แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาที่ 199 หมายถึงสมบตั ผิ ดู ี คอื ธรรมสมบัติ หรือคณุ สมบัติของผดู ี. กลาวคือธรรม ทท่ี ําคนใหเปน คนด.ี ใครก็ตามเมื่อมีธรรมของสตั บุรษุ กย็ อ มเปน คนดี, ถาไมม กี เ็ ปนคนดไี มได. สัปปรุ สิ ธรรมมี ๒ หมวด ๆ ละ ๗ ทานจึงเรียก วา \" สัปปรุ สิ ธรรม ๗ อยาง \" ดงั ทอี่ ธิบายมาแลว. คาํ ถามสอบความเขา ใจ ๑. ในสัปปรุ ิสธรรมคําวา \" ธรรม \" \" อัตถะ \" แปลวา อยา งไร ? ไดแ กอ ะไร ? ๒. สปั ปุรสิ ธรรม ขอ ๓ และขอ ๔ หมวดแรก มีความหมาย อยางไร ? ๓. คนท่ถี ูกตําหนวิ า \" ไมรจู กั กาล \" ไดแ กค นเชนไร ? ๔. ปรสิ ัญุตา กบั ปคุ คลปโรปรญั ตุ า ตางก็ความเปนผูรูจกั คนเหมอื นกัน เหตุไรจึงแบงเปน ๒ ขอ ? อธบิ าย. ๕. บุคคลท่เี ขา ไหนเขา ได เพราะตงั้ อยูในธรรมอะไร ? ๖. การปรกึ ษา กบั การพดู ตา งกนั อยางไร ? ๗. ใหท านโดยเคารพมีก่อี ยาง ? อะไรบาง ? มาในธรรมหมวด ไหน ? ขอท่เี ทาไร ? ๘. สัตบุรษุ อานวาอยา งไร เขยี นตามเสียงอา น ? ใครไดช อ่ื วา สัตบุรุษ ?
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาท่ี 200 โพชฌงค ๗ ๑. สติ ความระลกึ ได. ๒. ธัมมวจิ ยะ ความสอดสอ งธรรม. ๓. วริ ิยะ ความเพียร. ๔. ปติ ความอมิ่ ใจ. ๕. ปส สทั ธิ ความสงบใจและอารมณ ๖. สมาธิ ความต้ังใจม่นั . ๗. อุเปกขา ความวางเฉย. เรียกตามประเภทวา สตสิ ัมโพชฌงค ไปโดยลาํ ดับ จนถึงอเุ ปกขา- สัมโพชฌงค. ส. มหา. ๑๙/๙๓ อธิบายศัพท ๑. สติ >ความระลึกได (พึงทราบตามท่ีอธิบายแลว ในหมวด ๒) โดยใจความวา ระลกึ นกึ รูท ันใน ๓ กาล คอื เรอ่ื งท่ีเคยเหน็ เคยฟง เคยรู ในอดตี กาล ก็ระลึกได ๑ เรอื่ งท่ีกาํ ลังทาํ พูด คิด และกําลงั ประสบ เฉพาะหนา ก็ระลกึ รูทนั ๑ เร่ืองท่จี ะพึงเกิดมีในกาลเขาหนา เชน ความ เจบ็ ความตาย อนั จะตอ งทแี กตน กจ็ ะลึกไวเตรียมตวั ไวพ รอม ๑ เปน อนั วาสติ เปนเครอ่ื งปลุกใหต่ืนตัวอยูเสมอ ซง่ึ เขา กับพระพุทธภาษติ วา สติ โลกสฺมิ ชาคโร. สตเิ ปนเครอ่ื งต่นื (ทนั เหตกุ ารณ) ในโลก. ๒. ธมั มวิจยะ ความสอดสองธรรม คือ ปญ ญา รูจักคัดเลอื ก รจู ักแยกรูปธรรม อันไดแ ก รปู เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ และอรปู -
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาท่ี 201 ธรรม อนั ไดแกเรื่องที่เกิดกับจติ . ทงั้ รูปธรรมและอรูปธรรมน้นั ท่เี ปน ฝา ยดีมีประโยชนค วรดู ควรฟง ควรรู ควรกระทําใหเ กิดมีมากขน้ึ ก็ม,ี ท่ีเปน ฝา ยไมดี ไมมปี ระโยชน ไมค วรดู ไมค วรฟง ไมค วรรู ควรละ ควรเลกิ กม็ .ี เมอื่ บคุ คลผมู ีปญญารูจกั วจิ ยั คดั เลอื กแยกออกเปน ฝายไมด ี เปรียบดว ยของดําสกปรก และเปนฝา ยดีเปรียบดวยของขาวสะอาด ดังนี้ แลว กเ็ ปนการงา ยตอ การปฏิบัติ พระผมู พี ระภาคเจาจึงตรัสสอนไววา กณหฺ ธมฺม วปิ ปฺ หาย สกุ กฺ ภาเวก ปณฺฑิโต. บณั ฑติ คือคนฉลาด พึงละธรรมท่ีดําเสียแลว เจรญิ คือปฏิบตั ิ ตามธรรมท่ีขาว ดงั นี.้ ๓. วิรยิ ะ ความเพียร คอื ความเกลวกลา ขะมกั เขมน ทาํ หนาท่อี ุดหนุนกระตนุ ธรรมวิจัยใหส าํ เรจ็ ถงึ ที่สุด. กลาวคอื เมอื่ วิจัยแยก ธรรมออกเปนดาํ ฝา ยขาวไดแ ลว ไมห ยดุ เพียงนั้น ตองรีบละธรรมดาํ และหมัน่ เจริญธรรมขาวใหมากขน้ึ เรง ประคองจิตปลกุ จติ ใหตน่ื ให แชมชืน่ เบิกบาน. ๔. ปต ิ ความอม่ิ ใจ คุณธรรมขอ น้ีเปนผลสืบเน่อื งมาจากวริ ยิ ะ คอื เมอ่ื ใชค วามเพยี รละธรรมดํา และเจริญธรรมขาวใหเ กดิ ในจิตใจ ก็ ยอ มอ่มิ ใจ เบิกบานใจ และพอใจใจการปฏิบัติ เม่ือพอใจในการปฏบิ ัติ กย็ งิ่ เพิ่มวิริยะย่ิง ๆ ขน้ึ ไป ใจกย็ ่งิ เอิบอิม่ ดว ยธรรม ดื่มด่าํ ดวยรสแหง ธรรม มีความสบาย ไดในพระบาลวี า ธมมฺ ปติ สขุ เสติ ผเู อิบอมิ่ ดวยธรรม ยอ มอยูเย็นเปนสุขสบาย. แมร างกายก็พลอยเปลง ปลง่ั สดใส เพราะกาย กับใจเปน อยูดว ยกัน เมอื่ ใจเอิบอ่ิม เลือดลมในกายกห็ มนุ เวยี นสมา่ํ เสมอ ทวั่ รา งกาย เปนกายปาคฺุตา ความคลองกาย แลวเปน จติ ฺตปาคุ ฺตา
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 202 ความคลอ งจิต จนกระทงั่ มอี าการซาบซา นํา้ ตาไหล ขนชชู นั เปน ตน . ๕. ปส สทั ธิ ความสงบใจและอารมณ คือเมอ่ื กายและจิตใจอิม่ แลว กเ็ กดิ กายปสสทิ ธิ ความสงบกาย และเกดิ จิตตปสสทิ ธิ ความสงบ จิต. เปรยี บดงั บคุ คลที่หิวกระหาย รา งกายและจติ ใจ ยอมออ นเพลีย กระสับกระสา ย เมื่อไดรับประทานอาหารดืม่ นา้ํ จนอม่ิ แลว ความออนเพลยี และกระสับกระสา ยก็สงบลง ฉันใด กายและจิตใจของคนท่ีหิวกะหาย กระสับกระสายไปตามอารมณต าง ๆ และกเิ ลสตา ง ๆ เมื่อไดบรโิ ภคธรรม ปฏบิ ัตอิ นั เหมาะแกจรติ อุปนิสัย จนกระทั่งไดล ม้ิ รสพระธรรมจนอ่มิ ก็ ยอ มเกิดปสลัทธิ คอื ความสงบทง้ั กาย ท้ังจติ ฉนั น้นั เหมือนกนั . เมอ่ื สงบจิตใจ กย็ อ มทาํ ใหเ กดิ ความเขาใจในสภาวธรรมย่ิง ๆ ขนึ้ . ๖. สมาธิ ความต้งั ใจม่ัน คอื เมื่อกายและจิตสงบไมกระสับ กระสายไปตามอารมณต าง ๆ ก็เปนโอกาสใหจิตรวมเขามาจบั อยูทอี่ ารมณ ภายในอยา งใดอยา งหนงึ่ เชน ผม ขน เล็บ ฟน หนัง เปนตน จนกระท่งั เกิดขณิกสมาธิ คอื จติ ต้ังมั่นขณะหน่ึง ๆ เมอื่ มสี ติสมั ปชญั ญะ และตบะ เพียรประคองจิตใหม ั่นคงสืบไป ไมห ยดุ ไมถ อย กย็ อ มเกดิ อปุ จารสมาธิ คอื จิตม่นั คงเฉยี ด ๆ ใกลตอปฐมฌาน. เมอ่ื พยายามตอไป จนละนิวรณ ๕ เสยี ได องค ๕ แหง ปฐมฌานก็เกดิ ขนึ้ เปน อปั ปนาสมาธ/ิ B> อันเปน สมาธชิ ัน้ สงู ที่เปน บาทแหงวิปสสนา ปญ ญาเคร่อื งรู เครอื่ งต่นื ตอไป. ๗. อเุ ปกขา ความวางเฉย คือเมอ่ื เขาถึงอัปปนาสมาธิ อนั เปน ปฐมฌาน ซึ่งประกอบดวยองค ๕ คือ วิตก วจิ าร ปติ สขุ เอกกัคคตา แลว ยังไมม ีอุเบกขา คือวางเฉยไมไ ด ตอ งขวนขวายและวติ กวจิ ารใหไ ด
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาที่ 203 กอน เม่อื ละไดช่ือวาเขาทุติยฌาน. เมื่อละปต ิไดช่ือวา เขาตติยฌาน แม ถงึ ตติยฌานแลว ก็ยังไมเ ปนอเุ บกขา วางเฉยไมไ ด, ตอ เมื่อขวนขวาย ละสขุ เสยี ได ยังเหลอื แตเอกคั คตา จิตดิง่ เปนหนงึ่ และนิ่งเฉย ความน่ิง เฉยน่นั แหละเปน อุเบกขา ซึง่ จัดวา เขาถงึ จตุตถฌาน อเุ บกขาในจตุตถฌาน น้ี เปน ญาณเู บกขา เพงเฉยพรอ มทง้ั รู เหมอื นสารถขี ับรถ ขับเรือ เมื่อ รถเรอื เดนิ ตรงทางดีแลว ก็จับพวงมาลัยไวเฉย ๆ ไมตอ งทําพยายามอะไร แตพ รอ มกันนนั้ ตอ งมีความรคู อยดูทาง ประคองพวงมาลัยใหรถ - เรอื ว่งิ ไปตามทาง กย็ อมถงึ ท่ีตามประสงค ฉนั ใด อุเบกขากฉ็ ันนน้ั เหมอื นกัน เม่ือจติ ต้งั มัน่ เปนสมาธิแลว อเุ บกขาก็เกดิ ในฌานท่ี ๔ แลว เพงดจู ิตที่ ตงั้ มั่นเปนหนงึ่ แนว แนอ ยู ดวยความรูที่เกดิ จากสมาธินัน้ เอง จึงจัดเปน องคแ หงคุณธรรม เคร่อื งปลุกจิตใหต ่ืน ใหแ ชมชืน่ เบิกบาน. อธบิ ายช่ือหมวดธรรม ธรรม ๗ ประการนมี้ ีช่ือวา โพชฌงค แปลวา ธรรมอันเปน องค แหงญาณเคร่ืองปลุกใจใหร ู ใหต ื่น ใหแชมชืน่ เบกิ บาน. เพราะธรรมดา จติ ใจปุถชุ นน้ีมกี เิ ลสครอบงําใหม ดื ใหหลับ หดหู หรอื ฟงุ ซาน ฉะน้ัน บัณฑิตจึงใชธรรม ๗ ประการเหลาน้เี ปนเครือ่ งปลุกใจใหรู ใหต น่ื ให แชมชนื่ เบิกบาน ตามกาลตามสมัย เมอื่ ใคร ๆ เจรญิ กระทําใหมากแลว ยอมเปนไปเพือ่ รยู ง่ิ ๆ ขนึ้ เพ่ือความเย็นใจ เพอ่ื ต่ืนจากกิเลสนิทรา. และจดั เปนยาพิเศษบําบัดความเจ็บปว ยใหหายได ดังทพี่ ระโลกนาถเจา ไดท รงแสดงใหพ ระโมคคัลลานะเละพระกสั สปะผูเ ปนไขฟง ทา น ท้งั สองไดชื่นชมโพชฌงคธรรมนีแ้ ลว ก็หายพน จากโรค เปน ตน.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 204 คําถามสอบความเขาใจ ๑. โพชฌงค ทานวา สงเคราะหใ นจิตตสิกขากับปญ ญาสิกขาได ขอใหส งเคราะหมาดู ? ๒. ธมั มวจิ ยะ มีอธบิ ายอยางไร ? ๓. อุเบกขาในพรหมวหิ าร กบั อุเบกขาในโพชฌงคต างกนั หรอื เหมอื นกันอยา งไร ? ๔. ธรรมอะไรท่เี รียกวาโพชฌงค ? เกย่ี งเน่ืองกันอยางไร ? ๕. โพชฌงคแ ปลวา อะไร ? มีประโยชนอ ยางไร ? พุทเอย พุทรา ถงึ แมว า กิ่งตน ระคนหนาม แตว า ผล นาชม เกลย้ี งกลมงาม รสไมท ราม หวานอรอ ย มนิ อยเลย. ชีวติ คน นม้ี าก ดว ยขวากหนาม พยายาม ไปกอ น อยา นอนเฉย จงทําดี เนอื งนิตย ใหจิตเคย คงเสวย สุขซา เบอื้ งหนา เอย. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 205 อฏั ฐกะ คือหมวด ๘ โลกธรรม ๘ ธรรมทคี่ รอบงําสคั วโลกอยู และสตั วโลกยอ มเปน ไปตามธรรม นนั้ เรยี กวา โลกธรรม. โลกธรรมนนั้ ๘ อยา ง คือ มีลาภ ๑ ไมม ีลาภ ๑ มยี ศ ๑ ไมม ียศ ๑ นนิ ทา ๑ สรรเสริญ ๑ สขุ ๑ ทกุ ข ๑. ในโลกธรรม ๘ ประการนี้ อยา งใดอยางหนึ่งเกดิ ข้นึ ควร พจิ ารณาวา ส่ิงน้ีเกิดข้ึนแลว แกเ รา กแ็ ตวามันไมเ ที่ยง เปนทุกข มคี วาม แปรปรวนเปน ธรรมดา ควรรูตามท่เี ปนจริง อยา ใหม ันครอบงาํ จิตได คอื อยายินดใี นสว นทนี่ าปรารถนา อยายินรายในสวนทไ่ี มนาปรารถนา. องฺ. อฏก. ๒๓/๑๕๘ อธิบายศพั ท ลาภ แปลวา การได หมายเอาการไดส ง่ิ ทตี่ องการ เชนปจจยั ๔ ท่จี ําเปนตอชวี ิต และเครอ่ื งอปุ โภคบรโิ ภคตา ง ๆ ทัง้ ท่ีจําเปน และไมจ าํ เปน หากวา พอจะอํานวยประโยชนไ ดบา งแมเ ลก็ ๆ นอย ๆ หากไดม ากช็ อื่ วา มี ลาภ แมสามี ภรรยา บุตร กช็ ือ่ วา เปนลาภของคฤหสั ถผตู องการ ทรพั ย ท่ีมีวิญญาณ และไมม วี ญิ ญาณ ถาตองการและไดมา กช็ ่อื วาลาภทั้งสิ้น. อนงึ่ ความไมม ีโรค จดั เปนลาภอยางย่ิง. การไดความเช่ือใน พระพุทธเจา ในพระธรรม ในพระสงฆ จัดวา เปนลาภอันยอดเยี่ยม ไมม ีลาภอน่ื ยง่ิ กวา .
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 206 อลาภ แปลวา การไมได หมายความวา ไมไ ดสิ่งทีต่ อ งการ ตรง กบั คาํ วา ไมมีลาภ แมก ารสูญเสยี สงิ่ ท่ีมีอยู ก็ชอ่ื วาไมมีลาภ หรือเสอื่ มลาภ. ยศ แปลวา ช่ือเสยี ง เกียรต,ิ ความรุงเรอื ง. จงึ มคี วามหมาย เปน ๓ คอื :- ๑. อรยิ ยส ยศคือความเปนใหญ มีหนา มตี า มตี ําแหนง สูง. ๒. เกียรติยส ยศคอื เสียงทย่ี กยองชมเชยความดที ม่ี อี ยจู ริง. ๓. ปรวิ ารยส ยศคือบรวิ ารผูนบั ถอื เขา เปนพวกเดียวกัน. การไดย ศ แมอยางใดอยางหน่ึง กช็ อื่ วา มยี ศ. อยศ แปลวา ไมมีชอ่ื เสยี ง ไมม เี กียรติ ไมม คี วามรุง เรือง หมาย ถงึ ไมม ียศ แมอยางใดอยางหน่ึง กช็ ือ่ วา มยี ศ. นินทา แปลวา ตําหนิติเตยี น หมายความวา ยกเอาโทษข้ึนมา กลา วกัน พดู กนั วา กนั จะจรงิ หรือไมจริงกต็ าม. ปสังสา แปลวา ความสรรเสรญิ - ยกยอ ง - ชมเชย หมายความวา ยกเอาความดีขน้ึ มาพูดกัน จะจริงหรือไมจรงิ กต็ าม. สขุ แปลวา ความสบาย มี ๒ อยาง คอื ๑. สขุ สบายทางกาย ๒. สุขสบายทางใจ. ทงั้ สองอยางน้ีมุงเอาสขุ ทางโลก ท่เี รยี กวา โลกยิ สขุ . ทุกข แปลวา ความไมส บาย มี ๒ อยาง คอื ๑. ทกุ ขก าย ๒. ทุกขใจ. ทุกขทงั้ สองนเี้ ปน เพยี งโลกิยะ เพราะโลกตุ รทุกขไ มม.ี ธรรมทง้ั ๘ น้ี จดั เปน ๔ คู คือ คทู ่ี ๑ มลี าภ - ไมม ีลาภ คทู ี่ ๒ มียศ - ไมม ียศ คทู ่ี ๓ นนิ ทา - สรรเสรญิ คทู ่ี ๔ สขุ - ทกุ ข.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ที่ 207 ธรรมทงั้ ๘ น้ี จดั เปน ๒ ฝา ย คอื ๑ ฝายอิฏฐารมณ อารมณ ที่นา ปรารถนา คอื ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข, ๒. ฝายอนิฏฐารมณ อารมณทีไ่ มนา ปรารถนา คือ ไมม ลี าภ ไมมียศ (เสื่อมลาภ เสื่อมยศ) นนิ ทา ทกุ ข. อธบิ ายช่อื หมวดธรรม ธรรมทง้ั ๘ น้ี แตล ะอยา งทานเรียกวา \" โลกธรรม \" แปลวา ธรรมท่มี อี ยปู ระจาํ โลก เพราะครอบงําสตั วโลก และสัตวโลกยอมดน้ิ รน ไปตามธรรมเหลา นี้. ที่วา ครอบงาํ สตั วโลก นนั้ หมายความวา ธรรมเหลานี้เกิดขึ้นแก สัตวโลกทกุ รูปทกุ นาม ทั้งทเี่ ปน ปุถุชน ท้ังท่เี ปน พระอรยิ ะ ไมมีการ ยกเวน ใครเลย. ทีว่ า สตั วโลกยอมเปน ไปตามธรรมน้นั ดงั นี้ หมายความวา โลกชิ นผยู งั เปนปุถชุ น ยอมแสดงอาการหวัน่ ไหวข้นึ ๆ ลง ๆ โคลงเคลง ไปตามธรรมนั้น เหมือนเรือข้นึ ลงตามคลน่ื ในมหาสมทุ ร กลา วคอื ประสบอฏิ ฐารมณ ก็ดใี จแสดงออกนอกหนาจนเกินพอดี ท่ีเรยี กกนั วา \" เมา \" กม็ ,ี แตเม่ือประสบอนิฏฐารมณ ก็เสยี ใจจนเกนิ พอดี ถึงกบั หมดสตนิ ่ิงแนไปกม็ ี ผูทเี่ พียบพรอมไปดวยความดีใจและเสียใจอยา งน้ี ยอ มไมพ นไปจากชาตชิ รามรณะและทกุ ขต า ง ๆ บรรดามใี นโลก ทเี่ ปน ดงั นี้ กเ็ หมาะโทษท่เี ขามิไดพิจารณาใหเ หน็ ความจริงวา โลกธรรมทง้ั ฝา ย ท่นี า ปรารถนา และไมน า ปรารถนา เปนสิง่ ไมเ ที่ยง เปนทกุ ข มีความ แปรปรวนเปนธรรมดา.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 208 ฝา ยพระอริยะผไู ดรับการศึกษาสดบั ตรับฟง กย็ อ มรตู ามความจริง เมื่อประสบอฏิ ฐารมณ หรืออนฏิ ฐารมณ กย็ อ มพจิ ารณาเห็นวา สิ่งน้ี ส่งิ นนั้ มกั เกดิ ข้ึนแกเ ราแลว ก็แตว า มันไมเทย่ี ง เปนทุกข มคี วาม แปรปรวนเปน ธรรมดา จึงไมย นิ ดี ไมยินรา ย คอื ไมดใี จ ไมเ สยี ใจไป ตามโลกธรรมนั้น ๆ เมื่อละความดใี จเสยี ใจไดอยางนี้ ก็ยอ มพนจาก ชาตชิ รามรณะและทกุ ขตา ง ๆ บรรดามีในโลก. เพราะฉะน้ัน ทานจงึ สอนไววา เมอ่ื โลกธรรมอยางใดอยางหนึ่ง เกดิ ขน้ึ ควรพิจารณา \" ส่งิ นเ้ี กิดข้นึ แลวแกเ รา \" ก็แตว ามันไมเท่ียง เปนทุกข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดา เมอื่ พิจารณาเห็นแลว กอ็ ยา ยินดี ในสวนทีน่ า ปรารถนา และอยายนิ รายในสว นทีไ่ มน าปรารถนา. คําถามสอบความเขา ใจ ๑. อะไรเรียกวา \" โลกธรรม \" โลกธรรมคทู ่ี ๑ คืออะไร ? ๒. ลาภกับยศ มอี ธิบายตา งกันอยางไร ? ๓. ยศมีก่อี ยาง ? ตางกับสรรเสรญิ อยา งไร ? ๔. จงยนโลกธรรม ๘ เขาเปน ๒ สวน ๕. เม่อื ลาภ ยศ สรรเสริญ สขุ เกิดขนึ้ ควรทําใจอยางไร จงึ จะไมต ืน่ ? คนดมี เิ หอ ลน ลมื ตัว เขาไมเ ปน คนกลวั ลมื มวย ยามสุขไมห ลงมวั ลมื พอ แมน า ทกุ ส่ิงมดี ับดว ย หอ นย้ังยนื ยง. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนาที่ 209 ลกั ษณะตัดสนิ ธรรมวินัย ๘ ประการ ธรรมเหลาใด เปน ไปเพอ่ื ความกาํ หนัดยอ มใจ ๑ - เพอื่ ความประ- กอบทกุ ข ๑ - เพ่ือความสะสมกองกเิ ลส ๑ - เพอื่ ความอยากใหญ ๑ - เพื่อ ความไมสนั โดษยนิ ดดี ว ยของมีอยู คอื มนี ่แี ลวอยากไดนนั่ ๑ - เพือ่ ความ คลุกคลดี ว ยหมคู ณะ ๑ - เพือ่ ความเกยี จคราน ๑ - เพื่อความเลย้ี งยาก ๑ ธรรมเหลานพี้ งึ รวู า ไมใ ชธ รรม ไมใชว ินัย ไมใ ชคําสอนของพระศาสดา. ธรรมเหลาใด เปน ไปเพื่อความคลายกําหนดั ๑ - เพ่อื ความปราศ- จากทกุ ข ๑ - เพ่ือความไมสะสมกองกเิ ลส ๑ - เพื่อความอยากอันนอ ย ๑ - เพอ่ื ความสันโดษยนิ ดีดว ยของมีอยู ๑ - เพือ่ ความสงดั จากหมู ๑ - เพอ่ื ความเพียร ๑ - เพือ่ ความเล้ียงงาย ๑ ธรรมเหลา น้ีพงึ รูวา เปน ธรรม เปน วนิ ยั เปนคําสอนของพระศาสดา. องฺ. อฏก. ๒๓/๒๘๘ อธิบายศัพท ๑. ความกาํ หนัดยอมใจ ไดแ ก ราคะ คอื ความกาํ หนัดรักใครใน รูป เสยี ง เปนตน ที่นาปรารถนารักใครช อบใจ จดั เปนกิเลสกาม คือ ความใคร พอใจ ติดใจดวยอํานาจกเิ ลส ยอ มใจใหเ ศรา หมอง ใหมืดมวั เปน ตณั หาหนา มืด. ธรรมทเ่ี ปน ไปเพอ่ื ความกาํ หนดั ยอ มใจ ไดแ ก กามวิตก ความ ตรึกในทางกาม, กามฉันทะ ความพอใจในกาม, กามุปาทาน ความ ยึดถอื กาม, อสเุ ภ สภุ สญั ญา ความสาํ คัญวางามในส่งิ ท่ไี มงาม, สภุ นิมติ - ตคั คาหะ ความยดึ มนั่ อารมณอ ันงาม. มฏุ ฐสจั จะ ความหลงลืมสติ. ๒. ทกุ ข คือความไมส บายกายไมส บายใจ.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาที่ 210 ธรรมทเ่ี ปนไปเพ่ือความประกอบทุกข ไดแ ก อบายมขุ อตั ต- กิลมถานุโยค ตณั หา ๓ คือ กามตณั หา ภวตัณหา วิภวตัณหา. โยคะ ๔ คือ กามโยคะ ธรรมเปน เครอื่ งประกอบทกุ ข คือ กาม ความใคร ๑ ภวโยคะ ธรรมเปน เคร่ืองประกอบทกุ ข คอื ภพ ความมคี วามเปน ๑ ทิฏฐโิ ยคะ ธรรมเปน เครอื่ งประกอบทุกข คือ ความเหน็ ผดิ ๑ อวิชชา- โยคะ ธรรมเปนเครอ่ื งประกอบทกุ ข คือ อวชิ ชา ความไมรแู จง ๑. ๓. กองกิเลส คือเครอื่ งเศราหมองใจมีมากอยาง เมื่อจัดใหเปน กองใหญ ๆ กไ็ ด ๓ กอง คือ ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑. ธรรมที่เปนไปเพื่อความสะสมกองกเิ ลส ไดแ ก มัจฉรยิ ะ ความ ตระหนี,่ กามวิตก ความตรึกในทางกาม, สภุ นิมิตตคั คาหะ ความ ยึดมั่นอารมณอ ันงาม. กามฉนั ทะ กามุปาทาน สภุ สัญญา มุฏฐสัจจะ เหลา นเ้ี ปนไปเพอ่ื สะสมกองราคะ, พยาบาทวติ ก ความตรกึ ในทาง ปองรา ย, ปฏฆิ นมิ ติ ตัคคาหะ ความยึดม่ันในอารมณท่ไี มพ อใจ, อขันติ ความไมอดทน, มุฏฐ สจั จะ เหลานี้เปนไปเพอ่ื สะสมกองโทสะ. วิหงิ สา- วติ ก ความตรึกในทางเบียดเบียน, อโยนโิ สมนสิการ ความทําในใจโดย อบุ ายไมแ ยบคาย ไมฉลาด, มฏุ ฐสัจจะ เหลานเ้ี ปน ไปเพ่อื สะสมกองโมหะ. ๔. ความอยากใหญ คอื ความมักมาก, หวงั มาก, อยากเดน, อยากดัง, อยากได, ความทะเยอทะยานยิง่ ๆ ข้ึนไปจนเกินภาวะฐานะ ของตน. ธรรมทเ่ี ปน ไปเพื่อความอยากใหญ ไดแก ปาปจ ฉา ความ ปรารถนาลามก, อตโิ ลภะ ความโลภจัด, ความกาํ หนดั กลา , ความไมอ่ิม, ความไมเต็ม.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 211 ๕. ความไมส นั โดษ คอื ความไมย ินดดี ว ยของของตน หรอื ดวย ของทม่ี ีอยู มี ๓ อยาง คือ :- ก. ความไมย นิ ดตี ามท่ไี ด คอื ไดข องนแ้ี ลว ไมพ อใจ ไพลไปยนิ ดี ของอ่นื . ข. ความไมยินดตี ามกาํ ลัง คอื กําลงั มีนอย ใชสอยของท่หี นกั หรอื ทาํ งานหนักเกนิ กําลัง. ค. ความไมย นิ ดีตามสมควร คอื ไมยนิ ดใี ชของตามสมควรแก ฐานะ เปนตน. ธรรมทเี่ ปน ไปเพือ่ ความไมส ันโดษ ไดแ ก ความโลภ, ความไม รจู ักประมาณ, ความโออ วด อวดมงั่ อวดมี เปนตน, ความยินดเี กิน ขอบเขต ความไมรจู ักตน. ๖. ความคลุกคลีดวยหมูคณะ คอื ความอยรู ว มเปนพวกเปนหมู ตั้งแต ๒ คนขน้ึ ไป ไมแ ยกจากกนั นง่ั กนั เปนหมู นอนกนั เปน หมู กินกนั เปน หมู ไปกนั เปน หมู ทาํ งานกันเปน หมู อยคู นเดยี วไมไ ดโดย ไมจ ําเปน และโดยไมส มควรแกเวลา. ธรรมท่เี ปน ไปเพอื่ ความคลุกคลี ไดแ ก ความเห็นแกค วาม สนุกสนาน, ความมีจิตฟุงซาน, ความไมส งบกาย - ปาก - ใจ, ความ อยากคยุ เขื่อง, ความขลาด. ๗. ความเกียจคราน คือความเบ่ือระอาไมอ ยากทํางาน, ความ บดิ ขีเ้ กียจ ความไมสนใจ ไมน าํ พาในหนา ที่ของตน. ธรรมที่เปน ไปเพอื่ ความเกยี จคราน ไดแ ก ความเพลิดเพลินในการ เลน , ความตดิ สขุ , ความไมรูจกั ประมาณในภตั ตาหาร, ความซมึ เซา
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ที่ 212 เมาอาหาร. ความชอบหลบั ในกลางวนั ความไมชอบลุกข้นึ ในกลางคืน, ความชอบเที่ยว, ความชอบคยุ , ความชอบอา งเหตเุ ลศขัดของวาหนาวนกั รอนนัก เปน ตน . ๘. ความเลีย้ งยาก คอื ไมยินดีในการเล้ียงดูตามมตี ามได กลับ จูจีจ้ กุ จกิ ขอเพ่มิ โนน ขอเตมิ น่ี ปฏิเสธน่ัน. ธรรมทเี่ ปนไปเพอ่ื ความเล้ยี งยาก ไดแก ความไมมีนํา้ ใจอดทน, ความไมรจู ักประมาณ, ความไมร ูจ ักสังคม, ความถือตัวจดั , ความเยอหย่ิง, ธรรมทงั้ ๘ ประการเหลา นี้ไมใชธ รรม เปนอธรรม คอื ธรรมท่ไี มด ี ไมใ ชวินัย เปน อวินยั คอื เครอื่ งแนะนาํ ทีด่ ีวเิ ศษ ไมใ ชค าํ สอนของพระ ศาสดา เพราะบรมศาสดา คือพระพุทธเจา ไมท รงสอนใหปฏบิ ัติตามนี้. สวนธรรม ๘ ประการทีต่ รงกนั ขา ม พึงรวู า เปนธรรม คือธรรม ทดี่ ี เปน วนิ ัย คอื เคร่ืองแนะนาํ ท่ดี ีวิเศษ เปนคาํ สอนของพระศาสดา เพราะพระบรมศาสดา คอื พระพุทธเจาทรงสอนใหป ฏิบตั ิตามนน้ั . อธบิ ายชอ่ื หมวดธรรม ธรรมอนั แบง ออกเปน ๒ ฝาย ๆ ละ ๘ ประการ เหลา นชี้ ่อื วา ลกั ษณะตดั สินธรรมวนิ ยั ๘ ประการ เพราะทรงบัญญตั ไิ วชัดเจนวา เหลา นีม้ ิใชธรรม, มใิ ชวินัย, มิใชค ําสอนของพระศาสดา. เหลาน้ีเปน ธรรม เปน วินยั เปน คาํ สอนของพระศาสดา. เม่ือพจิ ารณาดกู จ็ ะเหน็ ไดวา ฝายหนง่ึ ลว นแตเปนอธรรม หรืออกุศลธรรม ธรรมท่ีไมด ี พระพทุ ธเจา ไมท รงสอนใหปฏิบัติแตท รงสอนใหละ, ฝา ยหน่ึงลว นแตเ ปน ธรรม หรอื กุศลธรรม คอื ธรรมที่ดี พระพทุ ธเจา ทรงสอนใหปฏิบตั .ิ ฉะนั้น หากวา มี
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 213 ใครนาํ เอาคําของตนเองหรือของผอู ่ืนมาแอบแฝงไวในทใี่ ดทีห่ นึง่ แลว อางวา \" น้ีเปนคาํ สอนของพระพทุ ธเจา \" นักธรรมวนิ ยั ทัง้ หลายตอง พิจารณาเสียกอน ถา เหน็ วาขดั กับธรรมฝา ยดี กต็ ดั สนิ ไดทันทวี า \" คํานนั้ มใิ ชค าํ สอนของพระพุทธเจา \" แตถา เขากนั ไดกับธรรมฝายดี ก็ตดั สนิ ได ทนั ทีวา \" คําน้ันเปน คําสอนของพระพทุ ธเจาจริง.\" แมก ารมีความเห็นขัดแยง กันวา นี้เปนธรรมเปน วินยั นมี้ ใิ ชธ รรม มใิ ชว นิ ัย กต็ องนาํ เขาเปรยี บเทยี บกบั หลักธรรมเหลานดี้ วู า เขา กนั ไดกบั ฝา ยไหน กต็ ดั สินใจวา เปนอยา งนั้น. คําถามสอบความเขาใจ ๑. ความกําหนัด, กองกเิ ลส, ความอยากใหญ ไดแกอ ะไร ? และธรรมใดทเี่ ปนไปเพอื่ อยา งน้นั ? ๒. ความไมสันโดษ, กับความอยากใหญต า งกันอยา งไร ? ความ สนั โดษกับความมักนอ ยตางกันอยางไร ? ธรรมใดท่ีเปน ไป เพ่อื ความเปนอยา งน้ัน ? ๓. ความเลยี้ งยาก และความเล้ยี งงาย เกิดมมี าจากอะไร ? ๔. ความทกุ ขก ับความคลุกคลีดวยหมูค ณะ คืออยา งไร ? มอี ะไร กอ ใหเกดิ ? ๕. ลกั ษณะตัดสินธรรมวนิ ยั มี ๘ ประการ จริงหรอื ไม อธิบาย ? ๖. ถา มีผูพ ดู วา พระพุทธเจาทรงสอนใหพ ระฉันมังสวิรัติ ดังนี้ นกั ธรรม - วินยั จะตดั สินไดอ ยางไรวา ผนู ้นั พูดถูก หรือ พูดผิด
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 214 มรรคมีองค ๘ ๑. สมั มาทิฏฐิ ปญญาอนั เหน็ ชอบ คือเหน็ อริยสัจ ๔. ๒. สมั มาสงั กปั ปะ ดํารชิ อบ คือดํารจิ ะออกจากกาม ๑ ดาํ ริ ในอนั ไมพยาบาท ๑ ดําริในอนั ไมเ บยี ดเบียน ๑. ๓. สมั มาวาจา เจรจาชอบ คือเวน จากวจที ุจริต ๔. ๔. สมั มากัมมนั ตะ ทําการงานชอบ คือเวนจากกายทุจรติ ๓. ๕. สมั มาอาชวี ะ เล้ยี งชีวิตชอบ คือเวน จากความเล้ยี งชวี ิตโดย ทางท่ีผดิ . ๖. สมั มาวายามะ เพยี รชอบ คอื เพียรในท่ี ๔ สถาน. ๗. สมั มาสติ ระลกึ ชอบ คือระลกึ ในสตปิ ฏฐานทั้ง ๔. ๘. สมั มาสมาธิ ตง้ั ใจไวชอบ คือเจรญิ ฌานทั้ง ๔. ในองคท้ัง ๘ น้ัน เห็นชอบ ดาํ ริชอบ สงเคราะหเขาใจปญ ญา- สิกขา. วาจาชอบ การงานชอบ เลย้ี งชีพชอบ สงเคราะหเขาใน สีลสกิ ขา. เพียรชอบ ระลึกชอบ ต้งั ใจไวช อบ สงเคราะหเ ขา ใน จิตตสิกขา. ม. ม.ู ๑๒/๒๖ อภิ. วภิ งคฺ . ๓๕/๓๑๗ อธิบายศัพท ๑. สมั มาทิฏฐิ ปญ ญาอันเห็นชอบ คอื เหน็ อริยสจั ๔ นัน้ หมายความวา ปญ ญาทรี่ ูเหน็ ถูกตอ งซ่ึงความจรงิ ท่ีเท่ยี งแทไมแปรผัน ๔ อยา ง คอื ทกุ ข สมุทัย นิโรธ มรรค. (ดอู รยิ สจั ๔ หนา ๑๒๔) สัมมาทฏิ ฐิในองคม รรคเปนดวงตา คือเครื่องเห็น. สัมมาทฏิ ฐิในอรยิ สจั ๔ เปน ธรรม คอื สงิ่ ทถี่ ูกเหน็ . สมั มาทฏิ ฐิ เห็นสัมมาทิฏฐิ คอื ดวงตาเห็น
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ที่ 215 ธรรม. หมายความวา ปญ ญาอนั เหน็ ชอบในองคมรรคนี้ รเู หน็ ซึง่ สัมมาทิฏฐิ อันเปนตัวมรรคสจั ในอรยิ สจั ๔ ทคี่ วรรูควรเหน็ . ๒. สัมมาสงั กปั ปะ ดาํ รชิ อบ มี ๓ อยา ง คือ ก. ดําริจะออกจากกาม คือทาํ จิตใจมใิ หหมกมุนดว ยกเิ ลสกาม และมใิ หตดิ ใจในวตั ถุกาม. ข. ดํารใิ นอันไมพ ยาบาท คือคิดแผเมตตาปรารถนาความสุขไป ในผูอ น่ื . ค. ดํารใิ นอนั ไมเบยี ดเบียน คือคิดแผก รณุ าชว ยเหลอื ผูอน่ื ให พน ทกุ ข. ๓. สมั มาวาจา เจรจาชอบ คอื เวน จากวจีทจุ รติ ๔ (ดวู จีทจุ ริต ในหมวด ๓) ๔. สมั มากมั มันตะ การทาํ งานชอบ คอื เวนจากกายทุจริต ๓ (ดกู ายทจุ รติ ในหมวด ๓) ๕. สมั มาอาชวี ะ เล้ยี งชีพชอบ คอื เวน จากความเล้ียงชวี ติ โดย ทางทีผ่ ดิ นน้ั หมายความวา เวน จากการแสวงหาปจจัย ๔ มาเลย้ี งชวี ติ โดยทางทีผ่ ิดกฎหมาย และผิดศลี ผิดธรรม. ๖. สมั มาวายามะ เพยี รชอบ คอื เพยี รในท่ี ๔ สถาน (ดู หมวด ๔) ๗. สมั มาสติ ระลกึ ชอบ คอื ระลึกในสตปิ ฏ ฐานท้ัง ๔ (ดู หมวด ๔) ๘. สมั มาสมาธิ ตง้ั ใจไวชอบ คอื เจริญฌานทั้ง ๔ นนั้ หมาย ความวา ตงั้ ใจไวใ นรปู ธรรมอยา งใดอยางหนึ่งท่เี ปน อารมณของสมาธิ
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ที่ 216 เพงดูจนใจแนวเปนอปั ปนาสมาธิ เรยี กวา \" ฌาน. \" ฌาน น้นั จัดเปน ๔ ชนั้ คอื :- ปฐมฌาน ฌานท่ี ๑ มอี งค ๕ คือ วิตก ความตรึก วจิ าร ความตรอง ไมป ระกอบดว ยกิเลสกามและอกุศลธรรม ปต ิ ความอิม่ ใจ สุข ความสบายใจอันเกิดแตว ิเวก คอื ความเงยี บสงดั เอกัคคตา จติ เปน หน่ึง. ทตุ ฌิ าน ฌานที่ ๒ มีองค ๓ คือ ปติ สขุ เอกคั คตา. ตตยิ ฌาน ฌานที่ ๓ มีองค ๒ คอื สขุ เอกัคคตา. จตตุ ถฌาน ฌานที่ ๔ มีองค ๒ คือ อเุ บกขา ความเฉย ๆ กบั เอกัคคตา. อธบิ ายชอื่ หมวดธรรม ธรรมทงั้ ๘ ประการเหลา นี้ รวมเขา เปนสกิ ขา ๓ คอื ขอ ๑ กับ ขอ ๒ รวมเรยี กวา ปญญาสิกขา. ขอ ๓-๔-๕ รวมเรยี กวา สลี สกิ ขา. (อาชีวมฏั ฐกศีล ศลี มอี าชวี ะเปนท่ี ๘ คอื สมั มาวาจา ๔ สัมมากัมมนั ตะ ๓ สมั มาอาชวี ะ ๑) ขอ ๖ - ๗ - ๘ รวมเรยี กวา จติ ตสกิ ขา. เม่อื รวมสกิ ขา ๓ เขา เปน อันเดียว เรยี กวา มรรค แปลวา ทาง หมายถึงขอ ปฏบิ ัตทิ ี่พอดี ไมห ยอนไมตึงเกินไป. ขอปฏบิ ตั แิ ตล ะขอเรยี ก วา \" องค. \" มีอยู ๘ องค เรียกวา \" องค ๘. \" องค ๘ เปน องค ประกอบของมรรค จึงเรยี กวา มรรคมอี งค ๘ เปนทางปฏิบัติใหถงึ ความ ดับทุกข ทเี่ รยี กวา นโิ รธ หรอื นิพพาน.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 217 คําถามสอบความเขาใจ ๑. สมั มาทฏิ ฐิ ในองคม รรคกับในอริยสัจ ๔ ตางกนั อยางไร ? ๒. ดํารชิ อบ ไดแกก ารดําริอยางไร ? สงเคราะหเขาในสกิ ขา ขอ ไหน ? ๓. ศลี ในองคมรรคทา นวามี ๘ อยาง อยากทราบวาอะไรบาง ? ๔. สมั มาสติกับสัมมาสมาธิ อยา งไหนสูงกวากนั ? อธบิ าย ๕. สมาธกิ บั ฌานตางกันหรอื เหมอื นกนั อยางไร ? ๖. มรรคกับองคม รรค มอี ยางละเทาไร ? คืออะไร ? ๗. ถาตองการไปนิพพาน จะไปทางไหน ? สมั มาทฏิ ฐิ มีความเห็นดี ขอ นเี้ ปน หลกั เห็นทุกขสมทุ ยั นโิ รธและมรรค แจม แจง ประจักษ ตลอดเนือ้ ความ. มพิ ยาบาท มคิ าดคุกคาม มิติดมิตาม เบียดเบยี นผใู ด. สมั มาวาจา พดู ดีมคี า สัจจาปราศรัย มิพูดสอเสยี ด มเิ หยยี ดหยามใคร มเิ พอเจอ ไป พดู ไพเราะด.ี สมั มากมั มนั ต ทํางานทกุ อัน งามสมศักด์ศิ รี มิเกี่ยวการฆา ลกั พาบมี เรื่องอิสตรี บมีระคาย.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาท่ี 218 สมั มาอาชีว หากินทางดี บม เี สียหาย เวน มจิ ฉาชีพ ชัว่ ชานา อาย ทางดีมากมาย หาไดมิจน. สมั มาวายาม พากเพยี รดีงาม หักหา มอกศุ ล ละชวั่ ทม่ี ี ความดสี ากล ใหเกดิ ในตน ขวนขวายรกั ษา. สมั มสติ ระลกึ ถกู ดี ทงั้ สี่ปฏฐาน ระลกึ ในกาย และเวทนา จิตตะธรรมา ตั้งหนา พนิ จิ . สมั มาสมาธิ เนื่องจากสติ ประคองครองจติ เปลอ้ื งจากนิวรณ เขา ฌานประชิด มุง เพงมุง พิจย มฤี ทธศ์ิ ักดา. รวมท้งั แปดองค เมื่อยนยอ บลง เปน \"ไตรสกิ ขา \" หนงึ่ สลี ,สองจติ ทีส่ ามปญญา รวมสามสกิ ขา เปนหน่ึงเรียก \" มรรค. \" ใชต ัดสงั โยชน เด็ดขาดทงั้ โคตร ไมเหลอื ตอหลัก เปน ทางดบั ทกุ ข. ดจี ริงยิ่งนัก จึงเรียกวา \" มรรค - อรยิ สจั . \" ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 219 นวกะ คอื หมวด ๙ มละ คอื มลทิน ๙ อยาง ๑. โกรธ ๒. ลบหลูบุญคณุ ทา น ๓. ริษยา ๔. ตระหนี่ ๕. มายา ๖. มกั อวด ๗. พดู ปด ๘. มีความปรารถนาลามก ๙. เหน็ ผิด. อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๕๒๖ อธบิ ายศัพท ๑. โกรธ คือความขุน แคน ขดั เคืองในบคุ คล หรอื ในสตั วท่ีไม ชอบใจตน. เมอื่ เกดิ ขึ้นแลว เปน สมุฏฐานคอื เหตุใหเ กิดโทสะคอื ความ คิดรา ย ถาสติร้งั ไมอ ยู ยอมพดู คําหยาบ กอความวิวาท, ยอมทาํ รา ยเขา จนถึงลางผลาญชีวติ เขาก็ม.ี ๒. ลบหลบู ุญคุณทา น คือความลบ หรอื กลบ-ปด บงั ซง่ึ คุณ งามความดที ่ีทานผอู น่ื ไดทําแลวแกต น หรือแกผ ูอ นื่ หรือแกส ว นรวม ประเทศชาติ ศาสนา เม่อื เกิดขน้ึ แลว แกผ ใู ด ผนู น้ั กลายเปน คนอกตญั ู ไมรจู ักบญุ คุณทท่ี า นผูอื่นไดท ําแลว และเปน อกตเวที ไมคดิ ตอบแทนคุณ ในเม่ือมีโอกาสและสามารถ ย่งิ กวานี้บางทียงั มุงรายหมายอาฆาตเขน ฆา เพ่อื ลบ กลบทา นใหส ้ินสญู ไป. ๓. ริษยา คือความดิน้ รนกระสบั กระสายไมเ ปน สขุ ใจ ไมพ อใจ ในเมื่อเหน็ หรอื รูว าผอู ่ืนไดดี มลี าภ ยศ สรรเสรญิ สุข ดกี วาตน หรือแม
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ที่ 220 เพยี งเทาเทยี มกับตนหรอื นอ ยกวาตน. เมอ่ื เกดิ ข้ึนแกผูใด ผนู น้ั ยอม ประพฤตชิ ั่วตาง ๆ เพ่อื ตดั รอนลาภเปน ตน ของเขา จนถงึ ลา งผลาญ ชวี ิตเขาก็มี. ๔. ตระหนี่ คือความหวงแหนเหนียวแนน จนเกินควร. ความ ตระหนมี่ ี ๕ อยาง คอื ๑) ตระหนท่ี อี ยู ๒) ตระหน่สี กุล ๓) ตระหน่ี ลาภทรัพยส มบัติ ๔) ตระหน่คี วามดี ๕) ตระหน่ีศิลปวิทยา. ความ ตระหน่เี หลา นอ้ี ยางใดอยางหน่ึงเกิดข้ึนแกผูใด ผูน ้ันมีจิตใจมัวหมอง ไม ยอมสละอะไร ๆ ใหเปน ประโยชนแ กใคร ๆ แมแ กต นเอง เม่อื จิต มวั หมอง รา งกายกย็ อมทรดุ โทรมผดิ ธรรมดา เปนทนี่ าเกลียดแกผูอืน่ . ๕. มายา คือความเสแสรง แกลงทาํ อําพราง บดิ เบือนหลอกลวง ใหผ อู ื่นเขาใจผิดไปจากความจรงิ เม่ือเกดิ มแี กผูใด ผนู ้นั ยอ มประพฤตผิ ิด ตาง ๆ ไดโดยปราศจากความละอาย. ๖. มักอวด คือความหย่ิงผยอง ยกยองตนดว ยตนเอง โดยแสดง ออกทางกาย หรือทางวาจา เพ่อื ใหผ ูอ ื่นรูวา ตนมีโคตรตระกลู ยศศกั ดิ์ ความรแู ละคุณธรรมดอี ยา งน้ันดอี ยางน้ี เมอื่ เกดิ มีแกผูใด ผูนั้นยอมแสดง กริ ยิ ามารยาทไมดีมปี ระการตาง ๆ อนั เปนทเ่ี ยย หยันของเหลา บัณฑติ . ๗. พูดปด คอื พดู ดว ยความจงใจ มงุ ทจ่ี ะใหผ ฟู ง เขา ใจผิดจาก ความจริง แมก ารเขียนหนงั สือปดเขา หรอื สั่นศรี ษะ, พยกั หนา ใหเ ขา เขา ใจผิด กจ็ ดั วา พูดปดเหมือนกนั ผใู ดพดู ปด ผนู ้ันยอมทําชวั่ ไดท กุ อยาง. ๘. มีความปรารถนาลามก คอื ความปรารถนาช่วั เชน ปรารถนา ไดท รพั ยในทางทุจริตมิจฉาชพี ตาง ๆ มกี ารตม ตุน ลอลวงเปน ตน. เมอ่ื เกดิ มแี กผ ูใด ผูนนั้ ยอ มจะแสวงหาทรัพย ยศ ชอ่ื เสยี ง สขุ ในทางท่ี ไมชอบธรรม.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาที่ 221 ๙. เหน็ ผิด คือเห็นผิดจากคลองธรรม เชน เห็นวา บุญบาปไมมี, มารดาบดิ าไมมคี ณุ , ความดคี วามชั่วไมม เี หตุ, คนจะดกี ็ดเี อว จะชว่ั ก็ ชั่วเอง, สังขาร คน สตั ว เท่ยี ง เคยเปนอยา งกอ็ ยางนนั้ ตลอดไป. เมอ่ื เกดิ มีแกผ ใู ด ผูนน้ั ยอมทําชวั่ ไดทุกอยาง และถามีความเห็นผิดด่ิงเปน นยิ ตะ กน็ บั วาเปนคนอาภัพทส่ี ดุ ไมม ใี ครจะเลวกวา . อธิบายชอื่ หมวดธรรม กเิ ลสธรรม ทงั้ ๙ อยา งน้ี แตล ะอยา งช่ือวามลทนิ เพราะเปน เครื่องทําจติ ใหเ ศราหมองเสือ่ มสมรรถภาพ ไมนมุ นวล ไมค วรแกก าร งาน เปรียบเทียบสนมิ ทเี่ กิดกับเหล็ก ยอ มทําเหลกั ใหส กปรก และกัด เหลก็ ใหกรอนใหเ สือ่ มคุณภาพ ใชการไมไดฉ ะนั้น. แมเพยี งความโกรธ อยางเดยี ง ก็จัดเปน สนิมใจ เหมอื นสนิมศสั ตรา มมี ดี ขวานเปนตน มี พระนพิ นธพุทธภาษติ วา โกโธ สตถฺ มล โลเก. ความโกรธเปนดงั่ สนมิ ศสั ตราในโลก. ดังนี้ แมกิเลสธรรมอนื่ ๆ นอกนี้ กม็ อี ุปมาอยางนี้เหมือนกนั . ธรรมดารางกายสกปรกดวยเหงือ่ ไคล ยอ มชําระใหสะอาดไดด ว ย อาบนาํ้ ซกั ฟอกดวยสบเู ปนตน แตถ าสกปรกดว ยกายทุจรติ มปี าณาติบาต เปนตน ยอมชําระใหส ะอาดไดด ว ยกายสจุ ริตเปน ตน สว นจติ ใจเม่อื สกปรกดวยมลทิน ๙ ดงั กลาว ตองชาํ ระดวยปญญา เพราะมพี ระพุทธ- ภาษติ วา
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 222 ปฺ าย ปุริสชฌฺ ติ. จิตยอ มบริสุทธ์ดิ ว ยปญญา ดงั น.ี้ เมื่อมปี ญญาเกิดในจิต กย็ อมรู ยอมเห็นวา กเิ ลสใดจะตองแกดว ย ธรรมขอไหน และเม่ือแกได จิตยอ มสะอาดบริสุทธิห์ มดจดจากกิเลสมลทนิ . ธรรมทเ่ี ปน เคร่ืองชาํ ระมลทิน ๙ อยาง ๑. โกรธ แกด วย ขันติ-เมตตา-กรณุ า ๒. ลบหลูค ุณทา น แกด ว ย กตัญกู ตเวที ๓. ริษยา แกด วย มทุ ิตา ๔. ตระหนี่ แกดว ย ทาน ๕. มายา แกด วย อุช,ุ อาชวะ ความซ่อื ตรง ๖. มกั อวด แกดว ย อตั ตัญตุ า, อปจายนะ ๗. พูดปด แกดวย สจั จวาจา ๘. ปรารถนาลามก แกดวย สนั โดษ, มกั นอ ย ๙. เหน็ ผิด แกดวย เห็นชอบตามคลองธรรม. คําถามสอบความเขาใจ ๑. ลบความดี กบั ยกยอ งความดี ตา งกนั อยา งไร ? เปน คณุ หรอื เปน โทษ ? ๒. มายากับพดู ปด ตางกนั อยา งไร ? อยา งไหนมีโทษมากกวา ? ๓. บรรดามลทนิ ๙ อยา ง อยางไหนมโี ทษรายแรงทส่ี ดุ ? เพราะเหตุไร ?
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาที่ 223 ๔. สนมิ ภายนอกรจู ักกันแลว อยากทราบวาสนมิ ภายในคืออะไร ? และจะขดั ถูกใหหมดไปดวยอะไร ? ๕. คนพวกหนึง่ มคี วามเห็นวา คนจะดกี ด็ ีเอง จะชว่ั ก็ชว่ั เอง แต พวกหนึ่งมคี วามเห็นผิดจากนัน่ คือ คนจะดหี รอื ชั่วกเ็ พราะ กรรม อยากทราบวา พวกใดเปนผมู คี วามเห็นผิด ? มละคือ มลทิน ท้งั สิน้ เกา เม่ือมันเขา จับจิต เปนพษิ สง เหมอื นสนมิ กดั เหลก็ ใหเ ลก็ ลง คนดีคง เสยี คน เพราะมลทิน. โกรธ, ลบหลู ริษยา ความตระหน,ี่ มายา,มี อวดทา, นาตฉิ นิ ปรารถนา- ลามก, โกหก,ชนิ เหน็ ผิด,สน้ิ อาภพั กลับเลวลง. ศรี ฯ นคร. คนทีจ่ ะเสยี คน เพราะคละมลทินเพลิน ใฝส ุขสนุกเกนิ จะเผชิญระทมใน หากต้งั ระวงั ตน สติทนประจาํ ใจ ชพี น้จี ะดไี ป ก็เพราะใจละมลทิน. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 224 ทสกะ คือหมวด ๑๐ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ จดั เปน กายกรรม คือทําดว ยกาย ๓ อยาง ๑. ปาณาตบิ าต ทาํ ชวี ติ สตั วใหต กลวง คอื ฆาสัตว. ๒. อทนิ นาทาน ถอื เอาสิ่งท่ีเจาของไมไดให ดวยอาการของขโมย. ๓. กาเมสุ มจิ ฉาจาร ประพฤติผิดในกาม. จดั เปนวจีกรรม คือทําดวยวาจา ๔ อยา ง ๔. มุสาวาท พดู เทจ็ . ๕. ปส ณุ าวาจา พดู สอเสียด. ๖. ผรสุ วาจา พูดคาํ หยาบ. ๗. สมั ผัปปลาปะ พูดเพอเจอ. จดั เปนมโนกรรม คือทําดวยใจ ๓ อยาง ๘. อภชิ ฌา โลภอยากไดของเขา. ๙. พยาบาท ปองรายเขา. ๑๐. มจิ ฉาทฏิ ฐิ เหน็ ผิดจากคลองธรรม. กรรม ๑๐ อยางน้ี เปน ทางบาป ไมควรดาํ เนนิ . ที. มหา. ๑๐/๓๕๖
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ที่ 225 อธิบายศพั ท ศพั ทว า \" กรรม \" แปลวา การทํา ถา ทาํ ดวยกาย เรียกวา กายกรรม, ถาทําดวยวาจา เรยี กวา วจีกรรม, ถา ทําดวยใจ เรียกวา มโนกรรม. กรรมแยกออกเปน ๒ ฝา ย คือ อกุศลกรรม แปลวา การทําทไี่ ม ฉลาด หมายความวา ทําไมดี จดั เปนทจุ รติ ประพฤติไมด ี ๑ กศุ ลกรรม แปลวา การทาํ ทฉ่ี ลาด หมายความวา ทาํ ดี จัดเปนสจุ ริต ประพฤตดิ ี ๑. อกศุ ลกรรม แยกเปน ๓ เหมือนกับทจุ รติ แยกออกเปน ๓ และ แยกเปนขอ ๆ อกุศลกรรมแยกออกเปน ๑๐ ขอ เหมอื นทจุ ริตแยกออก เปน ๑๐ ขอ เพราะฉะนั้น คาํ อธิบายศพั ทใ นอกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ขอนี้ พงึ ทราบเหมือนทุจรติ ในหมวด ๓. อธิบายชอ่ื หมวดธรรม อกศุ ลกรรมท้งั หมดน้ชี อื่ วา อกศุ ลกรรมบถ แปลวา ทางแหงการ ทําทีไ่ มด ี หมายความวา ทางนําผปู ฏบิ ตั ไิ ปสทู ุคติ. เพราะฉะนน้ั ในตอนทา ยทานจงึ เตอื นไววา \" กรรม ๑๐ อยา งนี้ เปน ทางบาปไมค วรดาํ เนิน \" เพราะเปน ทางเลว ทางทกุ ข จึงไมค วร ปฏิบัติในทางเหลาน้.ี ทจุ รติ ๓ แยกออกเปน ๑๐ ขอ มงุ กลาวความประพฤตชิ ั่ว ๑๐ อยาง. อกุศลกรรมบถ ๑๐ ขอ มุงกลาวความชวั่ ๑๐ อยาง เปนทางนาํ ไป สูทคุ ต.ิ จงึ เห็นไดวา ทุจริตกบั อกุศลกรรมบถมีอยางละ ๑๐ ขอ เหมอื น
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 226 กัน มเี นอ้ื ความเหมือนกัน แตตา งกนั ท่คี วามมุงหมาย คือทจุ ริตมุงความ ประพฤติช่ัว อกุศลกรรมบถมุงความชว่ั . ในอกศุ ลกรรมบถ เมอื่ แยกออกเปน กายกรรม วจกี รรม มโนกรรม กพ็ งึ ทราบวา มโนกรรมเปนสําคัญท่ีสุด เพราะเมอื่ มโนกรรมเกดิ ขนึ้ แลว เปน เหตุใหท ํากรรม ๒ อยา งนไ้ี ด. อนึ่ง ในอกศุ ลกรรมบถ ไมมีการดื่มสุราเมรัย แตกส็ งเคราะหเ ขา ในขอ วา ความเห็นผิดจากคลองธรรมได เพราะการด่ืมสรุ าเมรัยนนั้ เน่ืองมาจากมคี วามเหน็ วา การดืม่ สรุ ามปี ระโยชน หรือเปนความดี. คาํ ถามสอบความเขาใจ ๑. คําวา กรรม แปลวา การทาํ ทราบแลว แตส งสัยวา การพดู การคิด จัดเปน กรรมไดหรอื ไม ? อธบิ ายใหชัดเจน. ๒. อกศุ ลกรรม แยกเปน ๓ และแยกเปน ๑๐ ไดอ ยา งไร แยกมาดู ? ๓. อกศุ ลกรรมบถ แปลวา อยา งไร ? หมายความวาอยางไร ? ๔. ทจุ ริตกบั อกศุ ลกรรมบถ ตา งกนั อยา งไร ? มีอยางละกข่ี อ ? ๕. ในอกศุ ลกรรมบถ กรรมอะไรสาํ คญั ที่สดุ ? เพราะเหตไุ ร ? ๖. อกศุ ลกรรมบถ ไมม กี ารดืม่ นาํ้ มา ฉะน้นั การด่ืมนํ้าเมา จึงไมเ ปน ความชว่ั และไมเปนทางนําผูด่ืมไปสทู คุ ติ ใชห รือ ไมใ ช ? เพราะเหตุไร ?
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 227 กุศลกรรมบถ ๑๐ จดั เปน กายกรรม ๓ อยา ง ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เวนจากทําชวี ิตสตั วใหต กลว ง. ๒. อทนิ นาทานา เวรมณี เวนจากการถอื เอาสิ่งของที่เจาของ ไมไ ดใ ห ดว ยอาการแหงขโมย. ๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เวนจากประพฤติผิดในกาม. จัดเปนวจีกรรม ๔ อยาง ๔. มุสาวาทา เวรมณี เวน จากพูดเท็จ. ๕. ปส ณุ าย วาจาย เวรมณี เวนจากพดู สอเสียด. ๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี เวน จากพดู คําหยาบ. ๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี เวน จากพดู เพอ เจอ . จดั เปนมโนกรรม ๓ อยา ง ๘. อนภิชฌา ไมโ ลภอยากไดข องเขา. ๙. อพยาบาท ไมพ ยาบาทปองรายเขา. ๑๐. สมั มาทิฏฐิ เหน็ ชอบตามคลองธรรม. กรรม ๑๐ อยางน้ี เปน ทางบุญ ควรดําเนนิ . ท.ี มหา. ๑๐/๓๕๙ อธิบายศัพท ศัพทว า เวรมณี แปลวา เวน หมายความวา งด จากกรรมชั่ว ตา ง ๆ มปี าณาติบาตเปนตน. ศัพทว า อนภิชฌา กด็ ี อพยาบาท กด็ ี
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ที่ 228 ทานใช น ปฏิเสธนําหนา ศพั ทเดมิ ตามหลักไวยากรณ แปลง น เปน อน บาง เปน อ บา ง แปลวา ไม. ศพั ทว า สัมมาทฏิ ฐิ แปลวา เห็นชอบ เหน็ ถกู เหน็ ตรง ตามคลองธรรม. คือเหน็ วา บาป-บญุ มีอยู, กรรมดี กรรมช่วั มีอยู ผลของกรรมดคี ือสุข ผลของกรรมชั่วคอื ทุกขม ีอยู, คนทํา กรรมดีก็ไดส ุขเอง ทาํ กรรมช่วั ก็ไดท ุกขเ อง ใครจะเปล่ียนใหก ลบั กัน ไมได. อธิบายท้ังปวงในกุศลกรรมบถนี้ นักเรยี นพงึ ทราบโดยนัยตรง กันขา มกับท่อี ธิบายแลว ในอกุศลกรรมบถ คอื กลบั ความกัน ในสว นความ ชวั่ ก็ใหกลับเปน ความดี โดยยึดหลกั วา อกุศล เปนสว นชว่ั , กุศล เปน สว นดี. คําถามสอบความเขาใจ ๑. กุศลมูล กบั กศุ ลกรรมบถ แปลวาอยา งไร ? มีอยางละเทาไร ? ๒. มิจฉาทฏิ ฐิ มาในที่ไหน ? แปลวาอยางไร ? คนมาใหดอู ยา ง นอ ย ๓ แหง ๓. ในกุศลกรรมบถ กรรมอะไรสาํ คัญท่สี ุด ? เพราะเหตไุ ร ? ๔. วจกี รรมในกศุ ลกรรมบถ กบั ศลี ขอ ๕ ของอบุ าสกอบุ าสิกา ตา งกนั อยา งไร ? ๕. \" ทางบญุ \" กับส่งิ เปน ทต่ี ้ังแหง การบําเพ็ญบญุ ตา งกันหรือ เหมอื นกันอยางไร ? มอี ยางละเทาไร ?
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาท่ี 229 บุญกิริยาวตั ถุ ๑๐ อยา ง ๑. ทานมัย บุญสาํ เร็จดวยการบริจาคทาน. ๒. สลี มยั บญุ สําเรจ็ ดว ยการรักษาศีล. ๓. ภาวนามนั บุญสําเร็จดวยการเจรญิ ภาวนา. ๔. อปจายนมยั บญุ สาํ เร็จดว ยการประพฤติถอ มตนแกผใู หญ. ๕. เวยยาวัจจมยั บญุ สําเรจ็ ดวยการชว ยขวนขวายในกิจที่ชอบ. ๖. ปต ตทิ านมยั บญุ สําเรจ็ ดวยการใหส ว นบุญ. ๗. ปตตานโุ มทนามัย บญุ สําเร็จดวยการอนโุ มทนาสว นบุญ. ๘. ธมั มัสสวนมยั บญุ สําเร็จดวยการฟง ธรรม. ๙. ธมั มเทสนามัย บุญสําเรจ็ ดว ยการแสดงธรรม. ๑๐. ทฏิ ุชุกัมม การทําความเหน็ ใหตรง. ส.ุ วิ. ๓/๒๕๖. อภธิ มฺมตฺภสงคฺ หปาลิ. ๒๙ อธบิ ายศพั ท ๑. ทานมัย ๒. สลี มัย ๓. ภาวนามยั ไดอ ธิบายแลวในบุญ กริ ิยาวตั ถุ ๓ อยาง (หนา ๕๖-๕๗-๕๘) ๔. อปจายมมัย บญุ สําเร็จดว ยการประพฤตถิ อ มตนตอผใู หญ. ศพั ทวา อปจายนะ แปลวา ความถอมตน หมายถงึ ความเคารพนับถือ นอบนอ มบูชา. คาํ วา ผใู หญ ไดในศพั ทบาลีวา วุฑโฺ ฒ มี ๓ จําพวก คอื ๑. ชาตวิ ุฑโฺ ฒ ผใู หญโ ดยชาติ เชน พระมหากษตั ริยเปน ตน ๒. วยวฑุ ฺโฒ ผใู หญโ ดยวัย คือผสู ูงอายุ ๓. คณุ วฑุ โฺ ฒ ผใู หญ โดยคณุ ธรรม คือผูทรงธรรมทรงวินยั .
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 230 ความไมกระดางแข็งขอ ตอทา นผูใหญด ว ยทฏิ ฐิมานะ แตประพฤติ ออ นนอ มถอมตนตอทา น ดวยเคารพนบั ถอื ยาํ เกรงบชู า ยอมจะไดร ับ การสรรเสรญิ ยกยอ งชมเชยในปจจุบนั คร้นั ลับดบั ชพี ไป ก็ยอมไปดีม,ี ความสุข ดังพระพุทธภาษิตในติดติรชาดกวา เย วุฑฒฺ มปจายนฺติ นรา ธมมฺ สฺส โกวิทา ทฏิ เ ธมเฺ ม จ ปสส า สมปฺ ราโย จ สคุ ต.ิ มง.ฺ ๒/๒๒๓ นรชนเหลา ใด ฉลาดในธรรม ประพฤตถิ อ มตนตอ ทา นผใู หญ นรชนเหลานน้ั เปน ผูควรยกยองสรรเสรญิ ในปจ จบุ นั และภพทีไ่ ปเกิดใน ภายหนา ของเขาเปน สคุ ติ ดังน.้ี บุญคอื ความสขุ ทเ่ี กดิ ดว ยการประพฤติออนนอมดังนี้ จงึ ช่อื วา อปจายนมยั บุญ บุญสําเร็จดว ยการประพฤติถอมตนตอผใู หญ. อภิวาทนสสี ิสสฺ นิจฺจ วฑุ ฺฒาปจายิโน จตฺตาโร ธมมฺ า วฑฺฒนตฺ ิ อายุ วณฺโณ สุข พล. ธรรม ๔ ประการ คือ อายุยนื ผิวพรรณผอ งใส ความสบายกาย สบายใจ ความมีกําลังดี ยอ มเจริญแกผ ูมปี กติกราบไหว และประพฤติ ออ นนอมถอ มตน ตอ ทา นผูใหญ เปน นิตย. ๕. เวยยาวจี จมัย ศัพทวา เวยยาวจั จะ แปลวา ชวยขวนขวาย. หมายความวา ชวยจัดชวยทําดว ยจิตเอ้อื เฟอ โอบเออื้ อารี และการชว ยนนั้ ชวยทาํ ดวยกาย ชวยพดู ดวยวาจา ชว ยคดิ ดวยจติ ใจ อน่งึ การชว ยดวย กาํ ลงั กาย กาํ ลังวาจา กาํ ลงั ทรพั ย กําลงั สติปญ ญา กช็ ่อื วา เวยยาวัจจะ แตละอยาง ๆ.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาที่ 231 คําวา กิจทช่ี อบ นน้ั หมายถงึ กิจการทีไ่ มมีโทษ เชนการทํานา ทาํ ไร คาขาย เปน ตน อนั เปนกจิ การของชาวโลกผคู รองเรอื น, การซกั การเย็บ การยอมจวี ร และสรางซอ มแซมเสนาสนะเปนตนของบรรพชิต. การขวนขวายชว ยจัดชวยทําซงึ่ กิจท่ีชอบอนั ไมม โี ทษดังกลา ว แกผ ู อนื่ ตามคราวตามสมัยอันสมควร ไมท นนิ่งดูดาย กช็ ื่อวาเปนการบาํ เพญ็ บญุ ประการหนงึ่ บญุ คอื ความสุข ท่ีเกดิ จากการชว ยขวนขวายในกจิ ที่ชอบ ดงั น้ี ชื่อวา เวยยาวจั จมัยบญุ บุญสาํ เรจ็ ดวยการชวยขวนขวายในกิจทีช่ อบ. ๖. ปตตทิ านมัย ศพั ทวา ปตติ ในที่น้ีแปลวา สวนบญุ , สวน ความดี, ปต ติทาน แปลวา การใหสว นบุญหรือสวนความดี. หมายความ วา เมื่อไดท ําบุญอยา งใดอยางหนึ่ง เชน ถวายทานแกพ ระสงฆเปน ตน แลว อทุ ิศใหแกผ ูท ่ีตายไปแลว หรือต้งั ใจมอบหรอื ถวายใหสว นบุญสว นความดี นนั้ แกผ ทู ยี่ ังมชี ีวิตอยู เพอื่ ใหเ ขาไดร ื่นเริงบนั เทิงอนโุ มทนาเปนสขุ ใจ ตอ ๆ ไป หรือเพ่อื เขาจะไดอนวุ ัตรปฏบิ ัตบิ ําเพ็ญบญุ ตามใหเ กิดสุขยิง่ ๆ ขึน้ โดยควรแกฐานะ และเพื่อจัดความตระหน่ีซึ่งเปน มลทินของตน ประการหน่งึ ชือ่ วาวณั ณมัจฉริยะ ตระหนีค่ วามดี หวงแหนความดี เอาดีแตผเู ดียว ไมยอมใหผ อู ่ืนดบี า ง. ฉะน้นั การใหสว นบุญแกผูอ นื่ จงึ เปน การบําเพ็ญบุญเพิ่มข้นึ อีกสวน หนึง่ กอใหเ กิดความสุขท้งั แกต นและแกผอู ืน่ . บุญคอื ความสขุ นจี้ ึงชอื่ วา ปตติทานมัยบุญ บุญสําเรจ็ ดวยการใหส ว นบุญ. ๗. ปต ตานโุ มทนามยั ศัพทวา ปต ตานุโมทนา แปลวา การ ชนื่ ชมตามสวนบุญ. หมายความวา ยนิ ดใี นสวนบุญที่ผูอืน่ ใหและอนุวตั ร ปฏิบตั ิบาํ เพ็ญบญุ ตามเขา ไมรษิ ยาในความดขี องเขา กําจัดถัมภะความหัวด้ือ
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ที่ 232 และมานะความถอื ตวั ของตนเสีย เมอ่ื ชืน่ ชมในสว นบญุ ทเี่ ขาให ตนก็ สขุ ใจ เมอ่ื ปฏบิ ัติบําเพ็ญบญุ ตามเขา ตนก็สบายใจ เมื่อไมคดิ รษิ ยาเขา ตนกม็ จี ติ สะอาดเย็นเปนสขุ เมือ่ กาํ จัดความหัวด้ือถือตัวออกเสีย กย็ อมมี ความสนิทสนมกลมเกลียดกับเขาที่มคี วามดี ตนกม็ ีโอกาสไดทาํ ดีมคี วามสุข ย่ิง ๆ ขึ้น ฉะนัน้ บญุ คอื ความสุจ ท่ีเกดิ จากการชื่นชมสวนบุญนี้ จงึ ชอ่ื วา ปต ตานโุ มทนามัยบญุ บญุ สําเรจ็ ดว ยการอนุโมทนาสว นบุญ. ๘. ธมั มสั สวนมัย ศพั ทวา ธมั มสั สวนะ แปลวา การฟง ธรรม. หมายถึงการฟง พระธรรมเทศนา พังธรรมบรรยาย ฟงการสนทนาธรรม ฟง การสอนธรรมสอนวนิ ัย ฟงการชี้แนะศิลปวิทยาอนั เปน ประโยชนท กุ ชนิด. เม่อื ฟงธรรมตา ง ๆ อยา งใดอยา งหน่งึ ดวยความตง้ั ใจฟง ก็ยอม ไดอานสิ งส ๕ อยา ง ดงั ปรากฏอยใู นหมวด ๕ และเปน อุบายใหได ปฏิบัตธิ รรม คือความดไี ดถ ูกตอ งตามควรแกฐานะ กย็ อ มไดรบั ความสขุ . บุญคอื ความสุข ทไ่ี ดม าเนอ่ื งจากการฟง ธรรมนี้ ชื่อวา ธัมมสั สวนมยั บญุ บญุ สาํ เรจ็ ดวยการฟง ธรรม. ๙. ธมั มเทสนามัย ศัพทว า ธรรมเทสนา แปลวา การแสดง ธรรม. หมายถงึ การเทศนสอนธรรม การบรรยายธรรม การสนทนา ธรรม การสอนธรรมวินัย การช้ีแนะนําศลิ ปวิทยาอันเปนประโยชนทกุ ชนิด. เมอ่ื ผแู สดงธรรมต้งั อยูใ นองคแ หง นกั เทศก นักสอน ๕ อยาง ดัง ทปี่ รากฏในหมวด ๕ แลว แสดง บรรยาย สนทนา สอนช้ี แนะธรรม วิทยาศิลปะตาง ๆ ก็ยอ มไดความสุขความสบายใจ บญุ คือความสุข อนั ใดท่ีเกิดจากการแสดงธรรมดังกลาว ความสขุ นี้ ชือ่ วา ธมั มเทสนามัยบุญ
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาที่ 233 บุญสําเรจ็ ดวยการแสดงธรรม. ๑๐. ทฏิ ชุ กุ มั ม ตดั บทเปนทิฏฐิ แปลวา ความเห็น อุชุ แปลวา ตรง กัมม แปลวา การทาํ รวมเขาเปน ทฏิ ชุ กุ ัมม แปลวา ทาํ ความ เห็นใหต รง. หมายความวา มสี ติระวงั ความคิดความเห็นใหตรงตาม คลองธรรม เชน เห็นวา ทาํ ดีไดด ี ทาํ ช่ัวไดช ่วั เปนตน. เม่อื ทําความเหน็ ใหต รงใหถ ูกแลว การทาํ การพูด การคดิ ก็ ตรง กถ็ ูกตอ งตามกนั ความสุขก็เกิดขนึ้ โดยลําดับ บญุ คือความสุจ ทเ่ี กิด จากการทําความเหน็ ใหตรงนี้ ชอ่ื วา ทฏิ ชุ ุกัมม บุญสําเร็จดว ยการทํา ความเหน็ ใหต รง. ยอบุญกิรยิ าวัตถุ ๑๐ เขาในบญุ กิรยิ าวตั ถุ ๓ อยา งนี้ คือ :- ๑. ปต ตทิ านมัย ธมั มเทสนามยั ยอเขา ใน ทานมัย ๒. อปจายนมัย เวยยาวัจจมัย ยอ เขา ใน สลี มัย ๓. ปตตานโุ มทนามยั ธมั มสั สวนมยั ทฏิ ชุ ุกมั ม ยอ เขาใน ภาวนามยั . อธบิ ายช่ือหมวดธรรม ในบญุ กริ ยิ าวตั ถุ ๑๐ น้ี พึงทราบโดยนยั ท่อี ธิบายแลวในบญุ กิริยาวตั ถุ ๓ อยา ง หมวด ๓. คาํ ถามสอบความเขาใจ ๑. การออ นนอมตอ ผูใ หญ คอื การทําอยา งไร ? และใครช่ือวา ผูใหญ ? การทาํ เชน นัน้ จัดเปน บญุ ไดอ ยา งไร ? ๒. ทาํ อยางไรจึงช่ือวา ชว ยขวนขวายในกจิ ท่ีชอบ ? และกิจท่ี ชอบคอื อะไร ?
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 234 ๓. ปต ติทานมัย กบั ปต ตานโุ มทนามัย ตา งกันอยา งไร ? เหตุใด จงึ จดั เขา ในพวกบญุ กิริยาวัตถุ ? ๔. คาํ วา ธัมม ในบุญกริ ยิ าวตั ถขุ อ ๘ และขอ ๙ ไดแกอ ะไร ? การแนะนําใหเขารักษาศลี การฟงเขาพูดเร่อื งการทาํ การ เกษตร จัดเขาใจบุญกริ ยิ าวัตถุขอไหนไดหรือไม ? เพราะ เหตุใด ? ๕. การทําความเห็นใหต รง คอื ทําอยา งไร ? การทําอยา งน้ันจะ เปนการทาํ บุญไดอยางไร ? ปา เอย ปา ไผ พระจอมไตร ตรัสธรรม จาํ พรรษา เปนวดั แรก เรมิ่ ใหม โนโลกา ศาสนา เร่มิ ตั้ง รากหยัง่ ลง. เห็นปา ไผ ในคะนงึ ถงึ ศาสนา ควรตงั้ หนา ชูไว อยา ใหผง เร่ืองทานศีล ภาวนา สกิ ขาคง ชว ยธํารง ปฏบิ ตั ิ วดั งาม เอย. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 235 ธรรมทีบ่ รรพชิตควรพจิ ารณาเนือง ๆ ๑. บรรพชิตควรพจิ ารณาเนอื ง ๆ วา บัดนเี้ รามเี พศตางจาก คฤหัสถแลว อาการกริ ิยาใด ๆ ของสมณะ เราตองทําอาการกิริยานนั้ ๆ. ๒. บรรพชิตควรพิจารณาเนอื ง ๆ วา ความเลย้ี งชีวิตของเรา เนอ่ื งดวยผูอื่น เราควรทาํ ตัวใหเ ขาเลี้ยงงาย. ๓. บรรพชติ ควรพิจารณาเนอื ง ๆ วา อาการกายวาจาอยา งอืน่ ทเี่ ราจะตอ งทําใหด ีข้นึ ไปกวา นี้ ยังมีอยอู ีก ไมใ ชเพยี งเทา น้ี. ๔. บรรพชิตควรพจิ ารณาเนอื ง ๆ วา ตัวของเราเอง ตเิ ตียน ตวั เราเองโดยศีลไดห รอื ไม. ๕. บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนอื ง ๆ วา ผูร ใู ครครวญแลว ติเตยี น เราโดยศีลไดห รือไม. ๖. บรรพชิตควรพจิ ารณาเนือง ๆ วา เราจะตองพลดั พรากจาก ของรักของชอบใจทง้ั นน้ั . ๗. บรรพชิตควรพจิ ารณาเนือง ๆ วา เรามกี รรมเปน ของตัว เรา ทําดจี กั ไดดี ทาํ ช่วั จักไดช ว่ั . ๘. บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนอื ง ๆ วา วันคนื ลว งไป ๆ บดั นี้เรา ทาํ อะไรอยู. ๙. บรรพชิตควรพจิ ารณาเนอื ง ๆ วา เรายินดีในทส่ี งดั หรอื ไม. ๑๐. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ วา คณุ วเิ ศษของเรามอี ยหู รือ ไม ท่ีจะทําใหเราเปนผไู มเ กอเขนิ ในเวลาเพอ่ื นบรรพชิตถาม ในกาล ภายหลงั . อง.ฺ ทสก. ๒๔/๙๑
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ที่ 236 อธบิ ายศพั ท ศพั ทว า บรรพชติ แปลวา ผูบวชแลว . หมายถึงผทู ส่ี ละเพศ คฤหสั ถและทรัพยสมบตั ิออกจากเรือน ถือเพศเปน นักบวช ไมอยูค รอง เรอื น. ถาบวชนอกพระพุทธศาสนา เรยี กวา ฤาษีบา ง ปรพิ าชกบา ง อเจลกบา ง เปนตน, ถา บวชในพระพุทธศาสนา เรียกวา ภกิ ษุบา ง เพราะเปนผูเที่ยงขอ (บณิ ฑบาต) หรอื เพราะเห็นภยั ในวฏั ฏะ เรียกวา สมณะบาง เพราะประพฤตสิ งบระงับกายวาจใจจากบาป, เรียกวาพระ บา ง เพราะเปน ผูดี ผูประเสรฐิ โดยถอื เพศสงู ที่เรยี กวา อุดมเพศ เปน เพศทคี่ วรเคารพบชู า ของฆราวาสผูต้งั อยใู นหนี เพศคอื เพศต่าํ , เรียกวา สามเณรบาง เพราะเปน เหลา กอของสมณะ, แมส ตรีทีอ่ อกบวชกม็ ชี ่ือ เรียกตาง ๆ ตามทก่ี ลาวแลว เพียงแตเปลยี่ นเรยี กใหเหมาะตามเพศหญิง เฉพาะในพุทธศาสนา คือ ภิกษณุ ี สามเณรี ในปจจุบันไมมีแลว, แต มีผูบ วชเปน ชี ถือเพียงศลี ๘ ขอ เหมอื นอุบาสิกาผสู มาทานอุโบสถศลี และยังมกี ารประพฤติธรรมวินยั พิเศษ บางประการตามอยา งภิกษุ อีกตาม สมควร. พระพทุ ธเจาทรงสอนบรรพชติ ใหพิจารณาธรรม ๑๐ อยา งเนอื ง ๆ คือใหพ ิจารณาประจําใจทกุ วันทุกเวลา เพอื่ ปฏิบตั ใิ หเ กดิ ประโยชน ๑๐ อยา ง ตามธรรม ๑๐ อยา งนัน้ คือ:- ๑. เพือ่ ใหส ํารวมกิริยาอาการใหเหมาะสมแกเพศบรรพชิต กริ ิยา อาการใด ๆ ทบี่ รรพชติ ไมควรทาํ เชน กามสขุ ัลลกิ านโุ ยค อตั ตกิสมถา- นโุ ยคเปน ตน กต็ อ งเวน กริ ิยาอาการใด ๆ ทบี่ รรพชติ ควรทํา เชน คนั ถธรุ ะ วปิ ส สนาธุระ มชั ฌิมาปฏปิ ทา เปน ตน ก็ตอ งทาํ .
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 237 ถา ไมเ วนและไมทาํ ดังกลาว กเ็ ทา ตัวเสฉวนจบั หอยกินเน้ือเสยี แลว อาศยั อยใู นเปลือกหอย ใครเห็นก็เขาใจวา หอย แตความจรงิ มิใชห อย ฉนั ใด ผูอาศยั เพศบรรพชิต แตป ฏิบตั ิผดิ จากอาการกิรยิ าแบบแผนของ บรรพชิต ถือเอาประโยชนจากบรรพชิต ใคร ๆ ก็เขา ใจวาบรรพชิต แตความจรงิ ไมใ ชบรรพชิตฉนั นน้ั . ๒. เพอื่ ใหพ จิ ารณาคํานึงถงึ อาชีวะ คอื การเล้ียงชวี ิต. บรรพชิต จะประกอบอาชีพทาํ มาหากนิ เชน ทํานา คา ขาย เปน ตน อยางคฤหสั ถ ไมได, ตอ งภกิ ขาจาร คอื เท่ยี วขอบิณฑบาตมาเล้ียงชวี ติ จงึ จะถกู ตอ ง เมอื่ คาํ นึงอยางนี้ ยอมมปี ระโยชน ๒ ประการ คอื :- ก. จะไดป ฏบิ ัติหนา ทขี่ องตนใหคุมควรแกป จ จยั ๔ ทีเ่ ขาถวาย เล้ยี งด.ู ข. จะไดป ฏิบตั ิธรรมขอ สันโดษ อนั เปนวงศแบบแผนประเพณี ของพระอริยเจา ไมจุกจกิ จูจ ้ีใหเปน ท่หี นกั ใจแกผ ูเล้ยี งด.ู ทาํ ตวั ใหเ ปนผูเลยี้ งงาย. ๓. เพื่อใหค าํ นึงวา เมือ่ เรายังไมบรรลเุ ปน พระอรหนั ต ก็ยงั มกี จิ ที่ตองทําทั้งทางกาย ทางวาจา แมท างใจอยูอกี มาก แมเ พียงศลี ๑๐ ศีล ๒๒๗ เรายังทาํ ไดไมบ รบิ ูรณ แมบริบรู ณแ ลว แตยังมีกจิ เกีย่ ว กับสมาธิ - ปญ ญา - กวาจะถงึ วิมุติหลุดพน จากกิเลส เปนพระอรหันตไ ด น้นั ยงั ตองทําอกี มาก เม่อื คาํ นึงอยางน้ี กย็ อมมปี ระโยชน คือจะไดป ฏบิ ตั ิดี ย่งิ ๆ ขึน้ ไป ไมห ยดุ และไมท อ ถอย. ๔. เพอ่ื ใหพ ิจารณาตนเองโดยศลี เพราะตนเองยอมรูอยูแกใจเอง วา ตนทาํ ศีลใหข าดขอไหนเมอื่ ไร เม่ือรูแลว เห็นวาศลี ขาดแลว ถายัง
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ที่ 238 เฉยอยูดวยความไมล ะอายกเ็ ปน อลชั ชีไมมีความละอาย ดังนช้ี ่อื วา ตนเอง ตเิ ตียนตนเองโดยศลี ได. แตถา ไดแกไ ขขอทยี่ ังแกไดใ หเ ปนปกติ กช็ ่ือวา ตนเองติเตยี นตนเองไมได. ๕. เพ่อื ใหลดถมั ภะมานะทฏิ ฐิของตนลง ยอมตนใหผูอ่ืนที่เปน ผู มคี วามรรู อบคอบ ชว ยตกั เตือนได เพราะวิสยั ปุถชุ นมกั รักตนในทางผิด ๆ โดยท่ที ําผิดแลว ไมเ หน็ วาเปน ผดิ ทาํ ผิดมาก เหน็ วา ผดิ นอย ดังพระ- พทุ ธภาษิตวา สทุ สฺส วชฺชมเฺ ส อตตฺ โน ปน ททุ ฺทส. โทษผอู นื่ แลเห็น เปนภูเขา โทษของเรา แลเหน็ เทาเสนขน. เพราะฉะนนั้ เมอ่ื ยอมตนใหท า นผรู ูต เิ ตียนตักเตือน กจ็ ะไดโอกาสแกไ ข ศีลท่ีบกพรอ งและรกั ษาศีลที่ดีใหบรสิ ทุ ธิ์ยง่ิ ๆ ขนึ้ . ๖. เพอ่ื มใิ หยึดมัน่ ถอื มนั่ ในสงิ่ ของตา ง ๆ ท่ีตนรกั ชอบพอใจ เพราะส่ิงตาง ๆ ทีต่ นถือวา เปนเจาของ จะตองพลัดพรากจากกัน ๒ สมยั คอื :- ก. สมยั ทต่ี นยังมีชวี ติ อยู ส่งิ นน้ั กพ็ รากไปตามเหตุตามปจ จยั . ข. สมยั ทต่ี นสิ้นชีวติ ตนก็พรากจากส่ิงน้ันไป ไมอ าจนาํ ไปได. เมือ่ พิจารณาเหน็ ชดั ดังนี้ ก็หามจิตได ๓ อยาง คอื :- ก. หา มจิตมิใหย นิ ดเี กินไป ในคราวไดส ิ่งท่นี ารกั นั้น ๆ. ข. หา มจติ มใิ หเ สยี ใจเกินไป ในคราวพรากจากกนั . ค. หา มจิตมใิ หล ะโมบอยากไดจ นถงึ แสวงหาในทางผิด. กน็ บั วาเปน ประโยชนแ กต นเอง และแกผอู นื่ ไมนอ ยเลย. ๗. เพอ่ื จะใหร ะวังจิตมใิ หค ิดทาํ ช่ัว และใหค ดิ ทาํ แตความดี เพราะ
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาที่ 239 จะเปนใครก็ตามเมื่อทําเหตุ กย็ อ มไดรับผลอันสมแกเหตุนัน้ ๆ ทงั้ ฝายดี ทั้งฝา ยช่วั การหลบหลกี ใหพ น ผลกรรมน้ัน ไมม ที างเลย เหมอื นกับความ ตายไมมีใครหลกี พน คนเกิดมากพ็ าความตายมาพรอมกันดวย ฉันใด คนทาํ กรรดกี เ็ ห็นคนดี ทาํ กรรมชั่วกเ็ ปนคนช่วั พรอ มกนั ฉันน้ัน ตา ง กนั ก็แตว า ปรากฏแกส ายตาผอู ่นื เรว็ หรือชากวา กนั เทานน้ั . ฉะน้ัน ทกุ คน กม็ ีกรรมเปนสมบัตขิ องตนตดิ ตนอยูประจํา มที ั้งกรรมเกา ทง้ั กรรมใหม. กรรมเกาสงมา ใหเกดิ เปนคนดีหรอื ไมด ีแลว กรรมใหมเขา สงเสรมิ หรือ ตดั รอนกรรมเกา สืบตอ กันไปจนถึงอรหัตมรรคตดั กเิ ลสหมด จงึ จะสิ้น กรรม เมื่อพจิ ารณาอยา งน้ีเน่อื ง ๆ ก็ไดประโยชน คอื ไมก ลา ทาํ กรรมชั่ว ชอบทําแตก รรมดี. ๘. เพื่อใหร ูจกั ถนอมเวลา ไมปลอ ยใหเ วลาลว งไปเปลาจากประ- โยชน และเพือ่ ใหม คี วามเพยี รเรง รีบทาํ ประโยชนใ หท นั กาลเวลา เพราะ ชีวิตของคนเราเน่อื งดวยเวลา วันคนื ลว งไป ๆ มใิ ชลว งไปเปลา ยงั พา เอาชวี ิตคนใหหมดไปสน้ิ ไปโดยลาํ ดับ ถาคนประมาทไมร ับทาํ ประโยชน ปลอ ยเวลาใหหมดไปเปลา กเ็ ทากับปลอ ยชีวติ ตนใหวางเปลาจากประโยชน พระพทุ ธองคไดตรสั เตือนไวว า โย จ วสฺสสต ชเี ว กสุ โี ต หีนวรี โิ ย เอกาห ชวี ิต เสยฺโย วรี ยิ อารภโต ทฬหฺ . คนใดเกยี จคราน มคี วามเพียรต่ํา เปนอยถู งึ ๑๐๐ ป สูคนที่ขยนั มชี วี ิต อยเู พยี งวันเดียวก็ไมไ ด. เมือ่ ทราบอยางน้แี ลว กไ็ ดป ระโยชน คือจะไดไ มป ระมาทเวนจาก ความชั่ว และรีบเรง เพียรทาํ กิจอนั เปน ประโยชนแกตนและแกส ว นรวม
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 240 ใหไ ดท ุกวันทุกคืน. ๙. เพอื่ ใหไดโอกาสศึกษาและปฏบิ ัติอยางเต็มที่ จะเปนฝา ยคนั ถะ คือเลาเรยี นปริยัติธรรมกต็ าม จะเปน ฝายวิปสสนา คอื เจรญิ สมถกมั มฏั ฐาน วปิ สสนากัมมัฏฐานก็ตาม ผทู ี่อยูในที่พลกุ พลา นดว ยหมูคนเปน ตน ไม อาจทําใหบริบูรณได ตอ เมอ่ื ปลีกตนออกอยใู นสงดั เชนโคนไม ชายปา เรอื นวา ง กุฏวิ า ง ไมม อี ะไรรบกวนจงึ ทําใหบริบูรณไ ด เมอื่ พจิ ารณาเห็น ดังน้ี กย็ อมไดประโยชน คือจติ ยอมจะยนิ ดีในทสี่ งัด เม่ือไดอยใู นทีส่ งัด แลว จะไดท าํ จิตใหสงัดขจดั กเิ ลสใหลดลง เมอื่ กเิ ลสหมดไปกเ็ ปนสงัด กเิ ลส เปน อนั เสรจ็ กิจที่จะตอ งทํา. ๑๐. เพ่อื ใหขวนขวายยดึ เอาความดีอยางใดอยางหนึ่ง ตามควรแก กาลเวลา ตามควรแกฐานะภาวะเปน ตน เพราะคุณวเิ ศษคือความดขี อง คนมหี ลายอยาง อยางต่ํา เชน การสาํ เรจ็ ในการศึกษาวิชาตาง ๆ หรือการ สําเรจ็ ในหนาท่ีการงานท่ีตนปรารถนา. อยา งสูง เชน การทําจติ ใหเ ปน หนึง่ เรยี กวา ฌาน วโิ มกข สมาธิ สมาบตั ิ มรรค ผล. คุณวเิ ศษ ตา ง ๆ เหลาน้ี หากตนอยใู นฐานะภาวะใด กาลเวลาใด ทีค่ วรจะได ควรจะถงึ ควรจะมี เชน ผบู วชระยะเวลา ๑ พรรษา ควรจะไดนกั ธรรม ชน้ั ตรี ถาไดช ้ันตรกี ช็ ่อื วาไดม คี ณุ วิเศษอยา งหนึ่ง และถามคี วามรูสมภูมิ สมช้ันจรงิ ๆ กช็ อ่ื วา มคี ุณวิเศษอกี อยา งหนง่ึ ใครจะถามปญหาเกีย่ วเรื่อง นักธรรมช้นั ตรีกแ็ กไ ดไ มเ กอ เขิน ฉะนน้ั การพจิ ารณาดูคณุ วิเศษของตน วา มอี ยหู รือไม น้ี มีประโยชน คือจะไดพ ากเพียรกา วขึ้นไปสูค ณุ ความดี วเิ ศษยิ่ง ๆ ขนึ้ ไป.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาท่ี 241 อธบิ ายช่ือหมวดธรรม ธรรมทง้ั ๑๐ เหลาน้ี ชอ่ื วา ธรรมทบี่ รรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ เพราะผทู ่บี วชแลวตอ งปฏิบัติธรรมเหลา น้ี จงึ จะเหมาะสมกบั ชอื่ วา บรรพ- ชิต, สมณะ ภกิ ษุ ภกิ ษณุ ี สามเณร ชี เปน ตน. อนึ่ง ธรรมทง้ั ๑๐ เหลานี้ คฤหัสถก็ควรพิจารณาเนอื ง ๆ ตาม ความเหมาะสมแกฐ านะภาวะของตนเหมอื นกนั เชน เปน บดิ ามารดา เปน บตุ ร เปน ครู - นกั เรยี น เปน สามี - ภรรยา เปนมติ ร เปนอบุ าสก - อบุ าสกิ า เปน นายจา ง - ลูกจา ง เปนพอคา ลกู คา ตางก็มีหนาที่เฉพาะ ตน ๆ เมอ่ื จะปฏิบตั ใิ หเขาตามหลักธรรมเหลาน้ี กค็ วรพิจารณาผอนผนั ไปตามภาวะฐานะอันสมควร ก็ยอ มจะไดร ับประโยชนเชนเดยี วกัน. คาํ ถามสอบความเขา ใจ ๑. ศพั ทว า บรรพชิต หมายถงึ ใคร ? ผทู ไี่ มใ ชบรรพชติ เรียกวา อะไร ? ๒. บรรพชติ กบั ผมู ใิ ชบ รรพชิต จะพจิ ารณาธรรมรวมกนั ท้งั ๑๐ ขอไดอยางไร ? ๓. ทรงสอนใหพ จิ ารณาธรรม ๑๐ ขอ นน้ั เพอื่ อะไร ? ๔. มผี ตู ําหนิวา พระ - เณร เอาเปรียบชาวบา น เกยี จคราน ประกอบอาชีพจงึ บวชไมต องทํางานอะไรดังน้ี ผศู กึ ษาธรรม ในพระพทุ ธศาสนาแลว จะแกคําตําหนินี้ไดอ ยางไร ?
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 242 ๕. คุณวิเศษของคนเราไดแ กอะไร ? นาย ก. เรยี นจบมหาวทิ ยาลัย นาย ข. ไดบรรลมุ รรคผลเบื้องตํ่า ทงั้ ๒ คนนี้ คนใดจดั วา มคี ุณวเิ ศษ ? และใครเกงกวา กนั ? ตน เอย ตน มะไฟ พุมพิไล ใบตก วหิ คแฝง มพี วงผล โสภา ระยา แซง หากเกบ็ แกง ปรากฏ มรี สด.ี แตว า ไฟ ในจิต รายฤทธนิ์ กั คอื ไฟรัก หลง,ชัง ยังกะผี มันหลอกเผา เราผง ลงทกุ ที สมควรที่ ดับไฟ ภายใจ เอย. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาที่ 243 นาถกรณธรรม คือธรรมทาํ ท่ีฟง ๑๐ อยาง ๑. ศลี รกั ษากายวาจาใหเรียบรอย. ๒. พาหสุ ัจจะ ความเปน ผไู ดสดบั ตรบั ฟงมาก. ๓. กลั ยาณมติ ตตา ความเปน ผูมีเพอื่ นดีงาม. ๔. โสวจัสสตา ความเปนผูวางายสอนงาย. ๕. กิงกรณเี ยสุ ทกั ขตา ความขยันชวยเอาใจใสใ นกิจธุระของ เพื่อนภกิ ษสุ ามเณร. ๖. ธัมมกามตา ความใครใ นธรรมที่ชอบ. ๗. วริ ิยะ เพียรเพอื่ จะละความชว่ั ประพฤตคิ วามด.ี ๘. สนั โดษ ยนิ ดีดว ยผา นงุ ผา หม อาหาร ทนี่ อนทน่ี ่ังและยา ตามมีตามได. ๙. สติ จาํ การที่ทํา และคําทพ่ี ูดแลวแมน านได. ๑๐. ปญ ญา รอบรูในกองสงั ขารตามเปน จริงอยา งไร. อง.ฺ ทสก. ๒๔/๒๗ อธบิ ายศัพท ๑. ศีล ๒. พาหุสจั จะ ดูในเวลารัชชกรณธรรม หนา ๑๓๗. ๓. กัลยาณมิตตา ศัพทวา กัลยาณ แปลวาดี, งาม, ศพั ทว า มิตต แปลวา เพอื่ น. หมายถงึ คนที่คบหาพ่ึงพาอาศยั กัน. เมอื่ เอาสอง ศพั ทรวมกัน เปน กัลยาณมติ ต แปลวา เพอื่ นดงี าม. หมายถึง คน
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ที่ 244 ทค่ี บหาพ่ึงพาอาศยั กนั เปนคนดงี าม. ตรงกนั ขามกบั ปาปมิตต ซึ่งแปลวา เพื่อนเลว. หมายถงึ คนท่ีคบหาพ่ึงพาอาศัยกนั เปน คนเลว. มิตรดีงามมี ๔ จาํ พวก คือ:- ๑. มิตรมอี ปุ การะ ๒. มิตรรว มสุข รว มทุกขกันได ๓. มติ รแนะประโยชน ๔. มติ รมีความรักใคร. ลกั ษณะ ของมติ รทด่ี ีงามทง้ั ๔ จาํ พวกนี้ จกั มแี จง ใหม ิตรแท ๔ จาํ พวก (คิหิ ปฏบิ ัติ หนา ๒๙๒) อีกอยา งหนง่ึ บัณฑิตหรือสัตบุรุษทัง้ หลาย ก็ช่ือวากลั ยาณมิตร มิตรดคี วรคบหาพึ่งพาอาศัยกันไดทัง้ สนิ้ แมผทู ป่ี ระกอบดว ยนาถกรณธรรม ๑๐ อยางน้ี หรือผทู ่ปี ระกอบดว ยธรรมท่เี ปน ฝา ยดที ว่ั ไป ก็จัดเปน กัลยาณมิตร. มาตา มิตตฺ สเก ฆเร. มารดาเปน มติ รในเรอื นของตน. ภรยิ า ปรมา สขา. ภรรยาเปนเพอ่ื นสนิท. มิตรเปน ปจจัยสาํ คัญยง่ิ ในการดาํ รงชีวิต และการสรางความเจรญิ กาวหนา. คนไรญ าติขาดมิตร ไทยเราเรยี กวา \" คนหวั เดียวกระเทียม ลบี \" ทางบาลีเรยี กวา \" คนอนาถา \" ไมมีทพี่ ่ึง. อยูเปน ทกุ ข. อยูยาก เหมือนตนไมใ หญ ไมมีรากแขนง รากฝอย ก็งอนแงนลมไดง าย. ฉะน้นั พระจงึ สอนใหค บมิตร แตเลือกคบแตม ติ รดี มติ รแท. การดสู ตั วรูงา ย เพราะกายกบั ใจตรงกัน. แตการดูคนรูยาก เพราะ ปากและกายไมคอยตรงกับใจ. โบราณจงึ สอนวา \" คบคนใหดหู นา ซ้อื ผาใหด ูเน้ือ \" คําวา หนา น้ันมี ๒ คอื หนา ภายนอก ไดแ กหนา ตา ๑ หนา ภายในคือ จติ ใจ ๑ การดูจติ ใจก็ดูที่หนาทีก่ ารงานทเ่ี ขาชอบ และ เรื่องทีเ่ ขาชวน. คนดีมหี นา ท่ีการงานท่ตี นทําสะอาดไมมีโทษ และ ชกั ชวนใหค นอน่ื ทาํ แตความดี นจ้ี ัดเปนมติ รดีงาม มิตรแท ควรคบ เปน
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 245 ทีพ่ ง่ึ ได. คนท่ีมหี นา ที่การงานไมส ะอาด ทุจริตในหนาที่ และชักชวนให คนอืน่ ทําชั่ว นีจ้ ัดเปนมติ รเทยี ม มติ รชั่ว ไมค วรคบ เปนที่พ่งึ ไมได. ๔. โสวจสั สตา แปลวา ความเปน ผวู า งายสอนงาย. หมายความวา เชอื่ ฟง คําตักเตอื นส่ังสอนท่ีดขี องผูอ่ืน. ธรรมอันเปนเครอื่ งทําความเปนผู วา งาย มี ๑๖ ประการ คือ:- ๑. ไมม ีความปรารถนาลามก ไมต กอยูในอาํ นาจความลามก คือ ไมหลงอามิส ไมต ดิ อํานาจ ๒. ไมยกตนขม ทาน ๓. ไมมักโกรธ ๔. ไมผ ูกโกรธ ๕. ไมมอี คติ ๖. ไมเ ปลง วาจาใกลต อ ความโกรธ ๗. ไมโ ตเ ถียง ๘. ไมร ุกรานผูตกั เตอื น ๙. ไมก ลับกลาวโทษ ซดั โทษใหแ กผตู ักเตอื น ๑๐. ไมพดู กลบเกลือ่ นหลบเล่ยี ง ๑๑. รบั ฟง เหตุผล พดู จาแสดงความจรงิ ใจ ๑๒. ไมล บหลคู ณุ ทา น ไมยกตน เทยี มทาน ๑๓. ไมร ิษยา ไมตระหน่ี ๑๔. ไมโออวด ไมมมี ายา เจาเลห ๑๕. ไมก ระดา ง หัวดอื้ ถอื รน้ั ๑๖. ไมถอื ม่ันความคดิ เหน็ ของตนถา ยเดียว*. ความเปนผวู า งายสอนงาย อนั เกิดปรากฏดว ยคณุ ธรรมตาง ๆ เหลา นี้ ลว นแตเปนความดี เปนสิรมิ งคลอยา งสูง เปน คณุ ธรรมใหเกิดความ รกั ความนบั ถือ เหมาะแกชนทุกชั้น ท้งั ผนู อย ปานกลาง และผูใหญ ตามปกตคิ นเรามักจะมองโทษของตนเองไมเห็น หรือโทษแมมากเหน็ เพยี งเลก็ นอย สวนโทษของผูอนื่ มองเห็นงาย ไดในพระบาลวี า สทุ สฺส วชชฺ มฺเส อตตฺ โน ปน ทุททฺ ส โทษผูอ นื่ แลเหน็ เปน ภูเขา โทษของเรา แลเหน็ เทา เสนขน. *อนมุ านสูตร มัชฌิมนกิ าย มชั ฌิมปณณาสก พระโมคคัลลานะกลา วไว.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 246 เมอ่ื เปนเชนน้ี ยอ มหาโอกาสปรับปรุงแกไ ขความประพฤตขิ องตน ไดยาก ความเจรญิ หรอื ความเส่ือม ยอ มเกดิ แตความประพฤติ เมื่อมอง ไมเหน็ ความประพฤตทิ เ่ี สยี หายของตนแลว ควรเปดโอกาสใหผอู น่ื ชวย มองดู ใหชว ยตกั เตอื นวากลา วส่งั สอน เมอื่ ถกู เขาวากลา วสั่งสอนกไ็ ม ควรโกรธ มีนา้ํ อดน้ําทน รบั เอาคาํ กลา วคําสอนโดยเคารพ ต้งั ใจพิจารณา แกไขความประพฤติของตนใหด ียงิ่ ๆ ข้ึน. พงึ เห็นตัวอยา งในทางโลก ทีฆาวุกมุ าร พระราชโอรสของพระเจา ทีฆตี ิ ผคู รองโกศลรัฐ ประสตู ิเมอ่ื พระชนกเสียราชสมบัติแกพระเจา พรหมทัตผูครองแควน กาสี ภายหลังไดราชสมบตั คิ ืนมาจากพระเจา พรหมทัต พรอมทงั้ ไดพ ระราชธิดาของพระเจาพรหมทัต และไดท รง ครอบครองแควน กาสีของพระเจา พรหมดวย เพราะเชอื่ ฟงพระวาจา ของพระชนกวา \" จงเห็นยาวดีกวา สั้น \" จึงมิไดปลงพระชนมชพี พระ- เจาพรหมทตั ในโอกาสอนั เหมาะ. ในทางธรรม พระราธะเปนพระ หลวงตาบวชภายแก แตไดบ รรลุเปน พระอรหนั ต เพราะเปนผวู างาย สอนงาย เมื่ออปุ ชฌายอาจารยว ากลา วตักเตือน ก็ไมห ัวดื้อถอื รัน้ แต หมน่ั ปฏบิ ตั ติ ามโอวาทดวยความไมประมาท จนไดส ําเร็จพระอรหตั ต. ความเปน ผูวางายสอนงา ย จัดเปนทพี่ งึ่ ท้ังทางโลกทางธรรม ทัง้ อยางต่ําและอยางสูง ดงั นแี้ ล. ๕. กิงกรณีเยสุ ทกั ขตา แปลวา ความขยันชวยเอาใจใสใ นกจิ ธรุ ะของเพอ่ื น. หมายความวา คนเราเกิดมา มกี ิจธุระท่ตี อ งทําหลาย อยา ง บางอยางทําคนเดียวได บางอยางตองชวยกันหลายคน. แมง านที่ ทําคนเดยี วได แตถ า ถึงคราวเจบ็ ไขเปนตน บางทกี ็ไมอ าจทําได จาํ ตอง
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 247 พึ่งพาอาศัยผูอืน่ . ฉะน้นั ผทู ่มี ุงหวังจะพง่ึ ผูอ่นื เพือ่ ใหผ อู ื่นมาชวยตน ตน กต็ องชวยผอู ่ืนไวก อ น ทําตนใหเปนทพี่ ึง่ ของคนอนื่ เสียกอน พระ พทุ ธเจาจึงทรงสอนใหข ยันเอาใจใสในกิจธรุ ะของเพื่อนสพรหมจารี คอื ผปู ระพฤตดิ ีรวมกนั จะเปนภกิ ษุสามเณร หรอื อบุ าสกอบุ าสิกา หรอื ประชาชนทว่ั ไปก็ได แตข อใหชว ยกันทาํ ธุรกิจที่ดปี ราศจากโทษ กลา วคอื ทรงสอนใหส รา งนิสัยใจคอกวา งขวาง ขยนั เอาการเอางาน เอาธรุ ะแมท่ี เปน สว นรวม ไมน ่ิงดูดายกลายเปนคนใจจิตใจแคบ สอนใหร จู กั ตักนา้ํ ไว เผื่อแลง . อนั การท่จี ะสรางคุณธรรมขอนี้ ตอ งประกอบดว ยองค ๔ คอื :- ๑ ) ทกโฺ ข เปนผขู ยัน หมั่นเพยี ร คอื โธรยหฺ สโี ล มปี กติเอา ธรุ ะ ตั้งใจทํางานที่เปนธุระหนาที่ ทงั้ ของตน ทัง้ ของสว นรวม. ๒ ) อนลโส เปน ผไู มเกียจครา น คอื ไมโอเ อเ ฉื่อยชา รบี ทาํ ใหสําเรจ็ ตามเวลา ตามตาํ ราวา \" พายเถิดพอ พาย พายเถดิ แมพ าย ตะวนั จะสาย ตลาดจะวาย สายบัวจะเนา. \" ๓ ) ตตรฺ ปุ ายาย วมี ส าย สมนนฺ าคโต เปน ผูป ระกอบดว ย ปญ ญา อนั เปน อบุ ายวิธที ี่ชวยใหธุระกิจน้ัน ๆ สาํ เรจ็ รวดเรว็ เขา คือ ตอ งมีปญญาความรอบรคู วามเขาใจในกิจธุระนนั้ ๆ จึงจะชว ยทําใหส าํ เรจ็ ดว ยดีและรวดเร็ว, ถา ไมมีความรู แมว าขยันทําก็สําเรจ็ ยาก ทคี่ วรสาํ เรจ็ เร็ว กลบั ชา ลง หรอื อาจไมสําเร็จเลย เสยี งาน เสียประโยชนเ ลย. เชน คนตดั ไมตน ใหญม าทาํ เรือ ถากไป ๆ จนทาํ เรอื ไมได. ก็ต้งั ใจทาํ ใหเ ปน ไมพ าย ถากไป ๆ ก็ไมเปนไมพ าย, กต็ งั้ ใจทาํ เปนไมควักปูน ถากไป ๆ กค็ วักปนู ไมไ ด ตองโยนทงิ้ ไป.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 248 ๔ ) อล กาตุ อล สว ธิ าตุ สามารถทําได สามารถจดั ทําให เรียบรอยได. คือตองเปน ผูลงมอื ฝกฝนปฏิบตั ิกิจตาง ๆ อนั เปน ธุระ หนาทท่ี ้งั สว นตัว ทั้งสว นรวม จนชาํ นิชาํ นาญ จนสามารถทําได จัดได ไมเ สยี การงาน. เพยี งแตมีความรูต ามหลักวชิ าการน้นั หากไมเคยลงมอื ปฏิบัติงาน ก็ไมแนวาจะมีความสามารถทาํ ไดหรือไม อาจเขาหลักวา \" ความรูทว มหวั เอาตวั ไมร อด \" กไ็ ด. เมอ่ื พรอ มดวยองค ๔ นี้ จงึ ชวยทํากิจเพ่ือนทั้งหลาย จนกลาย เปนที่พ่งึ ของตน. เพราะเขาหลักความจริงวา ปูชโก ลภเต ปชู . วนทฺ โก ปฏวิ นฺทน. ผบู ชู ายอ มไดบชู าตอบ. ผไู หวย อ มไดก ารไหวตอบ. และวา มติ ตจิต กม็ ีมิตตใจ, หมูไป ไกม า. ๖. ธมั มกามตา ศพั ทว า ธัมมะ แปลวา สภาพที่ทรงไว. ใน ทน่ี ้ี หมายถึงสภาพท่ีทรงคณุ ความดีไว หรอื ความถูก ความบรสิ ทุ ธิ์. กามะ แปลวา ความใคร, ความรัก, ความชอบใจ, พอใจ. ธัมมกามะ แปลวา ความรกั ดี รักถกู รกั ความบรสิ ุทธิ.์ บคุ คลผมู คี ุณธรรมขอน้ี ไดชื่อวา ธมั มกาโม ผรู ักดี ผรู ักความถกู ผรู กั ความบรสิ ทุ ธ,ิ์ ช่อื วา ปย สมทุ าหาโร ผมู ีปกตกิ ลา วถอ ยคําประกอบดว ยธรรมอันเปน ทีร่ กั ของ ชนท้งั หลาย, ช่ือวา อภธิ มฺเม อภิวนิ เย อุฬารปปฺ ามุชโฺ ช ผูม ใี จ ปราโมทยอยา งย่งิ เฉพาะธรรม เฉพาะวินัย. หมายความวา ผูใครธรรมหรอื รกั ธรรม ชอบธรรม พอใจธรรม ยอมพดู ไพเราะเปน อรรถเปน ธรรม นาํ ผฟู งใหรกั ใหไ ดค วามสงบใจเย็นใจ เพราะพูดดว ยใจอนั บริสทุ ธผ์ิ อ งใส วาจาเปน เครอ่ื งพิสจู นน ํ้าใจ ใหเ ห็นวา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354