Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตร-ม.ปลายใหม่

หลักสูตร-ม.ปลายใหม่

Published by apple.workjaaa, 2019-11-11 21:21:08

Description: หลักสูตร-ม.ปลายใหม่

Keywords: curriculum,หลักสูตรสถานศึกษา,พระบางวิทยา

Search

Read the Text Version

93 รหัสตวั ช้ีวัด ค 1.1 ม.4/1, ค 1.1 ม.5/1, ค 1.2 ม.5/1 รวม 3 ตัวชี้วดั คาอธิบายรายวิชา รายวชิ า คณติ ศาสตร์พ้ืนฐาน 6 กลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 6 ภาคเรียนท่ี 2 รหสั วิชา ค 33102 เวลา 40 ชั่วโมง จานวน 1.0 หน่วยกติ ศกึ ษา ฝกึ ทกั ษะการคิดคานวณ และฝึกการแก้ปัญหาในสาระตอ่ ไปนี้ ลาดบั และอนุกรม การแกโ้ จทย์ปัญหา ดอกเบี้ยและมูลคา่ ของเงนิ การแกโ้ จทย์ปัญหา หลกั การนับเบอื้ งตน้ การแกโ้ จทย์ปญั หา ความนา่ จะเป็น การแก้โจทย์ปญั หา สถติ ิ การแก้โจทยป์ ัญหา โดยใชท้ ักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ในการแก้ปัญหา การใหเ้ หตุผล การส่ือ ความหมายทางคณิตศาสตร์ และการนาเสนอ มีการเช่ือมโยงความรตู้ ่างๆ ทางคณติ ศาสตร์ และเชื่อมโยง

94 คณติ ศาสตร์กบั ศาสตร์อน่ื ๆ และมีความคดิ รเิ ริ่มสร้างสรรค์ โดยใช้กระบวนการเรียนการสอนแบบ CBL (Creativity Based Learning) เพื่อการจัดประสบการณ์ หรือสรา้ งสถานการณ์ท่ีใกลต้ วั ใหผ้ เู้ รียนได้ศึกษาคน้ คว้า โดยปฏิบตั จิ รงิ อธิบาย สรุป รายงาน นาประสบการณ์ดา้ นความรู้ ความคิด ทกั ษะกระบวนการท่ีไดไ้ ป ใชใ้ นการเรียนรู้และพฒั นาสูป่ ระชาคมอาเซยี น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งและงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น นาไปใชใ้ นชีวิตประจาวันอย่างสรา้ งสรรค์ รวมทั้งมวี นิ ยั ซ่อื สัตยส์ ุจรติ ใฝ่เรยี นรู้ รหัสตัวช้ีวัด ค 1.2 ม.5/2, ค 1.3 ม.5/1, ค 3.1 ม.6/1, ค 3.2 ม.4/1, ค 3.2 ม.4/2 รวม 5 ตวั ช้ีวดั คาอธิบายรายวิชา รายวิชา คณิตศาสตรเ์ พ่มิ เติม 1 กลมุ่ สาระการเรยี นร้คู ณิตศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 4 ภาคเรยี นที่ 1 รหัสวิชา ค 31201 เวลา 60 ช่วั โมง จานวน 1.5 หนว่ ยกิต ศึกษา ฝึกทักษะการคดิ คานวณ และฝึกการแก้ปัญหาในสาระต่อไปน้ี เซต เซต การดาเนนิ การของเซต แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์และการแก้ปัญหา จานวนจริงและพหนุ าม จานวนจริง สมบตั ิของจานวนจริงเกยี่ วกบั การบวกและการคณู สมบตั ิ การเทา่ กนั และการไม่เทา่ กนั สมการกาลงั สองตวั แปรเดียว อสมการตวั แปรเดยี ว ค่าสมั บูรณ์ ตัวประกอบ

95 ของพหุนาม สมการและอสมการพหุนาม สมการและอสมการเศษส่วนของพหุนาม สมการและอสมการค่า สัมบูรณข์ องพหุนาม ตรรกศาสตร์ ข้อความทม่ี ตี ัวบ่งปริมาณและคา่ ความจริงของประโยคที่มตี ัวบง่ ปริมาณ สมมูลและ นเิ สธของประโยคท่มี ีตวั บง่ ปริมาณ โดยใชท้ กั ษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ในการแกป้ ัญหา การใหเ้ หตผุ ล การส่ือ ความหมายทางคณิตศาสตร์ และการนาเสนอ มีการเช่ือมโยงความรตู้ า่ งๆ ทางคณติ ศาสตร์ และเช่อื มโยง คณติ ศาสตร์กบั ศาสตร์อ่ืนๆ และมีความคิดรเิ ริ่มสร้างสรรค์ โดยใช้กระบวนการเรยี นการสอนแบบ CBL (Creativity Based Learning) เพอ่ื การจัดประสบการณ์ หรือสรา้ งสถานการณ์ท่ีใกลต้ วั ให้ผูเ้ รยี นไดศ้ กึ ษาค้นควา้ โดยปฏบิ ตั จิ รงิ อธิบาย สรปุ รายงาน นาประสบการณ์ด้านความรู้ ความคดิ ทกั ษะกระบวนการที่ได้ไป ใชใ้ นการเรยี นร้แู ละพฒั นาสู่ประชาคมอาเซยี น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน นาไปใช้ในชีวติ ประจาวนั อย่างสรา้ งสรรค์ รวมทงั้ มีวินัย ซ่ือสัตย์สุจริต ใฝ่เรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ 1. เขา้ ใจและใชค้ วามรเู้ กีย่ วกับเซต ในการสื่อสารและสอื่ ความหมายทางคณติ ศาสตร์ 2. เข้าใจจานวนจรงิ และใช้สมบัตขิ องจานวนจรงิ ในการแกป้ ัญหา 3. แก้สมการและอสมการพหนุ ามตวั แปรเดียวดกี รไี มเ่ กนิ สี่ และนาไปใช้ในการแกป้ ญั หา 4. แกส้ มการและอสมการเศษส่วนของพหนุ ามตวั แปรเดยี ว และนาไปใช้ในการแกป้ ัญหา 5. แกส้ มการและอสมการค่าสัมบรู ณ์ของพหุนามตัวแปรเดยี ว และนาไปใชใ้ นการแก้ปญั หา 6. เข้าใจและใช้ความร้เู ก่ียวกบั ตรรกศาสตร์เบ้ืองต้นในการสอื่ สาร ส่ือความหมาย และอ้างเหตุผล รวม 6 ผลการเรียนรู้ คาอธิบายรายวชิ า รายวชิ า คณิตศาสตรเ์ พิ่มเติม 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 4 ภาคเรียนท่ี 2 รหสั วิชา ค 31202 เวลา 60 ชั่วโมง จานวน 1.5 หนว่ ยกิต

96 ศึกษา ฝกึ ทักษะการคดิ คานวณ และฝึกการแก้ปญั หาในสาระต่อไปนี้ ฟังก์ชัน ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน โดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์และฟังก์ชัน กราฟของ ความสัมพันธแ์ ละฟงั ก์ชนั ตัวอยา่ งของฟังกช์ ันทคี่ วรร้จู ัก การนากราฟไปแกป้ ญั หาบางประการ เมทรกิ ซ์ สัญลักษณ์ของเมทริกซ์ สมบัติของเมทริกซ์ และ ดีเทอร์มินันต์ การใช้เมทริกซ์แก้ ระบบสมการเชงิ เส้น การแกร้ ะบบสมการโดยวิธีดเี ทอร์มนิ ันต์ การแก้ระบบสมการโดยวธิ ีการดาเนินการตาม แถวเบอ้ื งต้น เรขาคณิตวิเคราะห์และภาคตัดกรวย เสน้ ตรง ระยะระหว่างจุดสองจดุ จุดก่ึงกลางระหว่างจุดสอง จดุ ความชันของเส้นตรง เส้นขนาน เส้นต้ังฉาก ความสัมพันธ์ซ่ึงมีกราฟเป็นเส้นตรง ระยะห่างระหวา่ ง เส้นตรงกับจดุ วงกลม พาราโบลา วงรี ไฮเพอร์โบลา โดยใช้ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ในการแก้ปัญหา การให้เหตุผล การส่ือ ความหมายทางคณิตศาสตร์ และการนาเสนอ มีการเช่ือมโยงความรู้ต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ และเชื่อมโยง คณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่นๆ และมีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ โดยใช้กระบวนการเรียนการสอนแบบ CBL (Creativity Based Learning) เพ่ือการจัดประสบการณ์ หรือสร้างสถานการณ์ท่ีใกล้ตัว ให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า โดยปฏิบัตจิ ริง อธบิ าย สรปุ รายงาน นาประสบการณ์ด้านความรู้ ความคดิ ทักษะกระบวนการที่ได้ไป ใช้ในการเรียนรู้และพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน นาไปใชใ้ นชีวิตประจาวันอย่างสรา้ งสรรค์ รวมทง้ั มีวนิ ยั ซือ่ สัตย์สจุ รติ ใฝ่เรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ 1. หาผลลัพธข์ องการบวก การลบ การคูณ การหารฟงั กช์ ัน หารฟังกช์ ันประกอบและฟงั กช์ ันผกผนั 2. ใชส้ มบตั ิของฟังกช์ นั ในการแกป้ ญั หา 3. เขา้ ใจความหมาย หาผลลพั ธข์ องการบวก เมทริกซ์ การคูณเมทริกซ์กบั จานวนจรงิ การคณู ระหวา่ ง เมทรกิ ซ์ และหาเมทรกิ ซ์สลบั เปลี่ยน หาดีเทอรม์ ิแนนตข์ องเมทรกิ ซ์ n x n เม่อื n เปน็ จานวนนบั ท่ี ไมเ่ กินสาม 4. หาเมทรกิ ซผ์ กผนั ของเมทริกซ์ 2 x 2 5. แกร้ ะบบสมการเชงิ เสน้ โดยใช้เมทริกซ์ผกผัน และการดาเนินการตามแถว 6. เขา้ ใจและใชค้ วามรู้เก่ียวกับเรขาคณิตวิเคราะห์ในการแกป้ ัญหา

97 รวม 6 ผลการเรียนรู้ คาอธบิ ายรายวชิ า รายวชิ า คณติ ศาสตรเ์ พมิ่ เติม 3 กลุ่มสาระการเรยี นรูค้ ณิตศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1 รหัสวิชา ค 32201 เวลา 60 ช่วั โมง จานวน 1.5 หน่วยกิต ศึกษา ฝกึ ทกั ษะการคดิ คานวณ และฝกึ การแก้ปัญหาในสาระต่อไปนี้ สถติ ิ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล การหาค่ากลางของข้อมลู โดยใช้ค่าเฉล่ียเลขคณติ มัธยฐาน และฐานนยิ ม การหาตาแหนง่ ท่ขี องข้อมูลโดยใชเ้ ปอรเ์ ซ็นไทล์ การวัดการกระจายของขอ้ มลู โดยใช้ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน การนาเสนอข้อมลู กาวิเคราะห์ข้อมูลเบ้อื งตน้ การวดั การกระจายของข้อมลู ค่ามาตรฐาน การแจกแจงปกติ และเสน้ โค้งปกติ ฟงั ก์ชนั ตรโี กณมิติ ฟังกช์ ันไซน์ โคไซน์ และฟงั กช์ ันตรีโกณมติ ิอ่นื ๆ กราฟของฟังก์ชนั ตรีโกณมิติ ฟงั ก์ชันตรีโกณมติ ิของผลบวก และผลตา่ งของจานวนจริงหรอื มุมอนิ เวอรส์ ของฟงั ก์ชันตรีโกณมิติ กฎของ ไซน์และโคไซน์ การหาระยะทางและความสงู โดยใช้ทักษะกระบวนการทางคณติ ศาสตร์ ในการแก้ปัญหา การให้เหตผุ ล การส่ือ ความหมายทางคณิตศาสตร์ และการนาเสนอ มีการเชื่อมโยงความรู้ต่างๆ ทางคณติ ศาสตร์ และเชื่อมโยง คณิตศาสตร์กบั ศาสตร์อน่ื ๆ และมีความคดิ ริเร่ิมสร้างสรรค์ โดยใชก้ ระบวนการเรยี นการสอนแบบ CBL (Creativity Based Learning) เพอื่ การจัดประสบการณ์ หรือสร้างสถานการณท์ ี่ใกลต้ ัว ให้ผเู้ รยี นไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ โดยปฏบิ ัติจรงิ อธิบาย สรุป รายงาน นาประสบการณ์ดา้ นความรู้ ความคิด ทักษะกระบวนการที่ไดไ้ ป ใช้ในการเรียนรแู้ ละพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งและงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น นาไปใช้ในชีวติ ประจาวันอย่างสรา้ งสรรค์ รวมทัง้ มีวนิ ยั ซือ่ สัตยส์ จุ ริต ใฝ่เรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ 1. เข้าใจและใช้ความรูท้ างสถติ ิในการนาเสนอข้อมูล และแปลความหมายของค่าสถิตเิ พื่อประกอบการ ตดั สนิ ใจ 2. เข้าใจฟังกช์ นั ตรีโกณมติ ิและลักษณะกราฟของฟังก์ชันตรโี กณมิติ และนาไปใช้ในการแกป้ ัญหา รวม 2 ผลการเรียนรู้

98 คาอธบิ ายรายวิชา รายวชิ า คณติ ศาสตร์เพ่ิมเติม 4 กลุ่มสาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรยี นท่ี 2 รหสั วิชา ค 32202 เวลา 60 ช่วั โมง จานวน 1.5 หน่วยกิต ศกึ ษา ฝกึ ทักษะการคดิ คานวณ และฝึกการแก้ปญั หาในสาระต่อไปนี้ เวกเตอร์สามมิติ เวกเตอร์ การบวกเวกเตอร์ การลบเวกเตอร์ การคูณเวกเตอร์ด้วย สเกลาร์ การใช้เวกเตอร์พิสูจน์ทฤษฎีบทในเรขาคณิต เวกเตอร์ในระบบแกนมุมฉาก ผลคูณเชิงสเกลาร์ ผลคูณเชิงเวกเตอร์ ฟังก์ชันเอกโพเนนเชียลและฟังก์ชันลอการิทึม ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล ฟังก์ชันลอการิทึม กราฟของฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล และฟังก์ชันลอการิทึม การคานวณค่าโดยประมาณโดยใช้ลอการิทึม การแก้สมการเอกซโ์ พเนนเชยี ล และสมการลอการิทมึ จานวนเชิงซ้อน จานวนเชิงซ้อน กราฟและค่าสัมบูรณ์ของจานวนเชิงซ้อน จานวนเชิงซ้อนใน รปู เชงิ ขั้ว สมการพหุนาม โดยใช้ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ในการแก้ปัญหา การให้เหตุผล การสื่อ ความหมายทางคณิตศาสตร์ และการนาเสนอ มีการเช่ือมโยงความรู้ต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ และเช่ือมโยง คณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่นๆ และมีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ โดยใช้กระบวนการเรียนการสอนแบบ CBL (Creativity Based Learning) เพื่อการจัดประสบการณ์ หรือสร้างสถานการณ์ที่ใกล้ตัว ให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า โดยปฏิบัติจริง อธบิ าย สรปุ รายงาน นาประสบการณ์ดา้ นความรู้ ความคิด ทักษะกระบวนการท่ีได้ไป ใช้ในการเรียนรู้และพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน นาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั อย่างสรา้ งสรรค์ รวมทั้งมีวนิ ัย ซอ่ื สตั ย์สจุ ริต ใฝเ่ รียนรู้

99 ผลการเรยี นรู้ 1. หาผลลัพธ์ของการบวก การลบเวกเตอร์ การคณู เวกเตอรด์ ้วยสเกลาร์ หาผลคูณเชิงสเกลาร์ และผล คณู เชงิ เวกเตอร์ 2. นาความร้เู กี่ยวกับเวกเตอร์ในสามมติ ไิ ปใช้ในการแก้ปัญหา 3. แก้สมการเอกซ์โพเนนเชยี ลและสมการลอการิทึมและนาไปใชใ้ นการแก้ปัญหา 4. เข้าใจจานวนเชิงซ้อนและใช้สมบัตขิ องจานวนเชิงซ้อนในการแก้ปัญหา 5. หารากที่ n ของจานวนเชงิ ซ้อน เมอ่ื n เป็นจานวนนับทม่ี ากกวา่ 1 6. แก้สมการพหุนามตวั แปรเดยี วดีกรไี มเ่ กนิ สท่ี ม่ี ีสมั ประสิทธิ์เป็นจานวนเต็ม และนาไปใชใ้ นการ แกป้ ญั หา รวม 6 ผลการเรียนรู้ คาอธบิ ายรายวชิ า รายวชิ า คณติ ศาสตรเ์ พิ่มเติม 5 กลมุ่ สาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรียนที่ 1 รหัสวิชา ค 33201 เวลา 60 ช่ัวโมง จานวน 1.5 หน่วยกิต ศกึ ษา ฝึกทักษะการคิดคานวณ และฝึกการแก้ปญั หาในสาระตอ่ ไปนี้ ลาดับและอนุกรม ลาดับ ลาดับเลขคณิต ลาดับเรขาคณิต อนุกรมเลขคณิต และอนุกรม เรขาคณติ ผลบวก n พจนแ์ รกของอนกุ รม ลิมติ ของลาดบั ผลบวกของอนกุ รมอนันต์ แคลคูลัสเบื้องต้น ลิมิตของฟังก์ชัน ความต่อเน่ืองของฟังก์ชัน อนุพันธ์ของฟังก์ชัน การหา อนุพันธ์ของฟังก์ชันพีชคณิตโดยใช้สูตร อนุพันธ์ของฟังก์ชันคอมโพสิท อนุพันธ์อันดับสูง การประยุกต์ของ อนพุ ันธ์ ปริพนั ธ์ไม่จากดั เขต พ้ืนทีท่ ป่ี ดิ ลอ้ มด้วยเสน้ โค้ง โดยใช้ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ในการแก้ปัญหา การให้เหตุผล การสื่อ ความหมายทางคณิตศาสตร์ และการนาเสนอ มีการเช่ือมโยงความรู้ต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ และเชื่อมโยง คณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่นๆ และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ โดยใช้กระบวนการเรียนการสอนแบบ CBL (Creativity Based Learning) เพื่อการจัดประสบการณ์ หรอื สร้างสถานการณท์ ่ใี กลต้ ัว ให้ผูเ้ รียนไดศ้ กึ ษาค้นควา้ โดยปฏิบตั ิจริง อธิบาย สรุป รายงาน นาประสบการณ์ดา้ นความรู้ ความคิด ทกั ษะกระบวนการทไี่ ด้ไป

100 ใชใ้ นการเรียนรู้และพฒั นาส่ปู ระชาคมอาเซยี น ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งและงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น นาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั อย่างสร้างสรรค์ รวมทงั้ มวี ินัย ซื่อสัตย์สจุ ริต ใฝ่เรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ 1. เข้าใจและนาความรเู้ กยี่ วกับลาดบั และอนกุ รมไปใช้ 2. ตรวจสอบความตอ่ เนือ่ งของฟังก์ชนั ท่กี าหนดให้ 3. หาอนพุ ันธข์ องฟงั ก์ชันพีชคณิตทกี่ าหนดให้และนาไปใชใ้ นการแก้ปญั หา 4. หาปรพิ นั ธไ์ มจ่ ากัดเขตและจากดั เขตของฟงั ก์ชนั พีชคณิตที่กาหนดให้ และนาไปใชแ้ ก้ปัญหา รวม 4 ผลการเรยี นรู้ คาอธบิ ายรายวชิ า รายวชิ า คณติ ศาสตร์เพิม่ เติม 6 กล่มุ สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 ภาคเรียนท่ี 2 รหสั วิชา ค 33202 เวลา 60 ช่ัวโมง จานวน 1.5 หน่วยกิต ศึกษา ฝึกทกั ษะการคดิ คานวณ และฝึกการแก้ปญั หาในสาระตอ่ ไปนี้ หลกั การนับเบือ้ งต้น หลกั การบวกและการคูณ การเรยี งสบั เปลยี่ น การจดั หมูก่ รณีทสี่ ิ่งของแตกตา่ ง กนั ทั้งหมด ทฤษฎบี ททวินาม ความนา่ จะเป็น การทดลองสุม่ และเหตุการณ์ ความนา่ จะเป็นของเหตกุ ารณ์ การแจกแจงความนา่ จะเปน็ เบอ้ื งต้น การแจกแจงเอกรูป การแจกแจงทวินาม การแจกแจงปกติ PAT 1 การแกโ้ จทยป์ ัญหา โดยใชท้ กั ษะกระบวนการทางคณติ ศาสตร์ ในการแกป้ ัญหา การใหเ้ หตุผล การส่ือ ความหมายทางคณิตศาสตร์ และการนาเสนอ มกี ารเช่อื มโยงความร้ตู า่ งๆ ทางคณติ ศาสตร์ และเช่อื มโยง

101 คณติ ศาสตร์กบั ศาสตร์อืน่ ๆ และมีความคดิ รเิ ร่ิมสรา้ งสรรค์ โดยใช้กระบวนการเรยี นการสอนแบบ CBL (Creativity Based Learning) เพอ่ื การจัดประสบการณ์ หรอื สร้างสถานการณท์ ่ีใกล้ตวั ให้ผเู้ รียนได้ศึกษาค้นควา้ โดยปฏิบัติจรงิ อธบิ าย สรปุ รายงาน นาประสบการณ์ด้านความรู้ ความคิด ทกั ษะกระบวนการที่ไดไ้ ป ใช้ในการเรียนรู้และพัฒนาสปู่ ระชาคมอาเซียน ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงและงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น นาไปใช้ในชีวติ ประจาวันอย่างสรา้ งสรรค์ รวมทั้งมวี นิ ยั ซ่ือสตั ยส์ จุ รติ ใฝเ่ รยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ 1. เข้าใจและใช้หลกั การบวกและการคณู การเรยี งสับเปลีย่ น และการจดั หมวดหมู่ ในการแกป้ ญั หา 2. หาความนา่ จะเปน็ และนาความรู้เก่ยี วกับความน่าจะเปน็ ไปใช้ 3. หาความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ทเ่ี กิดจากตัวแปรสมุ่ ท่ีมีการแจกแจงเอกรูป การแจกแจง ทวินาม 4. เข้าใจและใช้ความรูแ้ กโ้ จทย์ปัญหาได้

102 คาอธบิ ายรายวชิ า สาระการเรยี นรู้ภูมศิ าสตร์ คาอธบิ ายรายวชิ า (พื้นฐาน) รายวิชาภูมิศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรูส้ งั คมศกึ ษาศาสนาและวฒั นธรรม ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 ภาคเรยี นท่ี รหัสวชิ า ส31102 เวลาเรยี น 40 ชว่ั โมง/ภาคเรียน จานวน 1.0 หน่วยกิต

103 สาระภมู ศิ าสตร์ชว่ ยให้ผ้เู รียนเข้าใจลกั ษณะทางกายภาพของโลก ปฏสิ ัมพนั ธร์ ะหว่างมนุษย์กบั สง่ิ แวดลอ้ มท่ีกอ่ ให้เกดิ การสร้างสรรคว์ ิถีการดาเนนิ ชีวติ เพ่ือใหร้ เู้ ท่าทนั ปรับตัวตาม การเปลย่ี นแปลง ของ ส่งิ แวดลอ้ ม ตลอดจนสามารถใช้ทกั ษะ กระบวนการ ความสามารถทางภมู ิศาสตร์ และเคร่อื งมือ ทาง ภูมิศาสตร์จดั การทรัพยากรและสิง่ แวดลอ้ มตามสาเหตุและปจั จยั อนั จะนาไปสกู่ ารปรับใชใ้ นการดาเนนิ ชวี ติ มีความรูเ้ ก่ียวกับลกั ษณะทางกายภาพ ภัยพิบัติ ลกั ษณะกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมในจังหวดั ภาค และประเทศไทย สามารถเตรียมพร้อมเพ่ือรบั มือกบั การเปลีย่ นแปลงทางกายภาพกับภัยพบิ ตั ิตา่ งๆ ใน ประเทศไทย และหาแนวทางในการจดั การทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม มคี วามรู้เก่ียวกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ปญั หาทางกายภาพและภัยพิบตั ิ ซ่งึ ได้รบั อทิ ธพิ ล จาก ปัจจัยทางภูมศิ าสตร์ ปฏิสมั พันธร์ ะหวา่ งสง่ิ แวดล้อมทางกายภาพกับการสรา้ งสรรค์วถิ กี ารดาเนินชวี ิต ความรว่ มมือด้านทรัพยากรและส่งิ แวดล้อมในประเทศและระหว่างประเทศ เพ่ือเตรยี มพรอ้ มกบั การรับมือต่อ การเปล่ยี นแปลงของโลก และการจัดการทรัพยากรและส่ิงแวดลอ้ มเพื่อการพฒั นาอยา่ งยั่งยนื ดังนน้ั เพือ่ ให้การเรียนรสู้ าระภมู ิศาสตรบ์ รรลุผลตามเป้าหมายท่กี าหนดไว้ จงึ ได้กาหนดทิศทาง เพอ่ื ใช้เปน็ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ทีส่ ่งผลใหผ้ ู้เรยี น มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ความสามารถ และทักษะกระบวนการ ทางภมู ิศาสตร์ ทส่ี ะท้อนสมรรถนะสาคญั และคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ของผเู้ รียน ใหส้ อดคล้องกับ จุดมุ่งหมายของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ทมี่ ุ่งพฒั นาให้ เป็นคนดี มปี ัญญา มคี วามสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และการประกอบอาชีพ จงึ ได้กาหนดแนวทางการ จัดการเรยี นรู้ ซง่ึ ประกอบด้วย (๑) ความรู้ความเขา้ ใจทางภูมศิ าสตร์ (๒) ความสามารถทางภูมศิ าสตร์ (๓) กระบวนการทาง ภมู ิศาสตร์ (๔) ทักษะทางภมู ิศาสตร์ ตวั ช้วี ัด ส 5.1 ม.4-6/1 ส 5.1 ม.4-6/2 ส 5.1 ม.4-6/3 ส 5.2 ม.4-6/1 ส 5.2 ม.4-6/2 ส5.2 ม.4-6/3 ส5.2 ม.4-6/4 รวมทั้งหมด 7 ตวั ชวี้ ดั

104 คาอธิบายรายวิชาพืน้ ฐาน สังคมศกึ ษา 4 กล่มุ สาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรยี นที่ 2 รหัสวิชา ส32102 เวลา 40 ชว่ั โมง จานวน 1.0 หน่วยกติ ศึกษาวิเคราะหร์ ะบบเศรษฐกิจของโลกในปจั จบุ ัน ผลดแี ละผลเสยี ของระบบเศรษฐกิจแบบต่างๆ ของการพฒั นาประเทศทนี่ าหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งมาใช้ในการวางแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คม ปัจจบุ ัน ปัญหาทางเศรษฐกิจ ในชุมชนและแนวทางการพัฒนาเศรษฐกจิ ของชุมชน นโยบายการเงิน การคลังในการพฒั นาเศรษฐกิจของประเทศ บทบาทการเงินการคลงั ของรัฐบาล แนวทางการแกป้ ัญหาของ นโยบายการเงนิ การคลัง บทบาทของ องค์การความรว่ มมอื ทางเศรษฐกจิ ทีส่ าคัญในภูมภิ าคต่าง ๆ ปจั จยั ต่าง ๆ ท่นี าไปสู่การพ่ึงพา การแขง่ ขนั การขัดแย้ง และการประสานประโยชนท์ างเศรษฐกิจไทยกับ ตา่ งประเทศ การเปลีย่ นแปลงของพืน้ ท่ซี ึ่งได้รับอิทธพิ ลจากปจั จัยทางภูมิศาสตร์ในประเทศไทยและทวปี ต่าง ๆ การเปล่ียนแปลงธรรมชาตใิ นโลกเชน่ ภาวะโลก ความแหง้ แล้ง สภาพอากาศแปรปรวน มาตรการป้องกนั และ แก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติสิง่ แวดลอ้ มในประเทศและนอกประเทศ บทบาทขององค์การการประสาน ประสานประโยชน์ ความร่วมมอื ทั้งในและนอกประเทศ กฎหมายส่ิงแวดล้อม การจัดการทรพั ยากรธรรมชาติ และสงิ่ แวดการปัญหาและดาเนินชวี ติ ตามแนวทางการอนรุ ักษ์ทรัพยากร และสง่ิ แวดลอ้ ม การแก้ปญั หา และการดาเนนิ ชีวิตตามแนวทางการอนรุ ักษ์ทรัพยากรและสง่ิ แวดลอ้ ม เพื่อการพฒั นาที่ยั่งยืน โดยใชก้ ระบวนคดิ วิเคราะห์ การสืบค้น การฝกึ ปฏบิ ัติ กระบวนการสร้างความตระหนกั การคดิ อย่างมวี ิจารณญาณ กระบวนการแกป้ ัญหา ความสามัคคี ความเอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่ เพอ่ื ใหร้ แู้ ละเข้าใจประเทศต่าง ๆทม่ี ที รัพยากรจากัดซึง่ ไม่สามารถผลติ สินคา้ เพ่อื ตอบสนอง ความตอ้ งการ ของประชาชนในประเทศไดค้ รบถ้วน จึงตอ้ งมีการคา้ ขายแลกเปล่ียนกบั ประเทศอืน่ ๆ ทาให้เกิด การได้เปรยี บเสยี เปรยี บทาง ดา้ นดุลการคา้ และประเทศในภมู ิภาคต่าง ๆ ของโลกซึง่ ได้รวมตัวเพือ่ ร่วมมือ ช่วยเหลอื กันและเพ่อื พทิ ักษร์ ักษาผลประโยชน์ ของประเทศสมาชกิ ทางด้านเศรษฐกิจและเข้าใจถงึ ปจั จัย ตา่ ง ๆ ทที่ าให้เกดิ ปรากฏการณ์ทางภมู ิศาสตร์ในแต่ละพื้นทข่ี องประเทศไทยและนาความรทู้ ไี่ ด้ไปจัดการ ทรพั ยากร รู้จักใชท้ รพั ยากรใหเ้ กดิ ประโยชนส์ ูงสดุ รหสั ตัวชี้วดั ส 3.1 ม.5/1 , ม.5/2, ม.5/3 ส 3.2 ม.5/1 , ม.5/3 ส 5.1 ม.5/3 , ม.5/4 ส 5.2 ม.5/1 , ม.5/2

105 รวม 9 ตัวช้ีวดั คาอธบิ ายรายวชิ าพนื้ ฐาน สงั คมศึกษา 6 กลุ่มสาระการเรียนรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรยี นท่ี 2 รหัสวชิ า ส 32102 เวลา 40 ชว่ั โมง จานวน 1.0 หนว่ ยกติ ศึกษาวิเคราะห์มาตรการป้องกันและแกไ้ ขปัญหาบทบาทขององค์การและการประสานความร่วมมือ ทัง้ ในประเทศและนอกประเทศ เก่ยี วกับกฎหมายสิง่ แวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ ม แนวทางการอนุรกั ษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มในภมู ิภาคต่างๆ ของโลก การใช้ประโยชนจ์ าก ส่งิ แวดลอ้ ม ในการสรา้ งสรรค์วัฒนธรรมอนั เปน็ เอกลักษณ์ของท้องถิน่ ท้ังในประเทศไทยและโลก การมสี ่วน รว่ ม ในการแกป้ ัญหาและการดาเนินชีวิตตามแนวทางการอนรุ กั ษท์ รัพยากรและส่ิงแวดลอ้ มเพื่อการพฒั นาทย่ี ง่ั ยนื โดยใชก้ ระบวนการคิด กระบวนการสืบคน้ ขอ้ มลู กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญ สถานการณ์และแกป้ ัญหา กระบวนการปฏบิ ตั ิ กระบวนการกลุม่ เพ่อื ให้เกิดความรคู้ วามเขา้ ใจ สามารถส่ือสารสิ่งท่ีเรยี นรู้ มีความสามารถในการใช้เคร่ืองมือทาง ภมู ิศาสตร์ในการสืบค้นข้อมูล มีคุณลักษณะอันพงึ ประสงคใ์ นดา้ นใฝเ่ รยี นรู้ ม่งุ ม่นั ในการทางาน มวี นิ ยั มีจติ สาธารณะ เหน็ คุณคา่ และมีจติ สานกึ ในการร่วมมอื กนั แก้ปญั หาอนุรักษท์ รพั ยากรและสง่ิ แวดลอ้ ม รหสั ตวั ช้ีวัด ส 5.2 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/4 ม.4-6/5 รวม 4 ตัวช้ีวดั

106 โครงสร้างรายวชิ า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

107 โครงสรา้ งรายวชิ าชีววิทยาพ้นื ฐาน(ชีวภาพ1) ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 4 ลาดบั ช่อื หน่วย มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั อตั ราสว่ น ที่ การเรยี นรู้ ตัวชี้วดั (ช่ัวโมง) คะแนน ระหวา่ งเรยี น 1 ชวี ิตกบั มาตรฐานว๑.๑ โลกประกอบด้วยส่งิ มชี ีวติ และ 20 30 กบั สอบ ส่ิงแวดลอ้ ม 70:30 ๑. สบื ค้นข้อมูลและ สิง่ ไมม่ ีชวี ิตท่ีอาศัยอยูร่ ่วมกนั อธบิ ายความสัมพนั ธข์ อง ส่งิ มชี วี ติ แตล่ ะชนดิ จะมีความจาเพาะ สภาพทางภมู ิศาสตร์บน ต่อสภาพแวดล้อมแตกตา่ งกัน จงึ โลกกบั ความหลากหลาย สามารถพบสิ่งมีชีวติ ได้หลากหลาย ของไบโอมและยกตวั อยา่ ง และกระจายอยู่ในชีวนเิ วศหรือไบโอม ไบโอมชนิดตา่ ง ๆ ทแ่ี ตกต่างกนั ซ่ึงแบง่ ออกได้เปน็ 2.สืบค้นขอ้ มูล อภิปราย หลายเขตตามสภาพอากาศและ สาเหตแุ ละยกตวั อย่างการ ปรมิ าณน้าฝน ทาให้มีไบโอมท่ี เปลย่ี นแปลงแทนท่ีของ หลากหลาย การเปล่ยี นแปลงของ ระบบนเิ วศ ระบบนเิ วศเกิดขนึ้ ได้ตลอดเวลา ท้ังที่ ๓. สบื ค้นข้อมลู อธิบาย เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติและจากการ และยกตวั อยา่ งเก่ยี วกับ กระทาของมนษุ ย์ ซึ่งการ การเปล่ียนแปลงของ เปล่ยี นแปลงเหลา่ นี้เปน็ ผลจาก

108 องคป์ ระกอบทางกายภาพ ปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบทาง และทางชวี ภาพที่มผี ลตอ่ กายภาพและทางชวี ภาพ และมีผลตอ่ การเปลีย่ นแปลงขนาด ขนาดประชากรสิง่ มีชวี ติ ในระบบ ของประชากรสง่ิ มชี ีวติ นเิ วศในปจั จบุ นั มปี ระชากรมนุษย์ ในระบบนิเวศ เพมิ่ มากขน้ึ จงึ มีความต้องการใช้ 4. สืบคน้ ขอ้ มลู และ ทรัพยากรธรรมชาติเพ่มิ สงู ข้นึ อภปิ รายเกีย่ วกับปัญหา กอ่ ให้เกดิ ปญั หาต่าง ๆ ต่อ และผลกระทบทีม่ ีต่อ ทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและ จึงตอ้ งมีแนวทางป้องกันและแกไ้ ข ส่งิ แวดลอ้ ม พร้อมท้ัง ปญั หาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ นาเสนอแนวทางในการ สิง่ แวดล้อมเพื่อให้มกี ารใชป้ ระโยชน์ อนุรกั ษ์ ได้อย่างยัง่ ยนื ต่อไป ทรพั ยากรธรรมชาติ และการแก้ไขปัญหา สงิ่ แวดล้อม ลาดับที่ ชือ่ หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ เวลา น้าหนัก อัตราส่วน (ชว่ั โมง) คะแนน ระหวา่ งเรียน การเรียนรู้ ตัวชวี้ ดั สาระสาคญั 25 กบั สอบ 2 องค์ประกอบ มาตรฐาน ว 1.2 ส่งิ มชี วี ิตทกุ ชนิดลว้ นมีเซลล์เปน็ 15 ของสิ่งมชี วี ติ 1.อธิบายโครงสร้างและ หนว่ ยพ้นื ฐาน มโี ครงสร้างสาคัญ สมบตั ขิ องเยื่อหุ้มเซลลท์ ี่ 3 ส่วน ไดแ้ ก่ ส่วนที่ห่อหมุ้ เซลล์ (ผนงั สมั พนั ธก์ บั การลาเลียง เซลล์ เยอื่ หุม้ เซลล)์ สาร และเปรียบเทียบ ไซโทพลาซึม (ไรโบโซม การลาเลยี งสารผา่ นเยื่อ รา่ งแหเอนโดพลาซมึ ไมโทคอนเดรี หุ้มเซลล์แบบตา่ ง ๆ ยกอจจิคอม-เพลก็ ซ์ไลโซโซม แวคิวโอล เซนทรโิ อล คลอโรพลาสต)์ และนิวเคลยี ส เซลล์มีการลาเลยี งสารเข้าและออก จากเซลล์โดยอาศยั คุณสมบตั ิการเป็น เย่อื เลือกผา่ นของเย่อื หุ้มเซลล์ที่มี ลพิ ดิ และโปรตนี เปน็ องค์ประกอบ ซง่ึ

เซลล์จะมรี ปู แบบการลาเลยี งสารที่ 109 แตกตา่ งกันหลายรูปแบบ ทงั้ การแพร่ 25 การแพร่แบบฟาซลิ เิ ทต การลาเลียง สารโดยใช้พลงั งาน และการลาเลยี ง สารขนาดใหญ่ (เอนโดไซโทซิสและ เอกโซไซโทซิส) 3 การ มาตรฐานว๑.๒ การดารงชวี ติ ของมนุษย์จาเป็นต้องมี 15 ดารงชวี ติ 2.อธิบายการควบคมุ การรักษาดุลยภาพต่าง ๆ ของ ของมนุษย์ ดลุ ยภาพของนา้ และสาร รา่ งกาย ทง้ั การรกั ษาดลุ ยภาพของน้า ในเลอื ดโดยการทางาน และแร่ธาตใุ นรา่ งกายโดยอาศัยการ ของไต ทางานของไตในการกรองและดดู 3. อธิบายการควบคุม กลบั สารท่มี ปี ระโยชน์ การรักษาดลุ ย ดุลยภาพของกรด-เบส ภาพของกรด-เบสในเลอื ดโดยอาศยั ของเลือดโดยการทางาน การทางานของไตและปอด การรักษา ของไตและปอด4. ของอุณหภูมิในร่างกายโดยอาศยั การ อธบิ ายการควบคุมดุลย ทางานของระบบหมุนเวยี นเลือด ภาพของอุณหภูมิภายใน ต่อมเหง่ือ และกลา้ มเน้ือโครงร่าง ร่างกายโดยระบบ รา่ งกายของมนุษย์มีกลไกตอบสนอง หมนุ เวียนเลอื ด ผวิ หนัง ตอ่ เชอื้ โรคและสิง่ แปลกปลอมท่ีเขา้ สู่ และกล้ามเนื้อโครงร่าง ร่างกาย ทง้ั แบบท่ีไม่จาเพาะ เชน่ ผิวหนงั เยอ่ื บผุ วิ น้าตา น้ายอ่ ย ลาดับท่ี ช่ือหนว่ ย มาตรฐานการเรียนร้/ู เวลา น้าหนกั อัตราส่วน (ชั่วโมง) คะแนน ระหว่างเรียน การเรียนรู้ ตัวช้ีวดั สาระสาคญั กับสอบ 5. อธบิ าย และเขยี น ต่อมเหง่ือ เซลลเ์ มด็ เลือดขาวกล่มุ แผนผงั เกย่ี วกับการ ฟาโกไซต์ และแบบที่จาเพาะ เช่น ตอบสนองของรา่ งกาย เซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาวกลมุ่ ลิมโฟไซต์ แบบไม่จาเพาะ และ (เซลลบ์ แี ละเซลลท์ ี) ซึง่ หากระบบ แบบจาเพาะต่อส่งิ ภูมคิ ุ้มกนั เหล่าน้ีเกดิ ความผิดปกติ แปลกปลอมของรา่ งกาย อาจทาให้เกดิ ภาวะพร่องภูมิคุ้มกนั 6. สืบคน้ ข้อมูล อธิบาย เชน่ โรคภูมิแพ้ โรคลปู สั โรคเอดส์ และยกตวั อยา่ งโรคหรือ

110 อาการทีเ่ กดิ จากความ ผิดปกตขิ องระบบ ภูมิคมุ้ กัน 7. อธิบายภาวะ ภมู ิคมุ้ กนั บกพร่องท่ีมี สาเหตุมาจาก การตดิ เชอื้ HIV 7. อธิบายภาวะ ภูมิคมุ้ กนั บกพร่องที่มี สาเหตุมาจากการติดเชอื้ HIV 3 กระบวนการ มาตรฐานว๔.๑ ระบบทางเทคโนโลยเี ป็นกลุม่ ของ 10 20 คิดเชิง 1. วเิ คราะหแ์ นวคดิ หลัก สว่ นตา่ งๆตัง้ แต่ สองสว่ นขน้ึ ไป คานวณ ของเทคโนโลยี ประกอบเข้าด้วยกนั และทางาน ความสมั พนั ธ์กับศาสตร์ ร่วมกนั เพ่ือใหบ้ รรลวุ ตั ถุประสงค์ อนื่ โดยเฉพาะ โดยในการทางาน ของระบบทาง วทิ ยาศาสตรห์ รอื เทคโนโลยีจะประกอบไปดว้ ย คณติ ศาสตร์รวมท้งั ตวั ป้อน (input) กระบวนการ ประเมนิ ผลกระทบที่ (process)และ ผลผลิต(output) จะเกิดข้นึ ตอ่ มนษุ ย์ ทส่ี ัมพันธก์ ันนอกจากนีร้ ะบบทาง สังคม เศรษฐกิจ และ เทคโนโลยีอาจมขี ้อมูลย้อนกลับ สิ่งแวดล้อม เพ่ือเปน็ (feedback)เพ่อื ใชป้ รับปรงุ การ แนวทางในการพฒั นา ทางานได้ตาม วตั ถปุ ระสงค์ เทคโนโลยี โดยระบบทางเทคโนโลยีอาจมี ระบบ ยอ่ ยหลายระบบ (sub-systems) ท่ีทางาน สัมพนั ธก์ นั อยู่และหาก ลาดับท่ี ช่อื หน่วย มาตรฐานการเรียนรู/้ เวลา น้าหนัก อตั ราสว่ น การเรยี นรู้ ตัวชว้ี ดั สาระสาคญั (ชว่ั โมง) คะแนน ระหวา่ งเรยี น กบั สอบ 2. ระบปุ ญั หาหรือความ ระบบย่อยใดทางานผิดพลาดจะสง่ ผล ตอ้ งการท่ีมีผลกระทบ ต่อการทางานของระบบอื่นด้วย ตอ่ สังคม รวบรวม เทคโนโลยมี กี ารเปลี่ยนแปลง

111 วเิ คราะห์ข้อมูลและ ตลอดเวลาตงั้ แต่ อดีตจนถงึ ปัจจุบัน แนวคิดที่เกีย่ วข้องกบั ซ่ึงมีสาเหตุหรือปัจจยั มาจากหลาย ปญั หาทมี่ ีความซบั ซ้อน ดา้ นเช่น ปัญหา ความตอ้ งการ เพอ่ื สังเคราะห์วธิ กี าร ความก้าวหน้าของศาสตร์ตา่ งๆ เทคนคิ ในการแกป้ ญั หา เศรษฐกจิ สังคม วฒั นธรรม โดยคานงึ ถงึ ความ สง่ิ แวดลอ้ มปัญหาหรือความต้องการ ถูกต้องด้านทรัพย์สนิ ทม่ี ผี ลกระทบต่อสังคมเช่นปัญหาดา้ น ทางปญั ญา การเกษตร อาหาร พลังงาน 3. ออกแบบวธิ กี าร การขนสง่ สขุ ภาพและการแพทย์ แกป้ ญั หา โดยวเิ คราะห์ การบรกิ ารซ่งึ แต่ละด้านอาจมีได้ เปรยี บเทยี บ และ หลากหลายปญั หา การวิเคราะห์ ตัดสนิ ใจเลอื กขอ้ มูลที่ สถานการณป์ ัญหาโดยอาจใช้เทคนคิ จาเปน็ ภายใต้เงอื่ นไข หรือวธิ กี ารวเิ คราะห์ที่หลากหลาย และทรัพยากรที่มีอยู่ ชว่ ยให้เข้าใจ เง่อื นไขและกรอบของ นาเสนอแนวทางการ ปญั หาไดช้ ัดเจน จากนั้น ดาเนินการ แก้ปัญหาใหผ้ ู้อน่ื เขา้ ใจ สบื คน้ รวบรวมขอ้ มลู ความรูจ้ าก ดว้ ยเทคนิคหรอื วิธีการท่ี ศาสตร์ต่างๆ ที่เก่ยี วขอ้ ง เพอื่ นาไปสู่ หลากหลาย โดยใช้ การออกแบบ แนวทางการแก้ปญั หา ซอฟต์แวร์ชว่ ยในการ การวิเคราะห์ เปรยี บเทยี บและ ออกแบบ วางแผน ตดั สินใจเลอื กอกี ข้อมูลทจ่ี าเป็นโดย ข้นั ตอนการทางานและ คานงึ ถึงทรัพย์สินทางปญั ญาเงือ่ นไข ดาเนนิ การแกป้ ัญหา และทรัพยากร เช่นงบประมาณ เวลาขอ้ มูลและสารสนเทศวัสดุ ุ เครือ่ งมือและอุปกรณ์ ชว่ ยให้ได้แนว ทางการแกป้ ญั หาทีเ่ หมาะสม การออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา ทาไดห้ ลากหลายวิธเี ชน่ การรา่ ง ภาพการเขยีนแผนภาพการเขียนผัง งานซอฟต์แวร์ช่วยในการออกแบบ และนาเสนอมหี ลากหลายชนิดจึงต้อง เลอื กใช้ใหเ้ หมาะกบั งานการกาหนด ลาดับที่ ชือ่ หนว่ ย มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนัก อตั ราสว่ น

112 การเรยี นรู้ ตัวชี้วัด (ชั่วโมง) คะแนน ระหวา่ งเรียน กบั สอบ 4. ทดสอบ ประเมินผล ขั้นตอนและระยะเวลาในการทางาน วเิ คราะหแ์ ละใหเ้ หตผุ ล กอ่ นดาเนนิ การแกป้ ัญหาจะช่วยให้ ของปญั หาหรือ การทางาน สาเร็จไดต้ ามเป้าหมาย ข้อบกพร่องทเี่ กิดขนึ้ และลดข้อผิดพลาดของ การทางานท่ี ภายใตก้ รอบเงอ่ื นไข หา อาจเกดิ ข้นึ การทดสอบและแระเมิน แนวทางการปรบั ปรงุ ผลเป็นการตรวจสอบชน้ิ งานหรือ แกไ้ ขและนาเสนอผล วิธกี ารว่าสามารถแก้ปญั หาได้ตาม การแกป้ ัญหา พร้อมทั้ง วตั ถุประสงคภ์ ายใต้กรอบของปัญหา เสนอแนวทางการ เพือ่ หา ข้อบกพร่องและดาเนินการ พัฒนาตอ่ ยอด ปรบั ปรงุ โดยอาจ ทดสอบซ้าเพ่ือให้ 5. ใช้ความรแู้ ละทักษะ สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมี เก่ียวกับวัสดุอุปกรณ์ ประสทิ ธิภาพการนาเสนอผลงานเปน็ เครอ่ื งมอื กลไก ไฟฟ้า การถา่ ยทอดแนวคดิ เพ่ือให้ผู้อน่ื และอเิ ล็กทรอนิกส์และ เข้าใจเกยี่ วกับกระบวนการทางาน เทคโนโลยที ซี่ ับซอ้ นใน และชิ้นงานหรอื วิธีการที่ได้ซ่งึ การแกป้ ัญหาหรือ สามารถทาได้ หลายวธิ ีเชน่ การทา พฒั นางาน ได้อยา่ ง แผน่ นาเสนอผลงานการจัด ถกู ต้อง เหมาะสมและ นทิ รรศการการนาเสนอผา่ นส่ือ ปลอดภัยจาเป็นภายใต้ ออนไลน์หรอื การนาเสนอต่อภาค เง่ือนไขและทรพั ยากรที่ ธุรกิจ เพอ่ื การพฒั นาตอ่ ยอด มอี ยู่ นาเสนอแนวทาง สู่งานอาชีพวัตถุแตล่ ะประเภทมี การแกป้ ัญหาให้ผอู้ ืน่ สมบัติแตกตา่ งกัน เชน่ ไม้สังเคราะห์ เขา้ ใจ ด้วยเทคนิคหรอื โลหะ จงึ ตอ้ งมีการวิเคราะห์สมบตั ิ วธิ ีการหลากหลาย โดย เพ่อื เลือกใช้ใหเ้ หมาะสมกับลักษณะ ใช้ซอฟต์แวร์ชว่ ยในการ ของงาน การสร้างช้นิ งานอาจใช้ ออกแบบวางแผน ความรเู้ ร่ืองกลไก ไฟฟ้า ขนั้ ตอนการทางานและ อเิ ล็กทรอนิกส์เชน่ LDR sensor ดาเนนิ การแกป้ ญั หา เฟอื ง รอก คาน วงจรสาเรจ็ รปู อุปกรณ์และเคร่ืองมือในการสร้าง ชนิ้ งานหรือ พฒั นาวิธีการมหี ลาย ประเภทต้องเลอื กใช้ ใหถ้ กู ต้อง

113 เหมาะสมและปลอดภยั รวมท้งั รจู้ กั เก็บรกั ษา โครงสรา้ งรายวิชาชีววิทยาพืน้ ฐาน(ชีวภาพ2) ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 4 ลาดบั ท่ี ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั อตั ราสว่ น การเรยี นรู้ ตวั ช้วี ดั (ช่ัวโมง) คะแนน ระหวา่ ง เรยี นกับ 1 การดารงชีวิต มาตรฐานว๑.๒ กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง 15 30 สอบ ของพืช 70:30 1. ทดสอบ และบอก เปน็ จดุ เริม่ ต้นของการสรา้ ง ชนดิ ของสารอาหาร นา้ ตาลในพชื พชื เปล่ยี นน้าตาล ที่พืชสังเคราะห์ได้ ไปเป็นสารอาหารและสารอนื่ ๆ 2. สบื คน้ ขอ้ มลู เชน่ คาร์โบไฮเดรต โปรตนี อภิปราย และ ไขมนั ทจี่ าเปน็ ต่อการดารงชวี ิต ยกตัวอย่างเกี่ยวกับ ของพชื และสตั ว์ มนษุ ยส์ ามารถ การใช้ประโยชน์ นาสารต่าง ๆ ท่พี ชื บางชนดิ สรา้ ง จากสารต่าง ๆ ท่ีพืช ข้นึ ไปใช้ประโยชน์ เช่น ใช้เปน็ ยา บางชนดิ สรา้ งขนึ้ หรอื สมนุ ไพรในการรักษาโรคบาง 3. ออกแบบการทดลอง ชนดิ ใช้ในการไลแ่ มลง กาจัด ทดลอง และอธิบาย ศตั รูพืชและสัตว์ ใช้ในการยับยั้ง เกย่ี วกบั ปจั จยั ภายนอก การเจรญิ เติบโตของแบคทเี รยี ทมี่ ผี ลต่อการ และใชเ้ ปน็ วัตถุดบิ ใน เจรญิ เติบโตของพชื อุตสาหกรรมปัจจัยภายนอกที่มี 4. สืบค้นข้อมูลเก่ียวกบั ผลต่อการเจริญเติบโต เชน่ แสง สารควบคมุ การ นา้ ธาตุอาหารคารบ์ อน ได เจริญเตบิ โตของพชื ท่ี ออกไซด์ และออกซิเจน ปจั จัย มนุษยส์ ังเคราะหข์ ึ้นและ ภายใน เช่น ฮอรโ์ มนพชื ซึง่ พืชมี ยกตวั อย่างการนามา การสังเคราะห์ขนึ้ เพ่ือควบคุม ประยุกต์ใช้ทางด้าน การเจรญิ เตบิ โตในชว่ งชวี ติ ต่าง ๆ การเกษตร มนษุ ยม์ ีการสังเคราะหส์ าร

114 ของพชื ควบคมุ การเจริญเตบิ โตของพืช 5. สังเกต และอธิบาย โดยเลียนแบบฮอร์โมนพืช เพ่ือ การตอบสนองของพืช นามาใช้ควบคมุ การเจรญิ เติบโต ตอ่ สงิ่ เรา้ ในรปู แบบตา่ ง และเพิ่มผลผลติ ของพืช ๆ ทม่ี ผี ลตอ่ การ การตอบสนองต่อสง่ิ เรา้ ของพืช ดารงชีวติ แบง่ ตามความสมั พันธ์กับทิศทาง ของสง่ิ เรา้ ได้ ได้แก่ แบบท่ีมี ทศิ ทางสัมพนั ธ์กบั ทศิ ทางของสง่ิ เรา้ ลาดับที่ ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรียนร/ู้ เวลา น้าหนัก อัตราส่วน (ชั่วโมง) คะแนน ระหวา่ งเรียน การเรยี นรู้ ตัวชว้ี ัด สาระสาคัญ 30 กบั สอบ ไม่มีทิศทางสมั พนั ธ์กับทิศทาง ของสงิ่ เร้า เช่น การหบุ และบาน ของดอก หรือการหุบและ กางของใบพชื บางชนิด การตอบสนองต่อสิ่งเร้าของพืช บางอย่างส่งผลต่อการ เจรญิ เติบโต เช่น การเจริญในทศิ ทางเขา้ หา หรือตรงขา้ มกบั แรง โน้มถ่วงของโลก การเจรญิ ใน ทศิ ทาง เขา้ หาหรอื ตรงขา้ มกับ แสง และการตอบสนอง 2 พันธุกรรม มาตรฐาน ว 1.3 สิ่งมชี วี ติ ทกุ ชนดิ จะมีลักษณะ 15 1. อธิบายความสัมพันธ์ พันธกุ รรมท่ีแตกตา่ งกัน เปน็ ผล ระหว่างยนี การ มาจากหนว่ ยพันธกุ รรมหรือยีน สังเคราะห์โปรตนี และ ซึ่งเปน็ ลาดับเบสของนวิ คลโี อ ลักษณะทางพันธกุ รรม ไทดช์ ่วงหนงึ่ บนสายดเี อน็ เอท่ีอยู่ 2. อธบิ ายหลกั การ บนโครโมโซมในนิวเคลยี สของ ถา่ ยทอดลักษณะทถี่ ูก สิ่งมีชวี ติ การถ่ายทอดลักษณะ ควบคมุ ดว้ ยยนี ที่อยูบ่ น ทางพนั ธุกรรมของสง่ิ มชี ีวติ จะ โครโมโซมเพศและมัลติ ถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสลู่ ูกผา่ น

115 เปิลแอลลลี เซลล์สบื พนั ธุ์ ซ่งึ มกี ารถ่ายทอด 3. อธบิ ายผลทเ่ี กิดจาก ลักษณะหลายรปู แบบ เชน่ การ การเปล่ยี นแปลงลาดบั ถ่ายทอดลักษณะพันธกุ รรมทาง นิวคลโี อไทดใ์ นดีเอน็ เอ โครโมโซมรา่ งกาย การถา่ ยทอด ตอ่ การแสดงลกั ษณะ ลกั ษณะพันธกุ รรมทางโครโมโซม ของสง่ิ มชี ีวติ เพศ การถา่ ยทอดลักษณะ 4. สืบคน้ ข้อมูลและ พนั ธุกรรมแบบมลั ตเิ ปลิ แอลลีล ยกตวั อย่างการนามิวเท มิวเทชนั เป็นการเปล่ยี นแปลง ชนั ไปใชป้ ระโยชน์ พันธกุ รรมของส่งิ มชี ีวติ แบ่ง 5. สืบค้นข้อมลู และ ออกเป็น 2 ระดบั คือ มิวเทชัน อภิปรายผลของ ระดบั ยีนเป็นการเปล่ียนแปลง เทคโนโลยีทางดีเอน็ เอที่ ลาดบั นวิ คลีโอไทด์ในสายดีเอ็นเอ มีต่อมนุษยแ์ ละ เชน่ โรคโลหิตจางจากเมด็ เลอื ด สิ่งแวดลอ้ ม แดงรปู เคียว และมวิ เทชัน ลาดบั ท่ี ชือ่ หน่วย มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก อัตราสว่ น การเรียนรู้ ตัวช้วี ัด (ช่วั โมง) คะแนน ระหวา่ งเรยี น กบั สอบ ระดบั โครโมโซม แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คอื การเปล่ยี นแปลง รปู รา่ งของโครโมโซม เช่น กลุม่ อาการคริดชู าต์ การเปลีย่ นแปลง จานวนโครโมโซม เชน่ กลุ่ม อาการพาทัว กล่มุ อาการดาวน์ เทคโนโลยีทางดีเอน็ เอถูกนามา ประยุกต์ใชใ้ นด้านตา่ ง ๆ เช่น ดา้ นการแพทย์และเภสชั กรรมใน การผลิตยาหรือฮอรโ์ มน ด้าน การเกษตรในการปรบั ปรุงและ พฒั นาสายพนั ธ์ุพชื และสัตว์ ดา้ น นิติ-วทิ ยาศาสตร์ในการพิสจู น์ตัว บคุ คล แตย่ งั มีความกังวลเรอ่ื ง ความปลอดภัยด้านชีวภาพ

สังคม และชวี จริยธรรม 116 3 วิวฒั นาการของ มาตรฐาน ว 1.3 ความหลากหลายของสงิ่ มชี วี ิต 6 20 สิง่ มชี ีวิต 6. สืบค้นขอ้ มูล อธิบาย ในปัจจุบนั เป็นผลมาจาก และยกตวั อยา่ ง ความ วิวัฒนาการที่มีกลไกพ้นื ฐานมา หลากหลายของสิง่ มชี ีวติ จากการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ซ่ึงเป็นผลมาจาก ซง่ึ เป็นกระบวนการคดั เลือก วิวฒั นาการ ประชากรส่งิ มชี วี ติ ทีม่ ลี ักษณะ เหมาะสมกบั สิ่งแวดลอ้ มให้ สามารถดารงชีวติ และใหก้ าเนิด ประชากรในร่นุ ต่อไป โดย ส่งิ มชี วี ิตจะอาศัยการปรับเปลี่ยน ลักษณะทางสรีระ พฤตกิ รรม และรูปแบบการดารงชวี ิต แต่ สาหรับประชากรที่ไม่สามารถ ปรบั ตัวไดจ้ ะถูกคัดท้งิ และลด จานวนไป ลาดบั ท่ี ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรียนร/ู้ เวลา นา้ หนกั อัตราส่วน (ช่ัวโมง) คะแนน ระหวา่ งเรยี นกับ การเรยี นรู้ ตวั ชว้ี ัด สาระสาคัญ สอบ 4 การประยุกตใ์ ช้ มาตรฐาน ว 4.2 โครงงานทมี่ ีการบรู ณาการกับ 4 20 แนวคดิ เชงิ 1. ประยกุ ต์ใชแ้ นว วิชาอ่ืนอย่างสรา้ งสรรค์และ คานวณ ความคดิ เชิงคานวณใน เชือ่ มโยงกบั ชวี ิตจริง การพฒั นา การพฒั นาโครงงานทมี่ ี โครงงาน การนาแนวคิดเชงิ การบรู ณาการกบั วิชาอ่นื คานวณไปพัฒนาโครงงาน อยา่ งสรา้ งสรรคแ์ ละ ท่เี กย่ี วกบั ชวี ติ ประจาวัน เชน่ เช่อื มโยงกับชีวิตจริง การจดั การพลงั งาน อาหาร การเกษตร การตลาด การค้าขาย การทาธรุ กรรม สขุ ภาพ และ สิ่งแวดลอ้ ม ตัวอยา่ งโครงงาน เช่น ระบบดูแลสุขภาพ

117 ระบบ อตั โนมัติควบคุมการปลกู พชื ระบบจัดเส้นทาง การขนส่ง ผลผลติ ระบบแนะนาการใช้งาน ห้องสมดุ ท่ีมกี ารโต้ตอบกับผ้ใู ช้ และเชอื่ มต่อกบั ฐานข้อมลู โครงสร้างรายวิชา ฟิสิกส์ 1 ภาคเรยี นที่ 1 ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 ลาดบั ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ เวลา/ นา้ หนกั อตั ราสว่ น ท่ี การเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ ชว่ั โมง คะแนน ระหวา่ ง เรียนกับ สอบ 1 การศกึ ษา มาตรฐาน ว 2.2 ฟสิ กิ ส์เป็นวิทยาศาสตร์ 8 15 70:30 วิชาฟสิ ิกส์ เข้าใจธรรมชาติของ แขนงหน่ึงท่ีศึกษา

118 แรงในชวี ติ ประจาวนั เกีย่ วกับสสาร พลงั งาน ผลของแรงท่ีกระทาต่อ อนั ตรกิรยิ าระหว่าง วตั ถุ ลักษณะการ สสารกบั พลังงาน เคล่ือนทแี่ บบต่าง ๆ และแรงพนื้ ฐานใน ของวตั ถุ รวมท้งั นา ธรรมชาติ การค้นควา้ ความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ หาความร้ทู างฟสิ กิ ส์ ไดม้ าจากการสงั เกต การทดลอง และเก็บ ผลการเรยี นรู้ รวบรวมข้อมูลมา วเิ คราะห์หรือจากการ 1. สืบคน้ และอธบิ าย สร้างแบบจาลองทาง การคน้ หาความรทู้ าง ความคดิ เพ่ือสรุป ฟิสิกส์ ประวตั คิ วาม เป็นทฤษฎี หลักการ เป็นมา รวมทง้ั หรอื กฎ ซ่ึงสามารถนา พัฒนาการของหลักการ ไปใชอ้ ธิบาย และแนวคิดทางฟสิ ิกส์ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ทมี่ ีผลตอ่ การแสวงหา หรือทานายสง่ิ ท่ีอาจจะ ความรใู้ หมแ่ ละการ เกดิ ขน้ึ ในอนาคต โดย พัฒนาเทคโนโลยีได้ ประวัตคิ วามเป็นมาและ 2. วดั และรายงานผล พัฒนาการของหลักการ การวดั ปริมาณทาง และแนวคิดทางฟิสิกส์ ฟิสิกสไ์ ด้ถกู ต้อง เปน็ พนื้ ฐานในการ เหมาะสม โดยนาความ แสวงหา ความรูใ้ หม่ คลาดเคลือ่ นในการวดั เพมิ่ เติม รวมถงึ การ มาพิจารณาในการ พฒั นาและ นาเสนอผล รวมท้ัง ความก้าวหน้าทาง แสดงผลการ ทดลองใน เทคโนโลยกี ็มีสว่ นใน รปู ของกราฟ วเิ คราะห์ การคน้ หาความรูใ้ หม่ และแปลความหมาย ทางวทิ ยาศาสตร์ดว้ ย จากกราฟเส้นตรงได้ ความร้ทู างฟิสิกสส์ ่วน หนง่ึ ไดจ้ ากการทดลอง ซง่ึ เก่ียวข้องกบั กระบวน การวดั ปรมิ าณทาง

119 ฟิสิกส์ประกอบดว้ ย คา่ ท่เี ป็นตวั เลขและ หน่วยวัด โดยสามารถ วดั ไดด้ ว้ ยเครือ่ งมือ ตา่ ง ๆ โดยตรง หรอื ทางอ้อม หน่วยทีใ่ ช้ ในการวัดปรมิ าณทาง วิทยาศาสตรค์ ือ หน่วยในระบบเอสไอ ปรมิ าณที่มคี ่าน้อยหรือ มากกว่า 1 มาก ๆ นิยม เขียนในรูปของสัญกรณ์ วิทยาศาสตร์ การเขยี น โดยใช้ สญั กรณ์ วทิ ยาศาสตร์ เปน็ การเขยี นเพื่อแสดง จานวนเลขนยั สาคญั ที่ ถูกต้อง การทดลองทาง ฟสิ กิ ส์จะเกย่ี วกบั การวดั ปริมาณต่าง ๆ การวัด จะมีความคลาดเคล่ือน เสมอ ซึง่ ขึ้นอย่กู ับ เครอ่ื งมือ วธิ กี ารวดั และประสบการณ์ของผู้ วัด ในการบันทกึ ปริมาณที่ไดจ้ ากการวดั ด้วยจานวนเลข นยั สาคัญทเ่ี หมาะสม และค่าความ คลาดเคลือ่ น เพอ่ื การนาเสนอผล การเขยี นกราฟ และลง ข้อสรปุ รวมทง้ั มีทกั ษะ

ในการรายงานการ 120 ทดลอง โดยการวัด 25 ควรเลือกใช้เครื่องมือวัด ให้เหมาะสมกบั ส่งิ ที่ ตอ้ งการวดั 2 การเคล่ือนท่ี มาตรฐาน ว 2.2 ปรมิ าณทเี่ กย่ี วกบั การ 16 ในแนวตรง เขา้ ใจธรรมชาติของ เคลื่อนท่ีของวตั ถุ ได้แก่ แรงในชวี ิตประจาวนั ตาแหนง่ การกระจดั ผลของแรงท่ีกระทาต่อ ความเรว็ และความเรง่ วตั ถุ ลกั ษณะการ โดยความเรว็ และ เคล่ือนท่แี บบต่าง ๆ ความเรง่ มที ั้งค่าเฉล่ยี ของวัตถุ รวมทง้ั นา และค่าขณะหน่ึง ความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ซงึ่ คิดในชว่ งเวลาส้นั มาก ๆ เขา้ ใกลศ้ นู ย์ ผลการเรียนรู้ การอธิบายการเคลื่อนที่ 3. ทดลองและอธบิ าย ของวตั ถุสามารถเขียน ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง อยู่ในรูปกราฟตาแหนง่ ตาแหน่ง การกระจัด กบั เวลา ความเรว็ กบั ความเรว็ และ เวลา หรือความเรง่ กบั ความเรง่ ของการ เวลา โดยความชนั ของ เคลอ่ื นที่ของวัตถใุ น เส้นกราฟตาแหนง่ แนวตรงที่มคี วามเรง่ คง กับเวลาเปน็ ความเร็ว ตัวจากกราฟและ ความชนั ของเสน้ กราฟ สมการ รวมทง้ั ทดลอง ความเร็วกับเวลาเป็น หาคา่ ความเร่งโนม้ ความเรง่ และพนื้ ทใ่ี ต้ ถว่ งของโลก และ เสน้ กราฟความเร็ว คานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ กับเวลาเปน็ การกระจัด ทเ่ี กย่ี วข้องได้ ในกรณที ผี่ ู้สงั เกตมี ความเรว็ ความเรว็ ของ วตั ถทุ ่สี งั เกตได้เปน็ ความเรว็ ที่เทียบกับ ผู้สังเกต ส่วนการ เคล่อื นท่ีของวตั ถุในแนว

ตรงกรณีท่ีมคี วามเร่ง 121 คงที่ สามารถอธิบายได้ 30 โดยใช้สมการ จลนศ์ าสตร์ 4 สมการ การตกแบบเสรีเป็น ตัวอย่างหนงึ่ ของการ เคล่อื นท่ใี นหนึ่งมติ ทิ ี่มี ความเร่งเท่ากบั ความเรง่ โนม้ ถว่ งของ โลก 3 แรงและกฎ มาตรฐาน ว 2.2 แรงเป็นปริมาณ 28 การเคลือ่ นที่ เข้าใจธรรมชาติของ เวกเตอรจ์ งึ มีท้ังขนาด แรงในชวี ิตประจาวนั และทศิ ทาง ผลของแรงท่ีกระทาต่อ กรณที ี่มีแรงหลาย ๆ วัตถุ ลกั ษณะการ แรงกระทาต่อวตั ถุ เคลือ่ นทแี่ บบตา่ ง ๆ สามารถหาแรงลัพธ์ ของวตั ถุ รวมทง้ั นา ทกี่ ระทาต่อวตั ถโุ ดยใช้ ความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ วธิ เี ขียนเวกเตอรข์ อง แรงแบบหางต่อหัว วิธี ผลการเรยี นรู้ สร้างรปู สีเ่ หล่ยี มด้าน 4. ทดลองและอธิบาย ขนานของแรง และวิธี การหาแรงลัพธข์ อง คานวณ ความเฉื่อยเปน็ แรงสองแรงทที่ ามมุ ต่อ สมบตั ขิ องวตั ถุทต่ี ้าน กนั ได้ การเปลีย่ นสภาพการ 5. เขียนแผนภาพของ เคลือ่ นท่ีของวตั ถุ โดยมี แรงทกี่ ระทาต่อวตั ถุ มวลเปน็ ปริมาณท่บี อก อสิ ระ ทดลองและ ใหท้ ราบว่าวตั ถใุ ดมี อธบิ ายกฎการเคลอื่ นท่ี ความเฉอ่ื ยมากหรือ ของนวิ ตันและการใช้ นอ้ ย การหาแรงลัพธท์ ่ี กฎการเคลื่อนทขี่ อง กระทาตอ่ วัตถสุ ามารถ นิวตันกับสภาพการ เขยี นเป็นแผนภาพของ เคล่ือนที่ของวตั ถุ แรงทกี่ ระทาต่อวตั ถุ รวมทั้งคานวณปริมาณ อิสระได้ ในกรณีที่ไม่

122 ตา่ ง ๆ ทเ่ี กี่ยวข้อง มแี รงภายนอกมา ได้ กระทาตอ่ วัตถุ หรอื แรง 6. อธิบายกฎความโน้ม ทก่ี ระทาต่อวตั ถุเปน็ ถว่ งสากลและผลของ ศนู ย์ วตั ถจุ ะไม่เปล่ียน สนามโน้มถว่ งท่ที าให้ สภาพการเคลื่อนทซี่ ่ึง วัตถุมีนา้ หนัก เป็นไปตามกฎการ รวมทง้ั คานวณปรมิ าณ เคลื่อนท่ีข้อทห่ี นง่ึ ของ ตา่ ง ๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง นวิ ตัน แต่ถ้ามี ได้ แรงภายนอกมากระทา 7. วเิ คราะห์ อธิบาย ต่อวัตถุ โดยแรงลพั ธ์ที่ และคานวณแรงเสยี ด กระทาตอ่ วตั ถุไมเ่ ปน็ ทานระหว่างผิวสมั ผัส ศนู ย์ วตั ถุจะมีความเร่ง ของวัตถุค่หู น่ึง ๆ โดยความเร่งมีทิศทาง ในกรณีที่วัตถุหยดุ นงิ่ เดียวกับแรงลพั ธ์ ซง่ึ และวตั ถเุ คล่ือนท่ี เปน็ ไปตามกฎการ รวมทงั้ ทดลองหา เคลอ่ื นท่ีขอ้ ทส่ี องของ สมั ประสทิ ธิค์ วามเสียด นิวตนั เมอ่ื วตั ถุสอง ทานระหวา่ งผวิ สมั ผัส กอ้ นออกแรงกระทาตอ่ ของวตั ถุคูห่ นงึ่ ๆ กนั จะเกิดแรงกิรยิ า และนาความรู้เร่ืองแรง และแรงปฏิกิรยิ า โดย เสียดทานไปใชใ้ น แรงท้ังสองจะมีขนาด ชวี ติ ประจาวันได้ เท่ากันแต่มีทิศทางตรง ขา้ มและกระทาต่อวัตถุ คนละก้อน เรยี กวา่ แรง คู่กริ ิยา-ปฏกิ ริ ยิ า ซง่ึ เป็นไปตามกฎ การเคล่อื นทขี่ ้อทีส่ าม ของนวิ ตนั และเกดิ ข้ึน ไดท้ ้ังกรณีทว่ี ตั ถทุ งั้ สอง สัมผสั กันหรอื ไมส่ ัมผสั กันกไ็ ด้ วัตถุคู่หนงึ่ จะมี แรงกระทาต่อกัน แรงนี้ เปน็ แรงดึงดดู ระหว่าง

4 การเคล่อื นท่ี มาตรฐาน ว 2.2 มวลเปน็ แรงท่ีมวลสอง 28 123 กอ้ นดงึ ดูดซ่ึงกนั และกนั ดว้ ยแรงขนาดเท่ากันใน 30 แนวเดียวกันแตท่ ศิ ทางตรงข้าม และ เปน็ ไปตามกฎความโน้ม ถว่ งสากล แรงที่เกดิ ขึ้น ที่ผวิ สมั ผสั ระหวา่ งวตั ถุ สองก้อนในทิศทางตรง ขา้ มกับทศิ ทางการ เคลือ่ นท่ี หรอื แนวโนม้ ที่ จะเคล่ือนที่ของวตั ถุ เรยี กว่า แรงเสยี ดทาน ซ่งึ แรงเสยี ดทาน ระหว่างผิวสัมผสั คหู่ นึง่ ๆ จะขนึ้ อยู่กับ สมั ประสิทธิค์ วามเสยี ด ทานและแรงปฏกิ ิริยา ต้ังฉากระหวา่ งผิวสัมผสั คนู่ ้นั ๆ ขณะวตั ถยุ งั คง อย่นู ิ่ง แรงเสยี ดทานมี ขนาดเพ่ิมข้ึนตามแรงที่ กระทาต่อวัตถนุ ัน้ และ จะมีค่ามากทส่ี ุดเม่ือ วัตถเุ รมิ่ เคลอื่ นท่ี เรยี ก แรงเสยี ดทานที่กระทา ตอ่ วัตถขุ ณะอยู่นง่ิ วา่ แรงเสยี ดทานสถติ และ เรยี กแรงเสยี ดทานที่ กระทาตอ่ วัตถุขณะ กาลังเคลอ่ื นทวี่ า่ แรงเสียดทานจลน์ การเคลอื่ นที่ของวตั ถุท่ี

124 แบบต่าง ๆ เขา้ ใจธรรมชาติของ มีเส้นทางเปน็ โคง้ แรงในชีวติ ประจาวนั พาราโบลาภายใต้สนาม ผลของแรงทก่ี ระทาต่อ โนม้ ถว่ ง โดยไมค่ ดิ แรง วตั ถุ ลกั ษณะการ ต้านของอากาศ เคลือ่ นทีแ่ บบตา่ ง ๆ เป็นการเคล่ือนท่แี บบ ของวัตถุ รวมท้งั นา โพรเจกไทล์ ซง่ึ ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ พจิ ารณาได้วา่ วัตถุมีการ เปลย่ี นตาแหน่งใน ผลการเรียนรู้ แนวดงิ่ และแนวระดบั 8. อธิบาย วิเคราะห์ พรอ้ มกนั และเป็นอสิ ระ และคานวณปริมาณ ตอ่ กัน ส่วนการเคลือ่ นท่ี ตา่ ง ๆ ทเ่ี ก่ียวข้องกับ ในแนวระดับไมม่ ีแรง การเคลื่อนทแ่ี บบ กระทาจึงเปน็ การ โพรเจกไทล์ และ เคล่ือนที่ทีม่ ีความเร็ว ทดลองการเคล่อื นที่ คงตวั วตั ถุท่เี คลอื่ นท่ี แบบโพรเจกไทลไ์ ด้ เปน็ วงกลมหรือสว่ นของ 9. ทดลองและอธบิ าย วงกลม เรียกวา่ เป็น ความสัมพันธ์ระหว่าง การเคล่อื นท่ีแบบ แรงสูศ่ ูนย์กลาง รศั มี วงกลม ซ่งึ มีแรงลัพธ์ ของการเคลื่อนที่ ทก่ี ระทากับวัตถใุ นทิศ อัตราเร็วเชิงเสน้ เข้าสศู่ ูนย์กลาง เรยี กวา่ อัตราเรว็ เชงิ มมุ และ แรงสู่ศนู ยก์ ลาง ทาให้ มวลของวตั ถุในการ เกิดความเร่งสู่ เคลอ่ื นทแี่ บบวงกลม ศนู ย์กลางที่มีขนาด ในระนาบระดับ รวมทัง้ สมั พนั ธ์กับรศั มขี องการ คานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ เคลื่อนท่ี และอัตราเรว็ ทเี่ ก่ยี วข้อง และ เชงิ เสน้ ของวตั ถุ ประยกุ ตใ์ ช้ความรกู้ าร นอกจากน้ี การเคลื่อนที่ เคลอื่ นท่แี บบวงกลมใน แบบวงกลมยังสามารถ การอธิบายการโคจร อธบิ ายไดด้ ว้ ยอัตราเร็ว ของดาวเทียมได้ เชิงมมุ ซึง่ มี ความสัมพนั ธ์กับ อตั ราเร็วเชิงเส้น และ

125 แรงสูศ่ นู ยก์ ลางมี ความสมั พนั ธ์กับ อัตราเรว็ เชิงมุม การ เคลื่อนทใี่ นแนววงกลม ได้แก่ การเคล่ือนทข่ี อง รถบนถนนโคง้ และ ดาวเทยี มท่ีโคจร เปน็ แนววงกลมรอบโลก โครงสรา้ งรายวิชา ฟสิ ิกส์ 2 ภาคเรยี นท่ี 2 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 ลาดบั ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคัญ เวลา/ น้าหนกั อตั ราส่วน ท่ี การเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ ชว่ั โมง คะแนน ระหว่าง เรียนกบั สอบ

1 งานและ มาตรฐาน ว 2.2 เม่ือมีแรงคงตัวกระทา 24 126 70:30 พลังงาน เข้าใจธรรมชาติของ ตอ่ วัตถุใหเ้ คล่อื นท่ีได้ แรงในชีวิตประจาวัน การกระจดั จะเกิดงาน ผลของแรงท่กี ระทาต่อ ของแรงน้นั ซ่งึ หาได้ วัตถุ ลกั ษณะการ จากผลคูณระหว่าง เคลือ่ นทแี่ บบตา่ ง ๆ ขนาดของแรงกบั ขนาด ของวัตถุ รวมทงั้ นา ของการกระจัดและ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ โคไซนข์ องมุมระหวา่ ง แรงกับการกระจัด หรอื หางานได้จากพ้นื ทใ่ี ต้ ผลการเรียนรู้ กราฟระหว่างแรงกบั การกระจดั โดยงาน 1. วิเคราะห์ และ ท่ที าได้ในหน่งึ หน่วย คานวณงานของแรงคง เวลา เรียกวา่ กาลัง ตัวจากสมการและพนื้ ท่ี เฉล่ีย พลงั งานเป็น ใตก้ ราฟความสัมพันธ์ ความสามารถในการทา ระหวา่ งแรงกบั งาน พลงั งานจลน์เป็น ตาแหนง่ รวมท้งั พลังงานของวัตถุทกี่ าลงั อธบิ ายและคานวณ เคล่อื นที่ พลังงานศักย์ กาลังเฉลี่ยได้ เป็นพลงั งานท่เี กยี่ วข้อง 2. อธบิ ายและคานวณ กับตาแหนง่ หรือรปู รา่ ง พลังงานจลน์ พลังงาน ของวตั ถุ ซ่งึ แบง่ ออก ศกั ย์ พลังงานกล เปน็ พลงั งานศักยโ์ นม้ ทดลองหาความ ถว่ ง และพลงั งานศักย์ สมั พันธร์ ะหวา่ งงานกับ ยืดหยุ่น โดยพลงั งานกล พลงั งานจลน์ ความ เป็นผลรวมของ สัมพันธ์ระหว่างงานกบั พลังงานจลน์และ พลงั งานศักย์โนม้ ถ่วง พลงั งานศักย์ ซง่ึ งาน ความสัมพันธ์ระหวา่ ง และพลงั งานมคี วาม ขนาดของแรงทีใ่ ชด้ งึ สมั พันธก์ ันโดยงานของ สปริงกับระยะที่สปริง แรงลัพธ์เท่ากับพลังงาน ยืดออกและความ จลนข์ องวตั ถุท่ี สมั พนั ธ์ระหว่างงานกบั เปลี่ยนไป พลังงาน

127 พลังงานศักยย์ ืดหย่นุ ตา่ ง ๆ สามารถ รวมทั้งอธบิ ายความ เปลี่ยนเปน็ อกี พลงั งาน สัมพนั ธร์ ะหว่าง งาน หนง่ึ ไดแ้ ต่ผลรวมของ ของแรงลัพธแ์ ละ พลังงานยังคงเดิม ซง่ึ พลงั งานจลน์ และ เป็นไปตามกฎการ คานวณงานทเ่ี กดิ ข้นึ อนรุ ักษ์พลงั งาน โดย จากแรงลัพธ์ได้ กฎการอนรุ ักษ์พลงั งาน 3. อธบิ ายกฎการ กลใช้อธบิ ายการ อนรุ กั ษ์พลังงานกล เคลื่อนท่ีของวัตถุ เชน่ รวมท้ังวิเคราะห์ และ การเคลอื่ นทีข่ องวงกลม คานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ในระนาบด่ิง ทเ่ี กีย่ วข้อง กับการ การเคล่อื นท่ขี องวัตถุท่ี เคลือ่ นท่ีของวตั ถใุ น ติดสปรงิ การเคลื่อนที่ สถานการณ์ต่าง ๆ โดย ภายใตส้ นามโน้มถ่วง ใช้กฎการอนรุ ักษ์ ของโลก เป็นต้น พลังงานกลได้ เครอ่ื งกลเปน็ อุปกรณท์ ่ี 4. อธิบายการทางาน ช่วยให้การทางาน ประสทิ ธิภาพ และ สะดวกขึ้นหรืองา่ ยขน้ึ การได้เปรยี บเชงิ กล หรือช่วยในการผอ่ นแรง ของเครอื่ งกลอยา่ ง เครื่องกลทจี่ ัดเปน็ ง่ายบางชนดิ โดยใช้ เคร่ืองกลอย่างง่าย ความรเู้ รอ่ื งงานและ ไดแ้ ก่ คาน รอก พ้นื สมดลุ กล รวมทัง้ เอยี ง ลิ่ม สกรู และ ล้อ คานวณประสทิ ธภิ าพ กบั เพลา โดยการทางาน และการได้เปรยี บ ใช้หลกั การของงาน เชิงกลได้ และสมดลุ กลประกอบ การพจิ ารณา ประสทิ ธิภาพและการ ได้เปรียบเชิงกลของ เครอ่ื งกล 2 โมเมนตมั และ มาตรฐาน ว 2.2 วัตถุท่เี คลอ่ื นทจ่ี ะมี 26 การชน เข้าใจธรรมชาตขิ อง โมเมนตมั ซ่งึ เปน็ แรงในชวี ิตประจาวนั ปรมิ าณเวกเตอร์มีคา่

128 ผลของแรงทีก่ ระทาต่อ เทา่ กบั ผลคูณระหวา่ ง วตั ถุ ลักษณะการ มวลกบั ความเร็ว เคลอ่ื นทแ่ี บบตา่ ง ๆ ของวัตถุ เมอื่ มแี รงลพั ธ์ ของวตั ถุ รวมท้งั นา กระทาต่อวตั ถุจะทาให้ ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ โมเมนตมั เปลี่ยนไป โดย แรงลัพธ์ทีก่ ระทากับ ผลการเรียนรู้ วตั ถุเท่ากับอตั ราการ 5. อธบิ ายและคานวณ เปลีย่ นโมเมนตมั ของ โมเมนตัมของวตั ถุ วัตถุ แรงลพั ธท์ ่ีกระทา และการดลจากสมการ ต่อวัตถุในเวลาส้นั ๆ และพน้ื ทใี่ ตก้ ราฟ เรียกวา่ แรงดล โดยผล ความสัมพันธ์ระหว่าง คูณของแรงดลกบั เวลา แรงกับเวลารวมทง้ั เรยี กว่า การดล ซง่ึ อธิบายความสัมพนั ธ์ การดล อาจหาไดจ้ าก ระหว่างแรงดลกบั พ้ืนที่ใต้กราฟระหว่าง โมเมนตมั ได้ แรงดลกับเวลา เม่ือวัตถุ 6. ทดลอง อธบิ าย และ ชนกัน โมเมนตัมก่อน คานวณปริมาณตา่ ง ๆ การชนของระบบ ท่ีเกีย่ วกบั การชนของ เทา่ กับโมเมนตัมหลัง วตั ถใุ นหนึ่งมิตทิ ้ังแบบ การชนของระบบ ยดื หยุ่น ไมย่ ืดหยนุ่ เป็นไปตามกฎการ และการดีดตวั แยกจาก อนรุ กั ษ์โมเมนตมั ซ่ึงใน กนั ในหน่งึ มติ ิซึ่งเป็นไป การชนกันของวตั ถทุ ี่ ตามกฎการอนุรกั ษ์ พลงั งานจลนข์ องระบบ โมเมนตมั ได้ มคี ่า คงตวั เปน็ การชน แบบยดื หยนุ่ สว่ นการ ชนท่พี ลงั งานจลน์ของ ระบบไม่คงตวั เปน็ การ ชนแบบไม่ยดื หย่นุ โดย กฎการอนุรักษ์ โมเมนตมั ชว่ ยในการ อธบิ ายการชนและการ ระเบิดของวตั ถุ

129 3 สภาพสมดลุ มาตรฐาน ว 2.2 สมดลุ กลเป็นสภาพท่ี 30 เข้าใจธรรมชาติของ วัตถุรักษาสภาพการ แรงในชวี ิตประจาวนั เคล่อื นทใี่ ห้คงเดิมหรือ ผลของแรงทีก่ ระทาต่อ หยุดนิง่ (สมดุลสถติ ) วัตถุ ลักษณะการ หรือเคล่อื นทีด่ ว้ ย เคลอื่ นทแ่ี บบต่าง ๆ ความเรว็ คงตวั หรอื หมนุ ของวตั ถุ รวมท้ังนา ดว้ ยความเร็วเชงิ มมุ คง ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ตวั (สมดุลจลน์) วตั ถทุ ี่ สมดุลต่อการเลื่อนท่ีคือ หยุดนิง่ หรือเคลื่อนท่ี ดว้ ยความเร็วคงตัว ผลการเรียนรู้ เมอื่ แรงลัพธท์ ี่กระทา 7. อธบิ ายสมดลุ กลของ ต่อวัตถเุ ป็นศูนย์ และ วตั ถุ โมเมนต์ และ วตั ถุจะสมดลุ ต่อการ ผลรวม ของโมเมนต์ที่มี หมนุ คือไม่หมุนหรือ ต่อการหมุน แรงคู่ควบ หมุนด้วยความเร็ว และผลของแรงคู่ควบท่ี เชงิ มุมคงตัวเมื่อผลรวม มีตอ่ สมดลุ ของวตั ถุ ของโมเมนตท์ ก่ี ระทาตอ่ เขยี นแผนภาพของแรง วตั ถเุ ปน็ ศูนย์ เมื่อมีแรง ทก่ี ระทาต่อวตั ถอุ ิสระ คูค่ วบกระทาต่อวัตถุ เมอื่ วตั ถุอยู่ในสมดลุ กล แรงลัพธ์จะเท่ากบั ศูนย์ และคานวณปริมาณ ทาให้วัตถสุ มดุลต่อการ ตา่ ง ๆ ทเ่ี กี่ยวข้อง เลอ่ื นท่แี ต่ไม่สมดลุ ต่อ รวมทงั้ ทดลองและ การหมนุ การเขียน อธบิ ายสมดุลของแรง แผนภาพของแรงที่ สามแรงได้ กระทาตอ่ วตั ถุอิสระ 8. สงั เกตและอธิบาย สามารถนามาใชใ้ นการ สภาพการเคลื่อนท่ี พจิ ารณาแรงลพั ธ์และ ของวัตถุ เม่อื แรงที่ ผลรวมของโมเมนต์ท่ี กระทาตอ่ วัตถผุ ่าน กระทาตอ่ วตั ถเุ มอื่ วตั ถุ ศูนยก์ ลางมวลของวัตถุ อยู่ในสมดลุ กล เมื่อออก และผลของศูนยถ์ ว่ งท่มี ี แรงกระทาต่อวตั ถทุ ีว่ าง ต่อเสถียรภาพของวตั ถุ บนพ้นื ท่ีไม่มแี รงเสียด

130 ได้ ทานในแนวระดับ ถ้า แนวแรงนน้ั กระทาผ่าน ศนู ย์กลางมวลของวตั ถุ วัตถจุ ะเคลื่อนท่ีแบบ เลือ่ นท่โี ดยไม่หมนุ วตั ถุทีอ่ ย่ใู นสนามโน้ม ถ่วงสมา่ เสมอ ศูนยก์ ลางมวลและศนู ย์ ถว่ งอยทู่ ีต่ าแหนง่ เดียวกัน โดยศนู ย์ถว่ ง ของวัตถุมีผลตอ่ เสถียรภาพของวัตถุ โครงสร้างรายวชิ า เคมี 1 ภาคเรยี นที่ 1 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 ชื่อหน่วย สาระ/ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั นา้ หนัก อตั ราสว่ น ลาดบั การ เวลา/ คะแนน ระหวา่ ง สาระเคมี - การทาปฏิบตั กิ ารเคมี (ชม.) เรียนกับ เรยี นรู้ 1. เข้าใจโครงสรา้ งอะตอม การ ตอ้ งคานึงถงึ ความปลอดภยั จดั เรยี งธาตใุ นตารางธาตุ สมบตั ิ ความถูกตอ้ ง และความเปน็ สอบ 1. ปฏิบตั ิการ ของธาตุพันธะเคมีและสมบัติของ มติ รตอ่ สิ่งแวดล้อม เคมี สาร แกส๊ และสมบตั ิของแกส๊ 12 20 70:30 เบ้ืองต้น ประเภทและสมบตั ขิ อง - การทาปฏิบตั ิการเคมี สารประกอบอินทรยี ์และพอลิ ตอ้ งมีการเลอื กและใช้ เมอร์ รวมทง้ั การนาความรู้ไปใช้ อปุ กรณ์ในการทาปฏิบัตกิ าร ประโยชน์ อยา่ งเหมาะสม และเพื่อใหม้ ี 3. เขา้ ใจหลกั การทาปฏบิ ัตกิ าร มาตรฐานเดยี วกัน จงึ มีการ เคมี การวดั ปรมิ าณสาร หนว่ ยวดั กาหนดหนว่ ยในระบบเอสไอ และการเปลี่ยนหนว่ ย ให้เปน็ หน่วยสากล การคานวณปริมาณของสาร

131 ชื่อหน่วย สาระ/ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั น้าหนัก อตั ราสว่ น ลาดบั การ เวลา/ คะแนน ระหว่าง ความเข้มข้นของสารละลาย (ชม.) เรียนกบั เรยี นรู้ รวมทั้งการบรู ณาการ ความรู้และทักษะในการอธบิ าย สอบ ปรากฏการณใ์ นชีวิตประจาวัน และการแก้ปัญหาทางเคมี ผลการเรยี นรู้ 1. บอกและอธิบายขอ้ ปฏบิ ัติ เบื้องต้น และปฏิบตั ิตนทแ่ี สดงถงึ ความตระหนักในการทา ปฏิบตั กิ ารเคมเี พ่ือให้มีความ ปลอดภยั ทง้ั ต่อตนเอง ผอู้ ่ืน และ สง่ิ แวดลอ้ ม และเสนอแนว ทางแก้ไขเมือ่ เกิดอุบัติเหตุ 2. เลอื กและใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือ ในการทาปฏิบัติการ และวดั ปรมิ าณตา่ งๆ ได้อยา่ งเหมาะสม 3. นาเสนอแผนการทดลอง ทดลอง และเขียนรายงานการทดลอง 4. ระบหุ นว่ ยวดั ปรมิ าณต่าง ๆ ของ สาร และเปลย่ี นหน่วยวัดให้เปน็ หนว่ ยในระบบเอสไอด้วยการใช้ แฟกเตอร์เปลี่ยนหนว่ ย 2. อะตอม 5. สบื คน้ ขอ้ มูลสมมตฐิ านการทดลอง - นกั วทิ ยาศาสตรศ์ ึกษา 24 และ หรือผลการทดลองที่เป็นประจักษ์ โครงสร้างของอะตอม และ ตารางธาตุ พยานในการเสนอแบบจาลอง เสนอแบบจาลองอะตอมแบบ อะตอมของนักวิทยาศาสตร์ และ ต่าง ๆ จากการศึกษาข้อมูล อธบิ ายวิวัฒนาการของ การสังเกต การตั้งสมมตฐิ าน แบบจาลองอะตอม และผลการทดลอง

132 ช่อื หน่วย นา้ หนัก อตั ราส่วน ลาดับ การ สาระ/ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา/ คะแนน ระหว่าง เรยี นรู้ (ชม.) เรยี นกับ 6.เขยี นสัญลักษณน์ วิ เคลยี รข์ องธาตุ และระบุจานวนโปรตอน สอบ นวิ ตรอน และอิเลก็ ตรอนของ อะตอมจากสญั ลักษณ์นิวเคลียร์ - สัญลักษณ์นิวเคลยี ร์ รวมทัง้ บอกความหมายของ ไอโซโทป ของธาตปุ ระกอบดว้ ย 7. อธบิ ายและเขยี นการจดั เรียง สญั ลกั ษณธ์ าตุ เลขอะตอม อิเลก็ ตรอนในระดับพลังงานหลัก และระดับพลังงานย่อยเม่ือทราบ และเลขมวล เลขอะตอมของธาตุ - อเิ ล็กตรอนจัดเรยี งอยู่ 8. ระบุหมู่ คาบ ความเปน็ โลหะ อโลหะ และก่ึงโลหะ ของธาตุ รอบ ๆ นวิ เคลียสในระดบั เรพรีเซนเททีฟ และธาตุแทรนซิ ชนั ในตารางธาตุ พลังงานหลักต่าง ๆ และแต่ 9. วเิ คราะห์และบอกแนวโน้มสมบัติ ละระดับพลงั งานหลกั ยัง ของธาตุเรพรเี ซนเททฟี ตามหมู่ และตามคาบ แบง่ เปน็ ระดบั พลังงานย่อย 10. บอกสมบตั ิของธาตุโลหะแทรนซิ - ตารางธาตุในปจั จุบนั ชัน และเปรียบเทียบสมบตั ิกับ ธาตุโลหะในกลมุ่ ธาตุเรพรีเซนเท จดั เรยี งธาตุตามเลขอะตอม ทีฟ และสมบัตทิ ่ีคลา้ ยคลงึ กันเปน็ 11. อธบิ ายสมบตั ิและคานวณครง่ึ ชีวิตของไอโซโทปกัมมนั ตรงั สี หมูแ่ ละคาบ 12. สบื คน้ ขอ้ มลู และยกตัวอย่างการ - ธาตุเรพรีเซนเททีฟมี นาธาตมุ าใชป้ ระโยชน์ รวมทงั้ ผลกระทบต่อสง่ิ มีชวี ิตและ สมบัติทางเคมคี ลา้ ยคลงึ กัน สิ่งแวดลอ้ ม ตามหมู่ - ธาตแุ ทรนซชิ นั เป็น โลหะ มีขนาดอะตอม ใกล้เคยี งกนั มีจุดเดือด จดุ หลอมเหลว และความ หนาแนน่ สูง เม่ือเกิดเป็น สารประกอบสว่ นใหญจ่ ะมีสี - ธาตกุ มั มันตรังสีเปน็ ธาตทุ ี่ทุกไอโซโทปสามารถแผ่ รังสไี ด้ โดยครึง่ ชีวติ ของ ไอโซโทปกัมมนั ตรังสีเป็น ระยะเวลาที่ - ไอโซโทปกัมมันตรงั สี

133 ชื่อหน่วย นา้ หนกั อตั ราสว่ น ลาดับ การ สาระ/ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา/ คะแนน ระหวา่ ง เรียนรู้ (ชม.) เรยี นกับ 13. อธบิ ายการเกิดไอออนและการ 3. พนั ธะเคมี เกิดพันธะไอออนกิ โดยใช้ สอบ แผนภาพ หรือสัญลักษณ์แบบจุด ของลิวอสิ สลายตัวจนเหลือครึ่งหนงึ่ 14. เขยี นสูตรและเรยี กช่ือ ของปริมาณเดิม สารประกอบ ไอออนิก - สมบตั ิบางประการของ 15. คานวณพลงั งานทเี่ ก่ียวข้องกบั ปฏิกิรยิ าการเกิดสารประกอบไอ ธาตุแตล่ ะชนิด ทาให้สามารถ ออนิกจากวัฏจกั รบอรน์ -ฮาเบอร์ นาธาตุไปใช้ประโยชน์ในดา้ น 16. อธบิ ายสมบตั ขิ องสารประกอบไอ ออนิก ต่าง ๆ ได้หลากหลาย 17. เขยี นสมการไอออนิก และสมการ -การเกิดพนั ธะเคมสี ่วน 24 40 ไอออนิกสทุ ธขิ องปฏิกริ ยิ าของ ใหญ่เป็นไปตามกฎออกเตต สารประกอบไอออนิก - พันธะไอออนกิ เกดิ จาก 18. อธิบายการเกิดพันธะโคเวเลนต์ แบบพนั ธะเดี่ยว พันธะคู่ และ การยึดเหน่ียวระหว่างประจุ พันธะสาม ด้วยโครงสร้างลวิ อิส ไฟฟา้ ของไอออนบวกของ 19. เขยี นสูตรและเรียกชื่อสารโคเว เลนต์ โลหะกับไอออนลบของ 20. วเิ คราะห์และเปรียบเทยี บความ อโลหะ ยาวพันธะ และพลงั งานพันธะใน สาร โคเวเลนต์ รวมท้งั คานวณ - สารประกอบไอออนิก พลงั งานท่ีเกีย่ วข้องกับปฏกิ ิริยา เขยี นแสดงสูตรเคมโี ดยใช้ สญั ลักษณ์ธาตทุ ี่เปน็ ไอออน บวกไว้ดา้ นหน้าตามดว้ ย สญั ลกั ษณธ์ าตุทเ่ี ป็นไอออน ลบ และมตี ัวเลขแสดง อตั ราสว่ นอย่างต่าของจานวน ไอออน - การเรยี กช่อื สารประกอบไอออนกิ ให้ เรยี กชื่อไอออนบวกตามด้วย ช่ือไอออนลบ - ปฏกิ ริ ิยาการเกิด สารประกอบไอออนกิ แสดง ได้ด้วยวฏั จักรบอร์น-ฮาเบอร์ - สารประกอบไอออนิก

134 ชอื่ หน่วย สาระ/ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั นา้ หนัก อตั ราส่วน ลาดับ การ เวลา/ คะแนน ระหว่าง (ชม.) เรียนกับ เรียนรู้ สอบ ของสารโคเวเลนตจ์ ากพลงั งาน สว่ นใหญ่เป็นของแขง็ มีจดุ พนั ธะ เดือดและจุดหลอมเหลวสงู 21. คาดคะเนรูปรา่ งโมเลกลุ โคเว เม่ือเปน็ ของแขง็ ไมน่ าไฟฟ้า เลนต์โดยใช้ทฤษฎีการผลัก แตเ่ มอื่ หลอมเหลวหรอื ระหวา่ งคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ ละลายนา้ จะนาไฟฟา้ ได้ และ และระบุสภาพขว้ั ของโมเลกลุ สารละลายของสารประกอบ โคเวเลนต์ ไอออนิกแสดงสมบัตคิ วาม 22. ระบุชนดิ ของแรงยดึ เหนีย่ ว เป็นกรด-เบสตา่ งกนั ระหว่างโมเลกลุ โคเวเลนต์ และ - พันธะโคเวเลนตเ์ กิด เปรียบเทียบจดุ หลอมเหลว จุด จากใช้เวเลนซ์อเิ ล็กตรอน เดอื ด และการละลายน้าของสาร รว่ มกนั ของอโลหะ โคเวเลนต์ - โดยทั่วไปสตู รโมเลกลุ 23. สืบค้นขอ้ มลู และอธิบายสมบัติ ของสารโคเวเลนต์เขียนแสดง ดว้ นสญั ลกั ษณข์ องธาตุ และ ของสาร โคเวเลนตโ์ ครงรา่ งตา มีตวั เลขแสดงจานวนอะตอม ขา่ ยชนดิ ตา่ ง ๆ ของธาตทุ ี่มีมากกว่า 1 24. อธิบายการเกิดพันธะโลหะและ อะตอม และการเรียกชอ่ื สาร สมบตั ขิ องโลหะ โคเวเลนตท์ าได้โดยเรียกชอ่ื 25. เปรยี บเทยี บสมบัติบางประการ ธาตุทอ่ี ยหู่ น้าก่อนแลว้ ตาม ของสารประกอบไอออนิก สาร ดว้ ยชื่อธาตุท่ีอยู่ถัดมา และมี โคเวเลนต์ และโลหะ สืบค้นข้อมลู คานาหน้าระบจุ านวนอะตอม และนาเสนอตวั อย่างการใช้ ของธาตุ ประโยชนข์ องสารประกอบไอออ นกิ สารโคเวเลนต์ และโลหะได้ - ความยาวพันธะและ อยา่ งเหมาะสม พลงั งานพันธะในสารโคเว เลนต์ขึน้ กับชนดิ ของอะตอมคู่ รว่ มพันธะและชนิดของพันธะ - รปู ร่างของโมเลกุลโคเว เลนตข์ ้ึนอยู่กับจานวนพนั ธะ

135 ชอื่ หน่วย สาระ/ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั น้าหนกั อตั ราสว่ น ลาดับ การ เวลา/ คะแนน ระหว่าง (ชม.) เรยี นกบั เรียนรู้ สอบ และจานวนอิเลก็ ตรอนคโู่ ดด เด่ียวรอบอะตอมกลาง และ สภาพข้ัวของโมเลกุลโคเว เลนตเ์ ป็นผลรวมปริมาณ เวกเตอรส์ ภาพขว้ั ของแตล่ ะ พันธะตามรปู ร่างโมเลกลุ - แรงยึดเหนย่ี วระหว่าง โมเลกลุ มีผลตอ่ จดุ หลอมเหลว จดุ เดอื ด และ การละลายนา้ ของสาร โดยสารโคเวเลนต์จะมีจุด หลอมเหลวและจดุ เดือดตา่ และไมล่ ะลายนา้ - สารโคเวเลนต์บางชนิด ท่ีมีโครงสร้างโมเลกลุ ขนาด ใหญ่ และมีพันธะโคเวเลนต์ ตอ่ เน่อื งเปน็ โครงร่างตาขา่ ย จะมจี ุดหลอมเหลวและจุด เดือดสูง - พนั ธะโลหะเกิดจาก เวเลนซ์อเิ ล็กตรอนของทุก อะตอมของโลหะเคล่อื นที่ อยา่ งอสิ ระไปทว่ั ท้งั โลหะและ เกดิ แรงยึดเหนี่ยวกบั โปรตอน ในนิวเคลียสทุกทิศทาง - โลหะส่วนใหญ่เป็น ของแข็ง ผิวมนั วาว จุด หลอมเหลวและจุดเดือดสูง

136 ชอ่ื หน่วย สาระ/ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั น้าหนัก อัตราส่วน ลาดับ การ เวลา/ คะแนน ระหวา่ ง นาไฟฟา้ และความร้อนได้ดี (ชม.) เรยี นกับ เรียนรู้ - สารประกอบไอออนิก สอบ สารโคเวเลนต์ และโลหะ มี สมบัตเิ ฉพาะตวั บางประการ ทีแ่ ตกต่างกนั จงึ นามาใช้ ประโยชนใ์ นด้าน ต่าง ๆ ได้ ตามความเหมาะสม โครงสร้างรายวิชา เคมี ภาคเรยี นที่ 2 ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4 ลาดับ ช่ือหน่วยการ สาระ/ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา/ น้าหนกั อตั ราสว่ น เรียนรู้ (ชม.) คะแนน ระหวา่ ง เรยี นกับ 1. ปริมาณสัมพนั ธ์ สาระเคมี - มวลอะตอมของธาตเุ ป็นมวล 17 30 สอบ 70:30 2. เขา้ ใจการเขียนและการดลุ ของธาตุ 1 อะตอม และมวล สมการเคมี ปริมาณ อะตอมเฉลยี่ ของธาตุเป็นค่าเฉล่ีย สัมพนั ธใ์ นปฏกิ ิรยิ าเคมี จากค่ามวลอะตอมของแตล่ ะ อัตราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี ไอโซโทปของธาตชุ นดิ น้นั ตาม สมดุลในปฏิกริ ิยาเคมี ปรมิ าณที่มใี นธรรมชาติ สมบตั แิ ละปฏิกริ ิยาของ - มวลโมเลกลุ เป็นผลรวมของ กรด–เบส ปฏิกิรยิ ารดี อกซ์ มวลอะตอมเฉล่ยี ของธาตุที่เป็น และเซลลเ์ คมีไฟฟ้า รวมท้ัง องค์ประกอบของสาร การนาความรู้ไปใช้ - สาร 1 โมล มี 6.02 × 1023 ประโยชน์ อนุภาค มมี วลเท่ากบั มวลอะตอม 3. เข้าใจหลกั การทา หรือมวลโมเลกลุ ของสารนน้ั และ

137 อตั ราส่วน ลาดบั ช่อื หน่วยการ สาระ/ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา/ นา้ หนัก ระหว่าง เรียนรู้ (ชม.) คะแนน เรียนกับ สอบ ปฏบิ ัตกิ ารเคมี การวดั สารทมี่ ีสถานะเปน็ แกส๊ 1 โมล จะ ปรมิ าณสาร หนว่ ยวัดและ มีปรมิ าตรเทา่ กับ 22.4 ลกู บาศก์ การเปลย่ี นหนว่ ยการ เดซิเมตรที่ STP คานวณปริมาณของสาร - สารประกอบเกดิ จากธาตุ ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย ตง้ั แต่ 2 ชนิดขึน้ ไปมารวมตัวกนั รวมทั้งการบรู ณาการ โดยมอี ัตราส่วนโดยมวลตามกฎ ความรู้และทักษะในการ สดั ส่วนคงท่ีสูตรเคมีสามารถแสดง อธิบายปรากฏการณใ์ น ไดด้ ว้ ยสูตรอย่างงา่ ย และสตู ร ชีวิตประจาวันและการ โมเลกุล แกป้ ญั หาทางเคมี ผลการเรยี นรู้ 1. บอกความหมายของมวล อะตอมของธาตุ และ คานวณมวลอะตอมเฉลยี่ ของธาตุ มวลโมเลกลุ และ มวลสูตรได้ 2. อธบิ ายและคานวณ ปริมาณใดปริมาณหน่ึงจาก ความสมั พนั ธข์ องโมล จานวนอนุภาค มวล และ ปริมาตรของแกส๊ ท่ี STP ได้ 3. คานวณอตั ราสว่ นโดยมวล ของธาตุองค์ประกอบของ สารประกอบตามกฎ สดั ส่วนคงที่ได้ 4. คานวณสตู รอย่างง่ายและ สูตรโมเลกลุ ของสารได้

138 ลาดบั ชื่อหน่วยการ สาระ/ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา/ น้าหนัก อตั ราสว่ น เรยี นรู้ (ชม.) คะแนน ระหวา่ ง เรยี นกบั 40 สอบ 2. สารละลาย 5. คานวณความเข้มข้นของ - การบอกปริมาณของสารใน 17 30 26 สารละลายในหน่วยต่าง ๆ สารละลายสามารถบอกเปน็ ความ ได้ เข้มขน้ 6. อธิบายวธิ ีการและเตรียม - การเตรียมสารละลายสามารถ สารละลายให้มีความ ทาได้โดยการเตรียมจากสาร เข้มข้นในหนว่ ยโมลาริตี บริสทุ ธ์ิและเตรียมจากสารละลาย และปรมิ าตรสารละลาย เขม้ ข้น ตามทกี่ าหนดได้ - สารละลายมีจุดเดือดและจุด 7. เปรยี บเทยี บจดุ เดือดและ เยอื กแข็งแตกต่างจากสารบริสุทธิ์ จุดเยือกแขง็ ของ ท่ีเป็นตวั ทาละลาย สารละลายกับสารบรสิ ุทธ์ิ รวมทัง้ คานวณจุดเดือด และจุดเยือกแขง็ ของ สารละลายได้ 3. ปริมาณสมั พนั ธ์ 8. แปลความหมายสัญลักษณ์ - ปฏิกริ ยิ าเคมเี ปน็ การ ในปฏกิ ิรยิ าเคมี ในสมการเคมี เขยี นและดุล เปลี่ยนแปลงท่ีมสี ารใหม่เกดิ ข้ึน สมการเคมีของปฏิกิรยิ าเคมี เขียนแสดงไดด้ ว้ ยสมการเคมี บางชนิดได้ - เลขสมั ประสิทธิใ์ นสมการ 9. คานวณปริมาณของสารใน เคมสี ามารถนามาใช้ในการคานวณ ปฏกิ ริ ยิ าเคมที ี่เก่ยี วข้องกบั ปรมิ าณของสารทีเ่ กยี่ วข้องกับมวล มวลสารได้ ความเข้มขน้ ของสารละลาย และ 10. คานวณปรมิ าณของสารใน ปรมิ าตรของแกส๊ ได้ ปฏกิ ิรยิ าเคมที ่ีเกย่ี วข้องกบั - ความสัมพันธข์ องโมลสารตั้ง ความเข้มข้นของสารละลาย ตน้ และผลิตภณั ฑใ์ นปฏิกริ ิยาเคมี ได้ หลายข้นั ตอน พิจารณาไดจ้ ากเลข 11.คานวณปริมาณของสารใน สัมประสิทธขิ์ องสมการเคมรี วม ปฏกิ ิรยิ าเคมที ีเ่ กย่ี วข้องกบั - ปฏกิ ริ ิยาเคมที ่ีสารต้ังต้นทา ปริมาตรแกส๊ ได้ ปฏิกริ ยิ าไม่พอดีกัน สารต้ังต้นที่ทา 12.คานวณปริมาณของสารใน ปฏิกริ ยิ าหมดก่อน เรยี กว่า สาร

139 อตั ราสว่ น ลาดบั ช่อื หน่วยการ สาระ/ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา/ น้าหนกั ระหว่าง เรียนรู้ (ชม.) คะแนน เรียนกบั สอบ ปฏิกิริยาเคมีหลายข้ันตอน กาหนดปริมาณ ได้ - คา่ เปรียบเทยี บผลได้จริงกับ 13. ระบุสารกาหนดปริมาณ ผลไดต้ ามทฤษฎเี ป็นร้อยละ และคานวณปริมาณสาร เรียกวา่ ผลได้ร้อยละ ตา่ ง ๆ ในปฏิกิริยาเคมีได้ 14. คานวณผลไดร้ อ้ ยละของ ผลติ ภณั ฑ์ในปฏิกิรยิ าเคมี ได้

140 โครงสรา้ งรายวิชาชีววิทยาเพ่ิมเติม 1 ภาคเรียนที่ 1 ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 4 ลาดับ ชอื่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั อัตราสว่ น ที่ การเรยี นรู้ (ช่ัวโมง) คะแนน ระหว่าง เรยี นกับ 1 ธรรมชาติของ 1. อธบิ ายและสรุปสมบัติที่ สิง่ มชี วี ติ ทุกชนิดต้องการ 20 30 สอบ สิ่งมชี ีวิต สาคญั ของสิ่งมีชีวิต และ สารอาหารและพลังงานมี 70:30 ความสัมพันธ์ของการจดั ระบบ การเจรญิ เติบโต มกี าร ในส่งิ มชี ีวิตที่ทาใหส้ ง่ิ มชี ีวติ ตอบสนองต่อสง่ิ เร้า มีการ ดารงชวี ิตอย่ไู ด้ รกั ษาดลุ ยภาพของรา่ งกายมี 2. อภปิ รายและบอก การสบื พันธ์มุ ีการปรับตัว ความสาคัญของการระบุ ทางววิ ัฒนาการ และมีการ ปญั หาความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง ทางานร่วมกนั ของ ปญั หากับสมมตฐิ านและ องค์ประกอบต่าง ๆ อยา่ ง วธิ กี ารตรวจสอบสมมตฐิ าน เป็นระบบ รวมทัง้ ออกแบบการทดลอง วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เพ่ือตรวจสอบสมมติฐาน เรม่ิ จากการตั้งปัญหา ตง้ั สมมตฐิ านตรวจสอบ สมมติฐานเก็บรวบรวม ขอ้ มูลวเิ คราะหข์ ้อมลู และ สรปุ ผล ซ่ึงการศกึ ษา สิ่งมีชวี ติ ตอ้ งคานึงถงึ ชวี จริย ธรรม จรรยาบรรณในการใช้ สัตว์ทดลอง

141 โครงสรา้ งรายวิชาชีววิทยาเพมิ่ เตมิ 1 ภาคเรยี นท่ี 1 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 ลาดบั ช่ือหน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก อตั ราสว่ น ที่ การเรยี นรู้ (ชั่วโมง) คะแนน ระหวา่ ง เรยี นกบั 35 สอบ 2 เคมีเป็น 5. สบื คน้ ขอ้ มูลอธิบายเก่ียวกบั ร่างกายสิ่งมชี วี ิตมีน้าเป็น 20 พื้นฐานของ สมบัตขิ องน้า และบอก องคป์ ระกอบมากทสี่ ดุ ซึ่งนา้ สิง่ มีชีวิต มีสมบตั ชิ ่วยรักษาดุลยภาพ ความสาคัญของน้าท่มี ตี ่อ ของเซลล์ สงิ่ มชี ีวิตยกตวั อย่างธาตุ ตา่ งๆทีม่ ีความสาคญั ต่อ ร่างกายของสิง่ มชี ีวิต ร่างกายส่งิ มีชีวิต ประกอบไปดว้ ยสารอนิ ทรยี ์ 6. สบื ค้นข้อมลู อธบิ าย ท้ังคาร์โบไฮเดรต โปรตีน โครงสรา้ งของคารโ์ บไฮเดรต ลิพิด และกรดนวิ คลีอิก ระบกุ ล่มุ คารโ์ บไฮเดรต ปฏกิ ริ ิยาเคมีในเซลล์ รวมทงั้ ความสาคัญของ ส่งิ มชี ีวติ จะดาเนนิ ไปได้ อย่างรวดเร็วจาเปน็ ต้อง คาร์โบไฮเดรตที่มีต่อ อาศัยเอนไซมช์ ว่ ยเร่งซ่งึ สิ่งมชี วี ิต อณุ หภมู ิสภาพความเป็น 7. สบื คน้ ข้อมูลอธบิ าย กรด-เบสและตวั ยบั ยั้ง โครงสร้างของโปรตีนและ เอนไซมเ์ ป็นปัจจยั ท่ีมีผลตอ่ ความสาคญั ของโปรตีนท่ีมี การทางานของเอนไซม์ ต่อส่งิ มีชีวติ 8. สืบค้นขอ้ มูลอธิบาย โครงสร้างของลิพดิ และ ความสาคญั ของลิพิดต่อ สิง่ มชี วี ิต 9. อธิบายโครงสร้างของกรด นิวคลีอกิ และระบชุ นดิ ของ กรดนิวคลีอิกและ ความสาคญั ของกรด นิวคลีอกิ ท่ีมตี ่อสิง่ มีชีวติ

142 โครงสรา้ งรายวชิ าชีววิทยาเพิม่ เตมิ 1 ภาคเรยี นที่ 1 ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 ลาดับ ชอ่ื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก อตั ราสว่ น ที่ การเรียนรู้ (ชัว่ โมง) คะแนน ระหวา่ ง เรยี นกบั สอบ 6. สบื คน้ ข้อมลู และอธิบาย ปฏกิ ิรยิ าเคมที ี่เกดิ ขึ้นใน สิง่ มีชวี ติ อธิบายการทางาน ของเอนไซม์ในการเรง่ ปฏกิ ิรยิ าเคมีในส่งิ มชี วี ติ และ ระบปุ จั จยั ท่ีมผี ลต่อการทางาน ของเอนไซม์ 3 เซลล์ของ 1. บอกวธิ ีการและเตรยี ม กลอ้ งจลุ ทรรศน์เปน็ 20 35 ส่ิงมชี ีวิต ตวั อยา่ งส่ิงมีชวี ติ เพ่ือศึกษา เครอื่ งมอื ท่ีใชศ้ กึ ษาสง่ิ มชี ีวติ ภายใต้กล้องจลุ ทรรศนใ์ ชแ้ สง ขนาดเล็กที่ไม่สามารถเหน็ วัดขนาดโดยประมาณและ ได้ดว้ ยตาเปลา่ วาดภาพทป่ี รากฏภายใต้ เซลลเ์ ป็นหนว่ ยพื้นฐานท่ี กลอ้ งบอกวธิ ีการใชแ้ ละการ เลก็ ที่สดุ ของสิ่งมชี ีวติ ดแู ลรักษากล้องจุลทรรศน์ใช้ โครงสร้างพน้ื ฐานของเซลล์ แสงทถี่ กู ตอ้ ง ประกอบด้วยส่วนทห่ี อ่ หมุ้ 2. อธิบายโครงสรา้ งและ เซลลไ์ ซโทพลาซึมและ หนา้ ท่ีของส่วนท่ีหอ่ ห้มุ เซลล์ นวิ เคลยี ส สารตา่ งๆ มกี าร ของเซลล์พชื และเซลล์สตั ว์ เคลอ่ื นที่เขา้ และออกจาก 3. สืบค้นขอ้ มลู อธิบาย และ เซลล์ โดยกระบวนการแพร่ ระบชุ นิดและหนา้ ทข่ี องออร์ การออสโมซิส การแพร่ แกเนลล์ แบบฟาซลิ เทต แอก 4. อธิบายโครงสรา้ งและ ทีฟทรานสปอรต์ เอกโซไซ หนา้ ทข่ี องนิวเคลียส โทซสิ เอนไซโทซิส


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook