193 ประโยชน์ ผลการเรียนรู้ 5. อธิบายการเกิดเสียง - เสียงเป็นคล่นื กลและ การเคลือ่ นทขี่ องเสยี ง คลื่นตามยาว เกิดจาก ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง การถา่ ยโอนพลงั งาน คลืน่ การกระจดั ของ จากการสั่นของ อนภุ าคกับคลื่นความ แหล่งกาเนิดเสียงผา่ น ดนั ความสมั พันธ์ อนุภาคตวั กลางทาให้ ระหวา่ ง อตั ราเร็วของ อนุภาคของตวั กลางสั่น เสยี งในอากาศท่ีขึ้นกบั อตั ราเร็วเสียงในอากาศ อุณหภมู ใิ นหนว่ ยองศา ขึ้นกับ อณุ หภูมิของ เซลเซยี ส สมบัติของ อากาศ คานวณไดจ้ าก คลืน่ เสียง ได้แก่ การ สมการ สะทอ้ น การหกั เห การ v = 331 + 0.6 T แทรกสอด การ เลย้ี วเบน รวมทงั้ คานวณปรมิ าณต่าง ๆ - เสยี งมีสมบัติการ ทีเ่ ก่ียวข้อง สะทอ้ น การหักเห การ แทรกสอด และการ 6. อธิบายความเข้ม เล้ยี วเบน เสยี ง ระดบั เสียง - กาลังเสยี งเป็นอตั รา องค์ประกอบ ของการ การถา่ ยโอนพลงั งาน ไดย้ ิน คุณภาพเสยี ง เสียงจากแหลง่ กาเนดิ และมลพิษทาง เสียง เสยี ง กาลงั เสียงต่อหนงึ่ รวมทั้งคานวณปริมาณ หนว่ ยพ้ืนท่ี ของหนา้ ตา่ ง ๆ ที่เกยี่ วข้อง คลื่นทรงกลมเรยี กวา่ ความเข้มเสยี ง คานวณได้จากสมการ I = ������ ������ - ระดบั เสียงเป็น ปรมิ าณท่ีบอกความดัง
194 ของเสยี ง โดยหาได้จาก ลอการิทึมของ อตั ราส่วนระหวา่ ง ความเขม้ เสียงกับความ เขม้ เสยี งอ้างอิงที่มนุษย์ เริ่มได้ยนิ ตามสมการ - ระดับสูงตา่ ของเสยี ง ข้นึ กับความถีข่ องเสียง เสยี งทไ่ี ด้ยินมีลักษณะ เฉพาะตัวแตกต่างกัน เน่อื งจากมีคุณภาพเสยี ง แตกต่างกัน - เสยี งท่มี รี ะดับเสียงสงู มากหรอื เสียงบาง ประเภท ที่มีผลต่อ 7. ทดลอง และอธิบาย สภาพจติ ใจของผูฟ้ ัง การเกดิ การสน่ั พ้องของ จดั เป็นมลพษิ ทางเสยี ง - ถ้าอากาศในท่อถูก อากาศในท่อปลายเปดิ กระต้นุ ดว้ ยคล่ืนเสยี งที่ หน่ึงด้าน รวมทั้งสงั เกต มีความถี่ เท่ากบั ความถ่ี และอธิบายการเกิดบีต คลื่นน่ิง ปรากฏการณ์ ธรรมชาตขิ องอากาศใน ท่อนั้น จะเกดิ การสั่น ดอปเพลอร์ คลนื่ พอ้ งของเสยี ง โดย กระแทกของเสยี ง ความถใ่ี นการ เกดิ การ คานวณ ปรมิ าณต่าง ๆ สัน่ พอ้ งของท่อ ทีเ่ กย่ี วข้อง และนา ปลายเปิดหนง่ึ ดา้ น ความรเู้ ร่อื งเสยี งไปใช้ คานวณ ได้จากสมการ ในชวี ิตประจาวัน - ถ้าเสยี งจาก แหลง่ กาเนิดเสยี งสอง
195 แหลง่ ท่มี คี วามถี่ ต่างกนั ไม่มากมาพบกนั จะเกดิ บีต ทาให้ไดย้ นิ เสียงดัง ค่อย เปน็ จงั หวะ - คล่ืนเสยี งสองขบวนท่ี มีความถเี่ ท่ากนั มา แทรกสอดกัน จะทาให้ เกิดคล่ืนน่งิ - เม่อื แหล่งกาเนิดเสยี ง เคลอ่ื นทโ่ี ดยผฟู้ ังอยนู่ ิ่ง ผฟู้ งั เคลือ่ นทีโ่ ดย แหลง่ กาเนดิ เสยี งอยู่นง่ิ หรอื ทัง้ แหล่งกาเนิด และผ้ฟู งั เคล่อื นที่เขา้ หรือออกจากกัน ผฟู้ งั จะได้ยินเสียงทีม่ ีความถี่ เปล่ยี นไป เรยี กวา่ ปรากฏการณ์ ดอปเพลอร์ - ถ้าแหล่งกาเนิดเสยี ง เคลื่อนทด่ี ้วยอัตราเร็ว มาก กว่าอตั ราเรว็ เสยี ง ในตัวกลางเดียวกนั จะ เกิดคลืน่ กระแทก ทาให้ เสยี งตามแนวหนา้ คล่นื กระแทกมีพลังงานสงู มากมีผลทาใหผ้ สู้ ังเกต ในบรเิ วณใกล้เคียงได้ ยนิ เสยี งดงั มาก - ความรู้เร่ืองเสยี งนาไป ประยุกตใ์ ชใ้ นด้านตา่ ง ๆ เชน่ การปรบั เทยี บ เสยี งเครอื่ งดนตรี
อธิบายหลักการ ทางาน 196 ของเครอื่ งดนตรี การ 24 เปลง่ เสยี งของมนษุ ย์ การประมง การแพทย์ ธรณีวทิ ยา อตุ สาหกรรม เปน็ ตน้ 4 แสง มาตรฐาน ว 2.3 26 และ เข้าใจความหมายของ การมองเห็น พลงั งาน การ เปลีย่ นแปลงและการ ถา่ ยโอนพลงั งาน ปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ ง สสารและพลงั งาน พลังงานในชวี ติ ประจาวนั ธรรมชาติ ของคล่ืน ปรากฏการณ์ ทีเ่ กยี่ วข้องกับเสยี ง แสง และคล่ืน- แม่เหลก็ ไฟฟา้ รวมท้งั นาความรไู้ ปใช้ ประโยชน์ ผลการเรียนรู้ - เมือ่ แสงผา่ นช่องเลก็ 8. ทดลอง และอธิบาย ยาวเดีย่ ว (สลิตเดีย่ ว) การแทรกสอดของแสง และ ชอ่ งเล็กยาวคู่ ผา่ นสลติ คแู่ ละเกรตติง (สลิตค)ู่ จะเกดิ การ การเลย้ี วเบนและการ เลีย้ วเบนและการแทรก แทรกสอดของแสง สอด ทาให้เกิดแถบมดื ผ่านสลิตเดีย่ ว รวมทง้ั และแถบสวา่ งบนฉาก คานวณปรมิ าณต่าง ๆ โดยปรมิ าณต่าง ๆ ท่ี ท่เี กี่ยวข้อง เกยี่ วขอ้ ง มี ความสมั พนั ธ์ตาม
197 สมการ แถบมดื สาหรับสลิตเดย่ี ว dsin = n เมอื่ n = 1,2,3,… แถบสวา่ ง สาหรบั สลิตคู่ dsin = n เมอ่ื n = 0,1,2,3,… แถบมืดสาหรบั สลติ คู่ เมือ่ n = 1,2,3,… - เกรตตงิ เป็น อุปกรณ์ที่ ประกอบด้วยชอ่ งเลก็ ยาวท่มี ีจานวนช่อง ตอ่ หนึง่ หนว่ ยความ ยาวเปน็ จานวนมาก และระยะหา่ ง ระหวา่ งช่องมีคา่ น้อย โดยแตล่ ะชอ่ งหา่ ง เท่า ๆ กนั ใช้สาหรับ หาความยาวคลน่ื ของ แสงและศึกษาสมบัติ การเล้ียวเบน และ การแทรกสอดของ แสง โดยปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกย่ี วข้องมี ความสมั พนั ธต์ าม สมการ dsin = n เมอ่ื n = 0,1,2,3,…
198 9. ทดลอง และอธิบาย - เมื่อแสงตกกระทบผิว การสะท้อนของแสงท่ี วัตถุ จะเกดิ การสะท้อน ผวิ วตั ถุ ตามกฎการ ซึ่งเปน็ ไปตามกฎการ สะทอ้ น เขียนรังสขี อง สะทอ้ น แสงและ คานวณ - วัตถทุ อ่ี ยู่หนา้ กระจก ตาแหน่งและขนาด เงาราบและกระจกเงา ภาพของวัตถุ เมื่อแสง ทรงกลม จะเกดิ ภาพท่ี ตกกระทบกระจกเงา สามารถหาตาแหน่ง ราบและกระจกเงาทรง ขนาด และชนิดของ กลม รวมทัง้ อธบิ าย ภาพทเ่ี กิดขน้ึ ได้จาก การนาความรูเ้ ร่ืองการ การเขียนภาพ ของรังสี สะท้อน ของแสงจาก แสงหรือการคานวณ กระจกเงาราบ และ จากสมการ กระจกเงาทรงกลมไป กรณีกระจกเงาราบ ใชป้ ระโยชนใ์ น ชีวติ ประจาวนั S′ = -S กรณีกระจกเงา 10.ทดลอง และอธิบาย ทรงกลม ความสัมพันธ์ระหวา่ ง ดรรชนหี กั เห มมุ ตก กระทบ และมุมหกั เห รวมทงั้ อธิบาย ความสมั พันธร์ ะหว่าง - เมื่อแสงเคล่ือนทีผ่ ่าน ความลกึ จรงิ และความ ผิวรอยต่อของตัวกลาง ลกึ ปรากฏ มุมวิกฤต สอง ตัวกลางจะเกดิ การ และการสะท้อนกลับ หกั เห โดยอตั ราส่วน หมดของแสง และ
199 คานวณ ปรมิ าณต่าง ๆ ระหว่าง ไซนข์ องมุมตก ทเ่ี ก่ยี วข้อง กระทบกับไซนข์ องมุม หักเหของ ตัวกลางคู่ หน่ึงมีค่าคงตวั เรยี ก ความสมั พันธน์ ้วี า่ กฎ ของสเนลล์ เขยี นแทน ไดด้ ้วยสมการ n1sin1 = n2sin2 - การหักเหของแสงทา ใหม้ องเห็นภาพของวัตถุ ที่อยู่ ในตัวกลางตา่ ง ชนดิ กันมีตาแหนง่ เปล่ยี นไปจากเดิม ซง่ึ คานวณปริมาณตา่ ง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ จาก สมการ - มุมตกกระทบที่ทาให้ มุมหักเหมีคา่ 90 องศา เรยี กว่า มุมวกิ ฤต ซง่ึ เกิดขน้ึ ในกรณที ่ีแสง เดินทาง จากตวั กลางท่ี มีดรรชนหี ักเหมากไป 11. ทดลอง และเขียน ตวั กลางที่มี ดรรชนหี ัก รงั สีของแสงเพ่ือแสดง เหนอ้ ย คานวณได้จาก ภาพทเ่ี กิดจากเลนส์ สมการ บาง หาตาแหน่ง ขนาด ชนดิ ของภาพ และ - การสะท้อนกลับหมด ความสัมพันธร์ ะหวา่ ง เกดิ ขน้ึ เมื่อมุมตกกระทบ ระยะวัตถุ ระยะภาพ มากกวา่ มุมวิกฤต
200 และความยาวโฟกัส - เม่อื วางวัตถุหน้าเลนส์ รวมทั้งคานวณ ปรมิ าณ บางจะเกิดภาพของวัตถุ ตา่ ง ๆ ที่เกยี่ วข้อง และ โดยตาแหน่ง ขนาด อธบิ ายการนา ความรู้ และชนิดของภาพท่ี เรอื่ งการหักเหของแสง เกิดขน้ึ หาไดจ้ ากการ ผา่ นเลนสบ์ างไปใช้ เขียนภาพของรงั สีแสง ประโยชน์ใน หรอื คานวณ ไดจ้ าก ชวี ติ ประจาวัน สมการ 12. อธบิ าย ปรากฏการณธ์ รรมชาติ ทเี่ กีย่ วกับแสง เช่น รงุ้ การทรงกลด มริ าจ - ความรู้เร่อื งเลนส์นาไป และการเห็น ท้องฟ้า ประยุกตใ์ ชใ้ นดา้ นตา่ งๆ เปน็ สตี ่าง ๆ ในช่วง เช่น แว่นขยาย กลอ้ ง เวลาตา่ งกนั จลุ ทรรศน์ เป็นต้น กฎการสะท้อนและการ หกั เหของแสงใช้อธบิ าย ปรากฏการณ์ทเ่ี ก่ยี วกบั แสง เชน่ รุง้ การทรง กลด และมิราจ - เม่อื แสงตกกระทบ อนภุ าคหรือโมเลกุล ของอากาศ แสงจะ เกดิ การกระเจิง ใช้ 13. สังเกต และอธบิ าย อธบิ ายการเห็นท้องฟ้า การมองเหน็ แสงสี สี เปน็ สตี ่าง ๆ ในชว่ ง ของวตั ถุ การผสมสารสี เวลาต่างกนั และการผสมแสงสี - การมองเหน็ สีจะขน้ึ รวมทัง้ อธิบายสาเหตุ กับแสงสีท่ีตกกระทบ ของการบอดสี กบั วัตถแุ ละสารสบี น วัตถุ โดยสารสจี ะดดู กลนื บางแสงสีและ สะทอ้ นบางแสงสี
201 - การผสมสารสที าให้ได้ สารสที ม่ี ีสเี ปล่ียนไป จากเดมิ ถา้ นาแสงสี ปฐมภูมใิ นสดั ส่วนท่ี เหมาะสมมาผสมกัน จะได้แสงขาว - แผ่นกรองแสงสียอมให้ บางแสงสผี ่านไปได้และ ดดู กลืนบางแสงสี - การผสมแสงสแี ละการ ผสมสารสสี ามารถนา ไปใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ น ตา่ ง ๆ เชน่ ด้านศลิ ปะ ด้านการแสดง - ความผิดปกติในการ มองเหน็ สีหรอื การ บอดสี เกดิ จากความ บกพร่องของเซลล์ รปู กรวย ซง่ึ เปน็ เซลล์ รับแสงชนดิ หนงึ่ บน จอตา
202 โครงสร้างรายวิชา ฟสิ ิกส์ 4 ภาคเรยี นท่ี 2 ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ลาดบั ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคัญ เวลา/ น้าหนกั อตั ราส่วน ชัว่ โมง คะแนน ระหว่าง ที่ การเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ เรียนกบั สอบ
1 ไฟฟา้ สถติ มาตรฐาน ว 2.3 36 203 เขา้ ใจความหมายของ พลังงาน การ 50 70:30 เปลยี่ นแปลงและการ ถ่ายโอนพลงั งาน ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ ง สสารและพลังงาน พลงั งานในชวี ติ ประจาวัน ธรรมชาติ ของคลน่ื ปรากฏการณ์ ทเี่ กีย่ วข้องกบั เสยี ง แสง และคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ รวมทั้ง นาความรไู้ ปใช้ ประโยชน์ ผลการเรยี นรู้ - การนาวัตถุที่เป็น 1.ทดลอง และอธบิ าย กลางทางไฟฟา้ มาขดั สีกนั จะทาใหว้ ตั ถไุ ม่ การทาวตั ถุทีเ่ ปน็ เปน็ กลางทางไฟฟา้ กลางทาง ไฟฟา้ ให้มี เน่ืองจาก อเิ ลก็ ตรอน ประจไุ ฟฟา้ โดยการ ถูกถ่ายโอนจากวตั ถุ ขดั สีกนั และการ หนง่ึ ไปอีกวัตถหุ นึ่ง เหนีย่ วนาไฟฟ้าสถติ โดยการถ่ายโอน ประจเุ ปน็ ไปตาม กฎ การอนุรักษ์ประจุ ไฟฟ้า - เมอื่ นาวัตถุท่ีมี ประจไุ ฟฟา้ ไปใกล้ ตวั นาไฟฟ้า จะทาให้ เกิดประจชุ นดิ ตรง ข้ามบนตัวนา
204 2.อธิบาย และคานวณ ทางด้าน ท่ใี กล้วัตถุ แรงไฟฟ้าตามกฎของ และประจชุ นิด คูลอมบ์ เดยี วกันด้านที่ไกล วตั ถุ เรียกวธิ ีการนวี้ า่ การเหนยี่ วนาไฟฟ้า สถติ ซง่ึ สามารถใช้ วิธกี ารนใ้ี นการทาให้ วัตถุมปี ระจุได้ - ประจไุ ฟฟ้ามีสอง ชนิดคอื ประจบุ วก และประจุลบ เม่ือนา วตั ถุท่มี ีประจชุ นิด เดยี วกนั มาใกลจ้ ะเกิด แรงผลักกนั แต่ถ้า เปน็ ประจตุ ่างชนดิ กนั เขา้ ใกล้กนั จะส่งแรง ดึงดูดกัน โดยทีข่ นาด ของแรงระหวา่ ง ประจแุ ปรผันตรงกบั ขนาดของประจุไฟฟา้ ทง้ั สอง และแปร ผกผันกบั ระยะห่าง ระหวา่ งประจุ ยกกาลังสอง ความสัมพันธ์น้ี เรยี กว่า กฎของ คูลอมบ์ เขียนเปน็ สมการไดเ้ ปน็ 3.อธิบาย และคานวณ - สนามไฟฟ้าคือ อาณา สนามไฟฟา้ และแรง บรเิ วณท่ปี ระจุไฟฟ้าส่ง ไฟฟา้ ที่กระทากับ แรงกระทาไปถงึ ถ้านา
205 อนภุ าคที่มีประจุ ประจุไฟฟ้าไปวางไว้ ไฟฟ้าที่อยใู่ นสนาม บริเวณใดๆรอบจดุ ที่มี ไฟฟ้า รวมท้งั หา ประจุไฟฟ้าและเกดิ แรง สนามไฟฟ้าลัพธ์ กระทาจากประจุไฟฟา้ เนื่องจากระบบ จดุ นนั้ กระทา แสดงว่าจดุ ประจุโดยรวมกนั น้ัน จุดนน้ั อยูใ่ น แบบเวกเตอร์ สนามไฟฟา้ -ขนาดของสนามไฟฟา้ หาได้จากขนาดของ แรงท่ีกระทาต่อหนงึ่ หน่วยประจุที่วาง ณ ตาแหน่งนั้น เขียน ความสมั พันธ์ไดเ้ ป็น - สนามไฟฟา้ ลัพธ์ เนอ่ื งจากจุดประจุหลาย จดุ ประจุ เทา่ กับผลรวม แบบเวกเตอร์ของ สนามไฟฟ้า เนอ่ื งจาก จดุ ประจุแต่ละจุดประจุ - ตวั นาทรงกลมที่มี ประจไุ ฟฟ้ามีสนาม ไฟฟา้ ภายใน ตัวนา เปน็ ศนู ย์ และสนาม ไฟฟ้าบนตวั นามี ทิศทาง ต้ังฉากกบั ผิว ตวั นานน้ั โดย สนามไฟฟ้าเน่ืองจาก ประจุบนตัวนาทรง กลมท่ตี าแหน่งหา่ ง จากผิว ออกไปหาได้
206 4.อธิบาย และคานวณ เช่นเดียวกบั พลงั งานศักย์ไฟฟา้ สนามไฟฟา้ เน่ืองจาก ศักย์ไฟฟ้า และความ จดุ ประจุที่มีจานวน ตา่ งศกั ยร์ ะหว่างสอง ประจุเทา่ กนั แต่อยู่ท่ี ตาแหน่งใด ๆ ศูนยก์ ลาง ของทรง กลม - สนามไฟฟา้ ของแผน่ โลหะคู่ขนานเปน็ สนามไฟฟ้า สมา่ เสมอ - ประจทุ ่ีอยู่ใน สนามไฟฟ้ามีพลังงาน ศกั ยไ์ ฟฟา้ คานวณได้ จากสมการ U = k Q1Q2 r - พลังงานศกั ย์ไฟฟ้าที่ ตาแหนง่ ใด ๆ ตอ่ หนึ่ง หนว่ ย ประจุ เรยี กวา่ ศกั ยไ์ ฟฟ้าที่ตาแหนง่ นัน้ โดยศกั ย์ไฟฟา้ ท่ี ตาแหน่งซ่ึงอยหู่ า่ งจาก จุดประจแุ ปรผัน ตรง กับขนาดของประจุ และแปรผกผันกับ ระยะทาง จากจุด ประจถุ ึงตาแหนง่ น้ัน เขยี นแทนไดด้ ้วย สมการ V = kQ r - ศักย์ไฟฟา้ รวม เนื่องจากจดุ ประจุ หลายจดุ ประจุ คอื ผลรวมของศักยไ์ ฟฟ้า เนอื่ งจากจุดประจแุ ต่
207 ละจดุ ประจุ เขียนแทน ไดด้ ้วยสมการ V =k∑ni=1 qi ri - ความตา่ งศักย์ ระหว่างสองตาแหน่ง ใด ๆ ใน บรเิ วณทม่ี ี สนามไฟฟ้าคอื งานใน การเคล่ือนประจุ บวก หน่งึ หน่วยจาก ตาแหนง่ หนึ่งไปอีก ตาแหนง่ หนึง่ เขยี น แทนได้ดว้ ยสมการ 5.อธบิ ายส่วนประกอบ - ความตา่ งศกั ย์ ของตวั เก็บประจุ ระหว่างสองตาแหนง่ ความสมั พันธ์ระหวา่ ง ใด ๆ ในสนามไฟฟา้ ประจุไฟฟา้ ความ สมา่ เสมอข้นึ กบั ขนาด ตา่ งศักย์ และความจุ ของสนามไฟฟ้า และ ของตัวเก็บประจุ ระยะทางระหวา่ งสอง และอธิบาย พลงั งาน ตาแหนง่ นน้ั ในแนว ขนานกับสนามไฟฟ้า ตามสมการ vB – vA = Ed - ตัวเก็บประจุ ประกอบด้วยตัวนา ไฟฟ้าสองชนิ้ ท่ีค่ันด้วย ฉนวน โดยปรมิ าณ ประจุท่เี กบ็ ได้ขนึ้ อยู่ กับความตา่ งศักย์ ครอ่ มตัวเกบ็ ประจุ
208 สะสมในตวั เกบ็ ประจุ และความจุของตัวเกบ็ และความจุสมมลู ประจุ ตามสมการ รวมทง้ั คานวณ ปรมิ าณต่างๆ ที่ - ตวั เก็บประจุจะมี เกีย่ วข้อง พลังงานสะสมซ่ึงมีค่า ข้นึ กบั ความต่างศักย์ และปริมาณประจุ ตามสมการ U = 1 ������∆������ 2 - เมื่อนาตวั เก็บประจุ มาตอ่ แบบอนุกรม ความจุ สมมลู มคี ่า ลดลง ตามสมการ - เมือ่ นาตวั เก็บประจุ มาต่อแบบขนาน ความ จุ สมมลู มคี ่าเพ่ิมขน้ึ ตามสมการ 6. นาความรู้เรื่องไฟฟา้ C =������1 + ������2+������3+.. สถติ ไปอธบิ าย หลักการทางาน -ความร้เู ร่ืองไฟฟ้า ของเครอ่ื งใช้ไฟฟ้า สถติ สามารถนาไป บางชนิด และ อธิบาย การทางาน ปรากฏการณ์ ใน ของเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าบาง ชีวิตประจาวัน ชนดิ เช่น เครื่องกาจดั ฝนุ่ ในอากาศ เคร่อื ง พน่ สี เครือ่ งถ่าย ลายน้ิวมือ และเครื่อง ถา่ ยเอกสาร 2 ไฟฟ้ากระแส มาตรฐาน ว 2.3 44 50
209 เขา้ ใจความหมายของ พลังงาน การ เปล่ียนแปลงและการ ถา่ ยโอนพลงั งาน ปฏิสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง สสารและพลงั งาน พลังงานในชวี ิต ประจาวัน ธรรมชาติ ของคลนื่ ปรากฏการณ์ ทีเ่ กีย่ วข้องกบั เสยี ง แสง และคลน่ื - แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า รวมทงั้ นาความร้ไู ปใช้ ประโยชน์ ผลการเรียนรู้ - เมือ่ ต่อลวดตัวนากับ 7. อธิบายการเคลื่อนท่ี แหล่งกาเนิดไฟฟา้ ของอเิ ลก็ ตรอนอสิ ระ อิเล็กตรอนอสิ ระที่อยู่ใน และกระแสไฟฟ้าใน ลวดตัวนาจะเคล่ือนท่ีใน ลวดตวั นา ทิศตรงข้ามกบั ความสัมพันธร์ ะหว่าง สนามไฟฟา้ ทาให้เกดิ กระแสไฟฟา้ ในลวด กระแสไฟฟา้ ซง่ึ ทศิ ของ ตัวนากบั ความเรว็ ลอย กระแสไฟฟ้ามีทศิ ทาง เลอ่ื นของอิเล็กตรอน เดยี วกับสนามไฟฟ้า อสิ ระ ความหนาแนน่ หรอื มีทิศทางจากจุดที่มี ของอิเลก็ ตรอนในลวด ศกั ย์ไฟฟ้าสูงไปยังจดุ ท่ี ตวั นาและพื้นท่หี น้าตัด มศี ักย์ไฟฟา้ ตา่ กวา่ ของลวดตัวนา และ - กระแสไฟฟ้าในตัวนา คานวณปริมาณตา่ ง ๆ ไฟฟา้ มีความสมั พันธก์ ับ ทีเ่ ก่ยี วข้อง ความเร็วลอยเลื่อนของ อเิ ลก็ ตรอนอิสระ ความ 8.ทดลอง และอธบิ าย หนาแนน่ ของ กฎของโอหม์ อธิบาย
210 ความสัมพันธ์ระหว่าง อิเล็กตรอนอิสระใน ความตา้ นทานกบั ความ ตัวนาและพืน้ ที่หนา้ ตัด ยาว พนื้ ที่หนา้ ตดั และ ของตัวนา ตามสมการ สภาพตา้ นทานของ I = nevd A ตวั นาโลหะทีอ่ ุณหภมู ิ - เมอ่ื อณุ หภูมคิ งตวั คงตัว และคานวณ กระแสไฟฟา้ ในตัวนา ปรมิ าณต่าง ๆ ท่ี โลหะ ความตา่ งศักยท์ ่ี เก่ียวขอ้ ง รวมท้ัง ปลายท้งั สองและความ อธบิ ายและคานวณ ต้านทานของตัวนานัน้ มี ความตา้ นทานสมมูล ความสมั พนั ธ์กนั ตามกฎ เม่ือนาตัวตา้ นทานมา ของโอห์ม ต่อกันแบบอนุกรมและ เขียนแทนได้ด้วยสมการ แบบขนาน V = IR - ความตา้ นทานของ วัตถเุ ม่ืออณุ หภมู ิคงตัว ขนึ้ อยกู่ ับชนิดและ รูปรา่ งของวตั ถุ ตาม สมการ R = l A 9.ทดลอง อธบิ าย และ - ค่าความตา้ นทานของ คานวณอเี อ็มเอฟของ ตวั ต้านทานอา่ นไดจ้ าก แหล่งกาเนิดไฟฟา้ แถบสีบนตัวตา้ นทาน กระแสตรง รวมท้งั อธบิ ายและคานวณ - เม่ือนาตัวต้านทานมา พลังงานไฟฟา้ และ ตอ่ แบบอนุกรม ความ กาลังไฟฟ้า ต้านทานสมมูลมีค่า เพม่ิ ข้นึ ตามสมการ R = R1 + R2 + R3+... - เม่อื นาตวั ต้านทาน
211 มาตอ่ แบบขนาน ความตา้ นทาน ������ = ������ + ������ + ������ + ⋯ ������ ������������ ������������ ������������ 10.ทดลอง และ - แหล่งกาเนิดไฟฟ้า กระแสตรง เชน่ คานวณอีเอม็ เอฟสมมูล แบตเตอรี่ เปน็ อุปกรณ์ จากการ ตอ่ แบตเตอร่ี ทีใ่ หพ้ ลังงานไฟฟ้าแก่ แบบอนกุ รมและแบบ วงจร พลงั งานไฟฟา้ ท่ี ขนาน รวมทั้งคานวณ ประจไุ ฟฟา้ ได้รับต่อ ปริมาณตา่ ง ๆ ท่ี หนงึ่ หน่วยประจุไฟฟ้า เกี่ยวข้อง ในวงจรไฟฟ้า เม่ือเคลื่อนที่ผ่าน กระแสตรงซงึ่ แหล่งกาเนดิ ไฟฟ้า ประกอบดว้ ย เรียกว่า อีเอ็มเอฟ แบตเตอรแี่ ละ คานวณได้จากสมการ ตวั ต้านทาน ε = ΔV + Ir - พลังงานไฟฟ้าท่ีถกู ใช้ ไปในเครื่องใช้ไฟฟ้าใน หน่งึ หนว่ ยเวลา เรยี กว่า กาลงั ไฟฟา้ ซง่ึ มคี ่า ข้ึนกบั ความตา่ งศักย์ และกระแสไฟฟ้า คานวณไดจ้ ากสมการ W = I ΔVt P = IΔV - เมอ่ื นาแบตเตอร่ีมา ตอ่ แบบอนกุ รม อเี อม็ เอฟ สมมลู และความ ตา้ นทานภายในสมมลู มี คา่ เพิ่มข้นึ ตามสมการ ε = ε1 + ε2 + ... + εn
212 - เม่อื นาแบตเตอรี่ ท่เี หมือนกันมาต่อ แบบขนาน อเี อ็ม เอฟสมมลู มคี ่าคง เดิม และความ ต้านทาน ภายใน สมมลู มคี า่ ลดลง ตามสมการ ε = ε1 = ε2 = ... = εn และ 1 11 1 ������ = ������1 + ������2 +. . + ������������ - กระแสไฟฟา้ ใน วงจรไฟฟ้ากระแส ตรงทีป่ ระกอบดว้ ย แบตเตอร่ีและตัว ตา้ นทาน คานวณได้ ตามสมการ 11. อธิบายการ ������ = ������ อ อธบิ ายการเปลี่ยน ������+������ พลังงานทดแทน เป็น พลังงานไฟฟ้า - การนาพลงั งาน รวมทง้ั สืบคน้ และ ทดแทนมาใชเ้ ปน็ การ อภปิ ราย เกี่ยวกบั แกป้ ัญหา หรอื เทคโนโลยี ทนี่ ามา ตอบสนองความ แก้ปัญหาหรือ ตอ้ งการด้านพลังงาน ตอบสนองความ เช่น การเปลี่ยน ตอ้ งการทางด้าน พลังงานนวิ เคลยี ร์เป็น พลงั งานไฟฟา้ ใน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และ การเปลย่ี นพลังงาน แสงอาทิตย์เปน็ พลงั งาน ไฟฟา้ โดยเซลล์สรุ ิยะ - เทคโนโลยีตา่ ง ๆ ท่ี นามาแก้ปัญหาหรอื
213 พลังงาน ไฟฟ้า โดย ตอบสนอง ความ เนน้ ด้าน ตอ้ งการทางด้าน ประสิทธิภาพและ พลังงานเปน็ การนา ความคมุ้ คา่ ดา้ น ความรู้ ทกั ษะและ คา่ ใชจ้ ่าย กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์มาสร้าง อุปกรณห์ รือผลติ ภัณฑ์ ตา่ ง ๆ ท่ีช่วยให้การใช้ พลงั งานมีประสิทธิภาพ ยิง่ ขนึ้ 30
214 โครงสร้างรายวิชา แรงและการเคลอ่ื นท่ี ภาคเรียนที่ 1 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ลาดบั ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรียนร้/ู สาระสาคัญ เวลา/ น้าหนัก อตั ราสว่ น ที่ การเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ ชั่วโมง คะแนน ระหวา่ ง 1 ปริมาณและ มาตรฐาน ว 2.2 เรียนกับ การวดั เข้าใจธรรมชาติของ สอบ แรงในชีวิตประจาวนั 8 20 70:30 ผลของแรงท่ีกระทาต่อ วัตถุ ลักษณะการ เคลอื่ นทแ่ี บบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมท้งั นา ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ผลการเรียนรู้ 1. วัดและรายงานผล - ปริมาณทางฟิสกิ ส์ การวัดปรมิ าณทาง ประกอบดว้ ย ฟิสกิ สไ์ ด้ถกู ต้อง คา่ ท่ีเป็นตัวเลขและ เหมาะสม โดยนาความ หน่วยวัด โดยสามารถ คลาดเคลือ่ นในการวดั วัดได้ดว้ ยเคร่ืองมอื
215 มาพิจารณาในการ ตา่ ง ๆ โดยตรง หรือ นาเสนอผล รวมท้งั ทางอ้อม หนว่ ยท่ีใช้ แสดงผลการ ทดลองใน ในการวดั ปริมาณทาง รปู ของกราฟ วิเคราะห์ วิทยาศาสตรค์ ือ และแปลความหมาย หน่วยในระบบเอสไอ จากกราฟเส้นตรงได้ ปรมิ าณท่ีมีค่าน้อยหรอื มากกวา่ 1 มาก ๆ นยิ ม เขยี นในรปู ของสญั กรณ์ วทิ ยาศาสตร์ การเขียน โดยใช้ สัญกรณ์ วิทยาศาสตร์ เปน็ การเขยี นเพ่ือแสดง จานวนเลขนัยสาคัญที่ ถูกต้อง การทดลองทาง ฟสิ กิ สจ์ ะเกย่ี วกับการวดั ปรมิ าณตา่ ง ๆ การวัด จะมคี วามคลาดเคล่ือน เสมอ ซึง่ ขนึ้ อยกู่ ับ เครือ่ งมอื วธิ กี ารวัด และประสบการณ์ของผู้ วดั ในการบันทึก ปรมิ าณที่ได้จากการวดั ด้วยจานวนเลข นัยสาคญั ท่เี หมาะสม และคา่ ความ คลาดเคล่อื น เพอ่ื การนาเสนอผล การเขยี นกราฟ และลง ข้อสรปุ รวมทง้ั มีทักษะ ในการรายงานการ ทดลอง โดยการวัด ควรเลอื กใชเ้ ครื่องมือวดั ใหเ้ หมาะสมกบั สง่ิ ท่ี
ตอ้ งการวดั 216 2. บอกถงึ ปริมาณ - ปริมาณในทางฟิสิกสม์ ี 40 สเกลาร์ ปริมาณ 2 ปรมิ าณคือ ปริมาณ เวกเตอร์ และหา สเกลาร์ และปริมาณ ผลรวมของปริมาณ เวกเตอร์ เวกเตอรไ์ ด้ - ปรมิ าณที่ระบเุ ฉพาะ ขนาดก็ไดใ้ จความ สมบรู ณ์ เรียกวา่ ปริมาณสเกลาร์ ได้แก่ ระยะทาง มวล เวลา เปน็ ต้น ส่วนปรมิ าณท่ี ตอ้ งระบทุ ้ังขนาดและ ทิศทางจึงจะได้ใจความ สมบรู ณ์ เรียกว่า ปริมาณเวกเตอร์ 2 การเคลอื่ นที่ มาตรฐาน ว 2.2 16 ในแนวตรง เขา้ ใจธรรมชาตขิ อง แรงในชีวิตประจาวนั ผลของแรงทีก่ ระทาต่อ วตั ถุ ลักษณะการ เคลอ่ื นทแี่ บบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมทั้งนา ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ผลการเรียนรู้ 3. ทดลองและอธิบาย - ปรมิ าณทเ่ี กีย่ วกับการ ความสัมพันธร์ ะหวา่ ง เคลอ่ื นท่ีของวตั ถุ ได้แก่ ตาแหน่ง การกระจดั ตาแหนง่ การกระจัด ความเร็ว และ ความเร็วและความเร่ง ความเร่งของการ โดยความเรว็ และ เคล่ือนที่ของวตั ถุใน ความเรง่ มที ั้งค่าเฉล่ยี แนวตรงที่มคี วามเรง่ คง และคา่ ขณะหนง่ึ ตวั จากกราฟและ ซึ่งคิดในชว่ งเวลาส้นั
สมการ รวมทงั้ ทดลอง มาก ๆ เข้าใกล้ศูนย์ 217 หาคา่ ความเร่งโน้ม การอธิบายการเคลื่อนที่ 40 ถ่วงของโลก และ ของวตั ถุสามารถเขียน คานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ อยู่ในรปู กราฟตาแหน่ง ทเี่ กย่ี วข้องได้ กบั เวลา ความเร็วกับ เวลา หรือความเร่งกับ เวลา โดยความชันของ เสน้ กราฟตาแหน่ง กบั เวลาเป็นความเรว็ ความชันของเสน้ กราฟ ความเร็วกบั เวลาเปน็ ความเรง่ และพื้นท่ีใต้ เสน้ กราฟความเรว็ กับเวลาเปน็ การกระจัด ในกรณที ผ่ี ูส้ ังเกตมี ความเรว็ ความเร็วของ วตั ถุทส่ี ังเกตได้เปน็ ความเร็วทเี่ ทียบกับ ผู้สงั เกต ส่วนการ เคลอ่ื นท่ีของวตั ถุในแนว ตรงกรณที ี่มีความเร่ง คงท่ี สามารถอธบิ ายได้ โดยใช้สมการ จลน์ศาสตร์ 4 สมการ การตกแบบเสรีเป็น ตัวอย่างหน่ึงของการ เคลือ่ นที่ในหนึ่งมิตทิ ่ีมี ความเรง่ เทา่ กบั ความเร่งโน้มถว่ งของ โลก 3 แรงและกฎ มาตรฐาน ว 2.2 16 การเคล่อื นที่ เขา้ ใจธรรมชาติของ แรงในชวี ติ ประจาวัน
218 ผลของแรงทก่ี ระทาต่อ วัตถุ ลักษณะการ เคลอื่ นท่แี บบต่าง ๆ ของวตั ถุ รวมทง้ั นา ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ผลการเรยี นรู้ 4. ทดลองและอธิบาย - แรงเป็นปรมิ าณ การหาแรงลพั ธ์ของ เวกเตอร์จึงมีท้งั ขนาด แรงสองแรงที่ทามุมต่อ และทศิ ทาง กนั ได้ กรณที ่ีมีแรงหลาย ๆ แรงกระทาต่อวตั ถุ สามารถหาแรงลัพธ์ ทก่ี ระทาต่อวัตถโุ ดยใช้ วิธเี ขยี นเวกเตอรข์ อง แรงแบบหางต่อหัว วธิ ี สร้างรปู สเี่ หลี่ยมด้าน ขนานของแรง และวิธี 5. เขียนแผนภาพของ คานวณ แรงทก่ี ระทาต่อวตั ถุ - ความเฉือ่ ยเป็นสมบัติ อิสระ ทดลองและ ของวตั ถุท่ีต้านการ อธบิ ายกฎการเคลอ่ื นท่ี เปลย่ี นสภาพการ ของนวิ ตนั และการใช้ เคลอ่ื นที่ของวัตถุ โดยมี กฎการเคล่ือนทข่ี อง มวลเป็นปริมาณทบ่ี อก นวิ ตนั กับสภาพการ ใหท้ ราบวา่ วตั ถุใดมี เคลือ่ นที่ของวัตถุ ความเฉ่ือยมากหรือ รวมท้ังคานวณปรมิ าณ น้อย การหาแรงลัพธ์ที่ ตา่ ง ๆ ทเี่ ก่ยี วข้อง กระทาตอ่ วัตถสุ ามารถ ได้ เขยี นเป็นแผนภาพของ แรงทกี่ ระทาต่อวัตถุ อสิ ระได้ ในกรณีท่ไี ม่ มีแรงภายนอกมา กระทาตอ่ วัตถุ หรอื แรง
219 ทกี่ ระทาต่อวตั ถุเปน็ ศนู ย์ วตั ถุจะไม่เปลย่ี น สภาพการเคลื่อนท่ีซง่ึ เปน็ ไปตามกฎการ เคลือ่ นที่ขอ้ ทหี่ นง่ึ ของ นิวตัน แต่ถ้ามี แรงภายนอกมากระทา ตอ่ วัตถุ โดยแรงลพั ธ์ที่ กระทาตอ่ วัตถุไม่เปน็ ศนู ย์ วตั ถจุ ะมีความเร่ง โดยความเร่งมที ิศทาง เดียวกบั แรงลัพธ์ ซง่ึ เปน็ ไปตามกฎการ เคลื่อนที่ขอ้ ที่สองของ นวิ ตนั เมอื่ วตั ถสุ อง ก้อนออกแรงกระทาตอ่ กัน จะเกิดแรงกิริยา และแรงปฏิกิริยา โดย แรงทง้ั สองจะมีขนาด เท่ากนั แต่มีทิศทางตรง ขา้ มและกระทาต่อวัตถุ คนละก้อน เรียกว่า แรง คู่กิริยา-ปฏิกริ ิยา ซง่ึ เป็นไปตามกฎ การเคลื่อนท่ขี ้อทสี่ าม ของนิวตนั และเกิดขึ้น ได้ทง้ั กรณีที่วตั ถทุ ั้งสอง สมั ผสั กันหรือไมส่ ัมผัส กนั กไ็ ด้ 6. อธบิ ายกฎความโน้ม ถว่ งสากลและผลของ -วัตถุคหู่ นึง่ จะมีแรง สนามโนม้ ถ่วงทที่ าให้ กระทาตอ่ กัน แรงน้ีเป็น วตั ถมุ นี า้ หนกั แรงดงึ ดดู ระหวา่ งมวล
220 รวมทงั้ คานวณปรมิ าณ เปน็ แรงท่ีมวลสองก้อน ตา่ ง ๆ ทเี่ ก่ยี วข้อง ดงึ ดูดซ่งึ กนั และกนั ด้วย ได้ แรงขนาดเท่ากนั ในแนว เดยี วกนั แต่ทิศทางตรง 7. วเิ คราะห์ อธบิ าย ขา้ ม และเป็นไปตามกฎ และคานวณแรงเสยี ด ความโนม้ ถ่วงสากล ทานระหว่างผิวสัมผสั -แรงทเี่ กิดข้ึนที่ผวิ สมั ผสั ของวัตถุคูห่ นงึ่ ๆ ระหวา่ งวัตถุสองก้อนใน ในกรณที ี่วตั ถุหยุดน่ิง ทิศทางตรงขา้ มกบั ทิศ และวัตถุเคล่ือนท่ี ทางการเคลอ่ื นท่ี หรือ รวมทงั้ ทดลองหา แนวโนม้ ทีจ่ ะเคล่ือนที่ สมั ประสทิ ธิ์ความเสยี ด ของวตั ถุ เรยี กวา่ แรง ทานระหวา่ งผวิ สัมผสั เสียดทานซ่ึงแรงเสยี ด ของวตั ถุคหู่ นึง่ ๆ ทานระหว่างผวิ สมั ผัสคู่ และนาความรู้เร่ืองแรง หนึง่ ๆ จะข้นึ อยู่กับ เสียดทานไปใช้ใน สัมประสทิ ธ์ิความเสียด ชีวิตประจาวันได้ ทานและแรงปฏิกริ ยิ า ต้ังฉากระหว่างผวิ สัมผสั ค่นู ้ัน ๆ ขณะวัตถยุ งั คง อย่นู ่ิง แรงเสยี ดทานมี ขนาดเพิ่มข้นึ ตามแรงท่ี กระทาตอ่ วัตถุนนั้ และ จะมคี ่ามากทสี่ ดุ เม่ือ วตั ถเุ รมิ่ เคลอื่ นท่ี เรียก แรงเสียดทานท่ีกระทา ตอ่ วตั ถุขณะอยู่นิ่งว่า แรงเสยี ดทานสถติ และ เรยี กแรงเสียดทานที่ กระทาต่อวตั ถุขณะ กาลังเคล่อื นทวี่ า่ แรงเสยี ดทานจลน์
221 โครงสรา้ งรายวิชา เคมี๓ ภาคเรียนที่ ๑ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ ๕ ลาดบั ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสาคัญ เวลา/ นา้ หนกั อตั ราสว่ น ที่ การเรยี น ผลการเรยี นรู้ ชัว่ โมง คะแนน ระหว่าง เรียนกับ สอบ ๗๐:๓๐ ๑. อธิบายความสัมพนั ธ์และ • พฤติกรรมของแก๊ส และ ๖๕ คานวณปรมิ าตรความดัน หรอื ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งปรมิ าตร อุณหภูมขิ องแกส๊ ทภ่ี าวะตา่ ง ความดนั และอณุ หภมู ิของแกส๊ ๑ สมบตั ิของ ๆตามกฎของบอยลก์ ฎของ อธิบายได้ด้วยกฎของบอยลก์ ฎ แกส๊ ชาร์ล กฎของเกย–์ ลูสแซก ของชารล์ กฎของเกย์–ลสู แซก ๒. คานวณปริมาตร ความดนั และกฎรวมแก๊ส ซง่ึ สามารถ หรอื อุณหภมู ขิ องแก๊สท่ีภาวะ นามาใช้ในการคานวณปริมาตร ต่าง ๆ ตามกฎรวมแกส๊ ความดนั หรอื อณุ หภมู ขิ องแกส๊ ท่ี ภาวะตา่ ง ๆ ได้ ๓. คานวณปริมาตร ความดัน • ความสมั พันธ์ระหวา่ งปรมิ าตร ๓ ๕ อุณหภูมจิ านวนโมลหรือมวล และจานวนโมลหรือมวลของแกส๊ ของแกส๊ จากความสัมพันธ์ อธิบายความสมั พันธ์ไดด้ ้วยกฎ ตามกฎของอาโวกาโดร และ ของอาโวกาโดร สาหรบั ความสัมพันธร์ ะหว่างปรมิ าตร กฎแกส๊ อุดมคติ ความดัน อณุ หภมู ิและจานวนโม ลของแกส๊ อธิบายไดด้ ว้ ยกฎแกส๊ อดุ มคติซง่ึ สามารถนามาใชใ้ นการ คานวณและการอธบิ ายการ เปล่ยี นแปลงทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั จานวนโมลของแกส๊ ทภ่ี าวะตา่ ง ๆ
222 ลาดบั ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสาคัญ เวลา/ นา้ หนกั อตั ราสว่ น ท่ี การเรียน ผลการเรียนรู้ ชวั่ โมง คะแนน ระหวา่ ง เรยี นกับ สอบ ได้ • ในธรรมชาติแก๊สส่วนใหญ่อยู่ ๓ ๕ รวมกนั เปน็ แกส๊ ผสมในกรณีที่ ๔. คานวณความดนั ยอ่ ยหรอื แกส๊ ในแก๊สผสมไม่ทาปฏกิ ริ ยิ ากัน จานวนโมลของแกส๊ ในแกส๊ ความดนั ของแก๊สแตล่ ะชนดิ แปร ผสม โดยใช้กฎความดนั ย่อย ผันตามเศษสว่ นโมลของแก๊ส ที่มี ของดอลตัน อย่ใู นแกส๊ ผสมตามกฎความดนั ยอ่ ยของดอลตัน • แก๊สสามารถแพรไ่ ดก้ ารแพร่ ๓ ๕ ของแก๊สอธบิ ายไดด้ ว้ ยทฤษฎี ๕. อธิบายการแพรข่ องแก๊ส จลน์ของแก๊ส ท่ีอุณหภมู ิเดยี วกนั โดยใชท้ ฤษฎจี ลนข์ องแกส๊ แก๊สจะแพรไ่ ด้ช้าหรอื เร็วข้นึ อยู่ คานวณและเปรยี บเทียบอตั รา กับมวลโมเลกลุ ของแก๊ส อตั รา การแพรข่ องแก๊ส โดยใชก้ ฎ การแพร่ของแก๊สเปน็ สดั ส่วน การแพร่ผา่ นของ ผกผนั กับรากท่ีสองของมวล เกรแฮม โมเลกลุ ของแก๊สสัมพันธก์ ับกฎ การแพรผ่ า่ นของเกรแฮม ๖. สบื คน้ ข้อมลู นาเสนอ • สมบัตแิ ละกฎต่าง ๆ ของแก๊ส ๓ ๕ ตวั อยา่ ง และอธบิ ายการ สามารถนาไปใช้อธบิ าย ประยุกตใ์ ช้ความรูเ้ กย่ี วกับ ปรากฏการณ์หรอื ประยุกตใ์ ช้ใน สมบัตแิ ละกฎต่าง ๆของแกส๊ ชีวติ ประจาวันและใน ในการอธบิ ายปรากฏการณ์ อตุ สาหกรรม หรอื แก้ปญั หาใน ชวี ติ ประจาวนั และใน อตุ สาหกรรม ๒ อตั ราการ ๑. ทดลอง และเขียนกราฟ • ปฏิกริ ยิ าเคมีแตล่ ะปฏกิ ริ ิยามี ๓ ๕ เกดิ การเพ่ิมขึน้ หรือลดลงของสาร อัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมตี า่ งกัน ที่ทาการวัดในปฏกิ ิรยิ า โดยอาจวดั จากการลดลงของสาร
223 ลาดบั ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสาคญั เวลา/ นา้ หนกั อตั ราสว่ น ท่ี การเรียน ผลการเรียนรู้ ชัว่ โมง คะแนน ระหวา่ ง เรยี นกับ สอบ ปฏกิ ิรยิ า ๒. คานวณอตั ราการ ต้งั ต้นหรือการเพ่มิ ขึ้นของ ๓๕ เคมี เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมีและเขียน ผลติ ภณั ฑต์ อ่ หนง่ึ หนว่ ยเวลา กราฟการลดลงหรือเพ่มิ ขนึ้ และหารดว้ ยเลขสัมประสิทธขิ์ อง ของสารทไี่ มไ่ ด้วดั ในปฏกิ ริ ยิ า สารนนั้ ๆในสมการเคมเี พอื่ ใหไ้ ด้ อัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมีท่ี เท่ากันไม่ว่าจะเป็นการวัดจาก สารตั้งตน้ หรือผลติ ภณั ฑ์ ๓. เขยี นแผนภาพ และอธิบาย • ปฏิกิริยาเคมจี ะเกดิ ขน้ึ ได้ก็ ๓ ๕ ทิศทางการชนกนั ของอนภุ าค ตอ่ เม่ืออนภุ าคของสารตัง้ ต้นชน และพลังงานทสี่ ง่ ผลตอ่ อัตรา กนั ในทศิ ทางทเี่ หมาะสมและมี พลังงานอย่างน้อยเทา่ กับ การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี พลงั งานก่อกัมมันต์ดังนนั้ อตั รา การเกิดปฏกิ ริ ิยาจงึ ขนึ้ กับทิศ ทางการชนและพลงั งานทีเ่ กิดจาก การชน ๔. ทดลอง และอธิบายผลของ • อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมีของ ๓ ๕ ความเข้มขน้ พ้นื ที่ผิวของสาร สารหนึ่ง ๆ ขึน้ อยู่กบั ความเขม้ ขน้ ๓ ๕ ต้ังตน้ อุณหภมู ิและตวั เร่ง พื้นทผี่ วิ อุณหภูมติ วั เร่งและตัว ๓ ๕ ปฏกิ ิริยาท่ีมตี อ่ อตั ราการ หนว่ งปฏิกิริยา นอกจากนีอ้ ตั รา เกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี การเกิดปฏกิ ิริยาเคมียังขน้ึ อยู่กบั ชนิดของสารที่ทาปฏิกริ ยิ าด้วย ๕. เปรยี บเทียบอตั ราการ • ความรู้เกยี่ วกบั ปจั จยั ทีม่ ผี ลตอ่ เกิดปฏิกริ ิยาเมื่อมกี าร อัตราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี เปลีย่ นแปลงความเขม้ ข้น สามารถนามาใช้อธิบาย พน้ื ทีผ่ ิวของสารตงั้ ต้นอณุ หภมู ิ กระบวนการทเ่ี กดิ ขนึ้ ใน และตัวเรง่ ปฏิกริ ิยา ชีวติ ประจาวันหรืออตุ สาหกรรม ๖. ยกตัวอย่าง และอธบิ าย • ความรูเ้ กยี่ วกบั ปจั จยั ทีม่ ผี ลตอ่
224 ลาดบั ชือ่ หน่วย มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสาคัญ เวลา/ น้าหนัก อตั ราสว่ น ที่ การเรยี น ผลการเรยี นรู้ ชวั่ โมง คะแนน ระหว่าง อัตราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี ปัจจยั ท่มี ผี ลตอ่ อตั ราการ สามารถนามาใชอ้ ธบิ าย เรียนกับ เกิดปฏกิ ริ ิยาเคมใี น กระบวนการท่เี กดิ ขนึ้ ใน สอบ ชีวิตประจาวนั หรอื ชวี ติ ประจาวนั หรืออุตสาหกรรม อตุ สาหกรรม ๗. ทดสอบ และอธิบาย • ปฏกิ ิรยิ าเคมีที่สามารถดาเนินไป ๖ ๑๐ ความหมายของปฏิกริ ิยาผนั ข้างหนา้ และยอ้ นกลับได้เรยี กวา่ กลับไดแ้ ละภาวะสมดลุ ปฏิกริ ยิ าผันกลบั ไดเ้ มอ่ื ปฏกิ ริ ยิ า ๘. อธิบายการเปลี่ยนแปลง ดาเนนิ ไปความเข้มข้นของสารตง้ั ๓ สมดลุ เคมี ความเขม้ ขน้ ของสารอัตราการ ต้นและอตั ราการเกดิ ปฏิกิริยาไป เกดิ ปฏกิ ริ ิยาไปข้างหน้า และ ข้างหนา้ จะลดลงสว่ นความ อัตราการเกิดปฏกิ ริ ยิ า เขม้ ข้นของผลิตภณั ฑ์และอัตรา ย้อนกลับ เมอ่ื เรมิ่ ปฏิกริ ิยา การเกดิ ปฏกิ ิรยิ ายอ้ นกลบั จะ จนกระทัง่ ระบบอยูใ่ นภาวะ เพิ่มข้ึน เมื่ออัตราการ สมดลุ เกดิ ปฏกิ ริ ิยาไปข้างหนา้ เทา่ กับ อตั ราการเกดิ ปฏิกริ ิยาย้อนกลบั ระบบจะอยูใ่ นภาวะสมดลุ ทมี่ ี ความเขม้ ขน้ ของสารต้ังต้นและ ผลติ ภณั ฑค์ งทีเ่ รยี กวา่ สมดลุ พลวตั ๙. คานวณคา่ คงท่สี มดลุ ของ • ณ ภาวะสมดลุ ความสมั พันธ์ ปฏิกริ ิยา ๑๐. คานวณความเข้มขน้ ของ ระหวา่ งความเขม้ ข้นของ ๖ ๘ ผลิตภณั ฑ์กบั สารตัง้ ตน้ แสดงได้ ๔ ๘ สารที่ภาวะสมดลุ ๑๑. คานวณค่าคงท่สี มดลุ หรอื ดว้ ยค่าคงที่สมดุล ซึง่ เปน็ ค่าคงท่ี ความเขม้ ขน้ ของปฏิกิรยิ า ณ อุณหภมู ิหน่งึ คา่ คงที่สมดลุ ของปฏิกิรยิ าหลาย หลายขั้นตอน ๑๒. ระบุปัจจยั ทีม่ ผี ลตอ่ ภาวะ ขัน้ ตอน หาไดจ้ ากผลคูณของ
225 ลาดบั ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ เวลา/ นา้ หนัก อตั ราส่วน ท่ี การเรียน ผลการเรียนรู้ ชั่วโมง คะแนน ระหว่าง เรียนกบั สอบ สมดลุ และค่าคงทสี่ มดลุ ของ ค่าคงท่ีสมดลุ ของปฏกิ ริ ิยายอ่ ยท่ี ระบบ รวมทงั้ คาดคะเนการ นาสมการเคมมี ารวมกนั โดยถา้ มี เปล่ยี นแปลงท่เี กิดขึ้นเมอ่ื การคณู สมการย่อยใหย้ กกาลงั ๔ ๖ ภาวะสมดลุ ของระบบถกู คา่ คงทสี่ มดลุ ดว้ ยตัวเลขทค่ี ณู รบกวน โดยใช้หลกั ของเลอชา และหากมกี ารกลบั ข้างสมการ ให้ เตอลิเอ กลบั คา่ คงท่ีสมดุลเปน็ ตัวหาร เม่ือระบบทีอ่ ย่ใู นภาวะสมดลุ ถูก รบกวน โดยการเปลย่ี นแปลง ความเข้มข้นของสาร ความดัน หรอื อุณหภมู ิระบบจะเกิดการ เปลย่ี นแปลงเพื่อเข้าสภู่ าวะสมดลุ อีกครง้ั ตามหลกั ของเลอชาเตอลิ เอทงั้ นี้การเปลี่ยนแปลงอุณหภมู ิ ๑๓. ยกตัวอย่าง และอธิบาย มผี ลทาให้คา่ คงทีส่ มดุล ๔ ๘ สมดลุ เคมีของกระบวนการท่ี เปลย่ี นแปลง เกดิ ขนึ้ ในสิ่งมชี วี ติ • ความรู้เก่ียวกับสมดลุ เคมี ปรากฏการณใ์ นธรรมชาติและ สามารถนามาใช้อธิบาย กระบวนการในอุตสาหกรรม กระบวนการทเ่ี กดิ ข้ึนในสิ่งมีชีวติ ปรากฏการณใ์ นธรรมชาตแิ ละ กระบวนการในอตุ สาหกรรม โครงสร้างรายวิชา เคมี๔ ภาคเรียนที่ ๒
226 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ ๕ ลาดับ ชือ่ หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ เวลา/ น้าหนกั อตั ราสว่ น ที่ การเรยี น ผลการเรยี นรู้ ชวั่ โมง คะแนน ระหว่าง เรียนกับ สอบ ๑ กรด-เบส ๑. ระบุและอธิบายวา่ สารเป็น • สารในชวี ติ ประจาวันหลายชนิด ๓ ๔ ๗๐:๓๐ กรดหรอื เบสโดยใช้ทฤษฎี มีสมบตั ิเปน็ กรดหรือเบส ซึ่ง กรด–เบสของอารเ์ รเนียส พจิ ารณาไดโ้ ดยใชท้ ฤษฎีกรด-เบส เบรนิ สเตด–ลาวรแี ละลวิ อิส ของอารเ์ รเนยี สเบรนิ สเตด–ลาวรี หรอื ลวิ อิส ๓ ๔ ๒. ระบคุ ู่กรด-เบสของสารตาม • ตามทฤษฎกี รด-เบสของเบรินส ทฤษฎีกรด-เบสของเบรนิ ส เตด–ลาวรเี มอื่ กรดหรอื เบส เตด-ลาวรี ละลายนา้ หรือทาปฏกิ ริ ิยากับสาร อ่ืนจะมีการถ่ายโอนโปรตอน ระหวา่ งสารตง้ั ต้นท่เี ป็นกรดและ เบส เกดิ เป็นผลิตภณั ฑ์ซงึ่ เป็น โมเลกุลหรอื ไอออนทีเ่ ปน็ ค่กู รด- เบสของสารต้ังต้นนั้น โดยสารท่ี เปน็ คู่กรด-เบสกนั จะมโี ปรตอน ตา่ งกัน ๑ โปรตอน ๓. คานวณ และเปรยี บเทยี บ • กรดและเบสแต่ละชนิดสามารถ ๔ ๑๐ ความสามารถในการแตกตัว แตกตวั ในน้าได้แตกต่างกัน กรด หรือความแรงของกรดและ แก่หรอื เบสแกส่ ามารถแตกตวั เบส เป็นไอออนในนา้ ไดเ้ กือบสมบรู ณ์ สว่ นกรดออ่ นหรอื เบสออ่ นแตก ตวั เป็นไอออนไดน้ อ้ ยโดย ความสามารถในการแตกตัวหรอื ความแรงของกรดหรือเบสอาจ พิจารณาไดจ้ ากคา่ คงทกี่ ารแตก ตัวของกรดหรือเบส หรอื ปริมาณ การแตกตัวเปน็ รอ้ ยละของกรด หรอื เบส
227 ลาดบั ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสาคัญ เวลา/ น้าหนัก อตั ราสว่ น ท่ี การเรียน ผลการเรียนรู้ ช่วั โมง คะแนน ระหว่าง เรียนกับ สอบ ๔. คานวณคา่ pH ความ • น้าบริสทุ ธิท์ อ่ี ณุ หภูม๒ิ ๕ องศา ๔ ๑๐ เข้มข้นของไฮโดรเนยี มไอออน เซลเซยี สแตกตวั ใหไ้ ฮโดรเนียม หรอื ไอออนและไฮดรอกไซด์ไอออนที่ ๔ ไฮดรอกไซดไ์ อออนของ มคี วามเข้มขน้ เท่ากัน คอื 1.0x10-7 ๔ สารละลายกรดและเบส โมลตอ่ ลิตรโดยมคี า่ คงท่ีการแตก ตวั ของน้า เท่ากับ 1.0 x 10-14 • เม่ือกรดหรือเบสแตกตัวในน้า คา่ ความเปน็ กรด-เบสของ สารละลายแสดงไดด้ ้วยคา่ pH ซึ่ง สัมพนั ธก์ ับความเข้มขน้ ของ ไฮโดรเนยี มไอออนโดย สารละลายกรดมีความเขม้ ข้นของ ไฮโดรเนยี มไอออนมากกว่า 1.0 x 10-7 โมลต่อลติ รหรอื มคี า่ pH นอ้ ยกว่า ๗ ส่วนสารละลายเบสมี ความเข้มขน้ ของไฮโดรเนียม ไอออนน้อยกว่า 1.0 x 10-7 โมล ต่อลิตร หรือมีค่า pH มากกว่า ๗ ๕. เขยี นสมการเคมีแสดง • ปฏิกิรยิ าสะเทนิ ระหวา่ งกรดแก่ ๓ ปฏิกริ ิยาสะเทนิ และระบุ และเบสแกใ่ หส้ ารละลายท่ีเป็น ๓ ความเป็นกรด-เบสของ กลาง ปฏกิ ริ ยิ าสะเทินระหว่าง สารละลายหลงั การสะเทิน กรดแก่และเบสออ่ น ให้ สารละลายทีเ่ ปน็ กรด ส่วน ๖. เขียนปฏกิ ริ ิยาไฮโดรลิซสิ ปฏิกริ ยิ าสะเทินระหว่างกรดออ่ น และเบสแก่ ใหส้ ารละลายทเี่ ปน็ เบส • เกลือท่ไี ด้จากการสะเทนิ ของ กรดแกด่ ้วยเบสออ่ นเมอ่ื ละลาย ในน้าจะเกดิ ปฏกิ ิรยิ าไฮโดรลซิ สิ
228 ลาดบั ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสาคัญ เวลา/ นา้ หนกั อตั ราสว่ น ท่ี การเรยี น ผลการเรยี นรู้ ชั่วโมง คะแนน ระหวา่ ง เรยี นกับ สอบ ของเกลือ และระบุความเป็น ได้สารละลายท่มี สี มบัตเิ ปน็ กรด กรด-เบสของสารละลายเกลือ ส่วนเกลือท่ีไดจ้ ากการสะเทินของ กรดออ่ นด้วยเบสแก่ เมื่อละลาย ในน้าจะเกิดปฏิกริ ิยาไฮโดรลิซสิ ไดส้ ารละลายทม่ี สี มบตั เิ ป็นเบส ๔๔ ๗. ทดลอง และอธิบาย • การไทเทรตเป็นเทคนคิ ในการ หลกั การการไทเทรตและ วเิ คราะหห์ าปรมิ าณหรือความ เลอื กใชอ้ ินดเิ คเตอรท์ ี่ เขม้ ขน้ ของสารทท่ี าปฏกิ ริ ิยาพอดี เหมาะสมสาหรบั การไทเทรต กันจดุ ท่สี ารทาปฏกิ ิรยิ าพอดกี นั กรด-เบส เรียกวา่ จดุ สมมลู ในทางปฏบิ ัตจิ ดุ สมมลู ของปฏกิ ิริยาอาจไม่ สามารถสงั เกตเหน็ ไดจ้ งึ สังเกต ๔ จากการเปลย่ี นสขี องอินดิเคเตอร์ ๒ เพ่ือบอกจดุ ยตุ ขิ องการไทเทรต ดังน้ันอนิ ดเิ คเตอร์ท่ีเหมาะสมใน การไทเทรตกรด-เบสควรเป็น อินดิเคเตอรท์ ่ีเปลยี่ นสใี นชว่ ง pH ตรงกับหรอื ใกลเ้ คียงกบั pH ของ สารละลาย ณ จดุ สมมลู ๘. คานวณปริมาณสารหรอื • ปรมิ าณกรดและเบสทท่ี า ๖ ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย ปฏิกิริยาพอดกี นั จากการไทเทรต ๔ กรดหรอื เบสจากการไทเทรต กรด-เบส สามารถนาไปคานวณ ความเข้มขน้ ของกรดหรอื เบสที่ ๒ ๙. อธิบายสมบัติองค์ประกอบ ต้องการทราบความเข้มขน้ ได้ และประโยชน์ของสารละลาย • สารละลายบฟั เฟอร์เป็น บฟั เฟอร์ สารละลายของกรดอ่อนกับเกลือ ของกรดอ่อนน้นั หรือเบสอ่อนกับ เกลือของเบสอ่อนน้ัน เม่ือเติม กรด เบส หรอื นา้ จะมีผลต่อการ
229 ลาดบั ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ เวลา/ นา้ หนกั อตั ราสว่ น ที่ การเรียน ผลการเรียนรู้ ช่วั โมง คะแนน ระหวา่ ง เรยี นกับ สอบ เปล่ียนแปลงค่า pH นอ้ ยกว่า ๒ สารละลายท่ัวไป สมบัตเิ ฉพาะ ของสารละลายบฟั เฟอร์เปน็ ประโยชน์ตอ่ การควบคุม pH ของ ระบบในส่งิ มชี ีวติ และสิ่งแวดล้อม ๔ ๕ ๔ • ความรู้เก่ยี วกับกรด-เบส ๔ ๒ เซลล์ ๑๐. สืบคน้ ขอ้ มลู และนาเสนอ สามารถนามาใชป้ ระโยชนแ์ ละ ไฟฟา้ เคมี ตัวอย่างการใชป้ ระโยชน์และ แก้ปัญหาในชีวติ ประจาวัน การแก้ปญั หาโดยใชค้ วามรู้ เกษตรกรรมอตุ สาหกรรม และ ๒ เก่ียวกบั กรด–เบส การแพทย์ ๑๑. คานวณเลขออกซิเดชนั • เคมีไฟฟา้ เป็นการศกึ ษาเกย่ี วกับ ๔ และระบุปฏิกริ ิยาที่เป็น การเปลย่ี นแปลงระหว่างพลงั งาน ๔ ปฏกิ ิริยารีดอกซ์ ไฟฟา้ และการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมีท่ี มกี ารถา่ ยโอนอเิ ลก็ ตรอนแลว้ ทา ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงเลข ออกซิเดชนั ซ่ึงเปน็ เลขที่แสดง ประจไุ ฟฟา้ หรือประจไุ ฟฟา้ สมมติ ของอะตอมธาตุเรยี กปฏิกิรยิ า ชนิดนวี้ ่า ปฏิกริ ยิ ารีดอกซ์ ๑๒. วิเคราะหก์ าร • ปฏกิ ิริยารดี อกซ์มที ัง้ ครง่ึ ๔ เปลยี่ นแปลงเลขออกซิเดชนั ปฏิกิริยาทม่ี กี ารใหอ้ ิเล็กตรอน และระบุตัวรดี ิวซ์และตวั ออกซิ เรยี กวา่ ครง่ึ ปฏกิ ิรยิ าออกซเิ ดชนั ๔ ไดสร์ วมทง้ั เขยี นคร่งึ ปฏกิ ิรยิ า และครงึ่ ปฏกิ ิริยาทม่ี ีการรับ ออกซิเดชันและครึ่งปฏกิ ิรยิ า อิเล็กตรอน เรยี กวา่ ครึ่งปฏกิ ริ ยิ า รีดักชนั ของปฏิกิริยารดี อกซ์ รดี กั ชัน โดยสารที่ให้อเิ ลก็ ตรอน จะมีเลขออกซิเดชนั เพ่ิมขึน้ เรียกว่า ตวั รดี ิวซส์ ่วนสารทร่ี บั อิเล็กตรอนจะมเี ลขออกซเิ ดชนั
230 ลาดบั ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคัญ เวลา/ น้าหนัก อตั ราสว่ น ท่ี การเรียน ผลการเรียนรู้ ชัว่ โมง คะแนน ระหว่าง เรียนกับ สอบ ลดลง เรยี กวา่ ตัวออกซิไดส์ ๑๓. ทดลอง และเปรยี บเทียบ • การเปรียบเทียบความสามารถ ๓ ๑๐ ความสามารถในการเป็นตวั ในการเป็นตวั รดี วิ ซห์ รือตัวออกซิ รีดิวซ์หรือตวั ออกซิไดส์และ ไดสส์ ามารถพิจารณาได้จากผล เขียนแสดงปฏิกิรยิ ารีดอกซ์ การทดลองของปฏิกริ ิยารดี อกซ์ • ปฏิกิรยิ ารดี อกซ์เขียนแทนได้ ๑๔. ดุลสมการรีดอกซด์ ว้ ย ดว้ ยสมการรดี อกซซ์ ่ึงการดุล ๔ การใช้เลขออกซิเดชันและวิธี สมการรดี อกซ์ทาได้โดยการใช้ ครง่ึ ปฏกิ ิรยิ า เลขออกซเิ ดชันและวิธคี รึง่ ปฏิกิริยา ๑๕. ระบุองค์ประกอบของ • เซลลเ์ คมไี ฟฟา้ ประกอบดว้ ย ๓ เซลลเ์ คมไี ฟฟา้ และเขยี น แอโนด แคโทด และสารละลายอิ ๒ สมการเคมีของปฏิกริ ิยาที่ เล็กโทรไลต์ซ่งึ อาจเชือ่ มต่อกนั แอโนดและแคโทด ปฏิกริ ิยา ด้วยสะพานเกลือ โดยท่ีแอโนด รวม และแผนภาพเซลล์ เกดิ ปฏิกริ ิยาออกซเิ ดชนั และ แคโทดเกดิ ปฏกิ ิรยิ ารีดักชัน ทาให้ อเิ ลก็ ตรอนเคลอ่ื นทีจ่ ากแอโนด ๗ ไปแคโทด เซลลเ์ คมีไฟฟ้า สามารถเขยี นแสดงไดด้ ้วย แผนภาพเซลล์ ๑๖. คานวณคา่ ศักยไ์ ฟฟา้ • ค่าศักยไ์ ฟฟา้ มาตรฐานของเซลล์ มาตรฐานของเซลลแ์ ละระบุ คานวณไดจ้ ากคา่ ศกั ย์ไฟฟ้า ประเภทของเซลลเ์ คมไี ฟฟา้ มาตรฐานของครงึ่ เซลล์ถ้าคา่ ข้วั ไฟฟ้าและปฏกิ ริ ิยาเคมที ี่ ศกั ย์ไฟฟ้าของเซลลเ์ ป็นบวก เกิดขน้ึ แสดงว่าปฏกิ ริ ิยารดี อกซเ์ กิดข้นึ ไดเ้ อง ซ่ึงทาใหเ้ กดิ กระแสไฟฟ้า เรยี กเซลลช์ นิดนว้ี ่า เซลล์กลั วา ๔ นิก แตถ่ ้าค่าศกั ยไ์ ฟฟ้าของเซลล์ เป็นลบ แสดงว่าปฏิกิรยิ ารดี อกซ์ ไมส่ ามารถเกิดได้เอง ต้องมกี าร ใหก้ ระแสไฟฟา้ จึงจะเกดิ ปฏกิ ริ ิยา
231 ลาดบั ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ เวลา/ นา้ หนกั อตั ราสว่ น ท่ี การเรียน ผลการเรียนรู้ ชั่วโมง คะแนน ระหวา่ ง ไดเ้ ซลล์ชนดิ นี้เรยี กว่าเซลล์อเิ ล็ก เรยี นกับ โทรลติ กิ สอบ ๑๗. อธบิ ายหลกั การทางาน • เซลลเ์ คมไี ฟฟา้ สามารถนาไปใช้ และเขียนสมการแสดง ประโยชนไ์ ด้ในชวี ิตประจาวนั ปฏกิ ริ ิยาของเซลล์ปฐมภูมิและ เชน่ แบตเตอร่ีซงึ่ มที ้งั เซลล์ปฐม เซลล์ทตุ ยิ ภมู ิ ภูมิและเซลล์ทุตยิ ภูมโิ ดยปฏกิ ริ ยิ า เคมที เ่ี กดิ ขนึ้ ภายในเซลลป์ ฐมภูมิ ไมส่ ามารถทาใหเ้ กดิ ปฏิกริ ิยา ๔ ยอ้ นกลบั ได้โดยการประจไุ ฟ จึง ไมส่ ามารถนากลบั มาใช้ได้อกี ปฏกิ ริ ิยาเคมีท่ีเกดิ ขึน้ ภายในเซลล์ ทุตยิ ภมู สิ ามารถทาให้ เกดิ ปฏกิ ริ ิยาย้อนกลบั ไดโ้ ดยการ ประจไุ ฟ จงึ นากลบั มาใช้ไดอ้ ีก ๑๘. ทดลองชบุ โลหะและแยก • เซลลอ์ เิ ลก็ โทรลติ ิกสามารถนา ๔ สารเคมดี ว้ ยกระแสไฟฟา้ และ ไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ทงั้ ใน อธิบายหลักการทางเคมไี ฟฟา้ ชวี ติ ประจาวนั และใน ทีใ่ ช้ในการชุบโลหะ การแยก อุตสาหกรรมหลายประเภท เชน่ สารเคมีด้วยกระแสไฟฟ้า การ การชุบโลหะ การแยกสารเคมี ทาโลหะให้บริสุทธิแ์ ละการ ดว้ ยกระแสไฟฟา้ การทาโลหะให้ ป้องกันการกัดกรอ่ นของโลหะ บรสิ ทุ ธ์ิการป้องกันการกดั กรอ่ น ของโลหะ ๑๙. สบื คน้ ข้อมลู และนาเสนอ • ปฏกิ ริ ิยาเคมหี ลายปฏิกริ ิยาที่ ตวั อย่างความกา้ วหนา้ ทาง พบในชวี ติ ประจาวนั เปน็ ปฏิกริ ิยา เทคโนโลยีท่เี กย่ี วข้องกับเซลล์ รีดอกซเ์ ช่น ปฏิกิรยิ าการเผาไหม้ เคมีไฟฟา้ ในชีวติ ประจาวนั ปฏกิ ิริยาในเซลล์เคมไี ฟฟ้า ซึง่ ความรู้เรื่องเซลลเ์ คมีไฟฟา้ และ ความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยีที่ เก่ียวข้องกบั เซลลเ์ คมไี ฟฟา้
232 ลาดบั ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคญั เวลา/ นา้ หนัก อตั ราสว่ น ท่ี การเรียน ผลการเรยี นรู้ ชั่วโมง คะแนน ระหว่าง นาไปสนู่ วตั กรรมดา้ นพลงั งานท่ี เปน็ มติ รตอ่ สิง่ แวดลอ้ ม เรียนกับ สอบ
233 โครงสร้างรายวิชาชีววิทยา 3 ภาคเรยี นท่ี 1 ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ลาดบั ช่อื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก อัตราสว่ น ท่ี การเรยี นรู้ (ชว่ั โมง) คะแนน ระหว่าง เรยี นกับ 1 โครงสรา้ ง 1. อธบิ ายเกี่ยวกับชนดิ และ เนื้อเยื่อพชื แบ่งเป็น ๒กลุ่ม 20 30 สอบ 70:30 และหนา้ ท่ี ลกั ษณะของเนื้อเย่ือพชื และ ใหญ่คอื เนอ้ื เยือ่ เจรญิ และ ของพืชดอก เขยี นแผนผังเพื่อสรุปชนิดของ เนอ้ื เย่ือถาวร เน้อื เยื่อเจรญิ เนอ้ื เยือ่ พชื แบ่งเป็นเนอื้ เยื่อเจรญิ สว่ น 2. สงั เกตอธบิ าย และ ปลายเนอื้ เยอื่ เจริญเหนือขอ้ เปรยี บเทียบโครงสรา้ ง ภายใน และเนอ้ื เย่ือเจริญดา้ นขา้ ง ของรากพืชใบเล้ียงเดี่ยวและ เนอ้ื เยอ่ื ถาวรเปล่ยี นแปลง รากพืช ใบเลยี้ งค่จู ากการตดั มาจากเน้ือเยื่อเจริญเน้ือเย่ือ ตามขวาง ถาวรอาจแบง่ ได้เป็น3ระบบ 3. สงั เกต อธบิ าย และ คอื ระบบ เนื้อเย่ือผิวระบบ เปรียบเทยี บโครงสร้าง ภายใน เนอ้ื เยอื่ พ้ืน และระบบ ของลาตน้ พชื ใบเลีย้ งเดย่ี วและ เนอ้ื เยื่อ ทอ่ ลาเลยี งซึ่งทา ลาต้นพชื ใบเลย้ี งคจู่ ากการตัด หน้าทต่ี ่างกนั รากคือส่วน ตามขวาง แกนของพชื ที่โดยทว่ั ไป 4. สงั เกต และอธบิ าย เจรญิ อยู่ใต้ระดบั ผิวดินทา โครงสรา้ งภายในของใบพชื หนา้ ทีย่ ึดหรือค้าจนุ ให้พืช จากการตัดตามขวาง เจริญเตบิ โตอยูก่ ับท่ไี ด้และ 5. สืบค้นข้อมูล สงั เกต และ ยงั มีหนา้ ทส่ี าคัญใน การดดู อธิบายการแลกเปลีย่ น แกส๊ นา้ และธาตุอาหารในดนิ เพือ่ และการคายนา้ ของพืช ส่งไปยังสว่ น ต่าง ๆของพืช 6. สืบค้นขอ้ มลู และอธิบาย โครงสรา้ งภายในของปลาย กลไกการลาเลียงน้า และธาตุ รากทีต่ ดั ตามยาว อาหารของพืช ประกอบดว้ ยเนื้อเยื่อเจรญิ 7. สบื คน้ ข้อมูล อธบิ าย แบง่ เป็นบริเวณตา่ งๆ ความสาคัญของธาตุอาหาร คอื บริเวณหมวกรากบริเวณ และยกตวั อยา่ งธาตอุ าหารท่ี เซลลก์ าลงั แบง่ ตวั บริเวณ
234 สาคญั ทม่ี ผี ลต่อการ เซลล์ขยายตัวตามยาวและ เจริญเตบิ โตของพชื โครงสรา้ งรายวิชาชีววิทยา 3 ภาคเรยี นที่ 1 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ลาดบั ช่ือหน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั อตั ราส่วน ท่ี การเรยี นรู้ (ช่วั โมง) คะแนน ระหว่าง เรียนกับ สอบ 8. อธบิ ายกลไกการลาเลยี ง บริเวณท่เี ซลล์ มกี าร อาหารในพชื เปลย่ี นแปลงไปทาหนา้ ที่ เฉพาะและเจริญ เติบโต เตม็ ท่ี โครงสร้างภายใน เปล่ยี นแปลงไปทาหน้าที่ เฉพาะและเจริญ เติบโต เต็มท่ี โครงสรา้ งภายใน ชนั้ คอรเ์ ทกซแ์ ละชนั้ สตลี ซึง่ ช้ันสตีลจะพบมัด ทอ่ ลาเลยี งที่มลี ักษณะ แตกต่างกนั ในพชื ใบเลีย้ งเดย่ี วและพชื ใบเลีย้ ง คู่ ลาต้นในระยะการเติบโต ทุตยิ ภูมิ จะมีเส้นรอบวง เพิ่มขน้ึ มีโครงสร้างแตกต่าง จากเดมิ เน่อื งจาก มกี าร สรา้ งเน้ือเย่อื เพรเิ ดริ ์มและ เนื้อเย่อื ทอ่ ลาเลียงทตุ ยิ ภมู ิ เพมิ่ ขนึ้ ใบมีหนา้ ท่ีสงั เคราะห์ ด้วยแสง แลกเปลีย่ นแก๊ส และคายนา้ ใบของพชื ดอก ประกอบด้วยก้านใบแผ่นใบ เส้นกลางใบและเสน้ ใบพืช บางชนดิ อาจ ไม่มกี ้านใบ ทีโ่ คนก้านใบอาจพบหรือไม่ พบหใู บ โครงสรา้ งภายใน
235 ของใบตดั ตามขวาง ประกอบด้วย เน้อื เย่ือ๓กลุ่ม โครงสร้างรายวชิ าชีววิทยา 3 ภาคเรยี นที่ 1 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ลาดบั ชอื่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก อัตราสว่ น ที่ การเรียนรู้ (ชัว่ โมง) คะแนน ระหว่าง เรยี นกบั สอบ ได้แก่เอพเิ ดอร์มิสมีโซฟิลล์ และเนอื้ เยื่อท่อลาเลียง พชื มีการแลกเปลีย่ นแกส๊ และการคายน้าผา่ นทาง ปากใบเปน็ สว่ นใหญป่ ากใบ พบได้ทีใ่ บและ ลาตน้ ออ่ น เมือ่ ความชนื้ สมั พัทธ์ใน อากาศ ภายนอกตา่ กว่า ความช้ืนสมั พทั ธภ์ ายใน ใบพชื ทาให้น้าภายในใบพชื ระเหยเป็นไอออกมาทาง รูปากใบ เรียกว่า การคาย น้าความช้ืนในอากาศ ลม อณุ หภมู ิสภาพนา้ ในดนิ ความเข้มของแสง เป็น ปจั จยั ท่มี ผี ลต่อการคายนา้ ของพืช พืชดดู น้าและธาตุ อาหารตา่ งๆ จากดินโดย เซลล์ ขนรากแลว้ ลาเลยี ง ผ่านช้ันคอรเ์ ทกซเ์ ข้าสู่ เนือ้ เย่ือลาเลียงน้าในช้นั สตลี ซง่ึ เปน็ การดดู นา้ จากดนิ สเู่ น้ือเยื่อลาเลยี งน้าในแนว ระนาบ และลาเลยี ง ไปยัง ส่วนต่าง ๆของพชื ในแนวด่งิ ในสภาวะปกตกิ ารลาเลยี ง
236 น้าจากรากสู่ยอด ของพืช อาศยั แรงดงึ จากการคายนา้ โครงสรา้ งรายวชิ าชีววิทยา 3 ภาคเรยี นท่ี 1 ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 5 ลาดบั ชอ่ื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั อตั ราส่วน ที่ การเรียนรู้ (ชั่วโมง) คะแนน ระหว่าง เรยี นกับ สอบ ร่วมกบั แรงโคฮชี ัน แรง แอดฮชี นั ในภาวะท่ี บรรยากาศมีความชื้น สมั พทั ธ์สงู มากจนไม่ สามารถเกดิ การคายนา้ ได้ ตามปกติ นา้ ท่ี เข้าไปใน เซลล์รากจะทาใหเ้ กดิ แรงดัน เรียกวา่ แรงดนั รากทาให้ เกิดปรากฏการณก์ ัตเตชัน พืชแต่ละชนิดต้องการ ปริมาณและชนิดของ ธาตุ อาหารแตกตา่ งกนั สามารถ นาความรู้เกี่ยวกบั สมบัตขิ อง ธาตอุ าหารชนดิ ต่างๆ ท่ี มผี ลต่อ การเจรญิ เตบิ โตของ พืชในสารละลายธาตอุ าหาร เพือ่ ให้พืชเจรญิ เตบิ โตได้ ตามทต่ี ้องการอาหารท่ีได้ จากกระบวนการสงั เคราะห์ ด้วยแสง จากแหล่งสรา้ งจะ ถูกเปล่ียนแปลงเป็นซโู ครส และลาเลยี งผ่านทาง ทอ่ โฟลเอ็มโดยอาศัยกลไก การลาเลยี งอาหารในพชื ซ่งึ เกย่ี วขอ้ งกับแรงดันน้าไปยัง แหล่งรับ
237 โครงสร้างรายวิชาชีววิทยา 3 ภาคเรียนที่ 1 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ลาดบั ชอ่ื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนัก อตั ราสว่ น ท่ี การเรยี นรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน ระหวา่ ง เรยี นกบั 30 สอบ 2 การ 9. สืบคน้ ขอ้ มูล และสรุป การศกึ ษาค้นควา้ ของ 25 สังเคราะห์ ดว้ ยแสง การศกึ ษาที่ไดจ้ ากการ ทดลอง นกั วทิ ยาศาสตรใ์ นอดตี ของนักวิทยาศาสตร์ในอดตี ทาใหไ้ ด้ความรเู้ กีย่ วกับ เก่ียวกับ กระบวนการ กระบวนการสังเคราะห์ ด้วย สงั เคราะหด์ ว้ ยแสง แสงมาเป็นลาดับข้นั จนได้ 10. อธิบายขัน้ ตอนทเ่ี กิดขน้ึ ข้อสรุปว่า ในกระบวนการ สงั เคราะห์ คาร์บอนไดออกไซด์ ด้วยแสงของพืช C3 และนา้ เปน็ วตั ถดุ บิ ท่พี ืชใช้ 11. เปรยี บเทยี บกลไกการ ในกระบวนการสงั เคราะห์ ตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ ในพืช ดว้ ยแสง และผลผลิต C3 พืช C4 และพืช CAM ทไ่ี ด้ คือ นา้ ตาล ออกซเิ จน 12. สืบคน้ ขอ้ มลู อภิปราย ขัน้ ตอน คือปฏกิ ริ ิยาแสง และสรปุ ปัจจัยความเข้ม และการตรงึ ของแสง ความเข้มข้นของ คาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์และ ปฏิกริ ิยาแสงเปน็ ปฏิกริ ิยาที่ อุณหภิูมทิ ่ีมผี ลตอ่ การ เปลีย่ นพลังงานแสง เป็น สังเคราะหด์ ้วยแสง ของพชื พลงั งานเคมโี ดยแสง ออกซไิ ดซ์โมเลกลุ สารสี ทไ่ี ทลาคอยด์ของคลอโรพ ลาสต์ทาให้เกิดการ ถ่ายทอดอิเล็กตรอนได้ ผลิตภณั ฑเ์ ป็น ATPและ NADPH+H+ในสโตรมาของ คลอโรพลาสต์ การตรงึ คารบ์ อนไดออกไซดเ์ กดิ ในส โตรมาโดยใช้ RuBPและ
238 เอนไซม์รูบิสโกได้สารที่ ประกอบด้วย โครงสรา้ งรายวิชาชีววิทยา 3 ภาคเรียนที่ 1 ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ลาดบั ช่ือหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก อตั ราสว่ น ที่ การเรียนรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน ระหว่าง เรียนกับ สอบ คาร์บอน๓อะตอมคอื PGA โดยใช้ATP และ NADPH ที่ ได้จากปฏิกริ ิยาแสงไปรีดวิ ซ์ สารประกอบคาร์บอน ๓อะตอมไดเ้ ป็นนา้ ตาล ที่มคี าร์บอน ๓ อะตอม คอื PGAL ซ่ึงสว่ นหนงึ่ จะถกู นาไปสรา้ ง RuBP กลบั คนื เปน็ วัฏจักร โดยพืช C3จะมีการตรึง คารบ์ อนไดออกไซด์ด้วย วฏั จกั รคัลวนิ เพยี งอยา่ ง เดียวพืช C4ตรงึ คารบ์ อน อนนิ ทรีย์ ๒ ครงั้ ครงั้ แรก เกิดข้ึนท่ีเซลลม์ ีโซฟิลล์โดย PEP และเอนไซม์ เพบคารบ์ อกซิเลสได้สาร ประกอบท่มี ีคารบ์ อน ๔ อะตอม คือOAA ซ่งึ จะมี การเปลี่ยนแปลง ทางเคมีได้ สารประกอบท่ีมีคารบ์ อน ๔ อะตอม คอื กรดมาลิกซึง่ จะ ถูกลาเลยี งไปจนถงึ เซลล์ บันเดลิ ชีทและปลอ่ ย คาร์บอนไดออกไซด์ ใน คลอโรพลาสต์เพ่อื ใชใ้ นวัฏ
239 จักรคลั วินตอ่ ไป พชื CA โครงสรา้ งรายวิชาชีววิทยา 3 ภาคเรียนท่ี 1 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ลาดบั ชือ่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก อตั ราสว่ น ท่ี การเรียนรู้ (ชัว่ โมง) คะแนน ระหวา่ ง เรยี นกบั สอบ มกี ลไกในการตรงึ คารบ์ อนไดออกไซด์ คล้ายพืช C4แต่มีการตรึง คาร์บอนอนนิ ทรยี ท์ ั้ง ๒ ครั้ง ในเซลล์เดียวกนั โดยเซลล์มี การตรึง คาร์บอนอนินทรีย์ คร้งั แรกในเวลากลางคนื และ ปลอ่ ยออกมาในเวลา กลางวันเพื่อใชใ้ น วัฏจักรคัล วินตอ่ ไปปจั จยั ทม่ี ผี ลต่อการ สังเคราะหด์ ว้ ยแสง เชน่ ความเข้มของแสง ความเข้มข้นของ คารบ์ อน ไดออกไซด ์อุณหภูมิปริมาณ น้าในดนิ ธาตุอาหารอายุใบ 3 การสบื พนั ธุ์ 13. อธบิ ายวฏั จักรชีวิตแบบ พืชดอกมวี ัฏจักรชีวติ แบบ 10 30 ของพชื ดอก สลบั ของพชื ดอก สลบั ประกอบดว้ ยระยะท่ี และการ 14. อธบิ ายและเปรยี บเทยี บ สรา้ งสปอร์เรียก ระยะ เจรญิ เตบิ โต กระบวนการสรา้ ง เซลล์ สปอโรไฟต์(2n)และระยะที่ สบื พนั ธเ์ุ พศผูแ้ ละเพศเมียของ สร้างเซลล์สบื พันธุ์เรียก พืชดอก และอธิบายการ ระยะแกมีโทไฟต์ (n) ปฏิสนธขิ องพืชดอก สว่ นประกอบของดอกท่ี เกย่ี วข้องกับการสืบพนั ธุ์ โดยตรงคือช้ันเกสรเพศผู้ และชั้นเกสรเพศเมีซ่ึง
240 จานวนรงั ไขเ่ กีย่ วข้องกบั การ เจริญเปน็ ผล ชนดิ ตา่ งๆ โครงสร้างรายวิชาชีววิทยา 3 ภาคเรยี นท่ี 1 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 อัตราสว่ น ลาดบั ช่อื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั ระหว่าง ที่ การเรียนรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน เรียนกับ สอบ 15. อธบิ ายการเกิดเมลด็ และ พืชดอกสร้างไมโครสปอร์ การเกิดผลของพชื ดอก และเมกะสปอรซ์ ึ่งอาจ โครงสร้างของเมลด็ และผล สร้างในดอกเดยี วกันหรอื และยกตัวอยา่ ง ตา่ งดอกหรือตา่ งตน้ กนั มี การใช้ประโยชน์จากโครงสร้าง การสรา้ งไมโครสปอรข์ อง ตา่ ง ๆ ของเมล็ด และผล พชื ดอกเกดิ ขึน้ โดย ไมโครส 16. ทดลอง และอธบิ าย ปอรม์ าเทอร์เซลล์แบ่งเซลล์ เกี่ยวกบั ปจั จยั ต่าง ๆ ที่มี แบง่ เซลล์แบบไมโทซิสไิด้๒ ผลตอ่ การงอกของเมล็ดสภาพ เซลลค์ อื ทิวบ์เซลล์ และ พกั ตัวของเมล็ดและบอก เจเนอเรทิฟเซลล ์เมื่อมีการ แนวทางในการแก้สภาพพักตัว ถ่ายเรณไู ปตกบน ยอดเกสร ของเมลด็ เพศเมยี ทิวบ์เซลล์จะงอก หลอดเรณู และเจเนอเรทิฟ เซลล์แบง่ ไมโทซสิ ได้เซลล์ สบื พนั ธุเ์ พศผู้ ๒ เซลล์ การสร้างเมกะสปอรเ์ กิดขึน้ ภายในออวลุ ในรงั ไข โดยเซลล์ท่ีเรยี กวา่ เมกะ สปอร์มาเทอร์เซลล์แบง่ ไมโอซิสไดเ้ มกะสปอร์ซงึ่ ใน พชื สว่ นใหญ่จะเจรญิ พฒั นา ต่อไปไดเ้ พยี ง๑เซลลท์ ่ีเหลือ อกี ๓เซลลจ์ ะฝ่อเมกะสปอร์ จะแบ่งไมโทซสิ ๓ครั้งได้ ๘ นิวเคลยี สทีแ่ บบไมโอซิสได้
241 ไมโครสปอร์โดยไมโครสปอร์ นี้ประกอบด้วย ๗ เซลล์ โครงสร้างรายวชิ าชีววิทยา 3 ภาคเรียนท่ี 1 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ลาดบั ชอ่ื หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั อัตราสว่ น ที่ การเรียนรู้ (ช่วั โมง) คะแนน ระหว่าง เรียนกับ สอบ โดยมี๑ เซลล์ทท่ี าหน้าทเี่ ปน็ เซลลส์ บื พันธุเ์ รยี ก เซลล์ไข่ สว่ นอกี ๑ เซลลม์ ี ๒ นิวเคลียสเรยี กโพลารน์ วิ คลี ไอ การปฏิสนธิของพชื ดอก เป็นการปฏสิ นธิค่โู ดยคหู่ นง่ึ เป็นการรวมกนั ของสเปิร์ม เซลล์หนง่ึ บเซลลไ์ ขไ่ ด้เปน็ ไซโกต ซงึ่ จะเจริญและ พัฒนา ไปเปน็ เอ็มบรโิ อ และอีกค่หู นง่ึ เปน็ การ รวมกนั ของสเปริ ์มอีกเซลล์ หน่ึงกับโพลาร์นิวคลีไอ ได้เปน็ เอนโดสเปริม์ นิวเคลยีสซง่ึ จะเจรญิ และ พฒั นา ตอ่ ไปเป็น เอนโดสเปริมภ์ ายหลงั การ ปฏิสนธิ ออวุลจะมกี ารเจริญ และพัฒนาไปเปน็ เมลด็ และ รงั ไขจ่ ะมกี ารเจริญ และ พัฒนาไปเป็นผล โครงสรา้ ง ของเมล็ดประกอบด้วย เปลือกเมลด็ เอม็ บรโิ อและ เอนโดสเปิรม์ โครงสร้างของ ผล ประกอบดว้ ย ผนงั ผล
242 และเมลด็ ซึง่ แต่ละส่วน ของโครงสร้างจะมีประโยชน์ โครงสรา้ งรายวชิ าชีววิทยา 3 ภาคเรยี นที่ 1 ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ลาดบั ชอ่ื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั อัตราสว่ น ที่ การเรียนรู้ (ช่วั โมง) คะแนน ระหว่าง เรียนกบั สอบ ต่อพชื เองและตอ่ สงิ่ มชี วี ิต อืน่ เมลด็ ท่เี จรญิ เต็มทจี่ ะมี การงอกโดยมีปจั จัยต่าง ๆ ทมี่ ผี ลต่อการงอกของเมล็ด เชน่ น้า หรอื ความชน้ื ออกซิเจน อุณหภมู ิ และ แสง เมล็ดบางชนดิ สามารถ งอกไดทนั ที แต่เมล็ด บางชนิดไมสา่ มารถ งอกได้ ทนั ทเี พราะอยูใ่ นสภาพพัก ตัว เมลด็ บางชนดิ มีสภาพ พักตวั เนื่องจากมีปัจจยั บาง ประการท่ีมีผลยบั ยงั้ การงอก ของเมลด็ ซึง่ สภาพพกั ตัวของ เมล็ดสามารถแก้ไขได้หลาย วิธี ตามปจั จัยที่ยับย้งั พชื สรา้ งสารควบคุมการ เจริญเติบโตหลายชนดิ ที่ ส่วนต่าง ๆ ซึ่งสารนเ้ี ปน็ ส่งิ เร้าภายในทีม่ ีผล ต่อการ เจริญเตบิ โตของพืช เชน่ ออกซิน ไซโทไคนนิ จบิ เบอเรลลิน เอทิลนี และ กรดแอบไซซิก แสงสวา่ ง แรงโน้มถ่วงของโลก
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380