ตามพรลิงค์ 79 พระพิมพ์พระโพธิสัตว์ตามคติความเชื่อมหายาน (คัดลอกภาพจาก www.pantip.com) พระวิษณุภายในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ นครศรีธรรมราช (คัดลอกภาพจาก www.pantip.com)
80 หลักฐานทางโบราณคดี (ซ้าย-ขวา) เทวรูปและพระโพธิสัตว์ภายในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร (คัดลอกภาพจาก www.pantip.com) เจดีย์วัดจะท้ิงพระ ต�ำบลจะท้ิงพระ อ�ำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา (คัดลอกภาพจาก www. pantip.com)
ตามพรลิงค์ 81 พระบรมธาตุไชยา ต�ำบลเวียง อ�ำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี (คัดลอกภาพจาก www. pantip.com) พระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ วัดพะโคะ ต�ำบลชุมพล อ�ำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา (คัดลอกภาพจาก www.pantip.com)
82 หลักฐานทางโบราณคดี เป็นการแสดงออกถึงการผสมผสานกลมกลืนทางวัฒนธรรมและการอยู่ร่วมกัน อย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์ด้วยลักษณะประนีประนอม๑๐๔ ๒.๒.๒ ตามพรลิงค์ในฐานะเมืองท่า บริเวณคาบสมุทรไทยสมัยอดีต เป็นท่ีต้ังเมืองท่าเป็นจ�ำนวนมาก เรียงรายตามสองฝั่งทะเล บางแห่งสามารถพัฒนามาเป็นสถานีการค้าและเติบโตเป็น เมืองใหญ่ภายหลัง เมืองท่าทางฝั่งตะวันตก ได้แก่ ตะโกลา บริเวณอ�ำเภอตะกั่วป่า แหล่งโบราณคดีเกาะคอเขา อ�ำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา แหล่งโบราณคดีต�ำบล คลองทอ่ ม อำ� เภอคลองทอ่ ม และแหลง่ โบราณคดคี วนลกู ปดั อำ� เภอคลองทอ่ ม จงั หวดั กระบี่ ส่วนด้านฝั่งตะวันออกปรากฏว่ามีแหล่งโบราณคดีจำ� นวนมาก ดังเช่น แหล่ง โบราณคดีเขาสามแก้ว อ�ำเภอเมือง จังหวัดชุมพร แหล่งโบราณคดีท่าชนะ อ�ำเภอ ทา่ ชนะ แหลง่ โบราณคดพี มุ เรยี ง อำ� เภอไชยา และแหลง่ โบราณคดหี วั เขาบน (เขาศรวี ชิ ยั ) อ�ำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี นอกจากน้ัน ยังมีแหล่งโบราณคดีอีกเป็นจ�ำนวน มากมายในเขตอ�ำเภอสีชล อ�ำเภอท่าศาลา อ�ำเภอพรหมคีรี และอ�ำเภอเมือง จังหวัด นครศรีธรรมราช ถัดมาเป็นแหล่งโบราณคดีอ�ำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา และแหล่ง โบราณคดี อ�ำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี นักวิชาการบางท่านต้องการให้แคบเข้าจึงแบ่ง กลุ่มตามท�ำเลท่ีตั้ง ได้แก่ กลุ่มเมืองชุมพร กลุ่มเมืองไชยา กลุ่มเมืองเวียงสระ กลุ่มเมืองกาญจนดิษฐ์ กลุ่มเมืองนครศรีธรรมราช กลุ่มเมืองพัทลุง กลุ่มเมืองปัตตานี กลุ่มเมืองตะก่ัวป่า และกลุ่มเมืองตรัง๑๐๕ หากเปรียบเทียบลักษณะทางกายภาพของคาบสมุทรไทยทั้งสองด้านจะ เห็นว่า ชายฝั่งทะเลตะวันตกน้ันมีลักษณะของชายฝั่งเว้าแหว่งและสูงชัน ซึ่งเกิดจาก การพังทลายเน่ืองมาจากคลื่นแรงและลมจัด ล�ำน�้ำท่ีไหลลงมาจากเทือกเขาเพื่อออก ๑๐๔ อมรา ศรีสุชาติ, ศรีวิชัยในสุวรรณทวีป, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จ�ำกัด, ๒๕๕๗), หน้า ๑๙๗. ๑๐๕ สงบ ส่งเมือง, ”ชุมชนสมัยแรกเร่ิมประวัติศาสตร์ในภาคใต้” ใน สารานุกรมวัฒนธรรม ภาคใต้ เล่มท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร: สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา, ๒๕๒๙), หน้า ๑๐๐๔-๑๐๖๖.
ตามพรลิงค์ 83 ฝั่งทะเลก็เป็นล�ำน้�ำสายสั้น แม้จะมีอ่าวเพื่อก�ำบังลมและชายหาด แต่ก็มีท่ีราบลุ่มล�ำน�้ำ ใหญไ่ มก่ แ่ี หง่ สภาพของฝง่ั ทะเลตะวนั ตกจงึ ไมเ่ หมาะทจี่ ะตง้ั หลกั แหลง่ เปน็ ชมุ ชนถาวร เพราะธรรมดาของชุมชนย่อมต้องการที่ราบลุ่มในการเพาะปลูกเพ่ือผลิตอาหารเล้ียง ผู้คน แม้ว่าสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์และลักษณะดินฟ้าอากาศของชายฝั่งทะเล ตะวันตกไม่เก้ือหนุนให้เกิดชุมชนถาวรท่ีต้องอาศัยการเพาะปลูกก็จริง แต่การมี ทรัพยากรธรรมชาติท่ีอุดมสมบูรณ์ท้ังของป่าและแร่ธาตุ ตลอดท้ังอยู่ในเส้นทางลมที่ ใช้ในการเดินเรือเพื่อติดต่อกับอินเดีย ย่อมท�ำให้เขตชายฝั่งทะเลตะวันตกเป็นแหล่ง ที่ผู้คนเข้ามาต้ังหลักแหล่ง เพ่ือขนถ่ายสินค้าข้ามคาบสมุทรและค้าขายระหว่างเมือง น้อยใหญ่ภายในคาบสมุทรไทย ขณะท่ีชายฝั่งทะเลตะวันออกมีคลื่นและลมแรงน้อย กว่าหรือเบากว่า อีกทั้งผลจากคลื่นและลมท�ำให้ชายฝั่งทะเลงอกออกไปเป็นระยะจน เกิดเป็นสันทรายจ�ำนวนมาก๑๐๖ โดยเฉพาะสันทรายชายทะเลต้ังแต่ท่าชนะ-ไชยา- ท่าฉาง-สิชล-ท่าศาลา-นครศรีธรรมราช-สทิงพระ-ปัตตานี นอกจากนั้น ชายฝั่งทะเล ตะวันออกยังมีแม่น�้ำขนาดสั้นจ�ำนวนมาก ซ่ึงช่วยพัดพากรวดและดินทรายจากที่สูงลง สู่ท่ีต่�ำ ท�ำให้เกิดการทับถมเป็นดินตะกอนหรือดินดอนสามเหลี่ยมขนาดเล็กบริเวณ ปากแม่น�้ำ ท�ำให้บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกมีท่ีราบลุ่มเหมาะสมกับการเพาะปลูก โดยเฉพาะอย่างย่ิงการปลูกข้าว๑๐๗ ซ่ึงเป็นปัจจัยหลักส�ำหรับเลี้ยงดูผู้คนภายในชุมชน และเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนกับภูมิภาคหรือชาวต่างประเทศ ดว้ ยลกั ษณะทางภมู ศิ าสตรด์ งั กลา่ วจงึ ทำ� ใหช้ ายฝง่ั ทะเลตะวนั ตกถกู จำ� กดั ให้มีชุมชนอยู่อาศัยจ�ำนวนน้อย ท�ำหน้าที่เป็นเพียงสถานีการค้าและการขนถ่ายสินค้า เท่านั้น ขณะที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ท่ีดีกว่า เพราะอุดม สมบูรณ์ด้วยสันทรายง่ายต่อการเพาะปลูก จึงเหมาะต่อการต้ังหลักแหล่งของผู้คน นอกจากน้ัน ยังมีอ่าวส�ำหรับจอดเรือพักสินค้าของพ่อค้าต่างชาติ สันนิษฐานว่าชุมชน ๑๐๖ สุจิตต์ วงศ์เทศ, ศรีวิชัยในสยาม, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทพิฆเณศ พร้ินต้ิง เซ็นเตอร์ จ�ำกัด, ๒๕๔๓), หน้า ๒๕-๒๖. ๑๐๗ ปรีชา นุ่นสุข, หลักฐานทางโบราณคดีในภาคใต้ของประเทศไทยที่เก่ียวกับอาณาจักร ศรีวิชัย, (กรุงเทพมหานคร: กรุงสยามการพิมพ์, ๒๕๒๕), หน้า ๖.
84 หลักฐานทางโบราณคดี น้อยใหญ่หรือภูมิภาคบริเวณคาบสมุทรไทย น่าจะมีปฏิสัมพันธ์ทางการค้าด้วยการ แลกเปลี่ยนซื้อขายกันท้ังทางทะเลและทางบก สอดคล้องกับงานวิจัยของประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์ ท่ีระบุว่าสมัยโบราณมีเส้นทางระหว่างชุมชนฝั่งตะวันตกกับตะวันออก หลายทาง แต่ท่ีรู้จักแพร่หลายคือ ๑) เส้นทางการแล่นเรือข้ึนมาตามล�ำแม่น�้ำตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ถึงเขาพระนารายณ์ เขาเวียงอันเป็นที่ต้ังเมืองตะกั่วป่าเก่า แล้วเดินบก ข้ามเขาสก พอลงเขาก็ลงคลองสก คลองยัน ต่อด้วยลงแม่น้�ำพุมดวง เขตอ�ำเภอ คิรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วล่องลงมาตามแม่น�้ำพุมดวง ออกทะเลที่อ่าวบ้าน ดอน และ ๒) เส้นการแล่นเรือเข้ามาทางปากแม่น้�ำกันตังผ่านควนธานี (เมืองตรังเก่า) ขึ้นบกเดินทางผ่านอ�ำเภอห้วยยอด เขาชาว มาทะลุกะปาง จากน้ันเข้าต�ำบลที่วัง อำ� เภอทงุ่ สง แลว้ ผา่ นชอ่ งเขาเขา้ เขตอำ� เภอรอ่ นพบิ ลู ยไ์ ปออกทะเลทเ่ี มอื งนครศรธี รรมราช เส้นทางน้ีมีความส�ำคัญมาแต่โบราณทุกยุคทุกสมัย๑๐๘ นอกจากชุมชนในคาบสมทุ รไทยจะเดนิ ทางไปมาหาสกู่ นั แลว้ พอ่ ค้าวานชิ ต่างประเทศก็นิยมใช้เส้นทางเหล่าน้ีด้วย เหตุเพราะการเดินทางอ้อมช่องแคบมะละกา ต้องเสียค่าภาษีตามเมืองท่าให้แก่กษัตริย์หรือผู้ครองนคร ซึ่งมีอ�ำนาจควบคุมเมืองท่า และท้องทะเลทางฝั่งตะวันตก ถัดมาต้องเผชิญกับเรือโจรสลัดซ่ึงพากันปล้นสะดมเรือ สินค้าท่ีแล่นผ่านบริเวณ และเป็นการหลบมรสุมซ่ึงระยะเวลาของมรสุมระหว่าง ฝั่งตะวันตกและตะวันออกไม่เหมือนกัน๑๐๙ ศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ วิทยารัฐ ได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมเก่ียวกับการค้าขายเส้นทางบกว่า ปัจจัยส่งเสริมให้มีการ เลอื กใชเ้ สน้ ทางบก เพราะฤดกู าลเดนิ เรอื ของอนิ เดยี กบั จนี เปน็ ฤดกู าลเดยี วกนั เนอื่ งจาก ทิศทางลมในมหาสมุทรอินเดียและทะเลจีนใต้พัดไปในทิศทางเดียวกัน จึงท�ำให้ นักเดินเรือท้ังสองชาติไม่มีโอกาสพบกันในเวลาเดียวกัน จ�ำเป็นต้องหาสถานที่พักถ่าย สินค้าแลกเปลี่ยนกัน ขนาดของเรือไม่สามารถเดินทางถึงกันได้โดยตรงจึงจ�ำเป็นต้อง แวะพักซ่อมแซมเรือ และสุดท้ายเป็นข้อจ�ำกัดด้านภูมิศาสตร์กล่าวคือเขตลมสงบ ๑๐๘ อ้างแล้ว, ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์, ”ตามพรลิงค์„, หน้า ๗๓-๗๖. ๑๐๙ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๖๙-๗๒.
ตามพรลิงค์ 85 (doldrum)๑๑๐ ด้วยเหตุดังกล่าว พ่อค้าต่างประเทศจึงนิยมใช้เมืองท่าตามหัวเมือง ดังกล่าวเป็นแหล่งค้าขายและแลกเปลี่ยนสินค้า เพราะสะดวกสบายและประหยัดกว่า การเดินทางอ้อมช่องแคบมะละกา ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาเดินทางมากกว่าอีกท้ังต้องเสี่ยง ต่อโจรสลัดและลมมรสุม กล่าวเฉพาะเมืองตามพรลิงค์นั้นมีความส�ำคัญและพิเศษกว่าเมืองท่า เหล่าอ่ืน เพราะมีที่ราบกินบริเวณกว้างรวมอ�ำเภอสิชล อ�ำเภอท่าศาลา และอ�ำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีพ้ืนที่ยาวประมาณ ๘๐ กิโลเมตร กว้าง ๑๐ กิโลเมตร ขนานกับชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ซึ่งเป็นแผ่นดินท่ีงอกใหม่ ส่วนด้านหลังเป็นป่าและภูเขา อุดมสมบูรณ์ มีล�ำคลองไหลผ่านประมาณ ๑๐ สาย เหมาะแก่การท�ำเกษตรกรรม สมัยต่อมาพ้ืนท่ีราบได้ขยายตัวกว้างออกไปถึงอ�ำเภอเชียรใหญ่ อ�ำเภอหัวไทร และ อ�ำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช๑๑๑ ลักษณะพื้นท่ีเป็นแนวยาวขนานชายฝั่ง ทะเลตามแนวเหนือใต้หรือเรียกกันว่าที่ราบนครศรีธรรมราช โดยเกิดจากคล่ืนหรือ กระแสน้�ำทะเลพัดพาเอาทรายขึ้นไปกองสะสม จนเกิดเป็นสันทรายยาวตลอดแนวฝั่ง เนอ้ื ดินเป็นทรายจัดดินลกึ มกี ารระบายนำ้� คอ่ นขา้ งมาก๑๑๒ บริเวณหลายอ�ำเภอดงั กลา่ ว น่าจะเป็นเขตเมืองตามพรลิงค์สมัยโบราณ เพราะมีการค้นพบหลักฐานโบราณคดี ด้านศิลปวัตถุของศาสนาฮินดู และเส้นทางคมนาคมติดต่อกับฝั่งทะเลตะวันตกผ่าน ชอ่ งเขาไปยงั จงั หวดั ตรงั และจงั หวดั กระบไ่ี ดอ้ ยา่ งสะดวก๑๑๓ ดว้ ยลกั ษณะทางภมู ศิ าสตร์ ดังกล่าว บริเวณน้ีจึงเป็นท�ำเลเหมาะสมส�ำหรับการสร้างชุมชนนับแต่อดีตมา เพราะ สามารถท�ำการเพาะปลูกหล่อเลี้ยงผู้คน ๑๑๐ ครองชัย หัตถา, ประวัติศาสตร์ปัตตานีสมัยอาณาจักรโบราณถึงการปกครอง ๗ หัวเมือง, (กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๑), หน้า ๗. ๑๑๑ กมลทิพย์ ธรรมกีระติ, ”ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองนครศรีธรรมราชกับอยุธยา ตั้งแต่ พุทธศตวรรษท่ี ๒๑ ถึงต้นพุทธศตวรรษท่ี ๒๔„, (มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๐), หน้า ๘-๙. ๑๑๒ ฉัตรชัย ศุภระกาญจน์, ตัวอย่างข้อมูลท้องถิ่นนครศรีธรรมราช, (นครศรีธรรมราช: มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์, ๒๕๔๗), หน้า ๓. ๑๑๓ ศรีศักร วัลลิโภดม, ”ชุมชนโบราณภาคใต้” ใน อู่อารยธรรมแหลมทองคาบสมุทรไทย, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทพิมพ์ดี จ�ำกัด, ๒๕๔๘), หน้า ๓๕.
86 หลักฐานทางโบราณคดี นอกจากนั้น เมืองตามพรลิงค์ยังมีแม่น�้ำสายส�ำคัญอีกหลายสาย กล่าว คือ แม่น�้ำปากพนังซ่ึงเกิดจากเทือกเขานครศรีธรรมราชและล�ำธารขนาดเล็กหลายสาย ไหลไปรวมกันที่บ้านปากแพรก อ�ำเภอปากพนัง กลายเป็นแม่น�้ำใหญ่ไหลลงสู่อ่าวไทย ที่อ�ำเภอปากพนัง แม่น�้ำสายนี้เป็นแม่น้�ำสายหลักท่ีหล่อเล้ียงพื้นที่การเกษตร ส่วน แมน่ ำ้� ตาปเี กดิ จากเทอื กเขานครศรธี รรมราชในเขตอำ� เภอลานสกา ไหลผา่ นอำ� เภอฉวาง อ�ำเภอพิบูลย์และอ�ำเภอทุ่งใหญ่ เข้าสู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วไปรวมกับแม่น้�ำ พุมดวงและแม่น�้ำคิรีรัฐ ก่อนที่จะไหลลงสู่อ่าวไทยที่บ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ถือว่าเป็นแม่น้�ำที่ยาวท่ีสุดในภาคใต้๑๑๔ แม่น�้ำเหล่านี้เป็นเส้นทางสัญจรหรือขนถ่าย สินค้ามาแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็นการค้าขายระหว่างชุมชนภายในคาบสมุทรไทยหรือ การค้าขายกับชาวต่างชาติ ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์ สรุปลักษณะเด่นของเมืองตามพรลิงค์ไว้ดังนี้ ๑) อยู่ในต�ำแหน่งอันเหมาะสม มีแม่น้�ำล�ำคลองหลายสายที่สามารถใช้เป็นเส้นทาง คมนาคมทางเรือเข้าสู่เมืองได้สะดวก จึงเหมาะท่ีจะเป็นศูนย์กลางของบรรดาเมืองท่า ค้าขายชายทะเลท้ังหลาย กล่าวคืออาศัยหลบคลื่นลม หยุดแวะหาเสบียงอาหาร ซื้อ ขายแลกเปลี่ยนสินค้า ตั้งหลักแหล่งบนภูเขา เป็นต้น จึงเปรียบเสมือนประตูหรือ สะพานทางผา่ นหรอื เปน็ ชมุ ทางเดนิ เรอื นานาชาตอิ ยา่ งแทจ้ รงิ ๒) มสี นั ทรายยาวเหยยี ด อยู่สองแนวขนานไปตามชายฝั่งทะเล เฉพาะสันทรายแนวนอกชิดทะเลมีความยาวจาก เหนือถึงใต้ประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตร กว้างถึง ๔๐๐ เมตร เกิดเป็นท่ีราบระหว่าง สันทราย ที่ราบชายทะเล และท่ีราบชายภูเขาด้านตะวันตกล้วนเก้ือกูลทางภูมิศาสตร์ สามารถท�ำนาพอเพียงต่อการเล้ียงดูพลเมือง และ ๓) อุดมสมบูรณ์ด้วยธรรมชาติ เพราะมีเขาหลวงตั้งอยู่ด้านหลัง สามารถเก็บของป่ามาขายสร้างรายได้เป็นอย่างดี๑๑๕ ๑๑๔ อ้างแล้ว, กมลทิพย์ ธรรมกีระติ, ”ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองนครศรีธรรมราชกับอยุธยา ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๑ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔„, หน้า ๑๖. ๑๑๕ อ้างแล้ว, ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์, ”ตามพรลิงค์„, หน้า ๘๘-๙๐.
ตามพรลิงค์ 87 สินค้าส�ำคัญของตามพรลิงค์คือเครื่องเทศ ไม้หอม หนังสัตว์ ของป่า และพรกิ ไทย โดยเฉพาะพรกิ ไทยนนั้ เปน็ ทยี่ อมรบั ของพอ่ คา้ ชาวตา่ งชาตวิ า่ มคี ณุ ภาพดี ปรากฏเห็นในบันทึกของพ่อค้าชาวต่างประเทศกล่าวคือฮอลันดาและอังกฤษ๑๑๖ ถัดมาเป็นข้ีผ้ึง ไม้กฤษณา ไม้มะเกลือ ก�ำมะถัน งาช้าง และนอระมาด๑๑๗ และดีบุก คุณภาพดี ไข่มุก ก�ำมะถัน กระดองตะพาบ ขนหัวนกกระเรียน ไม้แก่นจันทน์ด�ำ ขี้ผึ้ง และไม้หอม๑๑๘ เฉพาะดีบุกน้ันเป็นสินค้าส�ำคัญของนครศรีธรรมราช เพราะเป็น ที่ต้องการของพ่อค้าชาวอินเดียและยุโรป๑๑๙ ส่วนก�ำยาน หวาย และทองค�ำก็มีกล่าว ถึงเช่นกัน๑๒๐ นอกจากนั้น ยังมีไม้ฝาง น้�ำตาล ต้นกระเบา หนังกวาง หนังวัว๑๒๑ และ เขาวัว รายช่ือสินค้าดังกล่าวข้างต้นล้วนบ่งถึงของป่าแทบท้ังส้ิน สินค้าป่าเหล่าน้ีน่าจะ เป็นของแปลกหรือของหายากส�ำหรับพ่อค้าชาวต่างชาติ ส่วนพริกไทยและดีบุกนั้นเป็น สินค้าข้ึนช่ือของนครศรีธรรมราชนับแต่อดีตมา ด้านสินค้าน�ำเข้าได้แก่ กลดพระ ร่มธรรมดา เส้นไหมเหอฉี สุรา ข้าว เกลือ น้�ำตาล เคร่ืองเคลือบ อ่างดินเผาใบใหญ่ จานเงินและทอง๑๒๒ นอกจากนั้น ยังมีถ้วยกระเบื้องสีขาวและสีน�้ำเงิน พร้อมกลอง๑๒๓ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าชั้นดีจากประเทศจีน หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าสินค้าจากจีน สว่ นหนงึ่ เปน็ สมณบรขิ ารสำ� หรบั พระสงฆ์ อกี สว่ นหนง่ึ เปน็ ของฟมุ่ เฟอื ยสำ� หรบั คนมงั่ มี ๑๑๖ กรมศิลปากร, บันทึกความสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับนานาประเทศในศตวรรษที่ ๑๗ เล่ม ๑, แปลโดย ไพโรจน์ เกษแม่นกิจ (พระนคร: คุรุสภา, ๒๕๑๒), หน้า ๑๓๘, ๑๖๒. ๑๑๗ Ibid., Paul Wheatley, The Golden Khersonese, pp. 66-67. ๑๑๘ Ibid., p. 77. ๑๑๙ แอนโทนี รีด, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคการค้า ค.ศ.1450-1680. เล่ม ๑ ดินแดน ใต้ลม, แปลโดย พงษ์ศรี เลขะวัฒนะ, (กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, ๒๕๔๘), หน้า ๑๒๐. ๑๒๐ อ้างใน ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์, ”ตามพรลิงค์”, หน้า ๒๓. ๑๒๑ Yoneo Ishii, The Junk Trade from Southeast Asia: Translation from the Tosen Fusetsugaki 1674-1753, (Singapore: Institute of Southeast Asai Studies, 1998), pp. 132, 137. ๑๒๒ Ibid., Paul Wheatley, the Golden Khersonese, pp. 66-67. ๑๒๓ Ibid., p. 77.
88 หลักฐานทางโบราณคดี ความส�ำคัญของเมืองตามพรลิงค์ในฐานะเมืองท่าปรากฏเห็นในหลักฐาน ต่างชาติหลายแห่ง เร่ิมต้นจากอินเดียพบเห็นหลักฐานในคัมภีร์มหานิเทสและคัมภีร์ มลิ นิ ทปญั หา ซง่ึ กลา่ วถึงเมืองทา่ บรเิ วณภาคใตข้ องประเทศไทยแสดงใหเ้ หน็ วา่ มีพ่อค้า ชาวอินเดียเดินทางมาค้าขายกับเมืองท่าบริเวณคาบสมุทรไทยประมาณพุทธศตวรรษ ท่ี ๖-๗๑๒๔ ถัดมาเป็นศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยความว่า ”(ศิลาจารึกน้ีเป็น) ของผู้เป็น เจ้าแห่งวิทยาการ (พระศิวะ) ขอความนอบน้อม จงมีแก่ท่านผู้เป็นเจ้าแห่งป่า ขอความ นอบน้อม จงมีแก่ท่านผู้เป็นเจ้าแห่งเทพท้ังมวล ชนท้ังหลายผู้เคารพต่อพระศิวะคิด ว่า ของอันท่านผู้เจริญ (พระศิวะ) นี้ จะพึงให้มีอยู่ในที่นี้ จึงมาเพื่อประโยชน์ (น้ัน) ถ้าคนดีอยู่ในหมู่บ้านของชนเหล่าใด ความสุขและผล (ประโยชน์) จักมีแก่ชน เหล่านั้น„๑๒๕ หลักฐานน้ีช้ีให้เห็นว่ามีพ่อค้าอินเดียเดินทางมาค้าขายกับตามพรลิงค์ นับต้ังแต่พุทธศตวรรษที ๑๒ เป็นต้นมา สันนิษฐานว่าพ่อค้าชาวอินเดียกลุ่มน้ีนับถือ ศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย นอกจากเข้ามาต้ังถ่ินฐานในตามพรลิงค์แล้วยังสร้าง เทวสถานส�ำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาด้วย หลักฐานต่อมาเป็นจารึกหลักท่ี ๒๗ วัดมเหยงค์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซ่ึงจารึกเป็นภาษาสันสกฤต มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ มีความข้อตอนหนึ่ง กล่าวถึง ”ธงจีน”๑๒๖ และจดหมายเหตุหล่ิงไว่ไต๋ต๋า (หลักฐานจีนสมัยราชวงศ์ซ่ง พ.ศ. ๑๕๐๓-๑๘๒๒) ความว่า ”ประมุขของราชอาณาจักรต้านหม่าลิ่งเรียกว่าเซ่ียงกวง (เจ้านาย) เมืองน้ีล้อมรอบด้วยระเนียดไม้กว่า ๖ ถึง ๗ ฉือ (ฟุตจีน) และสูง ๒๐ ฉือ ใช้สู้รบป้องกันเมืองได้ ประชาชนเมืองนี้ข่ีกระบือ เกล้าผมไปข้างหลังและเดินเท้าเปล่า เรือผู้สูงศักด์ิสร้างด้วยไม้ กระท่อมของไพร่สร้างด้วยไผ่มีแผงก้ันท�ำข้ึนด้วยใบจาก ๑๒๔ ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๕๕/๑๘๘: พระติปิฏกจูฬาภยเถระ, คัมภีร์มิลินทปัญหาภาษาไทย, ฉบบั มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , (กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๙), หน้า ๕๐๓. ๑๒๕ กรมศิลปากร, น�ำชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช, พิมพ์ครั้งท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๔๓), หน้า ๙๙-๑๐๐. ๑๒๖ จารึก ๑, หน้า ๔๐.
ตามพรลิงค์ 89 และใช้หวายเส้นรัด ผลิตผลท้องถิ่นมีข้ีผ้ึง ไม้กฤษณา ไม้มะเกลือ ก�ำมะถัน งาช้าง และนอระมาด พวกพ่อค้าต่างชาติน�ำกลดพระและร่มธรรมดา เส้นไหมเหอฉี สุรา ข้าว เกลือ น้�ำตาล เครื่องเคลือบ อ่างดินเผาใบใหญ่ สิ่งของหนักๆ และหยาบท�ำนอง น้ี พร้อมทั้งจานเงินและทองเข้ามาขาย ย่ือหลัวถิง เฉียนไม้ป๋าถ้า และเจียหลัวชี คือ ประเทศที่คล้ายๆ ต้านหม่าล่ิง เก็บรวบรวมภาชนะเงินทองเท่าที่หาได้เหมือนยื่อหลัว ถิงและเมื่อข้ึนอ่ืนๆ ส่งเป็นเคร่ืองราชบรรณาการแก่ศรีวิชัย„๑๒๗ แสดงให้เห็นว่าพ่อค้า จีนเดินทางมาค้าขายกับตามพรลิงค์สมัยเป็นเมืองข้ึนของอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งขณะน้ัน เมืองท่าแห่งนี้มีความม่ันคงรุ่งเรืองมากพอสมควร สังเกตได้จากสินค้าที่พ่อค้าจีนน�ำ มาเข้ามานั้นล้วนเป็นของมีค่าเหมาะส�ำหรับคนชั้นสูงหรือพ่อค้าคหบดี ส่วนหลักฐานจากพ่อค้าชาวตะวันตกพบเห็นในบันทึกของแฟร์นังค์ มังเตช ปินโต ความว่า ”เราพักอยู่ท่ีปาตาน (ปัตตานี) ได้ ๒๖ วัน ก็มีเรือล�ำหนึ่ง บังคับการโดยคนช่ืออันโตนิโอ เดอะ ฟาริอา ซูซา มาท่ีน้ัน โดยค�ำสั่งของผู้บังคับการ ทหารท่ีมะละกา เพื่อเจรจากับพระเจ้ากรุงปัตตานี ถึงข้อตกลงบางประการและขาย ผา้ ดบิ ของอนิ เดยี ซงึ่ มผี ใู้ หส้ นิ เชอื่ มาจากมะละกาเปน็ เงนิ ถงึ ๑๐,๐๐๐ หรอื ๑๒,๐๐๐ เอกต์ แต่โดยท่ีสินค้าเหล่าน้ีซ้ือไม่ง่ายขายไม่คล่องนักท่ีปัตตานี จึงมีผู้แนะน�ำอันโตนิโอ ให้ ส่งไปขายที่เมืองนครอันเป็นเมืองใหญ่แห่งกรุงสยาม ไกลขึ้นไปทางเหนือเป็นระยะทาง ประมาณ ๑๐๐ ลิเออ...„๑๒๘ และจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์ความว่า ”ออกจากบาตาเวีย ข้าพเจ้าลงเรือแต่เช้าตรู่วันอาทิตย์ท่ี ๘ มกราคม พ.ศ.๒๒๓๓ (ค.ศ.๑๖๙๐) ขึ้นมา ตามชายฝั่งสุมาตรา เข้าช่องแคบบังกาในระหว่างเกาะบังกากับสุมาตรา แล้วแล่นอ้อม เกาะลิกันอยู่ราวกึ่งทางในระหว่างเกาะลงกาและโซนัน (สิงคโปร์) ขึ้นมายังเกาะอัวร์ แล้วเกาะติมอน ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของมะลักกาทั้งสองเกาะ ต่อจากน้ันค่อยๆ แล่นเสียบฝั่งมลายู ผ่านแหลมปัตตานีเร่ือยมาเข้าเขตเมืองนคร ผ่านเกาะคอร์นัม ๑๒๗ Ibid., Paul Whealtey, The Golden Khersonese, pp. 66-67. ๑๒๘ แฟร์นังค์ มังเดซ ปินโต, การท่องเท่ียวผจญภัยของแฟร์นังด์ มังเดซ ปินโต ค.ศ. ๑๕๓๗-๑๕๕๘, แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร, (กรุงเทพมหานคร: กรมศิลปากร, ๒๕๒๖), หน้า ๕๓.
90 หลักฐานทางโบราณคดี เกาะสมุยและเกาะบอร์เดีย จนเข้าแขวงเมืองกุยบุรี เม่ือวันที่ ๕ มิถุนายน„๑๒๙ หลักฐานเบ้ืองต้นช้ีบอกว่าแม้เมืองนครศรีธรรมราชตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร อยุธยา แต่ความส�ำคัญในฐานะเมืองท่าก็ไม่ลดบทบาทลง ยังมีความส�ำคัญในสายตา ของพ่อค้าชาวยุโรปดังเดิม เนื้อหาจากหลักฐานเบื้องต้นท้ังหมดท�ำให้เห็นว่าตามพรลิงค์เป็นเมือง ยุทธศาสตร์ส�ำคัญเพราะตั้งอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสม มีสันทรายทอดตัวเป็นแนวยาว และมีแม่น�้ำส�ำคัญหลายสายไหลผ่านเหมาะส�ำหรับการท�ำเกษตรกรรม มีทรัพยากร ทางธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ และมีท่าจอดเรือธรรมชาติส�ำหรับหลบลมมรสุมและพัก ถ่ายสินค้า ด้วยปัจจัยดังกล่าวจึงท�ำให้เมืองท่าตามพรลิงค์ก่อเกิดพัฒนาการจากเมือง ท่าธรรมชาติเป็นสถานีการค้าและอาณาจักรอันยิ่งใหญ่สมัยต่อมา นอกจากนั้น การ ค้ากับชาวต่างชาติยังเป็นการน�ำเข้าศาสนาและวัฒนธรรมต่างถ่ิน และผสมผสานกับ ความเชื่อดั้งเดิมของชาวพ้ืนเมือง แล้วมีการปรับเปล่ียนจนกลายเป็นรูปแบบเฉพาะ และส่งต่ออาณาจักรเหล่าอ่ืนภายหลัง คติความเชื่อเหล่านี้พบเห็นมากมายในหลักฐาน โบราณคดี ๒.๒.๓ ตามพรลิงค์ในฐานะหลากหลายศาสนา กลุ่มชนด้ังเดิมท่ีอาศัยอยู่ในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทยมีหลายกลุ่ม ดังเช่น ๑) พวกเซมัง รูปร่างลักษณะมีผิวสีน้�ำตาลไหม้และเรือนร่างแคระ ผมส้ันขมวด ติดกันและฟูเต็มศีรษะ ริมฝีปากหนา ผู้ชายนิยมใช้ผ้าเตี่ยวท�ำด้วยเปลือกไม้พันรอบ ตัว ส่วนผู้หญิงนุ่งกระโปร่งสั้นท�ำด้วยหญ้าหรือใยไม้ พวกเซมังเป็นเผ่าเร่ร่อนไม่นิยม สร้างที่อยู่อาศัยถาวร ไม่ท�ำการเพาะปลูกเล้ียงชีวิตด้วยการหาอาหารป่า๑๓๐ และ ๒) พวกมอแกน เป็นเผ่าท่ีมีมาก่อนชาวมาเลย์ มีภาษาเก่ียวข้องกับภาษาจาม อาศัย ๑๒๙ แกมป์เฟอร์, ไทยในจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์, แปลโดย อ. สายสุวรรณ (งานฌาปนกิจ ศพนายรวย ศยามานนท์ ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม ๒๘ มกราคม ๒๕๐๘), หน้า ๙๔ ๑๓๐ กรมศิลปากร, ชาติวงศ์วิทยาว่าด้วยชนชาติเผ่าต่างๆ ในประเทศไทย, (พระนคร: อักษร เจริญทัศน์การพิมพ์, ๒๕๐๙), หน้า ๑๔-๑๕.
ตามพรลิงค์ 91 อยู่ตามชายฝงั่ ทะเลจากเทือกเขาตะนาวศรใี นประเทศพม่าตอนลา่ งไปจนถึงภาคใตข้ อง ประเทศไทย๑๓๑ ต่อมามีคนอีกหลายกลุ่มเคล่ือนย้ายเข้ามาบุกรุกยึดครอง กล่าวคือ พวกโปรโต มาเลย์ (Proto-Malay) และพวกดิวเทอโร มาเลย์ (Deutero Malay) โดยเฉพาะกลุ่มหลังนั้นเช่ียวชาญเกษตรกรรม มีความช�ำนาญในการเดินเรือโดยใช้ ความรู้ทางดาราศาสตร์ จึงติดต่อกับดินแดนอ่ืนอย่างกว้างขวาง๑๓๒ อีกกลุ่มหน่ึงคือ พ่อค้าและนกั แสวงโชคชาวจีนซ่ึงเขา้ มาคา้ ขายและตัง้ ถน่ิ ฐานภายในชมุ ชนทางทะเลเชน่ กัน ก่อนกลุ่มคนไทยจะอพยพโยกย้ายลงมาตอนใต้ของประเทศไทย๑๓๓ หลักฐานใน พระนิพพานโสตรก็กล่าวถึงผู้คนหลายเช้ือชาติภายในเมืองนครศรีธรรมราชเช่นกัน โดยพรรณนาถึงเหตุการณ์ตอนพระยาศรีธรรมาโศกราชสร้างเจดีย์มีคนหลายเช้ือชาติ ช่วยเหลือ กล่าวคือ ”เทศลาวมอญแขกขอมไทย” อีกแห่งหน่ึงระบุว่า ”มีจีนท้ิงกว้าน ก็แล่นมา”๑๓๔ ชนอีกกลุ่มหน่ึงคือพ่อค้าชาวอินเดีย ซ่ึงเดินทางเข้ามาค้าขายกับเมือง นครศรีธรรมราช ครั้นเห็นว่าเป็นเมืองน่าอยู่อีกท้ังประชาชนพลเมืองมีนิสัยไม่ดุร้าย จึงพากันเข้ามาต้ังภูมิล�ำเนาพร้อมกันนั้นได้น�ำศิลปวิทยาการและศาสนาเข้ามาเผยแผ่ ด้วย๑๓๕ หม่อมเจ้า สุภัทรดิศ ดิศกุล วิเคราะห์ถึงสาเหตุท่ีชาวอินเดียเดินทางมา ตั้งหลักปักฐานบริเวณเมืองนครศรีธรรมราชไว้อย่างน่าสนใจว่า ๑) เพราะพ่อค้า ชาวอนิ เดยี ตอ้ งการทอง เครอื่ งเทศ ไมห้ อมและยางไมห้ อม ซง่ึ ถอื วา่ เปน็ สนิ คา้ ฟมุ่ เฟอื ย โดยเฉพาะทองน้ันต้องการมาก ๒) ชาวอินเดียรู้จักการต่อเรือดีข้ึนจนสามารถขนผู้ โดยสารไดเ้ ปน็ จำ� นวนมาก ๓) ชาวอนิ เดยี เรมิ่ เรยี นรวู้ ถิ ลี มมรสมุ จงึ ทำ� ใหส้ ะดวกรวดเรว็ ๑๓๑ อ้างแล้ว, กรมศิลปากร, ชาติวงศ์วิทยาว่าด้วยชนชาติเผ่าต่างๆ ในประเทศไทย, หน้า ๑๖-๑๗. ๑๓๒ อ้างแล้ว, ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์, ”ตามพรลิงค์”, หน้า ๒๙-๓๐. ๑๓๓ วิลเลียม จี. สกินเนอร์. สังคมจีนในประเทศไทย: ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์, แปลโดย พรรณี ฉตั รพลรกั ษ์และคนอืน่ ๆ, (กรุงเทพมหานคร: มลู นิธิโครงการต�ำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ แห่งประเทศไทย, ๒๕๒๙), หน้า ๑. ๑๓๔ พระนิพพานโสตร, หน้า ๓๕. ๑๓๕ อ้างแล้ว, เร่ืองเมืองนครศรีธรรมราช, หน้า ๔-๕.
92 หลักฐานทางโบราณคดี และแม่นย�ำกว่าแต่ก่อน และ ๔) ผลมาจากพระพุทธศาสนาเจริญมากข้ึน ท�ำให้สังคม ของอินเดียเปิดกว้างมากขึ้นไม่มีการรังเกียจคนต่างเช้ือชาติ๑๓๖ ผู้วิจัยสันนิษฐานว่าผู้ เดินทางมาพร้อมกับพ่อค้าชาวอินเดียน่าจะเป็นพราหมณ์และพระสงฆ์ แต่เน่ืองจาก พราหมณ์มีเพศภาวะที่เหมาะสมกับคนพื้นเมืองมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงานกับ สตรพี ้ืนเมอื งหรอื เปน็ ท่ีปรึกษาของกษตั รยิ ์หรอื เจา้ เมือง ขณะทีพ่ ระสงฆม์ ขี ้อจำ� กดั เรือ่ ง เพศและวัตรปฏิบัติ จึงเป็นเหตุให้ศาสนาพราหมณ์เป็นที่รู้จักแพร่หลายได้เร็วกว่า พุทธศาสนา หลักฐานจากคัมภีร์มหานิเทสและคัมภีร์มิลินทปัญหายืนยันว่ามีพ่อค้า ชาวอินเดียเดินทางมาค้าขายกับเมืองท่าบริเวณคาบสมุทรไทยประมาณพุทธศตวรรษ ที่ ๖-๗๑๓๗ แต่น่าเสียดายหลักฐานดังกล่าวไม่ระบุชัดเจนว่ามีพราหมณ์หรือพระสงฆ์ เดินทางมาเผยแผ่ค�ำสอนศาสนาแห่งตนหรือไม่ พอล ไมเคิล มูนอซ (Paul Michel Munoz) แสดงความเห็นว่าสมัยแรกเร่ิมนั้นชาวอินเดียที่เดินทางมาท�ำการค้าขายกับ เมืองท่าบริเวณคาบสมุทรมาเลย์ เพราะเหตุผลทางการเมืองและสังคมเท่านั้น แม้จะมี เรอ่ื งศาสนาเขา้ มาเกยี่ วขอ้ งแตย่ งั ไมใ่ หน้ ำ้� หนกั มากนกั อาจเปน็ เพราะชาวอนิ เดยี ตอ้ งการ เผยแผ่แนวคิดทางการเมืองและสังคมเป็นเบื้องต้น ต่อมาภายหลังศาสนาพราหมณ์ และพุทธจึงได้รับโอกาสเผยแผ่จนรุ่งเรืองแพร่หลาย๑๓๘ ผู้วิจัยเห็นว่าแนวความคิด ทางการเมอื งและสังคมของชาวอินเดยี น้ันลว้ นมาจากศาสนาท้งั สิน้ การจะเข้าใจทัง้ สอง อย่างต้องเริ่มต้นจากศาสนาก่อน แต่เหตุที่พิธีกรรมทางศาสนายังไม่เป็นที่รู้จักแพร่ หลายหรือต้องใช้เวลานาน น่าจะมาจากคติความเชื่อของคนพื้นเมืองเป็นส�ำคัญ หรือคนพื้นเมืองอาจจะไม่มีขีดความสามารถรองรับค�ำสอนในเวลาอันรวดเร็ว ความ แพร่หลายของศาสนาจึงค่อนข้างเป็นไปได้ช้า ๑๓๖ ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้า สุภัทรดิศ ดิศกุล, ประวัติศาสตร์เอเชียอาคเนย์ถึง พ.ศ.๒๐๐๐, พิมพ์คร้ังที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนสามลดา, ๒๕๔๙), หน้า ๕-๖. ๑๓๗ ข.ุ ม. (ไทย) ๒๙/๕๕/๑๘๘: พระตปิ ฏิ กจฬู าภยเถระ, คมั ภรี ม์ ลิ นิ ทปญั หาภาษาไทย, หนา้ ๕๐๓. ๑๓๘ Paul Michel Munoz, Early Kingdoms: Indonesian Archipelago & the Malay Peninsula, (Singapore: Editions Didier Millet, 2006), pp. 66-68.
ตามพรลิงค์ 93 ส�ำหรับหลักฐานเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์บนดินแดนภาคใต้ของไทยท่ี เก่าสุดคือ การค้นพบเทวรูปพระวิษณุท่ีวัดศาลาทึง อ�ำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เทวรูปพระวิษณุท่ีวัดพระเพลง อ�ำเภอนาสาร จังหวัดนครศรีธรรมราช เทวรูปพระ วิษณุที่หอพระนารายณ์ อ�ำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช และเทวรูปพระวิษณุที่ บ้านพังก�ำ อ�ำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช เทวรูปเหล่าน้ีล้วนมีอายุประมาณ พุทธศตวรรษท่ี ๑๐-๑๑๑๓๙ เป็นที่น่าสังเกตอย่างหน่ึงว่าเทวรูปเหล่าน้ีมีลักษณะใกล้ เคียงกันและใช้วัสดุเหมือนกันกล่าวคือศิลา และเทวรูปเหล่านี้กระจายกันอยู่ในเขต จังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดใกล้เคียง สันนิษฐานว่าแรกเร่ิมชาวอินเดียผู้นับถือ ไวษณพนิกายน่าจะอัญเชิญเทวรูปพระนารายณ์มาด้วย เพ่ือให้ง่ายต่อการประกอบ พิธีกรรม คร้ันต่อมาคติความเช่ือเป็นที่รู้จักแพร่หลาย พวกพราหมณ์จึงแนะน�ำสั่งสอน ช่างพื้นเมืองให้ปั้นเทวรูปพร้อมสร้างเทวสถาน ส่วนลัทธิไศวนิกายพบหลักฐานครั้งแรกที่จารึกหุบเขาช่องคอย ซ่ึงกล่าว ถึงพ่อค้าชาวอินเดียพากันก�ำหนดบริเวณหุบเขาช่องคอยให้เป็นศิวสถานช่ัวคราว เพื่อท�ำพิธีกรรมสักการะเซ่นไหว้ เน่ืองจากพวกตนต้องเดินทางท�ำการค้าขาย จารึก หลักนี้ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๒๑๔๐ ถัดมาเป็นเอกามุขลึงค์พบที่สถานีรถไฟ หนองหวาย อ�ำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ศิวลึงค์ที่อ�ำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ศิวนาฏราชส�ำริดท่ีเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ อ�ำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช และ โยนิบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช หลักฐานเหล่านี้ล้วนช้ีบอกว่าลัทธิไศวนิกายเป็น ท่ีรู้จักแพร่หลายประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๑-๑๒๑๔๑ นอกจากน้ียังมีหอพระนารายณ์ หอพระศิวะและโบสถ์พราหมณ์ในจังหวัดนครศรีธรรมราช แม้จะมีการปฏิสังขรณ์ หลายต่อหลายครั้ง แต่การมีอยู่ของเทวสถานล้วนชี้บอกว่าศาสนาพราหมณ์เป็นที่รู้จัก แพร่หลายตลอดหัวเมืองบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย ๑๓๙ อ้างแล้ว, พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ไชยา, หน้า ๑๐๔, ๑๐๙. ๑๔๐ จารึก ๑, หน้า ๗. ๑๔๑ ศิลปะทักษิณ, หน้า ๑๐๖.
94 หลักฐานทางโบราณคดี นอกจากน้ัน ร่องรอยของศาสนาพราหมณ์ยังพบเห็นในวรรณกรรมนาม ว่าพระนิพพานโสตร ซึ่งอ้างถึงเหล่าเทวดาน้อยใหญ่ประกอบด้วย พระอินทร์ พระ พรหม พระยม นารายณ์ พระแม่ธรณีและเหล่านาค ต่างพากันมากราบไหว้พระบรม สารีริกธาตุ๑๔๒ แม้จารึกวัดเสมาเมืองก็กล่าวถึงว่าพระเจ้ากรุงศรีวิชัยทรงมีลักษณะ เหมือนพระนารายณ์ พระอาทิตย์ พระจันทร์และพระกาม เฉพาะเทพเจ้าสามองค์ สดุ ทา้ ยเปน็ ทรี่ จู้ กั วา่ เปน็ เทพเจา้ ประจำ� ทศิ ทงั้ แปดตามคตคิ วามเชอ่ื ของศาสนาพราหมณ๑์ ๔๓ สอดคล้องกับหลักฐานจากการค้นคว้าของนิลกันตะ ศาสตรี ซึ่งระบุว่าพุทธศตวรรษ ท่ี ๑๒-๑๔ อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์รุ่งเรืองแพร่หลาย เพราะราขวงศ์ปัลลวะได้ สง่ เสรมิ เพอื่ แขง่ ขนั กบั พทุ ธศาสนา ดว้ ยการอปุ ถมั ภใ์ หแ้ พรห่ ลายไปยงั นานาประเทศ๑๔๔ หลกั ฐานเหลา่ นน้ี า่ จะสมบรู ณเ์ พยี งพอตอ่ การยนื ยนั ถงึ การแพรห่ ลายของศาสนาพราหมณ์ ทั้งสองนิกาย นับแต่สมัยเร่ิมต้นเผยแผ่จนถึงปัจจุบัน สมยั ตอ่ มาความนยิ มศาสนาพราหมณล์ ดนอ้ ยลง เนอื่ งมาจากกระบวนการ เผยแพร่ศาสนาพราหมณ์บนคาบสมุทรมาเลย์ไม่มีระบบการวางเครือข่ายเชื่อมโยงกัน แต่ละนิกายต่างเผยแผ่ตามแนวคิดคตินิยมแห่งตน อีกท้ังได้รับผลกระทบจาก กระบวนการผสมผสานความเช่ือเข้ากับพระพุทธศาสนามหายาน ย่ิงกว่านั้นการปรับ เปลี่ยนบทบาทของพราหมณ์เดิมเป็นผู้เผยแผ่ศาสนาตามเทวสถาน กลายมาเป็นผู้ ประกอบพิธีกรรมในราชส�ำนักและยกย่องอ�ำนาจทางโลกของผู้ปกครองรัฐน้อยใหญ่ ในอาณาจักรศรีวิชัย ส่งผลต่อการยอมรับความนิยมของวัชรยานตันตระจนรุ่งเรือง ตลอดหัวเมืองน้อยใหญ่ในอาณาจักรศรีวิชัยเป็นเวลายาวนาน๑๔๕ ผู้วิจัยเห็นว่าเหตุที่ ศาสนาพราหมณ์ลดความส�ำคัญลงน่าจะมาจากการขึ้นสู่อ�ำนาจของราชวงศ์ไศเลนทร์ ๑๔๒ พระนิพพานโสตร, หน้า ๒๗. ๑๔๓ พรพรหม ชลารัตน์, ”อภิปรัชญาในความเช่ือและพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์ใน นครศรีธรรมราช”, (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๔), หน้า ๒๐-๒๔. ๑๔๔ K.A. Nilakanta Satri, A History of South India, (London: Oxford University Press, 1966), p. 5. ๑๔๕ อ้างแล้ว, อมรา ศรีสุชาติ, ศรีวิชัยในสุวรรณทวีป, หน้า ๒๐๐.
ตามพรลิงค์ 95 แห่งอาณาจักรศรีวิชัย สังเกตได้ว่าสมัยนี้ราชวงศ์ไศเลนทร์สร้างพุทธสถานมหายาน เป็นจ�ำนวนมาก ตลอดหัวเมืองน้อยใหญ่ในอินโดนีเชีย หลักฐานส�ำคัญคือบรมพุทโธ อาณาจักรตามพรลิงค์ซ่ึงเป็นเมืองประเทศราชของอาณาจักรศรีวิชัยจึงได้รับอิทธิพล อย่างหลีกเล่ียงมิได้ อิทธิพลและความส�ำคัญของศาสนาพราหมณ์สามารถสรุปจากพระ บรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๕ ว่า ”พวก พราหมณ์ที่อยู่ในกรุงเทพฯ บัดนี้ก็ถือเป็นเทือกเถาของพราหมณ์ซ่ึงมาแต่ประเทศ อินเดีย แต่ในขณะแต่ก่อนเมืองนครศรีธรรมราชเป็นเมืองใหญ่ข้างฝ่ายใต้ เรือลูกค้า ไปมาค้าขายอยู่ทั้งสองฝั่งทะเล คือข้างฝั่งนี้เข้าถึงเมืองนครศรีธรรมราช ข้างฝั่ง ตะวันตกเข้าถึงเมืองตรัง พราหมณ์จึงได้เข้ามาท่ีเมืองนครศรีธรรมราช แล้วจึงเข้ามา กรุงเทพฯ ...เพราะฉะน้ัน เชื้อสายพราหมณ์ในเมืองนครศรีธรรมราชไม่สิ้นสุดจนถึง บัดนี้„๑๔๖ ส�ำหรับข้อมูลเก่ียวกับพระพุทธศาสนามหายานท่ีเผยแผ่เข้ามายังบริเวณ ภาคใต้นนั้ หลักฐานเกา่ สุดคือจารึกวดั เสมาเมือง ซึ่งกลา่ วถึงพระเจ้าวิชยั แห่งไศเลนทร์ ผู้เป็นอธริ าชเหนอื ราชานอ้ ยใหญ่ โปรดให้สรา้ งอาคารอฐิ สามหลังถวายแดพ่ ระโพธิสัตว์ ผู้ถือดอกบัว หมายถึงพระอวโลกิเตศวร พระพุทธเจ้าผู้ช�ำนะมารและพระโพธิสัตว์ผู้ มวี ชั ระหรอื พระโพธสิ ตั ว์วัชรปาณี โดยระบุวา่ ตรงกบั พทุ ธศกั ราช ๑๓๑๘๑๔๗ สอดคลอ้ ง กบั หลกั ฐานวา่ สมยั ราชวงศไ์ ศเลนทรป์ กครองอาณาจกั รศรวี ชิ ยั นน้ั ไดส้ นบั สนนุ พระพทุ ธ ศาสนามหายานเป็นอย่างดี๑๔๘ ส่วนหลักฐานด้านศิลปกรรมท่ีแสดงคติพุทธศาสนา มหายานคือ รูปปั้นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรส�ำริดสี่กร ซึ่งพบบริเวณใกล้วัดพระเพรง อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔๑๔๙ ถัดมาเป็นพระโพธิสัตว์ปัทมปาณิซ่ึงย้ายมาจากวัด ๑๔๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระราชพิธีสิบสองเดือน, (พระนคร: คลังวิทยา, ๒๕๑๔), หน้า ๘๒. ๑๔๗ จารึก ๑, หน้า ๑๘๗-๒๐๓. ๑๔๘ อ้างแล้ว, อมรา ศรีสุชาติ, ศรีวิชัยในสุวรรณทวีป, หน้า ๑๙๓-๒๗๐. ๑๔๙ อ้างแล้ว, น�ำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช, หน้า ๕๕.
96 หลักฐานทางโบราณคดี เวียง อ�ำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๗๑๕๐ สันนิษฐาน ว่าพระโพธิสัตว์ปัทมปาณอิ งคน์ อ้ี าจสร้างโดยพระเจา้ กรงุ ศรีวชิ ยั แหง่ ไศเลนทร์ ซึง่ จารกึ วัดเสมาเมืองระบุว่าพระองค์โปรดให้สร้างอาคารก่ออิฐอุทิศถวายแก่พระพุทธเจ้าและ พระโพธิสัตว์๑๕๑ หากสังเกตลวดลายเครื่องประดับเพชรพลอยบนประติมากรรมพระ โพธิสัตว์องค์นี้ จะเห็นว่ามีความคล้ายคลึงกับประติมากรรมจากชวาภาคกลาง เช่ือว่า นา่ จะมีความสมั พันธร์ ะหวา่ งกษตั รยิ แ์ ห่งศรวี ิชยั (ไชยา) และไศเลนทร์ในชวาภาคกลาง เป็นแน่๑๕๒ ส่วนพระพิมพ์ดินเผาเก่าแก่สุดพบท่ีกรุก�ำแพงถม อ�ำเภอเมือง จังหวัด นครศรีธรรมราช มีลักษณะเป็นพระพุทธเจ้าประทับน่ังห้อยพระบาทอยู่ตรงกลาง มี พระโพธิสัตว์ประทับยืนเคียงข้างอยู่ข้างละองค์ เบ้ืองบนมีพระพุทธเจ้าสามองค์ประทับ น่ังปางสมาธิ แสดงถึงพระพุทธเจ้าก�ำลังเทศนาอริยสัจโปรดเทพทั้งหลายในสวรรค์ ซ่ึงสร้างขึ้นตามคติของพระพุทธศาสนามหายาน ประมาณพุทธศักราช ๑๒-๑๓๑๕๓ สุดท้ายเป็นเศียรพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เป็นศิลปะลพบุรีราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ พุทธลักษณะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กล่าวคือพระพักตร์ส่ีเหล่ียมมีไรพระศกเป็น กรอบพักตร์ พระเกศาหวีมุ่นเป็นมวยอยู่กลางกระหม่อม ด้านหน้ามีรูปพระพุทธเจ้า ประทับปางสมาธิหรือพระธยานิอมิตาภะประดิษฐานอยู่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระโพธิ สัตว์อวโลกิเตศวร๑๕๔ สว่ นหลกั ฐานดา้ นลายลกั ษณอ์ กั ษรทชี่ ใี้ หเ้ หน็ ถงึ ความรงุ่ เรอื งของมหายาน บริเวณภาคใต้ของประเทศไทย เห็นได้จากบันทึกของพระภิกษุอี้จิงซ่ึงเดินทางมาจาก ประเทศจีนไปยังประเทศอินเดียเป็นครั้งแรก พ.ศ.๑๒๑๔ ได้หยุดพักท่ีอาณาจักร โฟชิ ๖ เดือน เพื่อศึกษาไวยากรณ์ภาษาสันสกฤต ได้บันทึกไว้ว่า ”ในเมืองโฟชิซึ่งมี ก�ำแพงล้อมรอบ มีพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาอยู่กว่า ๑๐๐๐ รูป ท่านเหล่านี้มีจิตใจ ๑๕๐ ศิลปะทักษิณ, หน้า ๑๖๒. ๑๕๑ จารึก ๑, หน้า ๑๘๗-๒๐๓. ๑๕๒ ศิลปะทักษิณ, หน้า ๑๔๙. ๑๕๓ ศิลปะทักษิณ, หน้า ๑๔๘. ๑๕๔ อ้างแล้ว, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา, หน้า ๕๘.
ตามพรลิงค์ 97 โนม้ นอ้ มไปในการศกึ ษาและการบำ� เพญ็ กศุ ลดว้ ยการพจิ ารณาและศกึ ษาทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง เท่าที่จะกระท�ำได้คล้ายกับในมัธยเทศ (ประเทศอินเดีย) กฎและกิจพิธีทุกอย่างก็ คล้ายคลึงกัน ถ้าพระภิกษุจีนประสงค์จะเดินทางไปยังทิศตะวัตตกเพื่อฟังและอ่าน (คัมภีร์ดั้งเดิมของพุทธศาสนา) แล้ว ก็สมควรท่ีจะพักอยู่ที่อาณาจักรโฟชิน้ีสักหน่ึงหรือ สองปี เพ่ือฝึกหัดปฏิบัติตามกฎท่ีน้ัน ต่อจากน้ันจึงค่อยเดินทางเข้าไปถึงภาคกลางของ ประเทศอนิ เดยี ตอ่ ไป„๑๕๕ เชอื่ วา่ ความรงุ่ เรอื งแพรห่ ลายของมหายานนา่ จะเปน็ แรงจงู ใจ ให้พระสงฆ์และชาวพุทธเดินทางมาศึกษาและพักอาศัยเป็นจ�ำนวนมาก ส่วนอิทธิพลของมหายานผ่านทางโบราณสถาน ได้แก่พระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช ซ่ึงสร้างขึ้นตามลัทธิพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ประมาณ พ.ศ.๑๓๐๐ กษัตริย์แห่งกรุงศรีวิชัยในเกาะสุมาตรามีอานุภาพมากได้แผ่อาณาเขตตลอดแหลม มลายูตอนข้างเหนือจนถึงเมืองไชยา ศรีวิชัยนับถือพระพุทธศาสนาอย่างลัทธิมหายาน จงึ ไดน้ ำ� ลทั ธนิ น้ั มาสง่ั สอนในบรรดาเมอื งตา่ งๆ ทเี่ ปน็ ประเทศราช เมอื งนครศรธี รรมราช เป็นเมืองหน่ึงซ่ึงตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรศรีวิชัยยุคนั้น ฉะนั้นบรรดาโบราณ วัตถุสถานที่สร้างขึ้นในสมัยนั้น จึงเป็นแบบอย่างฝีมือช่างตามลัทธิมหายาน ซ่ึงชาว ศรีวิชัยได้น�ำมาส่ังสอนไว้ พุทธเจดีย์ซ่ึงสร้างเป็นหลักในสมัยศรีวิชัยนั้น มักท�ำเป็น มณฑปส�ำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป ส่วนยอดน้ันท�ำเป็นพระสถูปและมีเจดีย์บริวาร สี่มุม ดังเช่นพระมหาธาตุที่เมืองนครศรีธรรมราชนี้เดิมก็ท�ำคล้ายพระมหาธาตุท่ีเมือง ไชยาเหมือนกัน (องค์ท่ีอยู่ข้างใน)๑๕๖ อีกแห่งหน่ึงคือพระบรมธาตุไชยาสันนิษฐานว่า น่าจะสร้างสมัยอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งสอดคล้องกับจารึกวัดเสมาเมืองนครศรีธรรมราช กล่าวถึงพระธรรมเสตุ กษัตริย์แห่งศรีวิชัยทรงสร้างปราสาทอิฐสามหลัง อุทิศถวาย แด่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์สองพระองค์คือปัทมปาณิและวัชรปาณิ ระบุ พ.ศ. ๑๓๑๓ ส่วนอีกด้านหนึ่งของจารึกวัดเสมาเมืองกล่าวถึงกษัตริย์พระองค์หนึ่งใน ราชวงศ์ไศเลนทร์ ซ่ึงอาจจะหมายถึงพระเจ้าสมรตุงคะ (พ.ศ.๑๓๓๕-๑๓๗๖) ทั้งน้ีได้ ๑๕๕ อ้างแล้ว, ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้า สุภัทรดิศ ดิศกุล, ประวัติศาสตร์เอเชียอาคเนย์ถึง พ.ศ. ๒๐๐๐, หน้า ๓๖. ๑๕๖ อ้างแล้ว, เร่ืองเมืองนครศรีธรรมราช, หน้า ๓๕.
98 หลักฐานทางโบราณคดี ค้นพบพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรส�ำริดท่ีวัดพระบรมธาตุไชยา ๒ องค์ กล่าวคือ พระโพธิสัตว์อวโกติเตศวรสองกร และพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรแปดกรส�ำริด พระ โพธิสัตว์ท้ังสององค์มีลักษณะพระพักตร์และเคร่ืองทรงแบบเดียวกันกับศิลปะชวา ภาคกลาง อันเป็นกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลศิลปะปาละและพัฒนามาเป็นแบบชวาภาคกลาง อย่างแท้จริง และหากเช่ือว่าท้ังสององค์คือพระโพธิสัตว์ท่ีกล่าวถึงในจารึกก็จะอยู่ใน ช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ อันเป็นยุคที่พุทธศาสนามหายานรุ่งเรืองสุดในชวาภาคกลาง และน่าจะเป็นยุครุ่งเรืองของศรีวิชัยด้วย๑๕๗ ส่วนร่องรอยคติความเชื่อของมหายานพบเห็นในวรรณกรรมหลายเล่ม ดัง เช่น ต�ำนานเมืองนครศรีธรรมราชและต�ำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งกล่าว ถงึ เรอ่ื งราวเกยี่ วกบั พระเขย้ี วแกว้ หรอื ทนั ตธาตุ นบั แตป่ ระดษิ ฐานทเ่ี มอื งทนั ตบรุ แี ควน้ กาลิงคะจนกระท่ังมีการอัญเชิญไปถวายกษัตริย์ศรีลังกา๑๕๘ ความจริงคือเร่ือง พระเข้ียวแก้วน้ันเป็นการบันทึกของพระสงฆ์ส�ำนักอภัยคิรีวิหารแห่งศรีลังกา ซึ่งส�ำนัก แห่งน้ีนับถือพระพุทธศาสนามหายาน มีการรักษาสืบต่อด้วยลักษณะมุขปาฐะก่อนที่ จะมีการแต่งเป็นภาษาบาลีในสมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะ คติมหายานอีกแห่งหน่ึง พบเห็นในพระนิพพานโสตร ซ่ึงกล่าวถึงพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช (พระเจ้าอโศก มหาราช) ปรารถนาจะเฉลิมฉลองพระเจดีย์ท่ีพระองค์โปรดให้สร้างตลอดแผ่นดิน ชมพทู วปี แตเ่ กรงวา่ งานฉลองจะถกู พญามารมาขดั ขวาง จงึ อาราธนาพระโมคคลั ลบี ตุ ร ตสิ สเถระมาชว่ ยปราบพญามารจนงานสำ� เรจ็ ลลุ ว่ ง๑๕๙ เรอ่ื งการปราบพญามารนน้ั ปรากฏ เห็นในคัมภีร์อโศกาวทานว่าด้วยเร่ืองของพระอุปคุตเถระท�ำหน้าท่ีปราบพญามาร๑๖๐ สว่ นการเปลย่ี นบทบาทจากพระอปุ คตุ เถระมาเปน็ พระโมคคลั ลบี ตุ รตสิ สเถระ สนั นษิ ฐาน ว่าน่าจะเป็นวิธีการเปลี่ยนคติความเชื่อแบบมหายานให้เป็นเถรวาท ๑๕๗ ศาสตราจารย์ ดร. ศักดิ์ชัย สายสิงห์, เจดีย์ในประเทศไทย รูปแบบ พัฒนาการ และ พลังศรัทธา, (กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์เมืองโบราณ, ๒๕๖๐), หน้า ๑๔๔-๑๔๖. ๑๕๘ ต�ำนานเมือง, หน้า ๑-๒; ต�ำนานพระธาตุ, หน้า ๑-๕. ๑๕๙ พระนิพพานโสตร, หน้า ๔๖-๔๗. ๑๖๐ ความเข้าใจเร่ืองพระเจ้าอโศกและอโศกาวทาน, ส. ศิวรักษ์ แปลและเรียบเรียง, พิมพ์ครั้งท่ี ๔, (กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์เคล็ดไทย, ๒๕๕๒), หน้า ๖๑.
ตามพรลิงค์ 99 หลกั ฐานเบอื้ งตน้ บง่ ชว้ี า่ ดนิ แดนบรเิ วณอาณาจกั รตามพรลงิ คแ์ ละหวั เมอื ง ใกล้เคียง ได้รับอิทธิพลพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมาจากอาณาจักรศรีวิชัย โดย เฉพาะราชวงศ์ไศเลนทร์ในชวาภาคกลาง แม้จะมีปฏิสัมพันธ์ภายนอกจากอินเดียก็จริง แต่ความมากอิทธิพลก็ส่งผ่านมาทางอาณาจักรศรีวิชัยเช่นเดิม คร้ันอาณาจักรศรีวิชัย หมดอ�ำนาจเหนือดินแดนแถบนี้ พระสงฆ์ฝ่ายมหายานน่าจะหันไปสร้างความสัมพันธ์ กบั เมอื งลพบรุ ี ซงึ่ สมยั นน้ั อทิ ธพิ ลมหายานแบบเขมรนา่ จะทรงอทิ ธพิ ลมาก ปฏสิ มั พนั ธ์ ดังกล่าวน่าจะด�ำรงไม่ได้นาน เพราะภายหลังพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ได้เข้ามามี บทบาทแทนที่ ๒.๒.๔ ตามพรลิงค์ในฐานะรัฐอิสระ หลักฐานชี้ให้เห็นแล้วว่ามีชุมชนโบราณเป็นจ�ำนวนมาก ตั้งอยู่ตามชายฝั่ง ทะเลท้ังสองด้าน บางแห่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่บางแห่งเป็นชุมชนขนาดเล็ก๑๖๑ ชุมชน เหล่านี้ล้วนมีพัฒนาการมาจาก ”ชาวน�้ำ„ เหตุที่ชื่อดังนั้นเพราะด้ังเดิมมีพื้นฐานมาจาก การตงั้ หลกั แหลง่ บรเิ วณชายทะเล กอ่ นทบ่ี างชมุ ชนจะถอยรน่ เขา้ ไปอาศยั พนื้ ดนิ บรเิ วณ ภายในสมัยพัฒนาเป็นหัวเมืองใหญ่ ชาวน�้ำเหล่าน้ีมีความสัมพันธ์กันเองในลักษณะ การค้าร่วมกัน สังเกตได้จากมีเส้นทางการแลกเปลี่ยนขนถ่ายสินค้าทั้งทางน้�ำและ ทางบกเชอ่ื มโยงกนั มากมายหลายสาย แมต้ อ่ มาแตล่ ะแหง่ จะกลายเปน็ เมอื งขนาดใหญ่ ก็มิได้แข่งขันกันและกันแต่เก้ือกูลสงเคราะห์กัน ซ่ึงถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของชาวน�้ำ อย่างแท้จริง๑๖๒ ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ อาณาจักรศรีวิชัยซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ท่ีเมือง ปาเลม็ บงั ๑๖๓ ไดข้ ยายอำ� นาจขน้ึ มาครอบครองหวั เมอื งบรเิ วณคาบสมทุ รไทย สอดคลอ้ ง ๑๖๑ อ้างแล้ว, สงบ ส่งเมือง, ”ชุมชนสมัยแรกเร่ิมประวัติศาสตร์ในภาคใต้„. ใน สารานุกรม วัฒนธรรมภาคใต้ เล่ม ๓, หน้า ๑๐๐๔-๑๐๖๖. ๑๖๒ ธิดา สาระยา, ประวัติศาสตร์มหาสมุทรอินเดีย, (กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์ ด่านสุทธาการพิมพ์, ๒๕๕๔), หน้า ๔๒๕-๔๔๙. ๑๖๓ อ้างแล้ว, ปรีชา นุ่นสุข, หลักฐานทางโบราณคดีในภาคใต้ของประเทศไทยที่เก่ียวกับ อาณาจักรศรีวิชัย, หน้า ๔๖-๔๘.
100 หลักฐานทางโบราณคดี กับเนื้อความในจารึกวัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งอ้างถึงพระราชาแห่ง อาณาจักรศรีวิชัยพระนามว่าธรรมเสตุ ได้สร้างศาสนสถานอุทิศถวายแด่พระพุทธองค์ พระโพธิสัตว์ปัทมปาณิและวัชรปาณิ จารึกหลักนี้ระบุเวลาว่าตรงกับปีพุทธศักราช ๑๒๗๕๑๖๔ สงั เกตไดว้ า่ อทิ ธพิ ลของอาณาจกั รศรวี ชิ ยั มไิ ดป้ รากฏเหน็ เฉพาะดา้ นการเมอื ง การปกครองเท่าน้ัน แต่หมายรวมไปถึงเร่ืองศาสนาและคติความเชื่อด้วย จึงไม่แปลก ท่ีจะเห็นศาสนสถานอันเป็นอิทธิพลของอาณาจักรศรีวิชัยเป็นจ�ำนวนมากบริเวณ คาบสมุทรไทย การครอบครองชาวน้�ำของอาณาจักรศรีวิชัยมีลักษณะเป็นสหพันธรัฐ เกอื้ กลู กนั ไมถ่ อื วา่ เปน็ การปกครองแบบยดึ ครองอำ� นาจเบด็ เสรจ็ เดด็ ขาด เพราะชาวนำ�้ มีบทบาทหลัก ๒ ประการ หน่ึงนั้นคือท�ำหน้าท่ีเป็นพ่อค้าคนกลาง หรือผู้น�ำสินค้ามา ขายส่งกับพ่อค้าภายนอก เช่น พ่อค้าอาหรับและฮินดู อีกหน่ึงนั้นคือตั้งบ้านเรือนคุม อยู่ตามท�ำเลการค้าทง้ั ดนิ แดนตอนใตใ้ นหลังฝ่งั ตดิ ตอ่ กับลมุ่ น�ำ้ ล�ำคลอง และหรือสรา้ ง เครือข่ายของการค้าทางทะเลตามชายฝั่ง บ้างก็รวมอ�ำนาจการค้าระหว่างเกาะหรือกลุ่ม เกาะต่างๆ คุมเส้นทางค้าและผูกขาดการค้า๑๖๕ อาจเป็นไปได้ว่าอาณาจักรศรีวิชัยมี พัฒนาการมาจากระบบชาวน้�ำเช่นเดียวกับชุมชมโบราณบริเวณคาบสมุทรไทย ปัจจัย ส�ำคัญในการพัฒนาเมืองท่าเหล่านี้คือการค้า ด้วยเหตุนั้นการเปิดกว้างเรื่องการค้า ดงั กลา่ วนา่ จะเปน็ นยั บง่ ชว้ี า่ อาณาจกั รศรวี ชิ ยั กเ็ ปน็ กลมุ่ ทม่ี าจากระบบชาวนำ�้ เหมอื นกนั นกั วชิ าการบางทา่ นตง้ั ขอ้ สงั เกตวา่ อาณาจกั รศรวี ชิ ยั หรอื เรยี กวา่ อาณาจกั ร ทะเลใต้ ได้แผ่อ�ำนาจทางการเมืองและขยายเขตการค้าขายผูกขาดมายังดินแดน แหลมมลายตู อนลา่ งตง้ั แตร่ ะยะนแ้ี ลว้ เพราะกรงุ ศรวี ชิ ยั มอี ำ� นาจทางเรอื สงู มาก สามารถ ควบคุมเมืองท่าส�ำคัญและช่องแคบมะละกา ช่องแคบซุนดา ไว้ในความปกครองดูแล ทงั้ หมด สอดคลอ้ งกบั หลกั ศลิ าจารกึ หลกั ที่ ๒๓ วดั เสมาเมอื ง จงั หวดั นครศรธี รรมราช พ.ศ.๑๓๑๖ ซึ่งระบุถึงความส�ำคัญยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ไศเลนทร์บนคาบสมุทรมลายู ๑๖๔ จารึก ๑, หน้า ๑๘๗-๒๐๓. ๑๖๕ อ้างแล้ว, ธิดา สาระยา, ประวัติศาสตร์มหาสมุทรอินเดีย, หน้า ๔๗๒.
ตามพรลิงค์ 101 ว่า ได้ขยายอ�ำนาจการปกครองและเผยแผ่ศิลปวัฒนธรรมข้ึนมาครอบง�ำตลอดแหลม มลายูโดยสิ้นเชิง อันเป็นเหตุให้พุทธศาสนาลัทธิมหายานฝังรกรากในภาคใต้ของ ประเทศไทยสมัยนั้น โดยเฉพาะแหลมมลายูตอนบนหรือภาคใต้ตอนเหนือคือเมือง ตามพรลิงค์ ได้กลายเป็นเมืองอุปราชหรือเมืองลูกหลวง๑๖๖ ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๔-๑๕ ราชวงศ์ไศเลนทร์ในเกาะชาวสิ้นสุดลง ด้วยการข้ึนครองราชย์ของกษัตริย์ปาลิตุงแห่งเมดังหรืออาณาจักรมะตารัม ซึ่งเป็น อาณาจักรฮินดู-พุทธ ส่วนชวาภาคกลางและสุมาตราเกิดการช่วงชิงอ�ำนาจกัน ท�ำให้ ศูนย์กลางอ�ำนาจศรีวิชัยท่ีตั้งอยู่บนเกาะได้สลายตัวลงไปในท่ีสุด นอกจากนั้น ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ศูนย์กลางการค้าของรัฐศรีวิชัยได้เคล่ือนมาบนคาบสมุทร มลายูท่ีเมืองกฏารัม (รัฐเคดาห์)๑๖๗ รุ่งเรืองข้ึนจากการบังคับให้เรือที่ผ่านช่องแคบ มะละกาต้องหยุดและเสียค่าผ่านทางจนเกิดความขัดแย้งกับอาณาจักรโจฬะ พระเจ้า ราเชนทรโจฬะจึงยกทัพโจมตีเมืองท่าต่างๆ ท่ีขึ้นกับศรีวิชัย จึงท�ำให้ศรีวิชัยอ่อนแอ และเสื่อมลงไปอย่างรวดเร็ว๑๖๘ การล่มสลายของอาณาจักรศรีวิชัยดังกล่าว ท�ำให้ท่า เมืองน้อยใหญ่บริเวณคาบสมุทรไทยสามารถแยกตัวปกครองเป็นอิสระ และสร้างบ้าน แปลงเมืองจนกลายเป็นอาณาจักรยิ่งใหญ่ในฐานะอาณาจักรของพุทธศาสนาเถรวาท ลัทธิลังกาวงศ์กล่าวคือตามพรลิงค์ การปกครองเอกราชของอาณาจักรตามพรลิงค์ปรากฏเห็นในจารึกภาษา สันสกฤตและภาษาบาลีท่ีวัดเวียง ซึ่งจารข้ึนในพุทธศักราช ๑๗๗๓ ความว่า ”สวัสดี พระองค์ผู้เป็นใหญ่แห่งตามพรลิงค์ ทรงก�ำเนิดจากวงศ์อันรุ่งเรืองคือแสงสว่าง (ของประทีปหรือไฟ) ท่ีมีรูปดุจดังดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และกามเทพ ทรงก�ำเนิด จากวงศ์ตระกูลดวงจันทร์ (จันทรวงศ์) และเม่ือเกิดจากพระมารดาก็มาพร้อมกับ ๑๖๖ อ้างแล้ว, ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์, ”ตามพรลิงค์”, หน้า ๑๓๐. ๑๖๗ วินัย พงศ์ศรีเพียร, ”จารึกพระเจ้ากรุงศรีวิชัยและจารึกศรีมหาราช„, ใน ๑๐๐ เอกสารสำ� คญั : สรรพสาระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ลำ� ดบั ท่ี ๑๐. (กรงุ เทพมหานคร: สำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจัย (สกว.), ๒๕๒๔), หน้า ๑๓. ๑๖๘ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๓.
102 หลักฐานทางโบราณคดี พระสุรเสียงอันดัง (ดุจลมพายุ) ทรงมียอดของมะเด่ือคือพระศาสนาอันถาวร พระองค์ ทรงเป็นศรีธรรมราชา เสมอด้วยธรรมาโศกในความรอบรู้ทางนิติศาสตร์ ทรงเป็นผู้ ปกครองวงศ์ตระกูลทั้งห้าที่เกิดจากไข่แห่งพรหม สวัสดี พระองค์ผู้เป็นใหญ่แห่ง ตามพรลิงค์ ทรงเป็นผู้ค�้ำชูกมลกุล ทรงได้รับการขนานพระนามว่าภีมเสนผู้มีพลังแห่ง พระพาหา (แขน) อันแข็งแรง ทรงปรากฏขึ้นด้วยอานุภาพแห่งพระอาทิตย์ (สูรยะ) และพระจันทร์ (จันทระ) จึงได้รับพระสมัญญาว่าศรีธรรมราชา จันทรภาณุ ขออ�ำนวย พรอันเป็นอมตะด้วยความภักดี เสมือนการสลักไว้บนแผ่นหิน เม่ือปีกลียุคล่วง แล้วได้ ๔๓๓๒”๑๖๙ เช่ือว่าพระเจ้าจันทรภาณุน่าจะประกาศเอกราชจากอาณาจักร ศรีวิชัยแน่นอน เพราะพบเหน็ ขอ้ ความในจารกึ พระเจา้ จนั ทรภาณศุ รธี รรมราชตอนหนงึ่ วา่ ”ตามพฺ รฺ ลงิ เฺ คศวร„ ซงึ่ แปลวา่ ”ผเู้ ปน็ ใหญแ่ หง่ ตามพรลงิ ค„์ อกี แหง่ หนง่ึ วา่ ”ธรจน-ฺ ทรฺภานูปาธิ ศฺรีธรฺมมราช แปลว่า ”พระเจ้าจันทรภาณุผู้ทรงธรรม„๑๗๐ หลักฐาน เหล่านี้นอกจากช้ีให้เห็นถึงความเป็นเอกราชของอาณาจักรตามพรลิงค์แล้ว ยังสะท้อน ถึงบทบาทของพระเจ้าจันทรภาณุในฐานะพุทธราชา ซึ่งทรงด�ำเนินตามเอาแบบ อย่างพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งชมพูทวีป อาณาจักรตามพรลิงค์นั้นเห็นจะเป็นเมืองใหญ่พอสมควร เพราะมีเมือง สิบสองนักษัตรเป็นบริวาร กล่าวคือ ปีชวดคือเมืองสาย (สายบุรี) ฉลูคือเมืองตานี (ปัตตานี) ปีขาลคือเมืองกลันตัน ปีเถาะคือเมืองปะหัง ปีมะโรงคือเมืองไทร (ไทรบุรี) ปีมะเส็งคือเมืองพัทลุง ปีมะเมียคือเมืองตรัง ปีมะแมคือเมืองชุมพร ปีวอกคือ เมืองบันทายสมอ ปีระกาคือเมืองสอุเลา ปีจอคือเมืองตะก่ัวถลา แลละปีกุนคือ เมอื งกระ (กระบรุ ี) ๑๗๑ คตกิ ารปกครองแบบนี้เรียกวา่ ปริมณฑลแหง่ อ�ำนาจเปน็ อิทธพิ ล ๑๖๙ อ้างแล้ว, อมรา ศรีสุชาติ, ศรีวิชัยในสุวรรณทวีป, หน้า ๒๖๕. ๑๗๐ อ้างแล้ว, วินัย พงศ์ศรีเพียร, ”จารึกพระเจ้าจันทรภาณุ ศรีธรรมราชา: มรดกความทรง จำ� แห่งนครศรธี รรมราช, ใน ๑๐๐ เอกสารส�ำคญั : สรรพสาระประวัตศิ าสตรไ์ ทย ล�ำดบั ท่ี ๑๐, หนา้ ๒๓. ๑๗๑ วิเชียร ณ นครและคณะ, นครศรีธรรมราช, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์, ๒๕๒๑), หน้า ๘๐.
ตามพรลิงค์ 103 ทางความคิดเร่ืองจักรราศีแบบจีน๑๗๒ ความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรตามพรลิงค์ของ พระเจ้าจันทรภาณุเห็นได้จากการยกทัพเรือท่ีมีแสนยานุภาพและมียุทธนาวีที่ เกรียงไกร ได้เสด็จยาตราทัพไปโจมตีลังกาถึง ๒ ครั้ง กล่าวคือ พ.ศ.๑๘๙๐ และ พ.ศ.๑๙๐๕ ซ่ึงรายละเอียดกล่าวไว้ในคัมภีร์มหาวงศ์ของลังกาและจารึกจักรวรรดิ ปาณฑยะแห่งอินเดียใต้๑๗๓ นับตั้งแต่การปกครองของพระเจ้าจันทรภาณุเป็นต้นมา นครศรีธรรมราชคงด�ำรงบทบาทในฐานะเป็นเมืองท่าค้าขายและเมืองพระศาสนา โดยมรี าชวงศพ์ น้ื เมอื งปกครองสบื ทอดอำ� นาจตอ่ กนั มา แตด่ ว้ ยความจำ� กดั ของทรพั ยากร เนื่องจากตั้งอยู่บริเวณคาบสมุทร ตลอดจนประสบเหตุทุพภิกขภัย โรคระบาด และ ปัญหาโจรสลัด จึงท�ำให้นครศรีธรรมราชไม่สามารถพัฒนาตนเองข้ึนเป็นนครรัฐ ขนาดใหญ่ได้อย่างม่ันคง ๒.๓ สรุป จากหลกั ฐานทางโบราณคดแี ละประวตั คิ วามเปน็ มาของอาณาจกั รตามพร ลิงค์เบ้ืองต้นสามารถสรุปได้ ๒ ประเด็น ดังนี้ ๑. อาณาจักรตามพรลิงค์พัฒนามาจากเมืองท่าค้าขาย เหตุเพราะต้ังอยู่ ในชัยภูมิอันเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเมืองท่าส�ำหรับหลบลมมรสุม ไม่ว่าจะมีพื้นที่เหมาะ ต่อการท�ำเกษตรกรรม ไม่ว่าจะอุดมสมบูรณ์ด้วยแม่น้�ำหลายสายไหลผ่าน ไม่ว่าจะ เป็นภูเขาขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหลัง หรือไม่ว่าจะเป็นเส้นทางบกเดินตัดผ่านไปทาง ชายฝั่งทะเลตะวันตก ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ย่อมเป็นการดึงดูดให้พ่อค้าวาณิชต่าง ประเทศเดินทางมาท�ำการค้าขายด้วย เป็นเหตุให้ขยายเป็นเมืองใหญ่จนต่อมาพัฒนา เป็นอาณาจักรตามพรลิงค์ มีอาณาเขตกว้างไกลมีเมืองขึ้นถึงสิบสองหัวเมืองหรือ ๑๗๒ เกรียงไกร เกิดศิริ, พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช: มรดกพุทธศาสนสถานสถาปัตยกรรม ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาเถรวาทแห่งคาบสมุทรภาคใต้, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท อี.ที. พัลลิชชิ่ง จ�ำกัด, พ.ศ.๒๕๖๐), หน้า ๑๕. ๑๗๓ อ้างแล้ว, วินัย พงศ์ศรีเพียร, ”จารึกพระเจ้าจันทรภาณุ ศรีธรรมราชา: มรดกความทรง จ�ำแห่งนครศรีธรรมราช„, ใน ๑๐๐ เอกสารส�ำคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย ล�ำดับท่ี ๑๐, หน้า ๒๓.
104 หลักฐานทางโบราณคดี เรียกว่าสิบสองนักษัตร เหตุเป็นดังน้ีเพราะตามพรลิงค์ได้รับอิทธิพลความเชื่อจาก อินเดียและจีน เป็นปัจจัยส่งเสริมและหล่อหลอมให้ตามพรลิงค์สามารถสร้างความยิ่ง ใหญด่ งั ปรากฏเหน็ ทางโบราณคดี ประเดน็ นา่ สนใจคอื ตามพรลงิ คม์ ลี กั ษณะพฒั นาการ แบบค่อยเป็นค่อยไป เรียนรู้และปรับแก้จนตกตะกอนสามารถสร้างอาณาจักรได้อย่าง ย่ิงใหญ่ในท่ีสุด แต่ความเป็นเอกราชมิได้หมายความว่าเป็นอิสระหลุดพ้นจากอิทธิพล ของอาณาจักรศรีวิชัยทั้งหมด เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนคติความเชื่อจากพราหมณ์และ มหายานให้เป็นพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์เท่าน้ัน ๒. อาณาจักรตามพรลิงค์สร้างการเมืองโดยอาศัยศาสนาเป็นฐาน เร่ิม ตน้ จากศาสนาพราหมณล์ ทั ธไิ วษณพนกิ ายและไศวนกิ าย และพระพทุ ธศาสนามหายาน ตามล�ำดับ ด้วยการยกจุดเด่นของอุดมคติของศาสนาน้ันเป็นกลไกลในการบริหาร บ้านเมือง หลักฐานเหล่านั้นปรากฏเห็นในลักษณะของโบราณคดีจ�ำนวนมาก แม้จะ ยกคติความเชื่อศาสนาใดข้ึนเป็นใหญ่แต่กษัตริย์ก็ให้ความอุปถัมภ์ศาสนาอื่นเคียงคู่ กันไปแต่ให้ความส�ำคัญน้อยลงเท่าน้ัน ประเด็นนี้เห็นว่าเป็นจุดเด่นของศาสนาที่มี ก�ำเนิดมาจากประเทศอินเดีย คร้ันต่อมาพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ทรง อิทธิพลขึ้น กษัตริย์ก็หันมาใช้อุดมคติของเถรวาทลังกาวงศ์ในการบริหารบ้านเมือง ประเด็นนี้ผู้วิจัยมองต่างจากนักวิชาการคนอื่น โดยเห็นว่าน่าจะเป็นลักษณะใช้การ ศาสนาเกื้อกูลการเมือง เพราะสมัยพระเจ้าจันทรภาณุแห่งตามพรลิงค์นั้น ความยิ่ง ใหญ่ของชาวอินเดียไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์โมริยะ หรือกษัตริย์ปัลลวะ หรือว่าพวกทมิฬ โจฬะซ่ึงเคยทรงอ�ำนาจเหนือท่าเรือบริเวณคาบสมุทรมาเลย์ต่างพากันอ่อนแรง จึง เปิดช่องให้อาณาจักรน้อยใหญ่ตามชายทะเลสามารถท�ำการค้าขายได้อย่างเป็นอิสระ สมัยนั้นอาณาจักรแห่งศรีลังกาถือว่าทรงอิทธิพลกว่าอาณาจักรเหล่าอ่ืน เพราะสามารถ สรา้ งปฏสิ มั พนั ธก์ บั อาณาจกั รพกุ ามและอาณาจกั รเขมร ดว้ ยเหตนุ น้ั หากตอ้ งการทำ� การ ค้าขาย กษัตริย์แห่งตามพรลิงค์จ�ำต้องหันหน้ามาสร้างสัมพันธไมตรีกับกษัตริย์ลังกา ด้วยการเปิดทางให้สมณทูตลังกาสามารถเดินทางมาเผยแผ่ลัทธิลังกาวงศ์ได้ จึงเป็น เหตุให้พระเจ้าจันทรภาณุยกพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์เหนือคติความเชื่อ
ตามพรลิงค์ 105 เหล่าอ่ืน แต่กษัตริย์ตามพรลิงค์เลือกประพฤติตามแบบอย่าง ”ศรีธรรมาโศกราช” หรอื พระราชจรยิ าวตั รของพระเจา้ อโศกมหาราชแหง่ ชมพทู วปี กระบวนการสรา้ งพระเจา้ จันทรภาณุให้เป็นพระเจ้าอโศกแห่งตามพรลิงค์ ปรากฏเห็นหลักฐานในศิลาจารึกและ เอกสารโบราณ และส�าเร็จเป็นรูปธรรมชัดเจน ส่งผลให้กษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัย และเชียงใหม่ยอมรับว่า ตามพรลิงค์เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาเถรวาท แบบลังกาวงศ์
106 หลักฐานทางโบราณคดี แผนท่ีคาบสมุทรมาเลย์บริเวณอาณาจักรตามพรลิงค์ (คัดลอกภาพจาก www.antiquemaps- fair.com)
ตามพรลิงค์ 107 บริเวณแม่น�้ำปากพนัง เส้นทางการค้าส�ำคัญสมัยอาณาจักรตามพรลิงค์ (คัดลอกภาพจาก www.pantip.com)
108 หลักฐานทางโบราณคดี ภาพจิตรกรรมฝาผนังต�ำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช วัดวังตะวันตก เมืองนครศรีธรรมราช
ตามพรลิงค์ 109 พระพุทธรูปรอบระเบียงพระบรมธาตุไชยา ต�ำบลเวียง อ�ำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี (คัดลอกภาพจาก www.pantip.com)
110 หลักฐานทางโบราณคดี
ตามพรลิงค์ 111
บรรยายภาพ: ภาพจิตรกรรมฝาผนังต�ำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช วัดวังตะวันตก เมือง นครศรีธรรมราช
บทที่ ๓ ความสัมพันธ์ระหว่างศรีลังกากับ อาณาจักรตามพรลิงค์ เนื้อหาของบทนี้แบ่งออกเป็น ๒ ตอน กล่าวคือสมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะ และอาณาจักรดัมพเดณิยะ สมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะเริ่มต้ังแต่การกอบกู้บ้านเมือง ของพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๑ จนถึงสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๑ แต่เนื้อหาหลักเน้น รัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช เพราะสมัยนั้นพระพุทธศาสนาในลังกาเป็น ที่รู้จักแพร่หลายของนานาประเทศ ส่วนสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะเริ่มต้นจากการ กอบกู้บ้านเมืองของพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๓ จนถึงสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ โดย เน้ือหาเน้นกล่าวถึงรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่าง ศรีลังกากับอาณาจักรตามพรลิงค์นั้นเน้นเรื่องการเมืองและการศาสนาเป็นหลัก ๓.๑ อาณาจักรโปโฬนนารุวะก่อนสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๑ อาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะกอ่ ตงั้ โดยพระเจา้ วชิ ยั พาหผุ เู้ ปน็ เชอ้ื สายราชวงศส์ งิ หล (พ.ศ.๑๕๙๘-๑๖๕๓) พระองคท์ รงกอบกูบ้ ้านเมอื งหลงั จากเกาะลงั กาตกอยู่ภายใตก้ าร ปกครองของทมิฬโจฬะถึงเจ็ดทศวรรษ จากน้ันทรงสร้างสัมพันธไมตรีกับอาณาจักร ปัณฑยะและอาณาจักรกาลิงคะแห่งอินเดีย ด้วยการอภิเษกสมรสกับพระราชธิดาของ กษัตริย์แห่งอาณาจักรนั้น๑ ท้ังน้ีเพื่อสร้างความม่ันใจว่าวันข้างหน้าหากเกิดศึกสงคราม กับทมิฬโจฬะ ย่อมจะมีอาณาจักรพันธมิตรย่ืนมือเข้ามาช่วยเหลือ คัมภีร์มหาวงศ์ระบุ ว่าพระองค์ได้ส่งเครื่องราชบรรณการเป็นจ�ำนวนมากไปถวายกษัตริย์พม่า ความว่า ”พระราชาทรงส่งทหารไปยงั ราชส�ำนกั ในดนิ แดนรามัญ สิง่ ของส�ำคญั กับพระราชทรัพย์ จ�ำนวนมาก เรือหลายล�ำบรรทุกเต็มด้วยวัตถุคือผ้าสวยงาม การบูร และจันทน์เป็นต้น ๑ มหาวงศ์ ๑, หน้า ๕๔๓-๕๔๔.
114 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ จอดเทียบอยู่ที่ท่าน้�ำ”๒ หลักฐานดังกล่าวแม้ไม่แน่ชัดว่าเพื่อจุดประสงค์ใด แต่ก็ สามารถตีความหมายได้ว่าเป็นการสร้างมิตรภาพกับพระเจ้าอนุรุทธะแห่งอาณาจักร พุกาม เพ่ือป้องกันความย่ิงใหญ่เกรียงไกรของกองทัพทมิฬโจฬะ ตลอดถึงการฟื้นฟู เส้นทางการค้าทางทะเลซึ่งเดิมเคยตกอยู่ในมือของทมิฬโจฬะมาก่อน จากน้ันพระองค์หันมาสร้างบ้านแปลงเมืองด้วยการปฏิสังขรณ์อ่างเก็บน�้ำและ คลองสง่ น�ำ้ รอบเมืองหลวงโปโฬนนารุวะและบรเิ วณหวั เมอื งรอบนอก ทัง้ นี้เพือ่ ใหเ้ พยี ง พอต่อการท�ำเกษตรกรรมของไพร่ฟ้าประชาชน จนได้รับการยอมรับว่าพระองค์สร้าง ประโยชน์สุขต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า๓ ส่วนการพระศาสนาทรงเห็นว่าสมัยทมิฬโจฬะ ครอบครองเกาะลงั กานั้น ”ได้ทำ� ลายสงฆ์สามนิกาย หอประดษิ ฐานพระบรมสารรี ิกธาตุ พระพุทธปฏิมาทองล้�ำค่าจ�ำนวนมาก อีกท้ังได้ท�ำลายวิหารทุกแห่งพร้อมยึดส่ิงของดี มีแก่นสารตลอดเกาะลังกาท้ังส้ิน เหมือนพวกยักษ์กลืนกินเหย่ืออันโอชะ”๔ และเท่ียว เข่นฆ่าพระสงฆ์เป็นจ�ำนวนมาก๕ ท�ำให้พระสงฆ์ศรีลังกาหนีภัยไปอยู่ประเทศพม่า เหตกุ ารณค์ รง้ั นเ้ี กดิ ผลกระทบเสยี หลายมากมายตอ่ พระศาสนา เปน็ การทำ� ลายโครงสรา้ ง ทางศาสนาอันย่ิงใหญ่ ดังเช่นอารามวิหารและปริเวณะ เป็นผลให้เกิดการแตกแยกทาง คณะสงฆ์คร้ังใหญ่ รวมถึงสถาบันการศึกษาของสงฆ์และการศึกษาของบ้านเมืองด้วย ซ่ึงสถาบันเหล่านี้ชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองรักษาวัฒนธรรมอันดีงามของลังกา๖ พระองคจ์ งึ จดั สง่ ราชทตู ไปขอพระสงฆผ์ เู้ ชย่ี วชาญพระไตรปฎิ กจากอาณาจกั ร พุกาม เพ่ือมาประกอบพิธีอุปสมบทกรรมแก่กุลบุตรชาวศรีลังกา๗ เหตุเพราะพระองค์ ๒ มหาวงศ์ ๑, หน้า ๔๓๕-๔๓๖. ๓ UCHC, pp. 431-432. ๔ มหาวงศ์ ๑, หน้า ๕๒๒. ๕ Rajavaliya: A Comprehensive Account of the Kings of Sri Lanka, translated by A.V. Surweera, (Ratmalana: Vishva Lekha, 2000), p. 50. ๖ G.P. Malalasekera, ศรีลังกา: ว่าด้วยประวัติศาสตร์ การณ์พระศาสนา และวรรณคดี, แปลโดย ลังกากุมาร, (กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์สาละ, ๒๕๕๔), หน้า ๒๓๒. ๗ มหาวงศ์ ๑, หน้า ๕๔๗-๕๔๘.
ตามพรลิงค์ 115 ไม่สามารถหาพระสงฆ์ผู้ทรงศีลาจารวัตรบนเกาะลังกาได้๘ จารึกเวไลยก์การ์ระบุว่า พระองค์ให้นิมนต์พระสงฆ์มาจากอาณาจักรพม่าเพ่ือช�ำระสามนิกายบนเกาะลังกา๙ ประเด็นน้ีปรณวิตานะแสดงความเห็นว่าพระสงฆ์ท่ีเดินทางมาจากอาณาจักรพุกามนั้น มิใช่ใครอ่ืน แต่เป็นพระสงฆ์ชาวลังกาท่ีหลบหนีภัยสงครามไปพุกามนั้นเอง บางทีอาจ เป็นพระสงฆ์ชั้นศิษย์ก็เป็นได้๑๐ ผู้วิจัยเห็นด้วยกับความคิดเห็นของปรณวิตานะ เพราะหลักฐานชี้ว่าครั้นพระเจ้าวิชัยพาหุฟื้นฟูพระศาสนาแล้ว พระสงฆ์เหล่านั้น แยกกันเป็นสามนิกายเหมือนเดิมไม่ท�ำสังฆกรรมร่วมกัน หากเป็นพระสงฆ์พุกามจริง แล้วน่าจะเป็นนิกายเดียว คร้ันประกอบพิธีอุปสมบทกรรมแล้ว เพื่อให้สถานท่ีมีจ�ำนวนเพียงพอกับ พระสงฆ์หมู่ใหญ่ พระเจ้าวิชัยพาหุจึงโปรดให้สร้างวัดใหม่และบูรณปฏิสังขรณ์วัดเก่า จ�ำนวนมากแล้วมอบถวายพระสงฆ์ท้ังสามนิกาย บรรดาอารามวิหารท่ีพระองค์โปรด ให้บูรณปฏิสังขรณ์นั้น ได้แก่ ถูปารามแห่งเมืองมหาคามะ ต้นพระศรีมหาโพธิ์แห่ง เมืองอนุราธปุระ ชัมพุโกลวิหารแห่งเมืองนาคทีปะ คิริกัณฑกะวิหารแห่งตรินโคมาลี ชัมพุโกลเลณะแห่งเมืองดัมบุลละ มัณฑลคิริวิหารแห่งเมืองโมนราคะละ จันทคิริวิหาร แห่งติสสมหารามะ บัณฑวาปีวิหารแห่งเหฏฏิโปละ เดวนครวิหารแห่งเดวินูวะระ มิหังคณะวิหารแห่งมลยเทสะ กาสคัลลวิหารแห่งรันนะ เวลคามวิหารแห่งตรินโคมาลี และอุรุเวลวิหารแห่งโมนราคะละ นอกจากนั้น ที่ดินอันเป็นของคณะสงฆ์แต่เดิมก็ โปรดให้มอบถวายคืนเป็นสิทธิแก่คณะสงฆ์ส้ิน พร้อมทั้งข้าพระโยมสงฆ์ท่ีดูแล อารามวิหารก็มอบคืนสิทธิ์ให้เป็นมรดกของสงฆ์ เพ่ือทำ� หน้าท่ีดูแลรักษาอารามวิหาร ให้รุ่งเรืองม่ันคงเฉกเช่นสมัยอนุราธปุระ๑๑ ๘ พระสังฆราชเทวรักษิตะวิชัยพาหุเถระ, นิกายสังครหยะ: บันทึกการพระศาสนาของชมพู ทวีปและลังกา, แปลโดย พระมหาพจน์ สุวโจ, (กรุงเทพมหานคร: สาละพิมพการ, ๒๕๕๙), หน้า ๖๙. ๙ Epigraphia Zeylanica Being Lithic and other Inscriptions of Ceylon, Vol.II, edited and translated by Don Martino De Zilva Wickremasinghe, (New Delhi: Asian Educational Services, 1994), p. 253. ๑๐ UCHC, p. 564. ๑๑ UCHC, p. 430.
116 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ แตค่ รนั้ พระองคส์ วรรคตไมถ่ งึ หนงึ่ ทศวรรษการพระศาสนากถ็ งึ คราทรดุ โทรม เส่ือมถอยอีกคร้ัง เมื่อพระสงฆ์เข้าไปมีส่วนร่วมในการคัดเลือกกษัตริย์ข้ึนครองราชย์ เป็นเหตุให้เช้ือพระวงศ์พระองค์อื่นไม่พอใจได้ยกทัพเข้าโจมตียึดครองอ�ำนาจ พร้อม ท�ำลายศาสนสถานท่ีพระเจ้าวิชัยพาหุทรงสร้างไว้ ดังพรรณนาไว้ในคัมภีร์มหาวงศ์ว่า ”พระพุทธศาสนาและไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินที่พระเจ้าวิชัยพาหุทรงท�ำนุบ�ำรุงให้รุ่งเรืองถูก พระราชาปัญญาทรามพระองค์นี้ (พระเจ้าวิกรมพาหุ) ท�ำลายเสียสิ้น ทรงกดขี่ข่มเหง ยึดทรัพย์สินของผู้มีชาติตระกูลซึ่งไม่มีความผิดอันใด คร้ันเห็นว่าส้ินพระราชทรัพย์ ในพระคลังแล้วก็เพ่ิมภาษีขูดรีดไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจนเดือดร้อนทุกหัวระแหง พระองค์ ทรงให้รื้อถอนโภคคามอันเป็นของพระพุทธเจ้าแล้วมอบแก่เหล่าทหาร โปรดให้ พระราชทานวิหารอันมีพระบรมธาตุเป็นหลักกลางเมืองโปโฬนนารุวะแก่ทหารต่างชาติ และรับส่ังให้ยึดแก้วมณีและมุกดาของผู้มีจิตศรัทธาถวายบูชาบาตรและพระเข้ียวแก้ว นอกจากนน้ั ทรงใหน้ ำ� จนั ทนก์ ฤษณาการบรู และพระพทุ ธปฏมิ าทองคำ� เปน็ ตน้ ไปใชส้ อย ตามอัธยาศัยจนหมดส้ิน”๑๒ คร้ันพระสงฆ์ผู้ใหญ่เห็นความโหดร้ายของพระองค์ จึง ปรึกษากันอัญเชิญพระเข้ียวแก้วและบาตรของพระพุทธเจ้าหลบหนีไปอาศัยอยู่ แคว้นโรหณะ รอวันกษัตริย์ผู้อุปถัมภ์ศาสนาเหมือนบูรพกษัตริย์ ผวู้ จิ ยั เหน็ วา่ ประเดน็ นน้ี า่ จะเปน็ เรอื่ งการเมอื งมากกวา่ การศาสนา การประณาม พระเจ้าวิกรมพาหุว่าเป็นผู้ท�ำลายคณะสงฆ์น่าจะเป็นเพราะพระองค์สังกัดราชวงศ์ กาลิงคะ ซ่ึงหากถือตามโบราณราชประเพณีชื่อว่าเป็นคนนอก สมัยโปใฬนนารุวะยุค ต้นนั้นราชวงศ์ท่ีทรงอ�ำนาจทางการเมืองมี ๓ สาย กล่าว คือ ๑) ราชวงศ์สิงหลซ่ึงมี พระเจ้าวิชัยพาหุเป็นหลัก ๒) ราชวงศ์ปัณฑยะซ่ึงต้นวงศ์คือพระนางลีลาวดีผู้เป็น อัครมเหสีของพระเจ้าวิชัยพาหุ และ ๓) ราชวงศ์กาลิงคะซ่ึงต้นวงศ์คือพระนางติโลก สนุ ทรผี เู้ ปน็ อคั รมเหสอี กี พระองคข์ องพระเจา้ วชิ ยั พาห๑ุ ๓ หากถอื ตามโบราณราชประเพณี การครองราชย์ของกษัตริย์ศรีลังกามักส่งต่อจากบิดาสู่บุตรหรือจากพี่ชายสู่น้องชาย ๑๒ มหาวงศ์ ๑, หน้า ๕๖๒-๕๖๓. ๑๓ มหาวงศ์ ๑, หน้า ๕๔๓-๕๔๔.
ตามพรลิงค์ 117 กรณพี ระสงฆแ์ ละเหลา่ ขนุ นางยกรชั สมบตั ใิ หเ้ จา้ ชายวรี พาหผุ เู้ ปน็ พระอนชุ าของพระเจา้ วิชัยพาหุท่ี ๑ และแต่งตั้งเจ้าชายมานาภรณะพระราชนัดดาผู้สังกัดราชวงศ์ปัณฑยะ ให้เป็นพระอุปราชนั้น น่าจะท�ำให้เจ้าชายวิกรมพาหุผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าวิชัย พาหุไม่พอพระทัย จึงเป็นเหตุให้ยกทัพเข้าแย่งชิงรัชสมบัติดังอ้างถึงในคัมภีร์มหาวงศ์ ส่วนการยึดศาสนสมบัตินั้นอาจเป็นเพราะทรงเห็นว่าพระสงฆ์สมัยนั้นมีทรัพย์มรดก จ�ำนวนมาก รวมถึงข้าพระโยมสงฆ์อีกทั้งทาสประจ�ำที่ดินเป็นจ�ำนวนมาก พระองค์อาจ จะต้องการลดบทบาทของพระสงฆ์จึงท�ำการยึดครองเสีย ตลอดระยะเวลาส่ีทศวรรษนับจากพระเจ้าวิกรมพาหุสถาปนาข้ึนเป็นกษัตริย์ เหนืออาณาจักรโปโฬนนารุวะจนถึงการครองราชย์ของพระเจ้าปรามกรมพาหุท่ี ๑ เกาะลังกาประสบกับความยุ่งยากวุ่นวาย เพราะแต่ละราชวงศ์ต่างท�ำสงครามแย่งชิง ความเป็นใหญ่ไม่จบส้ิน ภาวการณ์เช่นน้ีเป็นผลให้บ้านเมืองทรุดโทรมเสื่อมถอย และ เปน็ เหตใุ หพ้ ระสงฆพ์ ากนั ประพฤตนิ อกธรรมนอกวนิ ยั ไมน่ ำ� พาคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ดังพรรณนาไว้ในคัมภีร์มหาวงศ์ว่า ”พระสงฆ์ต่างพากันแสดงค�ำสอนนอกธรรมนอก วนิ ยั เบอื่ หนา่ ยการปฏบิ ตั ธิ รรม ครองชวี ติ ตามอำ� เภอใจ”๑๔ สนั นษิ ฐานวา่ ความเสอ่ื มโทรม ทางศาสนาเชน่ นน้ี า่ จะเปน็ แรงจงู ใจทำ� ใหพ้ ระเจา้ ปรากรมพาหุ ทรงตดั สนิ พระทยั รวบรวม บ้านเมืองเป็นหน่ึงเดียว ดังพรรณนาไว้ในคัมภีร์มหาวงศ์ว่า ”เราควรครอบครอง เอกเศวตฉัตรเหนือเกาะลังกา ธ�ำรงพระพุทธศาสนาของพระชินสีห์ให้ถูกต้อง ให้ชาว ประชาเห็นชอบโดยเร็ว”๑๕ หลักฐานตรงนี้แม้ทราบว่าเป็นผลงานการบันทึกของ พระสงฆ์ ซึ่งอาจจะมีอคติต่อการแต่งเรื่องราวเสริมความบ้าง แต่ผู้วิจัยเห็นว่าความ สมเหตุสมผลน่าจะมากกว่าเร่ืองอื่นใด สังเกตได้จากคร้ันพระองค์ขึ้นครองราชย์แล้ว พระราชภารกิจแรกท่ีพระองค์ทรงเร่งท�ำคือการปฏิรูปพระพุทธศาสนา ๑๔ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๕๑. ๑๕ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๕๑.
118 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ ๓.๒ สมัยพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๑ ๓.๒.๑ การสร้างบ้านแปลงเมือง ครน้ั พระเจา้ วชิ ยั พาหสุ วรรคตสนิ้ แลว้ เกาะลงั กาแตกแยกออกเปน็ ๓ อาณาจกั ร กล่าวคือ ๑) อาณาจักรราชะระฏะ ซึ่งมีอาณาบริเวณทางตอนเหนือแม่น้�ำมหาแวลิคงคา จนถึงด้านเหนือสุดของเกาะลังกา ๒) อาณาจักรโรหณระฎะ ซึ่งมีอาณาบริเวณทาง ตอนใต้ของแม่น�้ำมหาแวลิคงคาจนถึงทางตอนใต้สุดของเกาะลังกา และ ๓) อาณาจักร มายาระฏะ ซึ่งมีอาณาบริเวณตอนกลางของประเทศจนถึงด้านทิศตะวันตกของเกาะ แต่ละอาณาจักรแม้จะเป็นเชื้อสายราชวงศ์สิงหลเดียวกัน แต่แยกปกครองเป็นเอกเทศ และพรอ้ มยกทพั เขา้ แยง่ ชงิ ดนิ แดน บรรดาอาณาจกั รเหลา่ นนั้ แมจ้ ะทราบกนั วา่ กษตั รยิ ์ แห่งอาณาจักรราชะระฏะเป็นผู้ปกครองเกาะลังกาทั้งหมดตามโบราณราชประเพณี ก็จริง แต่ผู้ปกครองอาณาจักรโรหณะระฏะกลับได้รับการยกย่องมากกว่า ในฐานะเป็น ผคู้ รอบครองดแู ลพระเขย้ี วแกว้ และบาตรของพระพทุ ธเจา้ เนอ่ื งจากสมยั นนั้ สง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ ทั้งสองอย่างได้รับการยอมรับว่าเป็นสิทธิโดยชอบธรรมในการขึ้นครองราชย์เหนือ เกาะลังกา (the legitimate right to the sovereignty)๑๖ การแยง่ ชงิ อำ� นาจกนั เองของราชวงศส์ งิ หลมาถงึ กาลสนิ้ สดุ เมอ่ื พระเจา้ ปรากรม พาหุปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์เหนือเมืองหลวงโปโฬนนารุวะ (พ.ศ.๑๖๙๖-๑๗๒๙) เป็นท่ีน่าสังเกตว่าแม้พระองค์จะขึ้นครองราชย์เรียบร้อยแล้ว แต่ส่ิงหน่ึงท่ีขาดหายไป คือการครอบครองพระเข้ียวแก้วและบาตรของพระพุทธเจ้า ซึ่งเสมือนเป็นศูนย์รวมใจ ของชาวศรีลังกาในฐานะเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของผู้สถาปนาตนเป็นกษัตริย์ลังกา สมัยน้ันพระเขี้ยวแก้วและบาตรของพระพุทธเจ้าถูกเก็บซ่อนไว้โดยพวกกบฏบริเวณ เขตโรหณะระฏะแดนใต้ พระองคจ์ งึ สง่ กองทพั ขนาดใหญเ่ ขา้ ไปรกุ ไลจ่ นสามารถอญั เชญิ พระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานวิหารกลางเมืองโปโฬนนารุวะ ๑๖ Dharmaratna Herath, The Tooth Relic and The Crown, (Colombo: Gunaratne Offset, 1994), pp. 67-74.
ตามพรลิงค์ 119 ความศรัทธาของพระเจ้าปรากรมพาหุต่อพระเขี้ยวแก้วพรรณนาไว้ในคัมภีร์ มหาวงศ์ว่า ”พระองค์ทรงสรงสนาน ทรงพระวัสตราภรณ์ ทรงลูบไล้ประดับตกแต่ง ดุจดวงจันทร์แวดล้อมด้วยหมู่ดาวในฤดูใบไม้ร่วง พระผู้มีพระบุญญานุภาพย่ิงใหญ่ เสด็จไปต้อนรับพระบรมธาตุยังสถานที่ประมาณ ๑ โยชน์ ในการทอดพระเนตร ครั้งแรกน่ันเอง ทรงบูชาด้วยอาภรณ์วิจิตร รัตนะล�้ำค่าเป็นต้นว่าแก้วมณี แก้วมุกดา ธูปต่างๆ ประทีป ดอกไม้สวยงาม และเคร่ืองสุคนธชาติจ�ำนวนมาก ทรงบูชาเสมือน พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพ พระวีรเจ้าทรงแสดงความเอื้อเฟื้ออย่างยิ่ง ทรงหลั่งอัสสุชลแห่งความยินดีไม่ขาดสาย ความเลื่อมใสในพระทัยประหนึ่งว่าไหลล้น ออกมาข้างนอก ปลายพระโลมชาติลุกชูชันท�ำให้ตลอดพระวรกายงดงาม พระทัย ของพระองค์ด่ืมด่�ำอยู่ในห้วงน�้ำใหญ่คือปีติ ประหนึ่งมีพระวรกายราดรดด้วยสายน้�ำ ทิพยรส พระธีรเจ้าผู้ประเสริฐทรงใช้พระเศียรทูนพระธาตุเข้ียวแก้วอันประเสริฐไว้ ดุจพระจันทธรใช้พระเศียรทูนพระจันทร์เส้ียวฉะน้ัน ทรงแสดงพระบรมธาตุท้ังสอง แก่ข้าราชบริพารผู้ติดตาม”๑๗ หลักฐานตรงน้ีแสดงให้เห็นว่าพระเข้ียวแก้วและบาตร ของพระพทุ ธเจา้ มคี วามสำ� คญั ตอ่ สถาบนั กษตั รยิ แ์ ละพสกนกิ รชาวศรลี งั กามากเพยี งไร ผลงานอันเร่งด่วนเพ่ือสร้างบ้านแปลงเมืองของพระองค์คือการสร้างอ่างเก็บ น้�ำและคลองส่งน้�ำส�ำหรับการเกษตร แม้จะมีการบูรณะมาแต่สมัยพระเจ้าวิชัยพาหุ ผู้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรโปโฬนนารุวะก็จริง แต่เพราะภาวะสงครามนานหลาย ทศวรรษท�ำให้ระบบชลประทานเสียหาย พระองค์ทรงมีพระราชปณิธานว่า ”แม้ฝนตก เพยี งเลก็ นอ้ ยกอ็ ยา่ ปลอ่ ยใหน้ ำ�้ ไหลลงทะเลไปเปลา่ โดยไมเ่ กดิ ประโยชนต์ อ่ ประชาชน”๑๘ ผลงานการสร้างอ่างเก็บน้�ำและคลองส่งน�้ำมีเป็นจ�ำนวนมาก กล่าวคือ อ่างเก็บน้�ำ ๑๖๕ แห่ง คลองส่งน้�ำ ๓,๙๑๐ แห่ง คิดเป็นอ่างเก็บน้�ำขนาดใหญ่ถึง ๑๖๓ แห่ง และ อ่างเก็บน�้ำขนาดเล็กอีก ๒,๓๗๖ แห่ง โดยเฉพาะอ่างเก็บน�้ำปรากรมสมุทรใกล้ เมืองหลวงโปโฬนนารุวะนั้นถือว่าเป็นอ่างเก็บน�้ำขนาดใหญ่ สามารถใช้ประโยชน์ ๑๗ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๑๕๒-๑๕๓. ๑๘ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๔๖.
120 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ ท้ังอุปโภคและบริโภคได้เป็นปีโดยไม่เหือดแห้ง๑๙ สังเกตได้ว่าอ่างเก็บน�้ำและคลองส่ง น�้ำจ�ำนวนมากเหล่าน้ีมีลักษณะเชื่อมโยงกันอย่างลงตัว สามารถส่งน้�ำทดแทนกันได้ใน กรณีท่ีใดท่ีหน่ึงไม่เพียงพอ ท�ำให้การท�ำเกษตรกรรมเกิดประสิทธิภาพอย่างดียิ่ง ด้วยเหตุนั้น สมัยพระองค์จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นฉางข้าวตะวันออก (granary of the Orient)๒๐ ส�ำหรับสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่สุดของพระเจ้าปรากรมพาหุคือ การสร้าง เมืองหลวงโปโฬนนารุวะ ซึ่งมีอาณาบริเวณขนาดใหญ่ประกอบด้วยเขตพระราชวัง เขตสถานที่ศักดิ์สิทธ์ิกล่าวคือวัดพระเข้ียวแก้ว และอารามอันเป็นท่ีอยู่ของพระสงฆ์ ชื่อว่าอาฬาหนปิริเวณะ อาคารส่ิงก่อสร้างเหล่าน้ีต่างอยู่ภายในก�ำแพงพระนคร อันประกอบไปด้วย ๑๔ ประตู โดยเฉพาะวัดพระเขี้ยวแก้วน้ันย่ิงใหญ่ตระการตาด้วย อาคารส่ิงก่อสร้างหลายหลัง ท้ังน้ีเพ่ือให้เป็นเสมือนสถานที่ประทับของพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งมีพิธีบูชาเป็นประจ�ำมิได้ขาด จนกล่าวได้ว่าสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุไม่มีส่ิง ใดส�ำคัญเหมือนพระเข้ียวแก้วและบาตรของพระพุทธเจ้า๒๑ เป็นท่ีน่าสังเกตว่าแม้ พระองค์จะให้ความส�ำคัญเก่ียวกับพระเข้ียวแก้วและบาตรของพระพุทธเจ้าในฐานะ สิทธิโดยชอบธรรมก็จริง แต่พระองค์ก็ทรงทุ่มเทให้กับการปฏิรูปพระศาสนาเช่นกัน สันนิษฐานว่าสถาบันสงฆ์เป็นองค์กรขับเคล่ือนความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนา และบ้านเมืองอย่างเป็นรูปธรรม สามารถเสริมความเช่ือเร่ืองสิทธิโดยชอบธรรมเพื่อ การครองราชย์ให้เด่นชัดมากข้ึน ส�ำหรับความม่ันคงของบ้านเมืองน้ัน พระองค์ใช้เมืองหลวงโปโฬนนารุวะเป็น ศูนย์กลางในการบริหารบ้านเมือง ส่วนยุทธิวิธีการป้องกันอาณาจักรพระองค์โปรดให้ สร้างป้อมปราการตลอดท้ังส่ีทิศนับจากพระนครเมืองหลวงจนถึงชายฝั่งทะเลท้ังสี่ด้าน ลักษณะของป้อมปราการคือ ”มีไม้แหลมยื่นปักตามคันดินหน้าป้อมปราการคล้ายหอก ๑๙ Anuradha Seneviratna, Polonnaruva: Medieval Capital of Sri Lanka, (Colombo: Department of Archaeological Survey, 1998), pp. 215-221. ๒๐ Ibid, p. 222. ๒๑ UCHC, pp. 461-462.
ตามพรลิงค์ 121 อันแหลมคม ในคูหน้าป้อมปราการก็ปักด้วยไม้แหลมเช่นกัน มีก�ำแพงและหอรบ ป้อมปราการมีลักษณะพิเศษคือสร้างค่อมแม่น้�ำเพื่อขนถ่ายทหารโดยสะดวก”๒๒ ป้อมปราการลักษณะน้ีเป็นนวัตกรรมใหม่และทรงพลานุภาพยิ่งนัก นอกจากเป็นที่พัก ของกองทหารขนาดเล็กแล้ว ยังสามารถส่งข่าวสงครามได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเหตุใดตลอดรัชสมัยของพระองค์จึงไม่มีศึกภายนอกเข้ามา เบยี ดเบยี นเหมอื นครงั้ อดตี และเกยี รตคิ ณุ ดา้ นเดชานภุ าพแผไ่ พศาลไปนอกเกาะลงั กา มาลาลาเสเกราสรปุ พระราชภารธรุ ะของพระเจา้ ปรากรมพาหไุ วว้ า่ ”สำ� หรบั การ สร้างบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองนั้น พระองค์ได้เสียสละทุ่มเทอย่างเต็มความสามารถ โดยเฉพาะดา้ นการเกษตรถอื วา่ เปน็ ภาระหนา้ ทอ่ี นั ดบั แรกทต่ี อ้ งรบี ดำ� เนนิ การ พระองค์ โปรดให้สร้างอ่างเก็บน�้ำท่ัวเกาะลังกา เป็นจ�ำนวนถึง ๑๔,๗๐๐ แห่ง ส่วนอ่างเก็บน�้ำ สามแห่งกว้างขวางยาวไกลสุดสายตารู้จักกันในนามทะเลปรากรม ทรงบริหารจัดการ ไพร่ฟ้าข้าทาสอย่างเป็นระบบ และทรงแก้ไขความไร้กฎเกณฑ์ทั้งปวงด้วย พระองค์เอง”๒๓ ๓.๒.๒ การปฏิรูปพระศาสนา ครั้นพระเจ้าปรากรมพาหุขึ้นเสวยราชย์แล้วทรงปรารถนาจะปฏิรูปพระศาสนา จึงโปรดแต่งตั้งให้พระกัสสปมหาเถระ ”ผู้แกล้วกล้าทรงจ�ำพระไตรปิฎกรอบรู้พระวินัย ผู้รุ่งโรจน์เป็นเอกในเถรวงศ์สมานสามัคคี มีช่ือเสียง” พร้อมท้ังมอบหมายพระญาณ ปาลเถระแห่งเมืองอนุราธปุระ พระโมคคัลลานเถระ พระนาคินทปัลลิยเถระ และพระ นันทเถระแห่งเสลันตรายตนะผู้อยู่อาศัยในแคว้นโรหณะ ให้ช่วยเหลือช�ำระอธิกรณ์ สงฆ์ฟื้นฟูการพระศาสนา๒๔ จุดมุ่งหมายของการปฏิรูปพระศาสนาคร้ังน้ัน นอกจาก ๒๒ G.C. Mendis, The Early History of Ceylon, (New Delhi: Asian Educational Service, 2003), pp. 59-60. ๒๓ อ้างแล้ว, G.P. Malalasekera, ศรีลังกา: ว่าด้วยประวัติศาสตร์ การณ์พระศาสนา และวรรณคดี, หน้า ๒๔๖. ๒๔ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๑๗-๒๑๘.
122 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ ต้องการเห็นพฤติกรรมอันดีงามของพระสงฆ์ผู้ประพฤติตามธรรมวินัยแล้ว พระเจ้า ปรากรมพาหยุ งั ปรารถนารวบรวมนกิ ายนอ้ ยใหญใ่ หเ้ ปน็ หนงึ่ เดยี วภายใตจ้ ารตี ประเพณี ของส�ำนักมหาวิหาร ดังปรากฏเห็นในคัมภีร์มหาวงศ์ความว่า ”พระเจ้าปรากรมพาหุ ผู้ทรงมีพระปัญญา ทรงได้รับความล�ำบากเป็นทวีคูณ ทรงสมาทานพระสงฆ์ท้ัง ๓ นิกายให้สามัคคีกัน ทรงท�ำพระศาสนาของพระชินเจ้าให้เป็นดุจน�้ำกับน้�ำนม เพื่อให้ บริสุทธ์ิตราบจนส้ิน ๕,๐๐๐ ปี„๒๕ คัมภีร์นิกายสังครหยะบรรยายวิธีการปฏิรูปพระสงฆ์ครั้งนั้นว่า ”พระองค์ (พระเจ้าปรากรมพาหุ) ได้เสด็จเข้าไปปรึกษาพระสงฆ์แห่งส�ำนักมหาวิหาร ซ่ึงมี พระมหากาศยปเถระแห่งส�ำนักอุทุมพรคิรีเป็นต้นเป็นประธาน พระองค์ผู้ศรัทธาต่อ พระรัตนตรัยและกอปรด้วยคุณธรรมอันมาก ดังเช่น ความม่ันคง ความซื่อสัตย์ เป็นต้น ได้แจ้งความปรารถนาแห่งพระองค์แก่พระสงฆ์ท้ังปวงทราบ จากน้ันโปรดให้ ส่งข่าวแก่พระนอกรีตหลายร้อยรูป ผู้ประพฤติผิดศีลผิดธรรม หมายถึงพระสงฆ์สาม ส�ำนัก ได้แก่ ธรรมรุจิ สาคลิกะ และไวตุลยะ เพราะความประพฤติของพระสงฆ์ เหล่านี้สร้างความเสียหายแก่พระศาสนา จึงรับสั่งให้พระสงฆ์เหล่านั้นรวมตัวกันใน อาคารขนาดใหญ่ แล้วมอบให้คณะสงฆ์สอบสวนตลอดคืนแล้วขับออกจากจาก พระศาสนา ใหท้ ำ� การชำ� ระพระศาสนาและใหป้ ระสานสามนกิ ายเปน็ หนงึ่ เดยี ว„๒๖ กลา่ ว กันว่าการช�ำระอธิกรณ์สงฆ์และรวมนิกายเป็นหนึ่งเดียวคร้ังนี้ยิ่งใหญ่นักเสมือน ยกขุนเขาสิเนรุ๒๗ และถือว่าเป็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์พุทธศาสนา ในประเทศศรีลังกา เพราะท�ำให้สิ้นสุดความแตกแยกและความบาดหมางทางนิกาย ซ่ึงรัดรึงผูกติดภายในคณะสงฆ์เป็นเวลามากกว่าพันปี๒๘ ๒๕ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๑๒๓. ๒๖ อ้างแล้ว, พระสังฆราชเทวรักษิตะวิชัยพาหุเถระ, นิกายสังครหยะ: บันทึกการพระศาสนา ของชมพูทวีปและลังกา, หน้า ๗๒-๗๓. ๒๗ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๑๘. ๒๘ R.A.L.H. Gunawardana, Robe and Plough: Monasticism and Economic Interest in Early Medieval Sri Lanka, (Arizona: The University of Arizona Press, 1979), p. 314.
ตามพรลิงค์ 123 จากนั้นโปรดให้ออกกฎหมายควบคุมพระสงฆ์เรียกว่ากติกาวัตร เพื่อให้ พระสงฆ์ประพฤติดีงามตามพระธรรมวินัย ซ่ึงสามารถสรุปย่อความดังนี้ ”การบรรพชา อุปสมบทควรมีการตรวจสอบคุณสมบัติอย่างละเอียด ครั้นผ่านการบวชแล้วอุปัชฌาย์ และอาจารย์ควรกวดขันสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิกอย่างเคร่งครัด ด้วยการส่ังสอน ตามหลักแห่งพระธรรมวินัย กล่าวคือท้ังคันถธุระและวิปัสสนาธุระ โดยใช้หลักสูตรท่ี เหมาะสมต่อสมณวิสัย โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือสงเคราะห์ศรัทธาสาธุชนและบ�ำเพ็ญ ประโยชน์แก่ตน แม้เข้าสู่เถรภาวะก็สามารถด�ำรงความเป็นปราชญ์สงเคราะห์หมู่คณะ ได้ และส�ำทับตอนท้ายว่าหากพระภิกษุสามเณรรูปใดไม่ประพฤติตามกติกาวัตรน้ี ควร มีการตักเตือนเป็นเบ้ืองต้นสามหน หากยังประพฤติตนดื้อดึงไม่เชื่อฟังให้ลงโทษด้วย การอยู่นิสัยหนึ่งเดือน และหากขืนประพฤติเสียหายไม่ยอมฟังใครก็ให้ขับไล่ออกจาก หมู่คณะเสีย„๒๙ ตรงนี้มองเห็นว่าการรวมคณะสงฆ์เป็นหนึ่งเดียวเหมือนกษัตริย์สมัย อดีตย่อมหวังผลได้ยากนัก เพราะไม่ช้านานคณะสงฆ์ก็แยกตนเป็นอิสระอีกคร้ังหนึ่ง แต่คร้ันออกกติกาวัตรควบคุมอีกชั้นย่อมท�ำให้คณะสงฆ์ไม่สามารถแยกตัวเป็นอิสระ ไดอ้ กี ตอ่ ไป กตกิ าวตั รของพระองคค์ รง้ั นจ้ี งึ กลายเปน็ ตน้ แบบของกตกิ าวตั รสมยั ตอ่ มา นอกจากนั้น พระเจ้าปรากรมพาหุยังเห็นความส�ำคัญของอารามวิหารเพื่อให้ เพียงพอต่อคณะสงฆ์ พระองค์จึงโปรดให้มีการสร้างเสนาสนะอีกเป็นจ�ำนวนมาก ดังปรากฏในคัมภีร์มหาวงศ์ว่า ”ทรงให้สร้างมหาวิหารเชตวันเสมือนเชตวันมหาวิหาร สมัยพุทธกาล โปรดให้สร้างปราสาท ๓ ช้ัน ๘ หลัง แล้วมอบถวายพระเถระผู้ใหญ่ แห่งอายตนะท้ังแปด ถัดมาโปรดให้สร้างมหาปราสาทปูด้วยห้องพื้นทองค�ำเพื่อสารี บุตรมหาเถระ โปรดให้สร้างปราสาทยาว ๘ ชั้น ๙ หลัง เพื่อเป็นที่อยู่ของพระสงฆ์ แห่งปิริเวณะ ๗๕ แห่ง จากน้ันโปรดให้สร้างโรงไฟ วัจกุฎี ศาลาแสดงธรรม และ โปรดให้สร้างมหาพัทธสีมา ๑๒ ช้ัน ประกอบด้วยห้องเป็นจ�ำนวนมาก„๓๐ หลักฐาน ๒๙ Nandasena Ratnapala, The Katikavatas: Laws of the Buddhist Order of Ceylon from the 12th Century to the 18th Century, (Munchen: Mikrokopie GmbH, 1971), pp. 127-135. ๓๐ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๒๐-๒๒๖.
124 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ เบ้ืองต้นชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าปรากรมพาหุมิได้ใช้พระเดชกล่าวคือออกกฎหมายควบคุม พฤติกรรมพระสงฆ์เท่านั้น แต่ยังแสดงพระคุณด้วยการสร้างที่อยู่พร้อมอุปถัมภ์บ�ำรุง ทุกส่ิงอย่าง ด้วยเหตุนั้นบทบาทของพระองค์จึงเสมอพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย ประเทศ๓๑ และด้วยกลไกลเป็นรูปธรรมเช่นนี้จึงส่งผลให้ระบบการศึกษาประสบ ความส�ำเร็จในเร็ววัน อีกส่ิงหน่ึงซึ่งพระเจ้าปรากรมพาหุให้ความส�ำคัญคือการศึกษาของคณะสงฆ์ สมัยนั้นสถาบันการศึกษาของคณะสงฆ์เรียกว่าอายตนะ แม้สถาบันการศึกษาเหล่าน้ี จะเกิดมีก่อนสมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะก็จริง แต่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงตามกาล เวลาจนกลายมาเป็นศูนย์กลางการศึกษาอันแพร่หลายสมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะ๓๒ ความโดดเด่นของอายตนะสมัยนี้ส่งผลต่อความเป็นไปของการพระศาสนาและ ความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง อายตนะเหล่าน้ีล้วนได้รับการดูแลป้องกันพร้อม ยอมรับนับถือจากสถาบันกษัตริย์และอาณาประชาราษฎร์ชาวลังกา๓๓ นอกจากนั้น อายตนะเหล่านี้ยังถือว่าเป็นศูนย์กลางการศึกษาคณะสงฆ์ที่มีประสิทธิภาพ ผลส�ำเร็จ ของระบบการศึกษาเห็นได้จากเกิดมีพระสงฆ์นักปราชญ์จ�ำนวนมากพากันผลิตต�ำรา ท้ังที่เป็นภาษาสิงหล ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤต สำ� หรบั อายตนะสมยั อาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะนนั้ มี ๘ แหง่ ไดแ้ ก่ ๑) คลตรุ มุ ลู ะ (ภาษาบาลีเรียกว่าเสลันตรายตนะ-มูละ) ๒) อุตุรุมูละ (ภาษาบาลีเรียกว่าอุตตรมูละ) ๓) วิลคัมมูละ (ภาษาบาลีเรียกว่าสโรคามะมูละ) ๔) มหาเนตปามูละ (ภาษาบาลีเรียก ว่ามหเนตตปาสาทะมูละ) ๕) ปัญจปิริเวณมูละ (ภาษาบาลีเรียกว่าปัสมหมูละ) ๓๑ Ibid., Epigraphia Zeylanica Being Lithic and other Inscriptions of Ceylon, Vol. II, p. 268. ๓๒ Yatadolawatte Dhammavisuddhi, ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง: ว่า ด้วยนิกายสงฆ์ การบริหารทรัพย์สิน การศึกษาสงฆ์ คติความเชื่อ และการฟื้นฟูคณะสงฆ์, แปลโดย พระมหาพจน์ สุวโจ, (นครปฐม: สาละพิมพการ, ๒๕๕๙), หน้า ๕๖. ๓๓ Ibid., R.A.L.H. Gunawardana, Robe and Plough: Monasticism and Economic Interest in Early Medieval Sri Lanka, p. 282.
ตามพรลิงค์ 125 ๖) กปาลมูละ (ภาษาบาลีเรียกว่ากัปปุรมูละ) ๗) เสนาปติมูละ (ภาษาบาลีเรียกว่าเสนา ปติมูละ) และ ๘) วหดุมูละ (ภาษาบาลีเรียกว่าวาหทีปกะ)๓๔ ผู้ท�ำหน้าที่บริหารอายตนะ เรียกว่าเจ้าส�ำนัก มีอ�ำนาจหน้าที่เป็นรองเพียงพระมหาสามีและพระมหาสถวีระหรือ พระสังฆราชเท่านั้น หลักฐานระบุว่าพระเถระผู้ด�ำรงต�ำแหน่งเจ้าส�ำนักแห่งอายตนะ ท้ังแปดต้องได้รับการแต่งต้ังจากพระสงฆ์ผู้น�ำ (นายกแตนะ) โดยผ่านการยอมรับจาก คณะสงฆ์และพระมหากษัตริย์ ความทรงอิทธิพลของเจ้าส�ำนักแห่งอายตนะนั้น สังเกตได้จากสามารถพิจารณาคัดเลือกผู้ข้ึนครองราชย์บัลลังก์ได๓้ ๕ เป็นท่ีน่าสังเกต ว่าอายตนะเหล่านั้นล้วนเป็นผลผลิตของนิกายท้ังสาม และเกิดขึ้นนับเน่ืองมาแต่สมัย อาณาจกั รอนรุ าธปรุ ะ นอกจากเปน็ แหลง่ ผลติ นกั ปราชญน์ อ้ ยใหญแ่ ลว้ ยงั เปน็ ศนู ยก์ ลาง ของพลังทางการเมืองเพราะนักศึกษาท่ีจบจากอายตนะเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ทรงอิทธิพล ต่อบ้านเมือง ความทรงอิทธิพลดังกล่าวน่าจะเป็นเหตุให้พระเจ้าปรากรมพาหุเร่งปฏิรูป พระศาสนาและเข้าไปสนับสนุนอายตนะเหล่านั้น ส่วนเหตุท่ีอายตนะโดดเด่นขึ้นสมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะนั้น สันนิษฐานว่า นา่ จะเปน็ ราโชบายหนนุ ศาสนาเปน็ แน่ เพราะอายตนะเปน็ องคาพยพสำ� คญั ในการเรยี น การสอนของแต่ละนิกาย สามารถสร้างพระสงฆ์นักปราชญ์เป็นจ�ำนวนมาก และ พระสงฆ์เหล่าน้ีน่าจะมีบทบาทในการบริหารนิกายแห่งตน ตลอดท้ังทรงอิทธิพลต่อ สงั คมเนอ่ื งจากวา่ เปน็ อาจารยส์ อนสงั่ ศษิ ยฆ์ ราวาสเปน็ จำ� นวนมาก การทพี่ ระเจา้ ปรากรม พาหุมหาราชปฏิรูปพระศาสนาด้วยการรวมนิกายสงฆ์ให้เป็นหนึ่งเดียวหาได้เพียงพอ ไม่ การสนบั สนนุ ใหอ้ าตนะมคี วามเขม้ แขง็ จงึ เปน็ เรอ่ื งสำ� คญั จงึ ไมแ่ ปลกอนั ใดทพี่ ระเจา้ ปรากรมพาหุโปรดให้สร้างอาคารท่ีพักแก่พระสงฆ์ระดับเจ้าส�ำนักอายตนะภายใน วัดเชตวันวิหารกลางเมืองหลวงโปโฬนนารุวะ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร ๓๔ A. Adikari, The Classical Education and the Community of Mahasangha in Sri Lanka, (Colombo: Godage International Publishers, 2006), pp. 73-91. ๓๕ อ้างแล้ว, Yatadolawatte Dhammavisuddhi, ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกา ยุคกลาง: ว่าด้วยนิกายสงฆ์ การบริหารทรัพย์สิน การศึกษาสงฆ์ คติความเช่ือ และการฟื้นฟู พระศาสนา, หน้า ๕๘.
126 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ คณะสงฆ์ อีกทั้งให้มีการปฏิรูปหลักสูตรการเรียนการสอนให้ทรงประสิทธิภาพมากข้ึน ราชูปถัมภ์อย่างเต็มที่คร้ังนี้ท�ำให้ความเห็นต่างเรื่องนิกายหายไป กลายเป็นความ โดดเด่นด้านผลิตต�ำราทางพระพุทธศาสนาเข้ามาแทนท่ี ส่วนหลักสูตรการเรียนการสอนในอาตนะสมัยน้ันแบ่งออกเป็น ๓ ช้ัน ดังนี้ ๑) ชั้นต้นส�ำหรับสามเณร หลักสูตรการเรียนการสอนช้ันนี้ใช้คัมภีร์ ๓ เล่ม กล่าวคือ คัมภีร์เหรณสิขะ คัมภีร์เสขิยา และคัมภีร์ทสธัมมสูตร กล่าวเฉพาะคัมภีร์ เหรณสิขะและคัมภีร์เสขิยานั้นไม่สามารถหาร่องรอยจากแหล่งใดได้ เพราะไม่มีหลง เหลอื ถงึ ปจั จบุ นั สนั นษิ ฐานวา่ เนอื้ หาอาจจะรวบรวมมาจากคมั ภรี จ์ ลุ วรรคแหง่ พระวนิ ยั ปิฎก๓๖ ส่วนคัมภีร์ทสธัมมสูตรหรือปัพพชิตอภิณหสูตรเน้ือหาคัดลอกมาจาก พระไตรปฎิ ก๓๗ นอกจากนน้ั สามเณรผศู้ กึ ษาควรยนิ ดกี ารปลกี วเิ วกเพอ่ื ปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนา กรรมฐานตามแนวทางแห่งวิปัสสนาธุระ โดยมีอุปัชฌาย์หรืออาจารย์ท�ำหน้าท่ีเป็น กัลยาณมิตรให้ค�ำแนะน�ำ พร้อมกันกันนั้นสามเณรต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบเบื้องต้น และข้อวัตรปฏิบัติอันดีงามของแต่ละอารามวิหารอย่างเคร่งครัดด้วย๓๘ ๒) ช้ันกลางส�ำหรับผู้ผ่านการอุปสมบทแล้ว เรียกช่ือว่านิสสยะ ระยะเวลา ของหลักสูตร ๕ ปี สอดคล้องกับระยะเวลาของภิกษุผู้ถือนิสัยตามพุทธบัญญัติ๓๙ หลักสูตรการเรียนการสอนของชั้นนี้เริ่มต้นจากคัมภีร์ขุททกสิกขาและคัมภีร์ปาฏิโมกข์ แห่งพระวินัยปิฎก พร้อมทั้งทสธัมมสูตรและอนุมานสูตรจากสุตตันตปิฎก คัมภีร์ ขุททกสิกขานั้นทราบแต่เพียงว่ารจนาโดยพระธรรมสิริเถระ ต้นฉบับดั้งเดิมไม่หลง ๓๖ อ้างแล้ว, C.E. Godakumbura, วรรณคดีภาษาสิงหล: ว่าด้วยวรรณกรรมร้อยแก้ว ร้อยกรอง และพระธรรมวินัย, แปลโดย ลังกากุมาร, (นครปฐม: ส�ำนักพิมพ์สาละพิมพการ, ๒๕๖๑), หน้า ๑๕. ๓๗ องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๔๘/๑๐๔-๑๐๕. ๓๘ Ibid., Nandasena Ratnapala, The Katikavatas: Laws of the Buddhist Order of Ceylon from the 12th Century to the 18th Century, p. 129. ๓๙ วิ.มหา. (ไทย) ๔/๑๐๓-๑๐๔/๑๕๗-๑๖๔.
ตามพรลิงค์ 127 เหลือตกทอดมาถึงปัจจุบันแล้ว๔๐ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นการคัดลอกเน้ือความมาจาก พระวินัยปิฎกเป็นหลัก โดยเฉพาะส่วนที่เห็นว่าเหมาะสมเพ่ือวางเป็นเกณฑ์ส�ำหรับ ผู้บวชใหม่ ส่วนคัมภีร์ปาฏิโมกข์หมายถึงวินัยสงฆ์ ๒๒๗ ข้อ ซึ่งสงฆ์จะต้องยกข้ึน แสดงทุกคร่ึงเดือน เพื่อสอบทานความบริสุทธิ์แห่งตน ส�ำหรับเนื้อหาในทสธัมมสูตร หรือปัพพชิตอภิณหสูตรนั้น เป็นการสอบทานตนเองว่าเหมาะสมต่อเพศบรรพชิต หรือไม่ และเร่งปฏิบัติธรรมให้ลุถึงจุดมุ่งหมายสูงสุด ส่วนอนุมานสูตรคัดลอกมาจาก พระไตรปฎิ ก๔๑ เปน็ ทนี่ า่ สงั เกตวา่ เนอ้ื หาดงั กลา่ วขา้ งตน้ เนน้ ใหผ้ เู้ รยี นตอ้ งทอ่ งจำ� จนขน้ึ ใจ ๓) ช้ันสูงส�ำหรับผู้ผ่านชั้นกลางมาแล้ว หลักสูตรช้ันนี้ประกอบด้วยคัมภีร์ มูลสิกขา คัมภีร์เสขิยา และคัมภีร์สิกขวฬัณฑวินิสะ เฉพาะคัมภีร์เสขิยาน้ันไม่มี หลักฐานระบุไว้ชัดเจน สันนิษฐานว่าน่าจะคัดลอกข้อมูลมาจากเสขิยกัณฑ์ ซ่ึงว่าด้วย กิริยาทางกายและทางวาจาท่ีเหมาะสมกับภิกษุ ส่วนคัมภีร์มูลสิกขานั้นเป็นผลงานของ พระมหาสามีเถระ เป็นคัมภีร์คู่มือเล่มเล็กเกี่ยวกับพระวินัยเดิมแต่งเป็นภาษาบาลีก่อน ทจ่ี ะแปลเปน็ ฉนั ทภ์ าษาสงิ หลในชอื่ วา่ มลู สกิ ขวฬณั ฑะ๔๒ เนอื้ หาของคมั ภรี เ์ ลม่ นเี้ ปน็ การ รวบรวมพระวินัยบัญญัติพอสังเขปเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ เร่ิมจากปาราชิกเป็นต้นจนถึง ปาจิตตีย์พร้อมวินัยจ�ำนวนหน่ึงซ่ึงผู้แต่งประกอบขึ้นเอง แต่เนื้อหาสอดคล้องเป็นใน ทิศทางเดียวกัน๔๓ ส่วนคัมภีร์สิกขวฬัณฑวินิสะเป็นการแต่งขยายความต่อจากคัมภีร์ มลู สกิ ขวฬนั ฑะ สนั นษิ ฐานวา่ เนอ้ื หาเปน็ การผสมกนั ระหวา่ งภาษาบาลแี ละภาษาสงิ หล๔๔ ๔๐ อ้างแล้ว, C.E. Godakumbura, วรรณคดีภาษาสิงหล: ว่าด้วยวรรณกรรมร้อยแก้ว ร้อยกรอง และพระธรรมวินัย, หน้า ๑๓. ๔๑ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๘๑-๑๘๔/๑๘๖-๑๙๗. ๔๒ อ้างแล้ว, C.E. Godakumbura, วรรณคดีภาษาสิงหล: ว่าด้วยวรรณกรรมร้อยแก้ว ร้อยกรอง และพระธรรมวินัย, หน้า ๑๓. ๔๓ Risiman Amarasinghe, An Analytical Research of Mulsikha, (Colombo: Samayawardhana Book Shop, 2014), pp. 103-130. ๔๔ อ้างแล้ว, C.E. Godakumbura, วรรณคดีภาษาสิงหล: ว่าด้วยวรรณกรรมร้อยแก้ว ร้อยกรอง และพระธรรมวินัย, หน้า ๑๓.
128 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ ประเด็นส�ำคัญคือผู้เรียนต้องจดจ�ำเน้ือความของคัมภีร์เหล่าน้ีอย่างข้ึนใจ เพราะมีการ สอบทานทุกคร่ึงปี หลกั สตู รสามชน้ั ดงั กลา่ วเบอ้ื งตน้ ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ เนน้ ความสำ� คญั ของพระวนิ ยั ปฎิ ก เป็นหลัก โดยกล่าวถึงพระสุตตันตปิฎกเพียงเล็กน้อย ส่วนพระอภิธรรมปิฎกไม่กล่าว ถึงเลย เป็นไปได้หรือไม่ว่าวินัยสงฆ์สมัยนั้นหย่อนยานมากจนต้องมีการปรับหลักสูตร เพ่ือเร่งสร้างพระสงฆ์รุ่นใหม่ให้ประพฤติดีงามตามพระธรรมวินัย ซึ่งน่าจะเป็น พระราชปรารภของพระเจ้าปรากรมพาหุ ผู้ประสงค์เห็นพระสงฆ์ประพฤติดีงามเพ่ือให้ เห็นผลในเร็ววัน จึงโปรดให้ก�ำหนดหลักสูตรทุกชั้นโดยเน้นควบคุมพฤติกรรมของ พระสงฆ์เป็นหลัก หากประมาณระยะเวลาการเรียนการสอนของแต่ละช้ันเป็น ๕ ปี ก็จะรวมเป็น ๑๕ ปี ย่อมถือว่ายาวนานพอสมควรที่จะต้องศึกษาเฉพาะพระวินัยปิฎก น่าจะมีการเพิ่มพระสุตตันตปิฎกและพระอภิธรรมปิฎกบ้าง อีกประการหนึ่ง หากตรวจ สอบคัมภีร์ที่น�ำมาเป็นหลักสูตรแล้วย่อมเห็นชัดว่าล้วนเป็นผลงานของบูรพาจารย์มิใช่ แต่งขึ้นสมัยพระองค์ เป็นไปได้หรือไม่ว่าความรีบร้อนดังกล่าวจึงท�ำให้พระสงฆ์ นักปราชญ์สมัยน้ัน ไม่สามารถแต่งคู่มือการเรียนการสอนได้ทัน จึงต้องน�ำคัมภีร์ของ บูรพาจารย์มาจัดเป็นคู่มือส�ำหรับการเรียนการสอนดังเอกสารอ้างถึงแล้ว ผลจากการจัดการเรียนการสอนปรากฏผลส�ำเร็จเร็ววัน กล่าวคือมีพระนัก ปราชญ์ผลิตผลงานทางวิชาการเป็นจ�ำนวนมาก ดังเช่น พระมหากัสสปเถระแห่งส�ำนัก อุทุมพรคิรีวิหาร ผู้เป็นประธานสงฆ์ในการปฏิรูปพระศาสนา ได้รับการยกย่องว่า เช่ียวชาญด้านภาษาบาลี ภาษาสันสกฤตและภาษาสิงหล โดยรจนาคัมภีร์หลายเล่ม กล่าวคอื คัมภีร์อภิธัมมัตถสงั คหฎีกา หรอื เรียกชอื่ วา่ โปราณฎีกา คัมภรี พ์ าลาวโพธนะ หรือไวยากรณ์ภาษาสันสกฤต และคัมภีร์สมันตปาสาทิกาสันเนหรือคัมภีร์แต่งอธิบาย คัมภีร์สมันตปาสาทิกาของพระพุทธโฆษาจารย์ ถัดมาเป็นพระสารีบุตรเถระผู้เป็นศิษย์ เอกของพระมหากสั สปเถระ พระเถระรปู นไ้ี ดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ นกั ปราชญน์ ามอโุ ฆษ แห่งยุคโปโฬนนารุวะ ท่านได้นิพนธ์คัมภีร์หลายเล่ม กล่าวคือ คัมภีร์สารัตถทีปนี คัมภีร์สารัตถมัญชุสา คัมภีร์ปาลีมุตตกวินยวินิจฉัย คัมภีร์เหล่าน้ีล้วนแต่งเป็นภาษา บาลี ส่วนผลงานภาษาสันสกฤตคือคัมภีร์ปัญจิกาลังการะและคัมภีร์ปทาวตาระ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320