การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรับนกั กฬี า 148 o วธิ ี Ventilatory equivalent วิธีการน้ีจะหา Anaerobic threshold โดยใช้จุดตัดระหว่าง ค่า E/ O2 กับค่า E/ CO2 ในขณะ ออกกาลังกายท่ีเพิ่มระดับความหนักเป็น ลาดับขั้น ซึ่งจุดที่ตัดกันจะเกิดขึ้นโดยที่ อัตราส่วนระหว่าง E/ O2 มีค่าเพ่ิมขึ้น ในขณะที่อตั ราส่วนระหว่าง E/ O2 ลดลง โดยท่ีจุดดังกล่าวน้ี จะนามาใช้เป็นระดับ ของ Anaerobic threshold โดยแสดงได้ ดงั ภาพท่ี 4.9 ภาพที่ 4.9 การหา Anaerobic Threshold ด้วยวิธี Ventilatory Equivalent o วิธี Conconi’s test การทดสอบเพ่อื หาคา่ Anaerobic threshold วิธีการนี้ จะใช้อัตราการเต้นของหัวใจเป็นตัวแปรบ่งชี้ โดยจะทาการทดสอบด้วยการว่ิงบนลู่กล โดยทุก ๆ 200 เมตรจะปรับความเร็วเพิ่มข้ึน 0.5 กิโลเมตร/ช่ัวโมง จุดหักเหระหว่างอัตราการเต้นของหัวใจกับระดับความหนักในการออกกาลังกายขณะทดสอบจะเป็นจุดท่ีใช้ เป็นค่า Anaerobic threshold (Conconi et al; 1982) วธิ ีการน้ี เป็นวิธีการหา ค่า Anaerobic threshold ท่ีง่ายในการปฏิบัติ อย่างไรก็ดีวิธีการใช้อัตราการเต้นของหัวใจ ในการหา Anaerobic threshold จะให้ค่าที่ แม่นยาท่ีน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการ อ่ืน ๆ โดยวิธีการหา Anaerobic threshold โดยตามวิธี conconi’s test แสดงได้ดังภาพ ท่ี 4.10 ภาพท่ี 4.10 การหา Anaerobic threshold ดว้ ยวิธี Conconi’s test ที่มา: Maud and Foster (2006) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรบั นกั กฬี า 149 การประหยดั พลังงานในการวิ่ง การประหยัดพลังงานในการว่ิง (running economy: RE) เป็นความสามารถของร่างกายในว่ิงอย่าง ต่อเน่ืองและคงที่ โดยสามารถใช้ออกซิเจนในการสร้างพลังงานสาหรับการเคลื่อนไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ การประหยัดพลังงานในการวิ่ง เป็นตัวแปรหนึ่งท่ีสามารถใช้ประเมินสมรรถภาพด้านแอโรบิคได้ โดยสามารถ เรียกได้อีกอย่างว่า movement economy การทดสอบการประหยัดพลังงานในการว่ิง มีจุดเร่ิมต้นจากการ ทดสอบในนกั วิ่งทางไกล นักวิ่งมาราธอน และนักไตรกีฬา ซ่ึงจะทดสอบโดยการว่ิงบนลู่กล (treadmill) ควบคู่ กบั การวิเคราะห์ออกซิเจนขณะออกกาลังกายจากเคร่ืองวิเคราะห์ก๊าซ อย่างไรก็ดี ในนักกีฬาประเภทจักรยาน ทางไกล ก็จะใช้จักรยานวัดงาน (cycle ergometer) เป็นอุปกรณ์ในการทดสอบ หรือในกีฬาเรือพาย ก็จะใช้ อุปกรณ์กรรเชียงบก (rowing ergometer) เป็นอุปกรณ์ในการทดสอบ เพ่ือให้กลุ่มกล้ามเน้ือได้ทางาน สอดคลอ้ งกับลักษณะการเคล่ือนไหวทีใ่ ชแ้ ขง่ ขัน เปน็ ต้น หลักของการทดสอบการประหยัดพลังงานในการว่ิง ต้ังอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า การวิ่งที่ระดับความเร็ว เท่ากัน นักกีฬาท่ีสามารถใช้ออกซิเจนในอัตราที่ต่ากว่าจะมีประสิทธิภาพของการวิ่งที่ดีกว่า เนื่องจากการท่ี สามารถใช้ออกซิเจนได้ในปริมาณท่ีน้อยกว่านั้น จะเป็นการประหยัดพลังงานในการวิ่งได้ จากรายงาน ผลการวิจัยทางสรีรวิทยาการออกกาลังกาย พบว่า การประหยัดพลังงานในการวิ่ง จะมีความสัมพันธ์โดยตรง กับความสามารถในการใช้ออกซิเจนสูงสุด 2max) โดยการประเมินสมรรถภาพด้านแอโรบิคในกลุ่มนักว่ิง ทางไกล หรอื ในกลมุ่ นกั กีฬาประเภทท่ีตอ้ งใช้ความอดทนอยู่ในระดับสูง การประเมินจากค่า 2max อาจจะ เปรียบเทียบผลไม่เห็นความแตกต่างชัดเจนมากนัก เนื่องจากนักกีฬาจะมีระดับการฝึกซ้อมและสมรรถภาพ ทางกายท่ีใกล้เคียงกัน ดังนั้น ในกลุ่มนักกีฬาดังกล่าว จึงนิยมทดสอบการประหยัดพลังงานในการเคล่ือนไหว มาใชใ้ นการประเมนิ สมรรถภาพด้านแอโรบิคควบคู่กับการทดสอบความสามารถในการใช้ออกซิเจนสูงสุดด้วย ซงึ่ จะทาให้การประเมนิ สมรรถภาพด้านแอโรบิคมีประสิทธิภาพมากขึ้น (British Association of Sports and Exercise Science:BASES. 1997) สาหรับการทดสอบการประหยัดพลังงานในการวิ่งของนักกีฬานั้น สามารถทดสอบได้สองรูปแบบ คือ (Cook, 2009) 1. การทดสอบทรี่ ะดับความหนักขัน้ เดียว (single stage test) 2. การทดสอบที่ระดับความหนักหลายขั้น (multistage test) โดยรปู แบบการทดสอบทนี่ ิยมใช้โดยท่ัวไป จะนิยมทดสอบโดยใช้ลู่กลเป็นส่วนใหญ่ โดยมีตัวอย่างและ รายละเอยี ดของวธิ ีการทดสอบดังน้ี อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรับนักกฬี า 150 o การทดสอบทรี่ ะดับความหนักข้นั เดียว (single stage test) การทดสอบการประหยดั พลงั งานในการว่ิงรปู แบบน้ี จะใหน้ ักกีฬาทดสอบโดยการวิ่งบนลู่กลท่ีระดับ ความเรว็ 4.44 เมตร/วนิ าทีและความชัน 1% โดยนักกีฬาจะต้องวง่ิ อย่างตอ่ เนอ่ื ง จนอัตราการใช้ออกซิเจนเข้า สู่ภาวะคงท่ี (steady state 2) ซ่ึงโดยทั่วไปจะใช้เวลาอยู่ในช่วง 6-8 นาที ขึ้นอยู่กับระดับสมรรถภาพด้าน แอโรบคิ ทางของนักกีฬา นักกีฬาท่มี ีสมรรถภาพดา้ นแอโรบิคอยู่ในระดับท่ีดี ในขณะทาการทดสอบจะสามารถ เข้าสู่ภาวะคงที่ของอัตราการใช้ออกซิเจนโดยใช้ระยะเวลาท่ีเร็วกว่านักกีฬาที่มีสมรรถภาพด้านแอโรบิคอยู่ใน ระดับต่า (Jone and Doust, 1996) โดยหน่วยที่ใช้วัด จะออกมารูปของหน่วยอัตราการใช้ออกซิเจน คือ มิลลิลิตร/กิโลกรัม/นาที ซ่ึงค่าที่ได้จากการทดสอบ สามารถนามาประเมินสมรรถภาพด้านแอโรบิคจากเกณฑ์ มาตรฐานตอ่ ไปน้ี (Cook, 2009) ระดับสมรรถภาพ อัตราการใช้ออกซิเจน ด้านแอโรบิค (มลิ ลลิ ิตร/กโิ ลกรัม/นาที) ดีมาก ดี 44-47 ปานกลาง 47-50 ตา่ 50-55 55-58 อย่างไรก็ดี การทดสอบการประหยัดพลังงานในการวิ่งรูปแบบนี้ เหมาะท่ีจะใช้สาหรับนักกีฬาที่มี สมรรถภาพดา้ นแอโรบคิ และมรี ะดบั การแข่งขันอยู่ในระดับที่สูง โดยผลการทดสอบจะให้ค่าที่คลาดเคล่ือน ได้ หากนามาใชท้ ดสอบในกลมุ่ นักกีฬาระดับสมัครเล่นหรอื กลุ่มนกั กีฬาระดับเยาวชน o การทดสอบทีร่ ะดบั ความหนักหลายข้นั (multistage test) การทดสอบการประหยัดพลังงานในการว่ิงรปู แบบนี้ จะทดสอบโดยใช้ระดับความหนักที่มากกว่าหน่ึง ข้ัน โดยทั่วไปนิยมทดสอบทั้งหมด 4 ขั้นความหนัก คือ จะมีการทดสอบโดยให้นักกีฬาวิ่งที่ระดับความหนัก 60% 70% 80% และ 90% ของความสามารถในการใช้ออกซิเจนสูงสุด ( 2max) โดยการทดสอบใน รูปแบบน้ี จาเป็นที่จะต้องทดสอบหาค่า 2max มาก่อน จากน้ันนาค่า 2max ของนักกีฬาท่ีได้แปลงเป็น ปริมาณการใชอ้ อกซิเจนในขณะออกกาลังกาย ( 2) หน่วยมิลลิลิตร/กิโลกรัม/นาที ในระดับความหนักแต่ละ ข้นั เพอ่ื นามาหาความเรว็ ในการวง่ิ (เมตร/วินาที) ทต่ี ้องใชใ้ นการทดสอบที่ระดับความหนักต่าง ๆ ของนักกีฬา จากสมการต่อไปน้ี นกั กฬี าชาย 2 = (11.6 × Speed) + 0.72 นกั กีฬาหญิง 2 = (10.7 × Speed) + 3.30 อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรบั นกั กฬี า 151 การทดสอบรปู แบบนี้ จะใช้เวลาทัง้ หมด 16 นาที โดยในแตล่ ะระดบั ความหนักจะใช้ระยะเวลา ข้ันละ 4 นาที จากน้ันนาค่า 2 ที่ได้จากการทดสอบทั้ง 4 ระดับความหนัก ในนาทีท่ี 4 นาทีท่ี 8 นาทีที่ 12 และ นาทีท่ี 16 มาเปรียบเทยี บโดยการพลอ็ ตจุด ทีก่ าหนดให้แกน X เป็นปริมาณการใช้ออกซิเจน ส่วนแกน Y เป็น ระดับความเร็ว อนึ่ง สาหรับในกลุ่มนักกีฬาระดับเยาวชนท่ีอายุต่ากว่า 15 ปี จะทาการทดสอบโดยใช้ระดับ ความหนักขั้นละ 3 นาที รวมเวลาในการทดสอบทั้งหมดเท่ากับ 12 นาที ตัวอย่างการทดสอบการประหยัด พลังงานในการวิ่งรปู แบบใช้ความหนกั หลายขั้น แสดงได้ดงั ภาพท่ี 4.11 ภาพที่ 4.11 ตวั อยา่ งผลการทดสอบการประหยัดพลงั งานในการวิ่งในกลุ่มนักว่ิงระดบั ต่าง ๆ ท่ีมา: Cook (2009) จากภาพที่ 4.11 เป็นการทดสอบการประหยัดพลังงานในการว่ิงโดยเปรียบเทียบในกลุ่มของนักว่ิง ทางไกลจานวน 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มนักวิ่งชั้นเลิศ (elite runners) กลุ่มนักว่ิงที่สังกัดชมรมวิ่งเพื่อ สขุ ภาพ (club runners) และกลมุ่ นักว่ิงสันทนาการ (recreation runners) จะเห็นได้ว่า ในกลุ่มนักวิ่งช้ันเลิศ จะมคี ่าการประหยดั พลงั งานในการวง่ิ ทรี่ ะดบั ความหนักต่าง ๆ ดีท่ีสุด เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ ซ่ึงการประหยัด พลังงานในการวิ่งจะข้ึนอยู่กับระดับสมรรถภาพด้านแอโรบิคและประสบการณ์การฝึกซ้อมและระดับการ แข่งขัน ดงน้ันจึงสามารถสรุปได้ว่า นักกีฬาที่มีสมรรถภาพด้านแอโรบิคที่ดี จะมีค่าการประหยัดพลังงานใน การวิง่ อยู่ในระดบั ทดี่ ดี ว้ ย อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกฬี า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรบั นกั กฬี า 152 คาถามและปฏบิ ตั ิการท้ายบทท่ี 4 1. จงอธบิ ายความหมายและความสาคญั ของการทดสอบสมรรถภาพด้านแอโรบคิ 2. เพราะเหตุใด ความสามารถในการใช้ออกซิเจนสูงสุด (maximal oxygen O2 max) และแอนแอโรบิคเทรสโฮลล์ (anaerobic threshold: AT) และการประหยัดพลังงานในการว่ิง (running economy: RE) จึงสามารถทจ่ี ะนามาใช้ประเมินสมรรถภาพดา้ นแอโรบิคได้ 3. ให้ทาการทดสอบความสามารถในการใช้ออกซิเจนสูงสุด (maximal oxygen consumption: O2 max) โดยใชว้ ธิ ีการต่าง ๆ พร้อมบนั ทกึ ผลในตารางทก่ี าหนดให้ ต่อไปน้ี วธิ กี ารทดสอบ ผลการทดสอบ จัดอย่ใู นเกณฑ์ ……………… ……………… 1. Bruce Treadmill Maximal Exercise Test 2. YMCA Cycle Submaximal Test ……………… ……………… ……………… ……………… 2.1 Multistage model 2.2 Single stage model ……………… ……………… 3. ACSM Stepping Submaximal Exercise Test ……………… ……………… 3.1 Multistage model ……………… ……………… 3.2 Single stage model ……………… ……………… 4. 1-Mile Run Test 5 Non- Exercise Test - Johnson Non-Exercise Test Protocol จากผลการทดสอบท่ีได้ ให้เปรียบเทียบค่าความสามารถสูงสุดที่ได้ในแต่ละวิธีแสดงเป็นรูปแผนภูมิ แทง่ พร้อมทั้งสรปุ และอภปิ รายผลถึงความความแตกตา่ งของผลการทดสอบทไี่ ด้ในแตล่ ะวธิ ี 4. การทดสอบแอนแอโรบิคเทรสโฮลล์ (anaerobic threshold: AT) สามารถทดสอบได้โดยวิธี ใดบ้าง และแตล่ ะวธิ ีแตกต่างกนั อยา่ งไร 5. การทดสอบการประหยัดพลังงานในการว่ิง (running economy: RE) สามารถทดสอบได้โดยวิธี ใดบ้าง และแต่ละวิธีแตกตา่ งกนั อย่างไร อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกฬี า มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรับนกั กฬี า 153 บทที่ 5 การทดสอบสมรรถภาพด้านแอนแอโรบคิ (Anaerobic Fitness Testing) อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรบั นกั กฬี า 154 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 5 การทดสอบสมรรถภาพด้านแอนแอโรบคิ 1. หวั ขอ้ เนอ้ื หาประจาบท 1) ความหมายและความสาคัญของสมรรถภาพด้านแอนแอโรบิค 2) สรรี วิทยาท่เี กยี่ วข้องกับสมรรถภาพด้านแอนแอโรบิค 2) ประเภทของการทดสอบสมรรถภาพด้านแอนแอโรบิค 3) ตัวอยา่ งแบบทดสอบสมรรถภาพดา้ นแอนแอโรบคิ 2. วัตถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม หลังจากศกึ ษาจบบทน้ีแลว้ ผู้เรยี นสามารถ 1) อธิบายความหมายและความสาคญั ของสมรรถภาพด้านแอนแอโรบคิ 2) อธบิ ายสรีรวทิ ยาที่เกยี่ วข้องกบั สมรรถภาพดา้ นแอนแอโรบิค 3) อธิบายประเภทของการทดสอบสมรรถภาพดา้ นแอนแอโรบิค 4) อธบิ ายหลกั และวิธกี ารทดสอบสมรรถภาพด้านแอนแอโรบคิ 3. วิธีการสอนและกจิ กรรมการเรยี นการสอนประจาบท 1) การบรรยายจากเอกสารประกอบการสอน สไลด์นาเสนอบทเรียนจากไฟล์ Power point 2) การสาธติ วธิ ีการ และการฝึกทดลองปฏิบัติจรงิ 3) อภปิ รายประเด็นปญั หาและข้อสงสยั 4) การทดลองในปฏิบัติการท่ี 5 5) ทาแบบฝึกหดั ทา้ ยบทที่ 5 4. สือ่ การเรยี นการสอน 1) เอกสารประกอบการสอน 2) สไลดน์ าเสนอบทเรยี น เป็นไฟล์ Power point 3) ไฟลว์ ดิ ีโอจากเวบ็ ไซต์และแหลง่ ข้อมูลต่าง ๆ 4) แบบฝึกหดั ท้ายบท 5. การวัดผลและการประเมินผล 1) ตรวจสอบจากแบบฝึกหดั ท้ายบท 2) สังเกตความสนใจของผู้เรียน 3) สงั เกตจากการถามคาถามและตอบคาถามของผู้เรยี น 4) ตรวจสอบความถูกต้องของผลการทดลองในปฏิบัตกิ ารท่ี 5 อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรับนักกฬี า 155 บทที่ 5 การทดสอบสมรรถภาพด้านแอนแอโรบิค กีฬาและการออกกาลังกายที่ต้องมีการเคล่ือนไหวอย่างเฉียบพลันทันทีทันใด หรือการเคลื่อนไหวที่ ตอ้ งใช้ความสามารถหรอื แรงพยายามสูงสุดในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เช่น การกระโดด การทุ่ม การพุ่ง และการ ว่ิงด้วยความเร็วสูงสุด กล้ามเน้ือจะใช้พลังงานจากกระบวนการสังเคราะห์พลังงานแบบแอนแอโรบิค (anaerobic system) ซึง่ เป็นการสังเคราะหพ์ ลงั งานแบบไม่ใชอ้ อกซิเจนเปน็ หลกั โดยในขณะแข่งขันกีฬาหรือออกกาลังกายทั่วไป ส่วนใหญ่จะต้องใช้พลังงานจากแหล่งพลังงาน มากกว่า 1 ระบบ จะมีเพียงกฬี าบางชนดิ เทา่ นั้นท่อี าศยั พลงั งานจากระบบเดียว ซึ่งในส่วนของการใช้พลังงาน แบบแอนแอโรบิค ร่างกายจะมีการใช้ระบบพลังงานแบบไม่ใช้ออกซิเจนเข้ามาเก่ียวข้อง ในสัดส่วนท่ีแตกต่าง กันไปตามความต้องการของแต่ละชนิดกีฬาหรือการออกกาลังกาย ดังนั้นสมรรถภาพด้านแอนแอโรบิคของ นกั กีฬาแตล่ ะประเภทก็จะแตกต่างกนั ด้วยเช่นกัน ซ่ึงการทดสอบสมรรถภาพด้านแอนแอโรบิคจะช่วยให้ทาให้ สามารถประเมินจุดเด่นและจุดด้อยของนักกีฬาหรือผู้ท่ีออกกาลังกายท่ีต้องใช้พลังงานในระบบแอนแอโรบิค เป็นหลักได้ โดยข้อมูลหรือผลการทดสอบที่ได้ จะนามาใช้ในการวางแผนการฝึกซ้อมกีฬาและการออกกาลัง กายให้มีประสทิ ธภิ าพมากยง่ิ ข้ึน ความหมายและความสาคญั ของสมรรถภาพด้านแอนแอโรบคิ สมรรถภาพแอนแอโรบิค (anaerobic fitness) หมายถึง ความสามารถสูงสุดในการทางานของ กลา้ มเน้อื ในขณะออกกาลังกายหรือเล่นกีฬาท่รี ะดับความหนกั สงู ในชว่ งระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งสมรรถภาพแอน แอโรบิค จะขน้ึ อยู่กบั ประสทิ ธภิ าพของรา่ งกายในการสร้าง ATP สาหรับการหดตัวของกล้ามเน้ือในการเคลื่อน จากการสังเคราะหพ์ ลงั งานในกระบวนการทีไ่ มใ่ ชอ้ อกซเิ จน (anaerobic system) (Martens, 2004) โดยทัว่ ไป ในการแข่งขนั กฬี าหรือการออกกาลังกายท่ีใช้ระดับความหนักท่ีสูง ในระยะส้ัน ๆ ไม่เกิน 2 นาที กล้ามเนื้อจะหดตัวทางานโดยจะอาศัยพลังงานจากแหล่งพลังงานที่ไม่ใช้ออกซิเจน โดยจะเร่ิมจาก ร่างกายจะใช้ adenosine triphosphate (ATP) และ creatine phosphate (CP) ซ่ึงให้พลังงานไม่เกิน 10 วินาทีมาใช้ พลังงานท่ีได้จากระบบน้ีเรียกว่า immediate energy system จากน้ัน glycolytic pathway ซึง่ เปน็ กระบวนการการสลายพลังงานจากไกลโคเจนในกลา้ มเน้อื โดยให้พลงั งานจากการสลายพันธะ ATP ไป เป็น Adenosine diphosphate (ADP) และ Phosphate (P) โดยกระตุ้นการทางานของเอนไซม์ ATPase จะเข้ามามบี ทบาทแทน นอกจากนี้ร่างกายจะสร้างพลังงาน ATP ข้ึนมาใหม่โดยรวมตัวกันระหว่าง CP ท่ีมีอยู่ ในกล้ามเนือ้ กบั ADP แต่อยา่ งไรกต็ ามปริมาณ CP ในกล้ามเนือ้ นัน้ มีไม่มากและจะถูกใช้อย่างรวดเร็ว พลังงาน อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรับนกั กฬี า 156 ท่ีได้จากระบบน้เี รียกวา่ short-term energy system และหากยังคงออกกาลงั กายต่อไปร่างกายจะมีการผลิต พลังงานจากแหล่งพลังงานที่ใช้ออกซิเจน (long-term energy system, aerobic) ต่อไป (Brook et.al, 2004) สาหรับกระบวนการสังเคราะห์พลังงานแบบแอนแอโรบิค ซ่ึงเป็นการสังเคราะห์พลังงานที่ไม่ใช้ ออกซิเจนนั้น จะแบ่งออกเป็น 2 ระบบตามระดับความหนักและระยะเวลาของกิจกรรมที่ใช้ในการออกกาลัง กายหรือแข่งขันกีฬา ประกอบด้วยระบบ ATP-PC system หรือเรียกอีกอย่างได้ว่า Anaerobic alactic system เป็นระบบพลังงานที่สามารถให้พลังงานได้อย่างเร็ว แต่ปริมาณของพลังงานที่ได้มีจากัด ดังน้ัน พลงั งานทไ่ี ดจ้ ากระบบนี้จงึ สนันสนนุ การออกกาลังกายและการทางานหนัก ๆ ได้ประมาณ 3-5 วินาที และอีก ระบบหน่ึง คือ ระบบ Glycolysis system หรือ เรียกอีกอย่างได้ว่า Anaerobic lactic system ในระบบน้ี สามารถท่ีจะให้พลังงานได้ช้ากว่าระบบแรกแต่ปริมาณพลังงานที่ได้มากกว่า ดังนั้นพลังงานที่ได้จึงสนับสนุน การออกกาลังกายและการทางานหนักอย่างต่อเน่ือง ได้ประมาณ 1-3 นาที แต่ข้อเสียของการสังเคราะห์ พลังงานในระบบนี้คือ จะมีกรดแลคติคเกิดขึ้นมาก ซึ่งเป็นผลให้ประสิทธิภาพการทางานของกล้ามเนื้อลดลง (Power and Howley, 2001) สรีรวทิ ยาท่เี ก่ียวขอ้ งกับสมรรถภาพด้านแอนแอโรบคิ ในขณะแข่งขันกีฬาหรืออกกาลังกาย กล้ามเนื้อต้องการสารอาหารเพ่ือใช้เป็นพลังงานในการ เคล่ือนไหวแตกต่างกันออกไปตามชนิดและประเภทของกิจกรรมนั้นๆ ร่างกาย จาเป็นที่จะต้องใช้พลังงานใน การหดตัวของกล้ามเนื้อเพือ่ ใหร้ ่างกายเกิดการเคล่ือนไหวตามที่ต้องการได้ โดยพลังงานท่ีร่างกายนามาใช้ก็จะ ขน้ึ อยูก่ ับลกั ษณะของรปู แบบกจิ กรรม ความหนกั และระยะเวลาของกิจกรรมท่ีใช้ในกีฬาชนิดน้ัน ๆ โดยท่ัวไป ระบบท่เี ก่ียวข้องกับการเคล่อื นไหว การออกกาลังกายหรือการเล่นกฬี าจะแบ่งได้ 3 ระบบใหญ่ๆ ดังนี้คอื o Anaerobic alactic system หรือ ATP-CP system เป็นระบบพลังงานท่ีมีการดึง Adenosine triphosphate (ATP) และ Creatine phosphate (CP) ท่ีสะสมอยู่ในกล้ามเน้ือมาใช้เป็นพลังงาน ดังนั้นระบบนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ATP-CP system เป็นระบบท่ี รา่ งกายสามารถสารองพลังงานได้โดยตรง โดยที่ไม่ต้องใช้ออกซิเจนในการสังเคราะห์พลังงานและไม่ก่อให้เกิด กรดแลคติก เม่ือใดก็ตามที่ร่างกายจะต้องเคลื่อนไหวด้วยความเร็วหรือความสามารถสูงสุด ระบบพลังงาน ดังกล่าวนี้จะถูกนามาใช้เพ่ือการเคลื่อนไหว ซ่ึงสามารถสารอง ATP ได้ประมาณ 6-8 วินาที เนื่องจากปริมาณ ของสาร Creatine phosphate จะมเี วลาใช้จากดั และหมดลงในระยะเวลาอันสั้น การสารองพลังงานโดยการ เปล่ียนสาร Creatine phosphate ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเม่ือเร่ิมต้นออกกาลังกาย หรือมีการเคลื่อนไหวอย่าง อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรับนักกฬี า 157 เฉียบพลันทันทีทันใด และการสร้างสาร Creatine phosphate กลับคืนข้ึนมาใหม่จะใช้เวลาเพียงเล็กน้อย ประมาณ 3-5 นาที ระบบพลังงานชนิดนี้ จัดเป็นระบบพลังงานเริ่มต้นที่มีการใช้เป็นลาดับแรกสาหรับทุก กิจกรรมการเคลื่อนไหวและการออกกาลังกายในทุกระดับความหนัก ซ่ึงตัวอย่างกิจกรรมท่ีใช้ระบบพลังงานน้ี ในการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน ได้แก่ การยกน้าหนัก กรีฑาประเภทลานต่าง ๆ การว่ายน้า 50 เมตร การว่ิง 100 เมตร เปน็ ต้น (Brook et.al, 2004) o Anaerobic lactic system หรือ Glycolysis system เป็นระบบพลังงานที่ร่างกายจะนามาใช้หลังจากท่ีได้ใช้ระบบพลังงานแบบ Anaerobic alactic โดย ถ้ากล้ามเนื้อจะต้องทางานด้วยความพยายามอย่างหนักและต่อเน่ือง โดยใช้เวลาไม่เกิน 1-2 นาที ระบบ พลังงานแบบ Anaerobic lactic (LA) จะถกู นามาใช้ จดั เป็นระบบพลังงานทไี่ ม่ตอ้ งใช้ออกซิเจนในการสารอง พลังงาน ATP โดยพลังงานระบบนมี้ ีขีดความสามารถในการทางานอยู่ในระดับสูง เป็นระบบพลังงานท่ีนามาใช้ ในกรณฉี กุ เฉิน เชน่ มกี ารทางานหนักรวดเรว็ และยาวนาน พลงั งานหลักจะมาจากกระบวนการ Glycolysis ใน ขณะเดียวกันผลจากการทางานในระบบนี้จะก่อให้เกิดของเสีย (waste products) ข้ึน เนื่องจากออกซิเจนไม่ สามารถนาไปใช้ได้ทัน จึงจัดเป็นระบบการทางานท่ีไม่ใช้ออกซิเจน โดยจะมีกรดแลคติกหรือแลคเตทที่สะสม อยู่ในเซลล์กล้ามเน้ือและในเลือด ซึ่งจะเป็นสาเหตุที่สาคัญท่ีทาให้ความสามารถในการทางานของกล้ามเนื้อ ลดลง หรือมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเกิดข้ึน โดยการเพ่ิมข้ึนของแลคเตทนั้น จะมีผลต่อองค์ประกอบที่ จาเป็นในการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างน้อยสองอย่าง คือ ลดความสามารถในการทางานของเอนไซม์ Phosphofructokinase ซึ่งเป็นเอนไซม์สาคัญของกระบวนการ Glycolysis และอีกประการหน่ึงคือการ แทรกแซงการทางานของแคลเซียม (Ca2+) ในกระบวนการ Cross-bridge ของกล้ามเน้ือ โดยการปูองกันการ จับของ Ca2+ กับ Troponin-C ในกระบวนการหดตัวของกล้ามเน้ือ ดังน้ันโดยผลผลิตของกระบวนการ Glycolysis จะนาไปสู่การลดลงของการสารองพลังงาน ATP และลดแรงในการหดตัวของกล้ามเน้ือ ตัวอย่าง กิจกรรมท่ีร่างกายต้องใช้ระบบพลังงานน้ีในการเคลื่อนไหว ได้แก่ การว่ิง 400 เมตร การว่ายน้า 100 เมตร เปน็ ต้น (Brook et.al, 2004) o Aerobic system ในการออกกาลังกายที่ต้องใช้เวลามากกว่า 2 นาทีขึ้นไป พลังงานหลักท่ีถูกนามาใช้ในการเคล่ือนไหว ท่ีสาคัญได้แก่ ระบบพลังงานแบบใช้ออกซิเจน แหล่งที่มาของระบบพลังงานดังกล่าว ได้มาจากคาร์โบไฮเดรต และไขมันซ่ึงทาปฏิกิริยาสันดาป (oxidation) กับออกซิเจนเพื่อแปรสภาพเปล่ียนเป็นพลังงานในการ เคลือ่ นไหวตามที่ตอ้ งการ การออกกาลงั กายท่ีต่อเนอ่ื งสม่าเสมอและไม่หนักจนเกินไป ระบบพลังงานชนิดนี้จะ ถูกนามาใช้เป็นพลังงานหลัก โดยไม่ก่อให้เกิดแลคเตทขึ้น ซ่ึงการเคลื่อนไหวท่ีต้องใช้พลังงานในระบบน้ี จะ ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของระบบไหลเวียนเลือด ระบบหายใจและความสามารถของเซลล์กล้ามเนื้อเองท่ี จะ อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรับนกั กฬี า 158 สามารถนาออกซิเจนไปสร้างพลังงานได้ อย่างไรก็ตามในขณะที่ร่างกายมีเคล่ือนไหวแม้จะมีออกซิเจนอย่าง เพียงพอ กระบวนการเผาผลาญก็อาจจะถูกจากัดทางด้านคุณภาพของเอนไซม์และไมโทคอนเดรีย ซึ่งเป็น ปัจจัยสาคญั ในการผลติ พลงั งาน และถ้ามจี านวนจากดั จะทาให้ปรมิ าณการผลิตพลงั งานลดลง ระบบพลังงานน้ี จะใช้คารโ์ บไฮเดรตและไขมันท่ีเก็บสะสมในรา่ งกายเปน็ ตน้ ตอสาคัญ การสารองพลงั งานจากท้ังสองสารอาหาร ทง้ั สองประเภทน้ี จะทางานในเวลาเดียวกัน แต่จะแบ่งสัดส่วนการสารองพลังงาน โดยจะข้ึนอยู่กับระยะเวลา และระดับความหนักของกิจกรรมการเคลื่อนไหวน้ัน ๆ โดยตัวอย่างกิจกรรมท่ีร่างกายต้องใช้ระบบพลังงาน ชนิดน้ีอย่างชัดเจนได้แก่ การวิ่งมาราธอน การว่ายน้าระยะไกล และจักรยานทางไกล เป็นต้น (Brook et.al, 2004) สงิ่ ทจ่ี ะเป็นข้อบ่งช้วี ่าการออกกาลงั กายหรือการเล่นกีฬาจะใช้พลังงานแบบแอนแอโรบิคหรือแอโรบิค ไดแ้ ก่ ระดับความหนักและระยะเวลาในการปฏิบัติกิจกรรมนั้น ๆ อย่างเต็มที่ โดยความสัมพันธ์ระหว่างระดับ ความหนกั และระยะเวลาของกิจกรรมกบั การทางานของแหล่งพลังงานระบบต่าง ๆ แสดงไดด้ ังภาพที่ 5.1 ภาพท่ี 5.1 ความสมั พันธร์ ะหว่างระดบั ความหนักและระยะเวลาของการออกกาลงั กายในระบบต่าง ๆ ที่มา: Hoffman et al. (2002) อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรับนกั กฬี า 159 ในกฬี าแต่ละประเภท จะมีสดั ส่วนการใช้พลังงานในระบบแอโรบคิ และระบบแอนแอโรบคิ แตกต่างกัน ไป โดยสดั สว่ นของการใช้พลงั งานของกีฬาต่าง ๆ จะสอดคล้องกบั ระดับความหนักและระยะเวลาของกจิ กรรม ที่ใชซ้ ึง่ แสดงได้ดงั ภาพต่อไปนี้ ภาพที่ 5.2 สดั สว่ นของการใชพ้ ลงั งานในระบบต่างๆ ตามระดบั ความหนักและระยะเวลาของกจิ กรรม ทีม่ า: McArdle et al. (2010) อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกฬี า มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรับนักกฬี า 160 ประเภทของการทดสอบสมรรถภาพดา้ นแอนแอโรบคิ การทดสอบสมรรถภาพด้านแอนแอโรบิค จะเป็นการทดสอบความสามารถและประสิทธิภาพของ ร่างกายในการสงั เคราะห์พลังงานระบบแอนแอโรบิค โดยนิยมแบ่งการทดสอบออกเป็น 2 รูปแบบ ตามระดับ ความหนกั และระยะเวลาท่ีใช้ในการทดสอบ ได้แก่ การทดสอบรูปแบบ Immediate-term test และ Short- term test โดยมรี ายละเอยี ดดงั ต่อไปน้ี o Immediate-term test เป็นรูปแบบการทดสอบท่ีต้องให้นักกีฬาออกแรงหรือความพยายามสูงสุดแบบฉับพลับทันทีทันใด หรือใช้ในระยะเวลาท่ีสั้น 3-5 วินาที โดยกิจกรรมท่ีนิยมนามาทดสอบในรูปแบบนี้ได้แก่การกระโดด (jumping) และการวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด (sprinting) การทดสอบรูปแบบน้ีจะเป็นการทดสอบเพื่อประเมิน ความสามารถในการใช้พลังงานระบบ ATP-PC system หรือ Anaerobic alactic system ซึ่งจะบ่งชี้ถึง ปริมาณ ATP และ PC ที่สะสมในกล้ามเน้ือ รวมถึงความสามารถในการใช้ ATP และ PC ขณะออกกาลังกาย อย่างหนักในเวลาส้นั ๆ (Power and Howley, 2001) ตัวอย่างแบบทดสอบรูปแบบ Immediate-term test ได้แก่ การทดสอบยืนกระโดดสูง (vertical jump test) การทดสอบว่ิงขึ้นบันได (Margaria–Kalamen power test) และการทดสอบว่ิงเร็ว 30 เมตร (Sprint 30 m) เป็นตน้ ซึ่งตวั แปรท่ีวดั ได้จะใชห้ นว่ ยของ กาลงั (power) จากสูตรต่อไปน้ี Power = Work / Time = (Force X Distance) / Time โดย Power คอื กาลังหรือพลัง Work คอื งานที่ทาได้ ซงึ่ หาไดจ้ ากผลคูณแรงกบั ระยะทาง Distance คอื ระยะทางท่ที าได้ Time คือ ระยะเวลาที่ทาได้ โดยจะแสดงหน่วยที่ใช้ในการวัด เช่น วัตต์ (watts) กิโลกรัมเมตร/นาที (kgm/min) และจูลต่อวินาที (joules/second) เป็นต้น ซ่ึงค่าพลังที่ได้จากการทดสอบ อาจจะใช้คาว่า พลังอนากาศนิยม (anaerobic power) ซ่งึ เป็นพลงั สูงสดุ ในการใช้พลงั งานระบบแอนแอโรบคิ อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกฬี า มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรบั นักกฬี า 161 o Short-term test เป็นรูปแบบการทดสอบที่ต้องให้นักกีฬาออกแรงหรือใช้ความพยายามอย่างต่อเน่ืองได้ตลอดช่วงของ การออกกาลังกายอย่างหนักในระยะเวลา 20-60 วินาที โดยใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานท่ีไม่ใช้ออกซิเจนใน ระบบ Glycolysis system หรือ Anaerobic lactic system โดยกิจกรรมที่นิยมนามาทดสอบในรูปแบบน้ี ได้แก่การกระโดดซ้า ๆ (repeated jumping) การวิ่งที่ใช้ระยะเวลา 20-60 วินาที หรือการว่ิงด้วยความเร็ว สูงสุดซ้า ๆ หลาย ๆ เท่ียว (repeated sprint ability test) เป็นต้น ซึ่งในขณะทาการทดสอบความสามารถ ด้านแอนแอโรบิคในการทดสอบรูปแบบนี้ ร่างกายจะมีการสะสมกรดแลคติคในกล้ามเนื้อและเลือดปริมาณ มาก ดังนั้นระดับความเข้มข้นของกรดแลคติคจึงเป็นตัวบ่งช้ีถึงการทางานของระบบ Short term energy system ได้ (Power and Howley, 2001) โดยการทดสอบรปู แบบ Short-term test สามารถแบง่ การทดสอบย่อยออกเป็นรปู แบบตามกิจกรรม ทนี่ ามาใช้ทดสอบดงั น้ี (Australian Institute of Sports, 2013) 1 รูปแบบ Single-bout exercise test เป็นการทดสอบโดยใช้กิจกรรมการทดสอบท่ีต้องทา แบบต่อเนื่องด้วยความหนักสูงสุดในระยะเวลาท่ีกาหนด เช่น การทดสอบโดยการปั่นจักรยานวัดงาน 30 วินาทีตามวิธีของ สถาบันวินเกท (30 second cycle ergometry wingate test) หรือการทดสอบว่ิง 400 เมตร การวิ่งกลับไป-กลับ 300 หลา และการทดสอบกระโดดซ้า 30-90 วินาที เป็นต้น ซ่ึงการทดสอบ สามารถเลอื กทดสอบไดใ้ นทงั้ หอ้ งปฏิบัตกิ ารและการทดสอบภาคสนาม 2 รูปแบบ Repeated-sprint ability test เป็นรูปแบบการทดสอบท่ีนักกีฬาจะต้องทดสอบด้วย ความสามารถสงู สุด โดยทาเป็นเทย่ี ว มีช่วงเวลาพักสน้ั ๆ ประมาณ 10-20 วนิ าที เช่นการทดสอบตามวิธี The Running based Anaerobic Sprint test (RAST test) ซ่ึงจะเป็นการทดสอบโดยให้นักกีฬาวิ่งด้วยความเร็ว สงู สุดในระยะ 35 เมตร จานวน 6 เท่ียว พักระหว่างเที่ยว 10 วินาที หรือการทดสอบ The running shuttle sprint ability test (RSSA Test) ซ่ึงเป็นการทดสอบโดยให้นักกีฬาว่ิงไป-กลับ ระยะ 20 เมตร จานวน 6 เท่ียว พักระหว่างเที่ยว 20 วินาที เป็นต้น ซ่ึงการทดสอบรูปแบบ repeated sprint ability test ส่วนใหญ่ นิยมนามาใชใ้ นกีฬาประเภททมี หรือกีฬาท่ีต้องมีการวิ่งซา้ หลาย ๆ เท่ียว (multi sprint sports) เช่น ฟุตบอล รักบี้ฟุตบอล ฟุตซอล และบาสเกตบอล เป็นต้น ตัวแปรท่ไี ด้จากการทดสอบในรปู แบบ Short-Term Test ซึ่งเป็นการประเมินความสามารถในการใช้ พลังงานในระบบ Glycolysis system โดยการให้นักกีฬาทดสอบโดยใช้ความพยายามอย่างต่อเน่ืองได้ตลอด ช่วงของการออกกาลังกายอย่างหนักในระยะเวลาท่ีกาหนด อาจจะใช้คาว่า สมรรถภาพอนานากาศนิยม (anaerobic capacity) ซ่ึงเป็นความสามารถในการรักษาระดับการพลังงานในระบบแอนแอโรบิคได้อย่าง ตอ่ เน่ืองตามและมีประสิทธิภาพ อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกฬี า มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรับนักกฬี า 162 จากรูปแบบของการทดสอบสมรรถภาพดา้ นแอนแอโรบิค ซ่ึงแบ่งได้ 2 รูปแบบตามระยะเวลาที่ใช้ ซ่ึง ได้แก่รูปแบบ Immediate-term test และ Short-term test นั้น บางแบบทดสอบที่นามาใช้ก็สามารถที่จะ ประเมินได้ทั้งระบบ ATP-PC system และระบบ Glycolysis System เช่น แบบทดสอบ 30 second cycle ergometry wingate test และแบบทดสอบ The running based anaerobic sprint test (RAST test) เป็นต้น ในขณะที่บางแบบทดสอบก็สามารถประเมินได้เฉพาะระบบ ATP-PC system เท่าน้ัน เช่น แบบทดสอบกระโดดสงู (vertical jump test)หรือแบบทดสอบว่ิงเร็ว 30 เมตร เป็นต้น และบางแบบทดสอบ ก็จะสามารถประเมินได้เฉพาะระบบ Glycolysis system เช่นแบบทดสอบวิ่ง 400 เมตร แบบทดสอบวิ่ง กลบั ไป-กลับ 300 หลา และแบบทดสอบกระโดดซ้า 30-90 วนิ าที เปน็ ต้น อยา่ งไรกด็ ี ในการประเมนิ สมรรถภาพด้านแอนแอโรบิคของนักกีฬา ควรจะต้องทดสอบให้ครอบคลุม ทงั้ ระบบ ATP-PC system และระบบ Glycolysis system โดยรูปแบบของการทดสอบสมรรถภาพด้านแอน แอโรบคิ สามารถสรุปได้จากภาพตอ่ ไปนี้ ภาพที่ 5.3 รปู แบบของการทดสอบสมรรถภาพด้านแอนแอโรบิค อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรับนักกฬี า 163 ในการทดสอบสมรรถภาพด้านแอนแอโรบิคน้ัน จะเป็นการทดสอบท่ีจะต้องให้นักกีฬาออกแรงด้วย ความสามารถสูงสุดที่ระดับความหนักสูง ซ่ึงผลการทดสอบท่ีได้จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับกับปัจจัยทาง สรีรวิทยาในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ซ่ึงปัจจัยท่ีมีผลต่อการทดสอบสมรรถภาพด้านแอนแอโรบิค มีดังน้ี (Power and Howley, 2001) 1. อายุ สมรรถภาพด้านแอนแอโรบิค จะมีค่าสูงสุดในช่วงอายุ 15-30 ปี และมีค่าค่อนข้างต่าในเด็ก เม่ือเปรียบเทียบกับวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากเด็กมีปริมาณไกลโคเจนในกล้ามเน้ือค่อนข้างน้อย และมีอัตราการสลายไกลโคเจนขณะออกกาลังกายน้อย 2. เพศ เพศชายในทุกวัยจะมีสมรรถภาพดา้ นแอนแอโรบคิ สูงกว่าเพศหญิง เนอ่ื งจากความแตกตา่ ง ในเรือ่ งชนิดของใยกล้ามเน้ือและการตอบสนองของ Catecholamine ขณะทาการทดสอบโดยเฉพาะอยา่ งย่ิง epinephrine ซึ่งเปน็ ฮอร์โมนทม่ี ผี ลต่อสมรรถภาพทางกายแบบไม่ใช้ออกซเิ จน เน่ืองจากมบี ทบาทสาคัญใน การกระตนุ้ การสลายไกลโคเจนในกล้ามเนื้อ ดังนน้ั เพศชายจึงมีแรงหดตวั ของกล้ามเนือ้ สูงกว่าเพศหญิง 3. สดั สว่ นของใยกล้ามเนื้อ ผู้ที่มสี ัดสว่ นของใยกล้ามเนื้อที่หดตวั เร็ว (fast twitch fiber) จานวนมาก จะมีการเคล่ือนไหวท่รี วดเรว็ ดงั น้ันทดสอบสมรรถภาพดา้ นแอนแอโรบคิ จึงมคี ่าสงู 4. การอบอุ่นร่างกาย เน่ืองจากการอบอุ่นร่างกายทาให้อุณหภูมิของใยกล้ามเนื้อสูงขึ้น กล้ามเน้ือหด ตัวได้เรว็ ขน้ึ จึงสง่ ผลให้ค่าท่ีได้จากการทดสอบสมรรถภาพดา้ นแอนแอโรบิค เพิ่มขน้ึ 6. การฝึกซ้อม มผี ลในการเพิ่มขนึ้ ของมวลและกาลงั กล้ามเน้อื รวมท้งั เพ่มิ ความสามารถในการสะสม ไกลโคเจนในกลา้ มเนื้อมากข้ึน เพราะมีการเพ่มิ ข้ึนของเอนไซม์ Phosphofructokinase (PFK) ซึ่งมบี ทบาท สาคัญในการออกกาลังกายท่ีต้องใช้พลงั งานในระบบแอนแอโรบิค 7. อาหารประเภทคารโ์ บไฮเดรตซงึ่ เปน็ ต้นตอของการสร้างไกลโคเจนในรา่ งกายจะช่วยเพิ่มคา่ จาก การทดสอบสมรรถภาพด้านแอนแอโรบิคได้ 8. คาเฟอีนที่มีอยู่ในเมล็ดกาแฟ ใบชา ช็อกโกแลตหรือเคร่ืองด่ืมท่ีมีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น เคร่ืองดื่มชูกาลัง น้าอัดลม จะส่งผลทาให้ค่าท่ีได้จากการทดสอบสมรรถภาพด้านแอนแอโรบิค เพิ่มข้ึนเพราะ คาเฟอนี จะมผี ลในการกระตนุ้ การสลายไขมนั และเกบ็ สะสมไกลโคเจนในร่างกายเพิ่มข้ึน อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรบั นกั กฬี า 164 ตวั อยา่ งแบบทดสอบสมรรถภาพด้านแอนแอโรบิค แบบทดสอบที่ใช้สาหรับการทดสอบและประเมินสมรรถภาพด้านแอนแอโรบิคนั้น มีด้วยกันหลายวิธี ทั้งแบบทดสอบท่ีใช้ในรูปแบบ Immediate-term test และรูปแบบ Short-term test โดยมีทั้งแบบทดสอบ ที่ทดสอบในห้องปฏิบัติการและแบบทดสอบที่ในภาคสนาม ซึ่งการเลือกแบบทดสอบในการนาไปใช้ประเมิน สมรรถภาพด้านแอนแอโรบิคนน้ั ต้องคานงึ ถึงกลุ่มนักกฬี าท่จี ะทดสอบ รวมถึงความสอดคล้องกับประเภทกีฬา ท่ีจะใชใ้ นการทดสอบเปน็ ต้น โดยตวั อย่างแบบทดสอบทนี่ ิยมใช้มีรายละเอยี ดวธิ กี ารดงั น้ี o รปู แบบ Immediate-term test การทดสอบสมรรถภาพด้านแอนแอโรบิครูปแบบน้ี จะเป็นการทดสอบท่ีมุ่งเน้นพลังอนากาศนิยม (anaerobic power) ซึ่งเป็นตัวแปรที่บ่งช้ีการสร้างพลังงานในระบบ ATP-PC system โดยตัวอย่างของการ ทดสอบรปู แบบน้ี มีดังนี้ Vertical Jump Test วตั ถุประสงค์ เพื่อหาคา่ Anaerobic power จากการทดสอบกระโดดสงู อปุ กรณ์ ผนังท่มี ีระดบั ความสงู หรอื อุปกรณ์สาหรบั ทดสอบ ซงึ่ มี วิธกี าร ลักษณะเปน็ แกนหมนุ ตรงกลางแล้วมแี ทง่ ไมท้ ี่กาหนด ระดับความสูงไว้หลายระดับ ใหผ้ ู้เขา้ รบั การทดสอบยืนเท้าคู่ หนั ขา้ งใหฝ้ าผนงั มีระดบั ความสงู พร้อมเหยียดแขนตรงแนบฝาผนังทาการวัด ระยะความสงู จากพน้ื ถงึ ปลายน้ิวที่เหยียด จากน้ันผู้เข้า รับการทดสอบย่อตัวลง และพยายาม กระโดดในแนวดงิ่ ให้สงู ทส่ี ดุ เทา่ ท่จี ะทาได้ โดยทาการ ทดสอบทัง้ หมด จานวน 2 ครง้ั พักระหว่างคร้ัง 2 นาที การบันทกึ ผล หาผลต่างของความสูงที่กระโดดไดก้ บั ความสูงเริ่มต้นของผู้ทดสอบในท่าเหยียดแขน ตรงในครง้ั ที่ดีทีส่ ดุ บนั ทึกหนว่ ยทไี่ ด้เป็นเมตร หรือใช้หนว่ ยเปน็ วัตต์ จากสตู รต่อไปน้ี Power (watt) = [ 21.67 x body mass (kg) x √ ( )] การประเมนิ ผล นาผลท่ีไดจ้ ากการทดสอบ เทียบเกณฑ์มาตรฐานจากตารางต่อไปนีต้ ่อไปน้ี อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกฬี า มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรบั นักกฬี า 165 ระดบั สมรรถภาพ ความสูงที่กระโดดได้ (เซนตเิ มตร) ดีมาก นักกีฬาชาย นกั กีฬาหญิง ดี >65 >58 ปานกลาง พอใช้ 50-65 47-58 ตอ้ งปรับปรงุ 40-49 36-46 ทีม่ า: www.topendsports.com 30-39 26-35 <30 <26 Margaria –Kalamen Power Test วตั ถปุ ระสงค์ เพื่อหาคา่ Anaerobic power จากการทดสอบวิ่งขนึ้ บนั ได อุปกรณ์ บนั ไดมาตรฐานทม่ี จี านวนขั้นมากกวา่ วิธกี าร 9 ขนั้ ขึน้ ไป ใหน้ กั กีฬาทาการทดสอบโดยเร่มิ ว่ิง บนพ้นื ราบในระยะทาง 6 เมตร จากนนั้ กระโดดขนึ้ บนั ไดโดยการขา้ ม ทีละ 3 ขั้น เรม่ิ จับเวลาเมอ่ื เท้าสมั ผสั บันไดขั้นที่ 3 และหยดุ นาฬกิ าจับเวลา เม่ือเท้าสมั ผสั บนั ไดขัน้ ที่ 9 ดงั รปู การบันทึกผล บนั ทึกน้าหนกั ตัว หนว่ ยเปน็ กโิ ลกรมั ความสงู จากบันไดขน้ั ท่ี 3 ถงึ ข้นั ที่ 9 หน่วยเป็น เมตร และระยะเวลาท่ใี ช้ในการกระโดดจากบนั ไดขนั้ ท่ี 3 ถึงบันไดขัน้ ท่ี 9 หน่วยเป็น วนิ าที จากนน้ั นาไปคานวณสมการต่อไปน้ี พลงั (kg-m/sec) =(นา้ หนักตัว x ระยะทางจากบนั ไดข้นั ที่ 3 ไปยังขั้นท่ี 9) / เวลา การประเมินผล นาผลการทดสอบท่ีได้ เทยี บเกณฑ์มาตรฐานจากตารางต่อไปนี้ อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรับนักกฬี า 166 ระดบั สมรรถภาพ 15-20 เพศชาย อายุ (ป)ี >50 ด้านแอนแอโรบคิ >113 21-30 31-40 41-50 >50 113-149 >106 >85 <65 50-65 ควรปรบั ปรงุ 150-187 106-139 85-111 65-84 66-82 พอใช้ 188-224 140-175 112-140 85-105 83-98 >224 176-210 141-168 106-125 >98 ปานกลาง >210 >168 >125 ดี 15-20 >50 >92 เพศหญิง อายุ (ปี) >38 ดีมาก 92-120 21-30 31-40 41-50 38-48 ระดับสมรรถภาพ 121-151 >85 >65 >50 49-61 ด้านแอนแอโรบคิ 152-182 85-111 65-84 50-65 62-75 >182 112-140 85-105 66-82 >75 ควรปรับปรงุ 141-168 106-125 83-98 พอใช้ >168 >125 >98 ปานกลาง ดี ดีมาก ทีม่ า: Power and Howley (2001) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรับนกั กฬี า 167 o รูปแบบ Short-term test การทดสอบรูปแบบน้ี จะเป็นการทดสอบที่มุ่งเน้นสมรรถภาพอนากาศนิยม (anaerobic capacity) ซึ่ง เป็นตัวแปรท่ีบ่งช้ีการสร้างพลังงานในระบบ Glycolysis system โดยการทดสอบรูปแบบนี้จะแบ่งเป็น 2 รูปแบบตามลักษณะของกิจกรรมท่ีนามาใช้ในการทดสอบได้แก่ รูปแบบ Single bout exercise test และ รปู แบบ Repeated sprint ability test แต่ละรูปแบบมรี ายละเอียดของตวั อย่างแบบทดสอบดงั น้ี 1. รูปแบบ Single bout exercise test เป็นการทดสอบโดยใช้กิจกรรมการทดสอบท่ีต้องทาแบบต่อเนื่องด้วยความหนักสูงสุดใน ระยะเวลาทก่ี าหนด โดยตวั อย่างแบบทดสอบท่นี ยิ มใช้มีดังนี้ 30 Second Cycle Ergometry Wingate Test แบบทดสอบ Wingate test ถูกพัฒนาขึ้นมาในต้นปี ค.ศ. 1970 โดยสถาบัน Wingate ประเทศ อิสราเอล เป็นการทดสอบท่ีนิยมใช้อย่างแพร่หลายในการประเมินสมรรถภาพด้านแอนแอโรบิค โดยสามารถ วัดค่า Anaerobic power ค่า Anaerobic capacity และดัชนีความล้า (fatigue index) โดยการป่ันจักรยาน วัดงานท่ีใช้แขนหรือขาโดยออกแรงต้านน้าหนักถ่วงซึ่งมีค่าคงท่ีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทาได้ เป็นเวลา 30 วินาที โดยแบบทดสอบจะต้ังอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า ค่า Anaerobic power จะเป็นตัวบ่งช้ีถึงความสามารถของ ร่างกายในการผลิตพลังงานจากระบบ ATP-PC เพ่ือให้ได้แรงสูงสุดใน 5 วินาที ในขณะท่ีค่า Anaerobic capacity จะบ่งช้ีถึงความสามารถเฉล่ียของร่างกายในการผลิตพลังงานจากระบบ ATP-PC และ Glycolytic ตลอดช่วง 30 วนิ าที และรวมถึงดัชนีความล้าท่ีจะบอกช้ึถึงกาลังท่ีลดลงในระหว่างทาการทดสอบซ่ึงเก่ียวข้อง กบั ความล้าทเ่ี กดิ ขน้ึ และความสามารถในการทนต่อกรดแลคติก โดยการทดสอบมีวิธีการและรายละเอยี ดดังนี้ วัตถุประสงค์ เพอื่ หาคา่ Anaerobic power และ Anaerobic capacity จากการทดสอบปั่นจักรยาน วัดงาน 30 วินาที อปุ กรณ์ จักรยานวดั งาน (Monark cycle ergometer) นาฬิกาจบั เวลา อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกฬี า มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรับนกั กฬี า 168 วธิ กี าร 1. ปรับที่นงั่ ให้เหมาะสมกับผู้ท่ีทดสอบ โดยเมอ่ื นั่งแล้วมมุ ของเข่าเหยยี ดไดเ้ กอื บเต็มมมุ การเคล่อื นไหวในขณะถีบขาลง 2. ให้ผ้ทู ดสอบอบอุ่นรา่ งกายโดยการปัน่ จกั รยานวัด งานเป็นเวลา 2-4 นาที โดยให้อัตราการเต้นของ หวั ใจอยู่ในช่วง 150-160 ครั้ง/นาที และอาจจะให้มี การป่นั เร็วๆ ประมาณ 4-5 วินาที เพอ่ื ให้ผทู้ ดสอบมี ความรู้สึกใกล้เคียงกับการทดสอบ จากน้ันให้พัก อยา่ งนอ้ ย 2 นาที แต่ไมค่ วรเกิน 5 นาที 3. การทดสอบ ใหผ้ ทู้ ดสอบปั่นดว้ ยความเร็ว 50-60 รอบ/นาที จากนั้นให้ผู้ทดสอบปั่นให้เร็วท่ีสุดเท่าที่ จะทาได้ ในขณะเดียวกันต้องปรับน้าหนักถ่วงให้กับผู้ทดสอบตามค่าที่หาได้ (ช. = 0.083,ญ. = 0.075 คณู กบั น้าหนักตัว(ก.ก.)) ภายใน 2-4 วินาที และก็เร่ิมนับจานวน รอบจนกระทั่งครบ 30 วินาที (ในขณะทดสอบผู้ทาหน้าท่ีปรับน้าหนักถ่วงจะต้อง คอยปรับให้คงท่ีตลอด) โดยรอบที่นับได้จะบันทึกทุกๆ 5 วินาที จนครบ 30 วินาที ถ้ามีเครื่องนับรอบอัตโนมัติก็สามารถจะบันทึกค่าได้เลย แต่ถ้าเป็นการนับด้วยการ สังเกต จะต้องนับแบบสะสม คอื นับไปเร่ือยๆ ต้ังแต่เริ่มต้นจนครบ 30 วินาที แล้วถึง จะมาหาจานวนรอบในทกุ ชว่ ง 5 วินาที การบันทกึ ผล นาค่าน้าหนักถ่วงทีใ่ ช้ จานวนรอบท่นี บั ได้ในทุก ๆ 5 นาทคี านวณ ค่า Anaerobic power ค่า Anaerobic capacity และคา่ Fatigue index จากสูตรต่อไปนี้ - ค่าพลงั อนากาศนิยม (anaerobic power) เป็นค่าพลังสูงสุดทีท่ ดสอบได้ ในแต่ละ 5 วินาที โดยคา่ พลังสูงสุดจะเปน็ ดชั นที ี่ใช้ ประเมินการสร้างพลงั งานในระบบ ATP-PC system จากสูตร P = F D/T F คือ นา้ หนักถว่ งทใ่ี ชใ้ นการทดสอบ ไดม้ าจาก ค่าคงท่ี นา้ หนักตวั (ก.ก.) (ค่าคงที่ : เพสชาย = 0.083 และเพศหญงิ = 0.075) D คอื ระยะทาง ได้มาจากการปน่ั 1 รอบไดร้ ะยะทาง(เมตร) จานวนรอบ ทีท่ าไดใ้ น 5 วินาที T คอื เวลาที่ใช้บันทึกจานวนรอบ อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรับนักกฬี า 169 เมอ่ื ไดค้ ่า Power ทาใหเ้ ป็นหนว่ ย กก.เมตร/นาที โดยนา 60 วนิ าทีไปคูณ หรือหาได้ จากสูตร Anaerobic power (กก.เมตร/นาที) = R(กก.) 6(เมตร/รอบ) S5 60/5 R คอื น้าหนักถ่วง หาได้จาก คา่ คงท่ี นา้ หนกั ตวั (ก.ก) 6 คือ ปั่น 1 รอบลอ้ หมุนได้ระยะทาง 6 เมตร S5 คือ จานวนรอบสูงสดุ ทกุ 5 วินาที 60 คือ 1 นาที (เป็นการทาหนว่ ยของกาลงั ที่ไดใ้ ห้เปน็ กก.เมตร/นาท)ี 5 คอื เวลาท่ีใช้ในการบันทึกรอบทุกๆ 5 วนิ าที - คา่ สมรรถภาพอนากาศนยิ ม (anaerobic capacity) เป็นค่าพลังเฉลี่ยท่ีได้จากการทดสอบ ซ่ึงจะเป็นดัชนีที่ใช้ในการประเมินความอดทน กล้ามเนื้อท่ีได้จากการสังเคราะห์พลังงานในระบบ Anaerobic glycolysis ค่า anaerobic capacity สามารถหาได้จาก ค่าเฉลี่ยของพลัง คือ นาค่าของพลังที่หาได้ จากทุก 5 วนิ าที รวมกนั แล้วหารด้วย 6 (ในท่ีน้ีใช้การทดสอบด้วย Wingate 30 วินาที) หรือหาได้จากสูตร Anaerobic capacity (กก.เมตร/นาที) = R(กก.) 6(เมตร/รอบ) S30 60/30 R คอื นา้ หนักถ่วง หาไดจ้ าก ค่าคงที่ นา้ หนกั ตวั (ก.ก) 6 คือ ปั่น 1 รอบล้อหมุนไดร้ ะยะทาง 6 เมตร S30 คือ จานวนรอบทีป่ ั่นได้ 30 วินาที 60 คือ 1 นาที (เป็นการทาหน่วยของกาลงั ทไี่ ดใ้ ห้เปน็ กก.เมตร/นาท)ี 5 คอื เวลาท่ีใชใ้ นการทดสอบ 30 วนิ าที - ค่าดัชนคี วามล้า (fatigue index) ดัชนคี วามลา้ เป็นตวั บง่ บอกถึงความล้าของกลา้ มเน้ือทเ่ี กดิ ขึ้นหลงั จากการทางานหนัก อยา่ งเตม็ ทต่ี ามเวลาที่กาหนด หาได้จาก [(คา่ กาลังสงู สุด(วัตต์) - ค่ากาลังตา่ สุด(วัตต)์ )/คา่ กาลังสงู สดุ (วัตต์)] 100 ถ้าคา่ ท่ีได้มีคา่ มากแสดงว่ากลา้ มเนื้อมีความลา้ สูง นนั่ หมายถงึ กล้ามเนื้อมีความสามารถ ในการทนต่อระดับกรดแลคติกในระดับตา่ อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรับนกั กฬี า 170 ตัวอยา่ งการคานวณ ผทู้ ดสอบเพศหญิง น้าหนักหนัก 65 ก.ก. ทาการทดสอบ ได้ผลดงั นี้ เวลา จานวนรอบ จานวนรอบ พลัง พลงั พลัง (วินาที) สะสม ทุก 5 วินาที (กก.เมตร/นาที) (วตั ต์) (วตั ต์/กก.) 12 706.11 0-5 22 12 4,320 588.43 10.86 5-10 31 10 3,600 529.58 9.05 10-15 38 9 3,240 411.90 8.14 15-20 45 7 2,520 411.90 6.34 20-25 51 7 2,520 353.06 6.34 25-30 6 2,160 5.43 1. หาน้าหนกั ถว่ งท่ใี ชใ้ นการทดสอบ = น้าหนักตวั 0.075 = 65 0.075 = 4.87 ก.ก. หรอื 5 ก.ก. 2. หาคา่ พลังทุก 5 วนิ าที จากสูตร P = F D/T แทนค่า = 5 6(เมตร/รอบ) 12 (รอบ)/5 (วินาที) = 72 กก.เมตร.วนิ าที เปลย่ี นใหเ้ ปน็ กก.เมตร/นาที โดยนา 60 วนิ าทีไปคูณ (72 60) = 4,320 กก.เมตร/นาที เปล่ียนเปน็ วัตต์ โดย 1 วัตต์ = 6.118 กก.เมตร/นาที) = 4,320/6.118 = 706.113 วัตต์ 3. หาค่าพลงั อนากาศนยิ ม (anaerobic power) คือ ค่าของพลังสูงสุด ในท่นี ้ีคือ 706.113 วัตต์ หรอื 10.86 วัตต์/กก. หรือหาไดจ้ ากสตู ร Anaerobic power (กก.เมตร/นาท)ี = R (กก.) 6 (เมตร/รอบ) S5 60/5 ทาเปน็ วตั ต์/กก. = 5 6 12 60/5 = 4,320 กก.เมตร/นาที หรือ 760.113 วตั ต์ = 760.113 / 65 = 10.86 วตั ต์/กก.( วัตต์/นา้ หนักตัว) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรบั นักกฬี า 171 4. ค่าสมรรถภาพอนากาศนิยม (anaerobic capacity) คือ ค่าของพลงั เฉล่ยี ในท่นี ้ีหาได้จาก (706.11 + 588.43 + 529.58 + 411.90 + 411.90 + 353.06)/6 = 500.16 วัตต์ = 7.69 วตั ต์/กก. หรือหาได้จากสูตร Anaerobic capacity (กก.เมตร/นาที) = R (กก.) 6 (เมตร/รอบ) S30 60/30 = 5 6 51 2 = 3,060 กก.เมตร/นาที หรอื 500.16 วตั ต์ หรอื 7.69 วตั ต/์ กก. 5. ดัชนคี วามลา้ (fatigue index) คือร้อยละของกาลังท่ีลดลง จะหาไดจ้ ากสูตรต่อไปนี้ Fatigue index = คา่ พลงั สงู สดุ – คา่ พลงั ต่าสุด 100 คา่ กาลังสูงสดุ พลงั สูงสดุ = 706.11 วัตต์ และพลงั ต่าสดุ = 353.06 วัตต์ แทนค่า = 706.11 (วัตต์) – 353.06 (วัตต์) 100 = 50.0 % 706.11 การประเมนิ ผล นาผลการทดสอบทีไ่ ด้ ท้ังคา่ พลังอนากาศนิยม (anaerobic power) คา่ สมรรถภาพ อนากาศนิยม (anaerobic capacity) และค่าดชั นคี วามลา้ (fatigue index) ดังน้ี เทียบ เกณฑ์มาตรฐานต่อไปน้ี ระดบั สมรรถภาพ Peak Power Peak Power Mean Power Mean Power ดา้ นแอนแอโรบคิ (watts) (watts/kg) (watts) (watts/kg) เพศหญงิ ระดบั นักกฬี าช้ันเลิศ > 730 > 11.07 > 541 > 8.22 686 - 730 10.58 - 11.07 510 - 541 7.86 – 8.22 ดีมาก 642 - 685 10.08 - 10.57 478 - 509 7.51 - 7.85 ดี 554 - 641 9.10 - 10.07 414 - 477 6.81 - 7.50 510 - 553 8.60 - 9.09 482 - 413 6.45 - 6.80 ปานกลาง 467 - 509 8.11 - 8.59 351 - 381 6.10 -6.44 พอใช้ ตา่ < 467 < 8.11 < 351 < 6.10 ตา่ มาก อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกฬี า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรับนักกฬี า 172 ระดับสมรรถภาพ Peak Power Peak Power Mean Power Mean Power ด้านแอนแอโรบคิ (watts) (watts/kg) (watts) (watts/kg) เพศชาย ระดบั นกั กีฬาชั้นเลศิ > 1163 > 13.74 > 823 > 9.79 1092 -1163 13.03 – 13.74 778 -823 9.35 – 9.79 ดมี าก 1201 – 1091 12.35 -13.02 732 - 777 8.91 – 9.34 ดี 880 - 1020 11.65 – 12.34 640 -731 8.02 -8.90 809 – 879 10.96 – 11.64 595 – 639 7.58 -8.01 ปานกลาง 739 - 808 9.57 – 10.95 549 -594 7.14 -7.57 พอใช้ < 549 ตา่ < 739 < 9.57 < 7.14 ต่ามาก ทมี า: Miller (2012) Cunningham and Faulkner Test วตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือทดสอบ Anaerobic capacity จากการวิ่งบนลกู่ ล อุปกรณ์ 1. ลู่วิ่งกลที่สามารถปรบั ความเรว็ และความชนั 2. นาฬิกาจับเวลา วธิ ีการ 1. นักกฬี าจะทดสอบโดยการวิง่ บนลู่กลที่ ระดบั ความเร็ว 8 ไมล์/ช่วั โมง (12.9 กิโลเมตร/ช่ัวโมง) และใช้ระดับความชัน 20% 2. นักกฬี าจะต้องทาการทดสอบโดยการว่งิ บน ล่กู ลตามความเร็วและความชันทีก่ าหนดใหน้ านท่สี ุดเทา่ ทจ่ี ะทาไดจ้ นหมดแรง การบันทกึ ผล บันทึกระยะเวลาที่นักกีฬาว่ิงได้ก่อนหยุดทดสอบหน่วยเป็นวินาที ประเมินเป็นค่า สมรรถภาพอนากาศนิยม (anaerobic capacity) ทีม่ า: Mackenzie (2005) อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรับนักกฬี า 173 300 Yard Shuttle Run Test วัตถปุ ระสงค์ เพื่อทดสอบ Anaerobic capacity จากการว่งิ ไปกลับระยะทาง 300 หลา อปุ กรณ์ 1. กรวยหรอื หลักจานวน 2 อนั 2. เทปวดั ระยะทาง 3. นาฬิกาจบั เวลา วิธกี าร 1. นักกีฬาจะทดสอบโดยการวงิ่ ไป-กลับใน ระยะทาง 25 หลา หรือ 22.8 เมตร ด้วย ความเร็วสงู สดุ เตม็ ความสามารถอย่างต่อเน่ือง จานวน 12 เทย่ี ว 2. ในการวิง่ ไป-กลบั นกั กฬี าจะตอ้ งใชเ้ ทา้ ข้างใดข้างหน่งึ แตะสัมผัสเส้นท่ีจุดเร่ิมตน้ ของ ทง้ั สองฝ่งั 3. นักกีฬาจะตอ้ งทาการทดสอบจานวนสองชดุ รวมระยะทางทั้งหมด 300 หลา (12x25 หลา)พกั ระหว่าชุด 5 นาที การบนั ทกึ ผล บันทึกระยะเวลาเฉลี่ยจากการวิ่งทั้งสองชุดไปประเมินระดับสมรรถภาพอนากาศนิยม (anaerobic capacity) จากเกณฑ์มาตรฐานตอ่ ไปน้ี ระดบั สมรรถภาพ เวลาท่ที ดสอบได้ ดีมาก < 50 วินาที ดี 50-60 วนิ าที 60-70 วนิ าที ปานกลาง >70 วนิ าที ควรปรับปรุง ท่มี า: Mackenzie (2005) อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรบั นักกฬี า 174 Continuous Jumping Test วัตถปุ ระสงค์ เพอื่ ทดสอบ Anaerobic capacity จากการทดสอบกระโดดอยา่ งตอ่ เน่ือง 60 วนิ าที อปุ กรณ์ วิธกี าร 1. แผน่ วดั แรงในการกระโดด 2. นาฬกิ าจับเวลา การบันทกึ ผล 1. นกั กฬี าจะอย่ใู นท่าตรยี มพรอ้ มโดยยนื ยอ่ เข่าลง ประมาณ 90 องศา 2. เริม่ ต้นการทดสอบให้นกั กีฬาทาการกระโดดข้ึน ให้สูงท่ีสุดขาเหยียดตรงขณะท่ีลอยตัวอยู่ใน อากาศ และเมื่อเท้าลงสมั ผัสพนื้ ให้ยอ่ เขา่ กระโดดข้นึ อกี ใหส้ ูงท่ีสดุ อกี คร้ัง โดยนักกีฬา จะต้องกระโดดอย่างต่อเนื่องให้ขาลอยข้ึนจากพื้นให้นานท่ีสุดและได้กระโดดได้ จานวนครั้งมากท่สี ุด ในเวลา 60 วินาที บนั ทึกจานวนครัง้ ของการกระโดด และเวลารวมการลอยตัวในอากาศ เพื่อคานวณค่า สมรรถภาพด้านอนากาศนิยม (anaerobic capacity) จากสูตรต่อไปนี้ ค่า Anaerobic capacity (วัตต์) (9.82)2 × เวลารวมการลอยตัวในอากาศ × 60 = 4 × [จานวนครงั้ การกระโดด (30 – เวลารวมการลอยตวั ในอากาศ)] ทม่ี า: Mackenzie (2005) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรบั นักกฬี า 175 400 Metre Drop Off Test วัตถปุ ระสงค์ เพื่อทดสอบ Anaerobic capacity จากการทดสอบวงิ่ ระยะ 400 เมตร อุปกรณ์ 1. สนามล่วู ่งิ 400 เมตร 2. นาฬิกาจับเวลา วธิ กี าร 1. นักกฬี าจะทดสอบโดยการวง่ิ เร็วด้วย ความสามารถ สูงสุดในระยะทาง 100 เมตร หลงั จากนน้ั จะใหน้ ักกฬี าพัก 5 นาที 2. หลังจากพักครบ 5 นาที นกั กฬี าจะตอ้ งทาการทดสอบวิ่งเรว็ ในระยะทาง 400 เมตร การบนั ทึกผล บันทึกระยะเวลาท่ีนักกีฬาวิ่งได้ท้ังสองระยะทาง หน่วยเป็นวินาที ไปประเมินผล สมรรถภาพด้านแอนแอโรบิค โดยคานวณจากเวลาท่ลี ดลง (drop off time) จากการวิ่ง 100 เมตรและ 400 เมตร ดงั นี้ เวลาทล่ี ดลง (drop off time) = (เวลาที่ได้จากการวิง่ 400 เมตร/4) - เวลาที่ได้จากการว่งิ 100 เมตร ตัวอย่างการคานวณ นักกีฬาเพศชาย อายุ 23 ปี ทาการทดสอบ ได้ผลดังน้ี ทดสอบวิ่ง 100 เมตร ทาเวลาได้ = 13 วนิ าที ทดสอบวง่ิ 400 เมตร ทาเวลาได้ = 60 วนิ าที คิดเปน็ เวลาเฉลีย่ ระยะ 100 เมตร = 60/4 = 15 วนิ าที ดงั นั้น เวลาทลี่ ดลง (drop off time) = 15-13 วินาที = 2 วินาที ซึง่ ผลการทดสอบท่ีได้ ถ้าคา่ drop off time มีเวลามากขนึ้ แสดงว่า สมรรถภาพด้านแอนแอโรบิคจะ อยใู่ นระดับทีต่ า่ ที่มา: Mackenzie (2005) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรบั นกั กฬี า 176 2. รปู แบบ Repeated-Sprint Ability Test เปน็ รปู แบบการทดสอบทีน่ ักกีฬาจะต้องทดสอบด้วยความสามารถสูงสุด โดยทาเป็นเที่ยว มีช่วงเวลา พักสนั้ ๆ ประมาณ 10-20 วนิ าที ตวั อย่างแบบทดสอบที่นยิ มใชม้ ดี งั น้ี Running-base Anaerobic Sprint Test (RAST) วัตถปุ ระสงค์ เพื่อทดสอบสมรรถภภาพดา้ นแอนแอโรบิคจากการทดสอบวิ่ง 6x35 เมตร อุปกรณ์ 1. กรวยหรือหลกั จานวน 2 อนั 2. เทปวัดระยะทาง 3. นาฬิกาจบั เวลา วิธกี าร 1. ให้นกั กฬี าทาอบอนุ่ ร่างกาย 5-10 นาที 2. เร่ิมตน้ การทดสอบให้นักกฬี าวง่ิ ดว้ ยความเรว็ สงู สดุ จาก จุดเร่ิมต้นไปยังเปูาหมายในระยะทาง 35 เมตร จากน้ัน ให้พักโดยการเดนิ ช้า ๆ เปน็ เวลา 10 วินาที 3. หลังจากพกั ครบ 10 วินาที นักกฬี าจะทดสอบในเทย่ี วท่ี 2 โดยเริ่มทดสอบจาก จดุ เริม่ ตน้ ของอกี ดา้ นหน่งึ เพือ่ กลับไปยงั จุดเริม่ ตน้ ทที่ ดสอบในคร้ังแรก โดยจะทาการ ทดสอบท้ังหมด 6 เที่ยว พักระหว่างเที่ยว 10 วินาที แต่ละเที่ยวนักกีฬาจะต้องว่ิง ด้วยความเรว็ สูงสดุ การบนั ทกึ ผล นาเวลาทว่ี ิ่งไดแ้ ตล่ ะเท่ียวไป คานวณเปน็ กาลังงานหรือพลัง (power) จากสูตรต่อไปนี้ พลงั = [(นา้ หนกั ตัว x ระยะทาง2) / (เวลา3)] พลัง หนว่ ยเป็น วตั ต์ ระยะทาง หนว่ ยเปน็ เมตร ในท่นี ้ีคือ 35 เมตร เวลา หน่วยเปน็ วนิ าที อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรบั นักกฬี า 177 นาคา่ พลงั (power) ทค่ี านวณไดใ้ นแต่ละเทย่ี ว ไปคานวณหาคา่ พลังอนากาศนยิ ม (anaerobic power) ค่าสมรรถภาพอนากาศนยิ ม (anaerobic capacity) และคา่ ดชั นี ความล้า (fatigue index) ดังน้ี - ค่าพลงั อนากาศนยิ ม (anaerobic power) คานวณไดจ้ ากพลงั สงู สดุ ท่ีทาไดจ้ ากการ ว่ิง 6 เที่ยว - คา่ สมรรถภาพอนาการศนิยม (anaerobic capacity) คานวณได้จาก (ผลรวมของพลังท่ที าไดจ้ ากการวิ่งทัง้ 6 เท่ยี ว)/(6 เที่ยว) - คา่ ดชั นีความล้า (fatigue index) คานวณได้จาก (พลงั สงู สุด – พลงั ต่าสดุ )/ (เวลารวมในการวง่ิ ท้งั 6 เท่ียว) ตัวอยา่ งการคานวณ ผู้ทดสอบเพศชาย นา้ หนักหนัก 76 ก.ก. ทาการทดสอบ ได้ผลดงั น้ี เทยี่ ว เวลา (วินาที) พลงั (วัตต์) 1 4.52 1008 2 4.75 869 3 4.92 782 4 5.21 658 5 5.46 572 6 5.62 525 รวม 30.48 4,414 1. คา่ พลังอนากาศนิยม (anaerobic power) = 1008 วัตต์ 2. ค่าสมรรถภาพอนากาศนิยม (anaerobic capacity) = (1008+869+782+658+572+525) / 6 = 736.7 วตั ต์ 3. ค่าดชั นคี วามล้า (fatigue index) หาไดจ้ าก = (1008 - 525)/30.48 = 15.8 วัตต์/นาที ทีม่ า: Reiman and manske (2009) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรับนกั กฬี า 178 Repeated-Shuttle Sprint Ability (RSSA) วัตถปุ ระสงค์ เพือ่ ทดสอบ Anaerobic capacity จากการทดสอบว่งิ ไป-กลบั อุปกรณ์ 1. กรวยหรือหลักจานวน 2 อัน วิธกี าร 2. เทปวัดระยะทาง 3. นาฬกิ าจับเวลา 1. นักกีฬาจะทดสอบโดยการวงิ่ ไป-กลบั ระยะทาง 20 เมตร ดว้ ยความเร็วสูงสดุ เตม็ ความสามารถ 2. การทดสอบในแต่ละเท่ียวจะใชร้ ะยะทางรวมท้งั หมด 40 เมตร (20+20 เมตร) ซึ่งนกั กฬี าจะตอ้ งทดสอบทง้ั หมด 6 เทีย่ ว และแต่ละเที่ยวพัก 20 วนิ าที การบนั ทกึ ผล บันทกึ ผลตวั แปรต่าง ๆ ที่ได้จากการทดสอบซ่ึงได้แก่ เวลาทด่ี ที ส่ี ุดจากการวิ่ง 6 เท่ียว (RSSA best) เวลาเฉล่ียจากการวิ่ง 6 เทยี่ ว (RSSA mean) และความเร็วทลี่ ดลงจาก การวงิ่ 6 เท่ียว (RSSA decrement) มาประเมนิ สมรรถนะด้านแอนแอโรบคิ ดังน้ี - ค่า RSSA best คอื เวลาท่ดี ที สี่ ดุ จากการวิง่ 6 เท่ียว จะเปน็ คา่ ทใ่ี ช้ประเมินพลัง อนากาศนิยม (anaerobic power) สว่ นใหญ่จะเป็นคา่ ท่ไี ด้จากการว่ิงในเท่ยี วแรก - คา่ RSSA mean คือ เวลาเฉล่ียจากการวงิ่ 6 เที่ยวจะเปน็ ค่าที่ใชป้ ระเมนิ สมรรถภาพอนากาศนยิ ม (anaerobic capacity) ซง่ึ เป็นดัชนที ใ่ี ชใ้ นการประเมิน ความอดทนของกล้ามเนื้อทไ่ี ดจ้ ากการสงั เคราะห์พลงั งานในระบบ Anaerobic glycolysis - คา่ Fatigue index คือ ร้อยละของระดับความเร็วทลี่ ดลงเป็นค่าทใ่ี ช้ประเมนิ ความลา้ ทีเ่ กิดข้ึนจากการทดสอบ ซ่งึ ดูจากระดับของความเรว็ ทล่ี ดลงจากการวิ่งทง้ั 6 เทีย่ ว มีหน่วยเป็นเปอรเ์ ซ็นต์ หาได้จากสูตรตอ่ ไปน้ี RSSA decrement (%) = [100 × (RSSA mean / RSSA best)] - 100 ทม่ี า: Rampinini et al. (2007) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรบั นกั กฬี า 179 คาถามและปฏิบัติการท้ายบทท่ี 5 1. จงอธบิ ายความหมายและความสาคัญของสมรรถภาพดา้ นแอนแอโรบคิ 2. การทดสอบสมรรถภาพด้านแอนแอโรบิคสามารถแบ่งได้ก่ีรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีความแตกต่าง กนั อยา่ งไร 3. ให้ทาการทดสอบพร้อมแสดงการคานวณค่า Anaerobic power ค่า Anaerobic capacity และ Fatigue index จากวธิ ีการทดสอบ ตอ่ ไปนี้ 3.1 แบบทดสอบ 30 Second Wingate Test 3.2 แบบทดสอบ Continuous Jumping Test 3.3 แบบทดสอบ Running-base Anaerobic Sprint Test (RAST) จากผลการทดสอบท่ีได้ ให้เปรียบเทียบค่า Anaerobic power ค่า Anaerobic capacity และ Fatigue index ทไ่ี ดใ้ นแต่ละวิธีแสดงเป็นรปู แผนภูมแิ ท่ง พร้อมทั้งสรุปและอภิปรายผลถึงความความแตกต่าง ของผลการทดสอบท่ไี ด้ในแต่ละวิธี อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรับนักกฬี า 180 อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรบั นกั กฬี า 181 บทที่ 6 การทดสอบความอ่อนตวั (Flexibility Fitness Testing) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกฬี า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรบั นกั กฬี า 182 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 6 การทดสอบความออ่ นตัว 1. หวั ขอ้ เนือ้ หาประจาบท 1) ความหมายและความสาคัญของความออ่ นตวั 2) สรรี วิทยาที่เกี่ยวข้องกับความอ่อนตัว 3) ประเภทของการทดสอบความออ่ นตวั 4) ตวั อย่างแบบทดสอบความอ่อนตวั 2. วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรม หลงั จากศกึ ษาจบบทนี้แลว้ ผเู้ รียนสามารถ 1) อธบิ ายความหมายและความสาคญั ของความอ่อนตวั 2) อธบิ ายสรีรวทิ ยาทเ่ี ก่ยี วข้องกับความอ่อนตวั 3) อธบิ ายประเภทของการทดสอบความออ่ นตัว 4) อธบิ ายหลักและวธิ กี ารทดสอบความอ่อนตัว 3. วิธีการสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอนประจาบท 1) การบรรยายจากเอกสารประกอบการสอน สไลดน์ าเสนอบทเรียนจากไฟล์ Power point 2) การสาธติ วธิ กี าร และการฝกึ ทดลองปฏบิ ตั ิจริง 3) อภิปรายประเด็นปัญหาและข้อสงสัย 4) การทดลองในปฏบิ ตั ิการที่ 6 5) ทาแบบฝึกหัดท้ายบทท่ี 6 4. สื่อการเรยี นการสอน 1) เอกสารประกอบการสอน 2) สไลด์นาเสนอบทเรียน เป็นไฟล์ Power point 3) ไฟลว์ ิดีโอจากเวบ็ ไซต์และแหล่งขอ้ มลู ตา่ ง ๆ 4) แบบฝกึ หัดทา้ ยบท 5. การวดั ผลและการประเมินผล 1) ตรวจสอบจากแบบฝึกหัดท้ายบท 2) สังเกตความสนใจของผู้เรยี น 3) สังเกตจากการถามคาถามและตอบคาถามของผู้เรียน 4) ตรวจสอบความถูกต้องของผลการทดลองในปฏบิ ัตกิ ารท่ี 6 อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรบั นักกฬี า 183 บทท่ี 6 การทดสอบความอ่อนตวั ความอ่อนตัวเป็นองค์ประกอบสมรรถภาพทางกายที่สาคัญองค์ประกอบหนึ่ง ท่ีจะช่วยให้การ เคล่ือนไหวในการเล่นกีฬาและการออกกาลังกายมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้เน่ืองจาก นักกีฬาที่ขาดความ อ่อนตัว จะเป็นสาเหตุสาคัญประการหน่ึงท่ีจะทาให้การพัฒนาทางด้านเทคนิคทักษะ ความคล่องแคล่วว่องไว และความสามารถในการเคลื่อนไหวตลอดจนการประสานงานและความสัมพันธ์ในการปฏิบัติทักษะและ เทคนิคกีฬาเป็นไปได้โดยยาก นอกจากนี้ การขาดความอ่อนตัวยังเป็นปัญหาอุปสรรคต่อการพัฒนาความเร็ว และความอดทน เน่ืองจากกล้ามเนือ้ ตอ้ งออกแรงทางานมากกว่าปกติ เพ่ือเอาชนะแรงต้านทานในขณะทาการ เคลื่อนไหว ความอ่อนตัวจะเริ่มลดลงตามลาดบั เมือ่ มีอายุมากขึ้น โดยธรรมชาติ เด็กจะมีความอ่อนตัวมากกว่า ผู้ใหญ่ และผู้หญิงจะมีความออ่ นตวั มากกวา่ ผู้ชายในทกุ ระดับอายุ ด้วยเหตุน้ี จึงควรให้ความสาคัญในการฝึกพัฒนาความอ่อนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าใจวิธีการ ทดสอบเพ่ือประเมินระดับความอ่อนตัวได้อย่างถูกต้อง จะเป็นแนวทางหน่ึงในท่ีจะเป็นประโยชน์ในการเพิ่ม ประสทิ ธภิ าพในการเคล่ือนไหวและปูองกนั ปญั หาการบาดเจบ็ ตลอดจนปูองกันการสูญเสียความอ่อนตัวที่อาจ เกิดเร็วกอ่ นวัยอนั ควรได้ ในบทน้ีจะบรรยายถึงการทดสอบความอ่อนตัวตามรูปแบบและวิธีการต่าง เพื่อเป็น ประโยชนใ์ ห้เขา้ ใจวิธีการทดสอบและการเลือกใชแ้ บบทดสอบความอ่อนตัวใหม้ ีความถกู ตอ้ งมากขน้ึ ความหมายและความสาคัญของความอ่อนตัว ความอ่อนตัว (flexibility) หมายถึง ความสามารถของข้อต่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายท่ีสามารถ เคล่ือนไหวไดอ้ ย่างเตม็ ช่วงมุมของการเคล่ือนไหว (range of motion: ROM ) หรือเคล่ือนไหวได้เต็มขีดจากัด ของการเคล่ือนไหว โดยความอ่อนตัวสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ ความอ่อนตัวแบบอยู่กับท่ี (static flexibility ) และความอ่อนตัวแบบเคล่ือนที่ (dynamic flexibility) (Heyward, 2006) 1. ความอ่อนตัวแบบอยู่กบั ท่ี (static flexibility) หมายถงึ การเพ่ิมของมมุ การเคล่ือนไหวของข้อต่อที่ เกดิ ในขณะทก่ี ล้ามเน้อื ทางานแบบยดื คา้ งอย่กู ับที่ โดยข้อต่อไม่มีการเคลื่อนไหว 2. ความออ่ นตวั แบบเคลื่อนที่ (dynamic flexibility) หมายถึง การเพิ่มของมุมการเคลอื่ นไหวของขอ้ ต่อที่เกดิ ในขณะท่กี ล้ามเนอ้ื มีการเคล่ือนท่ใี นตามระนาบการทางานของข้อต่อนน้ั ๆ อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกฬี า มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรบั นกั กฬี า 184 โดยท่ัวไป มุมของการเคล่ือนไหว (ROM) จะขึ้นอยู่กับชนิดของข้อต่อและโครงสร้างของข้อต่อ เช่น, joint capsule เอ็นยึดข้อ (ligament) และเอ็นยึดกล้ามเนื้อ (tendon) โดยโครงสร้างของข้อต่อจะเป็น ตัวกาหนดระนาบในการเคลอื่ นไหวและมุมการเคลือ่ นไหว เป็นต้น ความอ่อนตัวจะมีความสัมพันธ์กับชนิดของ รูปรา่ ง อายุ เพศ และกิจกรรมการเคล่อื นไหว โดยทั่วไปปญั หาทพ่ี บบ่อยในคนทที่ างานในสานักงานหรือนั่งโต๊ะ ทางานนาน ๆ คนวัยกลางคน และผู้สูงอายุ ก็คือการปวดหลังส่วนล่างและการบาดเจ็บท่ีกล้ามเน้ือ นั่นก็ เพราะว่าความอ่อนตัวไม่ดี ดังนั้นหากมีความอ่อนตัวท่ีดีเพียงพอในทุกข้อต่อของร่างกายแล้ว จะช่วยปูองกัน การบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อ และลดการปวดหลังได้ โดยในกลุ่มคนสูงอายุควรจะให้ความสาคัญกับเร่ืองนี้เป็น พเิ ศษ เพราะจะทาให้ประสิทธภิ าพของการเคลอ่ื นไหวไม่เสื่อมไปตามวยั เปน็ ตน้ o ความสาคัญของความอ่อนตัว การฝึกหรือพัฒนาเพื่อให้มีระดับความอ่อนตัวท่ีดี จะเป็นประโยชน์ทั้งนักกีฬาและบุคคลท่ัวไป ซึ่ง ประโยชนแ์ ละความสาคญั ของการมคี วามอ่อนตัวที่ดี พอสรปุ ไดด้ ังตอ่ ไปนี้ (Heyward, 2006) 1. เพิ่มมุมของการเคลื่อนไหว ทาใหป้ ระสทิ ธิภาพการเคลื่อนไหวดขี ้ึน 2. ลดปัจจยั เสยี่ งในการบาดเจบ็ ต่าง ๆ จากความตงึ ตัวของกล้ามเนือ้ ทีม่ ีมากไป หรอื จากความ ยดื หยนุ่ ของข้อตอ่ ทม่ี ีนอ้ ย 3. เพม่ิ อตั ราการไหลเวยี นของเลอื ดและสารอาหารไปให้ขอ้ ต่อตา่ ง ๆ 4. เพิ่มของเหลวในข้อต่อตา่ ง ๆ (synovial fluid) ทาให้กระดูกไม่เสียดสีกนั และทาให้ขอ้ ต่อมี เคลื่อนไหวทส่ี ะดวกราบรนื่ และไม่ติดขัด 5. เพม่ิ การทางานของกลา้ มเนอื้ มดั ต่าง ๆ ให้ทางานประสานกนั 6. เพิ่มความสามรถในการทรงตัวและความสมดลุ การรักษาตาแหน่งทา่ ทางของรา่ งกาย 7. ลดความตงึ ตวั และความเครยี ดของกลา้ มเน้อื จากการออกแรงอยา่ งหนกั 8. ลดอาการระบมของกล้ามเน้ือ จากการล้าหรอื การออกกาลงั กายอย่างหนัก 9. ลดปัจจยั เสย่ี งในการทาใหเ้ กิดอาการปวดหลัง (lower back pain) 10. เพ่มิ ความสามารถในการใช้ทักษะการเคลื่อนไหวในกีฬาตา่ ง ๆ ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพมากขึ้น อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกฬี า มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรับนกั กฬี า 185 สรรี วิทยาทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั ความอ่อนตัว ความอ่อนตัว จะแสดงถึงมุมของการเคลื่อนไหวของข้อต่อข้อใดข้อหน่ึง หรือหลายข้อรวมกัน ซึ่งใน การเคลื่อนไหวร่างกายโดยท่ัวไป กล้ามเนื้อ เอ็นกล้ามเนื้อ และเอ็นยึดข้อจะเป็นเน้ือเย่ือที่สาคัญในการจากัด ความอ่อนตัวแบบอยู่กับที่และแบบเคลื่อนท่ี เมื่อกล้ามเน้ือถูกยืดยาวออก เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissues) ที่อยู่ในบริเวณโดยรอบกล้ามเน้ือจะถูกดึงรั้งตามไปด้วย ทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงทางเคมีภายใน เนื้อเยื่อเก่ยี วพัน ซ่งึ ส่งผลตอ่ การจากดั ความออ่ นตวั และความยืดหยุ่นตัวของกลา้ มเนื้อและข้อต่อได้ ในส่วนข้อต่อท่ีเกี่ยวข้องโดยตรงกับความอ่อนตัวและยืดหยุ่นของการเคล่ือนไหว จะแตกต่างกันท้ัง รูปร่างและหน้าท่ี รูปร่างของข้อต่อและลักษณะการเรียงตัวของเอ็น ซึ่งยึดระหว่างกระดูกที่ข้อต่อจะเป็น เครื่องบง่ ชี้ถึงปริมาณการเคลื่อนไหวท่ขี อ้ น้ันได้ ซึ่งข้อต่อจะเป็นส่วนท่ีช่วยให้อวัยวะต่าง ๆ มีการเคล่ือนไหวได้ สะดวก สามารถเคล่ือนไหวได้หลายทิศทาง โดยลักษณะของการเชื่อมต่อกันของกระดูกตรงข้อต่อนั้นมีหลาย ลกั ษณะดังน้ี (McArdle, et al .2001) 1. ข้อต่อแบบบานพับ (hinge joint) ทาให้การเคล่ือนไหวตรงส่วนนั้นจากัดได้เพียง ทิศทางเดียว เหมือนกับการปดิ -เปิดบานประตู เชน่ ขอ้ ตอ่ บรเิ วณขอ้ ศอก 2. ข้อต่อแบบลูกกลมในเบ้า (ball and socket joint) ทาให้การเคลื่อนไหวของร่างกายส่วนนั้นเป็น แบบอสิ ระ ขยบั ได้หลายทิศทาง เช่น ข้อต่อท่หี ัวไหล่ 3. ข้อต่อแบบเดือย (pivot joint) ทาให้สามารถก้ม เงย บิดไปทางซ้าย ขวา เช่น ข้อต่อที่ต้นคอกับ ฐานกะโหลกศีรษะ 4. ขอ้ ตอ่ แบบสไลด์ (gliding joint) เป็นกระดูกแบน 2 ช้ิน เช่น ข้อต่อกระดูกข้อมือ ข้อต่อกระดูกข้อ เท้า และข้อตอ่ กระดกู สันหลงั 5. ข้อต่อแบบอานม้า (saddle joint) เป็นข้อต่อที่ทาให้เกิดการเคลื่อนไหวได้บางส่วน เช่น ข้อต่อ ระหว่างกระดูกฝุามอื กบั กระดกู นิว้ หวั แม่มือ 6. ข้อต่อแบบปุม (condyloid joint) มีลักษณะคล้ายข้อต่อแบบลูกกลมในเบ้าแต่เคลื่อนไหวได้น้อย กวา่ เช่น ข้อต่อระหวา่ งกระดกู ฝาุ มือกบั กระดูกน้ิวมือ อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกฬี า มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรับนักกฬี า 186 ในการเคล่ือนไหวของร่างกาย องค์ประกอบท่ีจะส่งผลต่อการจากัดการเคลื่อนไหวของข้อต่อจะ แตกตา่ งกันไป เช่น - เย่อื หมุ้ ข้อตอ่ (joint capsule) มีโอกาสทาใหเ้ กิดข้อติดได้ 47% - กล้ามเนือ้ และพงั ผดื ของกล้ามเน้ือ (muscle’s fascia) มโี อกาสทาใหเ้ กิดข้อติดได้ 41% - เอ็นกลา้ มเนื้อ (tendon) เอน็ ยดึ ขอ้ ตอ่ (ligaments) มโี อกาสทาให้เกิดข้อติดได้ 10% - ผวิ หนงั (skin) มโี อกาสทาใหเ้ กดิ ขอ้ ตดิ ได้ 2% o องค์ประกอบทม่ี ผี ลต่อความอ่อนตวั 1. โครงสรา้ งของขอ้ ตอ่ โครงสร้างของข้อต่อเป็นส่ิงกาหนดขอบเขตช่วงของการเคล่ือนไหวของข้อต่อ ที่มีลักษณะกลมอยู่ในเบ้า (ball and socket) เช่น ข้อต่อหัวไหล่ ข้อต่อสะโพก เป็นข้อต่อที่ส่งผลให้ช่วงของ การเคลื่อนไหวได้มากกว่าข้อต่อทั้งหมด ข้อมือเป็นข้อต่อที่งอได้เล็กน้อย คือ ข้อต่อที่มีรูปวงกลมรีที่มีช่วงของ การเคลือ่ นไหว 80° และชว่ งการเคลือ่ นไหวของเข่าทแ่ี ตกตา่ งกันคือ 130° 2. ขนาดกล้ามเนื้อใหญ่ การเพิ่มขนาดของกล้ามเน้ือ อาจจะมีผลตรงกันข้ามกับช่วงของการ เคลือ่ นไหว คนท่มี กี ลา้ มเน้อื biceps และ deltoid ทใ่ี หญจ่ ะเป็นการยากท่ีทาให้เกิดความอ่อนตัว เป็นผลที่ไม่ ดีต่อพลังงานท้ังหมด การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ทางานโดยตรง (agonist) กับกล้ามเน้ือที่ทางานตรงข้าม (antagonist) ก็จะมีผลต่อช่วงของการเคล่ือนไหว กล้ามเนื้อท่ีมีขนาดใหญ่ก็สามารถจะลดลงได้ โดยการ เปล่ียนแปลงโปรแกรมการฝึก ซึ่งจะไม่เหมาะสมสาหรับนักกรีฑาท่ีจะต้องใช้พลังท่ีต้องมีกล้ามเนื้อใหญ่ๆ เช่น ทุ่มน้าหนกั หรือการดึงเชือก 3. อายุ และเพศ คนหนุ่มมีแนวโน้มท่ีมีความอ่อนตัวดีกว่าคนที่มีอายุมาก และผู้หญิงจะมีความอ่อน ตัวดีกว่าผู้ชาย ความอ่อนตัวมีความแตกต่างกันระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาว อาจจะมีส่วนเก่ียวข้องกับเรื่อง ทางกายวิภาคและชนิดของการออกกาลังกาย คนที่สูงอายุจะต้องใช้ความอดทนในการสร้างเสริมเส้นใยของ กล้ามเน้อื ท่ใี ห้มากกวา่ ปกติ เสน้ ใยจะเสอื่ มลง และมีเนื้อเยื่อเก่ียวพันเข้ามาแทนที่ 4. เน้ือเย่ือเก่ียวพัน(tendon) เอ็น (ligament) มัดกล้ามเน้ือ (bundles) และถุงห่อหุ้มข้อต่อ (joint capsule) ซึ่งมีอิทธิพลต่อช่วงของการเคล่ือนไหวที่มีความยืดหยุ่น โดยเนื้อเย่ือเก่ียวพันเป็นองค์ประกอบอ่ืนๆ เป็นข้อกาหนดชว่ งของการเคลือ่ นไหว อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรับนักกฬี า 187 โดยในการพัฒนาความอ่อนตัว การยืดเหยียดกล้ามเน้ือ (stretching) จัดเป็นวิธีการท่ีมีประสิทธิภาพ ในการท่ีจะเพ่ิมความสามารถในการทางานของกล้ามเนื้อและข้อต่อได้เต็มมุมการเคลื่อนไหว อย่างไรก็ตาม การยืดเหยียดกล้ามเน้ือจะได้ผลดีก็ต่อเมื่อการยืดเหยียดได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องและเป็นแบบแผน และสาหรั บ การวางแผนเพ่ือใช้สาหรับการยืดเหยียดกล้ามเน้ือท่ีก่อให้เกิดผลสาเร็จควรมีวัตถุประสงค์เพ่ือ ฝึกซ้อมตัวรับรู้ การยืดเหยียดให้มีความเคยชินกับความยาวของกล้ามเน้ือท่ีมากข้ึน และลดแรงต้านทานของเน้ือเยื่อเก่ียวพัน เพ่ือใหก้ ลา้ มเนอื้ ยดื ยาวออกได้ การเพ่ิมความอ่อนตัวหรือความยืดหยุ่นตัวของกล้ามเน้ือ ถ้าจะให้ได้ผลดี ควรแก้ไขที่พังผืดของ กล้ามเนื้อ (muscle’s fascia) เพราะมีส่วนประกอบท่ีมีความอ่อนตัวมาก ในขณะท่ีเอ็นกล้ามเน้ือและเอ็นข้อ ตอ่ จะมีส่วนประกอบท่ีมีความอ่อนตัวน้อยและไม่สามารถที่จะทาให้ยืดออกมาได้มากนัก การพยายามท่ีจะยืด เอ็นข้อต่อและเอ็นกล้ามเนื้อมากเกินไปจะทาให้ข้อต่อขาดความมั่นคงและเส่ียงต่อการเกิดการบาดเจ็บ เมื่อมี การใช้งานเนื้อเยื่อเกี่ยวพันมากเกินไปจะทาให้เกิดความล้าและความอ่อนตัวลดลงและเม่ือไม่มีการใช้งาน เน้ือเย่ือเกี่ยวพันหรือมีการเคลื่อนไหวใช้งานน้อยเกินไป ก็จะทาให้เกิดแรงต้านทานมากขณะเคลื่อนไหวและ ความอ่อนตัวลดลง ถ้ามีคอลลาเจน (collagen) ในเน้ือเยื่อเก่ียวพันมาก จะทาให้ความหนืดเหนียวหนาแน่น เพ่ิมมากข้ึนและความอ่อนตัวลดลง ท้ังนี้ กล้ามเน้ือซ่ึงทาหน้าที่ร่วมกับข้อต่อของร่างกายบางส่วนมีความอ่อน ตัวหรือความยืดหยุ่นตัวมากเกินไป จากการถูกกระทาให้มีการยืดเหยียดที่มากเกินขอบเขต จนกระทั่งเป็น สาเหตุให้กล้ามเน้อื เอน็ กล้ามเน้ือและเอน็ ข้อต่อถูกยืดจนสูญเสียสภาวะความยืนหยุ่นตัวหรือเกิดอาการหย่อน ตัว ทาให้ข้อต่อหลวมไม่กระชับและขาดความม่ันคง เน่ืองจากกล้ามเน้ือท่ีอยู่บริเวณโดยรอบข้อต่อมีความตึง ตวั ลดลง ไมส่ ามารถพยุงหรอื รับรองการเคลอ่ื นไหวของข้อต่อได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ (ACSM, 2006) การท่ีมีความยืดหยุ่นตัวของกล้ามเนื้อหรือความอ่อนตัวของข้อต่อท่ีมากเกินไป สามารถก่อให้เกิด ปัญหาได้ไม่ต่างจากการขาดความยืดหยุ่นตัวของกล้ามเนื้อหรือความอ่อนตัวของข้อต่อ เพราะทั้งสองสาเหตุ ดังกล่าวนี้ สามารถทาให้คนเรามีโอกาสเสี่ยงต่อการบาดเจ็บเพ่ิมมากขึ้น เน่ืองจากไม่สามารถเคล่ือนไหวหรือ ควบคุมการเคล่ือนไหวให้อยู่ในทิศทางหรือในรูปแบบที่ต้องการได้ ในกรณีที่กล้ามเน้ือถูกยืดเหยียดออก จนกระท่ังถงึ จดุ สน้ิ สุดความยาวของกล้ามเน้ือมัดนั้น การพยายามท่ีจะทาการยืดเหยียดกล้ามเนื้อต่อไปอีก จะ มีผลทาให้เอ็นยืดข้อต่อ (ligaments) ถูกยืดและสร้างความตึงเครียดหรือความกดดันให้กับตัวเอ็นกล้ามเน้ือ (tendons) ซึง่ เอ็นท้งั สองสว่ นนไี้ ม่ต้องการการยืดมากนกั เนื่องจากมีความอ่อนตัวน้อยในขณะที่ เอ็นยึดข้อต่อ จะเกดิ การฉกี ขาดได้หากถูกกระทา การยืดเหยียดมากเกินกว่า 6% ของความยาวปกติถึงแม้เอ็นยึดข้อและเอ็น ยึดส่วนต่างๆของร่างกายท่ีถูกยืดเหยียดจะไม่มีการฉีกขาด แต่ความกระชับและความม่ันคงของข้อต่อส่วนน้ัน จะลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุทาให้เกิดอาการข้อหลวม (loose joints) และนาไปสู่ปัญหาอาการบาดเจ็บท่ีอาจจะ เกิดข้นึ กับข้อต่อได้ เชน่ ขอ้ เคลอื่ น ขอ้ หลุด เป็นต้น (Heyward, 2006) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรับนักกฬี า 188 o คาถามท่ีถามกนั บ่อยเกี่ยวกับความอ่อนตัว (Heyward, 2006) 1) ชนดิ ของร่างกายเป็นตัวจากัดความอ่อนตัวใช่หรอื ไม่ โดยส่วนมากจะพบว่าคนท่ีมีกล้ามเน้ือขนาดใหญ่และคนอ้วนมาก จะมีมุมการเคลื่อนไหวน้อย ทั้งน้ี เนื่องจากส่วนที่เป็นกล้ามเน้ือหรือไขมันส่วนเกินจะตึงขัดขวางไม่ให้การเคลื่อนไหวทาได้อย่างเต็มมุมการ เคลอ่ื นไหว แตก่ ไ็ มจ่ าเปน็ เสมอไปหากคนทีม่ กี ลา้ มเนอื้ ขนาดใหญ่อย่างเช่น นักเพาะกาย และคนอ้วน มีการฝึก ยืดเหยียดกลา้ มเนื้อเป็นประจา 2) ทาไมผสู้ ูงอายถุ ึงมแี นวโนม้ ของความอ่อนตัวท่นี ้อยกว่าคนในวยั หนุ่มสาว นั่นก็เพราะว่าความอ่อนตัวจะลดลงเม่ืออายุเพ่ิมมากข้ึน โดยมีสาเหตุจากการเปล่ียนแปลงความ ยืดหยุ่นของ Soft tissues และกิจกรรมการเคลื่อนไหวในชีวิตประจาวันลดลง แต่หากมีการฝึกยืดเหยียด กลา้ มเนอื้ เป็นประจา จะช่วยไม่ใหค้ วามออ่ นตวั ลดลงตามอายทุ ่เี พมิ่ ขึ้นได้ 3) ผู้หญิงจะมคี วามอ่อนตัวมากกว่าผ้ชู ายใช่หรอื ไม่ จากหลักฐานโดยทั่วไปจะพบว่า ผู้หญิงจะมีความอ่อนตัวมากกว่าผู้ชายในทุกระดับอายุ ซ่ึงการท่ี ผู้หญิงมีความอ่อนตัวที่ดีกว่าเป็นเพราะความแตกต่างระหว่าง Pelvic structure และฮอร์โมนที่มีผลต่อความ ยืดหยุ่นของเนื้อเยอ่ื เก่ยี วกัน แต่เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบมุมการเคล่ือนไหวแต่ละข้อต่อ จะพบว่าผู้หญิงไม่ได้ มีความอ่อนตัวมากไปกว่าผู้ชายเสมอไป โดยผู้หญิงจะมีแนวโน้มของ Hip flexion และ Spinal lateral flexion มากกวา่ ผูช้ ายในอายเุ ดยี วกัน ส่วนมุมการเคลื่อนไหวของ Hip extension และ Spinal flexion และ extension ใน Thoracolumbar region ผชู้ ายจะมากกวา่ หญิง เป็นตน้ 4) กิจกรรมการออกกาลงั กายมีผลต่อความออ่ นตัวไดอ้ ย่างไร เป็นทท่ี ราบกนั ดีว่าความออ่ นตวั นั้นนอกจากจะขึ้นอยู่กับอายุ เพศ วัย ชนิดของร่างกายแล้ว ยังขึ้นอยู่ กับกจิ กรรมการออกกาลังกายและการเคลือ่ นไหวในชีวิตประจาวันด้วย และส่วนน้ีเองที่เป็นปัจจัยสาคัญที่มีผล ต่อความอ่อนตัวเป็นอย่างมาก น่ันก็เพราะว่าการเคล่ือนไหวช่วยให้กล้ามเนื้อมีการยืดตัวและหดตัว ทาให้ กล้ามเน้ือไม่ยึดติดและเกิดการตึงตัว ซึ่งการขาดการออกกาลังกายหรือในชีวิตประจาวันไม่ค่อยมีการ เคลื่อนไหวจะทาให้เน้ือเยื่อเก่ียวพันมีการหดเกร็งและหดตัวส้ันเข้า จึงเป็นสาเหตุให้การเคล่ือนไหวของข้อต่อ ถกู จากดั อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรบั นักกฬี า 189 5) การพัฒนาให้เกดิ ความอ่อนตัวมาก ๆ ดีหรอื ไม่ ส่วนน้ีเป็นส่วนสาคัญ การฝึกในลักษณะที่ทาให้เกิดความอ่อนตัวมากเกินไป จะเป็นผลให้การ เคลื่อนไหวไม่มั่นคง หรือเพ่ิมมุมการเคล่ือนไหวของข้อต่อมากเกินไป ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เกิดข้อหลวม ข้อต่อ จะหลดุ ไดง้ ่าย และทาให้เกิดการบาดเจบ็ ทก่ี ล้ามเน้อื ตวั อย่างเช่น ในนักยิมนาสติก และนักว่ายน้า จะมีปัญหา เกย่ี วกับขอ้ ไหล่เคลื่อน อันเน่ืองจากข้อหลวมและการเคล่ือนไหวของข้อไหล่ท่ีมากเกินปกติ ดังน้ัน ผู้ท่ีมีหน้าที่ เกี่ยวกับการจัดโปรแกรมการออกกาลังกาย ควรท่ีจะทาการประเมินมุมการเคลื่อนไหวและออกแบบโปรแกรม การยดื เหยยี ดกลา้ มเนือ้ เพอ่ื พฒั นาความอ่อนตวั โดยไม่สง่ ผลกระทบต่อความม่นั คงของข้อตอ่ ประเภทของการทดสอบความอ่อนตวั ความอ่อนตัว เป็นองค์ประกอบที่สาคัญประการหนึ่งของสมรรถภาพทางกาย เป็นความสามารถใน การเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ได้ตลอดช่วงการเคล่ือนไหว (range of motion) โดยปราศจากความเครียดในข้อ ตอ่ และความเครยี ดจากการหดตวั ของกล้ามเน้ือ ซึ่งจาเป็นที่จะต้องมีการประเมินและทดสอบสมรรถภาพด้าน ความออ่ นตวั โดยในการทดสอบความออ่ นตัวสามารถทาได้ ดังนี้ Heyward (2006) และ Miller (2012) o การทดสอบความออ่ นตัวแบบอยู่กบั ท่ี (static flexibility test) เป็นการวัดความสามารถของมุมการเคล่ือนไหวข้อต่อต่าง ๆ ในขณะท่ีกล้ามเน้ือมีการยืดเหยียดแบบ อยู่กับท่ี โดยแบ่งเป็นวิธีการวัดทางตรง (direct measurement) และวิธีการวัดทางอ้อม (indirect measurement method) 1. วิธีการวัดทางตรง (direct measurement) จะเป็นการวัดความสามารถในการเคล่ือนไหวของข้อ ตอ่ ตา่ ง ๆ โดยตรง โดยใชเ้ คร่อื งมอื Goniometer เคร่ืองมือ Flexometer และเคร่ืองมอื Inclinometer 2. วิธีการวัดทางอ้อม (indirect measurement method) เป็นวิธีการวัดมุมในการเคล่ือนไหวของ ขอ้ ตอ่ ทเ่ี ขา้ ใกลส้ ว่ นหนง่ึ สว่ นใดของร่างกายมากท่สี ุด โดยจะวดั ความอ่อนตัวเป็นภาพรวมซึ่งรวมข้อต่อหลาย ๆ ข้อต่อ โดยหน่วยท่ีได้จะเป็นระยะทางที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายสามารถเคล่ือนท่ีได้ ได้แก่เซนติเมตร หรือน้ิว เปน็ ต้น อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรบั นักกฬี า 190 o การทดสอบความอ่อนตัวแบบเคล่ือนท่ี (dynamic flexibility test) เป็นการวัดแรงต้านทานท่ีข้อต่อสามารถรับไว้ได้ โดยการวัดแรงเชิงมุม (torque) ที่ช่วยทาให้เกิด ช่วงกว้างของการเคลอื่ นไหว ทคี่ วามเรว็ ในระดบั ต่าง ๆ กนั อย่างไรก็ดี วิธีการทดสอบน้ีไม่ค่อยนิยมนามาใช้ใน การทดสอบ เพราะการปฏิบัตติ ้องใชเ้ ครอื่ งมือและอปุ กรณ์ที่คอ่ นข้างยงุ่ ยาก อย่างไรก็ตาม ในการทดสอบความอ่อนตัวโดยท่ัวไป ซ่ึงสามารถทดสอบได้ท้ังภาคสนามและใน หอ้ งปฏิบตั กิ ารนั้น มักนยิ มทดสอบความอ่อนตัวแบบอยู่กับท่ี (static flexibility) เพราะสะดวกในการทดสอบ และสามารถวัดมุมของการเคล่อื นไหว (range of motion) ไดโ้ ดยตรง ซ่ึงค่า ROM นี้มีความสาคัญมากในการ ประเมิน Joint stiffness และความต้านทานในการเคล่ือนไหว ซ่ึงสามารถวัดได้ทั้งวิธีการวัดทางตรงและ วิธีการวดั ทางอ้อม โดยรูปแบบของการทดสอบความออ่ นตัวสามารถสรปุ ไดจ้ ากภาพต่อไปน้ี ภาพท่ี 6.1 รปู แบบการทดสอบความอ่อนตวั อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรบั นกั กฬี า 191 ตัวอยา่ งแบบทดสอบความอ่อนตวั โดยทั่วไป การทดสอบความอ่อนตัว ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบในห้องปฏิบัติการหรือการทดสอบทาง ภาคสนาม จะนยิ มทดสอบความอ่อนตัวแบบอยกู่ ับท่ี (static flexibility test) เน่อื งจากการทดสอบความอ่อน ตวั รปู แบบน้ี สามารถท่จี ะวดั คา่ ออกมาเปน็ ช่วงของมุมการเคลื่อนไหว ซึ่งสามารถที่จะบ่งบอกถึงการยืดติดของ ข้อต่อได้ แต่อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยเพียงเล็กน้อยเท่าน้ันท่ีใช้การประเมินความอ่อนตัวแบบเคล่ือนที่ ใน เอกสารประกอบการสอนเลม่ น้ี จะกล่าวถึงการทดสอบความอ่อนตวั แบบอยู่กับที่ โดยใช้วิธีการวัดท่ีเป็นวิธีการ ทางตรงและทางออ้ มเท่าน้นั o การทดสอบความออ่ นตวั แบบอยู่กบั ทโ่ี ดยวธิ กี ารวดั ทางตรง การประเมินความอ่อนตัวแบบอยู่กับท่ีโดยวิธีการวัดทางตรงนี้ จะเป็นการวัดผลรวมของมุมการ เคล่ือนไหวโดยมีหน่วยเป็นองศา ซึ่งอุปกรณ์ท่ีใช้ได้แก่ เคร่ืองวัดมุม Goniometer เครื่อง Flexometer และ เครือ่ ง Inclinometer ส่วนรายละเอียดในการทดสอบมดี ังนี้ Goniometer Goniometer เปน็ เคร่ืองมือวัดมุมการเคล่ือนไหว ซ่ึงประกอบด้วยแขนสองข้างที่อาจจะทาด้วยโลหะ หรือพลาสตกิ ใช้วัดมุมการเคล่ือนไหว (ROM) ของข้อต่อต่าง ๆ โดยการทางานของเครื่องวัดมุม Goniometer แขนข้างหนงึ่ จะไมส่ ามารถเคลอ่ื นที่ได้โดยจะอยู่ตรงเส้นศูนย์ของเครื่องวัดมุม ในขณะอีกข้างหน่ึงสามารถปรับ ใหม้ ีการเคลือ่ นที่ตามแนวรยางค์ของร่างกายท่ีเคล่ือนไหวได้ การทดสอบมุมการเคล่ือนไหวโดยใช้เครื่องวัดมุม Goniometer จะปรับแขนให้จุดก่ึงกลางของเครื่องอยู่ตรงจุดหมุนของข้อต่อทาบไปตามยาว ในส่วนที่จะ ทดสอบ คือ แขนของเคร่ืองวัดมุมที่ไม่สามารถเคลื่อนท่ีได้จะวางแนวไปกับร่างกายท่ีเป็นส่วนต้นของมุมการ เคล่ือนไหวและแขนของเครื่องวัดมุมท่ีเคลื่อนไหวได้จะทาบไปกับร่างกายที่เป็นส่วนปลาย จะบันทึกผลการ ทดสอบโดยการหาความแตกตา่ งระหว่างระยะองศาส่วนส่วนตน้ และปลาย ภาพที่ 6.2 ตัวอยา่ งการวัดมุมการเคล่ือนไหวโดยใช้ Goniometer ที่มา: Heyward (2006) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรับนักกฬี า 192 Flexometer Flexometer เป็นเคร่ืองมือที่ใช้วัดมุมการเคลื่อนไหว (ROM) โดยลักษณะของเคร่ืองมือจะ ประกอบด้วยหน้าปัดแสดงองศาของการวัดมุม 360 องศา และตัวช้ีท่ีมีน้าหนัก การวัด ROM จะสัมพันธ์กับ แรงดึงดูดของโลกที่ดึงแสดงองศาของการเคล่ือนไหว โดยการติดอุปกรณ์กับส่วนของร่างกายท่ีเป็นส่วนปลาย จากจดุ หมุนของข้อตอ่ ที่จะทาการวัด และต้ังคา่ องศาไว้ที่ศูนย์ ให้ผู้ทดสอบเคล่ือนไหว และอ่านค่าจากหน้าปัด อุปกรณน์ ้ใี ช้วดั มุมการเคล่ือนไหวของคอ ลาตัว หวั ไหล ข้อศอก ข้อมอื สะโพก เข่า และขอ้ เท้า ภาพที่ 6.3 ตวั อยา่ งการวัดมุมการเคลื่อนไหวโดยใช้ Flexometer ท่มี า: Heyward (2006) Inclinometer เครื่อง Inclinometer เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดมุมการเคลื่อนไหว เหมาะท่ีจะนามาใช้ในการวัดมุมการ เคลื่อนไหวของข้อต่อต่าง ๆ โดยเฉพาะกระดูกสันหลังซึ่งไม่สามมารถวัดด้วยเครื่อง Goniometer เป็น เคร่ืองมือท่ีมีความเที่ยงตรงและให้ค่าในการวัดท่ีคงท่ี ตัวเครื่องมีขนาดเล็กท่ีจะนามาใช้ทดสอบกับข้อต่อ รา่ งกายทม่ี ีขนาดเลก็ การทางานของเครื่อง Inclinometer จะอาศัยการใช้เส้นดิ่งและแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่ง มีคา่ คงท่ี จุดวดั เรมิ่ ท่ีตาแหน่งศูนย์องศา (0°) และเพมิ่ คา่ มมุ ข้นึ ทลี ะ 2 องศา ภาพท่ี 6.3 ตวั อย่างการวดั มุมการเคลื่อนไหวโดยใช้ Inclinometer ท่มี า: Heyward (2006) อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกฬี า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรับนักกฬี า 193 o การทดสอบความออ่ นตวั แบบอยู่กบั ทโี่ ดยวธิ ีการวัดทางอ้อม การทดสอบความอ่อนตัวแบบอยู่กับที่ด้วยวิธีการทางอ้อมนี้ จะเป็นการทดสอบท่ีจะวัดระยะทางของ การเคล่ือนไหวโดยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อในข้อต่อต่าง ๆ ที่ต้องการทดสอบ โดยการวัดอาจจะใช้สายวัด ไม้ เมตรท่ีสามารถวัดระยะท่ีการเคล่ือนไหวได้ หน่วยที่ใช้นิยมจะใช้เซนติเมตรหรือน้ิว การทดสอบด้วยวิธีการ ทางอ้อมส่วนมากจะเป็นวิธีที่ใช้ทางภาคสนาม โดยมีแบบทดสอบมากมายหลายรูปแบบแตกต่างกัน ตาม ตาแหน่งของความออ่ นตวั ทตี่ ้องการจะทดสอบหรือประเมิน โดยตัวอย่างแบบทดสอบความอ่อนตัวแบบอยู่กับ ทโ่ี ดยวธิ ีการวดั ทางออ้ มทนี่ ิยมใชม้ ีวิธกี ารและรายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้ Standard Sit-and-Reach Test วัตถปุ ระสงค์ เพ่อื ทดสอบความอ่อนตวั ของหลังส่วนลา่ งและสะโพก และต้นขาดา้ นหลงั อุปกรณ์ 1. กล่องไม้สาหรบั ทดสอบนั่งงอตวั ไปขา้ งหนา้ ที่มีทย่ี ันเท้าและมาตรวัดระยะทางเป็น + 30 ซม. และ – 30 ซม. โดยจดุ 0 ซม. จะอยู่ตรงท่ียนั เท้า 2. เสอื่ หรือพรมท่ีใช้รองพ้นื สาหรับน่ัง วธิ ีการ 1. ใหผ้ ้เู ขา้ รับการทดสอบน่งั เหยียดขาตรงสอดเทา้ เข้าใตม้ า้ วัด โดยใหเ้ ทา้ ทงั้ สอง ต้งั ฉากกบั พ้ืนและชดิ กัน ฝาุ เทา้ จรดแนบกับท่ียนั เท้า เหยยี ดแขนตรงขนานกบั พื้น 2. ค่อยๆก้มตัวไปข้างหนา้ ให้มอื อยู่บนมา้ วัดจนไม่สามารถก้มต่อไปได้ ใหป้ ลายน้ิวเสมอ กันและรักษาระยะทางไวใ้ หไ้ ด้ 2 วินาทีข้ึนไป อา่ นระยะจากจุด 0 เซนติเมตร ถึง ปลายนวิ้ มอื (ห้ามโยกหรอื งอตวั แรง ๆ) การบนั ทึกผล บนั ทกึ ระยะทางเปน็ เซนตเิ มตร ถ้าเหยยี ดปลายนวิ้ เลยปลายเท้าบันทกึ คา่ เป็น + ถา้ มาถึงปลายเทา้ บนั ทึกค่าเป็น – โดยใช้ค่าท่ดี ีท่สี ุดจากการทดสอบ 2 คร้ัง ทม่ี า: Tomchuk (2011) อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรับนักกฬี า 194 การประเมนิ ผล นาผลการทดสอบท่ีได้ เทียบเกณฑ์มาตรฐานจากตารางต่อไปนี้ อายุ (ปี) เพศชาย 17-19 ตา่ มาก ตา่ ปานกลาง ดี ดีมาก 20-29 3 ลงมา 30-39 5 ลงมา 4-7 8-16 17-20 21 ขน้ึ ไป 40-49 1 ลงมา 50-59 0 ลงมา 6-8 9-16 17-19 20 ขึ้นไป 60-72 -1 ลงมา -3 ลงมา 2-5 6-14 15-18 19 ขึ้นไป อายุ (ปี) ตา่ มาก 1-4 5-12 13-16 17 ขึน้ ไป 17-19 5 ลงมา 20-29 6 ลงมา 0-3 4-12 13-16 17 ขน้ึ ไป 30-39 3 ลงมา 40-49 3 ลงมา (-2)-1 2-9 10-13 14 ขน้ึ ไป 50-59 4 ลงมา 60-72 4 ลงมา เพศหญิง หน่วย : เซนติเมตร ต่า ปานกลาง ดี ดมี าก 6-8 9-15 16-18 19 ขน้ึ ไป 7-9 10-16 17-19 20 ขึน้ ไป 4-7 8-16 17-20 21 ขึ้นไป 4-7 8-15 16-19 20 ขึ้นไป 5-7 8-14 15-17 18 ขึ้นไป 5-7 8-14 15-17 18 ขึ้นไป ทมี่ า: Mackenzie (2005) อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกฬี า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรับนกั กฬี า 195 Modified Sit and Reach Test การทดสอบโดยวิธี Standard sit-and-reach test ค่าท่ีได้จากการทดสอบข้ึนอยู่กับความยาวส่วน แขนหรือขา โดยคนที่มีช่วงขาส้ันกว่าลาตัวจะได้เปรียบเม่ือวัดความอ่อนตัวในแบบทดสอบนี้ ดังนั้น แบบทดสอบ Modified sit and reach test จึงมีการปรับท่าเร่ิมต้น โดยตาแหน่งเร่ิมต้นการทดสอบจะเป็น ค่าศนู ย์ (0) ท่ปี ลายน้วิ มอื ในขณะทีม่ ีการเหยียดแขนตรง ดังนนั้ ผูท้ ีเ่ ขา้ ทดสอบทุกคน จะมีจุดเร่ิมต้นเท่ากัน จึง ชว่ ยลดปัจจัยทีอ่ าจจะทาให้เกดิ ความเคลื่อนเคล่อื นจากการทดสอบอนั เนือ่ งจากปัญหาความแตกต่างของความ ยาวของชว่ งขาและช่วงแขนได้ วตั ถุประสงค์ เพอ่ื ทดสอบความอ่อนตัวของหลงั ส่วนลา่ งและสะโพก และตน้ ขาด้านหลงั อปุ กรณ์ 1. กลอ่ งไม้สาหรับทดสอบน่ังงอตวั ไป ขา้ งหนา้ 2. เสอื่ หรือพรมทีใ่ ชร้ องพ้ืนสาหรบั นงั่ วิธีการ 1. ใหผ้ เู้ ขา้ รับการทดสอบนง่ั หลังตรงผงิ ฝาผนงั เหยยี ดขาตรงโดยท่ีฝุาเทา้ ติดกบั ด้านหนา้ ของกลอ่ ง เหยียด แขนตรงมือซ้อนกัน ปรบั ให้ไม้วัดระยะทางเรมิ่ ท่ี 0 เซนตเิ มตร จากปลายน้ิวมือ 2. ผูเ้ ขา้ รับการทดสอบก้มตวั ไปขา้ งหนา้ ให้อย่างชา้ ๆ ให้ได้ระยะท่ีเคล่อื นได้มากทส่ี ดุ และเม่ือไมส่ ามารถจะยืดมือไปได้และค้างไวป้ ระมาณ 3 วินาที การบันทึกผล บันทกึ ระยะทางเปน็ เซนตเิ มตรโดยใชค้ า่ ที่ดที ส่ี ดุ จากการทดสอบ 2 ครง้ั การประเมนิ ผล นาผลการทดสอบทีไ่ ด้ เทียบเกณฑ์มาตรฐานจากตารางต่อไปนี้ ระดับความอ่อนตัว เพศชาย เพศหญิง ดมี าก >14 >15 ดี 11-14 12-15 7-10 7-11 ปานกลาง 4-6 4-6 ตา่ <4 <4 ต่ามาก หนว่ ย : เซนติเมตร ท่มี า: Tomchuk (2011) อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรบั นกั กฬี า 196 Back Saver Sit and Reach Test วัตถปุ ระสงค์ เพือ่ วัดความอ่อนตวั ของต้นขาดา้ นหลัง อปุ กรณ์ 1. กล่องไม้สาหรบั ทดสอบนั่งงอตัวไปข้างหนา้ 2. เส่ือหรือพรมทีใ่ ช้รองพ้ืนสาหรบั น่งั วิธีการ 1. ให้ผู้เข้ารับการทดสอบนัง่ โดยขาขา้ งขวาเหยยี ดตรง สอดเท้าเข้าใต้กลอ่ งวดั สว่ นขาซา้ ยให้ยกชันเขา่ โดย ฝุาเท้าสามารถวางราบกับพ้นื ได้ โดยจดุ เร่ิมต้น ระยะ 0 น้วิ จะอยู่ทปี่ ลายนิว้ มือทซ่ี ้อนกัน 2. เร่มิ ตน้ การทดสอบ ผู้เขา้ รับการทดสอบ ค่อย ๆ ก้มตัวไปข้างหนา้ โดยเหยยี ดแขนตรง มอื ซ้อนกนั บนกล่องวัดจนไมส่ ามารถก้มต่อไป ได้ คา้ งไว้ประมาณ 3 วินาที 3. เมื่อเสรจ็ ส้นิ การทดสอบ ให้สลับเทา้ ขวา เหยยี ดตรงและเทา้ ซ้ายชนั เข่า การบนั ทกึ ผล บนั ทกึ ระยะทางเปน็ น้ิว โดยใชค้ า่ ที่ดีทีส่ ุดจากการทดสอบ 2 ครงั้ การประเมินผล นาผลการทดสอบทไ่ี ด้ เทียบเกณฑ์มาตรฐานจากตารางต่อไปน้ี ระดับความอ่อนตัว เพศชาย 17 ปี ข้ึนไป เพศหญิง 17 ปี ขนึ้ ไป ตอ้ งปรับปรุง นอ้ ยกว่า 8 นอ้ ยกว่า 12 เหมาะสม 8 ข้ึนไป 12 ขึน้ ไป หนว่ ย : นิ้ว ทมี่ า: Tomchuk (2011) อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรับนกั กฬี า 197 Modified Back Saver Sit and Reach Test วัตถุประสงค์ เพ่ือวดั ความอ่อนตัวของต้นขาดา้ นหลงั อปุ กรณ์ 1. เก้าอ้ีสาหรบั นง่ั ทดสอบสงู 30 เซนเมตร 2. เทปวดั ระยะทาง วิธีการ 1. ให้ผ้เู ข้ารับการทดสอบน่งั บนเกา้ อ้ีโดยขา ขา้ งขวาวางตัง้ ฉากกบั พืน้ ส่วนขาซา้ ยให้ เหยียดตรงวางราบบนเก้าอี้กกระดกสน้ เทา้ ข้ึนโดยจุดเรม่ิ ตน้ ระยะ 0 นิว้ จะอยู่ท่สี น้ เท้าท่ีวางบนเก้าอ้ี 2. เร่ิมต้นการทดสอบ ผูเ้ ขา้ รับการทดสอบ คอ่ ย ๆ กม้ ตวั ไปขา้ งหนา้ โดยเหยียดแขนตรง มือทั้งสองขา้ งวางขนานกันโดยมีปลายเทา้ อยูต่ รงกลางจนไมส่ ามารถกม้ ตอ่ ไปได้ คา้ ง ไวป้ ระมาณ 3 วนิ าที 3. เม่อื เสร็จส้นิ การทดสอบ ให้สลบั เท้าขวาเหยียดตรงและเท้าซา้ ยชนั เข่า ทดสอบใน ลกั ษณะเดยี วกนั การบนั ทกึ ผล บันทกึ ระยะทางเป็นน้ิว โดยใชค้ ่าที่ดีที่สดุ จากการทดสอบ 2 คร้ัง ทม่ี า: Tomchuk (2011) อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366