Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การทดสอบทางสรีรวิทยาสำหรับนักกีฬา

การทดสอบทางสรีรวิทยาสำหรับนักกีฬา

Published by niromlee.m, 2020-05-22 04:19:47

Description: เอกสารประกอบการสอน 02301526 การทดสอบทางสรีรวิทยาสำหรับนักกีฬา สำหรับนิสิตระดับบัณฑิตศึกษา สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา

Search

Read the Text Version

การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรบั นกั กฬี า 48 o ขอ้ ควรปฏบิ ัตใิ นการวัดชีพจร ในการวัดชีพจรนั้น ไม่ใช้นิ้วหัวแม่มือคลาชีพจร เพราะหลอดเลือดท่ีน้ิวหัวแม่มือเต้นแรงอาจทาให้ สับสนกับชีพจรของตนเอง และในขณะทาการวัดชีพจร ไม่ควรให้ผู้ที่ถูกวัดพูดหรือส่งเสียง เพราะจะรบกวน การได้ยนิ เสียงชพี จรและอาจทาเกดิ ความใหส้ ับสนได้ นอกจากนั้น ในการคลาชีพจรแต่ละคร้ัง ส่ิงที่ต้องสังเกต ในขณะคลาชีพจร มีดังตอ่ ไปนี้ (ACSM, 2006) 1. โดยทั่วไปอัตราชีพจรปกติในผู้ใหญ่ ประมาณ 60-100 คร้ังต่อนาที ส่วนอัตราชีพจรในเด็ก ประมาณ 90-130คร้ังต่อนาที ในผู้ใหญ่ถ้าชีพจรเต้นเร็วกว่า 100 คร้ังต่อนาที (tachycardia) ถือว่าเร็วกว่า ปกติ ชีพจรที่เต้นช้ากว่า 60 คร้ังต่อนาที (bradycardia) ถือว่าช้ากว่าปกติ เน่ืองจากอัตราความเร็วของชีพจร ข้ึนอยู่กับการบีบตัวของหัวใจ ดังน้ันอัตราชีพจรอาจมีการเปล่ียนแปลงได้ตามปัจจัยที่ มีผลต่อการบีบตัวของ หัวใจนอกจากนี้ถ้าอุณหภูมิร่างกายสูงข้ึน อัตราของชีพจรก็จะมากขึ้นด้วย โดยพบว่าอัตราชีพจรจะเพ่ิมขึ้น ประมาณ 7-10 ครั้งตอ่ นาที เม่อื อณุ หภมู ิร่างกายสูงข้ึน 0.56 องศาเซลเซยี ส 2. ความแรงของชีพจร ความแรงหรือความหนักเบาของชีพจรในแต่ละจังหวะควรเท่ากัน ซึ่งความ หนักเบาของชพี จรท่คี ลาได้ จะขน้ึ อยู่กับปริมาณเลือดในร่างกาย ถ้าปริมาณเลือดในร่างกายปกติ ชีพจรจะเต้น แรง ถ้าปริมาณเลอื ดน้อยลง ชีพจรกจ็ ะเตน้ เบาตามไปดว้ ย 3. จงั หวะ แสดงถงึ ลกั ษณะการบีบตัวของหวั ใจ จงั หวะท่ีปกติจะต้องสม่าเสมอ ช่วงห่างระหว่างชีพจร แต่ละคร้ังต้องเท่ากัน ถ้าจังหวะการเต้นไม่สม่าเสมอ หรือช่วงห่างไม่เท่ากัน เหมือนมีการหยุดเต้นเป็นช่วงๆ แสดงถงึ การบบี ตวั ท่ีผิดปกตขิ องหัวใจ หรอื มคี วามพิการของหัวใจ o ชีพจรกบั การออกกาลังกายและเล่นกฬี า ในคนปกติ อัตราชพี จร จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น อายุ เพศ เวลา กิจกรรมทาง กาย และสภาวะทางจิตใจ ในเด็ก อัตราชีพจรจะมากกว่าผู้ใหญ่ อัตราชีพจรหญิงจะมากกว่าชาย เวลาเช้าจะ น้อยกว่าเวลาบา่ ย ขณะออกกาลงั กายจะมากกว่าพัก ขณะตื่นเตน้ จะมากกว่าสงบ สาหรับในนักกีฬาหรือผู้ที่ออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ ผลจากการฝึกซ้อมจะทาให้ระบบการ ไหลเวียนเลือดทางานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอัตราชีพจรในขณะพักจะช้ากว่าคนปกติทั่วไป ย่ิงเป็นนักกีฬา ประเภทความอดทน เช่น นักวิ่งมาราธอน นักจักรยานระยะไกล อัตราชีพจรขณะพักอาจลดลงต่าเหลือเพียง 40 คร้ังต่อนาที เม่ือเร่ิมออกกาลังกาย ความต้องการเลือดของกล้ามเนื้อส่วนท่ีออกกาลังจะเพ่ิมขึ้น หัวใจจะต้องสูบ ฉีดเลือดมากข้ึน ชีพจรจึงเร็วข้ึน แต่การปรับตัวจะต้องค่อย ๆ เพ่ิมข้ึนเป็นลาดับ ไม่ใช่เปล่ียนจาก 70 คร้ังต่อ นาทีเป็น 150 คร้ังต่อนาทีได้ทันที ถ้าเป็นการออกกาลังกายแบบความหนักไม่มากนักและคงที่สม่าเสมอ ใน อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรบั นักกฬี า 49 ระยะ 1-3 นาทีแรก อตั ราชพี จรจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น เรียกว่าเป็นระยะปรับตัวและจะคงท่ีอยู่ถ้าความหนักน้ันไม่ เปล่ียนแปลง เรยี กว่า ระยะคงท่ี เม่อื หยุดออกกาลังกายชีพจรจะค่อย ๆ ลดลงจนสู่ระยะเดิมเรียกว่า ระยะฟื้น ตวั แต่ถา้ เปน็ การออกกาลังกายแบบเพ่มิ ความหนกั ขนึ้ เรื่อย ๆ จะไม่มรี ะยะคงท่ี เพราะชีพจรจะเพ่ิมข้ึนเร่ือย ๆ ตามความหนกั ไปจนถงึ ระดบั ท่ชี ีพจรไมส่ ามารถเพิ่มขนึ้ ไดอ้ ีกแม้จะเพิ่มความหนักต่อไป ชีพจรในตอนนี้เรียกว่า เป็นอัตราชีพจรสูงสุดของคนผู้นั้น ซ่ึงเม่ือถึงขั้นนี้แล้วการออกกาลังในระดับนั้นจะทาไม่ได้ต่อไป อัตราชีพจร สงู สุดขึ้นอยู่กบั อายุ โดยเฉลี่ยแลว้ อัตราชพี จรสูงสดุ ในคนอายุต่ากวา่ 20 ปี จะถงึ 200 ครง้ั ตอ่ นาที หรือกว่าน้ัน แลว้ ค่อย ๆ ลดลงตามลาดบั ตาราง ในการแข่งขันกีฬา อัตราชีพจรของนักกีฬาระหว่างการแข่งขันจะแตกต่างกันไปตามประเภทกีฬา เกม การเล่นเทคนิค และแทคติคท่ีใช้ กีฬาบางประเภท การเปล่ียนแปลงของชีพจรตลอดระยะเวลาการแข่งขันไม่ มาก เชน่ นักวิ่งระยะไกล หรอื จักรยานระยะไกล เมือ่ พ้นระยะปรับตัวแล้วชีพจรจะค่อนข้างคงที่อยู่ในระดับต่า กว่าชีพจรสูงสุด เช่น อยู่ระหว่าง 140-150 คร้ังต่อนาที เกือบตลอดระยะทาง จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เมือ่ มกี ารผอ่ นความเร็วหรอื เรง่ ความเรว็ ซงึ่ อัตราชพี จรจะลดลงหรือเพ่ิมขึ้นตามไป สาหรับกีฬาบางประเภทที่ มลี กั ษณะไมส่ ม่าเสมอ เชน่ บาสเกตบอล วอลเลย์บอล ฟุตบอล และแบดมินตัน เป็นตน้ ในระหว่างการแข่งขัน อตั ราชีพจรอาจลดลงถึง 120 ครงั้ ต่อนาทีหรอื เพิ่มข้ึนถึงกว่า 180 ครั้งต่อนาที ขึ้นอยู่กับความหนักเบาของเกม การแขง่ ขัน (Power and Howley, 2001) โดยทั่วไปอัตราชีพจรขณะพักของนักกีฬาจะต่ากว่าผู้ที่ไม่ใช่นักกีฬาและในขณะออกกาลังกายและใน การพักหลังการออกกาลังกายก็จะต่ากว่าด้วย โดยในขณะออกกาลังกาย เม่ือเปรียบเทียบอัตราชีพจรของ นักกีฬาและบคุ คลทัว่ ไป เมือ่ ออกกาลังกายหรือเล่นกฬี าท่ีระดับความหนกั เหมอื น ๆ กันจะพบว่า ในนักกีฬาจะ มอี ตั ราชีพจรทตี่ ่ากวา่ ระยะการปรบั ตัวเขา้ สู่ระยะคงท่ขี องนักกีฬาเรว็ กว่า อัตราชีพจรในระยะคงท่ีของนักกีฬา ต่ากว่าและภายหลงั หรอื หยุดออกกาลังกายนักกีฬาจะมีอตั ราการฟืน้ ตัวทเ่ี รว็ กวา่ o การใชช้ พี จรในการประเมินสขุ ภาพและความสมบรู ณท์ างกาย การใช้ชีพจรเพื่อประเมินภาวะสุขภาพและความสมบูรณ์ทางกายน้ันมีประวัติการนามาใช้กันอย่าง ยาวนาน โดยสามารถท่ีจะใช้การเปล่ียนแปลงของชีพจรมาประเมินภาวะสุขภาพของผู้ปุวย คนท่ัวไปรวมไปถึง นักกีฬา โดยปกติเวลาท่ีดีท่ีสุดที่ใช้ในการวัดอัตราชีพจร คือ ช่วงตอนตื่นนอนตอนเช้า ก่อนที่จะลุกขึ้นไปทา กิจวัตรประจาวัน โดยตาแหน่งท่ีสะดวกที่สุดในการนับอัตราชีพจรของนักกีฬามี 2 แห่ง คือ ท่ีข้อมือ และท่ี ด้านข้างคอ ท่ขี ้อมือ ซ่ึงการวดั ชีพจรสาหรบั นักกีฬานั้นมปี ระโยชน์ดังนี้ 1. ใช้ตดิ ตามผลการฝึกซอ้ ม ในระหว่างการฝึกซอ้ ม ถ้านักกีฬาสามารถวัดชีพจรของอย่างต่อเน่ืองและ สม่าเสมอ จะช่วยบอกถึงประสิทธิภาพของโปรแกรมการฝึกซ้อมท่ีดาเนินอยู่น้ันและสภาพร่างกายได้ โดยถ้า ความสมบูรณ์ทางกายของนักกีฬาดี อัตราชีพจรขณะพักจะลดลง แสดงว่าการฝึกซ้อมท่ีดาเนินอยู่นั้นให้ผลใน การเพ่ิมความสมบูรณ์ได้เต็มที่แล้ว หากจะเพ่ิมความสมบูรณ์ข้ึนไปอีก จะต้องเปล่ียนแปลงการฝึกซ้อม โดย อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกฬี า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรบั นักกฬี า 50 อาจเพมิ่ ความหนักหรอื ความนานข้นึ ในระยะท่ีอตั ราชพี จรลดลงจนถึงระดับคงท่ีมาหลาย ๆ วันแล้ว เกิดมีวัน ใดวนั หน่งึ ทก่ี ลับสูงขึ้นไป จะเป็นข้อสังเกตที่สาคัญท่ีบอกว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว เช่น เกิดภาวะเจ็บปุวย หรือเกิดจากการซ้อมท่ีหนักมากเกินไป หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น โดยระดับความสมบูรณ์ของร่างกาย จากการวดั ชพี จรขณะพกั แสดงได้จากตารางตอ่ ไปนี้ ตารางท่ี 2.2 ระดบั ความสมบรู ณ์ของรา่ งกายจากการวัดอัตราชีพจรขณะพัก (ครง้ั /นาท)ี ระดับความสมบรู ณ์ ระดับอายุ (ปี) 65+ 18 -25 26 -35 36 -45 46 - 55 56 -65 เพศชาย 50-55 ระดบั นกั กีฬา 49-55 49-54 50-56 50-57 51-56 56-61 ระดับดมี าก 56-61 55-61 57-62 58-63 57-61 62-65 ระดับดี 62-65 62-65 63-66 64-67 62-67 66-69 ระดบั ปานกลาง 66-69 66-70 67-70 68-71 68-71 70-73 ระดบั พอใช้ 70-73 71-74 71-75 72-76 72-75 74-79 ระดบั ตา่ 74-81 75-81 76-82 77-83 76-81 83-98 ระดับต่ามาก 84-95 84-94 86-96 85-97 84-94 เพศหญงิ 54-59 ระดบั นกั กีฬา 54-60 54-59 54-59 54-60 54-59 60-64 ระดับดมี าก 61-65 60-64 60-64 61-65 60-64 65-68 ระดับดี 66-69 65-68 65-69 66-69 65-68 69-72 ระดับปานกลาง 70-73 69-72 70-73 70-73 69-73 73-76 ระดบั พอใช้ 74-78 73-76 74-78 74-77 74-77 79-84 ระดบั ต่า 80-84 78-82 79-84 78-83 79-81 88-96 ระดับตา่ มาก 86-100 84-94 84-92 85-96 85-96 ทม่ี า: YMCA (1989) 2. ใชก้ าหนดความหนกั ของการฝึกซ้อม ในปัจจุบันผู้ฝึกสอนกีฬา จะใช้อัตราชีพจรช่วยในการกาหนด ระดับความหนักของการฝกึ ซอ้ มได้ โดยการกาหนดความหนกั ของการฝกึ ซ้อมโดยใช้ชีพจรจะคานวณจากอัตรา ชีพจรสงู สุด ซ่ึงคิดจาก 220-อายุ คูณด้วยเปอร์เซ็นต์ของระดับความหนักท่ีต้องการออกกาลังกายหรือฝึกซ้อม ซง่ึ สามารถแสดงไดจ้ ากตารางตอ่ ไปน้ี อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรบั นกั กฬี า 51 ตารางท่ี 2.3 การกาหนดระดบั ความหนักสาหรบั การออกกาลงั กายหรือฝกึ ซ้อมกฬี าโดยใช้อตั ราชีพจร ระดบั อายุ ระดบั เบา (60-70%) ระดับความหนัก ระดับสงู (80-90%) 20-24 118 -140 ระดบั ปานกลาง (70-80%) 157 -180 20-25 114 -137 152 -171 31-35 111 -132 140 -157 148 -170 36-40 108 -129 137 -152 144 -166 41-45 105 -125 132 -148 140 -161 46-50 102 -122 129 -144 136 -157 51-55 99 -118 125 -140 132 -152 56-60 96 -115 122 -136 128 -148 ทีม่ า: YMCA (1989) 118 -132 115 -128 ความดนั เลอื ด (blood pressure) ความดันเลือด เป็นแรงดันของเลือดท่ีไปกระทบกับผนังหลอดเลือดแดง ซึ่งเกิดจากการที่หัวใจบีบตัว ทาให้เกิดแรงดันในหลอดเลือดจะเป็นคลื่นสูงต่า ตามจังหวะหัวใจ ความดันเลือดในส่วนต่าง ๆ ของการ ไหลเวียนนั้นไม่เท่ากัน โดยท่ัวไปความดันเลือดแดงท่ีส่งจากหัวใจน้ันมีความดันมากท่ีสุดต่อจากนั้นจะค่อย ๆ ลดลง จนถงึ หลอดเลอื ดดาใหญท่ ่จี ะเข้าหัวใจกจ็ ะมีความดนั นอ้ ยทีส่ ุด การท่หี ลอดเลอื ดตอ้ งมีความดัน ก็เพราะ มีหน้าท่ีต้องนาเลือดท่ีส่งออกจากหัวใจไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ความดันเลือด มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร ปรอท (มม.ปรอท หรือ mm.Hg.) โดยตัวแปรท่ีวัดได้จากการวัดความดันเลือดมีดังน้ี (Cooper and Storer, 2001) ความดันเลือดซิสโตลิค (systolic blood pressure: SBP) หมายถึง ความดันเลือดสูงสุดขณะหัวใจ บีบตัว บง่ ชี้ถึงความสามารถในการยืดขยาย (distensibility) ของผนังหลอดเลือดแดง ขณะรับเลือดจากหัวใจ ในชว่ งหวั ใจบีบตัว ความดันเลอื ดไดแอสโตลิค (diastolic blood pressure: DBP) หมายถงึ ความดนั เลอื ดตา่ สุดขณะ หัวใจคลายตัว บ่งช้ีถึงภาวะที่มีแรงดันต่อผนังหลอดเลือดแดงขณะหัวใจพัก และค่าแรงต้านต่อการบีบตัวของ หัวใจในการสง่ เลอื ดออกไปเลีย้ งร่างกาย ความดันชีพจร (pulse pressure: PP) หมายถึง ความแตกต่างของความดัน ความดันเลือดซิสโตลิค และ ความดันไดแอสโตลิค โดยค่าปกติมีประมาณ 30 ถึง 40 มิลลิเมตรปรอท ปัจจัยที่มีอิทธิผลต่อการ อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรับนักกฬี า 52 เปล่ียนแปลงค่าของ pulse pressure ได้แก่ ปริมาณเลือดท่ีออกจากหัวใจต่อการบีบตัว 1 คร้ัง (stroke volume) และความสามารถในการยืดขยายของผนังหลอดเลือดแดง ความดันเลือดแดงเฉล่ีย (mean atrial blood pressure: MAP) เป็นค่าของความดันเลือดระหว่าง ความดันซิสโตลิกและความดันไดแอสโตลิก เน่ืองจากในรอบการทางานของหัวใจช่วงล่างบีบตัวจะใช้เวลาส้ัน กวา่ ช่วงเวลา คลายตัว ดงั นั้นในการพจิ ารณาค่าของความดันเลือดแดงเฉล่ยี จึงไมใ่ ช่ค่าก่ึงกลางระหว่าความดัน ซิสโตลิกและความดันแอสโตลิก แต่ค่าของความดันเลือดแดงเฉล่ียจะอยู่ค่อนมาทางความดันไดแอสโตลิก เล็กนอ้ ยมี คา่ โดยประมาณจากสตู รตอ่ ไปนี้ MAP = DBP + 1/3 (SBP-DBP) นอกจากนั้น ความดนั เลือดซสิ โตลิคยงั สามารถนามาใช้คานวณปริมาณการใช้ออกซิเจนของกล้ามเมื้อ หัวใจ (myocardial oxygen consumption: MVO2) ควบคู่กับอัตราการเต้นของหัวใจ โดยวัดออกมาในรูป ของค่า Rate pressure product or double product (RPP) จากสมการต่อไปนี้ RPR = heart rate x systolic blood pressure ซึ่งค่า Rate pressure product หรือ MVO2 มักจะใช้ในการทดสอบสมรรถภาพหรือออกกาลังกาย ฟ้ืนฟสู าหรับผปู้ วุ ยโรคหวั ใจ จากสรีรวทิ ยาของการทางานของระบบหัวใจไหลเวียนเลือด จะพบว่า ความดันเลือดจะมีสัมพันธ์และ เก่ียวขอ้ งกบั ปริมาณของเลือดที่ออกจากหัวใจใน 1 นาที (cardiac output) และแรงต้านทานของหลอดเลือด สว่ นปลาย (total peripheral resistance) โดยแสดงความสัมพันธ์ไดจ้ ากสมการต่อไปนี้ blood pressure = cardiac output x total peripheral resistance ในนกั กีฬาจะมีปริมาณเลือดท่ีออกจากหัวใจต่อนาทีเพิ่มขึ้น ซ่ึงจะเป็นผลให้ความดันเพ่ิมข้ึนเน่ืองจาก ความต้านทานลดลง ทาให้เลือดส่งไปกล้ามเนื้อได้ดี และยังทาให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นดี ในขณะที่ออก กาลังกาย จะมีการถ่ายคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากเนื้อเย่ือ ส่งผลให้ปอดทาหน้าท่ีเร็วขึ้น ซึ่งหมายถึงระบบ ไหลเวียนทาหน้าที่ดีข้ึน ในขณะเดียวกันฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต (epinephrine) ก็เป็นตัวท่ีทาให้ความดัน เลอื ดเพ่มิ หัวใจเต้นเร็วและแรง หลอดเลือดขยายขึ้น ขณะออกกาลังกายเลือดจะไหลสู่อวัยวะมากข้ึน อวัยวะ บางส่วน เช่น ในช่องท้องก็จะใช้เลือดน้อยลง อัตราการเต้นของหัวใจในขณะออกกาลังกายจะเพ่ิมข้ึนซ่ึง หมายถึง การเพ่ิมข้ึนปริมาณเลือดท่ีออกจากหัวใจต่อนาทีและเลือดที่ออกจากหัวใจในการบีบตัวต่อครั้ง ก็ เพิ่มขึ้นตามไปดว้ ย ดงั นนั้ ความดันของซีสโตลคิ (systolic) กจ็ ะเพิ่มข้ึน ส่วนความดันไดแอสโตลิค (diastolic) จะอยู่ในเกณฑ์คงที่หรือลดลงเพียงเล็กน้อย โดยในการทางานของระบบหัวใจไหลเวียนเลือด จะมีความ เกยี่ วขอ้ งกบั การควบคุมความดันเลือด โดยมีปจั จยั ท่ีเกีย่ วข้องดงั น้ี (Brook. 2004) อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรบั นกั กฬี า 53 1. การทางานของหวั ใจ ถา้ หัวใจถกู กระต้นุ ให้มกี ารบบี ตัวแรงขน้ึ เลือดท่ีถูกส่งออกจากหัวใจมีปริมาณ มากขึ้น จะมผี ลทาให้ความดนั เลอื ดซิสโตลคิ สูงข้นึ แตถ่ ้าหัวใจเพียงแตบ่ ีบตวั เร็วข้นึ แตค่ วามแรงของการบีบตัว เท่าเดิม จะมีผลทาให้ความดันเลือดไดแอสโตลิคสูงขึ้น โดยที่ความซิสโตลิคเท่าเดิม ในกรณีท่ี หัวใจมีการเพ่ิม ทง้ั อตั ราเร็วและความแรงในการบีบตัวก็จะทาให้ความดันเลือดสูงข้ึน ท้ัง 2 ค่า ซ่ึงหมายถึงขณะนั้นหัวใจกาลัง ทางานอยา่ งหนัก 2. ปริมาณเลือดในร่างกาย การเพ่ิมหรือลดปริมาณของเลือดย่อมมีผลต่อความดันเลือด ผู้ใหญ่ปกติ จะมีเลือดอยู่ประมาณ 6 ลิตร ที่อยู่ในระบบการไหลเวียนของเลือด ถ้าจานวนเลือดลดลง เช่น การเสียเลือด อย่างกะทันหันหรือท้องเดินอย่างรุนแรง จะมีผลทาให้ปริมาณเลือดในร่างกายน้อยลง แรงดันเลือดท่ีสูบฉีด จากหวั ใจจะต่าลงทาให้ความดนั เลอื ดตา่ ลงด้วย 3. ความหนืดของเลือด ข้ึนอยู่กับความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด เลือดท่ีมีความหนืด สงู ทาใหเ้ ลือดไหลชา้ ตอ้ งใช้ความดันสูง ดงั นนั้ จึงทาใหเ้ กดิ ความดันเลือดสูงขน้ึ ด้วย 4. ขนาดของหลอดเลือด ถ้าขนาดของหลอดเลือดเล็กลง เช่น มีการเกาะตัวของโคเลสเตอรอลใน หลอดเลือด ความต้านทานของหลอดเลือดก็จะมีมากขึ้น มีผลทาให้หัวใจบีบตัวแรงข้ึน จึงจะมีเลือดไปเลี้ยง ร่างกายเพียงพอซึ่งมีผลทาให้ความดันเลือดสูงขึ้น แต่ถ้าผู้ที่เข้ารับการทดสอบอยู่ในภาวะท่ีมีการขยายตัวของ หลอดเลอื ดในรา่ งกาย ทาให้หัวใจใชแ้ รงบีบตัวให้เลอื ดไปเลยี้ งส่วนต่างๆ ของรา่ งกายลดลง มีผลทาให้ความดัน เลือดต่าลง 5. ความยดื หยนุ่ ของหลอดเลือด ความยดื หยุ่นของหลอดเลอื ดที่น้อยลง มักพบในผู้สูงอายุ ซ่ึงจะทาให้ ค่าความดันซิสโตลคิ สงู ข้ึน เพราะวา่ หลอดเลือดไม่สามารถจะยดื ได้และค่าความดันไดแอสโตลิคจะลดลงเพราะ หลอดเลือดจากดั การหดรดั ตัว o กลไกการควบคมุ ความดนั ของร่างกาย ปัจจัยท่ีเช่ือว่าเป็นสาเหตุของความดันเลือดสูง โดยท่ัวไปได้แก่ กรรมพันธ์ุ ความอ้วน ระดับไขมันในเส้น เลือด ความเครียดทางจิตใจและสังคมรวมท้ังลักษณะนิสัยความเคยชิน เช่น การรับประทานอาหารรสเค็ม ในภาวะปกติร่างกายมีกลไกการปรับความดันเลือดให้มีค่าอยู่ในระดับปกติและคง ท่ีอยู่เสมอถ้าปัจจัยชนิดใด ชนิดหน่ึงเปลี่ยนแปลงไป ปัจจัยชนิดอ่ืนๆ จะร่วมกันปรับตัวเพ่ือรักษาให้มีค่าอยู่ในระดับความดันเลือดปกติ และคงที่ โดยกลไกการควบคมุ ความดันของร่างกายมีดังน้ี (Brook. 2004) 1. กลไกการปรับความดันเลือดท่ีเกิดขึ้นโดยรวดเร็ว หมายถึง กลไกที่ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเป็นวินาที ในการปรบั ได้แก่ อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรับนกั กฬี า 54 1.1 กลไกทางระบบประสาท ได้แก่ปฏิกิริยารีเฟลกซ์ โดยตัวท่ีมีบทบาทสาคัญในการควบคุมความดัน เลือดคือ bororeceptor reflex, chemoreceptor reflex และ central nervous system, ischemic mechanism ส่วนท่ีสาคัญท่ีสุดในการควบคุมความดันเลือดโดยเฉพาะ โดยอาศัยตัวรับรู้ (receptor) ท่ีไวต่อ การเปลี่ยนแปลงความดันเลือดเรียกว่า baroreceptor cells หรือ pressoreceptor cells ซึ่งอยู่บริเวณผนัง ของหลอดเลือดแดงขนาดใหญ่ เมอ่ื ระดับของความดันเลือดสูงข้ึน สัญญาณคล่ืนประสาทจาก receptor ไปยัง สมองจะเพ่ิมความถี่มากขึ้น โดยส่งผ่านไปกับประสาทสมองคู่ท่ี 9 และคู่ท่ี 10 การตอบสนองท่ีเกิดขึ้น คือ หลอดเลือดจะลดแรงตึงตัวลงทาให้ความต้านทานส่วนปลายลดลง ในขณะเดียวกันจะมีการส่งคาส่ังจาก ประสาทเวกัสมาท่ีหัวใจ ทาให้หัวใจเต้นช้าลงและความแรงในการบีบตัวลดลง จึงทาให้ cardiac output ลดลง ความดันเลือดจึงลดลงสู่ภาวะปกติ ในทางกลับกันถ้าระดับความดันเลือดลดลงมาก เช่น กรณีสูญเสีย เลือด baroreceptor จะรับรู้ต่อการเปล่ียนแปลงของความดันดังกล่าว จะเปล่ียนแปลงความถ่ีของสัญญาณ คลื่นประสาทท่ไี ปยังสมองให้ชา้ ลงมีผลต่อสมอง คือ หลอดเลือดหดตวั หัวใจเตน้ เรว็ และความแรงในการบีบตัว เพ่ิมขึ้น นอกจากน้ันมีการหดตัวของหลอดเลือดดาเกิดข้ึน และมีผลทาให้ความจุของเลือดในหลอดเลือดดา ลดลง จึงมีปริมาณเลือดไหลกลับสู่หัวใจเพ่ิมข้ึน ทาให้ cardiac output เพิ่มข้ึน การตอบสนองของร่างกาย ดงั กล่าวนชี้ ว่ ยปรับใหร้ ะดบั ความดันเลอื ดเข้าสภู่ าวะปกตไิ ด้ Baroreceptor reflex มีบทบาทสาคัญในการปรับความดันเลือดตลอดเวลาซ่ึงการเปล่ียนแปลงของ ความดันโลหิต จะเกิดได้แม้ในขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงอิริยาบถ ท่าทางของร่างกาย ซึ่งเป็นผลจากแรง ภายนอกคือ แรงโน้มถ่วงของโลก ทาให้ปริมาณเลือดท่ีไหลกลับสู่หัวใจเปลี่ยนแปลงช่ัวคราว และรีเฟล็กซ์จะ ถกู กระตนุ้ ให้ทางานทันทีโดยมกี ารเปล่ยี นแปลงขนาดของหลอดเลือด การเต้นของหัวใจ และความแรงของการ บบี ตวั ของหัวใจ Chemoreceptor reflex เป็นรีเฟล็กซ์ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบทางเคมีของ เลือดโดยมี ตาแหน่งของ chemoreceptor อยู่ที่ carotid และ aortic bodies มีความไวในการรับรู้ต่อการ เปลี่ยนแปลงของความดันบางส่วนในเลือดแดงของออกซิเจน (PaO2) และของคาร์บอนไดออกไซด์(PaCO2) และความเข้มข้นของไฮโดรเจนในเลือด ซง่ึ มผี ลโดยตรงตอ่ การควบคมุ การหายใจ และมีผลกระตุ้นศูนย์ควบคุม หลอดเลือดหวั ใจในสมอง (vasomotor center) ทาให้การตอบสนองมีความรนุ แรงยง่ิ ขนึ้ นอกจากน้ัน CNS ischemic response reflex ซึ่งเป็นกลไกฉุกเฉินที่จะควบคุมความดันเลือด ใน กรณีที่มีความดันเลือดลดลงมากจนเลือดไปสู่สมองลดลง ภาวะน้ีจะเป็นตัวกระตุ้นท่ีรุนแรง ทาให้มีการ ตอบสนองโดยมีการเพ่ิมการทางานของระบบประสาทซิมพาธิติก ผ่านศูนย์ควบคุมการทางานของหัวใจและ หลอดเลือด เพ่ิมการทางานของหัวใจ และการบีบตัวของหลอดเลือด ปรับให้ความดันเลือดสู่ระดับปกติ รเี ฟล็กซ์นีท้ าเปน็ ระบบฉกุ เฉนิ ในการปูองกันภาวะสมองขาดเลือด อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรบั นกั กฬี า 55 1.2 กลไกทางฮอร์โมนและสารเคมี เป็นกลไกควบคุมความดันเลือดที่เกิดขึ้นในเวลารวดเร็วโดย อาศัยบทบาทของ ฮอร์โมนและสารเคมีด้วยซึ่งได้แก่ norepinephine epinephine system, renin angiotensin system และ vasopressin (ADH) 1.2.1 ฮอร์โมน norepinephine และ epinephine มีผลต่อระบบไหลเวียนเช่นเดียวกับการ กระตุ้นประสาทซมิ พาธิติก คือ ทาให้หัวใจทางานเพิ่มขึ้น หลอดเลือดส่วนใหญ่ในร่างกายหดตัวท้ังหลอดเลือด แดงและหลอดเลือดดา ความดันเลือดสูงขึ้นซ่ึงเป็นการเพ่ิม cardiac output และความต้านทานส่วนปลาย ส่วนฮอร์โมนอื่น ๆ ที่มีส่วนในการควบคุมความดันเลือด คือ vasopressin ซ่ึงทาให้ความดันเลือดเพิ่มข้ึนจาก การเพ่ิมความดันภายในหลอดเลือด และเพ่ิมแรงต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลาย โดย vasopressin เพ่ิม การดดู ซมึ กลบั ของน้าท่หี ลอดทอ่ ไตจึงทาใหป้ รมิ าตรภายในหลอดเลือดเพิ่มขน้ึ 1.2.2 ระบบเรนิน-แองจิโอเทนซิน (renin-angiotensin system) เป็นกลไกของการปรับ ความดันเลือดท่ีเกิดข้ึนอย่างรวดเร็วอีกชนิดหน่ึง นอกจากน้ันยังสามารถควบคุมในระยะยาวด้วย ซ่ึงจะถูก กระตุ้นเม่ือมีระดับความดันเลือดลดลงปริมาณเลือดที่ไหลผ่านไตน้อยลง juxtaglomerular cell ของไตจะ หลั่งเรนิน ซ่ึงการหล่ังเรนินน้ี ยังเป็นผลจากการกระตุ้นประสาทซิมพาธิติกและจากภาวะท่ี มีปัสสาวะน้อยลง เรนนิ ในกระแสเลอื ดจะถกู เปลย่ี นไปเป็นแองจิโอเทนซิน I ท่ีมีผลต่อหลอดเลือดเพียงเล็กน้อย แองจิโอเทนซิน I จะถูกเปล่ียนโดยเอนไซม์จากปอดให้กลายเป็นแองจิโอเทนซิน II ท่ีมีผลต่อระดับความดันเลือดมากกว่า โดย การทาให้หลอดเลือดแดงหดตัวและยับย้ังการขับออกของเกลือและน้าท่ีไตจึงมี ผลกระตุ้นการผลิตและหลั่ง ฮอร์โมนอันโดสเตอโรนซึ่งไปยับยั้งการขับเกลือและ น้า แองจิโอเทนซิน II มีผลต่อหลอดเลือดค่อนข้างมาก โดยมีฤทธ์ิทแ่ี รงกว่านอรอ์ พิ เิ นฟรนิ ประมาณ 200 เทา่ กลไกการปรบั ระดับความดนั เลือดโดยระบบเรนิน-แองจิ โอเทนซิน 2. กลไกการปรับความดันโลหิตที่ต้องใช้เวลานาน หมายถึง กลไกที่ใช้เวลานานเป็นนาทีถึงชั่วโมงใน การปรับระดับความดันโลหิต ซ่ึงเกิดข้ึนช้ากว่ากลไกทางระบบประสาท ได้แก่การควบคุมปริมาตรของเลือด โดยกลไกทางหลอดเลอื ดฝอยและกลไกทางไต 2.1 กลไกทางหลอดเลือดฝอย (capillary fluid shift) เกิดโดยเม่ือความดันโลหิตเปล่ียนแปลงจะ มีผลไปถึงความดันในหลอดเลือดฝอยด้วย ทาให้สมดุลของการแลกเปล่ียนสารน้าผ่านผนังหลอดเลือดฝอยถูก รบกวนไปด้วยถ้า ความดันโลหติ สูง ค่า hydrostatic pressure ของหลอดเลือดฝอยจะเพิ่มข้ึนด้วยทาให้มีการ กรองของนา้ ออกนอกหลอดเลือดมากข้ึน ปรมิ าตรของเลอื ดภายในหลอดเลือดจึงลดลง ถ้าความดันโลหิตลดลง กจ็ ะเกดิ ผลตรงกันขา้ ม กลไกน้มี ปี ระโยชนช์ ว่ ยปรับความดนั โลหติ โดยการควบคุมปริมาตรของหลอดเลือด 2.2 กลไกทางไต (Renal body fluid mechanism) การปรับความดันโลหิตโดยบทบาททางไต เป็นกลไกท่ีตอ้ งใชเ้ วลานานหลายชว่ั โมงกวา่ จะมปี ระสิทธภิ าพสูงสดุ ซึ่งในช่วงแรกของการปรับต้องอาศัยกลไก อน่ื ๆ ท่ตี อบสนองภายในเวลาอันรวดเรว็ กวา่ รว่ มดว้ ยกลไกทางไตทาไดโ้ ดยอาศัยบทบาทการ ทางานของระบบ อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรับนักกฬี า 56 เรนิน-แองจิโอเทนซินทาให้เพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่เก่ียวข้องกับการดูดกลับของโซเดียมและน้า คือ aldosterone และโดยการออกฤทธิ์ของ vasopressin ทาให้มีการดูดกลับของน้าท่ีหลอดฝอยของไตเพ่ิมข้ึน กลไกทางไตในการปรบั ความดันโลหติ เมื่อมกี ารเปล่ยี นแปลงของความดันของหลอด o ปัจจยั ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความดันเลอื ด ค่าความดันเลือดปกติในแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน ข้ึนอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ซ่ึงปัจจัยที่มีผลต่อการ เปลีย่ นแปลงความดันเลอื ดมดี ังน้ี (Power and Howley, 2001) 1. อายุ เดก็ แรกเกิดจะมีความดันซิสโตลิคประมาณ 40-70 มิลลิเมตรปรอท ในผู้ใหญ่ปกติจะมีความ ดนั ซิสโตลคิ ระหวา่ ง 90-140 มิลลิเมตรปรอท และความดนั ไดแอสโตลคิ ระหวา่ ง 60-90 มิลลิเมตรปรอท ส่วน ผู้สูงอายุความดันเลือดจะสูงขึ้นเนื่องจากความยืดหยุ่นของหลอดเลือดลดลง หลัก การคานวณค่าสูงสุดของ ความดันซิสโตลิคในผู้สูงอายุ สามารถคานวณประมาณค่าได้ คือ ความดันซิสโตลิคของผู้สูงอายุไม่ ควรเกิน 100 + อายุ ดงั นั้นการพิจารณาว่าความดันเลือดผิดปกติหรือไม่ นอกจากจะต้องพิจารณาทั้งค่าความดันซิสโต ลคิ และคา่ ความดันไดแอสโตลคิ แล้วยงั ต้องพจิ ารณาตามอายุด้วย 2. อิริยาบถขณะวัดความดันเลือดและการออกกาลังกาย การวัดความดันเลือดควรวัดในขณะที่ รา่ งกายผ่อนคลาย เช่น ก่อนท่จี ะวดั ความดันเลอื ดควรให้ผู้ที่จะต้องการจะวัดน่ังพักอย่างน้อย 5 นาที เพราะ อาจเหนื่อยจากการเดิน ซึ่งการเดินถือว่าทาให้ร่างกายได้มีการออกกาลังกาย จะมีผลทาให้ร่างกายมีการเผา ผลาญสูงขึ้น การสูบฉีดเลือดในร่างกายจะมากขึ้น มีผลทาให้ความดันเลือดสูงกว่าปกติได้ นอกจากน้ีท่าน่ัง นอน ยืน ยงั มสี ว่ นสัมพันธท์ าให้คา่ ความดนั เลอื ดตา่ งกนั ได้ โดยทว่ั ไปมกั นิยมวัดในท่านอนและนั่ง ในขณะนอน การไหลเวียนของเลือดสะดวกท่ีสุด การวัดความดันเลือดในท่าน่ังและยืน มักจะทาให้ค่าความดันเลือดของ รา่ งกายสงู กวา่ ทา่ นอน 3. ความเครยี ดและการเปลยี่ นแปลงทางอารมณ์ ได้แก่ ความต่ืนเต้น ความกลัว ความเจ็บปวด ภาวะ เหล่านี้จะทาให้เกิดการกระตุ้นประสาทอัตโนมัติ มีผลให้หัวใจบีบตัวแรงข้ึน หลอดเลือดหดตัว ความดันเลือด จึงสูงข้ึนได้ แต่ถ้าภาวะเครียด หรือการเปล่ียนแปลงทางอารมณ์เกิดขึ้นอย่างรุนแรง เช่น ภาวะที่ร่างกายมี อาการเจ็บปวดมากจนทนไม่ไหว เกิดภาวะช็อก ในภาวะเช่นนี้ศูนย์ควบคุมหลอดเลือดจะถูกยับยั้ง มีผลให้ หลอดเลอื ดคลายตวั ความดนั เลือดจะตา่ ลงกวา่ ปกติ 4. ลักษณะของร่างกายและปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ รูปร่าง โดยท่ัวไปคนอ้วนความดันเลือดมักสูงกว่าคน ผอม ปัจจัยด้านเพศ เพศชายมักมีความดันเลือดสูงกว่าเพศหญิงในวัยเดียวกัน ยกเว้นเพศหญิงในวัยหมด ประจาเดือน การเปลีย่ นแปลงของระดับฮอร์โมน จึงมผี ลให้ความดันเลอื ดสูงกว่าเพศชายในวัยเดียว และปัจจัย ดา้ นการได้รบั ยา ยาที่มผี ลตอ่ การหดรัดตวั ของหลอดเลือดจะทาใหค้ วามดนั เลือดสูง ตรงข้ามกับยาขยายหลอด เลอื ดจะทาให้ความดนั เลือดตา่ อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรับนกั กฬี า 57 o การวัดความดนั เลอื ด 1. วิธีการวัดทางตรง (direct method) ทาได้โดยใส่สายสวนเข้าไปในหลอดเลือดดาใหญ่บน (Superior vena cava) และใช้หลอดสวนสอดเข้าไปในหลอดเลือดในทิศทางที่สวนทางกันกับการไหลของ เลอื ด และตอ่ เข้ากับเครื่องมอื วัดความดันเลือดและนามาต่อกับ Manometer ที่เป็นหลอดรูปตัวยูบรรจุปรอท ไว้ หรืออาจใช้วัดด้วย Pressure transducer และนาไปต่อกับระบบแอมปลิไฟเออร์ ก็ทาให้สามารถรายงาน ค่าความดนั เลอื ดไดว้ ธิ นี ไ้ี มน่ ิยมเพราะยงุ่ ยาก 2. วิธีการวัดทางอ้อม (indirect method) จะใช้เครื่องมือ คือ หูฟัง (stethoscope) และเคร่ืองวัด ความดันเลอื ด (sphygmomanometer) โดยการวัดจะทาได้โดยการใช้ถุงยางพันแขนท่อนบน เม่ือเพ่ิมความ ดันในถุงยางจนสูงกว่าความดันในหลอดเลือดแดง ทาให้เลือดไม่สามารถผ่านไปได้ เมื่อค่อยลดความดันใน ถุงยางลงเรื่อย ๆ จนความดันในถุงยางเริ่มต่ากว่าความดันในหลอดเลือดแดง จึงทาให้เลือดเร่ิมไหลผ่านไปได้ แต่เนื่องจากหลอดเลือดมีขนาดและความดันต่างกัน จึงทาให้มีกระแสไหลวนของเลือดและทาให้เกิดเสียงข้ึน เมอ่ื ใช้หฟู งั วางบนหลอดเลือดบริเวณท่ีข้อพับแขน จะสามารถฟังเสียงได้ โดยขั้นตอนในการวัดความดันเลือด ทางออ้ ม มขี ัน้ ตอนในการปฏบิ ตั ดิ ังน้ี (McArdle et al, 2010) 2.1 จัดท่าให้ผู้ที่เข้ารับการทดสอบในท่าท่ีสบาย โดยจัดให้น่ังหรือนอนเหยียดแขนข้างท่ีจะวัดให้ อยู่ในท่าท่ีสบายท่ีสุด พร้อมท้ังหงายมือข้ึนพับแขนเสื้อข้างที่จะวัดขึ้นไปเหนือข้อศอก จะช่วยให้ผู้ท่ีเข้ารับการ ทดสอบ รสู้ กึ ผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวล 2.2 วางเคร่ืองวดั ความดันให้อยู่ในระดับเดียวกับหวั ใจของผทู้ เ่ี ขา้ รับการทดสอบ ผวู้ ัดควรอยู่ ในท่า นั่ง หรือยืน โดยเครื่องวัดความดันจะอยู่ตรงระดับสายตาห่างจากตาไม่เกิน 3 ฟุต เพื่อที่จะได้มองเส้นระดับ ของปรอทได้ถูกต้อง ชัดเจน การอ่านคา่ ไม่คลาดเคลอื่ น 2.3 ไล่ลมออกจากผ้าพันแขนให้หมด เพ่ือปูองกันการอ่านค่าคลาดเคล่ือน จากนั้นคลาชีพจรที่ข้อ พบั แขนด้านใน เพื่อเป็นการหาตาแหน่งของหลอดเลือดแดงท่จี ะวัด 2.4 พนั ผ้าพันรอบแขนเหนือข้อพับขน้ึ ไป 1 น้วิ ไม่ใหแ้ น่นหรอื หลวมจนเกินไป โดยใหต้ าแหน่งชพี จรทค่ี ลาได้อย่รู ะหวา่ งสายยาง 2 สาย เพอื่ ฟังเสียงความดันเลอื ดได้ชดั เจน 2.5 ใส่หูฟังและวางหูฟังตรงตาแหน่งชีพจรท่ีคลาได้ และบีบลูกยางให้ลมเข้าไปในผ้าพันแขน ดัน ใหป้ รอทในเครอ่ื งวัดสูงกวา่ ค่าปกติของความดนั ซิสโตลิคประมาณ 20 มิลลเิ มตรปรอท (140+20=160) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรบั นักกฬี า 58 2.6. ค่อย ๆ คลายเกลียวลูกยางปล่อยลมออกจากผ้าพันแขน ลดลงช้า ๆ และให้ฟังเสียงเต้นของ ผนังหลอดเลือด เม่ือปรอทถึงระดับหน่ึงจะได้ยินเสียงตุบๆ ของแรงดันเลือด เสียงตุบแรกท่ีได้ยินระดับปรอท อยทู่ ตี่ าแหนง่ ใด ก็คอื คา่ ความดันสูงสุด ขณะท่ีหัวใจบีบตัวหรือความดันซิสโตลิค (systolic pressure) จากน้ัน ค่อย ๆ ปล่อยลมออกจากลูกยางช้าๆ สังเกตเสียงท่ี ดัง เป็นระยะๆ เรียกว่า เสียงโครอทคอฟ (Korotkoff’s sound) จนถงึ ระยะหนง่ึ เสยี งจะเรมิ่ เปน็ เสียงฟุู หรือหยุด หายไปเลย ให้นับค่าความดันปรอทท่ีเสียงสุดท้ายก่อนที่ เสียงหยุดหายไปเป็นคา่ ความดันขณะท่หี วั ใจคลายตัวหรือ ความดันไดแอสโตลคิ (diastolic pressure) ภาพท่ี 2.2 การวัดความดนั เลือด ทมี่ า: http://www.osceskills.com/e-learning/subjects/blood-pressure-measurement/ o ขอ้ ปฏิบัตใิ นการวัดความดนั เลอื ด (Heyward, 2006) 1. การรดั ผา้ พันแขนต้องใหแ้ นวของสายยางท้ังสองของผ้าพันแขนอย่รู ะหวา่ งตาแหนง่ ของหลอดเลือด แดงพอดี (ตาแหน่งท่ีคลาชีพจรได)้ 2. ขณะปลอ่ ยลมออก สายตาควรจบั อยู่ที่เครื่องวัดตลอดเวลา เพื่อจะไดอ้ ่านค่าได้ทนั ทีท่ี ไดย้ ินเสยี ง ตบุ ถ้าอ่านไม่ทันหรอื อา่ นค่าได้ผดิ ปกติ ควรวดั ซา้ อีกครัง้ 3. ผ้าพันแขนต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมและถูกขนาดกับผู้ที่เข้ารับการทดสอบ กว้างประมาณ 3 ใน 4 ของความยาวชว่ งแขนตอนต้น หรือประมาณ 4-5 นวิ้ 4. ขณะวัดความดนั เลือดแขนของผู้ท่เี ข้ารับการทดสอบควรวางในระดับเดียวกันกับหัวใจ ถ้าวางแขน สูงกว่าระดับหัวใจ ความดันเลือดท่ีอ่านได้อาจต่ากว่าค่าจริงประมาณ 10 มิลลิเมตรปรอท และถ้าวางแขนต่า กว่าระดบั หัวใจความดนั เลือดอาจอา่ นคา่ ได้สงู กวา่ คา่ จรงิ ประมาณ 10 มลิ ลเิ มตรปรอท 5. ก่อนพันผ้าเพ่ือวัดความดันเลือดทุกครั้ง ควรพิจารณาแขนท่ีพันผ้าก่อนว่ามีข้อห้ามหรือไม่ ถ้าแขน ท้ังสองขา้ งไมส่ ามารถใชว้ ัดความดันเลอื ดได้ ตอ้ งพิจารณาวดั ทางขาแทน โดยให้ผู้ท่ีเข้ารับการทดสอบนอนคว่า ฟังเสยี งจากหลอดเลือดทีข่ ้อพบั ขา (popliteal artery) และขนาดของผา้ ตอ้ งยาวและกวา้ งเหมาะสมกบั ตน้ ขา อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรบั นักกฬี า 59 6. การเก็บเคร่ืองวัดความดันเลือด ต้องบีบลมออกจากผ้าพันให้หมด พันให้เรียบร้อยเก็บเข้าที่ โดย ระวังไม่ให้สายยางหักพับงอ ถ้ามีกล่อง ใส่ก็ควรปิดให้สนิท เพ่ือปูองกันการกระทบแตกปรอทหรือหน้าปัด สาหรับอ่านคา่ ความดนั เลือด สาหรบั เครื่องฟังควรเชด็ ดว้ ยแอลกอฮอล์ ทุกครัง้ กอ่ นและหลังใช้งาน o ค่าระดบั มาตรฐานของความดันเลอื ดและการแปลผล ในการวัดความดันเลือด จะวัดออกมา 2 ค่า คือ ความดันซิสโตลิค (systolic blood pressure) ซ่ึง เป็นคา่ ของความดนั เลือดขณะหัวใจบีบตัว และความดันไอแอสโตลิค (diastolic blood pressure) ซ่ึงเป็นค่า ของความดนั ขณะที่หัวใจคลายตวั คา่ ทว่ี ัดได้จากความดนั เลอื ดสามารถเทียบเกณฑ์มาตรฐานเพ่ือแปลผลว่าอยู่ ระดับใด โดยเทยี บจากตารางตอ่ ไปนี้ ตารางท่ี 2.4 คา่ ระดับมาตรฐานของความดันเลือด ในวยั ผู้ใหญ่ตง้ั แต่ 18 ปขี นึ้ ไป ระดบั ความดนั ซสิ โตลิค ความดันไอแอสโตลิค (Systolic Blood Pressure) (Diastolic Blood Pressure) ระดับเหมาะสม 120 80 ระดบั ปกติ 120-129 80-84 ระดบั ปกติค่อนไปข้างสงู 130-139 85-89 ระดับสูง สงู เลก็ นอ้ ยระดบั ท่ี 1 140-159 90-99 สงู ระดับที่ 2 160-179 100-109 สูงมากระดบั ท่ี 3 ≥ 180 ≥ 110 หนว่ ย มิลลเิ มตรปรอท *หมายเหตุ จะวนิ ิจฉยั ความดันทเี่ ลือดท่วี ดั ได้วา่ อยใู่ นระดบั สงู จะตอ้ งวัดซ้า อยา่ งน้อย 2 ครง้ั ทม่ี า: ACSM (2006) ในการวัดความดันเลือด คา่ ทผ่ี ิดปกติ คอื การมีระดับความดันเลือดสูงและต่า ซ่ึงมีอาจจะมีสาเหตุจาก ปัจจัยหลายประการ เช่น ถา้ ค่าความดันเลอื ดท่ีวัดได้จัดอยู่ในระดับสูง อาจเนื่องมาจาก ผนังหลอดเลือดยืดตัว ไม่ดี หรืออาจจะมีแรงกระตุ้นมาจากการควบคุมการหดตัวที่เมดุลลา ส่วนถ้าค่าท่ีวัดได้ มีความดันเลือดอยู่ ระดบั ต่า อาจจะมีสาเหตุมาจาก ปริมาณเลือดท่ีออกจากหัวใจต่อนาที ลดน้อยลง หรือหลอดเลือดขยายตัวทา ใหค้ วามต้านทานภายในหลอดเลอื ดน้อยลง เนอ่ื งจากการกระต้นุ ของหัวใจที่อ่อนลง เป็นตน้ อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรับนักกฬี า 60 การจดั เตรียมความพรอ้ มก่อนการดาเนินการทดสอบสมรรถภาพทางกาย การทดสอบสมรรถภาพทางกาย เป็นกระบวนการท่ีจะต้องให้นักกีฬาได้แสดงความความสามารถ อย่างสูงสุดในรายการทดสอบด้านต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซ่ึงผลการทดสอบและนาไปประเมินระดับสมรรถภาพ ทางกายต่อไป เพื่อให้การทดสอบเกิดประโยชน์สูงสุด จึงควรจะต้องมีการวางแผนและเตรียมการเก่ียวกับการ ดาเนินการการทดสอบสมรรถภาพทางกายไว้ล่วงหน้า เพื่อให้กระบวนการทดสอบเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ วางไว้ โดยก่อนท่ีจะมีการดาเนินการทดสอบสมรรถภาพทางกายของนักกีฬาน้ัน ควรมีการตรวจสอบ องค์ประกอบดา้ นต่าง ๆ ดงั ต่อไปน้ี (Australian Institute of Sports, 2013) 1. องคป์ ระกอบด้านแบบทดสอบ ควรมีการตรวจสอบว่ารายการที่จะนามาใช้ทดสอบสมรรถภาพทาง กายประกอบด้วยรายการทดสอบอะไรบ้างแต่ละแบบทดสอบ มีความเหมาะสม สอดคล้องกับองค์ประกอบ ของสมรรถภาพาทางกายของนักกีฬาหรือไม่ รวมถึงคานึงถึงคุณภาพของแบบทดสอบไม่ว่าจะเป็น ความ เทยี่ งตรง และความเช่อื มนั่ วา่ อยู่ระดับใด 2. องค์ประกอบด้านสถานที่ ควรมีการตรวจสอบว่าสถานท่ีท่ีจะใช้ทดสอบมีความเหมาะสมและ สะดวกในการทดสอบหรอื ไม่ สถานที่ทดสอบเป็นโรงยิมหรือกลางแจ้ง สภาพพ้ืนสนามเป็นลักษณะใด เป็นพ้ืน ปาเก้ พื้นปูนหรือสนามหญ้า เพื่อจะได้แจ้งให้ผู้เข้ารับการทดสอบได้เตรียมเคร่ืองแต่งกายให้เหมาะสมกับ สภาพแวดลอ้ ม 3. องค์ประกอบด้านอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดสอบ ควรมีการตรวจสอบว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่ในสภาพ พรอ้ มใชง้ านหรอื ไม่ หากมีชิน้ ส่วนท่ีชารดุ ต้องรบี ดาเนินการแก้ไข 4. องค์ประกอบด้านจานวนเจ้าหน้าท่ีดาเนินการทดสอบ ควรมีการตรวจสอบว่าจานวนเจ้าหน้าท่ี ดาเนินการทดสอบว่าเพียงพอหรือไม่ รวมถึงการซักซ้อมความเข้าใจและความชานาญในการทาทดสอบ รายการต่าง ๆ 5. องค์ประกอบด้านระยะเวลาในการดาเนินการทดสอบ ควรมีการตรวจสอบว่าการทดสอบทั้งหมด จะใชร้ ะยะเวลานานเพยี งใด เหมาะสมกบั จานวนนักกีฬาหรือผเู้ ขา้ รบั การทดสอบหรือไม่ 6. องค์ประกอบด้านส่ิงอานวยความสะดวก ควรมีการตรวจสอบว่าสิ่งอานวยความสะดวกต่าง ๆ ท่ี ช่วยให้ผู้ทดสอบได้ใช้ประโยชน์ในขณะทดสอบน้ันมีความพร้อมมากน้อยเพียงใด เช่นห้องน้า ห้องเปล่ียน เครือ่ งแต่งกาย และชดุ อปุ กรณป์ ฐมพยาบาลเบื้องต้น เปน็ ต้น โดยก่อนทาการทดสอบ ควรจะต้องทาการตรวจสอบความพร้อมก่อนดาเนินการทดสอบสมรรถภาพ ทางกายโดยแสดงไดจ้ ากตัวอยา่ งแบบฟอร์มต่อไปน้ี อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรบั นกั กฬี า 61 รายการตรวจสอบความพร้อมของการดาเนนิ การทดสอบ (Test Administration Checklist) ……… 1. จานวนผู้ท่ีจะทาหน้าท่ีดาเนนิ การทดสอบแตล่ ะรายการ ……… 2. อุปกรณ์ท่ใี ช้ในการทดสอบพร้อมใชง้ าน ……… 3. ความพร้อมของแบบบันทึกผลการทดสอบ และปากกาสาหรับจดบนั ทึกผล ……… 4. ความรูแ้ ละความเขา้ ใจในการทดสอบของผูท้ ่ีจะทาหนา้ ท่ีดาเนนิ การทดสอบ ……… 5. ความพร้อมดา้ นการจดั ลาดบั รายการทดสอบและระยะเวลาท่ใี ช้ในแต่ละรายการทดสอบ ……… 6. นกั กีฬาและผู้ดาเนนิ การทดสอบเข้าใจวธิ ีการทดสอบท่ีตรงกนั ……… 7. ความพร้อมของชุดอปุ กรณป์ ฐมพยาบาลและอุปกรณ์ชว่ ยเหลือชีวติ เบื้องต้น ……… 8. ความพร้อมด้านการอบอุ่นร่างกายของนักกฬี าก่อนการทดสอบ ……… 9. ความพร้อมของสภาพอากาศและอุณหภมู หิ อ้ ง ……… 10. ความเหมาะสมของสถานทท่ี ะการทดสอบ ความสะอาดและปลอดภยั ……… 11. การคลายอุ่นร่างกายของนักกีฬาหลังเสรจ็ สนิ้ การทดสอบ ……… 12. ความพร้อมดา้ นกระบวนการวเิ คราะหแ์ ละประเมนิ ผลการทดสอบ ที่มา: ดดั แปลงจาก Australian Institute of Sports (2013) และ Graham (2013) การเตรียมตัวและข้อควรปฏบิ ตั ิของนกั กฬี าในการทดสอบสมรรถภาพทางกาย การเตรยี มตัวตัวก่อนการทดสอบของนักกีฬา เป็นกระบวนการหนึ่งที่สาคัญและจาเป็นท่ีนักกีฬาหรือ ผู้รับการทดสอบควรถือปฏิบัติ ทั้งนี้เพ่ือให้ได้มีความพร้อมก่อนการทดสอบ ซ่ึงจะทาให้ผลการทดสอบที่ได้มี ความถูกตอ้ งและคลาดเคล่ือนน้อยทส่ี ดุ โดยการเตรยี มตัวสาหรับนกั กีฬาท่ีจะเข้ารับการทดสอบ มีรายละเอียด และขอ้ การปฏบิ ัติดงั น้ี o การเตรยี มตวั ดา้ นโภชนาการ 1. ก่อนการทดสอบ ควรรับประทานอาหารตามปกติ ไม่ควรอดอาหารหรือรับประทานอาหารใน ปรมิ าณทม่ี ากจนเกินไป 2. ควรรับประทานอาหารที่เน้นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตก่อนทาการทดสอบ โดยควรหลีกเลี่ยง อาหารประเภทไขมันสูง อาหารรสจัดหรอื อาหารท่ีไม่เคยชิน 3. ควรมกี ารรับประทานอาหาร กอ่ นท่จี ะเขา้ รับการทดสอบสมรรถภาพทางกายเปน็ เวลาอยา่ งน้อย 3-4 ชัว่ โมง อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรบั นักกฬี า 62 4. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้าอัดลม เคร่ืองดื่มชูกาลังต่าง ๆ ใน วนั ของการทดสอบ 5. งดการสูบบหุ รี่และด่ืมเคร่ืองดืม่ แอลกอฮอล์ และของมึนเมาตา่ ง ๆ อย่างนอ้ ย 24 ชว่ั โมงก่อนทจ่ี ะ เข้ารับการทดสอบ 6. ก่อนทจ่ี ะทดสอบ อย่าให้ร่างกายอยใู่ นภาวะขาดนนั้ ควรด่ืมนา้ เป็นประจาอยา่ งต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ในช่วงระหวา่ งการทดสอบ o การเตรียมด้านความพรอ้ มของร่างกาย 1. ก่อนการทดสอบ 24 ชั่วโมงแรก ผู้เขา้ รับการทดสอบต้องหลีกเลย่ี งการออกกาลงั กาย การเล่นกฬี า การฝกึ ซ้อม หรือปฏบิ ตั ิกิจกรรมการเคลื่อนไหวตา่ ง ๆอย่างหนักสาหรับ 2. มีการพกั ผอ่ นและนอนหลับพอเพียงอยา่ งน้อยประมาณ 6-8 ชัว่ โมง ก่อนท่จี ะเข้ารับการทดสอบ 3. สวมใส่เส้ือผา้ และชุดแตง่ กายทเี่ หมาะสมสาหรับการทดสอบ โดยควรถอดเครื่องประดับท่ีไม่จาเป็น ออก เช่น นาฬิกา กาไล และต่างหู เป็นตน้ หรอื ส่งิ อื่น ๆ ท่ีอาจจะทาให้ได้รบั อนั ตรายขณะทาการทดสอบได้ 4. หลกี เลี่ยงการเข้าร่วมการทดสอบ หากมีอาการไม่สบาย หรืออาการบาดเจ็บต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับ การเคลือ่ นไหว 5. ก่อนที่จะทาการทดสอบ ให้ทาการอบอุ่นอย่างร่างกายอย่างเพียงพอและเหมาะสมกับลักษณะ รายการทดสอบดา้ นตา่ ง ๆ เพอื่ ใหส้ ามารถทดสอบได้อยา่ งเตม็ ความสามารถ 6. หลงั เสร็จส้ินการทดสอบ ใหม้ กี ารคลายอุ่น โดยการออกกาลังกายเบา ๆ มีการยืดเหยียดกล้ามเน้ือ แบบอยกู่ บั ที่ และใชค้ วามเย็น หรอื การนวดคลายกล้ามเนอ้ื เพื่อใหร้ า่ งการฟนื้ ตวั ได้เรว็ ขน้ึ o ขอ้ ปฏิบัตใิ นการเขา้ รว่ มการทดสอบสมรรถภาพทางกาย 1. นักกีฬาหรือผู้ท่ีจะเข้ารับการทดสอบ ควรได้มีการศึกษารายละเอียดและวิธีการทดสอบให้เข้าใจ อย่างชดั เจน เพือ่ ทจ่ี ะจะทาใหส้ ามารถปฏิบัติรายการทดสอบตา่ ง ๆ ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง 2. ให้นักกีฬาที่เข้ารับการทดสอบ ปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการทดสอบสมรรถภาพทางกายรายการ ตา่ ง ๆ ตามท่กี าหนดอยา่ งเครง่ ครัด 3. ในการทดสอบสมรรถภาพทางกาย นักกีฬาจะต้องมีสมาธิ และต้ังใจท่ีจะทาการทดสอบอย่างเต็ม ความสามารถ อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรับนักกฬี า 63 4. หากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างการทดสอบฯ ให้หยุดทาการทดสอบฯและรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ ทนั ที โดยอาการท่ีบอกถึงการเหนอื่ ยล้า (sign of overexertion) ทค่ี วรหยดุ ทดสอบทนั ที มีดังต่อไปน้ี - อาการออนลาผดิ ปกติหรือหายใจหรือหอบเหน่ือยกว่าปกติ - มีอาการหน้ามืดหรอื ปวดศีรษะ - มีอาการเจ็บบริเวณหน้าอก - หัวใจเต้นผิดปกติ ไมเ่ ปน็ จงั หวะ - อาการชาบริเวณกล้ามเนื้อและส่วนตา่ งๆ - สูญเสยี การควบคมุ กล้ามเนื้อหรือการทรงตัว - คล่ืนไสหรอื อาเจียน - สับสน (confusion) - มองเห็นภาพซ้อนมองเหน็ ไมชดั (blurred vision) ท่มี า: http://www.topendsports.com/testing/test-preparation.htm โดยก่อนทาการทดสอบ ควรจะต้องทาการตรวจสอบการเตรียมตัวและความพร้อมของนักกีฬาใน รายการต่าง ๆ ต่อไปน้ี รายการตรวจสอบการเตรยี มตัวก่อนเข้ารับการทดสอบของนกั กีฬา (Athlete preparation Checklist) ……….. 1. นักกฬี าได้ผ่านการตรวจคัดกรองสขุ ภาพจากแพทย์มาเรยี บร้อยแลว้ ……….. 2. นกั กฬี าลงนามในใบยนิ ยอมการเข้ารบั การทดสอบแลว้ ……….. 3. นักกฬี าผา่ นการประเมินว่ามสี ุขภาพดี ไม่มีอาการบาดเจ็บท่ีจะเป็นอุปสรรคในการทดสอบ ……….. 4. นกั กฬี าได้มีการหยดุ ฝึกซ้อมหรืองดการออกกาลงั กายอย่างหนกั ก่อนที่จะทดสอบ ……….. 5. นักกฬี ามีการนอนหลับพกั ผ่อนท่ีเหมาะสมก่อนทจ่ี ะรับการทดสอบ ……….. 6. นกั กฬี ามีการรบั ประทานอาหารมามากกว่า 3 ช่วั โมงกอ่ นการทดสอบ ……….. 7. นกั กฬี าแต่งกายในชุดท่เี หมาะสมกับการทดสอบสมรรถภาพทางกาย ……….. 8. นกั กีฬาได้อ่านและเขา้ ใจรายละเอียดเกย่ี วกบั การทดสอบ ……….. 9. นกั กฬี าได้มกี ารอบอนุ่ ร่างกายในระดับท่ีเหมาะสมก่อนการทดสอบ ……….. 10. นกั กีฬาได้มคี วามเข้าใจและคุ้นเคยกบั รูปแบบการทดสอบมาแลว้ ที่มา: ดัดแปลงจาก Australian Institute of Sports (2013) และ Graham (2013) อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรบั นกั กฬี า 64 คาถามและปฏบิ ตั กิ ารท้ายบทที่ 2 1. จงอธบิ ายความหมายและความสาคญั ของการตรวจคดั กรองสุขภาพ (health screening) 2. จงประเมินความพรอ้ มก่อนออกกาลังกายของตวั ท่านเองว่าผา่ นเกณฑ์หรือไม่ โดยใช้แบบสอบถาม โดยใช้แบบประเมิน (Physical Activity Readiness Questionnaire: PAR-Q) และแบบสอบถามการคัด กรองความเสี่ยงก่อนออกกาลังกายโดยใช้เกณฑ์ของสมาคมกีฬาเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (American College of Sport Medicine: ACSM) 3. ให้ทาการวัดชีพจรและความดันเลือดขณะพัก พร้อมประเมินว่าชีพจรและความดันเลือดขณะพัก ของทา่ นอยรู่ ะดับใด 4. ให้อธิบายปัจจัยท่ีมีผลในการวัดชีพจรและความดันขณะพักมีอะไรบ้าง และปัจจัยดังกล่าวมีผลต่อ การวดั ชีพจรและความดันอย่างไร 5. ในการทดสอบสมรรถภาพทางกาย ท่านมีแนวทางการการจัดเตรียมความพร้อมก่อนการ ดาเนนิ การทดสอบสมรรถภาพทางกายอยา่ งไร 6. ท่านมีขอ้ แนะนาในการเตรยี มตัวก่อนการทดสอบและข้อควรปฏิบัติในการทดสอบสมรรถภาพทาง กายอยา่ งไรบา้ ง อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรบั นกั กฬี า 65 บทที่ 3 การทดสอบองคป์ ระกอบของร่างกาย (Body Composition Testing) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรับนกั กฬี า 66 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 3 การทดสอบองคป์ ระกอบของรา่ งกาย 1. หัวขอ้ เนือ้ หาประจาบท 1) ความหมายขององค์ประกอบของรา่ งกาย 2) สรีรวทิ ยาท่ีเก่ยี วข้องกับองค์ประกอบของร่างกาย 3) วธิ กี ารทดสอบองค์ประกอบของรา่ งกาย 4) การวัดชนิดรูปกาย 2. วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม หลังจากศึกษาจบบทน้ีแล้ว ผเู้ รียนสามารถ 1) อธิบายความหมายและวามสาคญั ขององค์ประกอบของร่างกาย 2) อธบิ ายสรีรวิทยาท่เี กีย่ วข้ององค์ประกอบของร่างกาย 3) อธบิ ายและปฏิบตั ิการทดสอบองคป์ ระกอบของร่างกายด้วยวิธกี ารต่าง ๆ 4) อธบิ ายความหลักและวิธีการวัดชนิดรปู กาย 3. วิธีการสอนและกิจกรรมการเรยี นการสอนประจาบท 1) การบรรยายจากเอกสารประกอบการสอน สไลดน์ าเสนอบทเรียนจากไฟล์ Power point 2) การสาธติ วธิ ีการ และการฝกึ ทดลองปฏิบตั ิจริง 3) อภิปรายประเดน็ ปัญหาและขอ้ สงสยั 4) การทดลองในปฏิบตั ิการที่ 3 5) ทาแบบฝกึ หดั ทา้ ยบทที่ 3 4. ส่ือการเรยี นการสอน 1) เอกสารประกอบการสอน 2) สไลด์นาเสนอบทเรยี น เปน็ ไฟล์ Power point 3) ไฟลว์ ดิ โี อจากเว็บไซต์และแหล่งขอ้ มูลตา่ ง ๆ 4) แบบฝึกหดั ท้ายบท 5. การวัดผลและการประเมินผล 1) ตรวจสอบจากแบบฝึกหัดทา้ ยบท 2) สังเกตความสนใจของผู้เรียน 3) สังเกตจากการถามคาถามและตอบคาถามของผเู้ รยี น 4) ตรวจสอบความถูกต้องของผลการทดลองในปฏบิ ัติการที่ 3 อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกฬี า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรับนกั กฬี า 67 บทท่ี 3 การทดสอบและประเมนิ องค์ประกอบของรา่ งกาย องค์ประกอบของร่างกาย (body composition) จัดได้วา่ เปน็ องค์ประกอบของสมรรถภาพทางกายท่ี สาคัญที่ทาให้ร่างกายมีสุขภาพท่ีดีได้ เน่ืองจากการท่ีร่างกายมีสภาวะท่ีไม่สมดุลขององค์ประกอบของร่างกาย จะทาให้เสีย่ งตอ่ การเกดิ โรคอว้ น (obesity) ซึ่งเปน็ ภาวะทีร่ ่างกายมีไขมันสะสมมากเกินความจาเป็น และจะมี โอกาสเสี่ยงอย่างย่ิงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน (coronary heart disease) โรคความดันโลหิตสูง (hypertension) โรคเบาหวานชนิดท่ี 2 (type 2 diabetes) โรคข้อเส่ือม (osteoarthritis) และโรคมะเร็ง (cancer) เปน็ ตน้ ในทางกลับกนั การท่รี า่ งกายมไี ขมนั ในร่างกายน้อยเกินไป ก็เป็นส่ิงที่ไม่ดีเช่นกัน ท้ังนี้เพราะ รา่ งกายจาเปน็ ทีจ่ ะตอ้ งนาไขมนั ไปใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ดังนั้นหากร่างกายมีไขมันสะสมอยู่ในร่างกายน้อย เกินไป เชน่ ในคนทมี่ ีรูปร่างผอม กม็ ีโอกาสเสีย่ งต่อการเกดิ โรคและเกดิ ปญั หาดา้ นสขุ ภาพได้เช่นเดียวกันดังนั้น ถ้ามีองค์ประกอบของร่างกายอยู่ในสภาวะที่สมดุล ก็จะส่งผลให้ร่างกายมีสุขภาพและสมรรถภาพทางกายที่ดี ได้ โดยระดับเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย (%body fat) จะเป็นดัชนีที่บ่งช้ีถึงความสมดุลขององค์ประกอบ ร่างกายนั่นเอง (Heyward,2006) เน้ือหาในบทนี้ จะกล่าวถงึ ความหมายและความสาคญั ขององคป์ ระกอบร่างกาย ความรู้ทางสรีรวิทยา ท่ีเก่ียวข้องกับองค์ประกอบของร่างกาย รวมถึงวิธีการทดสอบและประเมินองค์ประกอบของร่างกายด้วย วิธกี ารตา่ ง ๆ โดยรายละเอยี ดของเนอื้ หาแต่ละหัวขอ้ มีดงั ต่อไปน้ี ความหมายขององค์ประกอบของรา่ งกาย องค์ประกอบของร่างกาย (body composition) หมายถึง ส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบข้ึนเป็นน้าหนักตัว ของร่างกายคนเรา โดยจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนท่ีปราศจากไขมัน (fat-free mass) และส่วนท่ีเป็นมวล ไขมนั (fat mass) โดยองคป์ ระกอบของร่างกายจะประมาณค่าเป็นเปอร์เซ็นต์ของน้าหนักที่เป็นส่วนของไขมัน ทม่ี อี ยูใ่ นร่างกาย (Heyward, 2006) ในส่วนของกล้ามเน้ือที่ปราศจากไขมัน (fat-free mass หรือ lean body mass) จะเป็นส่วนท่ี ประกอบด้วยกลา้ มเน้ือ กระดกู อวยั วะตา่ ง ๆ ในร่างกาย แร่ธาตุ และน้า สาหรับส่วนท่ีเป็นมวลไขมัน (fat mass) จะเป็นส่วนท่ีเป็นไขมันสะสมในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย โดยทั่วไป ไขมันส่วนใหญ่จะพบอยู่ใต้ผิวหนัง โดยจะข้ึนอยู่กับอายุและเพศ เม่ือมีอายุมากข้ึน ไขมันท่ีสะสมใน ร่างกายจะมากขึ้นตามไปด้วย อันสืบเนื่องมาจากการทากิจกรรมที่ลดลง และความเสื่อมถอยของร่างกาย นอกจากนั้นยังพบว่าเพศชายจะมีการสะสมไขมนั บรเิ วณรอบเอว ในขณะท่ีเพศหญิงมีการสะสมท่ีบริเวณต้นขา อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกฬี า มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรบั นกั กฬี า 68 และสะโพก ดังนั้นองค์ประกอบของร่างกายน้ีมีความสาคัญในแง่ของการบอกถึงปริมาณไขมันในร่างกาย ซ่ึง เป็นองค์ประกอบหนึ่งของการมีสมรรถภาพทางกายท่ีดี ดังนั้นผู้ท่ีมีสุขภาพดี จะต้องมีปริมาณสัดส่วนไขมันที่ เหมาะสมดว้ ย โดยวัตถปุ ระสงคข์ องการทดสอบองค์ประกอบของร่างกาย มดี ังน้ี 1. เพื่อใช้ในการประเมินน้าหนักตัวท่ีเหมาะสม ใช้ในการคานวณสัดส่วนอาหาร รวมไปถึงให้คาแนะ และจดั โปรแกรมการออกกาลงั กาย 2. เพ่อื ใชส้ าหรบั ประเมินน้าหนักตวั ท่ีเหมาะสมสาหรับนักกีฬาที่ใช้น้าหนักตัวเป็นตัวแบ่งประเภทของ การแขง่ ขัน เช่น มวย และเพาะกลา้ มเปน็ ตน้ 3. เพอ่ื ใชเ้ ปน็ ดัชนที ่ชี ้ีวดั ถงึ การเจริญเตบิ โตของเด็กและผู้ใหญ่ รวมไปถึงการหาอัตราเสี่ยงของการเป็น โรคต่างๆ จากการท่ีมีระดบั ของเปอรเ์ ซน็ ต์ไขมันในร่างกายน้อยหรือมากเกินไป 4. เพ่ือใช้ประเมินการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของร่างกายในผู้สูงอายุ ผู้ท่ีเป็นโรคขาดสารอาหาร และ การเปล่ยี นแปลงท่ีเปน็ ผลจากการออกกาลงั กาย 5. ใช้เป็นตัวบ่งบอกถึงภาวะเสี่ยงต่อสุขภาพ อันเนื่องมาจากการมีระดับไขมันในร่างกายสูงหรือต่า เกนิ ไป สรรี วิทยาทเี่ กยี่ วข้องกับองคป์ ระกอบของร่างกาย องค์ประกอบของร่างกาย สามารถแบ่งได้ 5 ระดับ (five-Level model of body composition) ซ่ึงการแบ่งตามรูปแบบที่แตกต่างกัน ก็จะส่งผลให้การทดสอบหรือการวัดองค์ประกอบของร่างกายโดยใช้ เคร่ืองมือและวิธีการต่างๆ แตกต่างกันด้วย โดยองค์ประกอบของร่างกายทั้ง 5 ระดับท่ีได้มีการแบ่งไว้มีดังนี้ (McArdle et al., 2010) 1. ระดับอะตอม (atomic level) การแบ่งองค์ประกอบของร่างกายในระดับนี้ น้าหนักของร่างกาย จะประกอบดว้ ยสว่ นประกอบท่อี ย่ใู นระดับอะตอม ไดแ้ ก่ ออกซิเจน คาร์บอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน แคลเซี่ยม และส่วนที่เหลืออืน่ ๆ เป็นตน้ ในผ้ชู ายทม่ี นี า้ หนกั 70 กิโลกรมั ประกอบดว้ ยออกซิเจน 60% คาร์บอน 23% ไฮโดรเจน 2.6% ไนโตรเจน 1.4% และส่วนท่ีเหลืออ่ืนๆอีก 1% ในระดับอะตอมนี้สามารถวัดได้จากวิธีการ วิเคราะห์เน้ือเย่ือทางเคมีจากซากศพ (dissection of cadaver) การนับจานวนของโปแตสเซ่ียม (K40) และ การวิเคราะห์การเคลือ่ นที่ของนิวตรอน (neutron activation analysis) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรับนกั กฬี า 69 2. ระดับโมเลกุล (molecular level) การแบ่งองค์ประกอบระดับโมเลกุล จะแบ่งโดยอยู่บนพ้ืนฐาน ท่ีว่า ร่างกายจะประกอบด้วยโมเลกุลจานวนมากกว่า 100,000 ชนิด เช่น โมเลกุลของน้า ไขมัน ไกลโคเจน โปรตนี และเกลือแร่ โดยน้าและเกลอื แร่ โดยสามารถวัดองค์ประกอบของร่างกายได้จากการวัดการดูดซับของ รังสีเอ็กซ์ (dual energy x-ray absorptiometry) 3. ระดับเซลล์ (cells level) จะเป็นการแบ่งตามเซลล์ท่ีอยู่ในร่างกาย โดยในร่างกายคนเราจะ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นเซลล์ชนิดต่างๆ (cells) ของเหลวนอกเซลล์ (extracellular fluids) และ ส่วนที่เป็นของแข็งนอกเซลล์ (extracellular solids) โดยในส่วนของเซลล์นั้นจะประกอบด้วย เซลล์ของ กล้ามเนื้อต่าง ๆ เนื้อเย่ือเก่ียวพัน เนื้อเย่ือบุผิว และเนื้อเยื่อประสาท ของเหลวนอกเซลล์ ได้แก่ น้าเลือดและ ของเหลวต่างๆ ในร่างกาย และในส่วนของแข็งนอกเซลล์ ได้แก่ ส่วนของแข็งท่ีเป็นอินทรีย์สารและอนินทรีย์ สาร องค์ประกอบของร่างกายในระดับน้ี สามารถวัดได้จากการนับจานวนโปแตสเซี่ยม (K40) ทั้งนี้เน่ืองจาก 95 % ของโปแตสเซียมจะอยใู่ นสว่ นของนา้ ในเซลล์ (intracellular fluids) 4. ระดับเน้ือเย่ือ (tissue level) จะเป็นการแบ่งตามระบบการทางานต่างๆ ของร่างกาย โดยใน ร่างกายจะประกอบด้วยระบบไหลเวียนเลือด ระบบหายใจ ระบบประสาท ระบบห่อหุ้มร่างกาย ระบบ กล้ามเนื้อ ระบบต่อไร้ท่อ ระบบน้าเหลือง ระบบย่อยอาหาร ระบบกระดูก และระบบสืบพันธ์ โดยเมื่อจัด หมวดหมู่ของระบบต่าง ๆ ในร่างกายตามระดับเนื้อเยื่อแล้ว จะแบ่งเน้ือเยื่อออกได้ 4 ประเภทคือ เนื้อเย่ือ ไขมัน (adipose tissue) เน้ือเยือ่ กลา้ มเน้ือโครงร่าง (skeleton muscle) กระดูก (bone) และเลือด (blood) โดยองค์ประกอบของร่างกายโดยการแบ่งเนื้อเย่ือนี้ จะสามารถวัดได้จากวิธี magnetic resonance imaging และ compute tomography 5. ระดับร่างกายท้ังหมด (whole body) จะเป็นการแบ่งองค์ประกอบของร่างกายในระดับภาพรวม ของน้าหนักตัวทั้งหมด โดยตัวแปรต่าง ๆ ท่ีจะใช้ประเมิน คือ ไขมันใต้ผิวหนัง น้าหนัก ส่วนสูง ขนาดพ้ืนท่ีผิว ของร่างกาย ความยาว ความกว้างของส่วนต่างๆ ในร่างกาย ปริมาตรของร่างกาย และความหนาแน่นของ ร่างกาย เป็นตน้ จะเห็นไดว้ า่ ในการแบง่ องคป์ ระกอบของรา่ งกายทง้ั 5 ระดบั นี้ ระดับร่างกายทั้งหมด เป็นระดับท่ีนิยม นามาใชท้ ดสอบองค์ประกอบของรา่ งกายมากที่สุด ทั้งนี้เน่ืองจากสามารถทาการทดสอบได้สะดวกและง่าย ไม่ ยุ่งยากซบั ซอ้ นเหมือนระดับอ่ืน ๆ ในการทดสอบองค์ประกอบของร่างกาย จาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีรูปแบบของ องค์ประกอบร่างกาย โดยทั่วไปองค์ประกอบของร่างกายจะแบ่งในรูปแบบโมเดลแบบ 2 องค์ประกอบ (2- component model) และโมเดลแบบหลายองค์ประกอบ (multi-compartment model) ซึ่งการแบ่ง องคป์ ระกอบของรา่ งกายตามโมเดลต่าง ๆ แสดงไดด้ ังภาพต่อไปน้ี อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรับนักกฬี า 70 ภาพท่ี 3.1 การแบ่งโมเดลองค์ประกอบของรา่ งกายตามระดบั ตา่ ง ๆ ที่มา: McArdle et al.(2010) โดยรูปแบบโมเดลขององค์ประกอบของร่างกายข้างต้นน้ัน จะนิยมใช้โมเดลแบบ 2-compartment model มากกว่าที่จะใช้ multi-compartment model ทั้งน้ีเน่ืองจากสามารถนาไปประเมินองค์ประกอบ ของร่างกายได้ง่ายและสะดวกกว่า โดยโมเดลแบบ 2-compartment model จะแบ่งองค์ประกอบของ ร่างกายออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นมวลไขมัน (fat mass) และส่วนที่ปราศจากไขมัน (fat free mass: FFM ) ซง่ึ แบง่ โดย Brozek และ Siri จะประกอบด้วยองค์ประกอบทางเคมีและเนื้อเย่ือ ซึ่งได้แก่น้า กล้ามเนื้อ (โปรตนี ) กระดูก (เกลอื แร่) โดยการแบง่ องคป์ ระกอบของรา่ งกายในลกั ษณะน้ีจะต้ังอยู่บนสมมติฐานต่อไปน้ี - ความหนาแน่นของไขมนั เทา่ กบั 0.901 กรัม/ลบ.ซม. - ความหนาแนน่ ของส่วนที่ปราศจากไขมนั เท่ากับ 1.100 กรัม/ลบ.ซม. - ความหนาแน่นของไขมนั และสว่ นท่ีปราศจากไขมัน (นา้ โปรตนี เกลือแร่) ของแต่ละบุคคลจะเทา่ กนั - ความหนาแน่นของเนือ้ เยอ่ื แตล่ ะชนิดทป่ี ระกอบเปน็ ส่วนทีป่ ราศจากไขมนั จะมคี ่าคงที่ - ระดับไขมันในร่างกายจะเป็นส่วนที่ทาให้เกิดความแตกต่างในเร่ืองของน้าหนักตัว ในขณะที่ส่วนที่ ปราศจากไขมันมีค่าคงที่ ทงั้ น้เี นือ่ งจากในร่างกายจะมีน้า 73.8% โปรตีน 19.4% และเกลอื แร่ 6.8% อย่างไรก็ดี ส่วนท่ีปราศจากไขมัน ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเน้ือและกระดูก จะขึ้นอยู่กับอายุ เพศ เชื้อชาติ ระดับความอ้วนของร่างกาย รวมไปถึงระดับของการออกกาลังกาย ซ่ึงตัวแปรทั้งหมดนี้จะมีความสัมพันธ์ โดยตรงกับสัดส่วนของน้า และเกลือแร่ที่ประกอบอยู่ในส่วนของ FFM ดังนั้นในการประเมินองค์ประกอบของ อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรับนักกฬี า 71 ร่างกายโดยใช้รูปแบบ 2-compartment model อาจจะให้ค่าที่คลาดเคล่ือนจากความเป็นจริงไปบ้าง เมื่อ เปรียบเทียบกับการประเมินองค์ประกอบของร่างกายโดยใช้รูปแบบ multi-compartment model (Heyward, 2006) การวัดองค์ประกอบร่างกาย มีประโยชน์ต่อนักกีฬาในด้านท่ีสามารถนาค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันที่วัด ประมาณค่าน้าหนักตัวท่ีเหมาะสมได้ แล้วนามาจัดโปรแกรมการลดหรือเพ่ิมน้าหนักตัว องค์ประกอบร่างกาย สามารถแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ ส่วนท่ีปราศจากไขมัน (fat free body = FFB) ประกอบด้วย เนื้อเยื่อ และส่วนประกอบต่างๆ ท่ีทาให้เกิดแรงในการเคลื่อนไหว และส่วนของไขมันในร่างกาย (body fat) ท้ังสอง ส่วนประกอบน้ีมีผลในด้านบวกและลบต่อร่างกาย ข้ึนอยู่กับกิจกรรมท่ีทา เช่น การว่ิง เราต้องการกาจัดส่วน ของไขมันออกไป เพราะเป็นส่วนของน้าหนักในร่างกายท่ีอาจส่งผลให้วิ่งช้าลง ในขณะท่ีส่วนปราศจากไขมัน ซึ่งเป็นส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับการเคล่ือนไหว แต่ในกีฬาบางชนิดเช่น การว่ายน้า ส่วนของไขมันจะส่งผลดีต่อการ ลอยตัวในน้า (buoyancy) ขณะท่ีถ้ามีส่วนท่ีปราศจากไขมันมาก จะส่งผลลดการลอยตัวในน้า ซ่ึงอาจทาให้ ต้องการใช้พลังงานเพิ่มมากข้ึนสาหรับการเคล่ือนไหวร่างกายในน้า แต่โดยทั่วไปแล้ว ไขมันในร่างกายส่งผล ด้านลบต่อสมรรถภาพร่างกายท้ังทางกลไก โดยไขมันในร่างกายอาจเป็นอุปสรรคต่อความต้องการในการ เคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็ว แต่มีข้อดีในการช่วยผ่อนกระจายแรงกระแทก และการเคลื่อนไหวท่ีต้องใช้ โมเมนตมั เชน่ กฬี าที่ต้องมีการปะทะต่าง ๆ ได้แก่ ฟุตบอล แฮนด์บอล บาสเกตบอล เป็นต้น ผู้ที่มีเปอร์เซ็นต์ ไขมันในร่างกายน้อย จะได้เปรียบท้ังทางด้านกลไกการเคลื่อนไหวร่างกายและการใช้พลังงานในร่างกาย อย่างไรก็ดี ไขมนั ในรา่ งกายจะมีผลทางด้านลบต่อความสามารถทางกีฬาในด้านความคล่องแคล่วว่องไว ความ รวดเรว็ ความอดทน การวง่ิ และการกระโดด (McArdle et al, 2010) สว่ นองค์ประกอบรา่ งกายทีป่ ราศจากไขมนั ใหผ้ ลดา้ นดตี อ่ กจิ กรรมที่ต้องใช้แรง เช่น การยก การผลัก การขว้าง การสกัดก้ัน จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบร่างกายมีความสาคัญต่อความสามารถทางกีฬา โดยเฉพาะ กีฬาประเภททีม ท่ีผู้เล่นแต่ละตาแหน่งมีความสามารถแตกต่างกันไป ควรนาค่าองค์ประกอบร่างกายมา ประมาณค่าน้าหนักตัวที่เหมาะสมกับนักกีฬาผู้เล่นแต่ละตาแหน่ง นอกจากคานึงถึงเปอร์เซ็นต์ไขมันแล้วควร พิจารณาถึงสว่ นประกอบของร่างกายทป่ี ราศจากไขมันต่อความสงู (FFM/H) ซ่ึงเป็นส่วนของกล้ามเนื้อ กระดูก และเนื้อเย่ืออื่นๆ พบว่า ค่าส่วนที่ปราศจากไขมันต่อความสูงมีค่าสูงสุดในเพศหญิงและชายที่เล่นกีฬายก นา้ หนกั และกีฬาประเภทขวา้ ง เชน่ ทุม่ นา้ หนัก ขว้างจักร และค่าน้อยที่สุดในนักว่ิงทางไกล นักกีฬาส่วนใหญ่ มีความสนใจที่จะมีขนาดและองค์ประกอบร่างกายท่ีเหมาะสมกับกีฬาที่เล่น เพื่อที่จะเพ่ิมโอกาสการประสบ ความสาเรจ็ ในการแข่งขันกฬี า (McArdle et al, 2010) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรบั นักกฬี า 72 วธิ กี ารทดสอบองคป์ ระกอบของร่างกาย การทดสอบองค์ประกอบของร่างกายสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 วิธีใหญ่ คือการทดสอบด้วยวิธีการ ทางตรง (direct method) และการทดสอบด้วยวิธีการทางอ้อม (indirect method) โดยมีรายละเอียดดังนี้ (McArdle et al., 2010) o การทดสอบด้วยวิธีการทางตรง (direct method) การทดสอบดว้ ยวธิ ีการทางตรง สามารถทาไดโ้ ดยใช้วิธกี ารผา่ ตัดเพื่อวิเคราะห์เนื้อเย่ือทางเคมี โดยจะ วิเคราะห์ในส่วนของไขมัน ส่วนท่ีปราศจากไขมันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อและกระดูกเป็นต้น ซึ่งจาเป็นท่ี จะต้องศึกษาในสัตว์ทดลองหรือจากซากศพของมนุษย์ โดยการทดสอบองค์ประกอบของร่างกายวิธีการนี้ จะตอ้ งทาการวิเคราะห์อย่างละเอยี ด ตอ้ งใช้อุปกรณแ์ ละเครือ่ งมือชนิดพิเศษท่ีใช้ในห้องปฏิบัติการ ที่สาคัญคือ จะต้องได้รับการยอมรับว่าสามารถทาได้โดยไม่ถือว่าผิดกฎหมายและจริยธรรม และจะต้องได้รับการยินยอม จากผู้เก่ียวข้องกับศพที่จะนามาศึกษาอย่างมีลายลักษณ์อักษร สาหรับสมมุติฐานในการทดสอบโดยวิธีการ ทางตรงน้ัน จะตง้ั อยู่บนพ้ืนฐานที่ว่าในแต่ละบุคคล องค์ประกอบท่ีเป็นส่วนที่ปราศจากไขมันซึ่งได้แก่มวลของ กระดูกและกล้ามเนื้อค่อนข้างจะเป็นสัดส่วนที่คงที่ ดังน้ันจึงเป็นที่มาของการศึกษา และการพยายามพัฒนา สมการสาหรับการประมาณค่าเปอรเ์ ซ็นตไ์ ขมนั ในร่างกายกนั อย่างมากมาย o การทดสอบด้วยวิธกี ารทางอ้อม (indirect method) สาหรับการทดสอบด้วยวิธีการทางอ้อมนั้น จะมีวิธีการทดสอบมากมายหลายวิธี โดยสามารถทดสอบ ในห้องปฏิบัติการ (laboratory test) และทดสอบในภาคสนาม (field test) ซ่ึงรายละเอียดของหลักการและ วธิ ีการทดสอบองคป์ ระกอบของร่างกายโดยวธิ ีการทางออ้ มมดี งั นี้ 1. การทดสอบในหอ้ งปฏิบัติการ (laboratory test) การทดสอบองค์ประกอบร่างกายที่ใช้ในห้องปฏิบัติการน้ัน มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี มักจะใช้ในทาง การแพทย์และทางคลนิ ิก รวมไปถึงใช้ในงานวจิ ยั เปน็ สว่ นใหญ่ วธิ กี ารซึง่ เปน็ ท่ีนยิ มโดยท่วั ไปมีดังน้ี คือ การช่ัง น้าหนักตัวใต้น้า (hydrostatic weighing) การวัดปริมาตรการแทนที่ของอากาศ (air displacement plethymography) และการวดั การดดู กลืนของรังสีเอ็กซ์ (dual energy x-ray absorptiometry) นอกจากนั้นยังมีวิธีการวัดโดยใช้เคร่ืองอุลตราซาวด์ (ultrasound assessment) วิธีmagnetic resonance imaging วธิ ี compute tomography วิธกี ารนบั จานวนโปรแตสเซี่ยม (K40) และการวิเคราะห์ การเคลื่อนที่ของนิวตรอน (neutron activation analysis) อีกด้วย แต่ไม่เป็นที่นิยมในการนามาใช้ประเมิน องค์ประกอบของรา่ งกายเท่าที่ควร โดยรายละเอียดวิธกี ารทดสอบทางออ้ มในห้องปฏิบตั ิมีดงั น้ี อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรบั นักกฬี า 73 การชง่ั น้าหนักตวั ใต้นา้ (hydrostatic weighing) การชั่งน้าหนกั ตัวใต้น้า (hydrostatic weighing) ถือเป็นวิธีการท่ีใช้วัดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายท่ีมี ความเที่ยงตรง (validity) และมีความเชื่อถือได้ (reliability) อยู่ในระดับท่ีสูงมาก เป็นท่ีนิยมใช้ใน ห้องปฏิบัติการอย่างกว้างขวาง โดยจะประเมินจากความหนาแน่นของร่างกาย (body density: Db) ซึ่งเป็น อตั ราสว่ นระหว่างนา้ หนักตัวกับปริมาตรของร่างกาย (body volume) จากนั้นจึงทาการแปลงความหนาแน่น ของร่างกายเป็นระดับเปอร์เซ็นต์ไขมัน ต่อไปสมมติฐานของวิธีการนี้ จะใช้หลักของอาคิมิดิส (Archimedis’principle) ท่ีว่า “วัตถุท่ีจมอยู่ในน้าจะสูญเสียน้าหนักของวัตถุไปเท่ากับน้าหนักของน้าท่ีถูก แทนที่ไป” การที่น้ามีแรงลอยตัว จะทาให้ส่วนที่ปราศจากไขมัน(กระดูกและกล้ามเน้ือ) มีความหนาแน่น มากกว่าน้า ในขณะที่ส่วนท่ีเป็นไขมันมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้า ดังน้ันถ้ามีการชั่งน้าหนักตัวใต้น้าในคนที่มี น้าหนักตวั เทา่ ๆ กัน จะพบว่าคนทมี่ สี ่วนทีป่ ราศจากไขมนั มากกว่าจะมนี ้าหนักตัวท่ีช่ังได้และความหนาแน่นจะ มีมากกว่าหรอื มีเปอร์เซน็ ตไ์ ขมันในร่างกายน้อยกว่านัน่ เอง ภาพที่ 3.2 การช่งั นา้ หนักตัวใต้นา้ (hydrostatic weighing) ทม่ี า: http://www.doctorofexercise.com/exs335/pictures.htm วิธีการชั่งน้าหนักตัวใต้น้าน้ี ถือเป็นวิธีการหาเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายที่มีความถูกต้องและแม่นยา มากที่สดุ แตว่ ิธนี ้ีค่อนขา้ งมขี ดี จากัดหลายประการ เช่น วิธีการยุ่งยาก ตอ้ งมกี ารใชเ้ ครื่องมือในห้องปฏิบัติการ ใชเ้ วลาในการทดสอบค่อนข้างนาน มักจะสร้างความเครียดให้แก่ผู้เข้ารับการทดสอบเนื่องจากจะต้องลงไปอยู่ ใตน้ า้ ประกอบกับผู้ทาการทดสอบจะตอ้ งมีความเช่ียวชาญและชานาญ และท่สี าคญั จะต้องมีทีมงานหรือผู้ช่วย สาหรับการทดลองเปน็ จานวนมาก อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรับนักกฬี า 74 จุดประสงค์หลักของวิธีการชั่งน้าหนักตัวใต้น้าคือ การหาปริมาตรของร่างกายเพื่อที่จะนาไปสู่การหา ความหนาแน่นของร่างกายและแปลงเป็นเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายต่อไป ซึ่งรายละเอียดและวิธีการมีดังนี้ (Hayward,2006) 1. ในการทดสอบจะใช้สระน้าหรือแท็งก์น้าขนาดใหญ่ ซึ่งผู้ทดสอบจะต้องทาการช่ังน้าหนักตัวใน ขณะทีท่ ุกสว่ นของร่างกายอยูใ่ ต้นา้ 2. การช่งั นา้ หนักตัวขณะอยู่ใต้น้า จะใช้วิธีการท่ีผู้ถูกทดสอบน่ังอยู่บนเก้าอ้ีท่ีอยู่ใต้น้าโดยตัวเก้าอ้ีจะ ถูกเกี่ยวไว้กับสเกลท่ีเป็นเคร่ืองวัด หรืออีกวิธีหนึ่งคือ ให้ผู้ทดสอบนั่งอยู่บน platform ท่ีอยู่ใต้น้า โดย platform นี้จะมี load cell ติดอยู่ ทาการบันทึกน้าหนักตัวท่ีช่ังได้ในขณะอยู่ใต้น้า ซ่ึงเรียกว่า underwater weight หรอื UWW 3. เม่ือไดน้ า้ หนักตัวขณะอยู่ใต้น้า (UWW) แล้ว ให้นาไปหาปริมาตรของร่างกาย (BV) โดยนาน้าหนัก ตัวปกติ (BW) ลบดว้ ยน้าหนกั ตวั ขณะอยูใ่ ต้น้า (UWW) 4. นาน้าหนักตัวขณะอยู่ใต้น้า (UWW) ลบน้าหนักของเก้าอี้ หรือ platform ท่ีเป็นตัวรองรับขณะอยู่ ใตน้ า้ (tare weight) ออก จะได้เป็นน้าหนักตัวใตน้ า้ สุทธิ (net UWW) 5. เพื่อให้นา้ หนกั ตัวสุทธิเป็นค่าท่ีถูกต้องมากท่ีสุด จะต้องนาไปลบกับค่าของปริมาตรอากาศที่ค้างอยู่ ในปอด หลังจากหายใจออกเต็มที่ (residual volume: RV) และอากาศท่ีค้างอยู่ในกระเพาะและลาไส้ (GV) ซง่ึ จะมีค่าประมาณ 100 มิลลิลิตร หรอื 0.1 ลติ ร 6. การหาค่า RV โดยทั่วไปจะใช้วิธีการ helium dilution วิธี nitrogen washout หรือ วิธีoxygen dilution โดย RV ท่ีวัดได้จะมีหน่วยเป็นลิตร ดังน้ันจะต้องเปล่ียนให้เป็นหน่วย กิโลกรัม ซึ่งน้า 1 ลิตรจะมี นา้ หนักประมาณ 1 กิโลกรมั 7. หาความหนาแน่นของน้าซ่ึงข้ึนอยู่กับอุณหภูมิของน้าขณะทาการทดสอบจากตารางต่อไปนี้ (โดยทั่วไปจะใช้อุณหภูมินา้ อยู่ระหว่าง 34 – 36 องศาเซลเซียส) อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรบั นกั กฬี า 75 ตารางที่ 3.1 ความหนาแน่นของนา้ ที่ระดับอณุ หภูมิตา่ ง ๆ อณุ หภมู ิของนา้ ความหนาแนน่ ของน้า อณุ หภมู ิของน้า ความหนาแน่นของนา้ กรมั /ลบ.ซม. กรัม/ลบ.ซม. (C) (C) 21 0.9980 31 0.9954 22 0.9978 32 0.9951 23 0.9975 33 0.9947 24 0.9973 34 0.9944 25 0.9971 35 0.9941 26 0.9968 36 0.9937 27 0.9965 37 0.9934 28 0.9963 38 0.9930 29 0.9960 39 0.9926 30 0.9957 40 0.9922 ที่มา: Hayward (2006) 8. หาปริมาตรของร่างกายทงั้ หมด (BV) จากสมการต่อไปนี้ BV = [(BW – net UWW)/density of water] – (RV + GV) 9. เมอ่ื ได้คา่ BV แล้ว นาไปหาความหนาแน่นของรา่ งกายจากอัตราส่วนของนา้ หนักตัวกับปรมิ าตร ร่างกาย (Db = BW/BV)จากน้นั นาคา่ Db ท่ไี ด้แปลงเปน็ เปอรเ์ ซ็นต์ไขมันจากสมการใดสมการหนงึ่ ต่อไปน้ี %BF = (4.95 / Db – 4.500)100 ……….สมการของ Siri(1961) %BF = (4.75 / Db – 4.142)100 ……….สมการของ Brozek et al.(1961) อย่างไรก็ดีความหนาแน่นของส่วนท่ีปราศจากไขมัน (DFFB) จะแปรผันตามเพศ อายุ และเช้ือชาติ ดังน้ันเพ่อื ให้ผลการทดสอบที่ได้มีความถูกต้องตามลักษณะกายภาพของผู้ทดสอบ อาจจะหา%BF จากสมการ ในตารางต่อไปนี้ อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรบั นกั กฬี า 76 ตารางที่ 3.2 สมการสาหรับการคานวณเปอร์เซน็ ตไ์ ขมนั จากความหนาแน่นตามระดบั อายแุ ละเพศ อายุ เพศ %ไขมันในรา่ งกาย DFFB (5.03 / Db – 4.59) 100 1.096 15-16 ชาย (5.07 / Db – 4.64) 100 1.094 หญิง (4.98 / Db – 4.53) 100 (5.05 / Db – 4.62) 100 1.099 17-19 ชาย (4.95 / Db – 4.50) 100 1.095 หญิง (5.03 / Db – 4.59) 100 1.100 20-25 ชาย 1.096 หญิง ทม่ี า: Robergs and Roberts (1997) วิธกี ารช่ังน้าหนักตัวใตน้ ้า มีปจั จัยท่ีจะทาให้เกิดความเคล่ือนในการทดสอบ ดังนั้นจึงควรปฏิบัติในแต่ ละขน้ั ตอนอย่างเคร่งครัด โด มขี อ้ แนะนาตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี (Hayward, 2006) 1. ผู้ทดสอบต้องใช้ชุดว่ายน้าที่มีน้าหนักเบาและน้อยช้ินท่ีสุด โดยจะต้องทาการถ่ายปัสสาวะและ อจุ จาระให้เรยี บร้อยกอ่ นทาการทดสอบ 2. ทาการเทียบมาตรฐานของเคร่ืองช่ัง หรือ Load cell ก่อนทาการทดสอบ และตรวจสอบอุณหภูมิ ของน้าที่จะใช้ทดสอบให้เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 34–36 (C) โดยน้าหนักเก้าอี้ หรืออุปกรณ์อ่ืนๆ ที่อยู่ใต้น้า (tare weight) จะตอ้ งไม่นาไปรวมกบั น้าหนกั ของผู้ทดสอบ 3. ผู้ทดสอบจะนั่งบนเก้าอ้ีหรือคุกเข่าบน platform ใต้น้าได้ หลังจากทาการไล่ฟองอากาศที่ติดอยู่ ตามผิวหนัง ชุดวา่ ยน้า และผมออกเรยี บแล้ว 4. ขณะทอี่ ยูใ่ ต้นา้ ผูท้ ดสอบจะต้องหายใจออกให้มากทีส่ ุดเท่าท่ีจะทาได้ โดยผู้ทดสอบจะต้องพยายาม อยู่น่ิงๆ ในขณะท่ีกาลังทาการช่ังน้าหนัก จดบันทึกน้าหนักที่วัดได้ซึ่งถือเป็นค่าท่ียังไม่สมบูรณ์ โดยทาการชั่ง น้าหนกั ใตน้ ้าซ้าอย่างนอ้ ย 3 – 10 ครงั้ นาคา่ ท่ีวดั ได้สูงสดุ 3 คา่ มาหาค่าเฉลี่ย 5. หาน้าหนักใต้นา้ สทุ ธิ (net UWW) โดยนาน้าหนักของเกา้ อ้ี อุปกรณส์ ว่ นตา่ ง ๆ ชดุ วา่ ยน้า และสาย ของ scuba (ถา้ ใช้) ไปลบออกจากน้าหนกั ตวั ใตน้ ้า อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรับนกั กฬี า 77 ตวั อย่างการคานวณเปอรเ์ ซ็นต์ไขมนั จากวธิ ีการชั่งน้าหนกั ตัวใต้น้า ขอ้ มลู เบื้องต้น: ผู้ทดสอบเปน็ เพศชาย นา้ หนกั ตัว 84 กิโลกรัม วัดค่า Residual Volume (RV) ได้ 1.96 ลิตร อุณหภูมิของน้า 36 C ความหนาแน่นของนา้ 0.9937 กรมั /ลบ.ซม นา้ หนักท่ีวัดได้ครัง้ ที่ 1 4.47 กก. นา้ หนกั ทว่ี ดั ได้ครง้ั ท่ี 2 4.65 กก. นา้ หนกั ทว่ี ดั ได้ครั้งท่ี 3 4.68 กก. น้าหนกั ทว่ี ดั ได้ครั้งที่ 4 4.52 กก. น้าหนักที่วัดได้คร้ังท่ี 5 4.68 กก. นา้ หนักเฉล่ยี Underwater weight หรอื UWW= 4.65 + 4.68 + 4.68 = 4.67 กก. นา้ หนักของเกา้ อี้หรือ Platform (Tare weight) = 2.1 กก. น้าหนักตวั ใตน้ า้ สุทธิ Net Underwater weight (Net UWW) = 4.67- 2.1 = 2.57 กก. หาปริมาตรของร่างกาย(Body Volume: BV) จากสมการต่อไปน้ี BV = [(BW – net UWW)/density of water] – (RV + GV) = [(84 – 2.57) / 0.9937] – (1.96+0.10) = 79.8863 ลบ.ซม. คานวณหาความหนาแน่นของรา่ งกาย (Body density: Db) Db = BW / BV = 84 / 79.8863 = 1.0515 กรมั /ลบ.ซม. นาค่า Db ทไี่ ด้แปลงเป็นเปอร์เซนตไ์ ขมนั จากสมการของ Siri(1961) ดงั น้ี %BF = (4.95 / Db – 4.500) 100 = (4.95 / 1.0515 – 4.5) 100 = 20.76 % ทม่ี า : Robergs and Roberts (1997) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรบั นกั กฬี า 78 การวดั ปรมิ าตรการแทนท่ีของอากาศ (air displacement plethymography) เป็นวิธีการประเมินองค์ประกอบของร่างกาย โดยเป็นการวัดปริมาตรร่างกาย (body volume) จาก การวัดการแทนท่ีของปริมาตรอากาศ จากนั้นก็จะนาค่าปริมาตรร่างกาย ที่ได้ไปประมาณค่าความหนาแน่น ของร่างกาย(body density) ตอ่ ไป วิธีการดงั กล่าวนจี้ ะตอ้ งทดสอบในห้องปฏิบัติการหรือเป็นการทดสอบทาง คลินิค ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการชั่งน้าหนักตัวใต้น้าแล้วพบว่าวิธีการนี้สะดวกกว่าและใช้เวลาในการ ทดสอบน้อยกวา่ โดยท่ัวไปใชเ้ วลาประมาณ 5-10 นาที อยา่ งไรกด็ ีเครือ่ งมอื ท่ีใชส้ าหรับวิธีการน้ีค่อนข้างที่จะมี ราคาแพง ลักษณะรูปรา่ งของอุปกรณท์ ่ีใช้สาหรบั ประเมินองค์ประกอบของร่างกาย จากการวัดการแทนที่ของ ปรมิ าตรอากาศนั้น จะมีรูปร่างคล้ายไขไ่ ก่ ซ่ึงจะมฝี าเปิด-ปิดเพือ่ ใหผ้ ู้ทดสอบสามารถท่ีจะเข้าไปน่ังอยู่ข้างในได้ ตัวอย่างย่ีห้อของอุปกรณ์และเครื่องมือสาหรับวิธีการนี้ท่ีรู้จักกันดี คือยี่ห้อ Bob Pod ซ่ึงเป็นท่ีนิยมใช้กัน โดยทวั่ ไป ภาพที่ 3.3 การวดั ปริมาตรการแทนท่ขี องอากาศ (air displacement plethymography) ทม่ี า: Hayward (2006) สาหรบั รายละเอยี ดวธิ กี ารทดสอบมีดงั น้ีคือ 1. ทาการหาปริมาตรร่างกาย (body volume: BV) จากผลต่างของปริมาตรของอากาศภายในห้อง ทดสอบกับปริมาตรอากาศที่เหลือหลังจากท่ีผทู้ ดสอบเข้าไปน่ังแลว้ 2. ในการทดสอบ ผู้ทดสอบจะต้องสวมชุดว่ายน้า และในขณะท่ีผู้ทดสอบเข้าไปน่ังอยู่ข้างในห้อง ทดสอบน้ัน จะต้องหายใจเข้า-ออกปกตินาค่าปริมาตรของร่างกายท่ีวัดได้ ไปหาความหนาแน่นของร่างกาย (body density) จากอัตราส่วนของนา้ หนกั ตัวกับปริมาตรร่างกาย (Db = BW / BV) อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตร์การกฬี า มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรบั นักกฬี า 79 3. นาคา่ ความหนาแน่นของร่างกายท่ีไดแ้ ปลงเปน็ ค่าเปอร์เซนต์ของไขมันในร่างกาย จากสมการของ Siri ดังนี้ %BF = (4.95 / Db – 4.500)100 จากการวจิ ยั พบวา่ วิธีการนี้เมือ่ นามาใชก้ บั กลมุ่ นกั กฬี าจะวัดเปอร์เซน็ ตไ์ ขมนั ในร่างกายได้ค่าที่ต่ากว่า ความเป็นจริง (underestimate) อย่างไรก็ดี การศึกษาหรืองานวิจัยเก่ียวกับการประเมินองค์ประกอบของ ร่างกายโดยวิธีวัดการแทนท่ีของปริมาตรอากาศ (air displacement plethymography) ก็ยังมีการศึกษาท่ี ยังไม่มากเท่าที่ควร ดังนั้นเหตุผลท่ีจะนามาสนับสนุนการนาไปใช้กับกลุ่มประชากรต่างๆ โดยจาแนกตามเพศ อายุ และเชือ้ ชาตกิ ็ยังคงน้อยอยเู่ ช่นกัน การวัดการดดู กลืนของรังสีเอ็กซ์ (dual energy x-ray absorptiometry: DXA) เป็นวิธีการท่ีใช้ทดสอบในห้องปฏิบัติการและมักจะใช้ในการวิจัยเป็นส่วนใหญ่ โดยสามารถที่จะ วิเคราะห์จานวนแร่ธาตุในกระดูก (bone mineral) จานวนไขมัน (body fat) และเนื้อเยื่อท่ีปราศจากไขมัน (lean soft tissue) ได้ วิธีการนี้ค่อนข้างมีค่าความเชื่อมั่นในการวัดที่สูง (high reliability) ในการคานวณหา เปอร์เซนต์ไขมันในร่างกาย ถือเป็นวิธีการทดสอบองค์ของร่างกายที่น่าสนใจอีกวิธีหนึ่ง เพราะสามารถทาได้ ง่ายและสะดวก ใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที ที่สาคัญคือ สามารถวัดจานวนแร่ธาตุในกระดูก (bone mineral) ได้ค่อนข้างถูกต้อง ทาให้ช่วยแก้ปัญหาการประเมินองค์ประกอบของร่างกายที่คลาดเคลื่อนอัน เน่อื งมาจากความแตกต่างของจานวนแร่ธาตุในกระดูกของแตล่ ะบคุ คลซึง่ ข้ึนอยู่กบั อายุ เพศและเชื้อชาติ ท้ังนี้ ในการทดสอบองค์ประกอบของร่างกายดว้ ยวิธกี ารอนื่ ๆ ไมส่ ามารถวัด จานวนแรธ่ าตุในกระดูกได้โดยตรง เป็น ผลใหเ้ วลานามาหาส่วนท่เี ป็นไขมนั และสว่ นที่ปราศจากไขมนั กจ็ ะผดิ พลาดหรอื คลาดเคลือ่ นไปดว้ ย นอกจากนี้ ในการประเมินองค์ประกอบของร่างกายโดยวิธีการทางอ้อมบางวิธี เช่น การวัดไขมันใน รา่ งกายดดยวธิ ีการวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง (skinfold thickness) ค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายท่ีได้ จะมาจากการทานายโดยใช้สมการ ซึ่งในการสร้างสมการนั้น โดยท่ัวไปจะใช้จากค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันท่ีได้จาก การทดสอบโดยวิธีการชั่งน้าหนักตัวใต้น้าเป็นเกณฑ์สาหรับเปรียบเทียบหรือเป็นค่าท่ีใช้สาหรับอ้างอิง แต่ ปจั จบุ นั ได้เร่ิมมีการใชค้ า่ เปอร์เซ็นต์ไขมันที่ได้จากวิธี DXA แทน ดังนั้นวิธีการดังกล่าวนี้จึงกาลังเป็นที่ยอมรับ และนยิ มใชก้ นั มากข้ึนตามลาดบั สาหรับหลักการในการทดสอบองค์ประกอบของร่างกายโดยวิธีการน้ี จะใช้หลักการการเปล่ียนรังสี เอ๊กซ์ (x) ที่มีพลังงานโฟตอนมากและน้อย ผ่านส่วนต่างๆ ของร่างกาย แล้ววัดการดูดซับพลังงาน ตามส่วน ตา่ ง ๆ ของร่างกายโดยทีผ่ ู้ทดสอบจะต้องนอนบนเตียงเพอ่ื ทาการสแกน ใชเ้ วลาประมาณ 12 นาที ซึ่งคล่ืนรังสี ที่ผ่านส่วนของไขมัน ส่วนที่ไม่ใช่ไขมันและกระดูกจะแตกต่างกันตามความหนา ความหนาแน่นและ อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรับนกั กฬี า 80 องค์ประกอบทางเคมีของเน้ือเย่ือแต่ละชนิดใช้ในการบ่งบอกถึงประเภทเนื้อเย่ือของร่างกายได้ นอกจากนี้ยัง สามารถวดั ความหนาแน่นของแร่ธาตใุ นกระดกู และจานวนแรธ่ าตุในกระดกู ทัง้ หมดของรา่ งกาย จัดเป็นวิธีการ ทีย่ อมรับทางการแพทย์ในการตรวจประเมินภาวะกระดูกสันหลังพรุน ภาวะผิดปกติของกระดูก และดูผลของ การออกกาลงั กายและไม่ออกกาลงั กาย ภาพที่ 3.4 การวัดการดดู กลืนของรังสเี อก็ ซ์ (dual energy x-ray absorptiometry: DXA) ท่ีมา: Hayward (2006) 2.2 การทดสอบในภาคสนาม (field test) การทดสอบองค์ประกอบร่างกายท่ีใช้ในภาคสนามนั้น เป็นวิธีการทดสอบที่สามารถนามาใช้ทดสอบ กับกลุ่มผู้ทดสอบจานวนมากได้ วิธีการค่อนข้างทาได้สะดวกและง่าย อุปกรณ์มีราคาท่ีไม่แพงมากนักเมื่อ เปรียบเทียบกับวิธีการทดสอบในห้องปฏิบัติการ ซึ่งวิธีการท่ีนิยมนามาใช้โดยทั่วไปมีดังน้ี คือ วิธีการวัดความ ต้านทานไฟฟูาของร่างกาย (bioeletrical impedance analysis: BIA) วิธีการฉายรังสีอินฟาเรด (near- infrared interactance: NIR) วิธีการวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง (skinfold method) และวิธีการใช้ วิธกี ารสดั ส่วนรา่ งกาย (anthropometric method) โดยแตล่ ะวิธกี ารมีรายละเอยี ดและวธิ ีการทดสอบดังนี้ การวดั ความตา้ นทานไฟฟา้ ของร่างกาย (bioeletrical impedance analysis: BIA) การวัดความต้านทานไฟฟูาของร่างกาย เป็นวิธีการประเมินเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายท่ีสามารถ ปฏิบัติได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย โดยผู้ทดสอบไม่จาเป็นต้องมีความชานาญสูง ถือเป็นวิธีหน่ึงซ่ึง เป็นที่นิยมใช้กันมากพอสมควร โดยสมมติฐานของวิธีการน้ีคือ ส่วนท่ีปราศจากไขมัน (fat-free mass:FFM) จะนาไฟฟูาได้ดกี วา่ ส่วนของเนื้อเยื่อไขมัน (fat mass) ทั้งนี้เน่ืองจากส่วนของเน้ือเย่ือท่ีปราศจากไขมันจะมีน้า และอเิ ลคโตรไลทเ์ ปน็ ส่วนประกอบสาคญั ซง่ึ จดั เป็นตวั นาไฟฟาู ท่ดี ีอย่างยิ่ง ดังนั้นกระแสไฟฟูาจึงสามารถท่ีจะ ไหลผ่านไปได้มากกว่าหรือมีความต้านทานไฟฟูา (impedance) น้อยกว่านั่นเอง จากสมมติฐานดังกล่าวจึง อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรบั นักกฬี า 81 สามารถท่ีจาแนกระดับของส่วนเน้ือเยื่อที่ปราศจากไขมัน และส่วนของเน้ือเยื่อไขมันโดยใช้ความต้านทาน ไฟฟูาเป็นตัววัดได้ การวัดความต้านทานไฟฟูาของร่างกาย โดยใช้หลักการของกระแสไฟฟูาความถ่ีต่าผ่านเข้าไปใน ร่างกาย แลว้ วัดคา่ Impedance (Z) ซึง่ เท่ากับค่าความต้านทานการไหลของกระแสไฟฟูาในร่างกาย วิธีการน้ี จะใช้กระแสไฟฟูาระดับต่าขนาด 500-800 ไมโครแอมป์ (A) ความถี่ที่ระดับ 50 kHz ส่งผ่านเข้าไปใน ร่างกายซ่งึ ประกอบด้วยเน้อื เยอื่ ต่างๆ ท่เี ปน็ ท้ังตวั นาไฟฟูาและฉนวนไฟฟูา จากนั้นจะทาการวัดความต้านทาน ไฟฟูาของร่างกาย (impedance) ท่ีเกิดขึ้น เพื่อประเมินส่วนของเนื้อเย่ือที่ปราศจากไขมันจากปริมาณน้าใน ร่างกาย (total body water) ที่วัดมาได้ โดยบุคคลท่ีมีส่วนของเนื้อเยื่อที่ปราศจากไขมันมาก ก็จะมีปริมาณ น้าในร่างกายมากเช่นเดียวกัน ดังนั้นความสามารถในการนาไฟฟูาก็จะสูง เป็นผลให้ความต้านทานไฟฟูาท่ีวัด ได้จะมีค่าท่ีน้อย ส่วนบุคคลที่มีเนื้อเยื่อไขมันมาก ความสามารถในการนาไฟฟูาจะลดลง กระแสไฟฟูาจะไหล ผ่านได้น้อย ดังนั้นความต้านทานไฟฟูาที่วัดได้ก็จะมีค่าที่สูง ความต้านทานไฟฟูาของร่างกายท่ีใช้ในการ ประเมินสว่ นของเนอื้ เยอื่ ที่ปราศจากไขมันนั้น จะมีความสัมพันธ์กับโดยตรงกับขนาดความยาวของตัวนาไฟฟูา (length of conductor ) และมีความสัมพันธ์เชิงผกผันกับขนาดของพ้ืนท่ีหน้าตัด (cross-sectional area) ดังสมการตอ่ ไปน้ี (Hayward,2006) Z = P(L/A) โดย Z คอื ความต้านทานไฟฟาู ท่วี ดั ได้ (impedance) P คอื ปริมาตรความต้านทานเฉพาะของเน้ือเยื่อในรา่ งกาย L (specific of resistivity of body tissue) ในที่นีจ้ ะมีคา่ คงที่ คอื ความยาวของตวั นาไฟฟูา (length of conductor) ในทน่ี ค้ี ือความสูงของรา่ งกาย A (height: ht) คอื ขนาดของพน้ื ท่ีหนา้ ตัด (cross-sectional area) จากสมการขา้ งตน้ ถ้าคณู ด้วย L/L จะได้ความสมั พันธ์ใหมซ่ ึ่งแสดงไดจ้ ากสมการตอ่ ไปนี้ Z = P(L/A)( L/L) = PL2 /AL ซงึ่ ผลคูณของความยาวและขนาดของพื้นหรือ (AL) จะเทา่ กับปริมาตร(Volume: V) Z = PL2 / V อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรบั นักกฬี า 82 ดังน้ันปริมาตรน้าในร่างกายหรือส่วนของเน้ือเย่ือที่ปราศจากไขมันสามารถที่จะหาได้จากสมการ ดงั ตอ่ ไปน้ี V = PL2 / Z จากสมการจะเห็นไดว้ ่าปรมิ าตรนา้ ในรา่ งกายและสว่ นของเนื้อเย่ือที่ปราศจากไขมันจะมีความสัมพันธ์ โดยตรงกับความสูงของร่างกายยกกาลังสอง (L2 หรือ ht2) และมีความสัมพันธ์เชิงผกผันกับค่าความต้านทาน ไฟฟูาของร่างกาย (Z) ในการประเมินองค์ประกอบของร่างกายโดยวิธี bioeletrical impedance analysis หรือBIA จะใช้ สมการถดถอยเป็นตัวทานายส่วนของเนื้อเย่ือท่ีปราศจากไขมัน (FFM) จากตัวแปรต่างๆ เช่นความต้านทาน ไฟฟูาทว่ี ัดได้ ระดับอายุ เพศ เชอื้ ชาติ และระดับสมรรถภาพทางกาย เปน็ ตน้ หลังจากนน้ั เมื่อได้ค่า FFM แล้ว ก็จะนาไปไปหาเปอร์เซนต์ไขมันในร่างกาย (%BF) จากความสัมพันธ์ของน้าหนักตัว (body mass) ส่วนของ เน้อื เยอื่ ทีป่ ราศจากไขมัน (fat - free mass) และส่วนของเนื้อเย่อื ไขมัน (fat mass) ดังตอ่ ไปน้ี fat mass = body mass – fat - free mass % body fat = (fat mass/ body mass)  100 สาหรับสมการที่ใช้ในการทานายส่วนของเน้ือเย่ือท่ีปราศจากไขมัน (fat-free mass) โดยวิธี BIAน้ัน จะมีดว้ ยกนั มากมายหลายสมการ ดังนน้ั การนาไปใช้ จะตอ้ งเลอื กสมการทมี่ ีคุณสมบตั ใิ กล้เคยี งกับกลุ่มผู้เข้ารับ การทดสอบมากท่ีสุด เช่นอายุและเพศท่ีสมการได้กาหนดไว้ เป็นต้น จะทาให้ค่าที่ได้จากการวัดมีความ คลาดเคล่ือนน้อยท่ีสุด โดยสมการต่าง ๆ ท่ีใช้ในการทานายส่วนของเน้ือเย่ือที่ปราศจากไขมัน (fat-free mass) โดยวิธี BIA แสดงไดด้ ังตารางตอ่ ไปนี้ อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรบั นักกฬี า 83 ตารางท่ี 3.3 สมการท่ใี ชใ้ นการทานายส่วนของเน้ือเยื่อท่ปี ราศจากไขมนั (fat-free mass) โดยวิธี BIA กลุ่มประชากร สมการ - เพศชาย อายุ 17-62 ปี FFM = 0.00066360 (ht2) – 0.02117(R) + (มีระดับไขมัน  20%) 0.62854(BM) - 0.12380(age) + 933285 (มีระดับไขมัน  20%) FFM = 0.00088580 (ht2) – 0.02999(R) + 0.42688(BM) - 0.07002(age) + 14.52435 - เพศหญงิ อายุ17-62 ปี FFM = 0.000646 (ht2) –0.014(R) + 0.421(BM) (มรี ะดับไขมัน  30%) +10.4 (มีระดบั ไขมนั  30%) FFM = 0.000911186(ht2) – 0.01466(R) + - เด็กชายและเด็กหญงิ อายุ 8-15 ปี 0.29990(BM) - 0.07012(age) + 9.37938 - เดก็ ชายและเด็กหญิงอายุ 10-19 ปี FFM = 0.26(ht2 /R) +0.21(BM) + 0.10(Xc) + 4.2 - นักกฬี าเพศหญิง FFM = 0.61(ht2 /R) + 0.25(BM) + 1.31 - นักกีฬาเพศชายอายุ 19-40 ปี FFM = 0.73(ht2 /R) + 0.16(BM) + 2.0 FFM = 0.186 (ht2 /R) + 0.701(BM) + 2.01.949 หมายเหตุ: FFM = Fat-free mass; ht = Height; BM= Body mass; R = Resistance; Xc = reactance ท่ีมา: Hayward (2006) วิธีการวัดความต้านทานไฟฟาู ของรา่ งกาย(BIA) ทาได้โดยจะมีการติดข้ัวสัญญาณไฟฟูา(electrode)ไว้ ท่ีมือ ข้อมือ เท้า และข้อเท้า จากนั้นจะทาการปล่อยกระแสไฟฟูาขนาดต่า500-800 ไมโครแอมป์ (A) ความถี่ท่ีระดับ 50 kHz ผ่านเข้าไปในร่างกายตามขั้วสัญญาณไฟฟูาที่ติดบริเวณ distal ในท่ีน้ีคือ บริเวณมือ และเท้า ส่วนข้ัวสัญญาณไฟฟูาที่ติดบริเวณข้อมือและข้อเท้า จะทาหน้าท่ีอ่านค่าความต่างศักย์ (voltage) ท่ี เกดิ ข้นึ ซึ่งความตา้ นทานไฟฟูาของร่างกายท่ีวัดได้จะคานวณจากอัตราส่วนของความต่างศักย์กับกระแสไฟฟูา ทผ่ี ่านเข้าไปในรา่ งกาย โดยข้ันตอนของวิธีการทดสอบมีดงั น้ี (Hayward, 2006) 1. ให้ผู้ทดสอบนอนหงายบนเตียงท่ีใช้สาหรับทดสอบ พยายามอย่าให้แขนและขาแนบชิดลาตัว โดย ให้กางแขนและขาห่างออกจากลาตัวประมาณ 45 2. ใช้แอลกอฮอลท์ าความสะอาดผวิ หนังในบริเวณทีจ่ ะติดอเิ ลค็ โทรด 3. บริเวณท่ีจะทาการติดอิเล็คโทรดจะใช้บริเวณด้านขวาของร่างกายทั้งหมด โดยจะติดทั้งหมด 4 ตาแหน่ง ดงั นี้ อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรับนักกฬี า 84 ตาแหน่งท่ี 1 บริเวณของข้อต่อระหว่างกระดูกฝาุ มือและกระดูกนิว้ มือส่วนต้น (proximal to the metacarpal – phalangeal joint) ตาแหนง่ ท่ี 2 บรเิ วณของข้อต่อระหวา่ งกระดูกฝุาเทา้ และกระดูกน้วิ เท้าสว่ นตน้ (proximal to the metatarsal – phalangeal joint) ตาแหน่งท่ี 3 บริเวณระหวา่ งกลางของปุมกระดูกส่วนปลายของกระดูกปลายแขนดา้ นนอก และปลายแขนดา้ นใน (medially between the distal prominence of the radius and ulna) ตาแหนง่ ที่ 4 บริเวณระหวา่ งกลางของปุมกระดูกข้อเทา้ ดา้ นในและด้านข้าง (medially between the medial and lateral malleoli at the ankle) 4. ตาแหน่งท่ี 1 และ 2 จะติดด้วยข้ัวสัญญาณไฟฟูาสีดา ส่วนตาแหน่งท่ี 3 และ 4 จะติดด้วยข้ัว สัญญาณไฟฟาู สแี ดง ซึ่งกระแสไฟฟาู จะผ่านเขา้ ไปทางขั้วสัญญาณไฟฟูาสีดา และจะอ่านค่าความต่างศักย์ที่ข้ัว สัญญาณไฟฟูาสีแดง ภาพท่ี 3.5 การวดั ความต้านทานไฟฟาู ของรา่ งกาย ที่มา: http://www.red-spirit-energy-healing.com/bioelectrical-impedance-analysis.html การทดสอบโดยวิธี BIA ข้ันต้นน้ีเรียกว่า “Tetrapolar method” ซ่ึงเป็นวิธีที่ต้องทดสอบใน ห้องปฏิบัติการ อย่างไรก็ดีในปัจจุบันได้มีการผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ประเมินองค์ประกอบของร่างกายโดยใช้เครื่อง BIA ท่ีสามารถทาการทดสอบได้สะดวก และรวดเร็วมากย่ิงข้ึน เหมาะอย่างย่ิงที่จะนามาใช้ในภาคสนาม ซึ่งมี ดว้ ยกนั 3 รปู แบบคอื อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรบั นักกฬี า 85 1. วิธีการวัดความความต้านทานไฟฟูาของร่างกายส่วนล่าง (lower body resistance) เครื่องมือ ชนิดน้ีจะมีลักษณะคล้ายเคร่ืองช่ังน้าหนัก ซ่ึงผู้ทดสอบจะต้องยืนโดยให้ส่วนของฝุาเท้าทั้งสองข้างสัมผัสกับ electrode ทตี่ ดิ อยู่กบั ตัวเครอื่ ง จากน้ันเครือ่ งจะทาการวัดความต้านทานไฟฟูาออกมา โดยท่ีสามารถคานวณ FFM และ %BF ได้จากโปรแกรมสาเร็จรูป ตัวอย่างอุปกรณ์ท่ีใช้ในการวัดความความต้านทานไฟฟูาของ รา่ งกายส่วนลา่ ง เช่นย่หี อ้ TanataTM analyzer 2. วิธีการวัดความความต้านทานไฟฟูาของร่างกายส่วนบน (upper body resistance) เคร่ืองมือ ชนิดนี้ออกแบบมา โดยท่ีผู้ทดสอบต้องใช้มือจับโดยสัมผัสกับส่วนของ electrode ในลักษณะแขนท้ังข้าง เหยียดตรง ขนานราบกับพื้น ซึ่งใช้หลักการเช่นเดียวกับวิธีการวัดความความต้านทานไฟฟูาของร่างกาย ส่วนล่าง โดยตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้ในการวัดความความต้านทานไฟฟูาของร่างกายส่วนบน เช่นย่ีห้อ Omron Body LogicTM analyzer 3. วิธีการวัดความความต้านทานไฟฟูาของร่างกายโดยรวม (whole body resistance) เคร่ืองมือ ชนิดนี้จะออกแบบมาเพื่อวัดความต้านทานไฟฟูาของร่างกายโดยรวมท้ังส่วนบน ส่วนล่างและส่วนแกนกลาง ลาตัว ซึ่งผู้ทดสอบจะต้องยืนโดยใหส้ ่วนของฝาุ เท้าท้ังสองข้างสมั ผัสกบั electrode ที่ตดิ อยูก่ ับตวั เคร่ืองและใช้ มือทั้งสองข้างจับ โดยสัมผัสส่วน ของ electrode ในลักษณะแขนเหยียดตรงกางเกือบแนบลาตัว จากน้ัน เคร่ืองจะทาการวัดความต้านทานไฟฟูาออกมา โดยที่สามารถคานวณ FFM และ %BF ได้ โดยบางย่ีห้อ สามารถคานวณปริมาณน้าในร่างกายได้ รวมไปถึงปริมาณไขมันในส่วนจ่าง ๆ ของร่างกาย โดย ตัวอย่างย่ีห้อ ชนดิ ทีใ่ ชก้ ารวดั ความความตา้ นทานไฟฟูาของร่างกายโดยรวม คอื InBodyTM analyzer ภาพท่ี 3.6 เครือ่ งวเิ คราะห์องคป์ ระกอบรา่ งกายโดยการวัดความต้านทานไฟฟูารูปแบบตา่ ง ๆ ทม่ี า: http://sciengsustainability.blogspot.com/2014/06/body-fat-estimation-using- bioelectrical.html อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกฬี า มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรบั นักกฬี า 86 โดยในการวัดองค์ประกอบร่างกายโดยการวดั ความต้านทานไฟฟูาน้นั จะต้องควบคุมปจั จยั ทเี่ ก่ียวข้อง กบั การนาไฟฟูาในร่างกาย ซง่ึ จะมีผลทาให้การคานวณมวลกล้ามเนอ้ื ท่ีปราศจากไขมันผดิ เพี้ยนไป โดย ข้อแนะนาในทดสอบโดยวธิ ี BIA มดี งั นี้ - ผเู้ ข้ารับการทดสอบจะต้องงดอาหารและเครื่องด่ืมทกุ ชนดิ ก่อนทดสอบอย่างน้อย 4 ชัว่ โมง - ผูเ้ ข้ารบั การทดสอบจะต้องงดการออกกาลังกายทุกประเภท - กอ่ นทาการทดสอบ ใหผ้ เู้ ข้ารับการทดสอบนง่ั พัก เป็นเวลาอย่างนอ้ ย 30 นาที - ผู้เขา้ รับการทดสอบจะต้องงดเครื่องดื่มท่ีมสี ่วนผสมของแอลกอฮอล์ เปน็ เวลาอยา่ งนอ้ ย 48 ชัว่ โมง - หา้ มผู้เข้ารบั การทดสอบรบั ประทานยาขับปัสสาวะ ยกเวน้ จะไดร้ บั ใบส่งั จากแพทย์ - งดการทดสอบสาหรับผู้เข้ารับการทดสอบทีเ่ ปน็ เพศหญิง ซึ่งอยู่ในชว่ งของการมปี ระจาเดือน การฉายรงั สอี ินฟาเรด (near-infrared interactance: NIR) เป็นวิธีการสาหรับการประเมินองค์ประกอบของร่างกายวิธีหน่ึงท่ีจัดอยู่ในประเภทการทดสอบ ภาคสนาม ทั้งน้เี นอ่ื งจากเปน็ วิธที ่ีง่ายและสะดวกในการทดสอบ สามารถทดสอบกับกลุ่มผู้ทดสอบจานวนมาก วิธีการดังกล่าวน้ีอาศัยหลักการดูดซับและการสะท้อนของคล่ืนแสงผ่านเนื้อเย่ือในร่างกาย โดยสามารถที่จะ บอกปรมิ าณการกระจายตัวของไขมันตามส่วนต่างๆของร่างกาย ดังน้ันจึงสามารถคานวณหาเปอร์เซ็นต์ไขมัน ในร่างกายได้ โดยเครื่องมือสาหรับวิธีการนี้จะมีลักษณะเป็นไมโครคอมพิวเตอร์ โดยมีพริ้นเตอร์ในตัว สามารถ แสดงผลไดท้ นั ที ทรี่ ู้จักกนั ดเี ช่น ยี่หอ้ Futrex-1000 ยี่ห้อ Futrex-5000 และ ย่หี อ้ Futrex-5000A เป็นตน้ สาหรับวิธีการทดสอบจะมีการนา light wand มาวางตรงกลางบริเวณกล้ามเน้ือต้นแขนด้านหน้า (biceps) ในแขนข้างท่ีถนัด และจะมจี ะปล่อยลาแสงพลังงานต่า ในช่วงความยาวคล่ืนใกล้คล่ืนแสงอินฟราเร็ด 2 ชว่ งความยาวคลืน่ เขา้ ไปท่ีบรเิ วณกง่ึ กลางกล้ามเนอ้ื ต้นแขนด้านหน้า ซ่งึ จากการศกึ ษาพบว่า บริเวณดังกล่าว จะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณไขมันทั้งหมดในร่างกาย โดยการหาเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายสาหรับ วิธีการนี้ จาเป็นจะต้องมีการนาข้อมูลส่วนตัวของผู้ทดสอบเข้าไป เช่น อายุ เพศ ส่วนสูง และน้าหนัก รวมไป ถึงข้อมูลเกยี่ วกบั ระดบั ความหนักในการออกกาลงั กายมาเป็นข้อมลู ประกอบในการทานายค่า %BF อยา่ งไรกต็ ามจากการศกึ ษาพบวา่ วิธกี ารนี้หากใช้ทดสอบกบั เด็ก สามารถทานาย %BF ได้ค่าที่สูงกว่า ความเปน็ จริง (overestimate) และหากใชท้ ดสอบกบั ผู้ใหญ่ จะสามารถทานาย %BF ไดค้ ่าที่ต่ากวา่ ความเป็น จริง (underestimate) จะเห็นได้ว่าวิธีการดังกล่าวนี้มีความคลาดเคลื่อนค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงไม่นิยมนามาใช้ ในการประเมนิ องคป์ ระกอบของร่างกายมากเทา่ ทีค่ วร อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกฬี า มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรบั นักกฬี า 87 ภาพท่ี 3.7 การฉายรงั สอี ินฟาเรด (near-infrared interactance: NIR) ทม่ี า: Hayward and Stolarczyk (1996) การวัดความหนาของไขมันใตผ้ ิวหนงั (skinfold method) การวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง จัดเป็นวิธีการประเมินเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายโดยวิธีการ ทางอ้อม ซ่ึงจะใช้การวัดจากความหนาของไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนัง (subcutaneous adipose tissue) มา คานวณความหนาแน่นของร่างกาย และแปลงเป็นเปอรเ์ ซ็นต์ไขมนั ในรา่ งกายต่อไป โดยท่ัวไป ในร่างกายของคนเราจะมีไขมันท่ีสะสมอยู่บริเวณใต้ผิวหนังประมาณ 1 ใน 3 ของจานวน ไขมันทั้งหมด ดังน้ันถ้าหากสามารถวัดไขมันใต้ผิวหนังได้ ก็พอท่ีจะทาให้ทราบไขมันท้ังหมดในร่างกายได้ อย่างไรก็ดีไขมันท่ีสะสมอยูใต้ผิวหนัง จะกระจายอยู่ตามบริเวณต่างๆ ในร่างกายแตกต่างกันไป เช่นบริเวณ หนา้ ท้อง บริเวณต้นแขนด้านหน้า บริเวณต้นแขนด้านหลัง และบริเวณต้นขา ดังนั้นเพื่อให้ค่าท่ีได้ถูกต้องมาก ท่ีสุด จึงจาเป็นท่ีจะต้องทาการวัดหลายๆ ตาแหน่ง โดยจะเห็นได้จากวิธีการวัดไขมันใต้ผิวหนังวิธีต่างๆน้ัน บริเวณที่ใช้วัดแต่ละวิธีจะแตกต่างกันไป และจานวนของบริเวณที่วัดก็จะแตกต่างกันด้วย บางวิธีใช้การวัด ทง้ั หมด 3 ตาแหน่ง บางวิธีกใ็ ช้การวดั 4 ตาแหน่ง และบางวิธีก็จะใช้การวดั มากถึง 7 ตาแหนง่ เป็นตน้ สาหรับเครื่องมือท่ีใช้วัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนังน้ันเรียกว่า caliper โดยตัวอย่างย่ีห้อที่นิยมใช้ และเป็นที่รู้จักกันดีคือ ย่ีห้อ Lange skinfold caliper โดยวิธีการใช้คือ จะใช้นิ้วหัวมือและน้ิวช้ีจับผิวหนัง บริเวณที่ต้องการจะวัดโดยดึงข้ึนมาเล็กน้อย จากน้ันจะใช้ caliper หนีบลงตรงกลางในตาแหน่งท่ีจับ จากนั้น ทาการอ่านค่าจากหน้าปัดที่บอกความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง ซ่ึงจะใช้หน่วยมิลลิเมตร อุปกรณ์ดังกล่าวจะมี ลกั ษณะแสดงดงั ตอ่ ไปนี้ อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกฬี า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรับนกั กฬี า 88 ภาพที่ 3.8 การวดั ความหนาของไขมันใตผ้ ิวหนงั (skinfold method) ทม่ี า: (McArdle et al, 2010) วธิ กี ารวดั ความหนาของไขมนั ใต้ผวิ หนงั (Hayward, 2006) 1. บริเวณที่ใช้ในการวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนังควรวัดด้านขวาของร่างกาย และก่อนที่จะทา การวัด ควรเขยี นเคร่อื งหมายในตาแหนง่ ทีจ่ ะวัดใหช้ ดั เจน 2. ในการวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง ไม่ควรที่จะวัดในขณะที่ผิวหนังของผู้ทดสอบมีเหงื่อมาก เพราะอาจจะเพิ่มขนาดของช้ันผิวหนังอันเน่ืองจากความร้อนได้ เช่นในกรณีภายหลังจากการออกกาลังกาย และควรให้ผู้ทดสอบปล่อยตัวตามสบาย 3. ในการจับชั้นผิวหนังควรจับด้วยมือซ้าย โดยใช้น้ิวหัวแม่มือและน้ิวช้ีดึงขึ้นมาจากร่างกาย โดย พยายามจับใหพ้ อดี 4. การใช้เคร่ืองวัดความหนาของผวิ หนงั (caliper) เพ่ือวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนังน้ัน ให้วางตั้ง ฉากกับช้ันผิวหนังและห่างจากน้ิวท่ีจับผิวหนังประมาณ 1 เซนติเมตร จากนั้นใช้ caliper หนีบลงตรงกลางใน ตาแหน่งท่ีจับ โดยให้ค้างไว้ประมาณ 2 วินาที แล้วจึงอ่านค่าจากเข็มบนหน้าปัดที่บอกความหนาของไขมันใต้ ผิวหนัง โดยอา่ นคา่ ให้ละเอียดถงึ 0.5 มิลลิเมตร 5. ควรวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนังอย่างน้อยตาแหน่งละ 2 ครั้ง โดยในการวัดควรที่จะวัดใน ตาแหนง่ ตา่ งๆ แบบวนรอบ มากกวา่ การวัดที่ตาแหน่งนนั้ ๆ 2 ครง้ั แล้วจึงเปลีย่ นไปวดั ในตาแหน่งต่อไป อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรบั นักกฬี า 89 ตาแหน่งมาตรฐานท่ีใชใ้ นการวดั ความหนาของไขมนั ใตผ้ วิ หนัง (Hayward, 2006) 1. บริเวณหน้าอก (chest หรือ pectoral) ตาแหน่งที่วัด จะจับชั้นผิวหนังในแนวเฉียงทางด้านหน้า ของทรวงอก โดยในเพศชายจะวัดตรงกลางระหว่างหัวนม (nipple) และขอบด้านหน้าของรักแร้ (anterior axillary) สว่ นเพศหญิงจะวดั ในระยะ 1/3 ของระหว่างหวั นมและขอบด้านหน้าของรกั แร้ 2. บริเวณใต้สะบัก (subscapular) ตาแหน่งที่วัด จะจับชั้นผิวหนังในแนวเฉียง 45 ต่ากว่ามุม ด้านลา่ งของกระดกู สะบัก (anferior angle) ประมาณ 1-3 เซนติเมตร 3. บริเวณรักแร้ (midaxillary) ตาแหน่งท่ีวัดจะจับช้ันผิวหนังในแนวดิ่ง บริเวณก่ึงกลางรักแร้ (midaxillary) ระดับแนวเดยี วกบั ลนิ้ ปี่ (xiphoid process) ของกระดกู sternum ทตี่ ดั กบั แนว axillary line 4. บริเวณเหนือสะโพก (suprailiac) ตาแหน่งท่ีวัด จะจับช้ันผิวหนังในแนวเฉียง บริเวณเหนือ iliac crest ในแนว antrior axillary line 5. บรเิ วณท้อง (abdominal) ตาแหน่งทว่ี ดั จะจับชั้นผิวหนังในแนวดิง่ ห่างจากสะดอื ประมาณ 1 นิว้ 6. บริเวณต้นแขนด้านหลัง (triceps) ตาแหน่งที่วัด จะจับชั้นผิวหนังในแนวด่ิงของต้นแขนด้านหลัง บริเวณก่ึงกลางของ acromion process ของกระดูก scapular และ inferior olecranon procss ของ กระดูก ulna 7. บริเวณต้นแขนด้านหน้า (biceps) ตาแหน่งที่วัด จะจับชั้นผิวหนังในแนวด่ิงของต้นแขนด้านหน้า บรเิ วณกึ่งกลางของ biceps belly 8. บรเิ วณต้นขาด้านหนา้ (thigh) ตาแหน่งทว่ี ดั จะจบั ช้นั ผิวหนงั ในแนวด่งิ ก่ึงกลางของต้นขาด้านหน้า โดยอยรู่ ะหว่าง inguinal crease และขอบดา้ นบนของกระดกู patella 9. บรเิ วณนอ่ ง (calf) ตาแหนง่ ทว่ี ัด จะจับช้ันผิวหนงั ในแนวดิ่งบริเวณน่องด้านในของส่วนที่กว้างที่สุด เมอ่ื วัดจากเสน้ รอบวง (maximum calf circumference) โดยเขา่ และสะโพกจะอยใู่ นลกั ษณะงอ 90 อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรับนกั กฬี า 90 สาหรับตาแหน่งการวัดไขมนั ใต้ผวิ หนังในบริเวณตา่ ง ๆ แสดงไว้ดังภาพต่อไปน้ี (Heyward,2006) ภาพที่ 3.9 การวดั ความหนาของไขมันใต้ผิวหนงั บริเวณบริเวณหน้าอก (chest หรือ pectoral) ภาพที่ 3.10 การวัดความหนาของไขมนั ใต้ผวิ หนงั บริเวณรักแร้ (midaxillary) ภาพท่ี 3.11 การวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนังบรเิ วณใต้สะบัก (subscapular) อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วทิ ยาสาหรับนกั กฬี า 91 ภาพท่ี 3.12 การวัดความหนาของไขมันใตผ้ ิวหนงั บริเวณเหนอื สะโพก (suprailiac) ภาพท่ี 3.13 การวดั ความหนาของไขมันใต้ผวิ หนังบริเวณท้อง (abdominal) ภาพที่ 3.14 การวัดความหนาของไขมันใตผ้ ิวหนังบรเิ วณต้นแขนด้านหน้า (biceps) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรับนกั กฬี า 92 ภาพที่ 3.15 การวัดความหนาของไขมันใต้ผวิ หนังบรเิ วณต้นแขนดา้ นหลงั (triceps) ภาพที่ 3.16 การวัดความหนาของไขมนั ใตผ้ วิ หนังบรเิ วณต้นขาดา้ นหน้า (thigh) ภาพท่ี 3.17 การวดั ความหนาของไขมันใต้ผวิ หนังบรเิ วณน่อง (calf) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรับนักกฬี า 93 สมการท่ีใชส้ าหรบั วธิ กี ารวัดความหนาของไขมันใต้ผวิ หนงั (Hayward, 2006) ในการการวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนังน้ัน จะสามารถคานวณหาเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายได้ จากสมการถดถอยที่สร้างข้ึน โดยจะคานวณหาความหนาแน่นของร่างกาย (Body density) จากนั้นจึงนาไป แปลงเป็นเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายต่อไป สมการดังกล่าวข้ึนอยู่กับตาแหน่งท่ีวัด จานวนของตาแหน่งที่วัด เพศ และอายุ เปน็ ตน้ โดยมีดว้ ยกันหลายสมการ ดังน้ี คอื ตารางท่ี 3.4 สมการท่ใี ชใ้ นการทานายสมการทใ่ี ช้สาหรับวิธีการวดั ความหนาของไขมันใต้ผวิ หนงั จานวนตาแหน่งท่ีวดั กลุ่มประชากร สมการ วัด 7 ตาแหน่ง (7SKF): ชาย 18-61 ปี Chest, Midaxillary, หญิง 18-55 ปี Db = 1.112 – 0.00043499(7SKF) + Triceps, Subscapular, 0.00000055(7SKF)2 - 0.00028826(age) Abdomen, Suprailiac หญงิ 18-29 ปี and Thigh ชาย18-66 ปี Db = 1.097 – 0.00046971 (7SKF) + วดั 4 ตาแหน่ง (4SKF): หญงิ 18-66 ปี 0.00000056(7SKF)2- 0.0001282(age) Tricep, Suprailiac, Thigh and Abdomen ชาย 18-61 ปี Db = 1.096095 – 0.0006952 (4SKF) + หญิง 18-55 ปี 0.0000011(4SKF)2 - 0.0000714(age) วัด 3 ตาแหนง่ (3SKF): ชาย 18- 60 ปี (Chest, Abdomen and หญงิ 18-60 ปี %BF = 0.29288(4SKF) – 0.0005(4SKF)2+ Thigh) ชาย 18-66 ปี 0.15845(age) – 5.76377 (Triceps, Suprailiac and หญงิ 18-66 ปี Thigh) %BF = 0.29669(4SKF) – 0.00043(4SKF)2+ (Triceps, Chest and 0.2963(age) – 1.4072 Subscapular) (Triceps, Suprailiac and Db = 1.109380 – 0.0008267(3SKF) + Abdomen 0.0000016(3SKF)2 – 0.0002574(age) Db = 1.0994921 – 0.0009929(3SKF) + 0.0000023(3SKF)2 – 0.0001392(age) Db = 1.1125025 – 0.0013125(3SKF) + 0.0000055(3SKF)2 – 0.000244(age) Db = 1.089733– 0.0009245(3SKF) + 0.0000025(3SKF)2 – 0.0000979(age) %BF = 0.39287(3SKF) – 0.00105(3SKF)2+ 0.15772(age) – 5.18845 %BF = 0.41563(3SKF) – 0.00112(3SKF)2+ 0.03661(age) – 4.03653 อาจารย์ ดร.นิรอมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรรี วิทยาสาหรบั นกั กฬี า 94 ตารางที่ 3.5 สมการท่ใี ชใ้ นการทานายสมการทใี่ ชส้ าหรับวิธีการวัดความหนาของไขมนั ใต้ผวิ หนงั (ตอ่ ) จานวนตาแหน่งทวี่ ดั กลุ่มประชากร สมการ วดั 2 ตาแหน่ง (2SKF): ชาย 6-17 ปี %BF = 0.735(2SKF) + 1.0 (Triceps + Calf ) หญิง 6-17 ปี %BF = 0.610(2SKF) + 5.1 (Triceps + Subscapular) ชาย 18-27 ปี %BF = 1.0913 – 0.00116(2SKF) หญงิ 18-23 ปี %BF = 1.0897 – 0.00133(2SKF) Db = ความหนาแนน่ ของร่างกาย แปลงเปน็ %BF โดยใช้ หรอื คือ %BF = [(4.95 / Db) – 4.5]  100 …………..สมการของ Siri %BF = [(4.75 / Db) – 4.142]  100 …………..สมการของ Brozek %BF = เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย SKF = ผลรวมของความหนาของไขมันใต้ผวิ หนงั มีหนว่ ยเปน็ มิลลิเมตร ที่มา: Hayward (2006) การวดั สดั ส่วนของร่างกาย (anthropometric) การวัดสัดส่วนของร่างกาย (anthropometric) เป็นวิธีการวัดเกี่ยวกับขนาดและสัดส่วนของร่างกาย เป็นดัชนีบ่งช้ีขนาดของร่างกายและสัดส่วนของร่างกายเป็นต้น โดยท่ัวไปวิธี การวัดสัดส่วนของร่างกาย ประกอบด้วยการวดั ขนาดเสน้ รอบวง (circumferences) การวัดความกว้างของกระดูก (skeletal diameter) และการวัดความยาวของส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย (segment length) นอกจากน้ัน ในการวัดสัดส่วนของ ร่างกายโดยวิธีการวัดดัชนีมวลกาย (body mass index) และการวัดอัตราส่วนระหว่างเส้นรอบวงเอวและ สะโพก (waist to hip circumferences ratio) สามารถนามาประเมินความเสีย่ งในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับ โรคอ้วนได้ ซึง่ วธิ กี ารดังกล่าวคอ่ นขา้ งที่จะสะดวกและง่ายในการปฏิบัติ โดยรายละเอียดและวิธีการวัดสัดส่วน ของร่างกายที่ใช้สาหรับการประเมินองค์ประกอบของร่างกายมดี ังน้ี 1. การวัดดัชนีมวลกาย (body mass index: BMI) การวัดดัชนีมวลกาย (body mass index หรือ quetelet index) เป็นวิธีการท่ีนิยมใช้กว้างขวาง ใน การบอกถึงภาวะของแต่ละบุคคลว่าอ้วน (obese) น้าหนักเกิน (overweight) น้าหนักน้อย (underweight) และน้าหนกั ปกติ ตลอดจนบอกถึงภาวะเสยี่ งของความอ้วนท่ีก่อให้เกิดโรค และสามารถใช้วัดการเปลี่ยนแปลง ของไขมันในร่างกายได้ใช้ทานายแนวโน้มการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคเบาหว่านประเภทที่ 2 วิธกี ารวดั น้ีไม่สามารถบอกถึงองค์ประกอบภายในร่างกายของแต่ละบุคคลได้ โดยการหาดัชนีมวยกาย จะหา ได้จากน้าหนักตวั (กิโลกรมั ) หารดว้ ยส่วนสูง (เมตร) ยกกาลังสองเป็นตัวประเมิน จากสตู รต่อไปน้ี ดชั นมี วลกาย (กโิ ลกรมั /ตารางเมตร) = นา้ หนกั ตัว / (ส่วนสงู 2) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวิทยาสาหรับนักกฬี า 95 ตารางท่ี 3.6 ระดับของค่าดัชนมี วลกาย ระดบั ดชั นีมวลกาย  18.5 ผอม 18.5-24.9 ปกติ 25.0-29.9 นา้ หนักเดิน อว้ น 30.0-34.9 35.0-39.9 ระดบั 1 ระดับ 2  40 ระดบั 3 ท่ีมา: Hayward (2006) 2. การวดั อตั ราสว่ นระหวา่ งเส้นรอบวงเอวและสะโพก (waist-hip circumferences ratio: WHR) การวดั เส้นรอบวงของเอวและสะโพกสามารถดูการกระจายของไขมนั ท่สี ะสมอยู่ในร่างกายได้ โดยการ วัดเส้นรอบวงของเอวนั้น จะวัดส่วนท่ีแคบท่ีสุดของลาตัวระหว่างสะดือจนถึงล้ินปี่ ส่วนการวัดเส้นรอบวงของ สะโพกนน้ั จะวัดสว่ นทก่ี วา้ งท่สี ดุ ของสะโพก จากนั้นนาเสน้ รอบวงของเอวและสะโพกที่วัดได้มาประเมนิ องคป์ ระกอบของรา่ งกายและปัจจัยเสยี่ ง ในการเกิดโรคซึ่งเกิดจากภาวะโรคอว้ น ดงั สูตรต่อไปนี้ WHR = เส้นรอบวงของเอว (เซนติเมตร) เสน้ รอบวงของสะโพก (เซนติเมตร) ภาพที่ 3.18 การวดั อัตราส่วนระหว่างเส้นรอบวงเอวและสะโพก ทีม่ า: Hayward (2006) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกฬี า มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรบั นักกฬี า 96 ในผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 60 ปี เพศชายจะมีค่า WHR มากกว่า 0.94 ส่วนเพศหญิงจะมากกว่า 0.82 สาหรับผู้ท่ีมีอายุมากกว่า 60 ปี เพศชายจะมีค่า WHR มากกว่า 1.03 ส่วนเพศหญิงจะมากกว่า 0.90 โดยการ วดั คา่ WHR สามารถดูเกณฑ์มาตรฐานของระดับความเส่ยี งในการเกิดโรคจากตารางต่อไปน้ี ตารางที่ 3.7 ระดบั ความเสีย่ งในการเกดิ โรคจากการวัดอัตราสว่ นระหวา่ งเสน้ รอบวงเอวและสะโพก เพศ อายุ ระดบั ความเส่ียงในการเกิดโรค ชาย 20-29 ต่า ปานกลาง สงู สูงมาก 30-39 40-49 < 0.83 0.83-0.88 0.89-0.94 > 0.94 50-59 60-69 < 0.84 0.84-0.91 0.92-0.96 > 0.96 หญงิ 20-29 < 0.88 0.88-0.95 0.96-1.00 > 1.00 30-39 40-49 < 0.90 0.90-0.96 0.97-1.02 > 1.02 50-59 60-69 < 0.91 0.91-0.98 0.99-1.03 > 1.03 < 0.71 0.71-0.77 0.78-0.82 > 0.82 < 0.72 0.72-0.78 0.79-0.84 > 0.84 < 0.73 0.73-0.79 0.80-0.87 > 0.87 < 0.74 0.74-0.81 0.82-0.88 > 0.88 < 0.76 0.76-0.83 0.84-0.90 > 0.90 ทม่ี า: Hayward (2006) ลกั ษณะภาวะอ้วน ขึน้ อยู่กับการสะสมไขมนั ตามสว่ นตา่ งๆ ในร่างกายมี 2 ลกั ษณะคอื - ภาวะอ้วนที่มีลักษณะการสะสมไขมันในร่างกายคล้ายลูกแอปเป้ิล (android obesity = apple– shaped) มีการสะสมไขมันส่วนเกินที่ลาตัว หน้าอก หน้าท้อง และแขนมาก (upper body or central adiposity) มักพบในเพศชาย - ภาวะอ้วนท่ีมีลักษณะการสะสมไขมันในร่างกายคล้ายลูกแพร์ (gynoid obespty = pear– shaped) มกี ารสะสมไขมนั ส่วนเกินท่ีสะโพก ต้นขามาก มักพบในเพศหญิง แต่อย่างไรก็ตาม เพศชายและเพศ หญงิ ทีม่ ีภาวะอ้วน อาจมลี กั ษณะอว้ นแบบใดก็ได้ การวัดอัตราส่วนรอบเอวต่อรอบสะโพก เป็นวิธีการทางอ้อมท่ีนิยมใช้ในการวัดการสะสมไขมันใน รา่ งกายส่วนบนหรือสว่ นล่าง เส้นรอบสะโพก มีผลมาจากไขมันท่ีสะสมใต้ผิวหนัง บริเวณสะโพก ส่วนเส้นรอบ เอว มผี ลมาจากไขมันที่สะสมใต้ผิวหนังและไขมันท่ีอยู่ในอวัยวะภายในค่า WHR จะสัมพันธ์กับภาวะเส่ียงของ การเปน็ โรคหัวใจและหลอดเลอื ด และโรคทาง metabolic disease อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์

การทดสอบทางสรีรวทิ ยาสาหรบั นกั กฬี า 97 3. การวดั เส้นรอบวงและการวดั ความกว้างของกระดูก (circumferences and skeletal diameter) เป็นการวัดเส้นรอบวงของส่วนต่างๆ ของร่างกายประกอบกับการวัดความกว้างของกระดูกเพื่อนามา ทานายเปอร์เซน็ ต์ไขมันในร่างกาย (%BF) ส่วนที่ปราศจากไขมัน (FFM) และความหนาแน่นของร่างกาย (Db) โดยสมมตุ ฐิ านของวธิ กี ารดงั กลา่ วนี้ คือ การวัดเส้นรอบวงของสว่ นต่างๆ ของรา่ งกายจะมีความสัมพันธ์โดยตรง กับ น้าหนักของไขมัน มวลของกล้ามเนื้อ และขนาดของกระดูก ดังนั้นการวัดเส้นรอบวงจึงสามารถนามาหา เปอร์เซ็นต์ไขมนั และส่วนท่ปี ราศจากไขมันได้ โดยวธิ ีการวดั เสน้ รอบวงของส่วนต่างๆของร่างกายเพื่อใช้ในการ ประเมนิ องค์ประกอบของรา่ งกายท่เี ปน็ ทีน่ ยิ มแสดงไดด้ งั ตารางต่อไปนี้ ตารางท่ี 3.8 การประเมินองค์ประกอบของรา่ งกายโดยใช้การวดั เส้นรอบวง และการวัดความกวา้ งของกระดูก กลมุ่ ประชากร สมการ เพศหญิง อายุ 15-79 ปี Db = 1.168297 - 0.002824 (Abdom C) + 0.0000122098 (Abdom C) 2 - 0.000733128(hip C) + 0.000510477(Ht) - 0.00021616 (Age) เพศชาย อายุ 18-40 ปี FFM = 39.652 + 1.0932(BM) + 0.8370 (Bi- iliac D) + 0.3297(AB1C) - 1.0008(AB2C) - 0.6478(Knee C) เพศหญิงทจ่ี ัดอยูร่ ะดับอ้วน % BF = 0.11077(Abdom C) - 0.17666(Ht) + 0.14354(BM) + 51.033 อายุ 20-60 ปี เพศชายท่จี ดั อยูร่ ะดบั อ้วน % BF = 0.31457(Abdom C) - 0.10969(BM) + 10.834 อายุ 24-68 ปี เพศหญงิ % BF = 0.55 (Hip C) - 0.24(Ht) + 0.28 ( Abdom C) – 8.43 เพศชาย FFM = 41.955 + 1.03876(BM) - 0.82816(Abdom C –Forearm C) Db = ความหนาแน่นของรา่ งกาย (กรมั /ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร) FFM = สว่ นของกล้ามเนอ้ื ทีป่ ราศจากไขมนั (กโิ ลกรมั ) % BF= เปอรเ์ ซนตไ์ ขมนั ในรา่ งกาย Abdom C = ค่าเฉลยี่ ของเสน้ รอบวงบริเวณหน้าทอ้ ง (เซนตเิ มตร) หาได้จาก (AB1C + AB2C / 2) AB1C = เส้นรอบวงบริเวณท้องโดยวัดจากตรงกลางระหว่างกระดูกลน้ิ ปกี่ บั สะดอื (เซนตเิ มตร) AB2C = เสน้ รอบวงบรเิ วณท้องโดยวดั จากแนวสะดอื (เซนตเิ มตร) Hip C = เส้นรอบวงบรเิ วณสะโพก (เซนตเิ มตร) Knee C = เส้นรอบวงบรเิ วณเข่า (เซนติเมตร) Bi- iliac D = ความกว้างของกระดูก iliac crests (เซนตเิ มตร) Forearm C = ส้นรอบวงบรเิ วณแขนส่วนล่างในส่วนท่ีกวา้ งท่ีสุด (เซนตเิ มตร) Ht = ส่วนสงู (เซนตเิ มตร) BM = น้าหนักตัว (กิโลกรัม) ทีม่ า: Hayward (2006) อาจารย์ ดร.นริ อมลี มะกาเจ | คณะวิทยาศาสตรก์ ารกีฬา มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook