Academic Journal of Thailand National Sports University, Vol.14 No.1 (January - April, 2022)

กองบรรณาธกิ าร วารสารวิชาการมหาวทิ ยาลยั การกีฬาแหง่ ชาติ ปีที่ 14 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – เมษายน 2565) Vol. 14 No. 1 (January - April, 2022) ท่ปี รึกษา อธิการบดีมหาวิทยาลัยการกฬี าแห่งชาติ บรรณาธิการ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์มานะ ภู่หลา มหาวทิ ยาลยั การกฬี าแห่งชาติ กองบรรณาธกิ ารฝ่ายจัดการ ผู้ชว่ ยศาสตราจารยน์ กิ ร ยาพรม มหาวิทยาลยั การกีฬาแห่งชาติ นายปติ โิ ชค จันทรห์ นองไทร มหาวิทยาลยั การกีฬาแห่งชาติ นางสาวชลธชิ า บัวศรี มหาวิทยาลัยการกฬี าแหง่ ชาติ นางนชิ านันท์ บากา้ มหาวิทยาลัยการกฬี าแห่งชาติ ผทู้ รงคณุ วุฒปิ ระจากองบรรณาธกิ าร รองศาสตราจารย์ ดร.ฉลอง ชาตรูประชีวิน มหาวทิ ยาลยั นเรศวร รองศาสตราจารย์ ดร.นภพร ทศั นัยนา มหาวทิ ยาลัยบรู พา รองศาสตราจารย์ ดร.ไถอ้ อน ชนิ ธเนศ นกั วิชาการอสิ ระ รองศาสตราจารย์ ดร.ธริ ตา ภาสะวณชิ มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง รองศาสตราจารยว์ ัฒนา สทุ ธพิ นั ธุ์ มหาวทิ ยาลยั รัตนบัณฑติ รองศาสตราจารย์สนุ ทร แมน้ สงวน มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.อภชิ าติ ไตรแสง มหาวิทยาลัยแมโ่ จ้ ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ณฐพร อุตกฤษฏ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.คมสิทธ์ิ เกยี นวัฒนา มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ชาย พทิ กั ษ์วงศ์ มหาวิทยาลยั รตั นบัณฑิต ดร.ผกามาศ ชัยรตั น์ มหาวทิ ยาลยั พะเยา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.พงศธร โฆสิตธรรม มหาวทิ ยาลยั การกฬี าแหง่ ชาติ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารยจ์ ินตนา เทียมทิพร มหาวทิ ยาลัยการกีฬาแห่งชาติ นายชุมพล กุลเขมานนท์ มหาวิทยาลัยการกีฬาแหง่ ชาติ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.พมิ ประภา อินต๊ะหล่อ มหาวิทยาลัยการกฬี าแหง่ ชาติ

วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการกฬี าแห่งชาติ Academic Journal of Thailand National Sports University วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัยทางการพลศึกษา การกีฬา การสร้างเสริมสุขภาพ วิทยาศาสตร์การกีฬา การบริหารจัดการกีฬา การประกอบธุรกิจการกีฬา การศึกษา และสาขาอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้อง ของบคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั การกฬี าแห่งชาติ และหน่วยงานภายนอก 2. เพ่ือเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนและอ้างอิงผลงานวิชาการและผลงานวิจัยทางการพลศึกษา การกีฬา การสร้างเสริมสุขภาพ วิทยาศาสตร์การกีฬา การบริหารจัดการกีฬา การประกอบธุรกิจการกีฬา การศกึ ษา และสาขาอืน่ ๆ ที่เกย่ี วขอ้ ง 3. เพื่อสร้างเครือข่ายการเผยแพร่ผลงานวิชาการและวิจัย ระหว่างสถาบันกับหน่วยงานภายนอก ทง้ั ภาครฐั และเอกชน กาาหนดการพิมพเ์ ผยแพร่ วารสารวชิ าการมหาวทิ ยาลัยการกีฬาแหง่ ชาติ มีกาหนดออกปีละ 3 ฉบับ ดังน้ี ฉบบั ที่ 1 ประจาเดอื นมกราคม – เดอื นเมษายน ฉบบั ที่ 2 ประจาเดือนพฤษภาคม – เดือนสงิ หาคม ฉบบั ท่ี 3 ประจาเดือนกันยายน – เดอื นธันวาคม เจา้ ของ มหาวิทยาลยั การกีฬาแห่งชาติ การรับบทความ วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ รับตีพิมพ์บทความผลงานวิจัยและบทความวิชาการ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ในขอบข่ายทางการพลศึกษา การกีฬา การสร้างเสริมสุขภาพ วิทยาศาสตร์ การกีฬา การบริหารจัดการกีฬา การประกอบธุรกิจการกีฬา การศึกษา และสาขาอ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้อง ผู้เขียน ที่ประสงค์จะส่งบทความลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ จะต้องสมัครสมาชิก วารสาร และชาระค่าดาเนินการพิชญพิจารณ์ จานวน 3,000 บาท โดยสามารถส่งบทความผ่านทางเว็บไซต์ วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ (https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TNSUJournal) สานกั งาน วารสารวิชาการมหาวทิ ยาลัยการกีฬาแหง่ ชาติ กองสง่ เสรมิ วิชาการ มหาวทิ ยาลยั การกีฬาแหง่ ชาติ 333 หมู่ 1 ถ.สุขุมวทิ ต.หนองไม้แดง อ.เมือง จ.ชลบุรี 20000 โทรศพั ท์ 038-054217 Email: [email protected] ลิขสทิ ธ์ิ ต้นฉบับที่ได้ลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ถือเป็นลิขสิทธ์ิของ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ และบทความในวารสารเป็นแนวคิดของเจ้าของบทความ มิใช่แนวคิดของ กองบรรณาธกิ าร ซึ่งหากมีการตรวจพบว่าบทความมีการกระทาอันแสดงถึงการผิดจริยธรรมหรอื จรรยาบรรณ ถอื เป็นความรับผิดชอบของเจา้ ของบทความ

บทบรรณาธกิ าร วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการกีฬาแหงชาติ ฉบับน้ีเป็นวารสารปีที่ 14 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – เมษายน 2565) ซ่ึงประกอบไปด้วย บทความวิจัย และบทความวิชาการที่ผานการ ประเมินคุณภาพของบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิพิชญพิจารณ์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ วารสารฉบับนี้ได้ดาเนินการจัดทาเป็นวารสารออนไลน์เพ่ือให้ผู้สนใจได้ศึกษาค้นคว้า ตลอดจนเป็น หลักฐานในการนาไปใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์อืน่ ตอ่ ไป ผูช้ ว่ ยศาสตราจารยม์ านะ ภู่หลา บรรณาธิการวารสารวชิ าการ มหาวิทยาลัยการกีฬาแหง่ ชาติ

สารบญั หนา้ 1 เร่อื ง 9 21 บทความวจิ ัย 31 43 EFFECTS OF PLYOMETRIC TRAINING COMBINED WITH RESISTED 55 SPRINT TRAINING ON SPEED AND ANAEROBIC PERFORMANCE 71 Chaleunsouk Aoudomphanh, Somporn Songtrakul, Wirat Sonchan, and SakesanTongkhambanchong INVESTIGATING THE INFLUENCE OF ACTN3 R577X POLYMORPHISM ON ANGULAR KINEMATICS USING MOTION CAPTURE TECHNOLOGY Pongpanot Wongveerakul, Thet Hnin Moe, Vitoon Saengsirisuwan, Nongnapas Charoenpanich, and Ioannis Papadimitriou GUIDELINES FOR WOODBALL RECREATION ACTIVITY MANAGEMENT IN PHNOM PENH, CAMBODIA Chhorn Engly, Patantiya Singcram, and Noppavej Boonmee ปัจจัยท่ีมผี ลตอ่ นักกฬี าฟนั ดาบในการกลบั ไปเข้ารว่ มการแขง่ ขันฟันดาบ ทม่ี ีการรับรองในประเทศไทย ธนกิ วชิ ยั ดิษฐ สิทธิ์ ธรี สรณ์ และ อิษฎี กฏุ อินทร์ การเปรยี บเทียบกระบวนการนโยบายของการพัฒนากีฬาสู่ความเปน็ เลศิ ของสถาบนั อุดมศกึ ษา นติ ยา เรืองมาก วิชากร เฮงษฎีกลุ และ สพุ ติ ร สมาหิโต รปู แบบการจัดการสโมสรฟตุ บอลอาชพี ในประเทศไทยกบั การสรา้ งมลู ค่าเพิ่ม ทางอตุ สาหกรรมกีฬา พชั รี ทองคำพำนิช พวงแกว้ วิวัฒนเ์ จษฎำวฒุ ิ จไุ รรตั น์ อุดมวิโรจน์สิน อธิวฒั น์ ดอกไม้ขำว อัมพร กรุดวงษ์ ฉัตรตระกลู ปำนอทุ ัย สุพร บุญปก และ คมกริช ฆ้องนำโชค ผลของการใชโ้ ปรแกรม AUTISSWIM ท่ีมีต่อทักษะการเอาชวี ติ รอดในนา้ และสมรรถภาพทางกายของเด็กออทิสติก ยศธร รัตนจงั แก้วตำ นพมณีจำรัสเลศิ และ พัชรนิ ทร์ เสรี

สารบญั หน้า 85 เร่ือง 101 บทความวจิ ยั 115 พฤติกรรมการบริโภคอาหารว่างของนกั ศึกษามหาวทิ ยาลัยการกีฬาแห่งชาติ 133 วทิ ยาเขตภาคเหนือ 145 สุวลกั ษณ์ โลหกุล 163 175 ศกั ยภาพการท่องเท่ียวจังหวัดพัทลงุ 187 ตนุยำ เพชรสง ชมพูนชุ จิตติถำวร และ ผกำมำศ ชยั รัตน์ แนวทางการพัฒนาการทอ่ งเท่ยี วเชงิ วฒั นธรรม จังหวดั อุทัยธานี นพรัตน์ ทรงสำยชลชยั ผกำมำศ ชัยรัตน์ และ ชมพูนชุ จติ ติถำวร สมรรถภาพทางกายของนักเรียนระดับชนั ประถมศึกษาตอนตน้ โรงเรยี นสาธิตนวตั กรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี ไพศำล สขุ เกษม ผลของการเปิดรับส่อื กบั การรับร้ขู องประชาชนทมี่ ีต่อการประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวจงั หวดั สุพรรณบรุ ี สกุ ัญญำ บญุ น้อม ศรณั ยำ สนิ สมรส ศรัณยู รอดเรือง นพิ นธ์ ดุษณีย์ พงษ์พนั ธ์ สุนทรสติ และ เมธี อคั รอุดมชัย กลยุทธก์ ารประชาสัมพนั ธเ์ พื่อส่งเสริมการทอ่ งเท่ียวจังหวดั ล้าปาง อรวรรณ เหมอื นภกั ตร์ และ ผกำมำศ ชยั รัตน์ การพฒั นาทักษะภาษาองั กฤษเฉพาะทางของพนกั งานสนามกอล์ฟ (แคดด)ี ในจงั หวดั เชยี งใหม่ ปนัดดำ จนี ประชำ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของนักศึกษาสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชลบุรี ตามสุขบัญญัติแหง่ ชาติ จินตนำ เกตคุ ำพนั ธ์ วัฒน์ บุญกอบ จันทรจ์ ำรี เกตุมำโร และ เกษม ชรู ัตน์

สารบญั หนา้ 199 เรอ่ื ง 213 225 บทความวิจัย 237 ผลการจดั การเรียนรวู้ ชิ าพลศึกษาโดยใช้เทคนิคการเรยี นแบบร่วมมือ ที่มีตอ่ ทักษะกีฬาแฮนดบ์ อลและการทา้ งานเปน็ ทีมของนกั เรียนประถมศึกษาปีที่ 4 249 265 จริ วัฒน์ วงศ์ชมุ ภู สุธนะ ตงิ ศภทั ิย์ และ บัญชำ ชลำภิรมย์ 277 ผลการจัดการเรียนรู้พลศึกษาด้วยการฝึกแบบสถานีทมี่ ีต่อทักษะ การเคลอื่ นไหวพืนฐานของนักเรียนประถมศึกษาตอนต้น ชญำนนั ทน์ ไทรศักด์สิ ิทธิ์ และ สธุ นะ ติงศภัทยิ ์ ผลการใช้กจิ กรรม “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” โดยใชก้ ารสะท้อนคิด ท่ีมีต่อความฉลาดรู้ทางสุขภาพเร่ืองยาสบู อเิ ลก็ ทรอนิกส์ของนกั เรียนมัธยมศึกษา ณภัทร ชมธนำนนั ท์ จนิ ตนำ สรำยทุ ธพทิ กั ษ์ และ วชริ วทิ ย์ ชำ้ งแก้ว ผลของการเขา้ รว่ มโปรแกรมการศึกษาการใช้เวลาว่างท่มี ีต่อการเป็นอาสาสมคั ร ของนักเรยี นชนั มธั ยมศึกษาตอนปลาย พลวรศิ ปกรณ์ สุทธิครี ี สุวิมล ตงั้ สัจจะพจน์ และ กัลพฤกษ์ พลศร ศึกษากลยุทธ์การสอนวา่ ยน้าในระดับอุดมศึกษา วงศ์พทั ธ์ ชูดำ การศกึ ษาพฤติกรรมการใช้เวลาว่างแบบจริงจังของอาจารย์ในมหาวิทยาลยั วณัฐพงศ์ เบญจพงศ์ คัคนำงค์ ประไพทรัพย์ และ วมิ ลมำลย์ สมคะเน การศกึ ษาปัญหาการฝกึ ซ้อมกีฬาฟตุ บอลไทยลกี 3 โซนใต้ ฤดกู าล 2020 อคั รัช นวลละออง รำยำศิต เตง็ กูสลุ ยั มำน และ ก้องเกยี รติ เชยชม

สารบัญ หนา้ 291 เรอ่ื ง 303 บทความวิจัย ผลของโปรแกรมสร้างเสรมิ ความปลอดภัยในการขับขรี่ ถจักรยานยนต์ตามทฤษฎี การรับรูค้ วามสามารถตนเองร่วมกบั ทฤษฎกี ารดูแลตวั เองของ นักเรียนมธั ยมศึกษาตอนตน้ อภิวฒั น์ กมุ ภิโร จินตนำ สรำยุทธพิทกั ษ์ สรญิ ญำ รอดพิพัฒน์ และ จินตนำ บนั ลอื ศักด์ิ บทความวิชาการ การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางเมื่อมีการวัดซ้าส้าหรับการวิจยั ทางพลศึกษาและกีฬา ธิติพงษ์ สขุ ดี และ ดิฏฐชยั จนั ทรค์ ณุ ำ

EFFECTS OF PLYOMETRIC TRAINING COMBINED WITH RESISTED SPRINT TRAINING ON SPEED AND ANAEROBIC PERFORMANCE Chaleunsouk Aoudomphanh1, Somporn Songtrakul1, Wirat Sonchan1, and Sakesan Tongkhambanchong2 1 Faculty of Sport Science, Burapha University 2 Faculty of Education, Burapha University Abstract The purpose of this research was to determine the effects of plyometric training combined and resisted sprint training on speed and anaerobic performance. The participants were 26 males with average age at 18.44 years old, who were studying at sport talented school in Lao P.D.R. The participants were divided into two groups; Experimental group and Control group. The experimental group was assigned to train the plyometric training combined with a resisted sprint together with a regular training program, two days per week, for eight weeks, while the control group was assigned to perform a regular training program in the same period. Data were analyzed by using a basic statistic test and One-way repeated measure to compare differences between two groups. Significance level was set at 0.05. The result revealed that after eight weeks of training, the average speed (40 yards sprint) of the experimental group was significantly different from the control group at 4.92 and 5.11 seconds respectively. The anaerobic performance of the experimental group (483.34 watts and 407.81 watts) was significantly different (p<.05) from the control group (419.31 watts and 362.03 watts) in anaerobic power and anaerobic capacity. It could be concluded from the existing data that the plyometric training combined with resisted sprint training could improve speed and anaerobic performance. Keywords: Anaerobic Performance, Plyometric Training, Resisted Sprint Training, Speed Corresponding Author: Mr. Chaleunsouk Aoudomphanh, Faculty of Sport Science, Burapha University, Email: [email protected]

Introduction Nowadays, many kinds of sports require fast-moving with extreme physical strength in a short time known as “Power”, exercising repeatedly and continuously such as sprint running, weightlifting, football, basketball, volleyball. Therefore, athletes of these sports normally use energy from the anaerobic energy system. According to Thanomwong Kritpet (2011) the production of anaerobic energy system occurred by the combustion of glucose and glycogen in muscles to generate phosphocreatine (PC) and adenosine triphosphate (ATP), it was an effective way of energy production in a short period. However, if the activities last from 15 seconds to 2 minutes, then it begin to build up lactic acid in the muscles and blood cells which could cause athletes’ muscles cramped and fatigued. In order to utilize the knowledge of anaerobic energy system to enhance athlete’s performance, it is important and essential to creatively design a training program to improve speed performance and anaerobic performance, most well - known and popular training of which is called Plyometrics. Chu (1992) mentioned that plyometrics were pieces of trainings or exercises involving strength and speed movement in a rapid manner. Many jump exercises are popularly used in plyometric trainings including a depth jump which focused on the reaction of stretch reflex to increase speed - strength power basing on the belief that a muscle extension to a contraction in a rapid or explosive movement will generate great strength at a high speed. In accordance with Yongsak Na Songkhla (2001) who studied the effects of plyometric exercise at different intensity levels upon speed on 100-meter running found that the 3 experimental groups trained by a regular running program combining plyometric exercise with 2 - footed jumping over different 50 cm, 60 cm and 70 cm high fences had better average 100 - meter running speed than the control group only trained by a regular running program. Moreover, the research showed that the experimental group trained by a regular running program combining plyometric exercise with 2-footed jumping over 70 cm high fences had better average 100 - meter running speed than the experimental groups trained by a regular running program combining plyometric exercise with 2 - footed jumping over 60cm and 50cm high fences respectively. In addition to plyometric training, the resisted sprint training is one training method for enhancing sprint performance. In previous study of Alcaraz, Palao, Elvira, & Linthorne (2008) aimed to compare the kinematics of sprinting at maximum velocity to the kinematics of sprinting when using 3 types of resisted sprint training devices (sled, parachute, and weight belt). It revealed that the 3 types of resisted sprint training devices were appropriate for training the maximum velocity phase in sprinting. Kawamori, Newton, Hori, & Nosaka (2014) used weighted sled towing, a commonly used form of resisted sprint training, which using the inertia of a sled and the friction between the sled and the ground surface as external resistance to improve sprint acceleration ability. Many researches were continuously studied on the resisted sprint training, Martinez et al., (2015) conducted the research to analyze the effect of sled towing at 10%, 15% and 20% of body mass (BM) on sprint performance and force production during

the acceleration phase. The result showed that a sprint time increase of approximately 5% in 20m and 30m sprint time with 10% BM, and a 10% increase with 20% BM. The Rate of Force Development peak (RFDpeak) with 15% and 20% BM significantly increased when compared to the 10% BM condition. Therefore, the researcher was highly interested in studying the effects of plyometric training combined with resisted sprint training on speed and anaerobic performance which would be beneficial to improve and enhance the athletes’ skill and performance. Purpose of Research The purpose of this study was to compare the effects of plyometric training combined with resisted sprint training on speed and anaerobic performance between the experimental group and the control group on Pre - test, Mid - test (4 weeks) and Post - test (8 weeks). Hypothesis of Research The effects of plyometric training combined with resisted sprint training on speed and anaerobic performance were different between the experimental group and the control group on Pre - test, Mid - test (4 weeks) and Post - test (8 weeks). Materials and Methods Participants The population of this research were male students of the Sport Talented School in Lao P.D.R. the participants were 26 male students from various sports, they played different natural kinds of sports and used different sugar glycogen dosages who voluntarily participated in the research and passed the test of the criteria. The participants were divided into two groups of each 13 participants using random assignment based on the test scores on speed and anaerobic performance for the experimental group and the control group. All participants were informed about the practices and possible risks of the research. They were requested to fill in the consent form in accordance with the Ethical Committee of the Burapha University (Research project code: Sci 038/2562.). Table 1 Demographic data of the participants. Demographic n ������̅ S.D. Age (years) 26 18.44 2.50 High (cm) 26 167.41 4.84 Weight (kg) 26 57.97 5.44 Table 1 showed the average demographic information of 26 participants with age at 18.44 ± 2.5 years old, height at 167.41 ± 4.84 cm and weight at 57.97 ± 5.44 kg. Materials 1. 40 - yard Sprint Test (Triplett, 2012).

2. Running - Based Anaerobic Sprint Test (Draper & Whyte, 1997). 3. Plyometric training combined with resisted sprint training. Methodology The control group was practiced with a regular training program of each sport for total of 8 weeks while the experimental group was assigned to train the plyometric training combined with a resisted sprint training twice a week together with a regular training program of each sport. Every Monday, the experimental group was assigned to perform a circuit training starting by depth jump continuously on 3 boxes of height 40cm (increase to 60 cm and 80 cm in Week 5 and Week 7 respectively), rested for 1 minute, then performed a sprint in place with resistance elastic band for 5 seconds (to count the steps), rested for 1 minute, and then performed a speed bounding 30m (increase to 40 m and 50 m in Week 5 and Week 7 respectively). Every Thursday, the experimental group was assigned to perform a circuit training starting by Pogo jump continuously on 5 hurdles of height 20cm then jump over 3 hurdles of height 76.2cm (increase to 84 cm. and 91.4 cm. in Week 5 and Week 7 respectively), rested for 1 minute, then performed a sprint 50m with weighted sled towing at 5% of body weight (increase to 10%, 15% and 20% of body weight in Week 3, Week 5 and Week 7 respectively), rested for 1 minute and performed a sprint 20m. 26 Participants 13 Participants Pre-test 13 Participants Experimental group -Speed Control group Plyometric Training Combined -Anaerobic performance Regular training program of each with Resisted Sprint Training with a regular training program Mid-test (4th week) sport -Speed of each sport -Anaerobic performance Post-test (8th week) -Speed -Anaerobic performance Figure 1: Research Process

Data Collection According to (Figure 1). The participants’ body weight were measured and recorded. The 40 - yard Sprint Test and the Running - Based Anaerobic Sprint Test (RAST) were used to measure the participants’ performance. The pre - test was held before training. After the training, Mid - test and Post - test were held in the 4th and the 8th week accordingly. Prior to each test, the participants were required to warm up for approximately 25 minutes: Jogging 5 minutes, stretching 5 minutes, practicing the test 10 minutes, and resting 5 minutes. Data Analysis 1. The data were analyzed by using a computer program for basic statistics with Mean and Standard deviation. 2. Compare the difference of average speed, anaerobic power and anaerobic capacity between the experimental group and the control group using Independent sample t - test. 3. Statistically significant difference at .05 level (p<.05). Results Table 2 Average speed (seconds), Anaerobic Power (watts) and Anaerobic Capacity (watts) Pre-test, Mid - test (Week 4) and Post - test (Week 8). Test Exp Cont Mean diff SE t p ���̅��� S.D. ���̅��� S.D. 0.958 0.348 SP 5.14 0.364 5.25 0.220 -0.113 0.118 0.134 0.894 -0.397 0.695 Pre-test AP 467.24 81.967 471.74 84.609 -4.495 32.672 1.411 0.171 -0.898 0.378 AC 376.05 63.069 366.32 61.447 9.728 24.422 -0.492 0.627 2.098 0.047* Mid-test SP 5.05 0.323 5.20 0.217 -0.152 0.108 -2.100 0.048* at Week 4 AP 455.50 99.277 420.42 100.370 35.080 39.155 -2.133 0.044* AC 351.68 61.121 339.99 58.363 11.683 23.439 Post-test SP 4.92 0.293 5.11 0.164 -0.195 0.093 at Week 8 AP 483.34 91.882 419.31 60.233 64.030 30.471 AC 407.81 59.303 362.03 49.299 45.774 21.389 * p < .05 SP = Speed. AP = Anaerobic Power. AC = Anaerobic Capacity. Exp = Experimental group. Cont = Control group. According to Table 2, the mean scores of speed, anaerobic power and anaerobic capacity on the Pre - test and the Mid - test (Week 4) of both the experimental group and the control group had no statistically significant difference. However, the Post - test (Week 8) showed the results that the mean scores of speed, anaerobic power and anaerobic capacity of the experimental group were 4.92 seconds, 483.34 watts, 407.81 watts respectively while the means of speed, anaerobic power and anaerobic capacity of the control group were 5.11 seconds, 419.31 watts, 362.03 watts respectively which had statistically significant differences (p < .05).

Discussion Speed According to Sittisak Boonhan (2011) revealed that the main factor of speed was the maximum muscular strength in a suitable level; therefore, it was important for the athletes to practice their muscles resisting with heavier weights. In this study, the plyometric trainings were applied to strengthen the athletes’ lower bodies by depth jump continuously on 3 boxes, speed bounding and Pogo jump continuing to hurdle jump. The findings revealed that the speed of the experimental group was enhanced in the 8th week after practicing on the program of plyometric combined with resisted sprint training comparing to the control group who only practiced only a regular each sport training program. Kenney, Wilmore, & Costill (2015) mentioned that plyometrics or stretch - shortening cycle exercise was primarily designed to connect between speed and strength training using the stretch reflex to facilitate the recruitment of motor units. Sedano, Matheu, Redondo, & Cuadrado (2011) determined the effects of plyometric training on explosive strength, acceleration capacity and kicking speed in youth football players after a 10 - week plyometric training program. The findings showed that the experimental group improved in explosive strength transferring to acceleration capacity and kicking speed. In addition, this study also combined the resisted sprint training by doing a sprint in place with resistance elastic band and a sprint 50m with weighted sled towing. Referring to Kawamori, Newton, Hori, & Nosaka (2014) whose study used weighted sled towing to improve sprint acceleration ability, similarly to Martinez et al., (2015) conducted the research to investigate the effects of sled towing at 10%, 15% and 20% of body mass (BM) on sprint performance and force production during the acceleration phase showing the result of the increased sprint time. Therefore, it could be concluded that the resisted sprint training in this study improved the speed of the experimental group. Anaerobic Performance According to Inbar, Bar - Or, & Skinner (1996, as cited in Draper, & Whyte, 1997) anaerobic performance included anaerobic power and anaerobic capacity, it occurred from highly intensive movements in a short period of time. The energy was produced through the combustion of carbohydrates without oxygen. The athletes could use it to build strength, endurance, speed and power. However, it generally was used only for a short burst of activities, otherwise, Lactic acid was produced to degrade muscle functions. Sonthaya Sriramatr (2012) mentioned that athletes could improve their anaerobic performances not to have Lactic acid by increasing CP and ATP into the muscles through training with high intensive activities in a short training period. Karadenizli (2013) conducted the study to determine the effects of plyometric trainings on selected anthropometric characteristics, speed, anaerobic power and flexibility of handball players. In conclusion the plyometric trainings provided significant effects to develop the characteristics of flexibility and anaerobic power on the tested handball players.

This study designed the programs of plyometric training combined with resisted sprint training to practice approximately 25 - 35 minutes consisting of training types, rest interval per training type, rest interval per set and number of training set. The training activities which were high intensity enhanced the anaerobic performance of the experimental group. Conclusion The findings of this study showed the significant differences between the experimental group and the control group on the speed and anaerobic performance after using plyometric training combined with resisted sprint training for 8 weeks. It revealed from the existing data that there were positive effects on improving athletes’ speed and anaerobic performance. Recommendations for Further Research 1. Since the samples in this study were limited to particular groups (male students of Sport talented school), therefore, in further studies, it was recommended to determine the effects of plyometric training combined with resisted sprint training to other participants such as sport schools in other countries, sport associations both locally and internationally. So that the result can be generalized. 2. In further studies, it was recommended to apply the plyometric training combined with resisted sprint training program to sports required fast-moving with extreme physical strength in a short time, repeatedly and continuously such as basketball, futsal, sprint running and jumping events, etc. Reference Alcaraz P. E., Palao, J. M., Elvira, J. L. L., & Linthorne, N.P. (2008). Effects of three types of resisted sprinttraining devices on the kinematics of sprinting at maximum velocity. The Journal of Strength and Conditioning Research, 22(3), 890 - 897. Chu, D. A. (1992). Jumping into Plyometrics. Champaign, IL: Leisure Press. Draper, P.N, & Whyte, G. (1997). Anaerobic performance testing. Retrieved from https://ir.canterbury.ac.nz/handle/10092/7835 Inbar, O., Bar-Or, O., & Skinner, J. S. (1996). The Wingate Anaerobic Test. Chaimpaign, IL: Kinetics. Karadenizli. (2013). The effects of plyometric training on selected physical and motorical characteristics of the handball players. International Journal of Academic Research Part A, 5(4), 184 - 188. Kawamori, N., Newton, R. U., Hori, N., & Nosaka, K. (2014). Effects of weighted sled towing with heavy versus light load on sprint acceleration ability. The Journal of Strength & Conditioning Research, 28(10), 2738 - 2745. Kenney, W. L., Wilmore, J. H., & Costill, D. L. (2015). Physiology of Sport and Exercise. Champaign, IL: Human kinetics.

Martínez-Valencia, M. A., Romero-Arenas, S., Elvira, J. L., González-Ravé, J. M., Navarro - Valdivielso, F., & Alcaraz, P. E. (2015). Effects of sled towing on peak force, the rate of force development and sprint performance during the acceleration phase. Journal of Human Kinetics, 46(1), 139 - 148. Sedano, S., Matheu, A., Redondo, J. C., & Cuadrado, G. (2011). Effects of plyometric training on explosive strength, acceleration capacity and kicking speed in young elite soccer players. The Journal of Sports Medicine and Physical Fitness, 51(1), 50 - 58. Sittisak Boonhan. (2011). The Effect of plyometric training together with s a q training on speed of 50 meter sprint (Master’s thesis), Srinakharinwirot University. Sonthaya Sriramatr. (2012). Principles of Sports for Coaching (4th ed.). Bangkok: Publisher of Chulalongkorn University. Thanomwong Kritpet. (2011). Physical Fitness. Bangkok: Project Development Course for Teaching, Faculty of Sports Science, Chulalongkorn University. Triplett, N.T. (2012). NSCA’s Guide to Test and Assessments. Champaign, IL: Human Kinetics. Yongsak Na Songkhla. (2001). The effects of plyometric exercise at different intensity levels upon speed on the one-hundred-meter run (Master’s thesis), Prince of Songkla University. Received: May 27, 2020 Revised: June 1, 2020 Accepted: June 2, 2020

INVESTIGATING THE INFLUENCE OF ACTN3 R577X POLYMORPHISM ON ANGULAR KINEMATICS USING MOTION CAPTURE TECHNOLOGY Pongpanot Wongveerakul1, Thet Hnin Moe1, Vitoon Saengsirisuwan1, Nongnapas Charoenpanich2, and Ioannis Papadimitriou1 1Department of Physiology, Faculty of Science, Mahidol University 2Human Movement Performance Enhancement Research Unit, Faculty of Sports Science, Chulalongkorn University Abstract ACTN3 has been labeled as the ‘gene for speed’ due to the increased frequency of the R allele encoding the α – actinin - 3 protein in elite sprint athletes compared to the general population. In situ muscle fibers that express α – actinin - 3 protein can produce more force than the muscle fibers that are α – actinin - 3 deficient (ACTN3 XX genotype). In vivo, using single joint isokinetic dynamometry assessments individuals with ACTN3 RR genotype demonstrated higher peak torque at all angular speeds (30 - 180o/s) than those with ACTN3 XX genotype. However, no study so far has investigated the influence of the ACTN3 gene on angular velocity and acceleration during vertical jumps using motion capture technology. The aim of this study was to investigate the influence of the ACTN3 gene on Squat Jump (SJ), by comparing maximal angular velocity and acceleration in hip and knee joint between ACTN3 RR and ACTN3 XX homozygotes. The biomechanical data were obtained using Qualisys Track Manager (QTM) motion analysis system and the DNA was isolated from white blood cells. The 291 - bp PCR fragment was electrophoresed, visualized in UV light and finally digested with Hpy8 restriction endonuclease. No statistically significant differences were observed; However, ACTN3 RR homozygotes demonstrated a trend towards higher maximal angular velocity and acceleration at take-off during SJ jumps (RR 4533.61 ± 1067.62 deg/s2 vs. XX 3183.53 ± 1695.99 deg/s2) in hip joint compared to their ACTN3 XX counterparts. This study suggests that more participants are required to investigate the potential underlying ACTN3 gene effect on angular kinematics during explosive movements such as vertical jumps. Keywords: Genetics, Biomechanics, Performance, Jumps, Velocity, Acceleration Corresponding author: Dr. Ioannis Papadimitriou, Department of Physiology, Faculty of science, Mahidol university, Email: [email protected]

Introduction In the last few decades, advances in genome sequencing has provided unprecedented access to the human genome and enabled the identification of specific sequence variations among individuals. Humans share 99.5% identical DNA implying that the resulting phenotypic diversity stems from the remaining 0.5% difference as well as epigenetic modifications (Robert, & Pelletier, 2018). Sequence differences arise due to the presence of insertion or deletion polymorphisms, and single-nucleotide polymorphisms (SNPs). Among SNPs, transitions (A ↔ G or C ↔ T) are more prevalent than transversions (A ↔ C or T; and G ↔ C or T). There are at least 10 million SNPs within the genome, occurring approximately every 100–300 base pairs making these by far the most common variant type in the human genome (Lander et al., 2001; Robert & Pelletier, 2018). Recently, there has been a great interest in genome-wide association studies (GWAS) where the prevalence of specific SNPs were linked to various phenotypes (Willems et al., 2017). One of these SNPs with respect to athletic performance is the ACTN3 R577X single nucleotide polymorphism (North, Yang, Wattanasirichaigoon, Mills, Easteal, & Beggs, 1999). This null polymorphism (R577X) is a common transversion (C→T) in exon 15 of the ACTN3 gene that converts an arginine residue (R) to a stop codon (X) at amino acid position 577. Homozygosity for the ACTN3 577X variant (ACTN3 577 XX) is common (~18% of the world population). A recent study demonstrated a complete deficiency of α - actinin 3 protein in muscle biopsy samples of ACTN3 XX humans (Papadimitriou et al., 2019). An increased frequency of the ACTN3 577R variant (ACTN3 577RR) was initially detected in elite sprint/power Australian (Yang, MacArthur, Gulbin, Hahn, Beggs, Easteal, & North, 2003), Finish (Niemi, & Majamaa, 2005) and Greek (Papadimitriou, Papadopoulos, Kouvatsi, & Triantaphyllidis, 2008) elite athletes compared to the general population. Moreover, elite sprinters that carry at least one R allele of the ACTN3 gene can run faster compared to α-actinin-3 deficient ACTN3 XX homozygotes (Papadimitriou et al., 2016). In situ muscle fibers that express α – actinin - 3 protein can produce more force than muscle fibers that are α – actinin - 3 deficient (Broos et al., 2016). Furthermore, a recent study using isokinetic dynamometry assessments has shown that the individuals with the ACTN3 XX genotype demonstrated lower peak torque at all angular speeds (30 - 180 deg/s) in knee joint than those with the ACTN3 RR genotype (Walsh, Liu, Metter, Ferrucci, & Roth, 2008). Isokinetic dynamometry assessments are limited to single joint tasks with fixed angles of movement and no study so far has conducted to provide an extensive biomechanical analysis about the possible effect of the ACTN3 gene on angular velocity and acceleration during dynamic multi- joint movements.

Therefore, the aim of this study is to investigate the influence of the ACTN3 gene on jumping ability by comparing maximal angular velocity and acceleration during SJ jumps in hip and knee joint between individuals with ACTN3 RR and ACTN3 XX genotypes using motion capture technology. Materials and methods Subjects More than 30 participants were recruited from the Greater Mekong Sub - region (GMS). Informed consent was obtained prior to a subject’s participation in the research project. After screening for ACTN3 genotype, only the ACTN3 RR and the ACTN3 XX participants were included in this study to ensure we compared the two homozygotic genotypes (i.e., RR vs. XX) according to the study design described by Papadimitriou et al., (2019). Seven Thai and one from Myanmar (for ≥3 generations), with a Body Mass Index (BMI) mean 23.34 ± 2.44 kg•m−2, were included to this study to ensure both body composition and genetic homogeneity. The eight subjects were further divided into two groups. The first group included four participants with ACTN3 RR genotype (produce α - actinin3 protein) while the second group which served as control group included four participants with ACTN3 XX genotype that were completely α - actinin 3 deficient. Participants that answered ‘yes’ to any of the eight PAR - Q questions or suffered from medical conditions interfering with their ability to exercise such as high blood pressure, medical conditions that might indicate high risk of acute or chronic musculoskeletal injuries were excluded from the study. The mean values of the inclusion criteria of the participants were: 1) age ranging from 18 - 35 years, 2) BMI ranging from 18.5 to 30.6 kg/m2 3) systolic blood pressure ranging from 104 - 137 mm/hg, 4) diastolic blood pressure ranging from 60 to 89 mm/hg. Professional power-oriented athletes, sprinters or individuals that performed regular sprint- power related exercise were excluded from our analysis. All procedures were approved by the ethical committee of the Mahidol University. Research Tools Preparation The Physical - Activity Readiness Questionnaire (PAR - Q) developed by (Thomas, Reading, & Shephard, 1992) was used as an exclusion criterion to assess participants’ ability to engage with the physical exercise and minimize the risk of injuries during exercise. Participants were asked to fill in the PAR - Q questionnaire before they had their body weight and height measured for the calculation of BMI. Furthermore, a sphygmomanometer (Automatic Blood Pressure Monitor JPN1, made in Japan) was used for measuring participants’ resting blood pressure levels while sitting on a chair.

All participants’ blood pressure was within normal range with the systolic ranging from 104 to 137 mm/hg and diastolic blood pressure ranging from 60 to 89 mm/hg. Moreover, to ensure adequate access to carbohydrate energy stores, participants were asked to consume an energy drink (1 to 1.5 g•kg−1 BM) before the commencement of the testing session, according to the Australian Institute of Sport (AIS) guidelines (Burke et al., 2006) composed of mainly liquids and carbohydrates. Participants were also asked to refrain from caffeine and alcohol during and before all tests. Finally, 50 - 200 ul of fingertip blood was obtained from each participant using capillary tubes. Immediately after the blood collection all samples were vortexed and stored on ice in EDTA blood collection tubes. Familiarization The warm-up was consisted of three minutes jogging followed a followed by dynamic stretching. After that participants familiarized themselves with Squat jump (SJ), a form of vertical jump from 90º angle and 11 reflective markers were attached on certain anatomical locations of their lower limps as shown in Figure 2, with adhesive tape. Finally, the participants rested for 15 - 20 minutes before the actual testing phase. Vertical Jumps The five SJ jumps were executed starting from a parallel 90° feet alignment with simultaneous take - off from two legs and proper amortization when landing while recorded using Qualisys Track Manager (QTS) motion analysis system. All participants were instructed to perform five trials for each jump. The starting position of the knee angle was measured with a handheld goniometer, followed by a restricted arm motion jump as it is demonstrated in Figure 2, according to the procedure described by (Papadopoulos et al., 2009). The SJ jump with the highest linear velocity at the propulsion phase was further analyzed for angular kinematics (velocity & acceleration) in hip and knee joints using QTM. QTM Analysis The SJ jump with the highest velocity at take-off was further analyzed for angular kinematics (velocity & acceleration) in hip and knee joints using QTM Track Manager Software for analyzing maximal velocity and acceleration were obtained and analyzed using QTM motion analysis system. The QTM was used to collect and process motion data captured from nine cameras ensuring high accuracy and minimal latency, with at least two cameras covering each marker. The reflection of eleven markers was received and analyzed during jumping by the software. QTM is designed to work seamlessly nine cameras in real-time ensuring fast and precise data collection. After the recording was finished, the 3D angular kinematic data from hip and knee

joint were analyzed manually and exported for further statistical analysis. For the calibration a stationary object was used as a reference while a wand was moved around in the volume to define and coordinate the system for the capture. Genotyping Genomic DNA was extracted from fingertip blood samples obtained from using the Biospin® Genomic Whole Blood DNA Purification Kit. The 291-bp PCR fragment that contains the R577X polymorphism was amplified using MiniAmp™ Cycler, electrophoresed with E - Gel Electrophoresis System and visualized in UV light. The PCR conditions and the primers used as previously described (Papadimitriou et al., 2008). The amplified PCR fragments were subsequently digested with Anza™ 114 Hpy8 restriction endonuclease (Thermo Fisher Scientific, CA, USA) and the 577R and 577X alleles were distinguished by the presence (577R) or absence (577X) restriction site of 114 Hpy8 restriction site. Digested products were then electrophoresed in 4% agarose gels as shown in Figure 3. Anza™ 114 Hpy8 restriction endonuclease that can cleave the DNA specific C-T site of the amplified PCR product enable us to identify the three possible genotypes of ACTN3 gene. Representative images of ACTN3 RR genotype (2 bands), ACTN3 RX genotype (4 bands) and ACTN3 XX genotype (3 bands) are shown in Figure 3. Procedures As shown in Figure 1 the participants initially were asked to fill in the PAR - Q questionnaire, their blood pressure, and body weight & height were measured as well as they were asked to consume an energy drink (1 to 1.5 g•kg−1 BM) before 50 - 200 ul of fingertip blood was obtained from each participant. Prior to the exercise intervention phase, all participants completed a general warm up for 15 minutes and familiarized themselves with vertical jumps by practicing squat jumps (SJ) from a 900 fixed starting position. After that, the participants were asked to rest for around 15 - 20 minutes before they proceeded with the actual five recorded SJ jumps trials. After data collection the highest take - off velocity jump was further analyzed for angular kinematics, and the extracted DNA was stored in -20 oC for the subsequent genetic analysis as described above.

Preparation Familiarization Vertical Jumps QTM Analysis Genotyping Questionnaire Reflective markers Velocity at take-off < 1 min rest < 1 min rest < 1 min rest < 1 min rest Blood pressure BMI & nutrition00a SJ DNA consultation ANALYSIS 100-200 ul blood SJ SJ Isolation, PCR, Warm up Squat Jumps SJ Restriction SJ digestion Par-Q questionnaire, Warm-up, stretching, Rest Testing phase: Five Angular blood pressure, SJ jumps practice SJ jump trials for Kinematics anthropometric and attachment of each participant (Velocity & measurements (Weight, the 11 markers Acceleration) Height), nutrition consultation and blood sampling Figure 1 Study overview TAKE - OFF A ZGROUND CONTACT C B A Hip Joint B C D Knee Joint 900 D X E E FG F Y Figure 2 An overview of the 11 skin-marker model: (A) Sacrum, (B) Ilium - Anterior Superior Iliac Spine, (C) Femur - Greater Trochanter, (D) Femur – Lateral condyle, (E) Fibula - Apex of the Lateral Malleolus and (F) Distal Foot - 5th Metatarsal. Point (G) demonstrates heel ground contact. Maximal acceleration and velocity at take-off in hip (BCD) and knee (CDE) joints were calculated by QTM.

Statistical analysis The mean value and standard deviation were used for descriptive statistics. The comparison between the two groups (ACTN3 RR vs. ACTN3 XX) was performed with an independent t - test using SPSS 18. A value of P < 0.05 was considered statistically significant. Results Ladder RR RX XX RR XX RR RX 300 bp ► 200 bp ► 150 bp ► 100 bp ► Figure 3 A representative image of digested PCR products indicating the three possible ACTN3 genotypes. Figure 3 shows that the genotype frequencies were 50% for the ACTN3 RX genotype, 25 % for the ACTN3 XX genotype and 25 % for the RR genotype.

Figure 4 a) Right and left hip maximal angular velocity between ACTN3 RR and ACTN3 XX participants achieved during the propulsion phase of SJ jumps. b) Right and left knee maximal angular velocity between ACTN3 RR and ACTN3 XX participants achieved during the propulsion phase of SJ jumps. c) Right and left hip maximal angular acceleration between ACTN3 RR and ACTN3 XX participants achieved during the propulsion phase of SJ jumps. d) Right and left knee maximal angular acceleration between ACTN3 RR and ACTN3 XX participants achieved during the propulsion phase of SJ jumps. Figure 4 shows no statistically significant differences between ACTN3 RR and ACTN3 XX genotypes. However, participants with the ACTN3 RR genotype demonstrated a trend towards higher maximal angular velocity and acceleration at take - off during SJ jumps (RR 4533.61 ± 1067.62 deg/s2 vs. XX 3183.53 ± 1695.99 deg/s2) in left hip joint compared to their ACTN3 XX counterparts. Discussion The present study was to investigate the influence of ACTN3 gene on jumping ability, by comparing maximal angular velocity and acceleration in hip and knee joints, during the propulsion phase of SJ jumps. As for results, demonstrate no statistically significant differences in maximal

angular velocity or acceleration, between South East Asians with different ACTN3 genotypes. However, ACTN3 RR homozygotes showed a trend towards higher maximal angular velocity and acceleration at the propulsion phase of SJ jumps compared to ACTN3XX counterparts. This observation is consistent with recent studies results that showed that ACTN3 RR individuals demonstrate higher peak torque at higher angular speeds (30 - 180 deg/s) in knee joint compared to those with the ACTN3 XX genotype using isokinetic dynamometry assessments (Walsh et al., 2008). Isokinetic dynamometers are devices which resist applied forces and control the angular velocity of a specific joint at a predetermined rate. Thus, assessments using isokinetic dynamometry are limited to single joint tasks with fixed angle of movement. On the other hand, our methodological approach using motion analysis technology allows us to assess various angular kinematic characteristics such as velocity and acceleration during multi - joint type of movements such as vertical jumps. Given the fact that SJ jump is considered a functional indicator for explosive muscle power of leg extensor muscles, this detected trend allows us to hypothesize a probable prominent effect of α – actinin - 3 protein in extensor muscle group kinematic chain during vertical jumps. However, more participants are required to give us the statistical power to investigate this hypothesis. Furthermore, recent evidence indicates an influence of ACTN3 gene on the preservation of force with increasing muscle contraction velocity rather than on force itself in vivo (Broos, Van Leemputte, Deldicque, & Thomis, 2015). Based on ground contact time, SJ jumps have been described as slow > 250 milliseconds while Drop Jumps (DJ) as fast < 250 milliseconds, respectively (Papadopoulos et al., 2009). To perform a DJ jump you stand on a box, step off, hit the ground, and immediately jump up as high as possible at a very short ground contact time and increased muscle contraction velocity combining a rapid coupling between an eccentric and concentric muscle action, commonly referred as stretch-shortening cycle (SSC). Taken together, these findings lead us to hypothesize that the ACTN3 R577X genotype could have a more pronounced effect on jumps that take place at higher muscle contraction velocity such as DJ jumps compared to slower jumps such as SJ jumps analyzed in this study. Consistent with this hypothesis our preliminary unpublished data show that participants with ACTN3 RR genotype demonstrate higher angular velocity values in DJ jumps compared to their ACTN3 XX counterparts indicating that further research towards this direction is required. Variables such as maximal angular velocity and acceleration during jumps that are considered key factors for achieving high levels of power performance have not been analyzed in the previous studies. To date, in humans the influence of specific genetic polymorphisms on angular velocity has been studied only using isokinetic dynamometry assessments (Walsh et al., 2008) or in terms of maximal performance in jumps (Ruiz et al., 2011); (Broos et al., 2015; Garatachea et al., 2014) or sprints (Papadimitriou et al., 2016). All these studies have either been based on a single - joint

analysis or on data collected without the use of precision laboratory equipment and have had mixed results. Some studies have found a possible link between ACTN3 RR genotype and jumping ability, while others have not. Our multi - joint approach using high accuracy motion analysis techniques has the potential to clarify and further investigate the influence of the ACTN3 gene on specific biomechanical parameters such as maximal angular velocity and acceleration during vertical jumps in South East Asians. Conclusion Our preliminary results based on eight samples, suggest that the influence of the ACTN3 gene on angular kinematics using motion capture technology merits further study. We highlight that larger cohorts are urgently needed for adequate genetics - biomechanics interaction assessments. We are currently recruiting more participants and analyzing more data, including various other phenotypes such as DJ jumps in order to increase the phenotypic specificity and statistical power of our cohort. Acknowledgements I would like to show my appreciation on my Major advisor, Dr. Ioannis Papadimitriou, for conceiving the idea for this study, teaching me to isolate DNA from blood, helping me to write this paper as well as assisting me with the biomechanical assessments of this project. I would also like to thank my Co - advisor Dr. Vitoon Saengsirisuwan for his help, Dr. Nongnapas Charoenpanich for allowing me to use the Human Movement Performance Enhancement Research Unit at Chulalongkorn University and her kind suggestions. Last but not least I would like to thank technician Mr. Jirayu Wongpanya for his assistance setting up the cameras and my fellow student Miss Thet Hnin Moe for her help finding the participants. References Broos, S., Malisoux, L., Theisen, D., van Thienen, R., Ramaekers, M., Jamart, C., Deldicque, L., Thomis, M. A., & Francaux, M. (2016). Evidence for ACTN3 as a speed gene in isolated human muscle fibers. PLoS One, 11(3). doi:10.1371/journal.pone.0150594 Broos, S., Van Leemputte, M., Deldicque, L., & Thomis, M. A. (2015). History - dependent force, angular velocity and muscular endurance in ACTN3 genotypes. Eur J Appl Physiol, 115(8), 1637 - 1643. doi:10.1007/s00421-015-3144-6 Burke, L., Cort, M., Cox, G., Crawford, R., Desbrow, B., Farthing, L., Minehan, M., Shaw, N., & Warnes, O. (2006). Supplements and Sports Foods (3rd ed.). Sydney, Australia: McGraw- Hill Education.

Garatachea, N., Verde, Z., Santos-Lozano, A., Yvert, T., Rodriguez-Romo, G., Sarasa, F. J., Hernandez-Sanchez, S., Santiago, C., & Lucia, A. (2014). ACTN3 R577X polymorphism and explosive leg-muscle power in elite basketball players. Int J Sports Physiol Perform, 9(2), 226 - 232. doi:10.1123/ijspp.2012-0331 Lander, E. S., et al. (2001). Initial sequencing and analysis of the human genome. Nature, 409. Niemi, A.-K., & Majamaa, K. J. E. J. o. H. G. (2005). Mitochondrial DNA and ACTN3 genotypes in Finnish elite endurance and sprint athletes. Eur J Hum Genet, 13(8), 965 - 969. North, K. N., Yang, N., Wattanasirichaigoon, D., Mills, M., Easteal, S., & Beggs, A. H. J. N. g. (1999). A common nonsense mutation results in α-actinin-3 deficiency in the general population. Nat Genet, 21(4), 353 - 354. Papadimitriou, I. D., Eynon, N., Yan, X., Munson, F., Jacques, M., Kuang, J., Voisin, S., North, K. N., & Bishop, D. J. (2019). A \"human knockout\" model to investigate the influence of the alpha-actinin-3 protein on exercise-induced mitochondrial adaptations. Sci Rep, 9(1), 12688. doi:10.1038/s41598-019-49042-y Papadimitriou, I. D., et al. (2016). ACTN3 R577X and ACE I/D gene variants influence performance in elite sprinters: A multi-cohort study. BMC Genomics, 17, 285. doi:10.1186/s12864-016- 2462-3 Papadimitriou, I. D., Papadopoulos, C., Kouvatsi, A., & Triantaphyllidis, C. (2008). The ACTN3 gene in elite Greek track and field athletes. Int J Sports Med, 29(4), 352 - 355. doi:10.1055/s-2007-965339 Papadopoulos, C., Sambanis, M., Gissis, I., Noussios, G., Gandiraga, E., Manolopoulos, E., & Papadimitriou, D. I. (2009). Evaluation of force and vertical jump performance in young swimmers with different force-time curve characteristics. Biology of Sport, 26(4), 301 - 307. doi:10.5604/20831862.901135 Robert, F., & Pelletier, J. (2018). Exploring the impact of single - nucleotide polymorphisms on translation. Front Genet, 9, 507. doi:10.3389/fgene.2018.00507 Ruiz, J. R., Fernandez del Valle, M., Verde, Z., Diez-Vega, I., Santiago, C., Yvert, T., Rodriguez -Romo, G., Gomez-Gallego, F., Molina, J. J., & Lucia, A. (2011). ACTN3 R577X polymorphism does not influence explosive leg muscle power in elite volleyball players. Scand J Med Sci Sports, 21(6), e34 - e41. doi:10.1111/j.1600-0838.2010.01134.x Thomas, S., Reading, J., & Shephard, R. J. (1992). Revision of the physical activity readiness questionnaire (PAR - Q). Can J Sport Sci, 17(4), 338 - 345. Walsh, S., Liu, D., Metter, E. J., Ferrucci, L., & Roth, S. M. (2008). ACTN3 genotype is associated with muscle phenotypes in women across the adult age span. J Appl Physiol (1985), 105(5), 1486 - 1491. doi:10.1152/japplphysiol.90856.2008

Willems, S. M., et al. (2017). Large-scale GWAS identifies multiple loci for hand grip strength providing biological insights into muscular fitness. Nat Commun, 8, 16015. doi:10.1038/ncomms16015 Yang, N., MacArthur, D. G., Gulbin, J. P., Hahn, A. G., Beggs, A. H., Easteal, S., & North, K. J. T. A. J. o. H. G. (2003). ACTN3 genotype is associated with human elite athletic performance. Am J Hum Genet, 73(3), 627 - 631. Received: Aug 14, 2020 Revised: Sep 28, 2020 Accepted: Oct 1, 2020

GUIDELINES FOR WOODBALL RECREATION ACTIVITY MANAGEMENT IN PHNOM PENH, CAMBODIA Chhorn Engly, Patantiya Singcram, and Noppavej Boonmee Faculty of Liberal Arts, Thailand National Sports University, Chon Buri Campus Abstract The purposes of this research were to 1) study the recreation activity of Woodball and publicize it to the personnel of the National Institute of Physical Education and Sport (NIPES) in Phnom Penh, Cambodia, 2) study the personnel’s opinions of National Institute of Physical Education and Sport (NIPES), in Phnom Penh, Cambodia towards the Woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia, and 3) to propose guidelines for Woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia. This research was carried out by Mixed Methods; qualitative research and quantitative research. The size of the sample group was determined by using the Table AutoFormat of Krejcie & Morgen. From the population of 300 Cambodian people, 170 samples were selected, including 3 key informants were selected by using the Accidental Sampling Method with Purposive Sampling. The instruments used were Participant Observation and Semi-Structured Interview, questionnaire, content analysis in Cambodia version pursuing the System Theory. The quantitative data were analyzed by the Package Program, using basic statistics to find out the Percentage, Mean (������̅), and Standard Deviation (S.D.). The research result revealed as follows: Woodball can be managed as a recreation activity. According to the Woodball demonstration, it was found that the personnel were interested in and felt enjoyable with this activity. As an overall image of the personnel’s opinions towards the Woodball recreation activity management in Phnom Penh, the Mean was 4.66 the highest level. As each aspect, which included, personal and recreation organization, and recreation management, had an equal Mean of 4.75 at the highest level. The guidelines of Woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia can be concluded as follows: (1) the Input, it comprises of 1) Place aspect, or places for recreation activity management such as stadium, educational institute, and public park, 2) and People aspect or personnel and recreation organization, (2) Process aspect; it comprises of Recreation Management Aspect, it has the organizations which takes crucial roles, which are, government and private sectors, to support the budgets pursuing to the development plan of Woodball recreation activity leading to all competition levels, and (3) Output, it comprises of Woodball recreation activity management in various crucial occasions, including family day, or nation relationship creation. Keywords: Guidelines, recreation activity, Woodball Corresponding: Mr. Chhorn Engly, Faculty of Liberal Arts, Thailand National Sports University, Chon Buri Campus Email: [email protected]

Introduction Woodball is a recreation sport which can be played by all genders and ages, even the elderly. The Taiwanese inventor named Mr. WENG MINGHUI invented it in early 2533 called Ho Hyuan Woodball. This sport is enjoyable and uses several skills. The playing method is similar to golf which uses only the wood for hitting the ball and a goal. It can be played on any grass field. Today, Woodball is being more popular and widespread because it is easy to play and suitable for all ages and genders. Furthermore, it practices stable concentration and good eyesight for expecting to hit the ball precisely. In addition, it helps strengthen the physical body. Woodball is a kind of self - competition sport without any attack. It is obtained in the elderly sport and National Youth Games (International Woodball Federation, 2014). Phnom Penh is the capital of Cambodia. After 2000, when the conflicts were reduced, it caused Cambodia to reach peaceful and people had a better life, therefore Cambodian people specifically in Phnom Penh started to take care of their health and were interested to exercise and participate in other recreational activities such as at the public parks, etc. Phnom Penh uses the exercising services increasingly such as jogging, aerobic, and other recreations. However, today Cambodia still lacks Woodball recreation activity for people to play especially the area in the National Institute of Physical Education and Sport (NIPES), Cambodia. Therefore, it is considered as a suitable place to manage this recreation activity for the youth and the elderly to get exercise, create a good relationship in the society, to promote and support the youth and elderly group to exercise for their health suitable according to their ages. In the future, Woodball will become an interesting sport for people to play all over the country and it will be managed the match at all levels such as within the country and international countries. (Britannica.com, 2000). According to the reasons mention above, the researcher is interested in studying the guidelines for Woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia, including studying the opinions of students, authorities, and lecturers towards the Woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia, together with proposing the guidelines for Woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia. Research purposes 1. To study the Woodball recreation activity and publicize it to the personnel of the National Institute of Physical Education and Sport (NIPES) in Phnom Penh, Cambodia. 2. To study the personnel’ opinions of the National Institute of Physical Education and Sport (NIPES) towards the Woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia; 3. To propose the guidelines for Woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia.

Materials and methods 1. Qualitative Research For the population and sample group used in this qualitative research, the researcher selected the targeted place and sample group as the key informants by the Purposive Sampling Method. The National Institute of Physical Education and Sport (NIPES), Cambodia was the targeted place for selecting the group of key informants because it is an organization that provides support and knowledge in terms of sport and recreation. Moreover, it is the main organization on sport and education in Phnom Penh and has had potential and knowledgeable administrators on sports for at least 5 years, or has experienced experts on sports and recreation activity management, etc. Hence, the key informants in this research included 3 administrators of the National Institute of Physical Education and Sport (NIPES), Cambodia; 1) Chancellor, 2) Vice President for Academic Affairs, and 3) Vice President for Administration. The research method used the Semi-Structured Interview towards the key informants about woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia. Research Instruments 1. Participant Observation; this used in the procedure of training and personnel demonstration. The observed issues were in accordance with the concept of recreational resources components on 5 aspects; 1) Place Aspect or places for recreation activity management, 2) Equipment and Recreation Materials Aspect, 3) Personnel and Recreation Organization Aspect, 4) Recreation Activity Aspect and 5) Recreation Management Aspect. 2. Semi-Structured Interview; this used the procedure of interview in Cambodia language on the key informants' group to find out the information for proposing the guidelines of Woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia Concerning the instruments investigation used in the qualitative research as the content validity, the researcher took all of the created instruments to consult with 2 sports experts and 3 recreational experts, a total of 5 Cambodian people then such instruments were examined by the advisor before collecting data. (how about reliability?) Data Collection 1. The researcher studied a lot of information from textbooks, documents, articles, concepts, and theories involved with the Woodball recreation activity management to perceive all knowledge on the Woodball recreation activity management. 2. The researcher used the participant observation to observe the personnel of National Institute of Physical Education and Sport (NIPES), Cambodia and record the data according to each issue; 3. The researcher coordinated 3 samples from the key informants' group used in the Semi-Structured Interview, which included, 1) Chancellor, 2) Vice President for Academic Affairs, and 3) Vice President for Administration of National Institute of Physical Education and Sport (NIPES), Cambodia.

4. The researcher wrote the letter to ask for doing the Semi - Structured Interview to find out the information and propose the guidelines for Woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia. 5. The researcher collected the data from the Semi-Structured Interviews by recording the data with the data recording machine. 6. The researcher concluded the report of Semi - Structured Interview from the data recorded by data recording machine and note taking then proposed it composition form to be the guidelines for the Woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia. The qualitative data got from this research were the results from participant observation and Semi-Structured Interview. The researcher classified the data according to the guidelines for the Woodball recreation activity management, and investigated the completeness of the contents, including synthesized according the determined issues, after that investigated the correctness of the data whether they were concordant to one another or not by the Triangulation Method, which investigated about the data resources, which were, time, place, and person (Supang Chantavanich, 1997) Data Analysis Regarding the qualitative research, it used the content analysis, which is the descriptive data analysis by identifying the specific characteristics of the statements or substances systematically at the framework and theories then determined them as new knowledge base or guidelines, and used the data analysis or findings from the research or technology information to create the new knowledge base or guidelines by using the System theory Based, which included Input, Process, Output. Then, used the Grouping, Integration, Information, and concluded them as the conceptualization to determine the guidelines for the Woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia. 2. Quantitative research Population was the personnel of the National Institute of Physical Education and Sport (NIPES), Cambodia, which included students, authorities, and lecturers of the National Institute of Physical Education and Sport (NIPES), Cambodia, 2019 Academic Year, a total of 300 Cambodian people (National Institute of Physical Education and Sport (NIPES), Cambodia. 2019). The sample group was got from the determination of the sample size by using the Table Auto Format of Krejcie & Morgen (1970, cited in Boonchom Srisa-ard, 2002, p. 45) from the population of 300 people. The samples were 169 Cambodian people at the reliability of 95%. The researcher determined the size of the samples as the integral number for facilitating the data collection. The samples were 170 Cambodian people then the researcher selected the Accidental Sampling Method by collecting the data from personnel, which included students, authorities, and lecturers participating willingly in the Woodball recreation training course.

Research Instruments Cambodian version Questionnaire: To study the personnel’s opinion of the National Institute of Physical Education and Sport (NIPES) in Phnom Penh, Cambodia, comprised of 3 stages as the following: Stage 1; the questionnaire is about general information of the questionnaire respondents; the questions were close - ended form; gender, age, educational level, and career. The questionnaire was in a Check List form; Stage 2: Questionnaire about the opinions of the personnel; students, authorities, and lecturers, towards the Woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia, by using the Rating Scale of Likert scale, which divided the opinions into 5 levels for the scores criteria: 4.50 – 5.00 means agree the most 3.50 – 4.49 means agree much 2.50 – 3.49 means agree moderately 1.50 – 2.49 means agree a little 1.00 – 1.49 means agree the least Stage 3: the questionnaire of other recommendations about the guidelines for woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia was in the open-ended form. Finding Out Research Instrument Quality 1. Brought the adjusted questionnaires to propose 5 experts to consider and investigated the validity of the contents by finding out the IOC Discrimination Value, Index of item objective Congruence, which got the validity equal to 0.86. Hence, it indicated that the question items were in accordance with the objectives and considered that the questionnaire had the content validity and was able to be used for collecting data; 2. Brought the adjusted questionnaire to get the thesis advisor to examine again before the trial; 3. Brought the adjusted questionnaire to try out with other samples, not this research samples, a total of 30 Cambodian people, to find out the reliability of the questionnaire by finding out the Cronbach's alpha coefficient ( Cornbrach, 1970, p. 161) which got the alpha coefficient of 0.87, which was more than 0.75, thus it was considered that this questionnaire was reliable to use; 4. Brought the questionnaire got to propose the thesis advisor to examine again for adjusting and improving until it became an effective instrument; 5. Brought the completed questionnaire to use with 170 samples. Data Collection 1. The researcher collected the data and kept the questionnaire by giving it out to the respondents after they had read and answered the questionnaire already;

2. Brought the questionnaire got to investigate the completeness of the response, decoded data, and brought the data to analyze the results. Data Analysis The data were analyzed by the package computer program, using the basic statistics, which included Frequency and Percentage, to see the data distribution, and to describe general characteristics of population, Mean (������̅), and standard deviation (S.D.), to analyze the data of questionnaire about the opinions of personnel, which included the students, authorities, and lecturers, towards the Woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia. Results 1. Analysis results of personnel’s opinions Table 1 Mean and Standard Deviation of the personnel’s opinions towards the Woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia as overall image and each aspect Components of Opinions Level recreation resources ������̅ S.D. Interpretation Place aspect or places for recreation activity 4.58 0.32 the most management 4.65 0.39 the most Equipment and recreational materials 4.75 0.32 the most Equipment and recreational materials 4.57 0.42 the most Recreational Activity 4.75 0.35 the most Recreation Management Aspect 4.66 0.27 the most Total According to the Table 1, it revealed that the personnel’s opinions towards the woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia as a whole image, the Mean was at 4.66 (S.D. = 0.27) considered as the most level. When considering each aspect arranged in order from greatest to least for 3 levels, the 1st level had two aspects; Equipment and Recreational Materials, the Mean was 4.75 (S.D. = 0.32) which was at the most level, and the Recreation Management Aspect, the Mean was 4 4.75 (S.D. = 0.35) at the most level as well. Secondly was the Equipment and Recreational Materials, the Mean was 4.65 (S.D. = 0.39) which was at the most level, and the 3rd level was Place Aspect or Resources of Recreation Activity Management, the Mean was 4.58 (S.D. = 0.32) which was at the most level, respectively. 2. Conclusion of guidelines for Woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia consisted of 3 parts as follows: According to the Grouping of technology information on Woodball recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia proposed above, it would be synthesized for processing as knowledge base to create the guidelines according to the research objectives

by using the Content Analysis technique, by integrating information and technology information received from the research using the System Theory operated in process as follows: 1. Input; the factor of Woodball recreation activity management consisted of: 1.1 Place Aspect or places for recreation activity management such as 1) stadium, 2) educational institute, and 3) public park; 1.2 Personal aspect and recreation organization, by allowing the trainees, recreational leaders, and referees to participate in developing the techniques of Woodball playing, organizing the training program of Woodall sport in various clubs all over the country, and organizing the referees to join the Woodall umpiring in all levels both domestic and international countries; 2. Process; the process of Woodall recreation activity management consisted of: 1. Recreation Management Aspect 1.1 Government; it should be managed on recreation by doing the development plan for Woodall recreation activity, supporting the development factors such as people, budget, equipment, and methods to enter into the Woodall match in all levels; 1 . 2 Private sector: to support the budgets according to the development plan of Woodall recreation activity to the match in all levels. 3. Output: the characteristics of Woodall recreation activity management consisted of: The Woodall recreation activity management should be organized into various national occasions such as 1 ) important days in Phnom Penh, which was Songkran Day, and 2) Family Day or nation relationship creation. Discussion According to the study result, Woodall could be managed as the recreation activity. As for the Woodall demonstration, the personnel were interested to play and felt enjoyable to joy the activity. Furthermore, the personnel of the National Institute of Physical Education and Sport (NIPES), Cambodia has never known this Woodall game before. When the researcher organized the training and demonstrating the Woodall recreation activity to the personnel of this institute, it became the new and strange thing which made them feel excited and interested in and they participated in the activity willingly. This is in accordance with the values and benefits of the recreation in terms of encouraging and developing the happy emotion. Hence, it can be concluded that the recreation is really crucial for individual, community, and country. It helps enhance private happiness to the participants, and helps create peace and harmony among people in the community, helps reduce all problems, as well as enhancing good things to the society. (Sombat Karnjanakij, 2014, pp. 50 - 52). The personnel’s opinions towards Woodall recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia as a whole had an average of 4.66 which was the most level. When considering the result, the opinions of students, authorities, and lecturers, they focused on the stadium the first. This might be because the stadium was built to let the youth and people use it for exercising and rehearsing. Moreover, it gives the opportunity

for them to access the service of sport and recreation equally and thoroughly. This is in accordance with the result of Kritkanya Kotcharin (2016) who studied the guidelines of recreation management for people around district the stadium, which found that the management of the place, facilities, and equipment for recreation purpose was important for recreation activity management. The management had to be done by considering the beauty, good atmosphere, fresh, and had areas to be able to do the activities safely. Furthermore, the result emphasized the significance of enhancing to bring Woodall equipment to distribute in the sport shop at first level. This might be because the sport shop is considered as a center of import on various types of sport or import only certain sports. This is a channel for products distribution to increase convenience to people and let them get recommendations and be able to select and buy what they need. Besides, it is a center of repairing service for sports equipment. This is in accordance with the research of Morakot Sombatsilp (2016) which studied the needs of recreational activity, exercise, and sport for the health of the service users in the sport field of Bangkok found that the needs of recreational activity and sport for the health of the questionnaire respondents in terms of equipment were at the most level every issue. The service users of the sports field mostly wanted the responsible people to take care of and repair the old and rusty equipment, and increase the equipment used for sport paly and exercise because when there were many users, it had to wait for a long time. Moreover, it focused on the training of trainers, coaches, and recreational leaders, including the Woodall referees. This might be because Woodall recreation activity is an activity which helps people use their leisure time usefully, enhance and develop emotions, society, arts and cultures, and love, and helps prevent the criminal and naughty children. However, it still lacks coaches, recreational leaders, and Woodall referees. This is in accordance with Kritkanya Kotcharin (2016), who studied the guidelines of recreation management for people around the district stadium, found that the recreational leaders were important to the project management or recreation management. It had to consider the leaders in terms of numbers, competence, knowledge, personality, experience, and determined the duties clearly, organize the meeting and training consistently to exchange opinions and experiences because the leaders who are knowledgeable, competent, good personality, active, clever, friendly, humble, have morality can be the crucial mechanism to create the enjoyable atmosphere to the members for doing the activity. The satisfaction of members is regarded as the success of recreation activity management to achieve goals. Furthermore, it emphasized the Woodball recreation activity which helped concentrate, enhance good emotions. This is because Woodball is a sport that helps create concepts for planning. The player has to make a plan and expect the conditions of the fields. If that field is not smooth, it is challenging for the players to play by how many weights a person will be able to hit the Woodall. Moreover, it is an activity that makes the player have an opportunity to talk to each other which causes the exchange of ideas, attitudes, and values. This is in accordance with Teerin Poramawes (2012) who studied the states and needs of recreation activity management of the personnel in Nation Multi - Media Group Company (Public Limited), found that the employees needed the company to have the policy

of enhancing the recreation activity management to let the employees relax and enhance health, enhance the recreation activity management appropriate to the employers consistently, emphasized good mental health, had desired characteristics, be able to adjust for work with others, knowledgeable and competent, skillful in the work team, be able to apply the benefits to daily life until it became happy in the livelihood of society. Besides, it focused on managing the national Woodall association. This might be because the national Woodall association could enhance, support, supervise, control, take care of, develop, publicize, and operate the Woodall activity within the country and international countries. This is in accordance with Morakot Sombatsilp (2016) who studied the needs of recreational activities, and sport for the health of the service users in the sport field of Bangkok, found that the users mostly knew about the management data, policy and performance result whether it was developed or which parts should be additionally provided by the responsible authorities. This is in accordance with Tveit et al (2014) who studied the management of the potential of outdoor recreation activity, revealed that there was an increase of health on the public related to outdoor recreation activity and more knowledge on the health of the public in the last decade. The improvement of health, plan, and determination of policy aimed at creating good access to the basic recreation leading to the facilitation of outdoor recreation activity. This is in accordance with Korpeta et al (2014) who studied the analysis on the median between natural basic of outdoor recreational activity and emotional happiness, found that there was evidence combing the significance of the physical activity, including the experiences recovery and social interaction like a median between natural appearance and wellness combined. This research, it explained the relationship between the average value used for the basic nature of the recreation and wellness which is the median, through the experience recovery, as well as social combination and time perception. This is in accordance with Onishi et al. (2006) who studied the recreational activity satisfied by the elderly living in the community. The purpose was to find out the clarity of the recreation activity liked by the elderly to join with and to survey the relationship between those activities and life quality using the questionnaire sent to the elderly age 65 years up living in the rural areas of Japan to collect the data about general information, satisfaction for various activities and life quality of them For the guideline of Woodall recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia can be concluded as follows: (1) Input, it consisted of 1) Place Aspect or places for recreation activity management such as stadium, educational institute, and public park, 2) Personal aspect and recreation organization, (2) Process, consisted of Recreation Management Aspect, which had the organization taking an important role, government and private sectors, to support the budget pursuing to the development plan of Woodall recreation activity leading to all of the competitive levels, and (3) Output: consisted of Woodall recreation activity management in crucial occasions and family days of relationship creation among the people of the nation.

Conclusion Research Recommendations According to the research result of the opinions got from students, authorities, lecturers, and administrators, they agreed to bring the guidelines of wood ball recreation activity management to use in Phnom Penh, Cambodia. However, it has to use much time for management. Therefore, it should be tried out with the National Institute of Physical Education and Sport (NIPES) in Phnom Penh, Cambodia first to design the form of Woodall recreation activity management in Phnom Penh, Cambodia further. References Boonchom Srisa-ard. (2002). Introduction to Research (7th ed.). Bangkok: Suweeriyasarn. Cronbach, L. J. (1970). Essentials of Psychological Test (5th ed.). New York: Harper Collins. Korpeta, et al. (2014). Environmental science. Journal of Environmental Psychology, 2(2), 19 - 20. Kritkanya Kotcharin. (2016). Recreation activities management guidelines for the people in the district sport stadium (Master’s thesis), Chulalongkorn University. Morakot Sombatsilp. (2016). User’s need towards recreation activity, exercise and sport for health in bangkok metropolis sport - playgrounds (Master’s thesis), Chulalongkorn University. International Woodball Association. (2014). Woodball. Research and Development Group. Sports Center, Department of Physical Education. Ministry of Tourism and Sports. Onishi, et al. (2006). The Pleasurable Recreational Activities among Community - Dwelling. Thaksin University Press. Britannica.com. (2000). The Editors of Encyclopaedia Britannica. Retrieved from www.britannica.com/place/Phnom-Penh National Institute of Physical Education and Sport (NIPES), Cambodia. (2019). Population was the personnel of the National Institute of Physical Education and Sport. Ministry of Education, Youth and Sport. Phnom Penh National Sport University Press. Sombat Karnjanakij. (2014). Recreation and Tourism Industry. Bangkok: Chulalongkorn University Press. Supang Chantavanich. (1997). Qualitative Research. Institute of Asian Studies. Chulalongkorn University. Teerin Poramawes. (2012). State and needs for recreational activities management of the employee in nation multimedia group Public Company Limited (Master’s thesis), Srinakharinwirot University. Tveit et al. (2014). Urban Frestry & Urban Greening. Retrieved from www.elsevier.com/ locate/ufug Received: May 8, 2020 Revised: June 30, 2020 Accepted: July 2, 2020

ปจั จัยท่มี ีผลตอ่ นักกฬี าฟนั ดาบในการกลับไปเขา้ ร่วมการแข่งขันฟันดาบ ทม่ี ีการรับรองในประเทศไทย ธนิก วชิ ยั ดิษฐ สิทธิ์ ธรี สรณ์ และ อิษฎี กุฏอินทร์ คณะวทิ ยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ บทคัดย่อ งานวิจัยคร้ังนี้เพ่ือศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อนักกีฬาฟันดาบในการกลับไปเข้าร่วมการแข่งขันฟันดาบท่ีได้รับ การรับรองในประเทศไทย กลุ่มประชากรในการวิจัยเป็นนักกีฬาฟันดาบท่ีเข้าร่วมการแข่งขัน 4 รายการข้ึนไป และมีแต้มจากการแข่งขัน จานวนท้ังหมด 120 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยจานวน 100 คนได้มาจากการ คานวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างแบบทราบจานวนประชากรของ Taro Yamane (Yamane, 1973) เคร่ืองมือท่ีใช้ เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามเพ่ือประเมินความสาคัญของแต่ละปัจจัยท่ีส่งผลต่อการกลับไปเข้าร่วมการ แข่งขันของนักกีฬาฟันดาบ สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ความถี่ (Frequencies) ร้อยละ (Percentage) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) โดยกาหนดระดับความมี นัยสาคญั ที่ระดบั .05 ผลการวิจยั พบวา่ ตวั แปรปัจจัยด้านแรงจูงใจภายใน ปัจจยั ด้านสถานท่ีและชอ่ งทางจัดจาหน่าย และด้าน การส่งเสริมการตลาดสามารถอธิบายการผันแปรการเข้าร่วมการแข่งขันเป็นประจาในการกลับไปเข้าร่วมการแข่งขัน ฟันดาบที่มีการรับรองในประเทศไทยได้ร้อยละ 17.8 (Adjust R Square = 0.178) จึงสรุปผลได้ว่าปัจจัยด้าน แรงจูงใจภายใน ปัจจัยด้านสถานที่และช่องทางจัดจาหน่าย และปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาดมีความสัมพันธ์ กับการท่ีนักกีฬาฟันดาบที่เข้าร่วมการแข่งขันเป็นประจาจะกลับไปเข้าร่วมการแข่งขันฟันดาบท่ีมีการรับรองใน ประเทศไทยอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั 0.05 คาสาคัญ: นักกีฬาฟนั ดาบ; การกลับไปเข้ารว่ มการแข่งขนั ; การแขง่ ขันฟันดาบทีม่ ีการรับรอง Corresponding Author: ธนิก วิชัยดิษฐ ภาควิชาการจัดการการกีฬา คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน Email: [email protected]

FACTORS INFLUENCING FENCER’S RETURN TO PARTICIPATE IN A SANCTIONED FENCING COMPETITION IN THAILAND Thanig Vichaidist, Sid Terason, and Issadee Kutintara Faculty of Sports Science, Kasetsart University University Abstract This research was conducted to study the factors influencing fencers' return to participate in a sanctioned fencing competition in Thailand. The population in this research included 120 fencers who had participated in four or more competitions, and had competition scores. The 100 samples were used in this research, obtained by using the Taro Yamane’s sample size calculation under the finite population (Yamane, 1973). The instrument used for data collection was a set of questionnaires to assess the importance of each factor influencing fencer’s return to participate in a fencing competition. The statistics used for data analysis consisted of frequency distribution, percentage, and multiple regression analysis; with a significance level of .05. The findings indicated that internal motivation, place, distribution channel, and promotion could explain the variance in regular participation for returning to participate in a sanctioned fencing competitions in Thailand at 17.8% (Adjust R Square = 0.178). Thus, it could be concluded that internal motivation, place, distribution channel, and promotion were significantly related to fencer’s return to participate in sanctioned fencing competitions in Thailand at the level of .05. Keywords: fencer, return to participate, sanctioned fencing competition Corresponding Author: Thanig Vichaidist Faculty of Sports Science, Kasetsart University. Kampeangsean Campus Email: [email protected]

บทนา กีฬาฟันดาบเป็นกีฬาสากลที่บรรจุในรายการแข่งขันต่าง ๆ มากมาย เช่น โอลิมปิกเกม ชิงแชมป์โลก ชิงแชมป์ของทวีปต่าง ๆ กีฬาทหารโลกจนถึงในระดับประเทศการฟันดาบในประเทศไทยเร่ิมข้ึนในปี พ.ศ. 2478 ตอ่ มาองค์การส่งเสรมิ กฬี าแห่งประเทศไทย (ปัจจุบนั เปลี่ยนเป็นการกีฬาแห่งประเทศไทย) ได้เริ่มใหก้ ารสนบั สนุน เก่ียวกับด้านต่าง ๆ ทาให้เยาวชนเร่ิมสนใจในการฟันดาบ ภายหลังที่สมาคมฟันดาบสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ได้ตั้งข้ึนมา และสมาคมฯ เร่ิมนากิจกรรมฟันดาบเข้าไปสู่มหาวิทยาลัย รวมทั้งสถาบันการศึกษาของทหาร ด้วยเหตุนี้เอง กีฬาฟันดาบจึงเร่ิมได้รับความนิยมเพ่ิมข้ึน ในท่ีสุดการพัฒนากีฬาฟันดาบก็เร่ิมเข้าสู่มาตรฐาน การคดั เลือกนักกฬี าเปน็ ไปอยา่ งกวา้ งขวาง นักกีฬาไทยเริ่มเข้าร่วมการแขง่ ขนั รายการระดบั นานาชาติครั้งแรก คือ การเข้าร่วมการแข่งขันในเอเชียนเกม ครั้งที่ 7 ณ กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน กีฬาฟันดาบถือได้ว่าเป็นกีฬา สมัยใหม่ เพราะมีการพัฒนาท่ีเป็นวิวัฒนาการตามธรรมชาติ ผู้ท่ีเล่นกีฬาน้ียงั คงพัฒนาตามวิวัฒนาการ เพราะจะ ยึดถือแบบอย่างเดิมอีกต่อไปไม่ได้ จาเป็นต้องมีแนวความคิดหรือหลักนิยมใหม่ที่เหมาะสมในการท่ีจะบรรลุ ความสาเร็จ สมาคมฟันดาบสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้จดทะเบียนก่อตั้งสมาคมฯและสหพันธ์สมาชกิ ของโอลมิ ปิก เม่ือวันท่ี 15 มิถุนายน พ.ศ. 2510 และเป็นสมาชิก ของสหพันธ์กฬี าระหวา่ งชาติ เมอ่ื 19 มกราคม พ.ศ. 2511 และเข้าเปน็ สมาชิกของสหพันธฟ์ ันดาบแหง่ เอเชยี เมื่อ พ.ศ. 2516 (Thailand fencing federation, 2009) ในประเทศไทยก็มีการแข่งขันกีฬาฟันดาบหลายรายการ เช่น กีฬาแห่งชาติ ชิงแชมป์ประเทศไทย เยาวชนชิงแชมป์ประเทศไทย กีฬาเหล่าทัพ ชิงแชมป์สโมสร กีฬามหาวิทยาลัย เป็นต้น ถงึ แม้กีฬาฟันดาบอาจยัง ไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทยมากนัก แต่ในปฏิทินการแข่งขันต่อปีน้ันได้มีการแข่งขันฟันดาบ ทั้งส้ิน 25 รายการ โดยแบ่งเป็นรุ่นยวุ ชน-เยาวชน 8 รายการ รุ่นทวั่ ไป 12 รายการ กีฬาโรงเรียนกฬี า 1 รายการ และกีฬาเหล่าทัพ 4 รายการ แต่ในการนับคะแนนเพ่ือจัดอันดับในปฏิทินการแข่งขันนั้นในรุ่นทั่วไปมี 12 รายการ จัดโดยสมาคม ฟันดาบฯ 3 รายการ และจัดโดยชมรม 9 รายการ รุ่นเยาวชนมี 7 รายการ จัดโดยสมาคมฟันดาบฯ 1 รายการ และจัดโดยชมรม 6 รายการ ซึ่งในแต่ละรายการนั้นมีความสาคัญต่อนักกีฬาฟันดาบแต่ละบุคคลแตกต่างกันไป ทางสมาคมฟันดาบแห่งประเทศไทยได้กาหนดไว้ว่า การจัดเรียงลาดับของนักกีฬาในแต่ละรุ่นนั้นจะนาคะแนน จากการแข่งขัน 7 ครั้งที่ดีท่ีสุดมารวมกัน การจัดการแข่งขันฟันดาบน้ันจะมีการจัดข้ึนโดยสมาคมฟันดาบแห่ง ประเทศไทย เป็นผู้จัดและชมรมต่าง ๆ ก็สามารถจัดการแข่งขันไดแ้ ต่ทางสมาคมฟันดาบแห่งประเทศไทยจะต้อง เป็นผู้รับรองเท่าน้ัน การเก็บสะสมคะแนนน้ันก็มีผลต่อนักกีฬาที่มีอันดับท่ี 1 - 4 ก็จะสามารถมีสิทธิเป็นนักกีฬา ทีมชาตไิ ดโ้ ดยเป็นไปตามกฎกตกิ าทีส่ มาคมฟนั ดาบแหง่ ประเทศไทยกาหนดไว้ การแข่งขันฟันดาบรายการต่าง ๆ ท่ีจัดโดยชมรมฟันดาบในประเทศไทยนั้นมีมากมายหลายรายการ ในบางรายการก็ได้รับความนิยมทั้งรุ่นบุคคลท่ัวไปและรุ่นเยาวชน ซึ่งหากรายการท่ีมีแข่งขันรุ่นท่ัวไปและรุ่นเยาวชน อยู่ด้วยกันก็จะทาให้รายการนั้นมีนักกีฬาเข้าร่วมมากย่ิงข้ึน เช่น รายการ KU open จัดโดยมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ เป็นรายการท่ีมีช่ือเสียงมายาวนาน เน่ืองจากมีการแข่งขันในรุ่นทั่วไปและรุ่นเยาวชน สถานท่ีจัด การแข่งขันที่เหมาะสม ความเป็นมาตรฐานการจัดการแข่งขัน รวมไปถึงรายละเอียดต่าง ๆ ซึ่งที่กล่าวมาเป็น แรงจูงใจท่ีทาให้นักกีฬาฟันดาบท้ังรุ่นทั่วไปและเยาวชนมาเข้าร่วมการแข่งขันและแต้มคะแนนสะสมท่ีได้รับจาก การแข่งก็เป็นที่พึงพอใจของนักกีฬาเป็นอย่างมาก ส่วนการแข่งขันบางรายการได้เกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย แต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไขจากผจู้ ัดการแขง่ ขนั แม้การแขง่ ขันรายการนัน้ ไดจ้ ดั ขน้ึ มาหลายคร้งั แล้วก็ตาม เช่น ปญั หา

ด้านสถานท่ีในการจัดการแข่งขัน ไม่มีระบบปรับอากาศ เวลาในการแข่งขันคลาดเคลื่อนออกไปจากตารางการ แข่งขัน กรรมการ ผู้ตัดสิน ตัดสินผิดอยู่บ่อยครั้ง ไม่มีกล้องเพื่อช่วยในการตัดสิน ไม่มีเงินรางวัลในการแข่งขัน การโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ในการแข่งขัน มีการแข่งขันในรุ่นท่ัวไปแต่ไม่มีรุ่นเยาวชน เป็นต้น ซ่ึงปัญหา ต่าง ๆ เหล่าน้ีถ้าไม่ได้รับการแก้ไขให้ดีข้ึนก็สามารถที่จะส่งผลให้ผู้จัดการแข่งขันขาดทุนหรือได้รับรายได้ ในการจัดการแข่งขันท่ีน้อยลง รวมไปถึงไม่มีผู้สนับสนุนก็จะส่งผลไปถึงมาตรฐานในการจัดการแข่งขันด้วย เม่ือการจัดการแข่งขันไม่มีความเปน็ มาตรฐานก็จะส่งผลใหน้ ักกฬี าฟันดาบมาเข้าร่วมการแข่งขันน้อยลงทาให้การ แข่งขันในรายการน้ันขาดความน่าเช่ือถือ ซึ่งผู้วิจัยได้ทาศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ในการจัดการแข่งขันรายการฟันดาบ ในปจั จุบนั พบวา่ ปจั จัยทีม่ ีผลต่อนักกฬี าฟนั ดาบทีเ่ ข้าร่วมการแข่งขัน ไดแ้ ก่ ปจั จยั ด้านแรงจงู ใจภายใน ปจั จยั ด้าน แรงจูงใจภายนอก ปัจจัยด้านการสนับสนุนจากสังคม ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ปัจจัยด้านราคา ปัจจัยด้านสถานที่ และช่องทางจดั จาหน่าย ปัจจยั ด้านการส่งเสรมิ การตลาด มีสว่ นสาคัญต่อการกลบั ไปเข้าร่วมการแขง่ ขันฟนั ดาบท่ี มีการรับรองในประเทศไทย จากที่กล่าวมาแล้วน้ัน ผู้วิจัยในฐานะที่เป็นนักกีฬาฟันดาบระดับทีมชาติและมีส่วนเกี่ยวข้องกับกีฬา ฟันดาบนั้น เห็นว่าการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อนักกีฬาฟันดาบในการกลับไปเข้าร่วมการแข่งขันฟันดาบที่มีการ รับรองในประเทศไทยเป็นเรื่องสาคัญ จึงเป็นที่มาของการศึกษาในครั้งน้ี เพ่ือให้ผู้ที่เก่ียวข้องนาไปพัฒนาและ ปรับปรุงการจัดการแข่งขนั ฟันดาบ เพื่อใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สุดตอ่ ผจู้ ดั การแขง่ ขันและนักกีฬาฟันดาบต่อไป วตั ถุประสงคข์ องงานวจิ ัย เพื่อศึกษาปัจจัยท่ีมีผลต่อนักกีฬาฟันดาบในการกลับไปเข้าร่วมการแข่งขันฟันดาบท่ีได้รับการรับรองใน ประเทศไทย ตัวแปรท่ีศกึ ษา ตัวแปรตน้ คือ ปจั จัยทมี่ ผี ลต่อนักกีฬาฟันดาบที่เขา้ ร่วมการแขง่ ขนั ตัวแปรย่อย คือ ปัจจัยด้านแรงจูงใจภายใน ปัจจัยด้านแรงจูงใจภายนอก ปัจจัยด้านการสนับสนุนจาก สังคม ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ปัจจัยด้านราคา ปัจจัยด้านสถานท่ีและช่องทางจัดจาหน่าย และปัจจัยด้านการ สง่ เสรมิ การตลาด ตัวแปรตาม คอื การกลบั ไปเข้าร่วมการแข่งขนั ฟนั ดาบที่มีการรบั รองในประเทศไทย นิยามศัพท์ นักกีฬาฟันดาบ (Fencers) หมายถึง นักกีฬาฟันดาบท่ีเข้าร่วมการแข่งขันรายการแข่งขันท่ีสมาคมมีการ รบั รองเปน็ ประจา ตั้งแต่ 4 รายการขึ้นไปและมแี ตม้ จากการแขง่ ขัน การกลับไปเข้าร่วมการแข่งขัน (Retention to participate) หมายถึง การเลือกเข้าร่วมการแข่งขันฟัน ดาบรายการใดรายการหน่งึ เป็นครั้งท่สี องข้นึ ไป การแข่งขันฟันดาบท่ีมีการรับรอง (Zanctioned fencing competition) หมายถึง รายการแข่งขันฟัน ดาบท่ีจัดข้ึนโดยชมรมฟันดาบทไี่ ด้รบั การรับรองจากสมาคมฟนั ดาบแห่งประเทศไทย

กรอบแนวคดิ ปัจจัยสว่ นบุคคล - เพศ ปจั จัย - อายุ 1. ปัจจยั ด้านแรงจูงใจภายใน - ระยะเวลาของการเลน่ 2. ปัจจัยดา้ นแรงจงู ใจภายนอก - จานวนการเขา้ ร่วมการแขง่ ขันรายการโอเพ่น 3. ปัจจยั ดา้ นการสนับสนุนจากสงั คม 4. ปจั จยั ดา้ นผลติ ภัณฑ์ ในประเทศไทย 5. ปัจจัยด้านราคา 6. ปัจจัยด้านสถานทแ่ี ละชอ่ งทางจัดจาหน่าย 7. ปจั จัยดา้ นการสง่ เสรมิ การตลาด การกลบั มารว่ มการแข่งขนั สมมติฐานของการวิจัย ปัจจยั ที่มีผลอย่างมีนัยสาคัญต่อนักกีฬาฟนั ดาบในการกลับไปเขา้ รว่ มการแขง่ ขันฟันดาบทีม่ ีการรบั รองใน ประเทศไทย ได้แก่ แรงจูงใจภายใน แรงจูงใจภายนอก การสนับสนุนจากสังคม ผลิตภัณฑ์ ราคา สถานท่ี และ ช่องทางจดั จาหน่าย และ การสง่ เสริมการตลาด วธิ ดี าเนินการวิจัย การวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยเชิงสารวจ (Survey Research) โดยมุ่งเน้นศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อนักกีฬา ฟันดาบในการกลบั ไปเข้ารว่ มการแข่งขันฟนั ดาบท่ีมีการรบั รองในประเทศไทย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ไดแ้ ก่ นักกีฬาฟันดาบทีเ่ ข้าร่วมการแข่งขัน 4 รายการขึ้นไป และมี แต้มจากการแข่งขันจานวน 120 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จานวน 100 คน ได้มาจากการคานวณขนาด ของกลุ่มตัวอย่างแบบทราบจานวนประชากรของ ยามาเน่ (Yamane, 1973) โดยกาหนดความเชื่อมั่นที่ 95% ความผิดพลาดไม่เกิน 5% ขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่คานวณได้จึงเท่ากับ 92 คน และเพ่ือป้องกันความผิดพลาด จากการตอบแบบสอบถามอยา่ งไม่สมบรู ณ์จงึ ได้ทาการสารองผตู้ อบแบบสอบถามเพมิ่ อีก 8 คน รวมแบบสอบถาม ทงั้ สิน้ 100 ชดุ เครื่องมือทใี่ ช้ในการวจิ ยั แบบสอบถามเพ่ือประเมินความสาคัญของแต่ละปัจจัยท่ีส่งผลต่อการกลับไปเข้าร่วมการแข่งขันของ นักกีฬาฟันดาบ โดยแบ่งแบบสอบถามออกเป็น 4 ตอน ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนท่ี 2 ปจั จยั แรงจูงใจตอ่ การกลับมาร่วมแข่งขันฟนั ดาบทีม่ กี ารรบั รองในประเทศไทย มีข้อคาถามจานวน 24 ข้อ ตอนท่ี 3

ปัจจัยทางการตลาดท่เี กี่ยวข้องต่อการกลบั มาร่วมแข่งขันฟนั ดาบทมี่ ีการรับรองในประเทศไทย มีข้อคาถามจานวน 16 ขอ้ ตอนที่ 4 ข้อคดิ เห็นเพ่มิ เตมิ โดยแบบสอบถามขอ้ ท่ี 2 และ 3 เป็นข้อคาถามแบบ Likert Scale 5 ระดับ ข้ันตอนการดาเนินการวิจัย 1. ศกึ ษาเอกสาร แนวคดิ ทฤษฎีท่ีเกย่ี วขอ้ งกับปัจจัยในการกลบั มารว่ มการแข่งขนั 2. นาความรู้ท่ีได้จากการศึกษาเอกสารต่างๆ มากาหนดขอบเขต สรา้ งกรอบแนวคิดและดาเนินการสร้าง แบบสอบถามปจั จยั ในการกลับมาร่วมการแข่งขันให้มีความสอดคล้องกบั หวั ข้อและวตั ถุประสงค์ 3. นาแบบสอบถามท่ีได้สร้างข้ึน ไปตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) จาก ผู้เช่ียวชาญ 3 ท่าน และนามาวิเคราะห์ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item - objective Congruence: IOC) เทา่ กบั 0.95 4. นาแบบสอบถามที่สร้างขึ้นไปทดสอบความเช่ือมั่น (Reliability) เพื่อหาความสอดคล้องภายใน (Internal consistency) โดยวธิ ีการใชส้ ูตรสัมประสทิ ธแ์ิ อลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) ผลจากการวเิ คราะหม์ คี า่ เท่ากบั 0.82 คา่ ความเช่ือถือไดข้ องแบบสอบถามอยู่ในเกณฑก์ ารยอมรับได้ 5. นาแบบสอบถามที่ไดร้ ับการปรับปรุงแกไ้ ขแล้วไปใช้กับกลุม่ ตวั อย่างนักกีฬาฟันดาบทง้ั หมด 6. นาแบบสอบถามมาจดั เรยี งลาดับเพ่อื กรอกข้อมูลและทาการวิเคราะห์ข้อมูล การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ผวู้ ิจยั ได้นาข้อมลู ท่ีเก็บรวบรวมจากกลุ่มประชากรมาวเิ คราะห์เพื่อหาค่าทางสถิติโดยใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์ สาเร็จรูปวิธกี ารวิเคราะหม์ ีดงั นี้ 1. แบบสอบถามส่วนท่ี 1 ข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคลของนักกีฬาฟันดาบวิเคราะห์โดยใช้ค่าความถี่ (Frequencies) และคา่ รอ้ ยละ (Percentage) เพ่อื อธบิ ายลกั ษณะปัจจยั สว่ นบุคคลของกลุม่ ตวั อย่างนักกีฬาฟันดาบ 2. วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อนักกีฬาฟันดาบในการกลับไปเข้าร่วมการแข่งขันฟันดาบที่มีการรับรองใน ประเทศไทย โดยใชค้ ่าของระดับความเชื่อมันที่ระดับนัยสาคญั ทางสถิติเท่ากบั 0.05 เป็นเกณฑ์ในการยอมรับหรือ ปฏเิ สธสมมติฐานการวจิ ยั 3. การตอบสมมติฐานในการวิจัยใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณเพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวแปรด้านปัจจัยด้านต่าง ๆ ในการกลับมาร่วมการแข่งขันโดยใช้วิธีการหาค่าการวิเคราะห์การถดถอย พหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ตัวแปรต้น คือ ปัจจัยท่ีมีผลต่อนักกีฬาฟันดาบท่ีเข้าร่วมการแข่งขัน ตัวแปรย่อย คือ ปจั จัยดา้ นแรงจูงใจภายใน ปัจจัยด้านแรงจงู ใจภายนอก ปจั จยั ด้านการสนับสนนุ จากสงั คม ปจั จัย ด้านผลิตภัณฑ์ ปัจจัยด้านราคา ปัจจัยด้านสถานท่ีและช่องทางจัดจาหน่าย และปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาด ตัวแปรตาม คือ การกลับไปเข้าร่วมการแข่งขันฟันดาบที่มีการรับรองในประเทศไทย โดยนาตัวแปรเข้าสู่สมการ เพอื่ หาระดบั ของการมีนัยสาคญั ด้วยวธิ ี Enter ผลการวิจัย ในการวิเคราะห์ขอ้ มูลสาหรับงานวิจัยทาการเกบ็ ข้อมูลจานวน 100 ชุด จากน้ันนามาวิเคราะหข์ ้อมลู และ แปลความหมายของผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ผู้วจิ ยั ได้ลาดบั การนาเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล ดงั น้ี

ตารางท่ี 1 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลประชากรศาสตร์ ตวั แปร n% เพศ หญงิ 41 41 ชาย 59 59 ชว่ งอายุ 15 - 19 ปี 59 59 20 - 24 ปี 26 26 25 - 29 ปี 10 10 30 - 34 ปี 11 อืน่ ๆ 4 4 ระยะเวลาของการเล่นกฬี าฟันดาบ น้อยกวา่ 1 ปี 13 13 1 – 2 ปี 44 44 3 – 4 ปี 31 31 5 – 6 ปี 66 ระยะเวลาของการเล่นกีฬาฟนั ดาบ 7 – 8 ปี 22 มากกว่า 8 ปี 44 จานวนการเข้าร่วมการแข่งขนั รายการโอเพ่น ในปี 2561 0 – 3 รายการ 51 51 4 – 5 รายการ 36 36 6 – 7 รายการ 13 13 n = 100 จากตารางที่ 1 มีการเก็บข้อมูลจากกลมุ่ ตัวอย่างจานวน 100 ชุด โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (59 %) มีช่วงอายุ 15 - 19 ปี (59 %) มีประสบการณ์การเล่นกีฬาฟันดาบ 1 - 2 ปี (44 %) มีการเข้าร่วมการ แขง่ ขนั รายการโอเพน่ ในปี 2561 จานวน 0 - 3 รายการ (51 %) ตารางท่ี 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู ปจั จัยแต่ละดา้ น ปจั จยั คา่ เฉล่ีย (���̅���) คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) ระดบั ที่ 3.87 1. ปจั จัยดา้ นแรงจงู ใจภายใน 3.59 .52 มาก 2. ปัจจยั ด้านแรงจูงใจภายนอก .57 มาก 3.74 3. ปัจจยั ด้านการสนับสนุนจากสงั คม .62 มาก 3.68 4. ปจั จัยด้านผลิตภัณฑ์ 3.20 .51 มาก 5. ปจั จัยดา้ นราคา 3.47 .88 ปานกลาง 6. ปจั จยั ด้านสถานทแี่ ละช่องทางจดั จาหน่าย 3.36 .70 7. ปัจจยั ดา้ นการส่งเสริมการตลาด .75 มาก ปานกลาง

จากตารางท่ี 2 พบว่า ปัจจัยด้านแรงจูงใจภายในมีค่าเฉล่ียสูงที่สุด คือ 3.87 อยู่ในระดับมาก ส่วนปัจจัย ด้านการสนับสนุนจากสังคม 3.74 อยู่ในระดับมาก และปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์มีค่าเฉลี่ย 3.68 อยู่ในระดับมาก ตามลาดบั รองลงมา นอกจากนี้พบว่า ปัจจยั ดา้ นราคามคี า่ เฉลย่ี ต่าสดุ คือ 3.20 อยใู่ นระดับปานกลาง ตารางท่ี 3 แสดงผล Multiple Regression Analysis ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผลต่อนักกีฬาฟัน ดาบท่ีเข้าร่วมการแข่งขันเป็นประจาในการกลับไปเข้าร่วมการแข่งขันฟันดาบท่ีมีการรับรองใน ประเทศไทย Model Unstandardized Standardized t Sig. Coefficients Coefficients ค่าคงที่ B Std. Beta -1.318 .190 ดา้ นแรงจูงใจภายใน Error 3.511 .001* .614 .466 -1.80 .858 .598 -1.015 .312 .170 .453 .503 .616 1.071 .287 ดา้ นแรงจูงใจภายนอก -.033 .185 -.028 -2.123 .036* ดา้ นการสนับสนนุ จากสงั คม -.145 .143 -.132 2.010 .047* ด้านผลติ ภณั ฑ์ .101 .200 .075 ดา้ นราคา .111 .104 .143 ดา้ นสถานท่ีและชอ่ งทางจัด -.294 .138 -.302 จาหน่าย .126 .277 ด้านการสง่ เสรมิ การตลาด .254 R .476 .227 R Square Adjusted R Square .178 F-ratio 4.687 ตัวแปรตาม คอื การกลับไปเขา้ ร่วมการแข่งขันฟันดาบที่มกี ารรับรองในประเทศไทย *P-value≤.05 จากตารางที่ 3 การศึกษาปัจจัยท่ีมีผลต่อนักกีฬาฟันดาบท่ีเข้าร่วมการแข่งขันเป็นประจาในการกลับไป เข้าร่วมการแข่งขันฟันดาบท่ีมีการรับรองในประเทศไทยพบว่า ปัจจัยด้านแรงจูงใจภายใน ด้านสถานท่ีและ ช่องทางจัดจาหน่าย และด้านการส่งเสริมการตลาดมีความสัมพันธ์กับการกลับไปเข้าร่วมการแข่งขันฟันดาบท่ีมี การรบั รองในประเทศไทยอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติทร่ี ะดับ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า ตัวแปรปัจจัยด้านแรงจูงใจภายใน ด้านสถานท่ีและช่องทางจัดจาหน่าย และด้านการ สง่ เสริมการตลาด สามารถอธิบายการผันแปรการเขา้ ร่วมการแข่งขันเป็นประจาในการกลบั ไปเข้าร่วมการแข่งขัน ฟันดาบท่ีมีการรับรองในประเทศไทยได้ร้อยละ 17.8 (Adjust R Square = 0.178) ซ่ึงสามารถสร้างเป็นสมการ พยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐานได้ดังต่อไปน้ี ผลการวิเคราะห์มีค่าประสิทธ์ิสหสัมพันธ์พหุคูณ (Multiple R) เทา่ กบั .476 ค่าสัมประสิทธิก์ ารตดั สนิ ใจเท่ากบั .227 ค่าสัมประสทิ ธ์ิการตดั สนิ ใจทีป่ รบั แลว้ (Adjusted R Square)

เท่ากับ .178 และค่าความคลาดเคล่ือนมาตรฐานในการตัดสินใจ (Standard Error) เท่ากับ .72563 สามารถ เขียนสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบได้ดงั ตอ่ ไปนี้ การกลับไปเข้าร่วมการแข่งขันฟันดาบที่มีการรับรองในประเทศไทย = 0.614 + 0.598x ปัจจัยด้าน แรงจงู ใจภายใน - 0.294 ปจั จยั ด้านสถานทแี่ ละช่องทางจดั จาหน่าย + 0.254 ปัจจัยดา้ นการส่งเสรมิ การตลาด Y = 0.614+0.598 X1 - 0.294 X2 +0.254 X3 Y = การกลับไปเขา้ รว่ มการแข่งขันฟันดาบทีม่ ีการรับรองในประเทศไทย X1 = ปจั จัยดา้ นแรงจงู ใจภายใน X2 = ปจั จยั ด้านสถานทแี่ ละช่องทางจดั จาหนา่ ย X3 = ปจั จัยดา้ นการสง่ เสรมิ การตลาด จากสมการข้างต้นแสดงให้เหน็ ว่า ถ้าปัจจัยดา้ นแรงจูงใจภายในเพิ่มข้ึน 1 หน่วย การกลับไปเข้าร่วมการ แข่งขันฟันดาบท่ีมีการรับรองในประเทศไทยจะเพ่ิมขึ้น 0.598 หน่วย ถ้าปัจจัยด้านสถานท่ีและช่องทาง จัดจาหน่ายเพ่ิมข้ึน 1 หน่วย การกลับไปเข้าร่วมการแข่งขันฟันดาบท่ีมีการรับรองในประเทศไทยจะลดลง 0.294 หน่วย ถ้าปัจจัยด้านการสง่ เสริมการตลาดเปลี่ยนแปลงเพ่ิมข้ึน 1 หน่วย การกลบั ไปเข้าร่วมการแข่งขันฟัน ดาบท่ีมกี ารรับรองในประเทศไทยจะเพม่ิ ขนึ้ 0.254 หน่วย ไดส้ มการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐานดังตอ่ ไปนี้ Zการกลบั ไปเขา้ ร่วมการแขง่ ขันฟนั ดาบทมี่ กี ารรบั รองในประเทศไทย = 0.453 x ปัจจยั ดา้ นแรงจงู ใจภายใน - 0.302 ปจั จยั ด้าน สถานทแี่ ละช่องทางจัดจาหน่าย + 0.277 ปจั จัยดา้ นการสง่ เสรมิ การตลาด อภปิ รายผลการวจิ ยั การศึกษาคร้ังนี้เป็นการศึกษาปัจจัยท่ีมีผลต่อนักกีฬาฟันดาบในการกลับไปเข้าร่วมการแข่งขันฟันดาบที่ ได้รับการรับรองในประเทศไทยโดยการศึกษาพยายามท่ีจะหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระ คือ ปัจจัย แรงจูงใจ 2 ปัจจัย และปัจจัยด้านการส่วนประสมการตลาด 5 ปัจจัย รวมทั้งหมด 7 ตัวแปร กับตัวแปรตาม คือ การกลับไปเขา้ รว่ มการแข่งขนั ฟนั ดาบทม่ี ีการรบั รองในประเทศไทยโดยวดั ดว้ ยลิเคิรท์ สเกล (1 - 5) จากผลการศึกษาพบว่า มีตัวแปรอิสระจานวน 3 ตัวแปร ได้แก่ 1) ปัจจัยด้านแรงจูงใจภายใน 2) ปัจจัย ด้านสถานท่ีและช่องทางจัดจาหน่าย และ 3) ปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาด ท่ีมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสาคัญ ต่อการกลับไปเข้าร่วมการแข่งขันฟันดาบที่มีการรับรองในประเทศไทย โดยสามารถอภิปรายตัวแปรอิสระต่าง ๆ ที่มีผลต่อตวั แปรตามไดด้ ังต่อไปนี้ ปจั จยั ดา้ นแรงจงู ใจภายในเปน็ ปัจจัยดา้ นแรงจูงใจภายในตวั นักกฬี า โดยผลการศกึ ษาแสดงให้เหน็ ว่ากลุ่ม ตัวอย่างมีแรงจูงใจในเชิงการร่วมการแข่งขันฟันดาบว่าสามารถช่วยพัฒนาความสามารถเชิงกีฬาของตนเองให้ สูงข้ึนได้ ซึ่งในกลุ่มของนักกีฬาฟันดาบขาประจามักจะมีแรงจูงใจจากการต้องการพัฒนาทักษะความสามารถ ความแสวงหาความเป็นเลิศทางการกีฬาจึงพยายามท่ีจะเข้ารว่ มการแขง่ ขันท่ีเปิดโอกาสใหต้ นเองได้พัฒนาทักษะ จากการแขง่ ขนั จริง การประลองกบั ค่แู ข่งขนั ท่แี ตกต่างออกไปจากการซ้อมในชมรมของตนเอง ปัจจัยด้านสถานที่และช่องทางจัดจาหน่าย เป็นกลุ่มปัจจัยด้านส่วนประสมการตลาดที่มีความสัมพันธ์ อย่างมีนัยสาคัญต่อการกลับไปเข้าร่วมการแข่งขัน โดยทางนักกีฬาท่ีเข้าร่วมการแข่งขันจะให้ความสาคัญต่อ ความสามารถในการติดต่อผู้จัดการแข่งขันได้สะดวกและหลายช่องทาง เช่น เว็บไซต์ โทรศัพท์สายต รง หรือ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสอบถามข้อมูลและสมัครเข้าแข่งขัน โดยเฉพาะในช่วงหลังที่มีการติดตามข่าวสารได้

ทางสื่อสังคมออนไลน์ การโอนค่าสมัครผ่านแอปพลิเคชั่นของธนาคารท่ีมีความสะดวก รองลงมา เป็นท่ีตั้งสาหรับ จัดการแข่งขันอยู่บนสถานท่ีที่มีการคมนาคมสะดวก และสถานที่สาหรับจัดการแข่งขันมีท่ีจอดรถสะดวก ปลอดภัยและเพียงพอ เป็นประเด็นสาคัญในการตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันเนื่องจากนักกีฬาจะต้องขนอุปกรณ์ ส่วนบุคคล เช่น กระเปา๋ ใส่อปุ กรณ์ฟนั ดาบ ปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาดเป็นปัจจัยอีกกลุ่มหนึ่งท่ีมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสาคัญต่อการกลับไป เข้าร่วมการแข่งขันของนักกีฬาฟันดาบขาประจา การประชาสัมพันธ์รายการแข่งขนั ในเว็บไซต์ สือ่ สังคมออนไลน์ อย่างต่อเนื่องซ่ึงสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคขาประจาท่ีมีความ ต้องการในการข้อมูล (Cognitive Involvement) ท้ังกาหนดการแข่งขัน ผลการแข่งขัน การจัดมือวางอันดับ รองลงมา คือ มีการจัดกิจกรรมเสริม ต่าง ๆ ให้กับนักกีฬาในช่วงการแข่งขัน เช่น Welcome Party หรือจัดกิจกรรมสาหรับการผ่อนคลาย และฟ้ืนฟู สมรรถภาพนักกีฬา (การนวดผ่อนคลาย เป็นต้น) คือ มีการแจกคปู องส่วนลดอุปกรณ์กฬี าฟันดาบให้นกั กีฬา หรือ ส่วนลดค่าสมัครในกรณีชมรมมีนักกีฬาสมัครแข่งขันหลายคน ซ่ึงสอดคล้องกับการจูงใจผู้บริโภคขาประจาโดยมี การตอบแทนความจงรักภักดีและความผูกพันต่อกีฬาฟันดาบ โดยผลจากการวิจยั สอดคล้องกับผลการวิจัยปัจจัย ส่วนประสมทางการตลาดท่ีมีผลต่อพฤติกรรมการเข้าชมและเข้าร่วมการแข่งขันหรือเข้าร่วมกิจกรรม (Sukanya Maneein, & Gulapish Pookaiyaudom, 2018; Chayphim Arinhamapan, & Tepprasit Gulthawatvichai, 2018; Nattapan Urailuksamee, 2018; Unyamanee Parisutthiamorn, 2016) งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า กลุ่มนักกีฬาฟันดาบ (Mullin, Hardy, & Sutton, 2014) ให้ความสาคัญกับปัจจัย แรงจูงใจภายในตนเอง มองเห็นคุณค่าของการเข้าร่วมกิจกรรมมาจากความรักในตัวกีฬา การพัฒนาทักษะความ สามารถในกีฬาที่ชื่นชอบ การเกิดประสบการณ์ความภาคภูมิใจ ในส่วนของส่วนประสมทางการตลาดก็ไม่ได้ให้ ความสาคัญมากกับช่ือรายการแข่งขันหรือราคาค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมแต่ให้ความสนใจในเร่ืองความสะดวกใน การเข้าถึงการแข่งขัน ช่องทางการติดตอ่ ส่ือสาร การให้ข้อมูลที่ต้องการรวมไปถึงกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีสะท้อนให้เห็น ถึงความจงรักภักดีและความผูกพันที่มีต่อกีฬา โดยผลการวิจัยสอดคล้องกับงานวิจัยต่าง ๆ ท่ีศึกษาเกี่ยวกับผู้บริโภค ท่ีมีพฤติกรรมความถี่ในการใช้บริการที่แตกต่างกันก็จะมีแรงจูงใจจากส่วนประสมการตลาดท่ีแตกต่างกัน (Panlop Rattanapongpan, & Chaipat Lhorsiripat, 2016; Sudyod Chomsahai et al., 2019; Athibordee Srikhaewpong, 2020) ขอ้ เสนอแนะจากการวิจยั 1. สามารถนาข้อค้นพบในงานวิจัยไปเป็นแนวทางในการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดให้แก่ ผู้จัดการ แข่งขนั รายการฟนั ดาบทไ่ี ด้รบั การรับรองจากสมาคมกีฬาฟนั ดาบแห่งประเทศไทย 2. ผู้จัดการแข่งขันสามารถนาผลการวิจัยไปกาหนดแนวทางในการจัดการแข่งขันและสร้างแรงจูงใจ เพอ่ื ใหก้ ล่มุ แฟนขาประจาท่ีเป็นนักกีฬากล่มุ หลักของกีฬาฟนั ดาบยงั คงกลับมาเขา้ รว่ มการแขง่ ขัน References Athibordee Srikhaewpong. (2020). Comparative study of Chon Buri football club fans’ satisfaction with 7Ps marketing mix. Academic Journal of Thailand National Sports University, 12(1) January – April. 137 - 147.

Chayphim Arinhamapan, & Tepprasit Gulthawatvichai. (2018). Marketing mix needs of ballroom dancing alley users in Bangkok Metropolis. Journal of Sports Science and Health, 19(1), 83 - 95. Mullin, B. J., Hardy, S., & Sutton, W. A. (2014). Sport marketing (4th ed.). Illinois: Human Kinetics. Nattapan Urailuksamee. (2018). Marketing promotion affecting runners’ decision to participate in marathon tournament in Thailand (Master’s thesis), Chulalongkorn University. Panlop Rattanapongpan, & Chaipat Lhorsiripat. (2016). Relationship between frequency of sports /exercise and frequency of football Thailand premier league spectators at stadium. Academic Journal of Faculty of Sports Science, Chulalongkorn University, 17(1), 73 - 86. Sukanya Maneein, & Gulapish Pookaiyaudom. (2018). Satisfation in marketing mix towards decisionin choosing public parks in Bangkok for running. Academic Journal of Thailand National Sports University, 10(2), May – August. 65 - 76. Sudyod chomsahai, Yongyuth tansalee, Tanakon panyawong, Sarayuth Somboon, Boonchai Lertpiriyachaikul, & Narin Anantaklin. (2019). Decision factors in participating game in the 41st Institute Games of Thailand “Physical Education Institute Games”. Academic Journal of Thailand National Sports University, 11(1), January – April. 111 - 119. Thailand Fencing Federation. (2009). History of fencing. Retrieved from http://www.thaifencing.org/ Unyamanee Parisutthiamorn. (2016). Market factors affecting the return of service golf course. Eastern Region, 6(1), 69 - 78. Yamane, T. (1973). Statistics an Introduction Analysis. New York: Harper & Row. Received: June 9, 2020 Revised: July 20, 2020 Accepted: July 22, 2020