Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เทอดพงศ์ วรรณวงค์

เทอดพงศ์ วรรณวงค์

Published by วิทย บริการ, 2022-07-08 02:46:32

Description: เทอดพงศ์ วรรณวงค์

Search

Read the Text Version

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 274 ตัวอยาางท่ี 6.16 ผลงาน “Sonata in G Major (Divertimento), HobXVI 8” ประพันธ์ โดยดฮเดิน เป็นผลงานการประพันธ์เพลงสังคีตลักษณ์โซนาตา ประกอบด้วย 3 ตอน ดด้แกา ตอน A หรอื ตอนนาเสนอ ตอน B หรอื ตอนพัฒนา และตอน A’ หรือตอนยอ้ นความ ตอน A เป็นตอนนาเสนอ ห้องท่ี 1 – 16 เร่ิมด้วยทานองท่ี 1 ห้องท่ี 1 – 8 ในกุญแจเสียง โทนิก (G เมเจอร์) จบทานองและเสียงประสานด้วยเคเดนซ์เปิด ตาอมาเป็นการนาเสนอทานองท่ี 2 กุญแจเสียงโดมินันท์ (D เมเจอร)์ เป็นกุญแจเสยี งสมั พนั ธ์ จบทานองและเสยี งประสานของทานองที่ 2

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 275 ด้วยเคเดนซ์ปิดแบบสมบกรณ์ปิดท้ายด้วยชาวงหางเพลงยาอย (Codetta) ห้องที่ 14 – 16 จบทานอง และเสียงประสานชวา งหางเพลงยอา ยดว้ ยเคเดนซ์ปิดแบบสมบกรณ์ ตอน B เป็นตอนพัฒนา ห้องท่ี 17 – 27 ทานองและเสียงประสานในกุญแจเสียงโทนิก เริ่มด้วยเสียงประสานคอร์ดทบเจ็ดโดมินันท์ ชาวงท้ายของตอนพัฒนาเปล่ียนกุญแจเสียงเป็นกุญแจ เสียงซบั โดมนิ นั ท์ (C เมเจอร)์ กอา นจบทานองพฒั นาในกญุ แจเสยี งโทนกิ ดว้ ยเคเดนซเ์ ปดิ ตอน A’ เป็นตอนย้อนความ ห้องที่ 27 – 45 ทานองและเสียงประสานในกุญแจเสียงโทนิก หอ้ งท่ี 27 -35 เปน็ การย้อนความของทานองท่ี 1 ตาอมาห้องท่ี 35 – 41 เป็นการย้อนความของทานอง ที่ 2 กุญแจเสียงโทนิกตามด้วยหางเพลง (Coda) ห้องท่ี 41 – 45 จบทานองและเสียงประสานด้วย เคเดนซป์ ิดแบบสมบกรณ์ ผ้กศึกษาการประพันธ์เพลงควรเร่ิมฝึกหัดประพันธ์เพลงสังคีตลักษณ์โซนาตาโดยคานึงถึง องค์ประกอบของโครงสร้างสังคีตลักษณ์และรายละเอยี ดแตาละตอนให้เปน็ ดปตามแบบแผนเป็นลาดับ แรก ตอนนาเสนอต้องประกอบด้วยการนาเสนอทานองท่ี 1 และทานองท่ี 2 ทานองท่ี 1 ควรเร่ิม ทานองและเสียงในกุญแจเสียงโทนิก จบทานองและเสียงประสานของทานองท่ี 1 ด้วยเคเดนซ์ ที่มีน้าหนัก ตามด้วยการนาเสนอทานองที่ 2 ควรเปลี่ยนกุญแจเสียงดปกุญแจเสียงสัมพันธ์เป็นลาดับ แรก จบทานองและเสียงประสานด้วยเคเดนซท์ มี่ ีน้าหนัก ตอนพัฒนาควรนาทานองและเสียงประสานของตอนนาเสนอมาพัฒนาในกุญแจเสียงใด ๆ ก็ดด้ อาจเร่ิมด้วยการเปล่ียนกุญแจเสียงเป็นกุญแจเสียงสัมพันธ์หรือกุญแจเสียงราวมกับชาวงนาเสนอ ทานองท่ี 2 ทานองและเสียงประสานตอนพัฒนาสามารถเปลี่ยนกุญแจเสียงจานวนกี่ครั้งก็ดด้ ตามความต้องการของผก้ประพันธ์ ชาวงท้ายของตอนพัฒนาอาจเปลี่ยนเป็นกุญแจเสียงโดมินันท์ เพ่อื ความราบรนื่ สาหรับการเตรียมพร้อมการเปลย่ี นกลบั มากุญแจเสยี งโทนิกชวา งตาอดป ตอนย้อนความต้องนาเสนอการย้อนความทานองท่ี 1 และทานองที่ 2 ในกุญแจเสียงโทนิก ทัง้ สองทานองควรรกั ษารกปเดมิ ใหม้ ากที่สุด อาจเพม่ิ ชาวงหางเพลงกาอนจบเพลงกด็ ด้ การประพันธ์เพลงสังคีตลักษณ์โซนาตาเป็นผลางานการประพันธ์เพลงขนาดใหญา แสดงทักษะความสามารถของผก้ประพันธ์เพลงและผก้บรรเลง มีความหลากหลายในรายละเอียด ด้านตาาง ๆ โดยเฉพาะการประพันธ์เพลงตอนพัฒนา ผ้กศึกษาการประพันธ์เพลงควรศึกษาวิเคราะห์ ผลงานการประพันธ์เพลงสังคีตลักษณ์โซนาตาจากผลงานการประพันธ์เพลงของนักประพันธ์เพลง ที่มีชื่อเสียงอยาางหลากหลาย ท้ังยุคคลาสสิก และยุคโรแมนติก เพ่ือนามาเป็นแบบแผนการฝึกหัด ประพันธเ์ พลง เปน็ แรงบันดาลใจสรา้ งสรรค์ผลงานการประพันธเ์ พลง การก าหน ดสั ง คีตลั กษณ์ใ นกา รปร ะพัน ธ์เพล งทา ให้ผก้ ประ พันธ์ เ พล ง มีกร อบแ นว คิ ด แนวปฏิบัติในการประพันธ์เพลงเป็นดปตามหลักการดนตรีสากล ผลงานการประพันธ์เพลงเป็นที่ ยอมรับ นอกจากนท้ี าให้การประพันธ์เพลงมีจุดมุางหมาย สงา ผลให้การประพนั ธ์เพลงสาเร็จดปดด้ดว้ ยดี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 276 ผก้ศึกษาการประพันธ์เพลงควรกาหนดสังคีตลักษณ์เป็นข้ันตอนการประพันธ์เพลงในลาดับแรก ๆ โดยเริ่มฝึกหัดการประพันธ์เพลงสังคีตลักษณ์ตอนเดียว สังคีตลักษณ์บทนิพนธ์ สังคีตลักษณ์สองตอน สังคีตลักษณ์สามตอน สังคีตลักษณ์รอนโด ให้เกิดทักษะในระดับหนึ่งกาอนเริ่มฝึกหัดประพันธ์ทานอง และเสียงประสานสังคีตลักษณ์โซนาตา เน่ืองจากการประพันธ์ทานองและเสียงประสานสังคีตลักษณ์ โซนาตามีรายละเอียดต้องคานึงถึงมากเป็นพิเศษท้ังรายละเอียดการประพันธ์เพลง และรายละเอียด ของเคร่ืองดนตรีท่ีบรรเลง ผก้ประพันธ์เพลงต้องมีความร้กความเข้าใจรายละเอียดของเคร่ืองดนตรี ชนดิ นนั้ เปน็ อยาางดี การเรยี บเรียงเสยี งประสานสีแ่ นวเสียง การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับผลงานการประพันธ์เพลงเป็นวิธีการหน่ึงท่ีผก้ศึกษา การประพันธ์เพลงสามารถประยุกต์กับผลงานการประพันธ์เพลงดด้อยาางดี เมื่อผ้กศึกษาการประพันธ์ เพลงดด้ประพันธ์ทานองและเสียงประสานสังคีตลักษณ์เสร็จสมบกรณ์ สามารถนาผลงานการประพันธ์ เพลงชิ้นดังกลาาวมาเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเคร่ืองดนตรี วงดนตรีประเภทตาาง ๆ รวมถึง การขับร้องประสานเสียงดด้ สร้างความนาาสนใจและความหลากหลายใหก้ ับผลงานการประพันธ์เพลง ดด้อยาางดี นอกจากนี้การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับผลงานการประพันธ์เพลงเป็นวิธีหนึ่งสาหรับ ผก้ประพันธ์เพลงดด้ตัดสินใจวาาควรนาเสนอผลงานการประพันธ์เพลงท่ีตนสร้างสรรค์ข้ึนในรกปแบบใด เกิดความดพเราะความสมบกรณ์ตามต้องการดด้ดีท่ีสุด ผ้กศึกษาการประพันธ์เพลงควรฝึกหัด การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับผลงานการประพันธ์เพลงเพ่ือให้ผลงานการประพันธ์เพลง เกิดความสมบกรณ์ มีความดพเราะ และเป็นดปตามความต้องการ ถกกต้องตามหลักการทฤษฎีดนตรี สากลเพ่ือให้ผลงานมีคณุ ภาพเป็นมาตรฐาน 1. การเรียบเรียงเสยี งประสานสแี่ นวเสยี ง การเรียบเรียงเสียงประสานส่ีแนวเสียงเป็นการเรียบเรียงผลงานการประพันธ์เพลงให้อยากใน รกปแบบเสียงประสานส่ีแนวเสียง เป็นการเรียบเรียงเสียงประสานให้กับการขับร้องสี่แนวเสียง มีความชัดเจนด้านทานอง จังหวะ และเสียงประสาน สามารถบรรเลงผลงานการประพันธ์เพลง ท่ีสร้างสรรค์ข้ึนดด้ด้วยการบรรเลงเปียโนหรือเคร่ืองดนตรีประเภทคีย์บอร์ด สามารถนาดปประยุกต์ กับการเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเคร่ืองดนตรี วงดนตรีชนิดตาาง ๆ ดด้เป็นอยาางดี ผ้กศึกษา การประพันธ์เพลงควรฝึกหัดเรียบเรียงเสียงประสานสี่แนวเสียงให้กับผลงานการประพันธ์เพลง ให้เกิดทักษะ มีความดพเราะ ความสมบกรณ์ เป็นดปตามกฎเกณฑ์หลักการประสานเสียงสี่แนวเสียง มรี ายละเอยี ดดงั นี้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 277 1.1 การบันทึกโน้ต การบันทึกโน้ตสาหรับการเรียบเรียงเสียงประสานสี่แนวเสียงสามารถบันทึกดด้ 2 รกปแบบ คือ การบันทึกโน้ตแบบแยกแนวเสียง 4 แนวเสียง โดยแตาละแนวเสียงบันทึกอยกาบนบรรทัด ห้าเส้น 1 บรรทัดแยกจากกัน ใช้กุญแจตามเครื่องดนตรีน้ัน ๆ และการบันทึกโน้ตแบบรวมแนว ใช้บรรทัดห้าเส้นคาก (Grand staff) โดยแนวเสียง 2 แนวบนบันทึกอยกาในบรรทัดห้าเส้นบรรทัดบน ในกุญแจโซ สาวนอกี 2 แนวเสียงบันทึกอยกาในบรรทดั ห้าเสนบรรทัดลาา งในกุญแจเสยี งฟา ตวั อยา่ งที่ 6.17 การบนั ทึกโน้ตแบบแยกแนวเสยี ง 4 แนวเสียง ตวั อยา่ งที่ 6.18 การบนั ทึกโนต้ แบบรวมแนว ตัวอยาางท่ี 6.18 การเรียบเรียงเสียงประสานสี่แนวเสียงเรียกชื่อแนวเสียงแตาละแนว เลียนแบบการแบางชาวงเสียงในวงขับร้องประสานเสียง (ณชั ชา พนั ธ์ุเจริญ, 2558, หน้า 23) แนวบนสุด เรียกวาาแนวโซปราโน (Soprano) บันทึกบนบรรทัดห้าเส้นบน ก้านโน้ตชี้ข้ึน แนวรองลงมา จากแนวโซปราโนเรียกวาาแนวอัลโต (Alto) บันทึกบนบรรทัดห้าเส้นบน ก้านโน้ตช้ีลง แนวรองลงมา จากแนวอัลโตเรียกวาาแนวเทเนอร์ (Tenor) บันทึกบนบรรทัดห้าเส้นลาาง ก้านโน้ตช้ีขึ้น แนวลาางสุด เรียกวาาแนวเบส (Bass) บันทึกบนบรรทัดห้าเส้นลาาง ก้านโน้ตชี้ลง การเรียบเรียงเสียงประสาน ส่ีแนวเสยี งโดยการบันทกึ โน้ตแบบรวมแนวเปน็ ท่ีนยิ ม สะดวกสาหรบั การอาานโนต้ และสามารถบรรเลง ด้วยเครื่องดนตรีประเภทคยี ์บอรด์ ดดท้ ันที

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 278 แนวเสียงท้ัง 4 แนวเสียงมีความสาคัญตาางกัน แนวโซปราโนและแนวเบสเป็นแนวเสียง คกาสาคัญ เรียกวาา แนวนอก สาวนแนวอัลโตและแนวเทเนอร์เป็นแนวเสียงประสานที่มีความสาคัญ เป็นรอง เรียกวาา แนวใน (ณัชชา พันธุ์เจริญ, 2558, หน้า 23 - 24) ผก้ศึกษาการประพันธ์เพลง ควรเรียบเรยี งแนวทานองหลัก หรือทานองท่ีมีความสาคญั ให้กับแนวโซปราโนเน่ืองจากเป็นแนวเสียง ท่ีดด้ยินชัดเจนท่ีสุด และเรียบเรียงเสียงประสานหลักในแนวเบส แนวอัลเตอร์และแนวเทเนอร์ เปน็ เสยี งประสานเสรมิ ให้เกิดความสมบกรณข์ องเสยี งประสาน 1.2 ชาวงเสยี ง การเรียบเรียงเสียงประสานส่ีแนวเสียงต้องคานึงถึงชาวงเสียงของแตาละแนวเสียง ให้เหมาะสม แนวเสียงแตาละแนวเสียงมีชาวงเสียงสกงต่าตาางกัน มีความยืดหยุานตามความเหมาะสม ผ้กศึกษาการประพันธ์เพลงควรเรยี บเรียงเสียงประสานแนวเสยี งตาา ง ๆ ใหอ้ ยากในชวา งเสยี งที่กาหนด ตวั อย่างท่ี 6.19 ชว่ งเสยี งแต่ละแนวเสียง ตัวอยาางท่ี 6.19 ชาวงเสียงแตาละแนวเสียงในการเรียบเรียงเสียงประสานส่ีแนวเสียง (ณัชชา พันธเุ์ จริญ, 2558, หนา้ 26) ตวั อย่างท่ี 6.20 ชว่ งเสยี งแตล่ ะแนวเสียง ตัวอยาางท่ี 6.20 ชาวงเสียงแตาละแนวเสียงในการเรียบเรียงเสียงประสานส่ีแนวเสียง (พีระชยั ลี้สมบรก ณผ์ ล, 2541, หน้า 35) ตวั อยา่ งที่ 6.21 ชว่ งเสยี งแตล่ ะแนวเสียง ตัวอยาางท่ี 6.21 ชาวงเสียงแตาละแนวเสียงในการเรียบเรียงเสียงประสานส่ีแนวเสียง (Benjamin T., et all, 2003, p. 35)

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 279 ตัวอย่างที่ 6.22 ช่วงเสียงแต่ละแนวเสียง ตัวอยาางที่ 6.22 ชาวงเสียงแตาละแนวเสยี งในการเรยี บเรยี งเสียงประสานส่ีแนวเสียง (Kostka S., et all, 2013, p. 72) ผ้กศึกษาการประพันธ์ควรเรียบเรียงเสียงประสานส่ีแนวเสียงในชาวงเสียงตามที่กาหนด โดยคานึงถึงการกาหนดชาวงเสียงตามที่ดด้กลาาวมาในตัวอยาางท่ี 6.19 – 6.22 ตามความเหมาะสม ชาวงเสยี งแตลา ะแนวเสียงคานึงถงึ ชาวงเสียงการขับรอ้ งของนกั รอ้ งเสยี งโซปราโน อัลโต เทเนอร์ และเบส ตามลาดับ เปน็ ชาวงเสียงมาตรฐานโดยทัว่ ดปทนี่ กั ร้องแนวเสยี งดงั กลาาวสามารถขบั รอ้ งดด้ 1.3 การวางระยะแนวเสียง การเรียบเรียงเสียงประสานสี่แนวเสียงต้องคานึงถึงระยะระหวาางแนวเสียงตาาง ๆ เพอ่ื ความสมดลุ และน้าหนกั ทีด่ ี แนวโซปราโนกับแนวอัลโต แนวอัลโตกับแนวเทเนอร์ ควรมีระยะหาาง ดมาเกิน 1 ชาวงคากแปด แนวเทเนอร์กับแนวเบสควรมีระยะหาางดมาเกินคกา 12 (ณัชชา พันธ์เจริญ, 2558, หน้า 27, พีระชัย ลี้สมบกรณ์ผล, 2541, หน้า 36) ควรหลีกเลี่ยงการวางระยะแนวเสียงเกิน 1 ชาวง คากแปด ระหวาางแนวเสียงแนวบน ดด้แกา แนวโซปราโนกับแนวอัลโต แนวอัลโตกับแนวเทเนอร์ สาวนแนวเทเนอร์กับแนวเบสอนุโลมให้มีระยะหาางมากกวาา 1 ชาวงคกาแปดดด้ (Benjamin T., et all, 2003, p. 34, Kostka S., et all, 2013, p. 72) ผ้กศึกษาการประพันธ์เพลงควรวางระยะแนวเสียง ให้เหมาะสม สามารถใช้หลักการตามที่ดด้กลาาวมาในข้างต้นเพื่อความสมดุลท่ีดี เกิดน้าหนักที่ดี ระหวาางแนวเสียง การวางระยะแนวเสียงดมาเกิน 1 ชาวงคากแปดระหวาางแนวโซปราโนกับแนวอัลโต และแนวอัลโตกับแนวเทเนอร์ สร้างน้าหนักและความสมดุลระหวาางแนวเสียงดด้เป็นอยาางดี สาวนแนว เทเนอรก์ บั แนวเบสท่มี รี ะยะหาา งดมเา กนิ คาก 12 สามารถสร้างนา้ หนกั และความสมดลุ ระหวาา งแนวดด้ดี การวางระยะแนวเสียงสามารถยืดหยุานตามความเหมาะสมดด้เล็กน้อย แตาต้องมีเหตุผล ที่มาท่ีดป เชาน การเกลาของเสียงประสาน ความสามารถของนักร้องที่สามารถขับร้องดด้ในชาวงเสียง กว้างกวาาปรกติ เป็นต้น ผลงานการประพันธ์เพลงรกปแบบการขับร้องส่ีแนวเสียงหรือคอราล (Chorale) ปรากฏการวางระยะแนวเสียงที่ดมาเป็นดปตามที่ดด้กลาาวมาในข้างต้นบ้าง แตาพบดด้ ดมบา าอยครัง้ โดยสาวนใหญาการวางแนวเสียงจะเปน็ ดปตามหลกั การทกี่ ลาา วมาในข้างต้นเสมอ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 280 ตัวอย่างที่ 6.23 ระยะแนวเสียงท่กี ว้างกวา่ ปรกติ ตัวอยาางท่ี 6.23 ผลงาน “Christum wir sollen loben schon, Chorales BWV 121” ประพันธโ์ ดยบาค หมายเลข 1 มีการวางระยะแนวเสยี งระหวาา งแนวโซปราโนกบั แนวอัลโตเกินระยะ 1 ชาวงคกาแปด เพื่อให้โน้ต B แนวอัลโตมีความตาอเนื่อง หมายเลข 2 การวางระยะแนวเสียงระหวาางแนว เทเนอรก์ ับแนวเบสเกนิ ระยะคาก 12 เพอ่ื ให้โนต้ G แนวเทเนอรม์ ีความตาอเนือ่ งจากโนต้ F การเรียบเรียง เสียงประสานสี่แนวเสียงเพื่อให้เกิดความตาอเนื่องของแนวทานองแนวนอนของแนวเสียงแตาละแนว อาจสางผลให้ระยะหาางระหวาางแนวในแนวต้งั เกินชาวงระยะคกา 8 หรือคกา 12 บา้ งเล็กน้อย แตาควรเกิดข้ึน ดมาบอา ยครัง้ 1.4 การลา้ แนวเสียง การเรียบเรียงเสียงประสานดมาควรให้เกิดการล้าแนวเสียงของแตาละแนวเกิดขึ้น เชาน แนวอัลโตสกงกวาาแนวโซปราโน แนวเทเนอร์สงก กวาา แนวอลั โต แนวเบสสงก กวาา แนวเทเนอร์ เป็นต้น หากจาเป็นต้องล้าแนวเสียงก็สามารถล้าแนวเสียงดด้เพียงช่ัวคราว และควรเกิดขึ้นระหวาางแนวอัลโต กับเทเนอร์เทาานั้น (ณัชชา พันธุ์เจริญ, 2558, หน้า 27) การล้าแนวเสียงอาจเกิดขึ้นดด้กรณี ท่ตี ้องการความตอา เน่ืองของการเคลื่อนทานองหรือการเกลาของแนวอัลโต หรือเทเนอร์ ดมคา วรเกิดข้ึน บาอยคร้ัง ตวั อย่างท่ี 6.24 การลา้ แนวเสียง ตัวอยาางท่ี 6.24 ผลงาน “Nun lob, mein Seel, den Herren, Chorales BWV 390” ประพันธ์โดยบาค โน้ต F แนวเทเนอร์สกงกวาาโน้ต C แนวอัลโต เป็นการล้าแนวเสียงระหวาางแนว ในแนวตั้ง เมื่อพิจารณาโดยละเอียดพบวาาโน้ต F เป็นทานองตาอเนื่องจากโน้ต G และดาเนนิ ดปโน้ต E

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 281 ในจงั หวะถดั ดป การลา้ แนวเสยี งเสยี งควรเกดิ ข้ึนระหวาางแนวเทเนอรก์ บั แนวอัลโตเพียงชั่วคราวเทาา นั้น ควรเกดิ ข้ึนอยาา งมเี หตุผล เชนา เพอื่ สร้างความตาอเน่ืองของแนวทานอง เพอื่ การเกลาของเสยี ง เป็นตน้ 1.5 ข้ันคาขก นาน การเรียบเรียงเสียงประสานส่ีแนวเสียงเป็นการเคลื่อนที่ของแนวเสียงสี่แนวเสียง ข้ันคากขนานเกิดขึ้นระหวาางโน้ตตัวหน่ึงดปโน้ตอีกตัวหน่ึงระหวาาง 2 แนวเสียงใด ๆ ท่ีเป็นคากเดียวกัน (ณัชชา พันธ์เจริญ, 2558, หน้า 35) ดด้แกา ระหวาางแนวโซปราโนและแนวอัลโตของคอร์ดหนึ่ง กับแนวโซปราโนและแนวอัลโตของคอร์ดถัดดป ระหวาางแนวโซปราโนและแนวเทเนอร์ของคอร์ดหนึ่ง กับแนวโซปราโนและแนวเทเนอร์ของคอร์ดถัดดป ระหวาางแนวโซปราโนและแนวเบสของคอร์ดหนึ่ง กับแนวโซปราโนและแนวเบสของคอร์ดถัดดป ระหวาางแนวอัลโตและแนวเทเนอร์ของคอร์ดหนึ่ง กับแนวอัลโตและแนวเทเนอร์ของคอร์ดถัดดป ระหวาางแนวอัลโตและแนวเบสของคอร์ดหน่ึง กับแนวอัลโตและแนวเบสของคอร์ดถัดดป ระหวาางแนวเทเนอร์และแนวเบสของคอร์ดหน่ึง กบั แนวเทเนอรแ์ ละแนวเบสของคอร์ดถดั ดป 1.5.1 ข้ันคาขก นานท่ีสามารถเกิดข้นึ ดด้ ขั้นคากขนาน 3 และ 6 ทั้งเมเจอร์และดมเนอร์เป็นข้ันคากเสียงกลมกลืนแบบดมาสมบกรณ์ นิยมเรียกวาาข้ันคากอิมเพอร์เฟค สามารถเกิดข้ึนดด้ในการเรียบเรียงเสียงประสานสี่แนวเสียง แตาดมาควรเกิดข้ึนติดตาอกันเกิน 3 ครั้ง เนื่องจากจะทาให้ทานองท้ังสองเกาะขนานกันเป็นระยะ เวลานานสางผลให้แนวเสียงขาดความอิสระจากกนั (ณัชชา พันธ์เจริญ, 2558, หนา้ 35) ตัวอยา่ งท่ี 6.25 ขนั คู่อิมเพอร์เฟคขนาน ตัวอยาางที่ 6.25 ข้ันคกาขนานคาก 3 และ 6 ท้ังเมเจอร์และดมเนอร์ สามารถเกิดขึ้นดด้ระหวาาง แนวเสียงทุกแนวเสียง ควรหลีกเล่ียงขั้นคกาขนาน 3 และ 6 ติดตาอกันเกิน 3 คร้ัง เนื่องจากจะทาให้ แนวเสียงทั้งสองแนวขาดความอสิ ระจากกัน 1.5.2 ขั้นคกาขนาน 5 และ 8 เพอร์เฟคเป็นข้ันคากเสียงกลมกลืนแบบสมบกรณ์ นิยมเรียกวาาข้ันคกาเพอร์เฟค เป็นข้อห้ามเครางครัดในการเรียบเรียงเสียงประสานส่ีแนวเสียง ดมาวาา เกิดข้ึนระหวาางแนวเสยี งใด โดยเฉพาะการเรียบเรียงเสยี งประสานสี่แนวเสียงของดนตรีตะวนั ตก คริสต์ศตวรรษที่ 17 – 19 ขั้นคากขนาน 5 และ 8 เพอร์เฟคต้องเป็นข้ันคากขนาน 5 เพอร์เฟคเหมือนกัน หรือขัน้ คกาขนาน 8 เพอร์เฟคเหมือนกัน หากเป็นการดาเนินขัน้ คากขนานจากขั้นคกา 5 เพอร์เฟค ดปขัน้ คกา 8

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 282 เพอร์เฟค หรือขั้นคาก 8 เพอร์เฟคดปข้ันคกา 5 เพอร์เฟคสามารถเกิดข้ึนดด้ สาวนขั้นคกาขนานจากข้ันคกา 5 เพอร์เฟคดปข้ันคกา 5 ดิมินิชท์อนุโลมให้เกิดขึ้นดด้ เชานเดียวกับการเกิดขั้นคากขนานระหวาางคาก 4 เพอรเ์ ฟคอนุโลมใหเ้ กดิ ขึ้นดด้ (ณัชชา พันธเุ์ จริญ, 2558, หนา้ 36 – 38) ขั้นคากขนาน 5 และ 8 เพอร์เฟค เป็นข้อห้ามเครางครัดในการเรียบเรียงเสียงประสาน ควรหลีกเลี่ยงการเกิดขั้นคากขนาน 5 และ 8 (Benjamin T., et all, 2003, p. 34, Kostka S., et all, 2013, p. 225) สาเหตุหนึ่งมาจากขั้นคาก 5 และ 8 เพอร์เฟคให้เสียงที่มั่นคงมากที่สุดและมีความ กลมกลนื กันแบบสมบรก ณ์ทส่ี ุด การดาเนินเสียงประสานท่ีเป็นการขนานข้ันคกา 5 และ 8 เพอรเ์ ฟคทาให้ แนวเสียงท้ังสองกลมกลืนกันจนขาดความเป็นอิสระจากกันเป็นอยาางมากจึงเป็นข้ันคกาขนาน ที่ควรหลกี เลย่ี งในการเรียบเรยี งเสยี งประสาน (Kostka S., et all, 2013, p. 75) ผ้ศก กึ ษาการประพนั ธ์ เพลงควรฝึกหัดเรียบเรียงเสียงประสานโดยยึดข้อห้ามการเกิดข้ันคากขนาน 5 และ 8 เพอร์เฟค อยาา งเครงา ครัด ตัวอยา่ งที่ 6.26 ขนั คู่ 5 เพอร์เฟคขนาน ตัวอยาางที่ 6.26 ข้ันคกาขนาน 5 เพอร์เฟคระหวาางแนวเสียงทุกแนวเสียงเป็นข้อห้าม ในการเรียบเรียงเสียงประสานส่ีแนวเสียง ควรหลีกเล่ียงการเรียบเรียงเสียงประสานท่ีทาให้เกิด ขัน้ คขกา นาน 5 เพอรเ์ ฟคระหวาางแนวเสียงทกุ แนวเสียง ตวั อย่างที่ 6.27 ขนั คู่ 8 เพอรเ์ ฟคขนาน ตัวอยาางท่ี 6.27 ขั้นคกาขนาน 8 เพอร์เฟคระหวาางแนวเสียงทุกแนวเสียงเป็นข้อห้าม ในการเรียบเรียงเสียงประสานส่ีแนวเสียง ควรหลีกเล่ียงการเรียบเรียงเสียงระสานท่ีทาให้เกิด ขน้ั คขาก นาน 8 เพอร์เฟคระหวาา งแนวเสยี งทกุ แนวเสียง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 283 ตวั อย่างท่ี 6.28 ขนั คู่ 8 เพอรเ์ ฟคระหว่างแนวโซปราโนกบั แนวเบส ตัวอยาางท่ี 6.28 กรณีท่ีแนวโซปราโนกับแนวเบสของคอร์ดแรกมีระยะคาก 8 เพอร์เฟค เคล่ือนที่แบบสวนทางดปแนวโซปราโนกับแนวเบสท่ีมีระยะคาก 8 เพอร์เฟค ควรหลีกเลี่ยงเชานเดียว กับการข้ันคกาขนาน 5 และ 8 เพอร์เฟค (Benjamin T., et all, 2003, p. 225) เนื่องจากเสียงของโน้ต C แนวเบสของคอร์ดหลังมีเสียงโน้ต C ที่อยกาสกงกวาา 1 ชาวงคกาแปดปรากฏด้วยตามธรรมชาติของเสียง เป็นโน้ตโอเวอร์โทน (Overtone) ของโน้ต C ท่ีบันทึกในแนวเบสคอร์ดหลัง เป็นโน้ตโอเวอร์โทนท่ี 1 มีความชัดเจนที่สุดสามารถดด้ยินดด้งาายท่ีสุด เสียงโน้ต C ที่เป็นเสียงคากแปดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ของเสยี งทาให้เกิดการเคลอ่ื นทีแ่ บบขนานของทงั้ สองคอรด์ ตวั อย่างที่ 6.29 ขันคขู่ นาน 5 และ 8 ทไี่ มถ่ ือเป็นข้อหา้ มในการเรียบเรยี งเสียงประสานสแี่ นวเสยี ง ตวั อยาางที่ 6.29 การดาเนินขั้นคกาขนานจากขั้นคาก 5 เพอร์เฟค ดปขั้นคาก 8 เพอร์เฟค หรือข้ันคกา 8 เพอร์เฟคดปข้ันคาก 5 เพอร์เฟคสามารถเกิดข้ึนดด้ดมาถือเป็นข้อห้ามในการเรียบเรียงเสียงประสาน ส่แี นวเสยี ง ตัวอย่างที่ 6.30 ขันคู่ขนาน 5 เพอร์เฟคทอี่ นุโลมให้เกิดขึนได้ ตัวอยาางท่ี 6.30 ข้ันคากขนาน 5 เพอร์เฟคที่อนุโลมให้เกิดข้ึนดด้เป็นการดาเนินขั้นคกา 5 เพอรเ์ ฟคดปข้ันคกา 5 ดิมนิ ิชท์ นิยมเรียกวาา ขั้นคาเก พอร์เฟคขนานดมาเทาา ควรหลีกเลี่ยงขน้ั คากเพอรเ์ ฟคขนาน ดมาเทาาในกรณีแนวโซปราโนกับแนวเบสของคอร์ดแรกเป็นระยะข้ันคกาดิมินิชท์ 5 แนวโซปราโน กับแนวเบสของคอร์ดถัดดปที่มีระยะขั้นคาก 5 เพอร์เฟค หากแนวโซปราโนกับแนวเบสของคอร์ดแรก

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 284 มีระยะขั้นคาก 5 เพอร์เฟค แนวโซปราโนและแนวเบสของคอร์ดถัดดปมีระยะข้ันคาก 5 ดิมินิชท์อนุโลม ให้เกิดข้ึนถ้าแนวโซปราโนและแนวเบสที่มีระยะขั้นคกา 5 ดิมินิชท์มีการเกลา (Benjamin T., et all, 2003, p. 226) ผ้กศึกษาการประพันธ์เพลงควรคานึงถึงข้อห้ามข้ันคกาขนาน 5 และ 8 เพอร์เฟค อยาางเครงา ครัดในการเรียบเรียงเสียงประสานส่ีแนวเสียง ถึงแม้วาาผลงานการประพนั ธ์เพลงในรกปแบบ เสียงประสานสี่แนวเสียงในดนตรีชาวงปลายยุคโรแมนติกและดนตรียุคศตวรรษที่ย่ีสิบ ปรากฏพบ การเรียบเรียงเสียงประสานโดยการใช้ข้ันคากขนานดังกลาาว เนื่องจากนักประพันธ์เพลงต้องการเสียง ท่ีแปลกใหมาตาางดปจากเดิม การเรียบเรียงเสียงประสานสี่แนวเสียงโดยคานึงถึงหลักการแนวปฏิบัติ อ ยา า ง เ ค รา ง ค รั ด สา ง ผ ล ใ ห้ ผ ล ง า น เ ป็ น ด ป ต า ม แ บ บ แ ผ น เ ป็ น ท่ี ย อ ม รั บ ร ะ ดั บ ส า ก ล ด ด้ เ ป็ น อ ยา า ง ดี และมคี วามดพเราะสมบกรณ์เป็นมาตรฐาน 1.6 ข้นั คกคา ลา้ ยขนาน ข้ันคากคล้ายขนานถือวาาเป็นการเกิดข้ันคกาเพอร์เฟคขนานทางอ้อม เป็นข้ันคกาท่ีดมาดด้ เคลื่อนขนานกันอยาางตรงดปตรงมาระหวาางทานองสองแนวใด ๆ ท่ีเคล่ือนทานองแบบเหมือน แตาเม่ือเติมโน้ตให้เต็มตามข้ันในแนวท่ีโน้ตเคล่ือนทานองแบบข้ามขั้นจะเห็นการเคล่ือนทานอง แบบขนานเกิดขึ้น เป็นข้อห้ามในการเรียบเรียงเสียงประสานสี่แนวเสียง แตามีเง่ือนดขอื่นประกอบ ข้อห้ามเรื่องน้ี (ณัชชา พันธ์ุเจริญ, 2558, หน้า 39) ข้ันคากคล้ายขนานถือเป็นข้อห้ามในการเรียบเรียง เสียงประสานส่ีแนวเสียงที่ควรหลีกเล่ียง มีความเข้มงวดตาางกันในตาราทฤษฎีดนตรีท่ีเกี่ยวข้อง กับการเขียนเสียงประสานสี่แนวเสียง บางตาราห้ามเกิดข้ันคกาเพอร์เฟคคล้ายขนานทุกกรณี บางตารา ห้ามเกิดข้ันคกาเพอร์เฟคคล้ายขนานระหวาางแนวโซปราโนกับแนวเบสที่เกิดข้ามห้องเพลงและอนุโลม ให้ใช้ดด้เฉพาะท่ีเคเดนซ์สาวนภายในห้องเพลงสามารถเกิดข้ันคกาเพอร์เฟคคล้ายขนานดด้ บางตารา ห้ามเกิดขั้นคกาเพอร์เฟคคล้ายขนานเฉพาะบนจังหวะเน้น บางตาราห้ามเกิดข้ันคากเพอร์เฟคคล้ายขนาน ระหวาางแนวโซปราโนกบั แนวเบส เปน็ ต้น ตวั อย่างท่ี 6.31 ขันคเู่ พอรเ์ ฟคคลา้ ยขนาน ตวั อยาางที่ 6.31 ข้ันคกาเพอร์เฟคคล้ายขนานระหวาางแนวโซปราโนกับแนวเบส แนวโซปราโน กบั แนวเบสของคอรด์ แรกมรี ะยะเป็นคกา 3 เมเจอร์ ดาเนินดปแนวโซปราโนกบั แนวเบสทม่ี ีระยะเป็นคาก 5 เพอร์เฟคของคอร์ดถัดดป หากพิจารณาการเคล่ือนทานองแบบตามขั้นในแนวโซปราโนของทั้งสอง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 285 คอร์ดปรากฏโน้ต B และ โน้ต C ทาให้เกิดความรก้สึกการเกิดขึ้นของเสียงตามดปด้วย เสียงโน้ต C มีระยะขั้นคาก 5 เพอร์เฟคกับโน้ต F ในแนวเบสของคอร์ดแรกทาให้เกิดข้ันคากคล้ายขนาน ในการเคล่อื นทานองระหวาางแนวโซปราโนและแนวเบสของคอร์ดท้ังสอง ตัวอยา่ งท่ี 6.32 ขันคู่เพอรเ์ ฟคคลา้ ยขนาน ตัวอยาางที่ 6.32 ข้ันคกาเพอร์เฟคคล้ายขนานข้ันคาก 5 และ 8 เพอร์เฟค ระหวาางแนวโซปราโน กบั แนวเบสท่ีเกิดข้ามห้องเป็นข้อหา้ มเครงา ครัด ยกเวน้ ทเ่ี คเดนซ์อนโุ ลมให้เกิดขึน้ ดด้ (ณัชชา พันธ์ุเจริญ , 2558, หนา้ 85) ตัวอย่างที่ 6.33 ขนั คู่เพอรเ์ ฟคคลา้ ยขนาน ตัวอยาางที่ 6.33 ควรหลีกเล่ียงขั้นคกาเพอร์เฟคคล้ายขนานทั้งคาก 5 และ 8 เพอร์เฟคระหวาาง แนวโซปราโนกับแนวเบส ยกเวน้ ในกรณีการซา้ คอรด์ เดิม (Benjamin T., et all, 2003, p. 226) ผ้กศึกษาการประพันธ์เพลงควรคานึงถึงข้ันคากเพอร์เฟคคล้ายขนานในการเรียบเรียง เสียงประสานสี่แนวเสียงโดยดมาให้เกิดข้ึนระหวาางแนวโซปราโนกับแนวเบสท่ีเกิดข้ามห้อง อยาางเครางครัด ยกเว้นท่ีเคเดนซ์อนุโลมให้เกิดข้ึนดด้ ควรหลีกเล่ียงระหวาางแนวโซปราโนกับแนวเบส ทุกจังหวะของการเปล่ียนคอร์ด ยกเว้นกรณีที่เป็นคอร์ดซ้า โดยเฉพาะการเรียบเรียงเสียงประสาน สี่แนวเสียงสาหรับการขับร้องประสานเสียงส่ีแนวต้องเครางครัดเป็นพิเศษ การห้ามขั้นคากเพอร์เฟค คลา้ ยขนานทุกกรณีเสริมสรา้ งความสมบรก ณ์ให้กับเสยี งประสานดดอ้ ยาา งดที ส่ี ุด 1.7 การเคลอ่ื นทานองเป็นระยะคาก 2 ออกเมนเทดในแนวนอน การเคล่ือนทานองเป็นระยะคกา 2 ออกเมนเทดในแนวนอนของแนวเสียงใด ๆ เป็นขอ้ หา้ ม เครางครัด (ณชั ชา พันธเ์ จรญิ , 2558, หน้า 85) เปน็ การเคล่ือนทานองทมี่ ีระยะหาางจากโน้ตหน่ึงดปโน้ต ตัวถดั ดปในแนวเสยี งเดียวกนั เปน็ ระยะคกา 2 ออกเมนเทด

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 286 ตวั อย่างที่ 6.34 การเคลื่อนท้านองเปน็ ระยะคู่ 2 ออกเมนเทด ตัวอยาางท่ี 6.34 การเคล่ือนทานองเป็นระยะข้ันคาก 2 ออกเมนเทดเป็นข้อห้ามเครางครัด ในการเรียบเรียงเสียงประสานสี่แนวเสียง พบบาอยครั้งกรณีกุญแจเสียงดมเนอร์ การใช้แนวทานอง จากบันดดเสยี งดมเนอรแ์ บบเมโลดกิ ชวา ยลดปัญหาดงั กลาาวดด้ดี 1.8 การเคลื่อนทานองทศิ ทางเดยี วกนั ทุกแนวเสียง ก า ร เ ค ล่ื อ น ท า น อ ง ทิ ศ ท า ง เ ดี ย ว กั น ทุ ก แ น ว เ สี ย ง ค ว ร ห ลี ก เ ลี่ ย ง ด มา ใ ห้ เ กิ ด ขึ้ น ในการเรียบเรียงเสียงประสานส่ีแนวเสียง หากมีแนวใดแนวหนึ่งคงที่หรือเคลื่อนท่ีแบบสวนทาง ดมาถือเป็นข้อห้ามเชานเดียวกับการซ้าคอร์ดเดิม (Benjamin T., et all, 2003, p. 225) การเคลื่อน ทานองทิศทางเดียวกันท้ังสี่แนวเสียงเป็นการเคล่ือนทานองแบบขนานกันดปท้ังคอร์ดทาให้แตาละแนว เสยี งขาดอสิ ระจากกัน ตวั อย่างท่ี 6.35 การเคล่อื นทา้ นองทิศทางเดยี วกันทกุ แนวเสยี ง ตัวอยาางที่ 6.35 การเคล่ือนทานองทิศทางเดียวกันสี่แนวเสียงทาให้เกิดการเคล่ือนท่ีขนาน กนั ดปทงั้ คอรด์ ควรหลีกเลย่ี งในการเรยี บเรยี งเสยี งประสานส่ีแนวเสียง 1.9 การลา้ แนวเสียงระหวาางคอร์ด การล้าแนวเสียงระหวาางคอร์ดเป็นการล้าแนวเสียงระหวาางแนวตาาง ๆ ระหวาางคอร์ด 2 คอร์ดที่อยกาติดกัน สร้างความสับสนในบทบาทของแนวเสียง (ณัชชา พันธุ์เจริญ, 2558, หน้า 42) ควรหลกี เล่ียงในการเรยี บเรียงเสยี งประสาน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 287 ตัวอย่างที่ 6.36 การลา้ แนวเสียงระหว่างคอร์ด ตัวอยาางที่ 6.36 โน้ต G แนวเบสของคอร์ดหลังมีระดับเสียงสกงกวาาโน้ต F แนวเทเนอร์ ของคอรด์ หนา้ ถือเป็นการลา้ แนวเสยี งระหวาา งคอร์ด 1.10 การทบโน้ตลดี ดิง การเรียบเรียงเสียงประสานส่ีแนวเสียงควรหลีกเลี่ยงการทบโน้ตลีดดิง (Benjamin T., et all, 2003, p. 227) เนื่องจากการทบโน้ตเป็นการซ้าโน้ตเดียวกันอาจเป็นระดับเสียงเดียวกัน หรือตาางระดับเสียงในแนวเสียงอื่นของคอร์ด หากมีการทบโน้ตลีดดิงในการเรียบเรียงเสียงประสาน สี่แนวเสียงทาให้เกิดการเกลาเป็นขั้นคากขนาน 8 เพอร์เฟคระหวาางแนวเสียงของคอร์ดดังกลาาว กับคอร์ดถดั ดป ดนตรรี ะบบองิ กุญแจเสยี งโน้ตลีดดงิ เปน็ โน้ตแนวโน้มเกลาขึน้ สกาโนต้ โทนกิ ในกญุ แจเสียง ตวั อยา่ งท่ี 6.37 ควรหลีกเลย่ี งการทบโน้ตลดี ดิง ตวั อยาา งท่ี 6.37 โนต้ B เป็นโนต้ ลดิ ดิงของกุญแจเสียง C เมเจอร์ มีแนวโน้มเกลาสโาก นต้ โทนิก การทบโน้ต B ของคอร์ดมีเดยี นในกุญแจเสียง C เมเจอร์ ทาใหโ้ น้ต B แนวเสยี งเทเนอร์และโซปราโน ต้องเกลาดปโน้ต C ท้ังสองแนวเสียงในคอร์ดถัดดปเกิดข้ันคากขนาน 8 เพอร์เฟคเป็นข้อห้ามเครางครัด ในการเรยี บเรียงเสียงประสานส่แี นวเสียง 1.11 คสาก ามเสียงในแนวทานอง ควรหลีกเลี่ยงการเคลื่อนทานองเป็นระยะคกาสามเสียง (Tritone) ยกเว้นมีการเกลา อยาางถกกต้องในจังหวะถัดดป หรือเป็นการซ้าคอร์ดเดิม (Benjamin T., et all, 2003, p. 226) คาสก ามเสยี งจดั เป็นคกเา สียงกระดา้ งตอ้ งเกลาอยาา งถกกต้อง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 288 ตัวอย่างท่ี 6.38 คูส่ ามเสียงในแนวท้านอง ตัวอยาางท่ี 6.38 การเคล่ือนทานองเป็นระยะคกาสามเสียงควรหลีกเลี่ยงในการประสานเสียง สแ่ี นวเสียง ยกเว้นมีการเกลาอยาางถกกต้องในจังหวะถัดดปสามารถเกิดข้ึนดด้ คากสามเสียงในกุญแจเสียง เมเจอร์ และกุญแจเสียงดมเนอร์ท่ีนาบันดดเสียงดมเนอร์แบบฮาร์โมนิกมาสร้างทานอง เกิดขึ้ น จากการเคล่ือนทานองโนต้ ซับโดมนิ ันท์ดปโนต้ ลดี ดงิ ของกญุ แจเสียง ต้องเกลาโนต้ ลดี ดิงดปโน้ตโทนิก 1.12 ขนั้ คอกา อกเมนเทด ขั้นคกา 7 และข้นั คากที่กว้างกวาาขั้นคกา 8 เพอรเ์ ฟคในแนวนอน ควรหลีกเลี่ยงการเคล่ือนทานองที่มีระยะหาางเป็นขั้นคกาออกเมนเทด ข้ันคาก 7 ข้ันคกาที่กว้าง กวาา 1 ชาวงคากแปด หากการเคลื่อนทานองเป็นระยะข้ันคกาดิมินิชท์ต้องเกลาในจังหวะถัดดปอยาางถกกต้อง อาจเกลาตามขั้นในทิศทางตรงข้ามก็ดด้ นอกจากน้ีการเคลื่อนท่ีในแนวนอนมากกวาาระยะข้ันคกา 4 ควรหักกลับทานองในทศิ ทางตรงข้ามในจังหวะถดั ดป (Kostka S., et all, 2013, p. 67) 1.13 การนาแนวเสยี ง การนาแนวเสียง (Voice leading) เป็นเร่ืองที่วาาด้วยทานองในแนวนอนของเสียง ประสานส่ีแนว มีแนวปฏิบัติเพ่ือให้เกิดความสมบกรณ์ของการดาเนินทานองแนวนอนควบคกากับ ความสมบกรณ์ของเสียงประสานแนวตั้ง การนาแนวเสียงต้องพิจารณาความเหมาะสม ของการดาเนินทานองแนวนอนจากโน้ตตวั หน่ึงดปโน้ตถดั ดปทีละแนวเสยี งจนครบทกุ แนวเสียง แนวปฏิบัติการนาแนวเสียงมีความเกี่ยวข้องกับการดาเนินทานอง ต้องพิจารณา จากโนต้ หนึ่งดปยังโน้ตตัวถัดดปในแนวนอนจากคอร์ดหน่ึงดปยงั คอร์ดถัดดป โดยคานึงถึงเสียงประสาน แนวต้งั ควบคกกา นั ดปดว้ ย มแี นวปฏบิ ตั ิดังน้ี 1.13.1 การเคล่ือนทานองในแนวนอนแบบตามข้ัน ควรใช้การเคลื่อนทานองดมาเกินระยะคาก 2 เป็นสาวนใหญาในแนวนอน (ณัชชา พันธ์เุ จรญิ , 2558, หน้า 55) 1.13.2 การเคล่อื นทานองในแนวนอนแบบขา้ มขน้ั ควรหลีกเลี่ยงการเคล่ือนทานองทีม่ ีระยะข้นั คเาก กินคาก 4 ขึ้นดป ขน้ั คกาขา้ มขน้ั ท่ีสามารถ ใช้ดด้ดีท่ีสุดคือ คกา 3 โดยใช้การเคล่ือนทานองแบบข้ามข้ันกับแนวอัลโตและเทเนอร์ให้น้อยที่สุด สามารถใช้การเคล่ือนทานองแบบข้ามข้ันกับแนวโซปราโนและแนวเบสดด้แตาต้องหักกลับทิศทาง การเคลื่อนทานองตรงกันข้ามในจังหวะถัดดปเพ่ือความสมดุล (ณัชชา พันธ์ุเจริญ, 2558, หน้า 55) การเคล่ือนทานองแบบข้ามขั้นเป็นระยะขั้นคาก 3 ที่ใช้การเคล่ือนทานองดปในทิศทางเดียวกันสามารถ แสดงเค้าโครงของคอร์ดดด้ หากมีการเคลื่อนทานองเกินระยะขั้นคาก 4 ควรหักกลับทิศทางการเคล่ือน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 289 ทานองในจังหวะถัดดป หลีกเล่ียงการเคลื่อนทานองเป็นระยะขั้นคาก 7 และขั้นคกาที่กว้างกวาา 1 ชาวง คกแา ปด (Kostka S., et all, 2013, p. 67) 1.13.3 การเคลื่อนทานองในแนวนอนเปน็ ระยะคอกา อกเมนเทด ควรหลีกเล่ียงการเคลื่อนทานองข้ามข้ันเป็นคกาออกเมนเทด หากมีการเคลื่อน ทานองเป็นระยะคกาดิมินิชท์ในแนวทานองต้องหักกลับทิศทางตรงข้ามแบบตามข้ันในจังหวะถัดดป (Kostka S., et all, 2013, p. 67) โดยเฉพาะคกา 2 ออกเมนเทด เว้นแตามีการเกลาที่ถกกต้อง ทานอง แนวนอนในกุญแจเสียงดมเนอร์ให้ใช้บันดดเสียงดมเนอร์แบบเมโลดิก ถ้าทานองอยกาในขาขึ้นให้ใช้โน้ต จากบันดดเสียงดมเนอร์แบบเมโลดิกขาข้ึน เพื่อหลีกเล่ียงคาก 2 ออกเมนเทดที่พบในบันดดเสียงดมเนอร์ แบบฮารโ์ มนิก ถ้าทานองอยกาในขาลงให้ใช้โน้ตจากบันดดเสียงเมโลดิกขาลง (ณัชชา พันธุ์เจริญ, 2558, หน้า 55) 1.13.4 การเกลาโนต้ แนวทานอง การเกลาโน้ตแนวทานองเพื่อให้โน้ตท่ีมีน้าหนักอาอนกวาาเคล่ือนตาอดปสากโน้ต ที่มีความเข้มแข็งกวาา สร้างแรงขับเคลื่อนให้โน้ตทานองก้าวดปข้างหน้า โน้ตแนวทานองที่ต้องการ การเกลา ดด้แกา โน้ตแนวโน้ม (Tendency note) และโน้ตจร (Accidental note) โน้ตแนวโน้มนิยม เกลาโดยเคล่ือนตามข้ันดปยังโน้ตตวั ใดตัวหน่ึงในคอรด์ โทนิก สาวนโนต้ จรนิยมเกลาขึ้นหรือลงคร่ึงเสียง สมั พันธก์ บั เคร่ืองหมายแปลงเสยี งทก่ี ากบั โน้ตจร (ณชั ชา พันธเ์ุ จรญิ , 2558, หน้า 56) ตวั อยา่ งที่ 6.39 การเกลาโนต้ แนวโนม้ ตัวอยาา งที่ 6.39 โน้ตลีดดิง (7) เปน็ โนต้ แนวโน้ตของกุญแจเสียง มีนา้ หนักออา นนยิ มเกลาขึ้น ครึ่งเสียงสากโน้ตโทนิก (1) ท่ีมีความสาคัญมากที่สุดของกุญแจเสียง อาจเกลาดปโน้ตโดมินันท์ดด้ หากมีความจาเป็นแตาควรให้เกิดในแนวอัลโตหรือเทเนอร์เทาาน้ัน โน้ตซับมีเดียน (6) นิยมเกลาลง ตามข้นั สโาก น้ตโดมินันท์ (5) ที่มีความสาคัญรองจากโน้ตโทนิก โน้ตซับโดมินนั ท์ (4) สามารถเกลาดปโน้ต โดมินันท์ดด้แตานิยมเกลาลงคร่ึงเสียงสากโน้ตมีเดียน (3) สาวนโน้ตอ่ืนในกุญแจเสียงสามารถเกลา สกาเสียงม่ันคงกวาาดด้เชานกัน โน้ตซุปเปอร์โทนิกเกลาข้ึนหรือลงตามขั้นนิยมเกลาลงโน้ตโทนิก ทม่ี คี วามสาคัญมากทส่ี ดุ ของกญุ แจเสยี ง เปน็ ตน้

290 ตัวอย่างที่ 6.40 การเกลาโน้ตจร ตัวอยาางท่ี 6.40 โน้ต F# เป็นโน้ตจรในกุญแจเสียงนิยมเกลาขึ้นคร่ึงเสียง สาวนโน้ต Aมหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง เป็นโน้ตจรในกญุ แจเสียงนิยมเกลาลงคร่ึงเสียง กา ร เ รี ย บ เ รีย ง เ สี ย ง ป ระส า น สี่ แ น วเ สี ย ง มี ก ฎ เก ณ ฑ์ แ น ว ป ฏิบั ติ ดั ง ที่ ก ลา าว ม า ข้ า ง ต้ น เป็นแนวปฏิบัติระดับสากล หากผ้กศึกษาการประพันธ์เพลงสามารถนามาปฏิบัติในการเรียบเรียง เสียงประสานสี่แนวเสียงดด้อยาางเครางครัดและครบถ้วนยาอมสางผลให้ผลงานมีความสมบกรณ์มีคุณภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนาทักษะด้านทฤษฎีดนตรีสากลดด้อยาางดีย่ิง หากมีเหตุจาเป็นต้องผาอนผัน ขอ้ กาหนดบางประการควรคานงึ ถึงความสาคัญมากน้อยของขอ้ กาหนดแตาละข้อ การเรีย บเรีย งเสีย งป ระสานส่ี แน วเสีย งห ากมีเหตุจาเป็ นต้อง ผาอนผั นความเครา งครั ด ของกฎเกณฑ์ข้อกาหนดท่ีดด้กลาาวมาในข้างต้นบางประการ ผ้กศึกษาควรพิจารณาตามหลักการ แนวปฏิบัติตามรายการข้อห้ามเรียงลาดับตามความสาคัญจากมากดปน้อยจากตาราการเขียน เสียงประสานสี่แนว (Four – Part Harmony) โดยศาสตราจารย์ ดร. ณัชชา พันธุ์เจริญ (ณัชชา พันธ์เจริญ, 2558, หนา้ 85 – 86) มีรายละเอยี ดในตารางท่ี 6.1 ดังนี้ ตารางท่ี 6.1 ข้อหา้ มเรียงลา้ ดับความสา้ คัญจากมากไปน้อย ขอ้ หา้ มเคร่งครดั 1. ขน้ั คกาเพอร์เฟคขนานระหวาางแนวเสยี งคกตา าา ง ๆ 2. ขน้ั คาเก พอร์เฟคคล้ายขนานระหวาางแนวนอกที่เกิดขา้ มห้อง (ยกเว้นท่เี คเดนซอ์ นุโลมให้ใช้ดด้) 3. การเว้นระยะแนวเสียงเกิน 1 ชาวงคากแปดระหวาางแนวโซปราโนกับแนวอัลโตและระหวาาง แนวอัลโตกับแนวเทเนอร์ 4. การเคลอ่ื นทานองเป็นระยะคกา 2 ออกเมนเทดในแนวนอน ข้อหา้ มท่ผี ่อนผันได้ 1. การล้าแนวเสยี งระหวาางคอรด์ 2. การล้าแนวเสียงภายในคอร์ด 3. การออกนอกชวา งเสยี งที่เหมาะสม 4. การกระโดดกว้างในแนวนอนของแนวอัลโตและเทเนอร์ 5. การกระโดดขน้ั คกสา ามเสียงซึง่ เกลาอยาา งถกก ต้องในแนวนอน 6. การดมเา กลาโนต้ ลดี ดงิ ดปยงั โนต้ โทนกิ แตดา ปโนต้ โดมินันทแ์ ทน

291 7. การทบโน้ตลดี ดงิ 8. การทบโน้ตตวั ที่ 5 9. การทบโนต้ พ้ืนตน้ 3 ครง้ั 10. การละโน้ตตวั ที่ 3 ตารางท่ี 6.1 แสดงถึงลาดับความสาคัญจากมากดปน้อยของข้อห้ามเครางครัดและข้อห้าม ทผ่ี าอนผันดด้ ผ้กศึกษาการประพันธ์เพลงควรนามาพิจารณาหากการเรยี บเรียงเสียงประสานส่ีแนวเสียง เกิดเหตุต้องละเว้นข้อห้ามบางประการ ควรยึดลาดับความสาคัญมากน้อยเป็นหลัก เชาน การเรียบเรียงเสียงประสานโดยการซ้าโน้ตพื้นต้น 3 ครั้งเพ่ือหลีกเลี่ยงขั้นคากเพอร์เฟคขนานระหวาาง แนวเสยี งตาา ง ๆ เปน็ ตน้ 1.14 การทบโนต้ การทบโน้ตคือการซ้าโน้ต มีความสาคัญตาอการเรียบเรียงเสียงประสานส่ีแนวเสียง เนื่องจากต้องเรียบเรียงโน้ตของคอร์ดให้ครบท้ัง 4 แนวเสียง ดด้แกา แนวโซปราโน แนวอัลโต แนวเทเนอร์ และแนวเบส แตาโน้ตในคอร์ดมาตรฐาน ดด้แกา คอร์ดเมเจอร์ คอร์ดดมเนอร์ คอร์ด ออกเมนเทด และคอร์ดดิมินิชท์ ประกอบโน้ตเพียง 3 ตัวเทาานั้น การเรียบเรียงโน้ตให้ครบทั้งส่ีแนว เสียงตอ้ งเพิ่มโน้ตข้ึนอีก 1 ตวั และต้องเป็นโนต้ จากโน้ต 3 ตวั ที่เป็นเสียงประสานในคอรด์ ดังกลาาว การทบโน้ตนิยมทบโน้ตพื้นต้นของคอร์ดเปน็ สวา นใหญายกเว้นคอรด์ ลดี ดิงของกุญแจเสยี ง การทบโน้ตมีแนวปฏิบัติท่ีหลากหลายพอสมควร ผก้ศึกษาการประพันธ์เพลงควรศึกษาการทบโน้ต สาหรับการเรียบเรียงเสียงประสานจากตาราที่เก่ียวข้องอยาางหลากหลายเพ่ือนามาเป็นแบบแผน การฝึกหัดเรียบเรยี งเสียงประสานและการเรียงเรียงเสยี งประสานสาหรบั ผลงานการประพันธ์เพลง มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ตารางท่ี 6.2 แนวปฏิบตั ิการทบโนต้ คอรด์ ความนิยมในการทบโน้ต คอร์ดเมเจอร์และคอร์ดดมเนอร์ในรกปคอร์ด 1. โน้ตพน้ื ตน้ พืน้ ต้น 2. โน้ตตวั ที่หา้ ของคอร์ด 3. โนต้ ตวั ที่สามของคอรด์ คอร์ดโทนิก คอร์ดซับโดมินันท์ และคอร์ด 1. โน้ตพ้ืนต้น โดมนิ นั ทใ์ นรกปพลกิ กลบั ขนั้ ท่ี 1 2. โน้ตตัวทหี่ า้ ของคอร์ด 3. โนต้ ตัวทส่ี ามของคอรด์ คอร์ดซุปเปอร์โทนิก คอร์ดซับมีเดียน คอร์ด 1. โนต้ ตัวที่สามของคอร์ด มีเดยี นในรปก พลกิ กลับขน้ั ที่ 1 2. โน้ตพน้ื ตน้

292 3. โนต้ ตวั ท่หี ้าของคอรด์ คอร์ดดิมินิชท์ และคอร์ดออกเมนเทดในรกป 1. โน้ตตวั ทส่ี ามของคอร์ด พน้ื ตน้ และรปก พลิกกลับขนั้ ท่ี 1 2. โนต้ พน้ื ต คอร์ดทบเจ็ดโดมินันท์ในรกปพื้นต้นกรณีละโน้ต โน้ตพ้ืนต้น ตวั ท่ี 5 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ตารางที่ 6.2 การทบโน้ตท่ีคานึงถึงการรักษาและเสริมสร้างบทบาทหน้าท่ีของคอร์ดน้ัน ๆ เป็นแนวปฏิบัติการทบโน้ตจากตารา “Techniques & Materials of Music From the Common Practice Period Through the Twentieth” โดยเบนจามิน และคณะ (Benjamin T., et all, 2003, p. 227) ตารางที่ 6.3 แนวปฏิบตั กิ ารทบโนต้ คอร์ด ให้พิจารณาทบโน้ต คอรด์ ในรกปพื้นต้น 1. โน้ตพ้นื ต้น 2. โน้ตตวั ท่ีสามของคอรด์ คอร์ดในรกปพื้นต้น ดมาทบโน้ตลีดดิง เชาน คอร์ด ดมิ ินชิ ทใ์ นรกปพื้นตน้ ดมาทบโนต้ พ้นื ตน้ เพราะเป็น โน้ตลีดดิงของกุญแจเสียง คอร์ดโดมินันท์ ดมาทบโน้ตตัวที่สามของคอร์ดเน่ืองจากเป็นโน้ต ลดี ดงิ ของกุญแจเสียง คอร์ดโดมินันท์รกปพ้ืนต้นดปคอร์ดมีเดียน ทบโนต้ ตวั ทีส่ ามของคอร์ดมีเดยี น รกปพน้ื ตน้ คอร์ดเมเจอร์และคอร์ดดมเนอร์รกปพลิกกลับ - นิยมทบโน้ตโซปราโน ดมาควรทบโน้ตลีดดิง ขั้นที่ 1 ในกรณีทเ่ี ปน็ โน้ตโซปราโน - เพื่อหลีกเล่ียงข้อห้ามตาาง ๆ ที่เกิดจากการทบ โน้ตโซปราโน นิยมทบโน้ตตัวท่ีสามของคอร์ด และโนต้ พนื้ ตน้ ตามลาดับ - หากโน้ตโซปราโนเป็นโน้ตตัวที่ห้าของคอร์ด ให้ทบโน้ตพื้นต้นหรือโน้ตตัวที่สามของคอร์ด เนื่องจากโน้ตตัวท่ีห้าเป็นโน้ตที่สาคัญน้อยที่สุด ของคอร์ด การทบโน้ตตัวท่ีห้าเป็นการให้

293 ความสาคัญกับโน้ตตัวที่ห้ามากกวาาโน้ตตัวอ่ืน และทาใหน้ า้ หนกั คอร์ดอาอนลง คอรด์ ดมิ นิ ชิ ทใ์ นรปก พลิกกลับขัน้ ท่ี 1 โน้ตตัวที่สามของคอรด์ คอรด์ ในรกปพลกิ กลับข้ันที่ 2 ทบโน้ตตัวใดก็ดด้ตามความเหมาะสมของการนา แนวเสียง ดมทา บโนต้ ลีดดิง มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง คอร์ดในรกปพลิกกลับขั้นท่ี 2 ท่ีมีบทบาทหน้าท่ี โน้ตตวั ท่หี ้าของคอรด์ เปน็ ลาดบั แรก ขยายคอร์ดอ่ืน เชาน บทบาทของเคเดนซ์ บทบาทของคอร์ดเสียงค้าง คอร์ดทบเจ็ดในรกปพื้นต้น กรณีที่ดมาสามารถใช้ ละโน้ตตัวท่ีห้าของคอร์ด ทบโน้ตพื้นต้น โนต้ ดดค้ รบ 4 ตวั ของคอร์ด หากดมาสามารถละโน้ตตัวที่ห้าของคอร์ดดด้ ใหพ้ จิ ารณาละโน้ตตัวท่สี ามของคอรด์ แทน คอร์ดทบเจ็ดในรกปพลิกกลับขั้นท่ี 1 กรณีท่ี ละโน้ตตัวที่หา้ ของคอร์ด ทบโน้ตพ้ืนต้นหรือโน้ต ดมสา ามารถใช้โน้ตดด้ครบ 4 ตวั ตวั ทส่ี ามของคอรด์ คอร์ดทบเจ็ดในรกปพลิกกลับข้ันท่ี 2 กรณีท่ี ละโน้ตตัวท่ีสามของคอร์ด ทบโน้ตพื้นต้น ดมสา ามารถใช้โนต้ ดด้ครบ 4 ตวั หรอื โนต้ ตวั ที่หา้ ของคอร์ด คอร์ดทบเจ็ดในรกปพลิกกลับขั้นที่ 3 กรณีที่ ละโน้ตตัวที่สามของคอร์ด ทบโน้ตพ้ืนต้น ดมสา ามารถใชโ้ นต้ ดดค้ รบ 4 ตวั หรือโน้ตตัวท่ีเจ็ดของคอร์ด หากดมาสามารถ ทบโน้ตตัวท่ีเจ็ดของคอรด์ ดด้ให้พิจารณาทบโน้ต ตัวที่สาม การทบโน้ตท่ีดมาเปน็ ดปตามหลักการเป็นเรื่องทผ่ี าอนผันดดเ้ สมอ ตารางที่ 6.3 แนวปฏิบัติการทบโน้ตของคอร์ดตาาง ๆ จากตารา “การเขียนเสียงประสาน สแ่ี นวเสยี ง” โดยศาสตราจารย์ ดร. ณชั ชา พันธเ์ จรญิ (ณัชชา พนั ธ์เุ จริญ, 2558, หนา้ 72 – 73, 82 – 83, 94 – 95, 97, 105, 108, 116 – 119) แนวปฏิบัติการทบโน้ตที่ดด้กลาาวมาข้างต้นผ้กศึกษาควรนาดปเป็นแบบแผนฝึกหัด เรียบเรียงเสียงประสานส่ีแนวดด้เป็นอยาางดียิ่ง ควรฝึกหัดจนเกิดทักษะ นอกจากเป็นประโยชน์ ตาอการเรียบเรียงเสียงประสานแล้วยังเป็นประโยชน์อยาางมากตาอการพัฒนาทักษะทางด้านทฤษฎี ดนตรีสากล หากการทบโน้ตในการเรียบเรียงเสียงประสานส่ีแนวเสียงดมาเป็นดปตามแนวทางตาาง ๆ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 294 ท่ีดด้กลาาวมา ผก้ศึกษาควรคานึงถึงความสอดคล้องกับข้อห้ามเครางครัด และข้อห้ามที่ผาอนผันดด้ เพ่ือความสมบกรณ์ของการเรียบเรยี งเสียงประสานส่ีแนวเสียง ตัวอยา่ งท่ี 6.41 การประพันธเ์ พลงส้าหรับการขับร้องประสานเสียงส่ีแนว ตัวอยาางท่ี 6.41 ผลงาน “An Wasserflussen Babylon, Chorale BWV 267” ประพันธ์ โดยบาค จังหวะที 4 ของห้องที่ 1 มีการทบโน้ตลีดดิง (F#) ระหวาางแนวอัลโตและเบส โน้ตลีดดิง แนวเบสเกลาสกาโน้ตโทนิก (G) ในจังหวะถัดดป สาวนโน้ตลีดดิงแนวอัลโตดมาเกลาในจังหวะถัดดปทันที แตาเคล่ือนลงตามขั้นสากโน้ต E กาอนเกลาสากโน้ตโทนิกบนจังหวะยกของจังหวะที่ 1 ห้องที่ 2 โน้ตลีดดิง เป็นโน้ตแนวโน้มต้องเกลาดปโน้ตโทนิกเม่ือเกลาสกาโน้ตโทนิกทาให้เกิดขั้นคกาขนาน 8 เพอร์ฟคทันที ควรหลกี เลี่ยงการทบโน้ตลีดดงิ หากมกี ารทบโนต้ ลดี ดงิ ต้องมีการเกลาอยาางเหมาะสมเสมอ การเรียบเรียงเสียงประสานสี่แนวเสียงมีหลักการแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานระดับสากล หากมีความเครงา ครดั มากเทาา ใดผลงานดังกลาาวยิ่งมีคุณภาพมากข้นึ เทาา นั้น สามารถประยุกตเ์ รียบเรียง เสียงประสานให้กับเครื่องดนตรี หรือวงดนตรีแตลา ะประเภทดด้ เนื่องจากมีความชัดเจนทงั้ ด้านทานอง และเสียงประสานท่ีเป็นดปตามหลักการของทฤษฎีดนตรีสากล ผก้ศึกษาการประพันธ์เพลงควรฝึก เรียบเรียงเสียงประสานสี่แนวเสียงให้กับการขับร้องประสานเสียงสี่แนวเป็นลาดับแรกจนเกิดทักษะ ควรศึกษาวิเคราะห์ผลงานการประพันธ์เพลงรกปแบบการขับร้องประสานเสียงส่ีแนวเสียง ของนักประพันธ์เพลงท่ีมีช่ือเสียงอยาางหลากหลาย พร้อมท้ังศึกษาการเขียนเสียงประสานสี่แนว จากตาราทีเ่ กี่ยวขอ้ งอยาางลึกซ้ึงเพือ่ นามาพฒั นาการเรยี บเรยี งเสยี งประสานของตนดด้อยาางดยี ่ิง การเรียบเรียงเสียงประสานส่ีแนวเสียงเป็นขั้นตอนการประพันธ์เพลงที่มีความสาคัญ สร้างความสมบกรณ์ให้กับผลงานการประพันธ์เพลงและสร้างคุณภาพของผลงานงานการประพันธ์ เพลงให้เป็นดปตามหลักการเสียงประสานของดนตรีสากล ถึงแม้วาาการเรียบเรียงเสียงประสานสี่แนว เสียงเป็นการเรียบเรียงเสียงประสานให้กับการขับร้องประสานเสียงสี่แนวเป็นหลัก ผ้กศึกษา การประพันธ์เพลงสามารถใช้เป็นฐานสาหรับการเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเคร่ืองดนตรี และวงดนตรีประเภทตาาง ๆ ดดเ้ ป็นอยาางดีย่ิง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 295 การเรยี บเรยี งเสยี งประสานให้กับเครื่องดนตรี การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเคร่ืองดนตรีเป็นขั้นตอนที่มีความสาคัญตาอการประพันธ์ เพลง สามารถกาหนดกรอบความคิดดด้ตั้งแตาชาวงต้นของการประพันธ์เพลงวาามีจุดประสงค์ ในการประพันธ์เพลงให้กับเครื่องดนตรีชนิดใดบรรเลง จากแรงบันดาลใจหรือความคิดสร้างสรรค์ ที่เกิดข้ึนของผ้กประพันธ์เพลง นักประพันธ์เพลงต้องมีความรก้เก่ียวกับเคร่ืองดนตรีที่นามาใช้ประพันธ์ เพลงท้ังด้านการบันทึกโน้ต ความเหมาะสมของเคร่ืองดนตรีแตาละชนิด รวมถึงลักษณะพิเศษ ความโดดเดานของเคร่ืองดนตรีแตาละชนิดด้วย ยิ่งมีความร้กความเข้าใจเครื่องดนตรีที่ต้องการนามาใช้ มากเทาา ใดก็สามารถสรา้ งสรรค์ความดพเราะเป็นที่นาาสนใจให้กับผลงานการประพันธเ์ พลงช้ินดังกลาาว ดด้เป็นอยาา งดี 1. ช่วงเสยี งและการบันทกึ โนต้ ชาวงเสียงของเคร่ืองดนตรีหมายถึงระยะระหวาางโน้ตที่มีระดับเสียงต่าสุดและโน้ต ทมี่ ีระดับเสียงสงก สุดของเครือ่ งดนตรแี ตาละชนิดท่ีสามารถบรรเลงดด้ ชาวงเสยี งของเครื่องดนตรีบางชนิด ขึ้นอยกากับความสามารถของผก้บรรเลงด้วย หากผ้กบรรเลงมีทักษะสกงสามารถบรรเลงโน้ตดด้ ในชาวงเสียงท่ีกว้างข้ึน เชาน ผก้บรรเลงทรัมเป็ตท่ีมีความสามารถสกงสามารถบรรเลงในชาวงเสียงกว้าง กวาาผก้เร่ิมฝึกหัดบรรเลงทรัมเป็ต เคร่ืองดนตรีบางชนิดมีชาวงเสียงมาตรฐาน เชาน เปียโน ฮาร์ปซิคอร์ด ออร์แกน เป็นต้น ผก้ศึกษาการประพันธ์เพลงต้องมีความรก้เก่ียวกับชาวงเสียงของเครื่องดนตรี แตาละชนิด โดยเฉพาะเคร่ืองดนตรีที่มีความต้องการนามาบรรเลงในผลงานการประพนั ธ์เพลง รวมทั้ง มคี วามรก้ด้านการบันทึกโน้ตสาหรับเคร่อื งดนตรแี ตาละชนิดควบคกากัน เครอื่ งดนตรตี าา งชนิดกนั เม่อื นามา บรรเลงผลงานการประพันธ์เพลงชนิ้ เดียวกนั สร้างอารมณ์ความรส้ก กึ ดดต้ าางกนั เกิดความดพเราะตาา งกนั ผ้กศึกษาการประพันธ์เพลงควรมีความร้กเกี่ยวกับชาวงเสียง และการบันทึกโน้ต ของเครื่องดนตรีประเภทเคร่ืองสาย (Strings) เคร่ืองลมดม้ (Woodwinds) เครื่องลมทองเหลือง (Brass) และเปียโน เป็นลาดับแรก เนื่องจากเป็นเครื่องดนตรีมาตรฐานของดนตรีสากลที่ใช้บรรเลง เดี่ยว และกลุาม ในลักษณะตาาง ๆ ดด้เป็นอยาางดี ถกกนามาใช้ในผลงานการประพันธ์เพลง ของนักประพนั ธ์เพลงท่มี ีช่อื เสียงอยาา งแพรหา ลาย 1.1 เปียโน เปียโน (Piano) จัดอยากในประเภทเครื่องดนตรีคีย์บอร์ด ชื่อเต็มวาา เปียโนฟอร์เต (Piano – forte) เป็นเคร่ืองดนตรีท่ีนักประพันธ์เพลงท่ีมีชื่อเสียงนิยมนามาใช้บรรเลงผลงานการประพันธ์ เพลง สามารถบรรเลงทานองและเสียงประสานควบคกากันดปดด้ เป็นเครื่องดนตรีที่นักประพันธ์เพลง นิยมใช้ชาวงประพันธ์เพลงเพื่อฟังเสียงตาาง ๆ ที่ตนประพันธ์ข้ึนแทนเสียงจริงของเคร่ืองดนตรี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 296 ชนิดตาาง ๆ ที่ตนต้องการนามาใช้ในผลงานการประพันธ์เพลง เน่ืองจากมีชาวงเสียงสกงต่าครอบคลุม สามารถบรรเลงเสียงประสานพร้อมกับทานองดด้ตามต้องการ สามารถบรรเลงดด้ด้วยตนเอง นักประพันธ์เพลงสาวนใหญาล้วนมีความสามารถบรรเลงเปียโนดด้เป็นอยาางดี บางรายเป็นนักบรรเลง เปียโนระดบั นกั ดนตรชี ้ันยอด (Virtuoso) ประพนั ธเ์ พลงสาหรับเปียโนดด้อยาา งยอดเย่ียม ตัวอยา่ งท่ี 6.42 ชว่ งเสยี งและการบันทกึ โน้ตเปียโน ตัวอยาางท่ี 6.42 ชาวงเสียงของเปียโนกว้างมาก ครอบคลุมระดับเสียงมาตรฐานที่ใช้ในดนตรี สากล บันทึกโน้ตบนบรรทัดห้าเส้นคกา เสียงที่ปรากฏเป็นระดับเสียงเดียวกับที่บันทึกโน้ต เปียโน ถกกนักประพันธ์เพลงที่มีชื่อเสียงนามาใช้ในรกปแบบการบรรเลงเดี่ยว กลาุม และบรรเลงประกอบ เครอื่ งดนตรีชนดิ อื่นอยาา งหลากหลาย 1.2 เคร่ืองสาย เครื่องสายมาตรฐานที่เป็นกลาุมหลักในวงดุริยางค์ซิมโฟนี ดด้แกา ดวโอลิน วิโอลา เชลโล และดับเบิลเบส เป็นเคร่ืองสายมาตรฐานท่ีนักประพันธ์เพลงใช้ในผลงานการประพันธ์เพลง ดดอ้ ยาา งหลากหลายท้ังการบรรเลงเดี่ยว ดนตรเี ชมเบอร์ และดนตรอี อรเ์ คสตรา เปน็ ตน้ ตัวอยา่ งที่ 6.43 ชว่ งเสียงและการบนั ทกึ โน้ตไวโอลนิ ตัวอยาางที่ 6.43 ชาวงเสียงดวโอลิน (Violin) บันทึกโน้ตบนบรรทัดห้าเส้นใช้กุญแจโซ มีชาวงเสยี งสกงท่สี ุดในเคร่ืองดนตรีตระกกลเคร่ืองสาย เสียงที่ปรากฏเป็นระดับเสยี งเดียวกับท่ีบนั ทึกโน้ต หากเป็นการบรรเลงแบบกลุามราวมกับเคร่ืองดนตรีประเภทเดียวกันหรือวงออร์เคสตรา นิยมบรรเลง ทานองหลัก เป็นเคร่ืองดนตรีท่ีสาคัญท่ีสุดในวงดุริยางค์ซิมโฟนี การบรรเลงดนตรีเชมเบอร์ประเภท เครื่องสายกลุามสี่ (String quartet) ดวโอลินทาหน้าที่เทียบดด้กับแนวเสียงโซปราโนในการขับร้อง ประสานเสียงสีแ่ นว

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 297 ตัวอย่างที่ 6.44 ชว่ งเสียงและการบันทกึ โน้ตวโิ อลา ตัวอยาางที่ 6.44 ชาวงเสียงวิโอลา (Viola) มีชาวงเสียงต่ากวาาดวโอลิน บันทึกโน้ตบนบรรทัด ห้าเส้นใช้กุญแจอัลโต บางคร้ังใช้กุญแจโซในกรณีท่ีเป็นกลุามโน้ตที่มีเสียงสกงกวาาปรกติ เสียงที่ปรากฏ เป็นระดับเสียงเดียวกับท่ีบันทึกโน้ต เป็นเครื่องดนตรีมาตรฐานวงดุริยางค์ซิมโฟนี สาวนใหญาทาหน้าที่ เทยี บดดก้ บั แนวเสยี งอลั โต ตวั อย่างท่ี 6.45 ช่วงเสยี งและการบันทึกโนต้ เชลโล ตวั อยาางท่ี 6.45 ชวา งเสียงดวโอลอนเชลโล (Violoncello) หรือเชลโล มีชาวงเสียงต่าเทียบดด้ กบั ระดบั เสียงเทเนอร์ บนั ทึกโน้ตบนบรรทัดหา้ เสน้ ใช้กญุ แจฟา บางครงั้ ใช้กุญแจเทเนอรแ์ ละกญุ แจโซ กรณีเป็นกลาุมโน้ตที่มีเสียงสกงกวาาปรกติ เสียงที่ปรากฏเป็นระดับเสียงเดียวกับท่ีบันทึกโน้ต เป็นเครอ่ื งดนตรมี าตรฐานวงดรุ ยิ างคซ์ ิมโฟนี ตวั อย่างที่ 6.46 ช่วงเสยี งและการบันทึกโนต้ ดบั เบลิ เบส ตัวอยาางท่ี 6.46 ชาวงเสียงดับเบิลเบส (Double bass) หรือคอนทราเบส (Contrabass) มีชาวงเสียงต่าท่ีสุดในกลาุมเครื่องสาย บันทึกโน้ตบนบรรทัดห้าเส้นใช้กุญแจฟา เป็นเคร่ืองดนตรี ทดเสียง (Transposition instrument) เนื่องจากเสียงที่ปรากฏเป็นระดับเสียงต่ากวาาระดับเสียง ท่บี นั ทกึ โนต้ เปน็ ระยะ 1 ชาวงคกแา ปด เป็นเครื่องดนตรีมาตรฐานวงดรุ ยิ างค์ซมิ โฟนี 1.2 เครือ่ งลมดม้ เครื่องลมดม้เป็นเคร่ืองดนตรีกลาุมหนึ่งในวงดุริยางค์ซิมโฟนี ประกอบด้วยเคร่ืองดนตรี หลกั 4 ชนดิ ดด้แกา ฟลตก โอโบ คลาริเนต็ และบาสซนก (ณชั ชา พนั ธ์เุ จริญ, 2554, หน้า 416) เคร่ืองลม ดม้อีกประเภทท่ีนิยม คือ เคร่ืองลมดม้ตระกกลแซกโซโฟน เชาน โซปราโนแซกโซโฟน อัลโตแซกโซโฟน เทเนอร์แซกโซโฟน และบาริโทนแซกโซโฟน พบดด้บาอยครั้งในลักษณะวงแซกโซโฟนกลุามสี่ (Saxophone quartet) วงเคร่ืองเป่าทองเหลือง วงโยธวาทิต เครื่องดนตรีตระกกลแซกโซโฟน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 298 ดมาจัดอยากในกลาุมเครื่องลมดม้ของวงดุริยางค์ซิมโฟนี นักประพันธ์เพลงใช้เครื่องลมดม้ชนิดตาาง ๆ ในผลงานการประพันธ์เพลงดดอ้ ยาางหลากหลายทัง้ การบรรเลงเดยี่ ว ดนตรีเชมเบอร์ เปน็ ต้น ตัวอย่างที่ 6.47 ชว่ งเสียงและการบนั ทึกโนต้ ฟลูต ตัวอยาางที่ 6.47 ชาวงเสียงฟลกต (Flute) เป็นชาวงเสียงของเครื่องลมดม้ที่มีระดับเสียงสกงสุด ในวงดุริยางค์ซมิ โฟนีมาตรฐาน บันทึกโนต้ บนบรรทัดห้าเส้นใช้กญุ แจโซ เสียงทีป่ รากฏเป็นระดับเสียง เดยี วกับทบ่ี ันทึกโนต้ ตัวอยา่ งท่ี 6.48 ชว่ งเสียงและการบันทกึ โนต้ โอโบ ตัวอยาางที่ 6.48 ชาวงเสียงโอโบ (Oboe) เป็นชาวงเสียงของเครื่องลมดม้ที่มีระดับเสียงสกง รองจากฟลกตในวงดุริยางค์ซิมโฟนีมาตรฐาน บันทึกโน้ตบนบรรทัดห้าเส้นใช้กุญแจโซ เสียงที่ปรากฏ เป็นระดบั เสียงเดียวกบั ท่บี นั ทกึ โน้ต ตวั อยา่ งที่ 6.49 ชว่ งเสยี งและการบันทึกโนต้ คลารเิ น็ต ตัวอยาางที่ 6.49 ชาวงเสียงคลาริเน็ตบีแฟล็ต (B Clarinet) เป็นชาวงเสียงของเครื่องลมดม้ ในวงดุริยางค์ซิมโฟนีมาตรฐาน บันทึกโน้ตบนบรรทัดห้าเส้นใช้กุญแจโซ เป็นเครื่องดนตรีทดเสียง เสียงจริงจะต่ากวาาโน้ตที่บันทึกเป็นระยะคกา 2 เมเจอร์ คลาริเน็ตมีหลายชนิด เชาน คลาริเน็ตอีแฟล็ต (E Clarinet) คลารเิ นต็ เอ (A Clarinet) เปน็ ต้น ตัวอยา่ งท่ี 6.50 ช่วงเสยี งและการบันทกึ โนต้ บาสซูน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 299 ตัวอยาางที่ 6.50 ชาวงเสียงบาสซกน (Bassoon) เป็นชาวงเสียงของเคร่ืองลมดม้ท่ีมีระดับเสียง ต่าสุดในวงดุริยางค์ซิมโฟนีมาตรฐาน บันทึกโน้ตบนบรรทัดห้าเส้นใช้กุญแจฟา บางครั้งใช้กุญแจ เทเนอร์กรณเี ปน็ กลุมา โน้ตทมี่ เี สยี งสกงกวาา ปรกติ เสียงท่ีปรากฏเป็นระดับเสียงเดยี วกบั ท่ีบนั ทึกโน้ต ตัวอยา่ งท่ี 6.51 ช่วงเสยี งและการบนั ทึกโน้ตโซปราโนแซกโซโฟน ตวั อยาางที่ 6.51 ชาวงเสยี งโซปราโนแซกโซโฟน (Soprano saxophone) เปน็ ชาวงเสยี งสงก สุด ของเครื่องลมดม้กลุามแซกโซโฟน บันทึกโน้ตบนบรรทัดห้าเส้นใช้กุญแจโซ เป็นเครื่องดนตรีทดเสียง เสียงจรงิ ตา่ กวาาโน้ตที่บนั ทกึ เป็นระยะคกา 2 เมเจอร์ สามารถเทยี บดดก้ บั แนวเสยี งโซปราโน ตวั อยา่ งท่ี 6.52 ชว่ งเสยี งและการบนั ทกึ โน้ตอลั โตแซกโซโฟน ตัวอยาางที่ 6.52 ชาวงเสียงอัลโตแซกโซโฟน (Alto saxophone) เป็นชาวงเสียงรองจาก โซปราโนแซกโซโฟน บันทึกโน้ตบนบรรทัดห้าเส้นใช้กุญแจโซ เป็นเคร่ืองดนตรีทดเสียง เสียงจริงต่า กวาาโน้ตทบ่ี ันทึกเปน็ ระยะคาก 6 เมเจอร์ สามารถเทียบดด้กับแนวเสยี งอลั โต ตวั อย่างท่ี 6.53 ช่วงเสยี งและการบนั ทกึ โนต้ เทเนอร์แซกโซโฟน ตัวอยาางที่ 6.53 ชาวงเสียงเทเนอร์แซกโซโฟน (Tenor saxophone) เป็นชาวงเสียง รองจากอัลโตแซกโซโฟน นิยมบันทึกโน้ตบนบรรทัดห้าเส้นใช้กุญแจโซ เป็นเครื่องดนตรีทดเสียง เสียงจริงต่ากวาา โนต้ ท่ีบันทึกเปน็ ระยะคาก 9 เมเจอร์ สามารถเทียบดดก้ ับแนวเสยี งเทเนอร์ ตัวอย่างที่ 6.54 ช่วงเสียงและการบันทึกโน้ตบารโิ ทนแซกโซโฟน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 300 ตัวอยาางท่ี 6.54 ชาวงเสียงบาริโทนแซกโซโฟน (Baritone saxophone) เป็นชาวงเสียง รองจากเทเนอร์แซกโซโฟน นิยมบันทึกโน้ตบนบรรทัดห้าเส้นใช้กุญแจโซ เป็นเครื่องดนตรีทดเสียง เสียงจริงตา่ กวาาโนต้ ทบ่ี นั ทึกเป็นระยะคกา 13 เมเจอร์ สามารถเทยี บดด้กบั แนวเสียงเบส 1.3 เคร่อื งลมทองเหลือง เครื่องลมทองเหลืองเป็นเครอ่ื งดนตรีกลุามหนง่ึ ในวงดรุ ิยางค์ซิมโฟนี ประกอบดว้ ยเครื่อง ดนตรหี ลัก 4 ชนิด ดดแ้ กา เฟร็นช์ฮอร์น ทรัมเป็ต ทรอมโบน และทบก า (ณชั ชา พันธุ์เจรญิ , 2554, หน้า 44 - 45) เครื่องลมทองเหลืองอีก 2 ชนิดที่นิยม คือ ยกโฟเนียม และบาริโทนฮอร์น พบดด้บาอยครั้งใน ลักษณะวงเคร่ืองเป่าทองเหลือง วงโยธวาทิต วงเครื่องลม ยกโฟเนียมและบาริโทนฮอร์น ดมาจัดอยากในกลาุมเคร่ืองลมทองเหลืองของวงดุริยางค์ซิมโฟนี นักประพันธ์เพลงใช้เครื่องลมทองเหลือง ชนิดตาาง ๆ ในผลงานการประพันธ์เพลงดด้อยาางหลากหลายทั้งการบรรเลงเด่ียว ดนตรีเชมเบอร์ และดนตรอี อรเ์ คสตรา เป็นตน้ ตวั อยา่ งที่ 6.55 ช่วงเสียงและการบนั ทึกโนต้ เฟร็นช์ฮอร์น ตัวอยาางที่ 6.55 เฟร็นช์ฮอร์น (French horn in F) เป็นเคร่ืองลมทองเหลืองในวงดุริยางค์ ซิมโฟนี เรียกสั้น ๆ วาา ฮอร์น ชื่อเฟร็นช์ฮอร์นเป็นชื่อที่ชาวอังกฤษเรียกเพื่อให้แตกตาางจากฮอร์น เยอรมัน (ณัชชา พันธ์เจริญ, 2554, หน้า 140 – 141) นิยมบันทึกโน้ตบนบรรทัดห้าเส้นใช้กุญแจโซ บางคร้ังใช้กุญแจโซกรณีเป็นกลุามโน้ตมีเสียงสกงกวาาปรกติ เป็นเคร่ืองดนตรีทดเสียง เสียงจริงต่ากวาา โน้ตที่บันทึกเป็นระยะคกา 5 เพอร์เฟค เฟร็นช์ฮอร์นเอฟเป็นมาตรฐานทใ่ี ช้ในวงดุริยางค์ซิมโฟนีปัจจุบัน ในอดีตเฟร็นช์ฮอร์นมีความหลากหลาย เชาน เฟร็นช์ฮอร์นซี (French horn in C) เฟร็นช์ฮอร์นบี (French horn in B) เฟร็นช์ฮอร์นอีแฟล็ต (French horn in Es) เฟร็นช์ฮอร์นดี (French horn in D) เป็นตน้ ตวั อยา่ งที่ 6.56 ช่วงเสียงและการบันทกึ โน้ตทรัมเป็ต ตัวอยาางที่ 6.56 ชาวงเสียงทรัมเป็ต (Trumpet B ) นิยมบันทึกโน้ตบนบรรทัดห้าเส้น ใช้กุญแจโซ เป็นเครื่องดนตรีทดเสียง เสียงจริงต่ากวาาโน้ตท่ีบันทึกเป็นระยะคกา 2 เมเจอร์ ทรัมเป็ต มีหลายชนิด เชาน พิคโคโลทรัมเป็ต (Piccolo trumpet) ทรัมเป็ตอีแฟล็ต (E ทรัมเป็ต) ทรัมเป็ต

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 301 ซี (Trumpet C) และทรัมเป็ตบีแฟล็ต ทรัมเป็ตบีแฟล็ตเป็นเครื่องลมทองเหลืองมาตรฐาน ในวงดุรยิ างค์ซิมโฟนี ตวั อยา่ งท่ี 6.57 ชว่ งเสียงและการบันทกึ โน้ตทรอมโบน ตัวอยาางที่ 6.57 ชาวงเสียงเทเนอร์ทรอมโบน (Tenor trombone) นิยมบันทึกโน้ต บนบรรทัดห้าเส้น ใช้กุญแจฟา บางครั้งใช้กุญแจเทเนอร์กรณีเป็นกลุามโน้ตท่ีมีเสียงสกงกวาาปรกติ เสียงที่ปรากฏเป็นระดับเสียงเดียวกับที่บันทึกโน้ต ทรอมโบนมีหลายชนิด เชาน อัลโตทรอมโบน เทเนอรท์ รอมโบน เบสทรอมโบน เป็นตน้ ในวงดุริยางค์ซมิ โฟนีใชเ้ ทเนอร์ทรอมโบน เป็นหลัก ตัวอย่างท่ี 6.58 ชว่ งเสียงและการบนั ทกึ โนต้ ทูบา ตัวอยาางท่ี 6.58 ชาวงเสียงทกบา (Tuba) นิยมบันทึกโน้ตบนบรรทัดห้าเส้นใช้กุญแจฟา เสียงท่ปี รากฏเปน็ ระดบั เสยี งเดียวกบั ทบ่ี ันทกึ โน้ต เป็นเคร่ืองดนตรใี นวงดรุ ิยางซมิ โฟนี ตวั อยา่ งท่ี 6.59 ชว่ งเสียงและการบนั ทึกโนต้ ยโู ฟเนียม ตัวอยาางท่ี 6.59 ยกโฟเนียม (Euphonium) เป็นเคร่ืองลมทองเหลืองอีกชนิดท่ีนิยม พบดด้บาอยครั้งในการรวมวงเครื่องทองเหลือง วงโยธวาทิต นิยมบันทึกโน้ตบนบรรทัดห้าเส้น ใช้กุญแจฟา บางคร้ังใช้กญุ แจเทเนอร์กรณีเป็นกลาุมโน้ตท่ีมีเสียงสงก กวาา ปรกติ เสียงท่ีปรากฏเป็นระดับ เสียงเดียวกับท่บี ันทกึ โน้ต ดมจา ดั เปน็ เครื่องดนตรใี นวงดรุ ยิ างซิมโฟนี ตัวอยา่ งที่ 6.60 ชว่ งเสยี งและการบันทกึ โน้ตบารโิ ทนฮอรน์ (ระบบอเมรกิ ัน) ตัวอยาางที่ 6.60 บาริโทนฮอร์น (Baritone horn) เป็นเครื่องลมทองเหลืองอีกชนิดท่ีนิยม พบดด้บาอยคร้ังในการรวมวงเครื่องทองเหลือง วงโยธวาทิต สามารถบันทึกโน้ตดด้ 2 ระบบ คือ ระบบ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 302 อเมริกัน และระบบอังกฤษ ระบบอเมริกันบันทึกโน้ตบนบรรทัดห้าเส้นใช้กุญแจฟา บางคร้ังใช้กุญแจ เทเนอร์กรณีเป็นกลุามโน้ตที่มีเสียงสกงกวาาปรกติ เสียงที่ปรากฏเป็นระดับเสียงเดียวกับที่บันทึกโน้ต ระบบอังกฤษ บันทึกโน้ตบนบรรทัดห้าเส้นใช้กุญแจโซ และเป็นเครื่องดนตรีทดเสียง เสียงจริงต่ากวาา โนต้ ทบี่ ันทกึ เป็นระยะคกา 9 เมเจอร์ ดมจา ัดเปน็ เครือ่ งดนตรีในวงดุรยิ างค์ซิมโฟนี ตวั อยา่ งที่ 6.61 ช่วงเสียงและการบนั ทกึ โนต้ บาริโทนฮอร์น (ระบบอังกฤษ) ตัวอยาางท่ี 6.61 ชาวงเสียงและการบันทึกโน้ตบาริโทนฮอร์นระบบอังกฤษ บันทึกโน้ตบน บรรทัดห้าเสน้ ใช้กญุ แจโซ เปน็ เคร่อื งดนตรีทดเสียง เสยี งจริงต่ากวาาโนต้ ที่บนั ทกึ เปน็ ระยะคาก 9 เมเจอร์ การบรรเลงวงเครื่องทองเหลืองของอังกฤษในอดีตใช้บาริโทนฮอร์นราวมบรรเลง ผก้บรรเลงใช้การอาาน โนต้ ทรมั เปต็ บีแฟล็ตแลว้ ทดเสียงลงเป็นระยะ 1 ชวา งคกาแปด 2. การเรยี บเรยี งเสียงประสานให้กบั เครือ่ งดนตรจี ากเสียงประสานในรปู แบบคอร์ด การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเครื่องดนตรสี ามารถเรียบเรียงจากคอร์ดหรือทรัยแอดดด้ โดยคานึงถึงรกปคอร์ดให้สอดคล้องกับชาวงเสียงของเคร่ืองดนตรีให้เหมาะสม พิจารณาจากการวาง ตาแหนางของโน้ตในคอร์ด โน้ตตัวลาางสุดของคอร์ดในรกปใด ๆ ควรใช้เคร่ืองดนตรีท่ีมีชาวงเสียงต่าที่สุด โน้ตตัวบนสุดของคอร์ดในรปก ใด ๆ ควรใช้เครอ่ื งดนตรีทีม่ ีชาวงเสียงสกงท่ีสุด และโน้ตตัวกลางของคอร์ด ในรกปใด ๆ ควรใช้เครื่องดนตรีที่มีชาวงเสียงกลาง อาจเร่ิมด้วยเครื่องดนตรีกลุามเดียวกันกาอน เป็นลาดับแรก ตัวอยา่ งที่ 6.62 การเรียบเรียงเสียงประสานใหก้ บั เครอ่ื งดนตรจี ากเสยี งประสานในรปู แบบคอรด์ ตวั อยาา งที่ 6.62 โนต้ ตัวบนสดุ ของคอรด์ ใชด้ วโอลนิ โนต้ ตัวกลางใช้วโิ อลา และโนต้ ตัวลาา งสุด ใช้เชลโล ดมาวาาคอร์ดจะอยากในรกปใดก็ตาม เป็นการคานึงถึงความเหมาะสมของชาวงเสียงเครื่องดนตรี เป็นหลัก ดวโอลินมีชาวงเสียงสกงกวาาวิโอลา วิโอลามีชาวงเสียงรองจากดวโอลินแตาสกงกวาาเชลโล การใช้เครอื่ งดนตรีกลามุ เดยี วกันทาให้เสยี งประสานมีความกลมกลนื กันเข้ากันดด้ดี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 303 ตัวอย่างที่ 6.63 การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเครื่องดนตรีจากเสียงประสานในรูปแบบคอร์ด ส้าหรบั กล่มุ เครอื่ งดนตรีประเภทเดยี วกนั ตัวอยาางท่ี 6.63 เคร่ืองดนตรีประเภทเดียวกันสร้างความกลมกลืนของสีสันเสียงดด้ดี ควรคานึงถึงความเหมาะสมของชวา งเสียงเครื่องดนตรีเป็นหลกั โน้ตตัวบนสุดของคอรด์ ใช้เครื่องดนตรี ที่มีชาวงเสียงสกงสุดในกลาุม โน้ตตัวกลางใช้เคร่ืองดนตรีที่มีชาวงเสียงรองลงมา และโน้ตตัวลาางสุด ใชเ้ คร่ืองดนตรที ่มี ีชาวงเสียงตา่ ท่ีสุด ตัวอย่างท่ี 6.64 การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเคร่ืองดนตรีจากเสียงประสานในรูปแบบคอร์ด ส้าหรบั กลมุ่ เคร่อื งดนตรตี า่ งประเภท ตวั อยาางท่ี 6.64 เครอ่ื งดนตรตี าา งประเภท สรา้ งความหลากหลายสสี นั เสยี งดดด้ ี ควรคานึงถึง ความเหมาะสมของชาวงเสยี งเครื่องดนตรีเป็นหลัก โน้ตตัวบนสุดของคอร์ดใช้เครื่องดนตรีท่มี ีชาวงเสียง สกงสุดในกลาุม โน้ตตัวกลางใช้เคร่ืองดนตรีที่มีชาวงเสียงรองลงมา และโน้ตตัวลาางสุดใช้เครื่องดนตรี ท่ีมีชาวงเสยี งต่าทีส่ ดุ 3. การเรยี บเรียงเสยี งประสานให้กับเครอื่ งดนตรจี ากเสยี งประสานสแ่ี นวเสยี ง เสียงประสานสี่แนวเสียงสามารถประยุกต์กับการเรียบเรียงเสียงประสานให้กบั เครื่องดนตรี ดด้เป็นอยาางดี มีความชัดเจนด้านทานองแนวนอนและเสียงประสานแนวต้ังตามหลักการ แ น ว เ สี ย ง โ ซ ป ร า โ น ค ว ร ใ ช้ เ ค ร่ื อ ง ด น ต รี ที่ มี ชา ว ง เ สี ย ง สก ง สุ ด ห รื อ ท า ห น้ า ท่ี ด า เ นิ น ท า น อ ง ห ลั ก และเป็นแนวเสียงที่สาคัญที่สุด แนวเสียงอัลโตควรใช้เคร่ืองดนตรีที่มีชาวงเสียงรองจากเคร่ืองดนตรี แนวโซปราโนทาหน้าที่ดาเนินทานองสอดประสานหรือดาเนินเสียงประสานของคอร์ด แนวเสียง เทเนอรค์ วรใช้เคร่อื งดนตรที ี่มชี าวงเสียงรองจากเคร่ืองดนตรีอลั โตทาหน้าท่ีดาเนินทานองสอดประสาน หรือดาเนินเสียงประสานของคอร์ด แนวเสียงเบสควรใช้เครื่องดนตรีท่ีมีชาวงเสียงต่าสุด สร้างความสาคัญให้กับเสียงประสานและเป็นแนวเสียงท่ีสาคัญรองจากแนวเสียงโซปราโน อาจเริ่ม ด้วยเครอื่ งดนตรีกลมาุ เดยี วกันกอา นเปน็ ลาดับแรกเพอื่ ความกลมกลืนเขา้ กันดด้ดีของสีสนั เสียง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 304 ตัวอย่างท่ี 6.65 การเรยี บเรียงเสียงประสานใหก้ บั เคร่ืองดนตรีจากเสยี งประสานสแ่ี นวเสยี ง ตัวอยาางที่ 6.65 การเรียบเรยี งเสยี งประสานใหก้ ับเคร่ืองดนตรจี ากเสียงประสานส่แี นวเสยี ง ควรใช้เครื่องดนตรีท่ีมีชาวงเสียงสกงในแนวโซปราโน ใช้เครื่องดนตรีท่ีมีชาวงเสียงรองลงมาหรือเทาากัน ในแนวอัลโต เชาน ดวโอลินสามารถบรรเลงแนวโซปราโนและอัลโตดด้ ใช้เครื่องดนตรีท่ีมีชาวงเสียง รองลงมาหรือเทาากันจากเครื่องดนตรีแนวอัลโตในแนวเทเนอร์ และใช้เคร่ืองดนตรีที่มีชาวงเสียงต่าสุด ในแนวเบส เคร่ืองดนตรีในกลาุมเดยี วกันบางชนิดสามารถบรรเลงในชวา งเสยี งเดยี วกันดด้ ตัวอยา่ งที่ 6.66 การเรยี บเรยี งเสียงประสานใหก้ ับเคร่อื งดนตรีจากเสยี งประสานสแี่ นวเสียง ตัวอ ยาาง ท่ี 6.66 ผ ลงา น “Ach wie fluchtig, ach wie nichtig, Chorale BWV 26” ประพันธ์โดยบาค เป็นผลงานประพันธ์เพลงในรกปแบบการขับร้องสี่แนว ดด้แกา โซปราโน อัลโต เทเนอร์ และเบส ประยุกต์กับการเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเครื่องสาย โดยใช้ดวโอลิน แนวโซปราโนและอลั โต วิโอลาในแนวเทเนอร์ และเชลโลในแนวเบส

305 ตัวอยา่ งที่ 6.67 การเรยี บเรียงเสยี งประสานใหก้ ับเครื่องดนตรีจากเสยี งประสานสี่แนวเสยี ง ตัวอยาางท่ี 6.67 ผลงาน “Nun freut euch lieben Christen gemein, Chorale BWV 307” ประพันธ์โดยบาค เป็นผลงานประพันธ์เพลงในรกปแบบการขับร้องส่ีแนว ดด้แกา โซปราโน อัลโต เทเนอร์ และเบส ประยุกต์กับการเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเครื่องลมดม้และเครื่องลมทองเหลือง โดยใช้ฟลกตในแนวโซปราโน โอโบในแนวอัลโต คลาริเน็ตในแนวเทเนอร์ และเฟร็นช์ฮอร์นกับบาสซกน ในแนวเบส เฟร็นช์ฮอร์นนิยมนามาบรรเลงราวมกับเคร่ืองลมดม้เนื่องจากมีสีสันเสียงที่กลมกลืนเข้ากัน ดด้อยาา งดพเราะ ตัวอย่างที่ 6.68 การเรียบเรียงเสียงประสานใหก้ บั เครอื่ งดนตรจี ากเสียงประสานสี่แนวเสยี ง มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 306 ตั ว อ ยา า ง ท่ี 6.68 ผ ล ง า น “Nun sich der Tag geendet hat, Chorale BWV 396” ประพันธ์โดยบาค เป็นผลงานประพันธ์เพลงในรกปแบบการขับร้องสี่แนว ดด้แกา โซปราโน อัลโต เทเนอร์ และเบส ประยุกต์กับการเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเคร่ืองลมทองเหลือง โดนใช้ทรัมเป็ต แนวโซปราโน เฟรน็ ชฮ์ อรน์ แนวอัลโต ทรอมโบนแนวเทเนอร์ และทกบาแนวเบส การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเคร่ืองดนตรีจากเสียงประสานสี่แนวเสียงสามารถ เรียบเรียงให้เคร่ืองดนตรีจานวน 4 ช้ิน หรือมากกวาาดด้ ควรใช้เคร่ืองดนตรีให้เหมาะสมกับชาวงเสียง แตาละแนว หากใช้เคร่ืองดนตรี 5 ชิ้น อาจบรรเลงแนวเบส 2 เครื่องในลักษณะคกา 8 เพอร์เฟค เป็นสาวนใหญา การขนานคาก 8 เพอร์เฟคสาหรับการบรรเลงเครื่องดนตรีเป็นเรื่องปรกติท่ีเกิดขึ้น อยาางบาอยคร้ังในการบรรเลงรวมวงเครื่องดนตรี ตาางจากการเรียบเรียงเสียงประสานเสียงส่ีแนวเสียง เปน็ ขอ้ ห้ามเครงา ครดั ผ้ก ศึ ก ษ า ก า ร ป ร ะ พั น ธ์ เ พ ล ง ค ว ร ใ ห้ ค ว า ม ส า คั ญ กั บ ก า ร เ รี ย บ เ รี ย ง เ สี ย ง ป ร ะ ส า น ให้กับเคร่ืองดนตรีจากเสียงประสานสี่แนวเสียง การเรียบเรียงเสียงประสานสี่แนวเสียงเป็นการ เรียบเรียงทานองและเสียงประสานท่ีมีความสมบกรณ์ เป็นฐานสาหรับการเรียบเรียงเสียงประสาน ให้กับเคร่ืองดนตรีดด้เป็นอยาางดียิ่ง อาจมีการปรับเปลี่ยนเพ่ือความเหมาะสมบ้างในบางกรณี เชาน การทดเสียงให้เหมาะสมกับเครื่องดนตรี การปรับชาวงคกาแปดให้เหมาะสมกับเคร่ืองดนตรี การขนานคกา 8 ในแนวโซปราโนหรือแนวเบสในบางชาวง เป็นต้น ควรศึกษาผลงานการเรียบเรียงเสียงประสาน ให้กับเครือ่ งดนตรีจากผลงานการประพนั ธเ์ พลงที่มีชือ่ เสียงอยาางหลากหลาย เชาน ผลงานการประพนั ธ์ เพลงประเภทวงเครื่องสายกลมุา สาม เครื่องสายกลุามส่ี วงเครื่องลมดม้กลมุา ห้า วงเคร่ืองทองเหลืองกลุาม ห้า เป็นต้น เพื่อนามาใช้เป็นแนวทางสาหรับการฝึกหัดเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเครื่องดนตรี เปน็ แรงบันดาลใจสร้างสรรคผ์ ลงานดดเ้ ป็นอยาางดี 4. การเรียบเรยี งเสียงประสานให้กับเครอื่ งดนตรีจากทานองแนวเดยี ว การเรียบเรียงเสียงประสานใ ห้กับเครื่องดนตรีจากทานองแนวเดียวผ้กศึกษา ควรเรยี บเรียงเสียงประสานสี่แนวเสียงให้กับแนวทานองแนวเดียวให้เสร็จสมบรก ณ์กาอนเป็นลาดับแรก จากนั้นเรยี งเสียงประสานใหก้ ับเคร่ืองดนตรีโดยใช้แนวปฏบิ ัติเชนา เดยี วกับการเรียบเรียงเสียงประสาน ใหก้ บั เครอ่ื งดนตรจี ากเสยี งประสานสีแ่ นวเสยี ง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 307 ตัวอย่างที่ 6.69 การเรยี บเรียงเสยี งประสานให้กบั เครือ่ งดนตรจี ากทา้ นองแนวเดียว ตัวอยาางท่ี 6.69 การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเครื่องดนตรีจากทานองแนวเดียว ควรเริ่มจากการเรียบเรียงเสียงประสานสี่แนวเสียงให้กับทานองแนวเดียวเป็นลาดับแรก ตาอมา เรียบเรียงเสียงประสานให้กับเครื่องดนตรี การเรียบเรียบเสียงประสานส่ีแนวเสียงให้กับทานอง แนวเดียวสร้างความสมบกรณ์ให้กับทานองและเสียงประสาน เม่ือนามาเรียบเรียงเสียงประสาน ให้กับเครื่องดนตรีควรรักษารกปเดิมดว้ อาจมีการสลับแนวทานองหลักดปอยกาในแนวเสียงเคร่ืองดนตรี อน่ื ดด้ แตาตอ้ งคานึงถึงความชัดเจน ความนาาสนใจและความดพเราะ การเรยี บเรยี งเสียงประสานสี่แนวเสยี งเปน็ ฐานท่สี าคัญตาอการเรียบเรียงเสียงประสานให้กับ เคร่ืองดนตรี มีความสมบกรณ์ของทานองและเสียงประสานท้ังแนวต้ังและแนวนอนมีความดพเราะ เม่ือนามาเรียบเรียงเสียงประส านให้กับเครื่องดนตรี สามารถสร้างความดพเราะดด้ดี ผ้กศึกษาการประพันธ์เพลงควรเรียบเรียงเสียงประสานส่ีแนวเสียงเป็นฐานสาหรับการเรียบเรียงเสียง ประสานให้กับเครื่องดนตรีจนเกิดทักษะ ควรศึกษาวิเคราะห์ผลงานการประพันธ์เพลงสาหรับ เคร่ืองดนตรีชนิดตาาง ๆ จากผลงานการประพันธ์เพลงที่มีช่ือเสียงอยาางหลากหลายเพื่อนามา เป็นแบบแผนการฝึกหัดการเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเครื่องดนตรีและเป็นแรงบันดาลใจ สร้างสรรค์ผลงานการประพันธ์เพลง นักประพั นธ์เพลงแตาละรายมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในการเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเคร่ืองดนตรี ผ้กศึกษาควรศึกษาวิเคราะห์และฟังเสียงการใช้ เครือ่ งดนตรีชนิดตาา ง ๆ ดว้ ยความตงั้ ใจ สังเกตอารมณ์ความรกส้ ึกท่ีดด้จากการใชเ้ ครอ่ื งดนตรีแตลา ะชนิด รวมทัง้ ชวา งเสยี งของเครอื่ งดนตรแี ตาละชนดิ ใหอ้ ารมณ์ความรสก้ ึกเชนา ใด

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 308 การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเครื่องดนตรีท่ีดด้กลาาวมาข้างต้นเป็นพ้ืนฐานสาหรับ ผ้กศึกษาการประพันธเ์ พลง หากต้องการศึกษาอยาางลึกซ้ึงจาเป็นต้องศกึ ษาการเรียบเรียงเสียงวงดนตรี (Orchestration) ควบคกากนั เป็นศาสตร์ที่วาา ด้วยการกาหนดเครื่องดนตรีในวงดนตรีสาหรับแตาละแนว ของบทเพลงและกฎเกณฑ์การเรียบเรียงเสียงท่ีเหมาะสม เพื่อนามาใช้กับการประพันธ์เพลง การประพันธ์เพลงต้องใช้ทักษะทางดนตรีหลายด้าน ท้ังทักษะทฤษฎีดนตรี โสตทักษะ ทักษะ ด้านสังคีตลักษณ์และการวิเคราะห์ ประวัตศิ าสตร์ดนตรี เปน็ ตน้ เพอ่ื นามาใชใ้ นการประพันธเ์ พลง การเรยี บเรยี งเสยี งประสานใหก้ ับวงดนตรี การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับวงดนตรีประเภทตาาง ๆ มีความสาคัญตาอการประพันธ์ เพลง ผลงานการประพันธ์เพลงชิ้นเดียวกันเม่ือนามาเรียบเรียงเสียงประสานให้กับวงดนตรี ตาางประเภทให้อารมณ์ความร้กสึกและอรรถรสตาางกัน เป็นศาสตร์และศิลปะอีกประเภทท่ีผก้ศึกษา การประพันธ์เพลงต้องศึกษาและฝึกหัดเพื่อนามาใช้ในการประพันธ์เพลง ควรศึกษาการเรียบเรียง เสียงประสานใหก้ ับวงดนตรีมาตรฐานสากลให้เกิดทกั ษะ เพื่อการสรา้ งสรรค์ผลงานการประพนั ธเ์ พลง ให้มีคุณภาพและมีความหลากหลาย การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับวงดนตรีเป็นอีกขั้นตอนหน่ึง สาหรับการประพันธ์เพลง ผก้ศึกษาการประพันธ์เพลงสามารถนาผลงานการประพันธ์เพลงในลักษณะ ตาาง ๆ เชาน การประพันธ์ทานองแนวเดียว การเรียบเรียงเสียงประสานสี่แนวเสียงเป็นฐานสาหรับ การเรยี บเรยี งเสยี งประสานให้กบั วงดนตรีประเภทตาาง ๆ ดดเ้ ปน็ อยาางดี 1. การเรยี บเรียงเสียงประสานใหก้ ับการบรรเลงเด่ยี วทไ่ี มม่ เี คร่อื งดนตรีบรรเลงประกอบ การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับการบรรเลงเด่ียวท่ีดมามีเครื่องดนตรีบรรเลงประกอบ เป็นการบรรเลงโดยเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียว อาจใช้เครื่องดนตรีที่สามารถบรรเลงทานอง ดด้เพียงอยาางเดียว เชาน เคร่ืองลมดม้ เครื่องลมทองเหลอื ง เป็นต้น หรือเครื่องดนตรีที่สามารถบรรเลง ทานองและเสียงประสานดปพร้อม ๆ กันดด้ เชาน เครื่องสาย เคร่ืองคีย์บอร์ด เป็นต้น ผ้กศึกษ า การประพันธ์เพลงต้องมีความร้กความเข้าใจเกี่ยวกับเคร่ืองดนตรีชนิดนั้น ๆ กาอนเป็นลาดับแรก ทั้งในด้านสีสันเสียง ชาวงเสียง วิธีการบรรเลง ลักษณะพิเศษ เป็นต้น เพ่ือเป็นประโยชน์ ตาอการเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเครื่องดนตรีชิ้นดังกลาาวบรรเลงดด้อยาางสมบกรณ์ มีความดพเราะ เปน็ ท่นี าา สนใจ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 309 ตัวอยา่ งที่ 6.70 ผลงานการบรรเลงเด่ียวฟลตู ตัวอยาางท่ี 6.70 ผลงาน “Flute Partita in A Minor BWV 1013” ประพันธ์โดยบาค เป็นการบรรเลงฟลกตโดยดมามีเคร่ืองดนตรีบรรเลงประกอบ ถึงแม้วาาเป็นแนวทานองแนวเดียว แตาแสดงถึงเสียงประสานอยาางชัดเจน การให้ความสาคัญกับการใช้โน้ตสาคัญในจังหวะเน้น แสดงถึงการดาเนินคอร์ดดด้อยาางชัดเจน ห้องท่ี 1 มีการใช้โน้ต A ในจังหวะเน้น การใช้โน้ตในคอร์ด โทนิกมาดาเนินทอง การใช้โน้ตลีดดิง (G#) แสดงความเป็นดมเนอร์แบบฮาร์โมนิก การวางทานอง ในรกปแบบดังกลาาวสร้างความสาคัญใหก้ ับกุญแจเสียงดด้อยาางชัดเจน ห้องท่ี 2 ใช้โน้ตสาคัญบนจังหวะ เน้นรวมทั้งการใช้โน้ตในคอร์ดแสดงถึงเสียงประสานเสริมสร้างการดาเนินเสียง ประสานที่ควบคกา กับการดาเนินทานอง มีการหักหลับทิศทางของทานองและการเกลาของโน้ตแนวโน้มเพื่อสร้าง ความสมดลุ และน้าหนักการเคลอ่ื นทใ่ี ห้กบั ทานอง ผ้กศึกษาการประพันธ์เพลงควรเรียบเรียงเสียงประสานให้กับการบรรเลงเด่ียวที่ดมามี เคร่ืองดนตรีบรรเลงประกอบต้องให้ความสาคัญกับการดาเนินทานองเป็นพิเศษ นอกจากใช้หลักการ ของการดาเนินทานองแนวนอนต้องคานึงถึงองค์ประกอบด้านเสียงประสานควบคกากับการดาเนิน ทานองด้วย เชาน การให้ความสาคัญกับโน้ตในจังหวะเน้นโดยคานึงถึงเสียงประสานในรกปแบบคอร์ด อาจเป็นโน้ตพ้ืนต้นของคอร์ดหรือโน้ตในคอร์ดเพื่อสร้างความรก้สึกการดาเนินของเสียงประสาน การใช้โน้ตในคอร์ดในแนวทานองเพ่ือเสริมสรา้ งลักษณะของเสียงประสานให้มีการขบั เคล่ือนดปพร้อม กับทานองเพื่อความสมบรก ณ์ของเพลง ตวั อยา่ งท่ี 6.71 ผลงานการเดีย่ วเชมบาโล ตัวอยาางท่ี 6.71 ผลงาน “Prelude Fugue and Allegro for Lute or Cembalo BWV 998” ประพันธ์โดยบาค เป็นผลงานการเดี่ยวลกทหรือเชมบาโล (Cembalo) เชมบาโลหรือ ฮาร์ปซิคอร์ดสามารถนาเสนอแนวทานองและเสียงประสานดปพร้อมกันดด้ การเรียบเรียง เสียงประสานสามารถเรียบเรียงเสียงประสานดด้โดยปรกติเสริมสร้างความชัดเจนของเสียงประสาน และการดาเนินเสียงประสานมากย่ิงข้ึน การคานึงถึงการขับเคล่ือนเสียงประสานในแนวทานอง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 310 โดยการให้ความสาคัญกับโน้ตในจังหวะเน้น อาจเป็นโน้ตพื้นต้นของคอร์ดหรือโน้ตในคอร์ดเพ่ือสร้าง ความร้กสึกการดาเนินของเสียงประสาน การใช้โน้ตในคอร์ดในแนวทานองสร้างความชัดเจนให้กับ เสียงประสานเสริมสร้างให้เกิดความสมบรก ณข์ องทานองและเสียงประสานดด้อยาา งดี 2 การเรียบเรยี งเสียงประสานให้กับการบรรเลงเด่ยี วท่มี กี ารบรรเลงประกอบ การบรรเลงเดี่ยวที่มีเคร่ืองดนตรีบรรเลงประกอบ เป็นผลงานการประพันธ์เพลงสาหรับ การบรรเลงเครื่องดนตรี 2 ช้ินที่มีเครื่องดนตรีช้ินหน่ึงมีความโดดเดานในการบรรเลง อีกชิ้นบรรเลง เปียโนประกอบ (piano accompaniment) การขับร้องกับเครื่องดนตรีบรรเลงประกอบ เป็นต้น การบรรเลงลักษณะดังกลาาว นิยมเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเคร่ืองดนตรีท่ีมีบทบาทหน้าที่เด่ียว มีความโดดเดาน ด้านการนาเสนอทานองหลัก หรือแสดงทักษะความสามารถท่ีโดดเดาน สาวนเคร่ืองดนตรีบรรเลงประกอบนิยมนาเสนอเสียงประสานรองรับ เพื่อให้ทานองและเสียงประสาน เกิดความสมบรก ณ์ ตวั อย่างท่ี 6.72 ผลงานการบรรเลงเดย่ี วท่ีมกี ารบรรเลงประกอบ ตัวอยาา งที่ 6.72 ผลงาน “Violin Sonata No. 21 in E Minor for Violin and Keyboard K 304” ประพันธ์โดยโมสาร์ท ดวโอลินมีบทบาทหลักนาเสนอแนวทานอง โดยเปียโนบรรเลง บทบาทเสียงประสานประกอบเพอ่ื ใหเ้ พลงเกิดความสมบกรณ์ท้ังทานองและเสยี งประสาน เคร่ืองดนตรีบรรเลงเด่ียวที่มีการบรรเลงประกอบสามารถนาเสนอแนวความคิด อารมณ์ ความร้กสึก รวมท้ังทักษะของผก้บรรเลงดด้อยาางเต็มท่ีเน่ืองจากมีเคร่ืองดนตรีบรรเลงเสียงประสาน ประกอบ การบรรเลงเด่ียวท่ีมีการบรรเลงประกอบนิยมใช้กับเคร่ืองดนตรีชนิดตาาง ๆ ท่ีดมาสามารถ บรรเลงเสียงประสานดปพร้อมกับทานองดด้ หรือบรรเลงเสียงประสานดปพร้อมกับทานองดด้แตาอาจ ดมาสมบกรณ์เทาาใดนัก การใช้เคร่ืองดนตรีที่สามารถบรรเลงเสียงประสานดด้บรรเลงประกอบ ทาให้การบรรเลงเดี่ยวสามารถแสดงทักษะของผก้บรรเลง แนวความคิด อารมณ์ความร้กสึก ด ด้ อ ยา า ง เ ต็ ม ที่ โ ด ย มี เ ค รื่ อ ง ด น ต รี บ ร ร เ ล ง เ สี ย ง ป ร ะ ส า น ป ร ะ ก อ บ เ พื่ อ ค ว า ม ส ม บก ร ณ์ ข อ ง เ พ ล ง เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดโดยเฉพาะเปียโนเป็นท่ีนิยมนามาบรรเลงประกอบให้กับเครื่องดนตรี เดย่ี วชนดิ ตาาง ๆ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 311 ผ้กศึกษาการประพันธ์เพลงควรเร่ิมฝึกหัดเรียบเรียงเสียงประสานการบรรเลงเดี่ยว ท่ีมีการบรรเลงประกอบโดยใช้เครื่องดนตรีท่ีตนมีความรก้ทักษะการปฏิบัตินามาเป็นเคร่ืองเดี่ยว และใช้เปียโนเป็นเคร่ืองดนตรีบรรเลงประกอบ ควรศึกษาวิเคราะห์ผลงานการประพันธ์เพลง ลักษณะการบรรเลงเดี่ยวที่มีการบรรเลงประกอบจากผลงานการประพันธ์เพลงของนักประพันธ์เพลง ทม่ี ีชอื่ เสียงนามาเป็นแบบแผนฝึกหดั เป็นแรงบันดาลใจสร้างสรรคผ์ ลงานการประพนั ธ์เพลง 3 การเรยี บเรยี งเสยี งประสานให้กับการบรรเลงคู่ การบรรเลงคาก (Duet) หรือบทเพลงบรรเลงคาก เป็นการบรรเลงโดยนักดนตรี 2 คน อาจใช้ เครือ่ งดนตรีชนดิ เดียวกนั หรอื ตาางชนิดกันกด็ ด้ สวา นใหญามีบทบาทหน้าทีส่ าคัญเทาา ๆ กนั เคร่อื งดนตรี ที่ใช้อาจเป็นเคร่ืองดนตรีที่ดมาสามารถบรรเลงทานองและเสียงประสานดปพร้อมกันดด้ทั้ง 2 ช้ิน หรือเคร่ืองใดเครื่องหนึ่ง หรอื สามารถบรรเลงเสยี งประสานดปพร้อมกับทานองดด้ทัง้ 2 ชิ้น ตัวอย่างท่ี 6.73 การเรยี บเรยี งเสยี งประสานให้กับการบรรเลงคู่ ตวั อยาางที่ 6.73 ผลงาน “Minuetto quasi allegretto from Duo for Two Flute Woo 26” ประพันธ์โดยเบโธเฟน ใช้ฟลกต 2 ตัวบรรเลง ฟลกตแนวหน่ึงเสนอแนวทานอง สาวนฟลกต อีกแนวหนง่ึ นาเสนอเสยี งประสาน และทานองสอดประสาน สลับสบั เปลีย่ นบทบาทหนา้ ที่กันดปตลอด ทั้งเพลง มีบทบาทความสาคัญเทาา ๆ กัน การประสานเสียงในแนวตั้งปรากฏในรกปเสียงประสานแบบ ขั้นคากสร้างการขับเคล่ือนของเสียงประสานดด้เน่ืองจากการดาเนินเสียงประสานประเภทข้ันคกาในระบบ อิงกุญแจเสียงมคี อร์ดเปน็ นยั อยากเบ้ืองหลงั เสมอ เครื่องดนตรีที่ดมาสามารถบรรเลงเสียงประสานดปพร้อมกับทานองเม่ือนามาเรียบเรียงเสียง ประสานให้กับการบรรเลงคกาสามารถสร้างเสียงประสานให้ควบคกาดปกับทานองดด้ เสริมสร้าง ความสมบกรณ์ให้กับเพลง การดาเนินเสียงประสานรกปแบบขั้นคการะบบอิงกุญแจเสยี งมีคอร์ดเป็นนัยอยาก เบ้ืองหลังเสมอ การใช้ข้ันคกาโดยคานึงถึงเสียงประสานในรกปแบบคอร์ดสามารถเสริมสร้าง เสียงประสานให้เกิดความสมบกรณ์มากย่ิงข้ึน ควรให้ความสาคัญกับบทบาทหน้าที่ของการดาเนิน ทานองหลัก การสร้างเสียงประสาน การสอดประสานทานอง ให้กับเครื่องดนตรีท้ัง 2 ชิ้นเทาา ๆ กัน มกี ารสลบั สบั เปล่ียนบทบาทหน้าท่ีเพื่อความสมดุลของทั้ง 2 แนวเสยี ง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 312 4. การเรยี บเรียงเสียงประสานใหก้ ับวงกลมุ่ สาม วงกลุามสาม (Trio) เป็นการบรรเลงสาหรับนักดนตรี 3 คน เป็นเครื่องดนตรีชนิดเดียวกัน หรือตาางกันดด้ เป็นประเภทหนึ่งของดนตรีเชมเบอร์ เครื่องดนตรีท้ัง 3 ชิ้นมีบทบาทความสาคัญ ด้านการนาเสนอทานองหลัก ทานองสอดประสาน และเสียงประสาน การสลับบทบาทกันระหวาาง เครอ่ื งสร้างความสมดลุ ความดพเราะและความสมบรก ณ์ดดด้ ี ตวั อย่างท่ี 6. 74 การเรียบเรียงเสียงประสานใหก้ ับวงกลมุ่ สาม ตัวอยาางท่ี 6.74 ผลงาน “Allegro con brio from String Trio No. 1 in E Major for Violin Viola and Violoncello Op. 3” ประพันธ์โดยเบโธเฟน เป็นรวมวงเครื่องสายกลุามสาม หรือวงสตริงทรีโอ ประกอบดว้ ย ดวโอลิน เชลโล และวิโอลา เครอื่ งสายท้ัง 3 ชิ้นมีการสลับสับเปล่ียน การดาเนินทานองหลัก ทานองสอดประสาน และเสยี งประสาน สร้างความสมดุลให้กับเพลง ดวโอลิน มีบทบาทสาคัญในแนวเสียงสกงสุดเทียบดด้กับแนวโซปราโนและแนวอัลโต วิโอลามีบทบาทนาเสนอ ในแนวเสียงกลางเทียบดด้กับแนวอัลโตและแนวเทเนอร์ เชลโลมีบทบาทสาคัญในการนาเสนอ ในแนวเสียงต่าสุดเทียบดด้กับแนวเทนอร์และเบส มีการใช้ข้ันคากขนาน 8 เพอร์เฟคระหวาางแนวเสียง ของเครื่องดนตรี เชาน วิโอลาบรรเลงทานองเดียวกับดวโอลินแตามีระดับเสียงต่ากวาาเป็นระยะคกา 8 มีการใช้ข้ันคกาขนาน 15 เพอร์เฟคระหวาางแนวดวโอลินกับเชลโล เป็นต้น ขั้นคกาขนาน 8 เพอร์เฟค หรือ 15 เพอร์เฟคสามารถใช้ดด้กับการเรียบเรียงเสียงประสานให้กับเครื่องดนตรีสามารถสร้าง ความชดั เจนใหก้ บั ทานองดด้ ตาา งกับการเรียบเรยี งเสียงประสานสแ่ี นวเสยี งสาหรับการขบั รอ้ งประสาน เสียงสแ่ี นวเปน็ ขอ้ ห้ามเครงา ครัด การรวมวงสตริงทรีโอที่นิยมมี 2 ลักษณะ คือ ดวโอลิน 2 คนกับวิโอลา หรือดวโอลิน วิโอลา และเชลโล (ณัชชา พันธ์ุเจริญ, 2554, หน้า 363 – 364) เคร่ืองดนตรีประเภทเคร่ืองสาย สามารถบรรเลงทานองและเสียงประสานดปพร้อมกันดด้ แตาก็มีข้อจากัดบางประการ การรวมวง เครื่องสายควรคานึงถึงการประสานเสียงแตาละแนวเข้าด้วยกัน เมื่อดวโอลินมีบทบาทดาเนินทานอง หลัก วิโอลาควรบรรเลงเสียงประสานหรือทานองสอดประสาน เชลโลควรบรรเลงเสียงประสาน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 313 แนวต่าสุด ควรสลับสับเปล่ียนบทบาทหน้าท่ีกันในเพลงเพื่อความสุมดุล หากเคร่ืองสายชิ้นใดบรรเลง ทานองหลกั เครื่องสายอกี 2 ชิ้น ควรบรรเลงทานองสอดประสานหรอื เสยี งประสาน เปน็ ต้น ตัวอยา่ งท่ี 6.75 การเรียบเรยี งเสยี งประสานให้กบั วงกล่มุ สาม ตวั อยาา งท่ี 6.75 ผลงาน “Andante from Piano Trio No. 39 in G Major Hob XV/25” ประพันธ์โดยดฮเดิน ใช้เคร่ืองดนตรี 3 ชนิดในการรวมกลุาม ดด้แกา เปียโน ดวโอลิน และเชลโล ดวโอลิน มีการบรรเลงทานองแนวโซปราโนของการบรรเลงเปียโน เชลโลบรรเลงแนวเบสของเปี ยโน สาวนเปียโนบรรเลงทั้งแนวทานองหลัก แนวเบส และเสียงประสาน การบรรเลงทานองหลัก ของดวโอลินกับเปียโนมีการสลับบทบาทกันอยากเสมอ สร้างความสมดุลให้กับเพลง การรวมวงเปียโน กับเครื่องดนตรีชนิดอื้นอีก 2 ช้ิน เรียกวาาเปียโนทรีโอหรือวงเปียโนกลุามสาม นิยมใช้เปียโน ดวโอลิน และเชลโล ตวั อย่างที่ 6.76 การเรยี บเรียงเสียงประสานใหก้ บั วงกลมุ่ สาม ตัวอยาางที่ 6.76 ผลงาน “Andante fromTrio for Piano Clarinet and viola No. 4 K 498” ประพันธ์โดยโมสาร์ท ใช้เคร่ืองดนตรี 3 ชนิด ดด้แกา เปียโน คลาริเน็ต และวิโอลา เปียโน มีบทบาทนาเสนอทานองหลัก ทานองสอดประสาน เสียงประสาน เสยี งประสานในแนวเบส คลาริเน็ต

314 มีบทบาทนาเสนอทานองหลักเชานเดียวกับเปียโน วิโอลามีบทบาทนาเสนอทานองสอดประสาน และเสียงประสานแนวเสียงกลาง บางชาวงบรรเลงทานองเดียวกับเปียโน เคร่ืองดนตรีทั้ง 3 ชนิด มีการสลับสับเปล่ียนบทบาทหน้าท่ีกันเพ่ือความสมดุลของเพลง โดยเฉพาะคลาริเน็ตกับเปียโน มกี ารสลบั บทบาทบรรเลงทานองหลักกนั อยาเก สมอ การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับวงกลาุมสามผก้ศึกษาการประพันธ์เพลงควรคานึงถึง การใช้เครื่องดนตรีให้เหมาะสม หากใช้เครื่องดนตรีท้ัง 3 ชิ้นเป็นเครื่องดนตรีที่ดมาสามารถสร้างเสียง ประสานดปพร้อมกับทานองดด้ควรให้ความสาคัญกับการสร้างเสียงประสานควบคกากัน เคร่ืองดนตรี ชิ้นหน่ึงบรรเลงทานองหลัก เคร่ืองดนตรีอีก 2 ช้ินควรบรรเลงทานองสอดประสานหรือเสียงประสาน เพ่ือให้เกิดความสมบกรณ์ของทานองและเสียงประสาน ควรพิจารณาแนวเสียงให้เหมาะสม กับเครื่องดนตรี ควรมีเครื่องดนตรีท่ีบรรเลงแนวเสียงสกงสุดเป็นแนวโซปราโนและอัลโต เคร่ืองดนตรี แนวเสียงกลางเป็นแนวอัลโตและเทเนอร์ และเครื่องดนตรีแนวเสียงต่าเป็นแนวเทเนอร์และแนวเบส การใช้เคร่ืองดนตรีที่สามารถบรรเลงทานองและเสียงประสานดปพร้อมกันดด้ เชาน เครื่องดนตรี ประเภทคีย์บอร์ดชาวยให้เสียงประสานมีความสมบกรณ์ครอบคลุมมากย่ิงข้ึน เครื่องดนตรีอีก 2 ช้ิน มีอิสระในการบรรเลงมากขึ้น 5. การเรียบเรียงเสียงประสานให้กบั วงกลมุ่ ส่ี วงกลาุมส่ี (Quartet) เป็นการบรรเลงของนักดนตรี 4 คน เครื่องดนตรีชนิดเดียวกัน หรือตาางกันดด้ เป็นดนตรีเชมเบอร์ที่นิยมกันมากท่ีสุด การใช้เครื่องดนตรี 4 ชิ้นสร้างความสมดุล ให้กับทานองและเสียงประสานดด้อยาางดีเชานเดียวกับการขับร้องประสานเสียงสี่แนว สามารถ เรียบเรียงแนวเสียงดด้เป็นแนวโซปราโน แนวอัลโต แนวเทเนอร์และแนวเบสดด้อยาางชัดเจน และเปน็ อิสระจากกนั ดด้ดี สามารถใช้เครือ่ งดนตรดี ดอ้ ยาางหลากหลาย ตัวอย่างท่ี 6.77 การเรียบเรยี งเสยี งประสานให้กบั วงกลุ่มสี่ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 315 ตัวอยาางที่ 6.77 ผลงาน “Allegro moderato from String Quartet in C Major Op. 3 No. 33” ประพันธ์โดยดฮเดิน ใช้ดวโอลิน 2 ตัว วิโอลาและเชลโล โดยดวโอลิน 1 และ 2 มีบทบาท นาเสนอทานองในแนวเสียงสกงเทียบดด้กับแนวโซปราโนและอัลโต ดวโอลิน 1 มีบทบาทนาเสนอทานอง หลักเป็นสาวนใหญา ดวโอลิน 2 มีบทบาทบรรเลงทานองสอดประสานและเสียงประสานท่ีมีระดับเสียง ต่ากวาาดวโอลิน 1 วิโอลามีบทบาทนาเสนอทานองสอดประสานและเสียงประสานในแนวเสียงกลาง เทียบดด้กับแนวเทเนอร์ บางชาวงบรรเลงทานองเดียวกับดวโอลิน 2 แตามีระดับเสียงต่ากวาาเป็นระยะคาก 8 เชลโลมีบทบาทนาเสนอทานองสอดประสานและเสียงประสานแนวเสียงต่าเทียบดด้กับแนวเบส เครื่องสายท้ัง 4 ชิ้น มีการสลับบทบาทหน้าท่ีเพื่อสร้างความสมดุลของเพลง การรวมวงเครื่องสาย กลาุมส่ีเป็นที่นิยมของการประพันธ์เพลง นักประพันธ์เพลงท่ีมีชื่อเสียงตาางผลิตผลงานการประพันธ์ เพลงประเภทนี้ดดอ้ ยาา งดพเราะนาาประทบั ใจเต็มดปดว้ ยคุณคาาทางดนตรี ตวั อยา่ งที่ 6.78 การเรยี บเรยี งเสียงประสานให้กับวงกลุ่มส่ี ตัวอยาางที่ 6.78 ผลงาน “Flute Quartet in D Major K. 285” ประพันธ์โดยโมสาร์ท ใช้ฟลกตนาเสนอทานองหลักในแนวเสียงสกงสุดเทียบดด้กับแนวโซปราโน ดวโอลินมีบทบาทนาเสนอ ทานองสอดประสานและเสียงประสาน บางชาวงบรรเลงทานองเดียวกับฟลกตตาางกันเป็นระยะคาก 8 เทยี บดดก้ ับแนวเสียงอัลโต วิโอลามบี ทบาทนาเสนอทานองสอดประสานและเสียงประสานเทยี บดด้กับ แนวเสียงเทเนอร์ เชลโลมีบทบาทนาเสนอทานองสอดประสานและเสียงประสานแนวต่าสุดเทียบดด้ กับแนวเบส

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 316 ตวั อย่างท่ี 6.79 การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับวงกลุ่มสี่ ตัวอยาางท่ี 6.79 ผลงาน “Piano Quartet No. 3 in C Major Woo 36 No. 3” ประพันธ์ โดยเบโธเฟน เปียโนมีบทบาทโดดเดานท้ังด้านการนาเสนอทานองแนวเสียงสกงสุดและเสียงประสาน ดวโอลินมีบทบาทนาเสนอแนวทานองหลักบางชาวง ทานองสอดประสาน และเสียงประสาน บางชาวง บรรเลงทานองเดียวกับเปียโนแตาบรรเลงชาวงเสียงต่ากวาา 1 ชาวงคากแปดเทียบดด้กับแนวอัลโต วิโอลา มีบทบาทนาเสนอทานองสอดประสานและเสียงประสานเทียบดด้กับแนวเทเนอร์ เชลโลมีบทบาท นาเสนอทานองสอดประสานและเสียงประสานแนวเสียงต่าสุดเทยี บดด้กบั แนวเบส การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับวงกลาุมสี่ผ้กศึกษาการประพันธ์เพลงควรคานึงถึง การใช้เคร่ืองดนตรีให้เหมาะสม หากใช้เคร่ืองดนตรีท้ัง 4 ชิ้นเป็นเครื่องดนตรีที่ดมาสามารถสร้างเสียง ประสานดปพร้อมกับทานองดด้ควรให้ความสาคัญกับการสร้างเสียงประสานควบคากกัน เครือ่ งดนตรีชิ้น หน่ึงบรรเลงทานองหลัก เครื่องดนตรีอีก 3 ช้ินควรบรรเลงทานองสอดประสานหรือเสียงประสาน เพื่อให้เกิดความสมบกรณ์ของทานองและเสียงประสาน ควรพิจารณาแนวเสียงให้เหมาะสม กับเครื่องดนตรี ควรมีเครื่องดนตรีที่บรรเลงแนวเสียงสกงสุดเป็นแนวโซปราโน เคร่ืองดนตรีบรรเลง แนวอัลโต เคร่ืองดนตรีบรรเลงแนวเทเนอร์ และเคร่ืองดนตรีแนวเบสเพ่ือความสมดุลของทานอง และเสียงประสาน การใช้เครื่องดนตรีท่ีสามารถบรรเลงทานองและเสียงประสานดปพร้อมกันดด้ เชาน เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดชาวยให้เสียงประสานมีความสมบกรณ์ครอบคลุมมากย่ิงขึ้น เครื่องดนตรีอกี 3 ชน้ิ มอี ิสระในการบรรเลงมากข้นึ ผก้ ศึ ก ษ า ผ ล ง า น ก า ร ป ร ะ พั น ธ์ เ พ ล ง ค ว ร ศึ ก ษ า วิ เ ค ร า ะ ห์ ผ ล ง า น ก า ร ป ร ะ พั น ธ์ เ พ ล ง การรวมวงกลมุา สี่จากผลงานของนกั แตางเพลงที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะผลงานการรวมวงเครื่องสายกลมาุ สี่ มีความเหมาะสมตาอการนามาเป็นแบบแผนการฝึกหัดเรียบเรียงเสียงประสานให้กับการรวมวงกลุามสี่

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 317 เป็นอยาางมาก นักประพันธ์เพลงหลายราย เชาน ดฮเดิน โมสาร์ท เบโธเฟน ชกเบิร์ต ชกมันน์ เป็นต้น ตาางประพันธ์เพลงการรวมวงเครื่องสายกลุามสี่อยาางดพเราะ นาาประทับใจเต็มดปด้วยคุณคาาเหมาะสม กับการนามาศึกษาวิเคราะห์เพื่อเป็นประโยชน์ตาอการศึกษาการ ประพันธ์เพลงเป็นแรงบันดาล สร้างสรรคผ์ ลงานการประพนั ธเ์ พลงดด้อยาา งดีย่ิง 6. การเรยี บเรียงเสยี งประสานให้กับวงกลมุ่ ห้า วงกลาุมห้า (Quintet) เป็นการรวมกลุามวงดนตรีท่ีประกอบด้วยนักดนตรี 5 คน ใช้เคร่ืองดนตรีชนิดใดก็ดด้ เป็นประเภทหน่ึงของดนตรีเชมเบอร์ การใช้เครือ่ งดนตรี 5 ช้ิน สร้างความ สมดุลให้กับทานองและเสียงประสานดด้อยาางดีเชานเดียวกับการขับร้องประสานเสียงสี่แนว สามารถ เรียบเรียงแนวเสียงดด้เป็นแนวโซปราโน แนวอัลโต แนวเทเนอร์และแนวเบสดด้อยาางชัดเจน และเป็นอิสระจากกันดดด้ ี สามารถเพ่ิมเคร่ืองดนตรแี นวอลั โตหรือแนวเทเนอร์เพ่ือการบรรเลงทานอง สอดประสานดด้อสิ ระมากขึน้ และเสียงประสานท่ชี ดั เจนข้นึ ใช้เครอื่ งดนตรีดดอ้ ยาางหลากหลาย ตัวอย่างที่ 6.80 การเรยี บเรยี งเสียงประสานใหก้ ับวงกลุม่ หา้ ตัวอยาางท่ี 6.80 ผลงาน “Larghetto – Allegro from String Quintet in D Major K. 593” ประพันธ์โดยโมสาร์ท เป็นผลงานการประพันธ์เพลงสาหรับวงเครื่องสายกลุามห้า ประกอบด้วย ดวโอลิน 2 ตัว วิโอลา 2 ตัว และเชลโล ดวโอลิน 1 มีบทบาทนาเสนอทานองหลักในแนวเสียงสกงสุด ดวโอลิน 2 มีบทบาทนาเสนอทานองสอดประสาน และเสียงประสานแนวเสียงต่ากวาาดวโอลิน 1 บางชวา งบรรเลงทานองเดียวกับดวโอลิน 1 แตาตาางกันเป็นระยะคกา 8 วิโอลา 1 มีบทบาทนาเสนอทานอง สอดประสานและเสียงประสานบรรเลงแนวเสียงต่ากวาาดวโอลิน 2 สาวนวิโอลา 2 มีบทบาทนาเสนอ ทานองสอดประสานและเสียงประสานแนวเสียงต่ากวาาวิโอลา 1 บางชาวงบรรเลงทานองเดียว

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 318 กับวิโอลา 1 แตาตาางกันเป็นระยะคาก 8 เชลโลมีบทบาทนาเสนอทานองสอดประสานและเสียงประสาน แนวเสยี งต่าสุด ตวั อย่างที่ 6.81 การเรยี บเรียงเสยี งประสานให้กับวงกล่มุ ห้า ตัวอยาางท่ี 6.81 ผลงาน “Largo – Allegro moderato from Quintet for Piano and Winds in E Flat Major K. 452” ประพันธ์โดยโมสาร์ท เป็นผลงานการรวมวงกลุามห้า ประกอบดว้ ย เปียโน โอโบ คลาริเน็ต บาสซกน และเฟร็นช์ฮอร์น เปียโนมีบทบาทการนาเสนอทานอง เสียงประสาน เป็นหลักเป็นแนวต่าสุดแนวเบส โอโบมีบทบาทนาเสนอทานองแนวเสียงสกงสุด ทานองสอดประสาน และเสยี งประสาน บางชาวงบรรเลงทานองเดยี วกบั เปียโนแตาบรรเลงตาางชวา งคกา 8 คลาริเน็ตมีบทบาทบรรเลงทานองสอดประสาน และเสียงประสาน บางชาวงบรรเลงทานอง เดียวกับโอโบ เฟร็นฮอร์นกับบาสซกนมีบทบาทบรรเลงทานองสอดประสาน และเสียงประสาน แนวเสียงต่ากวาาคลาริเน็ต บางชาวงบรรเลงทานองเดียวกัน บางชาวงบาสซกนบรรเลงชาวงเสียงสกง กวาาเฟร็นช์ฮอร์น บางชาวงเฟร็นช์ฮอร์นบรรเลงสกงกวาาบาสซกน เครื่องดนตรีแตาละชนิดมีการสลับ สบั เปลยี่ นการนาเสนอสรา้ งความสมดุลใหก้ ับเพลง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 319 ตัวอย่างที่ 6.82 การเรยี บเรยี งเสียงประสานให้กับวงกล่มุ ห้า ตัว อยาางท่ี 6.82 ผลงาน “Larghetto from Clarinet Quintet in A Major K. 581” ประพันธ์โดยโมสาร์ท เป็นผลงานการประพันธ์เพลงรกปแบบการรวมวงกลาุมห้า ประกอบด้วย คลาริเน็ต ดวโอลิน 2 ตัว วิโอลาและเชลโล คลาริเน็ตมีบทบาทนาเสนอทานองหลัก ทานอง สอดประสาน และเสียงประสานแนวเสียงสกงสลับสับเปลี่ยนกับดวโอลิน 1 มีบทบาทนาเสนอทานอง หลักและทานองสอดประสาน และเสียงประสานเชานเดียวกับคลาริเน็ต ดวโอลิน 2 มีบทบาทนาเสนอ ทานองสอดประสาน และเสียงประสานแนวเสียงต่ากวาาดวโอลิน 1 วิโอลามีบทบาทนาเสนอทานอง สอดประสานและเสียงประสานแนวเสียงต่ากวาาดวโอลิน 2 เชลโลมีบทบาทนาเสนอทานอง สอดประสานและเสียงประสานแนวเสียงต่าสุด บทบาทหน้าที่แตาละเคร่ืองดนตรีมีการสลับสับเปลี่ยน สรา้ งความสมดุลของเพลง การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับวงกลุามห้าผก้ศึกษาการประพันธ์เพลงควรคานึงถึงการใช้ เคร่ืองดนตรีให้เหมาะสม หากใช้เครือ่ งดนตรที ้ัง 5 ชน้ิ เปน็ เครื่องดนตรที ด่ี มสา ามารถสร้างเสยี งประสาน ดปพร้อมกับทานองดด้ควรให้ความสาคัญกับการสร้างเสียงประสานควบคากกัน เครื่องดนตรีช้ินหน่ึง บรรเลงทานองหลัก เครื่องดนตรีอีก 4 ช้ินควรบรรเลงทานองสอดประสานหรือเสียงประสาน สามารถใช้เครื่องดนตรี 2 ชิ้นในแนวเสียงสกงหรือแนวเสียงกลางสลับบทบาทนาเสนอทานองหลัก ลอ้ รับกันดปเพ่ือความดพเราะ เกิดความสมบกรณ์ของทานองและเสียงประสาน ควรพิจารณาแนวเสียง ให้เหมาะสมกับเคร่ืองดนตรี อาจใช้เครื่องดนตรีท่ีบรรเลงแนวเสียงสกงสุดเป็นแนวโซปราโน 2 เคร่ือง เพื่อสลับสับเปล่ียนบทบาทนาเสนอทานองหลักหรือทานองสอดประสาน หรือเคร่ืองดนตรีบรรเลง แนวอัลโต 2 เครื่องเพ่ือสลับสับเปล่ียนบทบาทนาเสนอทานองสอดประสาน หรือเครื่องดนตรีบรรเลง แนวเทเนอร์ 2 เคร่ืองเครื่องเพ่ือสลับสับเปล่ียนบทบาทนาเสนอทานองสอดประสา น ตามความต้องการ และเคร่ืองดนตรีแนวเบสเพื่อความสมดุลของทานองและเสียงประสาน การใช้เคร่ืองดนตรีที่สามารถบรรเลงทานองและเสียงประสานดปพร้อมกันดด้ เชาน เครื่องดนตรี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 320 ประเภทคีย์บอร์ดชาวยให้เสียงประสานมีความสมบกรณ์ครอบคลุมมากยิ่งข้ึน เครื่องดนตรีอีก 4 ช้ิน มีอสิ ระในการบรรเลงมากขนึ้ 7. การเรยี บเรยี งเสียงประสานให้กับวงกลุม่ หก วงดนตรีกลาุมหก (Sextet) เป็นการรวมวงนักดนตรี 6 คน เป็นประเภทหน่ึงของดนตรี เชมเบอร์ สามารถใช้เครื่องดนตรีชนิดใดก็ดด้ การใช้เครื่องดนตรี 6 ช้ินสร้างความสมดุลให้กับทานอง และเสียงประสานดดอ้ ยาางดีเชานเดียวกับการขับรอ้ งประสานเสยี งสแ่ี นว สามารถเรยี บเรียงแนวเสยี งดด้ เป็นแนวโซปราโน แนวอัลโต แนวเทเนอร์และแนวเบสดด้อยาางชัดเจนและเป็นอิสระจากกันดด้ดี สามารถใช้เคร่ืองดนตรีบรรเลงทานองหลัก ทานองสอดประสาน และเสียงประสานดด้มากขึ้น ใช้เคร่ืองดนตรีดดอ้ ยาางหลากหลาย ตัวอย่างที่ 6.83 การเรยี บเรยี งเสียงประสานใหก้ บั วงกลุ่มหก ตั ว อ ยา า ง ท่ี 6.83 ผ ล ง า น “Allegro vivace from String Sextet in A Major 1876” ปร ะพั นธ์ โ ด ยค อร์ ซา ค อฟ (Nikolai Rimsky – Korsakov ค . ศ . 1844 – 1908) เป็ นผ ลง า น การประพันธ์เพลงวงเคร่ืองสายกลุามหก ประกอบด้วย ดวโอลิน 2 ตัว วิโอลา 2 ตัว และเชลโล 2 ตัว ดวโอลิน 1 มีบทบาทนาเสนอทานองหลัก ทานองสอดประสาน และเสียงประสานแนวเสียงสกงสุด ดวโอลิน 2 บรรเลงแนวเสียงต่ากวาาดวโอลิน 1 มีบทบาทนาเสนอทานองสอดประสาน และเสียงประสาน วิโอลา 1 มีบทบาทนาเสนอทานองสอดประสาน และเสียงประสานแนวเสียงต่า กวาาดวโอลิน 2 วิโอลามีบทบาทนาเสนอทานองและเสียงประสาน และเสียงประสานแนวเสียงต่ากวาา

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 321 วิโอลา 1 บางชาวงบรรเลงทานองระดบั เสียงเดียวกัน เชลโล 1 มีบทบาทนาเสนอทานองสอดประสาน และเสียงประสานแนวเสียงต่ากวาาวิโอลา 2 บางชาวงบรรเลงทานองหลัก เชลโล 2 มีบทบาทนาเสนอ ทานองสอดประสาน และเสยี งประสานแนวเสียงต่าสุด ตัวอย่างที่ 6.84 การเรยี บเรยี งเสียงประสานใหก้ ับวงกลุ่มหก ตัวอยาางท่ี 6.84 ผลงาน “Adagio from Sextet in E Flat Major Op.71” ประพันธ์โดย เบโธเฟน เป็นผลงานการประพันธ์เพลงวงเครื่องลมกลาุมหก ประกอบด้วยคลาริเน็ต 2 ตัว บาสซกน 2 ตวั และเฟร็นช์ฮอรน์ 2 ตวั คลารเิ นต็ 1 มบี ทบาทนาเสนอทานองหลกั ทานองสอดประสาน และเสยี ง ประสานแนวเสียงสกงสุด คลาริเน็ต 2 มีบทบาทนาเสนอทานองสอดประสาน และเสียงประสาน แนวเสียงรองจากคลาริเน็ต 1 เฟร็นช์ฮอร์นมีบทบาทนาเสนอทานองสอดประสาน และเสียงประสาน บางชาวงมีแนวเสียงอยการะหวาางคลาริเน็ต 1 กับคลาริเน็ต 2 เฟร็นช์ฮอร์น 2 มีบทบาทนาเสนอทานอง สอดประสาน และเสียงประสานมีแนวเสียงต่ากวาาเฟร็นช์ฮอร์น 1 บางชาวงมีแนวเสียงระหวาาง เฟร็นช์ฮอร์น 1 กับคลาริเน็ต 2 บางชาวงบรรเลงทานองเดียวกับเฟร็นช์ฮอร์น 1 ในระดับเสียงต่ากวาา เป็นระยะคกา 8 เฟร็นช์ฮอร์นเป็นเครื่องลมทองเหลืองท่ีสามารถนามารวมวงกับเครื่องลมดม้ ดด้เป็นอยาา งดี มีชวา งเสียงกว้างสามารถสอดประสานระหวาางแนวเสียงตาา ง ๆ ดด้ดี บาสซกน 1 มีบทบาทนาเสนอทานองสอดประสาน และเสียงประสาน มีแนวเสียงต่ากวาา เฟร็นช์ฮอร์น 2 บางชาวงนาเสนอทานองหลักและทานองสอดประสานระดับเสียงเดียวกับคลาริเน็ต 2 หรือเฟร็นช์ฮอร์น 1 บาสซกน 2 มีบทบาทนาเสนอทานองสอดประสานแนวเสียงต่าสุด บางชาวง บรรเลงทานองเดียวกับบาสซกน 1 แตามีระดับเสียงต่ากวาาเป็นระยะคกา 8 บาสซกนเป็นเครื่องลมดม้

322 ทส่ี ามารถบรรเลงชาวงเสียงดด้กว้าง สามารถนามาใช้บรรเลงทานองดด้ดี สามารถสอดประสานทานอง ระหวาางแนวเสียงเทเนอร์หรอื อลั โตดด้ การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับวงกลุามหกผ้กศึกษาการประพันธ์เพลงควรคานึงถึง การใช้เคร่ืองดนตรีให้เหมาะสม หากใช้เคร่ืองดนตรีทั้ง 6 ช้ินเป็นเคร่ืองดนตรีที่ดมาสามารถสร้างเสียง ประสานดปพร้อมกับทานองดด้ควรให้ความสาคัญกับการสร้างเสียงประสานควบคากกัน เคร่ืองดนตรี ชิ้นหนึ่งบรรเลงทานองหลัก เครื่องดนตรีอีก 5 ชิ้นควรบรรเลงทานองสอดประสานหรือเสียงประสาน สามารถใช้เครื่องดนตรี 2 ช้ินในแนวเสียงสกง แนวเสียงกลาง และแนวเสียงต่าดด้ตามความต้องการ การใช้เครื่องดนตรี 2 ชิ้นบรรเลงแนวเสียงเดียวกันสามารถสลับบทบาทนาเสนอทานองหลักล้อรับ กันดปเพื่อความดพเราะ เกิดความสมบกรณ์ของทานองและเสียงประสาน ควรพิจารณาแนวเสียง ให้เหมาะสมกบั เครื่องดนตรี ควรใช้เคร่ืองดนตรีแนวโซปราโน 2 เครื่องเพื่อบรรเลงทานองหลัก ทานองสอดประสาน และเสียงประสาน อาจใช้แนวอัลโต แนวเทเนอร์ หรือแนวเบส 2 เครื่อง เพื่อสลับสับเปลี่ยนบทบาท นาเสนอทานองหลักหรือทานองสอดประสานตามความต้องการ การใช้เครื่องดนตรีท่ีสามารถบรรเลง ทานองและเสียงประสานดปพร้อมกันดด้ เชาน เคร่ืองดนตรีประเภทคีย์บอร์ดชาวยให้เสียงประสาน มคี วามสมบรก ณ์ครอบคลมุ มากย่ิงข้ึน เครือ่ งดนตรีอีก 5 ชิน้ มีอสิ ระในการบรรเลงมากขึ้น 8. การเรียบเรยี งเสียงประสานให้กบั วงกล่มุ เจ็ด วงดนตรีกลาุมเจ็ด (Septet) เป็นการรวมวงนักดนตรี 7 คน เป็นประเภทหน่ึงของดนตรี เชมเบอร์ สามารถใช้เครื่องดนตรีชนิดใดก็ดด้ การใช้เครื่องดนตรี 7 ชิ้นสร้างความสมดุลให้กับทานอง และเสยี งประสานดด้อยาางดีเชานเดียวกับการขับร้องประสานเสยี งสี่แนว สามารถเรยี บเรียงแนวเสียงดด้ เป็นแนวโซปราโน แนวอัลโต แนวเทเนอร์และแนวเบสดด้อยาางชัดเจนและเป็นอิสระจากกันดด้ดี สามารถใชท้ านองสอดประสานในแตาละแนวเสียงดดด้ ี และใช้เครือ่ งดนตรดี ดอ้ ยาางหลากหลาย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 323 ตวั อยา่ งท่ี 6.85 การเรียบเรยี งเสียงประสานใหก้ บั วงกลุ่มเจด็ ตัวอยาางท่ี 6.85 ผลงาน “Adagio – Allegro con brio from Septet in E flat major op. 20” ประพันธ์โดยเบโธเฟน เป็นผลงานการประพันธ์เพลงวงกลาุมเจ็ด ประกอบด้วย คลาริเน็ต บาสซนก เฟร็นช์ฮอร์น ดวโอลิน วโิ อลา เชลโล และดับเบิลเบส คลาริเน็ตมีบทบาทนาเสนอทานองหลัก และทานองสอดประสานสลับกับดวโอลินเป็นบางชาวง บรรเลงเสียงประสานแนวเสียงสกงสุด บาสซกน มีบทบาทนาเสนอทานองสอดประสานและเสียงประสานแนวเสียงต่ากวาาคลาริเน็ต สาวนใหญา มีแนวเสียงอยการะหวาางวิโอลาและเชลโล บางชาวงบรรเลงทานองเดียวกับคลาริเน็ตแตามีระดับเสียงต่า กวาาเป็นระยะคาก 8 เฟร็นช์ฮอร์นชาวงเสียงกว้างมีบทบาทนาเสนอทานองสอดประสานและเสียงประสาน มีแนวเสียงอยากในระดับเดียวกับวิโอลาและเชลโล ดวโอลินมีบทบาทนาเสนอทานองหลัก ทานอง สอดประสาน และเสียงประสานแนวเสียงสกงสุด บางชาวงมีการสลับบทบาทนาเสนอทานองหลัก แนวเสียงสุดกับคลาริเน็ต วิโอลามีบทบาทนาเสนอทานองสอดประสานและเสียงประสาน บางชาวงบรรเลงทานองเดียวกับดวโอลิน เชลโลมีบทบาทนาเสนอทานองสอดประสานและเสียง ประสานแนวเสียงต่ากวาาวิโอลา ดับเบิลเบสมีบทบาทนาเสนอเสียงประสานแนวต่าสุด สาวนใหญา บรรเลงทานองเดียวกับเชลโลแตามรี ะดบั เสยี งเสยี งตา่ กวาาเปน็ ระยะ 1 ชาวงคกาแปด การเรียบเรียงเสียงประสานให้กับวงกลาุมเจ็ดผ้กศึกษาการประพันธ์เพลงอาจใช้แนวทาง เดียวกับการเรียบเรียงเสียงประสานให้กับวงกลาุมหกแตาเพ่ิมเคร่ืองดนตรีแนวเสียงต่าสุดอีก 1 เครื่อง เชาน ดับเบิลเบส เพื่อความหนักแนานของเสียงประสานแนวเสียงต่าสุดเป็นลาดับแรก การใช้ เคร่ืองดนตรีท่ีสามารถบรรเลงทานองและเสียงประสานดปพร้อมกันดด้ เชาน เครื่องดนตรีประเภท


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook