ตามพรลิงค์ 229 ดี.จี.อี. ฮอลล์. ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้: สุวรรณภูมิ-อุษาคเนย์ ภาคพิสดาร. แปลโดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริและคณะ. พิมพ์คร้ังท่ี ๓. กรงุ เทพมหานคร: มลู นธิ โิ ครงการตำ� ราสงั คมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศาสตร,์ ๒๕๕๗. ต�ำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช. พิมพ์ในงานปลงศพ นางเทพนรินทร (สงวน อิศรางกูร ณ อยุธยา) พิมพ์ท่ีโรงพิมพ์โภสณพิพรรฒธนากร. เม่ือ ปีมะโรง พ.ศ.๒๔๗๑. ต�ำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช. ศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้. วิทยาลัยครู นครศรีธรรมราช จัดพิมพ์เน่ืองในการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช คร้ังท่ี ๒ วันที่ ๒๕-๒๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๕. ต�ำนานเมืองนครศรีธรรมราช. พระนคร: โรงพิมพ์ยิ้มศรี, ๒๔๘๑ ถังซ�ำจ๋ัง จดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง. แปล โดย ชิว ชูหลุน. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๔๗. ธนธร กิตติกานต์. มหาธาตุ. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๕๗. ธรรมทาส พานิช. ประวัติศาสตร์ไชยา นครศรีธรรมราช. กรุงเทพมหานคร: เอ.พี. กราฟฟิคดีไซน์และการพิมพ์, ๒๕๔๑. -------------------. ไทยศรีวิชัยแพร่พุทธศาสนา. กรุงเทพมหานคร: เอ.พี. กราฟฟิคดีโซน์และการพิมพ์, ๒๕๔๑. -------------------. ประวัติศาสตร์ไทย สมัยศรีวิชัย. พิมพ์คร้ังท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด เม็ดทรายพริ้นติ้ง, ๒๕๔๓. -------------------. นิพพานธรรมในประวัติศาสตร์สุวรรณภูมิ. กรุงเทพมหานคร: เจริญรัฐการพิมพ์, มปท. ธิดา สาระยา. ประวัติศาสตร์มหาสมุทรอินเดีย. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์ ด่านสุทธาการพิมพ์, ๒๕๕๔.
230 บทสรุปและข้อเสนอแนะ นงคราญ ศรีชาย. ตามรอยศรีวิชัย: ศึกษาเชิงวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ศรีวิชัย. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๔๔. นิกายวัชยาน. พิมพ์คร้ังท่ี ๒. เชียงใหม่: ส�ำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๖๐. นิโคลาส ทาร์ลิงและคณะ. ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ฉบับเคมบริดจ์ เล่ม ๑-๓. แปลโดย มัทนา เกษกมลและคณะ. บริษัทปริ้นท์โอโซนจ�ำกัด, ๒๕๕๒. บัณฑิต ลิ่วชัยชาญและคณะ. การประดิษฐานพระพุทธศาสนาจากลังกาทวีปใน ดินแดนประเทศไทยสมัยวัฒนธรรมทวารวดี. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์ สมาพันธ์ จ�ำกัด. ๒๕๕๓. บาร์บารา วัตสัน อันดายาและลีโอนาร์ด วาย. อันดายา. ประวัติศาสตร์มาเลเชีย. แปลโดย พรรณี ฉัตรพลรักษ์. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิโครงการต�ำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ๑๕๕๑. ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๒. คณะกรรมการอ�ำนวยการจัดงาน ฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกเน่ืองในมหามงคลสมัย ฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๓๙. ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๑. คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทาง ประวัติศาสตร์ ส�ำนักนายกรัฐมนตรี. ๒๕๒๑. ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์. เมืองนครศรีธรรมราชมหานคร. กรุงเทพมหานคร: บริษัท ส. เอเชียเพลส (1989) จ�ำกัด, ๒๕๕๕. -------------------. ศิลปวัฒนธรรมภาคใต้: ว่าด้วยภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภาษา วัฒนธรรม ประเพณีพ้ืนบ้าน. กรุงเทพมหานคร: สุวิริยาสาส์น, ๒๕๔๘.
ตามพรลิงค์ 231 ประวัติศาสตร์และโบราณคดีนครศรีธรรมราช ชุดท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร: กรุงสยาม การพิมพ์, ๒๕๒๕. จัดพิมพ์เป็นเอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการ เรอ่ื ง “ประวตั ศิ าสตรน์ ครศรธี รรมราช ครง้ั ที่ ๒” ณ วทิ ยาลยั ครนู ครศรธี รรมราช วันท่ี ๒๕-๒๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๕. ประวัติศาสตร์และโบราณคดีนครศรีธรรมราช ชุดท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร: กรุงสยาม การพิมพ์, ๒๕๒๖. จัดพิมพ์เป็นเอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “ประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช คร้ังท่ี ๓” ณ วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช วันที่ ๑๔-๑๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๖. ประวตั วิ ดั พระมหาธาตวุ รมหาวหิ าร. รวบรวมโดย พระครสู ริ ธิ รรมาภริ ตั . นครศรธี รรมราช: โรงพิมพ์เม็ดทราย, ๒๕๕๔. ปรีชา นุ่นสุข. หลักฐานทางโบราณคดีในภาคใต้ของประเทศไทยท่ีเก่ียวกับอาณาจักร ศรีวิชัย. กรุงเทพมหานคร: กรุงสยามการพิมพ์, ๒๕๒๕. -------------------. ศิลปะศรีลังกา. กรุงเทพมหานคร: ด่านสุทธาการพิมพ์, ๒๕๔๑. ผาสุข อินทราวุธ. พุทธปฏิมาฝ่ายมหายาน. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์อักษรสมัย, ๒๕๔๓. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์. ศิลปทักษิณก่อนพุทธศตวรรษท่ี ๑๙. กรุงเทพมหานคร: อมรินทร์การพิมพ์, ๒๕๒๓. ผู้ช่วยศาสตราจารย์กาญจนี ละอองศรีและคณะ. ถอดรหัสพระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช. พิมพ์ครั้งท่ี ๔. กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด เอ็ม แอนด์ เอ็ม เลเซอร์พร้ินต์, ๒๕๖๐. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง. พุทธศิลป์ลังกา. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๕๖. พลต�ำรวจตรี สรรเพชญ ธรรมาธิกูล. ตามพรลิงค์-ศรีวิชัย อาณาจักรท่ีถูกลืม. กรุงเทพมหานคร: บริษัทพิฆเณศ พร้ินท์ต้ิง เซ็นเตอร์ จ�ำกัด, ๒๕๓๘.
232 บทสรุปและข้อเสนอแนะ พระนิพพานโสตร ฉบับศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้ ส�ำนวนที่ ๑. กรุงเทพมหานคร: กรุงสยามการพิมพ์, ๒๕๒๘. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. พระราชพิธีสิบสองเดือน. พระนคร: คลังวิทยา, ๒๕๑๔. พระปริยัติธรรมธาดา. ต�ำนานพระพุทธสิหิงค์. พระนคร: โรงพิมพ์พิพรรฒธนากร, ๒๔๗๕. พระพุทธรูปและเทวรูป: ศิลปะทวารวดี ศิลปะทักษิณ และศิลปะร่วมแบบเขมร. กรุงเทพมหานคร: บริษัทพิมพ์ดีจ�ำกัด, ๒๕๕๕. พริ ยิ ะ ไกรฤกษ.์ ประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะและโบราณคดใี นประเทศไทย. กรงุ เทพมหานคร: อมรินทร์ พร้ินต้ิง กรุ๊พ จ�ำกัด, ๒๕๓๓. พิเชฐ แสงทอง. ต�ำนานและเร่ืองเล่าปรัมปราท้องถ่ินภาคใต้: อัตลักษณ์ วัฒนธรรม อ�ำนาจ และการต่อต้านในประวัติศาสตร์ความเป็นไทย. กรุงเทพมหานคร: วิชั่น พรีเพรส จ�ำกัด, ๒๕๕๘. พุทธทาสภิกขุ. แนวสังเขปของโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน. พิมพ์คร้ังท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์เม็ดทราย, ๒๕๕๔. แฟร์นังค์ มังเดซ ปินโต. การท่องเที่ยวผจญภัยของแฟร์นังด์ มังเดซ ปินโต ค.ศ.๑๕๓๗-๑๕๕๘. แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร. กรุงเทพมหานคร: กรมศิลปากร, ๒๕๒๖. รองศาสตราจารย์ ประทปี ชมุ พล. นครศรธี รรมราช: ตำ� นาน โบราณคดี ประวตั ศิ าสตร.์ ส�ำนักพิมพ์อดีต, ๒๕๓๖. -------------------. รากฐานวรรณกรรมภาคใต้. กรุงเทพมหานคร: โอ.เอ. พร้ินต้ิง เฮ้าส, ๒๕๕๘.
ตามพรลิงค์ 233 รองศาสตราจารย์ ดร. สืบพงศ์ ธรรมชาติและคณะ. เอกสารเก่าเกี่ยวกับเมือง นครศรีธรรมราช. นครศรีธรรมราช: โรงพิมพ์ ไทม์ พริ้นต้ิง, ๒๕๔๕. รองศาสตราจารย์ ประพนธ์ เรอื งณรงค.์ วรรณกรรมและภาษาถนิ่ ใต.้ กรงุ เทพมหานคร: บริษัทพิมพ์ดี, ๒๕๕๙. รามัญสมณะวงษ์. พระมหาวิชาธรรม (เรือง เปรียญ) แปลจากจาฤกสีมากัลยาณี. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์ศรีปัญญา, มปป. รายงานการสัมมนา ประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช คร้ังที่ ๑. พิมพ์ครั้งที่ ๒. นครศรีธรรมราช: โรงพมิ พ์ไทม์พรน้ิ ต้ิง, ๒๕๕๒. จัดพมิ พ์เป็นเอกสารรวบรวม ผลจากการสัมมนาทางวิชาการ เร่ือง ประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช คร้ัง ที่ ๑ ณ วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช วันท่ี ๒๕-๒๘ มกราคม ๒๕๒๑. รายงานการสัมมนา ประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช ครั้งท่ี ๔ เร่ือง ศิลปวัฒนธรรม นครศรธี รรมราชกบั การเปลย่ี นแปลงทางเศรษฐกจิ และสงั คมของนครศรธี รรมราช. พิมพ์คร้ังท่ี ๒. นครศรีธรรมราช: โรงพิมพ์ไทม์พริ้นต้ิง, ๒๕๕๔. จัดพิมพ์ เปน็ เอกสารรวบรวมผลจากการสมั มนาทางวชิ าการ ประวตั ศิ าสตรน์ ครศรธี รรมราช ครั้งท่ี ๔ ณ วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช วันท่ี ๒๒-๒๕ มกราคม ๒๕๓๑. รายงานสัมมนา ประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช ครั้งที่ ๕ เร่ือง ประวัติศาสตร์และ โบราณคดีนครศรีธรรมราชท่ีสัมพันธ์กับดินแดนอื่น. นครศรีธรรมราช: โรงพิมพ์ไทม์พริ้นติ้ง, ๒๕๕๒. จัดพิมพ์เป็นเอกสารรวบรวมผลการสัมมนา ทางวิชาการ ประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช ครั้งที่ ๔ ณ โรงแรมโฮเต็ล อ�ำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช วันท่ี ๑๔-๑๗ สิงหาคม ๒๕๒๙. เรงิ วฒุ ิ มติ รสรุ ยิ ะ. ตำ� นานและพงศาวดารในประวตั ศิ าสตรแ์ หลมทอง. กรงุ เทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัดภาพพิมพ์, ๒๕๕๒. เรื่องเมืองนครศรีธรรมราช. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางตลับ จันทราทิพย์ ณ ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร วันท่ี ๑๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๐.
234 บทสรุปและข้อเสนอแนะ ลังกากุมาร. ตามรอยพระอุบาลีไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่ศรีลังกา. พิมพ์คร้ังท่ี ๒. นครปฐม: ส�ำนักพิมพ์สาละ, ๒๕๕๕. วิเชียร ณ นคร และคณะ. นครศรีธรรมราช. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ อักษรสัมพันธ์, ๒๕๒๑. วินัย พงศ์ศรีเพียร. “จารึกพระเจ้ากรุงศรีวิชัยและจารึกศรีมหาราช” ใน ๑๐๐ เอกสาร ส�ำคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย ล�ำดับที่ ๑๐. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.), ๒๕๒๔. -------------------. “จารึกพระเจ้าจันทรภาณุ ศรีธรรมราชา: มรดกความทรงจ�ำแห่ง นครศรีธรรมราช” ใน ๑๐๐ เอกสารส�ำคัญ: สรรพสาระประวัติศาสตร์ไทย ล�ำดับ ท่ี ๑๐. กรงุ เทพมหานคร: สำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.), ๒๕๒๔. วิลเลียม จี. สกินเนอร์. สังคมจีนในประเทศไทย: ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์. แปลโดย พรรณี ฉัตรพลรักษ์และคนอ่ืนๆ. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิโครงการ ต�ำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์แห่งประเทศไทย, ๒๕๒๙. ศาสตราจารย์ มานิต วัลลิโภดม. ทักษิณรัฐ. กรุงเทพมหานคร: บริษัท รุ่งเรืองศิลป์ การพิมพ์ (๑๙๗๗) จ�ำกัด, ๒๕๓๐. ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้า สุภัทรดิศ ดิศกุล. ประวัติศาสตร์เอเชียอาคเนย์ถึง พ.ศ.๒๐๐๐. พิมพ์คร้ังท่ี ๔. กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัดสามลดา, ๒๕๔๙. -------------------. ศลิ ปอนิ เดยี เลม่ ๑. กรงุ เทพมหานคร: องคก์ ารคา้ ของครุ สุ ภา, ๒๕๑๐. -------------------. เทยี่ วเมอื งลงั กา. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพอ์ ักษรสมั พันธ,์ ๒๕๑๑. -------------------. ศาสนาพราหมณใ์ นอาณาจกั รขอม. พมิ พค์ รง้ั ที่ ๓. กรงุ เทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๔๗.
ตามพรลิงค์ 235 -------------------. ประวัติศาสตร์ศิลปะประเทศใกล้เคียง อินเดีย, ลังกา, ชวา, จาม, ขอม, พม่า, ลาว. พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๕๓. ศาสตราจารย์ ยอร์ซ เซเดส์ ช�ำระและแปล. ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคที่ ๒ จารึก ทวารวดี ศรีวิชัย ละโว้. พิมพ์ครั้งที่ ๒, มปป, ๒๕๐๔. ศาสตราจารย์ ดร. ศักด์ิชัย สายสิงห์. เจดีย์ในประเทศไทย รูปแบบ พัฒนาการ และพลังศรัทธา. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์เมืองโบราณ, ๒๕๖๐. -------------------. พระพุทธรูปส�ำคัญและพุทธศิลป์ในดินแดนไทย. พิมพ์ครั้ง ที่ ๒.กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์เมืองโบราณ, ๒๕๕๕. ศาตราจารย์ สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ และ รองศาสตราจารย์ ชวน เพชรแก้ว. วรรณกรรม ทักษิณ วรรณกรรมพินิจ. กรุงเทพมหานคร: อมรินทร์พร้ินต้ิงแอนด์ พับลิซซ่ิง จ�ำกัด (มหาชน), ๒๕๔๗. ศาสตราจารย์ ยอซ เซเดส์. ต�ำนานพระพิมพ์. พระนคร: โรงพิมพ์กฤษณปกรณ์, ๒๔๙๕. ศรีศักร วัลลิโภดม. ความหมายพระบรมธาตุในอารยธรรมสยามประเทศ พิมพ์ครั้ง ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์เมืองโบราณ, ๒๕๔๖. สมหมาย เปรมจิตต์และคณะ. พระเจดีย์ในลานนาไทย, งานวิเคราะห์และอนุรักษ์ ศิลปะและสถาปัตยกรรมลานนาไทย. (สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัย เชียงใหม่, ๒๕๒๔. สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ เล่มที่ ๑-๑๐. กรุงเทพมหานคร: สถาบันทักษิณคดี ศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา, ๒๕๒๙. สดุภณ จังกาจิตต์. จามเทวีวงศ์: วรรณกรรมที่ถูกลืม. กรุงเทพมหานคร: โอเอส พร้ินต้ิงเฮาส์, ม.ป.ป..
236 บทสรุปและข้อเสนอแนะ สมเกียรติ โล่เพชรรัตน์. คัมภีร์มหาวงศ์กับศิลปะทางศาสนาพุทธของศรีลังกา. กรุงเทพมหานคร: บริษัทอมรินทร์พร้ินติ้ง แอนด์พับลิชซ่ิงจ�ำกัด, ๒๕๕๒. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ. ต�ำนานคณะสงฆ์. พระนคร: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๑๔. -------------------. เท่ียวเมืองพม่า. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์คลังวิทยา, ๒๕๑๗. -------------------. ตำ� นานพระพทุ ธเจดยี .์ กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พเ์ จรญิ ธรรม, มปป. -------------------. เรอ่ื งประดษิ ฐานพระสงฆส์ ยามวงศใ์ นลงั กาทวปี . กรงุ เทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๔๖. สุจิตต์ วงศ์เทศ. ศรีวิชัยในสยาม. กรุงเทพมหานคร: บริษัทพิฆเณศ พริ้นต้ิง เซ็นเตอร์ จ�ำกัด, ๒๕๔๓. สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์. พุทธศาสนาแถบลุ่มทะเลสาบฝั่งตะวันออกสมัยกรุงศรีอยุธยา. สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา, มปป. สุภาพรรณ ณ บางช้าง. ประวัติวรรณคดีบาลีในอินเดียและลังกา. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๖. -------------------. วิวัฒนาการงานเขียนภาษาบาลีในประเทศไทย: จารึก ต�ำนาน พงศาวดาร สาสน์ ประกาศ. กรงุ เทพมหานคร: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๙. -------------------. ววิ ฒั นาการวรรณคดบี าลสี ายพระสตุ ตนั ตปฎิ กทแ่ี ตง่ ในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๓. สุรพล ด�ำริห์กุล. เจดีย์ช้างล้อมกับประวัติศาสตร์บ้านเมืองและพระพุทธศาสนา ลังกาวงศ์ในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร: บริษัท แอคทีฟ พริ้นท์ จ�ำกัด, ๒๕๔๕.
ตามพรลิงค์ 237 หนังสือมหาวงษ์พงษาวดารลังกาทวีป เล่ม ๑-๓. พระนคร: โรงพิมพ์ไทย, ร.ศ.๑๒๙. หมอ่ มเจา้ จนั ทรจ์ ริ ายุ รชั น.ี อาณาจกั รศรวี ชิ ยั ทไี่ ชยา. พมิ พค์ รงั้ ที่ ๒. กรงุ เทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด เจริญรัฐการพิมพ์, ๒๕๓๙. แอนโทนี รีด. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคการค้า ค.ศ.1450-1680. เล่ม ๑ ดินแดนใต้ลม. แปลโดย พงษ์ศรี เลขะวัฒนะ. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักงาน กองทุนสนับสนุนการวิจัย, ๒๕๔๘. อมรา ศรีสุชาติ. ศรีวิชัยในสุวรรณทวีป. กรุงเทพมหานคร: บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จ�ำกัด, ๒๕๕๗. อาณัติ อนันตภาค. ประวัติศาสตร์มาเลยเชีย บรูไนและสิงคโปร์ ความหลากหลาย เป็นหนึ่งเดียว. กรุงเทพมหานคร: ยิปซี กรุ๊ป จ�ำกัด, ๒๕๕๗. เอลซา ไซนุดิน. ประวัติศาสตร์อินโดนีเชีย. แปลโดย เพช็รี สุมิตร. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรงุ เทพมหานคร: มลู นธิ โิ ครงการตำ� ราสงั คมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศาสตร,์ ๒๕๕๒. อู่อารยธรรมแหลมทองคาบสมุทรไทย ๑๗-๔๖. พิมพ์คร้ังท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร: บริษัทพิมพ์ดี จ�ำกัด, ๒๕๔๘. ยอร์ช เซเดซ์. ชนชาติต่างๆ ในแหลมอินโดจีน. แปลโดย ปัญญา บริสุทธ์ิ. พิมพ์คร้ังท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๕. C.E. Godakumbara. วรรรณคดีภาษาสิงหล: ว่าด้วยวรรณกรรมร้อยแก้ว ร้อยกรอง และพระธรรมวินัย. แปลโดย ลังกากุมาร. นครปฐม: สาละพิมพการ, ๒๕๖๑. G.P. Malalasekera. ศรลี งั กา: วา่ ดว้ ยประวตั ศิ าสตร์ การณพ์ ระศาสนาและวรรณคด.ี แปลโดย ลังกากุมาร. นครปฐม: ส�ำนักพิมพ์สาละ, ๒๕๔๕. H.B.M. IIangasinha. ประวตั ศิ าสตรศ์ รลี งั กาสมยั อาณาจกั รโกฏเฏ: วา่ ดว้ ยอาณาจกั ร ศาสนจักร คติความเชื่อ และความสัมพันธ์กับดินแดนอุษาคเนย์. แปลโดย พระมหาพจน์ สุวโจ. นครปฐม: สาละพิมพการ, ๒๕๕๙.
238 บทสรุปและข้อเสนอแนะ Yatadolawatte Dhammavisuddhi. ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง: ว่าด้วยนิกายสงฆ์ การบริหารทรัพย์สิน การศึกษาสงฆ์ คติความเชื่อ และ การฟื้นฟูคณะสงฆ์. แปลโดย พระมหาพจน์ สุวโจ. นครปฐม: สาละพิมพการ, ๒๕๕๙. ๑.๒.๒ งานวิจัย กมลทิพย์ ธรรมกีระติ. “ความสมั พันธร์ ะหวา่ งเมอื งนครศรธี รรมราชกบั อยุธยา ตง้ั แต่ พุทธศตวรรษท่ี ๒๑ ถึงต้นพุทธศตวรรษท่ี ๒๒”. มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๐. คมกฤษณ์ ศิริวงษ์. “การศึกษาเชิงวิเคราะห์เร่ืองชินกาลมาลีปกรณ์”. จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๓. เฉลิม จันปฐมพงศ์, “พระนิพพานโสตร์: การศึกษาเชิงวิจารณ์”. มหาวิทยาลัย ศิลปากร, ๒๕๒๖. ชยั วฒุ ิ พยิ ะกลู . “การศกึ ษาเพลานางเลอื ดขาว ฉบบั วดั เขยี นบางแกว้ อำ� เภอเขาชยั สน จังหวัดพัทลุง”. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฬ, ๒๕๓๘. นาตยา คุปกุลกานท์. “วิเคราะห์ภาพสะท้อนทางสังคมและวัฒนธรรมที่ปรากฏ ในเอกสารและตำ� นานทเี่ กย่ี วกบั พระธาตเุ มอื งนครศรธี รรมราช”. มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ, ๒๕๔๙. ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์. “ตามพรลิงค์”. มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๒๕. ปรชี า นนุ่ สขุ . “รอ่ งรอยชมุ ชนโบราณของพราหมณใ์ นนครศรธี รรมราช”. มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร, ๒๕๒๗. -------------------. “ประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช: พัฒนาการของรัฐบนคาบสมุทร ไทยในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑-๑๙”. วทิ ยานพิ นธอ์ ษั รศาสตรดษุ ฎบี ณั ฑติ . บณั ฑติ วิทยาลัย: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๔.
ตามพรลิงค์ 239 พรพรหม ชลารัตน์. “อภิปรัชญาในความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์ใน นครศรีธรรมราช”. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๔. พระหล้า อมรเมโธ (มูลใจทราย). “การวิเคราะห์ต�ำนานสิหิงคนิทานในล้านนา”. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔. ม.ล. สุรสวัสด์ิ สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา. “การศึกษาพระพิมพ์ภาคใต้ของประเทศไทย”. มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๘. มณศฑ์ ชิ า โมสาลยี านนท.์ “รอ่ งรอยของคตพิ ทุ ธศาสนามหายานในจงั หวดั นครศรธี รรมราช ก่อนพุทธศตวรรษท่ี ๑๙”. มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๔. สวุ ทิ ย์ ทองศรเี กต.ุ “การศกึ ษาวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลของศาสนาพราหมณท์ มี่ ตี อ่ พฤตกิ รรม ทางศาสนาของพุทธศาสนิกชนในจังหวัดนครศรีธรรมราช”. มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๒๔. แสงเพ็ญ แสงพุ่ม. “พระนิพพานโสตร: การศึกษาเชิงวิเคราะห์”. มหาวิทยาลัย รามค�ำแหง, ๒๕๔๓. ๒. ภาษาอังกฤษ 2.1 Primary Source Culavamsa. part I-II. Translated by Wilhelm Geiger. New Delhi: Asian Educational Service, 1992. Elu-Attanagaluvamsaya. ed. R. Tennakoon. Colombo: 1954. Hatthanavanagallaviharavamsa. ed C.E. Godakumbura. London: P.T.S., 1956. Kuveni Sihala saha Dambadeni-asna. ed. Gnanavimala,
240 บทสรุปและข้อเสนอแนะ Padasadhana-sanyaya. ed. Ratmalane Dharmarama Colombo: 1932, Rajaratnakaraya. ed. P. N. Tisera. Colombo: 1929. Rasavahini. Translated by Kusuma Karunaratne. Colombo: Central Cultural Fund Pulbication, 2009. Rupasiddhi. ed K Pannasekhara. Colombo: 1964. Saddhammaratnakaraya. ed. Ven. K. Sugunasara. Colombo: 1955. Saddharmalankaraya. ed Ven. K. Jnanavimala. Colombo: 1954. Samantakutavannana. ed. K. jnanavimala. Colombo: 1959. The Dipavamsa. Translated by Hermann Oldenberg. New Delhi: Asian Educational Services, 2001. The Dipavamsa: A Historical Poem of the 4th Century A.D. Translated by Bimala Churn Law. Maharagama: Saman Press, 1959. The Glass Palace Ceronicle of the King of Burma. translated by Pe Maung Tin and G.H. Luce. Rangoon: Rangoon University Press, 1960. The Katikavatas: Laws of the Buddhist Order of Ceylon from the 12th Century to the 18th Century. Translate by Nandasena Ratnapala. Munchen: Mikrokopie GmbH, 1971. The Mahavamsa. Translated by Wilhelm Geiger. New Delhi: Asian Educational Services, 2000. The Mahavamsa: The Great Chronicle of Sri Lanka. Translated by Doughlas Bullis. Colombo: Vijitha Yapa Publishers, 2005.
ตามพรลิงค์ 241 The Rajavaliya: An Account of the Rulers of Sri Lanka. Translated A.V. Suraweera. Colombo: Vijitha Yapa Publications, 2014. Thupavamsa: The Legend of the Topes. Translated by Bimala Churn Law. New Delhi: Manshiram Manoharlal, 1986. 2.2 Secondary Sources A. Adikari. The Classical Education and the Community of Mahasangha in Sri Lanka. Colombo: Godage International Publishers, 2006. Amaradasa Liyanagamage. The Decline of Polonnaruwa and the Rise of Dambadeniya. Colombo: the Department of Cultural Affairs, 1967. Ananda K. Coomaraswamy. Mediaeval Sinhalese Art. New Delhi: Munshiram Manoharlal, 2003. Anuradha Seneviratna. Polonnaruva: Medieval Capital of Sri Lanka. Colombo: Department of Archaeological Survey, 1998. -------------------. Ancient Anuradhapura: The Monastic City. Colombo: Archaeological Survey Department, 1994. Anton Muttukumaru. The Military History of Ceylon. New Delhi: Yugantar Press, 1987. B.C. Law. On the Chronicles of Ceylon. New Delhi: Asian Educational Services, 1994. C.A. Chandraprema. Ruhunu: A Study of the History, Society & Ideology of Southern Sri Lanka. Nugegoda: Bharat Publishers, 1989.
242 บทสรุปและข้อเสนอแนะ Chandra Richard de Silva. Sri Lanka A History. New Delhi: Vikas Publishing House PVT LTD, 2001. Chandra Wikragamage. Heritage of Rajarata. Rajagiriya: Central Bank Printing Press, 2004. -------------------. Entrances to the Ancient Buildings in Sri Lanka. Colombo: Academy of Sri Lankan Culture, 1998. C. Minakshi. Administration and Social Life Under the Pallavas. Madras: University of Madras, 1938. D.C. Ahir. Glimpses of Sri Lankan Buddhism. Delhi: Sri Satguru Publications, 2000. -------------------. Buddhism in South India. Delhi: Sri Satguru Publications, 1992. Dharmaratna Herath. The Tooth Relic and The Crown. Colombo: Gunaratne Offset, 1994. D.T. Devendra. The Buddha Image and Ceylon. Wellampitiya: Chathura Printers, 2013. -------------------. Classical Sinhalese Sculpture. London: Portland Press, 1958. Epigraphia Zeylanica Being Lithic and other Inscriptions of Ceylon. Vol.II. edited and translated by Don Martino De Zilva Wickremasinghe. New Delhi: Asian Educational Services, 1994. Epigraphia Zeylanica being Lithic and other Inscriptions of Ceylon. Vol. IV. edited and translated by H.W. Codrington and S. Paranavitana. New Delhi: Asian Education Services, 1994.
ตามพรลิงค์ 243 E.W. Adikaram. Early History of Buddhism in Ceylon. Colombo: Buddhist Cultural Centre, 2009. G.C. Mendis. The Early History of Ceylon. New Delhi: Asian Educational Service, 2003. G. Coedes. The Indianized States of Southeast Asia. Edited by Walter F. Vella and translated by Susan Brown Cowing. Honolulu: East-West Center Press, 1968. -------------------. The Making of South East Asia. Berkeley: University of California Press, 1966. George W. Spencer. The Politics of Expansion the Chola Conquest of Sri Lanka and Sri Vijaya. Madras: New Era Publications, 1983. Godakumbura. Sinhalese Literature. Battaramulla: Department of Cultural Affair, 1996. G.P. Malalasekera. The Pali Literature of Ceylon. Kandy: Buddhist Publication Society, 1994. Gamini Wijesuriya. Buddhist Meditation Monasteries of Ancient Sri Lanka. Colombo: Department of Archaeology, 1998. Gatare Dhammapala. A Comparative Study of Sinhala Literature. Colombo: Godage International Publishers, 2001. Gunaratne Panabokke. History of the Buddhist Sangha in India and Sri Lanka. Colombo: Karunaratne & Sons Ltd., 1993. H.B. IIangasinha. Buddhism in Medieval Sri Lanka. Delhi: Sri Satguru Publication, 1992.
244 บทสรุปและข้อเสนอแนะ H.G. Quaritch Walse. The Malay Peninsula in Hindu Times. London: Bernard Quaritch, LTD, 1976. H.W. Codrington. A Short History of Ceylon. New Delhi: Asian Educational Services, 1994. Harischandra Wijayatunga. Legal Philosophy in Medieval Sinhale. Colombo: Godage International Publishers, 2008. Hermann Kulke, editor. Nagapattinam to Suvarnadwipa. Singapore: Institute of Southeast Asian Studies, 2009. History of Ceylon. Vol. I. part II. Colombo: Ceylon University Press, 1960. History of Ceylon. Vol. II. Dehiwala: Sridevi Printers (Pvt.) Limited, 1995. James Legge. A Record of Buddhist Kingdoms. New Delhi: Munshiram Manoharlal, 1998. J. Gerson Da Cunha. Memoir on the History of The Tooth-Relic of Ceylon. New Delhi: Asian Educational Services, 1996. J. Kennedy. A History of Malaya. Hong Kong: Continental Printing Co LTD, 1970. J. Ph. Vogel. Buddhist Art in India, Ceylon & Java. translated by A.J. Barnouw. New Delhi: Oriental Books Reprint Corporation, 1977. K.A. Nilakanta Sastri. ‘Ceylon and Sri Vijaya’. JCBRAS, NS, Vol. VIII, pt. I, 1962.
ตามพรลิงค์ 245 -------------------. The Pandyan Kingdom. London: Luzac & Co., 1929. -------------------. South Indian Influence in the Far East. Bombay: Hind Kitabs LTD., 1949. -------------------. History of Sri Vijaya. Madras, 1949. -------------------. A History of South India: From Prehistoric Times to the Fall of Vijayanagar. New Delhi: Oxford University Press, 1975. Kanai Lal Hazra. Buddhism in Sri Lanka. Delhi: Buddhist World Press, 2009. K.M. de Silva. A Hisotry of Sri Lanka. Colombo: Vijitha Yapa Publications, 2005. K.S. Subramanian. Buddhist Remains in South India Early Andhra History. New Delhi: Cosmo Publications, 1981. M.B. Ariyapala. Society in Mediaeval Ceylon. Colombo: Department of Cultural Affairs, 1968. M.N. Venkata Ramanappa. Outlines of South Indian History. Calcutta: Vikas Publishing House PVT LTD, 1979. Murugar Gunasingam. Tamils in Sri Lanka: A Comprehensive History (C.300 B.C.- C.2000 A.D. Sydney: MV Publications, 2008. Nandadeva Wijesekera. Early Sinhalese Sculpture. Colombo: M.D. Gunasena & Co. LTD. 1962. -------------------. Early Sinhalese Painting. Maharagama: Saman Press, 1959.
246 บทสรุปและข้อเสนอแนะ O.W. Wolters. The Fall of Srivijaya in Malay History. Singapore: Oxford University Press, 1970. Paul Michel Munoz. Early Kingdoms: Indonesian Archipelago & the Malay Peninsula. Singapore: Editions Didier Millet, 2006. Paul Wheatley. The Golden Khersoness. Kuala Lumpur: University of Malaysia Press, 1966. Pundit Dr. Nandadeva Wijesekera, editor. Archaeological Department Centenary (1890-1990) Commemorative Series Volume Three: Architecture. Padukka: State Printing Corporation, 1990. -------------------. Archaeological Department Centenary (1890-1990) Commemorative Series Volume Four: Sculpture. Padukka: State Printing Corporation, 1990. R.A.L.H. Gunawardana. Robe and Plough: Monasticism and Economic Interest in Early Medieval Sri Lank. Arizona: The University of Arizona Press, 1979. R.A.L.H. Gunawardana, editor. Reflections on a Heritage. Colombo: Central Cultural Fund, 2000. Ragama Chandawimala. Heterodox Buddhism: The School of Abhayagiri. Colombo: 2016. R.C. Majumdar. Ancient Indian Colonization in South-East Asia. Baroda: Ramanlal J. Patel, 1963. -------------------. Suvarnadvipa: Ancient Indian Colonies in the Far East. New Delhi: Gian Publishing House, 1936.
ตามพรลิงค์ 247 -------------------. Outline of the History of Kalinga. New Delhi: Asian Educational Services, 1996. Risiman Amarasinghe. An Analytical Research of Mulsikha. Colombo: Samayawardhana Book Shop, 2014. Roland Silva. Environment, Town, Village and Monastic Planning. Colombo: The Department of Archaeology, 2006. -------------------. Architectural History. Colombo: Department of Archaeology, 2004. S.B. Hetthhiaratchi. Social and Cultural History of Ancient Sri Lanka. Delhi: Sri Satguru Publications, 1988. S. Pathmanathan. The Kingdom of Jaffna. Colombo: Arul M. Rajendran. Sarojini Chaturvedi. A Short History of South India. New Delhi: Samskriti, 2005. Senake Bandaranayake. Sinhalese Monastic Architecture: the Viharas of Anuradhapura. Hyderabad: Graphica Printers, 2009. Senarat Paranavitana. Ceylon and Malyasia. Colombo: Lake House Investment Limited Publishers, 1966. -------------------. The Stupa in Ceylon. Colombo: The Ceylon Government Press, 1988. Somapala Jayawardhana. Handbook of Pali Literature. Colombo: Karunaratne & Sons Ltd, 1994.
248 บทสรุปและข้อเสนอแนะ Stanley J. O’Connor, Jr. Hindu Gods of Penninsular Siam. Ascona: Artibus Asiae Publishers, 1971. Stuart Munro-Hay. Nakhon Sri Thammarat the Archeology, History and Legend of a Southern Thai Town. Bangkok: White Lotus, 2001. Takakusu, J. A Record of the Buddhist Religion as practiced in India and Malay Archipelago (671-695) by I-Tsing. Oxford: Clarendon Press, 1966. Than Tun. Essays on the History and Buddhism of Burma. Scotland: Kiscadale Pulbications, 1988. The Ceylon Historical Journal. Vol. IV. Dehiwala: Tisara Press, 2006. Tilak Hettiarachchy. History of Kingship in Ceylon. Colombo: Lake House Investments Limited, 1972. V. Nadarajan. Bujang Valley: The Wonder that was Ancient Kedah. Selangor Darul Ehsan: Kuan Press Sdn Bhd, 2012. W.M. Sirisena, Sri Lanka and South-East Asia. Colombo: S. Godage & Brothers (Pvt) Ltd, 2016. W.M.K. Wijetunga. Sri Lanka and the Cholas. Ratmalana: Vishva Lekha Publishers, 2003. Walpola Rahula. History of Buddhism in Ceylon. Colombo: The Buddhist Cultural Centre, 1993. Wijaya Dissanayake. New Vistas on the Early History of Sri Lanka. Colombo: Vijitha Yapa Publication, 2012. Yoneo Ishii. The Junk Trade from Southeast Asia: Translation from the Tosen Fusetsugaki 1674-1753. Singapore: Institute of Southeast Asai Studies, 1998.
ตามพรลิงค์ 249 2.3 Researches Karthigesu Indrapala. Dravidian Settlements in Ceylon and the Beginnings of the Kingdom of Jaffna. The thesis submitted for the Degree of Doctor of Philosophy, University of London, 1965. Naimbala Dhammadassi. The Development of Buddhist Monastic Education in Sri Lanka with Special Reference to the Modern Period. The thesis submitted for the Degree of Doctor of Philosophy, Lancaster University, 1996. Sangapala Arachchige Hemalatha Goonatilake. The Impact of Some Mahayana concepts on Sinhalese Buddhism. The thesis submitted for the Degree of Doctor of Philosophy, University of London, 1974. Srivasubraminam pathmanathan. The Kingdom of Jaffna (circa A.D. 1250-1450). The thesis submitted for the Degree of Doctor of Philosophy, University of London, 1969. W.M. Sirisena. Ceylon and South-East Asia: Political, Religious and Cultural Relations from A.D. c.1000 to c. 1500. The thesis submitted for the Degree of Doctor of Philosophy, the Australian National University, 1969. Yatadolawatte Dhammavisuddhi. The Buddhist Sangha in Ceylon (circa 1200-1400 A.D.). The thesis submitted for the Degree of Doctor of Philosophy, University of London, 1970.
ภาคผนวก
252 ภาคผนวก ก ความสมั พนั ธท์ างการเมอื งและศาสนาระหวา่ งศรลี งั กากบั ไทยในพทุ ธศตวรรษท่ี 18* (Political and Religious Relation between Sri Lanka and Thailand in 13th Century) บทคัดย่อ แม้ความสัมพันธ์ระหว่างศรีลังกากับประเทศไทยจะเกิดข้ึนเน่ินนานแล้วก็จริง แต่หลักฐานฝ่ายศรีลังกากลับให้ความส�ำคัญโดยเริ่มต้นจากพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ ซึ่งสมัยนั้นอาณาจักรตามพรลิงค์ของไทยก�ำลังรุ่งเรืองเกรียงไกรเป็นท่ีรู้จักของนานา อารยวิเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรสมัยน้ีโดดเด่นเฉพาะด้านการเมือง และการศาสนา ด้านการเมืองน้ันปรากฏเห็นในลักษณะคู่สงคราม ส่วนด้านการศาสนา ปรากฏเห็นในลักษณะเก้ือกูลกันและกัน กล่าวเฉพาะด้านการเมืองนั้น อาณาจักร ตามพรลิงค์ของไทยมีกองทัพเรืออันแข็งแกร่งเกรียงไกร ซ่ึงสามารถยกทัพไปบุกรุก เกาะลังกา แม้หลักฐานฝ่ายศรีลังกาจะยืนยันว่าฝ่ายไทยต้องการยึดครองพระ เขี้ยวแก้วก็จริง แต่หากมองอีกมุมหน่ึงน่าจะเป็นเพราะต้องการควบคุมเส้นทางการค้า ทางทะเล เพราะสมัยน้ันจักรวรรดิโจฬะอ่อนแรงโรยลาลง ส่วนด้านศาสนาน้ัน ทั้งสอง อาณาจักรมีลักษณะเก้ือกูลสงเคราะห์กัน สมัยก่อนลัทธิลังกาวงศ์รุ่งเรืองแพร่หลาย เปน็ ทร่ี จู้ กั ของดนิ แดนอษุ าคเนย์ แตย่ า่ งเขา้ สมยั อาณาจกั รดมั พเดณยิ ะ การพระศาสนา บนเกาะลังกาทรุดโทรมเสื่อมถอยเพราะภัยสงครามต่อเนื่องยาวนาน พระสงฆ์ แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์จึงเดินทางไปช่วยฟื้นฟูการพระศาสนา การสงเคราะห์กัน ด้านศาสนานี้เองมีส่วนช่วยลดความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสองอาณาจักรได้ เป็นอย่างดี ค�ำส�ำคัญ : ความสัมพันธ์, ศรีลังกา, ไทย * ตีพิมพ์ในวารสารสารอาศรมวัฒนธรรมวลัยลักษณ์ ปีท่ี ๑๙ ฉบับท่ี ๒ (๒๕๖๒) มิถุนายน- ธันวาคม/ Walailak Abode of Culture Journal Vol. 19 No.2 (2019): July-December.
บทความวิชาการ ๑ 253 Abstract Although relationship between Sri Lanka and Thailand appears for long time, but evidence of Sri Lanka emphasizes since 13th century. During this time, Tambralinga kingdom of Thailand progresses and is well known of foreign countries. Relationship of both countries in this time is important about politics and religious issues. For political part, it appears as belligerent. For religious part, it appears as mutual support. During this time, Tambralinga kingdom of Thailand contains of powerful navy and invades Sri Lanka. The evidence of Sri Lanka ensures that aim of Tambralinga kingdom is to hold the Buddha Relic. Another view shows that Tambralinga kingdom wants to control trade route of sea because of decay and decline of Chola Empire during this time. Religious speaking, both country assists mutual. Previously, the Lankavamsa spreads and is well known for the countries of the south-east Asia. For the time of Dambadeniya kingdom, Buddhism in Sri Lanka reaches degeneration because of continual war. Buddhist monks of Tambralinga kingdom are invited for revival of Buddhism in Sri Lanka. Mutual religious support reduces political tension of both countries. Keywords : Relation, Sri Lanka, Thailand. บทน�ำ ประเทศไทยกับประเทศศรีลังกามีความสัมพันธ์ทางการเมืองและการศาสนา มาช้านาน นับตั้งแต่สมัยอาณาจักรทวารวดีเป็นต้นมา เพราะมีหลักฐานทางโบราณคดี อ้างอิงมากมาย (Liuchaichan, 2012, pp.145-274) แต่ความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็น ลักษณะการถ่ายทอดทางศาสนาและความเช่ือมากกว่าการเมือง เน่ืองจากสมัยนั้น
254 ภาคผนวก ก อิทธิพลแนวคิดทางการเมืองของศาสนาพราหมณ์หรือลัทธิฮินดูมีผลต่อสังคมไทย ค่อนข้างเด่นชัด แม้สมัยน้ันศาสนาและความเชื่อแบบศรีลังกาจะไม่สามารถครอบคลุม โครงสร้างทางสังคมไทยทั้งหมด แต่ถือได้ว่าเป็นการวางรากฐานทางคติความเชื่อ ส่งต่ออาณาจักรรุ่นหลังสืบมา จนเป็นเหตุให้อาณาจักรสมัยต่อมาได้ยึดเอาพระ พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เป็นปัจจัยหนุนเสริมในการสร้างบ้านเมืองตามอุดมคติทาง พระพทุ ธศาสนา ซง่ึ ประเทศศรลี งั กาไดด้ ำ� เนนิ ทางเปน็ แบบอยา่ งและประสบความสำ� เรจ็ เป็นรูปธรรม บทความน้ีต้องการช้ีให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศ ศรีลังกา โดยเน้นเร่ืองการเมืองและการศาสนาเป็นหลัก และย่นระยะเวลาให้แคบลง ตรงเฉพาะสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะของศรีลังกากับอาณาจักรตามพรลิงค์ของ ประเทศไทย ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เหตุเพราะระยะเวลาดังกล่าวมีหลักฐาน กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรค่อนข้างชัดเจน ทั้งในส่วนของประเทศ ศรีลังกาและประเทศไทย การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ย่อมท�ำให้ เห็นบริบททางประวัติศาสตร์ของศรีลังกากับประเทศไทยอย่างชัดเจน และสามารถ ตอบค�ำถามได้ว่าเหตุใดกษัตริย์แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์ของไทยจึงยกทัพไปโจมตี เกาะลังกา และสามารถเข้าใจว่าพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เข้ามาเผยแผ่และ ทรงอิทธิพลต่ออาณาจักรตามพรลิงค์ได้อย่างไร อาณาจักรตามพรลิงค์ อาณาจักรตามพรลิงค์พัฒนามาจากเมืองท่าค้าขาย (entrepot) เป็นเส้นทาง การค้าของพ่อค้าวาณิชชาวต่างชาติ ถือว่าเป็นแหล่งเศรษฐกิจส�ำคัญแห่งหนึ่งบน คาบสมุทรมลายู ร่องรอยของอาณาจักรเมืองท่าแห่งนี้พบเห็นคร้ังแรกในคัมภีร์ มหานิทเทส ซึ่งแต่งราว พ.ศ.600-700 ได้พรรณนาถึงเมืองตามลิงครัฐในฐานะเป็น หน่ึงในท่าเรือส�ำคัญทางภาคใต้ของประเทศไทย (KN 29/55/129) ยอร์ซ เซเดส์ นักปราชญ์ชาวฝร่ังเศสได้แสดงความเห็นว่าชื่อเมืองท่าแห่งนี้ตรงกับบันทึกหรือ จดหมายเหตุจีนว่า “ต้ัง-มา-หล่ิง” และสอดคล้องกับศิลาจารึกของประเทศไทยว่า “ตามพรลิงค์” หมายถึงนครศรีธรรมราช (Cedes, 1961, pp. 27-30) ส่วน
บทความวิชาการ ๑ 255 ซิลแวง เลวี นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสอีกท่านหน่ึงได้แสดงความเห็นว่า “ตามลิงคะ” ในคัมภีร์มหานิทเทสเป็นค�ำเดียวกันกับ “ตามพรลิงค์” (Wheatley, 1966, p. 183) และค�ำว่า “ตามพรลิงค์” พบเห็นในจารึกวัดหัวเวียงเมืองไชยาหลักท่ี 24 (ก) ระบุว่า จารึกขึ้นปีพุทธศักราช 1773 โดยเน้ือความกล่าวถึงกษัตริย์พระนามว่าจันทรภาณุ ศรีธรรมราชแห่งปทุมวงศ์ผู้ครอบครองเมืองตามพรลิงค์ (Inscription in Thailand vol.v, 1986, pp. 144-146) ผู้เขียนสันนิษฐานว่า “ตะมะลิง-กะมะลิง-ตามลิงคะ” น่าจะเป็นพัฒนาการมาจากช่ือดั้งเดิมของคนพ้ืนถิ่น ครั้นศาสนาพราหมณ์เข้ามามี บทบาทต่ออาณาจักรแห่งนี้ จึงเพ้ียนเป็นตามพรลิงค์หรือลึงค์ทองแดง หมายความว่า แผน่ ดนิ ของผูท้ ่นี ับถือศวิ ลงึ ค์ อาจเปน็ ไปได้วา่ สมัยน้นั ลทั ธิไศวนกิ ายน่าจะทรงอิทธิพล ต่อสังคมของอาณาจักรตามพรลิงค์เป็นท่ีเรียบร้อยแล้ว หลักฐานทางศรีลังกาเรียกอาณาจักรตามพรลิงค์ว่า “ตัมพรัฏฐะ” พบเห็น ในศิลาจารึกของพระนางสุนทรมหาเทวีผู้เป็นมเหสีของพระเจ้าวิกรมพาหุ (พ.ศ.1654- 1675) แห่งอาณาจักรโปโฬนนารุวะ ระบุว่าพระอานนท์เถระได้เดินทางไปเผยแผ่ พระศาสนาที่ตัมพรัฏฐะ (Epigraphia Zeylanica, vol.iv, 1994, pp. 67-72) คัมภีร์มหาวงศ์ระบุว่าอาณาจักรตัมพรัฏฐะปกครองโดยพระเจ้าจันทรภาณุ (Phramahanamathera, 2010, pp. 256-262) ส่วนคัมภีร์เอฬุอัตตนคลุวังสะยะระบุ ว่า พระเจ้าจันทรภาณุเป็นผู้ปกครองเมืองตมลิงคมุ (Elu-Attanagaluvamsaya, 1954, p. 71) เสนารัตปรณวิตานะวิเคราะห์ว่า “ตมลิงคมุ” เป็นภาษาสิงหลมีรากศัพท์ มาจาก “ตะมะลิ” บวกกับ “คะมุ” รวมกันเป็น “ตมลงิ คมุ” สว่ นศพั ท์ว่า “ตมั พลงิ คะ” เป็นภาษาบาลี เม่ือเปล่ียนเป็นภาษาสันสกฤตใช้ค�ำว่า “ตามพรลิงคะ” (Paranavitana, 1966, p. 99) ส่วนคุณวรรธนะได้แสดงความเห็นว่า “ตัมพรัฏฐะ” หมายถึงหัวเมือง ทางอินเดียตอนใต้ (Gunawardana, 1979, p. 267) สอดคล้องกับนิลกันตะสาสตรี ผู้เห็นว่าเมืองตัมพรัฏฐะอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโจฬะ (Sastri, 1962, p. 162) ผ้เู ขยี นเชอื่ ว่าตัมพรัฏฐะในคมั ภรี ์ศรีลงั กายคุ ต้นนา่ จะบง่ ถงึ หวั เมืองทางอนิ เดยี ตอนใต้ ซึ่งเป็นท่ีพ�ำนักของพระอรรถกถาจารย์หลายรูป ส่วนยุคหลังน่าจะหมายถึง อาณาจกั รตามพรลงิ คท์ างภาคใตข้ องประเทศไทย เพราะปรากฏเหน็ ในคมั ภรี น์ อ้ ยใหญ่ พร้อมจารึกอีกหลายแห่ง
256 ภาคผนวก ก หลักฐานฝ่ายไทยเรียกเมืองตามพรลิงค์ว่า “สิริธรรมนคร” และเรียกกษัตริย์ ว่า “ศรีธรรมาโศก/ศรีธรรมราช” ปรากฏเห็นคร้ังแรกในศิลาจารึกดงแม่นางเมือง หลักที่ 35 ซึ่งจารึกข้ึนเมื่อปีพุทธศักราช 1710 กล่าวถึงพญาศรีธรรมาโศกผู้เป็น พระราชโอรสปรารถนาจะถวายท่ีดินบูชาแก่พระบิดาพระนามว่าพญาศรีธรรมาโศก ผู้สวรรคตแล้ว (Inscription in Thailand vol.i, 1986, pp. 109-114) ถัดมาเป็น ศิลาจารึกหลักท่ี 24 ซึ่งสลักขึ้นเม่ือพุทธศักราช 1773 ในรัชสมัยของพระเจ้าจันทร ภาณุศรีธรรมราชผู้เป็นเจ้าเมืองตามพรลิงค์ (Inscription in Thailand vol.v, 1986, pp. 144-146) อีกแห่งหนึ่งปรากฏเห็นในศิลาจารึกพ่อขุนรามค�ำแหงหลักที่ 1 กล่าว ถึงพ่อขุนรามค�ำแหงได้ถวายทานแด่พระมหาเถระผู้เดินทางมาจากเมืองศรีธรรมราช (The Inscription Annals part 1, 1978, pp. 21-22) ด้านคัมภีร์จามเทวีวงศ์ได้ ระบุถึงพระเจ้าอัตราสตกราชแห่งเมืองหริภุญไชยก�ำลังท�ำสงครามกับพระเจ้า อุจฉิฏฐจักวรัติราชแห่งเมืองละโว้ พระเจ้าสุชิตราชแห่งสิริธรรมนครเห็นเป็นโอกาส จึงยกทัพมายึดเอาเมืองละโว้ (Phrabodhirangsithera, 2011, p.234) ส่วนหนังสือ นิทานพระพุทธสิหิงค์กล่าวถึงพระร่วงแห่งสุโขทัยผู้ทราบข่าวว่าพระพุทธสิหิงค์มา ประดิษฐานอยู่ท่ีเมืองสิริธรรมนครได้เสด็จไปพร้อมเสนาอ�ำมาตย์ (Phrabodhirang- sithera, 1963, p. 41) และหลักฐานอีกแห่งหน่ึงปรากฏเห็นในหนังสือชินกาลมาลี ปกรณ์ เน้ือหามีลักษณะคล้ายกับนิทานพระพุทธสิหิงค์ แต่อ้างถึงพระร่วงผู้เดินทาง ไปเมืองสิริธรรมนครเพ่ือขอพระพุทธสิหิงค์จากพระเจ้าศรีธรรมราชเช่นกัน (Phraratanapanyathera, 2007, p. 111) สันนิษฐานว่า “ศรีธรรมาโศก/ ศรีธรรมราช” น่าจะบ่งถึงกษัตริย์ชาวพุทธผู้ประพฤติวัตรตามแบบอย่างพระเจ้าอโศก มหาราชแห่งชมพูทวีป และพระนามดังกล่าวน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากวรรณกรรม หากมองด้านภูมิศาสตร์ตามพรลิงค์นั้นต้ังอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสม เพราะมี ท่ีราบกินบริเวณกว้างขนานกับชายฝั่งทะเลอ่าวไทยประมาณ 100 กิโลเมตร ด้านหลัง เป็นป่าและภูเขาอันอุดมสมบูรณ์ มีล�ำคลองและแม่น้�ำไหลผ่านหลายสิบสาย และ เหมาะแก่การท�ำเกษตรกรรม แม่น�้ำเหล่าน้ีเป็นเส้นทางสัญจรหรือขนถ่ายสินค้ามาแต่ อดีต ไม่ว่าจะเป็นการค้าขายระหว่างชุมชนภายในคาบสมุทรไทยด้วยกันเอง และการ ค้าขายกับชาวต่างชาติ ลักษณะพื้นที่ราบบริเวณกว้างนั้นเกิดจากคล่ืนหรือกระแสน�้ำ
บทความวิชาการ ๑ 257 ทะเลพัดพาเอาทรายขน้ึ ไปกองสะสมจนเกิดเปน็ สนั ทรายยาวตลอดแนวฝงั่ เน้ือดนิ เป็น ทรายจัดดินลึกมีการระบายน้�ำค่อนข้างมาก (Thammakirati, 2007, pp. 8-9) สันนิษฐานว่าบริเวณเหล่านี้เองเป็นขอบเขตเมืองตามพรลิงค์สมัยโบราณ นอกจากนั้น ยังมีเส้นทางคมนาคมติดต่อกับฝั่งทะเลตะวันตกผ่านช่องเขาไปยังจังหวัดตรังและ จังหวัดกระบ่ี (Wallibhodome, 2005, p. 35) ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ดังกล่าว บริเวณนี้จึงเป็นท�ำเลเหมาะสมส�ำหรับการสร้างชุมชนนับแต่อดีตมา เพราะสามารถ ท�ำการเพาะปลูกหล่อเล้ียงผู้คนได้จ�ำนวนมาก อีกท้ังเหมาะสมต่อการพักและขน ถ่ายสินค้าไปยังเมืองท่าเหล่าอ่ืน ความส�ำคัญอีกอย่างหน่ึงคือเมืองตามพรลิงค์เป็นแหล่งจอดเรือพักสินค้าหรือ เป็นสถานีบนเส้นทางการเดินทาง และเป็นแหล่งท�ำการค้าขายติดต่อกับต่างประเทศ (Wallibhodome, 2005, p. 153) เพราะจุดเด่นของเมืองตามพรลิงค์คืออุดมสมบูรณ์ ด้วยสินค้าพ้ืนเมืองมากมาย ได้แก่ เครื่องเทศ ไม้หอม หนังสัตว์ ของป่า และ พริกไทย โดยเฉพาะพริกไทยน้ันเป็นท่ียอมรับของพ่อค้าชาวต่างชาติว่ามีคุณภาพดี ปรากฏเห็นในบันทึกของพ่อค้าชาวต่างประเทศกล่าวคือฮอลันดาและอังกฤษ (Fine Arts Apartment, 1969, pp. 138, 162) ถัดมาเป็นข้ีผ้ึง ไม้กฤษณา ไม้มะเกลือ ก�ำมะถัน งาช้าง และนอระมาด (Wheatley, 1966, pp. 66-67) นอกจาก น้ัน ยังมีดีบุกคุณภาพดี ไข่มุก ก�ำมะถัน กระดองตะพาบ ขนหัวนกกระเรียน ไม้แก่น จันทน์ด�ำ ข้ีผึ้ง และไม้หอม (Wheatley, 1966, p. 77) เฉพาะดีบุกนั้นเป็นสินค้า ส�ำคัญของนครศรีธรรมราช เพราะเป็นท่ีต้องการของพ่อค้าชาวอินเดียและยุโรป (Reed, 2005, p. 120) ส่วนก�ำยาน หวาย และทองค�ำก็มีกล่าวถึงเช่นกัน นอกจาก นั้น ยังมีไม้ฝาง น้�ำตาล ต้นกระเบา หนังกวาง หนังวัว และเขาวัว (Ishii, 1998, pp. 132, 137) รายช่ือสินค้าดังกล่าวข้างต้นล้วนเป็นของป่าท้ังส้ิน สินค้าป่าเหล่าน้ีน่า จะเป็นของแปลกหรือของหายากส�ำหรับพ่อค้าชาวต่างชาติ หรืออาจจะเป็นสินค้าส�ำคัญ สามารถสร้างก�ำไรได้เป็นอย่างดี ส่วนพริกไทยและดีบุกน้ันเป็นสินค้าข้ึนชื่อของ นครศรีธรรมราชนับแต่อดีตมา ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13 อาณาจักรศรีวิชัยซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมือง ปาเล็มบัง ได้ขยายอ�ำนาจข้ึนมาครอบครองหัวเมืองบริเวณคาบสมุทรไทย
258 ภาคผนวก ก (Noonsuk,1982, pp. 46-48) สอดคล้องกับข้อความในจารึกวัดเสมาเมือง ซึ่งอ้างถึง พระราชาแห่งอาณาจักรศรีวิชัยพระนามว่าธรรมเสตุ ได้สร้างศาสนสถานอุทิศถวายแด่ พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ปัทมปาณิ และพระโพธิสัตว์วัชรปาณิ ตรงกับปีพุทธศักราช 1275 (Inscription in Thailand vol.v, 1986, pp. 187-203) เหตุที่อาณาจักร ศรวี ชิ ยั สามารถแผอ่ ำ� นาจทางการเมอื งและขยายเขตการคา้ เขา้ มาควบคมุ เมอื งทา่ บรเิ วณ คาบสมทุ รไทยนน้ั เพราะมกี องทพั เรอื อนั ยง่ิ ใหญเ่ กรยี งไกร นอกจากนน้ั ยงั เขา้ ควบคมุ เมืองท่าส�ำคัญบริเวณช่องแคบมะละกาและช่องแคบซุนดาด้วย เฉพาะหัวเมืองบริเวณ คาบสมุทรไทยน้ันเมืองตามพรลิงค์เป็นเมืองอุปราชหรือลูกหลวง (Chumpengpan, 1980, p. 130) ต่อมาประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 อาณาจักรศรีวิชัยเร่ิมเส่ือมอ�ำนาจ และย้ายศูนยก์ ลางการค้าไปอยู่ทีเ่ มอื งกฏารมั บนคาบสมทุ รมลายู (รฐั เคดาห)์ ไดบ้ ังคบั เรือผ่านช่องแคบมะละกาให้เสียค่าผ่านทางอย่างหนัก จนเกิดความขัดแย้งกับอาณา จักรโจฬะแห่งอินเดียตอนใต้ พระเจ้าราเชนทรโจฬะจึงยกทัพเข้าโจมตีเมืองท่าน้อย ใหญ่ท่ีข้ึนกับอาณาจักรศรีวิชัย เป็นเหตุให้อาณาจักรศรีวิชัยอ่อนแอและเส่ือมลง อย่างรวดเร็ว (Pongsripian, 2011, p. 13) เอกสารประวัติศาสตร์ของจีนสมัยราชวงศ์ ซ้องระบุว่า “ต่านหม่าลิง” ได้ส่งคณะทูตไปถวายบรรณาการท่ีราชส�ำนักจีนราชวงศ์ ซ้องใน พ.ศ.1603 (Kerdsiri, 2017, p. 12) หลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าอ�ำนาจ ของอาณาจักรศรีวิชัยบริเวณคาบสมุทรไทยเสื่อมลงตั้งแต่ช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 17 การล่มสลายดังกล่าวท�ำให้ท่าเมืองน้อยใหญ่บริเวณคาบสมุทรไทยแยกตัวปกครอง เป็นอิสระ บางเมืองสามารถสร้างอาณาจักรได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยการสืบทอดมรดก จากอาณาจักรศรีวิชัย ดังเช่น เมืองตามพรลิงค์ ความเป็นเอกราชของอาณาจักรตามพรลิงค์ปรากฏเห็นในจารึกวัดหัวเวียง เมืองไชยา 1 ซ่ึงระบุพุทธศักราช 1773 ความว่า “สวัสดี พระองค์ผู้เป็นใหญ่แห่งตาม พรลิงค์ ทรงเป็นผู้ค�้ำชูกมลกุล ทรงได้รับการขนานพระนามว่าภีมเสนผู้มีพลังแห่ง พระพาหา (แขน) อันแข็งแรง ทรงปรากฏข้ึนด้วยอานุภาพแห่งพระอาทิตย์ (สูรยะ) และพระจันทร์ (จันทระ) จึงได้รับพระสมัญญาว่าศรีธรรมราชา จันทรภาณุ ขออ�ำนวย พรอันเป็นอมตะด้วยความภักดี เสมือนการสลักไว้บนแผ่นหิน เม่ือปีกลียุคล่วงแล้ว ได้ 4332” (Srisuchat, 2014, p. 265) จารึกหลักนี้ช้ีให้เห็นว่าพระเจ้าจันทรภาณุทรง
บทความวิชาการ ๑ 259 ประกาศเอกราชจากอาณาจักรศรีวิชัยเรียบร้อยแล้ว สอดคล้องกับข้อความในจารึก พระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมราชตอนหน่ึงว่า “ตามฺพฺรลิงฺเคศวร” ซึ่งแปลว่า “ผู้เป็นใหญ่ แห่งตามพรลิงค์” อีกแห่งหนึ่งว่า “ธรจนฺทรฺภานูปาธิ ศฺรีธรฺมมราชา” แปลว่า “พระเจ้า จันทรภาณุศรีธรรมราชา” (Pongsripian, 2011, pp. 35-37) หลักฐานเหล่านี้นอกจาก ชี้ให้เห็นถึงความเป็นเอกราชของอาณาจักรตามพรลิงค์แล้ว ยังสะท้อนถึงบทบาทของ พระเจา้ จนั ทรภาณใุ นฐานะผู้เลอ่ื มใสคตนิ ิยม “ธรรมราชา” ตามแบบอย่างพระเจ้าอโศก มหาราชแห่งชมพูทวีป ผู้เป็นต้นแบบธรรมราชาหรือพระราชาชาวพุทธ อาณาจกั รตามพรลงิ คส์ มยั พระเจา้ จนั ทรภาณนุ น้ั นา่ จะเปน็ เมอื งใหญม่ อี าณาเขต กว้างขวาง เพราะหลักฐานระบุว่ามีเมืองสิบสองนักษัตรเป็นบริวาร ดังความว่า “ปีชวด ตั้งเมืองสายถือตราหนูหนึ่ง ปีฉลูเมืองตานีถือตราโคหน่ึง ปีขาลเมืองกลันตันถือตรา เสือหน่ึง ปีเถาะเมืองปาหังถือตรากระต่ายหน่ึง ปีมะโรงเมืองไทรถือตรางูใหญ่หนึ่ง ปีมะเส็งเมืองพัทลุงถือตรางูเล็กหนึ่ง ปีมะเมียเมืองตรังถือตราม้าหนึ่ง ปีมะแม เมืองชุมพรถือตราแพะหน่ึง ปีวอกเมืองปันท้ายสมอถือตราลิงหนึ่ง ปีระกาเมืองสอุเลา ถือตราไก่หนึ่ง ปีจอเมืองตะก่ัวป่าถือตราสุนัขหน่ึง ปีกุนเมืองกระถือตราหนูหนึ่ง” (The Chronicle of Stupa of Nakhon Si Thammarat, 1928, p. 9; The Chronicle of Nakhon Si Thammarat City, 1938, p. 11) คติการปกครอง แบบนี้เรียกว่าปริมณฑลแห่งอ�ำนาจ เชื่อว่าได้รับอิทธิพลทางความคิดเรื่องจักรราศีตาม แบบจีน ความย่ิงใหญ่ของอาณาจักรตามพรลิงค์ของพระเจ้าจันทรภาณุ เห็นได้จาก การยกทัพเรือที่มีแสนยานุภาพและมียุทธนาวีท่ีเกรียงไกร ด้วยการเสด็จยาตราทัพไป โจมตีลังกาถึง ๒ คร้ัง กล่าวคือ พ.ศ.1890 และ พ.ศ.1905 ซึ่งรายละเอียดกล่าวไว้ ในคัมภีร์มหาวงศ์ของลังกาและจารึกจักรวรรดิปัณฑยะแห่งอินเดียใต้ (Pongsripian, 2011, p. 23) ภายหลังต่อมา นครศรีธรรมราชน่าจะด�ำรงบทบาทการเป็นเมืองท่า ค้าขายและเมืองพระศาสนาสืบมา แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างโดยเฉพาะทุพภิกขภัย และโรคระบาดเข้ารุมเร้าจึงท�ำให้ค่อยทรุดโทรมเสื่อมถอย อาณาจักรดัมพเดณิยะ อาณาจักรดัมพเดณิยะเกิดข้ึนหลังจากพระเจ้ามาฆะแห่งอาณาจักรกาลิงคะ บุกรุกท�ำลายอาณาจักรโปโฬนนารุวะ (Phramahanamathera, 2010, pp. 240-241;
260 ภาคผนวก ก Rajavaliya, 2014, p. 58) ผู้ก่อตั้งอาณาจักรคือเจ้าชายวิชัยพาหุผู้ประสูติในราชวงศ์ สิริสังโพธิ (พ.ศ.1775-1783) พระองค์ได้อพยพชาวสิงหลกลุ่มหนึ่งมาอยู่ทางดินแดน ตอนใตด้ ว้ ยการ ”ปราบแคว้นมายาจนหมดเส้ียนศตั รู ให้สรา้ งเมอื งนา่ รืน่ รมย์ มีก�ำแพง และซุ้มประตูเมืองงดงาม บนยอดเขาชัมพุทโทณิอันสูงยิ่ง พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงมี พระปรีชา ทรงพระเกษมส�ำราญเสวยราชสมบัติอยู่ ณ เมืองนั้น„ (Phramahanama- thera, 2010, p. 244) หลักฐานจากคัมภีร์กวสิฬุมิณะซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของ พระราชโอรสของพระองค์เองระบุว่า พระเจ้าวิชัยพาหุผู้เป็นพระราชบิดาสังกัด ราชวงศ์ปัณฑยะ (Cordington, 1994, p. 76) หากเป็นเช่นนั้นแสดงว่าพระองค์สืบ เชื้อสายมาจากพระเจ้าวิชัยพาหุที่ 1 (พ.ศ.1598-1653) ผู้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณา จักรโปโฬนนารุวะกับพระนางลีลาวดีผู้เป็นราชธิดาของกษัตริย์ปัณฑยะ ด้วยเหตุนั้น พระองค์ย่อมมีสิทธิโดยชอบธรรมท่ีจะประกาศตนเป็นกษัตริย์ หลักฐานอีกส่วนหน่ึง ระบุว่าพระองค์ได้รับการสนับสนุนด้วยดีจากเจ้าเมืองขนาดเล็กหรือเรียกว่าวันนิ (Vanni) นักปราชญ์จึงขนานพระนามพระองค์ว่าวันนิวิชัยพาหุ (Rajavaliya, 2014, p. 58) ครั้นขึ้นครองราชย์แล้วสิ่งแรกที่พระองค์ทรงกระท�ำคือ โปรดให้อารักขา พระเข้ียวแก้วและบาตรของพระพุทธเจ้า เพราะถือว่าเป็นสิทธิตามกฎมณเฑียรบาล ส�ำหรับผู้ครองราชย์เหนือเกาะลังกา (the legitimate right to the sovereignty) (Phramahanamathera, 2010, p. 248) การครอบครองสิ่งศักด์ิสิทธ์ิดังกล่าวท�ำให้ พระองค์ได้รับการยอมรับจากชาวสิงหลทุกหมู่เหล่า และสามารถสร้างความเข็มแข็ง แก่อาณาจักรของพระองค์ (De Silva, 2001, p. 98) คัมภีร์มหาวงศ์พรรณนาไว้ว่า พระองค์โปรดให้สร้าง “เรือนพระธาตุเขี้ยวแก้วอันงดงามน่าร่ืนรมย์ดุจเทพวิมานลาด ลงมาจากเทวโลก ทรงให้สร้างปราสาทและมณฑปน้อยใหญ่ไว้โดยรอบ ทรงให้สร้าง สังฆารามประกอบด้วยที่พักกลางวันที่พักกลางคืนและหอฉันอันสัปปายะ ประดับด้วย บึงและสระโบกขรณี ทรงให้ประดิษฐานพระธาตุเข้ียวแก้วและบาตรธาตุไว้ที่เรือน ประดิษฐานพระบรมธาตุพร้อมจัดสมโภชอย่างยิ่งใหญ่ ทรงถวายสังฆาราม ทรงต้ัง ธรรมเนียมถวายทานแก่พระเถระผู้มีศีลาจารวัตร ซ่ึงทรงแต่งตั้งให้ดูแลรักษาพระ บรมธาตุ ทรงก�ำหนดพิธีบูชาและการเฉลิมฉลองพระบรมธาตุให้ด�ำเนินไปได้ด้วยดี
บทความวิชาการ ๑ 261 ทุกวัน” (Phramahanamathera, 2010, p. 246) หลักฐานตรงนี้ช้ีให้เห็นว่าพระองค์ ทรงให้ความส�ำคัญกับพระเขี้ยวแก้วและบาตรของพระพุทธเจ้าอย่างสูงยิ่ง เพราะถือว่า นอกจากเป็นโบราณราชประเพณีของกษัตริย์ชาวสิงหลแล้ว ยังเป็นศูนย์รวมใจของ ชาวลังกาในฐานะส่ิงศักดิ์สิทธ์ิคู่บ้านของส�ำคัญคู่เมืองด้วย ครน้ั พระเจา้ วชิ ยั พาหสุ วรรคตสน้ิ แลว้ พระราชโอรสพระนามวา่ พระเจา้ ปรากรม พาหุที่ 2 (พ.ศ.1783-1813) ได้ขึ้นครองราชย์สืบแทน ประเด็นน่าสนใจคือคัมภีร์ มหาวงศร์ ะบวุ า่ พระราชบดิ าไดม้ อบหมายพระองคใ์ หอ้ ยใู่ นความดแู ลของพระสงั ฆรกั ขติ เถระผู้เป็นประธานสงฆ์ (Phramahanamathera, 2010, p. 249) ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่า ลักษณะเช่นนี้เป็นโบราณราชประเพณีของกษัตริย์ศรีลังกา ถือว่าให้ความเป็นใหญ่แก่ สถาบันสงฆ์เสมอสถาบันกษัตริย์ โดยเปิดโอกาสให้คณะสงฆ์สามารถคัดเลือกกษัตริย์ ขึ้นครองราชย์ได้ นอกจากคณะสงฆ์แล้วผู้มีส่วนส�ำคัญในการค้�ำบัลลังก์ของพระองค์ คือพระอนุชาพระนามว่าเจ้าชายภูวเนกพาหุ พระองค์ได้ท�ำหน้าท่ีเป็นพระยุพราช และชักชวนเจ้าหัวเมืองน้อยใหญ่ชาววันนิที่แสดงตนออกห่าง ให้หันมาสวามิภักด์ิ และสนับสนุนเฉกเช่นพระราชบิดาผู้สวรรคตล่วงแล้ว โดยไม่มีการใช้ก�ำลังทหารเข้า บังคับแต่อย่างใด และอีกท่านหนึ่งคือเสนาบดีคู่พระทัยนามว่าเทวประติราชะผู้คอยให้ ค�ำปรึกษาและรบเคียงบ่าเคียงไหล่พระองค์ ส�ำหรับพระราชกรณียกิจด้านศาสนานั้น คร้ันพระองค์พิจารณาเห็นว่ามี พระสงฆป์ ระพฤตผิ ดิ เสยี หายจำ� นวนมาก จงึ โปรดมอบหมายใหพ้ ระอรญั กเมธงั กรมหาสามี แห่งส�ำนักอุทุมพรคิรีพร้อมด้วยพระเถระผู้ใหญ่ช่วยกันไต่สวนอธิกรณ์ ขับไล่พระสงฆ์ ผู้ประพฤติเสียหายออกจากหมู่คณะเสีย จากนั้นได้ออกกติกาวัตรตราเป็นกฎหมาย เพื่อควบคุมพฤติกรรมของพระสงฆ์ให้ประพฤติดีงามตามพระวินัยบัญญัติ (The Nikaya Sangrahawa, 1908, p. 75) กติกาวัตรดังกล่าวสามารถสรุปสารัตถะได้ ดังน้ี “ผู้ประสงค์จะบรรพชาเป็นสามเณรต้องผ่านการศึกษาช้ันปัณฑุปลาสะพร้อมท้ัง การตรวจสอบคุณสมบัติอย่างละเอียด ครั้นผ่านการบรรพชาแล้วจะต้องอยู่ภายใต้การ สั่งสอนของพระอุปัชฌาย์ตามระยะเวลาของการถือนิสัย ส่วนการศึกษาคัมภีร์เน้นการ ท่องจ�ำเป็นหลักและเก้ือกูลทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระ การรักษาพระวินัยและกติกา
262 ภาคผนวก ก วัตรเป็นเรื่องส�ำคัญยิ่ง หากมีการละเมิดจะมีการไต่สวนพร้อมลงโทษตามความ หนักเบา การปกครองมีระบบค่อนข้างชัดเจน นับจากต�ำแหน่งสูงสุดคือพระสังฆราช ถัดมาเป็นพระมหาสถวีระของคณะคามวาสีและอรัญวาสี และเจ้าส�ำนักแห่งอายตนะ หรือเจ้าส�ำนักเรียนตามล�ำดับ และพระสงฆ์สามารถรับกัลปนาเป็นเรือกสวนไร่นา พร้อมผู้คนได้ โดยได้รับการยกเว้นการเก็บภาษีจากอาณาจักร” (Ratnapala, 1971, pp. 135-161) สันนิษฐานว่าพระองค์น่าจะประพฤติตามพระเจ้าปรากรมพาหุมหา ราชแห่งอาณาจักรโปโฬนนารุวะ เพราะการจะสร้างความมั่นคงให้แก่บ้านเมืองน้ัน ต้องสร้างความเข้มแข็งให้แก่พระศาสนาด้วย เพราะศาสนจักรและอาณาจักรต่างต้อง เกื้อหนุนกันและกัน จากนั้นพระองค์โปรดให้คณะสงฆ์จัดระบบการศึกษา เพ่ือให้พระสงฆ์มี ความรู้ท้ังคดโี ลกและคดธี รรม โดยแบ่งหลักสตู รเป็น 4 ชัน้ ดงั นี้ 1) ช้นั ปณั ฑปุ ลาสะ สำ� หรบั ผเู้ ตรยี มเขา้ พธิ บี รรพชาหรอื ผมู้ คี ณุ สมบตั บิ กพรอ่ ง เนน้ ศกึ ษาเรอื่ งกริ ยิ ามารยาท และกฎระเบียบของอารามวิหาร 2) ช้ันสามเณร เน้นมารยาทอันดีงามและ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน 3) ชั้นนิสสัยหรือนวกะ ส�ำหรับพระสงฆ์ชั้นนวกะขึ้นไป เน้นถึงภาวะของพระนวกะก่อนท่ีจะพ้นนิสัยและการปฏิสัมพันธ์กับฆราวาส และ 4) ชั้นมหาเถระหรือช้ันสูงสุด เน้นศึกษาพระไตรปิฎกพร้อมคัมภีร์อรรถกถาทั้งหมด เพื่อมุ่งหมายให้เป็นอาจารย์สอนศิษย์ เป็นท่ีน่าสังเกตว่าหลักสูตรทุกช้ันเน้นการท่องจ�ำ คัมภีร์เป็นหลักและให้ความส�ำคัญด้านวิปัสสนาธุระเช่นเดียวกันคันถธุระ ผลจากการศึกษาเห็นได้จากจ�ำนวนของพระสงฆ์นักปราชญ์ผู้แต่งต�ำรา ยกตัวอย่างเช่น พระอรัญกเมธังกรแห่งอุทุมพรคิรีได้แต่งคัมภีร์ภาษาสิงหลช่ือว่า วนยารถสมุจจยะ เน้ือหาว่าด้วยการอธิบายพระวินัยส�ำหรับพระสงฆ์ พระสังฆราช อโนมทัสสีแต่งคัมภีร์ฉันท์ภาษาสันสกฤตเก่ียวกับโหราศาสตร์ช่ือว่าไทวัญการนเธนุ ศิษย์ของท่านแต่งคัมภีร์ภาษาบาลีชื่อว่าหัตถวนคัลลวิหารวังสะ ว่าด้วยพระราชประวัติ ของกษัตริย์ผู้บ�ำเพ็ญโพธิสัตว์บารมีพระนามว่าพระเจ้าสิริสังฆโพธิ พระเวเทหเถระ ผเู้ ปน็ ศษิ ยข์ องพระอรญั ญรตั นอานนทเ์ ถระ ไดแ้ ตง่ ฉนั ทภ์ าษาบาลนี ามวา่ สมนั ตกฏู วณั ณนา ว่าด้วยการพรรณนารอยพระพุทธบาทท่ีศรีปาทะ ถัดมาเป็นการรวบรวมนิทานของ
บทความวิชาการ ๑ 263 อินเดียและลังกาแต่งเป็นคัมภีร์ช่ือว่ารสวาหินี และสุดท้ายเป็นคัมภีร์ไวยากรณ์ช่ือว่า สีหลสัททลักขณะ พระเถระผู้เป็นศิษย์ของพระอานนท์เถระอีกรูปหน่ึงนามว่าโคตมะ ได้แต่งคัมภีร์สัมพันธจินตาสันยยะเป็นภาษาสิงหล และศิษย์รูปสุดท้ายช่ือว่าพุทธัปปิย เถระได้แต่งคัมภีร์ไวยากรณ์ภาษาบาลีชื่อว่ารูปสิทธิและคัมภีร์ปัชชมธุว่าด้วย พทุ ธลกั ษณะ สว่ นพระมยรู ปาทเถระไดแ้ ตง่ คมั ภรี ภ์ าษาสงิ หลวา่ ดว้ ยเรอื่ งราวทางศาสนา ชอ่ื วา่ ปชู าวลยิ ะ และสดุ ทา้ ยเปน็ คมั ภรี ท์ างการแพทยแ์ ตง่ เปน็ ภาษาบาลชี อื่ วา่ เภสชั ชมญั ชุสาเป็นผลงานของพระปัญจมูลเถระ (Hettiaratchi, 1960, pp. 770-773) หากวิเคราะห์เนื้อหาของคัมภีร์แต่ละเล่มย่อมเห็นว่ามีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เนื้อความทางคดีโลกและคดีธรรม โดยเฉพาะศาสตร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ดังเช่น โหราศาสตร์ ศาสตร์ทางการแพทย์ จึงช้ีให้เห็นว่าหลักสูตรการเรียนการสอน สมัยน้ันเปิดกว้างส�ำหรับทุกศาสตร์ท้ังภายในและภายนอกพุทธศาสนา ส่วนด้านการเมืองนั้นพระองค์ต้องพบกับศึกหลายด้าน เริ่มจากท�ำสงคราม ขับไล่พระเจ้ามาฆะผู้ครอบครองอาณาจักรโปโฬนนารุวะ ตลอดการครองราชย์แม้ จะทุ่มเทสรรพก�ำลังท้ังหมด เพ่ือขับไล่พระเจ้ามาฆะออกจากเกาะลังกาก็หาประสบ ความสำ� เรจ็ ไม่ เพราะพระเจา้ มาฆะไดร้ บั การสนบั สนนุ จากกษตั รยิ ป์ ณั ฑยะแหง่ อนิ เดยี ใต้ อีกด้านหนึ่งพระองค์ต้องท�ำสงครามกับพระเจ้าจันทรภาณุแห่งอาณาจักรตามพรลิงค์ ผู้ยกทัพเรืออันย่ิงใหญ่เกรียงไกรมาเกาะลังกา เพ่ือยึดครองพระเข้ียวแก้ว (Phramahanamathera, 2010, p. 296) นักวิชาการสมัยใหม่แสดงความเห็นว่าการ บกุ รกุ เกาะลงั กาของพระเจา้ จนั ทรภาณนุ นั้ เพอ่ื ตอ้ งการควบคมุ เสน้ ทางการคา้ ทางทะเล เนื่องจากสมัยน้ันศรีลังกาเป็นเส้นทางการค้าข้ึนช่ือ (De Silva, 2001 p. 99) สงคราม กับพระเจ้าจันทรภาณุน้ันแม้กษัตริย์สิงหลจะสามารถผลักดันคนต่างถ่ินถอยร่นไปอยู่ เมืองจัฟฟ์นาทางตอนเหนือของเกาะลังกาก็จริง แต่ไม่สามารถรวบรวมเกาะลังกาให้ เป็นหนึ่งเดียวได้ เพราะกษัตริย์ปัณฑยะแห่งอินเดียตอนใต้เข้ามาแทรกแซง ด้วยการ แต่งตั้งพระโอรสของพระเจ้าจันทรภาณุให้ครองราชย์สืบแทน นับแต่นั้นมาราชวงศ์ สิงหลก็เริ่มถูกลดบทบาทจนกลายเป็นอาณาจักรขนาดเล็ก ไม่สามารถสร้างความยิ่ง ใหญ่เหมือนอดีต (De Silva, 2001, pp. 98-100)
264 ภาคผนวก ก ความสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่างศรีลังกากับไทย ความสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่างสองอาณาจักรสามารถแบ่งออกเป็น 2 กรณี กรณแี รกเปน็ เรอ่ื งราวของของพระธรรมกติ ตเิ ถระแหง่ อาณาจกั รตามพรลงิ ค์ ซง่ึ กษตั รยิ ์ ลังกาแห่งดัมพเดณิยะนิมนต์ไปฟื้นฟูพระศาสนาบนเกาะลังกา ดังพรรณนาไว้ในคัมภีร์ มหาวงศ์ว่า “พระเถระรูปหน่ึงงดงามด้วยเดชแห่งศีลชื่อว่าธรรมกิตติ พระองค์ทรง ทราบว่าเม่ือพระเถระเดินบิณฑบาตมีดอกบัวผุดข้ึนมารองรับบนทางข้างหน้า ทรง ปล้ืมปีติยินดีนัก ทรงส่งเคร่ืองธรรมบรรณาการ เพื่อสรงสนานพระธาตุมีผงจันทร์หอม เป็นต้น และเครื่องราชบรรณาการอย่างดีเลิศไปยังแคว้นตัมพะ ทรงนิมนต์พระ มหาเถระมาลังกาทวีป ทรงปลื้มพระราชหฤทัยเสมือนหน่ึงว่าได้พบพระอรหันต์ ทรงท�ำภาชนะบูชาสักการะเป็นมหาบูชาแก่พระเถระอุปัฏฐากด้วยปัจจัยสี่โดยเคารพ” (Phramahanamathera, 2010, pp. 264-265) จากเน้ือหาในคัมภีร์มหาวงศ์ท�ำให้ เห็นคุณสมบัติของพระธรรมกิตติเถระ 3 ประการ คือ 1) มีศีลาจารวัตรงดงาม 2) ทรงพระไตรปิฎก และ 3) ทรงธุดงคคุณ หากตรวจสอบการศึกษาคณะสงฆ์ สมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะจะเห็นว่า พระสงฆ์ฝ่ายคามวาสีโดดเด่นด้านการทรงจ�ำ พระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถา ส่วนพระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสีโดดเด่นท้ังการทรงจ�ำ พระไตรปิฎกและทรงธุดงคคุณ หากเป็นเช่นน้ันก็สันนิษฐานได้ว่าการศึกษาคณะสงฆ์ ในอาณาจกั รตามพรลงิ คข์ องไทย นา่ จะไมแ่ ตกตา่ งจากอาณาจกั รดมั พเดณยิ ะของลงั กา และพระธรรมกิตติเถระรูปน้ีน่าจะเป็นพระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี เพราะท่านโดดเด่นท้ัง ด้านปริยัติและปฏิบัติ คัมภีร์มหาวงศ์ระบุถึงการนิมนต์พระเถระมาเกาะลังกาด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ 1) ต้องการสนับสนุนพระศาสนา 2) ต้องการรวมพระสงฆ์สองนิกายให้เป็นนำ�้ หนึ่ง ใจเดียวกัน และ 3) น�ำคัมภีร์ส�ำคัญมาเกาะลังกา (Phramahanamathera, 2010, p. 265) ผู้วิจัยเห็นว่าหากมองในบริบทของประวัติศาสตร์ เหตุผลดังกล่าวมีความ สมเหตุสมผลน้อยมาก กล่าวเฉพาะการรวมสองนิกายให้เป็นหน่ึงเดียวนั้นขัดแย้งกับ หลักฐานความเป็นจริง เพราะการปฏิรูปพระศาสนาสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะนั้น พระสงฆ์ทั้งฝ่ายคามวาสีและอรัญวาสีล้วนให้ความร่วมมือช่วยเหลือสังคายนา
บทความวิชาการ ๑ 265 คณะสงฆ์จนประสบความส�ำเร็จ ส่วนการน�ำคัมภีร์ส�ำคัญมาเกาะลังกาน้ันยิ่งเป็นไปได้ ยากนัก เพราะนับถึงปัจจุบันยังไม่ปรากฏหลักฐานว่าอาณาจักรตามพรลิงค์หรือ นครศรีธรรมราชมีคัมภีร์ส�ำคัญทางศาสนาเฉกเช่นศรีลังกา ยกเว้นต�ำนานที่มีเรื่องราว สอดคล้องกับคติความเชื่อของลังกาเท่านั้น แต่หากวิเคาะห์ในเชิงลึกก็จะเห็นความ เป็นจริงว่าน่าเช่ือถือได้น้อยนัก ผู้เขียนเชื่อว่าการนิมนต์พระธรรมกิตติเถระมาเกาะลังกานั้น น่าจะเป็นเร่ือง การเมอื งนำ� ศาสนา เหตกุ ารณน์ น้ี า่ จะเกดิ ขน้ึ ภายหลงั การทำ� สงครามครง้ั แรกกบั พระเจา้ จันทรภาณุ เพราะมีหลักฐานยืนยันว่าพระธรรมกิตติเถระมาลังกาตรงกับพุทธศักราช 1793 (IIangasinha, 1992, p. 69) ซ่ึงเกิดขึ้นภายหลังสงครามระหว่างลังกากับ อาณาจักรตามพรลิงค์ 3 ปี หลักฐานตามคัมภีร์ยังระบุอีกว่านอกจากพระธรรมกิตติ เถระแหง่ ตามพรลงิ คแ์ ลว้ กษตั รยิ ล์ งั กายงั ไดน้ มิ นตพ์ ระสงฆน์ กั ปราชญจ์ ากแควน้ ทมฬิ โจฬะด้วย เพื่อ “ท�ำให้พระศาสนาสองแคว้นให้กลมกลืนสอดคล้องกัน” (Phramah- anamathera, 2010, p. 264) อีกประการหน่ึง กษัตริย์ลังกาไม่ได้แต่งตั้งให้ พระธรรมกติ ตเิ ถระดำ� รงตำ� แหนง่ อนั ใด เพยี งแตส่ รา้ งวดั และถวายความอปุ ถมั ภเ์ ทา่ นน้ั ด้วยเหตุนั้น ผู้เขียนจึงเช่ือว่าการนิมนต์พระเถระมาเกาะลังกานั้น น่าจะเป็นการ ประนีประนอมทางการเมืองระหว่างลังกากับตามพรลิงค์ เฉกเช่นเดียวกันกับกษัตริย์ ลังกาส่งพระพุทธสิหิงค์ไปถวายกษัตริย์แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์ตามค�ำร้องขอของ กษัตริย์แห่งสุโขทัย พระเจ้าปรากรมพาหุน้ันโปรดให้สร้างวัดปลาภัตคะละบริเวณทางข้ึนศรีปาทะ แลว้ มอบถวายแกพ่ ระธรรมกติ ตเิ ถระ คมั ภรี ม์ หาวงศร์ ะบวุ า่ พระธรรมกติ ตเิ ถระเชยี่ วชาญ ศาสตร์น้อยใหญ่ เช่น ตรรกศาสตร์และไวยากรณ์ นอกจากน้ัน ยังแตกฉานด้านการ ปฏิบัติด้วย ส่วนศิษย์ของพระเถระรูปแรกคือเจ้าชายภูวเนกพาหุผู้เป็นพระราชอนุชา กลา่ วกนั วา่ พระองคม์ คี วามรแู้ ตกฉานในคมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ ก (Phramahanamathera, 2010, p. 256) ชื่อเสียงความเป็นปราชญ์ของพระธรรมกิตติเถระด้านคันถธุระและ วิปัสสนาธุระปรากฏเป็นรูปธรรมสมัยหลัง เม่ือศิษย์นามอุโฆษหลายรูปทรงความเป็น ปราชญ์เช่นเดียวกันอาจารย์แห่งตน โดยสืบต่อประเพณีศิษยานุศิษย์ในนามว่า
266 ภาคผนวก ก ธรรมกีรติวงศ์ (Dhammavisuddhi, 1970, pp. 22-30) ศิษย์เหล่าน้ันได้แก่ พระ สังฆราชสีลวังสธรรมกีรติเถระผู้ประพันธ์คัมภีร์ปารมีสตกะ คัมภีร์ชนานุราคจริตะ และคัมภีร์สูวิสิวิวรณยะ รูปต่อมาคือพระสังฆราชเทวรักษิตชัยพาหุธรรมกีรติเถระ ผู้เป็นศิษย์ของพระสีลวังสธรรมกีรติเถระ ได้รจนาคัมภีร์ชินโพธาวลี คัมภีร์นิกาย สังครหยะ คัมภีร์คฑลาเดณิสันนยะ และคัมภีร์สัทธรรมาลังการยะ และสุดท้ายคือ พระสังฆราชธรรมทินนวิมลกีรติเถระ ผู้เป็นศิษย์ของพระเทวรักษิตชัยพาหุธรรมกีรติ เถระ ได้แต่งคัมภีร์สัทธรรมรัตนากรยะ (Saddharmaratnakaraya, 1955, p. 76) ผลงานและต�ำแหน่งของศิษย์ผู้สืบทอดธรรมกีรติวงศ์สามารถยืนยันได้ว่า พระธรรม กติ ตเิ ถระจากอาณาจกั รตามพรลงิ คน์ นั้ โดดเดน่ เปน็ เอกอทุ งั้ ดา้ นคนั ถธรุ ะและวปิ สั สนา ธุระ และเป็นท่ียอมรับของคณะสงฆ์ลังกาและสถาบันกษัตริย์ อีกกรณีหนึ่งเป็นเร่ืองราวของคณะสงฆ์คณะป่าแก้ววนรัตนะ ซ่ึงเดินทางไป เผยแผ่พระศาสนายังอาณาจักรตามพรลิงค์ คณะป่าแก้ววนรัตนะนั้นเกิดขึ้นประมาณ พุทธศตวรรษท่ี 17 พระเถระผู้เป็นต้นก�ำเนิดคือพระอานนท์วนรัตนะ ท่านเป็นศิษย์ ของพระสงั ฆรกั ขติ เถระและพระเมธงั กรเถระแหง่ อทุ มุ พรคริ ี (Padasadhana-sanyaya, 1932, p. 43) พระสังฆรักขิตเถระน้ันเป็นประธานสงฆ์ในการปฏิรูปพระศาสนาสมัย พระเจ้าวิชัยพาหุท่ี 3 (พ.ศ.1775-1783) แห่งอาณาจักรดัมพเดณิยะตอนต้น ส่วนพระเมธังกรเถระแห่งอุทุมพรคิรีนั้นเป็นประธานสงฆ์ในการปฏิรูปพระศาสนาสมัย พระเจ้าปรากรมพาหุที่ 2 (พ.ศ.1783-1813) สมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะเช่นกัน เป็น ท่ีน่าสังเกตว่าพระอานนท์วนรัตนเถระสืบสายมาจากอุทุมพรคิรี ซึ่งเป็นส�ำนัก อ รั ญ ว า สี อั น โ ด ่ ง ดั ง นั บ แ ต ่ ส มั ย อ า ณ า จั ก ร โ ป โ ฬ น น า รุ ว ะ เ ร่ื อ ย ม า จ น ถึ ง ส มั ย อาณาจักรดัมพเดณิยะ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าการปฏิรูปศาสนาท้ังสองครั้งพระอานนท์ วนรัตนเถระมีส่วนร่วมหรือไม่ ผู้เขียนเห็นว่าในฐานะพระเถระเป็นผู้ทรงความรู้และ ใกล้ชิดอาจารย์ทั้งสองรูปน่าจะได้รับเชิญเข้าร่วมด้วย คัมภีร์สมันตกูฏวัณณนาซึ่งเป็นผลงานของพระเวเทหเถระผู้เป็นศิษย์ ของพระอานนท์วนรัตนเถระระบุว่า “อาจารย์แห่งตนมีสมญานามเป็นที่รู้จักแพร่หลาย ว่า “วนรัตนะ” หรือ “อรัญญรัตนะ” (หมายถึงอัญมณีแห่งป่า) เป็นนักกวีชั้นเลิศ
บทความวิชาการ ๑ 267 เป็นปราชญ์นามอุโฆษผู้ข้ามทะเลแห่งศาสตร์น้อยใหญ่ และเป็นเสมือนพระอาทิตย์บน ท้องฟ้า” (Samantakutavannana, 1959, p. 85) คัมภีร์รสวาหินีผลงานอีกเล่มหน่ึง ของพระเวเทหเถระระบุว่า “อาจารย์แห่งตนเป็นผู้บรรลุถึงฝั่งแห่งมหาสมุทรกล่าวคือ ศาสตร์ และเป็นธงชัยแห่งเกาะสิงหล” (Rasavahini, 1961, p. 299) คัมภีร์รูปสิทธิ ซึ่งเป็นผลงานของพระพุทธัปปิยเถระ ผู้เป็นศิษย์อีกรูปหน่ึงของพระอานนท์ วนรัตนเถระก็ระบุว่า อาจารย์แห่งตนเป็นธงชัยแห่งตัมพปัณณิ (Rupasiddhi, 1964, p. 279) หลักฐานดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าพระอานนท์วนรัตนเถระด�ำรงต�ำแหน่งในฐานะ พระเถระผู้ใหญ่ เพราะท�ำหน้าท่ีสอนส่ังศิษยานุศิษย์จนมีช่ือเสียงเป็นที่รู้จัก แพร่หลาย ผู้เขียนเห็นว่า “วนรัตนะ” หรือ “อรัญญรัตนะ” น่าจะเป็นสมญานามท่ีได้ รับการสดุดีเกียรติคุณจากสถาบันกษัตริย์ ในฐานะเป็นผู้มีปฏิปทายินดีในป่าและเป็น หัวหน้าคณะสงฆ์ฝ่ายวนวาสี สันนิษฐานว่าคณะป่าแก้ววนรัตนะของศรีลังกาน่าจะเดินทางไปเผยแผ่ศาสนา หรือสร้างปฏิสัมพันธ์ทางศาสนากับอาณาจักรตามพรลิงค์สมัยนี้เอง โดยถือเอาความ โดดเด่นของพระเถระท้ังด้านวิปัสสนาธุระและคันถธุระเป็นส�ำคัญ แม้ไม่มีหลักฐาน ระบุเรื่องระยะเวลาแน่นอน แต่หากถือเอาการท�ำสงครามระหว่างศรีลังกากับพระเจ้า จันทรภาณแุ ห่งตามพรลิงค์ และการเดนิ ทางมาประกาศศาสนาของพระธรรมกติ ตเิ ถระ แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์ ก็น่าจะเห็นความสัมพันธ์สอดคล้องกัน ประเด็นหนึ่งน่า สนใจคือคัมภีร์มหาวงศ์พรรณนาคุณลักษณะของพระธรรมกิตติเถระอย่างหน่ึงว่า ”ขณะพระเถระเดินบิณฑบาตมีดอกบัวผุดข้ึนมารองรับเท้าทุกย่างก้าว„ (Phramah- anamathera, 2010, p. 264) หลักฐานน้ีสอดคล้องกับคุณสมบัติของพระอานนท์ วนรัตนเถระ ซึ่งปรากฏเห็นในคัมภีร์ปัชชมธุของพระพุทธัปปิยเถระผู้เป็นศิษย์ ระบุว่า ”ตนเป็นเสมือนรับใช้ใกล้ชิดดังหน่ึงดอกบัวรองรับบาทของพระเถราจารย์นามว่า อานันทวนรัตนเถระ” (Malalasekera, 1994, p. 310) เป็นไปได้หรือไม่ฉายานี้ เป็นคุณสมบัติอย่างหน่ึงของพระเถระชาวศรีลังกาสายป่าแก้ว ซ่ึงเดินทางไปเผยแผ่ ลัทธิลังกาวงศ์ท่ีอาณาจักรตามพรลิงค์
268 ภาคผนวก ก ค�ำว่า ”ป่าแก้ว„ ในอาณาจักรตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราชพบเห็นคร้ัง แรกในต�ำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช เล่าถึงเหตุการณ์สมัยอยุธยาคราวเม่ือ พระยานครมตี ราใหน้ มิ นตพ์ ระสงฆม์ าชว่ ยแตง่ พระบรมธาตุ สมยั นน้ั มพี ระสงฆช์ กั ชวน ญาติโยมมาช่วยบูรณะพระบรมธาตุและสร้างวัดรอบพระบรมธาตุเป็นจ�ำนวนมาก คราวนั้น ”มอบหมายให้พระมหาปเรียนทศศรีและผขาวอริยพงษ์นายแวงไปนิมนต์ พระมหาเถรพุทธสาครจากวัดพระเดิมเป็นป่าแก้ว„ (The Chronicle of Stupa of Nakhon Si Thammarat, 1928, pp. 18-20) ชื่อของพระพุทธสาครพบเห็นอีก แห่งหน่ึง โดยกล่าวถึงพระยาธรรมโศกราชแห่งเมืองสวัสดิราช โปรดให้อพยพไพร่พล มาสร้างเมืองใหม่บริเวณเขาชวาปราบ พร้อมสร้างวัดเวียงสระถวายพระพุทธค�ำเภียร และพระพุทธสาคร (Phranibbasotra, 1985, p. 68) ส่วนวัดพระเดิมพบเห็นอีกครั้ง ในตำ� นานพระธาตุเมอื งนครศรธี รรมราช ซึ่งระบุถึงพระมหาเถรสัจจานเุ ทพพาญาติโยม มาสร้างวัดพระเดิมที่นครศรีธรรมราช (The Chronicle of Stupa of Nakhon Si Thammarat, 1928, p. 14) สันนิษฐานว่าวัดพระเดิมน่าจะหมายถึงวัดมเหยงคณ์ เหตุเพราะมเหยงคณ์เป็นวัดส�ำคัญแห่งหน่ึงของศรีลังกา เป็นวัดเก่าแก่สมัยแรกเร่ิม นับแต่พระพุทธศาสนาเข้ามาเผยแผ่บนเกาะลังกา พระศรีลังกาสายป่าแก้วผู้เข้ามา เผยแผ่ลัทธิลังกาวงศ์น่าจะใช้ชื่อน้ีเพ่ือร�ำลึกถึงบ้านเกิดเมืองนอนแห่งตน อีกเหตุผล หนึ่งคือวัดแห่งนี้ต้ังอยู่ภายนอกก�ำแพงเมือง หลักฐานเช่นน้ีมีลักษณะเดียวกันกับ วัดป่าแก้วเมืองสุโขทัยและวัดป่าแก้วอยุธยา (The Inscription Annals part 1, 1978, p. 21) คร้ันต่อมาคณะสงฆ์ป่าแก้วเป็นที่นิยมแพร่หลายจึงออกไปเผยแผ่ตาม หัวเมืองน้อยใหญ่ เช่น เมืองสทิงพระ และเมืองพัทลุง เป็นต้น ค�ำว่า ”ป่าแก้ว„ ปรากฏเห็นอีกครั้งในต�ำนานหรือเพลานางเลือดขาว กล่าว ถึงว่าคราวแรกสร้างเมืองพัทลุงได้มีการสร้างวัดถวายคณะสงฆ์ป่าแก้ว 3 แห่ง กล่าวคือ วัดเขียน วัดสทัง และวัดสทิง เร่ืองราวของนางเลือดขาวน่าจะมีข้ึนประมาณ พ.ศ. 1800 (Piyakul, 1995, p. 368) หากเป็นจริงตามนั้นแสดงว่าหัวเมืองพัทลุงได้ ติดต่อกับศรีลังกาสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะตอนปลาย ซึ่งสมัยนั้นคณะสงฆ์ วนรัตนะก�ำลังเป็นที่นิยมแพร่หลาย อน่ึง ทราบกันแล้วว่าคณะสงฆ์ป่าแก้วของศรีลังกา
บทความวิชาการ ๑ 269 น้ันโดดเด่นด้านวิปัสสนาธุระและคันถธุระ แต่ครั้นแพร่หลายมายังอาณาจักร ตามพรลิงค์ ความเป็นเอกทั้งสองด้านกลับไม่ปรากฏเห็น กลายเป็นว่าการปกครอง ของหมคู่ ณะปรากฏขนึ้ ทดแทน สงั เกตไดจ้ ากคณะสงฆส์ ายปา่ แกว้ จะนบั ถอื และสบื ทอด ประเพณีของอาจารย์แห่งตนเป็นหลัก สอดคล้องกับหลักฐานในกัลปนาวัดหัวเมือง พัทลุงซ่ึงระบุว่า คณะสงฆ์บริเวณเมืองพัทลุงและเมืองสทิงพระดูแลปกครองกันเป็น กลุ่มหรือคณะของตน (Piyakul, 1995, pp. 24-27) ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างศรีลังกากับไทย หลักฐานทางศรีลังการะบุว่าความสัมพันธ์ทางการเมืองครั้งแรกระหว่างสอง อาณาจักรเกดิ ขึ้นจากสงคราม คัมภรี ม์ หาวงศพ์ รรณนาการบกุ รกุ เกาะลงั กาของพระเจา้ จันทรภาณุไว้ว่า ”พระเจ้าจันทรภาณุพระราชาเผ่าชาวะกะ ทรงเสแสร้งแสดงเลศว่าเรา กเ็ ปน็ ชาวพทุ ธเชน่ กนั ทรงพรอ้ มกบั กองทพั ชาวะกะอนั เหย้ี มโหดบกุ เขา้ มา ทหารชาวะกะ เข้ายึดท่าทุกแห่ง ใช้ลูกศรอาบยาพิษดุจอสรพิษร้ายระดมยิงทุกคนที่ได้พบเห็น อย่างโหดเหี้ยม พวกเขาเป็นคนฉุนเฉียวบุกท�ำลายไปท่ัวลังกา ลังกาถูกพระเจ้ามาฆะ เป็นต้นท�ำลายแล้วยังถูกทหารชาวะกะโจมตีซ�้ำอีก จึงเหมือนถูกเปลวเพลิงไหม้แล้ว ถูกสายน้�ำบ่าท่วมซ�้ำเติม„ (Phrmamahanamathera, 2010, p. 260) คัมภีร์หัตถวน คัลลวิหารวังสะระบุว่าพระเจ้าจันทรภาณุบุกรุกโจมตีเกาะลังกาเพราะต้องการครอบ ครองเกาะลังกา (Hatthavana-gallaviharavamsa, 1956, p. 32) ส่วนหลักฐาน จากคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์อ้างว่า พระเจ้าโรจแห่งเมืองสุโขทัยต้องการพระพุทธรูป จากเกาะลังกา จึงขอร้องพระเจ้าสิริธรรมแห่งสิริธรรมนครให้ส่งราชทูตไปทูลขอจาก กษัตริย์ลังกา (Phraratanapanyathera, 2007, pp. 110-111) นักวิชาการบางท่าน จึงตีความว่าพระเจ้าจันทรภาณุยกทัพไปคร้ังนี้ต้องการพระพุทธสิหิงค์ เพ่ือมอบถวาย แก่พระเจ้าโรจแห่งเมืองสุโขทัยตามค�ำขอ สังเกตได้จากภายหลังสงครามกษัตริย์ลังกา ได้ส่งพระพุทธสิหิงค์มาถวายกษัตริย์แห่งสิริธรรมนคร (Sirisena, 2016, p. 40) ผู้วิจัยเช่ือว่าการยกทัพไปโจมตีเกาะลังกาของพระเจ้าจันทรภาณุคร้ังนี้ เป็นราโชบายแบบสิทธิยาตรา (Siddhiyatra) หรือการเดินทางอันศักด์ิสิทธ์ิด้วย ความส�ำเร็จ (accomplished sacred expedition) ซ่ึงเป็นประเพณีของกษัตริย์แห่ง
270 ภาคผนวก ก อาณาจักรศรีวิชัย (Munoz, 2006, pp. 124-125) เน่ืองจากเกาะลังกาสมัยน้ันใน สายตาของพระเจ้าจันทรภาณุผู้เป็นชาวพุทธ เป็นสถานที่ศักด์ิสิทธ์ิเพราะเป็นสถาน สถิตของพระเขี้ยวแก้ว บาตรของพระพุทธเจ้า และต้นพระศรีมหาโพธิ์ (Phramah- anamathera, 2010, p. 260) แม้พระองค์จะพยายามสร้างสถูปบรรจุพระบรม สารีริกธาตุหรือปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ แต่ก็หาได้ทรงคุณค่าเสมอเหมือนพระ เขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้าไม่ การยกทัพไปคร้ังนี้คงไม่มีจุดประสงค์อื่นใดนอกจาก ต้องการยึดครองพระเขี้ยวแก้วและบาตรของพระพุทธเจ้าเท่าน้ัน ส่วนกษัตริย์ลังกา ถวายพระพทุ ธสหิ งิ คด์ งั ปรากฏในคมั ภรี ส์ หิ งิ คนทิ านนน้ั ผวู้ จิ ยั เหน็ วา่ นา่ จะเกดิ ขนึ้ ภายหลงั จากการรณรงค์สงครามระหว่างตามพรลิงค์กับลังกาแล้วและเป็นลักษณะบรรณาการ นักวิชาการล้วนเห็นตรงกันว่าสงครามครั้งนั้นตรงกับพุทธศักราช 1790 (Sirisena, 2016, pp. 40-42) จารึกวัดหัวเวียงไชยา 1 ซ่ึงจารึกเป็นอักษรขอมภาษา สันสกฤต ระบุพุทธศักราช 1773 บรรยายว่า ”พระเจ้าผู้ครองเมืองตามพรลิงค์ ทรง ประพฤตปิ ระโยชนเ์ กอ้ื กลู แกพ่ ระพทุ ธศาสนา พระองคส์ บื ตระกลู จากตระกลู อนั รงุ่ เรอื ง คือปทุมวงศ์ มีรูปร่างสง่างามเหมือนพระกามะอันมีรูปงามราวกับพระจันทร์ ทรงฉลาด ในนีติศาสตร์คล้ายกับพระเจ้าธรรมาโศกราช เป็นหัวหน้าตระกูล ... ทรงพระนาม ศรีธรรมราช„ (Inscription in Thailand vol.v, 1986, p. 146) หากเปรียบเทียบ ระยะเวลาก็สามารถยืนยันได้ว่าพระเจ้าจันทรภาณุแห่งตามพรลิงค์ ได้ยกกองทัพเรือ ไปโจมตีเกาะลังกาจริง อีกทั้งขณะน้ันอาณาจักรตามพรลิงค์น่าจะสมบูรณ์พร้อมด้วย กองทัพเรืออันแข็งแกร่งเกรียงไกร สงครามคร้ังนี้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของพระเจ้าจันทรภาณุ คัมภีร์มหาวงศ์ พรรณนาเหตุการณ์ครั้งน้ันไว้ว่า ”พระราหูคือพระเจ้าวีรพาหุทรงเพศดุร้ายน่ากลัว ทรงเข้าปิดล้อม (พระจันทร์คือ) พระเจ้าจันทรภาณุในท้องทุ่งสนามรบอันโหดร้าย ทรงจัดทหารกล้าชาวสีหฬประจ�ำที่ ทรงเริ่มสู้รบกับทหารชาวะกะ ในการสู้รบ ทหาร ชาวะกะระดมยิงศรอาบยาพิษมาทุกทิศทุกทางหลายครั้งครา ทหารสีหฬพลธนูฝีมือ เย่ียมยิงแม่นย�ำ ก็ระดมยิงศรถูกทหารชาวะกะแตกกระเจิงไป พระเจ้าวีรพาหุเหมือน พระรามเสด็จสู่สงครามไล่ฆ่าทหารชาวะกะ ผู้เป็นรากษสตายเป็นจ�ำนวนมาก พระเจ้า
บทความวิชาการ ๑ 271 วีรพาหุทรงเป็นดุจลมหมุนพัดโหมกระหน่�ำพระราชาข้าศึกชาวะกะซ้�ำแล้วซ้�ำเล่า พระองค์ทรงสู้รบขับไล่ทหารชาวะกะให้หนีไป ท�ำแผ่นดินลังกาให้ปราศจากศัตรู„ (Phramahanamathera, 2010, p. 261) สว่ นคมั ภีรร์ าชาวลยิ ะระบเุ พยี งว่าพระยุพราช ผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ ได้เข้าโจมตีทหารทมิฬจนแตกพ่าย และ สามารถท�ำเกาะลังกาให้เป็นหน่ึงเดียวภายใต้เศวตฉัตร (Rajavaliya, 2000, p. 60) หลักฐานจากอินเดียระบุว่าการท�ำสงครามครั้งน้ัน พระเจ้าชฏาวรมันสุนทรปัณฑยะ แห่งอาณาจักรปัณฑยะ ได้เข้ามาช่วยชาวลังกาท�ำสงครามขับไล่พระเจ้าจันทรภาณุด้วย ครน้ั เสรจ็ สน้ิ สงครามแลว้ กษตั รยิ ล์ งั กาไดถ้ วายเงนิ ทองของมคี า่ และชา้ งเปน็ บรรณาการ (Sastri, 1929, pp. 61-62) ผู้วิจัยเชื่อว่าหลักฐานดังกล่าวมีความเป็นไปได้ เน่ืองจาก สมัยนั้นกษัตรยิ ป์ ณั ฑยะแผอ่ �ำนาจเข้าควบคมุ ภาคใตข้ องอนิ เดียได้แล้ว การสง่ กองทพั เพื่อช่วยชาวลังการบกับพระเจ้าจันทรภาณุ อาจเป็นราโชบายสร้างความเป็นมิตรเบื้อง ต้นแล้วแผ่อิทธิพลครอบคลุมเกาะลังกาภายหลัง พุทธศักราช 1805 พระเจ้าจันทรภาณุได้ยกทัพเข้ามาบุกรุกเกาะลังกาอีกคร้ัง (Sirisena, 2016, pp. 48-51) คราวน้ีได้สร้างสัมพันธไมตรีกับพระเจ้ามาฆะผู้ปกครอง ดินแดนราชะระฏะ การบุกรุกคร้ังน้ีพระองค์เปล่ียนยุทธวิธีใหม่ ด้วยการเดินทัพจาก ทางด้านเหนือของเกาะลังกาพร้อมการสนับสนุนของพระเจ้ามาฆะ ระหว่างทางได้เกลี้ย กล่อมชาวลังกาให้เข้าเป็นสมัครพรรคพวกเป็นจ�ำนวนมาก คัมภีร์มหาวงศ์พรรณนาไว้ วา่ ”ขณะนน้ั พระเจา้ จนั ทรภาณจุ อมนรชน ไดเ้ คลอื่ นทพั ใหญบ่ กุ ขา้ มไปยงั ทา่ มหาตติ ถะ สมทบกับกองทัพชาวะกะ พระเจ้าจันทรภาณุทรงปราบชาวสีหฬแคว้นปทีและ แคว้นกุรุนทีไว้ใต้พระอ�ำนาจแล้วยกไปสุภบรรพต ทรงสร้างค่ายทหารแล้วส่งทูตไปทูล พระเจ้าวิชัยพาหุว่า เราจักยึดสีหฬท้ัง 3 เขต จักไม่คืนแก่ท่าน ดังนั้น จงมอบ พระบรมธาตุ พระเข้ียวแก้วของพระมุนีและราชสมบัติแก่เรา หรือไม่ก็จงมาสู้รบกัน„ (Phramahanamathera, 2010, p. 296) หลักฐานดังกล่าวตีความได้ว่าเม่ือพระองค์ พ่ายแพ้ต่อสงครามหนแรก พระเจ้าจันทรภาณุได้สั่งให้กองก�ำลังทหารส่วนใหญ่อยู่กับ พระเจ้ามาฆะ ส่วนพระองค์เดินทางกลับเมืองตามพรลิงค์เพื่อรวบรวมทหารก่อนท่ี จะมารวมกันอีกคร้ัง ซึ่งสมัยนั้นเป็นตอนปลายรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี 2 แห่งอาณาจักรดัมพเดณิยะ
272 ภาคผนวก ก กษัตริย์ลังกาส่งราชทูตไปขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์แห่งปัณฑยะเช่นเคย สมัยนั้นกษัตริย์แห่งอาณาจักรปัณฑยะพระนามว่าวีรปัณฑยะ (Liyanagamage, 1967, p. 158) คัมภีร์มหาวงศ์พรรณนาการรณรงค์สงครามไว้ว่า ”ทหารของลังกา ตีขนาบทัพหลวงของพระเจ้าจันทรภาณุ ท�ำการสู้รบอย่างโหดร้ายทารุณเหมือน ยุทธสงครามของพระราม ครั้งน้ัน ทหารข้าศึกท้ิงอาวุธแตกระเจิดกระเจิงไปรอบด้าน บ้างสวดอ้อนวอน บ้างก็ยอมอ่อนน้อม สับสนอลหม่านเพราะหวาดกลัว ทหารข้าศึก กลัวตายยืนตัวแข็งเทื่อก็มี ตัวส่ันงันงกก็มี อ้อนวอนขอให้เป็นท่ีพึ่งก็มี ร้องไห้ก็มี เพ้อคร�่ำครวญก็มี ข้าศึกบางพวกว่ิงหนีเข้าป่า บางพวกว่ิงเตลิดลงทะเล บางพวก ว่ิงขึ้นภูเขาเหมือนม้า พระเจ้าวิชัยพาหุทรงรบฆ่าฟันทหารข้าศึกเสียชีวิตจ�ำนวนมาก ขับไล่พระเจ้าจันทรภาณุท้ิงอาวุธหนีไป„ (Phramahanamathera, 2010. p. 296) สงครามครั้งนี้ความพ่ายแพ้ก็ตกแก่พระเจ้าจันทรภาณุเช่นเดิมจนสุดท้ายพระองค์ทรง สวรรคตในสงคราม (Rajavaliya, 2000, p. 117) สันนิษฐานว่าด้วยความย่ิงใหญ่ เกรียงไกรของกองทัพทมิฬปัณฑยะจึงเป็นเหตุให้ให้พระองค์พ่ายแพ้จนส้ินพระชนม์ คร้ันพระเจ้าจันทรภาณุสวรรคตแล้ว กษัตริย์ทมิฬปัณฑยะได้แต่งต้ัง พระโอรสของพระเจ้าจันทรภาณุให้เป็นกษัตริย์ครอบครองบริเวณตอนเหนือ (ปัจจุบัน เรียกว่าเมืองจัฟฟ์นา) ด้วยการอ้างว่า ”โอรสย่อมได้รับสิทธิ์ตกทอดจากพระราชบิดา„ แม้กษัตริย์สิงหลจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่สามารถคัดค้านได้ ความจริงคือกษัตริย์ ปณั ฑยะตอ้ งการใหพ้ ระโอรสของพระเจา้ จนั ทรภาณุ ทำ� หนา้ ทต่ี รวจสอบและคานอำ� นาจ กษัตริย์ลังกาไม่ให้เข็มแข็งเกินกว่าจะควบคุมได้ อีกท้ังต้องการถ่วงอ�ำนาจกษัตริย์ ศรลี งั กา และเหตทุ เี่ ลอื กหวั เมอื งจฟั ฟน์ ากด็ ว้ ยเหตวุ า่ หา่ งไกลจากเมอื งหลวงของกษตั รยิ ์ สิงหล และต้ังอยู่บริเวณท่าเรือส�ำคัญแห่งหน่ึงของศรีลังกา นับแต่น้ันเป็นต้นมา เกาะลังกาหาได้มีสงครามหรือการก่อกบฏเกิดข้ึนอีกนับเป็นเวลาหลายทศวรรษ ประเด็นน่าศึกษาเพ่ิมเติมคือความย่ิงใหญ่แห่งกองทัพเรือของพระเจ้า จันทรภาณุ เพราะการจะยกทัพไปตีเกาะลังกาน้ันเห็นว่าต้องใช้ก�ำลังทหารเป็นจ�ำนวน มาก แสดงให้เห็นถึงความล้�ำหน้าด้านการต่อเรือของอาณาจักรตามพรลิงค์ สันนิษฐาน ว่ากษัตริย์ตามพรลิงค์น่าจะได้รับมรดกตกทอดมาจากอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งยอมรับกัน
บทความวิชาการ ๑ 273 ว่าเป็นผู้ทรงพลานุภาพด้านกองทัพเรือ ส่วนผู้ช�ำนาญการเดินทางเรือท้ังลมมรสุมและ เสน้ ทางนา่ จะเปน็ พอ่ คา้ ชาวทมฬิ แหง่ อนิ เดยี ใต้ เพราะหลกั ฐานจากจารกึ หลายแหง่ ลว้ น ระบุว่ามีพ่อค้าชาวอินเดียใต้เดินทางมาท�ำการติดต่อค้าขายกับเมืองตามพรลิงค์ นับหลายศตวรรษก่อนท่ีจะแยกตนปกครองเป็นอิสระ (Inscription in Thailand vol.i, 1986, pp. 52-55) สว่ นคตคิ วามเชอื่ เรอ่ื งพระเขย้ี วแกว้ และบาตรของพระพทุ ธเจา้ ในฐานะส่ิงศักด์ิสิทธิ์คู่บ้านนั้น สันนิษฐานว่าพระเจ้าจันทรภาณุน่าจะได้คติมาจาก พระสงฆ์ศรีลังกา ซ่ึงเดินทางมาเผยแผ่ลัทธิลังกาวงศ์ที่ตามพรลิงค์ สังเกตได้จาก ตำ� นานหลายเลม่ ของนครศรธี รรมราชลว้ นอา้ งถงึ วา่ พระเขย้ี วแกว้ ไดเ้ คยมาประดษิ ฐาน ทหี่ าดทรายแกว้ เมอื งนครศรธี รรมราช กอ่ นจะอญั เชญิ ไปประดษิ ฐานทป่ี ระเทศศรลี งั กา ในภายหลัง สรุป หลกั ฐานเบอ้ื งตน้ ชใี้ หเ้ หน็ แลว้ วา่ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งศรลี งั กากบั ประเทศไทย ปรากฏชดั เจนทางศาสนาก่อน รอ่ งรอยความสัมพนั ธด์ งั กลา่ วพบเห็นหลักฐานฝ่ายไทย เป็นหลัก ขณะที่ฝ่ายศรีลังกากล่าวถึงน้อยนัก อาจเป็นเพราะสมัยนั้นประเทศไทยท�ำ หน้าที่เป็นผู้รับอิทธิพลลังกาวงศ์ฝ่ายเดียว ไม่สามารถสร้างความยิ่งใหญ่จนมีบทบาท เหนือศรีลังกา ครั้นเข้าสู่ยุคสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะ การพระศาสนาของศรีลังกา ทรุดโทรมเส่ือมถอย เหตุเพราะความวุ่นวายทางการเมือง กษัตริย์ศรีลังกาจึงได้นิมนต์ พระสงฆ์จากอาณาจักรตามพรลิงค์ไปช่วยฟื้นฟูพระศาสนา เหตุการณ์ส�ำคัญดังกล่าว เปน็ เหตใุ หน้ กั ปราชญศ์ รลี งั กาบนั ทกึ ไวเ้ ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร สว่ นความสมั พนั ธท์ างการ เมืองก็ปรากฏเห็นในยุคสมัยเดียวกันแต่เป็นลักษณะคู่สงคราม โดยหลักฐานศรีลังกา ช้ีบอกว่ากษัตริย์แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์ ได้ยกทัพไปบุกรุกเกาะลังกาถึงสองคร้ัง เพราะต้องการยึดครองพระเขี้ยวแก้วอันเป็นส่ิงศักด์ิสิทธ์ิของชนชาวเกาะลังกา หากมองอีกมุมหน่ึง การท�ำสงครามระหว่างไทยกับศรีลังกาอาจมีสาเหตุมา จากความต้องการครอบครองเส้นทางการคา้ ทางทะเล เพราะสมยั น้ันอทิ ธิพลเหนือน่าน น�้ำทะเลอินเดียของจักรวรรดิโจฬะเริ่มอ่อนแรงลง เปิดช่องให้อาณาจักรน้อยใหญ่เข้า แทรกแซงขยายอำ� นาจเขา้ แทนที่ ขณะทอ่ี าณาจกั รดมั พเดณยิ ะของศรลี งั กากำ� ลงั วนุ่ วาย
274 ภาคผนวก ก กับการสร้างบ้านแปลงเมือง อาณาจักรตามพรลิงค์ในฐานะผู้รับมรดกความยิ่งใหญ่ ต่อจากอาณาจักรศรีวิชัย โดยเฉพาะความแข็งแกร่งเกรียงไกรของกองทัพเรือ จึงยก ทัพเข้าโจมตีเกาะลังกาถึงสองคร้ัง แม้จะต้องพบกับความพ่ายแพ้ทั้งสองคร้ัง แต่ก็ชี้ ให้เห็นว่าตามพรลิงค์ยุคน้ันยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพียงไร ส่วนการนิมนต์พระธรรมกิตติ เถระไปช่วยฟื้นฟูพระศาสนาก็ดี การส่งพระพุทธสิหิงค์มาถวายกษัตริย์ตามพรลิงค์ก็ดี สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นการประนีประนอมของศรีลังกาโดยใช้ศาสนาน�ำหน้าการเมือง References Cedes, G. (1961) Siam Inscription Annals part 2. Inscription of Dvaravadi, Srivijaya and Lavo. Chumpengpan, P. (1980). Tambralinga. A thesis submitted for the degree Master of Arts, Silpakorn University. Codrington, H.W. (1994). A Short History of Ceylon. New Delhi: Asian Educational Services. De Silva, C.R. (2001). Sri Lanka: A History. New Delhi: Vikas Publishing House. Dhammavisuddhi, Y. (1970). The Buddhist Sangha in Ceylon (circa 1200-1400 A.D.). Thesis submitted for the degree of Doctor of Philosophy, University of London. Fine Arts Department. (1969). Record of Relationship between foreign countries in 12nd Century part 1. Translated by Pairot Keitmeinkit. Phranakhon: The Teacher Council of Thailand. Godakumbur, C.E. (Ed.) (1956). Hatthavanagallaviharavamsaya. London, England: P.T.S. Gunawardana, R.A.L.H. (1979). Robe and Plough. Arizona: The University of Arizona Press. Hettiaratchi, D.E. (1960). History of Ceylon, Vol. I, part II. Colombo: Ceylon University Press.
บทความวิชาการ ๑ 275 IIangasinha, H.B.M. (1992). Buddhism in Medieval Sri Lanka. Delhi: Sri Satguru Publication. Inscription in Thailand Vol.1. (1986). Bangkok: Phappim Publication. Inscription in Thailand Vol.5. (1986). Bangkok: Phappim Publication. Ishii, Y. (1998). The Junk Trade from Southeast Asia: Translation from the Tosen Fusetsugaki 1674-1753. Singapore: Institute of Southeast Asia Studies. Kerdsiri, K. (2017). The Great Stupa of Nakhon Si Thammarat. Bangkok: E.T. Publishing Company Limited. Liyanagamage, A. (1967). The Decline of Polonnaruwa and the Rise of Dambadeniya. Colombo: the Department of Cultural Affairs. Liuchaichan, B. (2012). The Establishment of Sri Lankan Buddhism in Thailand during the Dvaravati Period. Bangkok: Smapan Publication Limited. Malalasekera, G.P. (1994). The Pali Literature of Ceylon. Kandy: Buddhist Publication Society. Munoz, P.M. (2006). Early Kingdoms. Singapore: Editions Didier Millet. Noonsuk, P. (2001). The History of Nakhon Si Thammarat: The Development of States on the Thai Peninsula from the Sixth to the Fourteenth Centuries A.D. A dissertation submitted for the degree of Doctor of Philosophy. Chulalongkorn University. Paranavitana, S. (1966). Ceylon and Malaysia. Colombo: Lake House Investment. Phrabodhirangsi. (1963). A Story of Phrabuddhasihing: the Chronicle of Phrabuddhasihing. Translated by Pol.Lt. Seng Manavitur. Bangkok: Fine Arts Department.
276 ภาคผนวก ก Phrabodhirangsi. (2011). A Story of Chammadevivamsa of Haribhunchai. Translated by Phrayapariyatthammathada (Pea Talalakma) and Phrayanwichit (Siddhi Locananon). Nontaburi: Sripanya Publication. Phramahanamathera. (2010) Mahavamsa vol.2. Translated by Assist. Prof. Sutep Promlerd. Bangkok: Mahachulalonkorn rajavidyalaya Publication. Phranibbanasotra. Version of Southern Cultural Institute 1. (1985). Bangkok: Krungsiam Publication. Phraratanapanyathera. (2007). Jinakalamalipakorn. Translated by Pol.Lt. Seng Manavitur. Bangkok: Ramthai Place Company Limited. Piyakul, C. (1995). A Study of the Legend ”Phlao Nang Lued Khao„ of Wat Khian Bang Kaeo, Amphoe Khao Chaison, Changwat Patthalung. A Thesis submitted for the degree Master of Arts, Srinakharinwirot University. Pongsripian, W. (2011) Inscription of Chandrabanu Sriraja: Memorial Heritage of Nakhon Si Thammarat in 100 Important Documents: Variety of Thai History 10 rank. Bangkok: The Thai Research Fund. Rajavaliya. (2000). Translated by A.V. Suraweera. Ratmalana: Vishva Lekha. Rasavahini. (1961). ed. K. jnanavimala, Colombo. Ratnapala, N. (1971). The Katikavatas: Laws of the Buddhist Order of Ceylon from the 12th Century to the 18th Century. Munchen: Mikrokopie GmbH.
บทความวิชาการ ๑ 277 Reed, A. (2005). The Southeast Asia in Trading Aged 1450-1680 Centuries vol.1: the Land under the Wind. Translated by Pongsri Lekhawattana. Bangkok: The Thai Research Fund. Rupasiddhi. (1964). ed K Pannasekhara, Colombo. Saddhammaratnakaraya. (1955). Ed. Ven. K. Sugunasara. Colombo. Samantakutavannana. (1959). ed. K. jnanavimala, Colombo. Sastri, N. (1929). The Pandyan Kingdom. London: Luzac & Co. Sirisena, W.M. (2016). Sri Lanka and South-East Asia. Colombo: S Godage & Brothers. Srisuchat, A. (2014) Srivijaya in Suvannadvipa. Bangkok: Rungsilkarnpim Company. Thamkirati, K. (2007). The Relations between Nakhon Si Thammarat and Ayutthaya from the Mid-Fifteenth Century to the End of the Eighteenth Centuries A.D. A thesis submitted for the degree for Master of Arts, Silpakorn University. The Chronicle of Nakhon Si Thammarat City. (1938). Phranakhon: Yimsri Publication. The Chronicle of Stupa of Nakhon Si Thammarat. (1928). Phranakhon: Phosonpipattanakorn Publication. The Inscription Annals part 1. (1978). Banghkok: Cabinet Publishing and Gazettes Office. The Nikaya Sanghahawa. (1908) Translated into English by C.W. Fernando. Colombo: H.C. Cottle, Government Printer, Ceylon. Wallibhodome, S. (2005). ”Ancient Community in the South„ Source of Civilization in Thai peninsular. Bangkok: Pimdee Company Limited. Wheatley, P. (1966). The Golden Khersoness. Kuala Lumpur: University of Malaysia Press.
278 ภาคผนวก ข คติความเชื่อลัทธิลังกาวงศ์ในวรรณกรรมทักษิณ* (Cult of Lankavamsa Buddhism in Southern Literatures of Thailand) บทคัดย่อ พระพทุ ธศาสนาลทั ธลิ งั กาวงศเ์ ขา้ สบู่ รเิ วณภาคใตข้ องประเทศไทยสมยั อาณาจกั ร ตามพรลงิ ค์ สามารถประดษิ ฐานมน่ั คงถาวรเพราะไดร้ บั การสนบั สนนุ อปุ ถมั ภเ์ ปน็ อยา่ ง ดีจากสถาบันพระมหากษัตริย์ ปรากฏเห็นเป็นหลักฐานจ�ำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นปูชนีย สถานคือพระบรมธาตุเจดีย์ ประติมากรรมคือพระพุทธรูปปางน้อยใหญ่ และหลักฐาน อ้างอิงจากต่างประเทศ ซ่ึงข้อมูลเหล่าน้ีล้วนเป็นเคร่ืองช้ีบอกถึงอิทธิพลของพระ พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์บริเวณอาณาจักรตามพรลิงค์ นอกจากนั้น ยังบ่งถึง สัมพันธไมตรีระหว่างสองแผ่นดินกล่าวคือศรีลังกาและไทย แต่มีส่ิงหนึ่งซึ่งนักวิชาการ ไทยยงั ไมใ่ หน้ ำ�้ หนกั เทา่ ทค่ี วรคอื วรรณกรรม เพราะมองเหน็ วา่ เปน็ เพยี งเรอื่ งเลา่ สบื ทอด กันมาไม่มีน�้ำหนักพอท่ีจะยืนยันได้ จึงเป็นเหตุให้เกิดช่องว่างทางบริบทประวัติศาสตร์ ผู้เขียนเห็นว่าหากมีการวิเคราะห์วรรณกรรมทักษิณ โดยเฉพาะการยกประเด็นส�ำคัญ เก่ียวกับคติความเชื่อของลัทธิลังกาวงศ์ ซ่ึงเป็นท่ีรู้จักแพร่หลายของสังคมไทย ย่อมจะเกิดประโยชน์และสามารถชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของลัทธิลังกาวงศ์บริเวณภาคใต้ ของประเทศไทยอย่างชัดเจน ค�ำส�ำคัญ : ลัทธิลังกาวงศ์, อาณาจักรตามพรลิงค์, วรรณกรรมทักษิณ * ตีพิมพ์ในวารสารการประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 2 วิทยาลัยสงฆ์น่าน มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 9 กันยายน 2561
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320