Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นักธรรมชั้นตรี วิชา ธรรมะ

นักธรรมชั้นตรี วิชา ธรรมะ

Description: นักธรรมชั้นตรี วิชา ธรรมะ

Search

Read the Text Version

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 49 แผพ รหมวหิ ารธรรมไปในบุตร คอื ปรารถนาใหบตุ รไดรบั สขุ เสมอไป. คดิ ชวยเหลือบุตรใหพน ทกุ ขใ นคราวบุตรมคี วามทุกข, พลอยยนิ ดีชนื่ ชม ในคราวบุตรพน ทุกข หรอื ไดมลี าภ ยศ สรรเสรญิ สขุ , วางเฉยใน คราวบตุ รม่ันคงอยใู นสุข. อน่ึง มารดาชื่อวาเปนบรุ พาจารยของบุตร เพราะเปน ผูสอนกอนกวา อาจารยอ ่นื คือสอนใหนง่ั ใหย ืน ใหเ ดิน ใหพ ูด ใหน งุ หม เปนตน . เพราะฉะนน้ั บุตรทีเ่ ปนสตั บุรุษคอื คนดี จงึ สาํ นึกในพระคณุ และตอบแทนพระคุณมารดาบิดา ดว ยการปฏบิ ัติ บาํ รุงใหทา นเปน สุข จนสดุ ความสามารถของตน. หลักการอปุ ฏ ฐาก มารดาบดิ า ๕ ประการ คือ ๑. เลย้ี งดใู หทานเปนสุข ๒. ทาํ กิจของ ทาน ๓. ดาํ รงวงศสกลุ ๔. ประพฤติตนใหสมควรรบั รกั ษาทรพั ยมรดก ไวได ๕. เม่ือทา นลวงลบั ไปทาํ บุญอทุ ิศให. อธิบายชอื่ หมวดธรรม ทาน ปพ พัชชา มาตาปตุอุปฏฐาน ๓ อยางนี้ รวมเรยี กวา สัปปุรสิ บญั ญตั ิ แปลวา ขอทท่ี านบุรุษตง้ั ไว หรอื เรียกวา ปณ ฑิต- บญั ญตั ิ แปลวา ขอทบี่ ณั ฑติ ตง้ั ไว หมายความวา ไมใชพระพทุ ธเจา ทรงต้ังขนึ้ แตเปน สัตบุรุษคือคนดีและบัณฑิตคือคนฉลาดตั้งไวกอนแลว พระพทุ ธเจาทรงเหน็ วา เปนขอท่ีดีจึงทรงนาํ มาแสดงอีก เพราะเปน ขอที่ ทกุ คนควรปฏบิ ตั ใิ หเ ก่ียวเนอื่ ง ดงั ตอไปนี้ :- ในเบ้อื งตนคนเราไมค วรเห็นแกตัว คือไมม ุงความสขุ แกต นคน เดยี ว เพราะตนคนเดียวอยใู นโลกนี้ไมได ตองอาศัยทานที่คนอื่นใหม า กอน ฉะนัน้ เม่อื ถึงเวลาตนตอ งใหท านแกผ ูอ่ืนเพอ่ื เปลื้องหนบี้ ญุ คุณบา ง ตอ งใหท านเพื่อชว ยเหลือและผกู มติ รไมตรกี บั ผอู ืน่ บา ง เมื่อตา งคนตางให

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาที่ 50 ทานแกก ันดงั นี้ กย็ อมอยรู วมกันโดยผาสกุ ไมม กี ารเบียดเบียนแกก ัน ความคดิ เบียดเบียนกนั ยอ มไมเ กิดข้นึ . อนั ความไมค ดิ เบียดเบียนกัน เวน ความเบยี ดเบียนเสียไดน้นั ชอ่ื วา บรรพชา คอื บวช แปลวา เวนจากความเบียดเบียนกัน แมชาวบานถอื ศีล ๕ ขอ กช็ ่ือวาบวชไดแ ลว เพราะเวนจากการเบยี ดเบียนชวี ติ ทรัพย เปน ตน กะกันและกนั ได น้กี น็ บั วา เปน ความสุขอยางหนึ่ง, ธรรมดา คนดมี ีความสุขแลว ยอมนึกถงึ ทบทวนยอ นกลับหลังไปดูวา ความสขุ ที่เรา มีอยูในบดั นี้ ไดม าจากไหน เม่อื ยอ นกลบั ไปกเ็ ขาใจไดวา เราไดชีวติ รางกายมาจากมารดาบิดา ๆ ไดใ หชวี ติ รา งกายและความสขุ ตา ง ๆ แกเ รา เปน คนแรก ทานมีอุปการคณุ แกเ รา ฉะน้นั จึงอปุ ฏฐากมารดาบิดา. อนั การอปุ ฏฐากมารดาบิดา เปนหนา ท่ีของคนดี ถา คนใดไม อุปฏฐากบาํ รงุ มารดาบิดา คนนนั้ กลายเปน คนไมดี มคี ตเิ หมือนสตั ว ติรัจฉานไป. เพราะสัตวดริ จั ฉานเลย้ี งลกู จนโต แตล กู โตแลว กไ็ มม ีการ เลย้ี งพอแมข องตนเลย. ฉะน้นั บัณฑิตบรุ ษุ จึงบัญญัตกิ ารอุปฏฐากมารดาบิดาไวอ ีกขอ หน่งึ . จงึ เปน อันสรปุ ความไดวา ธรรม ๓ อยางน้ี เปน คณุ ธรรมสําหรบั มนุษย สตั บรุ ษุ ทานบญั ญตั ไิ วสาํ หรบั ปฏบิ ตั เิ องดวย ใหเ พอ่ื นมนุษยป ฏบิ ัติ ดวย. คําถามสอบความเขาใจ ๑. ทาน แปลวา อะไร ? หมายความอยา งไร ? เปนหนาทขี่ อง ใคร ?

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ที่ 51 ๒. ปพพชั ชา แปลวาอะไร ? หมายความอยา งไร ? ๓. อบุ ายเวน จากการเบียดเบียนมีเทาไร ? อะไรบาง อธบิ าย ๔. การบวชยอมมแี กใ คร ? มปี ระโยชนอ ยางไร ? ๕. มาตาปต อุ ปุ ฏ ฐาน แปลวากระไร ? จําเปนอยางไรสัตบุรษุ จงึ บัญญตั ไิ ว ? ๖. สปั ปุริสบญั ญตั ิ กบั ปณ ฑติ บัญญตั ิ ตา งกนั หรือเหมือนกนั ? มีเทา ไร ? ๗. อะไรเปน คณุ ธรรมสําหรับมนษุ ยทส่ี ัตบรุ ษุ บัญญัตไิ ว ? ตนเอย ตนเขม็ มดี อกเต็ม - ตนแซง ขาวแดงเหลือง หากเกบ็ บู - ชาพระ งามประเทือง อาจชว ยเปลื้อง สนมิ ใจ ผองใสงาม. นกึ ถงึ เข็ม สาํ คญั คือตัณหา เยบ็ ตรงึ ตรา ทวยโอฆ กับโลกสาม ตองอาศยั ไตรสกิ ขา สงา งาม จงึ อาจขา ม จากโอฆ ไตรโลก เอย. ศรี ฯ นคร.

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 52 อปณณกปฏปิ ทา คอื ปฏบิ ัตไิ มผ ดิ ๓ อยาง ๑. อนิ ทรียสงั วร สํารวมอินทรีย ๖ คือ ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ ไมใ หยนิ ดียินรา ยในเวลาเหน็ รปู ฟง เสียง ดมกลนิ่ ลมิ้ รส ถกู ตอ ง โผฏฐัพพะ รูธ รรมารมณด ว ยใจ. ๒. โภชเน มัตตัญตุ า รจู กั ประมาณในการกนิ อาหารแตพอ สมควร ไมม ากไมน อย. ๓. ชาครยิ านุโยค ประกอบความเพยี รเพ่อื ชาํ ระใจใหห มดจด ไมเห็นแกน อนมากนกั องฺ. ตกิ . ๒๐/๑๔๒ อธิบายศพั ท ๑. อินทรียสังวร แปลวา คนสํารวมอินทรีย. คาํ วา อนิ ทรีย แปลวา ความเปนใหญ. ในทีน่ ้ีอินทรยี มี ๖ คอื จกั ขุนทรยี  ไดแ กตา มคี วามเปน ใหญใ นการด,ู โสตนิ ทรีย หู มีความเปน ใหญในการฟง , ฆานินทรีย จมูก มคี วามเปน ใหญในการดม, ชวิ หินทรยี  ลนิ้ มคี วาม เปนใหญในการลิม้ , กายินทรีย กาย มีความเปนใหญใ นการถูกตอง, มนนิ ทรีย ใจ มคี วามเปน ใหญในการรู. คาํ วา สงั วร แปลวา ความสาํ รวม ไดแกค วามระวัง คมุ ครอง รักษา ดวยสติ คือระลกึ ทัน.

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนาท่ี 53 ความสํารวมอินทรยี  ๖ กค็ อื มสี ติระลึกรูท นั มใี หเ กิดความยนิ ดี ยินรา ย คือความดใี จเกินไป เสียใจเกินไป ในขณะตาเห็นรปู หูไดฟ ง เสียง จมูกไดสดู กลิน่ ลน้ิ ไดล้มิ รส กายไดถ กู ตอ งสิง่ ที่ถูกตองกายได ใจไดร ูธรรมารมณ คือเรอื่ งตาง ๆ ทใ่ี จคดิ ถึง. ๒. โภชเน มตั ตัญตุ า แปลวา ความรจู ักประมาณในการกนิ อาหาร หมายความวา รับประทานอาหารเพียงพอแกความตอ งการของ รางกาย ใหพ ออยูไดตามสบาย ไมม ากจนอึดอัด ไมสะดวกในการปฏบิ ตั ิ กิจตามหนาที่ ทานแนะวา กอ นอม่ิ ๔-๕ คํา ใหห ยุดแลว ดื่มนาํ้ ก็อม่ิ พอดี และไมรบั ประทานอาหารนอยเกินไป จนรสู กึ หิวอิดโรย. ๓. ชาคริยานโุ ยค แปลวา การประกอบความเพยี ร โดยการ ตนื่ อยู หมายความวา ตนื่ อยูเพอ่ื ชําระจติ ใจใหห มดจดจากเครอ่ื งเศรา- หมองทงั้ กลางวนั กลางคืน ไมเหน็ แกนอนมากนกั ไมป ระกอบสุขในการ นอนหลบั . ทรงแสดงไวในพระสูตรวา เดนิ จงกรม ยนื นง่ั ตลอดวัน จน ถึงกลางคืนตลอดยามตน นอนในยามกลาง ๔ ช่ัวโมง ตอจากนน้ั ก็ ลุกขนึ้ เดนิ จงกรม ยืน นงั่ ชาํ ระจติ ใจใหส ะอาด จนตลอดยามสุดทาย. อธบิ ายชอื่ หมวดธรรม ธรรมทงั้ ๓ ขอ น้ี ชือ่ วา อปณณกปฏปิ ทา แปลวา ขอ ปฏบิ ตั ิ ทไี่ มผิด เพราะบคุ คลผูปฏบิ ัตธิ รรม ๓ ขอนี้ ยอ มเปนผูชื่อวาปฏิบตั ไิ มผ ิด และเปน ผูไดเร่มิ เพมิ่ พนู ความรู เพ่ือความสิน้ ไปแหง อาสวกิเลส อกุศล

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาที่ 54 บาปธรรม โดยลําดับดงั นี้ :- ในเบอ้ื งตน เมอ่ื สํารวมระวงั อนิ ทรีย ๖ อนั เปรยี บเหมือนประตู เมอื งกายนคร ดวยบานประตูคือสติ อกศุ ลบาปธรรมมีความเสียศีล เปน ตน อันเปรียบเหมือนโจรภายนอกกายนคร กเ็ ขามาภายในไมได. ในลําดบั ที่ ๒ เม่ือโจรคอื ความเสียศลี เปนตน เขามาไมไดแ ลว กเ็ ปนโอกาสทีจ่ ะไดเ ตรยี มกาย เตรยี มใจ เพอื่ ปราบปรามขาศึกภายใน มีกามาสวะเปน ตนใหหมดไป อนั เปรยี บเหมือนตาํ รวจปราบปรามขาศึก ภายใน เตรยี มกาํ ลังพลไวใ หพ รอม ในการเตรยี มน้นั ก็ตองบํารงุ รา งกาย และจติ ใจใหแข็งแรง ดวยการรบั ประทานอาหารใหพอดี ไมม ากเกินไป จนอึดอดั มนึ ซึม เหมือนตํารวจเมาสรุ า ไมสามารถจะปราบปรามขาศกึ ได และไมรบั ประทานอาหารนอยเกินไปจนไมพ อแกความตองการของรา งกาย อันจะทําใหออนเพลยี เหมือนตาํ รวจกองปราบขาดอาหาร มอี าหารนอย ไมพ อ กไ็ มม ีกําลงั กายกาํ ลังใจท่ีจะไปปราบขาศึก ตอ เมื่อไดร บั ประทาน อาหารแตพออมิ่ ไมม ากไมนอย กย็ อ มมกี ําลงั ดพี รอมทจ่ี ะปราบขาศึก. ในลาํ ดับสุดทาย ก็ถึงวาระทจี่ ะยกกาํ ลังเขาโจมตีขา ศึกใหแตกพา ย กระจายไป กต็ อ งใชค วามแกลวกลาวองไวตื่นตัวอยูเสมอ กลาวคอื ตอ ง ปฏบิ ัตกิ าํ จดั อาสวะชําระจิตใหหมอจดดว ยการเดนิ จงกรมบาง นั่งสมาธิบา ง ตลอดวนั ตลอดคืน พกั ผอ นเพยี ง ๔ ชัว่ โมง หรอื ไมเกิน ๕-๖ ชว่ั โมง เปรยี บเหมอื นตาํ รวจยกกําลงั เขาปราบขา ศกึ ภายในประเทศ ตอ งปฏบิ ตั กิ าร ตดิ ตอ ท้งั กลางวนั กลางคืน ผลดั เปลย่ี นวาระกนั พกั ผอนบางเล็กนอยเทา นัน้ . เมอ่ื บคุ คลปฏบิ ตั ิธรรม ๓ ขอน้ี ก็ยอ มช่อื วา ปฏิบตั ิไมผดิ และได

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 55 ใชปญ ญาความรูขจดั อาสวะทีด่ อดหมักหมมอยภู ายในจติ ใหส้ินไป เหมอื น ตํารวจปราบปรามกําจัดโจรท่ีซุมอยูในปา ในประเทศใหส น้ิ ซากไปฉะน้นั . คาํ ถามสอบความเขา ใจ ๑. อนิ ทรียสงั วร แปลวา อะไร ? เฉพาะคําวา อนิ ทรยี  แปลวา อยา งไร ? ๒. อินทรีย ๖ คืออะไร ? จะคุมครองรักษาอินทรีย ๖ ดว ย อะไร ? ๓. การสาํ รวมอนิ ทรีย มีประโยชนอ ยางไร ? ๔. โภชเน มัตตญั ุตา แปลวาอะไร ? หมายความวา อยา งไร ? ๕. ชาครยิ านุโยค แปลวากระโร ? หมายความวา อยางไร ? ๖. ผปู ฏบิ ัติเชน ไร ไดช่ือวาประกอบดว ยชาครยิ านโุ ยค ? ๗. ธรรมอะไรก่อี ยาง จึงไดชอ่ื วา อปณณกปฏิปทา ? ๘. บุคคลปฏบิ ัติอยางไร จงึ ไดช ื่อวาปฏบิ ตั ไิ มผิด ? ๙. โปรดอธบิ ายการสํารวมอนิ ทรยี  ใหเหน็ วา เหมือนการปดประตู เมอื ง ? ๑๐. ความรูจ กั ประมาณในการกินอาหารมีประโยชนอยางไร ? ๑๑. การนอนอยา งไร จงึ ไดชอ่ื วา ปฏบิ ัตผิ ิดและปฏบิ ตั ไิ มผ ิด ? ๑๒. ปฏบิ ัติอยา งไร จงึ ขจดั อาสวะใหส ้ินไป เหมอื นตาํ รวจปราบ โจรในปาใหส ิน้ ไป ? ๑๓. จะประพฤตติ นใหถ กู ควรประพฤติในทางเชน ไร ?

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาที่ 56 บุญกริ ิยาวัตถุ ๓ อยาง สิง่ เปน ท่ตี ้งั แหง การบาํ เพญ็ บุญ เรยี กบญุ กริ ยิ าวัตถุ โดยยอ ๓ อยาง ๑. ทานมัย บญุ สาํ เร็จดวยการบริจาคทาน. ๒. สลี มยั บญุ สาํ เรจ็ ดวยการรักษาศลี . ๓. ภาวนามยั บุญสําเรจ็ ดว ยการเจรญิ ภาวนา. ขุ. อิต.ิ ๒๕/๒๗๐ อง.ฺ อฏ ก. ๒๓/๒๔๕ อธบิ ายศพั ท ๑. ทานมัย แปลวา บญุ สาํ เรจ็ ดว ยการบริจาคทาน ทาน หมายถงึ การสละทรพั ยสง่ิ ของของตนใหแ กค นอ่ืน. การใหม ี ๒ วิธี คือ ๑. ใหโ ดยเจาะจง เชน ถวายสิง่ ของแกพ ระภิกษุสามเถรรูปใด รูปหนึง่ , ใหแ กค นตกทกุ ขไดยากคนใดคนหนึ่ง, ใหแ ตผ มู พี ระคณุ แกตน คนใดคนหนึ่ง. ๒. ใหโดยไมเจาะจง เชน ถวายแกส งฆในพระพุทธศาสนา ให แกสถานศึกษาศิลปวทิ ยาของประชาชนทัว่ ไป ใหแ กโรงพยาบาลสาธารณะ สรา งสะพาน - ศาลา - สระนา้ํ - ถนนสาธารณะ. ทานท่ีมผี ลมากตองประกอบดว ยองค ๖ แบง เปน ฝายทายกผูให ๓ และฝา ยปฏิคาหกผรู บั ๓ ดงั นี:้ -

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ที่ 57 - ฝายทายก ๑. กอนใหด ใี จ ๒. กาํ ลังใจจติ เล่ือมใส ๓. ใหแ ลวเบกิ บานใจ. - ฝา ยปฏิคาหก ๑. ไมมีราคะหรอื ปฏบิ ตั ิบรรเทาราคะ ๒. ไมม ี โทสะ หรอื ปฏบิ ตั ิบรรเทาโทสะ ๓. ไมม โี มหะ หรือปฏบิ ตั ิ บรรเทาโมหะ. อนึ่ง ไทยธรรม คอื วัตถสุ ิง่ ของที่ควรให ตอ งเปนของทีห่ าไดมา โดยสุจริตและมีประโยชนแ กผ ูรบั จงึ จะเปนทานที่มีผลมาก ทาน แสดงตวั อยางไว ๑๐ คอื ขาว นาํ้ ผา ยานพาหนะ พวงมาลยั ของ หอม เคร่อื งลูบไล ที่นอน ท่พี กั ประทปี . แมข องอื่น ๆ กส็ งเคราะห เขา ในไทยธรรมได ถา ไมมโี ทษ. ตามปกตคิ นท่ีถกู ควรตระหนี่ครอบงาํ จิต ไมต องการจะสงเคราะห อุปถัมภใคร ไมอ ยากใหอ ะไรแกใ คร จงึ มใี จเศราหมอง มืดมัว จดั เปน บาปเปนทกุ ขท ับอยูในจิต การใหท านก็เพื่อกาํ จัดความตระหนีเ่ หนยี วแนน ออกไปจากจิต จิตจะไดผองใสสวางเปน บุญ คอื เปนสุข. บุญคือความสขุ นี้ เกิดดวยการใหห รอื การบริจาค จงึ ไดชอื่ วา ทานมัยบญุ บุญสําเร็จดวยการใหท าน. ๒. สลี มยั แปลวา บุญสําเร็จดวยการรักษาศีล. ศลี หมายถงึ การ ตัง้ ใจงดเวน จากความช่ัว คือบงั คบั ตัวเองไมใ หท ําความชว่ั รกั ษากาย - วาจาใหเรียบรอยตามควรแกภาวะ คอื ความเปนของตน ๆ เชน ผเู ปน คฤหัสถ กง็ ดเวน การฆา การลัก การลวงประเวณี การพดู เท็จ การ เสพของมนึ เมา รวม ๕ ขอ เปน อยา งนอย ถาเปน บรรพชิต ก็งดเวน

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ที่ 58 จากโทษที่ทรงบัญญัติหามไว แตต องปฏิบตั ิตามขอ ท่ีทรงอนุญาตดว ยจริง จะชอ่ื วา เปน ผมู ีศีล. ปกติคนท่ถี ูกโทสะครอบงําจิต ยอ มจะเดอื ดรอนใจ ทเ่ี รยี กกันวา คนใจรอน ๆ มักจะเสยี ความประพฤตทิ างกาย เชน ทบุ ตฆี า เขาบาง เสยี ความประพฤตทิ างวาจา พูดเท็จหกั รานประโยชนเ ขาบาง ดาวาเขาบาง เปนตน กช็ อื่ วา ทําบาปเพราะโทสะ จาํ ตองรกั ษาศีล ควบคุมกายวาจา ใหสงบ ตลอดถงึ คมุ จิตใหเ ปนปกติหายโทสะ จติ จงึ จะเปน บุญคือเปน สขุ . บุญคือความสุขที่เกิดดวยการรกั ษาศีลดงั น้ี จึงช่ือวา สีลมัยบุญ บญุ สาํ เรจ็ ดว ยการรกั ษาศีล. ๓. ภาวนามยั แปลวา บญุ สาํ เรจ็ ดวยการเจริญภาวนา. ภาวนา หมายถึงการอบรมจติ ใจใหตง้ั มัน่ อยใู นความดแี ละใหฉ ลาด. โดยวธิ ตี ่าํ ๆ สาํ หรบั คนทั่วไป ไดแกก ารศึกษาเลา เรยี น หม่ันฟง หมนั่ คิด หมน่ั ทองบน หลักวชิ าการตาง ๆ หมน่ั สนทนากบั ทานผูร เู ปนตน จนเกิดความ ฉลาด. วาโดยวธิ อี ยางสูง แยกเปน ๒ คอื ๑. สมถภาวนา ทาํ จิตให สงบอยูในอารมณเ ดยี ว ๒. วิปส สนาภาวนา ทําวิปสสนาใหเกิด คือ ใชป ญญาพิจารณาใหเห็นแจงในสังขารธรรมทงั้ ปวง ตามท่ีเปนจริง คือ ไมเ ที่ยง เปน ทกุ ข เปนอนัตตา. ตามปกติคนท่ถี กู โมหะครอบงําจิต ยอมไมร จู ักผดิ ถูกช่วั ดี มีความ มดื มองไมเห็นความจรงิ ในสง่ิ ตาง ๆ ท่ีควรรคู วรเหน็ ยอ มจะทาํ พูดคดิ อะไร ๆ ดว ยอาํ นาจโมหะ ยอ มมีแตค วามเศรา หมองใจ เปนบาปคือ

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 59 เปน ทกุ ขใ จ จงึ จาํ ตองเจริญภาวนา กําจัดโมหะเสยี เมอ่ื กาํ จัดได จิตใจ ก็สวางไสวเปน บญุ คอื เปนสุขใจ. บุญคือความสขุ ท่ีเกิดดว ยการเจรญิ ภาวนาดงั น้ี จึงชื่อวา ภาวนา- มยั บญุ บญุ สาํ เรจ็ ดว ยการเจรญิ ภาวนา. อธบิ ายชื่อหมวดธรรม ทาน ศลี ภาวนา ๓ อยางน้ี ชือ่ วา บญุ กิรยิ าวัตถุ เพราะเปน ที่ต้ัง หรือเรอ่ื ง คอื เครือ่ งสาํ หรบั ทําบญุ . คาํ วา บุญ แปลวา บุญ. ความดี, ความสขุ , ความสะอาด, ความ ผองแผวแหง จติ . คาํ วา กริ ิยา แปลวา ทาํ บําเพญ็ . วัตถุ แปลวา ทตี่ ้งั , เรือ่ ง. รวมกนั เขาเปน บุญกริ ิยาวัตถุ แปลวา ทตี่ ้ังแหงการ บําเพญ็ บุญ หรอื แปลวาเรอ่ื ง คอื เครือ่ งสําหรบั ทําความสขุ . ความจรงิ เครอ่ื งสําหรบั ทําบุญ คอื ความสุข มีอยูม ากเรื่อง แตใน ที่นก้ี ลา วโดยยอวามีเพยี ง ๓ คอื ๑. เร่ืองทาน ๒. เร่อื งศลี ๓. เรอ่ื ง ภาวนา สวนเรอ่ื งอน่ื ๆ ทสี่ ําหรับทาํ บญุ แมมากเร่อื ง กส็ งเคราะหเขา ใน ๓ เรือ่ งน้ไี ดทงั้ หมด. อนงึ่ คําวา บุญน้ี แบงเปน ๒ สวน คอื ๑. บุญเหตุ ไดแ ก บุญกิริยาวัตถุ ๒. บุญผล ไดแกความดี ความสุข ความสะอาด ความ ผอ งแผวแหงจิต. คาํ ถามสอบความเขา ใจ ๑. ทานมยั แปลวา อะไร ? การใหมีก่วี ิธี คืออยา งไร ?

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 60 ๒. ทานทีม่ ีผลมาก ตองประกอบดว ยองคเทาไร ? อธบิ ายให เขา ใจ. ๓. ทานดีอยา งไร ทานจงึ จดั เขาในเรอ่ื งสาํ หรบั ทาํ ความดีดวย ? ๔. สลี มยั แปลวา อะไร ? ศลี หมายถงึ อะไร ? ๕. คนในรอ น แกดว ยอะไร ? ๖. ภาวนาอยา งต่าํ ไดแ กทําอยางไร ? ๗. ภาวนาอยางสงู แยกเปน ๒ คืออะไร ? ๘. คนที่ถูกโมหะครอบงาํ จิต มีลักษณะอยางไร ? ๙. บญุ กิรยิ าวตั ถุมกี ีอ่ ยา ง ? อยางไหนกําจัดโมหะได ? ๑๐. คําวา บญุ แปลวา อยางไร ? เคร่อื งสําหรับทําบญุ มเี ทา ไร ? ๑๑. คาํ วา บุญ ถา แบงได ๒ สว นจะไดหรือไม ? ถา ไมไ ดก ็ แลว ไป ถาแบง ได จงแบง มาดูวาไดแกอะไรบาง ? ตนเอย ตนควินิน เอาตมกนิ ขมจดั ฉมัดฉมงั มาเลเรยี ข้นึ สมอง จําตอ งพัง แพกาํ ลงั ควนิ ิน หายส้นิ ไป. คาํ บางทาน ตกั เตอื น เหมือนยาขม เรงระดม ใหร บั ทรัพยก องใหญ คนไมด้ือ ไดท รพั ย โดยฉับไว แมโ รคใจ - เศรา หมอง ตองหาย เอย. ศรี ฯ นคร.

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 61 สามญั ญลกั ษณะ ๓ อยาง ลักษณะท่ีเสมอกนั แกสงั ขารท้งั ปวง เรียกสามญั ญลักษณะ ไตรลกั ษณะก็เรยี ก แจกเปน ๓ อยา ง ๑. อนจิ จตา ความเปนของไมเท่ยี ง. ๒. ทุกขตา ความเปน ทุกข. ๓. อนตั ตตา ความเปน ของไมใชตน. ส. สฬ. ๑๘/๑ อธบิ ายศัพท ศพั ทวา สังขาร แปลวา ปรงุ แตง มคี วามหมายลกึ ซง้ึ ซบั ซอน มาก นักธรรมควรกําหนดดังตอ ไปนี้ :- ๑. สงั ขารผูป รงุ แตง แบง ออกเปน ๓ ประเภท คอื :- ก. กายสงั ขาร ผปู รุงแตงรา งกายใหเปนอยู ไดแ กลมหายใจ. ข. วจสี ังขาร ผปู รุงแตงวาจาใหพ ูดเปนภาษา ไดแกความตรึก- ตรอง. ค. จิตตสังขาร ผูป รงุ แตงจิตใหนกึ คิดตาง ๆ ไดแกค วามจาํ , ความจงใจ อนั เปนสว นดีบา ง สว นชว่ั บา ง สว นกลาง ๆ บา ง ทีเ่ ปนไปในรูป เสียง กลิน่ รส โผฏฐพั พะ, และความรูสกึ อารมณในทางเปนสขุ หรอื เปน ทกุ ข หรอื ไมท กุ ขไมส ุข.

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 62 ๒. สังขารผถู กู ปรุงแตง แบง ออกเปน ๒ ประเภท คอื :- ก. อุปาทินนกสังขาร สิ่งที่มีใจครอง ไดแกค น และสตั วทีย่ ังมีชวี ิต ทุกประเภท. ข . อนปุ าทนิ นกสังขาร สง่ิ ทไี่ มมใี จครอง ไดแกตน ไม ภูเขา รถ เรือ อาคาร เปนตน แมร า งกายของคน - สตั วท ต่ี ายแลว อนึ่ง สงั ขารทั้งหมดท่ีกลาวมาน้ี ถาจะกําหนดโดยรูปและโดยนาม พงึ กําหนดดังตอ ไปน:้ี - สงั ขารทเ่ี ปน รปู ไดแกก ายสังขาร คอื ลมหายใจเขา ออก และ สังขารผถู กู ปรุง ท้งั ท่ีมใี จครอง ทง้ั ทีไ่ มมใี จครองท้ังหมด. สังขารที่เปนนาม ไดแ กว จสี งั ขาร และจิตตสงั ขารทง้ั หมด. คําวา สงั ขารทงั้ ปวง หมายถึงสงั ขารทุก ๆ ประเภท. อนั สังขาร ทงั้ ปวงทุกประเภทน้ัน ยอมมลี ักษณะ ๓ อยา ง คอื :- ๑. อนจิ จตา ความเปน ของไมเทีย่ ง คือความแปรปรวนเปลยี่ น- แปลงไป ไมห ยดุ ยง้ั ทุกขณะลมหายใจ หรอื ทกุ วนิ าที. ความแปรปรวนอันเปนตวั ความไมเที่ยงน้ี คนสามญั เหน็ ไดย าก ทา นจงึ สอนใหด ูทอ่ี นิจจาลักษณะ คอื ลกั ษณะของความไมเท่ียง อนั ไดแก ความเกดิ ขึ้นดวย ความเสอื่ มสิน้ ไปดับไปดว ย ความเปนอยางอืน่ ดวย. ตัวอยา งเชน เกิดเปนเดก็ นอยข้ึนแลว เดก็ นอยเสอื่ มสน้ิ ไปดบั ไป เปลย่ี น เปน เด็กใหญ, เด็กใหญเ สื่อมสน้ิ ไป เปลี่ยนเปน คนผูใหญ, คนผใู หญ เสอื่ มสิ้นไป เปลีย่ นเปน คนแก คนแกเสือ่ มสนิ้ ไป เปลยี่ นเปนคนตาย.

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาที่ 63 บางคนเกดิ เปนเด็กนอ ย แลวเสื่อมสน้ิ ไปดับไป เปลยี่ นเปน คนตาย. บางคนเปนเด็กใหญแ ลว ดบั ไป เปลยี่ นเปน คนตาย. จะหาความเทีย่ งแท แนนอนในสังขารทกุ ประเภทไมไ ดเลย. ๒. ทกุ ขตา ความเปน ทุกข คอื ทนอยูไมได หมายความวา ทน อยูในสภาพเดิมอยา งใดอยา งหน่งึ ไมได เชน เปนเดก็ นอ ยแลว ทนเปน เด็กนอ ยตามเดิมไมไ ด ตอ งเปน เด็กใหญ, หรือเปน ตน ไมเล็ก ๆ แลว ทนเปนตนไมเลก็ ไมไ ด ตอ งเปนตนไมใ หญตามชนิดของตนไมนน้ั ๆ แม อาคารบา นเรือนท่สี รางใหมแ ลว ทนเปนบานใหมตามเดมิ ไมไ ด ตอ งเปน บานเกาไปตามเวลา. แมท กุ ขเวทนาเกิดข้นึ แลว ทนเปน ทกุ ขตามสภาพ เดิมไมได ตองเปล่ยี นเปนสุขเวทนาบา ง เฉย ๆ บาง. ถึงสุขเวทนาเกิด ขนึ้ แลว ก็ทนอยูไ มไ ด ตองเปลี่ยนเปน ทกุ ขเวทนาบาง เฉย ๆ บาง. แมอทกุ ขมสขุ เวทนา คือความเฉย ๆ ไมทุกขไ มสุข กท็ นเฉย ๆ อยูไม ได ตอ งเปลย่ี นเปน ทกุ ขบ าง เปน สขุ บา ง. จงึ เปนอันวา สงั ขารทกุ ประเภท ทนอยูใ นสภาพเดมิ ไมไดเลย. ๓. อนตั ตา ความเปน ของมิใชตน คอื มใิ ชเ รา มใิ ชของเรา. อนตั ตา เปนเร่ืองท่คี นสาํ คัญเห็นไดยาก ทานจึงสอนใหด ูทอ่ี นตั ตลกั ษณะ คือลักษณะของอนัตตา ๔ อยา งคือ ๑. ไมเ ปนไปในอาํ นาจ คือบังคับบัญชาไมไ ด เชน บังคบั วา รางกายอยาแก อยาเจบ็ อยา ตาย แตรางกายไมฟงเสยี ง แกเ รอ่ื ยไป เจ็บเสมอไป ลงทา ยสดุ กต็ าย. แมพสั ดุทีส่ รางข้ึน เชน รถ เรอื น เรา บงั คับวาอยา ชํารุด มนั กช็ าํ รดุ เรื่อยไป แมต นไมป าไมท ่ีงอกเอง หรอื คน

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 64 ปลกู กต็ าม เราบังคับวาอยาหักอยา โคน แตมันกห็ กั โคน, ไมหกั เองไม โคนเอง ก็ถกู คนตัดโคน ลงจนหมดสภาพปา ไมกลายเปนทโี่ ลง เตยี น. ๒. แยง ตออัตตา คืออนตั ตา มลี กั ษณะตรงกันขา มกบั ลกั ษณะ ของอัตตาเสมอ เชน ผยู ดึ อัตตา มคี วามเห็นวา น่ันของเรา เราเปนนน้ั นัน่ เปน ตวั ตนของเรา. แตผไู มย ดึ อตั ตา มคี วามเห็นวา นน่ั มใิ ชของเรา เราไมเปน นั่น นัน่ มใิ ชตวั ตนของเรา. ๓. เปน สภาพวาง คือวางจากความเปน ตัวตน เชน รางกาย ประกอบขน้ึ ดวยธาตุตาง ๆ เมอ่ื แยกธาตอุ อกไปใหห มด กไ็ มม ีรา งกาย เหมือนรถทปี่ ระกอบขน้ึ ดว ยสมั ภาระตาง ๆ เมอื่ แยกสมั ภาระออกใหห มด กไ็ มม ีรถ. ๔. เปน สภาพหาเจาของมิได คอื ไมม ใี ครเปนเจาของ. กลา วคอื ไมมใี ครเปนผสู งวนไวได เชนรางกายในคราวเปนหนมุ สาว มคี วามสวย งาม มีกาํ ลงั แขง็ แรง ไมมีใครสามารถสงวนหรือหวงแหนความสวยงาม หรอื กาํ ลงั แข็งแรงนั้นไวได ความสวยงามคอ ย ๆ หมดไป กาํ ลงั ก็ คอ ย ๆ สน้ิ ไป ไมคํานงึ วาใครจะหวงแหน ใครจะเปนเจาของสงวนไว. แมพสั ดตุ า ง ๆ จะสวยงามแขง็ แรงสักปานใดก็ตาม ไมมีใครที่จะเปนเจา ของอันแทจรงิ ได เพราะตอ งหมดสภาพอนั สวยงามแข็งแรง และอาจ สูญหายไปจากผทู ่ียึดถือวา ตนเปน เจาของในสง่ิ น้ัน ๆ ได. แมตนไมในที่ ตา ง ๆ กไ็ มม ีใครเปน เจาของอันแทจริงได หากมีผหู วงแหนหวงหา มก็ ดํารงอยูไดช ่วั คราว แตล งทายก็ถูกโคน ถกู ทาํ ลาย หรือลม ตายไปเอง. จึงเปนอนั วาสังขารทกุ ประเภท ไมม ตี ัวตนอันแทจรงิ เลย.

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาท่ี 65 อธิบายชื่อหมวดธรรม อนจิ จตา หรอื อนิจจงั , ทกุ ขตา หรือทุกขัง, อนัตตา หรอื อนัตตา, ท้งั ๓ อยางนี้ ช่อื วา สามัญญลกั ษณะ เพราะเปนลักษณะ สามัญ คือเปนธรรมดาท่วั ๆ ไปแกสงั ขารทัง้ ปวง คอื ทงั้ แกส ังขารผู ปรงุ ทง้ั แกส งั ขารผถู กู ปรุง ท้งั แกส ังขารทเี่ ปน รปู ทงั้ แกส งั ขารทีเ่ ปน นาม. อนงึ่ ทัง้ ๓ อยา งนี้ ทา นเรยี กวา ไตรลักษณะ เพราะเปน ลกั ษณะ ๓ อยา ง คือ ไมเ ทยี่ ง ๑ เปน ทกุ ข ๑ เปนอนัตตา ๑ ซ่งึ มี อยแู กส ังขารทัง้ ปวงดังกลาวแลว อนั เขากบั หลกั พระบาลีวา ยทนจิ จฺ ต ทุกฺข ส่งิ ใดไมเท่ยี ง สง่ิ นน้ั เปน ทุกข ย ทกุ ฺข ต อนฺตตา ส่ิงใดเปนทกุ ข ส่งิ นัน้ เปนอนตั ตา. คําถามสอบความเขาใจ ๑. ศัพทวา สงั ขาร แปลวาอยางไร ? มีความหมายอยางไร ? ๒. สงั ขารผปู รงุ แตง แบงออกเปนก่ปี ระเภท ? คอื อะไร ? ๓. ถา กาํ หนดโดยรปู - นาม สงั ขารผูปรงุ แตง จัดเปนรปู หรือเปน นาม ลองจดั มาดู ? ๔. สงั ขารผถู ูกปรงุ แตง แบง เปน ก่ปี ระเภท ? คน สตั ว ตน ไม รถยนต จดั เขา ในประเภทไหน ? ๕. ถากาํ หนดโดยรูป - นาม คน โค โตะ จดั เปนรูปหรอื เปนนาม ?

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 66 ๖. คําวา สังขารทง้ั ปวง หมายถงึ สังขารประเภทไหน ? ๗. อนจิ จตา มีอธบิ ายอยา งไร ? ขอตัวอยาง ? ๘. ทกุ ขตา หมายความวากระไร ? ขอตัวอยา ง ? ๙. อนตั ตา มลี กั ษณะอยา งไร ? ๑๐. อนจิ จงั ทกุ ขงั อนัตตา เรยี กชอ่ื กนั วา สามัญญลกั ษณะก็มี เรยี กวาไตรลกั ษณะกม็ ี เพราะเหตไุ ร ? ตนเอย ตน เงาะ นา หวั เราะ เงาะปา ชางนาขนั ลกู มขี น รุงรัง นาชงั ครนั แกะเปลือกมนั เนื้อปล่งั เปนสงั ขทอง ทั้งมรี ส ชนื่ หวาน ซานชวิ หา อมิ่ อรุ า เปรมปรดี ์ิ ไมม ีสอง หากคนเรา เอาอยาง พระสังขท อง มลิ ําพอง สวมเงาะ งามเหมาะ เอย. ศรี ฯ นคร.

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาที่ 67 จตุกกะ คอื หมวด ๔ วฒุ ิ คอื ธรรมเปนเคร่ืองเจรญิ ๔ อยา ง ๑. สปั ปุริสสงั เสวะ คบทา นผูประพฤตชิ อบดวยกาย วาจา ใจ ท่ีเรยี กวา สตั บุรษุ . ๒. สทั ธมั มสั สวนะ ฟง คําสอนของทานโดยเคารพ. ๓. โยนโิ สมนสิการ ตริตรองใหร จู กั สง่ิ ทีด่ ีหรือชวั่ โดยอบุ าย ทชี่ อบ. ๔. ธมั มานธุ มั มปฏปิ ตติ ประพฤติธรรมสมควรแกธ รรมซึ่งได ครองเหน็ แลว. อธบิ ายศัพท ๑. สปั ปุริสสงั เสวะ ตดั บทวา สปั (ศพั ทเดิมเปน ส หรอื สตั ) แปลวา ด,ี ปุริสะ แปลวา คน, สังเสวะ แปลวา คบ. เมอ่ื รวมกันเขา จึงเปน รปู สัปปุริสสงั เสวะ แปลตรงศพั ทว า \" คบคนดี. \" คนดี หมายถงึ คนท่ีมคี วามรูดี มีความประพฤติดี มธี รรมดี ๆ อยูในตัว มปี กตทิ ําดี พดู ดี คดิ ดี และชกั นําผอู ่นื ใหท าํ ดี พดู ดี คิดดี ดว ย คนทมี่ คี ณุ ธรรมดังนี้ ทานเรียกวา สัตบุรษุ บาง บัณฑิตบา ง นักปราชญบาง. การคบสตั บรุ ษุ ไดแ กก ารเขาไปหา การสนทนา การปรึกษา สอบถามส่ิงทตี่ นยงั ไมร หู รือสงสัยกะทา น และนาํ เอากริ ยิ ามรรยาทของทาน อันสมควรแกตนมาปรบั ปรุงมรรยาทของตนใหดีข้ึน.

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ที่ 68 ๒. สัทธัมมสั สวนะ ตัดบทเปน สัท (ศพั ทเ ดมิ เปน สตั บรุ ุษ) แปลวา คนด,ี ธมั มะ แปลวา คําสอน, สวนะ แปลวา ฟง. เมีย รวมกนั เขา จึงเปนรปู สทั ธัมมัสสวนะ แปลตรงศพั ทวา \" ฟง คาํ สอน ของคนด.ี \" ธรรม คือคาํ ส่ังสอนของสตั บรุ ุษ คอื คาํ สอนของคนดี หรือของ บัณฑิต หรอื ของนักปราชญน ้ัน เปน คําสอนที่ดีมีคุณประโยชนแ กผูฟง ผูปฏิบัติตาม เปนไปเพื่อประโยชนส ขุ แกท กุ ๆ ฝา ย เรยี กวา สัทธรรม. การฟง ธรรม คอื การเง่ยี หรู บั เสียงธรรม ต้งั ใจฟงคําแนะนําสั่งสอน ตกั เตือนของทา นสตั บรุ ุษดวยความเคารพ คือไมส งในไปอนื่ , ไมนงั่ หลบั ใน, ตองกําหนดจดจํา เพื่อนําไปประพฤติปฏบิ ตั ติ าม ช่ือวา สัทธมั มัส- สวนะ. ๓. โยนโิ สมนสกิ าร ตดั บทเปน โยนโิ ส แปลวา โดยแยบคาย, โดยอุบายที่ชอบ. มนสิ แปลวา ในใจ. การ แปลวา กระทาํ . เมอ่ื รวมกันเขาจึงเปนรปู ศพั ทวา โยนิโสมนสกิ าร แปลตรงศัพทว า การทาํ ไวใ นใจโดยแยบคาย คอื โดยอุบายที่ชอบธรรม. หมายถงึ ความคดิ นึก ตรึกตรองพจิ ารณาใหถอ งแทใ หแ จมแจงประจักษถ ึงเหตุเกิดของสงิ่ ท่ีไดเห็น ไดย ิน ไดส ดู ไดล ม้ิ ไดสัมผสั ไดร ู ดวยตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ. ถา คนเราไดเ หน็ ไดยินอะไรเปน ตนแลว ไมค ิดนกึ ตรึกตรองใหรู ตระหนกั ประจกั ษชัดวา สิง่ ใดดี สงิ่ ใดชั่ว สิง่ ใดควร สงิ่ ใดไมควร ยึดถอื ไวท้ังท่เี ปน ดุน ๆ แลว กม็ กั จะนาํ ความประพฤติใหนอมเขาไปหา สว นชั่วมากวา สวนดี หรอื ไมดเี สียเลย กเ็ ปน ได เพราะฉะน้ัน จาํ ตอ ง สนใจ ใสใ จ คือนอ มเอาส่ิงนนั้ มาไวในใจ หรอื นอ มใจไปในสงิ่ นั้น

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาที่ 69 เพง พิจารณาดูใหรูช นิดของอารมณมีรปู เปนตน น้นั ๆ สิง่ ใดดมี ีประโยชน ก็ควรประกอบ คอื ประพฤตปิ ฏบิ ตั ,ิ สง่ิ ใดช่ัว ไมดี ไมม ีประโยชน ก็ไมค วรประกอบ ละไปเสีย นี้เปนลกั ษณะของโยนิโสมนสิการ. ๔. ธัมมานธุ มั มปฏปิ ตติ ตัดบทเปน ธมั มะ แปลวา ความดี, ความจริง, เหตุ. อนุธมั มะ แปลวา ธรรมอันสมควร, ธรรมอัน เหมาะสม. ปฏปิ ต ติ แปลวา การปฏิบตั ,ิ การประพฤต.ิ เมือ่ รวมกนั เขา จงึ เปนรูปศัพทวา ธัมมานุธัมมปฏปิ ต ติ แปลตรงศัพทวา การปฏิบัติ หรือการประพฤตธิ รรมอนั สมควรแกค วามดี. คนเราจะเจรญิ หรอื จะเส่ือม ยอมขึ้นอยูก บั ความประพฤติปฏิบัติ ถาประพฤติผิดหรอื ประพฤติไมส มควร คอื ประพฤตไิ มเหมาะสม ไมถ กู กาลเทศะ ไมถกู ท่ดี ี ไมถ งึ ดี หรอื เกนิ ดไี ป ก็ยอมจะหาความเจรญิ ไดย าก หรืออาจประสบความเส่ือม ความพบิ ัติไปเลยก็ได. ฉะนนั้ ทานจงึ สอนใหประพฤตธิ รรมอนั สมควรแกธรรม หมาย ความวา ปฏิบตั ดิ ี ปฏบิ ัตใิ หพ อสมควรแกค วามดี สมเหตุสมผล กลา วคือ ตอ งปฏิบตั ิดีดวยกายวาจาและใจ ใหพ อสมควรแกตน ตนมีฐานะ ภาวะ เพศ วัย และหนาทอ่ี ยางไร ก็ตอ งประพฤตปิ ฏิบตั ิใหพ อสมควรแกฐ านะ ภาวะ เพศ วยั และหนา ท่อี ยา งนัน้ และใหเ หมาะแกกาลเวลาและสถาน ที่ดว ย หรอื เมือ่ ตนตรติ รองเหน็ วาดีจริง ๆ ตามเหตอุ ยางไร กต็ องปฏบิ ัติ ใหควรแกเหตอุ ยา งนัน้ จงึ จะประสบความเจริญได. อธบิ ายชื่อหมวดธรรม ธรรมทง้ั ๔ ขอนร้ี วมเขาดว ยกัน ชือ่ วา วุฒธิ รรม คือธรรม

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาท่ี 70 เปน เคร่อื งใหเจรญิ เพราะทง้ั ๔ ขอ น้มี คี วามเกี่ยวเน่อื งกัน อดุ หนุนให บุคคลมคี วามเจรญิ ทั้งคดีโลก ทัง้ คดีธรรมโดยลําดับ ดังตอไปนี้ เม่ือบคุ คลคบหาสมาคมกบั สตั บุรุษคือคนดี กย็ อมไดเห็นกิรยิ า มรรยาทของคนดีวา เปนอยางไร แลว จะไดประพฤติตามไปดวย ท้ังมี โอกาสไดฟ งคําแนะนําตักเตือนสง่ั สอนของสตั บรุ ุษ. เมอ่ื ตง้ั ใจฟง คําเตือน คําสอนโดยเคารพ และกาํ หนดจดจําไวได วาทานเตอื นทา นสอนไวอยา ง นั้นอยา งน้ี. ตอ จากนัน้ ก็ต้ังใจเพง พิจารณาตรติ รองคาํ เตือนโดยอุบายท่ี ชอบธรรมจนรูจ กั เขาใจชดั วา สง่ิ นนั้ ดี สงิ่ น้ีช่วั สง่ิ ท่ีดคี วรประพฤติ สิ่งที่ชั่วควรงดเวน เมือ่ เขาใจดังนั้นแลว กต็ ัง้ ใจประพฤติดใี หพอสมควร แกตน, ตนมีฐานะ ภาวะ เพศ วัย หนา ทอี่ ยางไร กป็ ฏิบัติใหพอเหมาะ พอควร โดยเฉพาะเมอื่ ไดพิจารณาเห็นแลววา สง่ิ ใดไมดคี วรเวน กต็ อ ง งดเวน สิ่งใดดคี วรทาํ กต็ องทํา เม่ือปฏิบัติไดต ามนี้ ก็ยอ มมีแตค วามเจรญิ ท้ังทางโลกท้งั ทางธรรมย่ิง ๆ ขึ้น. กลาวสน้ั ก็คือตอ งคบคนดี เมอื่ คบกันคนดี ก็ยอมไดฟ งคาํ แนะนํา ในทางทด่ี ี เมอื่ ไดฟงแลว ก็จดจาํ ใสใจ เพง พจิ ารณาใหเ ขาใจชดั ก็ ปฏบิ ัติใหเ หมาะสม เมอื่ พรอ มดว ยธรรมทัง้ ๔ นี้ กย็ อมมคี วามเจรญิ . คาํ ถามสอบความเขา ใจ ๑. ทกุ คนยอมตองการความเจรญิ ในชีวติ ความตอ งการนนั้ จะ สําเรจ็ ไดดว ยอาการอยางไร ? ๒. สัปปรุ สิ สงั เสวะ แปลตรงศพั ทวา อยา งไร ? ๓. สตั บุรุษ บณั ฑติ นักปราชญ ไดแกค นเชนไร ? ๔. การคบสัตบุรษุ ไดแ กทําอยางไร ?

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 71 ๕. เมอื่ คบสัตบุรุษแลว จะไดผลเปนอยางไร ? ๖. สัทธมั มสั สวนะ แปลตรงศพั ทว าอยา งไร ? ๗. ธรรมเชนไรเรยี กวา สทั ธรรม ? การฟงสัทธรรมโดยเคารพ นนั้ คืออยางไร ? ๘. โยนิโสมนสิการ แปลตรงศัพทว า อยางไร ? หมายความ อยา งไร ? ๙. การไดย นิ ไดฟงอะไรแลว ถาไมค ิดนึกตรกึ ตรอง จะไดร ับ ผลตา งจากการทไี่ ดตรึกตรองอยางไรบา ง ? ๑๐. ธมั มานธุ ัมมปฏปิ ต ติ แปลตรงศัพทวาอยางไร ? ๑๑. คนเราจะเจรญิ ขนึ้ ได ยอมขึ้นอยูก บั อะไร ? ขึ้นอยกู บั การ เรยี นจบชน้ั สงู ๆ แลว อยเู ฉย ๆ หรอื เที่ยวเบียดเบียนคนอ่ืนตาม สบายใชไ หม ? ๑๒. ธรรมทั้ง ๔ ขอ ในวุฒิ มีความเกี่ยวเน่อื งกนั อยางไร ? _________ ดอกเอย ดอกกุหลาบ หอมซา นซาบ รวยรน่ื ชื่นนาสา ทั้งสสี ัณฐ ทรงชอ่ื ลออตา งามสงา นา ชม นิยมยนิ . เหมอื นมนษุ ย ศีลดี มกี ล่นิ หอม ใครจะยอม ตาํ หนิ กลา วติฉิน ท้ังรปู สวย รวยวิชา เคร่ืองหากนิ ทว่ั ธานินทร ชมเปาะ งามเหมาะ เอย. ศรี ฯ นคร.

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาที่ 72 จักร ๔ ๑. ปฏริ ปู เทสวาสะ อยใู นประเทศอนั สมควร. ๒. สปั ปรุ ิสูปสสยะ คบสัตบุรุษ. ๓. อัตตสัมมาปณธิ ิ ต้ังตนไวช อบ. ๔. ปพุ เพกตปญ ญตา ความเปนผไู ดท ําความดีไวในปางกอน. ธรรม ๔ อยา งน้ี ดจุ ลอรถนําไปสคู วามเจริญ. อง.ฺ จตุกฺก. ๒๑/๔๐ อธบิ ายศพั ท ๑. ปฏริ ปู เทสวาสะ ตัดบทเปน ปฏิรปู ะ แปลวา สมควร. เทสะ แปลวา ถิน่ ฐาน. วาสนะ แปลวา การอยู. เมื่อตอ กนั เขาเปน ปฏริ ูปเทสวาสะ แปลตามศัพทวา การอยูในถิ่นฐานอนั สมควร. หมาย ความวา การพาํ นกั อาศยั อยใู นประเทศ คือถิน่ ฐานที่เหมาะสม. ก็ถิน่ ท่ี เหมาะสมมีลักษณะตา ง ๆ เชน :- ก. มีสตั บรุ ษุ คอื คนดี ประพฤตติ ามพระธรรมคาํ สัง่ สอนของพระ พุทธเจาจํานวนมาก มโี อกาสไดศ กึ ษาปฏบิ ัตธิ รรมะไดมาก. ข. มที างศกึ ษาศลิ ปวชิ าไดตามปรารถนา. ค. มที างประกอบอาชีพไดต ามปรารถนา. ฆ. มสี าาธารณูปโภคเพียงพอแกประชาชน. ง. มมี าตรการปอ งกันสาธารณภัยด.ี การอยใู นปฏิรูปเทส คอื ถิ่นฐานท่ีมีลกั ษณะดงั นี้ ชอ่ื วาการอยูใน ประเทศอนั สมควร.

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาที่ 73 ๒. สปั ปุรสิ ปู สสยะ ตัดบทเปน สัปปุริสะ แปลวา คนด.ี อปุ สสยะ แปลวา เขา อาศัย เขา พึ่งพงิ . เมือ่ ตอกนั เขาเปน สปั ปุรสิ ปู ส สยะ แปลตามศพั ทว า เขาอาศยั พึง่ พิงคนดี. หมายความวา เขา ไปคบหา สมาคมกบั สัตบุรุษคือคนด.ี เพราะธรรมดาสตั บุรษุ นน้ั ทานมคี วามสงบ เสงี่ยมเพียบพรอ มไปดวยคณุ ธรรมทุกแงท ุกมมุ มีปกติทําดี พูดดี คดิ ดี และชักนําผอู ่ืนใหท าํ พดู คิดดดี วย ชอื่ เสียงเกยี รติอันงามกึกกองหอมฟุง ปรากฏไปไกลและทัว่ ทศิ สมดวยพระพุทธภาษิตวา สพฺพา ทิสา สปปฺ รุ โิ ส ปวายติ สัตบุรษุ ยอ มขจรไปทุกทศิ . สตจฺ คนฺโธ ปฏวิ าตเมติ กลนิ่ ของสตั บุรุษยอ มไปไดท วนลม. ทูเร สนโฺ ต ปกาเสนฺติ สตั บุรษุ ยอ มปรากฏไดในท่ีไกล ดังนี้ เปนตน. ฉะน้นั สตั บรุ ษุ จงึ เปนทพ่ี ง่ึ พิงอิงอาศยั ของผูอน่ื ไดเ ปน อยางดี ทา น จึงสอนใหเ ขาไปพึ่งพงิ สัตบรุ ษุ คือเขาไปคบหาสมาคมกบั ทา นผดู เมือ่ สมาคมกับทานแลว กย็ อ มไดรับคําแนะนําทีด่ ี และไดเ อาเยยี่ งอยา งมา ปรบั ปรงุ ตนใหด ขี ึน้ . ๓. อตั ตสัมมาปณธิ ิ ตัดบทเปน อตั ตะ แปลวา ตน ไดแ กจ ติ หรอื วา อัตภาพท้งั สน้ิ . สมั มา แปลวา ชอบ คือถกู ตองตามคลองธรรม. ปณิธิ แปลวา การตั้ง การวาง. เม่อื รวมกนั เขาเปน อัตตสมั มาปณิธิ แปลตามศัพทว า การต้ังตนไวช อบ. หมายความวา ตง้ั กายและจติ ใหถกู ตอ งตามคลองธรรม เชนต้งั ตนไวใ นศีล ในศรทั ธา ในจาคะ ในสจุ ริต ในกุศลกรรมบถ ในความเพียร ในความซื่อตรงตอเวลา - หนา ท่ี - บคุ คล

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ที่ 74 ในความเทย่ี วธรรม ไมล าํ เอียง และเมอื่ กลา วโดยรวมยอดกค็ อื วางตนให เหมาะสมแกฐานะ ภาวะ เพศ ภูมิ ไมใ หเกินหรือต่ํากวาน้ีไป. ๔. ปพุ เพกตปุญญตา ตดั บทเปน ปุพเพ แปลวา ในปางกอน คอื อดีตกาล. กตปญุ ญา แปลวา ความเปนผมู ีบุญไดทําไวแ ลว. เม่ือ รวมกันเขาเปน ปุพเพกตปุญญตา แปลตามศัพทว า ความเปนผมู บี ุญ ไดท าํ ไวแลว ในปางกอน, หมายความวา ความเปน คนทีเ่ คยไดสรา ง คุณงามความดี เชนใหทาน รกั ษาศลี เจรญิ ภาวนา เปนตนไว ในวัน กอ น เดอื นกอน ปก อ น หรอื ชาตกิ อ น. ปุพเพกตปุญญาตาน้ีจดั เปน บญุ สวนเหตทุ อ่ี ํานวยผลใหเ กดิ เปน ความ สุขความเจริญในปจจบุ ัน หรือในอนาคตแกผูทําบญุ ไวใ นปางกอนนน้ั เอง ปรากฏตามท่พี ระทรงแสดงไวว า สุวณฺณตา สสุ รตา สุสณฺาน สรุ ูปตา อาธิปจจฺ  ปริวาโร สพพฺ เมเตน ลพภฺ ติ เปน อาทิ ความมผี วิ พรรณงาม มีเสียงไพเราะ มีทรวดทรง รูปรา งงามสม สว น ความเปนใหญ มีบริวารมาก มนุษยสมบตั ิ เทวสมบตั ิ นิพพาน- สมบัติ สาวกบารมี ปจเจกพทุ ธภมู ิ พุทธภมู ิ ยอ มได คือเกิดมีแก คนท่ีเคยทําบุญไวในปางกอน, กลาวคือผลบญุ ดงั กลาวนนั้ ยอ มเกดิ มใี น ปจ จบุ นั หรอื ในอนาคต คอื วนั เดอื น ป ชาตติ อ ไป แกผูทีท่ ําบญุ อนั เปนสว นเหตุไวใ นวนั กอ น หรอื เดือน ปกอ น ชาติกอน. อธบิ ายช่อื หมวดธรรม ธรรมทง้ั ๔ ขอ น้ี ช่ือวา จกั รธรรม เพราะเปนเหมือนลอ ทั้ง ๔

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ที่ 75 ของรถซึง่ หมุนไปพรอม ๆ กนั พัดพาบคุ คลผูปฏบิ ัติใหไปสูความเจรญิ ยง่ิ ๆ ข้นึ ไปจนถงึ ท่สี ุด. กลาวคือการอยูในประเทศอันสมควร ยอ มมี โอกาสไดประพฤตธิ รรม และประกอบสมั มาอาชีพไดโดยสะดวกและปลอด ภยั ทัง้ ไดม โี อกาสคบหาสมาคมกับสัตบุรษุ ไดร บั คาํ แนะนําตกั เตอื นใหปฏิบัติ ในทางที่ถกู ตอ ง เม่อื ไดร ับคําแนะนําแลว กไ็ ดต ้ังตนไวชอบ เชนตั้งอยู ในศลี ศรัทธา จาคะ เปนตน หากตนไดเ คยสรา งบุญกุศลไวในชาติ กอ น หรือปก อน เดอื นกอ น วันกอ นมาก บญุ นั้นจะรวมกับบุญทท่ี าํ ในปจจุบนั เปนกาํ ลังพัดผนั ใหต นหมนุ ไปสูความเจรญิ ดว ยส่งิ ทีต่ น ปรารถนาอนั มปี ระการตา ง ๆ ซึง่ รวมเขาในมนุษยสมบตั ิ สวรรคสมบตั ิ และนิพพานสมบัติ สําเร็จสมประสงคใ นปจจบุ ัน หรือในวนั ขา งหนา เดอื น ป หรือชาติตอไป โดยไมชา เปน แนแท. คําถามสอบความเขา ใจ ๑. ประเทศเชน ไร ชอ่ื วาประเทศอนั สมควร ? ๒. สตั บรุ ษุ คือคนเชน ไร ? การเขาไปอาศัยพ่งึ พิงสัตบุรษุ หมาย ความวาไมต อ งทํางานอะไร อาศยั ใหทา นเล้ยี งดใู ชไหม ? ๓. การคบสตั บุรษุ ที่ถกู ตองนน้ั คอื อยางไร ? ๔. อะไรชอื่ วา ตน. การต้ังตนไวช อบนัน้ หมายความอยา งไร ? ๕. ปุพเพกตปญุ ญตา แปลวา กระไร ? หมายความวาอยางไร ? ๖. จงยกตวั อยางบุญสว นเหตุ และบญุ สวนผลมาดู ? ๗. เมื่อเราตองการไปไหนทางบกใหรวดเรว็ กต็ องอาศัยรถจกั ร ประเภทตาง ๆ หากเราตอ งการไปสคู วามเจริญโดยรวดเรว็ จะ ตองอาศยั อะไร ?

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาท่ี 76 ๘. อะไรเรยี กวาจักรธรรม ? มกี อี่ ยางไร ? คืออะไร ? ๙. จกั รธรรมมคี วามสมั พนั ธกันอยางไร ? ๑๐. จกั รธรรม กับวุฒิธรรม ตางกนั หรอื เหมอื นกนั อยา งไร ? ________ การอยูใ น ถ่ินดี ท่เี หมาะสม สมาคม บัณฑิต ประสทิ ธิผล การตัง้ ตวั ใหดี หนา ท่ีตน บญุ กศุ ล เคยทาํ นําเจรญิ . ธรรมเหลาน้ี สขี่ อ ดุจลอ รถ มีกาํ หนด หมนุ พลัน ปราชญสรรเสริญ ผูมุง จติ คดิ การ งานเจริญ ควรดาํ เนนิ ตามหลกั จักธรรม. ศรี ฯ นคร.

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ที่ 77 อคติ ๔ ๑. ลาํ เอยี งเพราะรกั ใครกนั เรียกฉันทาคติ ๒. ลําเอียงเพราะไมชอบกนั เรียกโทสาคติ ๓. ลาํ เอยี งเพราะเขลา เรียกโมสาคติ ๔. ลําเอยี งเพราะกลัว เรยี กภยาคต.ิ อคติ ๔ ประการนี้ ไมค วรประพฤต.ิ องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๒๓ อธบิ ายศพั ท อคติ แปลวา ไมเ ดนิ , ไมไป หมายความวา ไมค วรเดนิ ไม ควรไป, หรือไมค วรประพฤติ. อคติ ศัพทน ี้ตรงกบั ภาษาไทยวา ความ ลาํ เอียง ความไมเทีย่ งธรรม, ความไมยตุ ิธรรม. ทา นจาํ แนกไว ๔ ประการ คอื :- ๑. ฉันทาคติ แปลวา ลาํ เอียงเพราะรกั ใครกนั หรอื เพราะชอบ พอกนั เชนการตดั สินคดอี ธกิ รณพิพาทตาง ๆ กด็ ี การแบง ปน สิง่ ของ ก็ดี การพิจารณาใหยศหรือรางวัลก็ดี ดว ยอาํ นาจความพอใจรักใครก ัน. โดยตดั สินใหผทู ่ชี อบพอกนั เปนผูช นะท้ัง ๆ ท่ีไมควรชนะ, ใหส งิ่ ของท่ีดี ใหยศหรอื รางวลั แกคนท่ีชอบพอกนั ทัง้ ๆ ท่ไี มค วรจะได. ซงึ่ เปนการไม ยุตธิ รรมประการหน่ึง. ๒. โทสาคติ แปลวา ลาํ เอียงเพราะไมช อบกนั หรือเพราะ โกรธกนั , เกลยี ดกัน, ชงั กนั , เชน การตัดสินคดดี วยอํานาจความโกรธ

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 78 เกลยี ดชงั โดยใหผ ูทโ่ี กรธกันนั้น เปนผูแพท้งั ๆ ท่ีไมควรแพ, ใหข อง ทเี่ ลวแกผ ูทตี่ นเกลียดชงั ทั้ง ๆ ที่เขาควรจะไดข องดี, ไมใ หย ศหรอื รางวลั แกผ ูทีไ่ มช อบกันทัง้ ๆ ที่เขาควรได. ซง่ึ เปน การไมย ตุ ิธรรมประการหน่งึ . ๓. โมหาคติ แปลวา ลําเอยี งเพราะเขลา หรอื เพราะความโง หลงงมงาย ไมพ จิ ารณาใหถอ งแทวาอยางไรถกู อยา งไรผดิ อยา งไรควร อยางไรไมค วร เชน เมือ่ ไดรบั คําฟองแลว ยังไมทันไดส อบสวนใหรอบ คอบ ก็ดว นตัดสนิ ผิด ๆ พลาด ๆ ขาด ๆ เกิน ๆ ไมถ กู ตอ ง ไมพ อดี ตามทค่ี วร นจ้ี ัดเปนการไมย ตุ ธิ รรมประการหนงึ่ . ๔. ภยาคติ แปลวา ลาํ เอยี งเพราะกลัวหรือเพราะเกรงใจ เชน ผมู อี ํานาจทําผดิ ผพู ิพากษา ไมก ลา ตดั สนิ ลงโทษเพราะกลัวเขาจะทาํ รา ย ตอบ. หรอื ผนู อ ยที่อยใู นความปกครองทําผดิ ผปู กครองไมกลาลงโทษ เพราะเกรงจะขาดเมตตากรุณา หรือกลวั วา เขาจะเดอื ดรอน นจ้ี ดั เปน การ ไมย ุติธรรมประการหนง่ึ . อธบิ ายช่อื หมวดธรรม ฉนั ทะ โทสะ โมหะ ภยะ ทง้ั ๔ ประการน้ี ชื่อวา อคติ เพราะใคร ๆ ไมค วรถึง คือ ไมค วรประพฤติ ไมค วรประกอบ โดย เฉพาะชนชั้นผูปกครองตงั้ แตครอบครัวนอ ย ๆ ข้นึ ไปไมค วรประกอบดว ย อคตคิ ือความลาํ เอยี งแมเ พียงประการหนึง่ เลย. หากผปู กครองทาํ อะไรดว ย อํานาจอคตอิ ยางใดอยางหน่ึง การปกครองกไ็ มเ รียบรอ ย ผอู ยูภายใตการ ปกครองกเ็ ดือดรอ นไมสงบสุข, แตถา ผูป กครองทาํ อะไรไปโดยไมมีอคติ แอบแฝงอยู การปกครองกเ็ ปน ไปโดยเรียบรอ ย ผูอ ยภู ายใตการปกครองกไ็ ม เดือดรอน มแี ตความสงบสุขโดยท่ัวกนั .

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนาที่ 79 คําถามสอบความเขาใจ ๑. อคติ แปลวากระไร ? ตรงกับภาษาไทยวากระไร ? ๒. การรักใครช อบพอกันนัน้ เปนความดี แตเ หตุใด ทานจงึ สอนวา ไมค วรถึง ไมควรประพฤติดว ยอาํ นาจความรักใครกัน ? ๓. โทสาคติ แปลวา กระไร ? คนประพฤตอิ ยางไร ทา นจึงเรียก วา ลาํ เอยี งเพราะไมช อบกัน ? ๔. คนที่เขามาฟอ งวา ลูกของทานไปรังแกลูกฉัน ดงั น้ีแลว กล็ ง โทษแกล ูกของตนตามคําฟองน้นั ทันที ดังนจ้ี ะจัดวายุติธรรม หรอื ไม ? จะเรียกวา อยางไรจึงจะถูกตอ ง ? ๕. คนท่ีประพฤติเชนไร เรยี กวา ตกอยใู นอาํ นาจภยาคติ ? ๖. อยากไดช อื่ วา เปนคนเท่ียงธรรม จะตองปฏิบัติอยางไร ? ๗. คนทใี่ หร างวลั แกค นทไ่ี มควรให, คนทไี่ มใหร างวลั แกค นท่ี ควรได, คนที่ตัดสนิ ความโดยไมท ันพจิ ารณาใหร อบคอบ. คนทไี่ มก ลาลงโทษแกผปู ระพฤตผิ ิด, คนไหนจัดไดวา ลุอํานาจ อคติขอ ไหน ? ๘. ผูใหญจ ะตองวางตัวอยางไร จึงจะเปนผูนา เคารพนบั ถอื ของ ผนู อ ย ? อคติ ทง้ั ส่ี ไมดชี ัด ใครปฏิบตั ิ อาภัพ แสนอบั เฉา ถึงมยี ศ สงู ศกั ด์ิ ชกั ใหเ พลา ดจุ จนั ทรเ นา เมฆหมอก ไมอ อกมา. ศรี ฯ นคร.

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 80 อนั ตรายของภกิ ษสุ ามเณรผบู วชใหม ๔ อยาง ๑. อดทนตอคาํ สั่งสอนไมไ ด คือเบือ่ ตอคําสั่งสอนข้ีเกยี จทาํ ตาม. ๒. เปน คนเห็นแกปากแกทอ ง ทนความอดอยากไมได. ๓. เพลดิ เพลนิ ในกามคุณ ทะยานอยากไดสุขย่ิง ๆ ขึน้ ไป. ๔. รกั ผหู ญิง. ภกิ ษุสามเณรผหู วงั ความเจริญแกต ัว ควรระวงั อยาใหอ นั ตราย ๔ อยา งน้ียา่ํ ยีได. องฺ. จตุกกฺ . ๒๑/๑๖๕ อธบิ ายศัพท ๑. อดทนตอคําส่งั สอนไมได คอื เบอื่ ตอ คําสง่ั สอนข้เี กียจทาํ ตาม หมายความวา ผูท ี่บวชในพระพทุ ธศาสนานี้ ตอ งศึกษาเลา เรียนพระธรรม พระวนิ ยั และขอวตั รปฏบิ ัตติ า ง ๆ เปน อันมาก มิใชบวชแลว กแ็ ลวไป ไมตอ งทําอะไร เหมอื นทีบ่ างคนคดิ เอาเองวา การบวชสบาย ไมตอ ง ทํางานอะไร \" ฉนั เชาแลว เอน ฉนั เพลแลว นอน ยามบายพกั ผอน พอคํา่ จําวัด \" แตความจรองไมเปน เหมอื นอยา งท่ีคดิ น้นั เพราะตอ งทํา กิจวัตรตาง ๆ ตามที่อปุ ชฌายอาจารยแ นะนาํ สั่งสอน เร่ิมตง้ั แตพอบวช แลว ทานกส็ อนอนุศาสน ๘ อยา ง ตอ จากนน้ั ก็สอนเร่ืองศีลาจารวัตร ฝกหัดมารยาท ทางกาย ทางวาจา ตามหลักพระวนิ ัย สอนเรื่องการ อบรมจติ ใหสงบและใหเกิดปญญาตามหลกั พระธรรม เปนประจํา. ถา ภิกษุสามเณรรูปใดอดทนตอคาํ ส่ังสอนไมไ ด คอื เบ่ือหรือขเี้ กยี จทาํ ตาม

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาที่ 81 คาํ ส่ังสอนของอปุ ช ฌายอาจารย หรือของเพื่อนภกิ ษุสามเณรผตู ักเตอื น ดว ยความหวังดตี ามธรรมตามวนิ ัย เกิดความไมพอใจและไมยอมปฏบิ ตั ิ ตาม ก็อยูไมได ตองสกึ ออกไป ทา นเปรยี บเหมือนเรือโตคลื่นไมไ ด ตอ งอับปางลงฉะน้นั . ๒. เปน คนเห็นแกปากแกทอ ง ทนความอดอยากไมได หมาย ความวา การบวชเปน ภกิ ษุสามเณรนัน้ ตองอาศัยอาหารทช่ี าวบานเขาถวาย ตามศรทั ธา บางคร้งั บางคราวอาจจะไดอ าหารที่ไมตรงกบั ความตองการ ก็จําตองฉนั เพือ่ ใหอ ตั ภาพเปน อยูได และบางครั้งอาจจะไดอาหารไมพอ ฉนั ไมอ่ิม กต็ อ งฉนั เทาที่มีอยู, บางวันอาจไมมีอาหารฉนั เลย ก็ตอ งอด เมือ่ หวิ ก็ตองทนเอา ถา ภิกษสุ ามเณรรูปใดเปนคนเหน็ แกปาก คืออยาก ฉันอาหารทอ่ี รอย ๆ แตไมไดฉันตามความอยากนนั้ กอ็ ดไมได คอื ระงบั ความอยากไมไ ด. หรอื เปน คนเหน็ แกทอ ง คือตอ งการใหท อ งอ่มิ เตม็ อยู เสมอ แตบ างครั้งฉันไมอมิ่ หรือบางมือ้ บางวนั ไมไดฉ นั เลย ก็มคี วามหิว ในตอนบายตอนเยน็ จําตองทนตอ ความหิวน้ัน ก็ทนไมไ ด, หรือแมได ฉันอาหารท่อี รอยจนอ่มิ ทองดีแลว แตพ อถงึ เวลาเย็น - คา่ํ คืน ก็อยาก ฉนั อกี . เม่ืออดไมไ ด ทนไมได ก็อยูไ มไ ด ตอ งสึกออกไป ทาน เปรยี บเหมอื นจระเขห ิวอยเู สมอ เหน็ เหยือ่ พอจะกินไดก ็กลืนกินเขา ไป ตามความอยากความหิว โดยไมมกี ารอดทนเลย. ๓. เพลิดเพลนิ ในกามคุณ ทะยานอยากไดสุขยิง่ ๆ ข้นึ ไป หมายความวา กามคุณคือ รูป เสียง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ อันนา ใคร นาปรารถนา เปนเรื่องของชาวบาน; ผเู ขาบวชอยู ตอ งสํารวมจิตใจ

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 82 มใิ หเ พลดิ เพลินในกามคณุ นนั้ ๆ หม่นั ปฏิบตั ิขัดเกลากเิ ลสตณั หา คอื ความทะยานอยากในกามคณุ มิใหจ ติ หมกมุนในกามสุข ซงึ่ เปนกิจท่ี บรรพชิตไมค วรทาํ . ถาภิกษุสามเณรรูปใด ขาดการสาํ รวมจิต ยงั ปลอยให เพลิดเพลนิ ในกามคุณ อยากไดค วามสขุ ในกามคุณยงิ่ ๆ ข้นึ ไป จนเกนิ ขอบเขตของตน ก็ทนอยไู มได ตอ งลกึ ออกไป หมกจมอยใู นกามคณุ นั่นเอง ทา นเปรยี บเหมอื นบุคคลตกลงในวังน้าํ วน ถูกน้ําดดู ใหจ มลงไป ฉะน้นั . ๔. รกั ผหู ญิง หมายความวา รกั ใครผ ูห ญิงในเชิงชูสาว มใิ ช รกั เหมอื นบตุ รรักมารดา หรอื บคุ คลรักพีส่ าวนองสาว หรอื รกั ญาตผิ ูห ญิง ซ่งึ ไมอ ิงกิเลสตณั หา. ถา ภิกษสุ ามเณรรปู ใด ยังมใี จผกู สมัครรกั ใครใน ผูห ญิงดว ยกเิ ลสตณั หา ไมช า กต็ องสึกไป ทานเปรียบเหมือนคนถูกปลา ฉลามคาบไปกินเสยี ฉะนั้น. อธิบายชอื่ หมวดธรรม อันตรายทัง้ ๔ อยา งนี้ ช่อื วา \" อันตรายของภิกษุสามเณรผู บวชใหม \" เพราะผทู ่ีบวชใหม ๆ จติ ใจยังใหมพ ระธรรมวินัย ยัง ปรับตัวคือปรบั กายวาจาใจใหเขากับเพศบรรพชติ ซ่ึงแตกตางจากเพศ คฤหัสถเ ปน อันมากไมไ ด หากไมร ะวงั ก็ยอมจะถกู อันตราย ๔ อยาง มอิ ยา งใดกอ็ ยา งหนึง่ ครอบงํายํ่ายีใหพินาศไดง าย ฉะน้นั จงึ ชือ่ วา อันตรายของภกิ ษุสามเณรผบู วชใหม. สว นผบู วชเกา ก็เคยเปน ผูบวชใหมม ากอน. เมือ่ คราวบวชใหม ๆ

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาที่ 83 สามารถปอ งกันมใิ หอันตรายยา่ํ ยี จึงไดดํารงอยใู นเพศบรรพชิตม่นั คง สบื มาจนเปนพระภกิ ษุ - สามเณรเกา ฉะนน้ั อนั ตรายท้งั ๔ น้ี ทานจึง มไิ ดใ หช อ่ื วา \" อันตรายของภิกษุ - สามเณรผูบวชเกา . \" แตถา ภิกษุ - สามเณรเกา กลับมีศรัทธาในเพศบรรพชิตลดนอย ถอยลง กอ็ าจถกู อนั ตรายเหลานคี้ รองงํายํ่ายจี นถงึ ตอ งสึกไดเ หมือนกนั ฉะนั้น ในตอนหลังทานจึงไดก ลา ววา \" ภิกษสุ ามเณรผหู วงั ความเจรญิ แกต น ควรระวงั อยาใหอ ันตราย ๔ อยางนย้ี ํา่ ยไี ด \" หมายความวา ภิกษุ - สามเณร ทง้ั ผูบ วชใหม ท้ังผบู วชเกาทกุ รปู ตอ งระวังอันตราย ๔ อยา งเหมอื นกนั หมด เผลอเม่ือไรกย็ อมไดรับอนั ตรายเหลา นีไ้ ดท ุกเวลา. คาํ ถามสอบความเขาใจ ๑. ผบู วชจะตองระวงั อันตรายกี่อยาง ? อะไรบา ง ? ๒. ผทู ยี่ งั ไมเ คยบวชคดิ วา การบวชสบาย ฉนั เชา แลว เอน ฉันเพล แลว นอน บา ยพักผอ น พอค่ําจําวดั เปนจริงอยางน้ันหรอื ไม ? เพราะเหตุไร ? ๓. เขาตาํ หนวิ า เพราะเปนกาฝากสังคมดังน้ีถูกหรือผดิ ? จงแถลง ๔. อดกบั ทนตางกันอยา งไร ? ๕. คนเห็นแกป าก กับคนเห็นแกทอ ง ไดแ กค นเชน ไร ? ๖. กามคุณไดแ กอ ะไร ? เพลดิ เพลินในกามคุณ กบั รักผหู ญงิ เหมอื นกันหรอื ตางกนั อยา งไร ? ๗. คาํ วา รักผูหญงิ หมายความวา อยา งไร ? ๘. อันตราย ๔ อยา ของภิกษุ - สามเณร มอี ปุ มาเหมอื นอะไร ?

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนาที่ 84 ๙. ภกิ ษสุ ามเณรเกาพนจากอันตราย ๔ อยางนี้ทุกรูปตลอดไป ใชไ หม ? ๑๐. ภิกษุ - สามเณร ผูห วังความเจรญิ แกต น ควรปฏิบตั ิอยางไร ? ทนคาํ สอน ไมไหว ใจมนั เบอื่ บวชมาเพือ่ กินมาก อยากไมหาย เพลดิ เพลินใน กามคุณ จติ วุน วาย หลงรกั กาย สตรี ไมดเี ลย. ศรี ฯ นคร. เบื่อหนา ยกะวาจา อุปฌายและอาจารย ไมท น ณ อาหาร มิประมาณกะการกิน มริ ะอาละราคนิ เพลนิ กามคณุ หา จะถวลิ ถวลั ยชม หลงหญงิ ยุพาพิน พระแสดงแถลงสม เงอะงะจมจะรอนใจ ลวนอันตรายแรง ก็ตะแคงและควํา่ ไป แมน วาพระ - เณรงม จะละใจมิไดเ ลย เหมอื นเรอื เจอะคลื่นแรง ศรี ฯ นคร. เหตุน้ีมเิ วน ใคร

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 85 ปธาน คอื ความเพยี ร ๔ อยา ง ๑. สังวรปธาน เพยี รระวงั มิใหป าปเกดิ ขึ้นในสนั ดาน. ๒. ปหานปธาน เพยี รละบาปท่ีเกิดขน้ึ แลว . ๓. ภาวนาปธาน เพียรใหก ุศลเกิดขึน้ ในสนั ดาน. ๔. อนรุ ักขนาปธาน เพยี รรกั ษากุศลท่เี กิดขึ้นแลวไมใ หเส่อื ม. ความเพียร ๔ อยางนี้ เปน ความเพียรชอบ ควรประกอบใหมี ในตน. อธบิ ายศพั ท ๑. สังวรปธาน ตดั บทเปน สงั วระ แปลวา ระวงั , สาํ รวม, ปธาน แปลวา เพียร, พากเพียร, ต้งั ใจ. เมอื่ ตอกนั เขา เปน สงั วรปธาน แปลตามศพั ทว า เพยี รระวัง หมายความวา ตง้ั ใจพากเพียร สาํ รวมระวัง ในขณะทตี่ าเหน็ รปู หฟู ง เสียงเปน ตน มใิ หบาปธรรม หรอื อกศุ ลธรรม คือความไมดี เชน ความโลภ - โกรธ - หลง เกดิ ขน้ึ ในสนั ดาน คอื จิตใจ. ๒. ปหานปธาน ตัดบทเปน ปหานะ แปลวา ละ, ตัด. กาํ จัด, ทําลาย. ปธาน แปลวา เพยี ร, พากเพียร, ตงั้ ใจ. เมอื่ ตอ กันเขาเปน ปหานปธาน แปลตามศพั ทวา เพยี รละ หมายความวา ต้งั ใจพากเพียรละ เพยี รพยายามตดั กําจดั หรอื ทาํ ลายปาปธรรม หรอื อกุศลธรรม เชน ความโลภเปนตน ทีเ่ กดิ ขึ้นในจิตใจ.

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 86 ๓. ภาวนาปธาน ตัดบทเปน ภาวนา แปลวา ทําใหเ กดิ ขนึ้ . ทําใหเจรญิ ขึ้น, ปธาน แปลวา เพยี ร, พากเพียร, ตง้ั ใจ. เมอื่ ตอกนั เขา เปน ภาวนาปธาน แปลตามศัพทวา เพียรทาํ ใหเ กดิ ข้นึ , เพยี รทํา ใหเจรญิ มากขึ้น. หมายความวา ต้ังใจพากเพียรทาํ กุศลธรรมคอื ความดี เชนความไมโลภ ไมโ กรธ ไมห ลง หรือศลี สมาธิ ปญญา, หรือวา โพชฌงค ๗ มีสติเปนตน ใหเ กดิ ขนึ้ ใหม มี ากข้นึ ในจติ ใจ. ๔. อนรุ ักขนาปธาน ตัดบทเปน อนุรกั ขนา แปลวา การตาม รกั ษา, การประคบั ประคอง. ปธาน แปลวา ความเพยี ร, พากเพียร, ตงั้ ใจ. เมือ่ ตอ กนั เขาเปน อนรุ กั ขนาปธาน แปลตามศพั ทวา ความ เพียรตามรักษา. หมายความวา ตงั้ ใจพากเพียรตามรักษากศุ ลธรรม คอื ความดที ี่เกิดข้ึนในจติ แลวมิใหเ สอ่ื มลงไป. ประคบั ประคองความดที ี่เกดิ ขน้ึ แลว ใหต ง้ั ม่นั มิใหฟน เฟอน ทําใหเจรญิ งอกงามไพบูลยบรบิ รู ณย ง่ิ ๆ ขนึ้ . อธบิ ายชอ่ื หมวดธรรม ปธาน ศพั ทนี้ โดยพยญั ชนะ แปลวา ความทรง หรอื ความตั้ง ไวท่ัว โดยอรรถหมายถงึ ความเพียรท่ีตั้งไวใสใจ เปน ธรรมเครื่อง กาํ จดั ความเกียจคราน อดุ หนนุ กาํ ลังกาย - ใจใหเ ขม แข็ง อดทนฝา ฟน อุปสรรคนานาชนิด สามารถประกอบกจิ ท่ไี มเหลือวิสัยใหส าํ เร็จได. แตเ พราะปธาน ความเพยี รน้ี อาจเปนไปไดทั้งฝายดแี ละไมด ี มอี ปุ มาเหมือนมดี และขวาน ถา นาํ ไปใชงานกม็ ปี ระโยชน ถา นําไป ประหารกันกย็ อ มมโี ทษฉะน้ัน ในพระบาลนี ยิ มใชศพั ทวา สมั มา แปลวา

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาท่ี 87 โดยชอบ เขามากาํ กบั ไวขางหนาศพั ทว า ปธาน เปนรปู ศัพทวา สมั มปั ปธาน แปลวา ความเพียรทีต่ ง้ั ไวโดยชอบ หมายถึงความเพียร ฝายดี ซึ่งมี ๔ อยาง ตามที่อธิบายมาแลว . ความเพียรทงั้ ๔ อยา งน้ี เปนความเพียรท่ดี ที ี่ชอบ ควรประกอบ ใหม ีในตน. ก็องคประกอบหรือวิธปี ระกอบมี ๔ อยางคือ ๑. ทําความ พอใจใหเ กิดข้ึน ไมเบือ่ หนายระอา ไมเกยี จครา น ๒. พยายามเรือ่ ยไป ไมท ํา ๆ หยดุ ๆ ๓. ปรารภความเพียร คือเริม่ ทาํ ความแกลวกลา ทันทไี มต อ งชกั ชา ไมต อ งหวาดหว่ันพร่ันพรงึ ๔. ประคองจติ ใหม่นั ในการระวงั ในการละ ในการเจรญิ ในการรกั ษา. คําถามสอบความเขาใจ ๑. สังวรปธาน ควรใชใ นขณะใด ? เพอ่ื อะไร ? ๒. บาปคืออะไร ? เมื่อมันเกิดขน้ึ แลว เราจะตอ งปฏิบัติอยา งไร ? ๓. กุศลธรรมมอี ะไรบา ง ? เราจะตองทาํ ความเพยี รเกีย่ วกับกุศล- ธรรมอยา งไร ? ๔. ปธาน กบั สัมมปั ปธาน ตา งกนั อยางไรบาง อธิบาย ? ๕. องคป ระกอบของความเพียรมีกอ่ี ยาง ? คืออะไร ? ________ เพยี รระวงั แมน ยํา ไมทําชว่ั เพยี รละตวั - บาปกรรม ไมซ ้ําสอง เพียรทาํ ดี สบื เนื่อง ใหเ นอื งนอง เพียรปกปอ ง ความดี ทีท่ าํ มา. ศรี ฯ นคร.

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 88 อธิษฐานธรรม คอื ธรรมที่ควรต้งั ไวในใจ ๔ อยาง ๑. ปญ ญา รอบรูสงิ่ ที่ควรรู. ๒. สจั จะ ความจรงิ ใจ คือประพฤตสิ ่ิงใดกใ็ หไดจ ริง. ๓. จาคะ สละส่ิงท่เี ปน ขาศึกแกความจรงิ ใจ. ๔. อุปสมะ สงบใจจากสิ่งท่ีเปนขา ศึกแกค วามสงบ. ม. อปุ . ๑๙/๔๓๗ อธิบายศัพท ๑. ปญ ญา แปลวา ความรอบรสู ่งิ ที่ควรรู. หมายความวา รูทั่ว ทุกดา น รทู งั้ เหตุท้ังผล รเู บือ้ งตน เบ้ืองปลาย ในสิ่งทีค่ วรรทู ง้ั คดโี ลก ท้ังคดธี รรม มที งั้ ขั้นตาํ่ คือโลกยิ ปญญา มีทง้ั ข้ันสงู คอื โลกุตตรปญ ญา. ในที่นจี้ ะอธบิ ายท้ังปญ ญาในคดโี ลกและคดีธรรม. ปญ ญาคดโี ลก ไดแ กความรอบรูศิลปวิทยาสาขาตาง ๆ ทเี่ ปนแนวทางประกอบสมั มา- อาชพี ใหท รพั ยส มบัติ และอสิ รยิ ยศ บริวารยศเกดิ ขึ้น. ปญ ญาคดธี รรม ไดแ กความรอบรูเรื่อง ปาป - บญุ - คณุ - โทษ, สขุ - ทุกข ทัง้ สวน เหตสุ วนผล, เร่ืองธาตุ ๔ ขนั ธ ๕ อายตนะ ๖ เปน ตน. ปญ ญา เปนเครอ่ื งพิจารณาสอดสอ งจบั เหตุจับผลในสิง่ ตา ง ๆ เรอ่ื งราวตาง ๆ ทคี่ วรรทู ัง้ คดีโลกคดีธรรม จนพบความจรงิ อนั เปน ตวั สัจจะในสิ่งนัน้ ๆ ท้งั ท่เี ปนสมมตสิ ัจจะ ท้งั ทีเ่ ปน ปรมตั ถสจั จะ. เม่ือบคุ คลไมป ระมาทปญญา ไมทะนงวาตนมปี ญ ญามาก หรือ ไมดหู ม่นิ ผอู ื่นวามีปญ ญานอ ยสตู นไมได, หม่นั ประกอบปญ ญาใหเ กิดมาก

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 89 ยิง่ ๆ ข้นึ ต้งั แตชั้นโลกยิ ปญญา จนถงึ โลกตุ ตรปญญา กย็ อ มประสบ สจั จะดังกลา ว. การตั้งใจเพมิ่ พนู ปญ ญาใหมากข้ึน ดังน้ีแล ชื่อ ปญ ญาธิษฐาน คอื การตงั้ ใจรอบรู. ๒. สัจจะ แปลวา ความจริงใจ คอื ประพฤตสิ ่ิงใดกใ็ หไดจริง เรอ่ื งสัจจะน้ีมที างอธบิ ายไดม าก ในที่น้จี ะไดอธิบายเพียง ๓ อยา ง คือ:- ก. จรงิ การงาน ไดแกต ัง้ ใจทําการงานที่ปราศจากโทษ งานทม่ี ี ประโยชน งานที่ไมเหลอื บากวา แรง ไมเ กินขีดความสามารถ. ข. จรงิ ความประพฤติ ไดแกป ระพฤตดิ จี ริงทางกาย วาจา ใจ จะทํา จะพูด จะคิดส่งิ ใด ๆ ก็เปน ไปเพอื่ ประโยชนท งั้ แกตนและแกผ ูอื่น. ค. จรงิ ใจ ไดแ กตงั้ ใจจรงิ คือตงั้ ใจวาเราตองซ่ือสัตยสุจรติ ตอ การงานหนา ท่ี ตอเวลา และตอบคุ คล. เราตอ งจริงตอ ความประพฤติ คอื ควบคมุ ตนเองใหป ระพฤติดีเสมอไป. เม่ือมีความจริงใจ ต้งั ใจจรงิ และปฏบิ ัตดิ ีจริงตามที่ตั้งใจไว ก็ยอ มไดพ บกับความจรงิ คือความสาํ เร็จ สิ่งทต่ี อ งการในชีวติ ตองการลาภยศ เกยี รตคิ ณุ อนั งามกย็ อ มได ตอ ง การความสขุ ช้ันโลกยิ ะ หรือโลกุตตระกย็ อมได. สัจจะความจริงใจอยา งน้ีแล เรยี กวา สจั จาธิษฐาน การตั้งใจจรงิ . ๓. จาคะ ในท่ีอ่ืน แปลวา สละใหปนส่งิ ของ ๆ ตนแกผ อู น่ื . แตใ นทน่ี ้ี แปลวา สละสิง่ ท่ีเปน ขา ศกึ แกความจรงิ ใจ หมายความวา เมือ่ บุคคลต้ังใจจริง กระทําสงิ่ ที่ดี ประพฤตดิ ี มกั จะมอี ุปสรรคเขา มา ขดั ขวางใหเสยี การเสยี งาน เสียความตงั้ ใจจริงไปบางไมมากก็นอ ย. อุปสรรค นน้ั บางทีทานเรยี กวา \" มาร \" คาํ วา มาร แปลวา ผฆู า พระ คําวา

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 90 พระ แปลวา ผูประเสรฐิ หรือผูดี ความดี ความประเสริฐ เชน ผูตงั้ ใจจะให ทาน ก็มีความตระหน่ี เกดิ เปนมารขัดขวางไวห รือฆา เสีย. ผตู งั้ ใจจะ รักษาศีล กม็ คี วามโลภบาง ความโกรธบา ง ความหลงบาง เปนมาร ขวางไวหรือฆาเสยี . ผตู ั้งใจจะเจริญภาวนา ก็มคี วามเกียจครา นบา ง ความกลัวบาง เปนมารขวางไวหรอื ฆาเสีย. เม่ือกลา วโดยยอ อปุ สรรค หรอื มารที่เปนขาศึกแกความจรงิ ใจน้ัน ไดแ กอ คติ ๔ อยา ง คอื ความ ลําเอยี งเพราะรักชอบ ๑ เพราะชัง ๑ เพราะหลง ๑ เพราะกลัว ๑ เมอื่ บุคคลมอี คติอยา งใดอยา งหน่ึงเขาขวางอยใู นจติ ในก็ไมอาจดํารงอยูใ นสจั จะ คือความจริงใจได จติ ใจตอ งฟุงซานไป เอนเอยี งในทางผดิ ทําการงานผิด ประพฤตผิ ิดโดยประการตา ง ๆ ฉะนัน้ ตอ งตงั้ ใจสละสง่ิ ที่เปนขาศึก หรอื เปน มาร มตี ระหนเี่ ปน ตน หรอื อคตทิ ้ัง ๔ มีลาํ เอยี ง เพราะรกั ชอบกัน เปนตนเสีย. การตงั้ ใจสละสงิ่ ทเี่ ปนขา ศกึ แกความจริงใจนี้แล เรยี กวา จาคา- ธษิ ฐาน คอื ต้งั ใจสละ. ๔. อุปสมะ แปลวา ความสงบใจจากท่ีเปน ขาศึกแกค วามสงบ. หมายความวา การระงับ หรือการเขาไประงบั ไดแกการปราบ หรอื การเขา ไปปราบสง่ิ ทีเ่ ปนขาศึกแกความสงบ. ความสงบตรงกับบาลีวา สนั ติ มี ๓ อยาง คอื สงบกาย สงบวาจา สงบใจ. สงบกาย นัน้ ไดแกการกระทาํ ทางกายดี สงบเรียบรอ ย ไม จนุ จา น ลวงละเมิดศลี ระเบยี บ ประเพณีอันดีงาม. สงบวาจา นั้น ไดแ กการพดู ดีเปนวจสี ุจริต พูดในกาลและสถานที่ อันสมควร และไมพ ดู ในกาลและสถานท่อี นั ไมค วรพดู .

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 91 สงบใจ นั้น ไดแกก ารคิดดีเปนมโนสจุ รติ และความท่ีจิตไมถ ูก ขา ศึกรบกวน เปน จิตใจทสี่ งบเยือกเยน็ เปนสขุ ผองใส ดุจพระจนั ทรใ น วันเพ็ญลอยเดนในทองฟาอันปราศจากเมฆหมอกฉะน้นั . จติ ทีส่ งบนมี้ ีอํานาจท่ีจะชว ยพยงุ ใหก ายและวาจาสงบดวย ฉะนน้ั ทานจึงสอนใหคอยระวงั ส่งิ ทีเ่ ปนขาศึกแกความสงบใจ เมื่อระงบั ขาศึก ทางใจไดแลว ก็เปน อันระงบั ขาศกึ ทางกายและวาจาดว ย กายและวาจา พลอยสงบไปดว ย. อนั สง่ิ ทีเ่ ปน ขาศึกแกความสงบใจน้ัน ไดแก ราคะ โทส โมหะ เปน ตนนน่ั เอง. การตงั้ ใจระงับราคะ โทสะ โมหะ เปน ตน อนั เปน ขาศึกแกความสงบ จึงชอ่ื วา อุปสมาธิษฐาน คอื การตั้งใจระงบั อธบิ ายชือ่ หมวดธรรม ปญญา สัจจะ จาคะ อปุ สมะ ท้งั ๔ อยางนี้ ชือ่ วา อธษิ ฐาน- ธรรม ธรรมทคี่ วรตง้ั ไวในใจ เพราะเปน หลักธรรมประจําใจ เปน เครื่องนําทางแหง ความประพฤติปฏิบตั ขิ องบุคคลใหดยี ่งิ ๆ ขนึ้ โดยลําดับ คือ ในเบื้องตน บคุ คลแมจ ะมปี ญ ญาติดมาบา งแลวตัง้ แตเกดิ เรยี กวา สชาติปญญา ปญ ญามาพรอมกับเกดิ แตก็ไมพอท่จี ะชวยตนใหดีขึน้ ได ตองอบรมเพ่ิมพนู ใหมากยงิ่ ๆ ขนึ้ ในพระบาลีตรัสสอนไววา ปฺ  นปฺปมชฺเชยฺย ไมค วรประมาทปญ ญา คืออยาคิดวา ปญ ญาของตนเตม็ เปย มแลวไมตองอบรมเพ่ิมอกี และอยา ดูหมิ่นปญ ญาของคนอ่ืนวาต่ํา สู ปญญาของตนไมไ ด. ถา ประมาทปญญาดังนีเ้ สยี แลว ตนจะมปี ญ ญาเส่ือม ถอยนอ ยลง จนกลายเปนมิจฉัปปญ ญา มิจฉาทฏิ ฐิ คอื รูผดิ เห็นผิด

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 92 จากความจริง. ฉะนน้ั จงึ ควรอบรมปญญาใหม ากข้นึ ดวยการคบบัณฑิต ฟงคําสอนของบณั ฑิต เกบ็ มาคดิ ใหเขาใจ หากสงสยั กไ็ ตถาม แลว พยายาม จดจาํ ไว ก็ยอ มไดป ญ ญาเพ่ิมขึ้น สามารถรสู ่ิงท่คี วรรตู ามทเี่ ปนจรงิ . เม่อื รูค วามจรงิ แลว ก็ตอ งตามรักษาความจริงไว พระจึงตรัสสอน ไวตอ ไปวา สจฺจมนุรกเฺ ขยยฺ พึงตามรักษาความจรงิ . หมายความวา ความจรงิ ของสง่ิ ตาง ๆ น้ัน ยอมปรากฏแกผูที่ทาํ การงานดีจริง ประพฤตดิ ี จริง ฉะนน้ั จึงควรตามรักษาความจรงิ ไวด วยการทํางานดีจริง ประพฤติ ดีจริง และตั้งใจดีจรงิ . เมือ่ ต้ังใจจริง มักจะมีสง่ิ เปนขาศึกแกความจรงิ ใจเกดิ ขึ้น พระ จึงสอนไววา จาคมนุพฺรเู หยฺย ควรเจริญจาคะ หมายความวา เมือ่ ขา ศึก เชน โลภะ โทสะ โมหะ อคติ เปน ตน เกิดขนึ้ ก็ใหสละ ทง้ิ เสียทนั ที อยาเก็บไว เพราะขาศกึ เหลานนั้ คอยบ่นั ทอนความดแี ละบัง ความจริงใหมืดมดิ ทงั้ ทาํ จิตใหฟ ุงซา นไมใ หเขาสูสันตคิ อื ความสงบสุข. ฉะนัน้ จงึ ควรเจรญิ จาคะ คอื ตง้ั ใจสละสิง่ ที่เปนขา ศกึ เหลานัน้ เสยี . เม่ือขา ศกึ ถกู สละไป กอ็ าจกลับมารงั ควานใหจ ิตฟุงซานไดอกี ฉะนัน้ พระจงึ สอนวา สนฺตเิ มว สสุ ิกฺเขยฺย ควรศึกษาสนั ติ หมายความ วา ควรทาํ ความเขาใจในเรื่องสันติ. สนั ติ คือความสงบกาย วาจา ใจ จดั เปน ความสขุ ยอดเยยี่ ม ไมมีสุขอน่ื ยิง่ กวา สมดวยบาลวี า \" นตฺถิ สนตฺ ปิ ร สุข ความสขุ ที่ย่ิงกวาความสงบยอ มไมมี \" ความสงบน้ี ยอ มเกิดมีข้นึ ได ก็ดว ยการเขาไประงับปราบราคะ โทสะ โมหะ เปนตน อนั เปน ตัวขาศึกใหส งบราบคาบโดยสิน้ เชิง ไมหวนกลบั มาเกดิ ข้ึนอีก. ฉะนั้น จงึ ควรศึกษาใหเขา ใจในเรื่องสนั ตคิ วามสงบ พรอมทงั้ เหตุเกิด

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 93 แลวพงึ ต้ังใจระงบั ปราบราคะเปน ตน อนั เปนตัวขาศึกใหหมดไปโดยลําดับ เม่อื บุคคลตง้ั ธรรมท้ัง ๔ อยา งน้ไี วในใจ ความประพฤติของตน ก็ยอ มดขี ึ้นโดยลําดับ ฉะนั้น ธรรม ๔ อยางน้ี จึงชอื่ วาอธิษฐานธรรม คอื ธรรมทีค่ วรต้ังไวใ นใจ. คาํ ถามสอบความเขา ใจ ๑. คนเราควรมีธรรมอะไรตง้ั ไวเปน หลกั ในใจบาง จะไดนาํ ทาง ความประพฤติดขี องตน ? ๒. ปญ ญา แปลวา อะไร ? ทาํ อยางไรจงึ ช่ือวาปญ ญาธิษฐาน ? ๓. บคุ คลเชน ไร ชอื่ วาผูไมป ระมาทปญ ญา ? ๔. สจั จาธิษฐาน หมายความวาอยา งไร ? ๕. จาคะในอธิษฐานธรรม กบั ในที่อืน่ ตา งกนั อยา งไร ? ๖. อุปสมะ กับสนั ติ แปลวา สงบ เหมอื นกัน แตม คี วามหมาย ตา งกันอยา งไร ? ตนเอย ตน ตะแบก ฟงชอ่ื แปลก พิลกึ หมพู ฤกษา ไมเหน็ ได อะไร จากไหนมา ยังชอื่ วา \" ตะแบก \" ดูแปลกจรงิ . สวนมนษุ ย น้ีแปลก ทนแบกขนั ธ เพราะโมหันธ นาํ หนา เทย่ี วพาว่ิง หากมไิ ด ปญญา แกกลา จริง มิอาจท้ิง ขันธไ ด ไมสขุ เอย. ศรี ฯ นคร

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาท่ี 94 อิทธิบาท คอื คุณเคร่ืองใหส ําเร็จความประสงค ๔ อยา ง ๑. ฉันทะ พอใจรักใครในส่งิ น้นั . ๒. วริ ยิ ะ เพียรประกอบสิ่งน้ัน. ๓. จติ ตะ เอาใจฝก ใฝในสิ่งนนั้ ไมว างธรุ ะ. ๔. วมิ งั สา หมั่นตรติ รองพิจารณาเหตผุ ลในสิง่ น้ัน. คณุ ๔ อยา งน้ี มบี ริบรู ณแลว อาจชักนาํ บคุ คลใหถึงส่งิ ทต่ี อ ง ประสงคซง่ึ ไมเ หลือวิสัย. อภ.ิ วภิ งคฺ . ๓๕/๒๙๒ อธบิ ายศพั ท ๑. ฉันทะ แปลวา ความพอใจรักใคร หมายความวา พอใจ รักใครที่จะทําความดี ดว ยความเตม็ ใจ และต้งั ใจอยางแรงกลา. อนั ความดที ีค่ วรทําน้ันมปี ระการตาง ๆ ตวั อยางเชน การศึกษาศิลปวทิ ยา ทางโลกและทางธรรม การประกอบกิจเครอื่ งเลย้ี งชวี ิต การปฏิบัตพิ ระ ธรรมพระวนิ ัยคมุ ครองจิตใจใหส งบแชม ชน่ื จนกระท่งั การทําจติ ใหหมดจด จากกิเลส. ๒. วริ ยิ ะ แปลวา ความเพียรประกอบความดี หมายความวา มีความเกลวกลา ขยนั ทาํ ความดี มกี ารศึกษาศลิ ปวทิ ยาเปน ตนนัน้ คณุ ธรรมขอ นี้ เปน เคร่ืองพยุงความพอใจมิใหทอถอยในการทาํ งาน เพราะวาการงานทุกชนดิ มกั จะงายตอนคิ แตมักจะติดตอนทํา จงึ

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 95 จาํ เปนตอ งใชความเพยี รพยายามเรื่อยไป จนกวา จะสําเร็จตามความพอใจ ท่ีปลกุ ไวใ นเบอ้ื งตน มีพระพุทธนิพนธตรสั เตอื นไววา วายเมเถว ปรุ ิโส ยาว อตถฺ สสฺ นปิ ปฺ ทา เกดิ เปนคนควรพากเพียรเร่ือยไป จนกระท่ังสาํ เร็จจดุ ทีป่ ระสงค. จดุ ประสงคอนั สูงสุดของคนเรากค็ ือความส้ินจทุกข เมอ่ื บคุ คลได ใชความเพยี รใหค รบถว นตามหลักความเพียร ๔ อยา ง กย็ อ มพนทุกขไ ด มพี ระบาลรี ับรองไววา วริ ิเยน ทุกขฺ มจเฺ จติ คนยอมลว งทุกขไดด วย ความเพียร ดงั นี้. ๓. จติ ตะ แปลวา เอาใจฝก ใฝในความดี หมายความวา มี ความผกู ใจ สนใจ ไมท อดธรุ ะในความดีท่พี อใจ พากเพียรกระทาํ อยู มีสตคิ มุ จติ ใหกระตุน ความเพียรใหเปน ไปสม่ําเสมอไมทํา ๆ หยุด ๆ เหมือน กิ้งกาวิง่ ๆ หยดุ ๆ ยง่ิ ในการปฏบิ ตั ิธรรมเจรญิ กมั มฏั ฐาน ทา นสอนวา เตลปตฺต ยถา ปริหเรยยฺ เอว สจิตตฺ มนุรกฺเข ผปู ฏบิ ตั ิพงึ รักษาจิตของตนเนอื ง ๆ ไมประมาทขาดระยะ เหมอื นคน ประคองบาตรที่เต็มเปย มดว ยนํา้ มนั ฉะนน้ั ดงั นี.้ เม่ือบคุ คลมจี ติ ฝก ใฝในกศุ ลกรม คือความดีตา ง ๆ มีการศึกษา ศลิ ปวทิ ยาเปนตน ไมห ดหทู อ แม ก็มีแตค วามสําเรจ็ จุดท่ปี ระสงค ท้ังในคดีโลก ท้ังในคดีธรรม ตง้ั แตเ บ้อื งต่ําจนถงึ ที่สุด. ๔. วมิ งั สา แปลวา ความตริตรองพิจารณาเหตุผลในส่งิ นัน้ ๆ หมายความวา ใชปญ ญาสอดสองเทียบเคียงเปรียบเทียบ ท้ังเหตุ ทงั้ ผล ในความดีตาง ๆ ทีต่ นกระทาํ แลว คือยอนกลับไปดวู าตนไดท ําเหตุ ปลกู ฉันทะ ใชว ิริยะ ไดตงั้ จิตตะในการนั้น ๆ ไวม ากนอยเทาไร

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ที่ 96 แลวไดผ ลเทาไร ? แมในปจ จบุ ันกําลังทาํ เหตุ คอื ปลูกฉนั ทะเปน ตน ไว เทา ไร ตอไปคงจะไดผลเทาไร ? อทุ าหรณ เชน การศกึ ษาศลิ ปวิทยา ถา ไดท ําเหตุคอื ฉนั ทะ วริ ยิ ะ จติ ตะ ไวดีในเบอ้ื งตน กย็ อ มไดร ับผล คือ ความสําเร็จในชัน้ นนั้ ๆ เปนลําดับมา และถาไมล ะเหตุดงั กลา วนั้นเสยี ในปจจุบนั กย็ อมไดผ ลคือความสําเรจ็ ในชั้นสงู ตอ ไปในอนาคต. แมใ น การปฏบิ ัติธรรมะสะสางกเิ ลส ถา มเี หตุคอื ฉันทะเปน ตน บริบรู ณ ก็ยอ มจะ ไดร ับผลดีเปนชน้ั ๆ ถามีเหตุไมบ ริบรู ณ กย็ อ มไดรับผลไมดี คอื ละ กเิ ลสไมได. ฉะนน้ั การใด ๆ ทต่ี นกระทาํ จนสาํ เร็จมากนอยเพียงใด หรือไม สาํ เร็จเพราะเหตใุ ด ตนเองจะตองสอบสวน เปรยี บเทียบเองเปนดที สี่ ดุ พระพุทธเจาตรสั เตอื นไววา ปฏิมเ สตมตฺตนา จงพจิ ารณาสอบสวนดวย ตนเอง ดงั น้ี. เมอื่ บุคคลพิจารณาสอบสวนการกระทําของตนดวยตน กย็ อ มเขาใจ ตนเอง สามารถปรับตนเองใหถูกตอ ง ทาํ งานใหถูกตอ ง ทงั้ คดีโลก คดีธรรม กย็ อมสาํ เร็จกิจตามจุดประสงคทีไ่ มเหลอื วสิ ัยทกุ ประการ. อธิบายช่อื หมวดธรรม คุณธรรมทัง้ ๔ อยางนี้ ช่อื วา อิทธบิ าท แปลวา คณุ เครอื่ งให สาํ เรจ็ ความประสงค หรอื จะแปลวา คุณธรรมเครอื่ งใหถงึ ความเจริญ หรือใหถ งึ ความสาํ เร็จกไ็ ด. หมายความวา คณุ ธรรมท้ัง ๔ นี้ ผูใดปฏบิ ตั ใิ หค รบถว นบริบูรณ ผูน้ันจะเปน เดก็ หรือผูใ หญ เปนคฤหสั ถหรือบรรพชติ กต็ าม ยอ มประสบ

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาที่ 97 สง่ิ ที่ตนประสงค ทง้ั คดโี ลก ทั้งคดีธรรม ทัง้ ชน้ั ตํา่ และชัน้ สูง ซึง่ ไม เหลือวสิ ยั คือไมเกินขดี ความสามารถของแตล ะบุคคล. นยั อันตรงกันขาม ถาทาํ งานสิ่งใดดว ยความไมพ อใจ ใจไมรักงานแลว ความเกยี จครา นก็ ตามมา ความเอาใจใสก็ไมมี ความตรติ รองพิจารณาก็ไมเ กดิ ในสง่ิ นั้น ๆ แมจ ะมใี ครตักเตือนแนะนาํ สัง่ สอนใหท าํ ไมเช่ือฟง ไมยอมทาํ ตาม อาจ กลายเปน คนหัวด้ือ ใจดา น ทาํ งานงู ๆ ปลา ๆ จบั ๆ จด ๆ ก็ ปรากฏวาลาเหลว ทําอะไรไมสําเรจ็ แมอยางเดยี ว นีเ้ ปน โทษของการ ขาดอิทธิบาทธรรมนน่ั เอง. คําถามสอบความเขาใจ ๑. อิทธบิ าท ๔ อยาง มตี วั แปลงทายวา ในสง่ิ นัน้ ทกุ ๆ อยาง อยากทราบวา คําวา ส่ิงน้นั ไดแ กอะไร ? ๒. การงานทกุ อยา งมักจะงายตอนคิด แตมักจะตดิ ตอนทํา เราจะ แกไ ขอยา งไร ? ๓. ความเพียรมอี ะไรเปนเร่อื งกระตุน จงึ จะเปน ไปสมาํ่ เสมอ ? ๔. การทาํ งานก็ตอ งมีการสาํ รวจตรวจตรา ถาเราตอ งการสาํ รวจ การศึกษาของตนเอง มีวิธีอยา งไร ? ๕. คนท่ีทํางานไมสาํ เร็จตามจุดมุง หมาย เพราะขาดคณุ ธรรม อะไรบาง ? คณุ ธรรมนน้ั ขอ ๑ และขอ ๓ มคี วาม หมายตางกันอยางไร ? ๖. เมอ่ื เปน เดก็ ก็หัวด้ือ เปนผใู หญก็ใจดาน ทาํ งานจับจด การงาน ลม เหลวทกุ อยาง ท่ีเปน เชน น้ีเพราะขาดอะไร อธบิ าย ?

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 98 ควรทําความไมป ระมาทในท่ี ๔ สถาน ๑. ในการละกายทจุ ริต ประพฤตกิ ายสจุ รติ ๒. ในการละวจีทจุ ริต ประพฤตวิ จสี จุ ริต ๓. ในการละมโนทุจรติ ประพฤติมโนสุจจติ ๔. ในการละความเหน็ ผดิ ทาํ ความเห็นใหถูก. อีกอยางหนง่ึ ๑. ระวงั ไมใหท ก่ี ําหนัด ในอารมณเ ปนท่ตี ง้ั แหง ความกําหนดั . ๒. ระวงั ไมใหข ัดเคอื ง ในอารมณเปนที่ตง้ั แหงความขัดเคอื ง ๓. ระวังใจไมใหหลง ในอารมณเ ปนทตี่ ง้ั แหง ความหลง. ๔. ระวงั ใจไมใหมวั เมา ในอารมณเ ปนที่ตั้งแหงความมัวเมา. องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๑๖๑ อธบิ ายศัพท กายทจุ ริต วจีทจุ ริต มโนทุจรติ และกายสจุ ริต วจีสจุ ริต มโน- สจุ ริต ไดอธบิ ายแลว ในหมวด ๓ อนั วาดว ยเร่อื งทจุ ริต ๓ อยาง และ สุจริต ๓ อยา ง. ความเห็นผิด ไดอ ธิบายไวบ า งแลว ในหมวด ๓ อันวาดวยเรื่อง มโนทุจริต นักเรียนควรพลกิ กลับไปดใู หเ ขา ใจ. ในท่นี ้จี ะอธิบายเพม่ิ เตมิ อกี เล็กนอ ย. คอื คาํ วา ความเหน็ ผิด


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook