Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตร-ม.ปลายใหม่

หลักสูตร-ม.ปลายใหม่

Published by apple.workjaaa, 2019-11-11 21:21:08

Description: หลักสูตร-ม.ปลายใหม่

Keywords: curriculum,หลักสูตรสถานศึกษา,พระบางวิทยา

Search

Read the Text Version

293 ทางานของอุปกรณต์ ่าง บนสายกระแสเดียวกนั ๆ ของของไหลอุดมคติท่ี ไหลอย่างสมา่ เสมอ จะ มีผลรวมของความดนั สัมบูรณ์ พลงั งานจลน์ ต่อหน่ึงหนว่ ยปริมาตร และพลงั งานศกั ยต์ ่อ หนง่ึ หนว่ ยปรมิ าตร เปน็ คา่ คงตวั ตามสมการ แบรน์ ูลลี 15. อธิบายกฎของแก๊ส ตวั คา่ คง อดุ มคติและคานวณ - แกส๊ อุดมคตเิ ป็นแกส๊ ที่ ปรมิ าณ ตา่ ง ๆ ท่ี โมเลกุลมีขนาดเลก็ มาก เก่ียวขอ้ ง ไม่มแี รงยดึ เหน่ยี ว ระหว่างโมเลกลุ มกี าร เคลอ่ื นที่ แบบสุ่ม และมี การชนแบบยดื หยุน่ - ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง ความดัน ปริมาตร และ อุณหภมู ขิ องแก๊สอุดม คตเิ ปน็ ไปตามกฎของ แกส๊ อดุ มคติ เขยี นแทน ไดด้ ว้ ยสมการ PV = nRT = NkBT 16. อธิบายแบบจาลอง - จากแบบจาลองของ ของแก๊สอุดมคติ แก๊สอดุ มคติ กฎการ ทฤษฎจี ลน์ ของแก๊ส เคลือ่ นท่ี ของนิวตัน และอตั ราเรว็ อารเ์ อ็ม และจากกฎของแก๊ส เอสของโมเลกลุ ของ อุดมคติ ทาให้ สามารถ แก๊ส รวมทงั้ คานวณ ศึกษาสมบตั ิทาง ปรมิ าณต่าง ๆ ท่ี กายภาพบางประการ เกย่ี วขอ้ ง

294 ของแก๊สได้ ไดแ้ ก่ ความ ดนั พลังงานจลนเ์ ฉลยี่ และอตั ราเรว็ อารเ์ อ็ม เอส ของโมเลกุลของ แกส๊ ได้ - จากทฤษฎีจลนข์ อง แกส๊ ความดนั และ พลังงานจลน์ เฉลีย่ ของ โมเลกลุ ของแก๊สมี ความสัมพันธต์ าม สมการ สว่ นอตั ราเรว็ อารเ์ อ็ม เอสของ โมเลกุลของ แกส๊ คานวณไดจ้ าก 17. อธิบาย และ สมการ คานวณงานท่ีทาโดย - ในภาชนะปดิ เมือ่ มี แกส๊ ในภาชนะปิด โดย การเปลยี่ นแปลง ความดนั คงตวั และ ปรมิ าตรของ แก๊สโดย อธิบายความสัมพนั ธ์ ความดนั คงตวั งานที่ ระหว่างความร้อน เกดิ ขึ้นคานวณได้ จาก พลังงานภายในระบบ สมการ W = P∆V และงาน รวมทั้ง - โมเลกุลของแกส๊ อุดม คานวณปริมาณตา่ ง ๆ คตใิ นภาชนะปดิ จะมี ที่เกย่ี วข้อง และนา พลงั งานจลน์ โดย ความรเู้ รอื่ งพลงั งาน พลงั งานจลน์รวมของ ภายในระบบไปอธบิ าย โมเลกุล เรยี กว่า หลักการทางานของ พลงั งานภายในของแกส๊ เครือ่ งใชใ้ นชวี ิต หรอื พลงั งาน ภายใน ระบบ ซงึ่ แปรผนั ตรงกับ จานวนโมเลกลุ และ อุณหภูมสิ ัมบูรณข์ อง

295 แก๊ส - พลงั งานภายในระบบ มคี วามสัมพนั ธ์กบั ความ รอ้ น และงาน เชน่ เมอ่ื มกี ารถา่ ยโอนความร้อน ใน ระบบปิด ผลของ การถ่ายโอนความร้อนนี้ จะเทา่ กับผลรวมของ พลงั งานภายในระบบที่ เปลี่ยนแปลงกบั งาน เปน็ ไปตามกฎการ อนุรักษ์ พลังงานเรียก กฎข้อทห่ี น่ึงของอุณ หพลศาสตร์ แสดงได้ ดว้ ยสมการ Q = ∆U + W - ความรู้เรื่องพลังงาน ภายในระบบสามารถ นาไป ประยุกตใ์ นด้าน ตา่ ง ๆ เชน่ การทางาน ของ เครือ่ งยนต์ความ โครงสรา้ งรายวิชา ฟิสกิ ส์ 6 ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนท่ี 2 ลาดบั ช่อื หน่วย มาตรฐานการเรียนรู/้ สาระสาคญั เวลา/ น้าหนัก อตั ราส่วน ชวั่ โมง คะแนน ระหว่าง ท่ี การเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ เรียนกบั สอบ

296 1 ฟิสกิ สอ์ ะตอม มาตรฐาน ว 2.3 40 50 70:30 เข้าใจความหมายของ พลังงาน การ เปลีย่ นแปลงและการ ถ่ายโอนพลังงาน ปฏสิ มั พันธร์ ะหวา่ ง สสารและพลงั งาน พลังงานในชีวิต ประจาวัน ธรรมชาติ ของคลน่ื ปรากฏการณ์ ที่เกีย่ วข้องกบั เสียง แสง และคลืน่ - แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ รวมท้งั นาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ผลการเรียนรู้ - พลังคเ์ สนอสมมติฐาน 1.อธบิ ายสมมตฐิ าน เพอ่ื อธบิ ายการแผ่รงั สี ของพลังค์ ทฤษฎี ของวัตถุดา ซึ่งสรปุ ไดว้ า่ อะตอม ของโบร์ และ พลงั งานทว่ี ัตถุดา การเกดิ เสน้ สเปกตรมั ดูดกลนื หรือแผ่ออกมา ของ อะตอมไฮโดรเจน มคี ่าได้เฉพาะบางค่า รวมทงั้ คานวณปริมาณ เทา่ น้นั และ คา่ นจ้ี ะ ตา่ ง ๆ ที่เก่ยี วข้อง เป็นจานวนเทา่ ของ hf เรยี กวา่ ควอนตมั พลังงาน โดยแสง ความถี่ f จะมีพลังงาน ตาม สมการ E = nhf - ทฤษฎีอะตอมของ ไฮโดรเจนท่ีเสนอโดย โบร์ อธบิ ายวา่ อเิ ล็กตรอนจะเคลอื่ นท่ี

297 รอบนวิ เคลยี ส ในวง โคจรบางวงไดโ้ ดยไม่แผ่ คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้า ถ้า อเิ ลก็ ตรอนมีการเปล่ียน วงโคจรจะมีการรบั หรือปลอ่ ยพลังงานใน รปู ของคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ตาม สมมตฐิ านของพลังค์ ซง่ึ สามารถนาไป คานวณ รศั มวี งโคจรของ อเิ ล็กตรอน และ พลงั งาน อะตอมของ ไฮโดรเจนได้ - ทฤษฎีอะตอมของโบร์ สามารถนาไปคานวณ ความยาวคล่นื ของแสง ในสเปกตรมั เสน้ สวา่ ง ของอะตอมไฮโดรเจน ตามสมการ 2. อธิบาย - ปรากฏการณโ์ ฟโตอิ ปรากฏการณ์ โฟโตอิ เลก็ ทรกิ เป็น เล็กทริกและ คานวณ ปรากฏการณ์ที่ พลังงานโฟตอน อิเลก็ ตรอนหลดุ จากผวิ พลังงานจลน์ของ โฟโต โลหะเมื่อมีแสงท่มี ี อเิ ลก็ ตรอนและฟงั กช์ ัน ความถีเ่ หมาะสมมาตก งานของโลหะ กระทบ โดยจานวนโฟ โตอเิ ลก็ ตรอนที่หลดุ จะ เพิม่ ขนึ้ ตามความเข้ม แสง และพลังงานจลน์ สงู สดุ ของโฟโต อิเลก็ ตรอนจะขน้ึ กับ

298 3. อธิบายทวิภาวะ ความถ่ีของแสงนั้น โดย ของคลื่นและอนภุ าค พลังงานของแสง รวมท้งั อธิบาย และ หรือโฟตอนตาม คานวณความยาวคลื่น สมมติฐานของพลงั ค์ เดอบรอยล์ - ไอนส์ ไตน์อาศัยกฎ การอนรุ ักษ์พลังงาน และ สมมตฐิ านของ พลังค์ อธิบาย ปรากฏการณ์ โฟโตอิ เล็กทริกตามสมการ hf = W + Ekmax - การทดลอง พลังงาน จลนส์ งู สุดของโฟโต อเิ ล็กตรอน และฟงั ก์ชัน งานของโลหะคานวณได้ จากสมการ Ekmax = eVs และ W = hfn - การคน้ พบการแทรก สอดและการเล้ียวเบน ของอิเล็กตรอน สนับสนุนความคดิ ของ เดอบรอยล์ ที่เสนอวา่ อนุภาคแสดงสมบัติของ คลื่นได้ โดยเม่อื อนภุ าค ประพฤติตวั เปน็ คลน่ื จะ มี ความยาวคลื่น เรยี กว่า ความยาวคลืน่ เดอบรอยล์ ซงึ่ มีค่า ขึ้นกับโมเมนตัมของ อนุภาค ตามสมการ

ฟิสกิ สน์ วิ เคลยี ร์ 4. อธบิ าย - จากความคิดของ 299 กัมมันตภาพรังสี ไอน์สไตน์และเดอบ และความแตกตา่ ง รอยล์ ทาให้ สรุปได้ว่า 40 50 ของรังสีแอลฟา คล่นื แสดงสมบัตขิ อง บีตา และแกมมา อนุภาคได้และ อนุภาค แสดงสมบตั ิของคล่นื ได้ สมบัตดิ ังกลา่ ว เรียกว่า ทวิภาวะของคลื่นและ อนภุ าค - กมั มันตภาพรงั สเี ป็น ปรากฏการณ์ท่ธี าตุ กัมมันตรังสีแผร่ ังสีได้ เองอย่างต่อเน่ือง รังสที ี่ ออกมามี ๓ ชนดิ คอื แอลฟา บีตา และ แกมมา - การแผ่รังสีเกดิ จาก การเปล่ยี นแปลง นิวเคลยี สของธาตุ กัมมนั ตรงั สี ซ่ึงเขียน แทนได้ด้วยสมการ การสลายให้แอลฟา การสลายใหบ้ ีตาลบ การสลายให้บีตาบวก การสลายใหแ้ กมมา 5.อธบิ าย และ - ในการสลายของธาตุ คานวณกัมมนั ตภาพ กัมมนั ตรังสี อัตราการ ของ นิวเคลียส แผ่รังสี ออกมาใน กัมมนั ตรงั สี รวมทง้ั

300 ทดลอง อธบิ าย และ ขณะหน่ึง เรียกว่า คานวณจานวน กมั มนั ตภาพ ปรมิ าณนี้ นิวเคลยี ส บอกถึงอตั ราการลดลง กมั มนั ตภาพรังสี ท่ี ของจานวน นวิ เคลยี ส เหลอื จากการสลาย ของธาตุกัมมนั ตรังสี และคร่งึ ชวี ิต คานวณได้จาก สมการ A = N - ชว่ งเวลาท่ีจานวน นวิ เคลียสลดลงเหลอื คร่งึ หนง่ึ ของจานวน เรม่ิ ตน้ เรยี กวา่ ครง่ึ ชีวติ โดยจานวน นิวเคลยี ส กมั มันตภาพรงั สที ี่เหลอื จากการสลาย และครึง่ ชีวติ คานวณไดจ้ าก สมการ N = N0e–λt 6. อธิบายแรงนิวเคลียร์ และ T1 = 0.693 2  เสถยี รภาพของ ตามลาดับ นวิ เคลยี ส และพลงั งาน - ภายในนิวเคลียสมแี รง ยดึ เหนีย่ ว รวมทง้ั นวิ เคลียรท์ ีใ่ ช้อธิบาย คานวณปริมาณ ตา่ ง ๆ เสถยี รภาพของ นิวเคลียส ที่เก่ยี วข้อง - การทาใหน้ ิวคลอี อน ในนิวเคลยี สแยกออก จากกัน ตอ้ งใชพ้ ลังงาน เท่ากับพลังงานยดึ เหนี่ยว ซ่งึ คานวณได้ จากความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งมวลและ พลังงาน ตามสมการ

301 - นิวเคลยี สทม่ี ีพลังงาน ยดึ เหนย่ี วตอ่ นวิ คลอี อนสงู จะมี เสถยี รภาพดกี วา่ นิวเคลียสที่มพี ลังงาน 6. อธิบายปฏกิ ริ ิยา ยึดเหนีย่ วต่อ นวิ คลี นิวเคลียร์ ฟชิ ชัน ออนต่า และฟิวชนั รวมทงั้ - ปฏกิ ริ ิยาท่ีทาให้ คานวณพลังงาน นวิ เคลียสเกิดการ นวิ เคลียร์ เปลี่ยนแปลง องค์ประกอบหรือระดบั พลงั งาน เรียกวา่ ปฏิกริ ิยานวิ เคลยี ร์ - ฟชิ ชนั เป็นปฏิกิรยิ าท่ี นวิ เคลียสทม่ี มี วลมาก แตกออกเปน็ นวิ เคลยี ส ทมี่ ีมวลนอ้ ยกว่า ส่วน ฟิวชนั เปน็ ปฏกิ ริ ิยาที่ นิวเคลยี สทม่ี ีมวลน้อย รวมตัวกนั เกิดเปน็ นิวเคลียสท่ีมีมวล - พลงั งานทป่ี ลดปลอ่ ย ออกมาจากฟชิ ชันหรอื ฟิวชัน เรียกวา่ พลังงาน นิวเคลยี ร์ ซึง่ มีคา่ เป็นไป ตาม ความสมั พันธ์ ระหวา่ งมวลกบั พลงั งาน 7.อธิบายประโยชนข์ อง ตามสมการ พลงั งานนิวเคลียร์ และ รังสี รวมท้ัง - พลังงานนิวเคลียร์และ อันตรายและการ รงั สีจากการสลายของ ปอ้ งกันรงั สีในดา้ น ธาตุ กมั มนั ตรังสี

302 ตา่ ง ๆ สามารถนาไปใช้ ประโยชนใ์ นด้านต่าง ๆ 8. อธบิ ายการ ขณะเดียวกันต้องมีการ คน้ คว้าวิจยั ดา้ นฟสิ กิ ส์ ปอ้ งกนั อันตรายทอ่ี าจ อนภุ าค แบบจาลอง เกิดข้นึ ได้ มาตรฐาน และการใช้ - การศกึ ษาโปรตอน ประโยชน์ จากการ และนวิ ตรอนใน ค้นคว้าวิจัยดา้ นฟิสิกส์ นวิ เคลยี ส ดว้ ยเคร่ือง อนุภาคในด้านต่าง ๆ เร่งอนภุ าคพลงั งานสงู พบว่า โปรตอน และ นวิ ตรอนประกอบด้วย อนุภาคอื่นทีม่ ขี นาดเล็ก กว่า เรยี กวา่ ควาร์ก ซง่ึ ยึดเหน่ยี วกนั ไว้ ดว้ ย แรงเข้ม - นักฟสิ กิ ส์ยังไดค้ น้ พบ อนุภาคทเี่ ปน็ สื่อของ แรงเขม้ ซ่งึ ไดแ้ ก่ กลูออน และอนุภาคที่ เปน็ ส่ือของแรงอ่อน ซง่ึ ไดแ้ ก่ W - โบซอน และ Z – โบซอน - การคน้ ควา้ วจิ ยั ดา้ น ฟสิ ิกส์อนภุ าคนาไปสู่ การพัฒนาเทคโนโลยที ี่ นามาใช้ประโยชน์ใน ดา้ นต่าง ๆ เช่น ดา้ น การแพทย์ มกี ารใช้ เครอื่ งเรง่ อนภุ าคในการ รกั ษาโรคมะเรง็ การใช้ เครอื่ งถ่ายภาพรงั สี ระนาบดว้ ยการปล่อย โพซติ รอนในการ

303 วินิจฉยั โรคมะเรง็ ดา้ นการรักษาความ ปลอดภยั มีการใช้ เครอื่ งเอกซเรย์ คอมพวิ เตอร์ในการ ตรวจวตั ถอุ ันตรายใน สนามบิน โครงสร้างรายวชิ าเคมี 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 ลาดับ ช่อื หน่วยการเรียน มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา/ น้าหนกั อัตราสว่ น ช่วั โมง คะแนน ระหวา่ ง ที่ เรยี นรู้/ เรยี นกับ ตัวชี้วัด

1 เคมอี นิ ทรีย์ 1. สบื คน้ - เคมอี ินทรีย์ 35 304 สอบ 60 70:30 ข้อมูลและ * พนั ธะของคารบ์ อน นาเสนอ * หมู่ฟังกช์ ัน ตวั อยา่ ง * สารประกอบ สารประกอบ ไฮโดรคาร์บอน อนิ ทรยี ท์ ี่มี * ไอโซเมอร์ พันธะเด่ยี ว - สมบตั ิบางประการของ พนั ธะคู่ หรือ สารประกอบ พันธะสาม ไฮโดรคาร์บอน ทพี่ บในชวี ิต - ประเภทของ ประจาวัน สารประกอบ 2. เขียนสูตร ไฮโดรคาร์บอน โครงสร้าง * แอลเคน ลวิ อสิ สตู ร * แอลคีน โครงสร้าง * แอลไคน์ แบบยอ่ และ - อะโรมาติก สูตรโครงสรา้ ง ไฮโดรคารบ์ อน แบบเส้นของ - สารประกอบอนิ ทรีย์ท่ีมี สารประกอบ ธาตอุ อกซิเจนเป็น อินทรยี ์ องค์ประกอบ 3. วิเคราะห์ * แอลกอฮอล์ ฟนี อล โครงสร้าง และอีเทอร์ และระบุ * แอลดีไฮด์และคีโตน ประเภทของ * กรดคารบ์ อกซลิ กิ สารประกอบ เอสเทอร์

305 ลาดบั ช่อื หน่วยการเรยี น มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา/ นา้ หนัก อตั ราส่วน ท่ี เรยี นรู้/ ชัว่ โมง คะแนน ระหว่าง ตัวชีว้ ัด เรียนกับ สอบ อนิ ทรยี ์จาก - สารประกอบที่ธาตุ หม่ฟู งั ก์ชัน ไนโตรเจนเปน็ 3. วเิ คราะห์ องคป์ ระกอบ โครงสรา้ ง * เอมนี และระบุ - สารประกอบอนิ ทรีย์ท่ี ประเภทของ มธี าตุออกซิเจนและ สารประกอบ ไนโตรเจนเป็น อนิ ทรียจ์ าก องค์ประกอบ หมู่ฟังก์ชนั *เอไมด์ 4. เขยี นสตู ร โครงสร้าง และเรียกชอื่ สารประกอบ อินทรีย์ ประเภทตา่ ง ๆ ทม่ี ีหมู่ ฟงั กช์ ันไมเ่ กนิ 1 หมู่ ตาม ระบบ IUPAC 5. เขียนไอโซ เมอร์ โครงสร้างของ สารประกอบ อนิ ทรีย์ ประเภท ต่าง ๆ 6. วิเคราะห์ และ เปรียบเทยี บ

จดุ เดอื ดและ สาระสาคัญ 306 การละลายใน น้าของ เวลา/ น้าหนัก อัตราสว่ น สารประกอบ ชว่ั โมง คะแนน ระหว่าง อินทรยี ์ที่มี เรียนกบั ลาดับ ช่อื หน่วยการเรยี น มาตรฐานการ สอบ ที่ เรยี นร/ู้ ตัวชี้วดั หมู่ฟังกช์ นั ขนาดโมเลกุล หรือโครงสรา้ ง ต่างกัน 8. ระบุ ประเภท ของ สารประก อบ ไฮโดรคาร์ บอนและ เขียน ผลติ ภณั ฑ์ จาก ปฏกิ ิรยิ า การเผา ไหม้ ปฏกิ ริ ิยา กับโบรมีน หรือ ปฏกิ ริ ิยา กบั โพแทสเซี

307 ยมเปอร์ แมงกา เนต ลาดับ ช่อื หน่วยการเรยี น มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา/ น้าหนัก อัตราส่วน ที่ เรียนร้/ู ชัว่ โมง คะแนน ระหวา่ ง ตวั ช้วี ดั เรยี นกับ 8. เขยี น สอบ สมการเคมี และอธบิ าย การ เกิดปฏิกริ ิยา เอสเทอ รฟิ ิเคชัน ปฏิกริ ยิ าการ สงั เคราะห์ เอไมด์ ปฏิกริ ยิ า ไฮโดรลิซิส และปฏกิ ิริยา สะปอน นิฟิเคชัน 9. ทดสอบ ปฏกิ ริ ิยา เอสเทอ ริฟิเคชัน

308 ปฏกิ ิริยา ไฮโดรลซิ สิ และปฏิกิริยา สะปอน นฟิ เิ คชัน 10. สบื คน้ ขอ้ มูล และ นาเสนอ ตัวอย่าง ลาดบั ชอ่ื หน่วยการเรียน มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา/ นา้ หนัก อตั ราส่วน ที่ เรยี นรู้/ ชวั่ โมง คะแนน ระหว่าง ตัวช้ีวดั เรียนกับ สอบ การนา สารประกอบ อนิ ทรยี ไ์ ปใช้ ประโยชนใ์ น ชีวิต ประจาวนั และ อตุ สาหกรรม 2 เชื้อเพลิงซาก 11. ระบุ - ถ่านหิน และหินนา้ มัน ดกึ ดาบรรพ์และ ประเภทของ * กระบวนการเกดิ ผลิตภณั ฑ์ ปฏิกิรยิ าการ * การใช้ประโยชน์ เกิดพอลเิ มอร์ - ปิโตรเลยี ม จากโครงสรา้ ง * การเกิดและการ ของมอนอ สารวจ

309 เมอร์หรอื พอลิ * การกลนั่ นา้ มันดิบ เมอร์ * การแยกแก๊ส 12. วเิ คราะห์ ธรรมชาติ และอธิบาย * ปิโตรเคมีภณั ฑ์ ความสมั พนั ธ์ - พอลเิ มอร์ ระหว่าง * ปฏกิ ริ ิยาพอลิ โครงสรา้ งและ เมอไรชนั สมบัติของพอ * โครงสรา้ งและสมบัติ ลิเมอร์ รวมทั้ง ของพอลเิ มอร์ การนาไปใช้ - ผลิตภัณฑ์จาก ประโยชน์ พอลิเมอร์ 13. ทดสอบ * พลาสติก และระบุ * เสน้ ใย ประเภทของ * ยาง พลาสตกิ และ ผลิตภณั ฑย์ าง รวมท้ังการ นาไปใช้ ประโยชน์ ลาดบั ชื่อหน่วยการเรียน มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา/ น้าหนกั อัตราสว่ น ที่ เรียนร้/ู ชว่ั โมง คะแนน ระหวา่ ง ตัวชีว้ ัด เรียนกับ สอบ 14. อธบิ ายผล - ความกา้ วหน้าทาง ของการ เทคโนโลยีของ ปรบั เปลย่ี น ผลติ ภณั ฑ์พอลิเมอร์ โครงสร้าง สังเคราะห์ และการ - ภาวะมลพิษที่เกดิ จาก สงั เคราะห์ การผลติ และใช้ พอลิเมอรท์ ี่มี ผลติ ภัณฑจ์ าก ตอ่ สมบัติของ เชื้อเพลิงซากดึก

310 พอลิเมอร์ ดาบรรพ์ 15. สบื ค้น * มลภาวะทางอากาศ ข้อมลู และ * มลภาวะทางนา้ นาเสนอ * มลภาวะทางดิน ตัวอยา่ ง ผลกระทบ จากการใช้ และการกาจัด ผลิตภัณฑ์ พอลเิ มอร์ และแนวทาง แก้ไข โครงสร้างรายวิชาเคมี 6 ภาคเรียนท่ี 2 ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 ลาดับ ชื่อหน่วยการเรยี น มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา/ น้าหนกั อตั ราส่วน ท่ี เรียนร/ู้ ชั่วโมง คะแนน ระหว่าง ตัวชี้วดั เรียนกบั สอบ

1 เคมีในชวี ติ ประจาวนั 1. กาหนด - กาหนดสถานการณบ์ าง 60 311 ปัญหา และ สถานการณ์ใน นาเสนอแนว ชวี ติ ประจาวัน 100 70:30 ทางการ การประกอบอาชพี แกป้ ัญหาโดย หรอื อตุ สาหกรรม ใช้ความรทู้ าง สามารถนาความรู้ทาง เคมจี าก เคมไี ปใชป้ ระโยชนห์ รือ สถานการณ์ที่ แกป้ ัญหาได้ เกดิ ข้นึ ในชวี ิต - ศกึ ษาและการแก้ปัญหา ประจาวนั ในสถานการณ์ หรอื การประกอบ ประเด็นทีส่ นใจ อาชีพ หรอื ทาไดโ้ ดยการบูรณาการ อุตสาหกรรม ความรู้ทางเคมรี ่วมกบั 2. แสดง วิทยาศาสตรแ์ ขนงอน่ื หลักฐานถึง รวมท้ังคณิตศาสตร์ การบูรณาการ เทคโนโลยี และทักษะ ความร้ทู าง กระบวนการทาง เคมรี ว่ มกบั วิทยาศาสตร์หรอื สาขาวชิ าอืน่ กระบวนการออกแบบ รวมทัง้ ทักษะ เชงิ วิศวกรรม โดยเน้น กระบวนการ การคดิ วิเคราะห์ ทาง แกป้ ญั หา วิทยาศาสตร์ - นาเสนองานหรอื แสดง หรือ ผลงาน เปน็ การเปิด ลาดบั ชอื่ หน่วยการเรยี น มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา/ นา้ หนกั อัตราสว่ น ที่ เรยี นร/ู้ ชั่วโมง คะแนน ระหว่าง

ตัวชีว้ ดั 312 กระบวนการ โอกาสให้ผ้มู ีสว่ นรว่ มได้ เรียนกบั ออกแบบเชิง แลกเปล่ยี นแนวคิด สอบ วิศวกรรม โดย ผลงาน รวมทงั้ เพ่มิ โอกาส เนน้ การคิด ในการพัฒนางาน วเิ คราะห์ การ โดยใชเ้ ทคโนโลยี แก้ปัญหาและ สารสนเทศเป็นเครื่องมือ ความคดิ ประกอบการนาเสนอ สรา้ งสรรค์ ซึง่ จะทาใหก้ ารสื่อสาร เพอื่ แกป้ ญั หา - มกี ารสัมมนา ในสถานการณ์ การประชมุ วชิ าการ หรอื ประเด็น หรอื การรว่ มแสดงผลงาน ทสี่ นใจ สงิ่ ประดษิ ฐใ์ นงาน 3. นาเสนอ นทิ รรศการเป็นการเปดิ ผลงานหรอื โอกาสใหผ้ ู้มีส่วนรว่ มได้ ชนิ้ งานท่ไี ด้ แลกเปล่ยี นความคิด จากการ แสดงทัศนคติตอ่ แกป้ ัญหาใน กรณศี ึกษา สถานการณ์ สถานการณ์ หรือประเดน็ สาคัญทาง หรอื ประเด็นท่ี เคมี ซง่ึ ชว่ ยส่งเสริม สนใจโดยใช้ ให้พัฒนากระบวนการคิด เทคโนโลยี ทักษะการสื่อสาร สารสนเทศ ทักษะการใชเ้ ทคโนโลยี 4. แสดง เพื่อการคน้ ควา้ และ หลักฐาน การสือ่ สาร ซง่ึ สามารถทา การเขา้ รว่ ม ไดห้ ลายระดบั โดยอาจ การสัมมนา เป็นระดบั ชน้ั เรียน การเข้ารว่ ม โรงเรียน กล่มุ โรงเรียน ประชมุ

313 ลาดับ ชอื่ หน่วยการเรยี น มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา/ นา้ หนกั อัตราสว่ น ท่ี เรียนร้/ู ช่วั โมง คะแนน ระหว่าง ตวั ชว้ี ดั เรยี นกับ สอบ วิชาการ หรือ ชมุ ชน ระดบั ชาติ หรือ การแสดง นานาชาติ ผลงาน สิ่งประดษิ ฐใ์ น งาน นิทรรศการ

314 โครงสร้างรายวชิ าชีววิทยา 5 ภาคเรียนท่ี 1 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 ลาดับที่ ช่อื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก อัตราสว่ น การเรยี นรู้ (ช่ัวโมง) คะแนน ระหวา่ งเรยี น 1 ระบบ 1. สืบคน้ ข้อมูล อธบิ าย และ สัตวส์ ว่ นใหญ่มีระบบ 20 20 กับสอบ ประสาทและ อวยั วะรบั 70:30 ความรู้สึก เปรยี บเทยี บโครงสรา้ งและ ประสาททาให้สามารถรับรู้ หน้าทีข่ องระบบประสาทของ และตอบสนองต่อสิ่งเรา้ ได้ ไฮดรา พลานาเรีย ไสเ้ ดือนดิน เชน่ ไฮดรา มีรา่ งแห กุ้ง หอย แมลงและ ประสาท พลานาเรีย สตั วม์ ีกระดูกสนั หลงั ไสเ้ ดือนดิน กงุ้ หอย และ 2. อธิบายเกี่ยวกบั โครงสร้าง แมลงมีปมประสาทและ และหน้าทขี่ องเซลลป์ ระสาท เสน้ ประสาท สว่ นสัตว์ 3. อธบิ ายเกย่ี วกบั การ มกี ระดูกสนั หลงั มีสมอง เปล่ียนแปลงของศักย์ไฟฟา้ ท่ี ไขสนั หลัง ปมประสาท และ เยื่อห้มุ เซลล์ของเซลล์ประสาท เส้นประสาท หนว่ ยทางาน และกลไกการถา่ ยทอด ของระบบประสาท คือ กระแสประสาท เซลลป์ ระสาท ซ่งึ 4. อธบิ าย และสรุปเกีย่ วกบั ประกอบด้วยตวั เซลล์ และ โครงสร้างของระบบประสาท เสน้ ใยประสาทที่ทาหนา้ ท่ี สว่ นกลางและระบบประสาท รับและสง่ กระแสประสาท รอบนอก เรยี กวา่ เดนไดรตแ์ ละ 5. สบื คน้ ข้อมลู อธบิ าย แอกซอน ตามลาดบั โครงสรา้ งและหน้าที่ของสว่ น เซลลป์ ระสาทจาแนกตาม ต่าง ๆ ในสมองส่วนหนา้ หน้าท่ี ได้เปน็ เซลล์ประสาท สมองส่วนกลาง สมองส่วน รับความรสู้ ึก เซลล์ประสาท หลัง และไขสนั หลงั สั่งการ และเซลลป์ ระสาท

315 6. สบื คน้ ข้อมลู อธิบาย ประสานงานเซลล์ประสาท เปรยี บเทียบ และยกตวั อยา่ ง จาแนกตามรปู ร่างได้เป็น การทางานของระบบประสาท เซลลป์ ระสาทขั้วเดยี ว เซลล์ โซมาตกิ และระบบ ประสาทข้ัวเดียวเทียม เซลล์ ประสาทอัตโนวตั ิ ประสาทสองข้วั และเซลล์ ประสาทหลายขั้ว โครงสรา้ งรายวิชาชีววิทยา 5 ภาคเรยี นที่ 1 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 ลาดบั ท่ี ชือ่ หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก อตั ราส่วน การเรียนรู้ (ชัว่ โมง) คะแนน ระหว่างเรยี น กบั สอบ 7. สื บ ค้ น ข้ อ มู ล อ ธิ บ า ย กระแสประสาทเกิดจากการ โครงสร้างและหน้าที่ของ ตา เปล่ยี นแปลงศกั ย์ไฟฟ้าทเี่ ยื่อ หู จมูก ล้ิน และผิวหนังของ หุ้มเซลล์ของเดนไดรต์และ มนุษย์ ยกตัวอย่างโรคต่าง ๆ แอกซอน ทาใหม้ กี าร ท่ีเกี่ยวข้อง และบอกแนวทาง ถา่ ยทอดกระแสประสาท ในการดูแลป้องกัน และรักษา จากเซลลป์ ระสาทไปยัง 8. สังเกต และอธิบายการหา เซลล์ประสาทหรือเซลล์อน่ื ๆ ตาแหน่งของจุดบอด โฟเวีย ผา่ นทางไซแนปส์ ระบบ และความไวในการรับสัมผัส ประสาทของมนุษยแ์ บง่ ได้ ของผวิ หนงั เปน็ ๒ ระบบตามตาแหน่ง และโครงสรา้ ง คือ ระบบ ประสาทสว่ นกลาง ได้แก่ สมองและไขสันหลงั และ ระบบประสาทรอบนอก ไดแ้ ก่ เส้นประสาทสมอง และเส้นประสาทไขสนั หลงั สมองแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ สมองส่วนหน้า สมอง สว่ นกลาง และสมองส่วน หลงั สมองแต่ละสว่ นจะ ควบคมุ การทางานของ ร่างกายแตกต่างกนั โดยมี เสน้ ประสาททแ่ี ยกออกจาก สมอง ๑๒ คู่ ไปยังอวัยวะ

316 ต่าง ๆ ซง่ึ บางคู่ทาหนา้ ทรี่ บั ความรสู้ กึ เขา้ สสู่ มอง หรือ นาคาสั่งจากสมองไปยงั หน่วยปฏิบัตงิ าน หรอื ทา หนา้ ทีท่ ้ังสองอย่างไขสันหลัง เปน็ ส่วนทต่ี ่อจากสมองอยู่ ภายในกระดูกสันหลงั โครงสร้างรายวชิ าชีววิทยา 5 ภาคเรยี นที่ 1 ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 6 ลาดับท่ี ชอื่ หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั อตั ราส่วน การเรยี นรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน ระหว่างเรยี น กบั สอบ และมีเส้นประสาทแยกออก จากไขสนั หลังเปน็ คู่ ซง่ึ ทา หน้าทปี่ ระมวลผลการ ตอบสนองโดยไขสันหลัง เชน่ การเกิดรีเฟล็กซ์ ชนิด ตา่ ง ๆ และการถ่ายทอด กระแสประสาทระหว่างไข สนั หลังกบั สมอง เส้นประสาท ไขสันหลงั ทุกคู่จะทาหน้าท่ี รบั ความรูส้ กึ เข้าสู่ไขสันหลงั และนาคาสัง่ ออกจาก ไขสนั หลัง ระบบประสาท รอบนอกส่วนทส่ี ่งั การ แบ่งเป็น ระบบประสาทโซ มาตกิ ซ่ึงควบคมุ การทางาน ของกลา้ มเน้ือโครงร่าง และ ระบบประสาท อตั โนวัติ ซึ่งควบคุมการทางานของ กล้ามเนื้อหวั ใจ กล้ามเนื้อ เรยี บ และต่อมตา่ ง ๆ ระบบ ประสาทอัตโนวตั ิแบ่งการ ทางานเป็น ๒ ระบบ คือ ระบบประสาทซมิ พาเทติก

317 และระบบประสาทพาราซิม พาเทติก ซง่ึ สว่ นใหญ่ทางาน ตรงกนั ข้ามเพื่อรักษาดลุ ย ภาพของกระบวนการต่าง ๆ ในร่างกาย ตา หู จมูก ลนิ้ และผิวหนงั โครงสร้างรายวชิ าชีววิทยา 5 ภาคเรยี นที่ 1 ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 6 ลาดับที่ ชอ่ื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั อตั ราส่วน การเรียนรู้ (ช่วั โมง) คะแนน ระหวา่ งเรยี น กบั สอบ เป็นอวยั วะรับความรูส้ กึ ท่ี รับส่งิ เรา้ ทีแ่ ตกต่างกัน จงึ มี ความสาคัญที่ควรดูแล ป้องกนั และรกั ษาให้ สามารถทางานได้เป็นปกติ ตาประกอบดว้ ย ชัน้ สเคลอรา โครอยดแ์ ละเร ตนิ า เลนส์ตาเป็นเลนส์นูน อยถู่ ดั จากกระจกตา ทา หน้าทร่ี วมแสงจากวัตถุไป ทเี่ รตนิ า ซ่งึ ประกอบดว้ ย เซลล์รบั แสง และเซลล์ ประสาททีน่ ากระแส ประสาทสู่สมอง หู ประกอบด้วย ๓ ส่วน คอื หู ส่วนนอก หูสว่ นกลาง และหู สว่ นใน ภายในหูส่วนในมีคอ เคลยี ซึ่งทาหน้าทรี่ ับและ เปลยี่ นคลนื่ เสียงเปน็ กระแส ประสาท นอกจากนีย้ ังมเี ซมิ เซอรค์ ิวลารแ์ คเเนลทา หนา้ ทีร่ บั รู้เกยี่ วกับการทรง ตวั ของรา่ งกาย จมกู มีเซลล์ ประสาทรบั กลนิ่ อยภู่ ายใน

318 เย่อื บจุ มูก ที่เปน็ ตวั รับ สารเคมบี างชนิดแลว้ เกดิ กระแสประสาทสง่ ไปยัง สมอง ลน้ิ ทาหนา้ ทีร่ บั รส โดยมตี ุ่มรบั รสกระจาย อยู่ทว่ั ผิวล้นิ ดา้ นบน โครงสรา้ งรายวิชาชีววิทยา 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 ลาดับที่ ชอื่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั อตั ราส่วน การเรียนรู้ (ชั่วโมง) คะแนน ระหวา่ งเรียน 2 การเคล่อื นท่ี กบั สอบ ของสิ่งมชี วี ิต 9. สบื คน้ ข้อมลู อธบิ าย และ ต่มุ รับรสมเี ซลล์รบั รส อยู่ 15 20 เปรียบเทียบโครงสร้างและ ภายใน เม่ือเซลลร์ ับรสถกู หนา้ ท่ขี องอวยั วะท่ีเกยี่ วข้อง กระตนุ้ ดว้ ยสารเคมจี ะ กบั การเคลอื่ นท่ีของ กระตุ้นเดนไดรต์ของเซลล์ แมงกะพรนุ หมึก ดาวทะเล ประสาทเกิดกระแสประสาท ไส้เดอื นดิน แมลง ปลา และ ส่งไปยังสมอง ผวิ หนงั มี นก หนว่ ยรบั ส่ิงเร้าหลายชนดิ ๑0. สืบค้นข้อมลู และอธบิ าย เชน่ หนว่ ย รบั สมั ผัส หน่วย โครงสร้างและหนา้ ที่ของ รบั แรงกด หน่วยรับความ กระดูกและกลา้ มเนื้อที่ เจบ็ ปวด หนว่ ยรับอณุ หภมู ิ เกีย่ วขอ้ งกบั การเคล่อื นไหว และการเคลอื่ นท่ีของมนุษย์ สิ่งมีชวี ติ เซลล์เดียวบางชนดิ ๑1. สงั เกต และอธบิ ายการ เคลื่อนที่โดยการไหลของไซ ทางานของข้อต่อชนดิ ต่าง ๆ โทพลาซมึ บางชนิดใชแ้ ฟล เจลลมั หรือซเิ ลยี ในการ เคลื่อนที่ สัตว์ไมม่ ีกระดูกสัน หลงั เช่น แมงกะพรุน เคลอ่ื นทโ่ี ดยอาศัยการหดตัว ของเน้ือเย่ือบริเวณขอบ กระดง่ิ และแรงดันน้า หมึกเคล่ือนท่ีโดยอาศยั การ หดตวั ของกลา้ มเน้ือบริเวณ ลาตวั ทาใหน้ า้ ภายในลาตวั พ่นออกมาทางไซฟอน สว่ น ดาวทะเลใชร้ ะบบท่อน้าใน

319 และการทางานของกลา้ มเนื้อ การเคลื่อนท่ี ไสเ้ ดอื นดิน โครงรา่ งที่เก่ยี วข้องกับการ มกี ารเคลื่อนที่ โดยอาศัย เคล่อื นไหวและการเคลอื่ นท่ี การหดตวั และคลายตวั ของ ของมนุษย์ กล้ามเน้อื วงและกลา้ มเน้อื ตามยาวซึ่งทางานในสภาวะ ตรงกันขา้ ม โครงสรา้ งรายวิชาชีววิทยา 5 ภาคเรียนที่ 1 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 ลาดับที่ ชือ่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก อตั ราส่วน การเรยี นรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน ระหวา่ งเรียน กับสอบ แมลงเคลอ่ื นที่โดยใช้ปีกหรือ ขา ซึง่ มีกล้ามเนือ้ ภายใน เปลือกหมุ้ ทางานในสภาวะ ตรงกันข้าม สัตวม์ กี ระดูกสนั หลัง เช่น ปลา เคล่อื นทีโ่ ดย อาศัยการหดตัวและคลาย ตวั ของกล้ามเนือ้ ทีย่ ึดตดิ อยู่ กบั กระดูกสนั หลังทั้ง ๒ ข้าง ทางานในสภาวะตรงกนั ข้าม และมีครบี ทอ่ี ยู่ในตาแหนง่ ต่าง ๆ ชว่ ยโบกพัดในการ เคลอ่ื นท่ี ส่วนนกเคล่ือนที่ โดยอาศัยการหดตวั และ คลายตวั ของกล้ามเน้ือกด ปีกกบั กล้ามเนอื้ ยกปีกซ่ึง ทางานในสภาวะตรงกนั ขา้ ม มนษุ ย์เคลื่อนทโ่ี ดยอาศัย การทางานของกระดูกและ กล้ามเนอ้ื ซง่ึ ยึดกนั ดว้ ยเอน็ ยดึ กระดูกบริเวณที่กระดูก ตั้งแต่ ๒ ชิน้ มาต่อกัน เรียกวา่ ขอ้ ต่อ และยึดกัน ด้วยเอน็ ยึดข้อ กระดูกเปน็ เนื้อเยือ่ ทีใ่ ชค้ ้าจนุ และทา

320 หนา้ ทใี่ นการเคลือ่ นไหวของ รา่ งกายแบ่งตามตาแหนง่ ได้ เปน็ กระดูกแกนและกระดูก รยางค์ โครงสร้างรายวิชาชีววิทยา 5 ภาคเรียนท่ี 1 ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 6 ลาดบั ที่ ชอ่ื หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั อตั ราส่วน การเรียนรู้ (ช่ัวโมง) คะแนน ระหวา่ งเรียน 3 การสืบพนั ธุ์ กบั สอบ และการ เจริญเติบโต กลา้ มเนื้อในรา่ งกายมนษุ ย์ ของส่งิ มชี ีวิต แบง่ ออกเปน็ กลา้ มเนื้อโครง ร่าง กลา้ มเนอ้ื หัวใจ และ กล้ามเนอื้ เรียบ กลา้ มเนื้อท้ัง ๓ ชนดิ พบในตาแหนง่ ที่ ต่างกนั และมีหน้าที่แตกต่าง กนั กลา้ มเนื้อโครงร่างสว่ น ใหญ่ทางานรว่ มกันเปน็ คู่ ๆ ในสภาวะตรงกันข้าม ๑2. สืบค้นข้อมูล อธบิ าย การสบื พันธุ์แบบไม่อาศยั 10 20 และยกตวั อยา่ งการสบื พนั ธ์ุ เพศของสัตวเ์ ป็นการสบื พนั ธุ์ แบบไม่อาศัยเพศและการ ทีไ่ ม่มกี ารรวมของเซลล์ สืบพันธุแ์ บบอาศยั เพศในสัตว์ สืบพันธุ์ เช่น การแตกหนอ่ 13. สบื คน้ ขอ้ มลู อธิบาย และการงอกใหม่ โครงสรา้ งและหน้าท่ีของ การสบื พนั ธุ์แบบอาศยั เพศ อวยั วะในระบบสบื พันธุ์เพศ ของสัตวเ์ ป็นการสืบพันธุ์ท่ี ชายและระบบสบื พนั ธ์ุ เกิดจากการรวมนวิ เคลียส เพศหญงิ ของเซลล์สืบพันธ์ุ ซงึ่ มีทั้ง ๑4. อธิบายกระบวนการสร้าง การปฏสิ นธภิ ายนอกและ สเปิร์ม กระบวนการสรา้ ง การปฏสิ นธภิ ายใน สัตวบ์ าง เซลล์ไข่ และการปฏิสนธิใน ชนดิ มี ๒ เพศในตวั เดยี วกัน มนุษย์15. อธิบายการ แตก่ ารผสมพนั ธ์สุ ว่ นใหญจ่ ะ เจริญเติบโตระยะเอ็มบรโิ อ ผสมขา้ มตัว การสืบพันธุ์ของ

321 และระยะหลังเอ็มบรโิ อของ มนุษย์มีกระบวนการสร้าง กบ ไก่ และมนุษย์ สเปิร์มจากเซลลส์ เปอร์มาโท โกเนยี มภายในอัณฑะ และ กระบวนการสรา้ งเซลลไ์ ข่ จากเซลลโ์ อโอโกเนียม ภายในรงั ไข่ อวัยวะสบื พันธุ์ ของเพศชายประกอบดว้ ย อณั ฑะ โครงสรา้ งรายวิชาชีววิทยา 5 ภาคเรียนท่ี 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 6 ลาดบั ที่ ชือ่ หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก อตั ราส่วน การเรียนรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน ระหวา่ งเรียน กับสอบ ทาหน้าท่ีสรา้ งสเปริ ม์ และ ฮอรโ์ มนเพศชายและมี โครงสร้างอื่น ๆ ทที่ าหน้าท่ี ลาเลียงสเปริ ม์ สรา้ งนา้ เล้ียง สเปิรม์ และสารหล่อลน่ื ท่อ ปสั สาวะ อัณฑะ ประกอบ ดว้ ยหลอดสร้างสเปิรม์ ซง่ึ ภายใน มีเซลล์สเปอรม์ าโท โกเนียมทีเ่ ปน็ เซลล์ต้งั ต้น ของกระบวนการสร้าง สเปริ ์ม อวยั วะสืบพันธ์ุของ เพศหญิง ประกอบดว้ ย รงั ไข่ ท่อนาไข่ มดลูก และ ชอ่ งคลอด รงั ไข่ทาหน้าท่ี สรา้ งเซลลไ์ ข่และฮอรโ์ มน เพศหญงิ กระบวนการสร้าง สเปิร์มเร่มิ ต้นจากสเปอร์มา โท-โกเนยี มแบง่ เซลลแ์ บบไม โทซสิ ได้ สเปอร์มาโท- โก เนียมจานวนมาก ซึ่งต่อมา บางเซลล์พฒั นา เปน็ สเปอร์ มาโทไซตร์ ะยะแรก โดย สเปอรม์ าโทไซตร์ ะยะแรก จะแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ I

322 ไดส้ เปอรม์ าโทไซต์ ระยะท่ี สองซึ่งจะแบ่งเซลลแ์ บบไม โอซิส IIไดส้ เปอร์มาทดิ ตามลาดับ จากน้ันพัฒนา เป็นสเปิรม์ กระบวนการ สร้างเซลลไ์ ข่เร่มิ จาก โครงสร้างรายวชิ าชีววิทยา 5 ภาคเรียนที่ 1 ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 6 ลาดบั ที่ ชอ่ื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั อัตราส่วน การเรียนรู้ (ชว่ั โมง) คะแนน ระหว่างเรียน กับสอบ โอโอโกเนียมแบง่ เซลล์แบบ ไมโทซสิ ไดโ้ อโอโกเนยี ม ซ่ึง จะพัฒนาเปน็ โอโอไซต์ ระยะแรก แล้วแบง่ เซลล์ แบบไมโอซสิ I ได้โอโอไซต์ ระยะท่สี องซงึ่ จะเกดิ การ ตกไข่ต่อไป เมื่อไดร้ บั การ กระตนุ้ จากสเปิร์ม โอโอไซต์ ระยะท่สี องจะแบง่ แบบ ไมโอซสิ II แล้วพฒั นาเปน็ เซลล์ไข่ การปฏิสนธิเกดิ ข้ึน ภายในท่อนาไข่ไดไ้ ซโกต ซง่ึ จะเจริญเป็นเอม็ บรโิ อ และไปฝังตวั ทผี่ นงั มดลูก จนกระทัง่ ครบกาหนดคลอด การเจริญเติบโตของสตั ว์ เช่น กบ ไก่ และสัตวเ์ ล้ียง ลกู ดว้ ยน้านม จะเริม่ ตน้ ดว้ ย การแบ่งเซลล์ของไซโกต การเกดิ เนื้อเยื่อเอ็มบริโอ ๓ ชนั้ คอื เอกโทเดริ ์ม เมโซเดิรม์ และเอนโดเดิรม์ การเกดิ อวยั วะ โดยมีการ เพิ่มจานวน ขยายขนาด

323 และการเปลยี่ นแปลงรปู รา่ ง ของเซลลเ์ พื่อทาหนา้ ท่ี เฉพาะอยา่ ง ซ่ึงพฒั นาการ ของอวัยวะต่าง ๆ จะทาให้มี การเกดิ รูปร่างที่แนน่ อนใน สัตวแ์ ตล่ ะชนิด โครงสรา้ งรายวชิ าชีววิทยา 5 ภาคเรยี นที่ 1 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 ลาดับท่ี ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก อัตราส่วน การเรียนรู้ (ชัว่ โมง) คะแนน ระหวา่ งเรียน 4 ระบบตอ่ ม กบั สอบ ไร้ทอ่ 16. สืบคน้ ข้อมลู อธบิ าย การเจริญเติบโตของมนุษย์จะ 10 20 และเขยี นแผนผงั สรปุ หนา้ ที่ มขี ้นั ตอนคลา้ ยกบั การ ของฮอรโ์ มนจากต่อมไร้ท่อ เจริญเติบโตของสตั ว์เล้ยี งลกู และเน้อื เยื่อ ทีส่ รา้ งฮอรโ์ มน ด้วยนา้ นมอ่นื ๆ โดยเอม็ บริโอ จะฝังตัวทีผ่ นังมดลูก และมี การแลกเปล่ยี นสารระหวา่ ง แม่กับลกู ผา่ นทางรก ฮอร์โมนเป็นสารที่ควบคมุ สมดุลตา่ ง ๆ ของร่างกาย โดย ผลติ จากตอ่ มไรท้ ่อหรอื เนื้อเย่ือ โดยต่อมไร้ท่อน้จี ะ กระจายอยตู่ ามตาแหน่งตา่ ง ทั่วร่างกาย ต่อมไร้ท่อท่สี รา้ ง หรอื หลั่งฮอร์โมน ไม่มที อ่ ใน การลาเลยี งฮอรโ์ มนออกจาก ตอ่ มจึงถกู ลาเลยี ง โดยระบบหมนุ เวียนเลือดไป ยงั อวัยวะเป้าหมายท่จี าเพาะ เจาะจงต่อมไพเนยี ลสร้างเม ลาโทนนิ ซง่ึ ยบั ยัง้ การ เจริญเติบโตของอวัยวะ สืบพันธ์ชุ ่วงก่อนวยั เจรญิ พนั ธ์ุ และตอบสนองต่อการ เปลย่ี นแปลงของแสง

324 ในรอบวัน ตอ่ มใต้สมองส่วน หนา้ สรา้ งและหลง่ั โกรท ฮอรโ์ มน โพรแลกทนิ ACTH TSH FSH LH เอนดอร์ฟนิ โครงสรา้ งรายวิชาชีววิทยา 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ลาดับท่ี ชื่อหน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก อตั ราสว่ น การเรียนรู้ (ชว่ั โมง) คะแนน ระหวา่ งเรยี น กบั สอบ ซ่ึงทาหน้าท่ีแตกต่างกัน ต่อมใต้สมองสว่ นหลงั หลงั่ ฮอรโ์ มนซ่งึ สร้างจาก ไฮโพทาลามสั คือ ADH และออกซโิ ทซิน ซึง่ ทา หนา้ ทีแ่ ตกต่างกัน ตอ่ มไทรอยดส์ ร้าง ไทรอกซินซง่ึ ควบคมุ อตั รา เมแทบอลซิ มึ ของรา่ งกาย และสรา้ งแคลซิโทนนิ ซ่งึ ควบคมุ ระดบั แคลเซยี มใน เลือดใหป้ กติตอ่ มพารา- ไทรอยดส์ ร้างพาราทอร์โมน ซง่ึ ควบคุมระดับแคลเซยี มใน เลอื ดให้ปกติ ตับอ่อนมีกลุม่ เซลลท์ ี่สร้างอนิ ซูลินและ กลูคากอน ซ่ึงควบคุมระดับ นา้ ตาลในเลือดใหป้ กติ ต่อม หมวกไตสว่ นนอกสร้างกลโู ค คอรต์ คิ อยด์มิเนราโลคอร์- ติคอยด์ และฮอรโ์ มนเพศ ซง่ึ มหี นา้ ทีแ่ ตกต่างกัน สว่ น ตอ่ มหมวกไตส่วนในสรา้ ง เอพเิ นฟรนิ และนอร์เอพิ-

325 เนฟรนิ ซึง่ มหี นา้ ทีเ่ หมือนกนั อัณฑะมีกลมุ่ เซลลส์ ร้างเทส โทสเทอโรน ส่วนรงั ไข่มีกลุ่ม เซลลท์ ่สี ร้างอสี โทรเจน และ โพรเจสเทอโรนซง่ึ มหี น้าที่ แตกต่างกัน โครงสรา้ งรายวิชาชีววิทยา 5 ภาคเรยี นที่ 1 ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 6 ลาดับที่ ชอ่ื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั อัตราส่วน การเรยี นรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน ระหว่างเรียน 5 พฤติกรรม กบั สอบ ของสตั ว์ เนือ้ เยอ่ื บางบริเวณของ อวยั วะ เช่น รก ไทมสั กระเพาะอาหาร และลาไส้ เลก็ สามารถสรา้ งฮอร์โมน ได้หลายชนดิ ซงึ่ มหี น้าท่ี แตกตา่ งกนั การควบคุมการ หลัง่ ฮอร์โมนจากต่อมไรท้ ่อ มีทั้งการควบคมุ แบบ ป้อนกลับยบั ย้ัง และการ ควบคมุ แบบป้อนกลับ กระตุ้น เพอ่ื รักษาดลุ ยภาพ ของร่างกาย ฟีโรโมนเป็น สารเคมีทผี่ ลติ จากต่อมมีท่อ ของสัตวซ์ ่งึ สง่ ผลต่อสัตว์ตวั อื่นท่เี ปน็ ชนดิ เดยี วกนั 17. สืบคน้ ข้อมลู อธิบาย พนั ธกุ รรมและสง่ิ แวดลอ้ มมี เปรียบเทียบ และยกตวั อยา่ ง ผลตอ่ การแสดงพฤติกรรม พฤติกรรมท่เี ปน็ มาแต่กาเนิด พฤติกรรมทเ่ี ปน็ มาแต่ และพฤตกิ รรมทเ่ี กิดจากการ กาเนดิ แบง่ ออกได้เปน็ หลาย เรียนรขู้ องสตั ว์ ชนดิ เช่น โอเรยี นเตชนั 18. สบื ค้นขอ้ มูล อธบิ าย (แทกซิสและไคนีซิส) และยกตวั อยา่ งความสัมพันธ์ รีเฟลก็ ซ์ และฟิกแอกชัน ระหว่างพฤติกรรมกบั แพทเทิรน์ พฤติกรรมที่เกดิ วิวัฒนาการของระบบประสาท จากการเรียนรู้ แบ่งได้เปน็

326 19. สบื ค้นขอ้ มลู อธิบาย แฮบบิชูเอชนั การฝังใจ และยกตวั อยา่ งการส่ือสาร การเชอ่ื มโยง ระหวา่ งสัตวท์ ่ที าให้สัตวแ์ สดง (การลองผิดลองถูกและการ พฤติกรรม มีเงื่อนไข)และการใช้เหตผุ ล ระดับการแสดงพฤตกิ รรมท่ี สตั ว์แตล่ ะชนิดแสดงออก โครงสรา้ งรายวชิ าชีววิทยา 5 ภาคเรียนที่ 1 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ลาดบั ท่ี ชือ่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก อตั ราสว่ น การเรียนรู้ (ชว่ั โมง) คะแนน ระหวา่ งเรียน 60 100 กบั สอบ แตกตา่ งกันซึ่งเปน็ ผลมาจาก วิวัฒนาการของระบบ ประสาทท่ีแตกตา่ งกัน การสือ่ สารเปน็ พฤติกรรม ทางสังคมแบบหนง่ึ ซ่งึ มี หลายวิธี เช่น การสอื่ สาร ดว้ ยทา่ ทางการส่ือสาร ดว้ ยเสียง การสอื่ สารดว้ ย สารเคมี และการสือ่ สารดว้ ย การสมั ผสั รวมจานวน

327 โครงสร้างรายวิชาชีววิทยา 6 ภาคเรยี นที่ 2 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 ลาดบั ท่ี ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั อัตราสว่ น การเรียนรู้ (ชั่วโมง) คะแนน ระหวา่ งเรยี น 1 ความ ๑. อภิปรายความสาคญั ของ ความหลากหลายทาง 60 30 กับสอบ หลากหลาย ความหลากหลายทางชีวภาพ ชวี ภาพ ประกอบด้วย ทางชีวภาพ และความเชื่อมโยงระหวา่ ง ความหลากหลายทาง 70:30 ความหลากหลายทาง พันธุกรรมความหลากหลาย พันธุกรรม ความหลากหลาย ของสปชี ีส์ และความ ของสปีชีส์ และความ หลากหลายของระบบนิเวศ หลากหลายของระบบนเิ วศ การแปรผนั ทางพนั ธกุ รรม ๒. อธบิ ายการเกิดเซลล์ ทาให้เกดิ ความหลากหลาย เริม่ แรกของส่งิ มีชวี ติ และ ทางพันธุกรรม ซง่ึ ส่ิงมีชีวิต วิวัฒนาการของสง่ิ มีชวี ิต ใดทมี่ ีความหลากหลายทาง เซลล์เดียว พนั ธกุ รรมมากย่อมทาให้ ๓. อธบิ ายลักษณะสาคัญ มโี อกาสอย่รู อดเพ่มิ ข้ึนและ และยกตวั อย่างสงิ่ มีชีวิตกล่มุ สบื ทอดลูกหลานต่อไปได้ แบคทีเรีย สิง่ มชี ีวติ กลมุ่ สง่ิ มชี ีวิตทดี่ ารงชวี ติ อยใู่ น โพรทสิ ต์ สง่ิ มีชวี ิต กลมุ่ พืช ส่ิงแวดลอ้ มตา่ ง ๆ ได้ผ่าน สิง่ มชี ีวิตกลมุ่ ฟังไจ และ กระบวนการคดั เลอื กโดย สง่ิ มชี วี ติ กลุ่มสตั ว์ ธรรมชาติหรอื โดยมนุษย์มา ๔. อธบิ าย และยกตวั อย่าง เปน็ ระยะเวลายาวนาน การจาแนกสิง่ มีชีวติ จาก หลายชัว่ รุ่นซ่งึ อาจเกดิ เป็น หมวดหมู่ใหญ่จนถงึ หมวดหมู่ สปีชสี ์ใหม่ ส่งผลใหเ้ กิด

328 ยอ่ ย และวิธกี ารเขียนชื่อ ความหลากหลายของสปชี สี ์ วิทยาศาสตร์ในลาดบั ขน้ั สปีชีส์ แหลง่ ทอ่ี ยู่อาศยั แต่ละแหลง่ ๕. สรา้ งไดโคโทมสั คียใ์ นการ ท่ีส่ิงมีชวี ิตอาศยั อยู่น้ันจะมี ระบสุ งิ่ มีชีวติ หรอื ตัวอยา่ งท่ี องคป์ ระกอบของปัจจัยทาง กาหนดออกเปน็ หมวดหมู่ กายภาพและปจั จยั ทาง ชีวภาพทีแ่ ตกตา่ งกัน ทาให้ เกดิ ความหลากหลายของ ระบบนเิ วศ จุดเรม่ิ ต้นของ วิวัฒนาการของเซลลเ์ กิด จาก โมเลกุลของสารอนิ ทรีย์ โดยเซลล์รูปแบบแรก โครงสร้างรายวชิ าชีววิทยา 6 ภาคเรยี นที่ 2 ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 6 ลาดับท่ี ชอื่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก อตั ราสว่ น การเรยี นรู้ (ชั่วโมง) คะแนน ระหว่างเรียน กบั สอบ ที่เกดิ ขน้ึ คือ เซลล์โพรคาริ โอต และมีววิ ัฒนาการข้ึนมา เปน็ เซลลย์ ูคารโิ อต และจาก สิ่งมชี ีวติ เซลลเ์ ดยี ว เปน็ ส่งิ มีชีวติ หลายเซลลท์ ม่ี ี โครงสร้างแบบงา่ ย ๆ จน กลายมาเปน็ ส่ิงมชี วี ติ หลาย เซลลท์ มี่ โี ครงสร้างซับซ้อน มากขน้ึ ตามลาดับ จดุ เริม่ ตน้ ของววิ ฒั นาการของเซลล์ เกดิ จาก โมเลกุลของ สารอนิ ทรยี ์ โดยเซลล์ รปู แบบแรกท่เี กดิ ขน้ึ คือ เซลล์โพรคาริโอต และมี วิวฒั นาการข้ึนมาเป็นเซลลย์ ู คาริโอต และจากส่งิ มชี ีวิต เซลลเ์ ดยี ว เป็นสง่ิ มชี วี ิต หลายเซลลท์ ม่ี ีโครงสร้าง แบบงา่ ย ๆ จนกลายมาเป็น สิ่งมชี ีวิตหลายเซลล์

329 ท่ีมีโครงสร้างซบั ซ้อนมากขนึ้ ตามลาดับ แบคทเี รียเป็น สง่ิ มีชีวิตพวกโพรคาริโอต ผนังเซลล์มเี พปทิโดไกลแคน เปน็ องค์ประกอบสาคัญ แบคทเี รยี ทัว่ ไปสรา้ งอาหาร เองไมไ่ ด้ ดารงชีวิตแบบผู้ สลายสารอินทรีย์หรือแบบ ปรสิตแตแ่ บคทีเรยี บางกลุม่ เชน่ ไซยาโนแบคทเี รียสรา้ ง อาหารเองได้จาก โครงสรา้ งรายวชิ าชีววิทยา 6 ภาคเรียนที่ 2 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 ลาดบั ที่ ชอ่ื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก อัตราส่วน การเรียนรู้ (ช่วั โมง) คะแนน ระหว่างเรียน กับสอบ กระบวนการสังเคราะห์ ด้วยแสงโพรทิสต์เป็น สง่ิ มีชีวิตพวกยคู ารโิ อต มีลกั ษณะหลากหลาย ทั้งที่ เปน็ สง่ิ มชี ีวิตเซลลเ์ ดียวหรือ สง่ิ มชี ีวิตหลายเซลลท์ ่ยี ังไม่ พฒั นาไปเปน็ เน้ือเย่ือ อาจมี หรอื ไม่มีผนงั เซลล์เป็น สว่ นประกอบของเซลล์ พืชเปน็ ส่ิงมชี วี ิตหลายเซลล์ พวกยคู ารโิ อต มผี นังเซลล์ ซึง่ มเี ซลลูโลสเป็น องค์ประกอบ มวี ฏั จกั รชวี ติ แบบสลับ และมีระยะ เอ็มบริโอในการสืบพันธแุ์ บบ อาศัยเพศ พืชสรา้ งอาหาร เองได้จากกระบวนการ สงั เคราะหด์ ้วยแสง ฟังไจเปน็ สิง่ มีชีวติ พวก ยคู ารโิ อต มีทัง้ ส่ิงมีชีวติ เซลล์

330 เดยี วและหลายเซลล์ เซลล์ของฟังไจยังไม่พัฒนา ไปเป็นเนือ้ เยื่อ ผนงั เซลลม์ ี ไคทนิ เปน็ องคป์ ระกอบ สาคญั ฟังไจสร้างอาหารเอง ไม่ได้และดารงชีวติ แบบผู้ สลายสารอินทรียห์ รือแบบ ปรสติ สัตวเ์ ปน็ สงิ่ มชี วี ิต หลายเซลล์พวกยคู ารโิ อต ไม่สามารถสร้างอาหารเอง ได้ตอ้ งได้รับอาหาร โครงสรา้ งรายวิชาชีววิทยา 6 ภาคเรียนที่ 2 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 ลาดบั ที่ ช่ือหน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั อตั ราสว่ น การเรยี นรู้ (ชั่วโมง) คะแนน ระหวา่ งเรยี น กบั สอบ จากสิง่ มชี ีวิตอื่น ส่วนใหญม่ ี ระบบย่อยอาหาร บางชนิด อาจเป็นปรสิต สัตว์มรี ะยะ เอ็มบริโอในการสบื พนั ธแ์ุ บบ อาศยั เพศ สัตว์อาจแบง่ เปน็ กลุ่มย่อยโดยพจิ ารณา ลักษณะต่าง ๆ คือ เนือ้ เยอ่ื สมมาตร การเปลย่ี นแปลง ของ บลาสโทพอร์ การเจริญ ในระยะตัวอ่อน ทาให้ อาจ แบง่ สัตวเ์ ป็นกล่มุ ย่อย เชน่ กลุม่ ฟองนา้ กลุ่มไฮดรา กลุ่มหนอนตัวแบน กลุ่ม หอยและหมึก กลุ่มไส้เดือน ดนิ กลุ่มหนอนตวั กลม กลมุ่ สัตว์ทม่ี ีขาเป็นปล้อง กล่มุ ดาวทะเลและปลงิ ทะเล และกลมุ่ สัตวท์ ่ีมีโนโทคอร์ด การจาแนกสิง่ มีชวี ิตออกเปน็ หมวดหมู่เปน็ ลาดับขนั้ ต่าง

331 ๆ เรมิ่ จากหมวดหมู่ใหญ่แล้ว แบ่งเปน็ หมวดหมยู่ ่อย มี ดงั นี้ คงิ ดอม ไฟลมั คลาส ออร์เดอร์ แฟมิลี จีนสั และสปีชสี ์ ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ ของสิง่ มีชีวิตในลาดบั ข้ัน สปีชีส์ ที่ตัง้ ข้นึ ตามระบบ ทวินามเพื่อใช้ในการระบุ ถึงส่งิ มีชวี ิตแตล่ ะชนดิ ให้มี ความเขา้ ใจถูกต้องตรงกนั ประกอบด้วย ๒ สว่ น โครงสรา้ งรายวชิ าชีววิทยา 6 ภาคเรียนที่ 2 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 ลาดับที่ ชื่อหน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนัก อตั ราส่วน การเรียนรู้ (ชั่วโมง) คะแนน ระหวา่ งเรียน กับสอบ โดยส่วนแรกเปน็ ชือ่ สกุล สว่ นหลงั เปน็ คาท่รี ะบุ ลักษณะพเิ ศษของสงิ่ มชี วี ิต ชนิดนน้ั หรอื เป็นคาท่มี ี ความหมายเฉพาะ โดยทงั้ ๒ ส่วนนี้ตอ้ งเป็นภาษาละติน ไดโค- โทมัสคียเ์ ปน็ เคร่ืองมือทีใ่ ช้ เพอื่ ระบุหมวดหมู่ของ สง่ิ มชี ีวติ ลาดบั ขน้ั ตา่ ง ๆ โดยมหี ลกั เกณฑ์ ในการนา ลกั ษณะทีต่ ่างกันของ สิ่งมชี วี ติ มาพจิ ารณาเปน็ คู่ วทิ เทเกอร์ เสนอ แนวความคดิ ทวี่ ่าสง่ิ มชี วี ิต พวกยูคารโิ อตมวี ิวัฒนาการ มาจากสง่ิ มชี ีวิตพวก โพรคารโิ อต และจาแนก สง่ิ มชี วี ติ เป็น ๕ คิงดอม ประกอบด้วย มอเนอรา

332 โพรทสิ ตา พชื ฟังไจ และ สตั วโ์ วสซ์ และคณะ จาแนก สิ่งมชี ีวติ เปน็ ๓ โดเมน ประกอบด้วย แบคทีเรีย อารเ์ คยี และยคู ารีอา โดย แนวความคดิ การจาแนก สง่ิ มีชีวิตแต่ละโดเมนเปน็ กลมุ่ ยอ่ ยจะใช้หลกั ทีว่ า่ สง่ิ มชี ีวิตในกลมุ่ เดยี วกัน มีสายวิวัฒนาการมาจาก บรรพบรุ ษุ ร่วมกัน โครงสรา้ งรายวิชาชีววิทยา 6 ภาคเรียนท่ี 2 ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 6 ลาดบั ท่ี ชื่อหน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั อตั ราส่วน การเรยี นรู้ (ช่วั โมง) คะแนน ระหวา่ งเรียน กบั สอบ 2 ไบโอม 6. วิเคราะห์ อธบิ าย และ ระบบนเิ วศจะดารงอยู่ได้ 20 30 ยกตัวอยา่ งกระบวนการ ตอ้ งมีกระบวนการต่าง ๆ ถ่ายทอดพลงั งานในระบบ เกิดขน้ึ กระบวนการท่ี นเิ วศ สาคัญ ได้แก่ การถา่ ยทอด 7. อธบิ าย ยกตวั อยา่ งการ พลังงาน และการหมนุ เวยี น เกดิ ไบโอแมกนฟิ เิ คชัน และ สาร การถา่ ยทอดพลงั งาน บอกแนวทางในการลดการ ในระบบนเิ วศสามารถแสดง เกิดไบโอแมกนฟิ เิ คชัน ไดด้ ว้ ยแผนภาพที่เรียกวา่ 8. สบื ค้นขอ้ มูล และเขียน โซ่อาหาร สายใยอาหาร แผนภาพ เพ่ืออธิบายวัฏจกั ร และพีระมดิ ทางนเิ วศวทิ ยา ไนโตรเจน วฏั จักรกามะถนั พลังงานท่ีถา่ ยทอดไปในแต่ และวฏั จักรฟอสฟอรัส ละลาดับขั้นการกินอาหารมี 9. สบื คน้ ข้อมลู ยกตวั อย่าง ปรมิ าณที่ไมเ่ ท่ากัน พลงั งาน และอธิบายลกั ษณะของไบโอม สว่ นใหญจ่ ะสญู เสียไปในรูป ทีก่ ระจายอยตู่ ามเขต ความร้อนระหว่างการ ภูมิศาสตร์ตา่ ง ๆ บนโลก ถา่ ยทอดจากสงิ่ มชี ีวติ หนง่ึ 10. สบื คน้ ข้อมลู ยกตัวอย่าง ไปยังสิง่ มีชีวติ อีกชนิดหนงึ่ อธิบาย และเปรียบเทียบการ การถา่ ยทอดพลงั งานใน เปล่ียนแปลงแทนที่แบบ ระบบนเิ วศบางครง้ั อาจทา ปฐมภูมิ และการเปลีย่ นแปลง ให้มีสารพิษสะสมอยู่ใน

333 แทนท่ีแบบทตุ ิยภูมิ สงิ่ มีชวี ิตดว้ ยเรยี กวา่ การเกิดไบโอแมกนิฟเิ คชนั ซ่ึงอาจมรี ะดับความเข้มขน้ ของสารพิษมากขึ้ตามลาดับ ข้นั ของการกนิ จนอาจ ก่อใหเ้ กดิ อันตรายต่อ ส่ิงมีชวี ติ สารตา่ ง ๆ ใน ระบบนเิ วศมีการหมนุ เวียน เกดิ ข้นึ ผา่ นทั้งในสิง่ มีชีวิต และสิ่งไมม่ ีชวี ิต กลบั คืนสู่ ระบบอย่างเป็นวัฏจักร โครงสร้างรายวชิ าชีววิทยา 6 ภาคเรยี นท่ี 2 ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 6 ลาดบั ท่ี ช่อื หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั อัตราสว่ น การเรียนรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน ระหว่างเรยี น กบั สอบ เชน่ วัฏจกั รไนโตรเจน วฏั จกั รกามะถนั และวัฏจักร ฟอสฟอรสั ไบโอมคอื ระบบ นเิ วศขนาดใหญ่ที่กระจาย อยูต่ ามเขตภูมิศาสตรต์ ่าง ๆ บนโลก เชน่ ไบโอมทนุ ดรา ไบโอมสะวนั นา ไบโอม ทะเลทราย โดยแต่ละ ไบโอมจะมีลักษณะเฉพาะ ของปจั จยั ทางกายภาพ ชนิดของพืช และชนิดของ สตั ว์ ระบบนิเวศมีการ เปลย่ี นแปลงได้ การ เปล่ียนแปลงทเ่ี กดิ ขนึ้ อย่าง ชา้ ๆ ทาให้ระบบนเิ วศ สามารถปรับสมดลุ ได้ แต่ การเปล่ยี นแปลงที่เกดิ ขน้ึ อย่างรวดเร็วอาจส่งผล กระทบต่อองคป์ ระกอบทาง ชีวภาพในระบบนเิ วศทาให้

3 ประชากร 11. สบื ค้นข้อมูล อธิบาย เกิดการเปลยี่ นแปลงแทนท่ี 10 334 ยกตัวอยา่ ง และสรุปเก่ยี วกบั ของส่ิงมีชีวติ ขึ้น ลักษณะเฉพาะของประชากร การเปล่ยี นแปลงแทนท่ที าง 20 ของสิง่ มีชีวิตบางชนิด นเิ วศวิทยา มีทั้งการเปลี่ยน แปลงแทนท่ีแบบปฐมภูมิ และการเปลยี่ นแปลงแทนท่ี แบบทุติยภูมิ ประชากรของสิง่ มีชวี ิตทุก ชนดิ มีลักษณะหลาย ประการท่ีเปน็ ลกั ษณะเฉพาะ โครงสรา้ งรายวชิ าชีววิทยา 6 ภาคเรยี นท่ี 2 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 ลาดับท่ี ชอื่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก อตั ราสว่ น การเรยี นรู้ (ชว่ั โมง) คะแนน ระหว่างเรียน กับสอบ 12. สืบค้นขอ้ มลู อธบิ าย เช่น ขนาดของประชากร เปรียบเทยี บ และยกตวั อยา่ ง ความหนาแนน่ ของ การเพ่ิมของประชากร ประชากรการกระจายตัว แบบเอ็กโพเนนเชียลและการ ของสมาชิกในประชากร เพมิ่ ของประชากรแบลอจิสติก โครงสรา้ งอายขุ องประชากร 13. อธบิ าย และยกตวั อย่าง อตั ราส่วนระหว่างเพศ อตั รา ปจั จยั ท่คี วบคมุ การเตบิ โตของ การเกดิ และอัตราการตาย ประชากร การอพยพเข้า การอพยพ ออกของประชากร และการ รอดชีวิตของสมาชิกทีม่ ีอายุ ต่างกันลกั ษณะเฉพาะของ ประชากรมีอิทธพิ ลต่อ การเปลี่ยนแปลงขนาดของ ประชากรซ่ึงเปน็ กระบวน การที่เกิดขน้ึ อยเู่ สมอ การ เพม่ิ ประชากรแบบเอก็ โพเนนเชยี ลเป็นการเพ่ิม จานวนประชากรอย่าง รวดเร็วแบบทวีคณู การเพิ่มประชากรแบบลอจิ

335 สติกเปน็ การเพิ่มจานวน ประชากรท่ีข้ึนอยู่กบั สภาพแวดลอ้ ม หรือมตี ัว ต้านทานในส่งิ แวดล้อมมา เกี่ยวข้อง การเติบโตของ ประชากรขึ้นกับปัจจัยต่าง ๆ ซง่ึ แบ่งได้เปน็ ปัจจัยทขี่ ้นึ กบั ความหนาแนน่ ของ ประชากร และปัจจยั ทไ่ี ม่ ข้ึนกับความหนาแน่นของ ประชากร ประชากรมนุษย์ โครงสรา้ งรายวิชาชีววิทยา 6 ภาคเรียนท่ี 2 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ลาดับท่ี ชอื่ หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั อตั ราส่วน การเรยี นรู้ (ช่วั โมง) คะแนน ระหวา่ งเรียน 10 20 กบั สอบ มอี ัตราการเติบโตอย่าง รวดเร็วแบบเอก็ โพเนนเชียล หลงั จากการปฏวิ ัติ ทางอุตสาหกรรมเป็นตน้ มา 4 ทรพั ยากร 14. วเิ คราะห์ อภปิ ราย และ ปญั หาทเ่ี กิดกับทรัพยากรนา้ ธรรมชาตแิ ละ สรปุ ปัญหาการขาดแคลนนา้ ส่วนใหญเ่ กดิ จาก การปล่อย ส่งิ แวดลอ้ ม การเกดิ มลพิษทางนา้ และ น้าทีผ่ ่านการใช้ประโยชน์ ผลกระทบท่ีมีตอ่ มนุษย์และ จากกิจกรรม ต่าง ๆ ของ สงิ่ แวดล้อม รวมท้ังเสนอแนว มนุษย์และยังไม่ไดร้ บั การ ทางการวางแผนการจดั การนา้ บาบดั ลงส่แู หล่งนา้ ทาให้ และการแก้ไขปัญหา เกดิ มลพิษทางน้า 15. วเิ คราะห์ อภิปราย และ การตรวจสอบคุณภาพน้า สรุปปญั หามลพิษทางอากาศ นิยมใชก้ ารหาค่าปริมาณ และผลกระทบทม่ี ีต่อมนุษย์ ออกซิเจนทล่ี ะลายน้า และ และสิ่งแวดลอ้ ม รวมทัง้ เสนอ คา่ ปริมาณออกซเิ จนท่ี แนวทางการแกไ้ ขปัญหา จลุ นิ ทรีย์ในนา้ ใช้ในการย่อย ๑6. วิเคราะห์ อภิปราย และ สลายสารอนิ ทรียใ์ นนา้ สรุปปัญหาที่เกิดกับทรัพยากร การจัดการทรัพยากรนา้ ดิน และผลกระทบทมี่ ีต่อ เพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุด มนษุ ย์และสิง่ แวดลอ้ ม รวมทั้ง ควรมกี ารวางแผนการใชน้ า้

336 เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา การแก้ไขปญั หาคณุ ภาพนา้ ๑7. วเิ คราะห์ อภิปราย และ รวมทัง้ การปลกู จิตสานึกใน สรุปปัญหา ผลกระทบทีเ่ กดิ การใชน้ ้าอย่างถูกต้อง• การ จากการทาลายปา่ ไม้ รวมทง้ั ปนเป้ือนของสารเคมี ฝ่นุ เสนอแนวทางในการป้องกนั ละออง และจุลินทรยี ต์ ่าง ๆ การทาลายป่าไมแ้ ละการ ทาให้เกดิ มลพษิ ทางอากาศ อนุรักษป์ ่าไม้ ซ่งึ เกิดไดท้ ง้ั จากธรรมชาติ ๑8. วเิ คราะห์ อภิปราย และ และจากการกระทาของ สรุปปัญหา ผลกระทบที่ทาให้ มนุษย์ การเกดิ มลพษิ ทาง สตั ว์ปา่ มีจานวนลดลง และ อากาศท่ีเกิดข้นึ เองตาม แนวทางในการอนุรกั ษ์สัตวป์ า่ ธรรมชาติ เช่น การเกดิ พายุ โครงสร้างรายวชิ าชีววิทยา 6 ภาคเรียนท่ี 2 ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 ลาดับท่ี ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั อัตราส่วน การเรยี นรู้ (ชั่วโมง) คะแนน ระหวา่ งเรียน กับสอบ การเกิดไฟป่า และการเกิด แกส๊ พิษจากการยอ่ ยสลาย ของจลุ ินทรีย์ การเกิดมลพิษ ทางอากาศทเี่ กิดจากการ กระทาของมนุษย์ เชน่ การ ใชเ้ ชอื้ เพลิงฟอสซลิ ใน รูปแบบต่าง ๆ การจัดการ ทรัพยากรอากาศควร ประกอบดว้ ย การกาหนด นโยบาย และวางแผนงาน เพ่ือป้องกนั และแก้ไข รวมทัง้ การปลกู จิตสานึกใน การดแู ลรักษาคุณภาพ อากาศ• มลพิษทางดนิ และ ปัญหาความเสื่อมโทรมของ ดิน สว่ นใหญ่มสี าเหตจุ าก การกระทาของมนษุ ย์ การจัดการทรัพยากรดิน เพื่อให้เกิดประโยชน์สงู สุด ควรมีการป้องกันและการ

337 แก้ปัญหาการเกดิ มลพิษและ ความเส่ือมโทรมของดนิ รวมทั้งการปลูกจิตสานึกใน การใชด้ ินอยา่ งถกู ตอ้ ง พ้นื ท่ี ป่าไม้ทล่ี ดลงอาจมีสาเหตุ มาจากธรรมชาติ เชน่ ไฟป่า แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรอื อาจมสี าเหตุมาจากการ กระทาของมนษุ ย์ เชน่ การตัดไมท้ าลายป่า การบุก รกุ พ้ืนที่ป่าเพื่อครอบครอง โครงสร้างรายวิชาชีววิทยา 6 ภาคเรยี นท่ี 2 ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ลาดบั ที่ ชือ่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก อตั ราส่วน การเรยี นรู้ (ชั่วโมง) คะแนน ระหวา่ งเรียน กับสอบ ท่ดี ิน การเผาป่า การทา เหมืองแร่ พนื้ ทีป่ ่าไม้ที่ลดลง ทาให้ภูมิประเทศมีสภาพ แหง้ แลง้ เกดิ อุทกภัย เกดิ การพังทลายของดนิ ตลอดจนการเพ่มิ ข้ึนของ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ซง่ึ เป็นแก๊สเรือนกระจกชนดิ หนง่ึ นอกจากนีท้ าให้สัตว์ ป่าและพชื พรรณธรรมชาติ ลดจานวนลงหรือสูญพันธไ์ุ ด้ การจัดการทรัพยากรป่าไม้ ควรจดั การให้มที รัพยากรป่า ไม้คงอยู่อยา่ งยงั่ ยนื หรือ เพ่มิ ขึ้น เชน่ การกาหนด พ้ืนท่ปี ่าอนุรกั ษ์ ส่งเสริมการ ปลกู ป่า ป้องกนั การบุกรุก ป่า การใชไ้ ม้อย่างมคี ณุ คา่ และมีประสทิ ธิภาพ รวมถึง การปลูกจติ สานึกเร่ือง

338 การอนรุ ักษป์ า่ ไม้• การลด จานวนลงของสตั วป์ ่าเป็นผล เน่ืองมาจากการกระทาของ มนุษย์เปน็ สว่ นใหญ่ คือ การ ทาให้แหล่งท่ีอยอู่ าศยั ลดลง และการลา่ สัตวป์ า่ การ จัดการทรัพยากรสัตวป์ ่าควร มีการดาเนนิ การใหม้ ีพน้ื ท่ี ป่าไม้เพอื่ การอยู่อาศยั อยา่ ง เพียงพอ รวมทั้งการไม่ทา รา้ ยสัตว์ปา่ หรอื ทาให้สัตว์ปา่ โครงสรา้ งรายวิชาชีววิทยา 6 ภาคเรยี นท่ี 2 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ลาดบั ท่ี ชอ่ื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก อตั ราสว่ น การเรยี นรู้ (ชั่วโมง) คะแนน ระหวา่ งเรียน กบั สอบ ลดจานวนลง รวมทัง้ การ ปลูกจติ สานกึ ให้ชว่ ยกัน อนุรักษ์ รวมจานวน 60 100

339 โครงสร้างรายวิชา ปฏกิ ิริยาเคมี ภาคเรยี นท่ี ๑ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ ลาดับ ชือ่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสาคญั เวลา/ นา้ หนกั อตั ราสว่ น ท่ี การเรยี น ผลการเรยี นรู้ ช่วั โมง คะแนน ระหว่าง เรียนกับ สอบ ๑ สมการเคมี ๑.แปลความหมายสญั ลกั ษณ์ •ปฏกิ ริ ยิ าเคมเี ปน็ การ ๑๐ ๒๕ ๗๐:๓๐ ในสมการเคมี เขยี นและดลุ เปล่ยี นแปลงที่มีสารใหม่ เกิดข้นึ สมการเคมขี องปฏกิ ริ ิยาเคมี จากการจัดเรยี งตวั ใหม่ของ บางชนดิ อะตอมธาตุ โดยจานวนและชนิด ของอะตอมธาตไุ มเ่ ปลยี่ นแปลง ปฏกิ ริ ยิ าเคมเี ขยี นแสดงไดด้ ว้ ย สมการเคมี ซง่ึ ประกอบดว้ ยสตู ร เคมีของสารตง้ั ตน้ และ ผลติ ภณั ฑ์ ลูกศรแสดงทศิ ทางของการเกิด ปฏิกิรยิ า และเลขสมั ประสิทธิ์ ของสารตัง้ ตน้ และผลติ ภณั ฑ์ท่ี ดลุ แลว้ นอกจากนอ้ี าจมี

340 ลาดบั ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคญั เวลา/ นา้ หนกั อตั ราสว่ น ที่ การเรียน ผลการเรยี นรู้ ช่ัวโมง คะแนน ระหวา่ ง เรยี นกับ สอบ สญั ลกั ษณ์ แสดงสถานะของสาร หรือปจั จัยอนื่ ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง ในการ เกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี • การดลุ สมการเคมีทาไดโ้ ดยการ เติมเลขสมั ประสิทธ์ิ หน้าสารตง้ั ต้นและผลติ ภณั ฑ์เพอื่ ให้อะตอม ของธาตใุ นสารตงั้ ต้นและ ผลติ ภณั ฑเ์ ทา่ กัน ๒ ปริมาณ ๒. คานวณปรมิ าณของสารใน • การเปลยี่ นแปลงปรมิ าณสารใน ๑๐ ๒๕ สารใน ปฏกิ ริ ิยาเคมี ทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั ปฏกิ ิรยิ าเคมี มคี วามสมั พันธ์กนั ปฏิกิริยา มวลสาร ตามเลขสมั ประสิทธิ์ ในสมการ เคมี ๓. คานวณปริมาณของสารใน เคมีซึง่ บอกถงึ อัตราส่วนโดย ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ทีเ่ กี่ยวข้องกับ โมลของสาร ในปฏิกิริยา สามารถ ความเข้มข้นของสารละลาย นามาใชใ้ นการคานวณ ปรมิ าณ ๔. คานวณปริมาณของสารใน ของสารทเ่ี ก่ยี วข้องกบั มวล ความ ปฏกิ ิรยิ าเคมี ท่ีเกย่ี วข้องกบั เข้มข้น ของสารละลาย และ ปรมิ าตรแก๊ส ปรมิ าตรของแก๊สได้ ๕. คานวณปรมิ าณของสารใน • ความสมั พนั ธข์ องโมลสารต้ังต้น ปฏิกริ ิยาเคมี หลายขัน้ ตอน และผลิตภัณฑ์ ในปฏิกิริยาเคมี หลายข้ันตอน พิจารณาไดจ้ าก เลขสมั ประสทิ ธิ์ของสมการเคมี รวม ๓ สาร ๖.ระบุสารกาหนดปรมิ าณ • ปฏกิ ิรยิ าเคมที ่สี ารตัง้ ตน้ ทา ๑๐ ๒๕ ๒๕ กาหนด และคานวณปรมิ าณ สารต่าง ปฏกิ ิริยาไมพ่ อดีกนั สารต้ังต้นที่ ปรมิ าณ ๆ ในปฏิกริ ยิ าเคมี ทาปฏกิ ริ ยิ าหมดก่อน เรยี กว่า สารกาหนดปรมิ าณ ซึ่งเปน็ สารที่ กาหนดปรมิ าณ ผลิตภัณฑ์ที่ เกดิ ขึน้ และปริมาณสารตงั้ ตน้ อน่ื ท่ที าปฏิกิรยิ าไปเมื่อส้ินสดุ ปฏกิ ิรยิ า ๔ ผลิตภณั ฑท์ ี่ ๗.คานวณผลไดร้ ้อยละของ • ผลิตภณั ฑ์ทีเ่ กดิ ขน้ึ จริงใน ๑๐ เกดิ ขึ้นจริง ผลิตภณั ฑ์ในปฏกิ ริ ยิ า เคมี ปฏกิ ริ ิยาเคมสี ่วนใหญ่ มปี รมิ าณ

341 ลาดบั ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนรู/้ สาระสาคัญ เวลา/ น้าหนัก อตั ราส่วน ที่ การเรียน ผลการเรียนรู้ ชว่ั โมง คะแนน ระหวา่ ง น้อยกว่าท่คี านวณได้ตามทฤษฎี ในปฏกิ ิริยา ซึ่งคา่ เปรยี บเทยี บผลได้จริงกับ เรยี นกับ เคมี ผลไดต้ ามทฤษฎี เป็นรอ้ ยละ สอบ เรยี กว่า ผลได้รอ้ ยละ • ผลิตภณั ฑ์ทเ่ี กดิ ข้ึนจรงิ ใน ปฏกิ ิริยาเคมสี ว่ นใหญ่ มีปรมิ าณ นอ้ ยกวา่ ทค่ี านวณไดต้ ามทฤษฎี ซงึ่ คา่ เปรียบเทียบผลได้จริงกบั ผลไดต้ ามทฤษฎี เปน็ รอ้ ยละ เรยี กว่า ผลไดร้ ้อยละ โครงสรา้ งรายวิชา อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี ภาคเรยี นท่ี ๒ ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ ๖

342 ลาดับ ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสาคญั เวลา/ น้าหนกั อัตราส่วน ที่ การเรียน ผลการเรียนรู้ ชัว่ โมง คะแนน ระหวา่ ง เรยี นกับ สอบ ๑ อัตราการ ๑. ทดลอง และเขียนกราฟ ปฏกิ ิรยิ าเคมีแตล่ ะปฏกิ ิรยิ ามี ๓๐ ๓๐ ๗๐:๓๐ เกิด การเพ่มิ ขึน้ หรอื ลดลง ของสาร อตั ราการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี ปฏิกิรยิ า ทท่ี าการวดั ในปฏกิ ิริยา ตา่ งกนั โดยอาจวัดจากการลดลง เคมี ๒. คานวณอัตราการ ของสารตั้งต้นหรือการเพ่ิมขน้ึ เกดิ ปฏิกริ ิยาเคมีและเขยี น ของผลติ ภณั ฑ์ ต่อหนงึ่ หนว่ ยเวลา กราฟ การลดลงหรอื เพ่ิมข้นึ และหารด้วยเลขสัมประสิทธ์ิ ของ ของสารทไี่ มไ่ ด้วดั ในปฏิกิรยิ า สารน้ัน ๆในสมการเคมเี พอ่ื ใหไ้ ด้ อัตราการเกิด ปฏกิ ริ ยิ าเคมที ่ี เทา่ กนั ไมว่ า่ จะเปน็ การวดั จาก สารตง้ั ตน้ หรือผลติ ภณั ฑ์ ๒ ทฤษฎกี าร ๓. เขยี นแผนภาพ และอธบิ าย • ปฏิกริ ิยาเคมีจะเกิดขนึ้ ได้ก็ ๑๔ ๓๐ ชนกนั ทศิ ทางการชนกัน ของอนภุ าค ตอ่ เม่อื อนภุ าคของ สารต้งั ตน้ ชน และพลังงานทส่ี ่งผลต่ออัตรา กันในทศิ ทางท่เี หมาะสมและมี การเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี พลงั งานอย่างน้อยเท่ากับ พลงั งานก่อกมั มันต์ ดงั นั้นอัตรา การเกิดปฏิกิริยาจงึ ขึ้นกบั ทศิ ทางการชน และพลังงานที่เกิด จากการชน ๓ ปัจจยั ท่ีมี ๔. ทดลอง และอธิบายผลของ อัตราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมขี อง ๑๒ ๔๐ ผลตอ่ ความเขม้ ข้น พน้ื ทีผ่ วิ ของสาร สารหนง่ึ ๆ ขึ้นอยู่ กบั ความ อัตราการ ต้ังตน้ อณุ หภมู แิ ละตัวเร่ง เขม้ ข้น พ้นื ทผ่ี วิ อุณหภมู ิตัวเรง่ ปฏิกริ ิยาทมี่ ี ตอ่ อัตราการ และ ตัวหนว่ งปฏิกริ ยิ า เกดิ ปฏิกิริ เกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี นอกจากนอี้ ัตราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ า ยาเคมี ๕. เปรียบเทยี บอตั ราการ เคมยี ังข้นึ อยกู่ ับชนิดของสารที่ทา เกิดปฏกิ ริ ยิ าเมื่อมกี าร ปฏกิ ิรยิ าดว้ ย เปลย่ี นแปลงความเขม้ ข้น พื้นทีผ่ วิ ของสารตงั้ ตน้ อณุ หภมู แิ ละตัวเรง่ ปฏิกิรยิ า • ความรู้เกย่ี วกบั ปจั จยั ท่ีมผี ลตอ่ ๖. ยกตวั อย่าง และอธบิ าย อัตราการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี ปัจจัยทม่ี ผี ลตอ่ อัตรา การ สามารถนามาใช้อธิบาย เกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมีใน กระบวนการ ทเ่ี กิดขึน้ ใน ชีวิตประจาวัน หรอื ชวี ติ ประจาวนั หรืออุตสาหกรรม อตุ สาหกรรม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook