ตามพรลิงค์ 129 และผลงานภาษาสิงหลมีเล่มเดียวชื่อว่าอภิธรรมารถสังครสันนยะ สุดท้ายคือ พระโมคคัลลานเถระผู้เป็นศิษย์อีกรูปหนึ่งของพระมหากัสสปเถระแห่งอุทุมพรคิรี ท่านได้แต่งคัมภีร์ไวยากรณ์ภาษาบาลีชื่อว่าโมคคัลลานวยากรณะหรือบางคร้ังเรียกว่า สัททนีติ๔๕ เป็นท่ีน่าสังเกตว่าแม้หลักสูตรการเรียนการสอนในกติกาวัตรไม่ปรากฏเห็น ว่าใช้ภาษาใดในการเรียนการสอน แต่หลักฐานเบื้องต้นช้ีให้เห็นแล้วว่าทั้งภาษาบาลี ภาษาสันสกฤตและภาษาสิงหลล้วนมีความส�ำคัญเท่าเทียมกัน โดยอ้างจากผลงานด้าน วรรณกรรมของพระเถระนักปราชญ์สมัยนั้น ๓.๓ ความสัมพันธ์กับอาณาจักรตามพรลิงค์ หลกั ฐานความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งอาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะกบั อาณาจกั รตามพรลงิ ค์ ช้ินแรกคือจารึกแผ่นหินของพระนางสุนทรมหาเทวี ผู้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าวิกรม พาหุ (พ.ศ.๑๖๕๔-๑๖๗๕) ซึ่งพรรณนาไว้ว่า ”ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดมี ขอนอบ น้อมต่อพระเถระผู้ใหญ่นามว่าอานนท์ ผู้มีชัยผู้ถึงแล้วซ่ึงปาฏิหาริย์ ผู้เป็นเสมือนธงชัย สว่างไสวเหนือเกาะลังกา พระเถระรูปน้ี ... เป็นพระสงฆ์แห่งอาณาจักรตัมพะและท่าน เป็นนักปราชญ์นามอุโฆษ ..... ของพระวินัยระหว่างพระสงฆ์ชาวโจฬะ”๔๖ หลักฐาน ตรงน้ีกล่าวถึงพระอานนท์เถระได้เดินทางไปฟื้นฟูพระศาสนาท่ีอาณาจักรตัมพรัฏฐะ โดยการสนับสนุนของพระนางสุนทรมหาเทวีผู้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าวิกรมพาหุ ดังกล่าว นักวิชาการหลายท่านวิเคราะห์ประเด็นนี้ค่อนข้างแตกต่างกัน บางคนเห็นว่า ตัมพรัฏฐะหมายถึงอินเดียตอนใต้ ซึ่งสมัยนั้นเป็นเมืองหน่ึงของทมิฬโจฬะ แม้พระ อนุรุทธเถระผู้ทรงปราชญ์ด้านพระอภิธรรมก็อ้างว่าแต่งคัมภีร์เก่ียวกับพระอภิธรรม ๔๕ Gatare Dhammapala, A Comparative Study of Sinhala Literature, (Colombo: Godage International Publishers), pp. 37-51. ๔๖ Epigraphia Zeylanica being Lithic and other Inscriptions of Ceylon, vol. IV. edited and translated by H.W. Codrington and S. Paranavitana, (New Delhi: Asian Education Services, 1994), p. 72.
130 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ ขณะพ�ำนักอยู่ท่ีตันชอร์แห่งเมืองตัมพรัฏฐะ ส่วนบางคนแย้งว่าตัมพรัฏฐะหมายถึง ตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราชของประเทศไทย เพราะมีหลักฐานกล่าวถึงในจารึก วัดเวียงไชยาเป็นส�ำคัญ และหลักฐานส่วนหนึ่งมาจากคัมภีร์มหาวงศ์กล่าวถึงการท�ำ สงครามระหว่างกษัตริย์ลังกากับพระเจ้าจันทรภาณุแห่งเมืองตัมพรัฏฐะ๔๗ ผู้วิจัยเห็นว่าตัมพรัฏฐะน่าจะหมายถึงเมืองตามพรลิงค์ของประเทศไทย ประการแรกคอื ประวตั ศิ าสตรศ์ รลี งั กาสมยั พระเจา้ วกิ รมพาหรุ ะบวุ า่ พระองคไ์ ดท้ ำ� ลาย ศาสนสถานของพระพุทธศาสนาอย่างถอนรากถอนโคน เป็นเหตุให้พระสงฆ์และ ประชาชนพากันคิดว่า ”เมื่อพระราชาเปรียบได้กับเดียรถีย์ย�่ำยีพระพุทธศาสนาเช่นน้ี การอพยพหลบหนีตามชอบใจน่าจะดีกว่า จึงน�ำพระธาตุเข้ียวแก้วและพระบาตรธาตุ หลบหนีไปแคว้นโรหณะ”๔๘ พระสงฆ์กลุ่มหนึ่งอาจพากันหนีราชภัยไปอยู่อาศัยที่เมือง ตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราช เฉกเช่นเดียวกับสมัยทมิฬโจฬะบุกรุกยึดครอง เกาะลังกาสมัยอนุราธปุระตอนปลาย พระสงฆ์ศรีลังกาก็อพยพหลบหนีไปอาศัย อาณาจักรพุกามของพม่าเช่นกัน ประการต่อมาเป็นหลักฐานจากพระพิมพ์ดินเผาที่ ค้นพบในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย ซ่ึงอายุประมาณพุทธศตวรรษ ๑๓-๑๔ ได้ ยืนยันว่าสมัยน้ันบริเวณภาคใต้ของประเทศไทยนับถือพระพุทธศาสนาสามนิกาย กล่าวคือ นิกายเถรวาท นิกายสรวาสติวาทและนิกายมหายาน๔๙ จึงเป็นไปได้ว่า พระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นที่รู้จักของหัวเมืองบริเวณภาคใต้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การทพี่ ระสงฆศ์ รลี งั กาบางกลมุ่ หนภี ยั สงครามมาอาศยั อาณาจกั รตามพรลงิ คจ์ งึ ไมเ่ ปน็ เรื่องเกินความจริง อีกเหตุการณ์หนึ่งกล่าวถึงในต�ำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช กล่าวคือ พระญาศรีธรรมาโศกราชได้พบชัยภูมิสร้างเมืองบริเวณหาดทรายแก้ว ได้แต่งราชทูต ไปทูลปรึกษากับกษัตริย์ลังกา คราวน้ันกษัตริย์ลังกาได้ทูลถามการพระศาสนาในเมือง ๔๗ Ibid, pp. 67-71. ๔๘ มหาวงศ์ ๑, หน้า ๕๖๒-๕๖๓. ๔๙ ม.ล. สุรสวัสด์ิ สุขสวัสด์ิ ณ อยุธยา, ”การศึกษาพระพิมพ์ภาคใต้ของประเทศไทย”, (มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร, ๒๕๒๘), หนา้ ๑๘๘-๑๘๙.
ตามพรลิงค์ 131 นครศรีธรรมราช ครั้นทราบความจริงแล้วจึงได้ตรัสว่า ”ยังมีพระสงฆ์องค์หน่ึงช่ือ พุทธค�ำเภียร เกิดวิวาทกันกับเพื่อนสงฆ์ เจ้าเมืองลังกาขอโทษกันเสีย เจ้ากูไม่ลงให้ก็ ให้นิมนต์เจ้ากูไปเถิด พระพุทธค�ำเภียรก็ลงส�ำเภามาด้วยบาคู ๔ คน„๕๐ เรื่องราวตรง นี้สอดคล้องกับเหตุการณ์สมัยพระเจ้าปรากรมพาหุปฏิรูปพระศาสนา คราวครั้งน้ันมี พระสงฆ์ไม่เห็นด้วยเป็นจ�ำนวนมาก บางส่วนยอมเปล่ียนสถานภาพเป็นสามเณร แต่ บางส่วนเดินทางไปต่างประเทศ๕๑ สันนิษฐานว่าพระพุทธค�ำเภียรรูปน้ีน่าจะเป็น พระสงฆ์ส�ำนักอภัยคิรีวิหารผู้ชื่นชอบมหายาน และน่าจะหลบหนีออกจากเกาะลังกา สมัยพระเจ้าปรากรมพาหุคราน้ัน เร่ืองของพระพุทธค�ำเภียรยังสอดคล้องกับเร่ืองราว เกย่ี วกบั พระเขย้ี วแกว้ ในตำ� นานเมอื งนครศรธี รรมราช ตำ� นานพระธาตเุ มอื งนครศรธี รรมราช และนิพพานโสตร ซึ่งเน้ือหาบางส่วนคัดลอกมาจากคัมภีร์ทาฐาธาตุวังสะ คัมภีร์เล่มน้ี เป็นผลงานการเรียบเรียงของคณะสงฆ์ส�ำนักอภัยคิรีวิหาร และภายหลังต่อมาแต่งเป็น ภาษาบาลีโดยพระธรรมกิตติเถระ ประมาณพุทธศักราช ๑๗๕๔ ตรงกับรัชสมัยของ พระนางลีลาวดี (พ.ศ.๑๗๔๐-๑๗๔๓)๕๒ ด้วยเหตุน้ัน พระพุทธค�ำเภียรรูปนี้น่าจะเป็น พระเถระผู้ใหญ่รูปหน่ึงซ่ึงสังกัดส�ำนักอภัยคิรีวิหาร ผู้ไม่ยินดีพอใจในการปฏิรูป พระศาสนาของพระเจ้าปรากรมพาหุ จึงอพยพหลบหนีมายังอาณาจักรตามพรลิงค์ พร้อมน�ำเอาประเพณีความเชื่อของมหายานมาเผยแผ่ยังอาณาจักรแห่งน้ีด้วย๕๓ หลักฐานอีกแห่งหนึ่งพบเห็นในจารึกกัลยาณีของพระเจ้าธรรมเจดีย์ กล่าวถึง สามเณรฉปฏะชาวพม่าได้เดินทางมาบวชแปลงกับพระสงฆ์ลังกา และศึกษาเล่าเรียน คัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถกถากับพระมหากัสสปเถระแห่งส�ำนักอุทุมพรคิรีวิหาร เป็นเวลาหน่ึงทศวรรษ ต่อมาได้อุปสมบทเป็นภิกษุมีฉายาว่าสัทธรรมโชติปาละ ครั้น ๕๐ ต�ำนานพระธาตุ, หน้า ๔-๕. ๕๑ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๑๘. ๕๒ Somapala Jayawardhana, Handbook of Pali Literature, (Colombo: Karunaratne & Sons Ltd, 1994). pp. 40-41. ๕๓ รามญั สมณะวงษ,์ พระมหาวิชาธรรม (เรือง เปรยี ญ) แปลจากจาฤกสิลากัลยาณี, (นนทบรุ :ี ส�ำนักพิมพ์ศรีปัญญา, ม.ป.ท.), หน้า ๑๓-๒๓.
132 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ พระพุทธรูปศิลาภายในวฏทาเควิหาร บริเวณวัดพระเขี้ยวแก้ว เมืองหลวงเก่า โปโฬนนารุวะ ประเทศศรีลังกา เวชยันตร์ปราสาทของพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราชภายในพระราชวัง เมืองหลวงเก่า โปโฬนนารุวะ ประเทศศรีลังกา
ตามพรลิงค์ 133 วฏทาเควิหาร บริเวณวัดพระเขี้ยวแก้ว เมืองหลวงเก่าโปโฬนนารุวะ ประเทศ ศรีลังกา ศิวะเทวาลัยภายในเมืองหลวงเก่าโปโฬนนารุวะ สัญลักษณ์อิทธิพลของลัทธิฮินดู ประเทศศรีลังกา
134 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ อฏทาเควิหาร บริเวณวัดพระเขี้ยวแก้ว เมืองหลวงเก่าโปโฬนนารุวะ ประเทศ ศรีลังกา ปพลุเวเหระเจดีย์ เมืองหลวงเก่าโปโฬนนารุวะ ประเทศศรีลังกา
ตามพรลิงค์ 135 ถูปารามวิหาร บริเวณวัดพระเขี้ยวแก้ว เมืองหลวงเก่าโปโฬนนารุวะ ประเทศ ศรีลังกา ท้องพระโรง บริเวณพระราชวัง เมืองหลวงเก่าโปโฬนนารุวะ ประเทศศรีลังกา
136 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ ครบถ้วนทศวัสสาบรรลุเถรภาพแล้ว ได้อ�ำลาอุปัชฌาย์อาจารย์เดินทางกลับพม่ารามัญ ดินแดนแห่งมาตุภูมิ ครั้งนั้นมีพระสหธรรมิกร่วมเดินทางมาด้วย ๔ รูป กล่าวคือ ๑) พระสีวลีเถระ ผู้เป็นบุตรชาวตามลิตถิคาม ๒) พระตามลินทเถระ ผู้เป็นพระโอรส ของพระเจ้ากัมโพช ๓) พระอานันทเถระ ผู้เป็นบุตรชาวเมืองกิญจิบุรี และ ๔) พระราหุลเถระ ผู้เป็นชาวลังกาทวีป คณะของท่านได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจาก พระเจ้านรปติสิทธูแห่งอาณาจักรพุกามสามารถประดิษฐานสิงหลวงศ์จนเป็นท่ีรู้จัก แพรห่ ลาย ตอ่ มาพระราหลุ เถระซง่ึ เปน็ หนง่ึ ในสหธรรมกิ ผรู้ ว่ มเดนิ ทางเกดิ ความกำ� หนดั เพราะเห็นนางสนมปรารถนาจะลาสิกขา พระสัทธรรมโชติปาลเถระเกรงว่าจะเป็นเรื่อง เสียหายจึงแนะน�ำให้เดินทางไปเผยแผ่พระศาสนายังเกาะมาลัย กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพได้ต้ังข้อสังเกตไว้ว่า เกาะมลัยนั้นคือแหลมมลายู เป็นแน่ เพราะบรรดาเมืองในแหลมมลายูมีโบราณวัตถุสถานสร้างแบบลังกาปรากฏอยู่ แต่ที่เมืองนครศรีธรรมราชแห่งเดียว คือองค์พระมหาธาตุท่ียังบูชากันอยู่ทุกวันน้ีเป็น รูปทรงสถูปแบบลังกาชัดเจน ทั้งมีค�ำในศิลาจารึกของพ่อขุนรามค�ำแหงว่า พระมหา เถระชน้ั สงั ฆราชาเจา้ คณะสงฆท์ เ่ี มอื งสโุ ขทยั สมยั นน้ั ลว้ นขน้ึ ไปจากเมอื งนครศรธี รรมราช๕๔ ข้อสังเกตดังกล่าวสอดคล้องกับแนวความคิดของบิดาแห่งประวัติศาสตร์ศรีลังกาว่า อาณาจักรทางแหลมมลายูเรียกว่าชวาน้ัน (อาณาจักรศรีวิชัย) ติดต่อสัมพันธ์กับลังกา ทางพระพทุ ธศาสนามาเนนิ่ นาน หลายครงั้ ทก่ี ษตั รยิ ช์ วามศี รทั ธาโปรดใหส้ รา้ งศนู ยก์ ลาง การศึกษา (ภาษาสิงหลเรียกว่าปริเวณะ) และวัดวาอารามถวายแก่พระสงฆ์บน เกาะลังกา และหลายครั้งได้นิมนต์พระสงฆ์ลังกาไปเผยแผ่ค�ำสอนยังอาณาจักรชวาจน ม่ันคงถาวรสืบมา ครั้งหน่ึงพระเจ้าจันทรภาณุกษัตริย์แห่งอาณาจักรศรีวิชัย ได้ยกทัพ ไปลังกาเพื่อขอพระเขี้ยวแก้วมาครอบครองบูชา ถึงแม้ว่าจะนัยยะการเมืองมากกว่า เรื่องศาสนาก็ตาม๕๕ นอกจากนั้น ร่องรอยการเช่ือมต่อระหว่างพม่ากับอาณาจักร ตามพรลิงค์พบเห็นในต�ำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช กล่าวถึงพระญาศรีธรรม ๕๔ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ, เทยี่ วเมอื งพมา่ , (กรงุ เทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์คลังวิทยา, ๒๕๑๗), หน้า ๓๔๑. ๕๕ Ibid., S. Paranavitana, Ceylon and Malaysia, (Colombo: 1966), pp. 1-28.
ตามพรลิงค์ 137 โศกราชแห่งเมืองหงษาวดีได้อพยพผู้คนมาสร้างเมืองใกล้กับริมทะเลหาดทรายแก้ว๕๖ อีกแห่งหน่ึงระบุว่าพระญาศรีธรรมโศกราชแห่งเมืองนครศรีธรรมราช ซ่ึงกล่าวถึงได้ ส่งราชทูตไปเมืองหงษาวดีและเกาะลังกา เพื่อนิมนต์พระสงฆ์มาร่วมก่อสร้าง พระมหาธาตุเจดีย์๕๗ หลักฐานดังกล่าวช้ีให้เห็นว่าอาณาจักรตามพรลิงค์ย่อมเป็นที่รู้จัก คุ้นเคยของชาวพม่าและลังกาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะความเป็นมิตรของสถาบันกษัตริย์ การท่ีพระราหุลเถระเดินทางมาอาณาจักรตามพรลิงค์ อาจเป็นส่วนหน่ึงของความ สัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์สองอาณาจักรก็เป็นได้ อีกประการหน่ึง อาจมีอารามวิหารของ พระศรีลังกาก่อนการมาของพระราหุลเถระก็เป็นได้ เพราะหลักฐานล้วนชี้บอกแล้วว่า อาณาจักรตามพรลิงค์มีปฏิสัมพันธ์ทางศาสนากับเกาะลังกามาเป็นเวลายาวนาน การ ท่ีพระราหุลเถระชาวศรีลังกาเดินทางมาพักอาศัยกับพระสงฆ์ศรีลังกาด้วยกันเอง ย่อมเป็นเรื่องไม่เกินวิสัยดังอ้างถึงในวรรณกรรม ๓.๔ อาณาจักรดัมพเดณิยะก่อนการกอบกู้บ้านเมือง หลงั จากพระเจา้ ปรากรมพาหมุ หาราชสวรรคตสน้ิ แลว้ อาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะ เข้าสู่ภาวะล่มสลาย อันเนื่องจากแต่ละราชวงศ์ต่างท�ำสงครามแย่งชิงกันเอง โดยมีเหล่า ขุนนางกุมอ�ำนาจอยู่เบื้องหลัง บางคร้ังพระมเหสีของบูรพกษัตริย์ข้ึนครองราชย์ แต่ก็ อยู่ภายใต้อ�ำนาจของขุนนางผู้ใหญ่ การครองราชย์ก็เป็นระยะเวลาอันส้ัน แม้ไม่มีภัย สงครามภายนอกเข้ามาเบียดเบียน แต่ความวุ่นวายภายในบ้านเมืองก็เป็นเหตุให้พระ ศาสนาเส่ือมโทรม การแย่งชิงอ�ำนาจกันเองภายในดังกล่าวเป็นเหตุให้พระเจ้ามาฆะ แห่งแคว้นกาลิงคะยกทัพเจ้ามาบุกรุกยึดครองเกาะลังกาเป็นเวลาถึงสามทศวรรษ ส่วนชาวสิงหลผู้ไม่ปรารถนาอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้ามาฆะก็หลบหนีไปอยู่ ตามปา่ เขา บางสว่ นแยกตนปกครองเปน็ อสิ ระบรเิ วณหวั เมอื งทางตอนใตเ้ ขตมายาระฏะ ประเดน็ นา่ วเิ คราะหค์ อื ผแู้ ตง่ คมั ภรี ม์ หาวงศบ์ รรยายลกั ษณะของพระเจา้ มาฆะ ว่าเป็นผู้โหดร้ายท�ำลายพุทธศาสนาและวัฒนธรรมสิงหล ดังความว่า ”พระองค์ประดุจ ฤดูร้อนใหญ่ ทรงจุดไฟป่าคือทหารจ�ำนวนมากให้เผาผลาญป่าใหญ่คือราชสมบัติลังกา ๕๖ ต�ำนานพระธาตุ, หน้า ๔. ๕๗ ต�ำนานพระธาตุ, หน้า ๑๐.
138 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ ทหารเหล่านั้นพากันท�ำร้ายเบียดเบียนชาวลังกาอย่างป่าเถ่ือนข่มขู่ไปทุกหนแห่ง บุกเข้าปล้นเส้ือผ้าอาภรณ์ของชาวบ้าน ท�ำลายประเพณีท่ีสืบทอดมายาวนาน ตัดมือ ตัดเท้าท�ำลายบ้านเรือนเสียหายมาก จับมัดโคกระบือยึดไว้เป็นกรรมสิทธิ์ จองจ�ำเข่น ฆ่าคนร่�ำรวย ขนเอาทรัพย์สมบัติไปหมดส้ิน ท�ำให้คนร่�ำรวยกลายเป็นคนขัดสนใน ช่ัวพริบตา ท�ำลายเรือนพระปฏิมาหักพังท�ำลายพระเจดีย์ เข่นฆ่าอุบาสกอุบาสิกา ใช้ วิหารเป็นบ้านอาศัย ท�ำร้ายเด็กเล็กบีบบังคับสหธรรมิกทั้งห้า ให้ขนหาบส่ิงของให้ ทำ� งานหนกั แกผ้ กู คมั ภรี ศ์ กั ดส์ิ ทิ ธทิ์ บ่ี ณั ฑติ สรรเสรญิ จำ� นวนมากใหเ้ กลย่ี กระจยุ กระจาย ท่ัวพื้นดิน พระเจดีย์ใหญ่สูงล�้ำมีรัตนาวลีเจดีย์เป็นต้นอันงดงามเสมือนร่างกายคือ พระเกียรติยศของพระบุรพกษัตริยาธิราชเจ้าผู้มีพระราชศรัทธา พวกทหารเหล่าน้ันก็ พากันท�ำลายปรักหักพัง แม้แต่พระสารีริกธาตุอันเปรียบเหมือนพระชนม์ชีพของ พระบุรพกษัตริยาธิราชก็ถูกทำ� ลายจนอันตรธาน พวกทหารชาวทมิฬกระทำ� การเหมือน เสนามารผู้โหดเห้ียมดุร้ายบุกท�ำลายชาวสิงหลและพระพุทธศาสนา„๕๘ สว่ นคมั ภรี ป์ ชู าวลยิ ะกพ็ รรณนาในลกั ษณะเดยี วกนั ความวา่ ”กษตั รยิ ก์ าลงิ คะ ได้ยกพลขึ้นฝั่งบนเกาะลังกาด้วยทหารหาญถึง ๒๐,๐๐๐ คน แล้วสร้างป้อมค่ายอย่าง มั่นคง จากน้ันได้บุกเข้าท�ำลายเมืองโปโฬนนารุวะจับกษัตริย์ปัณฑยะแล้ว ควักพระเนตรเสีย พระองค์มีพระราชโองการให้เข่นฆ่าชาวบ้านและท�ำลายศาสนา ร้ือ เผารุวันแวลแิ สยเจดีย์และเจดีย์เหลา่ อนื่ จนหมดส้นิ รับสัง่ ให้ทหารชาวทมฬิ เผารา่ งของ บูรพกษัตริย์เป็นธุลีเหมือนเจดีย์ ให้ท�ำลายมงกุฎของกษัตริย์ซ่ึงคล้ายกับยอดปราสาท อนั ประกอบดว้ ยอญั มณมี คี า่ ซง่ึ รงุ่ เรอื งงดงามดว้ ยบรมสารรี กิ ธาตทุ ป่ี ระดษิ ฐานภายใน จากนั้นพระองค์โปรดลดฐานะคนชั้นสูงให้เสมอกับสามัญชนและยึดทรัพย์สินของคน ร�่ำรวยจนกลายเป็นคนเข็ญใจ ทรงบังคับชาวศรีลังกาให้นับถือศาสนาของพวกนอกรีต ให้จับผู้มีคุณธรรมแล้วบังคับให้เปล่ียนสถานภาพเป็นคนไร้ท่ีพึ่ง ทรงเปลี่ยนแปลง ชาวศรีลังกาเสมือนไฟไหม้บ้าน โปรดให้ทหารชาวทมิฬตั้งรกรากตามหมู่บ้านน้อยใหญ่ และครองราชย์เหนืออาณาจักรโปโฬนนารุวะเป็นระยะเวลา ๑๙ ปี„๕๙ ๕๘ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๔๐-๒๔๑. ๕๙ Ibid., Rajavaliya or A Historical Narrative of Sinhalese Kings from Vijaya to Vimala Dharma Surya II, p. 58.
ตามพรลิงค์ 139 ผู้วิจัยเห็นว่าประเด็นน้ีน่าจะเกิดจากอคติของผู้แต่งคัมภีร์มหาวงศ์เป็นแน่ หากตรวจสอบหลักฐานอย่างละเอียดจะเห็นว่าพระเจ้ามาฆะเป็นกษัตริย์ผู้ทรงปรีชา สามารถพระองคห์ นึ่ง ตลอดระยะเวลาสามทศวรรษที่พระองคท์ รงครอบครองบรเิ วณ ราชระฏะตอนเหนือน้ัน ไม่มีศึกนอกและศึกในเข้ามารบกวน พระองค์ทรงให้ความ ส�ำคัญเร่ืองท่าเรือมากกว่าเร่ืองอื่นใด โดยโปรดให้สร้างป้อมปราการตามท่าเรือส�ำคัญ รอบเกาะลังกา ท้ังน้ีเพื่อป้องกันอริราชศัตรูอีกทั้งเป็นการสร้างความปลอดภัยให้แก่ เหล่าพ่อค้าพาณิช ส่วนด้านพระศาสนาน้ันแม้พระองค์จะให้ความส�ำคัญแก่ฮินดูก็จริง แต่ก็มิได้ท�ำลายพระพุทธศาสนา สังเกตได้จากสมัยน้ีมีพระสงฆ์นักปราชญ์แต่ง คัมภีร์ส�ำคัญหลายเล่ม หลักฐานตรงนี้บ่งชี้ว่าพระสงฆ์มีอิสระในการแต่งหนังสือ และประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ ๓.๔.๑ การกอบกู้บ้านเมือง ครั้นอาณาจักรโปโฬนนารุวะล่มสลายเพราะการบุกรุกยึดครองของพระเจ้า มาฆะแห่งอาณาจักรกาลิงคะ เชื้อพระวงศ์ชาวสิงหลน้อยใหญ่ต่างอพยพหลบหนีไปอยู่ ตามหัวเมืองบริเวณป่าเขา พากันรวบรวมผู้คนออกต่อสู้กับพระเจ้ามาฆะแต่ก็พ่ายแพ้ เสยี ทกุ ครงั้ สมยั นมี้ เี ชอ้ื พระวงศส์ งิ หลพระองคห์ นง่ึ นามวา่ วชิ ยั พาหผุ ปู้ ระสตู ใิ นราชวงศ์ สิริสังโพธิ (พ.ศ.๑๗๗๕-๑๗๘๓) ได้อพยพชาวสิงหลกลุ่มหนึ่งมาอยู่ทางดินแดน ตอนใต้ แล้ว ”ปราบแคว้นมายาจนหมดเส้ียนศัตรู ให้สร้างเมืองน่ารื่นรมย์ มีก�ำแพง และซุ้มประตูเมืองงดงาม บนยอดเขาชัมพุทโทณิอันสูงย่ิง พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงมี พระปรีชา ทรงพระเกษมส�ำราญเสวยราชสมบัติอยู่ ณ เมืองน้ัน„๖๐ หลักฐานจากคัมภีร์ กวสิฬุมิณะซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของพระราชโอรสของพระองค์เองระบุว่าพระเจ้าวิชัยพาหุ ทรงสงั กดั ราชวงศป์ ณั ฑยะ๖๑ หากเปน็ เชน่ นน้ั แสดงวา่ พระองคส์ บื เชอื้ สายมาจากพระเจา้ วิชัยพาหุท่ี ๑ ผู้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรโปโฬนนารุวะกับพระนางลีลาวดีผู้เป็น ราชธดิ าของกษตั รยิ ป์ ณั ฑยะ ดว้ ยเหตนุ นั้ พระองคย์ อ่ มมสี ทิ ธโิ ดยชอบธรรมทจี่ ะประกาศ ๖๐ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๔๔. ๖๑ H.W. Codringon, A Short History of Ceylon, (New Delhi: Asian Educational Services, 1994). p.76
140 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ ตนเป็นกษัตริย์แห่งเกาะลังกา หลักฐานอีกส่วนหน่ึงระบุว่าพระองค์ได้รับการสนับสนุน ด้วยดี จากเจ้าเมืองขนาดเล็กหรือเรียกว่าวันนิ (Vanni) จนบางคร้ังนักปราชญ์เรียก พระองค์ว่าวันนิวิชัยพาหุ๖๒ ส�ำหรับเขตมายาระฏะน้ันแม้จะมีอาณาบริเวณขนาดเล็ก แต่ก็เป็นชัยภูมิอัน เหมาะสมเพราะแวดล้อมด้วยป่าเขาเป็นก�ำแพงธรรมชาติ ยากต่อการบุกรุกโจมตีของ อรริ าชศตั รู สำ� คญั สงู สดุ คอื พระองคไ์ ดอ้ ญั เชญิ พระเขยี้ วแกว้ และบาตรของพระพทุ ธเจา้ มาประดิษฐานในเมืองหลวงด้วย ซ่ึงถือว่าเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของความเป็นกษัตริย์ ลังกา๖๓ การครอบครองส่ิงศักด์ิสิทธิ์ดังกล่าวท�ำให้พระองค์ได้รับการยอมรับจากชาว สิงหลทุกหมู่เหล่า และสามารถสร้างความเข็มแข็งแก่อาณาจักรของพระองค์๖๔ คัมภีร์ มหาวงศ์พรรณนาไว้ว่าพระองค์โปรดให้สร้าง ”เรือนพระธาตุเข้ียวแก้วอันงดงามน่า ร่ืนรมย์ดุจเทพวิมานลาดลงมาจากเทวโลก ทรงให้สร้างปราสาทและมณฑปต่างๆ ไว้ โดยรอบ ทรงให้สร้างสังฆารามประกอบด้วยที่พักกลางวันที่พักกลางคืนและหอฉันอัน สัปปายะ ประดับด้วยบึงและสระโบกขรณี พระผู้ทรงมีประปรีชาทรงให้ประดิษฐาน พระธาตุเข้ียวแก้วและบาตรธาตุไว้ที่เรือน ประดิษฐานพระบรมธาตุพร้อมจัดสมโภช อย่างย่ิงใหญ่ ทรงถวายสังฆาราม ทรงต้ังธรรมเนียมถวายทานแก่พระเถระผู้มีศีลาจาร วัตร ซึ่งทรงแต่งต้ังให้ดูแลรักษาพระบรมธาตุ ทรงก�ำหนดพิธีบูชาและการเฉลิมฉลอง พระบรมธาตุให้ด�ำเนินไปได้ด้วยดีทุกวัน„๖๕ หลักฐานตรงนี้ช้ีให้เห็นว่าพระองค์ทรงให้ ความส�ำคัญกับพระเข้ียวแก้วและบาตรของพระพุทธเจ้า ซึ่งนอกจากเป็นโบราณราช ประเพณีของกษัตริย์ชาวสิงหล ยังเป็นศูนย์รวมใจของชาวสิงหลในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ คู่บุญบารมีของกษัตริย์ ๖๒ Ibid., Rajavaliya or A Historical Narrative of Sinhalese Kings from Vijaya to Vimala Dharma Surya II, pp. 58-59. ๖๓ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๔๘. ๖๔ Chandra Richard de Silva, Sri Lanka A History, (New Delhi: Vikas Publishing House PVT LTD, 2001), p. 98. ๖๕ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๔๖.
ตามพรลิงค์ 141 ตลอดระยะเวลาการครองราชย์ของพระองค์แม้จะได้รับการสนับสนุนเป็น อย่างดีจากเจ้าเมืองน้อยใหญ่ชาววันนิ แต่หาได้สามารถขับไล่พระเจ้ามาฆะออกจาก เกาะลงั กาแลว้ กอบกบู้ า้ นเมอื งไดไ้ ม่ ปจั จยั สำ� คญั นา่ จะมาจากความเขม้ แขง็ ของพระเจา้ มาฆะเป็นส�ำคัญ แต่หลักฐานจากคัมภีร์ปูชาวลิยะกลับพรรณนาว่า ”พระองค์ทรงยก ทัพเจ้าโจมตีเมืองโปโฬนนารุวะได้ขับไล่กองทัพทมิฬออกจากเกาะลังกาเสีย แล้วโปรด ใหบ้ รู ณะถปู ารามและรวุ นั แวฬแิ สยะเจดยี ์ โปรดใหย้ กยอดฉตั รเหนอื เจดยี แ์ ละประกอบ พิธีบูชา จากน้ันโปรดให้ปฏิสังขรณ์อารามวิหารที่พวกทมิฬเผาท�ำลายท่ัวเกาะลังกา โปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดกัลยาณีวิหาร„๖๖ ตรงนี้ขัดแย้งกับคัมภีร์มหาวงศ์และหลักฐาน จากอินเดียซ่ึงอ้างว่าพระเจ้ามาฆะแห่งกาลิงคะ ยังยึดครองเขตราชะระฏะเป็นเวลา เกือบสามทศวรรษก่อนท่ีจะถูกพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ ผู้เป็นพระราชโอรสของ พระองค์ขับไล่ออกจากเกาะลังกาเป็นผลส�ำเร็จ สันนิษฐานว่าผู้แต่งคัมภีร์ปูชาวลิยะ น่าจะได้รับข้อมูลมาจากการบอกเล่าแล้วเสริมแต่งเรื่องราวตามความเห็นส่วนตัว อกี ประการหนงึ่ พระเจา้ วชิ ยั พาหเุ องไมส่ รา้ งพนั ธมติ รภายนอก ซง่ึ ประวตั ศิ าสตร์ ศรลี งั กาหลายครงั้ ทผ่ี า่ นมาลว้ นระบวุ า่ ยามเมอื่ เกาะลงั กาตกอยภู่ ายใตก้ ารปกครองของ คนนอก มักขอความช่วยเหลือจากอาณาจักรเพื่อนบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นอาณาจักร ทางอินเดียตอนใต้และพม่า สันนิษฐานว่าช่วงน้ันอาณาจักรทางอินเดียตอนใต้ก�ำลังท�ำ สงครามแย่งชิงดินแดนกันเองระหว่างทมิฬโจฬะกับทมิฬปัณฑยะ จึงไม่มีเวลาหันมา ให้ความช่วยเหลือเกาะลังกาเหมือนอดีตที่ผ่านมา ส่วนอาณาจักรพุกามก็อยู่ในช่วง เสื่อมโทรมรอวันสลาย ก่อนท่ีจะถูกพระเจ้าจักรพรรดิมองโกลเข้าโจมตี ด้วยเหตุผล ดังกล่าว น่าจะเป็นการอ้างว่าท�ำไมพระเจ้าวิชัยพาหุไม่สร้างไมตรีกับพันธมิตรภายนอก ครนั้ พระเจา้ วชิ ยั พาหสุ วรรคตสน้ิ แลว้ พระราชโอรสพระนามวา่ พระเจา้ ปรากรม พาหุท่ี ๒ (พ.ศ.๑๗๘๓-๑๘๑๓) ได้ขึ้นครองราชย์สืบแทน ประเด็นน่าสนใจคือคัมภีร์ มหาวงศร์ ะบวุ า่ พระราชบดิ าไดม้ อบหมายพระองคใ์ หอ้ ยใู่ นความดแู ลของพระสงั ฆรกั ขติ เถระผู้เป็นประธานสงฆ์๖๗ ตรงน้ีช้ีให้เห็นว่าลักษณะเช่นน้ีเป็นโบราณราชประเพณีของ ๖๖ Ibid., Rajavaliya or A Historical Narrative of Sinhalese Kings from Vijaya to Vimala Dharma Surya II, p. 59. ๖๗ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๔๙.
142 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ กษัตริย์ศรีลังกา ถือว่าให้ความเป็นใหญ่แก่สถาบันสงฆ์เสมอเหมือนสถาบันกษัตริย์ โดยเปิดโอกาสให้คณะสงฆ์สามารถคัดเลือกกษัตริย์ข้ึนครองราชย์ได้ อีกประการหน่ึง ผู้มีส่วนส�ำคัญในการค้�ำบัลลังก์ของพระองค์คือพระอนุชาพระนามว่าเจ้าชายภูวเนก พาหุ นอกจากท�ำหน้าที่เป็นพระยุพราชแล้วยังชักชวนเจ้าหัวเมืองน้อยใหญ่ชาววันนิ ทแ่ี สดงตนออกห่างจากกษตั ริยพ์ ระองคใ์ หม่ ใหห้ ันมาสวามิภักดิแ์ ละสนับสนุนเฉกเช่น พระราชบิดาผู้สวรรคตล่วงแล้ว โดยไม่มีการใช้ก�ำลังทหารเข้าบังคับแต่อย่างใด และ เสนาบดีคู่พระทัยคือเทวประติราชะก็เป็นขุนพลคู่พระทัยอีกท่านหน่ึง ซึ่งคอยให้ ค�ำปรึกษาและรบเคียงบ่าเคียงไหล่ของพระองค์ หลังครองราชย์ได้หน่ึงทศวรรษพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ ก็ต้องพบกับการ โจมตขี องพระเจา้ จนั ทรภาณแุ หง่ อาณาจกั รตามพรลงิ ค์ คมั ภรี ม์ หาวงศพ์ รรณนาเกย่ี วกบั พระเจ้าจันทรภาณุไว้ว่า ”พระเจ้าจันทรภาณุพระราชาเผ่าชาวะกะ ทรงเสแสร้งแสดง เลศว่า เราก็เป็นชาวพุทธเช่นกัน ทรงพร้อมกับกองทัพชาวะกะอันเห้ียมโหดบุกเข้ามา ทหารชาวะกะเข้ายึดท่าทุกแห่งใช้ลูกศรอาบยาพิษดุจอสรพิษร้าย ระดมยิงทุกคนที่ได้ พบเห็นอย่างโหดเห้ียม พวกเขาเป็นคนฉุนเฉียวบุกท�ำลายไปทั่วลังกา ลังกาถูกพระเจ้า มาฆะเป็นต้นท�ำลายแล้ว ยังถูกทหารชาวะกะโจมตีซ�้ำอีก จึงเหมือนถูกเปลวเพลิงไหม้ แล้วถูกสายน้�ำบ่าท่วมซ�้ำเติม”๖๘ คัมภีร์หัตถนคัลลวิหารวังสะระบุว่าพระเจ้าจันทรภาณุ บุกรุกโจมตีเกาะลังกาคร้ังน้ีเพราะต้องการครอบครองเกาะลังกา๖๙ ส่วนนักวิชาการ สมัยใหม่แสดงความเห็นว่าพระองค์ต้องการควบคุมเส้นทางการค้าทางทะเล เน่ืองจาก สมัยนั้นศรีลังกาเป็นเส้นทางการค้าข้ึนช่ือ๗๐ บางท่านแสดงความเห็นว่าพระเจ้าจันทร ภาณุเป็นเพียงโจรสลัด (sea-robber)๗๑ ส่วนหลักฐานจากคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ ระบวุ า่ พระเจา้ โรจแหง่ เมอื งสโุ ขทยั ตอ้ งการพระพทุ ธรปู จากเกาะลงั กา จงึ ขอรอ้ งพระเจา้ ๖๘ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๖๐. ๖๙ Hatthavanagallaviharavamsa, ed C.E. Godakumbura, (London, P.T.S., 1956), p. 32. ๗๐ Ibid., Chandra Richard de Silva, Sri Lanka A History, p. 99. ๗๑ Ibid., H.W. Codrington, A Short History of Ceylon, p. 77.
ตามพรลิงค์ 143 สิริธรรมแห่งสิริธรรมนครให้ส่งราชทูตไปทูลขอจากกษัตริย์ลังกา๗๒ นักวิชาการบาง ท่านจึงตีความว่าพระเจ้าจันทรภาณุยกทัพไปคร้ังน้ีต้องการพระพุทธสิหิงค์ เพ่ือมอบ ถวายแก่พระเจ้าโรจแห่งเมืองสุโขทัยตามค�ำขอ สังเกตได้จากภายหลังสงครามกษัตริย์ ลังกาได้ส่งพระพุทธสิหิงค์มาถวายกษัตริย์แห่งสิริธรรมนคร๗๓ ผู้วิจัยเชื่อว่าการยกทัพไปโจมตีเกาะลังกาของพระเจ้าจันทรภาณุครั้งนี้ เป็น ราโชบายแบบสิทธยาตรา (Siddhayatra) หรือการเดินทางอันศักดิ์สิทธ์ิด้วยความ ส�ำเร็จ (accomplished sacred ecpediton) ซ่ึงเป็นประเพณีของกษัตริย์แห่ง อาณาจักรศรีวิชัย๗๔ เนื่องจากเกาะลังกาสมัยน้ันในสายตาของพระเจ้าจันทรภาณุผู้เป็น ชาวพุทธ๗๕ เป็นสถานท่ีศักด์ิสิทธิ์เพราะเป็นสถานสถิตของพระเขี้ยวแก้ว บาตรของ พระพุทธเจ้า และต้นพระศรีมหาโพธิ์ แม้พระองค์จะพยายามสร้างสถูปบรรจุพระบรม สารีริกธาตุหรือปลูกต้นพระศรีมหาโพธ์ิ แต่ก็หาได้ทรงคุณค่าเสมอเหมือนพระเข้ียว แก้วของพระพุทธเจ้าไม่ การยกทัพไปครั้งน้ีคงไม่มีจุดประสงค์อ่ืนใดนอกจากต้องการ ยึดครองพระเข้ียวแก้วและบาตรของพระพุทธเจ้าเท่าน้ัน ส่วนกษัตริย์ลังกาถวาย พระพุทธสิหิงค์ดังปรากฏในคัมภีร์สิหิงคนิทาน ผู้วิจัยเห็นว่าน่าจะเกิดข้ึนภายหลังจาก การรณรงค์สงครามระหว่างตามพรลิงค์กับลังกาแล้ว นักวิชาการล้วนเห็นตรงกันว่าสงครามคร้ังน้ันตรงกับพุทธศักราช ๑๗๙๐๗๖ จารกึ วดั หวั เวยี งไชยา ๑ ซงึ่ จารกึ เปน็ อกั ษรขอมภาษาสนั สกฤต ระบพุ ทุ ธศกั ราช ๑๗๗๓ บรรยายวา่ ”พระเจา้ ผคู้ รองเมอื งตามพรลงิ ค์ ทรงประพฤตปิ ระโยชนเ์ กอื้ กลู แกพ่ ระพทุ ธ ๗๒ พระรัตนปัญญาเถระ, ชินกาลมาลีปกรณ์, แปลโดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ร.ต.ท. แสง มนวิทูร, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท ร�ำไทย เพลส จ�ำกัด, ๒๕๕๐), หน้า ๑๑๐-๑๑๑. ๗๓ W.M. Sirisena, Sri Lanka and South-East Asia, (Colombo: S. Godage & Brothers (Pvt) Ltd, 2016), p. 40. ๗๔ Paul Michel Munoz, Early Kingdoms: Indonesian Archipelago & the Malay Peninsula, (Singapore: Editions Didier Millet, 2006), pp. 124-125. ๗๕ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๖๐. ๗๖ Ibid., W.M. Sirisena, Sri Lanka and South-East Asia, pp. 40-42.
144 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ ศาสนา พระองค์สืบตระกูลจากตระกูลอันรุ่งเรืองคือปทุมวงศ์ มีรูปร่างสง่างามเหมือน พระกามะอันมีรูปงามราวกับพระจันทร์ ทรงฉลาดในนีติศาสตร์คล้ายกับพระเจ้า ธรรมาโศกราช เป็นหัวหน้าตระกูล ... ทรงพระนามศรีธรรมราช„๗๗ หากเปรียบเทียบ ระยะเวลาก็สามารถยืนยันได้ว่าพระเจ้าจันทรภาณุแห่งตามพรลิงค์ได้ยกกองทัพเรือไป โจมตีเกาะลังกาจริง อีกท้ังขณะน้ันอาณาจักรตามพรลิงค์น่าจะสมบูรณ์พร้อมด้วย กองทัพเรืออันแข็งแกร่งเกรียงไกร สงครามคร้ังนี้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของพระเจ้าจันทรภาณุ คัมภีร์มหาวงศ์ พรรณนาเหตุการณ์ครั้งน้ันไว้ว่า ”พระราหูคือพระเจ้าวีรพาหุทรงเพศดุร้ายน่ากลัว ทรงเข้าปิดล้อม (พระจันทร์คือ) พระเจ้าจันทรภาณุในท้องทุ่งสนามรบอันโหดร้าย ทรงจัดทหารกล้าชาวสีหฬประจ�ำท่ี ทรงเร่ิมสู้รบกับทหารชาวะกะ ในการสู้รบ ทหารชาวะกะระดมยิงศรอาบยาพิษมาทุกทิศทุกทางหลายครั้งครา ทหารสีหฬพลธนู ฝีมือเย่ียมยิงแม่นย�ำ ก็ระดมยิงศรถูกทหารชาวะกะแตกกระเจิงไป พระเจ้าวีรพาหุ เหมือนพระรามเสด็จสู่สงครามไล่ฆ่าทหารชาวะกะ ผู้เป็นรากษสตายเป็นจ�ำนวนมาก พระเจา้ วีรพาหุทรงเป็นดจุ ลมหมนุ พัดโหมกระหน�ำ่ พระราชาขา้ ศกึ ชาวะกะซ�้ำแลว้ ซำ้� เล่า พระองค์ทรงสู้รบขับไล่ทหารชาวะกะให้หนีไป ท�ำแผ่นดินลังกาให้ปราศจากศัตรู”๗๘ ส่วนคัมภีร์ปูชาวลิยะระบุเพียงว่าพระยุพราชผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าปรากรมพาหุ ที่ ๒ ได้เข้าโจมตีทหารทมิฬจนแตกพ่าย และสามารถท�ำเกาะลังกาให้เป็นหน่ึงเดียว ภายใตเ้ ศวตฉตั ร๗๙ หลกั ฐานจากอนิ เดยี ระบวุ า่ การทำ� สงครามครงั้ นนั้ พระเจา้ ชฏาวรมนั สุนทรปัณฑยะแห่งอาณาจักรปัณฑยะ ได้เข้ามาช่วยลังกาท�ำสงครามขับไล่พระเจ้า จันทรภาณุด้วย ครั้นเสร็จสิ้นสงครามแล้วกษัตริย์ลังกาได้ถวายเงินทองของมีค่าและ ช้างเป็นบรรณาการด้วย๘๐ ผู้วิจัยเช่ือว่าหลักฐานดังกล่าวมีความเป็นไปได้ เนื่องจาก ๗๗ จารึก ๕, หน้า ๑๔๖. ๗๘ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๖๑. ๗๙ Ibid., Rajavaliya or A Historical Narrative of Sinhalese Kings from Vijaya to Vimala Dharma Surya II, p. 60. ๘๐ Nilakanta Sastri, The Pandyan Kingdom, (London: Luzac & Co., 1929), pp. 161-62.
ตามพรลิงค์ 145 สมัยน้ันกษัตริย์ปัณฑยะแผ่อาณาจักรเข้าควบคุมภาคใต้ของอินเดียได้แล้ว การส่ง กองทัพเพ่ือช่วยชาวลังการบกับพระเจ้าจันทรภาณุอาจเป็นการสร้างความเป็นมิตร และแผ่อิทธิพลภายหลัง พุทธศักราช ๑๘๐๕ พระเจ้าจันทรภาณุยกทัพเข้ามาบุกรุกเกาะลังกาอีกคร้ัง๘๑ คราวน้ีได้สร้างสัมพันธไมตรีกับพระเจ้ามาฆะผู้ปกครองดินแดนราชะระฏะ การบุกรุก ครั้งน้ีพระองค์เปล่ียนยุทธวิธีใหม่ ด้วยการเดินทัพจากทางด้านเหนือของเกาะลังกา พร้อมการสนับสนุนของพระเจ้ามาฆะ ระหว่างทางได้เกล้ียกล่อมชาวลังกาให้เข้าเป็น สมัครพรรคพวกเป็นจ�ำนวนมาก คัมภีร์มหาวงศ์พรรณนาไว้ว่า ”ขณะน้ันพระเจ้า จันทรภาณุจอมนรชน ได้เคล่ือนทัพใหญ่บุกข้ามไปยังท่ามหาติตถะสมทบกับกองทัพ ชาวะกะ พระเจ้าจันทรภาณุทรงปราบชาวสีหฬแคว้นปทีและแคว้นกุรุนทีไว้ใต้ พระอ�ำนาจแล้วยกไปสุภบรรพต ทรงสร้างค่ายทหารแล้วส่งทูตไปทูลพระเจ้าวิชัยพาหุ ว่า เราจักยึดสีหฬท้ัง ๓ เขต จักไม่คืนแก่ท่าน ดังนั้น จงมอบพระบรมธาตุ พระเข้ียว แก้วของพระมุนีและราชสมบัติแก่เรา หรือไม่ก็จงมาสู้รบกัน„๘๒ หลักฐานดังกล่าว ตีความได้ว่าคราวเมื่อพระองค์พ่ายแพ้ต่อสงครามหนแรก พระเจ้าจันทรภาณุได้สั่งให้ กองก�ำลังทหารส่วนใหญ่อยู่กับพระเจ้ามาฆะ ส่วนพระองค์เดินทางกลับเมือง ตามพรลิงค์เพื่อรวบรวมทหารก่อนที่จะมารวมกันอีกครั้ง ซึ่งสมัยนั้นเป็นตอนปลาย รัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ ประเด็นที่ประวัติศาสตร์ท้ิงไว้ให้วิเคราะห์คือความเป็นพันธมิตรระหว่าง พระเจ้ามาฆะและพระเจ้าจันทรภาณุแห่งตามพรลิงค์ สมัยพระเจ้าจันทรภาณุยกทัพ ไปบกุ รกุ เกาะลงั กาครง้ั แรกนน้ั พระเจา้ มาฆะยงั ปกครองบรเิ วณราชระฏะของเกาะลงั กา อยู่ แต่ต�ำนานและประวัติศาสตร์ลังกากลับพากันละเว้นเสีย กล่าวถึงเฉพาะการบุกรุก คร้ังที่สองในฐานะเป็นพันธมิตรกัน ประเด็นน้ีผู้วิจัยเห็นว่า พระเจ้ามาฆะน่าจะร่วมมือ กับพระเจ้าจันทรภาณุตั้งแต่บกุ โจมตเี กาะลังกาคร้ังแรก แตค่ ราวนน้ั พระเจา้ จนั ทรภาณุ ๘๑ Ibid., W.M. Sirisena, Sri Lanka and South-East Asia, pp. 48-51. ๘๒ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๙๖.
146 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ อาจเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะเป็นแม่ทัพใหญ่ ขณะที่พระเจ้ามาฆะท�ำหน้าที่เป็นผู้ สนับสนุน สันนิษฐานว่าเพราะพระเจ้าจันทรภาณุยกทัพมาเป็นจ�ำนวนมาก และทหาร มีความเข้มแข็งกว่า แต่คร้ันพ่ายแพ้กษัตริย์ทั้งสองพระองค์จึงร่วมมือกันในการบุกรุก ครั้งที่สอง กษัตริย์ลังกาส่งราชทูตไปขอความช่วยเหลือกับกษัตริย์แห่งปัณฑยะเช่นเคย สมยั นน้ั กษตั รยิ แ์ หง่ อาณาจกั รปณั ฑยะพระนามวา่ วรี ปณั ฑยะ๘๓ คมั ภรี ม์ หาวงศพ์ รรณนา การรณรงค์สงครามไว้ว่า ”ทหารของลังกาตีขนาบทัพหลวงของพระเจ้าจันทรภาณุ ท�ำการสู้รบอย่างโหดร้ายทารุณเหมือนยุทธสงครามของพระราม คร้ังนั้น ทหารข้าศึก ทิ้งอาวุธแตกระเจิดกระเจิงไปรอบด้าน บ้างสวดอ้อนวอน บ้างก็ยอมอ่อนน้อม สับสน อลหม่านเพราะหวาดกลัว ทหารข้าศึกกลัวตายยืนตัวแข็งเท่ือก็มี ตัวส่ันงันงกก็มี อ้อนวอนขอให้เป็นที่พึ่งก็มี ร้องไห้ก็มี เพ้อคร่�ำครวญก็มี ข้าศึกบางพวกว่ิงหนีเข้าป่า บางพวกว่ิงเตลิดลงทะเล บางพวกว่ิงข้ึนภูเขาเหมือนม้า พระเจ้าวิชัยพาหุทรงรบฆ่าฟัน ทหารข้าศึกเสียชีวิตจ�ำนวนมาก ขับไล่พระเจ้าจันทรภาณุทิ้งอาวุธหนีไป„๘๔ สงคราม ครงั้ นคี้ วามพา่ ยแพก้ ต็ กแกพ่ ระเจา้ จนั ทรภาณเุ ชน่ เดมิ จนสดุ ทา้ ยพระองคท์ รงสวรรคต ในสงคราม๘๕ สันนิษฐานว่าด้วยความย่ิงใหญ่เกรียงไกรของกองทัพทมิฬปัณฑยะ ย่อมเป็นเรื่องยากต่อการชิงเอาชัยชนะ ครั้นสงครามสิ้นสุดแล้วเจ้าชายวิชัยพาหุผู้เป็น แม่ทัพฝ่ายลังกา ”ได้ส่งนางสนมผู้เลอโฉมของพระเจ้าจันทรภาณุ ช้าง ม้า อาวุธมี พระขรรค์ เป็นต้น พระราชทรัพย์จ�ำนวนมาก พระสังข์ชัย ฉัตรชัย กลองชัยและธงชัย ไปยังพระราชส�ำนักของพระบิดา”๘๖ ๘๓ Amaradasa Liyanagamage. The Decline of Polonnaruwa and the Rise of Dambadeniya, (Colombo, the Department of Cultural Affairs, 1967), p. 158. ๘๔ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๙๖. ๘๕ Ibid., Rajavaliya or A Historical Narrative of Sinhalese Kings from Vijaya to Vimala Dharma Surya II, p. 117. ๘๖ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๙๗.
ตามพรลิงค์ 147 ครนั้ พระเจา้ จนั ทรภาณสุ วรรคตแลว้ กษตั รยิ ท์ มฬิ ปณั ฑยะไดแ้ ตง่ ตง้ั พระโอรส ของพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ครอบครองบริเวณตอนเหนือหรือเมืองจัฟฟ์นาในปัจจุบัน ด้วยการอ้างว่า ”โอรสย่อมได้รับสิทธ์ิตกทอดจากพระราชบิดา„ แม้กษัตริย์สิงหลจะ ไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่สามารถคัดค้านได้ ความจริงคือกษัตริย์ปัณฑยะต้องการให้ พระโอรสของพระเจ้าจันทรภาณุ ท�ำหน้าที่ตรวจสอบและคานอ�ำนาจของกษัตริย์ลังกา ไม่ให้เข็มแข็งเกินกว่าจะควบคุมได้ อีกท้ังต้องการถ่วงอ�ำนาจของกษัตริย์ศรีลังกา และเหตุท่ีเลือกหัวเมืองจัฟฟ์นาก็ด้วยเหตุว่าห่างไกลจากเมืองหลวงของกษัตริย์สิงหล และตั้งอยู่บริเวณท่าเรือส�ำคัญแห่งหนึ่งของศรีลังกา นับแต่น้ันเป็นต้นมาเกาะลังกาหา ได้มีสงครามหรือการก่อกบฏเกิดข้ึนอีกไม่นับเป็นเวลาหลายทศวรรษ มาลาลาเสเกราสรุปพระเกียรติคุณของพระเจ้าปรากรมพาหุไว้ว่า ”พระองค์ ทรงเป็นเจ้าชายผู้ทรงอ�ำนาจ เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติของผู้น�ำ ทรงปรีชาสามารถ ประกาศเอกราชบ้านเมืองจากคนนอก เป็นอีกคร้ังที่ธงชาติสิงหลโบกสะบัดเหนือ เกาะลงั กา พระองคส์ ามารถมชี ยั ปราบปรามความวนุ่ วายจนหมดสน้ิ ดว้ ยความยดื หยนุ่ อย่างชาญฉลาดและความม่ังค่ังแห่งทรัพยากรธรรมชาติ ในไม่ช้าเกาะลังกาท่ีเคยถูก ท�ำลายจากพวกมลบาร์ก็สามารถฟื้นขึ้นมาใหม่ ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์เป็นอิสระสามารถ ด�ำรงชีพอย่างสงบสุข เช่ือกันว่าเป็นเพราะพระทันธาตุโปรดประทานพรแด่พระเจ้า ปรากรมพาหุ จนพระองค์ม่ันใจสามารถมีชัยเหนืออริราชศัตรู พระองค์ประกาศว่า พร้อมแล้วที่จะเดินหน้า เพ่ือความผาสุกของประเทศชาติและพระศาสนา„๘๗ ๓.๔.๒ การฟื้นฟูพระศาสนา นับจากพระเจ้ามาฆะแห่งกาลิงคะบุกรุกยึดครองจนถึงสมัยพระเจ้าวิชัยพาหุ ที่ ๓ แห่งอาณาจักรดัมพเดณิยะ บ้านเมืองขาดความมั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจ คณะสงฆ์ขาดราชูปถัมภ์จึงท�ำให้พระศาสนาพบกับชะตากรรมจนเส่ือมโทรมเสียหาย๘๘ ๘๗ อ้างแล้ว, G.P. Malalasekera, ศรีลังกา: ว่าด้วยประวัติศาสตร์ การณ์พระศาสนา และ วรรณคดี, หน้า ๒๙๗-๒๙๘. ๘๘ Gunaratne Panabokke, History of the Buddhist Sangha in India and Sri Lanka, (Colombo: Karunaratne & Sons Ltd., 1993), p. 175.
148 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ รัชสมัยของพระเจ้าวิชัยพาหุนั้นแม้จะวุ่นวายกับการสร้างบ้านแปลงเมืองและการ เตรียมก�ำลังเพื่อกอบกู้บ้านเมืองจากอริราชศัตรู แต่พระองค์ก็ทรงเอาใจใส่ในการ พระศาสนาเชน่ กนั กลา่ วคอื สรา้ งวหิ ารสำ� หรบั ประดษิ ฐานพระเขย้ี วแกว้ และทำ� พธิ เี ฉลมิ ฉลองอย่างย่ิงใหญ่ โปรดให้พระสงฆ์นักปราชญ์คัดลอกคัมภีร์พระไตรปิฎกและ คัมภีร์อรรถกถา พร้อมถวายความอุปถัมภ์แก่พระสงฆ์สามเณรให้เล่าเรียนคันถธุระ ด้วยทรงมีพระด�ำริว่า ”พระภิกษุสามเณรผู้มีความศรัทธาเล่าเรียนพระไตรปิฎก ท่องบ่นคล่องปากอยู่เสมอ ขออย่าได้ล�ำบากเพราะปัจจัยเคร่ืองเลี้ยงชีพ จงมาสู่ประตู พระราชวังของเรา รับปัจจัยทุกอย่างตามต้องการเถิด„๘๙ นอกจากน้ัน พระองค์โปรด ให้พระสังฆรักขิตสังฆราชผู้เป็นศิษย์พระสารีบุตรเถระแห่งคามวาสี ซึ่งสมัยนั้นดำ� รง ต�ำแหน่งพระสังฆราชหรือมหาสามี และพระเมธังกรมหาเถระแห่งส�ำนักอุทุมพรคิรี วิหารฝ่ายอรัญวาสีให้ปฏิรูปพระศาสนา ท�ำหน้าท่ีไต่สวนพระสงฆ์ผู้ประพฤตินอกธรรม นอกพระวินัย พร้อมทั้งให้ตรากฎระเบียบหรือกติกาวัตรเพ่ือเป็นแนวประพฤติปฏิบัติ ส�ำหรับพระสงฆ์๙๐ แต่หากสืบค้นหลักฐานจากกติกาวัตรจะเห็นว่าพระองค์ไม่ได้ออก กฎระเบยี บหรอื กตกิ าวตั รดงั กลา่ ว๙๑ สนั นษิ ฐานวา่ พระราชปรารภของพระองคม์ าสำ� เรจ็ เป็นรูปธรรมสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุผู้เป็นพระราชโอรส เป็นที่น่าสังเกตว่าการตรา กฎระเบยี บหรอื กตกิ าวตั ร ครง้ั นเี้ กดิ จากความรว่ มมอื ของพระสงฆท์ งั้ ฝา่ ยคามวาสแี ละ อรัญวาสี๙๒ อาจเป็นไปได้ว่าแม้พระสงฆ์จะแยกออกเป็นสองคณะแต่รูปแบบการศึกษา และวตั รปฏบิ ตั นิ า่ จะไม่แตกตา่ งกันมากนัก สังเกตไดจ้ ากพระสงฆ์ทง้ั สองคณะสามารถ แต่งต�ำราท้ังคดีโลกและคดีธรรมเฉกเช่นเดียวกัน ๘๙ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๔๗ ๙๐ อ้างแล้ว, พระสังฆราชเทวรักษิตะวิชัยพาหุเถระ, นิกายสังครหยะ: บันทึกการพระศาสนา ของชมพูทวีปและลังกา, หน้า ๗๔. ๙๑ Ibid., Nandasena Ratnapala, The Katikavatas: Laws of the Buddhist Order of Ceylon from the 12th Century to the 18th Century, p. 156. ๙๒ Ibid., Gunaratne Panabokke, History of the Buddhist Sangha in India and Sri Lanka, p.176.
ตามพรลิงค์ 149 ครั้นลุถึงสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ พระองค์ประพฤติเลียนแบบ พระราชบิดา ดังเช่น โปรดให้สร้างวิหารส�ำหรับประดิษฐานพระเข้ียวแก้วและบาตรของ พระพุทธเจ้า โปรดให้แต่งต้ังต�ำแหน่งพระเถระผู้ใหญ่ สร้างอารามวิหารถวายแด่ พระสงฆ์ และจัดพิธีอุปสมบทแก่กุลบุตรชาวสิงหล นอกจากน้ันโปรดให้สร้างปราสาท ทงั้ ภายในพระนครและหวั เมอื งรอบนอก พรอ้ มกบั วาดภาพจติ รกรรมฝาผนงั อยา่ งสวย สดงดงาม คุณูปการของพระองค์ต่อพระศาสนาน้ัน คัมภีร์มหาวงศ์อุปมาไว้ว่า ”ดุจดวงจันทร์ฝังขุมทรัพย์ไว้ในห้วงน�้ำ ทรงส่งเสริมพระศาสนาของพระตถาคตเจ้า ผู้ทรงเป็นพระธรรมราชาให้เจริญรุ่งเรืองโดยชอบธรรม„๙๓ นอกจากน้ัน คร้ันทรงสดับ ว่ามีพระสงฆ์ประพฤติผิดเสียหายจ�ำนวนมาก จึงมอบหมายให้พระอรัญกเมธังกร มหาสามีแห่งส�ำนักอุทุมพรคิรี ผู้เป็นศิษย์เอกของพระพุทธวังสวนรัตนเถระ พร้อม ด้วยพระเถระผใู้ หญ่ช่วยกันไต่สวนอธกิ รณ์ ขบั ไลพ่ ระสงฆผ์ ปู้ ระพฤตเิ สียหายออกจาก หมู่คณะเสีย จากน้ันแล้วได้ออกกติกาวัตรตราเป็นกฎหมายตามความเหมาะสมแห่ง พระวนิ ยั สงฆ๙์ ๔ สนั นษิ ฐานวา่ พระองคอ์ าจจะประพฤตติ ามพระเจา้ ปรากรมพาหมุ หาราช แห่งอาณาจักรโปโฬนนารุวะ เพราะการจะสร้างความม่ันคงให้แก่บ้านเมืองนั้น ต้องสร้างความเข้มแข็งให้แก่พระศาสนาด้วย เพราะศาสนจักรและอาณาจักรต่างเกื้อ หนุนกันและกัน สารัตถะของกติกาวัตรสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะน้ันสามารถสรุปใจความได้ ว่า ”ผู้ประสงค์จะบรรพชาเป็นสามเณรต้องผ่านการศึกษาชั้นปัณฑุปลาสะ พร้อมทั้ง การตรวจสอบคุณสมบัติอย่างละเอียด ครั้นผ่านการบรรพชาแล้วจะต้องอยู่ภายใต้การ สั่งสอนของพระอุปัชฌาย์ตามระยะเวลาของการถือนิสัย ส่วนการศึกษาคัมภีร์เน้นการ ท่องจ�ำเป็นหลักและเก้ือกูลท้ังคันถธุระและวิปัสสนาธุระ การรักษาพระวินัยและกติกา วัตรเป็นเร่ืองส�ำคัญย่ิง หากมีการละเมิดจะมีการไต่สวนพร้อมลงโทษตามความหนัก เบา การปกครองมีระบบค่อนข้างชัดเจน นับจากต�ำแหน่งสูงสุดคือพระสังฆราช ๙๓ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๖๓-๒๘๒. ๙๔ อ้างแล้ว, พระสังฆราชเทวรักษิตะวิชัยพาหุเถระ, นิกายสังครหยะ: บันทึกการพระศาสนา ของชมพูทวีปและลังกา, หน้า ๗๕.
150 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ ถัดมาเป็นพระมหาสถวีระของคณะคามวาสีและอรัญวาสี และเจ้าส�ำนักแห่งอายตนะ หรอื เจา้ สำ� นกั เรยี นตามลำ� ดบั และพระสงฆส์ ามารถรบั กลั ปนาเปน็ เรอื กสวนไรน่ าพรอ้ ม ผู้คนได้ โดยได้รับการยกเว้นการเก็บภาษีจากอาณาจักร„๙๕ สังเกตได้ว่าเน้ือหาสาระ ของกติกาวัตรดังกล่าวมิได้แตกต่างจากกติกาวัตรของพระเจ้าปรากรมพาหุแห่ง อาณาจักรโปโฬนนารุวะแต่อย่างใด เพียงแต่เสริมบางประเด็นที่เห็นว่าส�ำคัญเท่านั้น ดังเช่น การมอบสิทธิพิเศษให้แก่คณะสงฆ์คือการถวายกัลปนาโดยไม่มีการเก็บภาษี อากร ลักษณะเช่นนี้ถือว่าเกิดมีขึ้นเฉพาะสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะเท่านั้น เหตุผล อาจเป็นเพราะคณะสงฆ์เริ่มมีจ�ำนวนมากข้ึน การถวายกัลปนาจึงมีส่วนส�ำคัญเพื่อส่ง เสริมให้อารามวิหารสามารถเลี้ยงดูตนเองได้ ขณะที่การยกเว้นภาษีน่าจะเป็น เพราะความศรัทธาของสถาบันกษัตริย์ต่อคณะสงฆ์ เพราะสมัยนี้คณะสงฆ์มีบทบาท ส�ำคัญต่อบ้านเมืองอย่างเด่นชัด ส�ำหรับการศึกษาของพระสงฆ์นั้นยังด�ำเนินตามประเพณีสมัยอาณาจักร โปโฬนนารุวะกล่าวคือใช้ระบบอายตนะ แต่หลักฐานเกี่ยวกับรายละเอียดของอายตนะ สมัยนั้นน้อยใหญ่ไม่ชัดเจนเหมือนสมัยโปโฬนนารุวะ ส่วนหลักสูตรการเรียนการสอนนั้นแบ่งออกเป็น ๔ ช้ัน ดังนี้ ๑) ชนั้ ปณั ฑปุ ลาสะ สำ� หรบั ผเู้ ตรยี มเขา้ พธิ บี รรพชาหรอื ผมู้ คี ณุ สมบตั บิ กพรอ่ ง ระยะเวลาเรียน ๑ ปี หลักสูตรคือคัมภีร์แอนะวุม (เกี่ยวกับอักษรภาษาสิงหล) สกสกฑะ (คัมภีร์เก่ียวกับพุทธประวัติ) สตรภาณวาร (พระสูตรจากคัมภีร์สวด พระปริตร) และคัมภีร์ธรรมปิยา (คัมภีร์เก่ียวกับธรรมบท) หากตรวจสอบคัมภีร์เหล่า น้ีจะเห็นว่าเน้นความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ส่วนพระปริตรและคาถา ธรรมบทน่าจะสงเคราะห์ชาวบ้านส�ำหรับสวดและสนทนาธรรม คัมภีร์เหล่านี้ผู้เรียน ต้องเชี่ยวชาญท้ังอ่านและเขียน นอกจากนั้น ผู้เรียนต้องเว้นจากการคลุกคลีกับหมู่ คณะ และเว้นจากการเจรจาไร้สาระ ต้องมีกริยามารยาทงดงาม และปฏิบัติตามกฎ ๙๕ Ibid., Nandasena Ratnapala, The Katikavatas: Laws of the Buddhist Order of Ceylon from the 12th Century to the 18th Century, pp. 135-161.
ตามพรลิงค์ 151 ระเบียบของอารามวิหาร ครั้นจบหลักสูตรแล้วควรน�ำตัวไปมอบให้แก่พระนายกะแตน เพ่ือตรวจสอบความรู้และวัตรปฏิบัติ หากอายุเพียง ๑๒ ปี จะต้องพักอาศัยในอาราม ของคณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสี หากมีอายุ ๑๓ ปี จะต้องไปอยู่กับอารามของคณะสงฆ์ ฝ่ายอรัญวาสี นอกจากน้ัน ผู้เรียนชั้นน้ีต้องศึกษาคัมภีร์กาคิยาสิ คัมภีร์จตุปาริสุทธิ สีละ คัมภีร์สตรกมฏหัน (หัวข้อแห่งกรรมฐาน) และมหาณกติกาวัตร ๒) ช้ันสามเณร คร้ันบรรพชาเป็นสามเณรแล้วผู้เรียนต้องพักอาศัยและศึกษา ภายใต้ค�ำแนะน�ำสั่งสอนของอุปัชฌาย์ หลักสูตรชั้นน้ีประกอบด้วยคัมภีร์เหรณสิกขา ซ่ึงมีเนื้อหาว่าด้วยเสขิยะ คัมภีร์จตุปาริสุทธิศีล คัมภีร์กาคิยาสี คัมภีร์สตรกมฏหัน (หัวข้อกรรมฐาน) และธุดงควัตร สังเกตได้ว่าหลักสูตรช้ันนี้เน้นเก่ียวกับมารยาทอัน ดีงามเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็น้อมน�ำผู้เรียนเข้าสู่การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แสดงให้เห็นว่าพระอุปัชฌาย์ผู้ท�ำหน้าท่ีสอนน้ัน ต้องเป็นผู้เช่ียวชาญท้ังคันถธุระและ วิปัสสนาธุระ อีกประการหนึ่ง การสอนให้สามเณรสนใจวิปัสสนากรรมฐานแต่ เบ้ืองต้น ย่อมเป็นอุบายชักน�ำให้เกิดความเล่ือมใสในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นศาสน ทายาทที่ดีสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป ๓) ชั้นนิสสัยหรือนวกะ หลักสูตรช้ันน้ีส�ำหรับพระสงฆ์ช้ันนวกะข้ึนไป ผู้ท�ำ หน้าท่ีสั่งสอนน้ันเน้นพระสงฆ์นักปราชญ์ด้านพระวินัย ระยะเวลาการเรียนการสอน ๕ ปี คัมภีร์ส�ำหรับการเรียนการสอนชื่อว่า นิสบณะ นิศรยมุกตภาหุสรุตยยะ และ นิสสยมุกตสัมมุติ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าคัมภีร์ทั้งสามเล่มดังกล่าวมีรายละเอียด เก่ียวกับอะไรบ้าง แต่หากวิเคราะห์ศัพท์น่าจะบ่งถึงว่าหลักสูตรอาจเน้นถึงภาวะของ พระนวกะก่อนท่ีจะพ้นนิสัยเป็นแน่ และผู้สั่งสอนนั้นนอกจากพระสงฆ์นักปราชญ์แล้ว พระอุปัชฌาย์ก็ต้องท�ำหน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชิด ตามพระวินัยบัญญัติว่าด้วยหน้าที่ของ พระอุปัชฌาย์ นอกนั้นแล้ว ผู้เรียนช้ันน้ียังต้องศึกษาคัมภีร์มูลสิกขา คัมภีร์กติกาบณะ (อาจเปน็ คำ� สอนทตี่ ราไวใ้ นกตกิ าวตั ร) คมั ภรี ส์ ขิ ะวลณั ฑวนิ สิ ะ เฉพาะคมั ภรี ส์ ขิ ะวลณั ฑ วินิสะมีการสอบสองคร้ังต่อปี ๔) ชั้นมหาเถระหรือชั้นสูงสุด ผู้เรียนช้ันน้ีต้องศึกษาพระไตรปิฎกพร้อม คัมภีร์อรรถกถาท้ังหมด โดยจุดประสงค์ชั้นนี้คือเสริมเสาหลักของพระพุทธศาสนา
152 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ กล่าวคือ ความรู้ด้านค�ำสอน (ปริยัติ) การฝึกฝน (ปฏิบัติ) และการรู้แจ้ง (ปฏิเวธ) นอกจากนั้น ผู้ผ่านช้ันนี้ถือว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน ย่อมมีสิทธิได้รับการคัดเลือก ให้ด�ำรงต�ำแหน่งมหาสถวีระของคณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสีและคณะสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี ตรงน้ีเห็นว่าผู้ผ่านหลักสูตรน้ีคงมีจ�ำนวนน้อย เพราะเหตุผล ๒ ประการ ๑) เป็น เพราะเนื้อหาหลักสูตรยากต่อการศึกษาเพราะต้องใช้วิธีท่องจ�ำเท่าน้ัน การจะจดจ�ำ คัมภีร์พระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถาได้ท้ังหมดเป็นเรื่องยากยิ่งนัก และ ๒) ต�ำแหน่งมหาสถวีระนั้นมีเพียง ๒ รูป กล่าวคือ ตัวแทนคณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสี หนึ่งรูปและตัวแทนคณะสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสีหนึ่งรูป ผลจากการศึกษาวัดผลได้จากจ�ำนวนของพระสงฆ์นักปราชญ์ผู้แต่งต�ำรา ยกตวั อยา่ งเชน่ พระสงั ฆราชอโนมทสั สแี ตง่ คมั ภรี ฉ์ นั ทภ์ าษาสนั สกฤตเกย่ี วกบั โหราศาสตร์ ชื่อว่าไทวัญการนเธนุ ศิษย์ของท่านแต่งคัมภีร์ภาษาบาลีชื่อว่าหัตถวนคัลลวิหารวังสะ ว่าด้วยพระราชประวัติของกษัตริย์ผู้บ�ำเพ็ญโพธิสัตว์บารมีพระนามว่าพระเจ้า สิริสังฆโพธิ พระเวเทหเถระผู้เป็นศิษย์ของพระอรัญญรัตนะอานนท์เถระได้แต่งฉันท์ ภาษาบาลีนามว่าสมันตกูฏวัณณนา ว่าด้วยการพรรณนารอยพระพุทธบาทท่ีศรีปาทะ ถัดมาเป็นการรวบรวมนิทานของอินเดียและลังกาแต่งเป็นคัมภีร์ช่ือว่ารสวาหินี และ สดุ ทา้ ยเปน็ คมั ภรี ไ์ วยากรณช์ อ่ื วา่ สหี ลสทั ทลกั ขณะ พระเถระผเู้ ปน็ ศษิ ยข์ องพระอานนท์ เถระอีกรูปหนึ่งนามว่าโคตมะ ได้แต่งคัมภีร์สัมพันธจินตาสันยยะเป็นภาษาสิงหล และศิษย์รูปสุดท้ายช่ือว่าพุทธัปปิยเถระได้แต่งคัมภีร์ไวยากรณ์ภาษาบาลีช่ือว่ารูปสิทธิ และคมั ภรี ป์ ชั ชมธวุ า่ ดว้ ยพทุ ธลกั ษณะ สว่ นพระมยรู ปาทเถระไดแ้ ตง่ คมั ภรี ภ์ าษาสงิ หล ว่าด้วยเรื่องราวทางศาสนาช่ือว่าปูชาวลิยะ และสุดท้ายเป็นคัมภีร์ทางการแพทย์แต่ง เปน็ ภาษาบาลชี อ่ื วา่ เภสชั ชมญั ชสุ าเปน็ ผลงานของพระปญั จมลู เถระ หากวเิ คราะหเ์ นอ้ื หา ของแต่ละคัมภีร์แสดงให้เห็นว่ามีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อความทางคดีโลก และคดีธรรม ซ่ึงมีความแตกต่างจากสมัยโปโฬนนารุวะอย่างชัดเจน โดยเฉพาะศาสตร์ ท่ีไม่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ดังเช่น โหราศาสตร์ ศาสตร์ทางการแพทย์ ช้ีให้เห็นว่า หลักสูตรการเรียนการสอนสมัยนั้น เปิดกว้างส�ำหรับทุกศาสตร์ทั้งภายในและภายนอก พุทธศาสนา
ตามพรลิงค์ 153 ๓.๕ ความสัมพันธ์กับอาณาจักรตามพรลิงค์ ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรตามพรลิงค์กับอาณาจักรดัมพเดณิยะด้าน ศาสนา พบเห็นแห่งเดียวเท่าน้ันกล่าวคือเร่ืองราวของพระธรรมกิตติเถระ ดังพรรณนา ไวใ้ นคมั ภรี ม์ หาวงศว์ า่ ”พระเถระรปู หนง่ึ งดงามดว้ ยเดชแหง่ ศลี ชอ่ื วา่ ธรรมกติ ติ พระองค์ ทรงทราบว่าเมื่อพระเถระเดินบิณฑบาตมีดอกบัวผุดข้ึนมารองรับบนทางข้างหน้า ทรงปล้ืมปีติยินดีนัก ทรงส่งเครื่องธรรมบรรณาการ เพื่อสรงสนานพระธาตุมีผงจันทร์ หอม เป็นต้น และเครื่องราชบรรณาการอย่างดีเลิศไปยังแคว้นตัมพะ ทรงนิมนต์ พระมหาเถระมาลังกาทวีป ทรงปลื้มพระราชหฤทัยเสมือนหนึ่งว่าได้พบพระอรหันต์ ทรงท�ำภาชนะบูชาสักการะเป็นมหาบูชาแก่พระเถระอุปัฏฐากด้วยปัจจัยส่ีโดยเคารพ„๙๖ จากเน้ือหาในคัมภีร์มหาวงศ์ท�ำให้เห็นคุณสมบัติของพระธรรมกิตติเถระ ๓ ประการ ๑) มีศีลาจารวัตรงดงาม ๒) ทรงพระไตรปิฎก และ ๓) ทรงธุดงคคุณ หากตรวจสอบ การศึกษาคณะสงฆ์สมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะและอาณาจักรดัมพเดณิยะจะเห็นว่า พระสงฆ์ฝ่ายคามวาสีโดดเด่นด้านการทรงจ�ำพระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถา ส่วน พระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสีโดดเด่นท้ังการทรงจ�ำพระไตรปิฎกและธุดงคคุณ หากเป็นเช่น น้ันแสดงว่าการศึกษาคณะสงฆ์ในอาณาจักรตามพรลิงค์น่าจะไม่แตกต่างจาก อาณาจักรดัมพเดณิยะ และพระธรรมกิตติเถระน่าจะเป็นพระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี เพราะโดดเด่นท้ังสองด้าน คัมภีร์มหาวงศ์ระบุถึงสาเหตุการนิมนต์พระเถระ ๓ ประการ คือ ๑) ต้องการ สนับสนุนพระศาสนา ๒) ต้องการรวมพระสงฆ์สองนิกายให้เป็นน้�ำหนึ่งใจเดียวกัน และ ๓) น�ำคัมภีร์ส�ำคัญมาเกาะลังกา ผู้วิจัยเห็นว่าหากมองในบริบทของประวัติศาสตร์ สาเหตุดังกล่าวมีความสมเหตุสมผลน้อยมาก กล่าวเฉพาะการรวมสองนิกายให้เป็น หนง่ึ เดยี วนนั้ ขดั แยง้ กบั หลกั ฐานความเปน็ จรงิ เพราะการปฏริ ปู พระศาสนาสมยั พระเจา้ ปรากรมพาหุนั้น พระสงฆ์ทั้งฝ่ายคามวาสีและอรัญวาสีล้วนให้ความร่วมมือช่วยเหลือ สังคายนาคณะสงฆ์จนประสบความส�ำเร็จ ส่วนการน�ำคัมภีร์ส�ำคัญทางศาสนามา เกาะลังกาน้ันย่ิงเป็นไปได้ยากนัก เพราะนับถึงปัจจุบันไม่ปรากฏหลักฐานว่าเมือง ๙๖ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๖๔-๒๖๕.
154 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ ตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราชมีคัมภีร์ส�ำคัญทางศาสนาเฉกเช่นศรีลังกา ยกเว้น ต�ำนานท่ีมีเรื่องราวสองคล้องกับคติความเชื่อของลังกาเท่าน้ัน การนมิ นตพ์ ระธรรมกิตตเิ ถระน้นั น่าจะเป็นเรือ่ งการเมอื งน�ำศาสนา เหตุการณ์ น้ีน่าจะเกิดข้ึนภายหลังการท�ำสงครามกับพระเจ้าจันทรภาณุแห่งตามพรลิงค์ครั้งแรก เพราะมีหลักฐานยืนยันว่าพระธรรมกิตติเถระมาลังกาตรงกับพุทธศักราช ๑๗๙๓๙๗ ภายหลังสงครามระหว่างลังกากับตามพรลิงค์ ๓ ปี นอกจากพระธรรมกิตติเถระแห่ง ตามพรลิงค์แล้ว กษัตริย์ลังกายังได้นิมนต์พระภิกษุนักปราชญ์จากแคว้นทมิฬโจฬะ ด้วย เพ่ือ ”ท�ำให้พระศาสนาสองแคว้นให้กลมกลืนสอดคล้องกัน„๙๘ อีกประการหน่ึง กษัตริย์ลังกาไม่ได้แต่งต้ังต�ำแหน่งอันใดแก่พระธรรมกิตติเถระเลย เพียงแต่สร้างวัด และถวายความอุปถัมภ์เท่านั้น ด้วยเหตุน้ันผู้วิจัยจึงเช่ือว่าการนิมนต์พระธรรมกิตติ เถระมาเกาะลังกาน้ันน่าจะเป็นการประนีประนอมทางการเมืองระหว่างลังกากับ ตามพรลิงค์ พระเจ้าปรากรมพาหุน้ันโปรดให้สร้างวัดปลาภัตคะละบริเวณทางข้ึน ศรีปาทะถวายแก่พระธรรมกิตติเถระ คัมภีร์มหาวงศ์ระบุว่าพระธรรมกิตติเถระน้ัน เช่ียวชาญศาสตร์น้อยใหญ่ เช่นตรรกศาสตร์และไวยากรณ์ นอกจากน้ันยังแตกฉาน ด้านการปฏิบัติด้วย ส่วนศิษย์ของพระเถระรูปแรกคือเจ้าชายภูวเนกพาหุผู้เป็น พระราชอนุชา กล่าวกันว่าพระองค์มีความรู้แตกฉานในคัมภีร์พระไตรปิฎก๙๙ ชื่อเสียง ความเป็นปราชญ์ของพระเถระด้านคันถธุระและวิปัสสนาธุระปรากฏเป็นรูปธรรม สมัยหลัง เมื่อศิษย์นามอุโฆษหลายรูปทรงความเป็นปราชญ์เช่นเดียวกันอาจารย์ แห่งตน ด้วยการสืบต่อประเพณีศิษยานุศิษย์ในนามว่าธรรมกีรติวงศ์๑๐๐ ๙๗ H.B.M. IIangasinha, ประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยอาณาจักรโกฏเฏ: ว่าด้วยอาณาจักร ศาสนจักร คติความเชื่อ และความสัมพันธ์กับดินแดนอุษาคเนย์, แปลโดย พระมหาพจน์ สุวโจ, (นครปฐม: สาละพิมพการ, ๒๕๕๙), หน้า ๖๙. ๙๘ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๖๔. ๙๙ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๖๕. ๑๐๐ อ้างแล้ว, Yatadolawatte Dhammavisuddhi, ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกา ยุคกลาง: ว่าด้วยนิกายสงฆ์ การบริหารทรัพย์สิน การศึกษาสงฆ์ คติความเชื่อ และการฟื้นฟู พระศาสนา, หน้า ๒๒-๓๐.
ตามพรลิงค์ 155 เร่ิมต้นจากศิษย์รูปแรกชื่อว่าพระสีลวังสธรรมกีรติเถระ ศิษย์ของท่านรูปนี้ ผลิตผลงานด้านวรรณกรรมหลายเล่ม ได้แก่ คัมภีร์ปารมีสตกะ (บางทีเรียกว่าปารมี มหาสตกะ) และคัมภีร์ชนานุราคจริตะ ท้ังสองเล่มนี้แต่งเป็นภาษาบาลี อีกเล่มหน่ึงช่ือ ว่าสูวิสิวิวรณยะแต่งผสมกันระหว่างภาษาสิงหลกับภาษาบาลี นอกจากเป็นผู้แตกฉาน ด้านงานวรรณกรรมแล้ว พระเถระยังเชี่ยวชาญด้านนวกรรรมด้วย หลักฐานบอกว่า ท่านได้สร้างวัดหลายแห่งท้ังในประเทศอินเดียและศรีลังกา สมัยต่อมาพระเถระได้รับ แต่งต้ังให้ด�ำรงต�ำแหน่งพระมหาสามีหรือพระสังฆราชในรัชสมัยของพระเจ้าภูวเนก พาหุที่ ๔ (พ.ศ.๑๘๘๔-๑๘๙๔)๑๐๑ ผู้สืบทอดธรรมกีรติวงศ์รูปต่อมาคือพระเทวรัก- ษิตชัยพาหุธรรมกีรติเถระ พระเถระรูปนี้เป็นศิษย์ของพระสีลวังสธรรมกีรติเถระ พ�ำนักอยู่ท่ีวัดคฑลาเดณิยวิหารนอกเมืองแคนดี ซ่ึงเป็นวัดเดิมของอาจารย์แห่งตน ท่านแต่งหนังสือหลายเล่ม ได้แก่ คัมภีร์ภาษาบาลีชื่อว่าชินโพธาวลี ถัดมาเป็นคัมภีร์ นิกายสังครหยะ คัมภีร์คฑลาเดณิสันนยะ และคัมภีร์สัทธรรมาลังการยะ ซ่ึงล้วนแล้ว แต่งเป็นภาษสิงหล ต่อมาท่านได้รับการแต่งตั้งให้ด�ำรงต�ำแหน่งพระสังฆราช และ เป็นประธานสงฆ์ในการปฏิรูปศาสนาเม่ือปีพุทธศักราช ๑๙๓๙ ในรัชสมัยของพระเจ้า วิกรมพาหุที่ ๓๑๐๒ และศิษย์สายธรรมกีรติวงศ์รูปสุดท้ายคือพระธรรมทินนวิมลกีรติ เถระ พระเถระรูปนี้เป็นศิษย์ของพระเทวรักษิตชัยพาหุธรรมกีรติเถระ ท่านเป็นเจ้าของ ผลงานภาษาสิงหลชื่อว่าสัทธรรมรัตนากรยะ พระเถระระบุไว้ในงานเขียนของตนว่า ได้รับต�ำแหน่งพระสังฆราชสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๖ แห่งอาณาจักรโกฏเฏ (พ.ศ.๑๙๕๔-๒๐๐๙)๑๐๓ ความเป็นเอกอุด้านคันถธุระและวิปัสสนาธุระของพระธรรม กิตติเถระยืนยันได้จากผลงานและต�ำแหน่งของศิษย์ผู้สืบทอดในชื่อว่าธรรมกีรติวงศ์ ๑๐๑ Saddharmalankaraya, ed Ven. K. Jnanavimala, (Colombo: 1954), pp. 794-795. ๑๐๒ อ้างแล้ว, พระสังฆราชเทวรักษิตะวิชัยพาหุเถระ, นิกายสังครหยะ: บันทึกการพระศาสนา ของชมพูทวีปและลังกา, หน้า ๙๓-๙๔. ๑๐๓ Saddharmaratnakaraya, ed Ven. K. Sugnasara, (Colombo: 1955), p. 76.
156 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ ๓.๖ สรุป ความสัมพันธ์ระหว่างศรีลังกากับอาณาจักรตามพรลิงค์สามารถสรุปได้ ๒ ประเด็น ดังนี้ ๑) ด้านการเมือง อาณาจักรตามพรลิงค์น่าจะรู้จักเกาะลังกานานแล้ว หาก สงั เกตเรอื่ งราวในตำ� นานนครศรธี รรมราช ไมว่ า่ จะเปน็ ตำ� นานพระธาตเุ มอื งนครศรธี รรมราช ต�ำนานเมืองนครศรีธรรมราช หรือแม้แต่พระนิพพานโสตร ล้วนแล้วแต่มีร่องรอยของ ลังกา แต่หลักฐานเหล่านั้นไม่สามารถยืนยันได้ชัดเจน ผู้วิจัยเช่ือว่าอิทธิพลทางการ เมอื งของลงั กาตอ่ อาณาจกั รตามพรลงิ คน์ า่ จะมาจากการคา้ เปน็ หลกั เพราะสมยั พระเจา้ ปรากรมพาหุแห่งอาณาจักรโปโฬนนารุวะนั้น การค้าของเกาะลังกาเข้ามาติดต่อค้าขาย ตามเมืองท่าบริเวณคาบสมุทรไทยด้วย หรือแม้แต่ความขัดแย้งเร่ืองการเมืองระหว่าง ลังกากับพม่า น่าจะมีผลกระทบต่ออาณาจักรตามพรลิงค์ ส่วนผู้ท�ำหน้าท่ีส่งข่าวหรือ เชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองอาณาจักรนั้น นอกจากพ่อค้าแล้วยังมีพระสงฆ์ด้วย สังเกตได้จากกษัตริย์แห่งเกาะลังกาส่งพระพุทธสิหิงค์มาเป็นบรรณาการแก่กษัตริย์ แห่งตามพรลิงค์ และด้วยเหตุผลทางการค้าความปรารถนาเพ่ือขยายอาณานิคมจึงไม่ ปรากฏเห็นหลักฐานของศรีลังกา แต่การบุกรุกเกาะลังกาของพระเจ้าจันทรภาณุท�ำให้ เกิดการถกเถียงกันหลายทาง แต่โดยส่วนใหญ่เน้นไปที่เร่ืองการเมืองมากกว่าศาสนา ผู้วิจัยเช่ือว่าการบุกรุกเกาะลังกาพระเจ้าจันทรภาณุน่าจะได้พันธมิตรท่ีไว้ใจได้ เพราะเป็นสงครามนอกแผ่นดินแม่อีกท้ังไม่มีความคุ้นเคยกับเกาะลังกา ด้วยเหตุน้ัน การได้พระเจ้ามาฆะเป็นพันธมิตรจึงท�ำให้เกิดความม่ันใจ ๒) ด้านการศาสนา ผู้วิจัยเชื่อว่าพระพุทธศาสนาจากเกาะลังกาน่าจะมีการ ติดต่อสัมพันธ์กันนับแต่สมัยอาณาจักรอนุราธปุระแล้ว โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา มหายานของส�ำนักอภัยคิรีวิหาร ว่าโดยหลักฐานก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าสมัยอาณาจักร ศรวี ชิ ยั ตอนปลายนน้ั พระพทุ ธศาสนามหายานไดร้ บั การยอมรบั นบั ถอื แพรห่ ลายตลอด คาบสมุทรไทย พระสงฆ์ส�ำนักอภัยคิรีวิหารผู้ฝักใฝ่มหายานน่าจะมีการเช่ือมโยงกับ ภาคใต้ของไทยสมัยน้ัน นอกจากนั้น พระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ก็เป็น ที่รู้จักแพร่หลายในอาณาจักรทวารวดีตอนปลายด้วย ความรุ่งเรืองดังกล่าวน่าจะเป็น
ตามพรลิงค์ 157 ผลให้พระสมณทูตศรีลังกาพากันเดินทางมาเผยแผ่ยังหัวเมืองบริเวณตามพรลิงค์ การเผยแผ่ดังกล่าวอาจจะยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันกษัตริย์ เหตุเพราะ ความเข้มแข็งของพระพุทธศาสนามหายาน แต่ครั้นต่อมาราชวงศ์ปทุมวงศ์โดยเฉพาะ สมัยพระเจ้าจันทรภาณุ ได้ยกพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เป็นกลไกลในการขับ เคล่ือนบ้านเมือง องคาพยพทุกสิ่งอย่างของลัทธิลังกาวงศ์จึงปรากฏผลอย่างชัดเจน แต่คติความเช่ือของลัทธิลังกาวงศ์เองก็มีส่วนในการผลักดันราโชบายของกษัตริย์ โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องพระเขี้ยวแก้วในฐานะเป็นสิทธิโดยชอบธรรมส�าหรับการ ครองราชย์ จึงเป็นเหตุให้พระเจ้าจันทรภาณุแห่งตามพรลิงค์ยกทัพเรืออันย่ิงใหญ่ไป บุกรุกเกาะลังกาถึงสองครั้ง ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่างลังกา กับตามพรลิงค์ ก็มีการถ่ายเทคติความเช่ือและจารีตประเพณีทุกส่ิงอย่างของศรีลังกา สู่อาณาจักรตามพรลิงค์ จนกลายมาเป็นบุณยสถานศักดิ์สิทธ์ิของพระพุทธศาสนา แห่งภาคใต้ แม้กาลเวลาจะเปล่ียนผ่านไปพร้อมความถดถอยของความยิ่งใหญ่ แต่ปัจจุบันนครศรีธรรมราชยังเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบ ลังกาวงศ์ไม่เสื่อมคลาย
158 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ คิริเวเหระเจดีย์ต้นแบบพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ภายในอาฬาหนปิริเวณะ เมืองหลวงเก่าโปโฬนนารุวะ ประเทศศรีลังกา เสมาบริเวณมหาพัทธสีมาภายในอาฬาหนปิริเวณะ เมืองหลวงเก่าโปโฬนนารุวะ ประเทศศรีลังกา
ตามพรลิงค์ 159 พระพุทธรูปศิลาสร้างสมัยศิลปกรรมของศรีลังกาเจริญรุ่งเรืองสูงสุด วัดกัลวิหาร เมืองหลวงเก่าโปโฬนนารุวะ ประเทศศรีลังกา นิสสังกลฏามณฑลหรือหอสวดพระปริตร บริเวณวัดพระเขี้ยวแก้ว เมืองหลวงเก่า โปโฬนนารุวะ ประเทศศรีลังกา
160 ศรีลังกากับตามพรลิงค์ เสนาสนะภายในอาฬาหนปิริเวณะ เมืองเก่าโปโฬนนารุวะ ประเทศศรีลังกา
ตามพรลิงค์ 161 ลังกาติลกวิหาร ต้นแบบพระพุทธรูปยืนแห่งอาณาจักรสุโขทัย เมืองเก่าโปโฬนนารุวะ ประเทศ ศรีลังกา รูปสลักพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช นอกเมืองเก่าโปโฬนนารุวะ ประเทศศรีลังกา
162 ศรีลังกากับตามพรลิงค์
ตามพรลิงค์ 163
บรรยายภาพ: ภาพจิตรกรรมฝาผนังต�ำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช วัดวังตะวันตก เมืองนครศรีธรรมราช
บทที่ ๔ การประดิษฐานพุทธศาสนาลังกาวงศ์ในอาณาจักรตามพรลิงค์ บทนี้แบ่งเนื้อหาออกเป็น ๔ ตอน กล่าวคือ ด้านวรรณกรรม การก่อต้ังคณะ ป่าแก้ว ด้านความเช่ือเก่ียวกับพระเข้ียวแก้ว และด้านคติการสร้างพระบรมธาตุ โดย พยายามเชอื่ มโยงใหเ้ หน็ วา่ คตคิ วามเชอ่ื เหลา่ นมี้ กี ำ� เนดิ มาจากศรลี งั กา และเกดิ พฒั นาการ หลายครั้งหลายคราก่อนที่จะมาประดิษฐานในอาณาจักรตามพรลิงค์ คติความเชื่อ เหล่าน้ันบางส่วนรับมาจากลังกาก็จริง แต่ได้มีการประยุกต์ใหม่ให้เข้ากับบริบทของ อาณาจักรตามพรลิงค์ แต่ส่วนใหญ่เป็นคติความเช่ือของลัทธิลังกาวงศ์ล้วน หลักฐาน เหล่าน้ีเองท�ำให้ชี้ชัดว่าพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ทรงอิทธิพลต่ออาณาจักร ตามพรลิงค์อย่างไร ๔.๑ ด้านวรรณกรรม วรรณกรรมภาคใต้สามารถแบ่งออกเป็น ๓ ประเภทหลัก ดังน้ี ๑) วรรณกรรม ค�ำสอน ท�ำหน้าท่ีแนะน�ำสั่งสอนอบรมคนให้ปฏิบัติตามจริยธรรมหรือค่านิยมท่ีสังคม ก�ำหนด โดยผู้แต่งในฐานะส่วนหน่ึงของสังคม ได้ประมวลข้อตกลงของสังคมในรูป แบบของจารีตประเพณี ธรรมเนียมประเพณีและศาสนธรรมที่สังคมยึดถือปฏิบัติมา ประพันธ์ขึ้นไว้ วรรณกรรมประเภทน้ีนิยมแต่งเป็นร้อยกรองและกาพย์ เพราะสามารถ น�ำมาอ่านเป็นท�ำนองสวดได้อย่างเหมาะเจาะ สอดคล้องกับวัฒนธรรมการสวดหนังสือ ของชาวใต้๑ ๒) วรรณกรรมนิทานประโลมโลก เกิดขึ้นจากการเขียนเร่ืองเพ่ือสวด อ่านในยามว่าง เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน เนื้อเร่ืองมักเป็นแบบจักรๆ วงศ์ๆ เป็นเร่ืองของการต่อสู้ที่ใช้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ แม้สาระของเรื่องจะมีคติและแทรก ค�ำสอนต่างๆ ไว้ แต่มิได้เน้นเป็นเรื่องส�ำคัญ วรรณกรรมประเภทน้ีพบมากกว่า ๑ อดุ ม หนทู อง, ”วรรณกรรมคำ� สอน,„ สารานกุ รมวฒั นธรรมภาคใต้ เลม่ ท่ี ๘, (กรงุ เทพมหานคร: สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา, ๒๕๒๙), หน้า ๓๒๘๑.
166 ลังกาวงศ์ในอาณาจักรตามพรลิงค์ ประเภทอื่นๆ เพราะมีการเขียนและอ่านกันมาก แม้นิทานประโลมโลกจะเขียนเพ่ืออ่าน สนุก แต่สมบูรณ์ด้วยคุณค่าด้านอ่ืนเกือบครบถ้วน โดยเฉพาะด้านสังคม ได้บันทึก วิถีชีวิตของชาวบ้าน ตลอดจนทัศนะต่างๆ ไว้เกือบทุกแง่มุม๒ และ ๓) วรรณกรรม ลายลักษณ์อักษร ส่วนใหญ่ปรากฏในเอกสารประเภทจารึกโบราณ เช่น จารึกบนแผ่น ศิลา หรือฐานพระพุทธรูป อักษรที่ใช้จารึกนั้นล้วนพัฒนามาจากอักษรอินเดียภาคใต้ แบบปัลลวะ และส่วนใหญ่ใช้ภาษาสันสกฤต มีบางหลักใช้ภาษาทมิฬและภาษามอญ ถัดมาเป็นเอกสารตัวเขียน โดยใช้อักษรไทย หรืออักษรขอม จารึกลงในใบลานหรือ บันทึกลงในสมุดข่อยหรือสมุดไทย ซึ่งชาวภาคใต้เรียกว่า ”บุด„ หรือ ”หนังสือบุด„ และเรียกตามลักษณะเนื้อกระดาษว่า ”บุดด�ำ„ และ ”บุดขาว„ หนังสือบุดดังกล่าว นอกจากบันทึกลายลักษณ์อักษรแล้ว บางเล่มยังมีภาพประกอบอย่างสวยงาม เช่น เรื่องพระมาลัย นอกจากน้ียังมีเรื่องราวเกี่ยวกับแผนที่ภาพ ตลอดจนรูปยันต์ลงคาถา อาคมต่างๆ๓ วรรณกรรมที่ผู้วิจัยคัดเลือกมาวิเคราะห์นั้นเป็นวรรณกรรมลายลักษณ์อักษร ประเภทต�ำนานและพงศาวดาร ๓ เรื่อง ได้แก่ ต�ำนานเมืองนครศรีธรรมราช ต�ำนาน พระธาตเุ มอื งนครศรธี รรมราช และพระนพิ พานโสตร เหตเุ พราะผวู้ จิ ยั เหน็ วา่ วรรณกรรม เหล่าน้ีมีร่องรอยลัทธิลังกาวงศ์เป็นจ�ำนวนมาก หากน�ำมาศึกษาเปรียบเทียบกับคัมภีร์ ต้นฉบับของศรีลังกา น่าจะท�ำให้เห็นถึงการประดิษฐานพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ในอาณาจักรตามพรลิงค์ รวมถึงคติความเช่ือ ประเพณีและวัฒนธรรมแบบลังกาด้วย ส�ำหรับคัมภีร์ต้นฉบับของศรีลังกาที่น�ำมาเป็นข้อมูลเปรียบเทียบน้ัน ได้แก่ คัมภีร์ มหาวงศ์ คัมภีร์ทาฐาธาตุวงศ์ และคัมภีร์ถูปวงศ์ เน่ืองจากคัมภีร์เหล่านี้แสดงให้เห็น ถึงคติความเชื่อและจารีตปฏิบัติของศรีลังกาหลายด้าน ๒ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๒๘๔. ๓ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๒๘๖.
ตามพรลิงค์ 167 การศึกษาด้านวรรณกรรมครั้งนี้ผู้วิจัยแบ่งเนื้อหาออกเป็น ๔ ตอน ดังน้ี ๑) พระเจ้าอชาตศัตรูประดิษฐานพระบรมธาตุ เนอื้ หากลา่ วถงึ พระเจา้ อชาตศตั รทู รงทราบถงึ การแบง่ ปนั พระบรมสารรี กิ ธาตุ ที่เมืองกุสินารา ปรารถนาจะสร้างเจดีย์บรรจุพระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า จึงขอให้ พระมหาเถระกัดศรพไปอัญเชิญพระบรมธาตุ คร้ันพระเถระไปอัญเชิญพระบรมธาตุ มาแล้วพระอินทร์และเทพเทวาท้ังมวลทราบข่าว ได้มาช่วยเลือกสถานท่ีประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุ โดยบรรจุลงในผอบทองแล้วฝังไว้ในหลุม ส่วนพระพรหมได้ปั้น รูปสัตว์หลายชนิดแล้วมอบหมายให้พระวิสสุกรรมชุบรูปปั้นเหล่านั้นเป็นภาพยนตร์ ถึงเจ็ดชั้น เพื่อท�ำหน้าท่ีเฝ้าพระธาตุ ครั้นแต่งภาพยนตร์แล้ว พระกัดศรพเถระ พระอินทร์และพระเจ้าอชาตศัตรูได้อธิษฐานว่า ขอให้เทียนอย่าดับและดอกไม้ท่ีบูชา พระธาตุให้สดอยู่เสมอ แล้วเอาท่อนแก้วมาเขียนข้อความว่า ในศักราช ๒๒๐ จะมี กษัตริย์ผู้ย่ิงใหญ่ในเมืองอินทปัตถ์มาพบพระธาตุน้ี แล้วโปรดประทานพระบรม สารรี กิ ธาตใุ หแ้ กก่ ษตั รยิ ท์ กุ หวั เมอื ง ตอ่ มาครนั้ พระเจา้ อชาตศตั รสู วรรคตเมอื งราชคฤห์ กร็ า้ งผคู้ นสามชว่ั อายคุ น เพราะผลกรรมทพ่ี ระองคท์ รงทรมานพระราชบดิ าจนสวรรคต ส่วนพระองค์ทรงตกนรกเหมือนพระเทวทัต๔ หากตรวจสอบเน้ือหาข้างต้นมีความคล้ายคลึงกับเรื่องราวในคัมภีร์ ถูปวงศ์ ดังความว่า พระเจ้าอชาตศัตรูได้ส่งราชทูตไปขอพระบรมธาตุจากเจ้ามัลละ แห่งเมืองกุสินารา พร้อมจัดเตรียมแผ้วถางทางระหว่างเมืองกุสินารากับราชคฤห์และ แห่แหนพระบรมธาตุเป็นเวลาถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ต่อมาพระมหากัสสปเถระได้ ทูลแนะน�ำพระองค์ให้สร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเพ่ือให้พ้นภยันตราย พระเจ้าอชาตศัตรูโปรดให้สร้างผอบอัญมณีอันมีค่ามากมายหลายอย่างแล้วบรรจุ พระบรมธาตุ คร้ันเสร็จแล้วพระมหากัสสปเถระได้อธิษฐานว่า ดอกไม้ท้ังหลายจงอย่า รู้เห่ียว กล่ินหอมท้ังหลายจงอย่าหาย ประทีปทั้งหลายจงอย่ารู้ดับ แล้วให้จารึกอักษร ๔ พระนิพพานโสตร, หน้า ๒๕-๓๓.
168 ลังกาวงศ์ในอาณาจักรตามพรลิงค์ ลงในแผ่นทองค�ำว่า ในข้างหน้าโน้น เม่ือใดปิยทาสกุมารได้เสวยราชย์ เป็นพระเจ้า อโศกธรรมราชา เม่ือน้ัน พระองค์จักกระท�ำพระบรมธาตุเหล่าน้ันให้แพร่หลาย ส่วน พระเจ้าอชาตศัตรูได้บูชาด้วยเครื่องประดับส�ำหรับกษัตริย์ทั้งปวง แล้วปิดประตูพร้อม วางแก้วมณีดวงใหญ่ไว้ และให้จารึกอักษรไว้ว่า ในข้างหน้าจงให้พระราชาผู้เข็ญใจเอา แกว้ มณดี วงนส้ี กั การบชู าพระบรมธาตเุ ถดิ สว่ นพระอนิ ทรไ์ ดม้ อบหมายใหพ้ ระวสิ สกุ รรม ไปสร้างภาพยนตร์เพื่อปกปักรักษาพระบรมธาตุ๕ คัมภีร์มหาวงศ์กล่าวถึงพระเจ้า อชาตศัตรูเฉพาะท�ำหน้าที่อุปถัมภ์การสังคายนาเท่าน้ัน๖ ส่วนคัมภีร์ทาฐาธาตุวงศ์ไม่ กล่าวถึงพระเจ้าชาตศัตรูแต่อ้างถึง พระมหากัสสปเถระในฐานะเป็นประธานการถวาย พระเพลิงพระบรมศพ๗ ด้วยเหตุนั้น จึงเชื่อได้ว่าตอนพระเจ้าอชาตศัตรูประดิษฐาน พระบรมธาตุนั้นคัมภีร์นิพพานโสตรคัดลอกเนื้อหามาจากคัมภีร์ถูปวงศ์ โดยเฉพาะ ประเด็นการจารึกข้อความลงในแผ่นทองค�ำหรือการอธิษฐานของพระมหากัสสปเถระ ล้วนบ่งช้ีชัดเจนว่าคัดลอกเนื้อหาท้ังหมดมาจากคัมภีร์ถูปวงศ์ ประเด็นน่าสนใจคือ คมั ภรี ถ์ ปู วงศว์ างโครงเรอื่ งใหพ้ ระมหากสั สปเถระเปน็ ผมู้ บี ทบาทสำ� คญั แตพ่ ระนพิ พานโสตร กลบั เปลย่ี นเปน็ พระเจา้ อชาตศตั รู สนั นษิ ฐานวา่ ผแู้ ตง่ พระนพิ พานโสตรอาจจะตอ้ งการ ช้ีให้เห็นว่าสถานะภาพของกษัตริย์มีความชอบธรรมในการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ ในฐานะเป็นผู้อุปถัมภ์พระศาสนาของพระบรมศาสดาเจ้า ส่วนพระสงฆ์ท�ำหน้าท่ี เพียงให้ค�ำแนะน�ำเท่านั้น ๒) พระยาธรรมโศกราชแจกพระบรมสารีริกธาตุ ครั้นย่างเข้าศักราช ๒๒๔ มีกษัตริย์ผู้มีบุญบารมีอุบัติข้ึนพระนามว่า พระยาธรรมโศกราช ทรงครองเมืองอินทปัตถ์ พระองค์ทรงปรารถนาจะแจกพระบรม ธาตุ แต่ไม่ทราบว่ามีอยู่ที่ใด จึงประกาศให้หาผู้รู้สถานท่ีฝังพระธาตุ ขณะนั้นมี พระเถระอายุ ๒๒๐ ปี ทราบเรื่องพระบรมสารีริกธาตุดี เนื่องจากสมัยเป็นเด็กบิดา ๕ ถูปวงศ์, หน้า ๓๖-๔๐. ๖ มหาวงศ์ ๑, หน้า ๒๐-๒๔. ๗ ทาฐาธาตุวงศ์, หน้า ๒๘.
ตามพรลิงค์ 169 พาไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุท่ีเมืองราชคฤห์ พระยาธรรมโศกราชจึงให้หาฤกษ์ ขุดพระบรมสารีริกธาตุ ขณะขุดน้ันภาพยนตร์ออกมาฆ่าไพร่พลของพระองค์ถึง ๘๔,๐๐๐ คน พระอินทร์จึงรับสั่งให้พระวิสสุกรรมมาแก้ภาพยนตร์ การขุดหา พระสารรี กิ ธาตจุ งึ สำ� เรจ็ พระยาธรรมโศกราชพบขอ้ ความในทอ่ นแกว้ ในหลมุ ประดษิ ฐาน พระบรมธาตุ จึงทราบว่าพระเจ้าอชาตศัตรูเขียนไว้ก็ทรงรันทดพระทัย จากน้ันได้ อญั เชญิ พระบรมสารรี กิ ธาตเุ ขา้ สเู่ มอื งอนิ ทปตั ถแ์ ละทรงพจิ ารณาถงึ สถานทป่ี ระดษิ ฐาน คราวน้ันได้ทรงปรึกษากับพระโมคลีบุตรเถระและพระมาลัยเถระ สุดท้ายทรงสร้าง พระเจดีย์แก้วส�ำหรับประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ แล้วทรงแจกจ่ายพระธาตุแก่ กษตั รยิ ์ ๘๔,๐๐๐ หวั เมอื ง ขา่ วการสรา้ งพระเจดยี ท์ ราบถงึ มารรา้ ยผมู้ งุ่ หมายเบยี ดเบยี น พิธี จึงตรงมาท�ำลายพระบรมธาตุ พระโมคลีบุตรเถระจึงแสดงฤทธิ์ขว้างถลกบาตรไป ท่ีมารกลายเป็นสุนัขเน่าคล้องคอ มารไม่สามารถหาวิธีถอดได้จึงสารภาพผิดและถวาย ตัวเป็นผู้รับใช้พระเถระ การสร้างพระเจดีย์จึงแล้วเสร็จตามพระราชประสงค์ของ พระยาธรรมโศกราช๘ หากตรวจสอบเน้ือหาเบื้องต้นมีความคล้ายคลึงกับเรื่องราวในคัมภีร์ ถูปวงศ์ ดังความว่า เจ้าชายปิยทาสกุมารได้เสวยราชย์ทรงพระนามว่าพระเจ้าอโศก มหาราช ได้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี พระองค์ทรงทราบจากพระสงฆ์ว่ามี การบรรจุพระบรมธาตุไว้แต่ไม่รู้ว่าอยู่แห่งใด คราวน้ันพระเถระรูปหน่ึงมีอายุได้ ๑๒๐ ปี ทูลพระองค์ว่าสมัยอายุได้ ๗ ขวบ ได้ติดตามพระมหาเถระผู้เป็นปู่ไปบูชา พระบรมมหาธาตุ ครั้นแล้วพระเจ้าอโศกมหาราชให้แผ้วถางกอไม้และเถาวัลย์เพื่อ ขุดพระบรมธาตุตามค�ำบอกเล่าของพระเถระ แต่พบภาพยนตร์จึงไม่สามารถขุดได้ แม้จะโปรดให้หาพวกหมอผีมากระท�ำพิธีบวงสรวงก็ไม่ประสบความส�ำเร็จ จึงประกาศ ให้เทวดารับทราบ พระอินทร์ได้มอบหมายให้พระวิสสุกรรมมาช่วยพระเจ้าอโศกขุด พระบรมธาตุจนส�ำเร็จ ครั้นแล้วพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นแก้วมณีดวงหนึ่ง และ ทรงเหน็ อกั ษรจารึกของพระเจา้ อชาตศัตรจู ึงทรงกรว้ิ แต่คร้ันเห็นจารึกแผน่ ทองคำ� ของ ๘ พระนิพพานโสตร, หน้า ๓๔-๕๓.
170 ลังกาวงศ์ในอาณาจักรตามพรลิงค์ พระมหากัสสปเถระก็ทรงโสมนัส จากนั้นโปรดให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไป แจกจ่ายตามหัวเมืองน้อยใหญ่ เพื่อประดิษฐานไว้ภายในพระวิหาร ๘๔,๐๐๐ แห่ง๙ คัมภีร์มหาวงศ์กล่าวถึงพระเจ้าอโศกในฐานะผู้ถวายราชูปถัมภ์พระพุทธศาสนา โดย เฉพาะการสังคายนาพระธรรมวินัย๑๐ ส่วนเร่ืองราวของพระโมคคัลลีบุตรติสสะกล่าว ถึงในฐานะเป็นประธานสงฆ์การสังคายนาพระธรรมวินัย ส่วนคัมภีร์ทาฐาธาตุวงศ์ไม่ กล่าวถึงเร่ืองราวของพระเจ้าอโศกแต่อย่างใด ด้วยเหตุนั้น จึงเชื่อได้ว่าตอนพระยา ธรรมโศกราชแจกพระบรมสารีริกธาตุน้ัน คัมภีร์นิพพานโสตรคัดลอกเน้ือหามาจาก คัมภีร์ถูปวงศ์ หลักฐานชัดเจนคือบทบาทของพระเจ้าอโศกมหาราชในฐานะผู้แจกจ่าย พระบรมธาตแุ กห่ วั เมอื งนอ้ ยใหญ่ เพอื่ ประดษิ ฐานในพระเจดยี ์ ๘๔,๐๐๐ แหง่ ประเดน็ เพ่ิมเติมคือพระนิพพานโสตรกล่าวถึงพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระทรมานพญามารผู้มา รงั ควาญพธิ สี รา้ งพระเจดยี บ์ รรจพุ ระบรมธาตุ แตเ่ นอื้ หาดงั กลา่ วไมป่ รากฏเหน็ ในคมั ภรี ์ มหาวงศ์ คัมภีร์ถูปวงศ์และคัมภีร์ทาฐาธาตุวงศ์แต่อย่างใด สันนิษฐานว่าผู้แต่งน่าจะ ได้รับคติความเช่ือมาจากมหายาน โดยเฉพาะเร่ืองราวของพระอุปคุตเถระผู้ทรมาน พญามาร คราวพระเจ้าอโศกมหาราชเฉลิมฉลองเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ๑๑ หาก เป็นเช่นน้ัน แสดงให้เห็นว่าคติความเช่ือมหายานมีอิทธิพลต่ออาณาจักรตามพรลิงค์ ก่อนลัทธิลังกาวงศ์มาแต่โบราณกาล ๓) การประดิษฐานพระทันตธาตุในลังกาทวีป เน้ือหากล่าวถึงพญาสิงหราชแห่งเมืองทนทบุรี ซ่ึงมีพระทันตธาตุไว้ สักการบูชา สมัยหน่ึงเจ้ากรุงสาลีบดีทรงทราบข่าวเก่ียวกับพระทันตธาตุจึงกรีธาทัพมา แย่งพระทันตธาตุ ได้ท้ารบด้วยการชนช้าง ยุทธหัตถีคราวนั้นจบลงด้วยเจ้ากรุงสาลี บดีขาดคอช้าง ต่อมาอีกสามเดือน พระเจ้าเหมมันต์ได้คบคิดกับเมืองอื่นอีกส่ีเมือง ๙ ถูปวงศ์, หน้า ๔๐-๔๘. ๑๐ มหาวงศ์ ๑, หน้า ๓๗-๕๐. ๑๑ ความเข้าใจเร่ืองพระเจ้าอโศกและอโศกาวทาน, ส. ศิวรักษ์ แปลและเรียบเรียง, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์เคล็ดไทย, ๒๕๕๒), หน้า ๖๑-๘๙.
ตามพรลิงค์ 171 รวมเป็นห้าเมือง พากันยกทัพมาแย่งพระทันตธาตุอีกคร้ังหนึ่ง พญาสิงหราชทรง ด�ำริว่าก�ำลังอริราชศัตรูมากมายนักเห็นจะสู้ได้ยาก จึงรับส่ังให้พระทนธกุมารผู้เป็น พระราชโอรสและเจ้าหญิงเหมชาลาผู้เป็นพระราชธิดาปลอมตัว แล้วแอบน�ำพระทันต ธาตหุ นอี อกจากเมอื งเพอ่ื นำ� ไปถวายกษตั รยิ ล์ งั กา แตโ่ ชครา้ ยระหวา่ งทางเรอื ลม่ กษตั รยิ ์ สองพี่น้องจึงว่ายน้�ำไปข้ึนฝั่งบริเวณหาดทรายแก้ว จากน้ันได้ฝังพระทันตธาตุไว้แล้ว ซ่อนตัวอยู่บริเวณใกล้เคียง คราวน้ันพระอรหันต์ชื่อว่าพรหมเทพมหาเถระเหาะผ่าน มาทราบความจริงท้ังหมด จึงบอกกษัตริย์สองพ่ีน้องว่าหากมีเร่ืองเดือดร้อนให้ระลึก ถึงตน ขณะเดินทางไปเกาะลังกาพญานาคได้มาแย่งเอาพระทันตธาตุไป พระพรหม เทพมหาเถระก็ส�ำแดงฤทธ์ิเอากลับมาคืน กษัตริย์สองพ่ีน้องเดินทางไปถึงลังกาโดย ปลอดภัย กษัตริย์ลังกาพระนามว่าทศคามทรงทราบข่าวยินดีย่ิงนัก โปรดให้จัดพิธี ต้อนรับพระทันตธาตุอย่างย่ิงใหญ่ โปรดให้สร้างวิหารส�ำหรับประดิษฐานภายใน พระราชวัง พร้อมให้ดูแลกษัตริย์สองพี่น้องอย่างดียิ่ง สมัยต่อมาพระเจ้าทศคามทรง ทราบว่ากษัตริย์สองพ่ีน้องปรารถนาจะเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน พระองค์จึงทรง มพี ระราชสาส์นให้เจ้าทนธกมุ ารและนางเหมชาลาถอื ไปยงั หา้ กษตั รยิ ท์ ี่ยดึ เมอื งทนทบรุ ี ความว่า ท้ังสองพระองค์เป็นพระโอรสธิดาของกษัตริย์สิงหราช ขอให้ดูแลอย่างดี อย่าได้เดือดร้อน มิเช่นนั้นจะผิดใจกับลังกา กษัตริย์สองพี่น้องออกจากลังกาใช้เวลา ห้าเดือนเจ็ดวันจึงมาถึงหาดทรายแก้ว ได้เลือกสถานท่ีประดิษฐานพระบรมธาตุ โดย เอาทองสี่ตุ่มตั้งล้อมรอบสถานที่บรรจุพระบรมธาตุแล้วก่อเป็นตึกไว้ ส่วนบาคูท้ังส่ีคน ได้ต้ังภาพยนตร์ไว้รักษาพระบรมธาตุและสลักอักษรลังกาไว้ในศิลาพร้อมออกเดินทาง ไปเมืองทนทบุรี ส่วนพระเจดีย์ที่หาดทรายแก้วน้ันเหล่าพญานาคได้มาบูชาพร้อม ถวายดวงแก้วด้วยการค้างไว้ท่ีปลายไม้๑๒ หากตรวจสอบเนื้อหาเบื้องต้นมีความคล้ายคลึงกับเร่ืองราวในคัมภีร์ ทาฐาธาตุวงศ์ ดังความว่า สมัยพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระสัมมา- สัมพุทธเจ้าน้ัน พระเขมเถระผู้เป็นอรหันต์ได้อัญเชิญพระทันตธาตุเบ้ืองซ้ายของ ๑๒ ต�ำนานพระธาตุ, หน้า ๑-๔; ต�ำนานเมือง, หน้า ๑-๗; พระนิพพานโสตร, หน้า ๕๓-๖๗.
172 ลังกาวงศ์ในอาณาจักรตามพรลิงค์ พระพทุ ธเจา้ จากเชงิ จติ กาธาร ไปถวายพระเจา้ พรหมทตั แหง่ นครทนั ตบรุ แี ควน้ กาลงิ คะ พระองค์โปรดให้สร้างสถูปประดิษฐานพระเข้ียวแก้ว สมัยต่อมาอีกหลายช่ัวอายุคน กษัตริย์แห่งนครทันตบุรีพระนามว่าคุหสิวะ เดิมน้ันทรงศรัทธาพวกนิครนถ์แต่เห็น ปาฏหิ ารยิ พ์ ระเขี้ยวแก้วจงึ หันมานับถือพุทธศาสนา พวกนิครถนเ์ สอื่ มจากลาภสกั การะ จงึ ไปกราบทลู พระเจา้ ปณั ฑรุ าชกษตั รยิ แ์ หง่ เมอื งปาฏลบี ตุ รวา่ พระเจา้ คหุ สวิ ะบชู ากระดกู คนตาย พระเจ้าปัณฑุราชจึงรับสั่งให้พระยาจิตตยานะยกทัพไปปราบ แต่ครั้นเห็น ปาฏิหาริย์ของพระเขี้ยวแก้วพระยาจิตตยานะก็หันมาศรัทธา พร้อมอัญเชิญ พระเขย้ี วแกว้ ไปถวายพระเจา้ ปณั ฑรุ าช แตเ่ พราะการสอ่ เสยี ดของพวกนคิ รนถพ์ ระองค์ จึงให้เผาและทุบพระเข้ียวแก้วเสีย คราวนั้นพระเขี้ยวแก้วได้ส�ำแดงปาฏิหาริย์พระองค์ จึงหันมาศรัทธาพระเข้ียวแก้ว กษัตริย์พระองค์หน่ึงพระนามว่าขีรธาระทรงทราบถึง ปาฏิหาริย์ของพระเขี้ยวแก้วจึงยกทัพมาท�ำสงครามแต่พ่ายแพ้เสียชีวิต สมัยต่อมา พระเจ้าคุหสิวะได้อัญเชิญพระเข้ียวแก้วกลับนครทันตบุรี ไม่นานพระเจ้าหลานของ พระเจ้าขีรธาระยกทัพหวงั ยดึ ครองพระเข้ยี วแกว้ พระเจา้ คหุ สวิ ะเห็นวา่ ก�ำลงั ของขา้ ศึก มากมายนักเกรงจะเป็นอันตรายต่อพระเขี้ยวแก้ว จึงรับส่ังให้เจ้าชายทันตกุมารผู้เป็น พระราชบุตรเขยและพระนางเหมมาลาพระราชธิดาปลอมตนอัญเชิญพระเข้ียวแก้วไป ถวายแกก่ ษตั รยิ ล์ งั กาทวปี ขณะเดนิ ทางไดไ้ ปซอ่ นตวั ทเี่ มอื งมลยวนั และพบกบั อปุ สรรค มากมาย คร้ันได้พบพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาแม้จะพบอุปสรรคปัญหาหลายอย่าง แต่ก็สามารถเดินทางถึงเกาะลังกาอย่างปลอดภัย พราหมณ์ปุโรหิตได้พบกษัตริย์ สองพระองค์ครั้นทราบข่าวจึงแจ้งแก่พระมหาเถระแล้ว พระมหาเถระได้กราบทูล กษัตริย์ลังกาพระนามว่ากิตติสิริเมฆะ พระองค์ทรงโสมนัสย่ิงนักได้เสด็จไปรับ พระเขยี้ วแกว้ นอกเมอื งหลวงพรอ้ มขา้ ราชบรพิ ารเปน็ จำ� นวนมาก โปรดใหจ้ ดั พธิ แี หแ่ หน พระเขย้ี วแกว้ อย่างยิ่งใหญ่ตระการตา เสมือนอัญเชิญพระพุทธเจ้าเข้าเมืองอนุราธปุระ โปรดให้สร้างวิหารประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วภายในพระราชวัง และประกาศเป็นพระ ราชโองการให้มีการฉลองบูชาพระทันตธาตุทุกปี๑๓ คัมภีร์มหาวงศ์ระบุว่าพระเข้ียวแก้ว อัญเชิญมาจากแคว้นกาลิงคะในรัชสมัยของพระเจ้ากิตติสิริเมฆะผู้เป็นพระราชโอรส ๑๓ ทาฐาธาตุวงศ์, หน้า ๒๘-๔๗.
ตามพรลิงค์ 173 ของพระเจา้ มหาเสนะ โปรดใหบ้ รรจใุ นผอบแกว้ ผลกึ แลว้ ประดษิ ฐานในพระราชมณเฑยี ร ท่ีพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะโปรดให้สร้างไว้ พร้อมจัดพิธีเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่๑๔ ส่วนคัมภีร์ถูปวงศ์ไม่กล่าวถึงเลย ด้วยเหตุน้ัน จึงเช่ือได้ว่าตอนการประดิษฐานพระ ทนั ตธาตใุ นลงั กาทวปี ตำ� นานนครศรธี รรมราชคดั ลอกเนอื้ หามาจากคมั ภรี ท์ าฐาธาตวุ งศ์ ประเด็นชวนคิดคือแม้ชื่อบุคคลและสถานท่ีจะแตกต่างกันแต่เนื้อหาหลักของเร่ืองยัง รักษาไว้เช่นเดิม ตัวอย่างเช่น ตอนท�ำสงครามแย่งชิงพระเข้ียวแก้ว ตอนเจ้าชายทันต กุมารและเจ้าหญิงเหมมาลาอัญเชิญพระเข้ียวแก้วไปลังกา ตอนพระอรหันต์เถระเข้า มาช่วยเหลือกษัตริย์สองพระองค์ให้เดินทางถึงเกาะลังกาอย่างปลอดภัย และตอน กษัตริยล์ งั กาใหค้ วามเคารพเล่ือมใสอย่างสงู สดุ ประเดน็ นา่ สนใจคอื ผู้แต่งต�ำนานเมอื ง นครศรีธรรมราช ต�ำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช และพระนิพพานโสตรระบุว่า เจ้าชายทันตกุมารและเจ้าหญิงเหมมาลาได้อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาหาดทรายแก้ว สันนิษฐานว่าผู้แต่งน่าจะตีความค�ำว่า ”มลยวัน„ ในคัมภีร์ทาฐาธาตุวงศ์ว่าเป็นเมือง นครศรีธรรมราช เพ่ือให้เช่ือมโยงกับการสร้างเมืองนครศรีธรรมราชดังปรากฏเห็นใน ต�ำนานฝ่ายไทย ๔) การสร้างเมืองนครศรีธรรมราช เน้ือหากล่าวถึงพระเจ้าศรีธรรมโศกราชแห่งเมืองสวัสดิราช ทรงมี พระอนุชาพระนามว่าพระนนทราชา ได้อพยพผู้คนและสัตว์เลี้ยงหนีไข้ห่าเดินทางเจ็ด เดือนถึงเขาชวาปราบ ให้สร้างวัดเวียงสระเพื่อให้เป็นที่พักอาศัยของพระพุทธค�ำเพียร กบั พระพทุ ธสาคร คราวนน้ั พระอนิ ทรไ์ ดส้ ง่ั ใหพ้ ระวสิ สกุ รรมแปลงเปน็ กวางไปลอ่ พราน สกุ รจี นพบทฝ่ี งั พระบรมธาตุ พรานสกุ รไี ดพ้ บดวงแกว้ ของพญานาคทบ่ี ชู าพระธาตแุ ลว้ น�ำมาถวายพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช คร้ันแล้วพระองค์รับส่ังให้พนักงานและช่างวาด เขียนไปท�ำแผนทพ่ี รอ้ มพรานสุกรี ตอ่ มาพระองคเ์ สด็จไปทนี่ ้ันและพบกาเฝา้ อยู่ เทวดา ได้ทูลให้ทราบว่าตึกนั้นเป็นสถานท่ีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุโดยนางเหมชาลาและ ท้าวทนธกุมาร ต่อมาเกิดไข้ห่าในเมืองเวียงสระ พระองค์จึงยกทัพไพร่พลไปต้ังอยู่ที่ ๑๔ มหาวงศ์ ๑, หน้า ๓๕๓-๓๕๔.
174 ลังกาวงศ์ในอาณาจักรตามพรลิงค์ เขาวัง พระอนุชาตั้งเมืองอยู่ที่ลานสกา ส่วนพระราชโอรสสวรรคต หนึ่งปีต่อมามี พระอรหันต์เดินทางมาจากเมืองตักกสิลา พระเจ้าศรีธรรมโศกราชได้ทูลถามเร่ืองวิธี รักษาไข้ห่า พระมหาเถระถวายพระพรว่าควรเอาไกรลาสมาตอกตรานะโม พระองค์ ทรงทำ� ตามนน้ั พร้อมบรรจุลงในกระออมทอง แล้วใหบ้ าคูเสกท�ำนำ้� มนตพ์ รมคนไข้และ บ้านเรือนไข้ห่าจึงหายไป พระเจ้าศรีธรรมโศกราชทูลถามพระอรหันต์ถึงการต้ังถิ่นฐาน ใหม่ได้รับค�ำตอบว่าควรต้ังท่ีท่าวัง พระเถระและบาคูไปดูท่ีตั้งเมืองได้พบตึกและกา เฝ้าพระธาตุแล้วกลับมาทูลกษัตริย์ให้ทรงทราบว่า มีอาถรรพณ์แก้ไม่ได้แต่ภายหน้า จะเป็นเมืองใหญ่ พระองค์ทรงอธิษฐานให้เทวดามาช่วยสร้างเมือง พระอินทร์มอบ หมายใหพ้ ระมาตุลีกับพญานาคมาชว่ ยสรา้ งเมอื ง แตภ่ าพยนตร์เฝา้ พระธาตไุ ม่สามารถ แก้ได้ถึงเจ็ดปี ต่อมาเจ้ากากภาษาโอรสแห่งกษัตริย์เมืองโรมพอไสย เดินทางไปค้าขาย ท่ีเมืองตักสิลาแต่เรือถูกพายุพัดจนล่มจึงมาจอดที่หาดทรายแก้ว พระเจ้าศรีธรรมโศก ราชได้ช่วยซ่อมเรือให้จนแล้วเสร็จ เจ้ากากภาษาจึงได้ช่วยแก้ภาพยนตร์และขุด พระธาตแุ ลว้ สรา้ งพระเจดยี ป์ ระดษิ ฐานพระธาตจุ นแลว้ เสรจ็ ภายหลงั หวั เมอื งนอ้ ยใหญ่ มาช่วยสร้างพระบรมธาตุและอุทิศข้าวของเป็นพุทธบูชา ต่อมาพระเถระทิพยมณเฑียร จากลังกาได้อัญเชิญโพธ์ิทองมาปลูกทางทิศเหนือของพระบรมธาตุเจดีย์ พร้อมก่อ พระบรรทมและพระพุทธรูปโดยรอบวิหาร๑๕ หากตรวจสอบเน้ือหาเบื้องต้นไม่มีข้อมูลส่วนใดคัดลอกมาจากคัมภีร์ ต้นฉบับของศรีลังกา มีเพียงบางประเด็นที่น�ำมาปรับเสริมใหม่เพื่อให้เน้ือหาน่าสนใจ มากขนึ้ ยกตวั อยา่ งเชน่ เรอื่ งพระเจา้ อชาตศตั รทู รงวางแกว้ มณดี วงใหญไ่ วห้ นา้ พระบรม ธาตเุ จดยี ด์ งั ปรากฏในคมั ภรี ถ์ ปู วงศ๑์ ๖ ตำ� นานพระธาตเุ มอื งนครศรธี รรมราชและตำ� นาน เมืองนครศรีธรรมราชได้แปลงฉากใหม่ว่า พรานพบดวงแก้วบริเวณริมทะเลแล้วน�ำไป ถวายพระญาศรีธรรมาโศกราช๑๗ ส่วนพระนิพพานโสตรขยายความว่าพญานาคถวาย ดวงแก้วบูชาพระบรมธาตุด้วยการค้างไว้บนปลายไม้๑๘ อีกตอนหนึ่งคัมภีร์ถูปวงศ์แต่ง ๑๕ ต�ำนานพระธาตุ, หน้า ๔-๙; ตำ� นานเมือง, หนา้ ๗-๑๑; พระนิพพานโสตร, หนา้ ๖๘-๙๑. ๑๖ ถูปวงศ์, หน้า ๔๐. ๑๗ ต�ำนานพระธาตุ, หน้า ๔; ต�ำนานเมือง, หน้า ๕. ๑๘ พระนิพพานโสตร, หน้า ๖๙.
ตามพรลิงค์ 175 ไว้ว่าพระอินทร์ได้มอบหมายพระวิสสุกรรมมาช่วยสร้างภาพยนตร์เพื่อปกปักรักษา พระบรมธาต๑ุ ๙ แตพ่ ระนพิ พานโสตรกลบั ใหก้ ากภาษาแหง่ เมอื งโรมวไิ สยมาแกภ้ าพยนตร์ เพื่อขุดพระบรมธาตุถวายพระยาศรีธรรมโศกราช๒๐ ขณะที่ต�ำนานพระธาตุเมือง นครศรีธรรมราชและต�ำนานเมืองนครศรีธรรมราชด�ำเนินเร่ืองตามคัมภีร์ถูปวงศ์๒๑ นอกจากนน้ั เพอื่ ใหม้ คี วามสมเหตสุ มผลมากขนึ้ ตำ� นานพระธาตเุ มอื งนครศรธี รรมราช เสริมความว่าพระญาศรีธรรมาโศกราชได้สร้างมาลิกเจดีย์ ปลูกพระศรีมหาโพธ์ิ พร้อมนิมนต์พระสงฆ์เมืองลังกาและเมืองหงษามาร่วมท�ำบุญฉลองพระธาตุ๒๒ ต�ำนาน เมอื งนครศรธี รรมราชกลา่ ววา่ พระพทุ ธสหิ งิ คเ์ สดจ็ มาจากเกาะลงั กา๒๓ สว่ นพระนพิ พาน โสตรก็เสริมเร่ืองพระทิพยมณเฑียรเถระอัญเชิญโพธ์ิทองจากศรีลังกามาปลูกทิศเหนือ ของพระบรมธาตุเจดีย์ พร้อมท�ำหน้าท่ีก่อพระไสยาสน์และพระพุทธรูปประดิษฐาน ไว้รอบพระวิหาร๒๔ เปน็ ทน่ี า่ สงั เกตวา่ การนำ� เรอ่ื งราวเหลา่ นม้ี าแตง่ ขน้ึ ใหม่ ไมถ่ อื วา่ เสยี อรรถรส แต่อย่างใด แต่เป็นการเสริมความน่าเช่ือถือมากข้ึน เป็นการส่ือให้เห็นความส�ำคัญของ เมืองนครศรีธรรมราช ในฐานะเป็นดินแดนบุณยสถานศักด์ิสิทธ์ิ เพราะมากมีด้วย พระบรมธาตุเจดีย์ ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ และพระพุทธสิหิงค์ ช่ือว่าเป็นศูนย์รวมใจของ ชาวพุทธแห่งอาณาจักรตามพรลิงค์ คติดังกล่าวนี้เชื่อว่าเป็นการเลียนแบบมาจาก ศรีลังกา ในฐานะเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา เพราะมากมีด้วยบุณยสถานอัน ศักดิ์สิทธิ์ ดังเช่น เมืองหลวงเก่าอนุราธปุระหรือเมืองหลวงโปโฬนนารุวะ นอกจากน้ัน ยังเป็นสถานสถิตของพระเขี้ยวแก้วซึ่งถือว่าเป็นสมบัติคู่ราชบัลลังก์ของผู้อ้างสิทธิโดย ชอบธรม เพ่ือครองราชย์เหนือเกาะลังกา ประเด็นนี้อาจจะเป็นสาเหตุให้ผู้แต่งต�ำนาน ชาวนครศรีธรรมราชพยายามเร่ิมต้นต�ำนานด้วยเรื่องราวของพระเขี้ยวแก้ว ผสมกับ ๑๙ ถูปวงศ์, หน้า ๔๐. ๒๐ พระนิพพานโสตร, หน้า ๗๗. ๒๑ ต�ำนานพระธาตุ, หน้า ๘; ต�ำนานเมือง, หน้า ๑๐. ๒๒ ต�ำนานพระธาตุ, หน้า ๑๒. ๒๓ ต�ำนานเมือง, หน้า ๗. ๒๔ พระนิพพานโสตร, หน้า ๙๓.
176 ลังกาวงศ์ในอาณาจักรตามพรลิงค์ คติการสร้างสถูปเจดีย์เพื่อชี้ให้เห็นความชอบธรรม เพ่ืออัญเชิญพระเข้ียวแก้วมา ประดิษฐานที่อาณาจักรตามพรลิงค์ ดังปรากฏหลักฐานภายหลังว่าพระเจ้าจันทรภาณุ แห่งตามพรลิงค์ ยกทัพไปบุกรุกเกาะลังกาเพ่ือต้องการพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานยัง อาณาจักรของพระองค์ เพ่ือเป็นศูนย์รวมใจของดินแดนภาคใต้ หรืออาจเป็นการ แสดงถึงกฤษดาภินิหารในฐานะพระองค์ต้องการด�ำรงภาวะพระเจ้าจักรพรรดิตามคติ ความเช่ือของพระพุทธศาสนา ๔.๒ ด้านการก่อต้ังคณะป่าแก้ว คำ� วา่ ”ปา่ แกว้ ” มาจากภาษาบาลวี า่ ”วะนะรตั นะ„ ปรากฏเหน็ ครง้ั แรกประมาณ พุทธศตวรรษท่ี ๑๑ โดยหลักฐานระบุถึงพระเถระนามว่าอานนท์วนรัตนติสสเถระ ซ่ึงเป็นชาวอินเดียเดินทางมาบวชแปลงและศึกษาจารีตประเพณีภายใต้การแนะนำ� สั่ง สอนของพระสงฆ์ศรีลังกา ต่อมาท�ำหน้าท่ีเป็นหัวหน้าคณะสงฆ์ฝ่ายวนวาส๒ี ๕ นอกจาก โดดเด่นด้านวิปัสสนาธุระแล้ว พระเถระรูปน้ียังเช่ียวชาญด้านคันถธุระด้วย โดยรจนา คัมภีร์ส�ำคัญ ๒ เล่ม กล่าวคือ ลีนัตถปทวัณณนา (บางทีเรียกว่าอภิธรรมมูลฎีกา) เนื้อหาว่าด้วยการอธิบายแก้คัมภีร์อัตถสาลินีแห่งพระอภิธรรมปิฎก และสัจจสังเขป เป็นคัมภีร์แต่งอธิบายพระอภิธรรมปิฎกเช่นกัน ท่านมีศิษย์รูปหน่ึงนามว่าจุลลธรรม ปาลเถระ ซง่ึ ทรงปราชญด์ า้ นตำ� ราเชน่ กนั ไดแ้ ตง่ คมั ภรี ช์ อ่ื วา่ ลนี ตั ถวณั ณาหรอื อภธิ รรม อนฎุ กี า ซงึ่ ขยายความจากคมั ภรี ล์ นี ตั ถปทวณั ณนาซงึ่ เปน็ ผลงานของอาจารยแ์ หง่ ตน๒๖ หลักฐานเกี่ยวกับพระอานนท์วนรัตนติสสเถระมีเพียงเท่านี้ สันนิษฐานว่า ”วนรัตนะ„ น่าจะหมายถึงผู้ยินดีในป่าตามปฏิปทาของพระสงฆ์นักปฏิบัติ ส่วนผลงานด้าน พระอภธิ รรมของพระเถระและศษิ ยน์ นั้ นอกจากแสดงใหเ้ หน็ วา่ สำ� นกั ของทา่ นแตกฉาน ในพระอภิธรรมปิฎกแล้ว สมัยน้ันความโดดเด่นของพระอภิธรรมยังเป็นท่ีรู้จัก แพร่หลายเช่นกัน ๒๕ Somapala Jayawardhana, Handbook of Pali Literature, (Colombo: Karunaratne & Sons Ltd, 1994), p. 11. ๒๖ Ibid, pp. 74-75.
ตามพรลิงค์ 177 ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ปรากฏเห็นพระเถระอีกรูปหนึ่งซึ่งใช้ค�ำว่า ”วนรัตนะ„ กล่าวคือพระอานนท์วนรัตนเถระ หลักฐานตามคัมภีร์ระบุว่าท่านเป็นศิษย์ ของพระสังฆรักขิตเถระและพระเมธังกรเถระแห่งอุทุมพรคิริ (ภาษาสิงหลเรียกว่า ทิมบุลาคะละ)๒๗ พระสังฆรักขิตเถระน้ันเป็นประธานสงฆ์ในการปฏิรูปพระศาสนา สมัยพระเจ้าวิชัยพาหุท่ี ๓ (พ.ศ.๑๗๗๕-๑๗๘๓) แห่งอาณาจักรดัมพเดณิยะตอนต้น ส่วนพระเมธังกรเถระแห่งอุทุมพรคิริน้ันเป็นประธานสงฆ์ในการปฏิรูปพระศาสนาสมัย พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ (พ.ศ.๑๗๘๓-๑๘๑๓) สมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะเช่นกัน เป็นที่น่าสังเกตว่าพระอานนท์วนรัตนเถระสืบสายมาจากอุทุมพรคิริ ซึ่งเป็นส�ำนัก อรัญวาสีอันโด่งดังนับแต่สมัยอาณาจักรโปโฬนนารุวะเร่ือยมาจนถึงสมัยอาณาจักร ดัมพเดณิยะ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าการปฏิรูปศาสนาทั้งสองครั้งท่านมีส่วนร่วม หรือไม่ ผู้วิจัยเห็นว่าในฐานะพระเถระผู้ทรงความรู้และใกล้ชิดอาจารย์ทั้งสองรูปน่าจะ ได้รับอาราธนานิมนต์เข้าร่วมการปฏิรูปศาสนาด้วย คมั ภรี ส์ มนั ตกฏู วณั ณนาผลงานของพระเวเทหเถระผเู้ ปน็ ศษิ ยข์ องพระอานนท์ วนรัตนเถระระบุว่า อาจารย์แห่งตนมีสมญานามเป็นที่รู้จักแพร่หลายว่า ”วนรัตนะ„ หรือ ”อรัญญรัตนะ„ (หมายถึงอัญมณีแห่งป่า) เป็นนักกวีช้ันเลิศ เป็นปราชญ์นาม อุโฆษผู้ข้ามทะเลแห่งศาสตร์น้อยใหญ่ และเป็นเสมือนพระอาทิตย์บนท้องฟ้า๒๘ คัมภีร์ รสวาหินีผลงานอีกเล่มหน่ึงของพระเวเทหเถระระบุว่า อาจารย์แห่งตนเป็นผู้บรรลุถึง ฝั่งแห่งมหาสมุทรกล่าวคือศาสตร์ และเป็นธงชัยแห่งเกาะสิงหล๒๙ คัมภีร์คัมภีร์รูป สิทธิซ่ึงเป็นผลงานของพระพุทธัปปิยเถระ ผู้เป็นศิษย์อีกรูปหนึ่งของพระอานนท์ วนรัตนเถระก็ระบุว่าอาจารย์แห่งตนเป็นธงชัยแห่งตัมพปัณณิ๓๐ หลักฐานดังกล่าวชี้ให้ ๒๗ Padasadhana-sanyaya, ed. Ratmalane Dharmarama, Colombo, 1932, p. 43. ๒๘ Samantakutavannana, ed. K. Jnanavimala, (Colombo, 1959), p. 85. ๒๙ Rasavahini, ed. K. Jnanavimala, (Colombo; 1961), p. 299. ๓๐ Rupasiddhi, ed K Pannasekhara, (Colombo, 1964), p. 279.
178 ลังกาวงศ์ในอาณาจักรตามพรลิงค์ เห็นว่าพระอานนท์วนรัตนเถระน้ันด�ำรงต�ำแหน่งในฐานะพระเถระผู้ใหญ่ นอกจากเป็น ศิษย์สืบสายมาจากพระเถระผู้ท�ำหน้าที่ปฏิรูปพระศาสนาแล้ว ยังท�ำหน้าท่ีสอนสั่ง ศิษยานุศิษย์จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักแพร่หลาย ผู้วิจัยเห็นว่า ”วนรัตนะ„ หรือ ”อรัญญรัตนะ„ น่าจะได้รับการสดุดีเกียรติคุณจากสถาบันกษัตริย์ ในฐานะเป็นผู้มี ปฏิปทายินดีในป่าและเป็นหัวหน้าคณะสงฆ์ฝ่ายวนวาสี นักวิชาการบางท่านแสดงความเห็นว่า พระอานนท์วนรัตนเถระรูปนี้น่าจะเป็น รูปเดียวกันกับจารึกของพระนางสุนทรมหาเทวี สังเกตได้จากฉายาว่าผู้เป็นธงชัยแห่ง ตมั พปณั ณิ (ตมั พปณั ณธิ ะชะ)๓๑ ผวู้ จิ ยั เหน็ วา่ ความเหน็ ดงั กลา่ วไมส่ มเหตสุ มผล เพราะ หากตรวจสอบระยะเวลาจะเห็นได้ว่าห่างกันเป็นศตวรรษ หลักฐานก็บอกชัดเจนแล้ว ว่าท่านเป็นศิษย์ของพระสังฆรักขิตเถระและพระเมธังกรเถระแห่งอุทุมพรคิรี หากเป็น รูปเดียวกันกับจารึกของพระนางสุนทรมหาเทวีก็หมายความว่าพระเถระมีอายุพรรษยุ กาลมากกว่าอาจารย์แห่งตน ระยะเวลาการมีชีวิตของพระอานนท์วนรัตนเถระปรากฏ เห็นในคัมภีร์นิกายสังครหยะ ซึ่งระบุนามพระเถระนักปราชญ์หลายรูป ดังเช่น พระสังฆรักขิตเถระ พระสุมังคลเถระ พระวาคีศวรเถระ พระธรรมกีรติเถระ พระนาค เสนเถระ พระอานนท์เถระ พระเวเทหเถระ พระพุทธปริยเถระ แลพระอนวมทัศรี เถระ๓๒ หลักฐานดังกล่าวชี้ให้เห็นว่ารายชื่อของพระอานนท์เถระอยู่หลังพระสังฆรักขิต เถระแต่อยู่ก่อนพระเวเทหเถระ พระพุทธปริยเถระและพระอนวมทัศรีเถระผู้เป็นศิษย์ ความคล้ายคลึงกันของค�ำว่า ”ธงชัยแห่งตัมพปัณณิ„ น่าจะมาจากความสามารถด้าน วิปัสสนาธุระและคันถธุระของพระเถระทั้งสองรูปมากกว่า พระอานนท์วนรัตนเถระได้แต่งคัมภีร์เล่มหนึ่งเป็นภาษาสิงหลชื่อว่าปทสาธน- สันยยะ เป็นการแต่งอธิบายคัมภีร์ไวยากรณ์ภาษาบาลีชื่อว่าปทสาธนะของพระปิยทัส สีเถระ๓๓ ตอนสุดท้ายท่านระบุว่าตนเองเป็นศิษย์ของพระเมธังกรเถระแห่งอุทุมพรคิรี ๓๑ UCHC, p. 565. ๓๒ พระสังฆราชเทวรักษิตะวิชัยพาหุ, นิกายสังครหยะ: บันทึกการพระศาสนาของชมพูทวีป และลังกา, แปลโดย พระมหาพจน์ สุวโจ, (นครปฐม: สาละพิมพการ, ๒๕๕๙), หน้า ๗๖. ๓๓ Padasadhana-sanyaya, ed. Ratmalane Dharmrama, (Colombo, 1932), p. 52.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320