Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตร-ม.ปลายใหม่

หลักสูตร-ม.ปลายใหม่

Published by apple.workjaaa, 2019-11-11 21:21:08

Description: หลักสูตร-ม.ปลายใหม่

Keywords: curriculum,หลักสูตรสถานศึกษา,พระบางวิทยา

Search

Read the Text Version

143 โครงสร้างรายวิชาชีววิทยาเพิ่มเตมิ 1 ภาคเรยี นที่ 1 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 ลาดบั ชอ่ื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั อตั ราสว่ น ท่ี การเรียนรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน ระหวา่ ง เรียนกับ สอบ 5. อธิบายและเปรยี บเทยี บ การแบ่งเซลลข์ องสงิ่ มีชวี ิต การแพร่ออสโมซสิ การแพร่ เปน็ กระบวนการท่ีเกดิ ข้ึน แบบฟาซิลเิ ทต และแอก ตอ่ เนือ่ งกนั เปน็ วฏั จกั ร ทีฟทรานสปอรต์ ประกอบดว้ ยอินเตอร์เฟส 6. สืบค้นขอ้ มลู อธิบาย และ การแบ่งนิวเคลยี ส และการ เขียนแผนภาพการลาเลียง แบ่งไซโทพลาซึม สารโมเลกุลใหญ่ออกจาก เซลล์ด้วยกระบวนการเอกโซ การหายใจระดบั เซลล์ ไซโทซสิ และการลาเลียงสาร พลงั งานส่วนใหญ่ไดจ้ าก โมเลกลุ ใหญเ่ ข้าสเู่ ซลล์ด้วย ขัน้ ตอนการถา่ ยทอด กระบวนการเอนโดไซโทซสิ อิเลก็ ตรอนพลงั งานน้ีจะถูก 7.สังเกตการแบ่งนวิ เคลยี ส เก็บไว้ในพนั ธะเคมใี น แบบไมโทซิส และแบบไมโอ โมเลกลุ ของ ATP ซิสจากตัวอย่างภายใต้กลอ้ ง จลุ ทรรศนพ์ ร้อมท้ังอธบิ าย ในภาวะทมี่ ีออกซิเจนไม่ และเปรียบเทียบ การแบ่ง เพียงพอทาให้การหายใจ นิวเคลยี สแบบไมโทซิส และ ของเซลล์ไม่สมบรู ณ์จงึ เกดิ แบบไมโอซิส ไดเ้ ฉพาะไกลโคลิซสิ ผลท่ไี ด้ 8.อธิบายเปรียบเทียบและ จากการหายใจในภาวะนี้ใน สรปุ ขั้นตอนการหายใจระดับ สัตว์จะไดก้ รดแลกติกสว่ นใน เซลล์ในภาวะท่ีมีออกซเิ จน จลุ ินทรียแ์ ละพชื อาจได้กรด เพยี งพอและภาวะท่ีมี แลกติกหรือ ออกซเิ จนไม่เพียงพอ เอทลิ แอลกอฮอล์ รวมจานวน 60 100

144 โครงสร้างรายวิชาชีววิทยา 2 ภาคเรียนที่ 2 ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 4 ลาดับที่ ช่อื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก อัตราสว่ น การเรียนรู้ (ช่วั โมง) คะแนน ระหวา่ งเรยี น ๑. สืบคน้ ขอ้ มลู อธิบาย และ 1 การถา่ ยทอด สรปุ ผลการทดลอง ของ เมนเดลศึกษาการถา่ ยทอด 20 30 กับสอบ ทาง เมนเดล ลักษณะทางพันธุกรรมโดย พันธุกรรม ๒. อธบิ าย และสรุปกฎแหง่ การผสมพนั ธุถ์ ่วั ลันเตา จน 70:30 การแยก และกฎแห่งการ สรุปเป็นกฎแห่ง การแยก รวมกลุ่มอย่างอสิ ระ และนา และกฎแห่งการรวมกลุ่ม กฎของเมนเดลนี้ ไปอธบิ าย อยา่ งอสิ ระ กฎแห่งการแยก การถา่ ยทอดลักษณะ มีใจความว่า แอลลีลที่อยู่ ทางพันธุกรรมและใช้ในการ เปน็ คู่ จะแยกออกจากกันใน คานวณโอกาสในการเกดิ ระหว่างการสรา้ งเซลล์ ฟีโนไทปแ์ ละจีโนไทป์แบบ สืบพันธ์ุ โดยเซลล์สบื พันธ์ุ ตา่ ง ๆ ของรุ่น F1 และ F2 แตล่ ะเซลลจ์ ะมีเพียงแอลลีล ๓. สืบคน้ ขอ้ มลู วิเคราะห์ ใดแอลลลี หนึ่งกฎแห่งการ อธิบาย และสรปุ เก่ียวกับการ รวมกลุ่มอย่างอสิ ระมี ถ่ายทอดลกั ษณะทาง ใจความวา่ หลังจากคู่ของ พนั ธุกรรม ท่ีเปน็ ส่วนขยาย แอลลีลแยกออกจากกนั แต่ ของพันธศุ าสตรเ์ มนเดล ละแอลลลี จะจัดกลุม่ อย่าง ๔. สืบค้นข้อมลู วิเคราะห์ อิสระกบั แอลลลี อน่ื ๆ และเปรยี บเทียบลักษณะทาง ท่ีแยกออกจากคู่เชน่ กันใน พันธกุ รรมท่ีมกี ารแปรผันไม่ การเขา้ ไปอยู่ในเซลล์ ต่อเนือ่ งและลักษณะทาง สืบพันธ์กุ ารถา่ ยทอด พันธกุ รรมที่มีการแปรผนั ลกั ษณะทางพันธุกรรมบาง ต่อเนอื่ ง ลกั ษณะใหอ้ ัตราส่วนท่ี แตกตา่ งจากผลการศึกษา ของเมนเดล เรียกลกั ษณะ เหล่านีว้ า่ ลกั ษณะทาง พนั ธกุ รรมท่ีเปน็ ส่วนขยาย ของพันธศุ าสตร์เมนเดล เชน่ การข่มไมส่ มบูรณ์ การข่ม ร่วมกนั มัลตเิ ปลิ แอลลลี ยีน บนโครโมโซมเพศ และพอลิ

145 ยีน ลกั ษณะพันธุกรรมบาง โครงสรา้ งรายวชิ าชีววิทยา 2 ภาคเรยี นที่ 2 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 ลาดับที่ ช่อื หนว่ ย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั อตั ราส่วน การเรียนรู้ (ชว่ั โมง) คะแนน ระหว่างเรยี น 2 ยีนและ 20 30 กับสอบ โครโมโซม ลกั ษณะมคี วามแตกตา่ งกนั ชดั เจน เชน่ การมตี งิ่ หู หรอื ไม่มีตงิ่ หู ซงึ่ เป็น ลักษณะทางพนั ธกุ รรมท่มี ี การแปรผันไม่ต่อเน่ือง ลักษณะทางพันธุกรรมบาง ลกั ษณะมีความแตกตา่ งกัน เลก็ น้อยและลดหลน่ั กันไป เชน่ ความสูงและสผี ิวของ มนุษยถ์ ูกควบคุมโดยยนี หลายคซู่ ง่ึ เป็นลกั ษณะทาง พนั ธุกรรมที่มีการแปรผัน ต่อเน่อื งและสิ่งแวดล้อมอาจ มผี ลตอ่ การแสดงลักษณน้นั ๕. อธิบายการถ่ายทอดยนี บน โครโมโซมภายในเซลล์ โครโมโซม และยกตวั อย่าง ร่างกายแบง่ เปน็ ออโตโซม ลกั ษณะทางพันธกุ รรม และโครโมโซมเพศ ลกั ษณะ ทถ่ี กู ควบคมุ ทางพนั ธุกรรมสว่ นใหญ่ถกู ๖. สืบคน้ ขอ้ มลู อธบิ ายสมบัติ ควบคุมดว้ ยยีนบนออโตโซม และหนา้ ทีข่ องสารพนั ธกุ รรม บางลกั ษณะถูกควบคมุ ดว้ ย โครงสร้างและองคป์ ระกอบ ยีนบนโครโมโซมเพศซ่ึง ทางเคมีของ DNA และสรปุ สว่ นมากเปน็ ยีนบน การจาลอง DNA โครโมโซม X เมือ่ มกี ารสร้าง ๗. อธิบาย และระบขุ ้ันตอนใน เซลลส์ ืบพันธุ์ ยีนบน กระบวนการสงั เคราะหโ์ ปรตีน โครโมโซมเดยี วกันท่อี ยู่ใกล้ และหนา้ ที่ของ DNA และ กันมกั จะถูกถา่ ยทอด RNAแต่ละชนดิ ในกระบวน ไปด้วยกัน แต่การเกิด การสังเคราะห์ โปรตนี ครอสซิงโอเวอรใ์ นการแบ่ง ๘. สรปุ ความสมั พนั ธ์ระหว่าง เซลล์แบบไมโอซิสอาจทาให้ สารพนั ธุกรรม แอลลีล โปรตนี ยีนบนโครโมโซมเดียวกัน ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม และ แยกจากกนั ได้ สง่ ผลให้

146 เช่ือมโยงกับความร้เู รอ่ื งพันธุ รปู แบบของเซลล์สบื พันธุ์ ศาสตรเ์ มนเดล โครงสร้างรายวชิ าชีววิทยา 2 ภาคเรียนท่ี 2 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 ลาดบั ที่ ช่อื หนว่ ย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั อตั ราสว่ น การเรยี นรู้ (ชัว่ โมง) คะแนน ระหวา่ งเรยี น กับสอบ ๙. สบื คน้ ข้อมลู และอธิบาย ที่ไดแ้ ตกต่างไปจากกรณีทีไ่ ม่ การเกิดมวิ เทชันระดบั ยนี และ เกิดครอสซิงโอเวอร์ ระดับโครโมโซม สาเหตุการ DNA เปน็ พอลเิ มอร์ของ เกิดมวิ เทชนั รวมท้ังยกตัวอยา่ ง นวิ คลีโอไทด์ แตล่ ะ โรคและกลุ่มอาการทีเ่ ปน็ ผล นวิ คลีโอไทด์ ประกอบดว้ ย ของการเกิดมิวเทชนั นา้ ตาลดีออกซีไรโบส หมู่ฟอสเฟต และไนโตรจนี สั เบส คือ A T Cและ G โมเลกุลของ DNA เป็นพอลิ นวิ คลโี อไทด์ ๒ สาย เรยี ง สลบั ทิศและบิดเป็นเกลยี ว เวยี นขวา โดยการเข้าคู่กัน ของสาย DNA เกิดจากการ จับคขู่ องเบสค่สู ม คือ A คู่ กบั T และ C คกู่ บั G ยีน คอื สาย DNA บางชว่ งท่ี ควบคมุ ลกั ษณะทาง พันธกุ รรมได้ โดยยนี กาหนด ลาดบั กรดอะมโิ นของโปรตีน ซ่ึงทาหน้าท่ีเป็นโครงสร้าง เอนไซม์ และอื่น ๆ มีผลทา ใหเ้ ซลลแ์ ละส่งิ มีชีวิตปรากฏ ลกั ษณะตา่ ง ๆ ได้ DNA จาลองตัวเองได้โดยใช้ สายหนงึ่ เปน็ แม่แบบและ สรา้ งอกี สายขึ้นมาใหม่ ซ่งึ จะมโี ครงสร้าง และลาดบั นิวคลีโอไทดเ์ หมือนเดิม DNA ควบคมุ ลักษณะทาง พนั ธกุ รรมของสงิ่ มีชวี ิตได้ โดยการสร้าง RNA ๓

147 ประเภท คอื mRNA tRNA และ rRNA โครงสรา้ งรายวชิ าชีววิทยา 2 ภาคเรยี นที่ 2 ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 ลาดับที่ ช่อื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั อัตราส่วน การเรียนรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน ระหว่างเรียน กับสอบ ซ่ึงร่วมกนั ทาหน้าท่ใี น กระบวนการสงั เคราะห์ โปรตีน RNA เปน็ พอลิเมอร์ ของนวิ คลีโอไทดส์ ายเดย่ี ว แตล่ ะนิวคลีโอไทด์ ประกอบดว้ ย นา้ ตาลไรโบส หมู่ฟอสเฟต และไนโตรจีนสั เบส คือ A U C และ G มวิ เทชนั เป็นการเปล่ียนแปลง ของลาดับหรือจานวนนวิ คลี โอไทด์ใน DNA ซึ่งอาจ นาไปสกู่ ารเปลีย่ นแปลง โครงสรา้ งและการทางาน ของโปรตีน ซ่งึ ถ้าการ เปลี่ยนแปลงดังกลา่ วเกดิ ในเซลล์สืบพันธุ์ จะสามารถ ถ่ายทอดไปยงั รนุ่ ต่อ ๆ ไปได้ และทาให้เกิดความแปรผัน ทางพนั ธกุ รรมของสง่ิ มีชีวติ การเกิดมวิ เทชนั มีสาเหตุมา จากปจั จยั ตา่ ง ๆ เช่น รงั สี และสารเคมี การขาดหายไป หรอื เพิม่ ขนึ้ ของนวิ คลีโอไทด์ และการแทนท่ีคูเ่ บส เป็น การเกิดมิวเทชนั ระดับยีน เช่น โรคโลหติ จางชนดิ ซิก เคลิ เซลล์ เป็นผลมาจาก การแทนที่คเู่ บส การเปลีย่ นแปลงโครงสรา้ ง ของโครโมโซม เชน่ หายไป หรือเพิ่มข้ึนบางสว่ น และ

148 การเปลย่ี นแปลงจานวน โครโมโซม โครงสรา้ งรายวชิ าชีววิทยา 2 ภาคเรยี นท่ี 2 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 4 ลาดบั ที่ ชอ่ื หนว่ ย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั อตั ราส่วน การเรียนรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน ระหว่างเรยี น 3 พันธศุ าสตร์ 20 กับสอบ และ เทคโนโลยีดี เช่น การลดลงหรือเพิ่มข้นึ 20 เอ็นเอ ของโครโมโซมบางแท่งหรือ 4 วิวฒั นาการ ทั้งชุด เป็นสาเหตขุ องการ เกิดมิวเทชนั ระดับโครโมโซม เชน่ กลุม่ อาการครดิ ชู าต์ และกลุ่มอาการดาวน์ กลุม่ อาการเทอร์เนอรแ์ ละกลมุ่ อาการไคลนเ์ ฟลเตอร์ ๑๐. อธบิ ายหลกั การสรา้ ง การใชเ้ ทคโนโลยที างดีเอ็น 10 10 สง่ิ มีชีวติ ดดั แปรพันธุกรรมโดย เอ ในการสรา้ งดีเอ็นเอรีคอม ใช้ดีเอน็ เอรีคอมบิแนนท์ บแิ นนท์ สามารถนาไปใช้ใน ๑๑. สืบคน้ ข้อมลู ยกตวั อยา่ ง การสรา้ ง ส่งิ มชี ีวติ ดดั แปร และอภิปรายการนาเทคโนโลยี พนั ธกุ รรม โดยนายนี ท่ี ทางดเี อน็ เอไปประยุกต์ใช้ทั้ง ต้องการมาตดั ต่อใส่ใน ในดา้ นส่ิงแวดล้อม สง่ิ มชี วี ิต ทาให้สง่ิ มชี วี ิตน้นั มี นติ วิ ิทยาศาสตร์ การแพทย์ สมบตั ติ ามต้องการ การเกษตรและอุตสาหกรรม เทคโนโลยที างดเี อ็นเอ และข้อควรคานึงถงึ ด้าน สามารถนาไปประยุกต์ ชวี จริยธรรม ใชใ้ นดา้ นตา่ ง ๆ เช่น สิ่งแวดลอ้ ม นติ วิ ิทยาศาสตร์ การแพทย์ การเกษตร และ อุตสาหกรรม โดยการใช้ เทคโนโลยีทางดเี อ็นเอต้อง คานงึ ถงึ ความปลอดภยั ทาง ชีวภาพ ชวี จริยธรรม และ ผลกระทบต่อสงั คม ๑๒. สบื คน้ ข้อมูล และอธบิ าย หลกั ฐานทีท่ าให้เชือ่ ว่า เกย่ี วกบั หลกั ฐานที่สนบั สนนุ ส่ิงมชี วี ติ มีววิ ัฒนาการ เช่น และข้อมลู ที่ใช้อธิบายการเกิด ซากดกึ ดาบรรพ์ กายวิภาค วิวัฒนาการของสงิ่ มีชีวติ เปรียบเทียบวิทยาเอ็มบริโอ การแพร่กระจายของ

149 สงิ่ มชี ีวิตทางภมู ิศาสตร์ โครงสรา้ งรายวชิ าชีววิทยา 2 ภาคเรียนที่ 2 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 ลาดบั ท่ี ชอื่ หนว่ ย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก อตั ราส่วน การเรียนรู้ (ช่วั โมง) คะแนน ระหวา่ งเรียน กับสอบ ๑๓. อธิบาย และเปรียบเทียบ การศกึ ษาทางชวี ภมู ิศาสตร์ แนวคิดเก่ยี วกับวิวัฒนาการ และดา้ นชวี วทิ ยาระดับ ของส่ิงมีชวี ิตของฌอง โมเลกุล มนุษยม์ ีการสบื สาย ลามาร์ก และทฤษฎเี กย่ี วกับ วิวัฒนาการมาเป็นเวลานาน ววิ ฒั นาการของส่งิ มีชวี ิตของ โดยมีหลกั ฐานท่ีสนบั สนนุ ชาลส์ ดาร์วิน จากซากดึกดาบรรพข์ อง ๑๔. ระบุสาระสาคญั และ บรรพบุรุษมนุษยท์ คี่ ้นพบ อธิบายเงือ่ นไขของภาวะสมดุล และจากการ เปรยี บเทยี บ ของฮารด์ ี-ไวนเ์ บริ ์ก ปัจจัยท่ี ลาดบั เบสบน DNA ระหวา่ ง ทาให้เกิดกาเปลี่ยนแปลง มนุษยก์ บั ไพรเมตอื่นๆ ความถี่ของแอลลีลใน ฌอง ลามาร์ก ได้เสนอ ประชากร พร้อมทั้งคานวณหา แนวคิดเพ่ืออธิบายเก่ยี วกับ ความถ่ีของแอลลลี และจีโน วิวฒั นาการของสงิ่ มชี วี ติ ว่า ไทป์ของประชากรโดยใช้ สิ่งมีชวี ติ มกี ารเปลยี่ นแปลง หลักของฮารด์ ี-ไวน์เบิร์ก โครงสรา้ งใหเ้ ขา้ กับสภาพ ๑๕. สบื คน้ ข้อมูล อภปิ ราย แวดลอ้ ม โดยอาศยั กฎการ และอธบิ ายกระบวนการเกดิ ใช้และไม่ใช้ และกฎแหง่ การ สปชี ีสใ์ หมข่ องสิ่งมีชีวิต ถา่ ยทอดลกั ษณะทเ่ี กดิ ข้ึนมาใหม่ ชาลส์ ดารว์ ิน เสนอทฤษฎีเกย่ี วกบั ววิ ัฒนาการของส่งิ มีชวี ิตว่า เกิดจากการคัดเลือกโดย ธรรมชาติ โดยสิง่ มีชีวิตมี แนวโน้มทจี่ ะใหก้ าเนดิ ลูกที่ มีลักษณะแตกตา่ งกนั จานวนมาก แต่มเี พยี ง จานวนหน่งึ ที่เหมาะสมกบั สภาพแวดล้อม สามารถมี ชีวิตรอด และถา่ ยทอด ลักษณะท่เี หมาะสมไปยงั ร่นุ ตอ่ ไปได้ เมื่อประชากรอยู่ใน

150 ภาวะสมดลุ ของฮาร์ดี- ไวน์เบริ ์ก โครงสร้างรายวิชาชีววิทยา 2 ภาคเรยี นท่ี 2 ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 4 ลาดบั ที่ ชอ่ื หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั อตั ราสว่ น การเรยี นรู้ (ช่วั โมง) คะแนน ระหว่างเรยี น 100 กับสอบ โดยประชากรมขี นาดใหญ่ ไมม่ ีการถา่ ยเทยนี ระหวา่ ง ประชากร ไม่เกดิ มวิ เทชนั สมาชกิ ทุกตวั มีโอกาสผสม พันธ์ไุ ด้เทา่ กัน และไม่เกิด การคดั เลือกโดยธรรมชาติ จะทาให้ความถี่ของ แอลลีลของลักษณะนนั้ ไม่ เปลยี่ นแปลงไมว่ า่ จะผา่ นไป กร่ี ุ่นก็ตาม เปน็ ผลให้ ลกั ษณะนั้นไม่เกิด วิวัฒนาการการเปลี่ยนแปลง ความถ่ีของยีนหรือแอลลีล ในประชากร เกิดจากปจั จยั หลายประการ นาไปสู่ การ เกิดววิ ฒั นาการสปีชีสใ์ หม่ จะเกิดขน้ึ ไดเ้ มอ่ื ไม่มกี าร ถ่ายเทเคล่ือนยา้ ยยนี ระหวา่ งประชากรหนง่ึ กับอกี ประชากรหน่ึง ในรุ่นบรรพ บรุ ุษ ทาใหป้ ระชากรทง้ั สอง มโี ครงสรา้ งทางพนั ธกุ รรมท่ี แตกตา่ งกนั และววิ ัฒนาการ เกิดเป็นสปีชีสใ์ หม่ ปจั จยั ที่ ทาใหเ้ กิดสปชี สี ใ์ หม่อาจเกิด ได้ ๒ แนวทาง คือ การเกิดส ปชี ีส์ใหม่จากการแบ่งแยก ทางภมู ศิ าสตรแ์ ละการเกดิ ส ปชี ีส์ใหมใ่ นเขตภมู ิศาสตร์ เดยี วกนั 60

151 โครงสรา้ งรายวชิ า โครงสร้างอะตอมและตารางธาตุ ภาคเรยี นที่ 1 ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 อตั ราสว่ น ลาดบั ช่ือหน่วยการ มาตรฐาน/ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา/ น้าหนกั ระหวา่ ง เรยี นรู้ (ชม.) คะแนน เรยี นกับ สอบ 1 โครงสร้างอะตอม สาระเคมี - นกั วิทยาศาสตร์ศึกษา 20 50 70:30 1. เขา้ ใจโครงสรา้ งอะตอม โครงสรา้ งของอะตอม และเสนอ การจดั เรียงธาตุในตาราง แบบจาลองอะตอมแบบตา่ ง ๆ จาก ธาตุ สมบัติของธาตุพันธะ การศกึ ษาข้อมูล การสงั เกต การ เคมีและสมบตั ิของสาร ต้ังสมมตฐิ าน และผลการทดลอง แก๊สและสมบัติของแก๊ส - เปน็ ส่งิ ที่ใช้เขยี นแทนโครงสรา้ ง ประเภทและสมบตั ิของ ของอะตอม โดยบอกรายละเอียด สารประกอบอินทรยี แ์ ละ เก่ยี วกับจานวนอนภุ าคมลู ฐานของ พอลเิ มอร์ รวมทั้งการนา อะตอม วธิ ีการเขยี นตามข้อตกลง ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ สากลคือ เขยี นเลขอะตอมไว้มุมลา่ ง ผลการเรียนรู้ ซา้ ย และเลขมวลไวม้ ุมบนซา้ ยของ 1. สืบค้นขอ้ มูล อภิปราย สญั ลกั ษณ์ของธาตุ โดยเขียนเปน็ สูตร สรปุ และอธิบาย ทัว่ ๆ ไปดังนี้ โครงสรา้ งอะตอมแบบ ตา่ งๆได้ สญั ลักษณ์นวิ เคลียร์ = ������������������ 2. อธบิ าย และ - ไอโซโทปคือ ธาตุทม่ี เี ลขอะตอม เปรยี บเทยี บความ แตกตา่ งของโครงสรา้ ง เท่ากนั แต่เลขมวลต่างกัน ไอโซโทน อะตอมแบบตา่ งๆได้ คือ ธาตุท่ีมนี วิ ตรอนเท่ากันแต่ 3. สืบค้นขอ้ มูล อภปิ ราย โปรตอนตา่ งกัน ไอโซบาร์ สรปุ และอธิบายอนุภาค คอื ธาตุทมี่ เี ลขมวยเท่ากันแต่เลข มูลฐานของอะตอมจาก อะตอมต่างกัน สญั ลกั ษณ์นิวเคลียร์ของ ธาตุ - อิเล็กตรอนจดั เรยี งอยู่รอบ ๆ นวิ เคลยี สในระดบั พลังงานหลกั ตา่ ง ๆ และแตล่ ะระดับพลังงานหลกั ยัง แบง่ เปน็ ระดับพลังงานย่อย - อิเล็กตรอนทอ่ี ยู่ในระดับ

152 อตั ราสว่ น ลาดับ ชอื่ หน่วยการ มาตรฐาน/ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา/ น้าหนัก ระหวา่ ง เรียนรู้ (ชม.) คะแนน เรยี นกบั สอบ 4.อธิบาย เขยี นและแปล พลังงานนอกสุดเรียกว่าเวเลนซ์ ความหมายสญั ลกั ษณ์ อเิ ล็กตรอนซง่ึ มีความสัมพันธ์กับ นิวเคลยี ร์ ไอโซโทป ไอโซ สมบัติของธาตุและการเกิดปฏิกิรยิ า โทน ไอโซบารข์ องธาตุได้ 5. วิเคราะหแ์ ละ เปรยี บเทยี บการจัดเรยี ง อเิ ลก็ ตรอนในระดบั พลงั งานตา่ งๆ ในอะตอม 6.อธบิ ายความสัมพันธ์ ระหว่างอิเล็กตรอนใน ระดับพลงั งานนอกสุดกับ สมบตั ขิ องธาตแุ ละการ เกดิ ปฏกิ ริ ิยา 2 ตารางธาตุ 7. สบื คน้ ข้อมูล อภปิ ราย - ตารางธาตุในปัจจุบันจดั เรียง 20 50 อธบิ ายวิวฒั นาการของ ธาตตุ ามเลขอะตอม และสมบัตทิ ี่ การสร้างตารางธาตุ และ คลา้ ยคลงึ กันเปน็ หมู่และคาบ เกณฑ์ที่ใช้ในการแบง่ ธาตุ - ธาตุเรพรีเซนเททีฟมีสมบตั ทิ าง ในตารางธาตุ เคมีคลา้ ยคลึงกันตามหมู่ 8. อธิบายสญั ลกั ษณ์ของ - ธาตแุ ทรนซิชันเปน็ โลหะ มี ธาตแุ ละการเรยี กชือ่ ธาตุ ขนาดอะตอมใกลเ้ คยี งกัน มจี ุดเดอื ด ในตารางธาตุได้ จดุ หลอมเหลว และความหนาแน่นสูง 9. อธิบายสมบตั บิ าง เมือ่ เกิดเป็นสารประกอบสว่ นใหญ่จะ ประการของธาตุหมู่ 1A มีสี 2A 7A 8A - ธาตุกมั มันตรังสเี ปน็ ธาตุทที่ กุ 10. อธิบาย และสรุป ไอโซโทปสามารถแผร่ งั สไี ด้ โดยครึง่ สมบัติบางประการธาตุ ชีวิตของไอโซโทปกมั มนั ตรงั สีเป็น โลหะ กึง่ โลหะ อโลหะ ระยะเวลาที่ 11. อธิบาย และสรุป - ไอโซโทปกัมมันตรังสสี ลายตัว สมบัตบิ างประการธาตุ จนเหลอื ครงึ่ หนง่ึ ของปริมาณเดมิ

153 อตั ราสว่ น ลาดับ ช่ือหน่วยการ มาตรฐาน/ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา/ น้าหนัก ระหวา่ ง เรยี นรู้ (ชม.) คะแนน เรียนกับ สอบ โลหะแทรนซชิ ัน - สมบตั ิบางประการของธาตุแต่ 12. อธบิ าย และสรุปธาตุ ละชนิด ทาให้สามารถนาธาตุไปใช้ สมบัตบิ างประการของ ประโยชน์ในด้านตา่ ง ๆ ได้ ธาตกุ ัมมนั ตรงั สี หลากหลาย 13. อธบิ ายสมบตั แิ ละ คานวณครง่ึ ชีวติ ของ ไอโซโทปกัมมนั ตรังสี 14. สืบค้นขอ้ มลู และ ยกตัวอย่างการนาธาตุมา ใชป้ ระโยชน์ รวมทั้ง ผลกระทบต่อสง่ิ มีชวี ติ และ สิ่งแวดลอ้ ม โครงสร้างรายวิชารายวิชา วิทยาการคานวณ 1 ภาคเรียนที่ 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ลาดบั ช่ือหน่วยการเรยี น มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา/ น้าหนกั อตั ราสว่ น ที่ เรยี นรู้/ ช่วั โมง คะแนน ระหวา่ งเรยี น ตัวชี้วดั กบั สอบ 1 แนวคดิ เชิงคานวณ ว 4.2 - หลกั การของแนวคิด 3 15 70:30 ม.4/1 เชิงคานวณ - การใชห้ ลกั การของ แนวคดิ เชิงคานวณ ในแกป้ ัญหา 2 ว 4.2 - การระบุขอ้ มูลเขา้ 4 20 การแกป้ ัญหาและ ม.4/1 ข้อมูลออก และ ข้นั ตอนวธิ ี เงอ่ื นไขของปญั หา - การออกแบบขน้ั ตอน วิธีในการแก้ปัญหา

154 โดยใชร้ ูปแบบต่างๆ 65 - การประยุกต์ใช้ ขัน้ ตอนวิธกี าร จัดเรยี งและค้นหา ข้อมูลในการ แกป้ ัญหา 3 การพัฒนาโครงงาน ว 4.2 - กาหนดปญั หาหรือ 13 ม.4/1 ความตอ้ งการของ ตนเองในชวี ิตจรงิ เชน่ สขุ ภาพ อาหาร อาชีพ การศึกษาต่อ - ศึกษาและกาหนด ขอบเขตของปัญหา - วางแผนการทางาน - ลงมอื พัฒนา โครงงาน - สรปุ ผลและจดั ทา รายงาน - การนาแนวคิดเชงิ คานวณไปพัฒนา โครงงานทีเ่ กยี่ วกับ ชีวติ ประจาวัน เช่น การจัดการพลงั งาน อาหาร การเกษตร การตลาดค้าขาย การทาธรุ กรรม สขุ ภาพและ ส่ิงแวดลอ้ ม - การศกึ ษาโครงสรา้ ง ขอ้ มูลและอลั กอริทึม ทีเ่ ก่ียวข้องกับการ พฒั นาโครงงาน เชน่ การเรียงลาดับ การ

155 คน้ หา - ตวั อย่างปัญหา เชน่ การควบคุมอุปกรณ์ อัตโนมัติ อปุ กรณ์ IoT การจดั การ ขอ้ มลู ปรมิ าณมาก โปรแกรมจับคู่ การ ระบุชนดิ ใบใมจ้ าก การตอบคาถาม ระบบดูแลสุขภาพ ระบบเชค็ ช่อื มา โรงเรยี น แอพพลเิ ค ชัน แนะนาการใช้ งานห้องสมดุ ท่ีมกี าร โต้ตอบกบั ผ้ใู ช้ และ เช่ือมต่อกบั ฐานขอ้ มูล โครงสรา้ งรายวชิ า การสรา้ งเว็บไซต์แบบมืออาชีพ ภาคเรยี นท่ี 1 ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 4 ลาดับ ชอื่ หน่วยการเรียน มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ เวลา/ น้าหนัก อตั ราส่วน ท่ี ตวั ชวี้ ดั ชวั่ โมง คะแนน ระหว่างเรยี น

1. สามารถอธบิ าย 1. ความรเู้ บ้ืองต้น 10 156 ความหมาย ประโยชน์ เกยี่ วกับ กับสอบ 10 80:20 ขอ้ ดี ข้อเสีย ประเภท บล็อก (Blog) 10 ของบล็อก บล็อก 2. การออกแบบบล็อก 10 ซอฟตแ์ วรแ์ ละ (Blog) เปรียบเทียบบล็อกกบั 3. รจู้ กั กบั เวิร์ดเพรส เว็บไซตไ์ ด้ (WordPress) ความรเู้ บ้ืองตน้ 2. บอกองคป์ ระกอบ 4. การสมคั รใช้งาน เกย่ี วกบั การสรา้ ง ของบล็อก การ Wordpress.com 1 บลอ็ ก (Blog) ดว้ ย ออกแบบบล็อก เวริ ์ดเพรส หลักการออกแบบ และ (WordPress) เทคนคิ การสร้างบลอ็ ก ได้ 3. ออกแบบบลอ็ ก ตามเรอื่ งที่สนใจได้ 4. สามารถบอกความ เปน็ มา ประเภท ข้อดี ข้อเสีย และสมัครเข้า ใช้งานเวริ ์ดเพรสได้ การใชง้ านระบบ 5. สามารถใชง้ าน 1. การเขา้ ใชง้ านหนา้ 4 จัดการ ระบบจัดการ เวิรด์ ควบคมุ (Dash 2 WordPress.com เพรส ด้วยแดชบอร์ด board) ด้วยหน้าตา่ งควบคมุ หรือหน้าควบคุมได้ 2. การปรบั แตง่ หน้าตา (Dash board) บล็อกดว้ ยธมี (Themes) การเขยี นเรื่อง (Post) 6. สามารถสร้างและ 1. การจดั การเรื่อง 6 และการจดั การไฟล์ แก้ไขเนอ้ื หาบนบล็อก (Post) สื่อ (Media) ได้ ในเวิร์ดเพรส 3 7. สามารถแทรกไฟล์ (WordPress) มัลติมเี ดยี ตา่ งๆ ลงใน 2 การจัดการไฟล์มีเดีย บลอ็ กได้ (Media) ใหก้ บั บลอ็ ก

(Blog) 157 การสรา้ งหน้า (Page) 6. สามารถสร้างและ 1. การสรา้ งหนา้ (Page) 6 10 และการสร้างลิงก์ แก้ไขเน้อื หาบนบลอ็ ก 2. การสรา้ งลงิ ก์ (Link) 10 4 (Link) ได้ 10 8. สามารถสร้างลิงก์ 20 20 เมนูไปยังเนื้อหาบน บล็อกได้ การตกแตง่ บล็อก 9. สามารถตกแต่ง 1. วิดเจ็ต (Widget) 6 5 (Blog) ด้วย วิดเจต็ เวริ ด์ เพรสดว้ ยวิดเจต็ 2. ปลกั๊ อนิ (Plugin) (Widget) และ ปล๊กั และปลก๊ั อนิ ได้ อนิ (Plugin) รายงานการพัฒนาเว็บ 10. รายงานการ 1. รายงานการพฒั นา 4 6 บลอ็ กในรูปแบบของ พัฒนาเว็บบล็อกใน เว็บบล็อก โครงงาน รูปแบบของโครงงานได้ สอบกลางภาค สอบปลายภาค

158 โครงสรา้ งรายวิชาการโปรแกรมเบื้องต้น ภาคเรยี นที่ 2 ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4 อตั ราสว่ น ลาดับ ช่อื หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา/ นา้ หนกั ระหว่าง ท่ี การเรียน ชวั่ โมง คะแนน เรียนกบั สอบ 1 โปรแกรม 1. สามารถเลือกใช้  การเลือกใช้ 6 5 70:30 ภาษา โปรแกรมภาษาที่ โปรแกรมภาษา เหมาะสมกบั การ แกป้ ญั หาได้  ลักษณะเดน่ 2. อธิบายลกั ษณะเดน่ และลกั ษณะด้อย และดอ้ ยของโปรแกรม ของโปรแกรมภาษา ภาษาแตล่ ะประเภทได้ 2 ประเภท 3. อธิบายถึงประเภท  ประเภทของ 6 5 ขอ้ มลู ขอ้ มูล และองค์ประกอบ ขอ้ มูล ของคาสัง่ ได้ 3 การ 4. อธิบายถึงขัน้ ตอนการ  ข้ันตอนการ 6 5 ดาเนินการ ทางานของโอเปอเรชัน่ ทางานของโอเปอ ทาง ลาดบั ความสาคัญของ เรช่นั คณติ ศาสตร์ เครอื่ งหมายได้  ลาดบั ความสาคญั ของ เครอ่ื งหมาย 4 การเขียน 5. สามารถเขียน  การเขยี น 8 10 โปรแกรม โปรแกรมเพื่อแก้ปัญหา โปรแกรมเพ่ือ โดยใชค้ าส่ังเบอื้ งต้นของ แก้ปัญหาโดยใช้

159 อัตราสว่ น ลาดบั ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา/ นา้ หนัก ระหวา่ ง ท่ี การเรยี น ชวั่ โมง คะแนน เรียนกับ สอบ ภาษาคอมพวิ เตอร์ท่ีเลือก คาสงั่ เบือ้ งต้น ได้ 5 คาสั่งแบบ 6. สามารถเขียน  การเขียน 10 10 ทางเลือก โปรแกรมโดยใช้ โปรแกรมโดยใช้ และวนรอบ โครงสร้างคาสั่งแบบมี โครงสรา้ งคาสั่ง การทางาน เงอ่ื นไขและวนรอบการ แบบมีเง่ือนไขและ ทางานได้ วนรอบการทางาน 6 สอบกลางภาค 2 20 7 สอบปลายภาค 2 30 รวม 40 100 โครงสรา้ งรายวิชา วิทยาศาสตร์กายภาพ ๑(เคมี) ภาคเรียนท่ี ๑ ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๕ ลาดับที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสาคัญ เวลา/ น้าหนัก อตั ราสว่ น การเรยี น ตัวชวี้ ัด ช่ัวโมง คะแนน ระหว่าง เรียนกับ สอบ ๑. ระบวุ ่าสารเป็นธาตุ • สารเคมีทุกชนดิ ๕ ๑๐ ๗๐:๓๐ หรอื สารประกอบ และ สามารถระบุได้วา่ เป็น อยใู่ นรปู อะตอม ธาตุหรอื สารประกอบ โมเลกุล หรอื ไอออนจาก และอยู่ในรปู ของ สูตรเคมี อะตอม โมเลกลุ หรือ ๒. เปรยี บเทียบความ ไอออนไดโ้ ดยพิจารณา ๑ โครงสร้าง เหมือนและความ จากสูตรเคมี อะตอม แตกตา่ งของแบบจาลอง อะตอมของโบร์กบั • แบบจาลองอะตอมใช้ แบบจาลองอะตอมแบบ อธิบายตาแหนง่ ของ

160 ลาดับที่ ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นร้/ู สาระสาคญั เวลา/ น้าหนัก อัตราส่วน ช่วั โมง คะแนน ระหว่าง การเรียน ตวั ชว้ี ัด เรียนกับ สอบ กลมุ่ หมอก โปรตอนนวิ ตรอน และ อเิ ลก็ ตรอนในอะตอม โดยโปรตอนและ นวิ ตรอนอยูร่ วมกนั ใน นวิ เคลียสสว่ น อิเลก็ ตรอนเคลื่อนที่ รอบนิวเคลียส ซง่ึ ใน แบบจาลองอะตอมของ โบร์อเิ ล็กตรอนเคลอ่ื นที่ เปน็ วง โดยแตล่ ะวงมี ระยะหา่ งจากนวิ เคลียส และมีพลังงานต่างกนั และอเิ ล็กตรอนวงนอก สุด เรยี กว่าเวเลนซ์ อเิ ลก็ ตรอน • ๓. ระบุจานวนโปรตอน แบบจาลองอะตอมแบบ นิวตรอน และ กลมุ่ หมอก แสดงโอกาส อเิ ล็กตรอนของอะตอม ทีจ่ ะพบอเิ ลก็ ตรอนรอบ และไอออนทเี่ กิดจาก นิวเคลียสในลักษณะ อะตอมเดียว กลุ่มหมอก เน่ืองจาก ๑ โครงสร้าง อเิ ลก็ ตรอนมขี นาดเล็ก อะตอม และเคลื่อนท่ีอยา่ ง รวดเร็วตลอดเวลา จึง ไม่สามารถระบุตาแหนง่ ทแ่ี นน่ อนได้ ๔. เขียนสัญลักษณ์ • อะตอมของธาตุเปน็ นวิ เคลยี ร์ของธาตแุ ละ กลางทางไฟฟา้ มีจานวน โปรตอนเทา่ กับจานวน

161 ลาดบั ท่ี ชือ่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสาคญั เวลา/ น้าหนัก อัตราส่วน ช่ัวโมง คะแนน ระหว่าง การเรยี น ตัวชี้วัด เรยี นกับ สอบ ระบกุ ารเป็นไอโซโทป อเิ ลก็ ตรอน การระบุ ชนิดของธาตุพิจารณา จากจานวนโปรตอน • เม่ืออะตอมของธาตมุ ี การใหห้ รือรบั อเิ ล็กตรอน ทาให้ จานวนโปรตอนและ อเิ ลก็ ตรอนไม่เทา่ กัน เกิดเปน็ ไอออน โดย ไอออนทม่ี จี านวน อเิ ล็กตรอนน้อยกว่า จานวนโปรตอน เรียกว่า ไอออนบวก สว่ นไอออนท่ีมีจานวน อเิ ล็กตรอนมากกวา่ โปรตอน เรยี กวา่ ไอออนลบ • สญั ลกั ษณน์ ิวเคลียร์ ประกอบดว้ ยสัญลกั ษณ์ ธาตเุ ลขอะตอมและเลข มวล โดยเลขอะตอม เป็นตวั เลขที่แสดง จานวนโปรตอนใน อะตอม เลขมวลเปน็ ตัว เลขที่แสดงผลรวมของ จานวนโปรตอนกบั นวิ ตรอนในอะตอม ธาตุ ชนดิ เดียวกันแตม่ เี ลข มวลต่างกัน เรยี กวา่

162 ลาดับที่ ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสาคญั เวลา/ นา้ หนกั อตั ราสว่ น ชัว่ โมง คะแนน ระหวา่ ง การเรยี น ตวั ชว้ี ัด เรยี นกับ สอบ ไอโซโทป ๕. ระบุหมแู่ ละคาบของ • ธาตุจดั เปน็ หมวดหมู่ ๒ สมบตั ขิ อง ธาตุและระบุว่าธาตเุ ปน็ ไดอ้ ยา่ งเป็นระบบ โดย ๕ ๑๐ ธาตตุ าม โลหะ อโลหะ กงึ่ โลหะ อาศยั ตารางธาตุซ่ึงใน ตารางธาตุ กล่มุ ธาตุเรพรีเซนเททีฟ ปัจจุบนั จดั เรียงตามเลข หรือกลุ่มธาตแุ ทรนซชิ ัน อะตอมและความ จากตารางธาตุ คล้ายคลงึ ของสมบตั ิ แบง่ ออกเป็นหมซู่ ึ่งเปน็ แถวในแนวตั้งและคาบ ซ่ึงเป็นแถวในแนวนอน ทาให้ธาตุทม่ี สี มบตั ิเป็น โลหะ อโลหะและกึ่ง ๖. เปรยี บเทยี บสมบัติ โลหะอยเู่ ปน็ กลมุ่ การนาไฟฟ้า การใหแ้ ละ บริเวณใกลๆ้ กนั และ รับอิเลก็ ตรอนระหวา่ ง แบง่ ธาตุออกเปน็ กลุม่ ธาตุในกลุ่มโลหะกับ ธาตุเรพรเี ซนเททีฟและ อโลหะ กลุ่มธาตแุ ทรนซิชัน ธาตใุ นกลมุ่ โลหะ จะนา ไฟฟ้าได้ดแี ละมีแนวโนม้ ให้อิเลก็ ตรอน สว่ นธาตุ ในกล่มุ อโลหะ จะไมน่ า ไฟฟา้ และมแี นวโน้มรบั อิเล็กตรอน โดยธาตุ เรพรีเซนเททฟี ในหมู่ IA- IIAและธาตแุ ทรนซิ ชนั ทกุ ธาตจุ ัดเปน็ ธาตใุ น กลุ่มโลหะ ส่วนธาตุ เรพรเี ซนเททฟี ในหมู่ IIIA- VIIAมีทง้ั ธาตใุ น

163 ลาดบั ที่ ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสาคญั เวลา/ นา้ หนกั อตั ราสว่ น ชั่วโมง คะแนน ระหวา่ ง การเรียน ตัวช้วี ัด เรยี นกับ สอบ กลุ่มโลหะและอโลหะ ส่วนธาตุเรพรีเซนเททีฟ ๒ สมบตั ขิ อง ในหมู่VIIIA จดั เปน็ ธาตุ ธาตตุ าม อโลหะทง้ั หมด ตารางธาตุ • ธาตุเรพรีเซนเททีฟ และธาตุแทรนซชิ นั นามาใชป้ ระโยชนใ์ น ชีวติ ประจาวันได้ ๗. สืบค้นขอ้ มลู และ หลากหลายซึ่งธาตบุ าง นาเสนอตัวอยา่ ง ชนดิ มีสมบตั ิที่เปน็ ประโยชน์และอันตรายที่ อนั ตราย จงึ ตอ้ ง เกดิ จากธาตเุ รพรีเซนเท คานึงถงึ การป้องกนั ทฟี และธาตุ อันตรายเพื่อความ แทรนซชิ ัน ปลอดภยั ในการใช้ ประโยชน์ ๓ พนั ธะเคมี ๘. ระบุว่าพันธะโคเว • พนั ธะโคเวเลนตเ์ ป็น ๕ ๒๐ เลนต์เป็นพนั ธะเด่ียว การยึดเหนีย่ วระหวา่ ง พนั ธะคหู่ รือพันธะสาม อะตอมดว้ ยการใช้ และระบจุ านวนคู่ เวเลนซ์อเิ ล็กตรอน อิเลก็ ตรอนระหว่าง ร่วมกัน เกดิ เป็นโมเลกุล อะตอมครู่ ว่ มพนั ธะ จาก โดยการใช้เวเลนซ์ สูตรโครงสร้าง อเิ ล็กตรอนร่วมกัน๑ คู่ เรยี กว่า พันธะเดยี่ ว เขียนแทนด้วยเส้น พันธะ๑ เส้น ใน โครงสรา้ งโมเลกุล ส่วน การใช้เวเลนซ์ อิเล็กตรอนรว่ มกัน ๒ คู่

164 ลาดับที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคญั เวลา/ นา้ หนัก อตั ราส่วน การเรยี น ตวั ช้วี ัด ชัว่ โมง คะแนน ระหวา่ ง เรียนกับ สอบ และ ๓ คู่ เรียกว่าพันธะ คูแ่ ละพนั ธะสาม เขียน แทนดว้ ยเสน้ พนั ธะ ๒ เสน้ และ ๓ เสน้ ตามลาดบั • สารทมี่ พี ันธะภายใน ๓ พนั ธะเคมี โมเลกุลเปน็ พันธะโคเว เลนต์ทัง้ หมดเรียกวา่ สารโคเวเลนตโ์ ดยสาร ๙. ระบสุ ภาพข้วั ของ โคเวเลนตท์ ี่ สารที่โมเลกุล ประกอบดว้ ย ๒ ประกอบด้วย๒ อะตอม อะตอมของธาตชุ นิด ๑๐. ระบสุ ารทีเ่ กดิ เดยี วกันเปน็ สารไม่มีขั้ว พนั ธะไฮโดรเจนได้จาก สว่ นสารโคเวเลนตท์ ่ี สตู รโครงสรา้ ง ประกอบด้วย ๒ อะตอมของธาตุต่าง ๑๑. อธิบาย ชนดิ กนั เปน็ สารมขี ว้ั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งจุด สาหรับสารโคเวเลนตท์ ่ี เดือดของสารโคเวเลนต์ ประกอบดว้ ยอะตอม กบั แรงดึงดูดระหว่าง มากกว่า ๒ อะตอม โมเลกุลตามสภาพขั้ว อาจเป็นสารมีขั้วหรือไม่ หรอื การเกดิ พันธะ มีข้ัวขน้ึ อยู่กบั รูปร่าง ไฮโดรเจน ของโมเลกุล ซ่ึงสภาพ ขว้ั ของสารโคเวเลนต์ ส่งผลต่อแรงดึงดดู ระหว่างโมเลกลุ ทท่ี าให้ จุดหลอมเหลวและจดุ

165 ลาดบั ท่ี ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคญั เวลา/ นา้ หนัก อตั ราสว่ น การเรยี น ตวั ชว้ี ดั ชั่วโมง คะแนน ระหว่าง เรียนกับ สอบ เดอื ดของสารโคเวเลนต์ แตกตา่ งกัน นอกจากนี้ สารบางชนดิ มีจดุ เดอื ด สูงกวา่ ปกตเิ น่ืองจากมี แรงดึงดดู ระหว่าง โมเลกลุ สงู ท่ีเรียกวา่ พันธะไฮโดรเจนซ่งึ สาร เหลา่ นี้มีพันธะ N–H O–H หรือ F–H ภายใน โครงสรา้ งโมเลกุล • สารประกอบไอออนิก ๓ พนั ธะเคมี สว่ นใหญ่เกิดจากการ รวมตัวกนั ของไอออน บวกของธาตุโลหะและ ไอออนลบของธาตุ อโลหะ ในบางกรณี ไอออนอาจ ประกอบดว้ ยกลมุ่ ของ ๑๒. เขยี นสตู รเคมีของ อะตอม โดยเมื่อไอออน ไอออนและสารประกอบ รวมตัวกนั เกิดเป็น ไอออนิก สารประกอบไอออนกิ จะมีสดั ส่วนการรวมตวั เพือ่ ทาให้ประจขุ อง สารประกอบเปน็ กลาง ทางไฟฟ้า โดยไอออน บวกและไอออนลบจะ จดั เรยี งตวั สลับ

166 ลาดับที่ ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสาคัญ เวลา/ นา้ หนกั อตั ราสว่ น การเรียน ตวั ชว้ี ัด ชัว่ โมง คะแนน ระหวา่ ง เรยี นกับ สอบ ต่อเนือ่ งกนั ไปใน ๓ มติ ิ เกิดเปน็ ผลกึ ของสารซ่งึ สตู รเคมีของ สารประกอบไอออนกิ ประกอบดว้ ยสญั ลักษณ์ ธาตทุ ่เี ป็นไอออนบวก ตามด้วยสัญลักษณ์ธาตุ ทเ่ี ป็นไอออนลบ โดยมี ตัวเลขที่แสดงจานวน ไอออนแต่ละชนดิ เป็น อตั ราส่วนอยา่ งต่า ๔ สมบตั ขิ อง ๕ ๑๐ สารละลาย • สารจะละลายนา้ ได้ เมอื่ องค์ประกอบของ สารสามารถเกิดแรง ดงึ ดดู กบั โมเลกุลของน้า ได้โดยการละลายของ สารในนา้ เกดิ ได้๒ ลักษณะคือ การละลาย แบบแตกตัว และการ ละลายแบบไม่แตกตวั ๑๓. ระบุว่าสารเกดิ การ การละลายแบบแตกตัว

167 ลาดบั ท่ี ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคัญ เวลา/ นา้ หนัก อัตราสว่ น ชวั่ โมง คะแนน ระหว่าง การเรียน ตัวชีว้ ัด เรยี นกับ สอบ ละลายแบบแตกตัว เกิดขึ้นกบั สารประกอบ หรือไม่แตกตัว พร้อมให้ ไอออนิก และสารโคเว เหตุผลและระบุวา่ เลนต์บางชนิดท่ีมีสมบัติ สารละลายที่ไดเ้ ป็น เปน็ กรดหรือเบส โดย สารละลายอิเล็กโทรไลต์ เมือ่ สารเกิดการละลาย หรอื นอนอิเล็กโทรไลต์ แบบแตกตัวจะได้ ไอออนท่สี ามารถ เคลอ่ื นที่ได้ทาใหไ้ ด้ สารละลายทน่ี าไฟฟ้าซึ่ง เรียกว่า สารละลายอิ เล็กโทรไลตก์ ารละลาย แบบไม่แตกตวั เกิด ขน้ึ กบั สารโคเวเลนตท์ ีม่ ี ขั้วสงู สามารถดึงดดู กบั โมเลกลุ ของน้าไดด้ โี ดย เมื่อเกดิ การละลาย โมเลกุลของสารจะไม่ แตกตัวเป็นไอออน และ สารละลายท่ีไดจ้ ะไมน่ า ไฟฟ้าซง่ึ เรียกวา่ สารละลายนอนอิเลก็ โทรไลต์ • การละลายของสาร พิจารณาได้จากความมี ข้ัวของตวั ละลายและตวั ทาละลาย โดยสาร สามารถละลายไดใ้ นตวั ทาละลายทมี่ ีข้วั ใกลเ้ คียงกนั โดยสารมี

168 ลาดบั ที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ เวลา/ นา้ หนกั อตั ราสว่ น ช่ัวโมง คะแนน ระหวา่ ง การเรียน ตัวชวี้ ัด เรยี นกับ สอบ ขวั้ ละลายในตวั ทา ละลายท่ีมขี ้วั สว่ นสารไม่ มีขัว้ ละลายในตวั ทา ละลายทไ่ี ม่มขี ้วั และสาร มขี ัว้ ไมล่ ะลายในตัวทา ละลายทไ่ี มม่ ีข้วั ๕ สารประ ๕ ๑๐ กอบอนิ ทรีย์ ๑๗. อธิบายสมบตั กิ าร • สารประกอบอนิ ทรยี ์ ละลายในตัวทาละลาย เป็นสารประกอบของ ชนดิ ตา่ ง ๆ ของสาร คาร์บอนสว่ นใหญ่พบใน สิง่ มีชีวติ มีโครงสรา้ ง หลากหลายและแบง่ ได้ หลายประเภท เน่ืองจากธาตุคาร์บอน สามารถเกดิ พนั ธะกบั คาร์บอนด้วยกันเองและ ธาตอุ น่ื ๆ นอกจากนี้ พนั ธะระหว่างคาร์บอน ยงั มหี ลายรูปแบบ ได้แก่ พนั ธะเด่ยี วพันธะคู่ พนั ธะสาม • สารประกอบอนิ ทรียท์ ่ี มีเฉพาะธาตุคาร์บอน และไฮโดรเจนเปน็ ๑๔. ระบุสารประกอบ องค์ประกอบ เรยี กว่า อนิ ทรีย์ประเภท สารประกอบ ไฮโดรคารบ์ อนว่าอ่ิมตวั ไฮโดรคารบ์ อน โดย หรอื ไม่อ่ิมตวั จากสตู ร สารประกอบ โครงสร้าง ไฮโดรคารบ์ อนอมิ่ ตัวมี

169 ลาดบั ท่ี ช่อื หน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสาคญั เวลา/ นา้ หนกั อตั ราสว่ น การเรยี น ตัวชี้วดั ช่วั โมง คะแนน ระหวา่ ง เรยี นกับ สอบ พนั ธะระหว่างคารบ์ อน เป็นพนั ธะเดี่ยวทุก พนั ธะในโครงสร้าง ส่วน สารประกอบ ไฮโดรคารบ์ อนไมอ่ ่ิมตวั มพี นั ธะระหวา่ ง คาร์บอนเปน็ พันธะคู่ หรอื พันธะสามอยา่ ง น้อย ๑ พันธะใน โครงสรา้ ง ๖ พอลิเมอร์ • สารประกอบอินทรียท์ ี่ ๕ ๑๐ มหี มู่ -COOH สามารถ แสดงสมบตั คิ วามเป็น กรดสว่ นสารประกอบ อนิ ทรยี ท์ ่ีมหี มู่ -NH2 สามารถแสดงสมบัติ ความเปน็ เบส • สารที่พบใน ชีวิตประจาวันมีทง้ั โมเลกลุ ขนาดเล็กและ ขนาดใหญ่ พอลเิ มอร์ เป็นสารทีม่ โี มเลกลุ ขนาดใหญท่ ่ีเกิดจาก มอนอเมอร์หลาย โมเลกุลเช่ือมตอ่ กันดว้ ย พันธะเคมีทาให้สมบตั ิ ทางกายภาพของพอลิ

170 ลาดบั ท่ี ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นร้/ู สาระสาคัญ เวลา/ นา้ หนัก อตั ราสว่ น ชั่วโมง คะแนน ระหวา่ ง การเรียน ตวั ชี้วัด เรยี นกบั สอบ ๑๖. ระบสุ มบัตคิ วาม เมอรแ์ ตกต่างจากมอนอ เป็นกรด-เบสจาก เมอรท์ ่ีเป็นสารต้ังต้น โครงสรา้ งของ เช่น สถานะ จดุ สารประกอบอินทรยี ์ หลอมเหลวการละลาย ๑๕. สบื ค้นข้อมลู และ • โครงสร้างของพอลิ เปรียบเทียบสมบัติทาง เมอร์อาจเป็นแบบเส้น กายภาพระหวา่ งพอลิ แบบกิ่งหรือแบบรา่ งแห เมอรแ์ ละมอนอเมอร์ โดยพอลเิ มอรแ์ บบเส้น ของพอลเิ มอร์ชนดิ นนั้ และแบบกง่ิ มีสมบัติ เทอร์มอพลาสติก สว่ น พอลิเมอรแ์ บบร่างแห มี สมบัตเิ ทอร์มอเซต จึงมี การใช้ประโยชนไ์ ด้ แตกตา่ งกนั การละลายของสาร • การใชผ้ ลติ ภัณฑพ์ อลิ เมอร์ในปริมาณมาก กอ่ ให้เกิดปญั หาทส่ี ง่ ผล กระทบต่อสง่ิ มชี ีวติ และ สง่ิ แวดลอ้ มดงั นนั้ จงึ ควร ตระหนกั ถึงการลด ปริมาณการใช้การใช้ซา้ และการนากลบั มาใช้ ใหม่ ๑๘. วิเคราะหแ์ ละ อธบิ ายความสัมพนั ธ์

ลาดบั ท่ี ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ 171 การเรียน ตวั ชวี้ ัด เวลา/ นา้ หนกั อตั ราสว่ น ช่ัวโมง คะแนน ระหวา่ ง ระหวา่ งโครงสร้างกับ สมบัตเิ ทอร์มอพลาสตกิ เรยี นกับ และเทอรม์ อเซตของพอ สอบ ลิเมอร์และการนาพอลิ ๗ ปฏิกิรยิ า เมอร์ไปใช้ประโยชน์ ๕ ๑๐ เคมี ๑๙. สืบคน้ ขอ้ มูลและ นาเสนอผลกระทบของ การใชผ้ ลติ ภัณฑพ์ อลิ เมอร์ท่ีมตี อ่ สิ่งมชี วี ติ และ • ปฏิกิริยาเคมีทาใหเ้ กดิ ส่งิ แวดล้อม พร้อม การเปล่ยี นแปลงของ แนวทางป้องกนั หรือ สารโดยปฏิกิริยาเคมี แกไ้ ข อาจใหพ้ ลงั งานความ รอ้ นพลังงานแสง หรือ พลงั งานไฟฟา้ ที่ สามารถนาไปใช้ ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ได้ • ปฏิกริ ยิ าเคมีแสดง ไดด้ ว้ ยสมการเคมีซ่ึงมี สูตรเคมีของสารตัง้ ต้น อยทู่ างด้านซ้ายของ ลกู ศร และสูตรเคมีของ ผลิตภัณฑ์อยู่ทางด้าน ขวาโดยจานวนอะตอม รวมของแตล่ ะธาตุ

172 ลาดบั ท่ี ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสาคัญ เวลา/ น้าหนกั อตั ราสว่ น การเรียน ตวั ชีว้ ดั ช่ัวโมง คะแนน ระหวา่ ง เรยี นกับ สอบ ทางดา้ นซา้ ยและขวา เท่ากัน นอกจากน้ี สมการเคมียังอาจแสดง ปัจจัยอน่ื เช่น สถานะ พลังงานทเ่ี กี่ยวข้อง ตวั เร่งปฏกิ ิรยิ าเคมที ่ีใช้ • อัตราการเกิดปฏกิ ิรยิ า ๒๐. ระบสุ ูตรเคมีของ เคมขี นึ้ อยกู่ บั ความ สารตง้ั ต้น ผลติ ภณั ฑ์ เขม้ ขน้ อุณหภมู ิพืน้ ที่ผวิ และแปลความหมาย หรอื ตัวเรง่ ปฏกิ ิรยิ า ของสญั ลกั ษณ์ในสมการ เคมีของปฏกิ ิริยาเคมี • ความรเู้ ก่ยี วกับปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ อตั ราการ เกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี สามารถนาไปใช้ ประโยชน์ใน ชวี ติ ประจาวนั และใน อตุ สาหกรรม ๘ สาร • ปฏิกริ ยิ าเคมบี าง ๕ ๑๐ กัมมันตรังสี ประเภทเกิดจากการ ถ่ายโอนอเิ ล็กตรอนของ สารในปฏกิ ิริยาเคมีซ่ึง เรยี กวา่ ปฏิกริ ยิ ารดี อกซ์ • สารท่สี ามารถแผร่ ังสี

173 ลาดบั ท่ี ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสาคัญ เวลา/ น้าหนัก อัตราสว่ น ชว่ั โมง คะแนน ระหว่าง การเรียน ตัวชีว้ ัด เรยี นกับ สอบ ไดเ้ รยี กว่า สาร กัมมนั ตรังสซี ่ึงมี นวิ เคลยี สท่ีสลายตัว อย่างต่อเนื่อง ๒๑. ทดลองและอธิบาย ระยะเวลาท่สี าร ผลของความเขม้ ขน้ กัมมนั ตรังสสี ลายตวั จน พื้นทีผ่ วิ อุณหภูมิและ เหลอื ครึง่ หน่งึ ของ ตัวเรง่ ปฏิกิรยิ าท่ีมีผลต่อ ปริมาณเดมิ เรยี กว่า อตั ราการเกิดปฏิกริ ยิ า ครึ่งชีวิต โดยสาร เคมี กัมมนั ตรังสแี ต่ละชนดิ มี ค่าครง่ึ ชีวติ แตกต่างกัน • รงั สที ีแ่ ผจ่ ากสาร กัมมันตรังสีมหี ลายชนิด เช่นแอลฟา บีตา แกมมา ซึ่งสามารถ นามาใช้ประโยชนไ์ ด้ แตกต่างกัน การนาสาร ๒๒. สืบคน้ ขอ้ มลู และ กัมมันตรังสแี ตล่ ะชนดิ อธิบายปัจจัยที่มีผลต่อ มาใช้ตอ้ งคานงึ ถึง อตั ราการเกิดปฏิกิริยา ผลกระทบต่อสงิ่ มีชวี ติ เคมที ่ใี ช้ประโยชน์ใน และสงิ่ แวดลอ้ มรวมท้งั ชวี ิตประจาวนั หรอื ใน มกี ารจดั การอย่าง อุตสาหกรรม เหมาะสม ๒๓. อธบิ ายความหมาย ของปฏิกิริยารีดอกซ์ ๒๔. อธิบายสมบตั ขิ อง สารกัมมนั ตรังสีและ คานวณครง่ึ ชวี ติ และ ปริมาณของสาร

ลาดับที่ ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคัญ 174 การเรยี น ตวั ช้วี ดั เวลา/ นา้ หนกั อัตราส่วน ชวั่ โมง คะแนน ระหว่าง เรียนกบั สอบ กมั มนั ตรังสี ๒๕. สบื ค้นข้อมลู และ นาเสนอตัวอยา่ ง ประโยชนข์ องสาร กมั มนั ตรงั สแี ละการ ปอ้ งกนั อนั ตรายทีเ่ กิด จากกมั มันตภาพรงั สี โครงสร้างรายวิชา วิทยาศาสตรก์ ายภาพ(ฟสิ ิกส)์ ภาคเรียนที่ 2 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ลาดับ ชือ่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคญั เวลา/ น้าหนัก อตั ราส่วน ชั่วโมง คะแนน ระหว่าง ท่ี การเรยี นรู้ ตวั ช้วี ดั เรยี นกบั

1 การเคลอื่ นที่ มาตรฐาน ว 2.2 8 175 ในแนวตรง เข้าใจธรรมชาติของ แรงในชีวติ ประจาวนั สอบ ผลของแรงทีก่ ระทาต่อ 15 70:30 วัตถุ ลกั ษณะการ เคลื่อนท่ีแบบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมทง้ั นา ความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ตัวชว้ี ัด - การเคลอ่ื นที่ของวัตถุ 1. วิเคราะห์และแปล ท่ีมกี ารเปล่ยี นความเรว็ ความหมายข้อมูล เป็นการเคล่ือนที่ดว้ ย ความเรว็ กับเวลาของ ความเร่ง ความเรง่ เปน็ การเคลอ่ื นทข่ี องวัตถุ อตั ราสว่ นของความเร็ว เพอ่ื อธบิ ายความเร่ง ทเ่ี ปลย่ี นไปต่อเวลาและ ของวตั ถุ เปน็ ปริมาณเวกเตอร์ ใน กรณีท่วี ัตถุท่อี ยู่นิ่งหรือ 2. สังเกตและอธิบาย เคลื่อนท่ใี นแนวตรงดว้ ย การหาแรงลัพธท์ ่เี กิด ความเรว็ คงตัววัตถนุ ้ันมี จากแรงหลายแรงที่อยู่ ความเร่งเป็นศูนย์ ในระนาบเดยี วกันท่ี - วัตถมุ คี วามเร็วเพิม่ ข้นึ กระทาต่อวัตถุโดยการ ถ้าความเร็วและ ความเรง่ มที ิศเดยี วกัน และมีความเร็วลดลง ถา้ ความเรว็ และความเร่งมี ทิศตรงกันขา้ ม - เม่ือมีแรงหลายแรง กระทาตอ่ วตั ถุหนึ่ง โดย แรง ทุกแรงอยใู่ น ระนาบเดียวกันสามารถ หาแรงลพั ธ์ ทกี่ ระตอ่

176 เขยี นแผนภาพการรวม วตั ถุนน้ั ไดโ้ ดยรวมแบบ แบบเวกเตอร์ เวกเตอร์ 3. สังเกต วิเคราะห์ - เมื่อแรงลพั ธม์ ีคา่ ไม่ และอธิบาย เทา่ กบั ศนู ย์กระทาต่อ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง วตั ถุ จะทาให้วตั ถุ ความเรง่ ของวตั ถุกบั เคลอ่ื นทีด่ ้วยความเร่งมี แรงลพั ธ์ทีก่ ระทาต่อ ทศิ ทางเดยี วกับแรงลัพธ์ วัตถุและมวลของวตั ถุ โดยขนาดของความเร่ง ขน้ึ กับขนาดของ แรง 4. สงั เกตและอธบิ าย ลัพธ์กระทาตอ่ วัตถแุ ละ แรงกิรยิ าและแรง มวลของวัตถุ ปฏกิ ิรยิ าระหวา่ งวตั ถคุ ู่ - แรงกระทาระหวา่ ง หน่งึ ๆ วัตถุ คหู่ นง่ึ ๆ เป็นแรง กิรยิ าและแรงปฏกิ ิริยา 5. สงั เกตและอธบิ าย แรงท้งั สองมี ขนาด ผลของความเร่งทมี่ ตี ่อ เท่ากันเกดิ ขึ้นพรอ้ ม การเคล่ือนที่แบบตา่ ง กนั กระทากบั วัตถุคน ๆ ของวัตถุ ไดแ้ ก่ การ ละกอ้ น แตม่ ที ิศ เคลื่อนท่แี นวตรง การ ทางตรงขา้ ม เคลื่อนทแี่ บบโพรเจก - วตั ถทุ เ่ี คลื่อนทด่ี ้วย ไทล์ การเคล่ือนที่แบบ ความเร่งคงตัวหรือ วงกลม และการ ความเรง่ ไมค่ งตัว อาจ เคล่อื นท่ีแบบส่นั เปน็ การเคล่ือนท่ีแนว ตรง การเคลอ่ื นทีแ่ นว โคง้ หรือการเคลื่อนท่ี แบบสน่ั การเคลือ่ นที่ แนวตรงด้วยความเร่ง คงตวั นาไปใชอ้ ธิบาย การตกแบบเสรี การ เคลอื่ นที่แนวโค้งด้วย ความเร่งคงตวั นาไปใชอ้ ธิบายการ เคลือ่ นทแี่ บบโพรเจก

177 6. สบื ค้นขอ้ มูลและ ไทล์ การเคล่ือนท่ีแนว อธิบายแรงโนม้ ถ่วงท่ี โค้งดว้ ยความเร่งมี เก่ียวกับการเคลื่อนท่ี ทิศทางตง้ั ฉากกับ ของวตั ถุตา่ ง ๆ รอบ ความเรว็ ตลอดเวลา โลก นาไปใชอ้ ธบิ ายการ เคลือ่ นทีแ่ บบวงกลม 7. สงั เกตและอธบิ าย การเคลอ่ื นท่ีกลับไป การเกิดสนามแม่เหล็ก กลับมาด้วยความเรง่ มี เนือ่ งจากกระแสไฟฟ้า ทิศทางเข้าสจู่ ุดท่ีแรง ลัพธ์เปน็ ศนู ย์ เรยี กจุด 8. สังเกตและอธบิ าย น้วี า่ ตาแหน่งสมดุล ซง่ึ แรงแม่เหลก็ ท่ีกระทา นาไปใช้อธิบายการ เคลอื่ นทีแ่ บบสน่ั -ในบรเิ วณที่มสี นาม โน้มถ่วง เม่ือมวี ัตถุท่มี ี มวล จะมีแรงโน้มถว่ ง ซ่ึงเป็นแรงดงึ ดูดของ โลกกระทาต่อวัตถุ แรงนน้ี าไปใช้อธบิ าย การเคล่ือนท่ขี องวตั ถุ ตา่ ง ๆ เช่น ดาวเทยี ม และดวงจนั ทรร์ อบโลก -กระแสไฟฟา้ ทาให้ เกิดสนามแม่เหล็กใน บรเิ วณรอบแนวการ เคลื่อนที่ของ กระแสไฟฟ้า หา ทศิ ทางของ สนามแมเ่ หลก็ เนือ่ งจากกระแสไฟฟ้า ได้จากกฎมือขวา -ในบริเวณทมี่ ี สนามแมเ่ หลก็ เมือ่ มี

178 ต่ออนุภาคทม่ี ีประจุ อนภุ าคที่มีประจุไฟฟา้ ไฟฟ้าท่ีเคลอื่ นที่ใน เคลอื่ นทโ่ี ดยไม่อยู่ใน สนามแมเ่ หล็ก และแรง แนวเดยี วกบั แม่เหลก็ ที่กระทาต่อ สนามแมเ่ หล็ก หรือมี ลวดตวั นาทีม่ ี กระแสไฟฟา้ ผา่ นลวด กระแสไฟฟ้าผา่ นใน ตวั นาโดยกระแสไฟฟ้า สนามแมเ่ หล็ก รวมทัง้ ไมอ่ ยู่ในแนวเดียวกับ อธิบายหลกั การทางาน สนามแมเ่ หลก็ จะมี ของมอเตอร์ แรงแมเ่ หลก็ กระทา ซง่ึ เปน็ พ้นื ฐานในการ สรา้ งมอเตอร์ 9. สังเกตและอธบิ าย -เมื่อมีสนามแม่เหล็ก การเกดิ อีเอ็มเอฟ เปลีย่ นแปลงตัด รวมทัง้ ยกตัวอย่างการ ขดลวดตัวนา ทาให้ นาความรูไ้ ปใช้ เกิดอเี อม็ เอฟ ซ่ึงเปน็ ประโยชน์ พน้ื ฐานในการสรา้ ง เคร่อื งกาเนิดไฟฟ้า 10.สบื คน้ ข้อมูลและ -ภายในนิวเคลียสมี อธบิ ายแรงเข้มและแรง แรงเข้มทเ่ี ป็นแรงยดึ ออ่ น เหนี่ยวของอนภุ าคใน นวิ เคลียส และเป็น แรงหลักทใ่ี ช้อธบิ าย เสถยี รภาพของ นวิ เคลียส นอกจากนี้ ยังมแี รงอ่อน ซึง่ เปน็ แรงทใี่ ชอ้ ธิบายการ สลายให้อนุภาคบีตา ของธาตุกัมมนั ตรังสี 2 มาตรฐาน ว 2.3 16 25 เข้าใจความหมายของ พลงั งาน การ เปลี่ยนแปลงและการ ถา่ ยโอนพลงั งาน

179 ปฏสิ ัมพันธร์ ะหวา่ ง สสารและพลังงาน พลงั งานใน ชวี ิตประจาวนั ธรรมชาติของคลนื่ ปรากฏการณ์ที่ เกยี่ วขอ้ งกบั เสยี ง แสง และคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตัวชี้วดั 11.สบื ค้นข้อมลู และ - พลงั งานทีป่ ลดปล่อย อธิบายพลงั งาน ออกมาจากฟิชชัน นวิ เคลยี ร์ ฟชิ ชัน หรอื ฟิวชัน เรียกวา่ และฟิวชนั และ พลังงานนวิ เคลยี ร์ โดย ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง ฟชิ ชนั เป็นปฏิกิรยิ าที่ มวลกับพลงั งานที่ นวิ เคลยี สท่ีมมี วลมาก ปลดปลอ่ ยออกมาจาก แตกออกเปน็ นิวเคลยี ส ฟชิ ชนั และฟิวชนั ที่มมี วลนอ้ ยกวา่ ส่วน ฟิวชนั เปน็ ปฏกิ ริ ิยาที่ นิวเคลียสที่มีมวลนอ้ ย รวมตวั กนั เกิดเปน็ นวิ เคลียสท่มี มี วลมาก ขน้ึ พลังงานนวิ เคลยี ร์ ท่ปี ลดปลอ่ ยออกมา จากฟชิ ชนั และฟิวชนั มคี ่าเปน็ ไปตาม ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ ง มวลกบั พลงั งาน 12. สืบคน้ ข้อมูล และ - การนาพลังงาน อธิบายการเปลี่ยน ทดแทนมาใชเ้ ป็นการ พลังงานทดแทนเป็น แก้ปญั หาหรือ

180 พลังงานไฟฟ้า รวมทั้ง ตอบสนองความ สบื ค้นและอภิปราย ตอ้ งการดา้ นพลังงาน เกยี่ วกบั เทคโนโลยที ี่ เชน่ การเปลีย่ น นามาแก้ปัญหาหรอื พลงั งานนวิ เคลียร์เป็น ตอบสนองความ พลงั งานไฟฟา้ ใน ต้องการทางดา้ น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ พลงั งานโดยเนน้ ดา้ น และการเปล่ยี น ประสทิ ธิภาพและความ พลังงานแสงอาทิตย์ คุ้มคา่ ด้านค่าใชจ้ า่ ย เป็นพลังงานไฟฟ้าโดย เซลล์ - เทคโนโลยีตา่ ง ๆ ที่ นามาแกป้ ัญหาหรอื ตอบสนองความ ต้องการทางด้าน พลังงานเป็นการนา ความรู้ทกั ษะและ กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตรม์ าสรา้ ง อปุ กรณ์หรือผลติ ภณั ฑ์ ตา่ ง ๆ ท่ีช่วยใหก้ ารใช้ พลงั งานมี ประสทิ ธิภาพ 13. สังเกต และอธิบาย - เม่ือคลืน่ เคลอ่ื นที่ไป การสะท้อน การหักเห พบส่ิงกดี ขวาง จะเกิด การเลี้ยวเบน และการ การสะท้อน เมอ่ื คล่ืน รวมคลน่ื เคลือ่ นทีผ่ ่านรอยต่อ ระหวา่ งตวั กลางที่ ต่างกัน จะเกดิ การหัก เห เมื่อคลื่นเคล่ือนที่ ไปพบขอบส่ิงกีดขวาง จะเกดิ การเลีย้ วเบน เมื่อคลืน่ สองขบวนมา พบกันจะเกิดการรวม

181 คล่ืนเกดิ รปู ร่างของ คลืน่ รวม หลงั จากคลน่ื ทง้ั สองเคล่อื นที่ผา่ น พน้ กนั แล้วจะแยกกัน โดยแตล่ ะคลืน่ ยังคงมี รปู รา่ งและทิศทางเดมิ 14. สงั เกต และอธิบาย - เม่อื กระต้นุ ให้วตั ถสุ ่ัน ความถีธ่ รรมชาติ การ แล้วหยุดกระตุ้น วตั ถุ สั่นพอ้ ง และผลท่ี จะสัน่ ด้วยความถ่ีท่ี เกดิ ขึน้ จากการสัน่ พ้อง เรยี กวา่ ความถี่ ธรรมชาติ ถา้ มีแรง กระตนุ้ วัตถุทกี่ าลังส่ัน ด้วยความถขี่ องการ ออกแรงตรงกับความถ่ี ธรรมชาตขิ องวัตถุนนั้ จะทาให้วัตถสุ น่ั ดว้ ย แอมพลิจดู มากขนึ้ เรียกว่า การสนั่ พ้อง เช่น การสนั่ พ้องของ อาคารสูง การส่ันพ้อง ของสะพาน การส่นั พอ้ งของเสยี งในเครื่อง ดนตรีประเภทเปา่ 15. สงั เกต และอธบิ าย - เสียงมกี ารสะท้อน การ การสะท้อน การหักเห หกั เห การเลี้ยวเบน การเลย้ี วเบน และการ และการรวมคลน่ื รวมคล่นื ของคลืน่ เสยี ง เชน่ เดียวกบั คลน่ื อนื่ ๆ 16. สืบค้นข้อมลู และ - ความถขี่ องคลืน่ เสยี ง อธิบายความสมั พนั ธ์ เป็นปริมาณที่ใชบ้ อก ระหว่างความเข้มเสียง เสียงสูงเสียงตา่ โดย กับระดบั เสียงและผล ความถท่ี ี่คนได้ยนิ มคี า่ ของความถี่กบั ระดบั อยูร่ ะหวา่ ง ๒๐- เสียงที่มตี ่อการได้ยิน ๒๐,๐๐๐ เฮิรตซ์

182 เสยี ง ระดบั เสียงเปน็ ปรมิ าณ ท่ใี ช้บอกความดงั ของ เสยี งซ่งึ ข้ึนกบั ความ เข้มเสียง โดยความเขม้ เสยี งเปน็ พลังงานเสียง ที่ตกตัง้ ฉากบนพืน้ ท่ี หนงึ่ หนว่ ยในหนึ่ง หน่วยเวลา เสยี งที่มี ความดังมากเกินไป เปน็ อันตรายต่อหู 17. สังเกต และอธิบาย - เม่อื เสียงจาก การเกิดเสยี งสะท้อน แหลง่ กาเนิดเดินทาง กลับ บีต ดอปเพลอร์ ไปกระทบวตั ถุแล้ว และการส่นั พ้องของ สะทอ้ นกลบั มายังผู้ฟงั เสียง ถา้ ผฟู้ ังได้ยินเสียง ท่ี ออกจากแหล่งกาเนดิ และเสยี งท่สี ะท้อน กลบั มา แยกจากกนั เสยี งท่ไี ด้ยนิ นเี้ ป็นเสียง สะทอ้ นกลบั - เม่อื คลืน่ เสยี งสอง ขบวนท่มี ีความถ่ี ใกลเ้ คียงกัน มารวมกนั จะเกิดบตี - เมอ่ื แหล่งกาเนดิ เสยี ง เคลื่อนที่ ผูฟ้ งั เคล่ือนท่ี หรือทง้ั แหล่งกาเนิด และผู้ฟงั เคล่ือนท่ี ผู้ฟงั จะได้ยินเสยี งทม่ี ี ความถเ่ี ปลย่ี นไป เรียกวา่ ปรากฏการณด์ อป เพลอร์

183 - ถา้ อากาศในท่อถกู กระต้นุ ดว้ ยคล่นื เสยี งท่ี มคี วามถี่ เท่ากบั ความถีธ่ รรมชาตขิ อง อากาศในท่อน้นั จะ เกิดการสัน่ พ้องของ เสยี ง 18. สืบค้นข้อมลู และ - ความรู้เกีย่ วกับเสียง ยกตวั อย่างการนา นาไปใชป้ ระโยชนใ์ น ความรเู้ กย่ี วกบั เสยี งไป ด้านตา่ ง ๆ เช่น คล่ืน ใช้ประโยชนใ์ น เหนือเสียงหรืออลั ตรา ชีวติ ประจาวนั ซาวนด์ใช้ในทาง การแพทย์ บีตของ เสยี งในการปรบั เทียบ เสียงของเคร่ืองดนตรี การสน่ั พ้องของเสียงใช้ ในการออกแบบเคร่ือง ดนตรแี ละอธิบายการ เปลง่ เสยี งของมนษุ ย์ 19. สังเกต และอธิบาย - เมื่อแสงตกกระทบ การมองเหน็ สขี องวตั ถุ วัตถุ วัตถุจะดดู กลนื และความผิดปกตใิ น แสงสีบางสี โดย การมองเห็นสี ขึ้นกับสารสบี นผวิ วตั ถุ และสะท้อนแสง สที ีเ่ หลอื ออกมา ทา ให้มองเหน็ วตั ถุเปน็ สี ตา่ ง ๆ ข้ึนกบั แสงสีที่ สะท้อนออกมา ความ ผิดปกตใิ นการ มองเห็นสหี รือการ บอดสเี กิดจากความ บกพร่องของเซลลร์ ปู กรวยบนจอตา

184 20. สงั เกต และอธิบาย การทางานของแผน่ - แผ่นกรองแสงสยี อม กรองแสงสี การผสม ใหแ้ สงสบี างสีผ่าน แสงสี การผสมสารสี ออกไปได้ และกน้ั บาง และการนาไปใช้ แสงสี ประโยชนใ์ นชีวิต - การผสมแสงสีทาใหไ้ ด้ ประจา แสงสีท่หี ลากหลาย เปลย่ี นไปจากเดิม ถ้า นาแสงสีปฐมภมู ิใน สัดสว่ น ทเ่ี หมาะสมมา ผสมกันจะไดแ้ สงขาว - การผสมสารสีทาให้ได้ สารสีทหี่ ลากหลาย เปลยี่ นไปจากเดิม ถา้ นาสารสปี ฐมภมู ใิ น ปริมาณ ทเี่ ท่ากันมา ผสมกนั จะได้สารสีผสม เป็นสีดา - การผสมแสงสีและ การผสมสารสสี ามารถ นาไปใชป้ ระโยชนใ์ น 21. สืบค้นขอ้ มูลและ ดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ ดา้ น อธบิ ายคลื่น ศิลปะ ด้านการแสดง แม่เหล็กไฟฟ้า - คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า สว่ นประกอบคล่ืน ประกอบดว้ ย แม่เหลก็ ไฟฟา้ และ สนามแมเ่ หลก็ และ หลกั การทางานของ สนามไฟฟ้าที่ อปุ กรณ์บางชนดิ ท่ี เปล่ยี นแปลงตลอดเวลา อาศัย คลืน่ โดยสนามท้งั สองมี แม่เหล็กไฟฟ้า ทิศทางต้งั ฉากกนั และ 22. สบื คน้ ข้อมลู และ ต้ังฉากกับทิศทางการ

185 อธบิ ายการสอ่ื สารโดย เคลื่อนที่ของคลื่น อาศัยคล่ืนแม่เหลก็ - - อปุ กรณ์บางชนดิ ไฟฟ้าในการส่งผ่าน ทางานโดยอาศยั คล่ืน สารสนเทศและ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า เชน่ เปรียบเทียบการสื่อสาร เครอ่ื งควบคมุ ระยะไกล ด้วยสญั ญาณ เครอ่ื งถา่ ยภาพเอกซเรย์ แอนะล็อกกบั สญั ญาณ คอมพวิ เตอร์ และ ดิจิทัล เคร่ืองถา่ ยภาพการสน่ั พ้องแม่เหลก็ - ในการส่ือสารโดย อาศัยคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้า เพื่อ สง่ ผ่านสารสนเทศจากที่ หนึ่งไปอีกทหี่ นึ่ง สารสนเทศจะถูกแปลง ให้อยใู่ นรูปสัญญาณ สาหรบั ส่งไปยัง ปลายทางซึ่งจะมกี าร แปลงสัญญาณกลบั มา เปน็ สารสนเทศท่ี เหมอื นเดมิ - สัญญาณทีใ่ ช้ในการ ส่ือสารมสี องชนดิ คือ แอนะล็อกและดิจทิ ลั การสง่ ผ่านสารสนเทศ ด้วยสัญญาณดจิ ิทัล สามารถสง่ ผา่ นไดโ้ ดยมี 23. ประยกุ ต์ใช้ความรู้ ความผดิ พลาดน้อยกวา่ และทกั ษะจากศาสตร์ สญั ญาณแอนะล็อก ตา่ ง ๆ รวมทั้ง - การทาโครงงาน เป็น ทรพั ยากรในการทา การประยุกตใ์ ช้ความรู้ โครงงานเพื่อแก้ปัญหา และทกั ษะจากศาสตร์ หรอื พฒั นางาน ตา่ ง ๆ รวมทัง้

186 ทรัพยากร ในการสร้าง หรือพฒั นาชนิ้ งานหรือ วธิ ีการ เพ่อื แก้ปัญหา หรืออานวยความ สะดวกในการทางาน - การทาโครงงานการ ออกแบบและเทคโนโลยี สามารถดาเนินการได้ โดยเร่มิ จาก การสารวจ สถานการณป์ ัญหาที่ สนใจ เพอ่ื กาหนดหวั ข้อ โครงงาน แล้วรวบรวม ข้อมลู และแนวคดิ ท่ี เก่ียวขอ้ งกับปญั หา ออกแบบแนวทางการ แก้ปญั หา วางแผนและ ดาเนินการแกป้ ัญหา ทดสอบ ประเมินผล ปรับปรุงแก้ไขวธิ กี าร แก้ปญั หาหรือชิ้นงาน และนาเสนอวิธีการ แกป้ ญั หา

187 โครงสร้างรายวชิ า ฟสิ ิกส์ 3 ภาคเรียนท่ี 1 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 ลาดบั ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสาคญั เวลา/ นา้ หนัก อตั ราสว่ น ที่ การเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ ชว่ั โมง คะแนน ระหวา่ ง เรียนกับ 1 การเคลือ่ นที่ มาตรฐาน ว 2.2 - การเคลอ่ื นท่ีแบบฮาร์ 12 10 สอบ แบบ เขา้ ใจธรรมชาติของ มอนกิ อยา่ งง่ายเปน็ การ 70:30 ฮาร์มอนิกส์ แรงในชีวิตประจาวนั เคลือ่ นที่ของวตั ถุท่ี อยา่ งง่าย ผลของแรงทกี่ ระทาต่อ กลบั ไปกลบั มาซา้ รอย วัตถุ ลกั ษณะการ เดิมผ่าน ตาแหน่งสมดุล เคลอ่ื นทแี่ บบตา่ ง ๆ โดยมีคาบและ ของวัตถุ รวมท้ังนา แอมพลิจดู คงตวั และมี ความรู้ไปใช้ประโยชน การกระจัดจากตาแหน่ง

188 ผลการเรียนรู้ สมดุลทเี่ วลาใด ๆ เป็น 1. ทดลอง และ ฟังก์ชันแบบไซน์ โดย ปริมาณตา่ ง ๆ ที่ อธิบายการ เกี่ยวข้อง มคี วาม เคล่ือนท่ีแบบฮาร์ สมั พนั ธ์ตามสมการ มอนิกอย่างงา่ ย ของวัตถุตดิ ปลาย x = Asin(ωt + Ø) สปริงและลูกต้มุ v = Aωcos(ωt + Ø) อย่างงา่ ย รวมท้งั v = ±ω√A2– x2 คานวณปรมิ าณ a = –Aω2sin(ωt + Ø) ตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วข้อง a = –ω2x -การสัน่ ของวัตถตุ ดิ ปลายสปริง และการ แกวง่ ของลูกตุ้มอยา่ ง งา่ ยเป็นการเคล่ือนท่ี แบบฮาร์มอนิก อยา่ ง ง่ายทีม่ ขี นาดของ ความเรง่ แปรผันตรงกับ ขนาดของการกระจัด จากตาแหน่งสมดุล แต่ มี ทศิ ทางตรงข้าม โดย มคี าบการสั่นของวัตถทุ ี่ ติดอยูท่ ปี่ ลายสปรงิ และคาบการแกวง่ ของ ลูกตมุ้ ตามสมการ 2. อธิบายความถ่ี - เม่อื ดึงวตั ถุท่ตี ิดปลาย ธรรมชาติของวตั ถุ สปริงออกจากตาแหน่ง และการเกดิ การ สมดุล แล้วปลอ่ ยใหส้ นั่ สน่ั พอ้ ง วัตถุจะสน่ั ด้วยความถ่ี เฉพาะตวั การดึงลูกตมุ้ ออกจากแนวดง่ิ แล้ว

189 ปล่อยใหแ้ กว่ง ลกู ตุ้มจะ แกว่งด้วยความถี่ เฉพาะตัวเช่นกัน ความถี่ ท่มี คี ่าเฉพาะตวั นี้ เรยี กว่า ความถ่ี ธรรมชาติ เมื่อกระตุ้น ใหว้ ตั ถสุ น่ั ด้วยความถี่ท่ี มคี า่ เทา่ กับ ความถ่ี ธรรมชาตขิ องวตั ถุ จะ ทาให้วตั ถุสั่นด้วย แอม พลจิ ูดเพ่ิมขึ้น เรยี กว่า การส่ันพ้อง 2 คลื่น มาตรฐาน ว 2.3 24 30 เข้าใจความหมาย ของพลังงาน การ เปล่ียนแปลงและการ ถา่ ยโอนพลังงาน ปฏสิ มั พนั ธ์ระหวา่ ง สสารและพลงั งาน พลังงานในชวี ติ ประจาวัน ธรรมชาติ ของคลืน่ ปรากฏการณ์ ท่เี กีย่ วข้องกับเสียง แสง และคลน่ื - แมเ่ หล็กไฟฟ้า รวมทัง้ นาความรไู้ ปใช้ - คลื่นเป็น ประโยชน์ ปรากฏการณ์การถา่ ย ผลการเรยี นรู้ โอนพลงั งาน จากท่หี นึ่ง 3. อธบิ าย ไปอีกทหี่ นงึ่

190 ปรากฏการณ์คล่ืน - คลน่ื ท่ถี า่ ยโอนพลังงาน ชนดิ ของคล่นื โดยต้องอาศัยตวั กลาง ส่วนประกอบของ เรียกวา่ คลนื่ กล สว่ น คล่ืน การแผข่ อง คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ถ่าย หนา้ คลื่นดว้ ย โอน พลังงานโดยไมต่ อ้ ง หลกั การของฮอย- อาศยั ตวั กลาง เกนส์ และการ นอกจากนี้ยังจาแนก รวมกันของคล่ืน ชนิดของคล่นื ออกเป็น ตามหลกั การ สองชนดิ ได้แก่ คลื่น ซอ้ นทับ พรอ้ มทง้ั ตามขวาง และคลื่น คานวณ อัตราเรว็ ตามยาว ความถ่ี และความ - คล่ืนทเ่ี กิดจาก ยาวคลื่น แหล่งกาเนดิ คลนื่ ท่ีส่ง คล่นื อย่างต่อเนื่องและมี รปู แบบทซ่ี ้ากนั บรรยาย ไดด้ ว้ ย การกระจดั สัน คลนื่ ท้องคล่ืน เฟส ความยาวคล่นื ความถี่ คาบ แอมพลิจดู และ อัตราเรว็ โดยอัตราเร็ว ความถ่ี และความยาว คลนื่ มคี วามสมั พนั ธ์ ตามสมการ v = f - การแผ่ของหน้าคลื่น เป็นไปตามหลักของ ฮอยเกนส์ และถ้ามคี ล่นื ตัง้ แต่สองขบวนมาพบ กันจะรวมกัน ตาม 4. สังเกต และอธบิ าย หลักการซ้อนทบั การสะท้อน การหกั เห - คลนื่ มีการสะท้อน การแทรกสอด และ การหกั เห การแทรก- การเลีย้ วเบนของคลืน่ สอด และ การเล้ยี วเบน - คลื่นเกิดการสะทอ้ น

191 ผวิ น้า รวมทงั้ คานวณ เม่ือคลน่ื เคลอ่ื นที่ไปถึง ปรมิ าณต่าง ๆ ที่ ส่งิ กีดขวางหรอื รอยต่อ เกี่ยวข้อง ระหว่างตัวกลางท่ี ตา่ งกัน แลว้ เปลี่ยน ทศิ ทางเคลื่อนทก่ี ลับมา ในตวั กลางเดิม โดย เป็นไปตามกฎการ สะทอ้ น เขียนแทนได้ ดว้ ย สมการ มมุ สะท้อน = มมุ ตก กระทบ • คล่ืนเกิดการหักเหเมื่อ คลนื่ เคล่ือนทผี่ า่ น รอยต่อ ระหว่าง ตวั กลางทต่ี า่ งกนั แล้ว อัตราเร็วคลนื่ เปลยี่ นไป ซง่ึ เปน็ ไปตามกฎการ หักเห เขยี นแทน ได้ ดว้ ยสมการ - คล่นื เกดิ การแทรก สอดเม่ือคล่ืนสองคลน่ื เคลือ่ นท่ี มาพบกันแลว้ รวมกนั ตามหลกั การ ซ้อนทบั โดยกรณีท่ี S1 และ S2 เป็น แหล่งกาเนดิ คล่ืนท่มี ี ความถเี่ ท่ากนั และเฟส ตรงกัน ปริมาณต่าง ๆ ทเี่ ก่ียวข้องมี ความสัมพนั ธต์ าม สมการ

|S1P-S2P| = n 192 เมอื่ n = 0,1,2,3,… 16 |S1Q-S2Q| = (n - 1 ) 2 เม่ือ n = 1,2,3,… - คลน่ื นิง่ เกิดจากคลน่ื อาพนั ธ์สองขบวนแทรก สอดกัน แล้วเกดิ ตาแหนง่ ท่มี ีการแทรก สอดแบบเสรมิ ตลอดเวลา เรยี กว่า ปฏบิ พั และตาแหน่งทม่ี ี การแทรกสอดแบบ หักลา้ งตลอดเวลา เรยี กว่า บัพ - คลื่นเกิดการเล้ียวเบน เม่ือคลน่ื เคลอ่ื นท่ีพบสิง่ กดี ขวางแลว้ มคี ลื่นแผ่ จากขอบสงิ่ กดี ขวางไป ดา้ นหลงั ได้ 3 เสียงและการ มาตรฐาน ว 2.3 18 ได้ยนิ เข้าใจความหมายของ พลงั งาน การ เปลย่ี นแปลงและการ ถ่ายโอนพลงั งาน ปฏิสมั พันธ์ระหว่าง สสารและพลังงาน พลงั งานในชีวติ ประจาวนั ธรรมชาติ ของคลืน่ ปรากฏการณ์ ทเ่ี กยี่ วข้องกับเสียง แสง และคล่ืน- แม่เหลก็ ไฟฟา้ รวมทั้ง นาความรไู้ ปใช้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook