ตามพรลิงค์ 29 ดาวดึงส์เทวโลกของพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยเหล่าเทวดาและพรหมผู้ใหญ่๖ และน่าจะ เป็นต้นแบบเทศกาลโทโวโรหณะสืบมาถึงปัจจุบัน ๔) จารึกบนฐานพระพุทธรูปวัดหัวเวียง๗ จารึกบนฐานพระพุทธรูป พบท่ีวิหารวัดเวียง ต�ำบลเวียง อ�ำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เม่ือพุทธศักราช ๒๔๔๗ ลักษณะจารึกอยู่บนฐานพระพุทธรูป นาคปรก อักษรจารึกกว้าง ๗.๕ ซม. ยาว ๕๖ ซม. จารึกอักษรมีจ�ำนวน ๑ ด้าน มี ๕ บรรทัด จารึกเป็นอักษรขอม ภาษาเขมร ระบุว่าพุทธศักราช ๑๗๒๖ ในประชุม ศลิ าจารึกสยามภาคท่ี ๒ ก�ำหนดเปน็ หลักท่ี ๒๕ ปจั จบุ ันเกบ็ รักษาไวท้ พ่ี ิพธิ ภัณฑสถาน แห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร ส�ำหรับลักษณะของพระพุทธรูปน้ันเป็นปางประทับน่ังอยู่ใต้เศียรนาค พระหัตถ์ขวาช้ีพระธรณีแบบปางมารวิชัย องค์พระกับตัวนาคีเป็นช้ินเดียวกัน ตัวนาค ตั้งอยู่บนฐานสี่เหล่ียมผืนผ้า ซ่ึงหล่อติดเป็นชิ้นเดียวกัน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ได้มาจากวิหารวัดเวียง อ�ำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขณะเสดจ็ ไปตรวจราชการหวั เมอื งชายทะเลใต้ เมอื่ รตั นโกสนิ ทร์ ศก ๑๒๓ (พทุ ธศกั ราช ๒๔๔๗) โดยโปรดเกล้าฯ ให้พระยาวรสิทธิ์เสวีวัตร์ (ไต้ฮัก) ซึ่งเป็นข้าหลวงเทศาภิบาล มณฑลชุมพรขณะนั้น ให้จัดส่งข้ึนมายังกรุงเทพมหานคร พร้อมกับศิลาจารึกอีก ๒ หลัก คือ จารึก สฏ.๓ และ สฏ.๔ พระยาวรสิทธิ์เสวีวัตร์ได้มอบให้หลวงเสวีวรราช (แดง) ซ่ึงเป็นนายอ�ำเภอพุมเรียงเวลานั้นน�ำข้ึนมาถวายในกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๔๗ เนอื้ ความของจารกึ กลา่ วถงึ พระเจา้ ศรมี ตั ไตรโลกยราช เมาลภิ ษู นวรมเทวะ มีพระราชโองการให้เสนาบดีตลาไนเจ้าเมืองครหิ อาราธนากมรเตงศรีญาโนเป็นผู้ท�ำ หน้าที่หล่อพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้น เมื่อ พ.ศ.๑๗๒๖ เพ่ือให้ศรัทธาสาธุชนได้สักการบูชา ๖ Anuradha Seneviratna, Polonnaruva: Medieval Capital of Sri Lanka, (Colombo: Department of Archaeological Survey, 1998), pp. 269-270. ๗ จารึก ๕, หน้า ๑๑๗-๑๒๐.
30 หลักฐานทางโบราณคดี และน้อมน�ำผู้คนให้เพ่งพิจารณาจนสามารถเข้าถึงพระนิพพาน สันนิษฐานว่าพระนาม ดังกล่าวน่าจะเป็นพระสมญานามกษัตริย์พระองค์หนึ่งแห่งราชวงศ์ปทุมวงศ์ เพราะ ระยะเวลาห่างจากพระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมราชไม่ถึงห้าทศวรรษ หากเป็นเช่นน้ัน แสดงว่าเมืองไชยาหรือครหิสมัยนั้นน่าจะเป็นเมืองข้ึนของอาณาจักรตามพรลิงค์ ๕) จารึกวัดมเหยงค์๘ จารึกหลักน้ีพบท่ีวัดมเหยงค์ อ�ำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๖ ลักษณะของศิลาจารึกเป็นรูปส่ีเหลี่ยม ช�ำรุดมีรอยหักด้านข้างขวา ซ้ายท้ังสองข้าง กว้าง ๕๘ ซม. ยาว ๑๑๒ ซม. และหนา ๑๑ ซม. จารึกอักษรมี ๑ ด้าน มี ๖ บรรทัด จารึกเป็นตัวอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ ในประชุมศิลาจารึกสยามภาคที่ ๒ ก�ำหนดเป็นหลักที่ ๒๗ (Inscriptions du Cambodge ก�ำหนดเป็นหลักท่ี K407) ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร จารึกหลักนี้ได้มาจากวัดมเหยงค์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ขนย้ายมา อยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๖๖ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ด�ำรงราชานุภาพ ได้รับส่ังให้ย้ายมาเก็บรักษาไว้ในหอพระสมุดส�ำหรับพระนคร พร้อมกับจารึกหลักอื่น ต่อมามีการเคลื่อนย้ายอีกหลายครั้ง จนกระท่ัง พ.ศ.๒๕๒๑ กรมศิลปากรต้องการให้ศิลาจารึกอยู่ในความรับผิดชอบของกองพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติตามกฎหมาย จึงย้ายจารึกหลักนี้และหลักอื่นส่วนใหญ่มาเก็บไว้ที่หมู่ พระวิมาน ห้องอุตราภิมุขในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากจารึกหลักนี้ส่วนต้นและส่วนปลายหักหายไปคงเหลือแต่ ส่วนกลาง เนื้อความในจารึกจึงขาดช่วงไม่ปะติดปะต่อกัน พอสรุปความได้เพียงว่า เป็นค�ำกล่าวถึงระเบียบหรือแบบแผนในการปฏิบัติธรรมอย่างใดอย่างหน่ึง และการ อุปถัมภ์พระสงฆ์หรือนักบวช เน้ือความตอนหน่ึงของจารึกระบุว่า ”... จงฺกรฺมาศนคฺฤหํ ๘ จารึก ๑, หน้า ๔๔-๔๗.
ตามพรลิงค์ 31 โสโปษธาคารกมฺ ภกฺตํ สางฺฆิกเปาทฺคลมฺ ปรฺติทินํ ...„ แปลความว่า ”... ระเบียงแล หอ้ งอาหารกบั อโุ บสถาคาร อาหารสำ� หรบั คณะสงฆแ์ ละบคุ คลตา่ งๆ ...„ ตรงนสี้ นั นษิ ฐาน ว่าน่าจะบ่งถึงการจัดเตรียมอาหารหวานคาวถวายพระสงฆ์ผู้ท�ำสังฆกรรมในวิหาร ขนาดใหญ่ หากเป็นเช่นนั้นแสดงว่าสมัยน้ันอาณาจักรแห่งน้ีน่าจะมีพระสงฆ์พ�ำนัก พักอาศัยเป็นจ�ำนวนมาก สอดคล้องกับข้อมูลจากบันทึกของพระภิกษุอ้ีจิ้งผู้เดินทาง มาแวะพักอาณาจักรศรีวิชัย ได้ระบุว่ามีพระสงฆ์นักศึกษามากกว่า ๑,๐๐๐ รูป ก�ำลังศึกษาเล่าเรียนพระธรรมค�ำสอน๙ ๖) จารึกวัดมหาธาตุเมืองนครศรีธรรมราช๑๐ จารึกหลักน้ีพบที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อ�ำเภอเมือง จังหวัด นครศรีธรรมราช ลักษณะของศิลาจารึกเป็นแผ่นส่ีเหลี่ยม กว้าง ๑๘.๕ ซม. ยาว ๘๔ ซม. จารึกอักษรมีจ�ำนวน ๑ ด้าน มี ๑ บรรทัด จารึกเป็นอักษรปัลลวะ ภาษามอญโบราณ พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ ในการประชุมศิลาจารึกสยามภาคที่ ๒ ก�ำหนดเป็นหลักที่ ๒๘ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ท่ีวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อ�ำเภอเมือง จงั หวดั นครศรธี รรมราช เบอ้ื งตน้ ศาสตราจารยย์ อรช์ เซเดสเ์ ปน็ ผแู้ ปล แตก่ รมศลิ ปากร เห็นว่ายังไม่ถูกต้องแท้จริง จึงมอบหมายให้นายจ�ำปา เยื้องเจริญ ซ่ึงเป็นผู้เช่ียวชาญ ภาษามอญโบราณของกองหอสมุดแห่งชาติเป็นผู้แปลถอดความและอธิบาย ส�ำหรับข้อความในจารึกนั้นสันนิษฐานว่าแต่เดิมคงจะจารึกไว้ใต้ฐานรูป อันใดอันหนึ่ง แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นพระพุทธรูปหรือเทวรูป ต่อมาได้แตกแยก ออกจากกนั จงึ เหลือเพยี งชิ้นสว่ นรปู ส่ีเหลีย่ มผืนผ้า ซึง่ ไดน้ ำ� มาใช้เปน็ องคป์ ระกอบของ ขั้นบันไดดังปรากฏเห็นในปัจจุบัน ข้อความของจารึกมีบรรทัดเดียวว่า ภู//ตมายาลง เคสวระ// แปลความว่า รูปจ�ำลอง// พ่อมายาแห่งหัวเมืองช้ันนอก ผู้งามสว่างประดุจ ๙ Takakusu, J., A Record of the Buddhist Religion as Practiced in India and Malay Archipelago (671-695) by I-Tsing, (Oxford: Clarendon Press, 1966), pp. 10-14. ๑๐ จารึก ๒, หน้า ๓๘-๔๑.
32 หลักฐานทางโบราณคดี ถ่านไฟท่ีก�ำลังลุกโชน// ตรงน้ีสันนิษฐานว่าน่าจะหมายถึงเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งของ ศาสนาฮินดู ผู้วิจัยเช่ือว่า ”พ่อมายาแห่งหัวเมืองช้ันนอก„ น่าจะบ่งถึงพระศิวะเป็นแน่ เพราะสมัยอดีตศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายทรงอิทธิพลต่ออาณาจักรตามพรลิงค์ โดยเฉพาะการสร้างระบบความเช่ืออย่างหน่ึงชื่อว่าตีรถะ ด้วยการสร้างเทวาลัยอยู่บน ภูเขาหรือเรียกว่าเทวาลัยแห่งภูเขา เพราะเช่ือว่าองค์พระศิวะเป็นเจ้าแห่งป่า๑๑ ๗) จารึกวิหารโพธ์ิลังกา๑๒ จารึกหลักน้ีพบท่ีพระวิหารโพธ์ิลังกา วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อ�ำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เม่ือวันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๔ ลักษณะจารึก เป็นรูปใบเสมาประเภทหินทราย กว้าง ๓๗ ซม. สูง ๗๖ ซม. และหนา ๑๔ ซม. จารึกอักษรมีจ�ำนวน ๑ ด้าน มี ๘ บรรทัด จารึกเป็นอักษรมอญโบราณ ภาษามอญ และภาษาพม่าโบราณ ประมาณพุทธศักราช ๑๗๗๕-๑๘๒๕ ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ท่ี พระวิหารโพธ์ิลังกา วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อ�ำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นท่ีน่าสังเกตว่าถ้าศิลาจารึกหลักนี้ประดิษฐานอยู่ในบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช มาแต่เดิม มิได้เคล่ือนย้ายมาจากที่อ่ืน แล้วอักษรมอญและภาษามอญโบราณปรากฏ มีท่ีจังหวัดนครศรีธรรมราชได้อย่างไร หรือว่าอิทธิพลของวัฒนธรรมทวารวดีเข้ามามี บทบาทต่อชุมชนบริเวณน้ีตั้งแต่สมัยน้ัน เนอ้ื ความของจารกึ กลา่ วถงึ พญานาค ๒ ตวั กำ� ลงั ชเู ศยี รแผพ่ งั พานพรอ้ ม ค�ำรามเสียงดังลั่น เสมือนก�ำลังแสดงความเคารพนอบน้อมพระอาทิตย์ หลักฐานตรง น้ีสอดคล้องกับเน้ือหาในคัมภีร์ทีปวงศ์ซึ่งกล่าวถึงการอัญเชิญต้นพระศรีมหาโพธ์ิ จากอินเดียมาประดิษฐานท่ีเกาะลังกา มีเหล่าเทวดาและพวกนาคพากันบูชาต้น พระศรีมหาโพธิ์ตลอดเส้นทางจนถึงเกาะลังกา๑๓ หลักฐานอีกแห่งหนึ่งปรากฏเห็นใน ๑๑ ปรีชา นุ่นสุข, ”ประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช: พัฒนาการของรัฐบนคาบสมุทรไทย ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๑-๑๙„, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๔), หน้า ๑๙๓. ๑๒ จารึก ๒, หน้า ๑๑๒-๑๑๘. ๑๓ ทีปวงศ์, หน้า ๗๙-๘๒.
ตามพรลิงค์ 33 คัมภีร์สมันตปาสาทิกาความว่า สมัยพระสังฆมิตตเถรีอัญเชิญหน่อพระศรีมหาโพธิ์ มาเกาะลังกา ระหว่างเดินทางในมหาสมุทรพวกนาคได้อัญเชิญพระเถรีน�ำต้นมหาโพธิ์ ไปสู่นาคพิภพแล้วบูชาด้วยราชสมบัติเป็นเวลาหน่ึงสัปดาห์๑๔ สันนิษฐานว่าเน้ือความ ของจารกึ หลกั นน้ี า่ จะถอดแบบมาจากคมั ภรี ท์ ปี วงศแ์ ละคมั ภรี ส์ มนั ตปาสาทกิ าดงั กลา่ ว เพื่อต้องการชี้ให้เห็นว่าต้นศรีมหาโพธ์ิแห่งน้ีมีความส�ำคัญและเช่ือมโยงกับต้น พระศรีมหาโพธ์ิแห่งเกาะลังกา ๘) จารึกดงแม่นางเมือง๑๕ จารึกหลักนี้มีราษฎรพบที่ดงแม่นางเมือง ต�ำบลบางตาหงาย อ�ำเภอ บรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ เม่ือเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๔๙๙ ลักษณะจารึกเป็น รูปใบเสมาประเภทหินชนวนสีเขียว กว้าง ๓๗ ซม. สูง ๑๗๕ ซม. และหนา ๒๒ ซม. จารึกอักษรมีจ�ำนวน ๒ ด้าน ด้านท่ี ๑ มี ๑๐ บรรทัด ส่วนด้านที่ ๒ มี ๓๓ บรรทัด จารึกเป็นอักษรขอม ภาษาบาลี เขมรและไทย ระบุว่าพุทธศักราช ๑๗๑๐ ในประชุม ศิลาจารึกภาคท่ี ๓ ก�ำหนดเป็นหลักท่ี ๓๕ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ท่ีพิพิธภัณฑสถานแห่ง ชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร เน้ือความของจารึกกล่าวถึงพญาศรีธรรมาโศกสองพระองค์กล่าวคือ พระชนกและพระราชโอรส พญาศรีธรรมาโศกผู้โอรสประสงค์จะถวายท่ีดินบูชาแก่ พระบิดาผู้สวรรคต จึงมีพระราชโองการให้มหาเสนาบดีช่ือศรีภูวนาทิตย์อิศวรทวีปไป แจ้งแก่เจ้าผู้ครองธานยปุระ ”ให้ถวายท่ีนาซึ่งได้ก�ำหนดเขตไว้แล้ว„ เร่ืองราวเก่ียวกับ พระเจ้าศรีธรรมาโศกทั้งสองพระองค์ยังปรากฏเห็นในหนังสือเอกสารประวัติศาสตร์ เมืองพัทลุง ซึ่งแต่งเม่ือ พ.ศ.๒๒๗๒ สมัยกรุงศรีอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระภูมินทร- ราชา (ขุนหลวงท้ายสระ) เล่าเรื่องนางเลือดขาวมีใจความตอนหน่ึงเกี่ยวกับพระเจ้า ศรีธรรมาโศกท้ังสองพระองค์ว่า ”นางและเจ้าพญา (คือนางเลือดขาวและพระกุมาร ๑๔ สมันต ๑, หน้า ๑๒๒. ๑๕ จารึก ๕, หน้า ๑๐๙-๑๑๔.
34 หลักฐานทางโบราณคดี ผู้เป็นสามี) กรีธาพลกับหลังมายังสทังบางแก้วเล่าแล กุมารก็เลียบดินดูจะสร้างเมือง ก็มาถึงแขวงเมืองนครศรีธรรมราชและก็สร้างพระพุทธรูปเป็นหลายต�ำบล จะต้ัง เมืองบมิได้ เหตุน้�ำน้ันเข้า หาพันธุ์สักบมิได้ ก็ให้มาต้ัง ณ เมืองนครศรีธรรมราช แลญังพระศพธาตุแลเจ้าพระยาศรีธรรมโศกราช ถูกเจ้าศรีธรรมโศกราชนั้น„๑๖ น่าเสียดายไม่สามารถยนื ยันได้วา่ การถวายที่นาดังกลา่ วบ่งถงึ ลทั ธิศาสนาใด หากตรวจ สอบพุทธศักราชเชื่อแน่ว่าน่าจะเป็นสมัยเร่ิมต้นแห่งปทุมวงศ์ผู้ปกครองอาณาจักร ตามพรลิงค์ เนื่องจากระยะเวลาเพียงหนึ่งทศวรรษก่อนถึงการครองราชย์ของพระเจ้า จันทรภาณุ และจารีตปฏิบัติดังกล่าวเห็นจะเลียนแบบประเพณีของกษัตริย์ศรีลังกา๑๗ ๙) จารึกหุบเขาช่องคอย๑๘ ศิลาจารึกหลักนี้นายจรง ชูกล่ินและนายถวิล ช่วยเกิด พบท่ีต�ำบล ควนเกย อ�ำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช วันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ.๒๕๒๒ ลักษณะจารึกเป็นแผ่นศิลาธรรมชาติในพื้นที่บริเวณหุบเขาช่องคอย กว้าง ๑.๖๐ เมตร ยาว ๖.๘๓ เมตร และหนา ๑.๒๐ เมตร จารึกเป็นอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต พุทธศตวรรษที่ ๑๒ มีจ�ำนวน ๓ ตอน ตอนที่ ๑ มี ๑ บรรทัด ตัวอักษรสูง ๒๕ เซนติเมตร ตอนที่ ๒ มี ๔ บรรทัด ตัวอักษรสูง ๗ เซนติเมตร และตอนท่ี ๓ มี ๒ บรรทัด ตัวอักษรสูง ๗ เซนติเมตร เน้ือความของจารึกกล่าวถึงการเคารพบูชาพระศิวะ ”ศฺรีวิทฺยาธิการสฺย„ ผู้เป็นพระสวามีแห่งนางวิทยาเทวี สันนิษฐานว่ากลุ่มชนผู้สร้างศิลาจารึกหุบเขาช่อง คอยนี้ จะต้องเป็นกลุ่มชนท่ีใช้ภาษาสันสกฤตนับถือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวะนิกาย และน่าจะเดินทางเข้ามาพ�ำนักอาศัยในบริเวณน้ันเป็นการช่ัวคราว คงไม่ใช่กลุ่มชนท่ี ๑๖ จารึก ๕, หน้า ๑๑๕. ๑๗ Yatadolawatte Dhammavisuddhi, ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกายุคกลาง: ว่าด้วยนิกายสงฆ์ การบริหารทรัพย์สิน การศึกษาสงฆ์ คติความเช่ือ และการฟื้นฟูพระศาสนา. แปลโดยพระมหาพจน์ สุวโจ, ดร., (นครปฐม: สาละพิมพการ, ๒๕๕๙), หน้า ๘๘-๑๐๔. ๑๘ จารึก ๑, หน้า ๔๘-๕๕.
ตามพรลิงค์ 35 อยู่ประจ�ำถ่ิน โดยได้ก�ำหนดสถานที่บริเวณศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยเป็นศิวสถาน เพื่อปฏิบัติศาสนกิจตามจารีตแห่งตน พร้อมกันนั้นได้อบรมสั่งสอนผู้ร่วมเดินทางให้ ส�ำนึกในความเป็นคนต่างถ่ินพลัดบ้านเมืองมา ให้ประพฤติตนเป็นคนดี จะได้พักนัก อาศัยอยู่ร่วมกันในสังคมท่ีมีขนบธรรมเนียมแตกต่างกันอย่างสงบสุข จารึกหลักน้ีช้ีให้เห็นว่าบริเวณเมืองนครศรีธรรมราชสมัยอดีต มีการ เดินทางเข้าออกของพ่อค้าชาวอินเดียเป็นปกติวิสัย นอกจากนั้นยังมีการน�ำคติความ เชื่อของตนติดตัวมาด้วย ประเด็นชวนคิดคือกษัตริย์แห่งอาณาจักรบริเวณนี้น่าจะเปิด กว้างด้านเสรีภาพแก่ทุกศาสนา โดยแต่ละศาสนิกสามารถประกอบพิธีกรรมตาม ความเชื่อแห่งตนได้อย่างอิสระ สอดคล้องกับเนื้อหาในจารึกมเหยงค์ จารึกวัดมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช และจารึกเขาพระนารายณ์ จังหวัดพังงา ซ่ึงเป็นจารึกร่วม สมัยเดียวกันและมีเน้ือหาไปในทิศทางเดียวกัน และหากพิจารณาให้ละเอียดจะเห็นว่า ผู้อพยพมาใหม่มีอิทธิพลต่อคนพื้นเมืองค่อนข้างสูง โดยเฉพาะชาวอินเดียถือว่าเป็น ผู้มีส่วนสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่อาณาบริเวณคาบสมุทรมาเลย์อย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจนเด่นชัด หากเช่ือมโยงข้อมูลจากศิลาจารึกเบ้ืองต้นทั้งหมด สามารถสรุปประเด็น ส�ำคัญดังน้ี ประเด็นแรกเกี่ยวกับการเมือง หลักฐานจากจารึกระบุชัดเจนว่าบริเวณ แถบนี้มีอาณาจักรศรีวิชัยครอบครองมาแต่เดิมก่อนจะเปล่ียนมาเป็นอาณาจักร ตามพรลงิ คใ์ นภายหลงั หลกั ฐานคอื การปรากฏพระนามของกษตั รยิ จ์ ากเดมิ เปน็ พระเจา้ ศรีวิชัยเป็นพระญาศรีธรรมาโศกราชและพระเจ้าจันทรภาณุตามล�ำดับ สันนิษฐานว่า การเปล่ียนแปลงเช่นนี้คงมิได้เกิดจากการขัดแย้งภายใน น่าจะเกิดจากปัจจัยภายนอก กลา่ วคอื การรกุ รานของทมฬิ โจฬะ อกี ประเดน็ หนง่ึ เปน็ เรอ่ื งศาสนา หลกั ฐานชวี้ า่ บรเิ วณ แถบน้ีมีความหลากหลายทางพหุวัฒนธรรม กล่าวคือท้ังศาสนาพราหมณ์และ ศาสนาพทุ ธ แมจ้ ะมกี ารเปลย่ี นการปกครองจากอาณาจกั รจากศรวี ชิ ยั มาเปน็ อาณาจกั ร ตามพรลิงค์ หรือต่อมากษัตริย์แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์จะยกพระพุทธศาสนาลัทธิ ลังกาวงศ์ให้โดดเด่นก็ตาม คติความเชื่อและจารีตปฏิบัติของศาสนาพราหมณ์และ พระพุทธศาสนามหายานก็มิได้จางหาย ยังด�ำรงคงอยู่ในลักษณะผสมกลมกลืนกัน อย่างลงตัว ความโดดเด่นด้านการประนีประนอมเช่นน้ียังสามารถพบเห็นในปัจจุบัน
36 หลักฐานทางโบราณคดี ๒.๑.๒ เอกสารโบราณ ๑) ต�ำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหม่ืนพิทยาลงกรณ์ ทรงสันนิษฐานว่าต�ำนานเล่มน้ีแต่งในแผ่นดินพระนารายณ์มหาราช เพราะศักราชตอน ท้ายเป็นหลักฐานบอกให้ทราบว่าเป็นตอนปลายแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง แต่น่า เสียดายเน้ือหาเป็นประโยชน์เฉพาะด้านโบราณคดี๑๙ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ทรงแสดงความเห็นไว้ว่าต�ำนานฉบับน้ีน่าจะเป็นหนังสือ เชิงกวีของนักประพันธ์ชาวนครศรีธรรมราช และน่าจะแต่งประมาณรัชกาลที่ ๑ แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์๒๐ ส่วนรองศาสตราจารย์ ประทีป ชุมพล แสดงทัศนะว่าต�ำนาน พระธาตุเมืองนครศรีธรรมราชเรียกว่าต�ำนานฉบับท้องถิ่น เพราะบันทึกถึงเหตุการณ์ ท่ีเกิดขึ้นในเมืองนครศรีธรรมราชเก่ียวกับราชวงศ์ศรีมหาราชา ซึ่งมีพ้ืนฐานมาจาก เมืองลานสกาและเมืองเวียงสระ นอกจากน้ัน ยังมีเรื่องราวเก่ียวกับวีรบุรุษท้องถิ่น ผสมแทรกด้วย เช่นเรื่องของพังพการ เป็นต้น๒๑ ต�ำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช สามารถแบ่งเป็น ๘ ตอน ดังน้ี ๑) เริ่มต้นเร่ืองจากท้าวโกสีหราชแห่งเมืองทนทบุรี ผู้รักษาคุ้มครองพระทันตธาตุ คราวหนึ่งท้าวอังกุศราชแห่งเมืองชนทบุรีได้ยกทัพมาแย่งชิงพระทันตธาตุด้วยการ ชนช้างจนพระเจ้าโกสีหราชพ่ายแพ้ขาดคอช้าง นางเหมชาลาผู้เป็นพระราชบุตรีและเจ้า ทนั ตกมุ ารผเู้ ปน็ พระราชบตุ รของทา้ วโกสหี ราช จงึ อญั เชญิ พระทนั ตธาตไุ ปถวายกษตั รยิ ์ ลังกา ระหว่างทางเกิดลมร้ายส�ำเภาแตกไปขึ้นท่ีหาดทรายแก้วชเลรอบ พระอรหันต์ รูปหน่ึงนามว่าพระมหาเถรพรหมเทพเหาะมานมัสการ พร้อมอารักขาเจ้าสองพี่น้องจน ๑๙ ต�ำนานพระธาตุ, หน้า ค�ำน�ำ. ๒๐ เรื่องเมืองนครศรีธรรมราช, พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางตลับ จันทราทิพย์ ณ ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร วันที่ ๑๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๐, หน้าค�ำน�ำ ค. ๒๑ รองศาสตราจารย์ ประทีป ชุมพล, นครศรีธรรมราช: ต�ำนาน โบราณคดี ประวัติศาสตร์, (ส�ำนักพิมพ์อดีต, ๒๕๓๖), หน้า ๕๕.
ตามพรลิงค์ 37 เดินทางถึงเกาะลังกา ครั้นต่อมาเจ้าสองพี่น้องประสงค์จะกลับบ้านเกิดเมืองนอน กษัตริย์ลังกาจึงถวายพระบรมธาตุทะนานหน่ึง มอบหมายให้พราหมณ์ส่ีคนน�ำ เจ้าสองพี่น้องไปครองเมืองทนทบรุ อี ันเป็นมรดกแหง่ ตน ก่อนเดนิ ทางไปเมอื งทนทบุรี นั้นเจ้าสองพี่น้องได้เดินทางมาหาดทรายแก้วชเลรอบ ได้ก่อเจดีย์ทรายบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุส่วนหนึ่งพร้อมผูกยันตร์ก�ำกับไว้ ๒) กล่าวถึงพระญาศรีธรรม โศกราชแห่งเมืองหงษาวดี ได้ชักชวนพระราชโอรสนามว่าท้าวเจตราชและเจ้าพงษ์ กษัตริย์อพยพผู้คนมาต้ังหลักแหล่งบริเวณหาดทรายแก้ว แล้วส่งราชทูตไปทูลขอ พระสงฆ์ลังกามาช่วยเหลือสร้างบ้านแปลงเมือง คราวน้ันพระพุทธค�ำเพียรได้เดินทาง มาช่วยเหลือพระญาศรีธรรมาโศกราชสร้างพระเจดีย์และพระพุทธรูป ต่อมาไข้ห่า เข้าสิงเมืองพระญาศรีธรรมาโศกราชจึงโยกย้ายผู้คนมาตั้งเมืองบริเวณหาดทรายชเล รอบ ต่อมาคร้ันทราบว่าพระสิหิงค์ล่องมาจากเกาะลังกาถึงเกาะปีนัง จึงให้อัญเชิญมา ประดิษฐานบริเวณหาดทรายแก้ว ๓) กล่าวถึงพระยาธรรมโศกราชแห่งเมืองมัทยม ประเทศทราบว่าพระญาศรีธรรมาโศกราชก�ำลังหาพระบรมธาตุเพ่ือประดิษฐานภายใน เจดีย์ จึงส่งราชทูตมาทูลขอเพ่ือไปประดิษฐานที่อาณาจักรของพระองค์ พระญา ศรีธรรมาโศกราชทราบดังนั้นจึงให้ป่าวประกาศหาคนดีมีความรู้ออกหาพระบรม สารีริกธาตุ จนมีนายคนหน่ึงอาสาและส�ำเร็จตามพระราชประสงค์ ครั้นแล้วพระองค์ โปรดให้ราชทูตน�ำไปถวายพระยาธรรมโศกราชแห่งเมืองมัทยมประเทศ ส่วนพระองค์ ได้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุภายในพระมหาธาตุเจดีย์ คราวนั้นอาณาจักรของ พระองค์มีอาณาเขตกว้างขวางมีเมืองสิบสองนักษัตรเป็นเมืองบริวาร ต่อมาไข้ห่าเข้า สงิ เมอื งผคู้ นจงึ อพยพหลบหนหี มดสน้ิ ๔) กลา่ วถงึ พญาศรไี สยณรงแหง่ เมอื งเชยี งใหม่ กับพระอนุชานามว่าธรรมกระษัตริย์ได้มาเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ได้นมัสการ พระสิหิงค์และประทักษิณพระบรมธาตุ แล้วมอบหมายให้ธรรมกระษัตริย์เป็นเจ้าเมือง สืบแทน ส่วนพระองค์เสด็จกลับเมืองเชียงใหม่ ๕) กล่าวถึงท้าวศรีธรรมโศกราชเจ้า เมืองอินทปัตบุรีย์ พร้อมพระอนุชานามว่าจันทรภานุและท้าวพงษ์สุรา ได้อพยพโยก ยา้ ยไพรพ่ ลหนไี ขห้ า่ มาตงั้ บา้ นแปลงเมอื งบรเิ วณหาดทรายแกว้ จากนน้ั ไดบ้ รู ณปฏสิ งั ขรณ์ พระมหาธาตุเจดีย์ สมัยนี้ได้ส่งพระบตไปบูชารอยพระบาทในเมืองลังกา พร้อมขอ พระมหาปเรียนทศตรีและพระมหาเถรสัจจนุเทพมาด้วย ต่อมาท้าวอู่ทองทราบถึง
38 หลักฐานทางโบราณคดี ความรุ่งเรืองของเมืองนครศรีธรรมราชจึงยกทัพมาตี แต่ได้เจรจาเป็นไมตรีกันและกัน ครั้นท้าวศรีธรรมาโศกราชสวรรคตแล้วพระญาจันทรภานุได้เป็นเจ้าเมืองสืบต่อ แต่ไม่นานไข้ห่าเข้าสิงเมืองจึงต้องทิ้งเมืองเสีย ๖) กล่าวถึงศรีมหาราชาลูกนายนก กระสุราต้ังบ้านเมืองใกล้ท่าน�้ำลานสกา ได้มีจิตศรัทธาน�ำพระสงฆ์และชาวพุทธบูรณ ปฏสิ งั ขรณพ์ ระมหาธาตพุ รอ้ มถวายทด่ี นิ รอบวดั ใหเ้ ปน็ กลั ปนาอทุ ศิ ๗) กลา่ วถงึ กษตั รยิ ์ แห่งอยุธยาได้แต่งต้ังขุนรัตนาการให้เป็นศรีมหาราชาครองเมืองนครศรีธรรมราช พร้อมให้จัดท�ำบัญชีเรือกสวนไร่นาส�ำหรับอาราม โดยความช่วยเหลือของพระเถระ หลายรูป และมอบหมายให้พระเถระผู้ใหญ่เป็นผู้ดูแล และ ๘) กล่าวถึงกษัตริย์แห่ง อยุธยาแต่งต้ังขุนนางหลายคนมาครองเมืองนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะผู้เช่ียวชาญ ช�ำนาญศึก เพราะสมัยนั้นอุชงคนะหรือพวกโจรสลัดลักลอบเข้ามาปล้นชิงเมือง นครศรีธรรมราช และเจ้าเมืองแต่ละท่านบูรณปฏิสังขรณ์พระมหาธาตุเจดีย์เรื่อยมา เจ้าเมืองท่านสุดท้ายคือพระญาบริหารพลราชเจ้า ประเด็นชวนวิเคราะห์ในต�ำนานฉบับนี้คือการเร่ิมต้นเรื่องราวด้วยการ อัญเชิญพระเข้ียวแก้วจากแคว้นกาลิงคะแห่งอินเดียประเทศมายังเกาะลังกา ซ่ึง รายละเอยี ดเหลา่ นป้ี รากฏในคมั ภรี ท์ าฐาธาตวุ งศ๒์ ๒ ตำ� นานพระธาตเุ มอื งนครศรธี รรมราช ได้เสริมเรื่องอัญเชิญพระเข้ียวแก้วมายังหาดทรายแก้วหรือนครศรีธรรมราช ซ่ึงเป็น เร่ืองแทรกขึ้นมาไม่ปรากฏเห็นในคัมภีร์ทาฐาธาตุวงศ์ เป็นท่ีทราบกันว่าต�ำนาน เก่ียวกับพระเขี้ยวแก้วนั้นเป็นผลงานของพระสงฆ์แห่งส�ำนักอภัยคิรีวิหาร โดยมีการ เล่าขานสืบต่อกันมาหลายศตวรรษก่อนจะมีการรวบรวมแล้วแต่งเป็นภาษาบาลี โดย พระธรรมกติ ตเิ ถระในสมยั อาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะ๒๓ สนั นษิ ฐานวา่ พระเถระผนู้ ำ� คมั ภรี ์ ทาฐาธาตุวงศ์มายังตามพรลิงค์น่าจะเป็นพระพุทธค�ำเภียรแห่งส�ำนักอภัยคิรีวิหาร เพราะต�ำนานระบุว่าท่าน ”เกิดวิวาทกันกับเพื่อนสงฆ์ เจ้าเมืองลังกาขอโทษกันเสีย แต่เจ้ากูไม่ยอมลงให้„ เหตุการณ์น้ีน่าจะเกิดขึ้นสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช ๒๒ ทาฐาธาตุวงศ์, หน้า ๓๙-๔๓. ๒๓ G.P. Malalasekera, ศรีลังกา: ว่าด้วยประวัติศาสตร์ การณ์พระศาสนา และวรรณคดี, แปลโดย ลังกากุมาร, (นครปฐม: ส�ำนักพิมพ์สาละ, ๒๕๔๕), หน้า ๙๕-๙๖.
ตามพรลิงค์ 39 ขณะปฏิรูปพระศาสนาด้วยการรวบรวมนิกายน้อยใหญ่ให้เป็นหน่ึงเดียว พระสงฆ์บาง ส่วนท่ีไม่พอใจอาจจะพากันเดินทางมายังเมืองตามพรลิงค์ สอดคล้องกับการพยากรณ์ การสร้างเมืองของพระยาศรีธรรมาโศกราชโดยพระมหาเถรพรหมเทพ ซ่ึงลักษณะ เช่นน้ีเป็นคติความเช่ือของพระสงฆ์ลัทธิมหายานตามแบบศรีลังกา ๒) ต�ำนานเมืองนครศรีธรรมราช ต�ำนานเมืองนครศรีธรรมราชนั้นต้นฉบับเดิมเป็นสมุดไทย ช�ำรุดคร�่ำคร่า เขียนด้วยเส้นหมึกด�ำเป็นอักษรไทยย่อลบเลือนหลายแห่ง เคยตีพิมพ์ ๒ ครั้งแล้ว แต่ยงั ไม่สูแ้ พร่หลาย หนังสอื เร่อื งนถ้ี า้ อ่านกนั อยา่ งธรรมดากอ็ าจนึกวา่ เป็นนิยายนิทาน ก็ได้ แต่ถ้าอ่านด้วยพินิจพิเคราะห์จะเห็นว่ามิใช่นิทานธรรมดา คงเป็นเร่ืองเหตุการณ์ ที่เกิดข้ึนแต่ครั้งโบราณ มีผู้เล่าสืบต่อปากค�ำกันมา ... ข้อท่ีว่าเกี่ยวกับเร่ืองเหตุการณ์ ซึ่งเกิดข้ึนในสมัยโบราณ คือตอนท่ีว่าพระพุทธสิหิงค์เสด็จมาจากเมืองลังกาก็ตรงกับ ต�ำนานพระพุทธสิหิงค์๒๔ รองศาสตราจารย์ ประทีป ชุมพล แสดงความเห็นไว้ว่า ต�ำนานเมืองนครศรีธรรมราชถือว่าเป็นต�ำนานฉบับหลวง เพราะเป็นการบันทึกเร่ือง ราวทเ่ี กยี่ วกบั ราชวงศศ์ รธี รรมาโศกราช ทมี่ พี นื้ ฐานมาจากกรงุ ศรอี ยธุ ยาและเพชรบรุ ี๒๕ เนื้อหาของต�ำนานเมืองนครศรีธรรมราชสามารถแบ่งได้ ๗ ตอน ดังนี้ ๑) เริ่มต้นจากพระทันตธาตุประดิษฐานที่เมืองนครบุรี มีท้าวโคศรีหราชเป็นกษัตริย์ มีพระอัครมเหสีนามว่าเทวี ต่อมาท้าวอังกุตราชแห่งเมืองขันบุรีทราบข่าวได้ยกทัพมา แย่งชิงพระทันตธาตุ ท้าวโคศรีหราชเกรงว่าจะมีภัยจึงมอบหมายให้ธนกุมารผู้พ่ีและ เหมมาลาผู้น้องอัญเชิญพระทันตธาตุไปเกาะลังกา แต่ส�ำเภาอับปางไปเกยตื้นท่ี หาดชายแก้วทะเลรอบ ด้วยเกรงภยันตรายเจ้าสองพ่ีน้องจึงฝังพระทันธาตุไว้ในหาด คราวน้ันพระเถรพรหมเทพอรหันต์ได้เหาะมานมัสการพระธาตุ พร้อมรับรองความ ปลอดภัยของเจ้าสองพ่ีน้องจนเดินทางถึงเกาะลังกา และพระอรหันต์เถระพยากรณ์ ๒๔ อ้างแล้ว, เรื่องเมืองนครศรีธรรมราช, หน้า ๔๖. ๒๕ อ้างแล้ว, รองศาสตราจารย์ ประทีป ชุมพล, นครศรีธรรมราช: ต�ำนาน โบราณคดี ประวัติศาสตร์, หน้า ๕๕.
40 หลักฐานทางโบราณคดี อนาคตกาลภายหน้าของหาดทรายชะเลรอบ ๒) ว่าด้วยพญานรบดีราชราชา พร้อม พระราชโอรสสองพระองค์คือพญาเจตราชและพญาเสนราช ทรงปกครองอาณาจักร ขนาดใหญ่แต่คราวหน่ึงเกิดไข้ห่ากินเมือง พระองค์จึงมอบหมายให้พราหมณ์ส่ีคน ค้นหาชัยภูมิเพื่อสร้างเมืองใหม่ จนมาพบหาดทรายแก้วชะเลรอบจึงอพยพโยกย้าย ผู้คนมาสร้างหลักปักฐานบริเวณน้ี คร้ันแล้วได้แต่งส�ำเภาไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ลังกาเพื่อ ขอพระสงฆ์มาช่วยประดิษฐานพระพุทธศาสนา คราวนั้นพระมหาพุทธค�ำเพียรได้รับ มอบหมายให้เดินทางมาช่วยพญานรบดีราชราชาประกาศพระศาสนา เร่ิมต้นจากสร้าง เจดีย์และประดิษฐานพระพุทธรูปตามทิศานุทิศ แต่ไม่นานไข้ห่าเข้าสิงเมืองจึงต้องย้าย เมืองไปอยู่แห่งใหม่ ๓) ว่าด้วยพระยาศรีธรรมโศกราชสร้างเมืองนครศรีธรรมราช มหานครบริเวณหาดทราย พระองค์และพญาพงศาทราบข่าวว่าพระสิหิงค์ได้อัญเชิญ มาจากเกาะลังกาถึงเกาะปีนังจึงอัญเชิญมาประดิษฐาน ๔) ว่าด้วยพญาศรีธรรม โศกราชอกี พระองคห์ นงึ่ ทรงเชยี่ วชาญแตกฉานดา้ นพระบาลี โปรดใหส้ รา้ งพระมหาธาตุ ขนาดใหญ่องค์หนึ่ง แต่ยังขาดพระบรมสารีริกธาตุ บุรุษคนหนึ่งทราบข่าวจึงเดินทาง มาชี้บอกจุดฝังพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมความช่วยเหลือของเทพวิษณุกรรม ความ ปรารถนาของพระองค์จึงส�ำเร็จ กษัตริย์พระองค์น้ีทรงมากด้วยบุญญาธิการเพราะมี เมืองข้ึนถึง ๑๒ เมือง ต่อมาไข้ห่าเข้าสิงเมืองพระองค์จึงอพยพชาวเมืองไปอยู่ท่ีอื่น ๕) กล่าวถึงพญาศรีไสยณรงค์ได้อพยพผู้คนมาสร้างเมืองนครศรีธรรมราช สมัยต่อ มาขัดแย้งกับท้าวอู่ทองแต่ด้วยบุญญาธิการ จึงท�ำให้ทั้งสองอาณาจักรแบ่งปันเขตแดน พร้อมช่วยเหลือสงเคราะห์กัน พระเจ้าศรีธรรมโศกราชนั้นโปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์ พระมหาธาตเุ จดยี ด์ ว้ ยการปดิ ทองทงั้ องค์ ครนั้ พระองคส์ วรรคตแลว้ พระยาจนั ทรภาณุ ผู้เป็นพระอนุชาได้ข้ึนครองราชย์สืบแทน แต่ไม่นานไข้ห่าสิงเมืองพระองค์จึงอพยพ โยกย้ายผู้คนไปอยู่ที่อ่ืน ๖) กล่าวถึงพระพนมทะเลศรีมเหสวัสดิทราธิราชกษัตริย์ อพยพผู้คนพร้อมครอบครัวมาตั้งอยู่ท่ีเมืองเพชรบุรีเพื่อท�ำนาเกลือ พระเจ้าอู่ทองทรง ทราบจึงแต่งต้ังให้พระพนมวังและนางสะเดียงทองไปสร้างเมืองนครดอนพระ พร้อม ประทานลี้พลจ�ำนวนมาก พระพนมวังและนางสะเดียงทองให้บูรณปฏิสังขรณ์มหาธาตุ ต่อมาไข้ห่าเขาสิงเมืองคนได้หนีเข้าไปอยู่ตามป่าเขา พระพนมวังและนางสะเดียงทอง ได้สร้างบ้านแปลงเมืองจนมีเมืองแขกเป็นบริวารจ�ำนวนมาก และ ๗) กล่าวถึงกษัตริย์
ตามพรลิงค์ 41 แห่งอยุธยาโปรดแต่งต้ังให้เจ้าศรีราชาบุตรของพระพนมวังและนางสะเดียงทองเป็น พญาศรีธรรมโศกราช คราวนั้นพระองค์ให้สร้างวัดใหม่และบูรณปฏิสังขรณ์วัดเก่า จ�ำนวนมาก พร้อมบูรณปฏิสังขรณ์พระมหาธาตุเจดีย์ด้วยความช่วยเหลือของหัวเมือง น้อยใหญ่ คร้ันพญาศรีธรรมโศกราชสิ้นพระชนม์แล้ว กษัตริย์แห่งอยุธยาโปรดแต่ง ตั้งเชื้อสายของพญาศรีธรรมโศกราชเป็นเจ้าเมืองอีกหลายองค์ สุดท้ายกล่าวถึง ขุนอินทราได้รับแต่งต้ังให้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ประเด็นท่ีน่าสนใจคือการผูกเรื่องการสร้างเมืองนครศรีธรรมราชให้เชื่อม โยงสอดคลอ้ งกบั การสร้างพระบรมธาตุ เพอื่ ใหเ้ ปน็ บณุ ยสถานศกั ดส์ิ ทิ ธ์ขิ องอาณาจกั ร ตามพรลิงค์และหัวเมืองบริเวณคาบสมุทรมลายู ลักษณะเช่นเดียวกันน้ีปรากฏเห็นใน คัมภีร์สมันตปาสาทิกา ซ่ึงผูกเร่ืองการสร้างถูปารามเจดีย์ให้เป็นสถานที่บูชากลางเมือง อนุราธปุระ ดังความว่า ”เพราะแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพานนานแล้ว แต่พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ยังมีอยู่„๒๖ คติการแต่งต�ำนานเก่ียวกับพระบรม ธาตแุ ละตำ� นานเมอื ง ตลอดทง้ั การสถาปนาพระบรมธาตไุ วก้ ลางเมอื งเชน่ นี้ ประเทศไทย ได้รับแบบอย่างมาจากศรีลังกา ซึ่งมีบทบาทต่อประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในดินแดน ไทยนับตั้งแต่พุทธศตวรรษท่ี ๑๗ เป็นต้นมา๒๗ ผู้เขียนเห็นว่าสมัยน้ีพระพุทธศาสนา เถรวาทลัทธิลังกาวงศ์น่าจะมีบทบาทอย่างสูงต่ออาณาจักรตามพรลิงค์ สังเกตได้จาก มกี ารบนั ทกึ เปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรบอกเลา่ เรอื่ งราวอยา่ งละเอยี ด แมจ้ ะมคี วามบกพรอ่ ง ดา้ นการเช่อื มต่อของเหตุการณ์ แตป่ ระเดน็ หลักคือการใหค้ วามสำ� คญั แกพ่ ระบรมธาตุ ในฐานะเป็นศูนย์กลางบุณยสถานของคาบสมุทรมาเลย์ ๓) พระนิพพานโสตร วรรณกรรมเร่ืองพระนิพพานโสตรประกอบด้วยเรื่องราวจากจารีตและ ค�ำบอกเล่าท่ีถูกน�ำมาบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร จัดเรียงล�ำดับของเหตุการณ์โดย ยึดเอาตัวบุคคลส�ำคัญของท้องถิ่นหรือชองเมืองเป็นเคร่ืองก�ำหนดวิธีด�ำเนินเร่ือง ย่ิง ๒๖ สมันต ๑, หน้า ๑๐๗. ๒๗ ธนธร กิตติกานต์, มหาธาตุ, (กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๕๗), หน้า ๑๖.
42 หลักฐานทางโบราณคดี ไปกว่าน้ันวรรณกรรมเร่ืองนี้ยังสะท้อนภาพทางวัฒนธรรมภาคใต้ โดยมีพระบรมธาตุ เจดีย์ ณ หาดทรายแก้วเมืองนครศรีธรรมราชเป็นหลักเคารพสูงสุดของกลุ่มคนใน ภาคใต้ และมพี ระเจา้ ศรีธรรมาโศกราชเป็นแกนกลางในการสรา้ งความสัมพนั ธร์ ะหว่าง กลุ่มคนเหล่านั้น คุณค่าของวรรณกรรมเร่ืองน้ีอยู่ที่การเช่ือมต่ออดีตอันรุ่งเรืองไพศาล ของนครศรีธรรมราช ซ่ึงเคยเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและการพระศาสนาที่ส�ำคัญ ในภูมิภาคนี้ เข้ากับเอกภาพทางวัฒนธรรมในภาคใต้๒๘ อีกทั้งวรรณกรรมเร่ืองนี้ได้รับ อิทธิพลและแนวคิดจากลังกาผสมกับอิทธิพลท้องถิ่น เพราะเนื้อหาว่าด้วยการแบ่ง พระบรมสารีริกธาตุ การจ�ำแนกการสร้างพระธาตุเจดีย์ในลังกา พระทันตธาตุและการ สร้างพระบรมธาตุเจดีย์ในเมืองนครศรีธรรมราช และการสร้างบ้านแปลงเมือง นครศรีธรรมราช๒๙ เนื้อหาของพระนิพพานโสตรสามารถแบ่งออกเป็น ๖ ตอน ดังนี้ ๑) กล่าว ถึงพระเจ้าอชาตศัตรูปรารถนาประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า จึงให้ ไปเชญิ พระเถระกศั ศรพมาชว่ ยสรา้ งเจดยี บ์ รรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตุ งานบรรจพุ ระบรม สารีริกธาตุมีเทวดามาร่วมงานเป็นจ�ำนวนมาก คราวนั้นพระวิสสุกรรมได้ท�ำยันตร์เพ่ือ รักษาพระบรมสารีริกธาตุ ๒) กล่าวถึงพญาโศกราชครองเมืองอินทปัตถ์ปรารถนาจะ ขุดพระบรมสารีริกธาตุจึงป่าวประกาศหาคนดีมีวิชา พระอินทร์ได้มอบหมายให้พระ วสิ สกุ รรมมาชว่ ย ไดป้ รกึ ษากบั พระโมคคลั ลบี ตุ รเถระกบั พระมาลยั เถระเพอ่ื สรา้ งเจดยี ์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ คราวนั้นมารร้ายมาท�ำลายพิธี พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ จึงปราบมารจนส้ินพยศ ๓) กล่าวถึงพญาสิงหราชแห่งเมืองทนทบุรีเป็นผู้ดูแล พระทันตธาตุ กษัตริย์หลายหัวเมืองทราบข่าวได้ยกทัพมาชิงเพื่อรักษาพระทันตธาตุ พระองค์จึงมอบหมายให้พระทนธกุมารและพระเหมชาลา ผู้เป็นพระราชโอรสและ พระราชธิดาอัญเชิญไปเมืองลังกา ๔) กล่าวถึงพระเจ้าทศคามแห่งเกาะลังกาได้รับ พระทันตธาตุแล้วทรงยินดียิ่งนัก ต่อมาได้ส่งเจ้าสองพ่ีน้องกลับมาตุภูมิ โดยรับสั่งให้ ๒๘ พระนิพพานโสตร, หน้า ค�ำน�ำ. ๒๙ เฉลิม จันปฐมพงศ์, ”พระนิพพานโสตร์: การศึกษาเชิงวิจารณ์„, (มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๖), หน้า ๓.
ตามพรลิงค์ 43 กษัตริย์ผู้ยึดครองเมืองทนทบุรีต้อนรับเจ้าสองพ่ีน้องเป็นอย่างดี เจ้าสองพี่น้องได้ แวะหาดทรายแก้วเพื่อประดิษฐานพระธาตุไว้ที่นั้นพร้อมแต่งยันตร์ป้องกันไว้ด้วย ๕) กล่าวถึงพระยาธรรมโศกราชแห่งเมืองสวัสดีราช ได้พาไพร่พลพร้อมพระอนุชานาม วา่ พระนนทราชมาสรา้ งบา้ นเมอื งอยทู่ ว่ี ดั เวยี งสะ โดยมพี ระพทุ ธคำ� เภยี รและพทุ ธสาคร เป็นท่ีปรึกษา พระอินทร์มอบหมายให้พระวิสสุกรรมน�ำพระธาตุมาถวายพระยาธรรม โศกราช ต่อมาไข้ห่าสิงเมืองจึงย้ายไปอยู่ที่เขาวัง ส่วนพระอนุชาอยู่ท่ีลานสกา สมัยหนึ่งพระอรหันต์จากเมืองตักสิลาแนะน�ำวิธีรักษาโรคห่าจนหายสิ้น พร้อมแนะน�ำ ให้ย้ายเมืองไปอยู่ท่ีท่าวัง สมัยน้ีมีการสร้างพระมหาธาตุเจดีย์โดยความช่วยเหลือ ของเจ้าลังกา พระเถระอัญเชิญต้นพระศรีมหาโพธ์ิมาปลูกและสร้างพระพุทธรูปรอบ พระมหาธาตุเจดีย์ ส่วนพระราชาสีวิไชยแห่งเมืองหงสาได้สร้างยอดเจดีย์และ สร้างวิหารหลวง และ ๖) กล่าวถึงเจ้าอู่ทองแห่งทนทบุรีเห็นความรุ่งเรืองของพระธรรม โศกราชจึงยกทัพมา ท้ังสองพระองค์ได้ท�ำสงครามท�ำให้ผู้คนล้มตายเป็นจ�ำนวนมาก สุดท้ายได้ท�ำสัญญาเป็นไมตรีต่อกัน ประเด็นชวนวิเคราะห์คือบทบาทของพระโมคคัลลีบุตรเถระ ดังทราบกัน แล้วว่าพระเถระรูปนี้ได้รับอนุมัติจากคณะสงฆ์และความเห็นชอบของพระเจ้าอโศก มหาราช ให้เป็นประธานช�ำระอธิกรณ์สงฆ์และสังคายนาครั้งที่ ๓ ณ ดินแดนชมพูทวีป คราวคร้ังน้ันท่านได้แต่งคัมภีร์กถาวัตถุจนพระไตรปิฎกสมบูรณ์๓๐ แต่พระนิพพาน โสตรกลับเปล่ียนบทบาทของพระเถระรูปนี้ว่า ”เป็นผู้ทรงฤทธ์ิสามารถปราบพญามาร ผู้ขัดขวางการสร้างพระเจดีย์ของพญาโศกราช จนยอมถวายตัวเป็นโยมของพระเถระ„ เร่ืองราวการปราบพญามารดังกล่าวปรากฏเห็นในประวัติของพระอุปคุตเถระตามคติ ความเช่ือของมหายาน๓๑ แต่ไม่เคยปรากฏพบเห็นในคติความเชื่อของเถรวาท เป็นไป ได้หรือไม่ว่าสมัยแต่งคัมภีร์เล่มนี้ลัทธิลังกาวงศ์ได้เข้ามาแทนที่ลัทธิค�ำสอนมหายาน ๓๐ สมันต ๑, หน้า ๗๕-๘๐. ๓๑ ความเข้าใจเร่ืองพระเจ้าอโศกและอโศกาวทาน, ส. ศิวรักษ์ แปลและเรียบเรียง, พิมพ์คร้ังท่ี ๔, (กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์เคล็ดไทย, ๒๕๕๒), หน้า ๖๑-๘๙.
44 หลักฐานทางโบราณคดี เรียบร้อยแล้ว การแต่งเรื่องราวให้พระโมคคัลลีบุตรเถระมีบทบาทแทนท่ีพระอุปคุต เถระ น่าจะเป็นการบ่งบอกนัยอย่างหน่ึงเป็นแน่ ๔) สิหิงคนิทาน สิหิงคนิทานภาษาบาลีหรือนิทานพระพุทธสิหิงค์ว่าด้วยประวัติพระ พุทธสิหิงค์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปส�ำคัญคู่บ้านคู่เมืองของไทย แต่งโดยพระโพธิรังสีเถระ ชาวเชียงใหม่ สันนิษฐานว่าแต่งประมาณ พ.ศ.๑๙๔๕-๑๙๘๕ สมัยพระเจ้าสามฝั่งแกน หรืออีกพระนามหนึ่งว่าพระเจ้าวิไชยดิสมหาราช เชื่อกันว่าพระโพธิรังสีเถระน้ันเป็นชาว เมืองหรภิ ญุ ชยั ไดร้ ับอาราธนามาอยู่เมืองเชียงใหม่ สงั เกตได้จากการคมั ภีรจ์ ามเทวีวงศ์ อันเป็นผลของพระเถระอีกเล่มหนึ่ง ได้อธิบายเร่ืองราวเกี่ยวกับเมืองหริภุญชัย อยา่ งละเอยี ด แสดงใหเ้ หน็ วา่ พระเถระคนุ้ เคยกบั เมอื งหรภิ ญุ ชยั เปน็ อยา่ งดยี งิ่ ๓๒ สำ� หรบั เน้ือหาของคัมภีร์สิหิงคนิทานกอปรด้วยบทร้อยกรอง ๑๓๘ คาถา เป็นปัฐยาวัตร ๑๐๕ บท โตฏก ๑๐ คาถา วังสัฏฐะ ๖ คาถา อินทวชิรา ๕ คาถา มาลินี ๒ คาถา คาถาเหล่านี้มักเป็นบทสนทนาค�ำอุทานและความคิดค�ำนึง๓๓ เนื้อหาของคัมภีร์สิหิงคนิทานแบ่งออกเป็น ๘ ปริจเฉท เฉพาะเรื่องราว ของพระพุทธสิหิงค์ซ่ึงเก่ียวข้องกับเมืองนครศรีธรรมราชนั้นปรากฏเห็นในปริเฉทท่ี ๓-๔ ความว่าพระเจ้าไสยรงค์ (พระร่วงองค์ประเสริฐ) เสวยราชย์อยู่ในเมืองสุโขทัย ทรงทราบข่าวว่าพระเจ้ากรุงลังกามีพระพุทธรูปที่ทรงพระลักษณะงามองค์หน่ึงนามว่า พระพุทธสิหิงค์ จึงตรัสให้พระเจ้าศรีธรรมราช (แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์) แต่งทูต เชิญราชสาสน์ไปขอพระพุทธสิหิงค์กับพระเจ้ากรุงลังกา ครั้นทราบดังนั้นกษัตริย์ลังกา ยินดีถวายมาตามพระราชประสงค์ เม่ือพระพุทธรูปมาถึงเมืองนครศรีธรรมราชแล้ว พระเจ้าไสยรงค์ทรงโสมนัสย่ิงนัก ได้เสด็จไปรับพระพุทธรูปด้วยพระองค์เอง แล้ว อัญเชิญมายังกรุงสุโขทัย ๓๒ สดุภณ จังกาจิตต์, จามเทวีวงศ์: วรรณกรรมที่ถูกลืม, (กรุงเทพมหานคร: โอเอส พริ้นติ้งเฮาส์, ม.ป.ป.), หน้า ๒๓๖. ๓๓ สุภาพรรณ ณ บางช้าง, วิวัฒนาการงานเขียนภาษาบาลีในประเทศไทย: จารึก ต�ำนาน พงศาวดาร สาสน์ ประกาศ, (กรุงเทพมหานคร: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๒๙), หน้า ๔๔๔.
ตามพรลิงค์ 45 เรื่องราวดังกล่าวชวนให้วิเคราะห์ ๓ ประเด็น กล่าวคือ ๑) พญาศรี ธรรมาโศกราชแหง่ เมอื งนครศรธี รรมราชมคี วามคนุ้ เคยใกลช้ ดิ กบั ลงั กามากกวา่ กษตั รยิ ์ แห่งกรุงสุโขทัย ความคุ้นเคยดังกล่าวอาจหมายถึงการเดินทางไปมาหาสู่ของคณะสงฆ์ ทง้ั สองอาณาจกั ร สอดคลอ้ งกบั หลกั ฐานในคมั ภรี ม์ หาวงศร์ ะบวุ า่ ครงั้ หนงึ่ กษตั รยิ ล์ งั กา ได้นิมนต์พระธรรมกิตติเถระแห่งอาณาจักรตามพรลิงค์ให้ไปส่ังสอนพระสงฆ์ลังกา๓๔ หรือว่าเมืองนครศรีธรรมราชอาจมีปฏิสัมพันธ์ทางการค้ากับลังกาก็เป็นได้ เพราะ หลักฐานหลายแห่งล้วนระบุว่าอาณาจักรตามพรลิงค์สมัยน้ัน เป็นศูนย์กลางการค้า ส�ำคัญแห่งหน่ึงของภาคใต้ ๒) พระพุทธสิหิงค์อาจเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรือง ของลัทธิลังกาวงศ์ในอาณาจักรตามพรลิงค์ก็เป็นได้ เพราะนักวิชาการสมัยปัจจุบันได้ แสดงความเห็นว่าพุทธลักษณะของพุทธสิหิงค์แบบล้านนานั้น หาได้เป็นพระพุทธรูป มาจากศรีลังกาไม่ แต่เป็นผลงานการหล่อของช่างหัวเมืองเหนือ๓๕ หากตีความตาม อักษรพระพุทธสิหิงค์น่าจะหมายถึงความรุ่งเรืองของศาสนาในอาณาจักรตามพรลิงค์ เพราะค�ำว่าสิหิงค์เป็นลักษณะท่าทางของราชสีห์เหมือนลักษณะท่าทางของพระผู้มี พระภาค๓๖ และ ๓) พระพุทธสิหิงค์อาจเป็นบรรณาการของกษัตริย์ศรีลังกา เพ่ือแสดง ความประนีประนอมทางการเมือง เพราะคร้ังหน่ึงพระเจ้าจันทรภาณุแห่งตามพรลิงค์ เคยยกทัพไปบุกรุกเกาะลังกา การมอบพระพุทธสิหิงค์น่าจะเป็นลักษณะใช้ศาสโนบาย เหนือราโชบาย ๕) คัมภีร์มหาวงศ์ คัมภีร์มหาวงศ์เป็นพงศาวดารที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมที่ดี เยี่ยมของชนชาติศรีลังกา เป็นพงศาวดารที่สืบต่อเน่ืองกันมาเป็นเวลายาวนานกว่า ๓๔ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๖๔-๒๖๕. ๓๕ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ม.ล. สุรสวัสดิ์ ศุขสวัสด์ิ, พระพุทธรูปล้านนากับคติ พระพุทธศาสนามหายานแบบตันตระนิกายวัชยาน, พิมพ์คร้ังท่ี ๒, (เชียงใหม่: ส�ำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย เชียงใหม่, ๒๕๖๐), หน้า ๕๗-๗๙. ๓๖ พระโพธิรังสี, นิทานพระพุทธสิหิงค์ว่าด้วยต�ำนานพระพุทธสิหิงค์, แปลโดย ร.ต.ท. แสง มนวิทูร เปรียญ, (กรุงเทพมหานคร: กรมศิลปากร, ๒๕๐๖), หน้า ๔๐.
46 หลักฐานทางโบราณคดี ๒,๕๐๐ ปี ตั้งแต่สมัยพระเจ้าวิชัย (พ.ศ.๑) เป็นต้นมาและจบลงอย่างน่าเศร้าสลดคือ การสูญสิ้นของราชวงศ์กษัตริย์ลังกา สมัยพระเจ้าศรีวิกรมราชสิงหะ (พ.ศ.๒๓๕๘) ความโดดเด่นของคัมภีร์มหาวงศ์คือเป็นการประพันธ์ประเภทร้อยกรองหรือท่ีเรียกว่า ปชั ชพนั ธค์ อื คาถาพนั ธ์ ซง่ึ มลี ลี าการเรยี บเรยี งดว้ ยภาษาอนั งดงามสละสลวยและชดั เจน เป็นที่ยกย่องของนักปราชญ์ โดยเฉพาะ ๓๗ บทแรกนั้น ได้รับการยกย่องให้เป็น วรรณกรรมทีย่ อดเยยี่ มท้งั ทางภาษาและอรรถกถา เน้อื หาของคมั ภรี แ์ ตง่ เปน็ คาถาล้วน นับได้ถึง ๑๐,๐๐๗ คาถา แต่กระนั้นก็มีจุณณิยบท (ร้อยแก้ว) ปนอยู่แห่งหนึ่งกล่าว คอื ตอนพระสคิ ควเถระถามโมคคลั ลบี ตุ รตสิ สมาณพถงึ ปญั หาในจติ ตยมก และประเภท ของฉนั ทท์ ผ่ี รู้ จนาเลอื กใชป้ ระกอบดว้ ยฉนั ท์ ๒ ประเภท คอื มาตราพฤตแิ ละวรรณพฤต๓ิ ๗ และเหตุเพราะคัมภีร์มหาวงศ์กอปรด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีความต่อเนื่อง และค่อนข้างชัดเจนมากกว่าต�ำราฉบับอ่ืนใด จึงเป็นเหตุให้มีการอ้างอิงควบคู่กับคัมภีร์ พระไตรปิฎก๓๘ คัมภีร์มหาวงศ์มีการบันทึกหลายยุคหลายสมัยโดยนักปราชญ์หลายท่าน สามารถแบ่งออกเป็น ๕ ภาค ดังน้ี ภาคแรกกล่าวถึงเร่ืองราวนับแต่พระพุทธเจ้าเสด็จ เกาะลังกา การสร้างอาณาจักรอนุราธปุระ การประดิษฐานพระพุทธศาสนาและจบลง สมัยพระเจ้ามหาเสนะ (พ.ศ.๘๑๗-๘๔๔) แต่งโดยพระมหานามเถระ ภาคสองกล่าว ถึงประวัติศาสตร์เริ่มจากอาณาจักรอนุราธปุระสมัยพระเจ้าสิริเมฆวัณณะ (พ.ศ.๘๔๔- ๘๗๑) ถึงอาณาจักรโปโฬนนารุวะสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช (พ.ศ.๑๖๗๙- ๑๗๒๙) แต่งโดยพระธรรมกีรติเถระ ภาคสามเร่ิมต้นจากอาณาจักรดัมพเดณิยะสมัย พระเจ้าวิชัยพาหุท่ี ๓ (พ.ศ.๑๗๗๕-๑๗๘๓) ถึงอาณาจักรกุรุแณคะละสมัยพระเจ้า ปรากรมพาหทุ ี่ ๔ (พ.ศ.๑๘๔๕-๑๘๙๖) ภาคนเ้ี ขยี นโดยนกั ปราชญน์ ริ นาม สว่ นภาคสี่ กลา่ วถงึ เหตกุ ารณค์ วามเปน็ ไปในลงั กา เรมิ่ ตง้ั แตอ่ าณาจกั รคมั โปละสมยั พระเจา้ ภวู เนก พาหุท่ี ๔ (พ.ศ.๑๘๘๔-๑๘๔๙) ถึงอาณาจักรแคนดีสมัยพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ ๓๗ มหาวงศ์ ๑, หน้า ค�ำน�ำ ๗-๙. ๓๘ สมเกียรติ โล่เพชรรัตน์, คัมภีร์มหาวงศ์กับศิลปะทางศาสนาพุทธของศรีลังกา, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทอมรินทร์พริ้นต้ิง แอนด์พับลิชซิ่งจ�ำกัด, ๒๕๕๒), หน้า ค�ำน�ำ ๘.
ตามพรลิงค์ 47 (พ.ศ.๒๒๙๐-๒๓๒๕) แต่งโดยพระติบบฏุวาเวสิทธาราถพุทธรักขิตเถระ ศิษย์เอกของ พระสังฆราชสรณังกร และภาคห้าสุดท้ายกล่าวถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ สองพระองค์สุดท้ายของลังกา กล่าวคือพระเจ้าราชาธิราชสิงหะ (พ.ศ.๒๓๒๕-๒๓๔๑) และพระเจ้าศรีวิกรมราชสิงหะ (พ.ศ.๒๓๔๑-๒๓๕๘) แต่งสมัยปัจจุบันโดยพระฮิกดุเว ศรีสุมังคลเถระ และบัณฑิตพฏุวันตุฑาเว๓๙ ส�ำหรับเนื้อหาเก่ียวข้องกับอาณาจักรตามพรลิงค์ปรากฏเห็นในบทท่ี ๘๑- ๘๒ ว่าด้วยพระเจ้าจันทรภาณุได้ยกทัพเข้าบุกรุกเกาะลังกาถึง ๒ ครั้ง โดยอ้างว่า ต้องการพระเขี้ยวแก้วและบาตรของพระพุทธเจ้า ซึ่งสมัยนั้นเกาะลังกาตรงกับอาณา จักรดัมพเดณิยะ กษัตริย์ครองราชย์สมัยน้ันพระนามว่าพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ (พ.ศ.๑๗๘๓-๑๘๑๓) หลักฐานระบุว่าพระเจ้าจันทรภาณุได้ยกทัพเรือไปบุกรุกเกาะ ลังกาถึงสองคร้ังและก็พ่ายแพ้สงครามถึงสองครา สงครามครั้งสุดท้ายพระองค์ ทรงส้ินพระชนม์ในการรณรงค์สงคราม ภายหลังไม่นานพระเจ้าปรากรมพาหุแห่ง อาณาจักรดัมพเดณิยะ ได้ส่งราชทูตไปขอพระธรรมกิตติเถระผู้ทรงพระไตรปิฎกจาก อาณาจักรตามพรลิงค์ เพอ่ื มาชว่ ยเหลือฟ้นื ฟูพระพุทธศาสนาบนเกาะลังกา พรอ้ มสร้าง ที่อยู่และถวายความอุปถัมภ์เป็นอย่างดีบริเวณทางขึ้นศรีปาทะนามว่าปลาภัตคะละ ประเด็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เช่นน้ีสอดคล้องกับหลักฐานของ ประเทศไทย จนสามารถยืนยันได้ชัดเจนว่าพระเจ้าจันทรภาณุมีตัวตนจริงทาง ประวัติศาสตร์ เพราะระยะเวลาจากหลักฐานท้ังสองฝ่ายมีความใกล้เคียงกัน เพียงแต่ ประเด็นเร่ืองการยกทัพไปตีเกาะลังกายังต้องวิเคราะห์กันต่อไป ส่วนความสัมพันธ์ ทางศาสนาน้ันเห็นได้จากการกษัตริย์ลังกาได้ขอพระธรรมกิตติเถระจากอาณาจักร ตามพรลงิ คไ์ ปฟน้ื ฟพู ระศาสนาทเ่ี กาะลงั กา หลกั ฐานดงั กลา่ วนสี้ ามารถยนื ยนั ไดช้ ดั เจน ว่าสมัยนั้นพระพุทธศาสนาในอาณาจักรตามพรลิงค์ม่ันคงรุ่งเรืองแพร่หลาย จนเป็น เหตุให้กษัตริย์ลังกาส่งทูตมาขอดังกล่าว พระเถระรูปน้ีเองเป็นต้นสายธรรมกีรติวงศ์ ๓๙ ลังกากุมาร, ตามรอยพระอุบาลีไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่ศรีลังกา, พิมพ์คร้ังท่ี ๒, (นครปฐม: ส�ำนักพิมพ์สาละ, ๒๕๕๕), หน้า ๒๔-๒๙.
48 หลักฐานทางโบราณคดี และตอ่ มาลกู ศษิ ยข์ องทา่ นเปน็ พระสงฆท์ รงปราชญแ์ ละรงั้ ตำ� แหนง่ ชนั้ สงู ถงึ พระสงั ฆราช หลายรูป๔๐ ๖) คัมภีร์ปูชาวลิยะ คัมภีร์ปูชาวลิยะเป็นผลงานของพระมยูรปาทเถระ ผู้เป็นสมภารเจ้าส�ำนัก มยูรปิริเวณะแห่งหมู่บ้านวากิริคะละ บริเวณต�ำบลเบลิคัลโกระเฬ (ปัจจุบันคือเขต แกคัลละ) เน้ือหาของหนังสือแบ่งออกเป็น ๓๔ ปริเฉท ว่าด้วยการพรรณนาเร่ืองราว ของพระโพธิสัตว์ขณะบ�ำเพ็ญบารมีจนบริบูรณ์ อันเป็นผลให้พระพุทธองค์ตรัสรู้ พระสัมมาสัมโพธิญาณ และมีผู้คนเคารพนับถือตลอดชมพูทวีป ถัดมาว่าด้วยประวัติ ของกษัตริย์ลังกานับจากพระเจ้าวิชัยผู้เป็นปฐมกษัตริย์ชาวสิงหลจนถึงพระเจ้า เทวานมั ปยิ ตสิ สะแหง่ อาณาจกั รอนรุ าธปรุ ะ และเรอื่ งพระมหนิ ทเถระและคณะประดษิ ฐาน พระพุทธศาสนาบนเกาะลังกาสมัยกษัตริย์พระองค์น้ี ตอนท้ายกล่าวถึงกฤดาภินิหาร ของกษัตริย์แห่งอาณาจักรดัมพเดณิยะพระนามว่าพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒ (พ.ศ. ๑๗๘๓-๑๘๑๓) และเสนาบดีนามว่าเทวประติราชะผู้เป็นขุนศึกคู่พระทัย๔๑ ผูน้ ิพนธ์ เปน็ นกั ปราชญร์ ว่ มสมยั กบั พระธรรมเสนเถระและมผี ลงานทางพระศาสนาหลายเลม่ ๔๒ ประเดน็ สำ� คญั คอื เนอ้ื หาของคมั ภรี เ์ ลม่ นก้ี ลา่ วถงึ การบกุ รกุ เกาะลงั กาของ พระเจา้ จนั ทรภาณแุ หง่ อาณาจกั รตามพรลงิ ค์ โดยพรรณนาการรณรงคส์ งครามระหวา่ ง ลังกากับตามพรลิงค์อย่างละเอียด แต่น่าเสียดายคัมภีร์เล่มนี้มิได้ระบุถึงระยะเวลา อย่างชัดเจน จึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถค�ำนวณได้ถูกต้อง แต่คร้ันเมื่อเปรียบเทียบกับ หลักฐานทางต�ำนานของทมิฬปัณฑยะก็สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างลงตัว ประการ ๔๐ อ้างแล้ว, Yatadolawatte Dhammavisuddhi, ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ศรีลังกา ยุคกลาง: ว่าด้วยนิกายสงฆ์ การบริหารทรัพย์สิน การศึกษาสงฆ์ คติความเช่ือ และการฟื้นฟู พระศาสนา, หน้า ๒๒-๓๐. ๔๑ C.E. Godakumbura, วรรณคดีภาษาสิงหล: ว่าด้วยวรรณกรรมร้อยแก้ว ร้อยกรอง และพระธรรมวินัย, แปลโดย ลังกากุมาร, (นครปฐม: สาละพิมพการ, ๒๕๖๑), หน้า ๕๒-๕๖. ๔๒ พระสงั ฆราชเทวรกั ษติ ะวชิ ยั พาหเุ ถระ, นกิ ายสงั ครหยะ: บนั ทกึ การพระศาสนาของชมพทู วปี และลังกา, แปลโดย พระมหาพจน์ สุวโจ, ดร., (นครปฐม: สาละพิมพการ, ๒๕๕๙), หน้า ๗๖.
ตามพรลิงค์ 49 ส�ำคัญคือคัมภีร์เล่มน้ีมีน�้ำหนักน่าเช่ือถือมากกว่าเล่มใด เพราะผู้แต่งอยู่ในเหตุการณ์ จริง ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้น้อยมาก๔๓ ผู้วิจัยเห็นว่าหลักฐานในคัมภีร์เล่มน้ีมี ความน่าเชื่อถือมากสุด โดยเฉพาะเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับอาณาจักรตามพรลิงค์ แม้ คมั ภรี จ์ ะเนน้ สรรเสรญิ กษตั รยิ ล์ งั กาและประณามกษตั รยิ แ์ หง่ ตามพรลงิ คก์ ต็ าม ประเดน็ นา่ สงสัยคอื เหตใุ ดผูแ้ ตง่ จึงไมก่ ล่าวถึงการฟ้นื ฟพู ระศาสนาบนเกาะลังกาของพระธรรม กิตติเถระแห่งอาณาจักรตามพรลิงค์ เป็นไปได้หรือไม่ผู้ประพันธ์แต่งก่อนการเดินทาง มาเกาะลังกาของพระธรรมกิตติเถระ ๗) รามัญสมณะวงษ์๔๔ รามัญสมณะวงษ์หรือจารึกกัลยาณีมีทั้งหมด ๑๐ หลัก จารด้วยอักษร มอญเป็นภาษาบาลี ๓ หลัก เป็นภาษามอญ ๗ หลัก พระเจ้าธรรมเจดีย์กษัตริย์ ผู้ปกครองกรุงหงสาวดี (พ.ศ.๒๐๑๔-๒๐๓๕) โปรดให้จารข้ึนเม่ือ พ.ศ.๒๐๑๙ เพื่อ เป็นท่ีระลึกในการช�ำระพุทธศาสนาในเมืองมอญ เมื่อคร้ังที่พระพุทธศาสนาในดินแดน มอญเสื่อมโทรม พระองค์ทรงส่งคณะสงฆ์จากเมืองมอญ ๒๒ รูป เดินทางไปยัง เกาะลังกาเพื่อรับการอุปสมบทใหม่จากพระเถระชาวลังกา และเม่ือพระสงฆ์เหล่านี้เดิน ทางกลับมายังเมืองมอญ ได้ท�ำการผูกพัทธสีมาและอุปสมบทให้แก่พระสงฆ์ชาวมอญ ช่ือว่าเป็นการสังคายนาพระสงฆ์ครั้งส�ำคัญในประวัติศาสตร์มอญ และเป็นการรับ อิทธิพลพุทธศาสนาลังกาอย่างเป็นทางการ และเหตุท่ีจารึกหลักน้ีชื่อว่ากัลยาณีนั้น เนื่องจากเม่ือครั้งพระสงฆ์มอญไปท�ำการอุปสมบทท่ีเกาะลังกานั้น พระเถระชาวลังกา ได้ประกอบพิธีอุปสมบทที่แม่น�้ำกัลยาณี เพ่ือเป็นที่ระลึกถึงสถานท่ีอุปสมบทคร้ังน้ัน จารึกหลักน้ีจึงช่ือว่ากัลยาณี จารึกกัลยาณีมีความส�ำคัญในการศึกษาประวัติศาสตร์ พุทธศาสนาของพม่า เน่ืองจากได้บันทึกเหตุการณ์ทางพุทธศาสนาตั้งแต่เริ่มแรกเข้ามา ๔๓ W.M. Sirisena, Sri Lanka and South-East Asia, (Colombo: S. Godage & Brothers, 2016), pp. 8-9. ๔๔ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน รามัญสมณะวงษ์, พระมหาวิชาธรรม (เรือง เปรียญ) แปลจาก จาฤกสีมากัลยาณี, (กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์ศรีปัญญา ม.ป.ป.).
50 หลักฐานทางโบราณคดี (ซ้าย) นิทานพระพุทธสิหิงค์ฉบับแปลเป็นภาษาไทย และ (ขวา) ต�ำนานเมืองนครศรีธรรมราช ฉบับกรมศิลปากร ประติมากรรมสมัยอาณาจักรตามพรลิงค์ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร (คัดลอกภาพจาก www.pantip.com)
ตามพรลิงค์ 51 ตราประจ�ำจังหวัดนครศรีธรรมราช ภาพสัตว์ตามปีนักษัตรหมายถึงเมืองบริวาร ๑๒ เมือง ของอาณาจักรตามพรลิงค์ ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ต.ทุ่งโพธ์ิ อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช (คัดลอกภาพจาก www. pantip.com)
52 หลักฐานทางโบราณคดี ภาพจิตรกรรมฝาผนังต�ำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช วัดวังตะวันตก เมืองนครศรีธรรมราช
ตามพรลิงค์ 53 รูปปั้นพระอวโลกิเตศวรตามคติมหายาน พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร (คัดลอกภาพจาก www.pantip.com) (ซ้าย) ปกคัมภีร์ถูปวงศ์ฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษ และ (ขวา) ปกคัมภีร์มหาวงศ์ ฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษ
54 หลักฐานทางโบราณคดี เผยแผ่ในดินแดนพม่า สมัยพุกามเม่ือพระเจ้าอนุรุทธะทรงรับพุทธศาสนาจาก เมืองสะเทิม รวมถึงเหตุการณ์ส�ำคัญท่ีเก่ียวกับพุทธศาสนาในพุกาม เน้ือหาของรามัญสมณะวงษ์สามารถแบ่งออกเป็น ๖ ภาค กล่าวคือ ๑) กล่าวถึงเหตุการณ์สมัยการฟื้นฟูพระศาสนาของพระเจ้าอโศกมหาราชและพระโมค คัลลีบุตรติสสเถระ ด้วยการก�ำจัดอลัชชีช�ำระอธิกรณ์สงฆ์จนศาสนาของพระชินเจ้า บริสุทธ์ิ พร้อมทั้งการส่งพระโสณเถระและพระอุตตรเถระมาประกาศพระศาสนาท่ี หัวเมืองมอญ ๒) กล่าวถึงเหตุการณ์สมัยพระเจ้าอนุรุทธะแห่งอาณาจักรพุกาม เมื่อ พระอุตตราชีวเถระและฉปฏสามเณรเดินทางไปเกาะลังกา เพื่อศึกษาดูความเป็นไป ของพระศาสนา คราวน้ันสามเณรฉปฏะได้พ�ำนักอาศัยกับพระสังฆราชศรีลังกา เพื่อ ศึกษาจารีตปฏิบัติของชาวลังกา ๓) กล่าวถึงสามเณรฉปฏะผู้ผ่านการอุปสมบทครบ เถรพรรษา ได้ชักชวนสหธรรมิกเดินทางมาประดิษฐานสิงหลวงศ์ท่ีมาตุภูมิ เบ้ืองต้น ได้เผยแผ่ลัทธิลังกาวงศ์ที่เมืองสะเทิม แต่ไม่ประสบส�ำเร็จจึงเดินทางไปเมืองพุกาม และได้รับความอุปถัมภ์จากกษัตริย์เป็นอย่างดีด้วยการประดิษฐานสิงหลวงศ์ ต่อมา ได้ส่งพระราหุลเถระเดินทางไปเผยแผ่ลัทธิลังกาวงศ์ที่เมืองตามพรลิงค์ ๔) กล่าวถึง คณะสงฆ์วิวาทกันด้วยเร่ืองสีมาหาข้อยุติมิได้ พระเจ้าธรรมเจดีย์จึงนิมนต์คณะสงฆ์ มาประชุมกัน จนเกิดสังฆมติว่าเห็นสมควรส่งพระสงฆ์มอญไปอุปสมบทท่ีเกาะลังกา พระองค์จึงส่งพระสงฆ์ไปเกาะลังกา ๒๒ รูป แบ่งเป็น ๒ ชุด พร้อมเคร่ืองราช บรรณาการเพ่ือน้อมถวายแด่กษัตริย์ลังกา ๕) ว่าด้วยกษัตริย์ลังกาสมัยนั้นถวายการ ต้อนรับพระสงฆ์จากหัวเมืองมอญเป็นอย่างดี พร้อมมอบหมายให้พระธรรมกิตติเถระ พระวนรัตนมหาเถระและพระมังคลเถระเป็นผู้ประกอบพิธีอุปสมบทกรรม และ ๖) ว่าด้วยเหตุการณ์ในอาณาจักรมอญนับจากการก�ำหนดเขตสีมาใหม่ให้ถูกต้องตาม พุทธานุญาต และการอุปสมบทวิธีของพระสงฆ์มอญ โดยความอุปถัมภ์ของพระเจ้า ธรรมเจดีย์ และก�ำหนดสีมาว่ากัลยาณีเพราะเป็นการระลึกถึงการอุปสมบทท่ีแม่น้�ำ กัลยาณีประเทศศรีลังกา แม้เน้ือหาของจารึกกัลยาณีจะเน้นการอุปสมบทพระมอญจากคณะสงฆ์ สิงหลนิกายก็จริง แต่ก็มีหลักฐานเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับอาณาจักรตามพรลิงค์ด้วย
ตามพรลิงค์ 55 ดังเน้ือความตอนหน่ึงว่า ”เมื่อพระราหุลเถระไปอยู่ในเกาะมลัยน้ัน ได้สอนพระราชา ผู้เป็นอิศราธิบดีในเกาะมลัย„ แม้จะมีนักวิชาการหลายท่านตีความเกี่ยวกับที่มาของ เกาะมาลัยตามแนวความคิดแห่งตน แต่โดยส่วนใหญ่ล้วนสรุปตรงกันว่าหมายถึง คาบสมุทรมลายู ผู้เขียนสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นตามพรลิงค์ เพราะสมัยหลังอาณาจักร ตามพรลิงค์มีความคุ้นเคยกับเมืองพม่ารามัญไม่แพ้เกาะลังกา สอดคล้องกับหลักฐาน ในตำ� นานพระธาตเุ มอื งนครศรธี รรมราชซง่ึ ระบวุ า่ คราวเมอ่ื พระยาศรธี รรมโศกราชดำ� ริ จะสรา้ งพระบรมธาตนุ นั้ ไดน้ มิ นตพ์ ระสงิ หลและพระมอญมาชว่ ยในการใหค้ ำ� แนะนำ� ๔๕ หากเป็นเช่นน้ันแสดงว่าอาณาจักรตามพรลิงค์ได้มีการปฏิสัมพันธ์กับอาณาจักรมอญ หรือพม่าจริง อาจจะมีการแลกเปล่ียนพระสงฆ์กันและกัน หากเช่ือมโยงเนื้อหาจากต�ำนานและคัมภีร์เบื้องต้นท้ังหมดสามารถสรุปได้ว่า ผู้แต่งพยายามผูกโยงเน้ือหากับคติความเชื่อเกี่ยวกับหาดทรายแก้วว่าเป็นสถานที่ ศักดิ์สิทธ์ิดังค�ำพยากรณ์ของพระมหาเถรพรหมเทพ และแนวคิดเช่นน้ีเริ่มต้นจากคติ ความเชื่อของพระพุทธศาสนามหายาน แม้จะเดินตามเน้ือหาในคัมภีร์ทาฐาธาตุวงศ์ก็ จริง แต่ก็มีการแทรกเสริมให้เหมาะกับบริบทของนักปราชญ์แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์ ความศักด์ิสิทธ์ิหรือดินแดนสาวกพยากรณ์ของหาดทรายแก้วชะเลรอบ เห็นได้จากมี กษัตริย์จากหลายหัวเมืองอพยพผู้คนมาสร้างบ้านแปลงเมืองบริเวณนี้หลายครั้งหลาย ครา ดังเช่น กษัตริย์แห่งเมืองหงษาวดี (สันนิษฐานว่าอาณาจักรมอญ) และกษัตริย์ แห่งเมืองอินทรปัตถ์ (สันนิษฐานว่าอาณาจักรเขมร) เป็นต้น ความสมบูรณ์ลงตัวของ คติความเชื่อแบบลัทธิลังกาวงศ์น่าจะมาปรากฏเป็นรูปธรรมชัดเจนสมัยพระเจ้า จันทรภาณุ ความรุ่งเรืองดังกล่าวปรากฏเห็นในลักษณะของพระพุทธสิหิงค์ดังอ้างถึง ในคัมภีร์สิหิงคนิทานและคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ ส่วนประเด็นเรื่องกษัตริย์ลังกา ส่งราชทูตมาขอพระธรรมกิตติเถระน้ัน นอกจากจะเป็นปัจจัยบ่งช้ีถือความรุ่งเรืองของ พระศาสนาแล้ว น่าจะเป็นเร่ืองของการประนีประนอมทางการเมืองระหว่างอาณาจักร ดัมพเดณิยะของเกาะลังกา กับอาณาจักรตามพรลิงค์แห่งคาบสมุทรมาเลย์มากกว่า ๔๕ ต�ำนานพระธาตุ, หน้า ๑๐.
56 หลักฐานทางโบราณคดี ๒.๑.๓ โบราณวัตถุ ๑) ประติมากรรมทางพระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ (ก) พระพุทธเจ้า ศากยมุนี พบที่อ�ำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี อายุราวครึ่งแรกของพุทธศตวรรษ ที่ ๑๑ เป็นพระพุทธรูปปางประทานพร สลักจากศิลาทราย เป็นภาพพระพุทธรูปนูน สูง ประทับยืนในท่าเอียงสะโพกเล็กน้อย (ตริภังค์) ครองจีวรห่มคลุม เน้ือผ้าบางแนบ พระองค์ พระหัตถ์ขวาทอดลงด้านล่างแสดงปางประทานพร พระหัตถ์ซ้ายยกข้ึนยึด ชายจีวรในระดับพระอังสา เป็นอิทธิพลศิลปะอินเดียแบบคุปตะ สกุลช่างสารนาถ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรงุ เทพมหานคร๔๖ (ข) พระพทุ ธรปู ปางสมาธิ ยา้ ยมาจากวดั พระบรมธาตไุ ชยา อ�ำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อายุราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๑-๑๒ พระพุทธรูปปาง สมาธอิ งคน์ ีจ้ ัดไดว้ ่าเปน็ ประตมิ ากรรมทสี่ ำ� คญั มากสดุ องคห์ นึ่งทีท่ �ำขึน้ ในภาคใต้ ถือวา่ เป็นหลักฐานยืนยันถึงความส�ำเร็จทางด้านศิลปกรรมชั้นสูงที่เกิดข้ึนในไชยา และเป็น ตัวอย่างแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของพระพุทธรูปสกุลช่างไชยารุ่นที่ ๑ กล่าวคือ สลักข้ึนด้วยความประณีตและความศรัทธาอย่างสูง โดยใช้รูปแบบของพระพุทธรูป อินเดียสกุลต่างๆ มาผสมผสานกัน๔๗ (ค) พระพุทธรูปยืน (ปางแสดงธรรมหรือ วิตรรกมุทรา) พบภายในองค์พระบรมธาตุไชยา เป็นศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ พุทธลักษณะคือยืนบนฐานรูปดอกบัว พระหัตถ์ท้ังสองยกข้ึนระดับพระอุระ นิ้วพระหัตถ์งอในท่าแสดงธรรมแบบศิลปะทวารวดี พระพักตร์รูปไข่ เม็ดพระศกโต พระเนตรโปนเหลือบมองต่�ำ พระนาสิกเป็นสัน พระโอษฐ์หนา พระกรรณยาว มีร่อง ที่ปลายพระกรรณแสดงวัฒนธรรมการเจาะหู สวมกุณฑล ครองจีวรห่มคลุม ชายผ้า จีวรเบ้ืองล่างโค้งตามแบบศิลปะทวารวดี แต่การนุ่งสบงแบบจีบด้านหน้าและคาดผ้า รัดประคดแสดงถึงอิทธิพลมหายานสมัยทวารวดีตอนปลาย ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่ ๔๖ พระพุทธรูปและเทวรูป: ศิลปะทวารวดี ศิลปะทักษิณ และศิลปะร่วมแบบเขมร, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทพิมพ์ดีจ�ำกัด, ๒๕๕๕), หน้า ๕๒. ๔๗ ศิลปะทักษิณ, หน้า ๑๓๖.
ตามพรลิงค์ 57 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา๔๘ (ฆ) พระพุทธรูปประทับยืน พบท่ีวัดจอมทอง อ�ำเภอ สีชล จังหวัดนครศรีธรรมราช อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ พุทธลักษณะคือครอง จีวรแบบห่มดองหรือห่มคลุม จีวรบางเป็นริ้วบางแนบพระองค์ พระหัตถ์ซ้ายถือชาย จีวรหรือเรียกว่ากฎกมุทรา ส่วนพระหัตถ์ขวาช�ำรุดสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นปางแสดง ธรรมหรอื วติ รรกมทุ รา ลกั ษณะการครองผา้ และลกั ษณะจวี รทเี่ ปน็ รว้ิ ตลอดจนลกั ษณะ ชายผ้าแสดงให้เห็นถึงศิลปะภาคใต้ ซ่ึงสร้างข้ึนภายใต้อิทธิพลของศิลปะอินเดียทาง ภาคตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะเมืองนาคปัฏฏินัม ซึ่งเป็นศูนย์กลางของพระ พุทธศาสนาแห่งราชวงศ์โจฬะ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช๔๙ และ (ง) สถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พบท่ีวัดพระพุทธ อ�ำเภอ ตากใบ จังหวัดนราธิวาส อายุราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๖-๑๘ พระสถูปทองค�ำนั้นเป็นท่ี บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซ่ึงจะบรรจุอยู่ในพระสถูปเงินอีกช้ันหน่ึง พระสถูปเงินเป็น ลักษณะของลังกามีฐานกลมสามช้ัน ส่วนคอระฆังเป็นรูปส่ีเหลี่ยม (เรียกว่าท่ีสถิต แห่งเทพเจ้า) ถัดขึ้นไปเป็นปล้องไฉน สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนา ลทั ธลิ งั กาวงศ์ ซงึ่ ไดเ้ ขา้ มาเผยแพรใ่ นเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ตงั้ แตก่ ลางพทุ ธศตวรรษ ที่ ๑๗๕๐ หลักฐานจากโบราณวัตถุเบื้องต้นช้ีให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาเถรวาทที่ เข้ามาเผยแผ่บริเวณเมืองตามพรลิงค์และหัวเมืองใกล้เคียงนั้น มาจากดินแดนตะวัน ออกเฉียงเหนือของอินเดีย เรียกกันว่าคุปตะ ขณะเดียวกันเมืองตามพรลิงค์และเมือง ใกลเ้ คยี งกไ็ ดร้ บั อทิ ธพิ ลวฒั นธรรมทวารวดตี อนปลายเชน่ กนั และคลน่ื พระพทุ ธศาสนา เถรวาทกลุ่มสุดท้ายมาจากแคว้นโจฬะทางอินเดียตอนใต้ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสมัย อาณาจักรโจฬะเข้ามามีอิทธิพลเหนือดินแดนคาบสมุทรมาเลย์ โดยเฉพาะการควบคุม ๔๘ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทร�ำไทยเพลสจ�ำกัด, ๒๕๒๕), หน้า ๕๑. ๔๙ น�ำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช, พิมพ์คร้ังที่ ๒ ฉบับปรับปรุงและ แก้ไขเพ่ิมเติม.(กรุงเทพมหานคร: บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จ�ำกัด, ๒๕๔๓), หน้า ๖๓. ๕๐ ศิลปะทักษิณ, หน้า ๒๔๖.
58 หลักฐานทางโบราณคดี การค้าทางทะเล แม้จะได้รับอิทธิพลจากภายนอกก็ตาม อาณาจักรตามพรลิงค์ได้ พยายามพัฒนาประติมากรรมจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ รู้จักกันในช่ือว่าศิลปะ แบบไชยารุ่นท่ี ๑-๒๕๑ ๒) ประติมากรรมทางพุทธศาสนามหายาน ได้แก่ (ก) พระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวรส�ำริดสี่กร พบบริเวณใกล้วัดพระเพรง อายุราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๓-๑๔ ลักษณะมีพระวรกายล่�ำสัน พระพักตร์กลม ทรงยืนอยู่บนฐานปัทมาสน์หรือฐานบัว คว่�ำบัวหงาย เกล้าพระเกศาเป็นชฎามงกุฎ มีรูปพระธยานิอมิตาภะประทับอยู่ด้านหน้า สวมกระบังหน้าทรงสามเหล่ียมอยู่กลางพระนลาฎและเหนือพระกรรณทั้งสองข้าง ด้านหลังพระเศียรมีรัศมี พระหัตถ์ขวาบนทรงถือลูกประค�ำ (อักษรมาลา) พระหัตถ์ ขวาล่างแสดงปางประทานพร พระหัตถ์ซ้ายบนทรงถือหนังสือ พระหัตถ์ซ้ายล่างทรง ถือดอกบัวบาน (ปัทมะ) ทรงสายธุร�ำท�ำด้วยผ้าแพรพาดพระอังสาซ้ายเฉียงไปทางปั้น พระองค์ด้านขวาพระวรกาย ทรงพระภูษายาวเกือบถึงข้อพระบาทและคาดหนังเสือท่ี พระโสณี ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ท่ีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช๕๒ (ข) พระโพธิสัตว์ปัทมปาณิ ย้ายมาจากวัดเวียง อ�ำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อายุราว พุทธศตวรรษท่ี ๑๓-๑๗ พระโพธิสัตว์องค์นี้อาจสร้างโดยพระเจ้าธรรมเสตุกษัตริย์ แห่งเมืองศรีวิชัย ซ่ึงสมัยน้ันพระองค์ได้ทรงสร้างอาคารก่ออิฐอุทิศถวาย ตามความ ในจารึกจากวัดเวียง อ�ำเภอไชยา สังเกตว่าลวดลายเคร่ืองประดับเพชรพลอยบน ประติมากรรมองค์นี้ คล้ายคลึงกับประติมากรรมจากชวาภาคกลาง เชื่อว่าน่าจะมี ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์แห่งศรีวิชัย (ไชยา) และไศเลนทร์ในชวาภาคกลาง (ค) พระพิมพ์ภาพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรส่ีกร พบท่ีเขาขาว จังหวัดตรัง อายุราว พุทธศตวรรษท่ี ๑๔ พระโพธิสัตว์ประทับนั่งบนดอกบัว พระหัตถ์ขวาหลังทรงถือ ลูกประค�ำ พระหัตถ์ซ้ายหลังทรงถือคัมภีร์ พระหัตถ์ขวาหน้าแสดงปางประทานพร และพระหัตถ์ซ้ายหน้าทรงถือดอกบัว เบ้ืองขวามีรูปสถูป ส่วนด้านล่างมีคาถาเยธัมมา ๕๑ ศิลปะทักษิณ, หน้า ๔๑-๔๔. ๕๒ อ้างแล้ว, น�ำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช, หน้า ๕๕.
ตามพรลิงค์ 59 จารึกด้วยอักษรนาครีและภาษาสันสกฤต รูปแบบพระพิมพ์นี้มีลักษณะเช่นเดียวกัน กับรูปพระโพธิสัตว์ปัทมปาณิส�ำริดที่พบท่ีวัดเวียง อ�ำเภอไชยา ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ท่ี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพมหานคร (ฆ) พระโพธิสัตว์ปัทมปาณิ ยา้ ยมาจากวดั พระบรมธาตไุ ชยา จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี อายรุ าวครงึ่ แรกของพทุ ธศตวรรษ ที่ ๑๕ พระโพธิสัตว์องค์น้ีมีหนังกวางห่มเฉียงพระอังสาซ้าย และมีหนังเสือพันอยู่รอบ พระโสณี มรี ปู พระธยานอิ มติ าภะประดบั อยทู่ พ่ี ระเกศา พระหตั ถข์ วาแสดงปางประทานพร พระหัตถ์ซ้ายทรงถือดอกบัว แสดงถึงอิทธิพลศิลปะจาม ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ท่ี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร๕๓ และ (ง) เศียรพระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร เป็นศิลปะลพบุรี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ลักษณะพระพักตร์สีเหล่ียม มีไรพระศกเป็นกรอบพักตร์ พระเกศาหวีมุ่นเป็นมวยอยู่กลางกระหม่อม ด้านหน้ามี รปู พระพทุ ธเจา้ ประทบั ปางสมาธหิ รอื พระธยานอิ มติ าภะประดษิ ฐานอยู่ ซง่ึ เปน็ สญั ลกั ษณ์ ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา๕๔ หลักฐานจากโบราณวัตถุเบื้องต้นบ่งช้ีว่าดินแดนบริเวณอาณาจักร ตามพรลิงค์และหัวเมืองใกล้เคียง ได้รับอิทธิพลพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมาจาก อาณาจักรศรีวิชัย โดยเฉพาะราชวงศ์ไศเลนทร์ในชวาภาคกลาง แม้จะมีปฏิสัมพันธ์ ภายนอกจากอินเดียก็จริง แต่ความมากอิทธิพลก็ส่งผ่านมาทางอาณาจักรศรีวิชัย เช่นเดิม นอกจากน้ัน ยังได้รับอิทธิพลพระพุทธศาสนามหายานมาจากจามผ่านเขมร ด้วย ครั้นอาณาจักรศรีวิชัยหมดอ�ำนาจเหนือดินแดนแถบนี้ พระสงฆ์ฝ่ายมหายานน่า จะหันไปสร้างความสัมพันธ์กับเมืองลพบุรี ซึ่งสมัยน้ันอิทธิพลมหายานแบบเขมรน่าจะ ทรงอิทธิพลมาก การปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวน่าจะด�ำรงไม่ได้นาน เพราะปรากฏว่าภาย หลังพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ได้เข้ามามีบทบาทแทนที่ ๕๓ ศิลปะทักษิณ, หน้า ๑๖๒, ๑๗๒, ๑๘๒. ๕๔ อ้างแล้ว, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา, หน้า ๕๘.
60 หลักฐานทางโบราณคดี ๓) ประติมากรรมลัทธิไวษณพนิกาย ได้แก่ (ก) พระวิษณุหรือ พระนารายณ์ พบที่วัดศาลาทึง อ�ำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อายุราวพุทธศตวรรษ ที่ ๑๐ เทวรูปองค์นี้อาจจะเป็นประติมากรรมแสดงถึงอิทธิพลศิลปะอินเดียท่ีเก่าสุดใน ภาคใตข้ องประเทศไทย ลกั ษณะของเทวรปู มสี กี่ ร พระหตั ถซ์ า้ ยทรงถอื สงั ขอ์ ยใู่ นระดบั พระโสณี พระหัตถ์ขวาหน้าอยู่ในท่าอภัยมุทรา (ปางป้องกันภัย) พระหัตถ์ขวาหลังทรง ถือคทา ทรงสวมมงกุฎทรงสูง ทรงสวมกุณฑล ซ่ึงประดับด้วยพู่ยาวทอดอยู่เหนือ พระอังสา ทรงกรองศอ พาหุรัดและทองพระกร ทรงผ้านุ่ง มีผ้าคาดเอวและคาด ปั้นเหน่งทับ ส่วนปลายของผ้าคาดเอวทรงสองชายจะยาวลงไปจรดฐาน ประติมากรรม น้ีได้รับอิทธิพลโดยตรงจากศิลปะอินเดียแถบลุ่มแม่น�้ำกฤษณา ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ท่ีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร (ข) พระวษิ ณหุ รอื พระนารายณ์ พบทว่ี ดั พระเพลงิ อำ� เภอนาสาร จงั หวดั นครศรธี รรมราช อายุราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๑ เทวรูปองค์นี้พระหัตถ์ซ้ายทรงถือสังข์อยู่ข้าง พระโสณี ส่วนพระหัตถ์ขวาหน้าทรงถือสัญลักษณ์ (น่าจะเป็นดอกบัวหรือก้อนดิน) หลักฐานทางประติมาณวิทยาช้ีว่ามีอายุอยู่หลังพระวิษณุที่ทรงแสดงอภัยมุทราด้วย พระหัตถ์ขวา ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช๕๕ (ค) พระวิษณุศิลา พบท่ีหอพระนารายณ์ อ�ำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๑ นับเป็นพระวิษณุท่ีเก่าสุดองค์หนึ่งในภาคใต้และเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ เทวรูปมีสี่กรแต่หักหายไปเหลือเพียงพระหัตถ์ซ้ายหน้าทรงสังข์ พระเศียรทรงสวมกิรีฏมงกุฎ ทรงกุณฑลรูปกลมโต ทรงสวมพาหุรัดทองพระกร และสายยชั โญปวตี เฉวยี งบา่ ยาวลงมาเกอื บถงึ พระชานุ ปจั จบุ นั เกบ็ รกั ษาไวท้ พ่ี พิ ธิ ภณั ฑ์ สถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช๕๖ และ (ฆ) พระวิษณุหรือพระนารายณ์ พบที่บ้าน พังก�ำ ต�ำบลฉลอง ชุมชนโบราณสิชล เทวรูปมีพระหัตถ์ซ้ายหน้าทรงถือคทา พระหัตถ์ ซ้ายหลังเห็นร่องรอยทรงถือสังข์ พระหัตถ์ขวาหน้าทรงถือธรณี ส่วนพระหัตถ์ขวาหลัง หักหายไป ทรงมงกฎุ ทรงกระบอกทรงสงู ผ้าทรงยาวถึงนอ่ งตามแบบอินเดียโดยขมวด ๕๕ อ้างแล้ว, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา, หน้า ๑๐๔, ๑๐๘. ๕๖ อ้างแล้ว, น�ำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช, หน้า ๘๕.
ตามพรลิงค์ 61 เป็นปมไว้ด้านหน้า และสายโธตียาวลงไปติดกับฐานระหว่างพระบาทท้ังสอง พระโสณี ผ้าคาดทั้งสองข้างย้อยเป็นวงโค้งลงมาท่ีด้านหน้า๕๗ หลักฐานโบราณวัตถุเบ้ืองต้นชี้ให้เห็นว่าศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพ นิกายเร่ิมปรากฏข้ึนในนครศรีธรรมราชอย่างแน่ชัดในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๑ แม้ จะมนี กั วชิ าการบางทา่ นแสดงความเหน็ วา่ ผนู้ บั ถอื ลทั ธไิ วษณพนกิ ายนา่ จะเขา้ มาตดิ ตอ่ ค้าขาย และตั้งถิ่นฐานบริเวณแถบเมืองตามพรลิงค์และเมืองใกล้เคียงต้ังแต่พุทธ ศตวรรษที่ ๘-๙๕๘ แต่ความเป็นไปได้คือเบ้ืองต้นชาวอินเดียเหล่าน้ันน่าจะน�ำรูป พระวิษณุหรือพระนารายณ์ติดตัวมาด้วย แต่อาจจะเป็นขนาดเล็กเพราะเป็นการเดิน ทางไกล สอดคล้องกับหลักฐานในจารึกหุบเขาช่องคอย๕๙ คร้ันต้ังหลักปักฐานม่ันคง ดแี ลว้ จงึ มกี ารสรา้ งเทวรปู พรอ้ มสรา้ งเทวาลยั สำ� หรบั ประดษิ ฐาน และประกอบพธิ กี รรม ตามความเช่ือแห่งตน สันนิษฐานว่านอกจากท�ำหน้าท่ีเป็นพ่อค้าติดต่อค้าขายกับ อาณาจักรตามพรลิงค์แล้ว พราหมณ์อีกกลุ่มหน่ึงผู้มีความรู้ดีสมัยน้ัน น่าจะท�ำหน้าท่ี เป็นท่ีปรึกษากษัตริย์จนมีอิทธิพลเหนือราชส�ำนัก ด้วยการสอดแทรกคติความเชื่อ และพิธีกรรมแบบลัทธิไวษณพนิกายเข้าไปด้วย ๔) ประติมากรรมลัทธิไศวนิกาย ได้แก่ (ก) เอกามุขลึงค์ พบท่ีสถานี รถไฟหนองหวาย อ�ำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อายุราวกลางพุทธศตวรรษท่ี ๑๑- ๑๒ ประติมากรรมช้ินน้ีเป็นเอกมุขลึงค์ท่ีเก่าสุดในประเทศไทย ลึงค์นี้มีพระพักตร์ของ พระศิวะ (พระอิศวร) ประดับอยู่บนส่วนยอด ลักษณะพระเกศาและรูปพระจันทร์ เสี้ยวท่ีประดับอยู่บนด้านข้างพระเศียรรวมท้ังสายสร้อยไข่มุกสายเด่ียว เป็นลักษณะ ของมุขลึงค์ในศิลปะอินเดียสมัยคุปตะ ราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ ปัจจุบันเก็บ รักษาไว้ท่ีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร (ข) ศิวลึงค์ พบท่ี อ�ำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี อายุราวต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ ลิงค์แบ่งออกได้เป็น ๕๗ ปรีชา นุ่นสุข, ”ร่องรอยชุมชนโบราณของพราหมณ์ในนครศรีธรรมราช„, (มหาวิทยาลัย ศิลปากร, ๒๕๒๗), หน้า ๘๘. ๕๘ ศิลปะทักษิณ, หน้า ๒๔. ๕๙ จารึก ๑, หน้า ๔๘-๕๕.
62 หลักฐานทางโบราณคดี สามส่วน คือ ส่วนยอดรูปทรงกลมเรียกว่ารุทธภาค ส่วนที่เป็นรูปแปดเหล่ียมเรียกว่า วิษณุภาค และส่วนฐานรูปสี่เหล่ียมเรียกว่าพรหมภาค การสร้างลึงค์ให้มีลักษณะใกล้ เคียงธรรมชาติอย่างมากนี้มีอายุเก่ากว่าลึงค์ท่ีท�ำข้ึนตามแบบแผนคตินิยม คือส่วนท้ัง สามจะมีขนาดไล่เล่ียเท่ากันโดยตลอด ลิงค์องค์นี้จัดเป็นตัวอย่างของลึงค์ในยุคหัว เล้ียวหัวต่อ เพราะว่าส่วนยอดรูปทรงกลมจะมีขนาดใหญ่กว่าส่วนรูปแปดเหลี่ยมและ ส่วนรูปสี่เหล่ียมรวมกัน๖๐ (ค) ศิวนาฏราชส�ำริด พบในเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ อ�ำเภอ เมอื ง จงั หวดั นครศรธี รรมราช เปน็ ศลิ ปะของกลมุ่ ชนภาคใต้ อายรุ าวกลางพทุ ธศตวรรษ ท่ี ๒๒-๒๓ แต่ลักษณะคล้ายคลึงกับพระศิวนาฏราชส�ำริดศิลปะอินเดียแบบทมิฬ สมัยราชวงศ์โจฬะ ซ่ึงมีอายุราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ ซึ่งปัจจุบันจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์ วิคตอเรีย แอนด์ อัลเบอร์ต กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ประติมากรรมส�ำริดช้ิน นี้แสดงจักรวาลของลัทธิไศวนิกาย กล่าวคือวงโค้งรูปเกือกม้าท่ีมีเปลวไฟพวยพุ่งโดย รอบ การเคล่ือนไหวท้ังหมดเกิดข้ึนได้จากจังหวะนาฎลีลาของพระศิวะ สัญลักษณ์ แสดงถึงหน้าที่ของพระศิวะคือกลองในพระหัตถ์ขวาหลัง พระหัตถ์ขวาหน้าอยู่ในปาง ประทานอภัย พระหัตถ์ซ้ายหลังทรงอัคนีสัญลักษณ์ของการท�ำลาย ด้วยพระอังคุส (น้ิวหัวแม่มือ) กับพระดรรชนี (นิ้วชี้) ขณะที่พระหัตถ์ซ้ายหน้าช้ียังพระบาทที่ยกข้ึน ทรงอยู่ในท่าภุชงคตราสิตตามลักษณะนาฏลีลาและนาฏราชาของอินเดียใต้ พระเกศา ที่มุ่นเป็นเกลียวประดับด้วยขนนกยูง ดอกไม้และงูพิษ มีสัญลักษณ์ของพระองค์อีก สองอย่างประดับอยู่คือกปาละและพระจันทร์เส้ียว พระกรรณข้างขวาทรงกุณฑลรูป มกร ส่วนพระกรรณข้างซ้ายทรงกุณฑลรูปจักร กุณฑลแรกแสดงถึงครึ่งเพศชายและ กุณฑลแบบหลังแสดงถึงคร่ึงเพศหญิง พระบาทขวาทรงเหยียบอปัสมารปุรุษซึ่งเป็น ยักษ์แห่งความช่ัวร้าย๖๑ และ (ฆ) โยนิ หมายถึงฐานที่ประดิษฐานศิวลึงค์ มักปรากฏ ว่ามีร่องเพ่ือให้น�้ำมนต์ไหลไปลงตามพิธีกรรมและความเช่ือในศาสนาพราหมณ์ จาก การค้นพบโยนีทั้งหมดบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราชล้วนเป็นศิลา บางส่วนไม่มี ร่องรอยการตกแต่งถือว่าเป็นโยนิแบบดั้งเดิม บางส่วนมีร่องรอยการสลักและตกแต่ง ๖๐ ศิลปะทักษิณ, หน้า ๑๓๐, ๑๓๒. ๖๑ ศิลปะทักษิณ, หน้า ๑๐๖.
ตามพรลิงค์ 63 ให้มีรูปร่างและขนาดสวยงาม บางส่วนมีการตกแต่งองค์ประกอบทั้งภายนอกและ ภายในเช่นเดียวกับโยนิทั่วไป แม้จะมีการเจาะรูเหมือนกับโยนิทั่วไปแต่ไม่ทะลุ แผ่นศิลา และบางส่วนเป็นโยนิมีฐานสูงพร้อมมีลวดลายประดับประดา๖๒ หลกั ฐานเบอื้ งตน้ ชว้ี า่ ศาสนาพราหมณล์ ทั ธไิ ศวนกิ ายเขา้ มาเผยแพรบ่ รเิ วณ อาณาจักรตามพรลิงค์ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๑-๑๒ ซ่ึงถือว่าภายหลังลัทธิไวษณพนิกาย จากการวิเคราะห์เอกามุขลึงค์นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นราวกลาง พุทธศตวรรษที่ ๑๑ สังเกตได้จากลักษณะของมุ่นมวยผมถัก (ชฏามุกุต) ซ่ึงเป็น ลักษณะของทรงผมตามแบบนักบวชอินเดีย สามารถเปรียบเทียบได้กับมุ่นมวยผม ของพระศิวะในศิลปะอินเดีย ซึ่งมีอายุอยู่ในราวกลางพุทธศตวรรษท่ี ๑๐ ถึงราวกลาง พุทธศตวรรษท่ี ๑๑ และน่าจะเป็นศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะคุปตะ๖๓ เป็นท่ี นา่ สังเกตวา่ แม้ชาวอนิ เดยี ผเู้ ดนิ ทางมาตดิ ตอ่ คา้ ขาย หรอื มาพำ� นกั อาศยั อยทู่ อ่ี าณาจกั ร ตามพรลิงค์ จะมีความแตกต่างด้านคติความเช่ือ แต่หลักฐานทางโบราณคดีล้วนชี้ บอกวา่ ลทั ธไิ ศวนกิ ายและลทั ธไิ วษณพนกิ ายมผี คู้ นใหค้ วามเคารพเทา่ เทยี มกนั สนั นษิ ฐาน วา่ ดว้ ยลกั ษณะเชน่ นเ้ี องตอ่ มาภายหลงั จงึ มคี วามพยายามสรา้ งเทวรปู หรหิ ระ ซงึ่ เปน็ การ หลอมรวมสองลัทธิเข้าเป็นหน่ึงเดียว เพ่ือให้ศาสนิกท้ังสองลัทธินิกายประพฤติปฏิบัติ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๒.๑.๔ โบราณสถาน ๑) หอพระนารายณ์๖๔ (โบราณสถานหมายเลข ๒๓) โบราณสถานแห่งน้ีต้ังอยู่ริมฟากตะวันตกของถนนราชด�ำเนิน ต�ำบล ในเมือง อ�ำเภอเมือง เขตก�ำแพงเมืองนครศรีธรรมราช ปัจจุบันหอพระนารายณ์ได้รับ ๖๒ อ้างแล้ว, ปรีชา นุ่นสุข, ”ร่องรอยชุมชนโบราณของพราหมณ์ในนครศรีธรรมราช”, หน้า ๑๑๖-๑๗. ๖๓ ศิลปะทักษิณ, หน้า ๓๘. ๖๔ อ้างแล้ว, ปรีชา นุ่นสุข, ”ร่องรอยชุมชนโบราณของพราหมณ์ในนครศรีธรรมราช„, หน้า ๑๗๕.
64 หลักฐานทางโบราณคดี การบูรณะใหม่ เป็นเทวาสถานฐานรูปส่ีเหล่ียมผืนผ้าก่ออิฐถือปูน โครงหลังคาเป็น เครื่องไม้ มุงด้วยกระเบ้ืองดินเผา การบูรณะเทวสถานแห่งน้ีที่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด คือสมัยพระยารัษฎานุประดิษฐ์ (สินธุ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นข้าหลวงประจ�ำ จังหวัดนครศรีธรรมราช (พ.ศ.๒๔๖๒-๒๔๗๕) และเม่ือ พ.ศ.๒๕๐๙ กรมศิลปากร ไดบ้ รู ณะอกี ครงั้ โดยเปลย่ี นเครอ่ื งไมโ้ ครงหลงั คากระเบอ้ื งและทาสใี หม่ จากการสบื คน้ หลักฐานทางโบราณคดี ได้มีการค้นพบเทวรูปพระวิษณุรุ่นเก่าที่เทวสถานแห่งน้ี ๑ องค์ ปัจจุบันน้ีได้ย้ายไปจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช แต่เดิมเทวสถานแห่งนี้ใช้ส�ำหรับประกอบพิธีกรรมของพราหมณ์ในนครศรีธรรมราช สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเทวสถานหลักของอาณาจักรตามพรลิงค์ อันเน่ืองจากสถานท่ี ต้ังเหมาะสมเพราะตั้งอยู่ภายในบริเวณกลางเมือง และพิธีกรรมตามความเชื่อของ พราหมณ์น่าจะกระท�ำเร่ือยมาจนลดบทบาทลงเหมือนดังเห็นในปัจจุบัน ๒) หอพระศิวะ (โบราณสถานหมายเลข ๒๔) โบราณสถานแห่งนี้ต้ังอยู่ริมถนนราชด�ำเนิน ต�ำบลในเมือง อ�ำเภอเมือง ตรงข้ามกับหอพระนารายณ์ มีการบูรณะหลายคร้ัง ปัจจุบันมีรูปทรงเดียวกับหอ พระนารายณ์ โดยจังหวัดนครศรีธรรมราชได้ด�ำเนินการบูรณะ เม่ือ พ.ศ.๒๕๐๙ และ ในปีต่อมาจังหวัดนครศรีธรรมราชได้ก่อก�ำแพงล้อมรอบเทวสถาน เดิมเทวสถานแห่ง น้ีเป็นท่ีประดิษฐานรูปเคารพส�ำริดในศาสนาพราหมณ์หลายองค์ คือ พระศิวนาฏราช ๑ องค์ พระอุมา ๑ องค์ พระพิฆเนศวร์ ๑ องค์ และหงส์ ๑ ตัว รูปเคารพเหล่านี้ แตเ่ ดมิ ประดษิ ฐาน ณ โบสถพ์ ราหมณบ์ รเิ วณใกลเ้ คยี งกนั ตอ่ มามกี ารยา้ ยประตมิ ากรรม เหล่าน้ีไปจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ปัจจุบันหอ พระศิวะประดิษฐานศิวลึงค์และโยนีท่ีท�ำด้วยศิลาจ�ำนวนมาก ๓) โบสถ์พราหมณ์ (โบราณสถานหมายเลข ๒๕) โบราณสถานแห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับหอพระนารายณ์และหอ พระศิวะ ปัจจุบันได้พังทลายหมดแล้ว เหลืออยู่เพียงหลักฐานที่นักโบราณคดีบันทึก เอาไว้ ดังเช่น ตรี อมาตยกุล กล่าวไว้ว่า โบสถ์พราหมณ์มีกุฎิส�ำหรับเก็บรักษาเทวรูป
ตามพรลิงค์ 65 ส�ำหรับใช้ในพิธีกรรมพราหมณ์ คือ ศิวลึงค์ศิลา ๔ อัน ฐานส�ำหรับรองศิวลึงค์ หนึ่งอัน ฐานรองเทวรูปฐานหน่ึง และรูปพระคเณศวร์องค์หน่ึง นอกกุฏิศิวลึงค์ท�ำเป็น แปดเหลี่ยมอันหน่ึง เดิมในกุฎิมีกระดานอยู่ ๑ แผ่น ส�ำหรับใช้ฝังหลุมตามพิธี ตรยี มั พวายของพราหมณ์ กระดานที่กล่าวนี้จ�ำหลักเป็นรูปนางคงคา ๒ แผ่น เป็นของ เก่าคร้ังกรุงศรีอยุธยา และกระดานจ�ำหลักเป็นรูปพระอาทิตย์แผ่นหนึ่ง ซึ่งสร้างข้ึน ใหม่ส�ำหรับใช้แห่แหนรูปนางคงคา แต่เม่ือเลิกพิธีตรียัมพวายส�ำหรับเมืองน้ีแล้ว จึง ได้น�ำกระดานจ�ำหลักทั้ง ๓ แผ่นนี้ไปไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดพระมหาธาตุ ๔) พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช๖๕ พระบรมธาตุเจดีย์เป็นพระเจดีย์ทรงกลมแบบลังกาขนาดใหญ่ มีฐาน กว้างประมาณ ๒๕ เมตร สูงประมาณ ๕๕ เมตร แบบแผนขององค์พระบรมธาตุ เจดีย์ประกอบด้วย ฐานล่างเป็นฐานปัทม์ส่ีเหลี่ยมจัตุรัสห้องไม้สูง ท่ีท้องไม้มีซุ้ม ซ่ึง ภายในซุ้มมีช้างปูนปั้นยืนสองขาหน้าและหัวโผล่ออกมาครึ่งตัว ประดับอยู่โดยรอบ ฐานพระบรมธาตุเจดีย์ด้านละ ๖ ซุ้ม ยกเว้นด้านทิศเหนือจะมีอยู่เพียง ๔ ซุ้ม เพราะ เป็นบันไดทางขึ้นสู่ลานประทักษิณ รวมท้ังส้ินมีซุ้มช้างอยู่ ๒๒ ซุ้ม ซุ้มช้างเหล่านี้เจาะ ลึกไปเป็นช่องคูหาในฐานเจดีย์และระหว่างซุ้มมีเสาค่ันย่ืนออกมาไม่มากนัก ด้านล่าง ของเสาก่อเป็นฐานยื่นออกมาส�ำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปที่อยู่ในซุ้มเรือนแก้ว มีจ�ำนวนทั้งสิ้น ๒๕ องค์ ฐานส่วนล่างของพระบรมธาตุเจดีย์มีหลังคาคลุมอยู่ท้ังสี่ด้าน มีลักษณะ เป็นระเบียงท่ีอยู่โดยรอบฐานของพระบรมธาตุเจดีย์เรียกว่าวิหารทับเกษตร หรือ เรียกอีกอย่างหน่ึงว่าพระระเบียงตีนธาตุ เหนือข้ึนไปจากฐานช้างล้อมเป็นฐานปัทม์ ส่ีเหล่ียมขนาดเตี้ย ด้านบนเป็นลานประทักษิณ มีก�ำแพงแก้วหรือระเบียงล้อมรอบ ทั้งส่ีด้าน และมีเจดีย์ต้ังอยู่ท่ีมุมทั้งส่ีทิศ ลักษณะเป็นเจดีย์จ�ำลองย่อส่วนของพระบรม ๖๕ สุรพล ด�ำริห์กุล, เจดีย์ช้างล้อมกับประวัติศาสตร์บ้านเมืองและพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ ในประเทศไทย, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท แอคทีฟ พริ้นท์ จ�ำกัด, ๒๕๔๕), หน้า ๖๐-๖๒.
66 หลักฐานทางโบราณคดี ธาตุเจดีย์ บนก�ำแพงประดับด้วยใบเสมาดินเผา ฉัตรและบังสูรย์ บนสันหลังคาวิหาร ทับเกษตรมีท่อระบายน�้ำจากลานประทักษิณ ที่ปลายท่อเป็นรูปหัวสัตว์ปูนปั้นรวม ทั้งหมด ๑๐ ท่อ ทางข้ึนไปสู่ลานประทักษิณอยู่ทางด้านทิศเหนือ ซึ่งเป็นวิหารพระม้า จากลานประทักษิณข้ึนไปองค์พระบรมธาตุเจดีย์เป็นส่วนของมาลัยเถา ซึ่งมีลักษณะเป็นฐานปัทม์ห้องไม้แคบและมีมาลัยลูกแก้วหน่ึงเส้นซ้อนกันสามชั้นรอง รับองค์ระฆังขนาดใหญ่ บัลลังก์เป็นฐานปัทม์สี่เหลี่ยมที่ท้องไม้ท�ำเป็นเสาประดับอยู่ โดยรอบ เหนือบัลลังก์เป็นก้านฉัตรมีเสาหารอยู่โดยรอบ ๘ เสา แต่ละเสาประดับด้วย ปูนปั้นพระมหาสาวกยืนเวียนเป็นทักษิณาวรรตประนมมือท้ัง ๘ องค์ ได้แก่ พระโกณฑัญญเถระ พระมหากัสสปเถระ พระสารีบุตรเถระ พระอุบาลีเถระ พระอานนท์เถระ พระควัมปติเถระ พระโมคคัลลานเถระ และพระราหุลเถระ ถัดขึ้น ไปเป็นชุดปล้องไฉนมีท้ังหมด ๕๒ ปล้อง และบัวกาบปลีรองรับปลียอด ซึ่งทั้ง บวั กาบปลแี ละปลยี อดหมุ้ ดว้ ยแผน่ ทองคำ� ปลายยอดสดุ เปน็ เมด็ นำ้� คา้ ง และพมุ่ เรอื นรศั มี ๕) พระบรมธาตุไชยา๖๖ พระบรมธาตุไชยาเป็นเจดีย์ทรงปราสาทยอดแบบเรียกกันว่าศิลปะ ศรีวิชัย เรือนธาตุมีผังเป็นรูปกากบาท มีมุขทั้ง ๔ ด้าน ลักษณะเป็นมุขตันเพ่ิมมุม ออกมาจากกลางด้านของผนังเรือนธาตุ ยกเว้นด้านทิศตะวันออกมีบันไดทางข้ึนเข้าสู่ ห้องโถงกลาง ความสูงของพระบรมธาตุจากฐานถึงยอดประมาณ ๒๔ เมตร ประกอบ ด้วยฐานบัวลูกแก้วสี่เหลี่ยมจัตุรัสตกแต่งด้วยเสาติดผนังลดเหล่ียม ๑ ช้ัน วางอยู่บน ฐานเขียงขนาดเตี้ยซ้อนกัน ๒ ช้ัน ขนาดฐานวัดจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตกยาว ประมาณ ๑๓ เมตร (ของเดิมยาว ๑๐ เมตร สร้างพอกข้ึนใหม่ทางด้านหน้า ๓ เมตร) จากทิศเหนือถึงทิศใต้ยาวประมาณ ๑๐ เมตร ส่วนฐานอยู่ต่�ำกว่าผิวดินปัจจุบัน เดิมนั้นมีดินทับถมอยู่เต็มทางวัดจึงได้ขุดบริเวณโดยรอบฐานเป็นสระกว้างประมาณ ๒.๓๐-๒.๕๐ เมตร ลึกประมาณ ๑ เมตร เพื่อให้เห็นฐานเดิม ปัจจุบันมีน้�ำขังอยู่รอบ ๖๖ นงคราญ ศรีชาย, ตามรอยศรีวิชัย: ศึกษาเชิงวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ศรีวิชัย, (กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๔๔), หน้า ๕๗-๖๒.
ตามพรลิงค์ 67 ฐานตลอดปี ด้านหน้าฐานบัวลูกแก้ว ด้านทิศตะวันออกมีซุ้มพระพุทธรูปอยู่ข้างบันได จ�ำนวน ๒ ซุ้ม เป็นการสร้างต่อเติมทีหลัง (มีมาก่อนที่จะบูรณะในสมัยรัชกาลท่ี ๕) สามารถเห็นร่องรอยฐานเก่าท่ีเป็นส่ีเหล่ียมจัตุรัส เพราะมีฐานบัวเดิมโผล่ออกมาให้ เห็นชัดเจน ส่วนบนของฐานบัวลูกแก้วส่ีเหลี่ยมมีลักษณะเป็นฐานทักษิณ มุมทั้งสี่ ประดับด้วยสถูปจ�ำลอง ตรงกลางฐานเป็นฐานบัวลูกแก้วอีกช้ันหน่ึงรองรับเรือนธาตุ เจดีย์ทรงจัตุรมุข มุมเรือนธาตุท�ำเป็นรูปเสาหลอกติดผนัง ตรงกลางเสาเซาะร่องตลอด โคนถึงปลายเสา มุขด้านหน้าทางด้านทิศตะวันออกมีบันไดทางขึ้นสามารถเดินข้ึนไป นมัสการพระพุทธรูปภายในองค์เจดีย์ได้ ห้องภายในขนาดประมาณ ๒X๒ เมตร ปัจจุบันก่อฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นจ�ำนวน ๘ องค์ สำ� หรบั ผนงั เรอื นธาตเุ ดมิ กอ่ อฐิ ไมส่ อปนู ลดหลนั่ กนั ขนึ้ ไปจนถงึ ยอดทม่ี มุ ของมุข แต่ละด้านท�ำเป็นเสาติดผนังอาคาร เหนือมุขเป็นซุ้มหน้าบันประดับลายปูนปั้น รูปวงโค้งคล้ายเกือกม้า หรือเรียกว่า ”กุฑุ” เหนือเรือนธาตุมีลักษณะเป็นหลังคาซ้อน กันขึ้นไป ๓ ช้ัน โดยการจ�ำลองย่อส่วนอาคารเบ้ืองล่างลดหล่ันกันข้ึนไป แต่ละชั้น ประดับด้วยสถูปจ�ำลองที่มุมท้ังสี่และตรงกลางด้านเหนือซุ้มหน้าบัน รวมจ�ำนวนสถูป จ�ำลองช้ันละ ๘ องค์ ทั้งหมดสามช้ันรวมท้ังส้ิน ๒๔ องค์ ถัดขึ้นไปเป็นส่วนยอด ซึ่งซ่อมแปลงครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยขยายส่วนยอดให้สูงขึ้น เริ่มต้ังแต่ บัวปากระฆังซ่ึงเป็นดอกบัวบานขนาดใหญ่ องค์ระฆังรูปแปดเหลี่ยม ถัดขึ้นไปเป็น ฐานเขียงแปดเหล่ียมขนาดเล็กรองรับก้านฉัตร ต่อด้วยปล้องไฉนแปดเหล่ียมจ�ำนวน ห้าชั้น เหมือนปล้องไฉนเป็นบัวกลุ่มหุ้มทองค�ำรองรับปลียอดหุ้มทองค�ำ ซ่ึงเข้าใจว่า ได้ต้นแบบมาจากยอดพระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช ๖) พระมหาธาตุเจดีย์วัดเขียนบางแก้ว๖๗ พระมหาธาตเุ จดยี อ์ งคน์ ป้ี ระดษิ ฐานอยดู่ า้ นหลงั อโุ บสถ รมิ คลองบางแกว้ ก่อด้วยอิฐถือปูน มีฐาน ๘ เหลี่ยม วัดโดยรอบยาว ๑๖.๘๐ เมตร สูงถึงยอด ๒๒ ๖๗ สุธิพงศ์ พงษ์ไพบูลย์, ”พระมหาธาตุเจดีย์วัดเขียนบางแก้ว„, ใน สารานุกรมวัฒนธรรม ภาคใต้ เล่มท่ี ๖. (กรุงเทพมหานคร: สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา, ๒๕๒๙), หน้า ๒๓๔๑-๒๓๔๒.
68 หลักฐานทางโบราณคดี เมตร ที่ฐานมีซุ้มจรน�ำ ๓ ซุ้ม แต่ละซุ้มกว้าง ๑.๒๘ เมตร สูง ๑.๖๓ เมตร ลักษณะ ของซุ้มคล้ายกับซุ้มพระพิมพ์ดินดิบท่ีถ�้ำมืด จังหวัดยะลา แต่ละซุ้มมีพระพุทธรูป ประทับนั่งขนาดหน้าตักกว้าง ๐.๙๔ เมตร สูง ๑.๒๕ เมตร รอบพระเศียรมีประภา มณฑล เหนือซุ้มจรน�ำเป็นสถูปเจดีย์รูปทรงส่ีเหล่ียมอิทธิพลศิลปะจีน ระหว่างซุ้ม ทั้ง ๓ มีรูปหัวช้างปูนปั้นโผล่ออกมา ด้านทิศตะวันออกมีบันไดข้ึนสู่ฐานทักษิณ เหนือบันไดท�ำเป็นซุ้มยอดอย่างจีน ตรงมุมบันไดทั้งสองข้าง มีซุ้มประดิษฐาน พระพุทธรูป ฐานที่ติดกับองค์เจดีย์เป็น ๘ เหลี่ยม มีลายปูนปั้นเป็นลายเรือเถา (เดิมเป็นรูปยักษ์แบก) เหนือฐานขึ้นไปเป็นองค์เจดีย์แบบโอคว�่ำหรือคล้ายระฆังคว่�ำ เหนือข้ึนไปเป็นรัตนบัลลังก์ เป็นฐานรองรับแกนปล้องไฉน เป็นรูปสี่เหล่ียมจัตุรัส มีถ้วยชามดินเผาประดับไว้อย่างสวยงาม มุมท้ัง ๔ ของรัตนบัลลังก์มีรูปกาปูนปั้น ซ่ึงเป็นสัญลักษณ์แทนสมณศักด์ิของคณะสงฆ์ ๔ คณะ คือ กาแก้ว การาม กาชาติ และกาเดิม (ท�ำโดยพระมหาประพันธ์ ธมฺมนาโถ พ.ศ.๒๕๐๔) เหนือรัตนบัลลังก์เป็น เสามะหวด ระหว่างเสามีพระอรหันต์รอบทิศ ปูนปั้นแบบนูนสูงกึ่งนูนต่�ำ เหนือข้ึนไป เป็นปล้องไฉน ๓๘ ปล้อง ถัดจากน้ันขึ้นไปเป็นบัวคว�่ำบัวหงายแล้วเป็นปลียอด เชื่อว่าเป็นพระธาตุเจดีย์แบบเดียวกับวัดพะโคะ อ�ำเภอเมือสทิงพระ จังหวัดสงขลา และน่าจะสร้างข้ึนในระเวลาใกล้เคียงกัน เพราะคติทางสถาปัตยกรรมคล้ายคลึงกัน ใช้วัสดุและเทคนิควิธีอย่างเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ หรือถ้ามิเช่นนั้นก็น่าจะมีอิทธิพล ส่งต่อกัน ๗) พระบรมธาตุเจดีย์วัดพะโคะ๖๘ พระบรมธาตุเจดีย์พะโคะต้ังอยู่บนเนินเขา ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงกลมตั้ง อยู่บนฐานประทักษิณมีช้างล้อม แบบแผนของพระเจดีย์มีองค์ประกอบ ดังนี้ ฐานล่าง สุดเป็นฐานเขียงในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดกวางประมาณด้านละ ๑๗.๕๐ เมตร รองรับ ฐานประทักษิณท่ีเป็นฐานปัทม์ท้องไม้สูง ท่ีผนังของฐานนี้เป็นช่องเสาหลอก ระหว่าง ๖๘ อ้างแล้ว, สุรพล ด�ำริห์กุล, เจดีย์ช้างล้อมกับประวัติศาสตร์บ้านเมืองและพระพุทธศาสนา ลังกาวงศ์ในประเทศไทย, หน้า ๗๗-๗๙.
ตามพรลิงค์ 69 เสามีช้างปูนปั้นอยู่ในซุ้มจระน�ำประดับอยู่โดยรอบฐานด้านละ ๔ เชือก รวมทั้งสั้น ๑๖ เชือก ลักษณะของช้างปูนปั้นประดับฐานประทักษิณเป็นช้างยืนอยู่ในช่องคูหาท่ี เจาะลึกเจ้าไปในผนัง ขาหน้าสองขาติดกับผนังโผล่เฉพาส่วนหัวออกมา จากส่วนบนของฐานประทักษิณลงมามีหลังคาคลุมอยู่ทั้งส่ีด้าน เป็น ระเบียงท่ีอยู่โดยรอบฐานขององค์พระเจดีย์ ภายในระเบียงมีพระพุทธรูปประดิษฐาน อยู่บนแท่นฐานปัทม์ต้ังอยู่โดยรอบ เรียกว่าพระเวียน มีจ�ำนวนทั้งส้ิน ๔๑ องค์ พระเวียนเหล่าน้ีคงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๙ ด้านบนของฐานประทักษิณเป็นลาน ประทักษิณ มีราวระเบียงก่อเป็นก�ำแพงทึบ บนก�ำแพงมีใบเสมาอยู่โดยรอบ มีบันได ทางขึ้นอยู่ทางด้านทิศใต้ ที่มุมทั้งส่ีมีเจดีย์ทิศเป็นเจดีย์ทรงกลมจ�ำลองสร้างอยู่ ถัดขึ้น ไปเป็นฐานประทักษิณในผังสี่เหล่ียมซ้อนกันข้ึนไปอีกสองชั้น ฐานประทักษิณทั้งสอง ฐานน้ีคล้ายคลึงกัน มีลักษณะเลียนแบบฐานประทักษิณชั้นแรก กล่าวคือมีลักษณะ เป็นฐานปัทม์ท่ีมีระเบียงล้อมรอบเป็นใบเสมาและมีเจดีย์ทิศทรงกลมอยู่ที่มุมทั้งสี่ แต่ที่ฐานประทักษิณท่ีซ้อนกันข้ึนไปสองชั้นนี้ท�ำเป็นซุ้มประตูยอดแหลมประดิษฐาน พระพุทธรูปประทับยืนอยู่บริเวณกึ่งกลางของฐานทั้งส่ีด้าน องค์พระเจดีย์ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณบนสุด ซ่ึงมีแบบแผนต้ังอยู่บน ฐานเขียงกลมรองรับมาลัยเถากลมซ่ึงมีลักษณะเป็นแบบฐานปัทม์ ท่ีท้องไม้มีมาลัยลูก แก้วหน่ึงเส้น ตั้งซ้อนกันข้ึนไปสองชั้นรับองค์ระฆังผายกลมขนาดใหญ่ บัลลังก์เป็น ฐานปัทม์สี่เหลี่ยมยกเก็จ ก้านฉัตรก่อทึบเป็นเสาหาร ระหว่างเสาหารมีพระพุทธรูป ประทบั นง่ั ประดษิ ฐานอยภู่ ายใน ถดั ขนึ้ ไปเปน็ ปลอ้ งไฉนขนาดใหญ่ มบี วั กาบปลรี องรบั ปลียอด ยอดเจดีย์ท�ำด้วยโลหะคล้ายเม็ดน้�ำค้าง พระบรมธาตุเจดีย์วัดพะโคะนี้ นา่ จะสรา้ งขน้ึ โดยเลยี นแบบพระบรมธาตเุ จดยี น์ ครศรธี รรมราช แมว้ า่ จะมอี งคป์ ระกอบ บางส่วนของเจดีย์แตกต่างออกไป เช่น การท�ำฐานประทักษิณซ้อนกันข้ึนไปหลายชั้น แตแ่ บบแผนส่วนใหญ่กย็ งั มีความคล้ายคลงึ กนั กบั พระบรมธาตเุ จดยี น์ ครศรธี รรมราช โบราณสถานเบอ้ื งตน้ ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ อาณาบรเิ วณของตามพรลงิ คน์ น้ั เปน็ การ ผสมผสานกันระหว่างศาสนาพราหมณ์กับพระพุทธศาสนา แม้ว่ากษัตริย์พระองค์ใด ข้ึนครองราชย์จะอุปถัมภ์ศาสนาหนึ่งให้โดดเด่นก็จริงแต่มิได้ท�ำลายศาสนาอ่ืน
70 หลักฐานทางโบราณคดี พร้อมให้การสนับสนุนเท่าเทียม เป็นท่ีน่าสังเกตอย่างหนึ่งคือโบราณสถานของศาสนา พราหมณ์นั้นต้ังอยู่ภายในบริเวณเดียวกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่าสมัยหลังลัทธิไวษณพ นิกายและลัทธิไศวนิกายได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวในรูปแบบของหริหระ ส�ำหรับ โบราณของพระพุทธศาสนาน้ันหลักฐานชี้ชัดว่า เดิมพระพุทธศาสนามหายานได้รับการ อุปถัมภ์จากสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างดี ด้วยการสร้างเจดีย์ขนาดใหญ่ ครั้น ภายหลังพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย มิได้สร้าง ขึ้นใหม่แต่สวมทับโบราณสถานเดิม และปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะสมตามแบบของ ลังกา นอกจากนั้น ได้เน้นไปที่ประเพณีเกี่ยวกับพระธาตุเหมือนศรีลังกาต้นแบบ เช่น การถวายกัลปนาให้แก่คณะสงฆ์เพ่ือดูแลพระเจดีย์ การแห่ผ้าไหว้พระธาตุ และประเพณีอื่นอีกอันบ่งถึงประเพณีศรีลังกาอย่างชัดเจน ๒.๒ ประวัติความเป็นมาของอาณาจักรตามพรลิงค์ ๒.๒.๑ ตามพรลิงค์ในฐานะหลากหลายชื่อ ดินแดนบริเวณเอเชียตะวันตกเฉียงใต้เป็นที่รู้จักของชาวตะวันตก เมื่อ ปโตเลมี (Ptolemy) นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก ได้บันทึกเรื่องราวและเขียนแผนที่ เกี่ยวกับเมืองท่าน้อยใหญ่เอาไว้ ยุคหลังต่อมานักวิชาการนามว่า อาร์ แบแรดเด็ล (R. Braddell) ได้ศึกษาสืบค้นเมืองท่าส�ำคัญบริเวณคาบสมุทรมลายูอย่างละเอียด พร้อมเขียนแผนที่ข้ึนใหม่โดยเดินตามแผนท่ีของปโตเลมี เฉพาะคาบสมุทรมลายูนั้น ได้ระบุถึงเมืองท่าแห่งหนึ่งบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย ซ่ึงทอดยาวจนถึงภาคเหนือ ของมาเลเซีย ช่ือว่า เปริเมาลา (Perimoula)๖๙ นับจากน้ันท�ำให้นักวิชาการหลายท่าน พากันตีความหมายหลายแนวทาง เร่ิมต้นจากธรรมทาส พานิช ได้แสดงความเห็นว่า เปริเมาลาคือเมืองท่าหาดทรายทะเลรอบนครศรีธรรมราช ซึ่งสมัยน้ันอยู่ภายใต้การ ๖๙ Roland Braddell, An Introduction to the Study of Ancient Times in the Malay Peninsula and the Straits of Malacca, MBRS, Vol. XIV. Part III, December. (Singapore Printers Limited, 1936), pp. 24-5.
ตามพรลิงค์ 71 ปกครองของเมืองตามพรลิงค์๗๐ ส่วนเยี่ยมยง สุรกิจบรรหารระบุว่าเมืองเปริเมาลาก็ คือเมืองสทิงพระ (จะทง้ิ พระ) ซงึ่ ชาวจนี เรยี กวา่ เมอื งเซยี ะโทน้ นั่ เอง๗๑ เปน็ ทน่ี า่ สนใจ คอื คำ� วา่ ”เปรเิ มาลา„ มีความคล้ายคลึงกับ ค�ำว่า ”มลาปุระ„ ซึ่งปรากฏในต�ำนาน รัตนพิมพ์วงศ์๗๒ ผู้วิจัยเห็นว่าเมืองเปริเมาลาสมัยนั้นน่าจะเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่เป็น ที่รู้จักของพ่อค้าวาณิชเป็นอย่างดี เพราะข้อมูลส่วนใหญ่ท่ีปโตเลมีได้รับน้ันล้วนได้ยิน ได้ฟังมาจากพ่อค้าวาณิชอีกทอดหนึ่ง หากเปรียบเทียบแผนที่ระหว่างปโตเลมีและ แบแรดเด็ล เมืองเปริเมาลาน่าจะอยู่บริเวณรัฐเคดาห์ของประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน สอดคล้องกับแนวคิดของ วี นทรจัน (V. Nadarajan) ซึ่งพยายามยืนยันเมืองน้ีด้วย หลักฐานทางโบราณคดี๗๓ ค�ำว่า ”ปาฏลีบุตร” เป็นอีกชื่อหน่ึงซึ่งหมายถึงเมืองตามพรลิงค์ ปรากฏ เหน็ ในจดหมายเหตขุ องวลิ ะภาเคทะระผเู้ ปน็ ราชทตู ลงั กา ซงึ่ เดนิ ทางเขา้ มากรงุ ศรอี ยธุ ยา สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้กล่าวถึงเมืองปาฏลีบุตรและเมืองละคอนควบคู่ กันไป ความว่า ”วันอังคารแรม ๑๓ ค�่ำ เดือนเดียวกันน้ี เรามาถึงเมืองละคอน ดินแดนที่เป็นประเทศสยาม เรือได้จมลงในโคลน แต่ไม่มีใครเป็นอันตรายและทุกคน บนเรือข้ึนบกในเขตเมืองละคอน ในเขตน้ีเป็นเมืองใหญ่ช่ือปาตลีบุตร (ปาฏลิปุเตร) มีก�ำแพงล้อมรอบทุกด้าน„๗๔ สมัยกรุงธนบุรีพบเห็นช่ือเมืองปาฏลีบุตรในโคลงยอ พระเกียรติสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีของนายสวนมหาดเล็ก ซ่ึงสุดดีพระเจ้ากรุงธนบุรี ๗๐ อ้างใน สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์, พุทธศาสนาแถบลุ่มทะเลสาบสงขลาฝั่งตะวันออก สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา, (โครงการสถาบนั ทกั ษณิ คดศี กึ ษา มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ สงขลา มปท), หนา้ ๑๐. ๗๑ อ้างใน สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์, เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๐. ๗๒ พระภิกษุพรหมราชปัญญา, รัตนพิมพวงศ์ ต�ำนานพระแก้วมรกต, แปลโดย พระปริยัติ ธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์) เปรียญ, (ธนบุรี: สหภาพการพิมพ์, ๒๕๑๒), หน้า ๒๙. ๗๓ V. Nadarajan, Bujang Valley: The Wonder that was Ancient Kedah, (Selangor Darul Ehsan: Kuan Press Sdn Bhd, 2012), pp. 30-31. ๗๔ จดหมายเหตุของวิละภาเคทะระ เร่ืองคณะทูตลังกาเข้ามาประเทศสยาม และสยามูป สัมปทา จดหมายเหตุเร่ืองประดิษฐานพระสงฆ์สยามวงศ์ในลังกาทวีป, (กรุงเทพมหานคร: บุญเจริญ อินเตอร์เทรด จ�ำกัด, ๒๕๓๒), หน้า ๓๐.
72 หลักฐานทางโบราณคดี ขณะพระองค์เสด็จไปปราบก๊กเจ้าพระยานคร ความว่า ”ปางปาตลีบุตรเจ้า นัครา„๗๕ ส่วนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ปรากฏเห็นในนิราศเมืองนครศรีธรรมราชค�ำฉันท์ของ กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ความว่า ”ดลด้าวสมุทรนครปา-ฏลิบุตร มณฑล„๗๖ สันนิษฐานว่า ค�ำว่า ”ปาฏลีบุตร” อาจจะเป็นชื่อเก่าแก่เป็นท่ีรู้จักแพร่หลายเฉพาะคน พ้ืนถิ่นชาวพุทธ ทั้งน้ีเพื่อให้สอดคล้องกับพระนามว่า ”ศรีธรรมาโศกราช” ซึ่งอาจเลียน แบบพระนามของพระเจ้าอโศกมหาราช และคงจะได้รับอิทธิพลผ่านมาทางลังกาอีก ทอดหนึ่ง ส�ำหรับค�ำว่า ”ตะมะลิง„ ปรากฏเห็นในคัมภีร์มหานิทเทส ซึ่งแต่งราว พ.ศ.๖๐๐-๗๐๐ ได้พรรณนาถึงท่าเรือส�ำคัญในภาคใต้ของประเทศไทยหลายเมือง ดังความว่า ”... ถูกความหิวกระหายกดดันอยู่ ก็ต้องเดินทางไปคุมพรัฐ ตัฏกรัฐ (ตะกั่วป่า) ตักกสิลรัฐ กาลมุขรัฐ ปุรรัฐ เวสุงครัฐ เวราปถรัฐ ชวารัฐ ตามลิงครัฐ (ภาษาบาลีใช้ค�ำว่า ตามลึ) วังครัฐ เอฬพันธนรัฐ สุวรรณกูฏรัฐ สุวรรณภูมิรัฐ ตัมพปาณิรัฐ สุปปาทกรัฐ เภรุกัจฉรัฐ สุรัฏฐรัฐ ภังคโลกรัฐ ภังคณรัฐ ปรมภังครัฐ โยนรัฐ ปินรัฐ วินกรัฐ มูลปทรัฐ ...„๗๗ ยอร์ซ เซเดส์ (Gorge Coedes) นักปราชญ์ ชาวฝร่ังเศสได้แสดงความเห็นว่า เมืองท่า ”กะมะลิง„ หรือ ”ตะมะลิง„ ตรงกับบันทึก หรือจดหมายเหตุจีน ซึ่งเรียกว่า ”ต้ัง-มา-หลิ่ง„ และสอดคล้องกับศิลาจารึกของ ประเทศไทยว่า ”ตามพรลิงค์” หมายถึงนครศรีธรรมราช๗๘ ด้าน ซิลแวง เลวี (Sylvain Levy) นักปราชญ์ชาวฝร่ังเศสอีกท่านหน่ึงได้แสดงความเห็นว่า ”ตะมะลิง„ ในคัมภีร์ ๗๕ กรมศิลปากร, วรรณกรรมสมัยธนบุรี เล่ม ๑, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท อมรินทร์ พร้ินต้ิง กรุ๊ฟ จ�ำกัด, ๒๕๓๒), หน้า ๒๘๕. ๗๖ กรมศิลปากร, พระบวรราชนิพนธ์ เล่ม ๒, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ดอกเบี้ย, ๒๕๔๕). หน้า ๑๔๖. ๗๗ ขุ. ม. (ไทย) ๒๙/๕๕/๑๘๘. พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ใช้ค�ำว่า กมลึ และระบุในเชิงอรรถ ว่า ม.ยุ. ตมลึ ดูเพ่ิมเติมใน ขุ.ม. ๒๙/๒๕๔/๑๘๘. ๗๘ ศาสตราจารย์ ยอร์ซ เซเดส์ ช�ำระและแปล, ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคที่ ๒ จารึก ทวารวดี ศรีวิชัย ละโว้, พิมพ์คร้ังท่ี ๒, (มปป, ๒๕๐๔), หน้า ๒๗-๓๐.
ตามพรลิงค์ 73 มหานิทเทสเป็นค�ำเดียวกันกับ ”ตามพรลิงค์„๗๙ สันนิษฐานว่า ”ตะมะลิง„ หรือ ”กะมะลิง„ น่าจะเป็นชื่อดั้งเดิมของคนพ้ืนถิ่น คร้ันศาสนาพราหมณ์เข้ามามีบทบาทต่อ อาณาจักรแห่งนี้ จึงเพี้ยนเป็นตามพรลิงค์หรือลึงค์ทองแดง หมายความว่าแผ่นดินของ ผู้ที่นับถือศิวลึงค์ และสมัยนั้นลัทธิไศวนิกายน่าจะทรงอิทธิพลต่อสังคมของอาณาจักร ตามพรลิงค์เป็นท่ีเรียบร้อยแล้ว ”ศรีธรรมราช„ และ ”ศรีธรรมาโศก„ เป็นอีกช่ือหน่ึงซ่ึงบ่งถึงเมือง นครศรีธรรมราชเช่นกัน ปรากฏเห็นครั้งแรกในศิลาจารึกดงแม่นางเมืองหลักที่ ๓๕ ซ่ึงจารึกขึ้นเม่ือปีพุทธศักราช ๑๗๑๐ กล่าวถึงพญาศรีธรรมาโศกผู้เป็นพระราชโอรส ปรารถนาจะถวายที่ดินบูชาแก่พระบิดาพระนามว่าพญาศรีธรรมาโศกผู้สวรรคตแล้ว๘๐ ถัดมาปรากฏเห็นในศิลาจารึกหลักท่ี ๒๔ ซึ่งสลักข้ึนเม่ือพุทธศักราช ๑๗๗๓ ใน รัชสมัยของพระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมราชผู้เป็นเจ้าเมืองตามพรลิงค์๘๑ อีกแห่งปรากฏ เห็นในศิลาจารึกพ่อขุนรามค�ำแหงหลักที่ ๑ กล่าวถึงพ่อขุนรามค�ำแหงได้ถวายทานแด่ พระมหาเถระผู้เดินทางมาจากเมืองศรีธรรมราช๘๒ ด้านหลักฐานจากหนังสือจามเทวี วงศ์ได้ระบุถึงพระเจ้าอัตราสตกราชแห่งเมืองหริภุญไชยก�ำลังท�ำสงครามกับพระเจ้า อุจฉิฏฐจักวรัติราชแห่งเมืองละโว้๘๓ พระเจ้าสุชิตราชแห่งสิริธรรมนครเห็นเป็นโอกาส จึงยกทัพมายึดเอาเมืองละโว้ ส่วนหนังสือนิทานพระพุทธสิหิงค์กล่าวถึงพระร่วงแห่ง สุโขทัยผู้ทราบข่าวว่าพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานอยู่ที่เมืองของพระเจ้าศรีธรรมราช ๗๙ Paul Wheatley, The Golden Khersoness, (Kuala Lumpur: University of Malaysia Press, 1966), p. 183. ๘๐ จารึก ๕, หน้า ๑๐๙-๑๑๔. ๘๑ จารึก ๕, หน้า ๑๔๔-๑๔๖. ๘๒ ประชุมศิลาจารึกภาคท่ี ๑, (กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์เลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ๒๕๒๑), หน้า ๒๑-๒๒. ๘๓ พระโพธิรังสี, เร่ืองจามเทวีวงศ์พงศาวดารเมืองหริภุญไชย, แปลโดย พระยาปริยัติธรรม ธาดา (แพ ตาละลักษมณ์) และ พระญาณวิจิตร (สิทธิ โลจนานนท์), (นนทบุรี: ส�ำนักพิมพ์ศรีปัญญา, ๒๕๕๔), หน้า ๒๓๔.
74 หลักฐานทางโบราณคดี จึงเสด็จไปพร้อมเสนาอ�ำมาตย์๘๔ และหลักฐานอีกแห่งหนึ่งปรากฏเห็นในหนังสือ ชินกาลมาลีปกรณ์ เนื้อหามีลักษณะคล้ายกับนิทานพระพุทธสิหิงค์อ้างถึงพระร่วงเดิน ทางไปเมืองสิริธรรมนครเช่นกัน๘๕ ค�ำว่า ”ศรีธรรมราช„ ดังกล่าวเบ้ืองต้น น่าจะบ่งถึง กษตั รยิ ช์ าวพทุ ธทวั่ ไปผปู้ ระพฤตวิ ตั รตามแบบอยา่ งพระเจา้ อโศกมหาราชแหง่ ชมพทู วปี ลักษณะดังกล่าวพบเห็นในคัมภีร์รัตนพิมพ์วงศ์กล่าวถึงพระราชาองค์หนึ่งพระนามว่า สิริธรรมแห่งเมืองม่าน๘๖ และจารีตปฏิบัติแบบพระเจ้าอโศกมหาราชเช่นน้ีมีกษัตริย์ แห่งดินแดนอุษาคเนย์พากันประพฤติตามสืบต่อเรื่อยมา อีกศัพท์หน่ึงคือ ”ตัมพรัฏฐะ” ก็บ่งถึงอาณาจักรตามพรลิงค์เช่นกัน เริ่มต้นจากศิลาจารึกของพระนางสุนทรมหาเทวีผู้เป็นมเหสีของพระเจ้าวิกรมพาหุ (พ.ศ.๑๖๕๔-๑๖๗๕) แห่งอาณาจักรโปโฬนนารุวะตอนต้น ได้กล่าวถึงพระสงฆ์ ศรีลังกานามว่าอานนท์เถระเป็นผู้น�ำในการปฏิรูปพระศาสนาในเมืองตัมพรัฏฐะ๘๗ คัมภีร์มหาวงศ์ระบุว่าอาณาจักรตัมพรัฏฐะปกครองโดยพระเจ้าจันทรภาณุ๘๘ คัมภีร์ หัตถนคัลลวิหารวังสะอ้างว่าพระเจ้าจันทรภาณุเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรตัมพลิงคะ๘๙ ส่วนคัมภีร์อีกสามเล่มกล่าวคือ คัมภีร์เอฬุอัตตนคลุวังสยะ คัมภีร์ราชรัตนากรยะ และคมั ภรี ด์ มั บเดณยิ ะ-อัสนะระบุว่าพระเจ้าจันทรภาณุเป็นผู้ปกครองเมืองตมลิงคมุ๙๐ ๘๔ อ้างแล้ว, พระโพธิรังสี, นิทานพระพุทธสิหิงค์ ว่าด้วยต�ำนานพระพุทธสิหิงค์, หน้า ๔๑. ๘๕ พระรัตนปัญญาเถระ, ชินกาลมาลีปกรณ์, แปลโดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ร.ต.ท. แสง มนวิทูร, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทร�ำไทยเพลสจ�ำกัด, ๒๕๕๐), หน้า ๑๑๑. ๘๖ พระภิกษุพรหมราชปัญญา, รัตนพิมพวงศ์ ต�ำนานพระแก้วมรกต, แปลโดย ร.ต.ท. แสง มนวิทูร เปรียญ, พิมพ์เป็นท่ีระลึกในงานฌาปนกิจศพคุณแม่ผิน แซ่พัว (พุ่มพิมล), (พระนคร: โรงพิมพ์ชวนพิมพ์. ๒๕๑๐), หน้า ๓๖. ๘๗ Epigraphia Zeylanica being Lithic and other Inscriptions of Ceylon, Vol. IV, edited and translated by H.W. Codrington and S. Paranavitana. (New Delhi: Asian Education Services, 1994), pp. 67-72. ๘๘ มหาวงศ์ ๒, หน้า ๒๕๖-๒๖๒. ๘๙ Hatthavanagallaviharavamsa. ed C.E. Godakumbura, (London P.T.S., 1956), p. 32. ๙๐ Elu-Attanagaluvamsaya, ed. R. Tennakoon (Colombo, 1954), p. 71; Rajaratnakaraya, ed. P. N. Tisera (Colombo, 1929), p. 37; Kuveni Sihala saha Dambadeni-asna, ed. Gnanavimala, pp. 32, 35.
ตามพรลิงค์ 75 เสนารัต ปรณวิตานะ (Senarat Paranavitana) นักประวัติศาสตร์ชาวศรีลังกาได้ แสดงความเห็นเพ่ิมเติมว่า ”ตมลิงคมุ„ เป็นภาษาสิงหลมีรากศัพท์มาจาก ”ตะมะลิ„ บวกกับ ”คมุ„ รวมกันเป็น ”ตะมะลิงคมุ„ ส่วนศัพท์ว่า ”ตัมพลิงคะ„ เป็นภาษาบาลี เม่ือเปล่ียนเป็นภาษาสันสกฤตใช้ค�ำว่า ”ตามพรลิงคะ„๙๑ นักปราชญ์ศรีลังกาอีกคน หน่ึงนามว่าคุณวรรธนะ (Gunawardana) ได้แย้งว่า ค�ำว่า ”ตัมพรัฏฐะ„ มิได้หมาย ถึงหัวเมืองบริเวณคาบสมุทรมาเลย์แต่เป็นเมืองทางอินเดียตอนใต้๙๒ สอดคล้องกับ ความคิดเห็นของนิลกันตะสาสตรี (Nilakanta Sastri) ระบุว่าเมืองตัมพรัฏฐะอยู่ ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโจฬะ๙๓ ผู้วิจัยเห็นว่าการบ่งช้ีดินแดนตัมพรัฏฐะเห็น สมควรแบง่ ออกสองยคุ สำ� หรบั ยคุ ตน้ นน้ั นกั ปราชญส์ ว่ นใหญบ่ ง่ ถงึ หวั เมอื งทางอนิ เดยี ตอนใต้ ซึ่งสมัยนั้นโด่งดังแพร่หลายในฐานะเป็นที่อยู่ของพระอรรถกถาจารย์ หลายรูป๙๔ ส่วนยุคหลังหมายถึงอาณาจักรตามพรลิงค์ทางภาคใต้ของประเทศไทย เพราะมีหลักฐานกล่าวถึงการติดต่อสัมพันธ์กับอาณาจักรตามพรลิงค์ค่อนข้างเด่นชัด โดยเฉพาะการบุกรุกยึดครองเกาะลังกาของพระเจ้าจันทรภาณุมีหลักฐานปรากฏเห็น ในคัมภีร์น้อยใหญ่เป็นจ�ำนวนมาก๙๕ ค�ำว่า ”ตามพรลิงค์„ พบเห็นในจารึกวัดหัวเวียงเมืองไชยาหลักที่ ๒๔ (ก) ระบุว่าจารึกขึ้นปีพุทธศักราช ๑๗๗๓ โดยเนื้อความของจารึกกล่าวถึงกษัตริย์ พระนามว่าจันทรภาณุศรีธรรมราชแห่งปทุมวงศ์ทรงครองเมืองตามพรลิงค์ เป็นผู้ อุปถัมภ์ดูแลพระพุทธศาสนาจนพระเกียรติยศเลื่องลือไปไกล อีกท้ังทรงเช่ียวชาญนีติ ๙๑ Senarat Paranavitana, Ceylon and Malyasia, (Colombo: Lake House Investment Limited Publishers, 1966), p. 99. ๙๒ R.A.L.H. Gunawardana, Robe and Plough: Monasticism and Economic Interest in Early Medival Sri Lanka, (Arizona: The University of Arizona Press, 1979), pp. 267-271. ๙๓ Nilakanta Sastri, ‘Ceylon and Sri Vijaya’, JCBRAS, NS, Vol. VIII, pt. I (1962), p. 162. ๙๔ (ออนไลน์), แหล่งท่ีมา: http://www.infolanka.com/org/srilanka/hist/85.htm (๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑) ๙๕ Ibid., W.M. Sirisena, Sri Lanka and South-East Asia, pp. 36-42.
76 หลักฐานทางโบราณคดี ศาสตร์หรือการปกครอง๙๖ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงเห็นว่า ตามพรลิงค์แปลว่านิมิตทองแดง๙๗ และน่าจะเลียนแบบชื่อมาจากศรีลังกา เพราะเกาะ ลังกาชื่อว่า ”ตามพปณยวีปะ แปลว่า เกาะแผ่นทองแดง ส่วนธรรมทาส พานิช แสดง ความเห็นว่า ”ตามพรลิงค์” ตรงกับภาษาจีนว่า ”โฮลิง„ แปลว่า ไข่แดง โดยอ้างว่าเป็น ช่ือของเจ้าชายพระองค์หนึ่งคร้ันขึ้นครองราชย์แล้วเฉลิมพระนามว่าตามพรลิงค์ พร้อมทั้งเป็นชื่อของเมืองหลวงด้วย๙๘ ศิลาจารึกของพระเจ้าราเชนทรโจฬะท่ี ๑ แห่ง ราชวงศโ์ จฬะทเี่ มอื งตนั ชอรแ์ หง่ อนิ เดยี ภาคใต้ จารกึ ขนึ้ ประมาณปพี ทุ ธศกั ราช ๑๕๗๓- ๑๕๗๔ กล่าวถึงเมืองน้อยใหญ่บนคาบสมุทรมาเลย์ท่ีพระองค์ยกทัพเรือเข้ายึดครอง บรรดาหัวเมืองเหล่าน้ันมีเมืองตามพรลิงค์รวมอยู่ด้วย แต่เรียกชื่อเพ้ียนเป็น มทั ลงิ คมั ๙๙ ผวู้ จิ ยั สนั นษิ ฐานวา่ ”ตามพรลงิ ค„์ นา่ จะมรี ากศพั ทม์ าจากคำ� วา่ ”ตมั ระลปิ ต„ิ (ภาษาบาลีคือ ตามลิตฺติและตัมพลิงค์) เหตุเพราะเมืองนี้เป็นเมืองท่าท่ีมีความส�ำคัญ มากสดุ สำ� หรบั การคา้ ทางทะเลของเบงกอลนบั จากพทุ ธศตวรรษที่ ๖ เปน็ ตน้ มา (ปจั จบุ นั คือเมืองตัมลุก อ�ำเภอมิทนาปอร์ ใต้เมืองกัลกัตตา) และพ่อค้าแห่งเมืองนี้เองน่าจะ เป็นกลุ่มแรกท่ีติดต่อค้าขายกับอาณาจักรตามพรลิงค์ พร้อมท้ังเผยแผ่ลัทธิค�ำสอน ของศาสนาพราหมณ์จนชื่อเมืองกลายมาเป็นตามพรลิงค์ สุดท้ายคือค�ำว่า ”ตัน-มา-ลิง„ หรือ ”ต้ัง-มา-หลิ่ง„ เป็นชื่อที่ชาวจีนเรียก เมืองตามพรลิงค์ นักภูมิศาสตร์ชาวอังกฤษนามว่าพอล วีตเลย์ (Paul Wheatley) อ้างไว้ในงานเขียนของตนว่าทั้งสองค�ำนี้พบเห็นในหนังสือชื่อ เตา-อี-ชี-เลี้ยว (Tao-i-Chih-lion) ซ่ึงเป็นผลงานของนักเขียนจดหมายเหตุจีนสองท่านกล่าวคือ เฉาจูกัว (Chao-ju-Kua) และวังตาหยวน (Wang-Ta-Yuan)๑๐๐ และกล่าวเสริมอีก ๙๖ จารึก ๕, หน้า ๑๔๔-๑๔๖. ๙๗ อ้างใน ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์. ”ตามพรลิงค์”, (มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๓), หน้า ๙๓. ๙๘ ธรรมทาส พานิช, ประวัติศาสตร์ไชยา นครศรีธรรมราช, (กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์ อรุณวิทยา, ๒๕๔๑), หน้า ๕๙. ๙๙ N.R. Ray, Sanskrit Buddhism in Burma, (University of Calcutta, 1936), pp. 78-79. ๑๐๐ Ibid., Paul Wheatley, The Golden Khersoness, pp. 66-67, 77.
ตามพรลิงค์ 77 ว่า ค�ำว่า ”ตามพรลิงค์„ ยังปรากฏเห็นในจดหมายเหตุจีนรุ่นก่อนดังเช่นหนังสือสุงชี (Sung-Shih) ซ่ึงระบุว่าเมืองตามพรลิงค์เคยส่งทูตไปติดต่อท�ำไมตรีกับจีน เม่ือ พ.ศ.๑๕๔๔ ชาวจีนเรียกเมืองนี้ในช่ือว่าตัน-เหมย-หลิว (Tan-mei-leou) ต่อมา นกั ปราชญช์ าวฝรงั่ เศสและองั กฤษผเู้ ชยี่ วชาญภาษาจนี ไดล้ งความเหน็ วา่ Tan-mei-leou ควรออกเสียงเป็น Tan-mi-liu หรือ Tan-mei-liu๑๐๑ ส่วนธรรมทาส พานิช ได้วิเคราะห์ศัพท์ภาษาจีนอย่างน่าสนใจ โดยอธิบายว่าคราวราชทูตจีนเดินทางมาเมือง ตามพรลงิ ค์ ไดท้ ราบความหมายของตามพรลงิ คว์ า่ หมายถงึ ลงิ คแ์ ดงของพระเจา้ แผน่ ดนิ เห็นว่าไม่เหมาะสมจึงแปลงความหมายเสียใหม่ว่าดินแดน ตรงกับภาษาจีนว่า ”เชียะโท้ว„๑๐๒ หากถือตามหลักฐานเหล่าน้ีแสดงให้เห็นว่า สมัยน้ันเมืองตะมะลิงได้ เปล่ียนช่ือเป็นตามพรลิงค์เรียบร้อยแล้ว เหตุเพราะได้รับอิทธิพลลัทธิไศวนิกายอย่าง สมบูรณ์แบบ สอดคล้องกับงานเขียนของปรีชา นุ่นสุข ท่ีระบุว่านับจากพุทธศตวรรษ ที่ ๑๑ เป็นต้นมาลัทธิไศวนิกายเจริญรุ่งเรืองในรัฐตามพรลิงค์จนกลายเป็นยุคทอง๑๐๓ หากเช่ือมโยงเน้ือหาท้ังหมดจะเห็นถึงอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ อย่างชัดเจน โดยเฉพาะลัทธิไศวนิกาย ไม่ว่าจะเป็นภาษาเรียกซึ่งเป็นภาษาสันสกฤต หรือความหมายท่ีแฝงอยู่ในรูปของศัพท์ ล้วนแสดงให้เห็นถึงความมากอิทธิพลของ ลัทธิไศวนิกาย เป็นที่น่าสังเกตอย่างหน่ึงว่าแม้ภายหลังต่อมาพระพุทธศาสนาจะมี อิทธิพลทดแทนศาสนาพราหมณ์ และพยายามเปลี่ยนช่ือให้สอดคล้องกับคติความเชื่อ แบบพุทธในลักษณะของวรรณกรรม โดยเลียนแบบความโด่งดังของพระเจ้าอโศก มหาราชแห่งชมพูทวีปผู้เป็นต้นแบบ แต่ไม่สามารถเปล่ียนแปลงคติความเชื่อได้ แสดง ให้เห็นว่าอิทธิพลของลัทธิไศวนิกายได้ฝังรากลึกในสังคมของชาวเมืองตามพรลิงค์ อย่างแน่นหนาแล้ว อีกด้านหนึ่งสามารถมองได้ว่าการท่ีชาวพุทธใช้ชื่อตามพรลิงค์ ๑๐๑ Ibid., p. 183. ๑๐๒ อ้างแล้ว, ธรรมทาส พานิช, ประวัติศาสตร์ไชยา นครศรีธรรมราช, หน้า ๖๒. ๑๐๓ อ้างแล้ว, ปรีชา นุ่นสุข, ”ประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช: พัฒนาการของรัฐบนคาบสมุทร ไทยในพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๙„, หน้า ๑๖๙-๑๗๒.
78 หลักฐานทางโบราณคดี หอพระอิศวรแห่งเมืองนครศรีธรรมราช สัญญลักษณ์ของลัทธิฮินดูในอาณาจักรตามพรลิงค์ (คัดลอกภาพจาก www.pantip.com) พิธีแห่ผ้าขึ้นธาตุ วัดเขียนบางแก้ว ต�ำบลจองถนน อ�ำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง (คัดลอก ภาพจาก www.pantip.com)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320