ อันท่ีจริงเมื่อพระเจ้าวิกรมพาหุท่ี ๓ ตรัสถึงปัฏฏิเยคามะที่น้อมถวาย แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ให้ทานคร้ังน้ีด�ารงอยู่ตราบ เท่านาน๑๒๖ จารึกของพระเจ้าวิกรมพาหุที่ ๓ จากลังกาติลกวิหารอ้างถึงหมู่บ้านที่น้อม ถวายแก่วิหารแห่งน้ีโดยบุคคลนามว่าแอปะ๑๒๗ คัมภีร์นิกายสังครหยะระบุว่าระหว่าง รัชสมัยของพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๕ วีรพาหุมอบถวายไทยทานแห่งหมู่บ้านนามว่า ดรุคัมวฏนาปะสะ (ปัจจัยท่ีสงเคราะห์หมู่บ้าน)๑๒๘ การน้อมถวายท่ีดินแก่วิหารท่ี นิยัมคัมปายะมีบันทึกไว้ในจารึกนิยัมคัมปายะด้วย๑๒๙ มีท่ีดินจ�านวนน้อยน้อมถวาย แก่วัดสมัยคัมโปละ จารกึ ภาษาสงิ หลของพระเจา้ ภวู เนกพาหทุ ี่ ๔ จากลงั กาตลิ กวหิ ารระบถุ งึ จา� นวน ท่ีดินที่มอบถวายแก่วิหารแห่งนี้ จารึกวีคุลวัตตะของพระเจ้าวิกรมพาหุที่ ๓ ระบุถึงไทยธรรมที่มอบถวายแด่พระเขี้ยวแก้วว่าเป็นท่ีดินนามว่าปัลเลปิฏิยะ๑๓๐
102 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง จารกึ เปตคิ ัมมานะบันทกึ การถวายที่ดินหรือสวนแกเ่ สโมรทคามะวิหาร๑๓๑ จ�านวนท่ดี ิน ถวายเหล่าน้ีไม่สามารถค�านวณให้แน่นอนถูกต้องได้ การบริจาคเรียกว่าเทสีมะ เทเกก มีกล่าวถึงในจารึกคฑลาเดณิยะ โดยระบุ ว่าเป็นการน้อมถวายแด่คฑลาเดณิยวิหารโดยอนุระอัตตระ ผู้ดูแลทรัพย์สมบัติของ ญาติซ่ึงยินดีจ่ายภาษีตามปกติ๑๓๒ มีการตั้งข้อสังเกตไว้ว่าเทสีมะเป็นรูปแบบของการ ถวายที่ดินชนิดหนึ่ง แต่เน่ืองจากขาดหลักฐานจึงเป็นเร่ืองยากท่ีจะตัดสินใจว่าเป็นการ ถวายชนิดใด การบริจาคอีกชนิดหน่ึงเรียกว่าคัมกฑวระ ซ่ึงค้นพบในจารึกคฑลาเดณิยะ เช่นกัน โดยจารึกหลักน้ีให้รายละเอียดการถวายที่ดินสองชนิด๑๓๓ ปรณวิตานะสันนิษฐาน ว่าคัมกฑเวระเป็นส่วนร่วมของหมู่บ้าน๑๓๔ พจนานุกรมภาษาอังกฤษบอกว่า กฑวระ หมายถึงทองหรือทรัพย์สมบัติ๑๓๕ อาจเป็นไปได้ว่าทั้งสองศัพท์นี้เกี่ยวข้องกัน และ ระบุถึงความหมายว่า ส่วนแบ่งของหมู่บ้านตามชนิดและเงินสด การมอบถวายที่ดิน อีกแห่งหน่ึงแก่ลังกาติลกวิหารเรียกว่ามเฑลวิฏิเยละจากสันแตนะ๑๓๖ จารึกภาษาทมิฬ แห่งลังกาติลกวิหารผสมกับจารึกภาษาสิงหลในบริเวณเดียวกัน อธิบายศัพท์น้ีว่าป่า เรียกว่ามเฑลวิฑิเยละ เพ่ือท่ีจะรักษาดูแลน�้ามันส�าหรับตะเกียงจึงเป็นเหตุให้บริจาค ป่าชื่อว่าสันทานะ๑๓๗ วิฑิเยละเป็นภาษาทมิฬตรงกับค�าว่าวิฏิเยละในจารึกภาษาสิงหล จากหลักฐานตรงน้ีจึงปรากฏว่า มเฑล วิฏิเยละ เป็นป่าส�าหรับผลิตเพื่อใช้ตะเกียง น้�ามัน หลกั ฐานจากรายไดแ้ หง่ หนง่ึ ซงึ่ ลงั กาตลิ กวหิ ารไดถ้ กู รวบรวมจากคา่ ธรรมเนยี ม เรียกว่าปิเดนิปณัม จารึกภาษาสิงหลจากบริเวณลังกาติลกวิหารระบุว่า ค่าธรรมเนียม เหล่าน้ีรวบรวมจากทุกครัวเรือนท้ังเกาะลังกา เพ่ือให้เห็นว่าลังกาติลกวิหารสร้างขึ้น โดยชาวลังกาทุกรูปนาม๑๓๘ วิหารแห่งนี้ได้พัฒนาระเบียบใหม่จากการเก็บภาษีสองแห่ง โดยคิดเป็นหนึ่ง เปอร์เซ็นต์ในกรมคลังภายในและกรมคลังภายนอก (อตุลุมฑิเฆ และปิฏะมฑิเฆ) จากค่าของสินค้าที่น�ามาซ้ือหรือขายโดยพ่อค้าที่มาจากท่าเรือเก้าแห่งหรือหัวเมืองท้ัง
ทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 103 ๑๘ พร้อมข้อตกลงท่ีบันทึกในแผ่นเงิน๑๓๙ จารึกภาษาทมิฬแห่งลังกาติลกวิหารยังให้ ความแจ่มชัดอันทรงคุณค่าในประเด็นน้ี ด้วยการเปิดเผยว่าอ�านาจหน้าท่ีเกี่ยวกับการ เก็บภาษีรวมถึงหัวหน้า (มุดลิกัล) ผู้ท�าหน้าท่ีอย่างถูกต้องเกี่ยวกับการเก็บภาษีทุกชนิด แม้ภาชนะท่ีติดกับท่ีดินของนายบ้าน และการหยิบฉวยทองและอัญมณีหรือทดแทน ผู้คนด้วยการบังคับ๑๔๐ การเก็บภาษีอันเดียวกันต่อหน่ึงส่วนส่ีเปอร์เซ็นต์จากท่าเรือ เก้าแห่งได้ถูกโยกย้ายถวายวัดพระเข้ียวแก้วในรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๔ แห่งอาณาจักรกุรุแณคะละ๑๔๑ จารึกนิยัมกัมปายะแสดงนัยว่าการได้รับหน่ึงส่วนสี่ เปอร์เซ็นต์จากหัวเมืองทั้งสิบแปดเป็นสัญลักษณ์เชิงอ�านาจทางการเมือง ซึ่งผู้ถวาย รั้งต�าแหน่ง อาจเป็นไปได้ว่ายังมีอารามวิหารอีกหลายแห่ง ซ่ึงได้รับกัลปนาจากการอุทิศ ถวายและจากวิธีอ่ืน ถึงแม้จะไม่มีความจ�าเป็นต้องผ่านการเก็บภาษีก็ตาม เฉพาะ คลปาตวิหารมีการเก็บสะสมทองพร้อมที่ดินและทาส ซ่ึงซ้ือมาส�าหรับวิหาร๑๔๒ คาดเดาเอาว่าทองเหล่าน้ีบางแท่งคงมาจากรายได้ ซึ่งได้รับจากทรัพย์สินอันเป็นท่ีดิน ของอารามวิหาร กล่าวกันว่าพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๓ ได้ถวายเงิน ๘๔,๐๐๐ กหาปณะ ซึ่งเป็นส่วนแห่งพระธรรมวินัยแด่วิหารที่อัตตลคัลละ๑๔๓ มีวิธีคล้ายคลึงกันน้ีผ่านอารามวิหารโดยความช่วยเหลือทางการเงิน รายละเอียดต่อไปน้ีเกี่ยวข้องกับการกัลปนา ๓ ชนิดท่ีมอบถวายแก่พระสงฆ์ กัลปนาเหล่าน้ันมอบถวายแก่องค์กรนามว่าคณะ๑๔๔ แก่พระภิกษุที่เจาะจง (บุคคล) และแก่หมู่สงฆ์เรียกว่าสังฆะ บรรดาหมู่บ้านท่ีรื้อฟื้นโดยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ แล้วมอบถวายแก่อารามวิหารหลายแห่ง ซึ่งปรากฏในคัมภีร์จุลวงศ์อ้างถึงคณสันตกคามะ หมบู่ า้ นหรอื ทดี่ นิ มอบถวายแกผ่ คู้ รอบครองตามโครงสรา้ งของพระสงฆเ์ รยี กวา่ คณะ๑๔๕ ไม่มีหลักฐานกล่าวถึงหมู่บ้านเหล่านั้นในคัมภีร์น้อยใหญ่เลย๑๔๖ คัมภีร์จุลวงศ์อ้างถึง ปุคคลิกคามะ กล่าวคือหมู่บ้านที่เป็นของเฉพาะพระสงฆ์ท่ีถวายคืน๑๔๗ คัมภีร์ดาฬ ดาสิริตะระบุว่าพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๔ แห่งอาณาจากุรุแณคะละได้น้อมถวายวฏ นาปสะ (หมู่บ้านบ�ารุงรักษา) ไร่นา ท่ีดิน เป็นต้นเฉพาะพระสงฆ์๑๔๘
104 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง หมู่บ้านท่ีพระสงฆ์เป็นเจ้าของ (ปุคคลิกคามะ) แสดงให้เห็นถึงลักษณะ อันหลากหลายของทรัพย์สินที่ดิน เช่น ไร่นา ท่ีดิน เป็นต้น หน่ึงในตัวอย่างที่อธิบาย ถึงความเป็นเจ้าของทรัพย์สินโดยเอกเทศสมัยน้ีปรากฏในจารึกโกฏฏันเคหมายเลข ๒ ซึ่งสันนษิ ฐานวา่ เปน็ ระยะเวลาไม่นานจากสมยั ของเสนาบดโี ลเกศวรที่ ๒ (พ.ศ.๑๗๕๓- ๑๗๕๔) จารึกหลักดังกล่าวบันทึกไว้ว่าพระมหาเถระนามว่าอภัยแห่งส�านักวิลคัมมุละ ได้อุทิศถวายที่ดินในครอบครองรวมถึงกลัมปมุนุวะแก่คณะสงฆ์ผู้มาจากส่ีทิศ๑๔๙ การถวายเช่นนี้มีบรรยายไว้ในฐานะปมุณุเป็นคร้ังแรก ซึ่งเป็นนัยบ่งถึงที่ดินอันเป็น ของพระเถระผใู้ หญ๑่ ๕๐ อาจเปน็ ไปไดว้ า่ ผถู้ วายไมว่ า่ เปน็ ทายาทผถู้ อื ครองทางครอบครวั หรอื อาจไดร้ บั ทรพั ยม์ รดกในฐานะผยู้ อมรบั แบบถาวร ความจรงิ คอื ทดี่ นิ เหลา่ นท้ี ง้ั หมด ได้อุทิศถวายแก่พระสงฆ์ แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่าใครเป็นผู้มีสิทธิ์ครอบครองเหนือ ท่ีดินท้ังหมด จารึกแกรคะละหมายเลข ๑ ยืนยันว่าอันโคดะกุสลานะรวมถึงบ้าน ไร่สวน ต้นไม้ เคร่ืองปลูกสร้าง ป่า สระน้�า ไร่นา ที่ดินว่างเปล่า และทุกสิ่งอย่างภายใน อาณาบริเวณส่ีทิศใกล้เขตปานบุนุ เป็นสมบัติของพระนาคเสนเถระแห่งวัตตลวนวาสะ ผู้มีชีวิตสมัยดัมพเดณิยะ๑๕๑ บรรดาหมู่บ้านท่ีมอบคืนถวายแก่คณะสงฆ์โดยพระเจ้า ปรากรมพาหุท่ี ๒ คือ ปุคคลิกคาม หมายถึงหมู่บ้านท่ีเป็นของเฉพาะสงฆ์๑๕๒ พระเจ้า ปรากรมพาหุท่ี ๔ แห่งอาณาจักรกุรุแณคะละได้น้อมถวายวฏนาปะสะ (การรักษาดูแล หมู่บ้าน) ไร่นา ที่ดิน เป็นต้น แก่พระภิกษุเฉพาะเจาะจง๑๕๓ การถวายท่ีดินเป็นการ ส่วนตัวที่วิลวลวิหารแห่งเมืองอุฑเหวาแฮฏะมีบันทึกไว้ในจารึกเช่นกัน โดยระบุว่า เป็นปีท่ี ๑๑ แห่งการครองราชย์ของพระเจ้าศรีสังฆโพธ์ิสิริวิชัยพาหุจักรวรติ หมายถึง พระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๕ ผู้รับมรดกของอารามวิหาร เป็นครั้งแรกที่มีการกล่าวถึงการทวงสิทธิ์ แต่ถือว่าไม่จ�าเป็นกับความเป็น เจ้าของทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร ในฐานะเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ซึ่งขยายความโดย จารึกพุทธันเนหละย้อนระยะเวลากลับไปในปีที่สามแห่งการครองราชย์ของพระเจ้า กัสสปะท่ี ๕ ตามรายละเอียดของจารึกหลักน้ี การทวงสิทธิ์ไร่นาและท่ีดินในฐานะเป็น
ทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 105 ทรัพย์สินส่วนตัวของพระสงฆ์นามว่าพระหารเสผู้เป็นสมภารเจ้าอาวาสวัดนาคิริ หลัง จากท่านมรณภาพแล้วสมบัติเหล่าน้ีทั้งหมดไม่มีผู้ทวงสิทธิ์ พระพุทธมิตราผู้เป็นศิษย์ สืบทอดจึงได้รับการคัดเลือกจากสมภารแห่งแสคิริ (เจติยคิริ)๑๕๔ ความจริงคือไร่นา และทดี่ นิ มกี ารทวงสทิ ธใ์ิ นฐานะทรพั ยส์ นิ สว่ นตวั โดยเฉพาะพระสงฆต์ ามความตอ้ งการ อันเกิดจากการแต่งต้ัง ได้แสดงให้เห็นว่าเจ้าของทรัพย์สินมิได้ยกให้บุคคลเหล่าน้ัน ในจารึกแรกสุดแสดงเนื้อหาว่าพระพุทธเจ้าทรงระงับข้อพิพาทอันเกิดจากการถือครอง ส่วนแห่งท่ีดินที่เป็นของเฉพาะบุคคลเช่นเดียวกับ จึงสรุปได้ว่าคณะสงฆ์สามารถอ้างส่วนแบ่งผลผลิตจากที่ดิน ซึ่งเป็นของ เฉพาะบุคคล กรณีต้องการให้เป็นของสงฆ์ และหากเมล็ดพันธุ์เป็นของสงฆ์ และหว่าน ไถบนทด่ี นิ ซง่ึ เปน็ ของสงฆ์ พระภกิ ษบุ างรปู ยอ่ มสามารถอา้ งสว่ นแบง่ ได๑้ ๕๕ หากหลกั ฐาน ช้ินน้ีมีความจริงและมีวัตถุประสงค์ท่ีจะรักษารูปแบบบางอย่างของความเป็นเจ้าของ แล้วไซร้ น่าจะแพร่หลายตั้งแต่สมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ของคณะสงฆ์ศรีลังกา อารามวิหารท่ีมีการน้อมถวายเป็นการส่วนตัวน้ัน น่าจะเกิดมีอย่างน้อยหน่ึง ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราช กล่าวคือถวายส�านักอภัยคิรีวิหารแก่พระกุฏิขุละมหาติสส เถระเป็นครั้งแรก๑๕๖ มีตัวอย่างมากมายเก่ียวกับการบริจาคและพัฒนาการเรื่องความเป็นเจ้าของ ที่ดินของพระสงฆ์แบบเอกเทศ ประเพณีเช่นน้ีได้พัฒนาการอย่างรวดเร็ว ปรากฏเป็น เอกสารหลักฐานจากค�าส่ังที่มีการตราในจารึกภาษาสันสกฤตที่วัดเชตวนาราม ซึ่งจารึก ไว้ตั้งแต่ครึ่งแรกแห่งพุทธศตวรรษที่ ๑๔ และศิลาจารึกสมัยอนุราธปุระของพระเจ้า กัสสปะที่ ๕๑๕๗ คร้ันมีการยอมรับทรัพย์สินของวัดในฐานะทรัพย์สินส่วนตัวกลายเป็น ฐานก่อเกิด ต่อมาท่ีกัลปนาโดยถวายเป็นการส่วนตัวด้วย กลา่ วโดยพฤตนิ ยั แลว้ การถวายกลั ปนาในนามคณะสงฆย์ คุ นเ้ี ปน็ เรอื่ งยากมาก พระมหาเถระอภัยแห่งวิลคัมมุฬะได้ถวายท่ีดินแก่คณะสงฆ์ผู้มาจากทิศทั้งส่ี๑๕๘ หลักฐานอ้างอิงเก่ียวกับคณะสงฆ์จากทิศท้ังส่ี เพื่ออธิบายให้เห็นว่าเป็นเรื่องส�าคัญมาก เพราะดูเหมือนว่ามีตัวอย่างอันเดียวเท่าน้ัน เมื่อมีการกล่าวถึงการถวายกัลปนายุคนี้ นัยอันส�าคัญนี้ก็หมายรวมว่าทรัพย์สมบัติต่างน้อมถวายเป็นของสงฆ์ท้ังมวล
106 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง พระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๕ ได้น้อมถวายที่กัลปนาแก่สงฆ์๑๕๙ ศัพท์ว่าสังฆะและ มหาสงั ฆะดเู หมือนว่าใชอ้ ธบิ ายถึงพระสงฆ์ผพู้ �านักอาศยั เฉพาะภายในวหิ าร ดงั เหมอื น ค�าว่ามหาสังฆะผู้อาศัยอยู่ในเสเนวิรัตปิริเวณะ๑๖๐ สันนิษฐานว่าทรัพย์สมบัติอันเป็น กัลปนาได้กลายเป็นทรัพย์สมบัติเฉพาะอารามวิหาร๑๖๑ การน้อมถวายแก่สงฆ์ผู้พ�านัก อาศัยเฉพาะอารามวิหาร หมายถึงการแสดงออก สังฆะ มหาสังฆะ และสังฆะแห่ง ทิศท้ังสี่ก็ถูกดึงเข้ามาเก่ียวข้องยุคนี้ด้วย เพื่อเป็นการถวายเฉพาะหรือแก่อารามวิหาร หากเป็นเช่นน้ันเร่ิมต้นการเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติต้องหายไประหว่างยุคน้ี และมี ความเปน็ ไปไดย้ ากทจี่ ะเกดิ แตกตา่ งระหวา่ งการบรจิ าคในนามอารามวหิ ารกบั การถวาย ในนามสังฆะ เพราะทุกสิ่งอย่างแห่งการน้อมถวายเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว และมีการ สืบทอดไม่ว่าจะเป็นวิธีจากอาจารย์สู่ศิษย์หรือมีการสืบทอดทางสายเลือด หากมีการ ควบคุมจากส่วนกลางหรือคณะกรรมการบริหารดังเช่นกรณีของส�านักอภัยคิรี ส�านัก เชตวันวิหารและส�านักเจติยคิรีวิหาร ด้วยความเคารพศรัทธาอย่างสูงสุดเจตนาให้เป็น สมบัติส่วนตัวอาจจะไม่มีมากมายนัก การยกเลิกความคิดดั้งเดิมเรื่องความมีศรัทธาความเป็นเจ้าของเกี่ยวข้องกับ พัฒนาการต้ังแต่ยุคด้ังเดิม ซ่ึงเชื่อมโยงกับศาสนพิธีโดยเผยแผ่ลดน้อยลงไป ทั้งสงฆ์ ส่วนรวมและเฉพาะบุคคล สังเกตได้ว่าพัฒนาการเช่นนี้เกิดข้ึนอย่างรวดเร็ว เม่ือ คณะสงฆ์ผู้เผยแผ่ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี เมื่ออาณาจักรมีขนาดเล็ก อีกทั้งผู้คน ทั้งเกาะได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาในช่วงเวลาอันสั้น และต่อมาไม่มีความจ�าเป็น ที่จะต้องเผยแผ่ พระสงฆ์ซ่ึงพ�านักพักอาศัยเป็นการถาวร จึงเป็นธรรมดาเอง ที่จะต้องอุทิศถวายแก่พระสงฆ์ จึงน�าไปสู่การถวายที่ดินเฉพาะบุคคล เม่ือความเป็นเจ้าของทรัพย์สินและการทวงสิทธ์ิมีรากฐานชัดเจน ผู้ท�าหน้าที่ อุปถัมภ์พระศาสนาก็เกิดความถาวร กลายเป็นความจ�าเป็นส�าหรับการท�านุบ�ารุง พระสงฆ์กรณีสมัยเกิดความยุ่งยากทางการเมือง บ้านเมืองประสบกับทุพภิกขภัย หรือโรคระบาด ความรุ่งเรืองของอารามวิหารขนาดใหญ่และส�านักเรียนของคณะสงฆ์ ท่ัวไป กลายเป็นหลักฐานส�าคัญในการศึกษาวิเคราะห์ของคนรุ่นใหม่
ทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 107 ส่วนหลักฐานเก่ียวกับการให้อาหารบิณฑบาตเป็นปกตินั้น (ภาษาบาลีใช้ ทานวัฏฏะ ภาษาสันสกฤตใช้ ทานวฤตติ และทานวาฏะ)๑๖๒ คัมภีร์จุลวงศ์ระบุว่า พระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๔ โปรดให้สร้างและปฏิสังขรณ์วนัคคามปาสาทวิหาร ซ่ีงอยู่ใกล้ สินดุรุวานะข้างอภัยราชาปริเวณะ เหตุต้ังชื่อเช่นน้ีเพ่ือให้เป็นนามตามหลังพระราชบิดา และน้อมถวายทรัพย์สินที่ดินรวมถึงไร่นา๑๖๓ คัมภีร์ปูชาวลิยะกล่าวว่าพระเจ้าวิชัยพาหุ ท่ี ๔ โปรดให้ก่อรั้วกั้นส�าหรับถวายอาหารบิณฑบาต เพ่ือน้อมถวายปริเวณะที่แวดล้อม ดว้ ยหมบู่ า้ น สนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะเปน็ สณิ ดรุ วุ านะ๑๖๔ สว่ นคมั ภรี จ์ ลุ วงศอ์ า้ งถงึ การบรจิ าค สิณดุรุวานะ เม่ือมีการกล่าวถึงการบริจาคหมู่บ้านและไร่นา โดยมีจุดประสงค์คือ สร้างร้ัวถวายอาหารบิณฑบาต และชาวบ้านสิณดุรุวานะน่าจะรักษาสืบต่อ ศัพท์ว่าดานวฤตติท่ีใช้ในพระบรมราชูทิศอรัมแกเลบ่งถึงไร่นาท่ีมอบถวาย นามว่าวฏนาปะสะ๑๖๕ ความจริงอย่างหนึ่งคือศัพท์นี้ขยายความบ่งถึงการน้อมถวาย ท่ีดินเพ่ืออุปถัมภ์อาหาร จึงมีความเป็นไปได้ว่าการสร้างร้ัวเพ่ือบิณฑบาตเป็นตัวอย่าง หน่ึง ซ่ึงพาดพิงถึงการบริจาคท่ีดิน น่าจะเป็นศัพท์นิจจภัตตะ๑๖๖ (อาหารบิณฑบาต ที่ถวายเป็นนิตย์โดยไม่มีข้อพกพร่อง) และปากวัฏฏะ๑๖๗ (ร้ัวรับอาหารบิณฑบาต) คล้ายกับศัพท์ว่าทาวัฏฏะ ผลตามมาคือการอุทิศถวายที่ดิน โดยเฉพาะหมู่บ้านและ ไร่นา รวมถึงการสร้างรั้วเพ่ือถวายอาหารบิณฑบาตด้วย การกัลปนายุคน้ีช้ีให้เห็นว่าส่วนท่ีทดแทนที่ดินเหล่าน้ันรวมถึงพืชพันธุ์ท่ีปลูกไว้ น่าจะเกี่ยวเนื่องกับวิถีชีวิตเชิงเศรษฐกิจท่ีพัฒนาในเขตแห้งแล้งท่ีไร่นาส่วนใหญ่ หล่อเลี้ยงด้วยฝน และท่ีดินไม่เหมาะสมส�าหรับพื้นท่ีขนาดใหญ่ส�าหรับท�าการเกษตร โดยมีรายละเอียดคือปลูกมะพร้าว หมาก อบเชย ขนุน เป็นต้น รวมถึงการปลูกพืช อย่างอ่ืนเคียงข้างกัน๑๖๘ ด้วยการพัฒนาส่วนทดแทนของกัลปนาสงฆ์รวมถึงพืชไร่ โดยเฉพาะมะพร้าว๑๖๙ หลักฐานส่วนนี้แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจาก ยุคแรกท่ีเน้นถวายไร่นา คลองและอ่างเก็บน้�า๑๗๐ การถวายไร่นาเพ่ิมขึ้นสมัยน้ีสามารถ สงั เกตได้สมยั อาณาจักรคมั โปละ สนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะมพี ฒั นาการจากระบบชลประทาน ผ่านเมืองบดลโกดะและเมืองคโดเวละเขตกุรุแณคะละและเมืองอื่นด้วย๑๗๑ ดูเหมือน ว่ามีการแทนที่ในรูปแบบอื่น เช่น หมู่บ้าน ที่ดิน ข้าทาส และปศุสัตว์ แต่มีความพยาม ถวายกัลปนาและถวายข้าทาส โดยติดตามมาด้วยทรัพย์สินอันเป็นที่ดิน
108 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง การถวายท่ีดินกัลปนาส�าหรับท�านุบ�ารุงเสนาสนะอื่นจ�าเป็นของพระสงฆ์ พร้อมไทยธรรมปรากฏเห็นในคัมภีร์พระไตรปิฎก โดยเฉพาะคัมภีร์สุตตันตปิฎกได้ รวบรวมการใช้หรือยอมรับไร่นา ที่ดิน คนรับใช้ชายหญิง สัตว์ เป็นต้น ผู้ที่รับคือ พระสงฆ์ หลกั ฐานปรากฏเหน็ ในจฬู หตั ถปิ โทปมสตู รและกนั ทรกสตู รแหง่ มชั ฌมิ นกิ าย และพรหมชาลสูตรแห่งทีฆนิกาย๑๗๒ ส่วนคัมภีร์สมันตปาสาทิกาซึ่งเป็นคัมภีร์ อรรถกถาแต่งแก้วินัยปิฎกได้อธิบายว่าไร่นา ที่ดิน เป็นต้น สามารถรับได้ หากทายก น้อมถวายเพื่อใช้เป็นปัจจัยสี่แก่สงฆ์หรือในนามวิหาร๑๗๓ ผู้แต่งคัมภีร์วินยาลังการะต�าหนิการยอมรับในพระสุตตันตปิฎกเบื้องต้นว่า ถึงแม้พระพุทธเจ้าทรงห้ามการรับไร่นาและท่ีดิน แต่ไม่ควรเน้นย้�าว่าการรับต้องน�าไป สู่ความเสื่อมเสียทางพระวินัย พระมหาเถระผู้สาธยายสังคีติได้อนุญาตการยอมรับ ส่ิงเหล่านั้นได้ โดยบอกว่าเป็นพุทธประสงค์๑๗๔ คัมภีร์สมันตปาสาทิกาอธิบายว่า ถ้าคนรับใช้ได้บริจาคพร้อมค�าว่า “ข้าพเจ้าจะถวายกัปปิยการกหรือไวยาวัจกรหรือ อารามิกะ” ก็สามารถรับได้๑๗๕ ผู้แต่งคัมภีร์วินยาลังการะต�าหนิเร่ืองการรับคนรับใช้ ซ่ึงพระเถระปิลินทิวัจฉะได้เคยกระท�าแล้ว แต่เห็นว่าไม่ควรเป็นวิธีของฆราวาส๑๗๖ คัมภีร์มหาวัคค์อธิบายอย่างเข้าใจว่าพระปิลินทวัจฉะรับฆราวาสห้าร้อยคนในนาม อารามิก ผู้น้อมถวายคือพระเจ้าพิมพิสารเพ่ือสร้างถ้�าเพ่ือเป็นท่ีอยู่๑๗๗ คัมภีร์สมันตปาสาทิการะบุว่าการยอมรับวัวควาย เพื่อผลิตโครสห้าย่อม สามารถท�าได้๑๗๘ แม้การรับช้างบางทีอาจมาจากประเด็นนี้เช่นกัน พระสงฆ์ไม่สามารถรับเงินทองหรือเงินตราที่ท�าจากเงินหรือทอง และวัสดุ เหล่าอ่ืนซึ่งเป็นชนิดนิสสัคคิยวัตถุ การรับน�าไปสู่ความผิดพระวินัยข้อปาจิตตีย์กลาย เป็นโทษเสียหาย รวมถึงของมีค่า เช่น ไข่มุก อัญมณี เป็นต้น ซึ่งเป็นทุกกฏวัตถุ ที่พระสงฆ์ต้องแสดงอาบัติ การรับน�าไปสู่ความผิดพระวินัยช่ือว่าทุกกฎ คัมภีร์บาลี มุตตกวินยวินิฉัยได้เพิ่มเติมประเด็นน้ีว่า ทองเงิน เป็นต้น พระสงฆ์ไม่สามารถรับได้ แม้ในนามสงฆ์ (หมู่แห่งพระสงฆ์) คณะ (กลุ่มที่ประกอบด้วยพระสงฆ์สองรูปหรือ สามรปู หรือมากกวา่ น้ัน)๑๗๙ หรือบุคคล แต่ทองแลเงินเปน็ ตน้ สามารถใชเ้ ปน็ ประโยชน์ เพื่อการขยายอารามวิหารได้ การจะรักษาพระวินัยหากมีผู้ถวายทองและเงินเป็นต้นนั้น
ทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 109 ก็โดยมอบให้แก่นายช่างผู้ท�างานหรือจ้างลูกจ้างเป็นค่าแรงงาน อีกวิธีหน่ึงคือการรับ ในนามเจดีย์วหิ ารหรือเพอ่ื เปน็ การซ่อมแซม ผนู้ ้อมถวายสามารถจา่ ยแกค่ นงานในนาม กัปปิยการกด้วย๑๘๐ สมณะอี้จิงกล่าวว่าพระสงฆ์ในอินเดียล้วนยอมรับของขวัญคือ หินมีค่าและอัญมณีเป็นต้น ของมีค่าบางส่วนน้อมถวายเสมือนเป็นสินน้�าใจส�าหรับการ ถอดแปลคัมภีร์ส�าคัญ๑๘๑ การถือครองทรัพย์สินของคณะสงฆ์สมัยนี้ไม่ตรงกับวิถีชีวิตสมัยพุทธกาล ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นพัฒนาการ โดยเฉพาะท่าทีและทัศนคติของ คณะสงฆ์ต่อความร่�ารวย ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๐ สมัยแต่งคัมภีร์อรรถกถานั้น ได้สอดแทรกเร่ืองราวทางกฎหมายให้เหมาะต่อสมัยนิยม วิธีการทุกส่ิงอย่างเก่ียวกับ ทรัพย์สินท่ีดินและเงินตรากัลปนาตลอดถึงทาสและสัตว์ ล้วนยอมรับว่าเหมาะสม ทางจริยธรรม กล่าวตามความจริงกัลปนาที่มอบถวายแก่อารามวิหารดูเหมือนว่ามีแรงผลัก ดันจากการพิจารณาสองทาง กล่าวคือ ความต้องการรักษาอารามวิหารและความเชื่อ เร่ืองการสะสมบุญกุศลผ่านการบริจาค การอุปถัมภ์อารามวิหารน้ันเป็นประเด็นส�าคัญ อย่างหนึ่ง ดังตัวอย่างดังต่อไปนี้ จารึกคลปาตวิหารระบุว่าที่ดินและทุ่งนาอุทิศถวาย แก่วิหารเพ่ืออุปถัมภ์ปัจจัยแก่ผู้พ�านักพักอาศัยวิหารแห่งน้ี๑๘๒ คัมภีร์นิกายสังครหยะ ระบุว่าพระเจ้าวีรพาหุผู้ครองอ�านาจระหว่างรัชสมัยพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๕ ได้น้อม ถวายทรุกัม วฏนาปสะ (หมู่บ้านอุปถัมภ์) เพ่ืออุปัฏฐากปัจจัยส่ี๑๘๓ การตระเตรียม ถวายปจั จัยสี่ดว้ ยการอุทิศท่ดี ินแก่พระเขี้ยวแกว้ เรียกวา่ กริ ัลลโมฏะมีบันทึกไวใ้ นจารกึ หปคุ สั แตนนะ๑๘๔ ถอื วา่ เปน็ การรกั ษาประเพณชี าวพทุ ธทม่ี กี ารกลั ปนาอทุ ศิ เพอ่ื อปุ ฏั ฐาก ปัจจัยแก่พระสงฆ์ ความเชื่อในการได้รับส่วนบุญกุศลผ่านการบริจาค ซ่ึงปรากฏมีหลักฐานจาก นิรุกติศาสตร์และข้อมูลจากวรรณกรรมยุคนี้ เป็นการต่ืนตัวกระตุ้นให้ผู้ศรัทธาม่ันคง น้อมถวายแก่อารามวิหาร ธานธุนได้ศึกษาคณะสงฆ์พม่าสมัยอาณาจักรพุกามพบว่า ผู้ศรัทธาซึ่งน้อมบริจาคถวายแก่วิหารล้วนเห็นว่าเป็นการท�าบุญหนุนส่งให้ถึง พระนิพพาน๑๘๕ การบรรยายเชิงจารึกเพื่อชักชวนให้ผู้ศรัทธาน้อมบริจาคด้วยการ
110 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง สนับสนุน หรือการอุปถัมภ์ทรัพย์สินของอารามวิหารท่ีกล่าวไว้ในจารึกภาษาสิงหล ของพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๔ จากลังกาติลกวิหารระบุว่า ”ผู้ไม่ปรารถนาส่ิงใดนอกจากน้ี อุปถัมภ์ด้วยการท�าเป็นบุญกุศลมากเกินค�าพูดหรืออักษร ยอมรับสิ่งที่ไม่ได้ท�าและ รักษามันไว้ เป็นบุคคลผู้มีจิตใจงาม พวกเขาจะแผ่ส่วนบุญกุศล ซ่ึงได้กระท�าไว้แล้ว เพ่ือเข้าถึงความสุขแห่งโลกสวรรค์และอมตสุขคือพระนิพพาน๑๘๖ จารึกวีคุลวัตตะ จารึกบตลโกฑแววะ และจารึกนารันพัทเพระบุไว้เป็นการเฉพาะว่า การบริจาคเพ่ือ ต้องการส่วนบุญ๑๘๗ จารึกนารันพัทเทพรรณนาว่าปรารถนาแผ่ส่วนกุศลทั้งปวงแก่ ผู้ช่วยเหลือลูกหลานของผู้บริจาคจนกระท่ังถึงวันตาย ความเชื่อเช่นน้ีอาจย้อนหลังไปถึงสมัยพุทธกาล เฉพาะศรีลังกาเร่ิมปรากฏ สมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะและพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมในสมัยต่อมา เพราะปรากฏ มีหลักฐานจากจารึกจ�านวนมากสมัยน้ี๑๘๘ วรรณกรรมส�าคัญ เช่น สุตตสังคหะ รสวาหินี และสัทธรรมาลังการยะ เฉพาะสองเล่มสุดท้ายแต่งข้ึนสมัยอาณาจักร ดัมพเดณิยะและอาณาจักรคัมโปละตามล�าดับ แสดงให้เห็นถึงความพยายามของ พระสงฆ์ท่ีเชิญชวนชาวบ้านให้ส่ังสมบุญกุศลด้วยการถวายอามิสบูชา๑๘๙ จารึกลังกาติลกของพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๔ ระบุว่า สองในห้าจากรายได้ของ วิหารล้วนน้อมถวายเพื่อพระพุทธเจ้าและเหล่าเทพยดาทั้งหลาย๑๙๐ จารึก ยังระบุอีกว่าจุดประสงค์ของการรวบรวมปิเดนิ ปณัม เป็นการอุทิศทุกครัวเรือนเพื่อ เป็นท�านุบ�ารุง โดยถวายข้าวต้ม ดอกไม้และประทีปแด่พระพุทธเจ้าและเทพเจ้าและ ส�าหรับประกอบพิธีบูชาเป็นนิตย์๑๙๑ แม้จารึกลังกาติลกะของพระเจ้าวิกรมพาหุที่ ๓ ก็ ยงั กลา่ วถงึ วา่ สา� หรบั ภตั ตาหารแดพ่ ระพทุ ธรปู องคป์ ระธานภายในพระอารามหลวงแหง่ ลังกาติลกะต้องบูชาเป็นนิตย์๑๙๒ ส่วนรายได้ท่ีมาจากการกัลปนาอุทิศแด่พระเข้ียวแก้ว และอารามวิหารขนาดใหญ่อาจจะกันไว้เพื่อประกอบพิธีกรรมและงานเทศกาลพิธี๑๙๓ การอุทิศตามความเช่ือแต่ละบุคคล รูปแบบอีกอย่างหนึ่งของการอุทิศถวายด้วยความเคารพอย่างสูง ซ่ึงผู้ถวาย เห็นว่าเป็นสถาบันมั่นคง ศักดิ์สิทธ์ิ แสวงหาความเป็นผู้น�า ทรัพย์สินท่ีมีต�าแหน่งชั้น
ทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 111 สูงและคุณสมบัติของภิกษุที่คล้ายคลึงกัน อาจจะอุทิศถวายด้วยการกระตุ้นให้เกิด กัลปนาอุทิศ จึงปรากฏเห็นว่าผู้คนชั้นสูงมีสถาบันทางศาสนาอันแน่นอนที่เกิดการกระ ตุ้นให้ท�าของแจกอันสุรุ่ยสุร่าย ลังกาติลกวิหาร คฑลาเดณิยวิหาร ศรีปาทะและวัด พระเขี้ยวแก้วอาจจะเป็นสถาบันดังกล่าว ซึ่งได้รับของแจกอันเหลือเฟือจากผู้ศรัทธา เพราะความเคารพเล่ือมใส ความใจบุญสุนทานของพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๓ เป็นเหตุให้พระองค์นิมนต์ พระสงฆ์และสามเณรผู้ศึกษาพระไตรปิฎกและมีศีลาจารวัตรงดงามให้มารับอาหาร บิณฑบาตภายในพระราชวัง โดยพระองค์น้อมถวายสิ่งของมีค่าราคาแพงแก่พระสงฆ์ และสามเณรเหล่าน้ัน๑๙๔ นอกจากน้ันพระองค์ยังมีพระราชด�ารัสให้อุปถัมภ์ดูแล พระสงฆ์ผู้ถึงเถรภาวะหรือมหาเถรภาวะด้วย๑๙๕ พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ โปรดให้ ถวายปัจจัยแด่พระสงฆ์ตามล�าดับช้ัน กล่าวคือถวายปัจจัยเก้ือกูลแก่สมณะ ซึ่ง เหมาะสมส�าหรับส�านักพระราชวัง๑๙๖ แก่พระมหาเถระและหัวหน้าแห่งอายตนะ ขณะ ท่ีส่ิงของแปดชนิดน้อมถวายแก่พระสงฆ์ผู้มีสมณศักด์ิต่�ากว่านั้น๑๙๗ คาดเดาเอาว่า วิธีการน้ีเป็นการเชิญชวนให้ศาสนิกถวายท่ีดินเป็นทานด้วย ตัวอย่างกัลปนาอุทิศท่ีมอบถวายแก่พระสงฆ์โดยพิจารณาว่าเป็นความรักหรือ เป็นการตอบแทนส่วนตัว เป็นต้น มีนัยบ่งบอกด้านคุณสมบัติ เช่น การแสดงเทศนา อันไพเราะ เป็นต้น ถือว่าเป็นระยะเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงจากยุคหน่ึงไปสู่อีก ยุคหนึ่ง พระเจ้าวัฏฏคามิณีอภัยได้อุทิศถวายวิหารซ่ึงเป็นที่พ�านักของพระกุฏฏิขุละ มหาติสสะพร้อมสังฆโภคะ (ทรัพย์สินที่น้อมถวายแก่สงฆ์) ด้วยความรักและเคารพ ศรัทธาต่อพระภิกษุรูปนี้เป็นการส่วนพระองค์๑๙๘ พระเจ้ามหาทาฐิกมหานาคะน้อม ถวายปสานทีปกะวิหารสังฆโภคะ ซ่ึงกว้างใหญ่มากกว่าแปดโยชน์แก่สามเณร เพราะ พระองค์ทรงยินดีกับวัตรปฏิบัติของเธอ๑๙๙ นอกจากน้ันด้วยความชื่นชอบสามเณรผู้ อยู่อาศัยปัณฑวาปิวิหาร พระองค์ทรงอุทิศสังฆโภคะแก่วิหารแห่งน้ันด้วย๒๐๐ พระเจ้า มหากัสสปะที่ ๕ โปรดให้ถวายหมู่บ้านหลายแห่งแก่ทักขิณคิริวิหารแห่งส�านักอภัยคิรี เพราะแสดงกตัญูกตเวทิตา๒๐๑ ด้วยทรงยินดีในการแสดงธรรมของพระวีทาคมศรี ไมตรียเถระแห่งมหาเนตปามูละ พระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๖ ได้น้อมถวายทุ่งนาท่ีก�าลัง
112 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง เก็บเกยี่ วประมาณสิบสองอมุณะจากแมดโกฑะ๒๐๒ หลกั ฐานเช่นนอี้ าจเป็นการเชญิ ชวน ศรัทธาของผู้คนให้ละเลิกการถวายแก่สงฆ์แล้วหันมาถวายส่วนบุคคลแทน คลปาตวิหาร ลังกาติลกวิหาร กฑลาเดณิวิหาร วัดพระเข้ียวแก้ว ศรีปาทะ เป็นต้น ล้วนได้รับกัลปนาอุทิศเป็นจ�านวนมาก๒๐๓ และคาดเดาเอาว่ากัลปนาอุทิศ เช่นนั้นมีจุดประสงค์เน้นถึงประโยชน์ของอาณาจักร ส�าหรับท่ีดินและทุ่งนาเป็นต้น อุทิศถวายพร้อมคนงาน และเป็นเหตุให้เกิดการใช้แรงงานแบบใหม่เช่นเดียวกับการ ปล่อยคนงานตามระยะเวลา การจ้างคนงานในวัดนั้นอาจจะเป็นความปลอดภัยจาก กลุ่มตรงกันข้าม เพราะท่ีดินของวัดปกติได้รับการดูแลด้วยความเคารพศรัทธา วัดด�ารงสถานภาพผูกพันกับชาวบ้าน ส่วนอาณาจักรถือโอกาสยึดครองจิตใจของ ชาวบ้านผ่านตัวกลางคือวัด ด้วยเหตุน้ันจึงปรากฏว่าวัดท�าหน้าท่ีเป็นศูนย์รวมของ องค์กรทางการเมืองและเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของจิตใจของผู้คน การมอบถวายทดี่ นิ แกอ่ ารามวหิ ารเปน็ การเจตนาอนั แนว่ แน่ การถวายเปน็ การ บังคับตราบเท่าพระอาทิตย์และพระจันทร์ด�ารงอยู่ และหลักการเช่นเดียวกันน้ีพบเห็น ในศิลาจารึกหลายแห่งระหว่างยุคกลาง๒๐๔ ความเสียหายของทรัพย์สินของวัดรวมถึง ส่ิงของอันมีค่าเป็นต้นเป็นปัญหาท่ัวไปท่ีอารามวิหารต้องประสบ นอกจากการสูญหายอันเป็นผลให้ต้องละทิ้งการถือครองท่ีดินแล้ว ยังมี ข้อมูลอันเป็นอุปสรรคอีกหลายแห่งท่ีพบเห็นในทรัพย์สมบัติของวัด ศิลาจารึก อลวลอมุณะบอกว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงไตร่ตรองดูว่าการมอบถวายอาจจะไม่ย่ังยืน ยาวนานในอนาคตกาล หากการอุทิศถวายท�าโดยการยึดครองไร่นาหรือที่ดินท่ีเป็น ของคนอ่ืน ด้วยเหตุนั้นพระองค์จึงให้บุกเบิกท่ีดินใหม่แล้วน้อมถวายพร้อมชาวนา ผู้เล้ียงปศุสัตว์ ทาสและวัวควาย เพ่ือที่ว่าผู้คนเหล่าน้ีจะไม่ถูกริบโดยกษัตริย์ พระมหาอุปราช หรือเสนาบดีผู้ใหญ่ในอนาคต๒๐๕ ด้วยเหตุน้ัน การใช้ประโยชน์ทรัพย์สมบัติของอารามวิหารจึงมิใช่พัฒนาการ แบบใหม่ หลักฐานจากพระราชกฤษฎีกาของพระเจ้ามหินทะที่ ๔ ซึ่งระบุไว้ว่ากษัตริย์ ในอนาคตไมค่ วรรบั ทรพั ยส์ นิ จากสงั ฆโภคะ๒๐๖ อยา่ งไรกต็ ามพระราชบญั ญตั ไิ มส่ ามารถ
ทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 113 ปอ งกนั กษตั รยิ ใ์ นอนาคตจากการยดึ ครองและรบิ ทรพั ยส์ มบตั ขิ องวดั ได้ พระเจา้ วกิ รม พาหุท่ี ๔ ซ่ึงปกครองจากอาณาจักรโปโฬนนารุวะ เจ้าชายมรภรณะและเจ้าชายราช สิงหะ ซึ่งปกครองอาณาจักรสีตาวะกะ ล้วนสร้างความสูญเสียแก่ทรัพย์สมบัติของวัด มากมากเหลือคณานับ๒๐๗ มาตรการท่ีท�าข้ึนเพ่ือปองกันปัญหามีหลากหลายวิธี ค�าสาปแช่งหลายชนิดพบ ในหลักฐานเชิงนิรุกติตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนถึงยุคน้ี ดูเหมือนว่าเป็นรูปธรรมแต่จบลง ด้วยการวิเคราะห์๒๐๘ จารึกลังกาติลกะของพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๔ ให้รายละเอียด เกี่ยวกับการสาปแช่งไว้ว่า หากมีใครบางคนฝ่าฝืนบางอย่างจากข้อความที่กล่าวถึง ข้างต้น และยินดีด้วยการบังคับโดยอาศัยความโลภโมโทสันจะต้องเกิดในโลกแห่ง ความช่ัวท้ังส่ี กล่าวคือ นรก และไม่สามารถพบเห็นพระศรีอาริย์ ต้องเป็นเสมือนอีกา และสุนัขไม่ได้รับอาหารและน้�าด่ืม พวกมันจะต้องถูกเกลียดชังย่ิงกว่าจัณฑาล จะเกิดเป็นบุตรของอีกาและสุนัข ใครก็ตามท่ีลักขโมยทรัพย์สินของพระพุทธเจ้าแม้แต่ หญ้า ท่อนไม้ ดอกไม้หรือผลไม้ ต้องบังเกิดเป็นผู้มีหน้าตาน่าเกลียดดุจปีศาจร้าย๒๐๙ พระบรมราชูทิศอรัมแกเล ซ่ึงเป็นหลักฐานยุคอาณาจักรโกฏเฏระบุว่าการ ถวายแมดโคฑคัมวฏนาปสะนั้นได้มีการอธิบายบนแผ่นหิน เพื่อหลีกเลี่ยงการโต้แย้ง เหนือความเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นเหตุโดยแอตตลยัน อัสสลยัน โคนพัททัน และ สีแวสิยัน๒๑๐ สองชื่อแรกดูเหมือนว่าเป็นการบริจาคคนงานผู้ดูแลคอกช้างและม้าตาม ล�าดับ ส่วนอันดับสามหมายถึงผู้รับผิดชอบดูแลเกวียนและวัว สีแวสยันอาจหมายถึง ชาวนาที่ท�างานรับใช้เจ้าของที่ดิน๒๑๑ หลักฐานน้ีแสดงให้เห็นว่ามิใช่เฉพาะกษัตริย์หรือ มหาอุปราชเท่าน้ันท่ีเป็นผู้ยึดครองทรัพย์สินของวัด ดังปรากฏในจารึกอลวลอมุณะ และนิทานพื้นบ้าน๒๑๒ การไร้วิธีปองกันทรัพย์สมบัติของวัด เป็นเหตุให้ต้องตั้งต�าแหน่งทางทหาร เพื่อท�าหน้าท่ีอารักขาดูแลอารามวิหารขนาดใหญ่ ทหารเวฬัยก์การะได้รับมอบหมาย ให้ปกปองดูแลวัดพระเข้ียวแก้วในเมืองโปโฬนนารุวะและอารามวิหารท่ีปะดะวิยะ๒๑๓ วิธีการดังกล่าวอาจจะไม่เป็นผลหากผู้แสวงหาประโยชน์เป็นเจ้าชายทรงอิทธิพล ดังเช่น พระเจ้าวิกรมพาหุท่ี ๒ หรือผู้บุกรุกภายนอก ดังเช่นจักรวรรดิโจฬะ ซ่ึงต�านานบันทึก ไว้ว่าเป็นยักษ์ผู้กระหายโลหิต๒๑๔
114 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง เชิงอรรถ 1 UHC., I, pt. ii, p. 515f. 2 จารึกบรรยายถึงรัชสมัยของพระนางลีลาวดีโดยบันทึกไว้ว่า พ่อค้านามว่านานาเทสีได้สร้างโรง เก็บภาษีท่ีเมืองอนุราธปุระ เงินท่ีได้จากล้วนสนับสนุนสมุนไพรและส่ิงต้องการเหล่าอื่นเพ่ือหอฉัน (EZ., I, p.180f; UHC., I, pt.ii,p.550). แต่ไม่รู้แน่ชัดว่าหอฉันดังว่าน้ีเป็นศาสนสถานทาง ศาสนาหรือไม่ 3 บริษัทท้ัง ๕ รวมถึงพระภิกษุ ภิกษุณี สามเณรและสามเณรี และสิกขามานา แม้บริษัทท้ังห้า จะรวมถึงภิกษุณีและสามเณรีแต่ไม่มีหลักฐานแวดล้อมที่สนับสนุนว่ามีภิกษุณีและสามเณรีในยุคน้ี 4 Cv., 80.65-78;Pv., pp.108,109; Hatthavanagallaviharavamsa, (PTS), C.E. Godakumbura, London, 1956, A Liyanagamage, The Declineof Polonnaruwa and the Rise of Dambadeniya, Colombo, 1968, p.110f. 5 Ks., p.7; Ns.,p.87. 6 Cv., 81.20,21. 7 Hvv., p.30; Cv., 81.1f. 8 Rajaratnakaraya, P.N. Tissara, M.D. Hendrik Appuhamy, 1929, p.34 (hereafter referred to as Rjrtnk). 9 Pv., p.109; Cv., 81.10-16. 10 การโดดเดยี่ วทมี่ ผี ลตอ่ แควน้ ราชระฏะและทร่ี าบตะวนั ตอนใตข้ องเกาะในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓-๑๔ มีบ่งถึงหลายเหตุ ดังเช่นการล่มสลายของสังคมและองค์กรการบริหารท่ีมีความจ�าเป็นส�าหรับ ก่อสร้างและรักษาระบบชลประทานอันซับซ้อน ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความวุ่นวายทางการเมือง (UHC., vol. I, pt. ii, p.715f; M. Rhoads Muniyanse, The Ruin of Ancient Ceylon,The Journal of Asian Studies, vol. xvi, 1957, p.181f). 11 Cv., 84.3,4; Pv., p.118. 12 EZ., iii, p.286f. 13 Pv., p.136; Cv., 88.83-86; ศัพท์ว่าตุมพะรุน ดูเหมือนเป็นภาษาสิงหลท่ีแปลงมาจาก ภาษาบาลีว่าถูปาราม แต่ในหลักฐานส่วนน้ีช้ีถึงศัพท์ท่ีมีความหมายบ่งถึงสถูป 14 Pv., p.138. 15 EZ., iv., p.89, 90; Bell, Report on the Kegalla District, p.77. 16 Cv., 86.44,45; Pv., p.127. 17 Cv., 80.35,36. 18 Cv., 80.37-40. 19 CJSG., ii, p.215 (inscription No.679); E. Muller, Ancient Inscriptions in Ceylon, 1883, No.166; H. Parker, Ancient Ceylon, London, 1909, p.254. ปาร์คเกอร์ บอกว่าวิหารแห่งน้ีปัจจุบันเรียกช่ือว่าโกฏาเวริยะ
ทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 115 20 นารทะบอกว่า ๒๐ มชะเป็น ๑ กหาปณะ ดูข้อมูลเพ่ิมเติมจาก B.C. Law, Punched Marked Coins from Takila, (Memoirs of Archaeological Survey of India, No. 59), Calcutta, 1939, p.3; H.W. Codington, Ceylon Coins and Currency, (Memoirs of Colombo Musuem), Colombo, 1924, p.2; Ruvanmalnighantuwa, v.385. 21 Hvv., p.30. 22 Hvv., 31; Eluattanagaluvamsaya, K. Pannasara, Kelaniya, 1954, p.68 (Hereafter referred to as Eav.) 23 Cv., 84.3,4; Pv., p.118. for the term gana see p.483f. 24 Cv., 85. 57-58. 25 Cv., 88.58-59; ศพั ทเ์ หลา่ นอี้ าจบง่ ถงึ ชนดิ ของคนรบั ใชแ้ ละคนงานทง้ั หมดทรี่ บั จา้ งในทดี่ นิ ของวดั 26 Pv., p.122. 27 Pv., pp.118, 135. 28 Sahavatthuppakarana, A.P. Buddhadatta, 1959, p.158. 29 Rasavahini, p.267. 30 เปรียบเทียบศัพท์ ปสยะ และสิวุปสยะ ปรากฏเห็นในจารึก EZ., I, pp.35, n.6, 47, 49, 52, n.19, 91, 186; ii, p.214; iii, pp.111, 173. 31 EZ., iv, p.109, n.9. 32 Dambadenikatikavata, K. Dhammindasabha and D. Prajnasara. Pub. K.V.L. Perera and V.D.N. Alahakoon, 1927, p.31. 33 Dhamniyatuvagatapadaya, M. Vimalakirti and M. Sominda, Colombo, 1960, p.66. 34 Cv., 88.58; Pv., p.135. 35 See below, p.187f. 36 Smn., 2, p.489f; see below, p.187f. 37 UHC., I, pt. ii, p.748. 38 SSSK., I, p.400l; Ds., pp.102, 103. 39 See below, p.163f. 40 ภาษาบาลีว่าโคจรคาม (สันสกฤตคือโคทุรุคัม) หมายถึงหมู่บ้านส�าหรับด�ารงอยู่หรือรักษาอยู่ด้วยการ แสดงการเก่ียวข้องกับทรุคัม แต่กฎแห่งการออกเสียงไม่สามารถอ้างว่าศัพท์ทรุคัมมาจากโคจรคามะ 41 H.C.P. Bell, Report, Historical and Antiquarian on the Kegella District, Sessional Papers, 1913, p.77. (Hereafter referred to as Bell, Report on the Kegalle District). นามของพระเจ้าแผ่นดินที่อธิบายจารึกโดยเบลล์คือพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๓ แต่สิ่งที่เขาเรียกมีหลักฐานว่าหมายถึงพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ (Bell, op.cit., p.77). in History of Ceylon (Vol.i, pt.ii, p.634, n.74) ปรณวิตานะบอกว่าตัดสินจาก ส�าเนาทางสายตาของการบันทึกภายใต้ค�าแนะน�าของเบลล์ อาจจะเป็นจารึกอันเก่าแก่หมายถึง พระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ หรือพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๔
116 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง 42 Bell, Report on the Kegalla District, p.77. 43 Cv., 85.72; Pv., p.122. 44 แฟรงค์ โมดเดอรบ์ อกว่า ๑ โยชน์เท่ากบั ๑๖ ไมล์ (JRASCB. Vol. xii, no.43, 1892, p.184), สว่ นไกเกอร์บอกว่าตอ้ งเปน็ ๙ ไมล์ หากถือตามมาตรวัดของอินเดยี โบราณ see Cv., Tr. pt.ii, p.175, n.2. R.S. Copleston บอกว่าควรเป็น ๑๒ ๒/๓ ไมล์ (JRASCB. Vol. xii, no.43, 1892, p.221). หลักฐานส่วนอ่ืนบอกว่าประมาณ ๘ ไมล์ (UHC., I, pt, ii, p.719). 45 Pv., p.127; Cv., 86.44-45. 46 See p.453f. 47 EZ., iv, pp.205, 206. 48 Ibid, iv, p.205. 49 Ibid, iv, p.209, n.2. 50 EZ., iv, p.209, n.2. 51 Ibid., p.206. 52 Ibid., p.206. 53 เบลล์แปลศัพท์ปแนสเป็นปนัส (JRASCB., Ceylon Notes and queries, pt. iv. July 1914, p.ixxiii). 54 Pv., p.122; Cv., 85.72. 55 Pv., p.127; Cv., 86. 44-45. 56 EZ., iv, p.206. 57 EZ., iv. 205. 58 EZ., iv, pp.205-206. 59 JRASCB., (notes and queries), pt, iv. July, 1914, p. xxii. 60 EZ., iv., p.206, 1.13; for mundu karanduwa see below, pp.155-157. 61 EZ., iv, p.210; also see UHC., I, pt. ii, p.562. 62 การแปลเช่นน้ีได้รับการสนับสนุนจากจารึกลังกาติลกวิหาร Cf. UCR., vol.xviii, nos. 1 and 2, 1960, pp.8,12. 63 EZ., iv, p.207. 64 See above, p.154. 65 EZ., iv, p.210, n.4. 66 EZ., I, p.107. 67 UHC., I, pt.ii, p.723f. 68 Gavuta (S. gavu) เป็นส่วนส่ีของโยชน์ see above, p.149, n.4. 69 Cv., 85. 120-21. 70 Pv., p.115. 71 Pv., p.135.
ทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 117 72 Cv., 90.86-87. 73 Ds., p.48. 74 See above, p.144f. 75 Cv., 90.76. 76 Ds., p.53. 77 Ds., p.54. รายละเอียดยังประกอบด้วยชนิดของการให้บ่งช้ีโดยศัพท์ว่า อิสรัน มัสรัน และทวัสรัน คัมภีร์แสดงนัยว่าความหมายเหล่าน้ีมีความส�าคัญน้อยกว่าศัพท์มัณฑุระและวฏวิล แต่ความหมาย ของศัทพ์นี้แท้จริงไม่ชัดเจน ศัพท์เหล่าน้ีบ่งถึงอัตราเงินหรือแบบสามของภาษี โสรตะตั้งข้อสังเกต ว่าศัพท์เหล่านี้บ่งถึงรูปแบบสามอย่างของภาษี (Ds., pp.120, 121). 78 Mv., xi, 22; Tr., pp.78, 79. 79 Mv., xi, 28f; Tr., pp.79, 80. 80 Dpv., p.65; also see below p.175f. บางครั้งการติกะเรียกว่าอิล เป็นเดือนสุริยคติประมาณ ตุลาคมถึงพฤศจิกายน อาจเป็นไปได้ว่าการถวายดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญของเดือนนี้ 81 Cv., 90.91,92. 82 Cv., 90.94, 95. 83 Cv., 90.96,97. 84 Cv., 90.95. 85 CJSG., I, p. 220, Inscription No.710. 86 Ds., p.48. 87 EZ., ii, p.189; Ibid., p.118; Ibid, I, pp.7-8 and p.8, n.15. 88 CALR., x. pt.i, pp.6,7. 89 ความไม่สมบูรณ์การแปลของวิกรมสิงหะได้รับการพิสูจน์โดยเบลล์ (CALR., x, pt.i,pp.6,7; Ibid., iii,pt,I,1917, p.8, n.15) and Sorata (Ds., pp.101-103). Also cf. EZ., iii, p.95; EZ., v. pt.i, p.144. 90 EZ., v.pt. 2, pp.311-12. 91 EZ., III, pp.70-71; CALR., X, pt., I, pp.9-10. 92 EZ., V. pt., 3, pp.145-46. 93 EZ., IV., p.205. 94 EZ., III, pp.227-29. 95 CALR., X., pt. I, p.6. 96 EZ., IV, p.103f. 97 ๑ แปละ เท่ากบั ๑ อมุณะ ๒๐ อมณุ ะ เท่ากับ ๑ ยาละ ดูเพม่ิ เตมิ ใน EZ., V. pt., 3, p.458. 98 แผ่นดินท่ีมอบให้แก่บุคคลเพ่ือดูแลรักษาโดยพิจารณาตามการช่วยเหลือหรือตามต�าแหน่งตาม ชื่อนั้น (EZ., I, p.93,105, n.5); H.W. Codrington, Ancient Lend Tenure and Revenue in Ceylon, Colombo, 1938, p.16.
118 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง 99 EZ., IV, p.104. 100 EZ., IV., p.105. 101 See above, pp.147,148. 102 UCR., XVIII, Nos. 1&2, 1960, p.7f. 103 UCR., XVIII, Nos, 1&2, 1960, p.8. 104 Ibid., pp.7f. 105 Ibid., p.40. 106 Iblid., p.43. 107 UCR., XVIII, Nos. 1& 2, 1960, pp. 40, 43. 108 Ibid., pp. 7, 8, 40, 43. 109 Ibid., p.40. 110 Ibid., pp. 8, 43. 111 Ibid, p.43. 112 UCR., XVIII, Nos. 1&2, 1960, p.43. 113 Ibid., p.8. 114 Bell, Report on the Kegalla District, p.80. 115 EZ., IV, p.104. 116 UCR., XVIII, Nos. 1&2, 1960, p.8. 117 See Chapter, IV, p.231, n.1. 118 CALR., II, pt, III, pp.153, 154. 119 By enderapatti อาจจะหมายถึงโรงรีดนม 120 British Museum Manuscript No. Or. 6606 (165), folio, ki, ku; AAGP., p.179 121 เบลล์อธิบายศัพท์คัมมุดะละว่าเป็นภาษีของหมู่บ้าน และภาษีพร้อมอ้างถึงเฉพาะหลักฐานสองแห่ง (Bell, Report on the Kegalla District, pp. 94, 97). หากค�านวณศัพท์ภายหลังว่า คัม ปัณฑุรุ คอร์ดิงตันอธิบายว่าเป็นภาษีประจ�าหมู่บ้าน (EZ., III, pp. 55, 240). ปรณวิตานะ เปรียบเทียบศัพท์ภาษาทมิฬว่าอูร์ นัตตังคัล ซ่ึงปรากฏเห็นในจารึกภาษาทมิฬของพระเจ้าภูวเนก พาหุท่ี ๔ ที่ลังกาติลกวิหาร และแปลว่าที่ต้ังเคหสถาน (UCR., XVIII, 1&2, 1960, p.12; also see EZ., IV, p.311, n.2). 122 UCR., op.cit., p.15. 123 Cv., 90. 94, 95. 124 Cv., 39. 10-13. 125 Than Tun, The Buddhist Church in Burma during the Pagan Period, Ph.D. Thesis, 1955, pp. 159, 160 (hereafter referred to as Than Tun, 1955). 126 URC., XVIII, 1&2, 1960, p.15f. 127 URC., XVIII, Nos. 1n&2, 1960, p.15. 128 See above, p.144 f. 129 British Museum Manuscript No. Or. 6606 (165), folios ki, ku; AAGP., pp.179, 183.
ทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 119 130 Bell, Report on the Kegall District, p.79; JRASCB., XXII, No. 65, 1921, p.363. 131 Bell, op.cit., pp.79, 80. 132 EZ., IV, p.105. 133 EZ., IV, p.105. 134 EZ., IV, p.109, n.5. 135 Kannada English Distionary, p.342. 136 UCR., XVIII, Nos. 1&2, 1960, p.8. 137 UCR., XVIII, Nos. 1&2, 1960, pp. 17, 20. 138 Ibid., p.8. 139 Ibid., pp.8-9. 140 UCR., XVIII, Nos. 1&2, 1960, pp.18, 21. 141 Dpv., p.65. 142 See above, p.155f. 143 Hvv., p.30. 144 See p.483f. 145 Cv., 84. 3,4. 146 See chapter two, p.124f. 147 Cv.,84.4. 148 Ds., p.48. 149 EZ., IV, pp.89-90. 150 UCR., XVIII, Nos., 1&2, 1960, pp. 5, 12. 151 JRASCB., XXII, No. 65, 1912, pp.352-53. 152 Cv., 84.4. 153 Ds., p.48; see above, p.144 f. 154 EZ., I, p.196f. 155 H.VI. 39 (p.250X; The Book of Discipline, iv., I.B, Horner, London, 1962, p.347. 156 Mv., XXXIII, 82, 83. 157 EZ., I, pp.4f. 158 EZ., IV, pp. 82-90. 159 Ds., p.48. 160 Pv., p.136. 161 Cf., Cv., 80.38; 83.50; 85.56; 88.78,86; 90.96,97; Ds., 48. 162 Cv., 81.38; 86.39; 88.50, 78,86, (danavatta); Pv., pp. 110, 112, 126, 134, 135, 136, (danavrtti); Ibid., p.136 (danavata). 163 Cv., 88. 50-52.
120 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง 164 Pv., p.135. 165 SSL., pp.144-145. 166 Cv., 91.10, 21. 167 Mv., XXXV. 120; Cv., 81.56; 90.60; Dhammapadatthakatha, (PTS), Vol.II, H.C. Norman, London, 1911, p.29; Paramatthadipani, (Commentary on the Vimanavatthu), pt. IV, (PTS), E. Hardy, London, 1901, p.220. 168 UHC., I, pt. II, p.719. 169 See above p.149f. 170 HBC.,p.141. 171 UHC., I, pt. II, pp. 719, 720. 172 Majjhimanikaya, Vol. I, V. Tranckner, London, 1888, pp.180, 345; Dighanikya, Vol.I, (PTS), Rhys Davids And Estlin Carpenter, London, 1949, p.5; also see Dhiganikaya, Nanavasa, Colombo, 1929, p.4. 173 Smp., 2, (SHB), p.489f; PNVV., pp.54-58; Vimati., p.274. 174 Vinayalankara, I. P. Namavimala, Colombo, 2443 B.E., p.87. 175 Smp., 2,(SHB), Rajasikkhapadavannana,p.493; PMVV., p.58. 176 Vinayalankara, op.cit., p.87; Vimati., p.274. 177 M., VI.15, (pp.207-209). 178 Smp., 2, (SHB), pp.493, 494. 179 See p.483f. 180 PMVV., p.53f. 181 A Record of the Buddhist Religion, J. Takakusu, Oxford, 1896, p.192. 182 EZ., IV, p.205. 183 Ns., p.94. 184 JRASCB., Vol. XXII, No.65, 1912, pp.362, 363. 185 Than Tun, 1955, p.139f. 186 UCR., Vol. XVIII, Nos. 1&2, 1960, p.13. 187 JRASCB., Vol.XXII, No.65, 1921, p.363; Bell, Report on the Kegalla District, pp.78,79 and EZ., IV, pp.80,81; Bell, Report on the Kegalla District, p.77. 188 JRASCB., Vol. VII, No.25, 1881, pt. III, p.193 (Papiliyana inscription); UCR., Vol.XVIII, Nos. 1&2, pp.15,16 (Lankatilaka inscription of Vkramabahu III); JRASCB., XXII, No.65, pp.362-63 (Hapugastanne incscription); EZ., IV, pp.81,82 (Batalagodavawa inscription). 189 Ps., pp.279-80; SSV., (Sumanagala), p.228; Sdlk., pp.13, 14, 433f, 442-43. 190 UCR., XVIII, Nos.1&2, 1960, p.9f.
ทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 121 191 Ibid., p.8. 192 Ibid., p.15f. 193 See below p.242; cf. Ds., p.49f. 194 Cv., 41.52-55. 195 Cv., 41.56. 196 Requisites befitting royalty are described in the Pujavaliya as salupidagam and salupirikara. The context shows that they were costly articles used by monks. 197 Cv., 84.40,41; Pv., p.124. 198 Mv., XXXIII. 50,51. 199 Mv., XXXIV., 91,92. 200 Mv., XXXIV., 93. 201 Cv., 52.60. 202 SSL., p.144. 203 See above, p.149f. 204 HBC., p.143. 205 UCR., XVIII, Nos. 1&2, 1960, pp.42-44. 206 Cv., 54.28. 207 Cf. Cv., 61.51f; Cv., 72.304, 306; Itihasaya, (Dambulusirita), Vol.2, pt. 2, 1960, p.107. 208 HBC., p.143. 209 UCR., XVIII, Nos. 1&2, p.13. 210 SSL., p.145. 211 The Pujavaliya บอกว่าผู้คนชั้นสูงเป็นพวกสีแยสิยัน (Pv., p.108). อรรถาธิบายแสดงว่า สีแวสิยันเป็นคนชั้นต�่า คัมภีร์สัทธรรมาลังการยะอธิบายอย่างชัดเจนว่าสีแวสโสเป็นชาวนา (Sdlk.,p.712). คัมภีร์ดังกล่าวยังตีค่าศัพท์ด้วยค�าว่าพัตคัมปริวาระ หมายถึงผู้อยู่อาศัยแห่ง พตั คมั พตั คามทุ อ่ี า้ งถงึ ในจารกึ แกรคะละหลกั ท่ี ๒ ดเู หมอื นวา่ จะเปน็ ศพั ทว์ า่ สแี วสยิ นั (JRASCB., Vol.XXII/No.65, 1912m o,354). คัมภีร์รสวาสหินีบอกว่าภัตตคามมีความเหมือนกันกับ ภาษาบาลีว่าพัตคัมบ่งใช้ในลักษณะของหมู่บ้านภาษี เป็นต้นว่าหมู่บ้านหรือไร่นาทีเป็นรายได้ซึ่ง สามารถใช้สอยตามอ�านาจของผู้รับ (Rasavahini, p.149). สมัยแคนดีค�าว่าพัตคัมหมายถึง หมู่บ้านท่ีครอบครองเฉพาะวรรณะ (H.W. Godrington, Clossary of Native, Foreign and Anglicised Words, s.v.). ท้ังหลายทั้งปวงเหล่านี้เพ่ือพิสูจน์ว่าสีแวสิยันบ่งถึงกลุ่มคนเฉพาะ 212 UCR., XVIII, Nos. 1&2, pp.42-43. 213 EZ., II, p.242f; Epigraphia Indica, Vol.XVIII, p.330f; ASCAR., 1953, p.19. 214 Cv., 55.21.
๕การบรหิ ารทรพั ยส์ มบตั ขิ องอารามวหิ าร
การบริหารทรัพย์สิน บทนส้ี บื เน่ืองตอ่ จากบทท่ผี า่ นมา แตจ่ ะเพิ่มเติมรายละเอยี ดวา่ ด้วยการบรหิ าร จัดการและการดูแลทรัพย์สินของอารามวิหาร ภาระงานของเจ้าหน้าที่ประจ�ำอาราม วิหาร การจ่ายเงินแก่เจ้าหน้าที่ การสืบทอดต�ำแหน่งอารามวิหารและรายละเอียด เกี่ยวกับรายจ่าย เป็นประเด็นส�ำคัญท่ีจะต้องน�ำมาวิเคราะห์ แต่ข้อมูลท่ีน�ำมา วิพากษ์เรื่องราวเหล่านี้ค่อนข้างน้อยและมีขอบเขตจ�ำกัด อีกท้ังระยะเวลาการสืบค้น หาก็ส้ันด้วย หากเปรียบเทียบกับหลักฐานแต่ละยุคย่อมคล้ายคลึงกัน กล่าวคือขาดแคลน หลักฐานด้านจารึกโบราณ ตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้านิสสังกมัลละแห่งยุคโปโฬนนารุวะ จนถึงอาณาจักรคัมโปละ ต่างพบว่ากัลปนาอุทิศล้วนผุพังย่อยสลายไม่ต่างจากใบลาน และแผ่นทองแดง ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายตั้งแต่สมัยอาณาจักรคัมโปละเป็นต้นมา จารึกของพระเจ้านิสสังกมัลละระบุว่าพระองค์ได้แนะน�ำวิธีบันทึกบนแผ่น ทองแดงเพื่อให้อยู่ทนนาน (หิรสัณฑปมุณุ) แต่เมื่อใบลานถูกแทะกัดโดยปลวกและ หนู ย่อมกลายสภาพไม่ต่างอะไรกับสายน�้ำ๑ จารึกของพระองค์อีกแห่งหน่ึงซึ่ง ค้นพบท่ีเมืองโปโฬนนารุวะระบุว่ามีการใช้ใบลานเขียน (ตัลปตะ) ก่อนท่ีจะมีการใช้ แผ่นทองแดง๒ แต่วัสดุที่ใช้ส�ำหรับเขียนก่อนหน้าน้ันไม่มีการกล่าวถึง พระด�ำรัสของ พระเจ้านิสสังกมัลละเร่ืองการใช้แผ่นทองแดงไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นท่ียอมรับหรือไม่ แต่เรื่องดังกล่าวไม่เก่ียวข้องกับเรื่องศาสนาเลย๓ พระบรมราชูทิศอรัมแกเลซ่ึงอธิบาย เร่ืองราวเก่ียวกับอาณาจักรโกฏเฏ ได้อ้างถึงวิธีหน่ึงนามว่าทันปัตและพัสปัต
การบริหารทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 125 ซึ่งเป็นกัลปนาอุทิศแก่พระวีทาคมะไมตรียมหาเถระและศิษย์ของท่านนามว่าผุสสเทว สุมังคลเถระ๔ พระบรมราชูทิศดังกล่าวได้เน้นย้�าความจ�าเป็นเพ่ือให้อยู่ตราบเท่านาน๕ สันนิษฐานว่าวิธีการดังกล่าวคงไม่ย่ังยืนยาวนาน เหตุเพราะขาดความเชื่อมั่น การยอมรับตามศิลาจารึก โดยเฉพาะตอนท้ายอาณาจักรโปโฬนนารุวะจนกระทั่ง อาณาจักรคัมโปละ เพราะการบันทึกส่วนใหญ่จารึกบนวัสดุท่ีผุพังได้ง่าย หลักฐานน้ี ได้รับการสนับสนุนจากจารึกภาษาสิงหลของพระเจ้าภูวเนกพาหุที่ ๔ จากลังกาติลกวิหาร ซึ่งบอกว่าการจารึกเช่นน้ีถือว่าเป็นบุญกุศลสามารถยืนยงถึงอนาคตกาล จารึกหลักน้ี บันทึกไว้ในแผ่นทองแดงและเสาศิลา๖ แสดงให้เห็นว่าวิธีการสมัยน้ันยังไม่ปลอดภัย พอ จึงต้องเลือกแผ่นทองแดงและแผ่นหินมาท�าเป็นศิลาจารึก แต่ความจริงคือการ บันทึกบนใบลานยังมีอยู่ตั้งแต่สมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะเรื่อยมาถึงยุคหลัง หลักฐานจากจารึกโบราณเก่ียวกับการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดสมัยน้ี และก่อนหน้าน้ีล้วนขาดหายไป เหตุผลคืออาจเป็นเพราะธรรมเนียมปฏิบัติของ พระสงฆ์ ซ่ึงเกิดมีขึ้นหลังจากการรวบรวมนิกายสงฆ์ของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๑ แล้วเสร็จ ข้อมูลจากจารึกโบราณท้ังหมดสมัยอาณาจักรอนุราธปุระ ได้มาจากส�านัก อภัยคิรีวิหารและส�านักเชตวันวิหาร บ่งชี้ว่าส�านักของมหาวิหารได้รับมอบหมายจาก พระเจ้าปรากรมพาหุมหาราชให้เป็นผู้รวบรวมคณะสงฆ์ ด้วยเหตุนั้นส�านักมหาวิหาร จึงกลายเป็นทรงอ�านาจสูงสุด ประเด็นคือหากการเก็บรักษาจารึกโบราณของส�านัก มหาวิหารไม่มีแล้วไซร้ รายละเอียดคงขาดหายไปกลายเป็นเร่ืองเล่าแน่นอน ยุคหลัง ต่อมาธรรมเนียมปฏิบัติเกิดมีสมัยโกฏเฏเรียกว่าจารึกแปปิลิยานะ๗ ข้อมูลทรงคุณค่า เก่ียวกับการบริหารทรัพย์สินของวัดจึงรุ่งเรืองแพร่หลาย แต่ข้อมูลด้านวรรณกรรม กลับไม่มีกล่าวถึงมากนัก จากการตรวจสอบขอ้ มลู จารกึ โบราณและวรรณกรรมทา� ใหเ้ หน็ ประเดน็ แนวคดิ ของแต่ละยุคเพียงเล็กน้อย ด้วยเหตุนั้นการวิเคราะห์ต่อไปน้ีจึงเน้นกล่าวถึงสิทธิความ เป็นเจ้าของทรัพย์สินอารามวิหาร สิทธิของผู้ครอบครอง และการอ้างว่าเป็นผู้มีส่วน ผลิตในฐานะเป็นผู้รับ
126 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง การยอมรับท่ีดินอารามวิหารมีเจตนาหลักคือปรารถนาความด�ารงอยู่ย่ังยืน นานของพระศาสนา ด้วยเหตุนั้นสิทธิการเป็นเจ้าของ สิทธิการครอบครองและการอ้าง ว่ามีส่วนร่วมในการผลิตที่ดินของอารามวิหารจึงครอบคลุมหมดทุกอย่าง การตรา กฎหมายซ่ึงปรากฏในคัมภีร์วินยัตถกถาหรือสมันตปาสาทิกา๘ และทรัพย์สินทางวินัย เหล่าอ่ืนท่ีอยู่บนพื้นฐานคัมภีร์พระไตรปิฎก ก็เน้นเรื่องราวเหล่านี้ คัมภีร์เล่มนี้ระบุว่า หากผู้ครอบครองท่ีดินยืนยันตามหน้าที่ โดยถูกบ้านเมืองไม่ให้สิ่งใดแก่พระสงฆ์และ ผู้ครอบครอง แม้ด้วยวิธีการส่งน�้า แต่คงเป็นเฉพาะช่วงฤดูหว่านไถเท่าน้ันไม่ใช่ฤดู เก็บเก่ียว๙ คัมภีร์วินยาลังการะซึ่งแต่งแก้คัมภีร์ปาลีมุตตกวินยวินิจฉัยบอกเหตุผลว่า ท�าไมการส่งน้�าจึงไม่ควรให้ขาดหายช่วงฤดูธัญญาหาร เพราะอาจท�าให้ธัญญาหารเสีย หายได้ วธิ กี ารนอี้ าจจะไมเ่ หมาะสมกบั อาชพี ของพระสงฆโ์ ดยเฉพาะการทา� ลายทรพั ยส์ นิ ของผู้อ่ืน๑๐ ข้อบังคับน้ีประยุกต์ใช้กับระบบการครอบครองที่ดิน ซึ่งดัดแปลงเข้ากับ ไร่นาท่ีได้รับการช่วยเหลือจากอ่างเก็บน้�า สันนิษฐานได้ว่าวิธีการเช่นน้ีถูกดัดแปลง ให้เข้ากับชนิดของที่ดินอื่นด้วย พระสงฆ์สมควรตรวจสอบอ�านาจของตนเหนือผู้ ครอบครองที่ดินเหล่านี้ โดยกริยาที่ไม่หยาบคาย คัมภีร์สมันตปาสาทิกาอธิบาย อีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งเก่ียวกับทรัพย์สินที่อารามวิหารถือครอง กล่าวถึงท่ีดินในป่า๑๑ กรณีชาวบ้านอาจตัดต้นไม้และท�าการเพาะปลูกได้ โดยไม่จ�าเป็นต้องแบ่งผลผลิต แก่สงฆ์ หรือพระสงฆ์ไม่สามารถเรียกร้องส่วนแบ่งได้๑๒ ประเด็นคือผู้ครอบครองท่ีดินมีทางเลือกและไม่ต้องข้ึนตรงต่อวัด แต่วิธีนี้ เป็นเพียงผู้ครอบครองตั้งแต่เบ้ืองต้น ซ่ึงท�าการร้ือเผาท่ีดินในป่าเป็นครั้งแรก หากผู้ น้ันละทิ้งที่ดินแล้วคนอื่นเข้าครอบครองท�ากินสืบต่อจ�าต้องแบ่งผลผลิตแก่สงฆ์ หากปฏิเสธสงฆ์ย่อมสามารถขับออกจากที่ดินได้๑๓ ทั้งส้ินทั้งปวงเหล่าน้ีประยุกต์ ใช้กับการเพาะปลูกท่ีดินในป่า การยินยอมมอบให้ของผู้ครอบครองแต่เบื้องต้นต้อง พิจารณาว่าเป็นแรงงานบนท่ีดินเพ่ือการเพาะปลูก และหากที่ดินป่าไม่มีราคามาก เหมือนที่ดินท�าการเพราะปลูกแล้ว ผู้เข้าสวมสิทธ์ิต่อจากเจ้าของเดิมอยู่ภายใต้การ บังคับเพราะต้องเสียค่าไถ่ วิธีนี้เป็นกฎข้อบังคับใช้ส�าหรับที่ดินเขตแห้งแล้งและเขต
การบริหารทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 127 ชุ่มน�้า ประเด็นคือสงฆ์สามารถใช้มาตรการเข้มงวดเร่ืองท่ีดินหากไม่เป็นไปตามสัญญา เพราะสงฆ์เป็นเจ้าของสิทธิทางทรัพย์สินเหนือท่ีดินท�ากิน ข้อมูลหลักฐานยุคนี้ไม่ค่อยอธิบายเสริมให้เห็นชัดเจน โดยเฉพาะปัญหา ความเป็นเจ้าของทรัพย์สินของอารามวิหาร รูปแบบอย่างหน่ึงคือการจดรายละเอียด เรียกว่าทันปัตปรากฏเห็นเฉพาะสมัยอาณาจักรโกฏเฏ ซึ่งระบุไว้ในพระบรมราชูทิศ อรัมแกเล โดยมอบถวายแก่พระผุสสเทวสุมังคลเถระ ในฐานะผู้ร้ังต�าแหน่งสามารถ รับทรัพย์สินอารามวิหารได้ เพราะเป็นผู้สืบสายตามประเพณีผู้สืบทอดอารามวิหาร๑๔ หลักฐานนี้ช้ีให้เห็นว่าการรั้งต�าแหน่งเช่นนี้ต้องเป็นท่ีรู้จักแพร่หลายตั้งแต่ยุคโกฏเฏ เป็นแน่๑๕ ด้วยเหตุน้ันผู้ครอบครองอารามวิหารจึงสามารถทวงสิทธ์ิความเป็นเจ้าของ เหนือท่ีดินท้ังหมดได้ หลักฐานเพ่ิมเติมพบเห็นในคัมภีร์เก่ียวกับวินัย ซึ่งระบุว่าผู้ครอบครองท่ีดิน อารามวิหารถูกกดข่ีด้วยการบังคับของกษัตริย์ รนกุลสุริยะอ้างถึงหลักฐานจาก ศิลาจารึกว่าที่ดินอารามวิหารมีสองอย่างคือ หนึ่งนั้นต้องจ่ายภาษีอากรแก่อาณาจักร อีกหน่ึงนั้นไม่ต้องจ่ายอันใดเลย๑๖ แต่ไม่มีหลักฐานมุ่งประเด็นกล่าวถึงเรื่องนี้เลย สนั นษิ ฐานวา่ ยคุ แรกเรม่ิ นน้ั หากผคู้ รอบครองทดี่ นิ ของวดั จา่ ยภาษแี กก่ ษตั รยิ ์ นน้ั หมาย ถงึ อาณาจกั รตอ้ งบงั คบั ใหจ้ า่ ยภาษแี กอ่ ารามวหิ ารดว้ ย เพราะอารามวหิ ารมอี า� นาจเหนอื การผลิตของท่ีดิน คัมภีร์วินยัตถกถาอธิบายว่า พระวินัยบัญญัติอนุญาตพระสงฆ์ให้ รับเฉพาะส่ิงของอันสมควรเท่าน้ัน (กัปปิเย ภัณฑะ) และไม่จ�าเป็นต้องเข้าไปส่งเสริม การเก็บเก่ียว๑๗ คัมภีร์อรรถกถาพระวินัยกล่าวถึงรายการสิ่งของท่ีเหมาะสมส�าหรับ พระสงฆ์คือ ข้าวสาร (ตัณฑุละ) และอปรัณฑะ๑๘ คัมภีร์สิกขวลัณฑวินิสะระบุว่า อปรัณฑะคือ อัณฑุ มุณ (ถั่วเขียว) ตละ (งา) โกลลุ โกมฑุ (แตงกวา) ปุสุล (ฟักทอง) เป็นต้น๑๙ ถงึ แมค้ ัมภรี ว์ นิ ัยอรรถกถาจะยอมรับในหลกั การว่าพระสงฆร์ ับไดเ้ พียงสิ่งของ อันสมควรเท่านั้น ยังมีหลักฐานอ้างอิงทางอ้อมจากแหล่งข้อมูลเดียวกันท่ีท�าให้เห็น ความจริงว่ารับไร่นาได้ คัมภีร์ติเตียนความนิ่งเฉยของพระสงฆ์ที่เสียสละส่วนแบ่ง มากกว่าการแบ่งปัน๒๐ หลักฐานจากแหล่งเดียวกันระบุว่าเมื่อได้ยินชาวนาร้องเรียนว่า
128 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง พวกเราได้เพาะปลูกบนท่ีดินจ�านวนมากและส่วนนี้จะแบ่งถวายแก่ท่าน ค�ากล่าวเช่นนี้ ถือว่าไม่สมควรแก่พระสงฆ์ที่จะท�าการวัดที่ดินด้วยจีวรหรือไม้เท้า หรืออยู่ ดูแลลานข้าว หรือถือเอาส่วนหน่ึงจากลานข้าว และถือเอาแล้วเก็บไว้ในยุ้งฉาง๒๑ อีกประการหนึ่ง หากพระสงฆ์ส�ารวมรับกหาปณะซ่ึงมีค่าต่อส่วนแบ่งแห่งตนก่อนจะ แบ่งปันย่อมเป็นการไม่สมควร๒๒ ตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นว่าแม้โดยพฤติการณ์จะสามารถยินยอมได้ก็จริง แต่ต้องรับส่ิงของเฉพาะท่ีอนุญาตแล้วเท่าน้ัน มีอีกตัวอย่างเกี่ยวกับสิ่งของท่ีวิหาร ได้รับส่วนแบ่งอันชัดเจนจากผลผลิต หลักฐานอ้างอิงจากยุ้งฉางก็สนับสนุนแนว ความคิดนี้เช่นกัน อาจเป็นไปได้ว่าหลักฐานเบื้องต้นพยายามอธิบายเชิงทฤษฎี แต่เชิง ปฏิบัติน้ันอารามวิหารได้รับส่วนท่ีชัดเจนก็เป็นได้ หากถือเอาตามหลักฐานเบ้ืองต้น ระบบการเช่าที่ดินของอารามวิหารมาจาก คัมภีร์สมันตปาสาทิกาและคัมภีร์อธิบายแต่งแก้พระวินัยอีกหลายเล่ม ซ่ึงวิธีการนี้ เป็นที่รู้จักแพร่หลายในพุทธศตวรรษท่ี ๑๐ หรืออาจจะหลังไม่เกินหนึ่งศตวรรษ สันนิษฐานว่าอารามวิหารอาจจะอ้างส่วนแบ่งจากผลผลิตจากที่ดินของอารามวิหาร ยุคน้ี กลา่ วถงึ เรอ่ื งเวสสนั ดรชาดก คมั ภรี บ์ ตุ สรณะซงึ่ เปน็ งานเขยี นสมยั พทุ ธศตวรรษ ที่ ๑๗-๑๘ ได้อธิบายว่าพระเวสสันดรได้ครอบครองส่วนหนึ่งในหกของแว่นแคว้น ทรงปกครองด้วยความเที่ยงธรรมและสันติสุข๒๓ ด้วยเหตุนั้นจึงแสดงนัยให้เห็นว่า หนึ่งในหกเป็นภาษีอันยุติธรรมส�าหรับกษัตริย์ คัมภีร์ชาดกภาษาบาลีไม่กล่าวถึง ส่วนแบ่งที่กษัตริย์ได้รับเลย ความจริงคือผู้แต่งคัมภีร์บุตสรณะได้เพ่ิมประเด็นที่ ไม่พบในคัมภีร์ดั้งเดิม ซ่ึงสนับสนุนหลักฐานที่พยายามอ่านพฤติการณ์ของคนตาม ลักษณะของชาวอินเดีย อีกอย่างหนึ่งหลักฐานจากอินเดียระบุว่า ผู้เก็บภาษีมักเรียก ว่าศัศฏาธิกรตา มีหน้าท่ีเป็นผู้รวบรวมผลผลิตหนึ่งในหกเช่นเดียวกับภาษีท่ีดิน๒๔ อาจเป็นไปได้ว่า ผู้แต่งคัมภีร์บุตสรณะมีหลักฐานเรียบร้อยแล้วเม่ือกล่าวถึงส่วนแบ่ง ทพ่ี ระเวสสนั ดรได้รับ ด้วยเหตนุ น้ั จงึ เปน็ เร่อื งยงุ่ ยากท่ีจะตัดสินว่าภาษีอันยตุ ธิ รรมของ หนึ่งในหกส่วนมีใช้ในศรีลังกาหรือไม่
การบริหารทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 129 หากถือเอาตามมาตรการเก็บภาษีสมัยพระเจ้านิสสังกมัลละ พบว่ามีอยู่ ๓ วิธี โดยได้ก�าหนดส่วนแบ่งอย่างชัดเจน การเปลี่ยนแปลงข้ึนอยู่กับความสามารถในการ ผลิตของแต่ละพื้นท่ี กล่าวคือ ๑) ๑ อมุณะ ๓ แปละ และการจ่ายด้วยเงินสดรวม เป็นหกเหรียญมฑรันจากท่ีนาที่ให้ผลผลิตดีสุดพร้อมกับการเพาะปลูกอีกหน่ึงอมุณะ ๒) ๑ อมุณะ ๓ แปละ และ ๔ มฑรันจากไร่นาท่ีมีคุณภาพปานกลาง ๓) ๑ อมุณะ ๑ แปละ ๓ มฑรันจากไร่นาท่ีมีผลผลิตน้อยสุด๒๕ ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นเร่ืองยาก ท่ีจะประเมินภาษีท่ีดิน ตามวิธีการของพระเจ้านิสสังกมัลละ โดยปราศจากความรู้เรื่อง การซื้อขายของมฑรันแห่งยุคนั้น๒๖ และไม่สามารถทราบเลยว่าระยะเวลาเท่าใดที่ใช้ มาตรการเก็บภาษีเช่นนี้ โดยเฉพาะหลังการสวรรคตของพระเจ้านิสสังกมัลละ คมั ภรี ป์ ชู าวลยิ ะระบวุ า่ ชาวนาผถู้ อื ครองทดี่ นิ จา� ตอ้ งจา่ ยภาษคี รง่ึ หนงึ่ หรอื หนงึ่ ในสามของผลผลิต เน่ืองจากศัพท์ว่าผู้เช่าหมายถึงผู้เป็นเจ้าของที่ดิน๒๗ หลักฐานนี้ ท�าให้เกิดความสงสัยว่าการเก็บภาษีด้วยระบบหนึ่งในหกมีกล่าวถึงในคัมภีร์บุตสรณะ หรอื ไม่ อยา่ งนอ้ ยกเ็ ปน็ เรอื่ งไรน่ า อารามวหิ ารชาวพทุ ธในอนิ เดยี ทถี่ อื ครองทด่ี นิ จา� นวน มากต้องเสียภาษี แต่ดูเหมือนว่าเป็นการเช่าแบบปล่อยให้ถูกยึดกรณีมีรายได้น้อย๒๘ แต่อารามวิหารในศรีลังกาไม่ปรากฏเห็นว่าต้องเสียภาษีแก่อาณาจักร สันนิษฐานว่า ผู้เสียภาษีคือผู้ถือครองท่ีดินปรากฏมีมาตั้งแต่ยุคแรกเร่ิม อารามวิหารด�ารงอยู่ในฐานะเจ้าเหนือหัวของผู้ครอบครอง และน่าจะได้รับ สว่ นแบง่ เหมอื นกบั การอา้ งวา่ เจา้ เหนอื หวั เพราะอยใู่ นฐานะเปน็ ผถู้ อื ครองทด่ี นิ ตวั อยา่ ง เช่น หนึ่งส่วนหรือหนึ่งในสามของผลผลิต แต่หากผู้เช่าที่ดินของอารามวิหารจ่ายภาษี แก่กษัตริย์ด้วย ย่อมไม่เป็นเร่ืองแปลกที่จะต้องจ่ายส่วนแบ่งเจ้าเหนือหัวท่ีดินแก่ อารามวิหารด้วย ส่วนแบง่ ท่ีเปล่ียนไปถวายแกอ่ ารามวิหารอาจจะคล้ายคลงึ กบั สว่ นแบ่ง ของเจ้าเหนือหัว ซึ่งไม่ต้องจ่ายภาษีแก่กษัตริย์ แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าการพิจารณาหรือ ปัจจัยอื่นมีการก�าหนดส่วนแบ่งโอนย้ายไปถวายอารามวิหารหรือไม่ คัมภีร์วิมตวิโนทนี ซ่ึงแต่งแก้คัมภีร์วินยัตกถา ผลงานของพระโจฬิยกัสสปเถระประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ บอกว่าวิธีการเพาะปลูกในท่ีดินของอารามวิหารคือ หากปลูกต้นไม้และดูแลรักษา
130 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง ต้ังแต่เร่ิมต้น ผู้เพาะปลูกต้องคืนหน่ึงในสิบของผลผลิตแก่อารามวิหาร ส่วนท่ีเหลือ จึงเป็นของตน๒๙ ผู้เขียนเป็นชาวอินเดียใต้อาจจะแต่งตามประเพณีแห่งตน มากกว่าศรีลังกา จึงไม่มีสามารถรู้ได้แน่ชัดถึงส่วนแบ่งท่ีมอบถวายอารามวิหาร ส่วนตัวอย่างของการบริจาคท่ีดินในรูปแบบรายได้และเสียภาษีมีเล็กน้อย ศิลาจารึกคลปาตวิหารระบุถึงรายได้ชนิดหนึ่งเรียกว่าโกลเวล-อะตะ รวมถึง มะพร้าวและลูกหมากที่น้อมถวายแก่คลปาตวิหาร ค�าว่าโกลเวล-อะยะน่าจะเป็น ภาษีส�าหรับพืชไร่๓๐ ส่วนศิลาจารึกคฑลาเดณิยะอ้างว่าไร่นาที่เพาะปลูกมีเนื้อท่ีกว้าง ถึง ๕ อมุณะของทุ่งนาและ ๒ เดสีมะที่ได้รับโดยอนุระอัตตระ ต้องถือครองเป็น สิทธิของญาติพี่น้องจะได้รับการเสียภาษีเป็นค่าธรรมเนียมตามปกติ ข้อมูลในคัมภีร์ คัมกฑวระก็อ้างถึงศิลาจารึกเช่นกันและยืนยันว่ามีแนวโน้มเช่นน้ี๓๑ แต่ดูเหมือนเป็น การเสนอเพียงแค่ส่วนแบ่งภาษีและรายได้พิเศษ พร้อมการไร้สิทธ์ิเหนือรายได้การรับ และไม่มีอ�านาจแทรกแซงผู้ถือครอง บทว่าด้วยทรัพย์สินของวัดเปิดเผยว่าอารามวิหารเป็นผู้ถือครองทรัพย์สินที่ มาจากที่ดินหรือกัลปนาอุทิศเป็นเงินตรา จากการส�ารวจเร่ืองระบบการครอบครอง ท�าให้เห็นว่าอารามวิหารได้รับส่วนแบ่งแม้จะไม่มีการช่วยเหลือก็ตาม แหล่งรายได้ ของอารามวิหารอาจจะมีองค์กรท�าหน้าท่ีบริหารทรัพย์สมบัติเช่นเดียวกับต�าแหน่งอ่ืน ดมั พเดณกิ ติกาวตั รตรากฎหมายไวว้ ่าผกู้ ้าวข้ึนสู่ต�าแหนง่ หวั หนา้ แหง่ อายตนะ ไม่ควรเกี่ยวข้องกับการรับสิ่งของที่มาจากการอุปถัมภ์ของหมู่บ้าน๓๒ ความจริงคือ พระสงฆ์เหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับการได้ปัจจัย ซึ่งเป็นนัยบอกว่าท่านเป็นผู้รับผิดชอบ รายได้จากอายตนะเหล่านี้ การบริหารทรัพย์สมบัติของอายตนะเหล่าน้ี อาจจะขึ้น อยู่กับมาตรการขนานใหญ่อันเป็นความไว้วางใจและความซ่ือสัตย์ของพระเถระผู้ เป็นหัวหน้า ดัมพเดณิกติกาวัตรอธิบายเพ่ิมเติมว่าต�าแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าอายตนะ๓๓ และ พระสงฆ์ระดับหัวหน้าแห่งปริเวณะควรจะมีคุณสมบัติเฉกเช่นหัวหน้าแห่งอายตนะ โดยชบี้ อกวา่ พระสงฆเ์ หลา่ นก้ี ไ็ มค่ วรเขา้ ไปเกย่ี วขอ้ งกบั วตั ถสุ งิ่ ของทมี่ าจากการอปุ ถมั ภ์
การบริหารทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 131 ของหมู่บ้าน แม้ปริเวณะซ่ึงมีหมู่บ้านคอยอุปถัมภ์ดูแล ผู้เป็นสมภารเจ้าวัดควรมี คุณสมบัติและมีความชาญฉลาดพอที่จะบริหารดูแลปริเวณะแห่งตน๓๔ คุณสมบัติและ ความชาญฉลาดดังกล่าวอาจหมายถึงคุณสมบัติด้านการบริหารและการจัดการด้วย ข้อมูลเบ้ืองต้นท�าให้เห็นแนวคิดว่าพระสงฆ์ผู้เป็นหัวหน้าแห่งอายตนะและปริ เวณะเกี่ยวข้องกับการบริหารทรัพย์สินของวัด คุณสมบัติด้านการช่วยเหลือนั้นหัวหน้า แสดงให้เห็นว่าได้เข้าไปเก่ียวข้องกับการบริหารด้วย๓๕ ระบบการบริหารเช่นน้ีน่าจะ แพร่หลายท่ัวไปตามอารามวิหารเหล่าอ่ืนด้วย ส่วนข้อเสียหายของการด�ารงชีวิตของชาวอารามวิหารที่แวดล้อมด้วยไร่นาน้ัน คัมภีร์สารัตถทีปนี ซ่ึงอธิบายแต่งแก้คัมภีร์สมันตปาสาทิกา ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ได้พรรณาว่าพระสงฆ์ตามอารามวิหารถูกรบกวนด้วยผู้เช่า ซ่ึงน�ารวงข้าวมา แสดงต่อพระสงฆ์ตามหน้าที่ นอกจากนั้น พระสงฆ์ต้องไปเยือนพระราชวังและบ้าน เรือนของเสนาบดี เพื่อเหตุผลหลายอย่าง๓๖ หลักฐานส่วนนี้แสดงให้เห็นว่าพระสงฆ์ท่ี พ�านักอาศัยในอารามวิหาร ซึ่งครอบครองทรัพย์สินคือที่ดิน เป็นผู้มีอ�านาจและมี หน้าท่ีเหล่าอื่นท่ีต้องเก่ียวข้องกับการบริหาร เจ้าหน้าท่ีนามว่าวิทาเนพบในจารึกแปปิลิยานะว่าเป็นผู้รับห้าอมุณะ๓๗ คุณเสกระ ให้ความหมายวิทาเนว่าผู้จัดการ๓๘ ค�าน้ีมีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตและภาษาบาลี ว่าวิธานะ โดยการผัน ธ เป็น ท แล้วเพ่ิม อะ ตอนท้าย แทนด้วยกัตตุวาจก ศัพท์ว่าวิธานะบ่งความหมายถึง กฎข้อบังคับ การออกค�าสั่ง การจัดการ องค์กร เป็นต้น๓๙ และสามารถแปลได้ว่าเจ้าหน้าท่ีผู้รับผิดชอบการบริหารหรือจัดการองค์กร หากประยุกต์ใช้กับสมัยใหม่ ศัพท์นี้สามารถแปลความหมายได้ว่าหัวหน้า หมู่บ้าน คอร์ดิงตันบอกว่าวัดตามหมู่บ้านสมัยแคนดีมีวิทาเนด้วย๔๐ เจ้าหน้าท่ีบางคน สมัยใหม่มีบัตคัมหรือวิทาเนคัมอยู่ภายใต้การดูแล๔๑ สันนิษฐานว่าว่าเจ้าหน้าท่ีเหล่าน้ี ล้วนเป็นชาวบ้าน หลักฐานระบุว่าต�าแหน่งนี้ได้รับการแต่งตั้งจากคณะสงฆ์
132 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง ดัมพเดณิกติกาวัตรระบุว่าพระสงฆ์ผู้เกี่ยวข้องกับวิธานยะ มีหน้าที่ด�าเนิน การตรวจสอบทางการแพทย์และตรวจตราคุณสมบัติทางการศึกษาของผู้ปรารถนาท่ี จะเข้าสู่คณะสงฆ์๔๒ สันนิษฐานว่าผู้ชื่อว่าวิธาเนตามหน้าที่ พระบรมราชูทิศมหาสามัน เทวาลัยอ้างว่าพระสงฆ์สามรูปเรียกว่าคณนายก พระสงฆ์ผู้น�า ผู้บริสุทธิ์เพราะเคารพ สักการะและเชี่ยวชาญพระธรรมค�าสอนพร้อมงดงามด้วยศีลาจารวัตรเรียกว่าวิธาเน และพระสงฆ์ผู้น่าเคารพศรัทธาอื่นอีกควรได้รับแต่งตั้งเป็นวิธาน เพราะท�าหน้าที่ น�าสวดมนต์ สวดพระปริตรและพิธีกรรมอย่างอ่ืน๔๓ หลักฐานนี้แสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าท่ีเป็นพระภิกษุ และหน้าที่ของท่านล้วนเห็นเป็นปกติตามอารามวิหารสมัยน้ัน อารามวิหารของอินเดียมีนักบวชท�าหน้าที่บริหารเรียกว่ากรมทาเน มีหน้าที่ประกาศ เมื่อจะเริ่มต้นพิธีกรรมหรือเทศกาลด้วยการสั่นระฆังและอ�านวยความสะดวกด้วย การตระเตรียมอาหาร๔๔ ศัพท์กรมทาเนจึงสามารถเทียบเคียงกับศัพท์วิธานในอาราม วิหารของชาวลังกา นอกจากตัวอย่างเล็กน้อยเหล่านี้แล้ว หลักฐานอ้างอิงที่มีอยู่สมัยนี้ไม่ได้ให้ ความกระจ่างต่อบทบาทของพระสงฆ์ในการบริหารจัดการทรัพย์สมบัติของอาราม วิหารเลย จึงไม่สามารถรู้ได้เลยว่ายุคอนุราธปุระนั้นพระสงฆ์มีส่วนร่วมในการบริหาร จัดการหรือไม่ จารึกเชตวนารามระบุว่าพระภิกษุท่ีอยู่อาศัยในอารามชื่อลาหสิกา รวมท้ังอารามช่ือหุนาละและสุนครามะล้วนเช่ือมติดกับส�านักอภัยคิรีวิหารในเมือง อนุราธปุระ เป็นผู้รับผิดชอบรวบรวมภาษีของหมู่บ้านมีช่ือและภาษีเหล่าน้ันถูกน�าเข้า สู่วิหาร๔๕ นอกจากนั้นยังต้องตระเตรียมการแจงรายละเอียดประจ�าปีพร้อมท้ัง ช่วยเหลือผู้จดจารบัญชีและคนงานด้วย การรับรองคร้ังสุดท้ายต้องตรวจสอบโดย กรรมการซึ่งรับผิดชอบโดยคณะสงฆ์๔๖ จารึกอันเดียวกันระบุถึงชนิดของพระสงฆ์ว่า ปัญจิกาสถวีระที่เก่ียวข้องกับการเก็บการลงทะเบียน พระสงฆ์สามารถตรวจสอบเร่ือง น้อยใหญ่ด้วยความสนใจอย่างระมัดระวัง๔๗ บทลงโทษขั้นสุดท้ายของรายรับรายจ่ายประจ�าปีของส�านักอภัยคิรีวิหารและ ส�านักเจติยคิริวิหารสมัยอนุราธปุระนั้น คณะสงฆ์ผู้มีอ�านาจหน้าที่ส�าหรับเรื่องน้ี โดยเฉพาะเป็นผู้รับผิดชอบ การแถลงรายละเอียดประจ�าปีของส�านักสองแห่งน้ีจ�าต้อง
การบริหารทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 133 เปิดอ่านต่อหน้าคณะสงฆ์ท่ามกลางท่ีประชุม๔๘ สรุปได้ว่าหลักฐานดังกล่าวน่าจะเลียน แบบมาจากพระสงฆ์ผู้เป็นหัวหน้าแห่งอายตนะและปริเวณะ ตลอดจนอ�านาจหน้าท่ี ของท่านด้วย ต�าแหน่งหน้าที่ของชาวอารามวิหาร กล่าวเฉพาะต�าแหน่งของคนงานรับจ้างในอารามวิหารนั้น จ�านวนมากหรือ น้อยน่าจะข้ึนอยู่กับชนิดหรือจ�านวนของงานเป็นหลัก หรือจ�านวนของการถือครอง ทรัพย์สิน หรือว่าความจ�าเป็นของสถาบันสงฆ์ ศิลาจารึกรุวันแวลิแสยะของพระนาง กัลยาณวดีได้อ้างถึงรายช่ือคนงานหลายระดับที่ท�าหน้าท่ีตามอารามวิหาร ได้แก่ (ลิยันนวุน) อาลักษณ์ (สัมทรุวัน) ผู้ประเมินราคา (วัณณักกุวรุน) พราหมณ์ (พมุณัน) ปสกุน คนวาดภาพ (สิตตรุน) นักร�า (นฏันนัน) นักร้อง (คีกยันนัน) คนตีกลอง (เพรคสันนัน) สกุนทุรยัน ปัญจยัน สตรีผู้เติมน�้าล้างเท้า มังคุลมิณฑิยัน ผู้ดูแล บริเวณรอบสถูป ผู้ร้อยพวงดอกไม้ และผู้ท�าน�้าหอม๔๙ แต่จารึกเบ้ืองต้นให้ข้อมูล เพียงรายชื่อของคนงานเท่านั้น จึงเป็นเป็นเรื่องยากท่ีจะระบุหน้าที่ชัดเจน ว่าคนงาน รับจ้างเหล่านี้เป็นอาชีพถาวรหรือชั่วคราว ส�าหรับต�าแหน่งอาลักษณ์น้ันท�าหน้าท่ีบันทึกรายรับรายจ่าย และดูแลเทศกาล และงานพิธี ตลอดจนท�าหน้าท่ีคัดลอกคัมภีร์ส�าคัญด้วย แต่คัมภีร์บางเล่มแย้งว่า ต�าแหน่งอาลักษณ์ท�างานเพียงคัดลอกคัมภีร์ส�าคัญเท่าน้ัน จารึกแปปิลิยานะอ้างถึง อาลักษณ์ผู้ท�าหน้าที่คัดลอกคัมภีร์พระไตรปิฎก กล่าวกันว่าผู้สามารถคัดลอก ๑,๗๐๐ คัมภีร์ (คันถะ) ต่อเดือน ย่อมได้เสบียงอาหารและกัลปนาอุทิศในลักษณะของ เงินตรา๕๐ คุณเสกระซ่ึงตีพิมพ์จารึกได้แปลค�าว่าอาลักษณ์คือพระสงฆ์๕๑ ศัพท์ภาษา สิงหลว่าโปต ลิยันนวุน เอกกุฎะ ไม่สามารถบ่งถึงพระสงฆ์ได้ ด้านเงินเดือนของ อาลักษณ์นั้นหลักฐานบางแห่งกล่าวว่ามีการตอบแทนเป็นเงินตราส�าหรับเป็นค่าเส้ือผ้า อาภรณ์ หลักฐานตรงนี้น่าจะเป็นฆราวาสมากกว่าพระสงฆ์ ผ้าส�าหรับท�าจีวรของ พระสงฆ์มีกล่าวถึงในจารึกหลักเดียวกันนี้เช่นกัน๕๒ หากอาลักษณ์หมายถึงพระสงฆ์ จริงก็คงมีความพิเศษเพราะผ้าดังกล่าวอาจส�าหรับท�าจีวร
134 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง การคัดลอกคัมภีร์เป็นเรื่องส�าคัญทางพระศาสนาของยุคกลาง คัมภีร์จุลวงศ์ กล่าวสรรเสริญกษัตริย์หลายพระองค์ ได้แก่ พระเจ้าวิชัยพาหุท่ี ๓ พระเจ้าภูวเนก พาหุที่ ๑ และพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๔๕๓ พระเจ้าวิชัยพาหุท่ี ๓ ตรัสว่าพระองค์โปรด ให้ฆราวาสทุกหมู่บ้านคัดลอกคัมภีร์ส�าคัญ เน่ืองจากพระสงฆ์ชักช้ามาก กีรติศรีราช สิงหกติกาวัตรตรากฎหมายว่าห้ามพระสงฆ์แต่งคัมภีร์เพื่อเห็นแก่ค่าจ้าง แต่สามารถ ท�าได้เพ่ือเป็นบุญกุศล๕๔ หลักฐานเบ้ืองต้นแสดงให้เห็นว่าพระสงฆ์คัดลอกคัมภีร์ ไม่ควรหวังค่าตอบแทน หรือหากท่านท�าเช่นน้ันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องผิดกฎระเบียบ ด้วย เหตุน้ีความหมายของอาลักษณ์ตามคัมภีร์ไม่น่าจะบ่งถึงพระสงฆ์ จารึกสมัยอาณาจักรอนุราธปุระหลายหลักมากมีด้วยหลักฐานเกี่ยวกับศัพท์ ว่าสัมทรุวัน ซ่ึงหมายถึงเจ้าหน้าท่ีผู้ตรากฎหมายการเงินเพ่ือช่วยเหลือให้ม่ันคง ศิลา จารึกเวแวลแกฎิยะของพระเจ้ามหินทะที่ ๔ อ้างว่าเจ้าหน้าท่ีเหล่านี้ท�าหน้าท่ีเป็นผู้ตรา กฎหมาย จารึกเสาหินพดุลละระบุว่าจารึกหลักนี้แต่งในปีท่ีสองแห่งการครองราชย์ของ พระเจ้าอุทยะที่ ๒ ศิลาจารึกของพระเจ้ากัสสปะท่ี ๕ และศิลาจรึกเชตวนารามหลักที่ ๒ ของพระเจ้ามหินทที่ ๔ พรรณนาไว้ว่าพวกเขาเหล่านี้ท�าหน้าท่ีไต่สวนพิจารณาคดี ความ๕๕ ศิลาจารึกของพระเจ้ากัสสปะท่ี ๕ บอกว่าสัมทรุวันท�าหน้าท่ีเป็นดูแล ความยุติธรรม๕๖ นอกจากน้ัน ทุกสองปีเจ้าหน้าท่ีเหล่านี้จ�าต้องไต่สวนผู้กระท�า ความผิดถึง ๕ คดีความ ตัวอย่างน้ีแสดงให้เห็นว่าสมัยอาณาจักรอนุราธปุระน้ัน ต�าแหน่งสัมทรุวันเกี่ยวข้องกับการรักษากฎหมายและตรากฎหมาย ไม่สามารถสืบค้น ให้รู้แน่ว่าสมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะน้ันต�าแหน่งเหล่าน้ีท�าหน้าที่บริหารดูแลเรื่อง อารามวิหารหรือไม่ แต่สันนิษฐานว่าน่าจะมีหน้าท่ีคล้ายกับยุคต้น อีกต�าแหน่งหนึ่งคือวัณณักกุวรุนน่าจะเกี่ยวกับเงินตราและทรัพย์สินท่ีดิน คัมภีร์ชาตกอฎวาแคฎปทยะ ซ่ึงเป็นคัมภีร์อภิธานศัพท์ภาษาสิงหลของคัมภีร์ ชาตกัฏฐกถาภาษาบาลีบอกว่า ศัพท์ว่าวัณณักกาเป็นภาษาสิงหลเหมือนกับภาษาบาลี ว่าเหรัญญิกา พบบ่อยในคัมภีร์ชาตกัฏฐกถา๕๗ ศัพท์ว่ารันกรุในภาษาสิงหลหมายถึง ช่างทองก็ใช้ในศัพท์คล้ายกับวัณณักกาในคัมภีร์ชาตกัฏฐกถาเช่นกัน๕๘ ศัพท์ว่า ช่างทองคือไหรันยิกะ ส่วนศัพท์สันสกฤตใช้เหรัญญิกะพบในคัมภีร์ทิพยวทาน๕๙ คัมภีร์วิสุทธิมรรคใช้ศัพท์น้ีเพ่ือบ่งถึงผู้สามารถตรวจสอบเงินตรา (กหาปณะ) ภิกษุ
การบริหารทรัพย์สมบัติของอารามวิหาร 135 ญาณโมลีแปลศัพท์บาลีว่าเหรัญญิกะจากคัมภีร์วิสุทธิมรรคว่าผู้เปล่ียนเงิน๖๐ คัมภีร์ วิสุทธิมารคสันเน ซึ่งเป็นคัมภีร์แปลถอดความคัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นภาษาสิงหล แปลศัพท์เหรัญญิกะว่า กหวณุ พลันนกุ แปลว่า ผู้ทดสอบเหรียญ๖๑ ด้านคัมภีร์ วิภังคัฎฐกถาใช้ความหมายเช่นเดียวกับคัมภีร์วิสุทธิมรรค๖๒ คัมภีร์ชาตกัฏฐกถา อ้างถึงศัพท์ผลกะว่าหมายถึงเครื่องนับของเหรัญญิกะ๖๓ อีกแห่งหนึ่งคัมภีร์ชาตกัฏฐกถา แปลศัพท์เหรัญญิกะว่าผู้รักษาเงิน๖๔ ส่วนพจนานุกรมของสมาคมบาลีปกรณ์นิยาม ความหมายว่านายธนาคาร๖๕ แสดงให้เห็นว่าเหรัญญิกะหรือวัณณักกุคือผู้สามารถ ตรวจสอบเหรยี ญ งานเชน่ นส้ี มควรเปน็ หนา้ ทขี่ องชา่ งทองหรอื ผเู้ ชย่ี วชาญพเิ ศษสามารถ ซึ่งสามารถทดสอบเหรียญเชิงวิทยาศาสตร์ จากอรรถาธิบายเบ้ืองต้นความหมายบ่ง ถึงนายธนาคาร ผู้แลกเปล่ียนเหรียญ หรือผู้รักษาเงินดูอาจจะไกลจากความเป็นจริง สมควรบันทึกว่าศัพท์วัณณักกุวรุนมีความใกล้ชิดกับภาษาทมิฬว่าวัณณักกัน แปลว่า ผู้ทดสอบเหรียญ๖๖ ศัพท์ว่าวันนกุนิลาเมแห่งมหาอรมุดละ (หมายถึงขุนคลัง) ปรากฏเห็นใน หลักฐานชั้นหลัง หลักฐานชิ้นแรกระบุว่าเป็นปีศกะ ๑๗๒๐ (พ.ศ.๒๓๔๑) ส่วนอีก ชิ้นหนึ่งระบุเป็นปีศกะ ๑๗๒๒ (พ.ศ.๒๓๔๓) หลักฐานทั้งสองแห่งมีเน้ือหาเก่ียวกับ การคืนทรัพย์สินแก่คนสองคน นามว่ามนัมเปริ มุดิยันเส และมัดเดคมะ ธรรมกิตติ๖๗ เนื้อหาไม่ได้ระบุชัดเจนถึงความหมายของค�าว่าวันนกุมิลเม อาจจะหมายถึงผู้รักษา ทรัพย์หรือต�าแหน่งชั้นสูงที่เก่ียวข้องกับทรัพย์สมบัติ คุณเสกระผู้เรียบเรียงจารึก รวุ นั แวลแิ สยะของพระนางกลั ยาณวดแี ปลศพั ทว์ นั นกวุ รนุ วา่ ผทู้ า� หนา้ ทตี่ รี าคาทรพั ยส์ นิ ๖๘ อาจเป็นไปได้ว่าความหมายของผู้ทดสอบเหรียญคล้ายกับผู้ตีราคาทรัพย์สินด้วย ส�าหรับผู้ดูแลรับผิดชอบพิธีกรรมมีกล่าวถึงไม่มากนัก พราหมณ์ที่กล่าวถึงในจารึกอาจจะจัดอยู่ในประเภทน้ี แต่จารึกปัจจุบันไม่ กล่าวถึงภาระหน้าท่ีของพราหมณ์ชัดเจนมากนัก คัมภีร์สมันตปาสาทิกาและคัมภีร์ มหาวงศ์ ซ่ึงแต่งสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๑๐-๑๑ และคัมภีร์มหาโพธิวังสยะระบุว่า สมัยพุทธศตวรรษท่ี ๗ มีตระกูลมากมายรวมถึงพวกพราหมณ์ถูกส่งมาลังกาเพื่อ ปกปองคุ้มครองต้นพระศรีมหาโพธิ์๖๙ คัมภีร์เหล่านั้นไม่กล่าวถึงหน้าท่ีแน่นอนของ พวกพราหมณ์ คัมภีร์สารัตถทีปนีซึ่งแต่งแก้คัมภีร์สมันตปาสาทิกา ประมาณ
136 ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง พุทธศตวรรษที่ ๑๗ อ้างว่าวรรณะพราหมณ์ได้รับความไว้วางใจให้ท�าหน้าท่ีรดน้�า ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ เนื่องจากพวกเขารับผิดชอบหน้าท่ีเป็นอย่างดี๗๐ คัมภีร์สิงหล โพธิวังสยะซึ่งแต่งสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการแต่งตั้ง สมาชิกจาก ๑๖ วรรณะ ซึ่งเป็นผู้ติดตามต้นพระศรีมหาโพธ์ิมาเกาะลังกา โดยบอก ว่าสมาชิกระดับผู้น�าของวรรณะพราหมณ์ได้รับต�าแหน่งพามุณุนา เพ่ือท�าหน้าที่ ประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับต้นพระศรีมหาโพธ์ิ๗๑ หน้าที่ของพราหมณ์เกี่ยวกับ ต้นพระศรีมหาโพธ์ิกล่าวถึงในคัมภีร์ชั้นหลังเท่าน้ัน สันนิษฐานว่าหน้าที่เหล่านี้อาจเกิด พฒั นาการขน้ึ ยคุ หลงั คมั ภรี ส์ ารตั ถทปี นแี ละคมั ภรี ส์ งิ หลโพธวิ งั สยะอาจบนั ทกึ เหตกุ ารณ์ ร่วมสมัยก็เป็นได้ จึงเป็นไปได้ว่าหน้าท่ีของพราหมณ์ในการประกอบพิธีกรรมเก่ียวกับ ต้นพระศรีมหาโพธิ์อาจเป็นเหมือนงานอื่นท่ีเก่ียวกับงานอุทิศทางศาสนา ทราบมาว่าแม้กัมพูชาและพม่าพวกพราหมณ์ก็มีหน้าท่ีประกอบพิธีกรรม ทางพุทธศาสนาเช่นน้ี จารึกศรีสันธอรระบุว่าปุโรหิตควรเช่ียวชาญหลักค�าสอน พระพุทธศาสนา และเทศกาลส�าคัญควรมีการสรงน้�าพระพุทธรูปและท�าหน้าท่ีสวด พระพุทธมนต์๗๒ สมัยพระเจ้ากัสสปะท่ี ๑ และพระเจ้าโมคคัลลานะที่ ๑ คัมภีร์จุลวงศ์ได้ระบุ ถึงพิธีสรงน้�าพระพุทธรูป กล่าวกันว่าเสนาบดีนามว่านิคาระได้แสดงความเคารพสูงสุด ด้วยการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่๗๓ บางส่วนของพิธีกรรมน้ียังมีการรักษาสืบต่อโดย วัดส�าคัญหลายแห่ง แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าพวกพราหมณ์ผู้ประกอบพิธีกรรมเกี่ยวข้อง กับพิธีน้ีหรือไม่ จารึกภาษามอญในประเทศพม่าอ้างถึงการตักน�้าและเตรียมน้�าใส่ ถาดทอง ถาดเงินและถาดทองแดงส�าหรับประกอบพิธีสวดพระปริตร๗๔ หลักฐาน ไม่ได้ระบุว่าพราหมณ์ประกอบพิธีตามวัดบนเกาะลังกาเก่ียวข้องหรือไม่ ส่วนเจ้าหน้าที่อันมีนามตามศัพท์ว่าปสกุนน้ัน คุณเสกระแปลว่าพ่อค้า โดย ถอื เอาศพั ทซ์ งึ่ มรี ากเหงา้ มาจากภาษาบาลแี ละสนั สกฤตวา่ ปาจกะ๗๕ หากศพั ทน์ เ้ี กยี่ วขอ้ ง กับค�าว่าปสัก ซึ่งมีรากเหง้ามาจากภาษาบาลีว่าปัจจักขะ หรือภาษาสันสกฤตว่า ปรตยักศะ ก็หมายความว่าอยู่ต่อหน้า๗๖ ตรงน้ีหากการตีความหมายว่าเป็นเจ้าหน้าท่ี ผู้ตรวจสอบกิจการของวัด น่าจะเป็นหน้าท่ีเฉพาะท่ีคนงานต้องรับผิดชอบ พระวิมล
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314