แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 99 ออกจากศพั ทบ าลีวา มจิ ฉาทิฏฐิ ทา นแยกเปน ๒ อยา งกม็ ี แยกเปน ๓ อยา งกม็ ี. มจิ ฉาทฏิ ฐทิ ี่แยกเปน ๒ อยาง คอื :- ๑. สัสสตทิ ฏิ ฐิ เหน็ วายง่ั ยนื คอื อะไรเปนอยางไร ก็คงเปนอยา ง นัน้ เชนคนตายแลวก็ไปเกดิ เปนคนเสมอไป. ๒. อุจเฉททฏิ ฐิ เหน็ วาขาดสูญ คอื ตายแลวก็สญู หมด เชน คน ตายแลวไมเกดิ ในภพในชาติตอ ไป. มจิ ฉาทิฏฐทิ ีแ่ ยกเปน ๓ อยา ง คอื :- ๑. อกริ ิยทฏิ ฐิ เห็นวาไมเ ปน อันทํา คอื ทําแลวก็เทากับไมท ํา ไมมีผลอะไร เชน คนทาํ ดกี ไ็ มไ ดผลดี ทาํ ชวั่ กไ็ มไดผ ลช่ัว. ๒. อเหตุกทฏิ ฐิ เหน็ วาไมมเี หตุ คอื ดี - ชั่วเกดิ เอว เปน เอง เชน คนจะไดดกี ไ็ ดเ อง จะไดช ว่ั ก็ไดเอง ไมเก่ียวกับเหตุใด ๆ. ๓. นตั ถกิ ทฏิ ฐิ เห็นวาไมม ี คอื ไมมมี ารดาบดิ า ไมมีบตุ ร เชน คนออกลกู มาก็แลวกนั ไป ไมมคี ณุ อะไรตอลูก ลกู กไ็ มตอ งเปน หน้บี ญุ คุณ อะไรตอ ผูใ หกําเนิดตนมา คนเปนคนกเ็ พราะธาตตุ า ง ๆ รวมตัวกันเขา คนหนึ่งไปทุบหวั อกี คนหนึง่ ก็ไมม ีอะไรผดิ เพราะธาตไุ ปกระทบกบั ธาตุ เทานน้ั เอง. ความเห็นถูก มเี นอ้ื ความตรงกันขา มกบั ความเหน็ ผดิ คือเห็นวา สตั วส ังขารทงั้ ปวง ไมเที่ยง เชน คนตายแลว ไปเกิดเปน อน่ื นอกจากคนได อาจเปนเทวดา หรอื เปน สัตวด ิรจั ฉาน หรอื สตั วนรกเปนตน ก็ได. เห็นวา ไมขาดสญู ถายงั มีกเิ ลส ตายแลว ตองเกดิ อีกในภพชาติ ตอ ไป เม่ือหมดกิเลสจึงจะไมเ กิดตอไปอกี .
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 100 เห็นวา คนทาํ อะไรลงไป กเ็ ปน อนั ทาํ ตอ งมผี ล, ถาทําดตี อ งมี ผลดี ถาทาํ ชว่ั ตอ งมผี ลชั่ว. เหน็ วา มีเหตุ คอื คนท่ีเปน คนดี กเ็ พราะทําเหตุดี คนทเี ปน คน ชวั่ กเ็ พราะทําเหตุชวั่ ไมใชดีเองช่วั เอง. เห็นวา มีอยู มมี ารดา มบี ตุ ร, ธาตุ ๕ คอื ดิน นา้ํ ไฟ ลม อากาศ ประชมุ กนั เขา และมธี าตรุ รู วมเขาเปนธาตุ ๖ อาศัยบดิ ากเ็ ลยี้ ง เปน แดนเกดิ ถา บดิ ามารดาเปน คน บตุ รกเ็ ปน คน มารดาบดิ ากเ็ ลีย้ ง บตุ รดว ยความเมตตากรณุ า จงึ มีคณุ ตอบตุ ร บุตรตดิ หนบี้ ญุ คณุ ตอ มารดา บิดา มหี นต้ี ดิ ตวั อยู. คนหนงึ่ ไปทบุ หวั อกี คนหนึ่ง ก็มีผดิ มชี วั่ ตดิ ตวั อย.ู ความกาํ หนดั คือความติดใจ หรือความยนิ ดีชอบใจ อารมณ เปน ท่ตี งั้ แหงความกําหนัด คอื รปู ทง่ี าม, เสียงทไ่ี พเราะเปนตน . ความขดั เคอื ง คือความไมพอใจ หรอื ความโกรธ ความเกลียด อารมณเ ปน ท่ตี ง้ั แหงความขัดเคือง คือ รูปท่ไี มง าม เสียงที่ไมไพเราะ เปนตน . ความหลง คอื ความโงง มงาย หรอื ความรไู มชดั แจง เขา ใจผดิ . อารมณเ ปนทตี่ ง้ั แหง ความหลง คอื รปู ธรรมและนามธรรม. ความเมา หรอื ความมวั เมา มี ๒ อยา ง คือ ๑. เมากาย คือรางกายออนเพลีย มนึ ซมึ สั่นเทมิ้ ซวนเซ. อารมณเ ปนทต่ี ัง้ แหง ความเมากาย คอื สุรา - ยาเสพติดใหโทษ - อาหารทร่ี ับประทานเกนิ พอดี. ๒. เมาใจ คือปลอ ยใจใหเพลิดเพลินในอบายมขุ - ในวยั - ใน ความไมมีโรค - ในชวี ติ .
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาที่ 101 อารมณเ ปน ที่ตง้ั แหงความเมาใจ คืออบายมขุ ประเภทตาง ๆ - วัย หนมุ สาว - ความไมเจ็บไข - ความท่เี ขาใจวายงั ไมตาย. อธบิ ายชื่อหมวดธรรม ความไมม วั เมาระเริงหลงไปในอารมณตาง ๆ ชื่อวา ความไม ประมาท คอื ความไมอยูปราศจากสติ. ไดแกม สี ติระวังกายวาจาใจอยเู สมอ. ความไมประมาทในที่ ๔ สถาน คือความไมปราศจากสติ มีสติ อยเู สมอ ไมเผลอ ในการละทุจริต ประพฤตสิ จุ ริต ๓ อยา ง และใน การละความเหน็ ผดิ ทาํ ความเหน็ ใหถ ูก ๑ อยาง. ความไมป ระมาทในท่ี ๔ สถาน อกี อยางหน่ึง คือมีสติระวัง รกั ษาใจ มใิ หก าํ หนดั ๑ มใิ หขดั เคือง ๑ มใิ หลอง ๑ มใิ หม วั เมา ๑ ในอารมณตาง ๆ ดังท่อี ธิบายแลว . ความไมประมาทยอ เปน ๒ คอื ไมป ระมาทในการละอกศุ ล ๑ ในการเจรญิ กุศล ๑. ความไมป ระมาทยอ เปน ๑ คือความไมป ราศจากสติในกาลทกุ เมอ่ื . อปฺปมาโท อมต ปท ความไมป ระมาท เปนทางไมตาย. ความไมป ระมาท บัณฑติ กลาววา เปนยอดของกศุ ลธรรมทั้งหลาย เพราะความไมประมาทมีคุณมาก เหมอื นรอยเทา ชา ง เปน ยอดของรอย เทา สตั วท ั้งหลาย เพราะรอยเทา ชา งใหญฉ ะนน้ั . บุคคลผไู มป ระมาทยอมยดึ เอาประโยชนทงั้ สองไวไ ด คือ ประโยชน กเ็ ปน โลกยิ ะและทีเ่ ปนโลกตุ ตระ ประโยชนทงั้ สองนเี้ กดิ มีไดเพราะความ ไมประมาทอยา งเดยี ว.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ที่ 102 คาํ ถามสอบความเขา ใจ ๑. มิจฉาทิฏฐิมหี ลายอยาง อยากทราบวา ความเหน็ วาคนตาย แลวเกิดเปน คนอีกทุกชาติ และความเห็นวา คนตายแลวขาดสูญ จดั เปน มจิ ฉาทิฏฐิประเภทไหน ? ๒. คนทม่ี คี วามเห็นวา คนทาํ ดกี ไ็ มไดด ี คนทําช่วั ก็ไมไดช่วั จดั เปนทิฏฐอิ ะไร ? ๓. ความเหน็ ถูก ไดแกเ หน็ อยา งไร ? ๔. ความกําหนดั กับอารมณเปน ท่ตี ง้ั แหง ความกําหนัด ไดแก อะไร ? ๕. ความขดั เคอื ง ไดแ กอะไร ? มีอะไรเปนที่ตัง้ ? ๖. ความหลง กับความมวั เมา ตางกนั อยางไร ? ๗. อะไรเปนท่ตี ัง้ แหง ความหลง และความมวั เมา ? ๘. อยางไรชอ่ื วาความไมป ระมาท ? ควรใชความไมป ระมาท เวลาใด ? ๙. รกั ษาใดอยางไร จึงจะชอ่ื วา เปน ผไู มป ระมาท ? ๑๐. ความไมประมาท ๔ ยอ ใหเหลือ ๒ และเหลือ ๑ ยอ อยา งไร ? ________ อปฺปมาโท อมต ปท ความไมป ระมาทนี้ ดีหลาย เพราะวา ทางมิตาย แนแลว นรชนท่ัวหญงิ ชาย ระวงั อยู นั่นแล ความชวั่ คงคลาดแคลว ดีย้งั ยืนยง. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 103 ปารสิ ทุ ธิศีล ๔ ๑. ปาตโิ ทกขสงั วร สาํ รวมในพระปาติโมกข เวนขอท่ีพระพุทธ- เจาหาม ทาํ ตามขอท่ีพระองคทรงอนุญาต. ๒. อนิ ทรียสงั วร สํารวมอนิ ทรีย ๖ คอื ตา หู จมูก ล้นิ กาย ใจ ไมใ หย นิ ดยี นิ รา ย ในเวลาเห็นรูป ฟงเสยี ง ดมกลน่ิ ลม้ิ รส ถูกตอ ง โผฏฐพั พะ รูธรรมารมณด วยใจ. ๓. อาชวี ปารสิ ทุ ธิ เลย้ี งชวี ิตโดยทางท่ีชอบ ไมห ลอกลวงเขา เลยี้ งชีวิต. ๔. ปจ จยปจจเวกขณะ พิจารณาเสยี กอ นจึงบริโภคปจ จัย ๔ คือ จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ไมบรโิ ภคดว ยตณั หา. ว.ิ สลี . ปม. ๑๙ อธิบายศพั ท ๑. ปาติโมกขสงั วร แปลวา สาํ รวมในพระปาตโิ มกข. หมายความ วา ปฏิบตั ติ ามสิกขาบทในพระปาติโมกข โดยเวนขอที่พระพทุ ธเจาหาม ทําตามขอที่ทรงอนญุ าต. ศัพทว า ปาตโิ มกข มคี วามหมายถึงศลี ทเ่ี ปนหลกั สาํ คญั ตามภูมิ ตามช้ันของบรษิ ัท ๔ คือ ปาติโมกขของภกิ ษุ ไดแ กศ ลี ๒๒๗ ขอ, ปาติโมกขข องนางภิกษุณี ไดแ กศ ลี ๓๑๑ ขอ , ปาติโมกขของสามเณร ไดแกศีล ๑๐ ขอ , ปาตโิ มกขของอุบาสถ - อบุ าสกิ า ไดแ กศีล ๕ หรอื ๘ ขอ.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 104 ๒. อนิ ทรยี สงั วร แปลวา สาํ รวมอนิ ทรยี มอี ธิบายไวแลวใน ขอ วา อปณณกปฏปิ ทา หมวด ๓. (ดหู นา ๕๒) ๓. อาชีวปารสิ ุทธิ แปลวา เลย้ี งชวี ิตบรสิ ทุ ธ์ิ หรอื ความบริสุทธ์ิ ดว ยการเล้ียงชวี ิต. หมายความวา เลีย้ งชีวิตในทางทดี่ ที ่ชี อบ ตามสมควร แกภ าวะ เชน เปนบรรพชิต กเ็ ล้ยี งชีวิตใหสมควรแกความเปน บรรพชิต เปน คฤหัสถ กเ็ ล้ียงชวี ติ ใหสมควรแกค วามเปนคฤหสั ถท ดี่ ,ี ไมหลอกลวง เขาเลยี้ งชีวิต. ๔. ปจจัยปจ จเวกกขณะ แปลวา พิจารณาปจ จยั . ปจจัยเครื่อง อาศยั ของรา งกายมี ๔ อยาง คอื ๑. เครื่องนงุ หม ๒. อาหาร ๓. ทอี่ ยู อาศยั ๔. ยาแกไ ข. พิจารณาวาปจ จัยเหลา นีเ้ ปน สักวาธาตุ และเปน ของไมสะอาด เปนของโสโครก แตจําตอ งบริโภคเพ่อื ปองกันหนาวรอ น เหลือบยงุ เปนตน และเพ่อื บําบัดความหิวกระหาย และความเจ็บไขให สงบหายไป เพ่ือยังชีวติ ใหเปน ไป และดํารงพรหมจรรยอยไู ดโ ดยสะดวก. อธิบายชือ่ หมวดธรรม ธรรม ๔ อยา งนี้ ช่ือวา ปารสิ ุทธศิ ลี เพราะเปน ธรรมอนั เหลา สหธรรมกิ คือผูป ระพฤตธิ รรม ควรปฏบิ ตั ติ ามสมควรแกภาวะของตน ๆ เพื่อขดั เกลาศีลใหบริสุทธิ์ เมอื่ ศลี บริสทุ ธ์แิ ลว กเ็ ปนเหตใุ หเกดิ จิตบริสุทธิ์ และปญ ญาบรสิ ุทธิ์ เปนลาํ ดับไป จนกระทั้งเปน ผบู ริสทุ ธ์จิ ากกิเลสทง้ั ปวง. อนั การประพฤติปฏบิ ตั ิธรรมน้ี ก็เพื่อทําทส่ี ุดแหงทุกข คอื เพอ่ื พน จากทุกขโ ดยส้ินเชิง. ศีลเปน เบ้อื งตนของกศุ ลธรรม อันเปนเครื่องนาํ ออกจากทุกข ฉะนนั้ จงึ ควรทําศีลใหบริสุทธด์ิ วยการปฏิบัติธรรมทั้ง ๔ อยา ง มปี าติโมกขสังวรเปนตนน.้ี
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 105 คําถามสอบความเขาใจ ๑. ศัพทวา ปาตโิ มกข หมายถงึ อะไร ? เปนของใคร ? ๒. ปาติโมกขสังวร ในปารสิ ทุ ธศิ ีล ๔ คอื อะไร ? เปนหนา ท่ี โดยตรงของใคร ? ๓. อาชีวปารสิ ทุ ธิ แปลวา กระไร ? หมายความอยางไร ? ๔. อะไรเรยี กวา ปจ จัย ๔ ? ทา นสอนใหพ ิจารณาอยางไร ? ๕. อะไรเรยี กช่ือวา ปาริสุทธศิ ีล เพราะเหตไุ ร จึงเรยี กช่อื อยางนั้น. ๖. ปารสิ ุทธศิ ีล มคี วามสําคญั อยางไร ? ตน เอย ตนพกิ ลุ ดอกหอมกรนุ คณุ คา มหาศาล ถึงเหี่ยวแหง ยังหอม พรอ มอยนู าน ท้ังแกน สาร ลาํ ตน คนนิยม. ดจุ ด่ังคน ศลี ดี บรสิ ุทธ์ิ มวลมนษุ ย ชมเปาะ วา เหมาะสม เพราะกลนิ่ ศีล หอมหวน แมทวนลม จอมมมุ ินทร อนิ ทรพ รหม ก็ชมเอย. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาที่ 106 อารักขกมั มัฏฐาน ๔ ๑. พทุ ธานสุ สติ ระลึกถงึ คุณพระพุทธเจา ทมี่ ใี นพระองค และ ทรงเกอื้ กลู แกผูอืน่ . ๒. เมตตา แผไมตรีจิตคดิ จะใหสัตวท ง้ั ปวงเปนสุขทว่ั หนา. ๓. อสภุ ะ พจิ ารณารางกายตนและผอู นื่ ใหเหน็ เปนของไมงาม. ๔. มรณัสสติ นกึ ถึงความตายอันจะมีแกตน. กัมมฏั ฐาน ๔ อยา งนี้ ควรเจริญเปน นิตย. พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา ฯ อธบิ ายศพั ท ๑. พทุ ธานุสสติ ตัดบทเปน พทุ ธะ แปลวา พระพุทธเจา หรอื ุคณุ ของพระพทุ ธเจา อนุสสติ แปลวา ระลกึ ถงึ , ตามนึกถงึ . เมื่อ รวมกันเขา จึงเปนรปู พทุ ธานุสสติ แปลตรงศพั ทวา ระลกึ ถงึ พระพุทธเจา หรือตามนึกถึงคณุ พระพุทธเจา. หมายความวา ระลกึ ถึงคุณความดีของ พระพุทธเจา ซ่งึ มีอยูหลายประการ แตใ นท่นี จ้ี ะไดอธิบายโดยยอ เพียง ๓ ประการ คือ :- (๑) อรห พระพทุ ธเจา เปนอรหนั ต บริสทุ ธ์ิหมดจดจากกิเลส ทงั้ ปวง. (๒) สมมฺ าสมฺพทุ ฺโธ เปนผูม พี ระปญญาตรัสรูอริยสจั โดยถกู ตอ ง ดวยพระองคเอง. พระคณุ ทั้งสองน้ีเปนอัตตสมบตั ิ คือพระคณุ ที่มใี น พระองค.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 107 (๓) ภควา เปนผทู รงแจกธรรม คือทรงแสดงธรรมส่ังสอน ประชาชน ใหไ ดบ รรลผุ ลอนั ดีงาม ทงั้ ทเ่ี ปน สว นโลกิยะ แลว ทง้ั ท่ีเปน สวนโลกตุ ตระ, พระคณุ ขอหลงั น้ีเปน ภคั ยสมบตั ิ คอื พระคณุ ท่ที รง เก้ือกูลผอู ่นื . อน่งึ พระคณุ ทงั้ ๓ น้ี ประการแรก อรห จดั เปนพระบรสิ ุทธิ- คุณ. ประการที่ ๒ สมมฺ าสมพฺ ทุ ฺโธ จดั เปนพระปญญาคณุ . ประการ ท่ี ๓ ภควา จัดเปนพระมหากรณุ าคุณ. การระลกึ ถึงพระพุทธเจา ดว ยการนอ มจิตใหตามนกึ ถึงคุณของ พระองคโดยยอ ๓ ประการ หรือแมเ พยี งประการใดประหนงึ่ อยเู สมอ ๆ กจ็ ดั เปน กัมมฏั ฐานประการหนง่ึ ซง่ึ เหมาะแกค นเปน สทั ธาจรติ มีปกติ เช่ืองาย, และเปน ทส่ี บายแกคนผมู ีถีนมทิ ธะเปนเจา เรอื น, แมผ ทู ม่ี ไี ด เจริญกัมมัฏฐาน เม่อื ระลกึ ถึงพระพทุ ธเจา อยเู นอื งนติ ย จิตยอ มมีศรัทธา ปสาทะตั้งม่ัน ดาํ เนนิ ไปในทางดไี มห ยดุ ยง้ั ไมถ อยหลัง และไมดาํ เนิน ไปในทางที่ชั่ว กย็ อมไดผลดคี อื ความสุขสงบ ไมตองเดือดรอนวนุ วาย. ๒. เมตตา คอื ความแผไมตรจี ิต คิดจะใหสตั วทง้ั ปวงเปน สุข. ทัว่ หนา . หมายความวา มีความรักสนิทสนมในบคุ คลและสัตวทกุ จาํ พวก. มใิ ชร ักที่เก่ียวขอ งกบั กามเหมือนชายหนุมหญิงสาว และมิใชรกั ทีเ่ กย่ี วกับ คนในครอบครวั เชน มารดาบดิ ารักบตุ ร หรือบุตรรักมารดาบิดา หรอื พ่ี รกั นอง หรอื นอ งรกั พเี่ ปนตน. แตเปนความรกั ทแ่ี ผไปดว ยไมตรีจติ ใน บุคคลและสัตวทุกหมเู หลา โดยไมยกเวน โดยไมเลือกวาเปนผนู น้ั ผูนี้, มีความปรารถนาสุขทัว่ ไปทั้งในมารดาบดิ า - ในบุตร - ในพน่ี อ ง - ในคน ทจ่ี องลา งผลาญตน - ในคนท่อี ุปถัมถตน - ในคนท่เี บยี ดเบียนตน - ใน
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 108 สตั วท ุกจาํ พวก การแผเ มตตาอยางน้ี เรยี กวาเมตตาอัปปมญั ญา คือแผ เมตตาไปไมมีขอบเขต ไมม ปี ระมาณ. การแสดงออกซึ่งความเมตตามี ๓ ทาง คือ ๑. ทางกาย ชวย ทาํ กิจของผอู ื่น เมอื่ ถงึ คราวทีจ่ ะชวยได. ๒. ทางวาจา ชวยแนะนาํ พรา่ํ สอนใหผ ูอ นื่ เวน จากการทําพดู เรื่องที่ผดิ กลบั ทําพูดแตเ ร่ืองทถี่ กู ตอง ในเมือ่ ถงึ คราวที่จะชว ยได. ๓. ทางใจ หวงั ความไมมเี วร ไมมภี ยั ตอ ใคร ๆ ตั้งใจใหอยเู ปนสขุ ทัว่ กัน. การแผเมตตาประจาํ ยอมเปน กมั มฏั ฐานประการหนง่ึ ซึ่งเหมาะ แกผเู ปน โทสจริต มีปกติโกรธงา ย. เปนทีส่ บายแกค นทีม่ พี ยาบาทเปน เจา เรอื น. แมผทู ี่มีไดเจริญกัมมัฏฐาน เมื่อแผเมตตาใหป ระจํา กระทําใหม าก ยอมไดอ านิสงส ๑๑ ประการ คอื ๑. หลับเปนสุข ๒. ตื่นกเ็ ปน สขุ ๓. ไมฝ น รา ย ๔. เปน ทีร่ กั ของมนุษย ๕. เปน ท่ีรกั ของอมนษุ ย ๖. เทวดายอ มรกั ษา ๗. ไฟ ยาพิษ ศสั ตรา ไมตอ งกาย ๘. จติ ต้ัง ม่นั เรว็ ๙. สหี นา ผอ งใส ๑๐. ไมห ลงตาย ๑๑. เมื่อยังไมบ รรลุอรหัตต- ผล ก็คงเขา ถงึ พรหมโลก. อน่งึ การแผเมตตาน้ี จดั เปนบารมอี ยางหนึ่ง เรยี กวาเมตตาบารมี. ๓. อสภุ ะ คอื การพจิ ารณารางกายตนและผูอ่ืน ใหเห็นวา เปน ของไมงาม. หมายความวา ตัง้ สตกิ าํ หนดดรู า งกายตนและรางกายผูอ น่ื ใหเหน็ วาเต็มไปดวยสิ่งหรือสวนโสโครกตาง ๆ คอื ผม ขน เลบ็ ฟน หนัง เน้ือ เอน็ กระดูก เยื่อในกระดูก มา ม หวั ใจ ตับ พงั ผดื ไต ปอด ไสใหญ ไสนอย อาหารใหม อาหารเกา ดี เสลด หนอง
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 109 เลือด เหงือ่ มนั ขน น้ําตา เปลวมนั น้าํ ลาย นํ้ามูก ไขขอ มตู ร และมันสมอง. สวนตา ง ๆ ของรางกายแตล ะสวน ๆ ลวนเปนของ โสโครก นา เกลยี ด มสี กี ไ็ มง าม สัณฐานก็ไมนารัก มีกลนิ่ ก็เหมน็ เนา สาบสาง ทเี่ กดิ ที่อยกู เ็ ต็มดว ยของสกปรกสะอดิ สะเอียน. สว นใด ๆ ทอี่ ยู ภายนอก เชน ผม ขน เลบ็ ฟน หนัง ถา เจาของขยันชาํ ระสะสาง ตกแตง กพ็ อดไู ด แตถา ปลอ ยไวไมชําระแมเ พียงวันเดยี ว กย็ อมแสดง ความสกปรกโสโครก เหม็นสาบ นา เกลียด ถาปลอยไวหลายวนั กย็ ง่ิ ทวี ความนาเกลยี ดยงิ่ ข้นึ และหากสวนภายใน เชน นํา้ ลาย นาํ้ มูก มูตร คูถ ไหลเลอะเปย กเปอนอวยั วะภายนอก เชน มอื เทา แขน ขาเปน ตน กจ็ ะย่งิ เปน ท่ีรังเกียจ แมต นเองกท็ นดูไมได ตอ งรบั ชาํ ระลา งทันที และ หากวาเลือดหรอื ลําไสเ ปน ตนทะลักไหลออกมาขางนอก กย็ ง่ิ จะนาเกลียด และนากลวั ไมนา อภริ มยชมชนื่ เลย. การพิจารณากายใหเ ห็นเปน ของไมงามนาเกลยี ดโสโครก ยอมเปน กัมมัฏฐานประการหนง่ึ ซ่งึ เหมาะแกผเู ปน ราคจริต มีปกตริ กั งาย และ เปนท่สี บายแกผูมกี ามฉันทเปนเจาเรือน. แมผ ทู ี่มไิ ดเ จรญิ กัมมัฏฐาน เมื่อ พจิ ารณากายเปนอสภุ ะ ไมส วยงาม เนืองนิตย กย็ อ มไมตดิ ใจ อยใู นกาย ของตนและของคนอื่น เปล้อื งความคดิ ในกายออกเสียได กย็ อ มจะคลาย ความเดือดรอนใจเพราะกายเปนเหตุใหนอ ยลง. ๔. มรณสั สติ ตดั บทเปน มรณะ แปลวา ความตาย สติ แปลวา นึกถงึ . เมอื่ รวมกันเขา ก็เปนรปู มรณัสสติ แปลวา นกึ ถึงความตาย. หมายความวา ต้งั สตินึกถึงความตาย คอื ความแตกขาดแหงชีวิต ซ่ึง เปน สงิ่ ที่สัตวทงั้ หลายผูย ังมกี ิเลสเกรงกลวั ยงิ่ นัก แตเ นื่องจากสตั วม คี วาม
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 110 ประมาณมวั เมาในวัย ในความไมมีโรค และในชวี ิต โดยเห็นวายังหนุมสาว ยังไมม ีโรค ยังมชี วี ิตอยูไดอกี นาน จงึ ดเู หมือนไมกลวั ตาย เมอื่ ไมกลวั ตายเพราะไมนกึ ถงึ ความตาย กม็ กั จะทาํ บาปอกศุ ล ไมข วนขวายทาํ บุญ กศุ ล หรอื ทาํ บางก็ทําเฉ่ือย ๆ แฉะ ๆ ไมเ รง รบี พระผูม พี ระภาคเจาจึงได ทรงเตอื นไววา อชเฺ ชว กิจฺจมาตปฺป ควรรีบทาํ ความเพยี รสรา งบุญกศุ ล ในวนั นีแ้ หละ โก ชฺ า มรณ สเุ ว ใครจะรูไดว าความตายจะมีใน วนั พรุงนี้. พระโอวาทนท้ี รงเตอื นใหทุกคนระลึกถงึ ความตายวา อาจมี แกเ ราในวันน้กี ไ็ ด เราตอ งรีบทาํ บญุ กุศลในวันน้ี กอนที่ความตายจะมา ถงึ แกเ รา. การระลึกถงึ ความตายอนั จะพงึ มีแกต น และแกส ตั วท ้งั หลายในโลก จัดเปน กมั มัฏฐานประการหนึ่ง ซง่ึ เหมาะแกบ คุ คลเปนราคจริตก็ได ผู เปนโทสจริตก็ได ผูเ ปนโมหจรติ มักลมุ หลงมัวเมาในวัย ในความไมมีโรค และในชวี ติ ก็ได ผูเปนพทุ ธิจรติ ก็ได เปนทส่ี บายของผูม ีกามฉันทและ อุทธจั จกุกกุจจะเปนเจาเรอื น. แมผทู ไี่ ดเ จริญกมั มฏั ฐาน เมอื่ ต้ังสติและ ปญญา ระลกึ พิจารณาความตายเปนนติ ยก็ได ยอ มไดค วามสงั เวชสลดจิต ประกอบกจิ ตามหนาท่ใี หส มบรู ณยิง่ ๆ ข้ึน. อนง่ึ เม่ือความตายมาถงึ แกต น ก็จะไมกลวั ตาย เปน ผูมีสตติ าย มไิ ดห ลงตาย ถายังมไิ ดส ําเร็จ นพิ พานในชาตนิ ้ี เมอ่ื ตายแลว ยอ มไปสสู ุคติภพเปน เบ้ืองหนา. อธบิ ายช่ือหมวดธรรม พุทธานสุ สติ เมตตา อสภุ ะ มรณสั สติ ท้งั ๔ นี้ รวมเรียก ช่อื วา \" จตรุ ารักษ \" หรือ \" อารักขกัมมฏั ฐาน ๔ \" แปลวา การ
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 111 งานทตี่ ั้งใจเพื่อรกั ษา ๔ อยา ง. หมายความวา ธรรมท้ัง ๔ ขอ นี้ แต ละขอ ก็เปน กัมมฏั ฐานประการหน่ึง ซึง่ เปน เครอ่ื งรกั ษาจิตใหดําเนินไปใน ทางดี มิใหไ ปในทางชั่ว. ในท่ีสดุ มีพระราชภาษิตวา \" กมั มฏั ฐาน ๔ อยา งนี้ ควรเจรญิ เปนนิตย \" นา จะมีพระราชประสงคจ ะชักชวนใหบ คุ คลผูที่มุงจะรักษาตาม ใหป ลอดจากโทษภัยตาง ๆ หมนั่ เจรญิ กัมมัฏฐาน ๔ อยางน้ี ตามควร แกจริตของตน ๆ เชน ผูมสี ัทธาจริต กเ็ จรญิ พุทธานสุ สต,ิ ผมู ีโทสจรติ ก็เจริญเมตตา, ผมู รี าคจริต กเ็ จริญอนภุ ะ, ผูมีโมหจรติ กเ็ จรญิ มรณสั สติ. หรอื สมยั ใดมนี วิ รณ ๕ อยา งใดอยา งหนง่ึ ครอบงาํ จิต สมัยนัน้ ก็ควรเจริญ กมั มฏั ฐาน ๔ อยางใดอยางหนึ่งกเ็ ปน คูป รบั กับนิวรณน ัน้ ๆ เม่ือหมน่ั เจรญิ กมั มฏั ฐานใหเหมาะแกจ รติ และกาลสมยั ดงั นเ้ี ปน นิตย จติ ก็ยอ ม ดําเนนิ ไปในทางดี ก็ชอ่ื วา ไดรกั ษาตนใหพนทุกขป ลอดภัยตา ง ๆ ไดเปน อยา งดี. คาํ ถามสอบความเขาใจ ๑. พุทธานุสสติ แปลวาอยา งไร ? คุณของพระพุทธเจาโดยยอ คืออะไร ? ๒. เมตตา หมายความวากระไร ? แผเมตตาทางกายและวาจา คอื ทาํ อยางไร ? ๓. อสภุ ะ หมายความวาอยา งไร ? การเจริญอสภุ ะ เหมาะแก ใคร ?
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 112 ๔. มรณสั สติ มปี ระโยชนอยา งไร ? ๕. จตุรารักษ ไดแ กอะไร ? ทําไมจึงมชี อื่ วา จตรุ ารักษ ? ๖. อารักขกมั มัฏฐาน ๔ ตอ งเจริญพรอ มกนั ทัง้ หมดหรือไม ? เพราะเหตไุ ร ? กมั มัฏฐาน ประจํา ทาํ ส่ีอยาง เปน แนวทาง พิทกั ษ ตามรกั ษา หน่ึง \" พทุ ธคุณ \" หนนุ เพมิ่ เสริมศรัทธา นอ มนกึ มา กาํ หราบ ปราบงว งงุน. สอง \" เมตตา \" กาํ หราบ ปราบความโกรธ ไมเ หี้ยมโหด กราดเกรยี้ ว ไมเฉยี วฉุน สาม \" อสุภ \" นกึ กายเนา เขาเจือจุน ไมห มกมุน ในกาม หามดวงมาน. ส่นี กึ ถึง \" ความตาย \" สบายนกั ชว ยหักรกั โกรธหลง ในสงสาร, คุณธรรม เหลาน้ี สปี่ ระการ กมั มัฏฐาน รักษา ประชาชน. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ที่ 113 พรหมวิหาร ๔ ๑. เมตตา ความรักใคร ปรารถนาจะใหเ ปนสุข. ๒. กรณุ า ความสงสาร คิดจะชว ยใหพนทกุ ข. ๓. มุทติ า ความพลอยยนิ ดี เมื่อผอู ่ืนไดดี. ๔. อเุ บกขา ความวางเฉย ไมดีใจ ไมเสียใจ เมอ่ื ผอู ื่นถึงความ วิบัต.ิ ๔ อยางนี้ เปนเคร่ืองอยูของทานผูใหญ. อภ.ิ วภิ งฺค. ๓๕/๓๖๙ อธิบายศัพท ๑. เมตตา แปลวา คุณสมบัตเิ ปนเหตุสนทิ สนม หรอื ความ รกั ใคร ปรารถนาจะใหเปนสุข. มิใชรักเก่ียวขอ งกับกาม, ถา รักเกย่ี วกบั กามไมจดั เปนเมตตา, แตจ ดั เปน กามฉนั ทะ หรือกามราคะ. เมตตานี้ เปนคปู รับพยาบาท หรอื โทสะ. ๒. กรณุ า แปลวา ความหวัน่ ใจ, ความสงสาร. หมายความวา เมอ่ื ไดเ ห็นหรอื ไดยินผูอ่ืนไดค วามทุกขลําบากอยู กค็ ิดจะชวยหรือลงมือ ชว ยใหพนทกุ ข. กรณุ านี้เปน คปู รับแกว ิเหสา หรอื วิหิงสา ความเบียดเบียน สัตวใ หลําบาก. ๓. มทุ ิตา แปลวา ความบนั เทิง หรือเบกิ บานใจ. หมาย ความวา เมอื่ ไดเ ห็นหรือไดยินผูอืน่ มคี วามสขุ สบาย เจริญดว ยลาภ ยศ
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 114 สรรเสรญิ สุขตามสภาพตน ๆ แลว ก็พลอยยินดีชื่นชม. มทุ ติ าน้ีเปน คูปรบั แกอสิ สา หรือริษยาเหน็ เขาไดดีมสี ขุ เปน ตน ตนเองทนอยูไมได เปน เดอื ดเนื้อรอนใจ. ๔. อเุ บกขา แปลวา ความวางเฉย. หมายความวา เมอื่ ไดเหน็ หรอื รวู า ผอู ื่นถึงความวิบตั ิ ก็วางใจเปนกลาง โดยพจิ ารณาวา สัตว ทง้ั หลายมีกรรมเปนของของตน ใครทาํ ดกี ็ไดด ี ใครทาํ ชวั่ กไ็ ดช ่ัว ไม ย่นื จิต ไมส งใจไปพวั พันกับผทู ่ถี งึ ความวิบัติน้ัน ๆ. อุเบกขานเ้ี ปนคปู รบั กับอคตทิ ้งั ๔ ไดเ ปนอยางดี ละความยนิ ดี และละความยินรายในสขุ และทกุ ขของผอู ่ืนได. อธิบายชื่อหมวดธรรม ธรรม ๔ อยา งนี้ ทแ่ี ผไปโดยเจาะจงตวั บุคคลกด็ ี เจาะจงหมูคณะ กด็ ี เรียกชอ่ื วา พรหมวิหาร แปลวา ธรรมเปนเครือ่ งอยูประจําในของ พรหม. คาํ วา พรหม แปลวา ผปู ระเสริฐ หรือผูใหญ มี ๒ จาํ พวก คือ ๑. พรหมโดยอบุ ตั ิ ไดแกเ ทพเจา ผวู ิเศษ เพราะเคยเจริญเมตตา เปน ตนจนไดฌานในมนุษยโ ลก สน้ิ ชพี แลวอุบัตใิ นพรหมโลก. ๒. พรหมโดยสมบตั ิ ไดแกมารดาบิดา สมมติวาเปน พรหม ของบุตร พระมหากษตั ริย สมมติวา เปน เทพเจาผูวเิ ศษของประชาราษฎร เพราะมธี รรมทงั้ ๔ อยา งนีเ้ ปนวหิ ารธรรม. แมบ คุ คลใด ๆ ท่ีเปน ใหญใ นหมชู น กลมุ ชน ใหญนอย ต้ังแต ครอบครวั หนึง่ ๆ ขึน้ ไป กจ็ ดั เปน พรหมโดยสมบัติ จาํ ตองมีธรรม ๔
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาที่ 115 อยางนี้ เปน เครือ่ งประจาํ ใจ จึงจะเหมาะสม เพราะฉะนนั้ ทานจงึ กลาววา \" ธรรม ๔ อยา งน้ี เปนเครอื่ งอยขู องทานผูใหญ. \" สว นบคุ คลอนื่ แมมไิ ดเปน ผูใ หญใ นกลุมชนใด ๆ เมื่อมโี อกาส และมีความสามารถ กค็ วรเจริญพรหมวิหารธรรมตามเวลาอันสมควร. พรหมวหิ ารธรรม ๔ อยางนี้ ควรเจรญิ ตา งเวลากนั ตามความ เหมาะสม คือ เมตตา เจริญในยามปกติ, กรณุ า เจริญในเม่อื เหน็ เขา ตกทุกขไดยาก, มทุ ติ า เจรญิ ในเมอ่ื เหน็ เขาไดด ีมีความสขุ . อุเบกขา เจรญิ ในเม่อื เหน็ หรือรวู า เขาถงึ ความวิบัติเพราะกรรมช่ัวของเขา ใคร ๆ ไมอ าจชวยได เชนผรู ายกาํ ลงั จะถกู ประหารชวี ติ จะเขา ไปชวยก็ไมไ ด จะคดิ วา \" สมน้าํ หนา \" ก็ไมควร. หรอื เม่ือเห็นเขามีความเจรญิ ตัง้ ตวั ไดแลวก็เจรญิ อเุ บกขา. คําถามสอบความเขา ใจ ๑. ชายหนมุ กบั หญงิ สาวรักกันดว ยอาํ นาจกามฉนั ทะ จะเรียกวา แผเมตตา พรหมวหิ ารแกกนั จะไดห รอื ไม ? เพราะเหตุไร ? ๒. เมื่อเห็นผูอ ่นื ตกทกุ ขไดยาก ถา ไมชว ยเหลอื เขา เรียกวา คนใจดาํ ถาไดชว ยเหลอื ก็จะช่อื วามใี จประกอบดว ยอะไร ? ๓. คนท่รี ษิ ยาเขา เพราะขาดธรรมอะไร ? ๔. อุเบกขาในพรหมวหิ าร ทแี่ ปลวาความวางเฉยน้ัน หมายความวา อยา งไร ? ๕. ธรรม ๔ อยา ง มีเมตตาเปนตน ไดช ือ่ วา พรหมวหิ าร เพราะ เหตไุ ร ?
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนาท่ี 116 ๖. ทา นวา \" ธรรม ๔ อยางน้ี เปน เคร่อื งอยขู องทานผูใหญ \" อยาก ทราบวา ใครชอื่ วาทานผูใหญ ? ๗. พรหมวหิ าร ๔ ควรเจรญิ พรอ มกันทง้ั ๔ หรอื ตา งเวลากันอยางไร ? จงชแี้ จง ? ๘. ผนู อ ยจะเจริญพรหมวิหารดวยจะไดหรือไม ? เพราะเหตุไร ? เปน ผใู หญ ใจนิยม พรหมวหิ าร สี่ประการ ประเสรฐิ เลิศนักหนา ขอ ทห่ี น่งึ ตง้ั ใจ ใน \" เมตตา \" ปรารถนา สขุ ใส ไปท่วั กนั . \" กรณุ า \" ท่ีสอง ตองชว ยเหลือ คิดแผเผื่อ คนทุกข ใหสุขสนั ต \" มทุ ติ า \" ที่สาม ไมห ยามกนั ใครเลื่อนขนั้ เลิศลอย พลอยยินดี. \" อเุ บกขา \" ขอ ส่ี มวี างเฉย จิตปลอยเลย ดว ยปญ ญา ชูราศี สมกบั เปน ผใู หญ ในโลกยี ทั่วธานี นยิ ม วา ' พรหม ' เอย. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 117 สตปิ ฏ ฐาน ๑. กายานปุ สสนา ๒. เวทนานุปส สนา ๓. จติ ตานุปสสนา ๔. ธรรมานปุ สสนา. สตกิ ําหนดพิจารณากายเปน อารมณวา กายนส้ี ักวากาย มใิ ชสตั ว บคุ คล ตวั ตน เรา เขา เรยี กกายานุปส สนา. สติกําหนดพจิ ารณาเวทนา คอื สุขทกุ ข และไมท ุกขไมสุข เปน อารมณวา เวทนานี้ก็สักวา เวทนา มิใชส ตั ว บคุ คล ตวั ตน เรา เขา เรียกเวทนานปุ สสนา. สตกิ าํ หนดพิจารณาใจทีเ่ ศรา หมอง หรอื ผอ งแผว เปน อารมณว า ใจน้กี ็สกั วา ใจ มิใชสตั ว บคุ คล ตัว ตน เรา เขา เรยี กจิตตานุ- ปสสนา. สติกาํ หนดพจิ ารณาธรรมที่เปน กศุ ล หรืออกศุ ล ทบ่ี ังเกิดกบั ใจ เปนอารมณว า ธรรมน้กี ส็ กั วาธรรม มิใชส ตั ว บุคคล ตวั ตน เรา เขา เรียกธรรมานปุ สสนา. ท.ี มหา. ๑๐/๓๒๕ อธบิ ายศพั ท ๑. กายานปุ ส สนา ตดั บทเปน กายะ ไดแกรางกายท่ียงั เปน และท่ตี ายแลว. กายท่ยี งั เปน มลี มหายใจเขาออก มีอิรยิ าบถใหญ มกี ิริยา อาการยอย มอี วยั วะตาง ๆ มธี าตุ. เมอื่ ธาตุลมดับรา งกายก็ตาย ไมชา
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 118 ก็พอง เนาเปอย หากถกู เผา ถกู ฝง หรือทง้ิ ไวน านเขา กส็ ลายปนป ไมม อี ะไรเหลือ อนปุ ส สนา ไดแ กก ารตามดู คือดดู วยสติ มใิ ชด ูดว ยตา. เมื่อรวมเขาเปน กายานุปสสนา แปลวา การตามดรู า งกาย. หมาย ความวา ใชส ติกาํ หนดพจิ ารณาดูรางกายเฉพาะลมหายใจ หรือเฉพาะ อิรยิ าบถใหญ มกี ารยนื เปน ตน หรอื เฉพาะกิริยาอาการยอ ย มกี ารกนิ การถา ยเปนตน หรือเฉพาะอวยั วะ มผี ม ขน เปนตน หรอื เฉพาะธาตุ มธี าตดุ นิ เปนตน หรือเฉพาะรางกายทต่ี ายแลวพองอืดเปนตน ดจู นจิต สงบเปน สมาธิ และเกิดปญญาเหน็ กายทง้ั ภายใน ทัง้ ภายนอก ท้งั ที่ กาํ ลงั เกดิ ทง้ั ท่ีกําลงั ดับ ถอนความยึดมน่ั ในรา งกายเสียได มสี ตปิ รากฏ ทีก่ ายวา กายน้สี ักวา กาย มใิ ชสัตว บคุ คล ตัว ตน เรา เขา. บรรเทา ความยดึ มั่นในกายใหส ้ินไป. ๒. เวทนานปุ ส สนา ตัดบทเปน เวทนา ไดแกความรูสกึ เปนสขุ เปนทกุ ข หรือไมท ุกขไมสขุ ซ่งึ เกิดขนึ้ จากการกระทบทางกายหรอื ทาง ใจอยา งใดอยา งหน่ึง. เมอ่ื ตอ เขากบั อนปุ สสนา เปน เวทนานุปสสนา แปลวา การตามดเู วทนา. หมายความวา ใชสตกิ าํ หนดพิจารณาดูเวทนา ทีเ่ ปน ปจจุบัน จนจิตต้ังม่นั เปนสมาธิ และเกิดปญญาเหน็ เวทนาท้งั ภายใน ทัง้ ภายนอก ทั้งทีก่ าํ ลงั เกิด ทง้ั ที่กาํ ลังดับ มีสตปิ รากฏอยทู เี่ วทนาวา เวทนาน้ีสักวาเวทนา มิใชส ัตว บคุ คล ตัว ตน เรา เขา. บรรเทา ความยึดมน่ั ในเวทนาใหส ้ินไป. ๓. จิตตานุปส สนา ตัดบทเปน จติ ตะ ไดแ กความคิดทีเ่ ปลี่ยนไป ตามอารมณตา ง ๆ เชน รัก ชงั หลง หายรัก หายชงั หายหลงเปนตน.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาที่ 119 เม่อื ตอเขากับ อนุปสสนา เปน จติ ตานปุ ส สนา แปลวา การ ตามดจู ิต. หมายความวา ใชสติกําหนดพิจารณาดูจติ ทีเ่ ปน ปจจุบัน จน จิตตั้งมัน่ เปนสมาธิ และเกิดปญ ญาเหน็ จิตท้งั ภายใจ ท้ังภายนอก ทง้ั ท่ี กําลงั เกิด ทงั้ ทีก่ าํ ลงั ดบั มสี ตปิ รากฏอยูทจ่ี ติ วา จิตนส้ี ักวา จิต มิใชสัตว บคุ คล ตัว ตน เรา เขา. บรรเทาความยึดมนั่ ในจิตใหส ิน้ ไป. ๔. ธมั มานปุ สสนา ตดั บทเปน ธมั มะ ไดแ กเนือ้ ความหรอื เร่ืองตา ง ๆ ท่ีรูไดด วยจติ เชน นวิ รณ เบญจขันธ อายตนะ โพชฌงค อริยสัจ. เมอ่ื ตอ เขากบั อนปุ สสนา เปน ธมั มานปุ สสนา แปลวา การตามดูธรรม. หมายความวา ใชส ติกาํ หนดพจิ ารณาดูธรรมทเ่ี ปน ปจ จุบนั จนจติ ตั้งมั่นเปนสมาธิ และเกิดปญ ญาเห็นธรรมทงั้ ภายใน ทั้ง ภายนอก ทงั้ ทกี่ ําลงั เกิด ท้งั ทก่ี าํ ลังดบั มสี ติปรากฏอยูท่ีธรรมวา ธรรม นี้สกั วา ธรรม มิใชสตั ว บุคคล ตวั ตน เรา เขา. บรรเทาความ ยึดมนั่ ในธรรมใหส ้นิ ไป. อธบิ ายชอ่ื หมวดธรรม ธรรม ๔ อยา งมีกายานปุ ส สนาเปนตน เรียกชอื่ วา สตปิ ฏฐาน เพราะเปน สตทิ ีต่ ้งั มน่ั คอื คติกําหนดติดตามพิจารณาดูฐานะ ๔ คอื กาย เวทนา จติ ธรรม เปนอารมณ ไมพ ลัง่ เผลอทกุ ขณะ. สตปิ ฏฐาน ๔ น้ี เปน ทางปฏบิ ัตอิ ันเอก เพ่อื ความบริสุทธิ์ เพื่อ ความกาวลวงความเศรา โศก เพ่อื ความดับทุกขโทมนสั เพือ่ บรรลธุ รรม ช้ันสงู เพอ่ื ทําใหแ จง ซ่ึงพระนิพพานสาํ หรับเวไนยสัตวท ้ังหลาย.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาที่ 120 คําถามสอบความเขา ใจ ๑. คําวา กาย เวทนา จติ ธรรม ไดแ กอ ะไร ? ๒. การตัง้ สติกาํ หนดดู ผม ขน เล็บ ฟน หนงั และดศู พท่ี ยังเหลือแตกระดูก จดั เขาในสติปฏฐานขอไหน ? ๓. การต้งั สตดิ ูความสขุ จัดเขาในสตปิ ฏ ฐานขอ ไหน ? ๔. จิตตานุปสสนา หมายความวาอยา งไร ? ๕. เมื่อความพอใจในการเกดิ ข้ึน มสี ตริ ทู นั บรรเทาลงได จัด เขา ในสตปิ ฏ ฐานขอไหน ? ๖. อะไรเรยี กวาสติปฏ ฐาน ? มีเทา ไร ? ๗. สตปิ ฏฐานมีประโยชนอ ยางไร ? อันวา \" กาย \" \" เวทนา \" มา \" จิต \" \" ธรรม \" มปี ระจาํ ไมเวน จดั เปน ฐาน คอื ท่ีต้งั ของสติ เคร่ืองพจิ าร ระลึกอา น รูเหน็ เปน อารมณ มใิ ชสัตว บคุ คล ตน เรา เขา ถอนความเมา จิตช่นื ไมข นื่ ขม ไมย นิ ดี ยินราย คลายระทม เอกอุดม สิ้นโศก เหนือโลก เอย. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 121 ธาตุกัมมัฏฐาน ๔ ธาตุ ๔ คอื ธาตุดิน เรยี กปฐวีธาตุ, ธาตนุ ้ํา เรยี กอาโปธาตุ, ธาตุไฟ เรยี กเตโชธาต,ุ ธาตุลม เรียกวาโยธาตุ. ธาตุอนั ใดมลี กั ษณะแขนแขง ธาตนุ ัน้ เปนปฐวีธาตุ ปฐวธี าตนุ นั้ ทเี่ ปน ภายในคอื ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั , เน้อื เอ็น กระดกู เย่อื ในกระดูก มา ม, หัวใจ ตบั พังผืด ไต ปอด, ไสใ หญ ไสน อย อาหารใหม อาหารเกา. ธาตุอนั ใดมีลกั ษณะเอิบอาบ ธาตนุ น้ั เปนอาโปธาตุ อาโปธาตุน้นั ท่เี ปน ภายในคอื ดี เสลด หนอง เลอื ด เหงื่อ มันขน, น้าํ ตา เปลวมัน นา้ํ ลาย นาํ้ มกู ไขขอ มตู ร. ธาตอุ นั ใดมลี กั ษณะรอ น ธาตนุ ั้นเปนเตโชธาตุ เตโชธาตนุ ้ัน ที่ เปนภายในคือ ไฟท่ยี ังกายใหอบอนุ ไฟท่ียงั กายใหทรดุ โทรม ไฟทยี่ ังกาย ใหก ระวนกระวาย ไฟท่ีเผาอาหารใหยอ ย. ธาตอุ นั ใดมลี กั ษณะพดั ไปมา ธาตนุ ั้นเปน วาโยธาตุ วาโยธาตนุ ัน้ ที่เปน ภายในคือ ลมพดั ข้ึนเบอ้ื งบน ลมพัดลงเบอื้ งต่าํ ลมในทอ ง ลม ในไส ลมพดั ไปตามตัว ลมหายใจ. ความกําหนดพิจารณากายน้ี ใหเห็นวา เปน แตเ พียงธาตุ ๔ คอื ดนิ นํ้า ไฟ ลม ประชุมกนั อยู ไมใ ชเ รา ไมใชของเรา เรยี กวา ธาตกุ มั มัฏฐาน. ม. อุป. ๑๔/๔๓๗.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาที่ 122 อธบิ ายศพั ท ศัพทวา ธาตุ แปลวา ธรรมชาตทิ ีท่ รงตวั จะแยกออกไปอกี ไมไ ด ธาตบุ างอยางมีลักษณะแขน แข็ง บางอยางมลี ักษณะเอบิ อาบ บาง อยางมีลกั ษณะรอ น บางอยา งมลี กั ษณะพดั ไปมา. เม่ือธาตุตาง ๆ คุมกนั เขา เองโดยธรรมชาติ หรอื มนษุ ยป รงุ ขน้ึ เรยี กวา สงั ขาร. สงั ขารบางอยางมธี าตุรเู ขาครอง สมมติเรียกวา คนและ สตั วเปน ตน สังขารบางอยา งไมมธี าตรุ ู สมมติเรียกวา ภเู ขา ตนไม รถ เรือนเปนตน เมอ่ื แยกธาตดุ นิ ธาตุน้ํา ธาตไุ ฟ ธาตลุ ม ออกจากกนั กห็ มดสภาพท่เี ปน สังขาร ซ่ึงสมมตวิ า คน วา สตั ว วา ภูเขา วารถ วา เรอื น ครั้นจะแยกธาตุออกไปอกี ยอมไมไ ด เพราะสิง่ ที่มีลักษณะแขนแข็ง ก็คงเปน ธาตุดิน ที่มีลักษณะเอบิ อาบ กค็ งเปนธาตุนาํ้ ท่ีมลี ักษณะรอ น กค็ งเปนธาตุไฟ ทีม่ ีลกั ษณะพดั ไปมา กค็ งเปน ธาตุลมอยูน้นั เอง. อธบิ ายชอ่ื หมวดธรรม ธาตทุ ้ัง ๔ เหลา น้ีเรยี กวา ธาตกุ มั มัฏฐาน เพราะธาตุเหลานี้ เปน ท่ตี ้งั แหงาการงานทางจติ ใจ. ผเู จริญธาตุกมั มฏั ฐาน พงึ กําหนดพิจารณากายตนและกายผูอืน่ ให เห็นวา เปน แตเพียงธาตุ ๔ จนถอนสัตตูปลทั ธิ ความยึดถือวาสตั ว ถอน สัตตสัญญา ความสําคัญวาสตั วเสยี ได เมอื่ กําหนดเนอื ง ๆ อยดู งั นี้ จติ ก็ ยอมต้ังม่ันเปนสมาธิ วิจกิ จิ ฉานวิ รณระงับไป ไมหลงในสภาวธรรม จิตหยง่ั ลงสูสญุ ญาตารมณ เหน็ วา รา งกายน้มี ีสภาวะวางจากสัตว บคุ คล
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 123 ไมยินดี ไมย นิ รา ย ในรา งกาย ท้งั ที่เปนอิฏฐารมณ ท้งั ท่เี ปนอนฏิ ฐารมณ ประกอบดวยปญ ญาวมิ ตุ ิ หลดุ พนจากกเิ ลสดวยปญ ญา ถายงั มไิ ดบรรลุ นิพพาน ก็ยอ มมีสคุ ติเปนเบือ้ งหนา. คาํ ถามสอบความเขาใจ ๑. อะไรเรยี กวา ธาตุ ? ธาตุ แปลวา กระไร ? ๒. เมื่อรวมธาตหุ ลายอยา งเขาดว ยกนั เปน อะไร ? ๓. คน สตั ว รถ เรือ เปนตน จะหมดสภาพไดอ ยางไร ? ๔. ธาตกุ มั มัฏฐาน ท่ไี ดชือ่ เชน น้ี เพราะเหตุไร ? ๕. ผเู จริญธาตกุ มั มัฏฐาน ยอ มไดผลดอี ยา งไร ? ธาตดุ ิน, น้าํ , ลม, ไฟ, ในเรือนราง เปน จุดทาง ย ปฏบิ ตั ิ กมั มฏั ฐาน จติ ตั้งมั่น - คงดี เกิดมญี าณ แยกสังขาร เปนธาตุ ขาดสมมตุ ิ. จะเปน คน นน่ั นี่ ไดที่ไหน เพียงดิน, นํ้า, ลม, ไฟ, ในท่สี ดุ ปลอ ยสมมติ บัญญตั ิ สตั วม นษุ ย มองเห็นจดุ ธาตุส่ี มสี ขุ เอย. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาท่ี 124 อรยิ สจั ๔ ๑. ทกุ ข. ๒. สมทุ ยั คือเหตใุ หเ กดิ ทกุ ข. ๓. นโิ รธ คอื ความดับทกุ ข. ๔. มรรค คือขอ ปฏบิ ตั ใิ หถงึ ความดับทุกข. ความไมสบายกาย ไมส บายใจ ไดชื่อวาทุกข เพราะเปน ของทน ไดย าก. ตัณหา คือความทะยานอยาก ไดช ่ือวาสมทุ ยั เพราะเปนเหตใุ ห ทกุ ขเกิด. ตัณหาน้นั มีประเภทเปน ๓ คอื ตัณหาความอยากในอารมณท น่ี า รกั ใคร เรยี กวา กามตณั หาอยาง ๑ ตัณหาความอยากเปนโนนเปนนี่ เรียกวา ภวตัณหาอยาง ๑ ตณั หาความอยากไมเ ปนโนน เปนน่ี เรียกวา วภิ วตัณหา อยา ง ๑. ความดบั ตณั หาไดส ้ินเชิง ทุกขด บั ไปหมด ไดชือ่ วานิโรธ เพราะ เปนความดับทกุ ข. ปญ ญาอันเห็นชอบวา สงิ่ นท้ี ุกข สง่ิ นีเ้ หตใุ หท กุ ขเ กิด สงิ่ นค้ี วาม ดบั ทุกข ส่งิ น้ีทางใหถ งึ ความดบั ทุกข ไดช อ่ื วามรรค เพราะเปน ขอ ปฏิบัติ ใหถงึ ความดับทุกข. มรรคน้นั มอี งค ๘ ประการ คอื ปญ ญาอันเหน็ ชอบ ๑ ดาํ ริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ ทําการงานชอบ ๑ เลยี้ งชีวติ ชอบ ๑ ทาํ ความเพียรชอบ ๑ ต้งั สตชิ อบ ๑ ต้งั ใจชอบ ๑. อภ.ิ วิภงคฺ . ๓๕/๑๒๗
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 125 อธิบายศพั ท ๑. ทกุ ข ในอรยิ สจั มีความหมายแคบกวา ทุกขในไตรลกั ษณ เพราะ ในไตรลกั ษณห มายถงึ ทุกขท มี่ แี กส ังขารทัง้ ปวง คือท้ังทม่ี ีใจครอง ทง้ั ที่ ไมมีใจครอง, สว นทกุ ขในอรยิ สัจหมายถึงทกุ ขทม่ี แี กส ังขารที่มีใจครอง. สงั ขารท่ีมีใจครอง คอื คนและสตั วที่ยังมชี ีวิตทุกประเภท ยอ มมี ความทุกขเปนอันมาก หากจําแนกตามพระบาลีมี ๑๒ อยา ง คอื ๑. ทกุ ขเพราะเกดิ ๒. ทกุ ขเพราะแก ๓. ทุกขเพราะความตาย ทงั้ ๓ น้ี รวมเรียกวา ทุกขป ระจํา เพราะมีแกท ุกคนเทากนั คือตอ งเกดิ แก ตายเหมอื นกัน, ๔. ความโศก ๕. ความคร่ําครวญ ๖. ความเจ็บไข ๗. ความระทมใจ ๘. ความคับแคนใจ ๙. ความประสบกับสิ่งที่ไม นา รกั ๑๐. ความพรากจากสิ่งที่นารัก ๑๑. ความไมไดส ิง่ ท่ีปรารถนา ๑๒. ความยดึ มัน่ เบญจขันธ. ตั้งแตขอ ๔ ถึงขอ ๑๒ รวม ๙ อยาง แตละอยา ง ๆ จดั เปน ทกุ ขจร เพราะเกิดขน้ึ บางคร้ังบางคราว นอ ยบา ง มากบางแกบ างคน. อีกอยา งหนึ่ง ทุกขท ัง้ ๑๒ อยา งนแี้ ยกเปน ๒ คอื ทุกขกาย ๑ ทกุ ขใ จ ๑ คอื ขอ ๑-๒-๓-๖ จัดเปนทุกขก าย นอกน้ัน ๘ ขอ จดั เปน ทุกขใ จ. ทง้ั ๑๒ อยางนเ้ี รยี กวา ทกุ ข เพราะเปน ของทนไดย าก โดยทถ่ี ูก บบี คน้ั อันปจจยั ตาง ๆ ปรุงข้นึ ทําใหเ กดิ ความเรารอ นและแปรปรวน ไมย่ังยนื . ๒. สมทุ ัย คอื เหตุใหท ุกขเ กดิ ไดแกตัณหาซ่ึงมี ๓ อยา ง คือ :- ๑. กามตณั หา ความอยากในอารมณ คอื รปู เสยี ง กลิ่น
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาท่ี 126 รส โผฏฐัพพะ. ๒. ภวตัณหา ความอยากเปน อยากได อยากม.ี ๓. วิภวตัณหา ความอยากไมเ ปน อยากไมได อยากไมม.ี ตณั หาทั้ง ๓ อยา งน้ี แตละอยา ง ๆ กเ็ ปน เหตุใหทุกขเกดิ ทัง้ นนั้ . ๓. นโิ รธ คอื ความดบั ทกุ ข. ทุกขเกดิ ขึ้นเพราะเกิดตัณหากอน. ตณั หาเปนผูกอทุกข ทาํ ทุกขใหเ กดิ มี ฉะนั้น ทกุ ขจะดบั ก็เพราะดบั ตัณหา. ตณั หาดับหมด ทุกขก็ยอ มดับหมด. ๔. มรรค คอื ขอ ปฏิบัตใิ หถึงความดบั ทุกข. ขอปฏบิ ตั ิเพื่อใหถึง ความดับตัณหาและดับทุกข มอี งค ๘ ประการ และเมอื่ ยอ เขาในไตร- สิกขา ดงั นี้ คอื เจรจาชอบ ทาํ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ ยอเขา ในศีลสิกขา, ทําความเพียรชอบ ตงั้ สติชอบ ตัง้ ใจชอบ ยอ เขาในจติ ต- สกิ ขา, ปญญาอนั เห็นชอบ ดาํ รชิ อบ ยอเขา ในปญ ญาสกิ ขา. เรยี กสั่นวา ศีล สมาธิ ปญญา. เปน มรรค ทางดับตัณหาไดหมด และดับทกุ ขให สิน้ ไปได. อธบิ ายช่อื หมวดธรรม ธรรม ๔ ขอ นี้ ไดช ื่อวา อริยสจั เพราะเปนธรรมชาติจรงิ แท มิไดแปรผนั เปน อยา งอ่ืน สิง่ ทเ่ี ปนทกุ ขกค็ งเปนทกุ ข เรียกชือ่ วาทุกข, ส่งิ ทเ่ี ปน เหตุใหท กุ ขเกดิ กค็ งเปนเหตุทกุ ข เรียกชอ่ื วาสมทุ ัย, สิ่งทด่ี บั ทกุ ข กค็ งดบั ทกุ ข เรียกชอื่ วานิโรธ, สิง่ ทีเ่ ปน ทางใหถ งึ ความดับทุกข ก็คงเปนทางดับทกุ ข เรยี กวามรรค ไมเปล่ยี นแปร เปนธรรมชาติ จริงแทอยอู ยางน้ี.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 127 อีกอยางหนึง่ สัจธรรมทง้ั ๔ น้ี ถา ผูใ ดตรสั รวู า ยอ มทําผูน้ัน ใหพน จากปุถุชน เปนอรยิ ชน คนประเสริฐ เพราะสนิ้ กเิ ลส. อนง่ึ พระพทุ ธเจา พระปจ เจกพทุ ธเจา และพระพุทธสาวก มี นามเรยี กวา อรยิ ะ ปรากฏทัว่ โลก กเ็ พราะตรัสรสู จั ธรรมทง้ั ๔ นี้ เหตนุ ี้ สัจทงั้ ๔ นี้ จึงเรยี กวา อรยิ สจั ๔. คําถามสอบความเขา ใจ ๑. ทกุ ขใ นไตรลักษณ กบั ทกุ ขใ นอรยิ สจั ตา งกนั หรอื เหมอื นกัน อยา งไร ? ๒. ทุกขใ นอรยิ สจั มีเทา ไร ? ถา จัดใหม ีเพียง ๒ จะจดั ไดอยางไร ? ๓. ทกุ ขเ กดิ มาจากอะไร ? อะไรกอใหเกดิ ทกุ ข ? ๔. ทางดับทกุ ขม ีเทา ไร ? วาโดยยอ มเี ทาไร ? ๕. ทุกข สมทุ ัย นโิ รธ มรรค ไดช่ือวาอะไร ? เพราะเหตไุ ร ? อริยสจั น่ันมี สีส่ ถาน โลกาจารย ทรงแสดง แถลงไข หน่งึ ทุกขค ือ ไมส บาย กายและใจ มีอยใู น คนเรา เหลาประชา. สองสมทุ ยั เหตุให ทกุ ขไดเ กิด ตวั กําเนดิ สําคัญ คือตณั หา สามนโิ รธ ทุกขด บั ไมก ลบั มา เพราะตัณหา ลดลบั ดับสิน้ เชิง. สีม่ รรคมี แปดองค ทรงตรงดงิ่ ดาํ เนินจรงิ สบาย หายยงุ เหยงิ ตวั ตัณหา กาลี หนีกระเจิง เราบนั เทงิ พน ทกุ ข สขุ นริ ันดร. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ที่ 128 ปญจกะ คือหมวด ๕ อนนั ตรยิ กรรม ๕ ๑. มาตฆุ าต ฆา มารดา. ๒. ปต ุฆาต ฆาบิดา. ๓. อรหันตฆาต ฆาพระอรหนั ต. ๔. โลหติ ปุ บาท ทาํ รา ยพระพทุ ธเจาจนถึงยงั พระโลหติ ให หอ ขึน้ ไป. ๕. สงั ฆเภท ยงั สงฆใ หแ ตกจากกนั . กรรม ๕ อยา งน้ี เปน บาปอันหนาทีส่ ดุ หามสวรรค หามนิพพาน ตั้งอยใู นฐานปาราชิกของผูถือพระพุทธศาสนา หา มไมใ หท าํ เปน เด็ดขาด. อง.ฺ ปจฺ ก. ๒๒/๑๖๕ อธบิ ายศัพท มาตฆุ าต ปต ุฆาต อรหนั ตฆาต ไดแ กก ารฆา มารดา ฆาบิดา ฆาพระอรหันต ดวยเจตนา คอื จงใจฆา แมส าํ คัญผดิ คิดวาเปนคนอน่ื สตั วอ่ืน ก็ไมพน โทษอนั ชอื่ วา อนนั ตรยิ กรรม เพราะมเี จตนา จงึ เปน การฆา ทีส่ มบรู ณ. โลหติ ปุ บาท ไดแกท ํารา ย คอื พยายามฆาพระพทุ ธเจา แตฆ า ไมส ําเร็จ เพยี งแตท ําใหบาดเจ็บ แมเพยี งพระโลหิตหอ (โปง นนู ชํ้าเลือด) ขน้ึ .
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาท่ี 129 สังฆเภท ไดแกยังสงฆใหแตกกนั คอื ทาํ ลายพระสงฆผูพรอม- เพรียงกัน ในสมี าเดยี วกัน ในวัดใดวดั หน่ึง ใหแ ตกเปนกก จนถึงไม รว มอุโบสถสังฆกรรม ตองแยกออกทําอโุ บสถสังฆกรรม หรือปวารณา- กรรม หรอื สงั ฆกรรมอ่ืน ๆ เปน ๒ หมู . กรรมทง้ั ๕ อยา งนี้ แตละอยา ง ๆ จัดเปน บาปอันหนักทีส่ ดุ เพราะมาดา บดิ า เปนผูมพี ระคุณตอบุตรมากท่สี ุด บตุ รใดฆา มารดา บดิ าผูบงั เกิดเกลาของตนได ก็นบั วา เปนคนเลวคนช่ัวที่สุด เขายอมฆา คนอน่ื ๆ ไดแนนอน. พระอรหันต เปนผูหมดจดจากกเิ ลส เปนผู บรสิ ทุ ธ์อิ ยางยงิ่ เปน นาบุญสูงสุดของชาวโลก ผใู ดฆาพระอรหันตได ก็นับวา เปน คนเลวคนช่วั ทสี่ ดุ เขายอมฆาคนอนื่ ท่ียงั มีกเิ ลสไดอ ยา งแนนอน. พระพุทธเจา เปนเจาของพระพุทธศาสนา ทรงเปน พระธรรมราชา ทเ่ี คารพสูงสุดของผนู บั ถือพระพทุ ธศาสนา ประดุจพระมหากษัตรยิ เ ปนที่ เคารพสูงสุดของปวงชนในประเทศ ผูใดคิดราย ทาํ รา ยตอ พระพทุ ธเจา ได ก็จัดเปนคนเลวคนชวั่ ทีส่ ุด เหมอื นคนที่คิดกบฏ ทํารา ยพระมหา- กษัตริยฉ ะนั้น. หมูส งฆผูพ รอ มเพรยี งกัน นาํ พระศาสนาสบื ตอ กนั มาไมข าดสาย เปนหมทู ี่สําคัญท่สี ุดในพระพุทธศาสนา ผูใดมงุ รายทําลายสงฆได กจ็ ดั เปน คนเลวคนชว่ั ท่สี ุด เขายอมคิดรา ยทาํ ลายหมูค ณะอ่ืนไดแนนอน. ฉะนนั้ กรรมทั้ง ๕ อยา งน้ี แตล ะอยา งจัดเปนบาปหนกั ทสี่ ุด คนทท่ี ํากรรม ๕ อยางน้ี แมเพยี งอยา งเดียวก็ช่ือวา เปน คนเลวคนชั่วท่สี ุด. กรรม ๕ อยา งนี้ แตล ะอยา งชื่อวา หามสวรรค หามนิพพาน หมายความวา กรรมนหี้ า มผูทาํ มใิ หไปสวรรค และหามมิใหไ ปถึงนิพพาน
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 130 ผทู ํากรรมนแี้ ลวตอ งไปทุคติ คือ นรก เปรต อสุรกาย กําเนดิ ดริ จั ฉาน. กรรม ๕ อยางนี้ แตละอยางต้ังอยูในฐานปาราชิกของผนู บั ถือ พระพุทธศาสนา หมายความวา ผูท่ที ํากรรมนีเ้ ขาแลว ตองไดรบั โทษ คือบาปหนกั ท่สี ุด ทาํ นองเดยี วกบั พระภกิ ษลุ วงละเมิดปาราชิกสกิ ขาบท แลว ตอ งไดรบั โทษคืออาบัติหนักท่ีสดุ ฉะนัน้ ทา นจึงหามมิใหทําเปน อันขาด. อธบิ ายชอ่ื หมวดธรรม กรรมเหลานี้ ชือ่ วา \" อนนั ตรยิ กรรม \" แปลวา กรรมทไี่ มมี ระหวา ง คือผใู ดทําเขาแลว แมจ ะทาํ กรรมดีตา ง ๆ ลบลา ง กไ็ มอ าจ ลบลา งได ผนู ้ันตายลง คงไดรับผลของกรรมน้ที นั ที ไมม ีผลของกรรม อ่ืนมาคน่ั ในระหวาง ตัวอยา งเชน พระเจา อชาตศัตรู ปลงพระชนม พระเจาพิมพิสารผเู ปนพระชนก ภายหลงั ทรงสาํ นกึ ผดิ จึงทรงสราง กรรมดีเปน อนั มาก ทรงเปนศาสนปู ถัมภก ในคราวปฐมสังคายนา ซึ่ง นับวามอี ปุ การคุณตอพระศาสนาเปนอยางยงิ่ สมควรจะไดเปนพระอรยิ ะ แตกไ็ มไ ดเ ปน พอส้นิ พระชนมก็ตองตกนรกทนั ที ผลของกรรมดีนั้น ชวยใหพนจากขมุ นรกทจ่ี ะตองตกเพราะปตุฆาตไดเพยี งชน้ั ๑ เทา นนั้ . พระเทวทัตต ทําสงั ฆเภท และทําโลหติ ปุ บาทแลว ภายหลังสํานกึ ผดิ จงึ เปลงวาจาถึงพระพทุ ธเจาเปน สรณะ สมควรจะไมตกนรก เพราะ มีพระบาลวี า เย เกจิ พทุ ธ สรณ คตา เส น เต คมสิ ฺสนติ อปายภูมึ ใครกต็ ามถงึ พระพุทธเจาวา เปนสรณะ จักไมไปสูอ บายภูมิ. แต กช็ ว ยไมได ผลของอนนั ตริยกรรมทาํ ใหพระเทวทตั ตถูกแผน ดินสบู ลงไป
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 131 ตกอเวจีมหานรกทนั ที พระผมู พี ระภาคเจาทรงพยากรณวา เทวทัตต หมดกรรมชว่ั พนจากนรก ตอ ไปเขาจกั ไดเปนพระปจ เจกพระพุทธเจา นามวา อฐั ิสสระ ดว ยผลของการเปลงวาจาถงึ พุทธวา เปนสรณะนั้น. คําถามสอบความเขาใจ ๑. บุคคลเห็นคนนอนคลุมโปงอยู เขาใจวา เปน ผูรา ยจงึ ฆาเสยี ภายหลังทราบวา ผถู ูกฆา เปนมารดา หรอื บดิ าของตน หรือเปน พระอรหันต เชนน้ี ผูฆา น้นั จะช่ือวา ทาํ อนนั ตริยกรรม ได หรอื ไม ? เพราะเหตไุ ร ? ๒. การยุยงใหพระสงฆทะเลาะกัน จดั เปนสังฆเภทไดหรอื ไม ? เพราะเหตุไร ? ๓. เพราะเหตุใด ทานจงึ วา กรรม ๕ อยา งมมี าตุฆาตเปนตน เปน บาปหนักท่ีสดุ ? ๔. กรรมเหลาน้ที า นวา ตัง้ อยูในฐานปาราชิกของผูนับถือพทุ ธ- ศาสนา หมายความวาอยางไร ? ๕. ท่ีชอ่ื วา อนนั ตรยิ กรรม นนั้ มอี ธบิ ายอยา งไร ? มารดาบิดาท้ัง อรหนั ต ใครฆาบาปอนนั ต หนักแท โลหติ ปุ บาทอกี อนั สังฆเภทบาปเกินแก โทษหนกั ดงิ่ ทอ งอเวจ.ี ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 132 อภิหปจ จเวกขณ ๕ ๑. ควรพิจารณาทุกวนั ๆ วา เรามีความแกเปนธรรมดา ไมล า ง พน ความแกไ ปได. ๒. ควรพิจารณาทุก ๆ วนั วา เรามคี วามเจ็บเปน ธรรมดา ไมลวง พน ความเจ็บไปได. ๓. ควรพจิ ารณาทุก ๆ วนั วา เรามีความตายเปน ธรรม ไมลวง พน ความตายไปได. ๔. ควรพิจารณาทุก ๆ วนั วา เราจะตอ งพลดั พรากจากของรัก ของชอบใจทง้ั ส้ิน. ๕. ควรพจิ ารณาทุกวนั ๆ วา เรามีกรรมเปน ของตัว เราทาํ ดจี ัก ไดด ี ทาํ ชั่วจกั ไดช ั่ว. อง.ฺ ปฺจก. ๒๒/๘๑ อธิบายศพั ท ๑. ชรา ความแก มี ๒ อยา ง คือ ๑. ปฏจิ ฉนั นชรา แกทป่ี กปด ไดแ กค วามแกข น้ึ นับตั้งแตเ กดิ แลว กแ็ กข น้ึ โดยลาํ ดับ จนถึงวัยกลางคน แกอ ยางนี้มองไมเห็น เหมือนของท่ีปดบงั ไว แตผมู ปี ญ ญายอมรูเ หน็ . ๒. อปั ปฏิจฉนั นชรา แกทไ่ี มปกปด ไดแกค วามแกล ง นบั ตง้ั แตว ัย กลางคนแลว ก็แกลงไป ใคร ๆ กย็ อมมองเหน็ ไดช ัด เชน หนงั เหย่ี วแหง
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ที่ 133 หยอ นยาน ผมหงอก ฟน หัก เปน ตน ความแกนี้เปนเรื่องธรรมดา อยางหน่ึง. ๒. พยาธิ ความเจ็บ มี ๒ อยา ง คอื ๑. ปฏจิ ฉนั นพยาธิ ความเจบ็ ทปี่ กปด ไดแ กค วามหวิ ความกระหาย ความเมอื่ ยขบในขณะ ทีน่ ่งั นานเปนตน ซึ่งเปน ความเจบ็ ไขท ท่ี นไดย าก แตแกไดงา ย จึงมอง ไมเหน็ วา เปนความเจ็บ. ๒. อัปปฏจิ ฉนั นพยาธิ ความเจ็บที่ไมปกปด ไดแกความปวยไขอ ันเกิดจากสมุฏฐานตา ง ๆ ทงั้ ภายนอกและภายในรา งกาย เชน โรคผวิ หนงั โรคตาแดง โรคหวดั โรคปอด โรคกระเพาะ โรคลาํ ไส หรือเกิดอปุ ท วเหตุ ขาหกั แขนหักเปนตน ความเจ็บน้กี ็เปน เร่อื งธรรมดาอยางหน่ึง. ๓. มรณะ ความตาย มี ๒ อยาง คอื ๑. ปฏจิ ฉันนมรณะ ความตายปกปด ไดแ กความตายท่ีมาพรอมกบั ความเกดิ เชน ตายจากเดก็ ออ น เกิดเปน เด็กแก ตายจากเด็กเลก็ เปนเด็กรุน เปนคนหนุม - สาว ตายจากหนุม - สาว เปนผูใหญ ตายจากผใู หญ เปน คนแก ตายจาก คนแก เปนคนเฒา. ๒. อัปปฏิจฉนั นมรณะ ความตายไมป กปด ไดแ ก ชีวิตดับ อาจดบั ในขณะเปน เดก็ หรือกลางคน หรอื แก - เฒาก็ได ความตายน้กี ็เปนเรอ่ื งธรรมดาอยางหนึ่ง. ๔. ความพลดั พราก กม็ ี ๒ อยาง คือ ๑. ความพลดั พรากที่ ปกปด เชน รา งกายเราเองในตอนเปนเดก็ ๆ นารัก เรากพ็ รากจากเดก็ มาเสียแลว และก็พลดั พรากจากรา งกายในวยั นน้ั ๆ ของตนเองเสมอโดย ไมรูส กึ ตวั แมความสุขสําราญ ความจาํ ความคิด ความรสู กึ ท่ีตนชอบ กพ็ ลดั พรากจากไปทกุ วัน แตเมอื่ ไมพจิ ารณาก็ไมร ไู มเห็น ๒. ความ
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 134 พลัดพรากทีไ่ มป กปด เชน ทรพั ยสญู หาย คนทร่ี ักเชน พอ แมลกู เปนตน หายไป ตายไป ความพลัดพรากนีก้ ็เปนเรอื่ งธรรมดาอยา งหน่ึง. ๕. กรรม มี ๒ อยา ง คอื ๑. กรรมดีอํานวยผลใหดี มีความ สขุ ความเจริญ ท้งั ในปจจุบนั ทงั้ ในอนาคต ๒. กรรมชัว่ อาํ นวยผลใหช วั่ มคี วามทุกขความเดือดรอน ท้งั ในปจ จุบัน ท้งั ในอนาคต. คําวา เรามกี รรมเปนของตวั หมายความวา กรรมดีกต็ าม กรรมชัว่ ก็ตาม เราทาํ ลงไปแลว ยอ มคงเปน สมบัติติดตวั ตามตนไปทกุ หน ทกุ แหง จะยกใหใ ครก็ไมไ ด ใครมาขอหรือแยง ชิงไปก็ไมไ ด หรอื เรา ไมไ ดทาํ เอง ไปขอของผูอนื่ มาเปน ของตนกไ็ มได. จะโอนกรรมสิทธิ์ให แกกันก็ไมไ ด. เรือ่ งกรรมนี้กเ็ ปนเร่ืองธรรมดาอยา งหน่ึง. อธิบายช่ือหมวดธรรม ฐานะทง้ั ๕ น้ี ชือ่ วา อภิณหปจ จเจกขณ แปลวา ฐานะที่ คฤหัสถห รอื บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนือง ๆ คือเปนเร่ืองธรรมดาทคี่ วร พิจารณาเปน ประจาํ ทกุ วัน เพอ่ื ประโยชนด งั นี้ :- พจิ ารณาความแก เพอ่ื บรรเทาความเมาในความเปน เด็กหรอื ใน ความเปนหนมุ เปน สาว เหน็ แกค วามสนกุ เพลิดเพลนิ ใหต ง้ั ใจศกึ ษา เลาเรยี น และทํากจิ ที่ควรทาํ ในขณะทีย่ งั ไมแ ก. พิจารณาความเจ็บ เพอ่ื บรรเทาความเมาในความไมม ีโรคภยั ไขเ จบ็ แลว รบี เรงศกึ ษาเลาเรียน และทาํ กจิ ที่ควรทําในขณะทยี่ งั ไมมีโรค.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาที่ 135 พจิ ารณาความตาย เพอื่ บรรเทาความเมาในชวี ิต แลวรบี เรงทํากจิ ทค่ี วรทําใหสาํ เรจ็ กอนที่ควรตายจะมาถงึ . พิจารณาความพลัดพรากจากของหรอื คนทรี่ กั เพื่อบรรเทาความ ยึดม่ัน ถือมั่นวา สงิ่ นน้ั คนนั้น เปน ที่รกั ของเรา จกั ไมต อ งเสียใจในเมื่อ ตองพลัดพรากจริง ๆ. พิจารณากรรม เพอื่ บรรเทาความเหน็ ผดิ วา คนจะดีกด็ เี อง จะช่ัว ก็ชั่วเอง จะไดส ขุ ทกุ ขก ็ไดเอง แลวรีบเรง ทาํ แตกรรมดี งดเวนกรรมชัว่ . ฐานะเหลานชี้ อ่ื วา อภิณหปจ จเวกขณ ฐานะทีค่ วรพิจารณาเนอื ง ๆ เพอ่ื ประโยชนอยา งนแ้ี ล. คําถามสอบความเขา ใจ ๑. ความแก ความเจบ็ ความตาย ท่ปี กปด นัน้ อยางไร ? ๒. ความพลดั พรากท่ีปกปด และทเี่ ปด เผยนน้ั เปนอยางไร ? ๓. กรรม ๒ อยา ง คืออะไร ? เปน ของใคร ? โอนกรรมสทิ ธ์ิ กนั ไดไ หม ? ๔. ฐานะ ๕ ท่คี วรพจิ ารณาเนือง ๆ มชี ือ่ เรยี กวาอยา งไร ? ๕. การพจิ ารณาฐานะ ๕ เนือง ๆ จะไดประโยชนอ ะไร ? เกดิ แกแ ละไมข า เจ็บ,ตาย ทรพั ยคูรกั บุตรหลาย พรากสนิ้ กรรมดชี วั่ จุดหมาย คงอยู ถึงวาชีพดับด้ิน กรรมนมี้ สี นอง. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 136 เวสารชั ชกรณธรรม คอื ธรรม ทาํ ความกลา หาญ ๕ อยา ง ๑. สทั ธา เชือ่ สงิ่ ทีค่ วรเช่ือ. ๒. สีล รกั ษากายวาจาใหเรยี บรอย. ๓. พาหสุ ัจจะ ความเปน ผศู กึ ษามาก. ๔. วริ ยิ ารัมภะ ปรารภความเพียร. ๕. ปญ ญา รอบรูส ่งิ ที่ควรรู. อง.ฺ ปฺจก. ๒๒/๑๕๔ อธิบายศพั ท ๑. สทั ธา แปลวา เช่อื สิ่งที่ควรเช่อื หมายความวาถาเชื่อสิง่ ที่ ไมค วรเช่อื เชน เขาบอกวา อีกามขี นขาว กระตายมเี ขา พระพทุ ธเจา ปรนิ พิ พานแลว มาปรากฏใหถ า ยภาพเปนตน กเ็ ชอื่ อยา งนีไ้ มจ ัดวาเปน สัทธาท่ถี กู ตอ ง เปนเพียงสทั ธาญาณวิปปยุต คอื ความเช่ือท่ปี ราศจาก ความรทู ีถ่ ูกตอ ง ทานเรียกสัทธาเชนนวี้ า อธิโมกข คอื นอมใจเชอื่ . แตความเช่ือสงิ่ ท่ีควรเชื่อตอ งเปนสัทธาณาณสมั ปยุตคอื ความเช่อื ที่ประกอบดวยความรูอนั ถูกตอง มีเหตุผลสมควร อันสิง่ ทคี่ วรเช่ือนน้ั เมอื่ กลา วเฉพาะทีส่ ําคญั คือ:- ก. ตถถาคตโพธิ ความตรัสรขู องพระตถาคตคอื พระพุทธเจา มุง เอาคําสอนของพระพทุ ธเจา.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาท่ี 137 ข. กรรม การกระทาํ ของบุคคล คอื ถาทําดีก็เปน เหตุดี ทําชั่วก็ เปนเหตชุ ว่ั . ค. กรรมวิยาก ผลของกรรม คอื ผลดมี าจากกรรมดี ผลช่ัวมาจาก กรรมชัว่ . ง. กัมมสั สกตา ความทส่ี ตั วม ีกรรมเปน ของตน ตนทํากรรมอนั ใดไว ตองไดรบั ผลของกรรมนัน้ . บุคคลทเ่ี ชือ่ ตอสงิ่ ท่คี วรเชอื่ ๔ อยางนี้ ยดึ ถอื ไวเปน หลักสําคญั ในชีวติ และเชื่อใจมัน่ ใจในตัวเองวาสามารถประกอบกรณยี กจิ โดยมิให ขัดกับหลกั ทเี่ ชื่อถืออยู ก็ยอมจะมีความองอาจกลาหาญในกาลทกุ เมอ่ื ฉะนน้ั สทั ธาจึงเปน ธรรมที่ทําใหเกิดความกลาหาญได. ๒. สลี แปลวา \" ปกติ \" หมายความวา จติ เปนปกติ ไมถกู โลภะ โทสะ โมหะเปนตนครอบงํา เมื่อจติ เปนปกติ กาย วาจา อนั เก่ียวเนือ่ งกับจิตกเ็ ปน ปกติเรยี บรอ ย. คนทม่ี ศี ลี กค็ ือคนทมี่ ีกาย วาจา จติ เปน ปกตเิ รียบรอ ยไมถูกกิเลส ชักจงู ใหล วงละเมิดสิกขาบทกฎระเบยี บวนิ ยั ใหญน อย ตามควรแกภ าวะ ของตน ๆ จะอยูท ไ่ี หน จะไปท่ใี ด กม็ สี งาภาคภูมใิ จ ไมสะทกสะทา น ครั่นคราม ก็แตความแกลวกลาอาจหาญ ฉะนนั้ สลี จึงเปนธรรมทท่ี าํ ใหเกิดความกลาหาญได. ๓. พาหสุ จั จะ แปลวา ความเปนผูไดยินไดฟ ง มาก ไดแ กค วาม เปนผศู ึกษามาก หมายความวา ไดฟงหรืออา นเขียนเลา เรยี นศลิ ปวทิ ยาทง้ั ทางโลกและทางธรรมมาก จําไดมาก ทอ งไดคลองปากมาก เอาใจใสมาก
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาที่ 138 ใชปญ ญาขบคิดทะลุปโุ ปรง มาก จงึ เปนเหตุใหรูจ ักผดิ - ถกู , บาป - บญุ . คุณ - โทษ รูจ กั ความเหมาะสมและไมเ หมาะสม. คนทมี่ พี าหสุ จั จะ ทานจงึ เรียกวา \" ผคู งแกเ รยี น, บณั ฑติ , นักปราชญ \" ยอมเปน ผูเ ฉลียวฉลาดแตกฉานในการเจรจา สามารถแก ปญ หาเฉพาะหนา ไดโ ดยฉับพลัน และเปน คนทันตอเหตกุ ารณ มีความ กลาหาญอยเู สมอ ฉะนน้ั พาหสุ ัจจะจึงเปนธรรมทีท่ าํ ใหเ กดิ ความ กลาหาญได. ๔. วิริยารมั ภะ แปลวา ปรารภความเพยี ร, เรม่ิ ความเพียร, หมายความวา มใี จตง้ั มั่นอยใู นความเพียรเสมอ มีใจกลา ไมก ลัวตอความ เหนื่อยยาก และภยันตราย คุณธรรมขอ นเี้ ปนเครอื่ งทําลายความเกยี จคราน ความขลาดกลวั ความทอแทออ นแอ คอยพยุงจิตมิใหยอทอ ในการศึกษา เลา เรียนก็ดี ในการประกอบกิจตามหนาที่ก็ดี ในการอบรมจติ ใหสะอาด ปราศจากกเิ ลสก็ดี คุณธรรมขอนี้จกั ชวยใหส าํ เร็จไดดงั ประสงค. คนที่ตัง้ อยใู นคุณธรรมคอื วิรยิ ารมั ภะ ยอมเปน ผกู ลา เปน ผอู งอาจ เปน ผูสามารถ เปนผูมชี ยั ชนะโดยธรรม ฉะนน้ั วริ ยิ ารัมภะจึงเปนธรรมท่ี ทาํ ใหเ กดิ ความกลา หาญได. ๕. ปญ ญา แปลวา รอบรสู ง่ิ ทีค่ วรร.ู หมายความวาสง่ิ ท่ีไม ควรรูก็มีอยู เชนเรือ่ งทพี่ ระพุทธเจาไมทรงตอบในเม่อื มีผถู าม อนั ไดแก เร่ืองโลกเท่ยี ง โลกไมเทย่ี ง โลกมีทสี่ ุด โลกไมมีทสี่ ดุ เปนตน ซึง่ ลวน แตเ ปน เรอ่ื งทไ่ี มเ ปนไปเพ่อื ความสงบระวับดบั ทกุ ขเ ลย ฉะนนั้ ปญญาใน ทนี่ ม้ี งุ เอาความรอบรูในสิ่งทค่ี วรรู ซง่ึ เปน ไปเพ่ือความอยเู ยน็ เปน สุข ดบั ทกุ ขไ ดห มด.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 139 อันสิง่ ทคี่ วรรู ในคดีโลก ไดแ กศ ลิ ปวิทยาสาขาตาง ๆ ทีเ่ ปน แนวทางประกอบสมั มาอาชพี ใหท รพั ยสมบตั ิและอิสริยยศ ปรวิ ารยศ เกดิ ขนึ้ . ในคดีธรรม ไดแ กเรอื่ งบาป - บุญ ทกุ ข - สุข พรอ มท้งั เหตุ. ปญ ญา คอื ความรอบรู หมายความวา รทู ่วั ทุกแงทกุ มมุ รูท้ังเหตุ ทัง้ ผล รูเบอื้ งตนเบือ้ งปลาย ในสิ่งทคี่ วรรูทั้งคดโี ลกทั้งคดีธรรม ดังกลา ว. บุคคลผมู ีปญญา ยอ มสามารถทําประโยชนต นและประโยชนผ อู ื่น ทงั้ คดโี ลกทั้งคดีธรรมใหส าํ เรจ็ บริบรู ณได แมมภี ยั เฉพาะหนา มีปญหา ยงุ ยาก ก็มไี ดหวาดหว่ันพรนั่ พรงึ เพราะไดใ ชป ญญาอนั เปรยี บเหมือน แสงสวางสองใหเ ห็นชอ งทางหลีกภัยและแกไ ขปญ หาไดโ ดยฉับพลนั . ฉะนั้น ปญญาจึงเปนธรรมทําใหเกิดความกลาหาญได. อธบิ ายชื่อหมวดธรรม คุณธรรม ๕ ประการน้ี ช่ือวา \" เวสารชั ชกรณธรรม \" \" ธรรม เครอ่ื งทําความกลาหาญ \" โดยอธบิ ายวา เปน หลกั เครื่องยดึ เหนย่ี ว อดุ หนุนค้าํ จุนประคองสองใจใหกลาหาญ ผูใดกต็ ามประกอบดวยคุณธรรม เหลานี้ ผนู ั้นยอมเปนผูแกลว กลาอาจหาญ จะทาํ การส่ิงใด จะพูดส่ิงใด จะคดิ ส่ิงใด ก็ทําพูดคดิ ดว ยความมั่นใจ โดยมไิ ดหว่ันเกรงจะผิดพลาด สามารถนาํ ตนและบุคคลที่เก่ียวของใหบรรลถุ ึงความสุขสวัสดใี นทีท่ กุ สถาน คําถามสอบความเขาใจ ๑. อะไรเปน สง่ิ ทไี่ มควรเชอ่ื ? ถาเชอ่ื ส่งิ นนั้ จะเรยี กสัทธาได หรอื ไม ?
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 140 ๒. สัทธาที่แทจ รงิ ไดแกเ ชื่ออะไร ? ๓. พาหสุ จั จะ หมายความวา อยา งไร ? ๔. วิริยารมั ภะ เปนธรรมทม่ี ีหนา ทอ่ี ยา งไร ? ๕. สิ่งที่ควรรู และส่ิงทไ่ี มควรรู ไดแ กอะไร ? ๖. อะไรชื่อวา เวสารชั ชกรณธรรม ? มกี ี่อยาง ? อะไรบาง ? มีเงินรจู กั ใช เปน สขุ ใชบ เปนมที กุ ข ทว มทน หมดเงนิ ไมสนกุ หมดทา ถงึ มากเงินไมพน คัง่ แคน แสนระทม. ประหลาด สงั คมมนษุ ยน้ี ปนป ใครแขงขนั พนิ าศ เกนิ สว น รบั แฮ มีทรัพยจา ยประมาท เชน นล้ี ม จม. ปราชญบ ง บอกชัดชี้ ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 141 องคแหงภิกษุใหม ๕ อยาง ๑. สํารวมในพระปาตโิ มกข เวน ขอท่ีพระพุทธหา ม ทาํ ตามขอท่ี ทรงอนญุ าต. ๒. สํารวมอินทรีย คือระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไมใ ห ความยนิ ดี ยินรา ยครอบงําได ในเวลาเหน็ รปู ดว ยนยั นต าเปนตน. ๓. ความเปน คนไมเอิกเกริกเฮฮา. ๔. อยใู นเสนาสนะอันสงัด. ๕. มคี วามเห็นชอบ. ภกิ ษใุ หมค วรตัง้ อยูในธรรม ๕ อยา งน้ี องฺ. ปจฺ ก. ๒๒/๑๕๕ อธบิ ายศัพท ๑. สาํ รวมในพระปาติโมกข หมายความวา ปฏบิ ตั ิตามสกิ ขาบท ในพระปาตโิ มกข อนั เปน กฎหมายทพ่ี ระพทุ ธเจาทรงตงั้ ไวส ําหรับพระ ภิกษุซ่งึ มอี ยู ๒๒๗ สกิ ขาบท. ในจํานวน ๒๒๗ นั้น เมอ่ื แยกประเภท กเ็ ปน ขอ หาม ๑ เปน ขอ อนุญาต ๑ การปฏิบตั ิตามสขิ าบทเหลานี้ กค็ ือ ต้งั ใจงดเวนจากส่ิงทมี่ สี ิกขาบทบญั ญัตหิ า ม และตั้งใจทําส่งิ ที่มีสกิ ขาบท บัญญตั ิอนุญาตไว (ดูคาํ อธิบายในปาริสุทธศิ ีล หนา ๑๐๓) ทง้ั นเี้ พื่อความ เปนระเบียบเรยี บรอย ควรแกก ารไหวกราบและเปน นาบญุ ของชาวโลก
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาท่ี 142 ๒. สํารวมอินทรยี คอื มสี ตริ ะวัง ตา หู เปน ตน มใิ หค วามยนิ ดี ยนิ ราย คือความรกั ความชังเกดิ ขน้ึ ในจิตในเวลาทเี่ หน็ รูปดว ยนยั นต า เปน ตน . (ดคู ําอธบิ ายในอปณณกปฏิปทา หนา ๕๒) ทงั้ นเ้ี พื่อเปน เครอื่ ง ควบคมุ จิตใจใหสงบเปน สมาธิ และเปนอุปการะการสํารวมในพระ ปาตโิ มกข คอื สนับสนุนศีลสิกขาใหบรบิ ูรณย ่ิงขนึ้ . ๓. ความเปน คนไมเ อกิกริเฮฮา หมายความวา เพศของภิกษุ เปนอดุ มเพศ คอื เพศทสี่ ูง เปนทเี่ คารพบชู าของคฤหสั ถ ถา ภิกษุยงั เปน คนเอกิ เกรกิ เฮฮา ก็ไมเปน ทีต่ ้งั แหงความเคารพบชู า เพราะกิริยาเชน นั้น ไมแตกตา งอะไรกับคฤหัสถ ไมสมควรแกเ พศบรรพชิต หรอื สมณะเลย เพราะไมเปนไปเพอ่ื สละคืนคลายกเิ ลสราคะ ไมเปน ไปเพือ่ ความสงบ เรียบรอ ย กลับทํากเิ ลสราคะใหมากขนึ้ เพ่มิ ความนารังเกียจใหมากขึ้น ไมน า เคารพกราบไหวบชู าเลย ฉะนัน้ ภิกษุ (หรอื สามเณร) ตอ งเปน คนไมเอกิ เกริกเฮฮา มีความสาํ รวมกาย - วาจา มีสมณสัญญา สงบเสง่ยี ม อยูเสมอ จงึ จะสมกบั อดุ มเพศท่เี คารพอยางสูง. ๔. อยใู นเสนาสนะอนั สงัด หมายความวา ภกิ ษผุ ูบวชในศาสนา นี้ พระพุทธเจา ทรงอนุญาตใหอ ยูโ คนไมในปาทเ่ี งยี บสงัด ไกลจากชมุ ชน เพอื่ จะไดเจริญสมณธรรม คอื ทําจิตใจใหสงบสงัดจากกิเลสอันเปน จดุ ประสงคแทจริงของการบวช. แตในปจจุบันน้ี พระนิยมการบวชอยูใน วดั ใกลบาน หรอื วดั ในกลางเมอื งท่ชี ุมนมุ ชน แมเชน น้ี ก็ยงั มีสถานทบ่ี าง แหงภายในวัดเปนทส่ี งบสงัด พอจะเปนโอกาสเจรญิ สมณธรรมได ฉะนั้น ภิกษุ (หรอื สามเณร) ตอ งพยายามหลกี ออกจากเสนาสนะอันพลกุ พลาน ไปดวยหมูช น ยินดีอยูเฉพาะในเสนาสนะอนั สงัดจงึ จะสมควร.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาที่ 143 ๕. มคี วามเห็นชอบ หมายความวา เหน็ ถกู ตองตามคลองธรรม เชนเห็นวา บาป - บญุ มจี รงิ บิดา - มารดา มีคณุ จรงิ ทําเหตุดี ไดผลดจี ริง ทําเหตชุ ว่ั ไดผลชวั่ จริง สงั ขารท้งั ปวง ไมเทย่ี ง เปน ทกุ ข เปนอนตั ตาจรงิ อรยิ สจั ๔ คือทุกข สมุทยั นิโรธ มรรค มอี ยจู ริง ภิกษุเม่ือมคี วามเห็นชอบดงั น้ี ก็ยอ มมจี ติ ใจฝก ใฝแตในความดี ไมประมาท ไมป ฏบิ ัตนิ อกธรรม นอกวนิ ัย ตง้ั ใจปฏบิ ตั ิ ขจัดความมัวเมา ในลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ กระทาํ ใหแ จงในอริยสจั ๔ อันเปนหนาที่ของภกิ ษุ (และสามเณร) โดยตรง. อธบิ ายช่อื หมวดธรรม คุณธรรมท้ัง ๕ อยา งนี้ ชอ่ื วา \" องคแ หงภกิ ษใุ หม \" หมายความ วา ภิกษุบวชใหมตอ งปฏบิ ัตติ ามคุณธรรมเหลานีโ้ ดยเครงครัด เพราะตน ละเพศฆราวาสมาบวชใหม ๆ ถาไมม ีคุณธรรมเหลาน้ไี วเ ปนหลกั ปฏิบตั ิ ก็ยอ มจะไมเจรญิ ในพระศาสนา อาจจะตอ งเคล่ือนจากศาสนาไป คือ ลาสกิ ขาออกไปโดยทันทีก็ได เพราะฉะนั้น ภิกษใุ หมควรตั้งอยูในธรรม ทง้ั ๕ อยา งน้ี สวนภกิ ษุเกา ก็ตอ งตั้งอยูใ นธรรมเหลา นีเ้ หมือนกนั แต ทท่ี า นไมก ลาววา \" เปน องคแ หงภกิ ษเุ กา \" เพราะภิกษุเกาเปนภิกษุ ใหมม ากอนทกุ องค. คําถามสอบความเขา ๑. ความสํารวมในปาติโมกข และความสํารวมอนิ ทรยี ด ีอยา งไร จึงไดจดั เปน องคแหง ภิกษุผบู วชใหม ?
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ที่ 144 ๒. ความเปน คนไมเอกิ เกรกิ เฮฮา คอื อยางไร ? ๓. ที่เชน ไร เรยี กวา เสนาสนะอันสงดั ? ๔. เห็นอยา งไร ชือ่ วา เห็นชอบ ? ๕. คณุ ธรรม ๕ ประการ มีความสาํ รวมในพระปาติโมกขเ ปน ตน จัดเปน องคแหงภิกษใุ หมฝ ายเดยี ว ไมเก่ียวถึงภิกษุเกาบา ง หรอื ? เพราะเหตไุ ร ? ตนเอย ตน ชงโค ตกพมุ โต ดอกดี พรอมสสี ัณฐ นา เสยี ดาย ธรรมชาติ ขาดหน่ึงอนั สิ่งอนั นน้ั คือกล่นิ หอมรินรวย. ประดุจคน มีกาย งามฉายเฉิด หากวาเกิด ไรศลี ก็ส้นิ สวย ยิ่งถา ไร วชิ า หมดทารวย คงจะซวย ผอมโซ หัวโตเอย. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 145 องคแหงธรรมกถกึ คือนกั เทศก ๕ อยา ง ๑. แสดงธรรมไปโดยลําดับ ไมต ัดลัดใหข าดความ. ๒. อางเหตผุ ลแนะนําใหผ ูฟ งเขาใจ. ๓. ตั้งจิตเมตตาปรารถนาใหเ ปนประโยชนแ กผฟู ง . ๔. ไมแ สดงธรรมเพราะเห็นแกลาภ. ๕. ไมแสดง ธรรมกระทบตนและผูอ่นื คอื วา ไมยกตนเสยี ดสผี อู ื่น. ภิกษุผูเปน ธรรมกถกึ พงึ ตง้ั องค ๕ อยา งนีไ้ วใ นตน. อง.ฺ ปฺจก. ๒๒/๒๐๖ อ ธบิ ายศัพท ๑. แสดงธรรมไปโดยลาํ ดบั ไมต ดั ลัดใหข าดความ คอื การ แสดง การอธบิ าย กายพูดธรรมะใหผอู ่ืนฟง ตองกาํ หนดเวลาเปนสาํ คัญ ถา เวลามาก ก็จะแสดงไดม ากหนอย ถา เวลานอย ก็ควรแสดง ใหน อย ตามเวลาทสี่ มควร ฉะนน้ั หากจําเปนจะตองตดั ลดั ใหเร่ืองสัน้ เขา บาง ก็ ตัดได แตขอระวงั คือตองแสดงไปตามลําดับ ไมแสดงสับหนา สบั หลงั และไมต ดั ลดั ใหขาดความจนฟงไมรูเร่ือง ไมเขาใจไมสามารถนําไป ปฏบิ ตั ิได. ๒. อางเหตผุ ลแนะนาํ ใหผูฟงเขาใจ คอื ตอ งแสดงอธบิ ายพดู ให ชดั เจนทุกคาํ ทกุ ประโยค ไมทาํ ออ มแอมคลุมเครือลวก ๆ แลวกเ็ ลิก อยางที่เรยี กวา \" ทาํ แตพ อขอไปที \" ผูเทศกผูแสดงธรรมท่ดี นี นั้ ตอ งไม ทาํ ออ มแอม คือตอ งแสดงใหชดั เจน ชเ้ี หตุ ช้ีผล ทงั้ ในฝายไมด ที ี่ควรจะ ท้ังในฝา ยดที ่ีควรทํา, แนะนาํ ใหผ ูฟ งเขา ใจ หากมขี อ อปุ มาอปุ ไมยเปรยี บ
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 146 เทยี บใหชัดเจนกย็ ง่ิ ดี. ๓. ตง้ั จติ เมตตาปรารถนาใหเ ปน ประโยชนแกผ ฟู ง คือตอ ง คาํ นึงวา ผฟู งเขากําลังตองการความสขุ ใจสบายใจ เพราะบางคนอาจมี ความทกุ ขใจกลุมใจ หรอื สงสัยในขอปฏิบัติบางอยางจงึ มาฟงธรรม ฉะน้ัน ผแู สดงธรรมจงึ ควรตัง้ เมตตาจิตปรารถนาใหเกิดความสขุ แกเขา ตงั้ ใจ ชว ยแกทุกข แกสงสยั ของเขาใหลดลง หรือใหหมดไป ไมแสดงธรรม โดยมุงเอาความสนุกเฮฮา หาสาระมไิ ด ซึง่ นอกจากจะไมเ กิดประโยชน แกผ ฟู งแลว เขายังอาจจะคลายศรัทธาเล่อื มใสในพระศาสนาดวย. ๔. ไมแสดงธรรมเพราะเห็นแกลาภ คอื ไมคํานึงวาเราจะแสดง ธรรม เพือ่ ไดลาภสักการะอันเปนสว นอามิส เพราะถามงุ เอาอามสิ แลว กจ็ ะ กลายเปน ลกู จางไป เหมอื นคนทํางานจา ง ถาเขาใหค าจางมาก ก็ทาํ งานดี ทาํ ไดม าก ถาคาจางนอย กท็ ํางานนอ ย และทํางานไมดี ขอ น้ฉี ันใด ผูแ สดงธรรมเพราะเหน็ แกลาภสักการะอามิส กฉ็ นั นน้ั . ๕. ไมแ สดงธรรมกระทบตนและผูอืน่ คือไมยกตนเสยี ดสผี ูอน่ื คือวา ไมมเี จตนาอันมุงรายตอใคร ๆ ในการแสดงธรรม. และยิง่ แสดง ในเชงิ ยกยองตนเอง ขม ผูอน่ื จดั เปน การไมสมควรอยา งย่ิง ไมควรทาํ เปน อนั ขาด. อธบิ ายชื่อหมวดธรรม คําวา องค ในที่นี้ ไดแ กค ุณสมบตั ิ คาํ วา ธรรมกถกึ ไดแก ผกู ลาวธรรม สอนธรรม แสดงธรรม อธบิ ายธรรม ปาฐกถาธรรม แปล เปน คาํ สั้นวานกั เทศก, รวมท้งั สองคาํ เขาดวยกนั เปน \" องคแ หง ธรรม- กถกึ \" แปลวา \" คณุ สมบตั ขิ องนกั เทศก. \"
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 147 นกั เทศกทีด่ ตี องมีคุณสมบัตทิ ัง้ ๕ ประการเหลาน้ี นกั เทศกใ ดไม ประกอบดว ยคณุ สมบตั ดิ ังกลา ว ยอ มไมมีใครนิยมนบั ถอื ไมม ใี ครสนใจ ปฏิบตั ติ าม เพราะฉะนั้น ทา นจึงเตือนไวในตอนทายวา ภกิ ษผุ เู ปน ธรรมกถกึ พงึ ตัง้ องค ๕ อยางนไ้ี วในตน. คําถามสอบความเขา ใจ ๑. คาํ วาแสดงธรรมไปโดยลําดับ กบั คาํ วาไมต ัดลัดใหขาดควา มอี ธิบายอยางไร ? ๒. ผูแ สดงธรรม ควรแสดงอยางไร ใหผฟู งเขาใจ ? ๓. ผแู สดงธรรมแสดงโดยมงุ ความสนกุ เฮฮา หาสาระมิได ชอื่ ว ขาดคณุ สมบัติขอ ใด ? ๔. การแสดงธรรมกระทบตนและผอู นื่ นน้ั คอื แสดงอยางไร ? ๕. คําวา นักเทศก ไดแ กใคร ? นกั เทศกควรมีคณุ สมบัติอยา งไร ? ปฐมวยั สนใจดาน ศึกษา มชั ฌมิ วัยเสาะหา ทรพั ยไว ปจ ฉมิ วัยเปน ครา- คราวกอ กุศลแฮ สามวัยใครทาํ ได ชพี นส้ี ขุ สันต. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 148 ธมั มัสสวนานิสงส คืออานิสงสแ หง การฟงธรรม ๕ อยา ง ๑. ผูฟงธรรมยอ มไดฟ ง ส่ิงทย่ี ังไมเคยฟง . ๒. ส่ิงใดไดเ คยฟงแลว แตไมเ ขา ชัด ยอมเขาใจส่ิงนั้นชัด. ๓. บรรเทาความสงสัยเสยี ได. ๔. ทําความเห็นใหถูกตอ งได. ๕. จติ ของผูฟง ยอมผอ งใส. องฺ. ปจฺ ก. ๒๒/๒๗๖ อธบิ ายศัพท ๑. ผูฟง ธรรมยอมไดฟ ง สง่ิ ท่ียงั ไมเคยฟง หมายความวา พระ ธรรม คือคาํ สัง่ สอนของพระพุทธเจามอี ยูเปน อนั มากเหมือนนาํ้ ในมหา- สมุทร สวนธรรมทีผ่ ูฟง เคยฟงมาแลว เพียงเล็กนอ ยเหมอื นนาํ้ ในถวยแกว เทานั้น เพราะฉะนั้น ผฟู งธรรมบอย ๆ ยอมจะไดฟงธรรมทย่ี งั ไมเคย ฟงเพิ่มมากข้ึนโดยลาํ ดับ. ๒. สง่ิ ใดไดเคยฟงแลว แตยังไมเ ขา ใจชัด ยอมเขาใจสงิ่ น้ันชดั หมายความวา ธรรมะมีอยหู ลายระดับ คือระดบั ตา่ํ เขา ใจงา ยกข็ ึ้น ระดับสูงเขาใจยากกม็ ี ฉะนน้ั ผูฟ ง ธรรมมะแมช ้นั ตํ่า หากฟงเพยี งคร้งั เดียว สองครง้ั อาจจะยงั ไมเขาใจชดั ตอ เมือ่ ไดฟงซ้ํา ๆ อกี จงึ จะเขาใจชัด ย่ิงธรรมะช้ันสูงก็จาํ เปน ที่จะตองฟงซาํ้ บอ ย ๆ จึงจะเขาใจแจมแจงชดั เจน. ๓. บรรเทาความสงสยั เสียได หมายความวา การปฏิบัตธิ รรมะ หรอื การขบคิดธรรมะ หรือแมการอานการฟง ธรรมะ บางคราวอาจเกดิ ความของใจ สงสัย ฉะนั้น เมือ่ ความสงสัยเกิดข้นึ จาํ ตอ งไตถ ามทา น ผรู ู หรอื อตุ สา หฟ งเทศน ฟง ปาฐกถาธรรมะ เมอ่ื ไดฟ ง กย็ อมคลาย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354