เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 201 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò สวนธาตุท่ีจะใชในวาจกนี้ ใชสกัมมธาตุ อกัมมธาตุบางตัวมีอุปสัคนำ ใชเปน สกัมมธาตุแลว ก็ใชในวาจกนไี้ ด อุ. อุปฏิยมาโน อัน...บำรุงอยู า ธาตุ ในความตัง้ เปน อกมั มธาตุ อุป เปน บทหนา ใชเปนสกัมมธาตุ จงึ ใชเ ปน กัมมวาจกได. ภาววาจก กิริยาศัพทกลาวแตสักวา ความมี ความเปน ไมกลาวถึงกัตตา คือ ผูทำ และ กรรม คือ ผูถูกทำ กลาวข้ึนมาเฉย ๆ แสดงแตเพียงอาการเทาน้ัน กิริยาศัพทชนิดนี้ เรียกวา ภาววาจก เชน ในอุทาหรณวา การเณเนตถฺ ภวติ พพฺ แปลวา อนั เหตุ ในสง่ิ น้ี พึงมี. อธิบาย คำวา อนั เหตุ ในคำนนั้ ก็เปน แตเพยี งกลาวขน้ึ ลอย ๆ เทาน้นั คำวา พึงมี กไ็ ม รับรองวา จะมีได จะเปน ไดจ รงิ ทีเดียว กิริยาภาววาจก ไมก ลา วกตั ตาดังกริ ยิ าอาขยาต. กริ ยิ าอาขยาต เชน กโรติ กลาวกัตตา คือนามทเี่ ปน ปฐมบรุ ษุ กโรสิ กลาวมธั ยมบรุ ุษ กโรมิ กลาวอุตตมบุรุษ แตกิริยาภาววาจก แมไมกลาวกัตตา ก็ใชบทตติยาวิภัตติ เปน กัตตาเอง เรยี กวา อนภิหติ กัตตา เชน การเณน ใน อ.ุ น.ี้ ปจจัยในวาจกนี้ใชไดเฉพาะจำพวกกิจจปจจัยและกิตกิจจปจจัย กิจจปจจัยน้ัน คือ อนีย และ ตพฺพ ปจ จัย. สำหรบั ตพพฺ ปจจยั ถา ธาตุ ๒ ตัว เมอ่ื ไมล บท่ีสุดธาตุ ตอ งลง อิ อาคม เชน ภาสติ พฺพ, ภวติ พพฺ . ถาลบท่ีสุดธาตุ ไมต องลง อิ อาคม เชน กาตพฺพ เปนตน. สำหรับ อนีย ไมมีวิธีอะไร จะลงในธาตุตัวใด ก็ลงไดทีเดียว เชน ขาทนีย. โภชนยี เปน ตน . ธาตุท่ีจะใชในวาจกนี้ ใชอกัมมธาตุโดยมาก ใชสกัมมธาตุก็มีบาง แตนอย. กริ ิยาศพั ทท ่ีเปนวาจกน้ี ใชเฉพาะนปุงสกลิงคป ฐมาวภิ ัตติ เอก.อยางเดียว. 201
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 202 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) เหตุกัตตุวาจก กิริยาศัพทที่กลาวถึงผูใชใหคนอื่นทำ คือ แสดงวา เปนกิริยาของผูใชนั่นเอง น้ีช่ือวา เหตุกัตตุวาจก อุทาหรณวา สเทวก ตารยนฺโต (ทาน) ยังโลกน้ี กับเทวโลก ใหข า มอย.ู อธิบาย ตารยนโฺ ต ใหข า มอยู เปน กริ ยิ าเหตกุ ตั ตวุ าจก ตรฺ ธาตุ ในความขา ม ณย และ อนตฺ ปจจัย ทฆี ะตน ธาตุ สำเรจ็ รปู เปน ตารยนโฺ ต เปนกิริยาเหตุกตั ตุวาจก เอง [ทาน] ซง่ึ ไดแ ก ตวฺ . ตว ศัพทน ี้ เปน คำแทนชอ่ื ของผูใหญค นหนึ่ง ซึง่ สามารถใหสตั วโลกขา ม (ทางกันดาร) ไปได ทานเรียกชื่อวา เหตุกตั ตา ในกริ ิยา คือ ตารยนฺโต. ปจจัยท่ีเปนเครื่องหมายของวาจกน้ี คือ แผนก กิต ปจจัย และกิตกิจจปจจัย เพราะปจจัยในกิริยากิตกนี้ ไมมีเหตุปจจัยสำหรับทำใหแปลงจากกัตตุวาจก จึงตอง เอาเหตุปจ จยั ในอาขยาตมาใชโ ดยวธิ ขี อยมื เหตุปจจยั นั้น คอื เณ ณย ฌาเป ณาปย ท้ัง ๔ นี้ ตัวใดตัวหน่ึงกอนแลว จึงลงปจจัยในกิริยากิตก ท่ีเปนกิตปจจัยและกิตกิจจ ปจจยั ตวั ใดตัวหน่ึงทีหลงั . อนง่ึ ปจจัยทีเ่ น่อื งดวย ณ ทั้งส้นิ พงึ ลบ ณ เสยี เหลอื ไวแต สระที่ ณ อาศัยและพยัญชนะตัวอ่ืนไวแลวพฤทธ์ิตามท่ีกลาวในอาขยาต. อุทาหรณ เชน กาเรนโฺ ต ยงั ชน ใหทำอยู กรฺ ธาตุ ในความทำ ลง เณ ปจจยั ลบ ณ เสยี ทีฆะตัว ธาตุ แลวลง อนตฺ ปจ จยั ทหี ลงั การยนฺโต การาเปนโฺ ต และ การาปยนฺโต ก็เชน กนั นี้สำหรับ อนฺต ปจจัยในจำพวกกิตปจจัยท่ีเปนกิตกัจจปจจัยนั้น เหมือนอยาง มาน ปจจัย เชน การยมาโน การาปยมาโน (ยังชนให) ทำอยู เปนตน. นี้เฉพาะที่เปน ปจ จบุ ันกาล. สว นทบ่ี อกอดีตกาลน้ัน เชน ตฺวา ปจ จยั ไดใ นอทุ าหรณวา รชฺช กาเรตฺวา ยงั ชนใหทำราชสมบัติแลว สพฺพกิจฺจ นิฏาเปตฺวา ยังกิจทุกอยาง ใหสำเร็จแลว รุกฺขมูล โสธาเปตฺวา ยังชนใหชำระซึ่งภายใตไมแลว. สุฌฺ ธาตุ ในความหมดจด แปลง ฌ เปน ธ แลว พฤทธิ์ อุ เปน โอ ดว ยอำนาจ ณ ปจจัย เปน ตน. สวน ต ปจจัยที่ เปนเหตกุ ัตตวุ าจกนั้น ดไู มปรากฏ. ธาตุสำหรบั วาจกน้ี ใชไ ดท ้ังทีเ่ ปน สกมั มธาตุ และ อกมั มธาตุ. 202
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 203 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เหตกุ ัมมวาจก กิริยาศัพทท่ีกลาวถึงส่ิงที่ถูกเขาใชใหทำ คือ แสดงวา เปนกิริยาของสิ่งนั้น ช่ือวา เหตุกัมมวาจก เชน สามิเกน สูเทน โอทโน ปาจาปยมาโน แปลวา ขาวสุก อันนาย ยัง (ใช) พอ ครวั ใหห ุงอย.ู อธิบาย โอทโน ขาวสุก เปนกรรม คือสิ่งที่ถูกเขา (คือนาย) ใชใหพอครัวหุง ใน กิริยาศัพท คือ ปาจาปย มาโน. ปาจาปย มาโน เปน ปจฺธาตุ ในความหงุ มาน ปจจัย เปน เหตุกมั มวาจก บอกปจ จบุ นั กาลเปนตน . สำหรับปจจัยทบ่ี อกวาจกนี้ ใชได ๒ จำพวก คือ กจิ จปจจยั และกิตกิจจปจ จัย. กิจจปจจัยนั้น ไดแก อนยี , ตพพฺ , กติ กจิ จปจ จัยน้นั ไดแ ก มาน และ ต ปจจยั เทา น้นั . วาจกนีก้ ต็ อ งอาศัยเหตุปจ จัยเหมอื นกนั บางทีกม็ ีทง้ั ย ปจจัย และ อิ อาคมดว ย. อนีย ปจจยั น้ี เชน สามิเกน กมฺมกเรน กิจจฺ การาปนยี กิจ อันนาย พึงยัง (ใช) กรรมกร ใหทำ. กรฺ ธาต.ุ ในความทำลง ณาเป ปจ จัย เปน การาเป แลว ลง อนยี ปจ จยั . สว น เอ ที่ ป อาศัยนน้ั ถูกลบทงิ้ เพราะให อ อาศัย แมอ ทุ าหรณอ ยา งอืน่ เชน อาจริเยน สิสฺเสน กิจฺจวตฺต สิกฺขาปนีย แปลวา กิจวัตร อันอาจารย พึงยังศิษย ใหสำเหนียก สิกฺขาปนีย สิกฺขฺ ธาตุ ในความศึกษา ลง ณาเป แลว ลง อนีย ปจจัย ทหี ลงั เหมือนกัน. ตพฺพ ปจ จัยน้นั เชน อุทาหรณว า อย ภกิ ฺขุ ปาจติ ตฺ ิเยน กาเรตพโฺ พ แปลวา ภิกษุนี้ (อันพระวินัยธร) พึงยังสงฆ ใหทำปรับ ดวยอาบัติปาจิตตีย เปนตน. นี้ยืม เณ ปจจัยมาลงไวกอน อนีย และ ตพฺพ ปจจัย ๒ นี้ไมตองลง ย ปจจัยและ อิ อาคมหลังธาตแุ ละปจจัย เพราะบอกลกั ษณะวา เปน กมั มวาจก ชดั อยูแ ลว . สว นกติ กจิ จปจ จยั คอื มาน และ ต นนั้ ถา ลงในกมั มวาจกและ เหตกุ มั มวาจก ตอ ง ลง ย ปจ จัย และ อิ อาคมดว ย เชน สามิเกน สูเทน โอทโน ปาจาปยมาโน. ขา วสกุ อันนาย ยัง (ใช) พอ ครัว ใหหงุ อย.ู ปาจาปย มาโน นย้ี มื ฌาเป และ ย ปจจยั อิ อาคม ดวย. ต ปจจัยนนั้ เชน อทุ าหรณว า อย ถโู ป ปติฏ าปโต แปลวา พระสถปู น้ี อันเจา ใหต ั้งไวเฉพาะแลว . ปติฏ าปโต ปฏิ บทหนา เอาเปน ปติ. า ธาตุ ในความตง้ั ยืม ณาเป มาลงไวกอนแลวจึงลง ต ปจจัย อิ อาคม เปนเหตุกัมมวาจก. สวนธาตุที่จะ 203
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 204 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ประกอบในวาจกน้ี ไดท้ังสกัมมธาตุ และอกัมมธาตุ สกัมมธาตุ เชน กาเรตพฺโพ อกมั มธาตุ เชน ปตฏิ าปโต. ปจจัย ในกิริยากิตกน้ี ทานจัดปจจัยไว ๓ หมวด เพื่อใหรูจักกำหนดวาจกทั้ง ๕ นนั้ ไดส ะดวก คอื ปจจยั ที่จะลงในกตั ตวุ าจกและเหตกุ ตั ตุวาจกไวพวกหนง่ึ เรียกวา กิตปจ จยั . ปจจัยท่ีเปนไดเฉพาะกัมมวาจก ภาววาจก และเหตุกัมมวาจกได พวกหนึ่ง เรยี กวา กจิ จปจจยั ปจจัยที่เปนไดท้ัง ๕ วาจก ไวพวกหน่ึง เรียกวา กิตกิจจปจจัย (เหมือน ในนามกิตก). การจัดปจจัยนี้ ตองอาศัยหลักที่จะประกอบใหเหมาะแกความประสงคของ ธาตุท่ีจะเปนไปได หาไดจัดตามความพอใจไม คือธาตุตัวใดสมควรจะเปนวาจกใด และควรลงปจจัยตัวไหนจึงจะเหมาะแกภาษานิยมแลว จึงลงปจจัยตัวน้ัน เมื่อลงแลว ตองหมายความอยางน้ัน จึงจะถูกความประสงค ฉะนั้น ทานจึงจัดปจจัยไวเปน ๓ หมวด ในหมวดหนึ่งๆ ก็มีจำนวนต้ังแต ๒ ตัวข้ึนไป เพ่ือใหเลือกใชใหเหมาะให ถกู น้นั เอง คอื :- ๑. กิตปจ จัย มี ๓ ตวั อนฺต, ตวนฺต,ุ ตาวี. ๒. กิจจปจ จัย มี ๒ ตัว คือ อนยี , ตพพฺ . ๓. กิตกจิ จปจจยั มี ๕ ตัว คอื มาน, ต, ตูน, ตฺวา, ตฺวาน. ปจจัยเหลา นี้ บอกกาลไดตา ง ๆ กัน ดังนี้ คือ :- อนตฺ , มาน. ๒ นี้ บอกปจ จบุ ันกาล แปลวา อยู, เมอื่ . อนยี , ตพฺพ. ๒ น้ี บอกความจำเปน แปลวา ควร, พึง. ตวนตฺ ,ุ ตาว,ี ต, ตูน, ตฺวา, ตวฺ าน. ๖ น้ี บอกอดีตกาลแปลวา แลว, ครนั้ ...แลว. 204
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 205 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò วิธีลงปจ จยั กติ ปจจยั กิตปจจัย คือ อนฺต ตวนฺตุ ตาวี ๓ นี้ เปนไดท้ังกัตตุวาจกและเหตุกัตตุวาจก เมอ่ื จะลงในธาตตุ วั ใด ตอ งนกึ ถงึ หมวดธาตใุ นอาขยาตเสียกอนวา ควรจะจดั เขา ในธาตุ หมวดใด มีปจจัยอะไรบางสำหรับประกอบในท่ีนั้น เพราะในกิริยากิตกนั้น โดยมาก ตองอาศยั ปจ จยั ในอาขยาตมาลงกอน แลว จงึ ลงปจ จยั ในกิตกท ีหลัง. อนฺต ปจจัย กโรนฺโต ทำอยู กรฺ ธาตุ ในความทำ ลง โอ ปจจัยในอาขยาตมาแลว จึงลง อนฺต ปจ จัย แจก ตามแบบ อ การนั ต ปงุ . ปฐมาวิภัตติ เอา อ กบั สิ เปน โอ สำเรจ็ รูป เปน กโรนโฺ ต. สณุ นโฺ ต. ฟง อยู สุ ธาตุ ในความฟง ณา ปจจยั ธาตตุ ัวเดียวคงปจ จัยไว แลว ลง อนฺต ปจจัย. กเถนฺโต กลาวอยู. กถฺ ธาตุ ในความกลาว เอ ปจจัย แลวลง อนฺต ปจจยั . นีเ้ ปน กตั ตวุ าจก. สวนทเี่ ปน เหตกุ ตั ตุวาจก นัน้ ตองอาศยั เหตุปจ จยั ท้ัง ๔ ตัวคือ เณ ณย ฌาเป ฌาปย ตัวใดตัวหนึ่งมาลงไวกอน แลวจึงลง อนฺต ปจจัยทีหลัง เชน สาเวนฺโต ใหฟงอยู สุ ธาตุ เณ ปจจัยพฤทธิ์ อุ เปน โอ เอา โอ เปน อว แลวทีฆะตนธาตุ ดว ยอำนาจปจจยั เน่อื งดวย ณ ลบ ณ เสยี เหลอื สระ เอ นำสระ เอ เขา กบั สาว เปน สาเว แลว ลง อนฺต ปจจยั จงึ เปน สาเวนฺต แจกตามแบบ อ การนั ต ใน ปงุ . ปฐมาวภิ ัตติ เอา อ กบั สิ เปน โอ สำเร็จรปู เปน สาเวนฺโต. กาเรนโฺ ต ยังบุคคลใหท ำอยู เณ ปจจัย การยนฺโต ยังบุคคลใหทำอยู ณย ปจจยั การาเปนโฺ ต ยังบคุ คลใหท ำอยู ณาเป ปจ จยั มาเรนฺโต มารยนฺโต มาราเปนฺโต มาราปยนฺโต แปลวา ใหตายอยู เมื่อให ตาย อยา งเดียวกันกับอธิบายขา งตน. 205
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 206 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò อนฺต ปจจัยน้ี เปนได ๓ ลิงค ถาเปน ปุง. เปนรูป อนฺโต เชน กโรนฺโต, มาเรนโฺ ต แจกตามแบบ ปุริส ศัพท และ ภวนตฺ ศัพท ก็ได. ถา เปน อติ . เปล่ียนเปน อนตฺ ี เชน กโรนตฺ ,ี สาเวนตฺ ,ี มาเรนตฺ ี แจกตามแบบ อี การนั ตใ น อติ . (นาร)ี . ถา เปน นปงุ . เปน รปู อนตฺ เชน กโรนตฺ , นสสฺ นตฺ , มารยนตฺ เปน ตน แจกตามแบบ อ การันต ใน นปงุ . (กลุ ). เฉพาะทีเ่ ปนปุงลิงคจะนำไปแจกตามแบบ ภวนฺต ศัพทก ็ได ตวนฺตุ ปจจยั สตุ วา ฟง แลว สุ ธาตุ ในความฟง ลง ตวนฺตุ ปจ จัย เปน สุตวนฺตุ ศพั ทท ีม่ ี นฺตุ เปนท่ีสดุ แจกตามแบบ ภควนตฺ ุ นาม (๖๔). ภุตฺตวา กนิ แลว ภชุ ฺ ธาตุ ในความกนิ ตวนตฺ ุ ปจ จัย เอาทส่ี ดุ ธาตเุ ปน ตฺ เปน ภุตตฺ วนฺตุ แจกตามแบบนาม สำเรจ็ รปู เปน ภุตฺตวา. วุสิตวา อยูแลว วสฺ ธาตุ ในความอยู เอา ว เปน วุ แลวลง อิ อาคม ตวนตฺ ุ ปจ จัย เปน วสุ ติ วนฺตุ แจกตามนน้ั จงึ เปน วสุ ติ วา. สวนท่ีเปน เหตุกัตตุวาจก ก็ตองอาศัยเหตุปจจัยในอาขยาตมาประกอบไวกอน แลวจึงลงปจจัยทีหลัง เหมือนท่ีกลาวมาแลว เชน สาเวตวา ใหฟงแลว โภชยิตวา ใหกินแลว วาสาเปตวา ใหอยูแลว การปยิตวา ใหทำแลว เปนตน. เฉพาะ ณฺย ณาปย ตองลง อิ อาคมดวย. ศัพทที่ลง ตวนฺตุ ปจจัยนี้ เปนไดท้ัง ๓ ลิงค ถาเปน ปุง. แจกตามแบบ ภควนฺตุ ถาเปน อิต. เปนรูป สุตวตี, ภุตฺตวตี, วุสิตวตี เปนตน แจกตามแบบ (นารี) นาม. ถาเปน นปงุ . แจกตามแบบ กลุ . อนึ่ง ตวนฺตุ ปจจยั มี คติ เหมอื นกบั ต ปจจัย คือ ถาศัพทใดเปนธาตุตัวเดยี ว ไมตองทำพิธีอะไร เอา ตวนฺตุ ไปตอขางหลังทีเดียว เชน สุตวา ฟงแลว วิชิตวา ชำนะแลว หุตวา มีแลว-เปนแลว . ถาเปน ธาตุ ๒ ตัว แปลงทส่ี ดุ ธาตุได เชน ธาตมุ ี จ, ช, และ ป เปน ทีส่ ดุ แปลง ท่ีสุดธาตุ เปน ตฺ เชน :- สติ ฺตวา รดแลว สจิ ฺ ธาตุ ในความรด. ภุตตฺ วา กินแลว ภุชฺ ธาตุ ในความกนิ . เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 206
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 207 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò คตุ ฺตวา คมุ ครองแลว คุปฺ ธาตุ ในความคมุ ครอง. ตตตฺ วา รอนแลว ตปฺ ธาตุ ในความรอ น. ถา หากไมแ ปลงทส่ี ดุ ธาตุ ตอ งลง อิ อาคม เชน ภุ ชฺ ติ วา, จชติ วา เปน ตน . ตาวี ปจ จยั ตาวี ปจจัยน้ี ก็มี คติ เหมือน ตวนฺตุ ปจจัย ถาหากศัพทท่ีจะลงเปนธาตุ ตวั เดยี ว ไมตองทำพิธอี ะไร เอาปจ จัยนไี้ ปตอเขา ขางหลงั ทีเดียว เชน สตุ าวี ฟงแลว สุ ธาตุในความฟง ตาวี ปจจัย. หตุ าวี เปน - มีแลว หุ ธาตุ ในความมี - เปน ตาวี ปจจยั . ถาศพั ทท ่มี ีธาตุ ๒ ตัว มอี ำนาจแปลงท่สี ุดธาตุเปน ต ได ท่วี า นี้หมายความวา ธาตุท่ีมี จ, ช, ป, เปน ทีส่ ดุ . แต ตาวี ปจ จัย ตองคงไวอยางเดิม. เชน ภตุ ตฺ าวี กนิ แลว ภุชฺ. ธาตุ ในความกิน ตาวี ปจจัย แปลงท่ีสุดธาตุเปน ตฺ. คุตฺตาวี คุมครองแลว คุปฺ ธาตุ ในความคมุ ครอง ตาวี ปจ จยั แปลงที่สดุ ธาตเุ ปน ตฺ เหมือนกัน. อนึ่ง เน่ืองแตปจจัยนี้เปนไดท้ัง กัตตุวาจก และ เหตุกัตตุวาจกเหมือนกัน ถา หากจะใหเ ปน เหตกุ ัตตุวาจก ตอ งอาศัยเหตปุ จ จัยทั้ง ๔ ตัวมาประกอบดวย เชน :- ภุชฺ ธาตุ เณ ปจจัย เปน โภเชตาวี ภชุ ฺ ธาตุ ณย ปจ จัย เปน โภชยติ าวี ภุชฺ ธาตุ ณาเป ปจ จยั เปน โภชาเปตาวี ภุชฺ ธาตุ ณาปย ปจ จยั เปน โภชนาปยติ าวี ณฺย และ ณาปย ๒ นี้ตองลง อิ อาคมดวย. ตาวี ปจจัยน้ี เปนได ๓ ลิงค อิตถีลงิ ค ลง อินี ปจ จัย. นปุง. แปลงเปน อ.ิ มีตัวอยางดงั น:้ี - ปงุ . อิต. นปุง. สุตาวี สุตาวนิ ี สุตาวิ ฟงแลว สุ ธาตุ ภุตฺตาวี ภตุ ฺตาวินี ภุตตฺ าวิ กนิ แลว ภชุ ฺ ธาตุ วสุ ิตาวี วุสติ าวนี ี วสุ ติ าวิ อยูแลว วสฺ ธาตุ แปลง ว เปน วุ. ตวนฺ ตุ ตาวี ปจจยั น้ี ถา อยหู นากริ ิยาอาขยาต โดยมากพงึ เหน็ วาเปน เหมอื นบท วเิ สสนะ ในประโยคนน้ั ๆ. เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 207
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 208 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) กจิ จปจจัย ในหมวดน้ีมีปจจัย ๒ ตัว คือ อนีย, ตพฺพ. เปนได ๓ วาจกคือ กัมมวาจก ภาววาจก และ เหตุกัมมวาจก ที่เปนภาววาจก แจกไดเฉพาะ เอกวจนะ ป. วิภัตติ นปงุ . อยา งเดยี ว. อนยี ปจจยั ศัพทท่ีลงในปจจัยน้ี ไมตองมีพิธีพิเศษอะไรนัก เปนแตเพียงนำไปตอขาง หลงั ธาตเุ ทาน้นั และสังเกตเห็นไดง าย เพราะมีรูป อนยี ติดอยทู า ยศัพทเสมอไป. แม ในวาจกทั้ง ๓ ก็มีรปู อยา งเดียวกัน. เชน กรณยี วจนีย โภชนีย ขาทนยี เปนตน. กรณยี อนั เขาพึงทำ กรฺ ธาตุ ความทำ ลง อนีย ปจจัยคงธาตุไว แปลง น ปจจยั เปน ณ. แจกตามแบบ อ การนั ต นปงุ . นาม วจนยี อนั เขาพงึ กลา ว วจฺ ธาตุ ในความกลา ว นำ อนยี ปจ จยั ไปตอ ขา งหลงั สำเร็จรปู เปนเชน กนั . โภชนยี อันเขาพึงกนิ ภุชฺ ธาตุ ในความกิน แปลง อุ เปน โอ นำ อนีย ปจ จัย ไปตอ ขา งหลงั โดยวิธเี ดยี วกัน. ขาทนีย อนั เขาพงึ เค้ยี ว-ควรเคีย้ ว อนีย ปจ จัยเหมอื นกัน. สวนที่เปน เหตุกัมมวาจก นั้น ตองนำ เหตุปจจัยมาประกอบดวย แตเหตุ ปจ จยั มกั ใชแ ต ณาเป โดยมาก เชน การาปนยี อนั เขา พงึ ใหท ำ วาทาปนยี อันเขา พึงใหก ลา ว โภชาปนยี อันเขาพึงใหกนิ วนฺทาปนยี อันเขา พงึ ใหไหว เปน ตน . ศพั ทท สี่ ำเรจ็ จากปจจัยนี้ นำไปแจกไดใ นลงิ คทั้ง ๓ คือ :- ปงุ . อิต. นปงุ . กรณีโย กรณยี า กรณีย อันเขา ควร-พึงทำ การาปนีโย การาปนยี า การาปนยี อนั เขา ควร-พึงใหท ำ ขาทนโี ย ขาทนียา ขาทนีย อันเขา ควร-พึงเคย้ี วกนิ วนฺทนีโย วนทฺ นยี า วนฺทนยี อนั เขา ควร-พงึ ไหว ดงั นีเ้ ปนตน. 208
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 209 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò ศัพทที่ลงปจจัยน้ี บางคราวทานใชเปนนามกิตกก็มี เชน อุ. วา ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน ปริวิสิ [ เขา ] เลี้ยงแลว ดวยของควรเค้ียว ดว ยของควรบริโภค อันประณตี ดงั นี.้ ตพพฺ ปจจัย ปจจัยน้ี เปนปจจัยเน่ืองดวย ต มีอำนาจแปลงธาตุไดหลายอยางเชนกับ ต ปจ จยั คอื มอี ำนาจลบทส่ี ดุ ธาตไุ ดอ ยา งหนงึ่ .ไมล บ แตล ง อิ อาคมไดอ ยา งหนง่ึ . แปลง ท่สี ุดธาตกุ ับปจจยั ตามฐานะท่ีควรอยางหน่ึง. คงธาตไุ วตามเดมิ อยางหนึ่ง. ๑. มีอำนาจลบที่สดุ ธาตนุ ้นั ถาธาตมุ ี ๒ ตัว ลบทีส่ ุดธาตุได เชน กตตฺ พฺพ วตฺตพฺพ ปตตฺ พฺพ เปน ตน . กตฺตพฺพ เปน กรฺ ธาตุในความทำ ลบท่ีสุดธาตุ ซอน ตฺ บางทีลบท่ีสุดธาตุ แลวทฆี ะ อ เปน อา เชน กาตพฺพ. วตฺตพพฺ เปน วทฺ ธาตุ ในความกลาว ลบทส่ี ุดธาตุ ซอน ต. ปตฺตพพฺ เปน ปทฺ ธาตุ ในความถึง ลบที่สดุ ธาตุซอน ต. ๒. ไมล บทสี่ ดุ ธาตุ แตต อ งลง อิ อาคม นนั้ คอื ถา ธาตมุ ี ๒ ตวั เมอื่ ไมล บ ท่ีสุดธาตุ ตองลง อิ อาคม เชน เวทิตฺพฺพ, ภาสิตพฺพ, คมิตพฺพ, จชิตพฺพ, วสิตพฺพ เปนตน . เวทิตพฺพ เปน วทิ ฺ ธาตุ ในความรู แปลง อิ เปน เอ. เมอื่ ไมล บท่สี ุดธาตุ ตอง ลง อิ อาคม. ภาสิตพฺพ เปน ภาสฺ ธาตุ ในความกลา ว ลง อิ อาคมเหมอื นกัน. คมติ พฺพํ เปน คมฺ ธาตุ ในความไป-ถึง. จชิตพฺพ จชฺ ธาตุ ในความสละ ลง อิ อาคมหลังธาตุ เหมือนกนั ๓. แปลงทสี่ ดุ ธาตนุ น้ั เชน คนตฺ พพฺ , ทฏ พพฺ . ตฏุ พพฺ . ลทธฺ พพฺ เปน ตน . คนตฺ พพฺ เปน คมฺ ธาตุ แปลงที่สุดธาตุเปน น. ทฏ พพฺ เปน ทิสฺ ธาตุ ใน ความเห็น ลบ อิ เสีย แปลงท่ีสุดธาตุกับ ต แหง ตพฺพ เปน ฏ จึงเปน ทฏพฺพ. ตุฏพฺพ อันเขาพึงยินดี เปน ตุสฺ ธาตุ ในความยินดี มีวิธีเหมือนกัน. ลทฺธพฺพ เปน ลภฺ ธาตุ ในความได. ธาตมุ ี ภฺ เปน ท่ีสุด แปลงทส่ี ุดธาตุกบั ต แหง ตพพฺ ปจจัย เปน ทธฺ สำเรจ็ รูปเปน ลทธฺ พพฺ . ๔. คงธาตุไวตามเดิมนั้น ขอนี้มักปรากฏเฉพาะธาตุตัวเดียวที่มี อา เปน ที่สุดโดยมาก เชน าตพฺพ, ทาตพพฺ , าตพฺพ, ปาตพฺพ เปนตน . 209
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 210 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) าตพพฺ อนั เขา พึงรู เปน า ธาตุ ในความรู. ทาตพฺพ อันเขา พงึ ให ทา ธาตุ ในความให. าตพพฺ อันเขา พงึ ตง้ั ไว า ธาตุ ในความตง้ั . ถา หากธาตุตัวเดียวมี สระ อี มักวิการเปน เอ เชน เนตพฺพ วตั ถุ อนั เขา พึงนำไป นี ธาตุ ในความนำไป แปลง อี เปน เอ. สวนที่เปน เหตุกัมมวาจก นั้น พึงนำ เหตุปจจัย มาประกอบไวดวย เชน กาเรตพฺพ, ปาจาเปตพฺพ เปนตน. ตพฺพ ปจจัย จะเปน กัมมวาจก เหตุกัมมวาจก และ ภาววาจก กเ็ ปน รปู อยางเดียวกันกบั ตวั ประธานใน ๓ ลิงค แตทีเ่ ปนภาววาจกนัน้ ตอ งเปนเฉพาะ ป. วภิ ัตติ เอก. ใน นปุ. เทานนั้ . กิตกิจจปจ จัย กิตกิจจปจจยั หมวดน้ี เปน ไดท ้งั ๕ วาจก ดังทไ่ี ดอ ธิบายมาแลวขางตน เมือ่ ตอ งการใหเ ปน วาจกใด ตอ งนำเอาปจ จยั ทป่ี ระจำของวาจกนน้ั มาประกอบใหถ กู ลกั ษณะ ก็ เปนอันใชไ ด. มาน ปจจยั มาน ปจจัยนี้ มีคติเหมือน อนฺต ปจจัย ถาหากไมมี ย ปจจัยซึ่งเปนเคร่ือง หมายกัมมวาจกแลว พึงเขาใจวา เปน กัตตวุ าจก. ถา มี ย ปจ จยั หรือมี ย ปจจัยและ อิ อาคมแลว ซ่ึงลงในสกมั มธาตุ พึงเขา ใจวา เปนกมั มวาจก 210
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 211 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ศพั ทท ่ลี ง มาน ปจจยั ดังน้ี กัตตุวาจก กัมมวาจก กุรุมาโน ทำอยู กริ ยิ มาโน อันเขาทำอยู. ภฺุชมาโน กนิ อยู ภุ ชฺ ยิ มาโน อนั เขากินอยู. วทมาโน กลา วอยู วจุ จฺ มาโน อนั เขากลา วอย.ู ธาตุที่จะลง มาน ปจจัยน้ี ตองลงปจจัยประจำหมวดธาตุในอาขยาตตาม ลกั ษณะของวาจกเสยี กอ น ท่ีเปน กัตตุวาจก เชน :- กุรุมาโน ทำอยู กรฺ ธาตุ ในความทำ โอ ปจจัยประจำหมวดธาตุ มีอำนาจ แปลง อ ท่ี ก เปน อุ เปน กุร. นำ โอ ปจ จยั มาตอเขา เปนรปู กโุ ร ลง มาน ปจจัย จงึ แปลง โอ ที่ ร เปน อุ สำเร็จรูปเปน กุรมุ าน แจกตามแบบ อ การนต ป.ุ ป. วิภัตติ จึง เปน กรุ มุ าโน (ทำอยู). ภุ ชฺ มาโน กินอยู ภุชฺ ธาตุ อยใู นหมวด รุธฺ ธาตุ จึงลง อปจจัย ธาตหุ มวดน้ี ตอ งลงนคิ คหติ อาคมตน ธาตุ แลว แปลงนคิ คหติ นน้ั เปน พยญั ชนะทส่ี ดุ วรรค แหง พยญั ชนะ ทีส่ ุดธาตุ เชน ภุชฺ ธาตุน้ี มี ช เปน ที่สุด. พยญั ชนะที่สดุ วรรคของ ช ก็คอื ฉะน้ันจงึ แปลง นิคคหิตเปน ไวห นา พยัญชนะวรรค และใหเปน สะกด จึงเปน ภุชฺ ฺ นำ มาน ปจจัยไปตอเขา ขางหลงั สำเร็จรูปเปน ภุ ชฺ มาโน กนิ อย.ู วทมาโน กลาวอยู ลง อ ปจจัยประจำหมวดธาตุ จึงนำ มาน ปจจัยมาลง ทหี ลัง จึงสำเรจ็ รปู เปน อยางนี.้ กมั มวาจกน้ัน มักลง ย ปจจยั และ อิ อาคม ตามนยั อาขยาตแลวจงึ ลง มาน ปจจัยทหี ลัง อยาง กรยิ มาโน, ภุชฺ ยิ มาโน เปน ตน . ถาแปลง ย ปจจัยกับท่ีสุดธาตุ ไมตองลง อิ อาคม เชน วุจฺจมาโน อันเขากลา วอยู วจฺ ธาตุ ในความกลา ว ลง ย ปจจัย แลวเอา ว เปน วุ แลวแปลงทสี่ ุด ธาตุกับ ปจ จยั เปน จฺจ จงึ ลง มาน ปจจัยสำเรจ็ รูปเปน วุจฺจมาโน. สวนทเี่ ปน ภาววาจก นั้น มวี ธิ เี หมือนกนั กับกัมมวาจกนี้ ตางแตใชธ าตุไมม ี กรรมเทา นน้ั . (ภาววาจกน้ไี มนยิ มใช) ท่ีเปน เหตุกัตตุวาจก ตองอาศัยเหตุปจจัยในอาขยาตท้ัง ๔ ตัวนั้นมาลงไว เปนเคร่ืองหมายดุจกลาวมาแลว แตโดยมากมีแต ณย ณาปย ปจจัยเทาน้ัน เชน เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 211
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 212 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ปาจยมาโน ใหห งุ อย,ู การาปยมาโน ใหท ำอยู, สารยมาโน ใหร ะลกึ อย,ู าปยมาโน ใหต ้งั อยู เปน ตน. ที่เปน เหตุกัมมวาจก ใหลงเหตุปจจัย และ ย ปจจัย อิ อาคม ดวย เชน ปาจาปยมาโน อันเขาใหหุง-ตมอยู, ปติฏาปยมาโน อันเขาใหตั้งอยู, สาริยมาโน อนั เขาใหระลกึ อยู, สาวยิ มาโน อันเขาใหฟ งอยู เปนตน. อนง่ึ ศพั ทท ปี่ ระกอบดว ยปจ จยั น้ี นำไปแจกดว ยวภิ ตั ตทิ ง้ั ๗ ใน ๓ ลงิ คไ ด ท่ี เปน ปุง. เปน มาโน เชน กุรุมาโน ทเ่ี ปนอติ . เปน มานา เชน กรุ มุ านา, ภุ ชฺ มานา เปน ตน ท่เี ปน นปุ. เปน มาน เชน วทมาน, วจุ ฺจมาน เปนตน . ต ปจจยั ต ปจจัยนี้ ตามหลักก็เปนไดท้ัง ๕ วาจก แตจะนำมาแสดงเทาท่ีเห็นวา จำเปนและทีใ่ ชกันโดยมาก เพราะบางวาจก เชน เหตกุ ัตตวุ าจก มกั ไมค อยมีใช. อน่ึง ต ปจจัยนี้ มีนัยวิจิตรหลายอยาง คือ มีอำนาจลบท่ีสุดธาตุบาง แปลง ทสี่ ุดธาตบุ า ง ถามธี าตุตวั เดยี ว ลง อิ อาคม บา ง ถามธี าตุ ๒ ตัว เม่อื ไมลบที่สุดธาตุ ตองลง อิ อาคม บาง แปลงตัวเองเปนพยัญชนะที่สุดวรรค และอยางอื่นตามฐานะที่ ควรบา ง เมอ่ื ลง ต ปจจัยน้แี ลว ใชเปนนามกิตกก็มีบาง ตามนยั ทที่ านแสดงไวในแบบ จะนำมาแสดงไวอยา งละ ๒-๓ ขอ ดงั นี้ :- ลบท่ีสดุ ธาตนุ ั้น เชน ธาตมุ ี มฺ และ นฺ เปนทีส่ ดุ ลบที่สุดธาตุเสีย คโต ไปแลว คมฺ ธาตุ ในความไป ความถงึ รโต ยินดีแลว รมฺ ธาตุ ในความยินดี แปลงทีส่ ุดธาตุนั้น เชน ธาตุมี จ,ฺ ช,ฺ ป,ฺ เปนทีส่ ดุ เอาท่สี ดุ ธาตุเปน ต.ฺ สิตฺโต อันเขารดแลว สิจฺ ธาตุ ในความรด ภุตฺโต อนั เขากนิ แลว ภุช.ฺ ธาตุ ในความกนิ วตุ ตฺ อันเขากลาวแลว วจฺ ธาตุ ในความกลา ว เอา ว เปน วุ คุตฺโต อนั เขาคุมครองแลว คปุ ฺ ธาตุ ในความคมุ ครอง. ธาตุมตี วั เดยี ว ลง อิ อาคม. และธาตมุ ี ๒ ตวั เมอื่ ไมลบ ตอ งลง อิ อาคมนนั้ เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 212
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 213 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò คือ ธาตุมี อา เปนทีส่ ุดก็ด,ี ต เปน กัมมวาจก ก็ดี ลง อิ อาคม. คำวา ต เปน กมั ม วาจก นี้ หมายความวา ลง ต ปจ จัยใหเปน กัมมวาจก ตองลง อิ อาคม ดว ย เชน :- ิโต ยนื แลว า ธาตุ ในความตั้งอย.ู ปโต อนั เขาด่มื แลว ปา ธาตุ ในความดื่ม. อภชิ ฺฌิโต อันเขาเพงจำเพาะแลว อภ+ิ ฌา ธาตุ ในความเพง ที่แปลงตวั เองเปนพยญั ชนะที่สุดของวรรคนน้ั เชน :- ฉนฺโน อนั เขามุงแลว ฉทฺ ธาตุ ในความปด. รุนโฺ น รองไหแ ลว รทุ ฺ ธาตุ ในความรอ งไห. แปลงเปน พยญั ชนะอื่นนน้ั เชน :- ธาตุมี รฺ เปนทส่ี ุด แปลง ต เปน ณฺณ แลว ลบที่สุดธาตุ. ชณิ โฺ ณ แกแ ลว ชริ ฺ ธาตุ ในความครำ่ ครา. ปุณฺโณ เต็มแลว ปูรฺ ธาตุ ในความเตม็ . ธาตุมี สฺ เปนทีส่ ุด แปลง ต เปน ฏ แลว ลบทส่ี ดุ ธาต.ุ ตฏุ โ ยนิ ดีแลว ตสุ ฺ ธาตุ ในความยินด.ี หฏโ รา เรงิ แลว หสฺ ธาตุ ในความรา เริง. ธาตมุ ี ธฺ และ ภฺ เปนท่ีสุด แปลง ต เปน ทธฺ แลวลบทส่ี ุดธาตุ. พทุ ฺโธ อนั เขารแู ลว พธุ ฺ ธาตุ ในความร.ู ลทฺโธ อันเขาไดแลว ลภฺ ธาตุ ในความได. ธาตมุ ี มฺ เปน ทีส่ ดุ แปลง ต เปน นตฺ แลวลบท่ีสดุ ธาตุ ปกฺกนฺโต หลกี ไปแลว ป+กมฺ ธาตุ ในความกาวไป. สนฺโต ระงบั แลว สมฺ ธาตุ ในความสงบระงับ. ธาตุมี หฺ เปน ทีส่ ดุ แปลง ต เปน ฬฺห แลวลบทส่ี ดุ ธาต.ุ รุฬฺโห งอกแลว รุหฺ ธาตุ ในความงอก. วฬุ โฺ ห อนั น้ำพัดไปแลว วหุ ฺ ธาตุ ในความลอย. ใชเปนนามกิตกบางน้ัน เชน พุทฺโธ แปลวา รูแลว พุธฺ ธาตุในความรู ถาใชเปนนามกิตก แปลวา พระพุทธเจา ก็คือ ทานผูรูนั่นเอง. หรือวา คต การเดิน ติ การยนื เปน ตน . ทมี่ กั ปรากฏอยหู ลายแหง กเ็ พราะทา นใชเ ปน นามกติ กน น้ั เอง. เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 213
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 214 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ทเ่ี ปน กัตตวุ าจก นั้น เชน คโต, ปกฺกนฺโต, ปวิฏโ เปน ตน คโต ไปแลว คมฺ ธาตุ ในความไป-ถงึ ต ปจ จัย ลบที่สุดธาตุ ปกฺกนฺโต หลีกไปแลว ป+กมฺ ธาตุ ในความกาวไป. ธาตุมี มฺ เปนที่สุด แปลง ต เปน นฺต. ปวิฏโ เขาไปแลว ป+วิสฺ ธาตุ ในความเขาไป. ธาตุมี สฺ เปนทส่ี ุด แปลง ต เปน ฏ. ทเี่ ปน เหตกุ ตั ตวุ าจก ไมป รากฏวา มที ใ่ี ชเ ลย ทเี่ ปน กมั มวาจกและภาววาจกก็มี รปู เปน อยา งเดยี วกันกับกัตตวุ าจก. จะรูวา เปน วาจกแผนกไหน กต็ องพจิ ารณาถงึ ธาตุ เสยี กอ น คอื ถา เปน กตั ตวุ าจก ใชธ าตไุ ดท ง้ั ๒ คอื สกมั มธาตุ และอกมั มธาต,ุ จำพวก กัมมวาจกใชไดแ ต สกัมมธาตุ. ภาววาจก ใชไดเ ฉพาะแตอ กัมมธาต.ุ ทีเ่ ปน เหตกุ ัมมวาจก นัน้ ตอ งอาศัย เหตุปจจัย และลง อิ อาคม ดวย เชน การาปต, สมุฏาปตา, ตาปาปต เปนตน. การาปต อันเขา (ยังบุคคล) ใหกระทำ แลว กรฺ ธาตุ ลง ณาเป ปจจัย แลวลง ต ปจจยั อิ อาคม, สมฏุ าปตา อนั เขา (ยงั บุคคล) ใหตั้งไวพรอมแลว. ส+อุ+า ธาตุ ในความยืน. ตาปาปต อันเขา (ยงั บคุ คล) ใหเ ผาแลว ตปฺ ธาตุ ในความรอ น. ๒ นี้ก็เชน กัน. ณาเป ปจ จยั ที่ปรากฏอยู นั้น พึงเขาใจวา นำมาแต เหตุปจจัย สวน ย และอิ อาคมไมตองนำมา ตอเม่ือลง ต ปจจยั แลว จึงตองลงอิ อาคมเปนเคร่อื งหมายวาจกนี.้ อนง่ึ ปจจยั นเ้ี ปน อนพยฺ ยกริ ยิ า แจกไดใ นลิงคท ง้ั ๓ ตามการนั ตน้นั ๆ. ตูนาทิ ปจ จยั ตูน ตฺวา ตฺวาน ๓ น้ี เปน ตูนาทิปจ จยั แปลวา ปจจยั ๓ ตวั มี ตูน เปนตน โดยปรกติ บอกอดีตกาล เพราะแปลวา “แลว” แตแปลเปนอยางอ่ืนบางก็มีมาก ใน เมื่ออยใู นประโยคตามลักษณะของสัมพันธ แตใ นทนี่ ี้ใหแปลวา “แลว” ตามหลกั ไปเสียกอ น. ตนู ตฺวา ตฺวาน กาตูน กตฺวา กตฺวาน ทำแลว . คนตฺ นู คนฺตฺวา คนตฺ ฺวาน ไปแลว. หนตฺ นู หนตฺ ฺวา หนฺตฺวาน ฆาแลว . 214
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 215 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ตูน ปจจัยน้ัน มีท่ีใชนอย ไมคอยปรากฏนัก จึงไมอธิบาย.สวน ตฺวา ตฺวาน ๒ ตวั น้ี มีใชดาดดน่ื ในทที่ ั่วไป. วธิ ีลงปจ จยั ๒ ตัวนี้ กค็ ลาย ต ปจจัย คอื ถาธาตุ ๒ ตัว ใหลบที่สุดธาตุแลวนำ ตฺวา ปจจัยไปตอเขาขางหลังใหเปน ตัวสะกดธาตุทีเดียว เชน กตฺวา กตวฺ าน ทำแลว กรฺ ธาตุ ในความทำ. ถาไมลบท่ีสุดธาตุ ใหลง อิ อาคมที่สุดธาตุได เชน กริตฺวา กริตฺวาน ทำแลว กรฺ ธาตุ เหมอื นกนั ถา ไมล บท่สี ุดธาตุ กใ็ หแ ปลงพยญั ชนะทส่ี ดุ ธาตุ เปนพยญั ชนะที่สุดวรรคของ ตฺวา ได เชน ต แหง ตฺวา ปจจัย เปนพยัญชนะวรรค. ที่สุดวรรคของ ต น้ี คือ น เพราะฉะนัน้ จึงแปลงทีส่ ดุ ธาตุเปน นฺ ได เชน คนฺตฺวา, คนตฺ ฺวาน ไปแลว , คนฺตฺวา, คนฺตวาน เปน คมฺ ธาตุ แปลง มฺ เปน นฺ ถาไมแปลงใหลง อิ อาคมท่ีสุดธาตุ เชน คมิตฺวา, คมิตฺวาน เปนตนท่วี ามานเ้ี ปน กัตตวุ าจก สวนท่ีเปน เหตุกัตตุวาจกนั้น ตองมี เหตุปจจัย มาประกอบกับธาตุไวกอน จึงลงปจจัยนท้ี หี ลังดจุ กลาวแลว เชน กรฺ ธาตุ. เหตุปจ จยั เณ ณย ณาเป ณาปย ตวฺ า ปจจัย กาเรตฺวา การยิตวฺ า การาเปตฺวา การาปยติ ฺวา ตวฺ าน ปจจัย กาเรตวฺ า การยติ วฺ าน การาเปตวฺ า การาปยติ ฺวาน. เหตุปจ จัยท่มี ี ย เชน ณย, ฌาปย ตอ งลง อิ อาคม ท่ี ย ดว ยแตจ ะมากหรอื นอ ยนั้นกแ็ ลว แตจ ะสมควร ที่วาน้กี ็เพยี งแตอทุ าหรณ. ตนู าทิ ปจ จัยน้ี ในกัมมวาจก เหตกุ ัมมวาจก และ ภาววาจก ไมม ที ใ่ี ช เพราะ ทา นใช ต ปจจัยแทน. อนึ่ง ถาธาตุมีอุปสัคนำหนา ใหแปลงปจจัยท้ัง ๓ น้ีเปน ย (ขอน้ีทำให ตูน ปจจยั มคี าขึ้น) เชน :- อาทาย ถือเอาแลว อา+ทา ธาตุ ในความถือเอา ปหาย ละแลว ป+หา ธาตุ ในความละ นสิ ฺสาย อาศยั แลว น+ิ สี ธาตุ ในความอาศยั ปฏาย เริม่ ต้งั แลว ป+า ธาตุ ในความตั้งไว อภิ ฺาย รูย่ิงแลว อภิ+า ธาตุ ในความรู โอหาย ละแลว อว+หา ธาตุ ในความละ 215
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 216 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ที่แปลงเปน ย ปรากฏอยูนี้ โดยมากมักมีเฉพาะธาตุตัวเดียวที่มี อา เปน ที่สุด ถาธาตุมีสระอ่ืนเปนท่ีสุด ก็ตองเปนธาตุชนิดที่แปลงใหเปน อา ได เชน นิสฺสาย นิ+สี ธาตุ แปลง อี เปน อา เปนตน ถาธาตุมีอยางอื่นเปนท่ีสุด ก็แปลง ย ปจจัยกับที่สุดธาตุเปนตางๆ ไปถึงมี ย ปรากฏกไ็ มดีนกั ดงั นี้ :- ถามี ม เปน ทสี่ ดุ แปลง ย กับท่ีสดุ ธาตุเปน มฺม อาคมฺม มาแลว อา+คมฺ ธาตุ ในความไป (อา กลบั ความ) นกิ ฺขมมฺ ออกแลว น+ิ ขมฺ ธาตุ ในความออก. ธาตมุ ี ทฺ เปน ท่สี ดุ แปลง ย กับทีส่ ุดธาตเุ ปน ชชฺ อปุ ฺปชฺช เกดิ ข้ึนแลว อุ+ปทฺ ธาตุ ในความเกิด. ปมชชฺ ประมาทแลว ป+มทฺ ธาตุ ในความเมา. ธาตุมี ธฺ และ ภฺ เปนทีส่ ดุ แปลง ย กบั ทส่ี ุดธาตุ เปน ทฺธา พภฺ วทิ ฺธา แทงแลว วธิ ฺ ธาตุ ในความแทง ลทธฺ า ไดแลว ลภฺ ธาตุ ในความได อารพภฺ ปรารภแลว อา-รภฺ ธาตุ ในความเรมิ่ . ธาตุมี หฺ เปน ทีส่ ุด แปลง ย กบั ท่สี ุดธาตุเปน ยหฺ ปคฺคยฺห ประคองแลว ป+คหฺ ธาตุ ในความประคอง สนฺนยหฺ ผูกแลว ส+ นหฺ ธาตุ ในความผูก. อารยุ ฺห ขนึ้ แลว อา+รหุ ฺ ธาตุ ในความขึ้น. แปลง ตฺวา เปน สฺวา และ ตฺวาน เปน สฺวาน ได. เฉพาะ ทิสฺ ธาตุ เปน ทิสฺวา, ทิสฺวาน แปลวา เห็นแลว. แปลง ทิสฺ เปน ปสฺส แลวลง อิ อาคม เปน ปสฺสติ ฺวา บาง. ตูนาทิ ปจจัยท่ีแปลงเปน ย แลว เอา ย กับท่ีสุดธาตุเปนไปไดหลายอยาง แตก เ็ ปน เฉพาะธาตุตัวหนึ่งๆ เทา นัน้ จะนำมาแสดงไวพอเปน อุทาหรณ เชน :- อทุ ทฺ สิ สฺ แสดงแลว อุ+ทิสฺ ธาตุ ในความแสดง แปลง ย กับท่ีสุดธาตุ เปน สสฺ . วิวจิ จฺ สงัดแลว วิ+วิจฺ ธาตุ ในความสงัด. แปลง ย กับที่สุดธาตุ เปน จฺจ. 216
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 217 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò อาหจจฺ เบียดเบียนแลว อา+หนฺ ธาตุ ในความเบียดเบียน แปลง ย กบั ทส่ี ดุ ธาตเุ ปน จจฺ สว น ปฏจิ จฺ อาศยั แลว ปฏ+ิ อิ ธาตุ ในความไป-ถึง แปลง ย กับ ต อาคมเปน จจฺ . อภสิ เมจจฺ บรรลแุ ลว อภ+ิ ส+ อิ ธาตุ ในความไป-ถึง แปลง ย กับ ต อาคมเปน จจฺ . บทสดุ ทา ย ๑. ปจจัยในกิริยากิตก รวมทั้งส้ินมี ๑๐ ตัว อนฺต, ตวนฺตุ, ตาวี, อนีย, ตพฺพ, มาน, ต, ตนู , ตฺวา, ตฺวาน. ๒. ในปจ จัยเหลา น้ี แบง ออกเปน ๒ คอื จำพวกที่แจกตามวิภตั ตทิ งั้ ๗ ใน ลงิ คท้งั ๓ ไมได เรยี กวา อพฺยยกิรยิ า มีอยู ๓ ตัว คือ ตนู ตวฺ า ตวฺ าน, เรียกวา ตนู าทิ ปจจัย. ๓. ที่แจกตามวิภัตติทั้ง ๗ ในลิงคทั้ง ๓ ได เรียกวา อนพฺยยกิริยา อนพยฺ ยกริ ยิ าน้ี ใชไ ด ๒ อยา ง คอื เปน กริ ยิ าหมายพากยไ ด ๑ เปน วเิ สสนะ ๑ มอี ยู ๗ ตัว คือ อนฺต, มาน, ตวนฺต,ุ ตาวี, ต, อนยี , ตพพฺ . ๔. ปจจัยเหลาน้ี ลวนมีธาตุเปนที่ตั้ง อยูติดกับธาตุเสมอไปมีท่ีสังเกตท่ี ทายธาต.ุ ๕. ปจจัยท่ีใชเปนปจจุบันกาล แปลวา “อยู” หรือ “เม่ือ” มี ๒ ตัว คือ อนตฺ ๑ มาน ๑. ๖. อนตฺ ในอติ ถลี งิ ค เปน อนตฺ ี ตวั อยา ง เชน สณุ นตฺ ,ี กโรนตฺ ,ี คจฉฺ นตฺ ี แจกอยาง (นารี). สวน นปุง. เปน อนฺต เชน คจฺฉนฺต, กโรนฺต แจกตามแบบ (กุล) อ การันต. สวน มาน เปน มานา ตัวอยาง เชน ภฺุชมานา, กุรุมานา, คจฉฺ มานา, แจกตามแบบ อา การันต อิต. (กฺ า). ๗. อนพฺยยกิริยา เม่ือประกอบวิภัตติแลว ต้ังแต ทุ. วิภัตติไป ตองเปน วิเสสนะทง้ั นัน้ เวนไวแ ตใ นทางสมั พันธจ ะเรียกชอื่ ตางไปบาง เพราะกริ ิยาหมายพากย ตอ งเปน ป. วิภัตติอยา งเดยี ว. 217
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 218 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ๘. ข้ึนช่ือวาตัวประธานแลว ตองเปน ป. วิภัตติเทานั้น วิภัตติอ่ืน ซง่ึ ไมออกช่อื ในทนี่ ี้ จะเปนตวั ประธานไมได. ๙. ตัวประธานมีรูปอยางไร ตัวกิริยาก็ตองเปนไปตาม ขอนี้เพราะกิริยา กติ กใ ชว ภิ ตั ตนิ ามนัน่ เอง. ๑๐. ปจจัยท่ีเอามาใชเปนอดีตกาล มีอยู ๖ ตัว คือ ตวนฺตุ, ตาวี, ต, ตูน, ตวฺ า, ตฺวาน. แปลวา “แลว.” ๑๑. ตวนตฺ ุ ปุง. แจกอยา ง ภควนฺตุ ศพั ท. ๑๒. ปจจัยที่เอามาใชในความจำเปน แปลวา “พึง-ตอง” หรือ “ควร” มี ๒ ตัว คอื อนยี , ตพฺพ. ๑๓. ในกัตตวุ าจก ใชไดท ง้ั ธาตมุ ีกัมมและธาตุไมม กี มั ม. ๑๔. ธาตุเปนรากเหงาของศัพทท้ังส้ิน มีอยู ๒ จำพวก คืออกัมมธาตุอยาง หนึ่ง สกมั มธาตอุ ยา งหน่งึ แตธ าตุบางอยา งเปน ไดท งั้ สกมั ม. ท้ังอกัมม. ๑๕. ตวั กัมมนน้ั ในพากยท่เี ปน กตั ตวุ าจก ประกอบดวยทุตยิ าวภิ ตั ติ แปลวา “ซ่งึ ” ในพากยท่ีเปนกัมมวาจก ประกอบดวยปฐมาวภิ ตั ิ แปลวา “อนั วา .” ๑๖. กมั มวาจก ใชไดแตธ าตุท่ีมีกัมมอยางเดียว. ๑๗. ตพฺพ ปจจัย มีท่ีใชแต กัมมวาจก และภาววาจก เม่ือใชเปน กัมมวาจก เปนไดท กุ วิภตั ติตามตวั ประธาน สว นท่ใี ชเปน ภาววาจก เฉพาะแต ป. เอก. นปงุ . อยางเดียวเทา นัน้ . ๑๘. ปจจัยที่ใชในภาววาจก โดยมากมีแต ตพฺพ ปจจัย อนีย ปจจัย และ ใชในอกัมมธาตุอยางเดียว สวนปจจัยนอกนั้น แมจะประกอบใหเปนรูปแจกไดตาม วิภตั ติในลงิ คท้ัง ๓ ก็จรงิ แตท านไมน ิยมใช. ๑๙. ธาตุท่ีเรียกหากัมม คือ ทุ. วิภัตติ ในพากยที่เปนกัตตุวาจก,และ ป. วภิ ัตติ ในพากยท ่เี ปน กมั มวาจก เรยี กวา สกัมมธาตุ ธาตุทไี่ มตองเรยี กหากมั มเชน นน้ั เรยี กวา อกัมมธาตุ. ๒๐. กิริยาศัพทที่ประกอบดวย วิภัตติ วจนะ กาล ธาตุ ปจจัย ดังนี้ ชื่อวา วาจก คือ กลาวบทที่ประธานของกิริยาศัพท มี ๕ อยาง คือ กัตตุวาจก. ๑ กมั มวาจก ๑ ภาววาจก ๑ เหตกุ ัตตวุ าจก ๑ เหตกุ มั มวาจก ๑. 218
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 219 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ๒๑. ปจจัยท่ีสำหรับประกอบกิริยาศัพท ซึ่งจำตองจัดเปน ๓ จำพวก ก็เพ่ือ ประกอบกับกิริยาศัพทเปนวาจกน้ัน ๆ ดังนี้ คอื :- ก. กิตปจจัย สำหรบั ประกอบศัพทท่เี ปน กตั ตุวาจกอยา ง ๑. ข. กจิ จปจ จยั สำหรบั ประกอบกบั ศพั ทท เี่ ปน กมั มวาจก ภาววาจก และ เหตุกมั มวาจกอยาง ๑. ค. กิตกิจจปจจัย สำหรับประกอบศพั ทไดท กุ วาจกอยา ง ๑. ๒๒. ในปจจัยเหลานี้ หมวดหนึ่ง ๆ มีต้ังแต ๒ ตัวข้ึนไป เพื่อจะเลือก ประกอบใหเ หมาะแกศัพทนั้นๆ. ๒๓. ปจจยั ที่เปน เครอื่ งหมาย เหตกุ ตั ตวุ าจก และเหตกุ มั มวาจกโดยตรงไมมี ตองอาศัยยืมเหตุปจจัย คือ เณ ณย ณาเป ณาปย ในอาขยาตมาใช แตสวนที่เปน เหตกุ มั มวาจก ตอ งมี ย ปจ จยั อิ อาคม ดวย. ๒๔. มาน ปจจัยในจำพวกกิตกิจจปจจัย เปนไดท้ัง ๕ วาจกนั้นในสวนท่ี เปนกมั มวาจก และ เหตกุ ัมมวาจก ตองมี ย ปจ จยั อิ อาคม ดวย. ๒๕. ต ปจจยั ในเหตกุ ตั ตวุ าจก ไมมที ่ีใช มีใชแ ต เหตุกมั มวาจกเทานั้น เชน ปตฏิ าปโต เปนตน . ๒๖. ขอวา ถามอี ปุ สัค อยหู นา แปลงปจจัยท้งั ๓ คือ ตนู ตวฺ า ตฺวาน ท่เี รียกวา ตนู าทิ ปจ จยั เปน ย เชน อาทาย นิสฺสาย อภิ ฺาย เปนตน แตท ีไ่ มแปลงกม็ ี เชน นกิ ขฺ มติ ฺวา อปุ ปฺ ชฺชิตวฺ า เปน ตน จบกริ ยิ ากิตก 219
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 220 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò แบบประเมนิ ผลตนเองกอนเรียน หนวยท่ี ๗ วัตถปุ ระสงค เพื่อประเมินความรูเดิมของนักเรียนเก่ียวกับเร่ือง “กิริยากิตก คำส่ัง [วิภัตต,ิ กาล,วจนะ,ธาตุ,วาจก,ปจจยั ]” ใหนักเรียนอานคำถาม แลวเขียนวงกลมลอมรอบขอคำตอบ ทถ่ี กู ตอ งทส่ี ุดเพยี งขอเดียว ๑. คำวา “กติ ก” หมายถึงอะไร ? ก. ศัพททป่ี ระกอบปจจยั หมหู นึ่งเพ่ือเปน เครอื่ งหมายของนามศพั ท และกิรยิ าศพั ท ข. ศพั ทท ่ปี ระกอบปจ จัยหมหู น่ึงเพอื่ เปนเครอ่ื งหมายใหทราบวาจก ค. ศพั ททปี่ ระกอบปจ จัยหมูหน่งึ เพอื่ ใชแ ทนศพั ท ง. ศพั ทท ่ีประกอบปจ จัยหมูห นึง่ เพอ่ื ยอศพั ทใหสัน้ ลง ๒. กติ กม กี ี่ประเภท ? ก. ๒ ประเภท ข. ๓ ประเภท ค. ๔ ประเภท ง. ๕ ประเภท ๓. กติ กมีวิเคราะหวา อยา งไร ? ก. กิตปจฺจเยน กรี ยิ เตติ กติ โก ข. กิตปจจฺ เยน กีรตีติ กิตโก ค. กติ ปจจฺ เยน กีรติ เอเตนาติ กิตโก ง. กติ ปจจฺ เยน กรี ติ เอตฺถาติ กติ โก ๔. กาลแหงกริ ยิ ากิตกว าโดยยอ มเี ทาไร ? ก. ๒ ข. ๓ ค. ๔ ง. ๖ ๕. กาลแหง กริ ยิ ากติ กวา โดยพสิ ดารมเี ทา ไร ? ก. ๓ ข. ๔ ค. ๕ ง. ๘ ๖. ในกิริยากติ กแบงวาจกออกเปนเทา ไร ? ก. ๓ ข. ๔ ค. ๕ ง. ๖ เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 220
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 221 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ๗. ปจจัยใดตอ ไปนี้เปน กัตตุวาจกและเหตกุ ตั ตวุ าจก ไดเ ทา นนั้ ? ก. อนยี , ตพฺพ ข. อนฺต, ตวนฺต,ุ ตาวี ค. มาน, ต ง. ตูน, ตฺวา, ตฺวาน ๘. ปจจัยคอื อนฺต, มาน แปลวา อะไร ? ก. แลว ข. ครัน้ แลว ค. เมอื่ ง. พึง ๙. ปจจัยคือ อนยี , ตพพฺ ไมใชเ ปนวาจกใด ? ก. เหตกุ ัมมวาจก ข. กัมมวาจก ค. ภาววาจก ง. กัตตวุ าจก ๑๐. ปจจยั ใดตอไปนใ้ี ชเ ปนกริ ยิ าคุมพากยไ ด ? ก. อนตฺ ตวนตฺ ุ ตาวี ข. ตนู ตวฺ า ตวฺ าน ค. มาน ง. อนยี ตพพฺ ต ๑๑. จงประกอบกิรยิ ากติ กในประโยคตอไปน้ีใหถกู ตองตามหลัก ? “เสฏ คามํ คจฺฉนตฺ .. กมฺมนตฺ ํ อกาสิ ฯ” ก. คจฉฺ นตฺ ํ ข. คจฺฉนฺตี ค. คจฺฉนฺโต ง. คจฉฺ นฺตา ๑๒. กิริยากติ กวา “สาเวนโฺ ต” เปนวาจกอะไร ? ก. กัตตุวาจก ข. กัมมวาจก ค. เหตกุ ตั ตวุ าจก ง. เหตุกมั มวาจก ๑๓. า ธาตุ ประกอบกบั ตวนฺตุ ปจจัย ในปุงลงิ ค ปฐมาวิภตั ติ เอกวจนะไดรูปเปน อะไร ? ก. ชานิตวนตฺ ุ ข. ชานติ วา ค. ชานติ วตี ง. ชานติ วนตฺ ํ ๑๔. ปจ จยั กริ ยิ ากิตกห มวดกิจจปจ จัย มปี จจัยอะไรบาง ? ก. มาน ต ข. อนยี ตพฺพ ค. อนตฺ ตวนตฺ ุ ตาวี ง. ตนู ตฺวา ตวฺ าน ๑๕. ปจ จัยใดตอ ไปนีไ้ มน ยิ มใชเปนภาววาจก ? ก. อนีย ข. ตพฺพ ค. มาน ง. ต เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 221
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 222 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ๑๖. ต ปจ จยั ไมนิยมใชเปนวาจกใด ? ก. กัตตุวาจก ข. กัมมวาจก ค. ภาววาจก ง. เหตกุ ัตตวุ าจก ๑๗. ปจ จัยใดตอ ไปนเ้ี ปน อัพพยศัพท (แจกดวยวภิ ัตตนิ ามไมได) ? ก. อนฺต มาน ข. อนีย ตพพฺ ค. ต ตวนฺตุ ตาวี ง. ตนู ตวฺ า ตฺวาน ๑๘. ตนู ตฺวา ตวฺ าน ปจ จยั ในทเี่ ชนไรนยิ มแปลงเปน ย ? ก. เมือ่ ตอ งการ ข. เมอื่ มอี ปุ สัคนำหนา ค. เมอ่ื มนี บิ าตนำหนา ง. เมื่อใชเ ปนอดีตกาล ๑๙. ตพพฺ ปจจยั ทเ่ี ปน อติ ถีลงิ ค แจกตามแบบอะไร ? ก. อา การันต (กฺ า) ข. อี การนั ต (นารี) ค. อุ การนั ต (รชชฺ )ุ ง. อู การนั ต (วธ)ู ๒๐. ต ปจ จัยทปี่ ระกอบกบั อกมั มธาตุ ใชเ ปนวาจกใดได ? ก. กตั ตุวาจก ข. กมั มวาจก ค. เหตุกตั ตวุ าจก ง. ไดท้งั ๕ วาจก ๒๑. ลภฺ ธาตุ ลง มาน ปจ จัย ทเ่ี ปนกัมมวาจกมีรปู เปนอยา งไร ? ก. ลภมาโน ข. ลพฺภมาโน ค. ลาภาเปมาโน ง. ลาภาปย มาโน ๒๒. ปจ จัยกริ ิยากิตกต ัวใดตอไปนี้ ใชเ ปน นามกิตกไ ด ? ก. อนีย ตพพฺ ข. มาน ต ค. ตนู ตวฺ า ตฺวาน ง. อนีย ต ๒๓. ทิสฺ ธาตุ ลง ต ปจจยั สำเรจ็ รูปเปน อยา งไร ? ก. ทสิ โต ข. ทิตฺโต ค. ทฏิ โ ง. ทโิ ต เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 222
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 223 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò แบบประเมินผลตนเองหลังเรยี น หนว ยที่ ๗ วตั ถุประสงค เพื่อประเมินผลความกาวหนาของนักเรียนเกี่ยวกับเรื่อง “กิริยา คำส่งั กิตก [วิภตั ติ,กาล,วจนะ,ธาต,ุ วาจก,ปจ จัย]” ใหนักเรียนอานคำถาม แลวเขียนวงกลมลอมรอบขอคำตอบ ทถ่ี ูกตอ งที่สุดเพยี งขอ เดียว ๑. คำวา “กิตก” หมายถึงอะไร ? ก. ศัพททีป่ ระกอบปจจัยหมหู นงึ่ เพือ่ ใชแทนศัพท ข. ศพั ทท่ีประกอบปจ จัยหมูหนง่ึ เพอ่ื เปน เครอื่ งหมายใหทราบวาจก ค. ศัพทท ่ีประกอบปจ จัยหมูหนงึ่ เพอื่ ยอ ศัพทใหสัน้ ลง ง. ศัพทท่ีประกอบปจจัยหมูหนึ่งเพ่ือเปนเคร่ืองหมายของนามศัพท และ กริ ิยาศัพท ๒. กิตกมีกี่ประเภท ? ก. ๕ ประเภท ข. ๔ ประเภท ค. ๓ ประเภท ง. ๒ ประเภท ๓. กิตกมวี เิ คราะหว าอยางไร ? ก. กติ ปจฺจเยน กีรตตี ิ กิตโก ข. กติ ปจฺจเยน กรี ติ เอตถฺ าติ กติ โก ค. กติ ปจฺจเยน กรี ติ เอเตนาติ กิตโก ง. กิตปจจฺ เยน กรี ิยเตติ กติ โก ๔. กาลแหง กริ ิยากติ กว า โดยยอ มเี ทา ไร ? ก. ๖ ข. ๔ ค. ๓ ง. ๒ ๕. กาลแหงกริ ิยากติ กว า โดยพิสดารมเี ทา ไร ? ก. ๒ ข. ๓ ค. ๔ ง. ๖ ๖. ในกริ ิยากิตกแบงวาจกออกเปน เทา ไร ? ก. ๓ ข. ๕ ค. ๖ ง. ๗ เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 223
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 224 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๗. ปจจัยใดตอ ไปนีเ้ ปน กัตตวุ าจกและเหตุกัตตวุ าจก ไดเ ทานนั้ ? ก. อนฺต, ตวนตฺ ุ, ตาวี ข. ตนู , ตวฺ า, ตฺวาน ค. อนยี , ตพพฺ ง. มาน, ต ๘. ปจ จัยคือ อนฺต, มาน แปลวา อะไร ? ก. ครนั้ แลว ข. เมอ่ื ค. พึง ง. แลว ๙. ปจจัยคือ อนยี , ตพฺพ ไมใชเ ปนวาจกใด ? ก. กัมมวาจก ข. ภาววาจก ค. เหตกุ ัตตุวาจก ง. เหตกุ ัมมวาจก ๑๐. ปจจยั ใดตอไปนีใ้ ชเปน กิริยาคมุ พากยได ? ก. อนยี ตพพฺ ต ข. ตูน ตฺวา ตฺวาน ค. อนฺต ตวนตฺ ุ ตาวี ง. มาน ๑๑. จงประกอบกิรยิ ากิตกใ นประโยคตอไปนี้ใหถ ูกตองตามหลกั ? “เสฏ คามํ คจฺฉนตฺ .. กมมฺ นตฺ ํ อกาสิ ฯ” ก. คจฉฺ นตฺ า ข. คจฉฺ นตฺ ํ ค. คจฉฺ นฺตี ง. คจฺฉนฺโต ๑๒. กริ ิยากติ กว า “สาเวนโฺ ต” เปน วาจกอะไร ? ก. กตั ตุวาจก ข. เหตกุ ัตตุวาจก ค. กมั มวาจก ง. เหตกุ มั มวาจก ๑๓. า ธาตุ ประกอบกับ ตวนฺตุ ปจจัย ในปุลิงค ปฐมาวิภัตติ เอกวจนะ ไดร ูปเปน อะไร ? ก. ชานิตวา ข. ชานิตวตี ค. ชานิตวนตฺ ํ ง. ชานิตวนตฺ ุ ๑๔. ปจ จยั กริ ยิ ากติ กห มวดกจิ จปจ จยั มีปจจยั อะไรบา ง ? ก. อนีย ตพฺพ ข. มาน ต ค. ตนู ตฺวา ตวฺ าน ง. อนตฺ ตวนฺตุ ตาวี เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 224
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 225 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ๑๕. ปจจยั ใดตอไปนีไ้ มนยิ มใชเ ปนภาววาจก ? ก. ตพฺพ ข. มาน ค. อนีย ง. ต ๑๖. ต ปจ จัย ไมนยิ มใชเปนวาจกใด ? ก. กตั ตุวาจก ข. เหตุกัตตุวาจก ค. กมั มวาจก ง. เหตุกมั มวาจก ๑๗. ปจจยั ใดตอ ไปนี้เปนอพั พยศัพท (แจกดวยวภิ ตั ตินามไมไ ด) ? ก. ต ตวนตฺ ุ ตาวี ข. อนฺต มาน ค. ตูน ตฺวา ตฺวาน ง. อนีย ตพพฺ ๑๘. ตนู ตฺวา ตฺวาน ปจ จัย ในทีเ่ ชน ไรนิยมแปลงเปน ย ? ก. เม่อื มีนิบาตนำหนา ข. เม่อื ใชเ ปน อดตี กาล ค. เมื่อมอี ปุ สัคนำหนา ง. เม่อื ตองการ ๑๙. ตพพฺ ปจจยั ที่เปน อิตถลี ิงค แจกตามแบบอะไร ? ก. อุ การนั ต (รชชฺ )ุ ข. อู การันต (วธ)ู ค. อี การนั ต (นาร)ี ง. อา การนั ต (กฺา) ๒๐. ต ปจจัยท่ปี ระกอบกับอกัมมธาตุ ใชเ ปนวาจกใดได ? ก. เหตกุ ัตตุวาจก ข. กมั มวาจก ค. กัตตุวาจก ง. ท้ัง ๕ วาจก ๒๑. ลภฺ ธาตุ ลง มาน ปจ จยั ทเี่ ปน กัมมวาจกมรี ปู เปน อยา งไร ? ก. ลาภาเปมาโน ข. ลาภาปยมาโน ค. ลพฺภมาโน ง. ลภมาโน ๒๒. ปจ จัยกิรยิ ากิตกตวั ใดตอ ไปนี้ ใชเ ปนนามกิตกได ? ก. มาน ต ข. อนีย ต ค. อนยี ตพฺพ ง. ตูน ตวฺ า ตวฺ าน ๒๓. ทิสฺ ธาตุ ลง ต ปจ จัย สำเรจ็ รปู เปน อยา งไร ? ก. ทฏิ โ ข. ทิโต ค. ทติ โฺ ต ง. ทิสโต เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 225
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 226 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เฉลยแบบประเมินผลตนเอง หนว ยที่ ๗ ขอ กอ นเรยี น หลังเรยี น ๑. ก ง ๒. ก ง ๓. ข ก ๔. ก ง ๕. ข ค ๖. ค ข ๗. ข ก ๘. ค ข ๙. ง ค ๑๐. ง ก ๑๑. ค ง ๑๒. ค ข ๑๓. ข ก ๑๔. ข ก ๑๕. ค ข ๑๖. ง ข ๑๗. ง ค ๑๘. ข ค ๑๙. ก ง ๒๐. ก ค ๒๑. ข ค ๒๒. ง ข ๒๓. ค ก เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 226
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 227 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò แผนการสอนวิชาบาลไี วยากรณ หนว ยที่ ๘ เรื่อง “นามกติ ก รูปและสาธนะ” เวลาทำการสอน ๓ คาบ สาระสำคัญ กิตกท ีใ่ ชเปนนามนามกด็ ี คุณนามกด็ ี เรียกวา นามกิตก สาธนะ คือ ศัพทท ่ที านใหส ำเรจ็ มาแตรูปวเิ คราะห จุดประสงค ๑. เพ่ือใหนกั เรียนรแู ละเขา ใจนามกิตก ๒. เพ่อื ใหน กั เรียนรูแ ละเขา ใจรปู และสาธนะ และนำไปใชไ ดถูกตอ ง เน้อื หา ๑. ความหมาย นามกิตก ๒. ความตา งกันของนามศพั ทกบั นามกติ ก ๓. สาธนะ ๗ คือ กัตตุสาธนะ ๑ กัมมสาธนะ ๑ ภาวสาธนะ ๑ กรณสาธนะ ๑ สมั ปทานสาธนะ ๑ อปาทานสาธนะ ๑ อธกิ รณสาธนะ ๑ ๔. รปู วิเคราะหแหง สาธนะ ๓ คอื กัตตุรปู ๑ กัมมรปู ๑ ภาวรปู ๑ กิจกรรม ๑. ประเมินผลกอนเรยี น ๒. ใหน ักเรียนทอ งนามกติ ก รปู และสาธนะ ๓. ครนู ำเขา สูบ ทเรยี น และอธิบายเนอ้ื หา 227
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 228 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ๔. บัตรคำ ๕. ครูสรุปเนอื้ หาทง้ั หมด ๖. ประเมนิ ผลหลังเรียน ๗. ใบงาน ๘. กิจกรรมเสนอแนะ ครูสอนควรใหนกั เรียน ๑. ทอ งแมแบบได ๒. ใหนักเรียนหัดตั้งวิเคราะหดวยรูปทั้ง ๓ และสาธนะท้ัง ๗ (ส่งั เปนการบา นดว ย) สอ่ื การสอน ๑. ตำราทใี่ ชป ระกอบการเรียน-การสอน ๑.๑ หนังสอื พระไตรปฎ ก ๑.๒ หนังสือพจนานุกรม มคธ-ไทย โดย พันตรี ป. หลงสมบญุ สำนกั เรียนวดั ปากนำ้ ๑.๓ หนงั สือพจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ๑.๔ หนังสือพจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท โดย พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต) ๑.๕ หนงั สอื คมู อื บาลไี วยากรณ นพิ นธ โดย สมเดจ็ พระมหาสมณเจา ฯ ๑.๖ หนงั สอื ปาลิทเทศ ของ สำนักเรยี นวัดปากน้ำ ๑.๗ คมั ภีรอ ภธิ านปั ปทีปกา ๑.๘ หนังสอื พจนานกุ รมธาตุ ภาษาบาลี ๒. อปุ กรณท่ีควรมีประจำหอ งเรยี น ๒.๑ กระดานดำ-แปรงลบกระดาน-ชอลก หรอื กระดานไวทบอรด ๒.๒ เครื่องฉายขา มศรี ษะ (Over-head) ๓. บัตรคำ ๔. ใบงาน 228
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 229 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò วธิ ีวัดผล-ประเมนิ ผล ๑. สอบถามความเขาใจ ๒. สงั เกตพฤตกิ รรมการมีสว นรวมในกิจกรรม ๓. สงั เกตความกา วหนา ดา นพฤตกิ รรมการเรยี นรขู องผูเรียน ๔. ตรวจใบงาน 229
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 230 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) นามกิตก คำวา นามกิตก ในท่ีนี้ ทานหมายถึงกิตกที่ใชเปนนาม และคำวา นาม ก็ หมายเฉพาะถึงศัพทธาตุที่นำมาประกอบปจจัยในกิตกน้ีเม่ือสำเร็จรูปแลวใชได ๒ อยาง คือ ใชเปน นามนาม ๑ คุณนาม ๑ มิไดหมายถึงศัพทท่ีเปนนามนามและ คณุ นามโดยกำเนดิ เชน รกุ ขฺ (ตนไม) จมู (เสนา) ทกขฺ (ขยนั ) นลี (เขยี ว) เปนตน . กิตกที่สำเร็จรูปเปนนามนาม หมายถึง ธาตุคือกิริยาศัพทที่เปนมูลราก ซึ่งนำมาประกอบปจจัยในนามกิตกแลว ใชไดตามลำพังตัวเอง ไมตองหาบทอ่ืนมา เปนประธาน กลาวอยางงายอ่ืน ใชกิริยาเปนนามน่ันเอง เชน กรณ (ความทำ) าน (ความยืน) นสิ ชฺชา (ความนัง่ ) เปน ตน. สวนกิตกที่สำเร็จรูปเปนคุณนาม จะใชตามลำพังตัวเองไมไดอยางเดียวกับ คุณนามโดยกำเนิดเหมือนกัน ตองอาศัยมีตัวนามอ่ืนเปนตัวประธาน เชน การโก (ผูท ำ) ปาปการี (ผทู ำซง่ึ บาปโดยปกต)ิ อนุสาสโก (ผตู ามสอน) เปนตน. ศัพทเหลาน้ี ลวนตองมีนามนามบทอื่นเปนประธานสิ้น เชน ชโน (ชน) ปุคฺคโล (บุคคล) เปนตน จะยกขึน้ แปลลอย ๆ หาไดไม. ในนามกิตกน ี้ทานจดั เปนสาธนะ และสาธนะน้นั ลว นหมายรดู ว ยปจ จยั เพื่อ ใหม เี น้อื ความแปลกกนั ดงั จะไดอธิบายตอ ไป. สาธนะ คำวา สาธนะ นี้ ทานแปลวา “ศัพทท่ีทานใหสำเร็จมาแตรูปวิเคราะห” หมายความวา รปู สำเรจ็ มาจากการต้งั วิเคราะห คำวา วเิ คราะห กห็ มายความวา การ แยกหรอื กระจายศพั ทออกใหเ หน็ สว นตาง ๆ ของศพั ทท ีเ่ ปนสาธนะ เชนศัพทวา คติ (ภูมิเปนที่ไป) ยอมสำเร็จมาจากรูปวิเคราะหวา “คจฺฉนฺติ เอตถฺ า-ต”ิ เพราะฉะนน้ั คติ จงึ เปน ตวั สาธนะ และคจฉฺ นตฺ ิ เอตถฺ า-ติ เปน รปู วเิ คราะห เม่ือจะเรียงใหเต็มท้ังรูปวิเคราะหและสาธนะก็ตองวา คจฺฉนฺติ เอตฺถา-ติ คติ ในรูป วิเคราะหน ัน่ เอง ยอมเปน เครือ่ งสองใหท ราบสาธนะไปในตัว เชน ในทน่ี ้ี คำวา เอตถฺ (ในภูมินั่น) เปนสัตตมีวิภัตติ บงถึงสถานที่ ก็สองใหทราบวารูปท่ีสำเร็จไปจากคำนี้ 230
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 231 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò ตองเปน อธกิ รณสาธนะ เพราะสาธนะน้ี ทานบญั ญตั ใิ หใ ชคำวา “เอตถฺ ” ในเวลาตง้ั รปู วิเคราะห สวนกิริยาที่อยูขางหนาน้ันแสดงถึงรูป ในที่น้ี คจฺฉนฺติ เปนกัตตุวาจก จงึ ตองเปนกตั ตุรูป ฉะนั้น จึงรวมความวา คติ เปน กตั ตุรูป อธกิ รณสาธนะ สาธนะนั้นทา นแบง ไว ๗ อยา ง คอื :- ๑. กตั ตสุ าธนะ ๒. กัมมสาธนะ ๓. ภาวสาธนะ ๔. กรณสาธนะ ๕. สัมปทานสาธนะ ๖. อปาทานสาธนะ ๗. อธิกรณสาธนะ และในสาธนะเหลา น้ี ทา นยงั จดั รปู วเิ คราะหไ วป ระจำอกี ๓ คอื :-กตั ตรุ ปู ๑ กัมมรปู ๑ ภาวรูป ๑. กัตตุสาธนะ สาธนะนี้ เปน ชื่อของผูทำ คือ ผูประกอบกิรยิ าน้ัน ไดแ ก ผใู ดเปน ผูทำ กเ็ ปน ชื่อของผูนั้น กลาวอยางงายก็คือเปนช่ือของคนหรือสัตวเชน อุ. วา กุมฺภกาโร (ผูทำ ซ่งึ หมอ ). ทายโก (ผูใ ห) , โอวาทโก (ผูก ลาวสอน), สาวโก (ผูฟง ), เหลา นเี้ ปน กตั ตุสาธนะ ท้ังน้ัน เพราะลวนเปนช่ือของผูทำ คือ ตองมี ชน หรือ บุคคล เปนตน เปนเจาของ ผทู ำกำกับอยดู ว ย เวลาแปลจะขาดเสียมิได เชน กมุ ภฺ กาโร เวลาแยกตงั้ วเิ คราะหกจ็ ะ ตอ งตัง้ วา กุมฺภ กโรต-ี ติ กุมฺภกาโร แปลวา (โย ชโน ชนใด) ยอ มทำ ซงึ่ หมอ เหตนุ นั้ (โส ชโน ชนนนั้ ) ชอื่ วา กมุ ภฺ กาโร (ผทู ำซง่ึ หมอ ). สำหรับกตั ตุสาธนะเวลาต้งั วเิ คราะห กริ ยิ าจะตองเปนกตั ตวุ าจกเสมอ วิธีแปล กัตตุสาธนะ ทานใหแปลได ๒ นัยคือ “ผู-” ถาลงในอรรถ คือ ตัสสลี ะ แปลวา “ผู. ..โดยปกต”ิ คำวา “ตสั สลี ะ” ในท่นี ้ี หมายความวา สง่ิ ทบี่ คุ คลทำ เปนปกติคือบุคคลทำส่ิงใดเปนปกติ สาธนะนี้กลาวถึงการทำท่ีเปนปกติของบุคคลน้ัน ดวย เชน อุ. วา ธมฺมจารี (ผูประพฤตซิ ึ่งธรรมโดยปกต)ิ เวลาตง้ั วิเคราะหจ ะตองเติม 231
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 232 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) คำวา “สเี ลน” เขา มาดว ยวา ธมฺม จรติ สีเลนา-ติ ธมฺมจารี แปลวา (โย ชโน ชนใด) ยอ มประพฤตซิ ง่ึ ธรรม โดยปกติ เหตนุ น้ั (โส ชโน ชนนนั้ ) ชอ่ื วา ธมมฺ จารี (ผูประพฤติ ซึ่งธรรมโดยปกต)ิ . อีกอยางหนึ่ง ในสาธนะน้ีทานเพ่ิม สมาสรูป ตัสสีลสาธนะ เขามาอีก ที่ เรยี กเชนนั้น กเ็ พราะสาธนะนกี้ ลา วถงึ ความทำเปนปกติของบุคคล เวลาต้ังวิเคราะหมี รูปวิเคราะหคลายสมาส เวลาแปลทานใหแปลวา “ผูมี-” เชน อุ. ธมฺมจารี นั้น ถาต้ังวิเคราะหเปน สมาสรูป ตัสสีลสาธนะ ก็ตองตั้งวา ธมฺม จริตุ สีลมสฺสา-ติ [สีล+อสฺส+อิติ] ธมฺมจารี. การประพฤติ ซึ่งธรรม เปนปกติ ของชนน้ัน เหตุนั้น (ชนน้ัน) ชื่อวา ธมฺมาจารี (ผูมีการประพฤติซึ่งธรรมเปนปกติ) กิริยาในรูปนี้ ตอง ประกอบดวย ตุ ปจจัยเสมอ. กัมมสาธนะ สาธนะน้ี เปนชื่อของสิ่งที่ถูกทำ คือ สิ่งใดถูกเขาทำ ก็เปนชื่อของสิ่งนั้น กลาวอยางงายก็คือเปนช่ือของสิ่งใดส่ิงหน่ึงท่ีมีผูทำข้ึน ในสาธนะน้ีกลาวถึงสิ่งท่ีสำเร็จ ขึน้ โดยอาการ ๒ อยา งคือ ตามธรรมชาตอิ ยา ง ๑ บุคคลทำขึ้นอยาง ๑ ท่ีสำเร็จตามธรรมชาตินั้น คือ มิไดมีใครเปนผูทำขึ้น เชน อุ. วา ปโย (เปนที่รัก) ก็หมายถึงวาใครคนใดคนหน่ึงถูกอีกคนหนึ่งรัก เชน บุตรธิดาถูกมารดา บดิ ารกั หรอื มารดาบิดาถกู บุตรธดิ ารัก ฉะนัน้ บุตรธิดาจึงไดช ่ือวา เปนที่รักของมารดา บิดาหรือมารดาบิดาไดชื่อวาเปนท่ีรักของบุตรธิดา. รโส (วิสัยท่ีเปนที่มายินดี) ก็เชน เดยี วกัน, วสิ ัยในท่นี ห้ี มายถึงอารมณ. คำวา ปโ ย เปน ปย ธาตุ ลง อ ปจ จัย แยกรูป ออกตั้งวเิ คราะหว า (ปต า) ปเยติ ตน-ฺ ติ [ต+อิต]ิ ปโย (ปุตฺโต). (บดิ า) ยอมรกั ซึง่ บตุ ร น้นั เหตุนัน้ (บตุ รนั้น) ชอื่ วา ปโ ย เปน ที่รกั ของ (บดิ า). อีก อ.ุ หน่ึง คือ รโส เปน รสฺ ธาตุ ลง อ ปจจยั ต้งั วิ. วา (ชโน) รสติ ตน-ฺ ติ รโส (วสิ โย). (ชน) ยอมยนิ ดี ซงึ่ วิสัยนั้น เหตนุ ัน้ (วสิ ัยนั้น) ชอื่ วา รโส เปน ทย่ี ินดี (ของ ชน). ทัง้ ๒ อ.ุ น้ี เปน กตั ตุรูป กมั มสาธนะ คือตวั สาธนะเปน กรรม สวนรปู ต้งั วเิ คราะห เปนกตั ตวุ าจก ทา นบัญญตั ิใหแปลวา “เปนท-่ี ” 232
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 233 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò สว นกรรมที่สำเรจ็ ข้ึนโดยถูกบคุ คลทำนั้น เชน อุ. วา กจิ จฺ (กรรมอนั เขาพึง ทำ), ทาน (ส่ิงของอันเขาพงึ ให) , คำวา กจิ ฺจ เปน กรฺ ธาตุ ลง รจิ ฺจ ปจจยั แยกรปู ออก ต้ัง วิ.วา กาตพฺพนฺ-ติ [กาตพฺพ+อิติ] กิจฺจ (ย กมฺม กรรมใด) (เตน อันเขา) พึงทำ เหตนุ ัน้ (ต กมมฺ กรรมนนั้ ) ช่ือวา กิจฺจ (อนั เขาพงึ ทำ). อกี อุ. หนงึ่ วา ทาน เปน ทา ธาตุ ลง ยุ ปจจัย แลว แปลงเปน อน แยกรปู ออกต้ัง วิ. วา ทาตพพฺ น-ฺ ติ ทาน. (ย วตฺถุ สิ่งของใด) (เตน อันเขา) พึงให เหตุน้ัน (ต วตถฺ ุ สง่ิ ของนน้ั ) ชอ่ื วา ทาน (อนั เขาพงึ ให) ทง้ั ๒ อ.ุ นี้ เปน กมั มรปู กมั มสาธนะ ลงรอยกนั คอื รปู วเิ คราะหก เ็ ปน กมั มวาจก และสาธนะกเ็ ปน กมั มสาธนะ ทานบัญญัติให แปลวา “อันเขา-” ภาวสาธนะ สาธนะนี้ กลาวถึงอาการคือความมีความเปนเทานั้น ไมกลาวถึง กัตตา (ผูทำ) หรือ กัมม (ผูถูกทำ) กิริยาอาการเหลาน้ันก็เกิดมาจากความทำของนามนาม น่ันเอง กลาวอยางงาย ก็คือ กลาวถึงเฉพาะกิริยาอาการมีการ ยืน เดิน น่ัง นอน เปน ตน ท่ปี รากฏมาจากนามนาม ไมกลาวผทู ำ หรอื ผถู ูกทำ เชน อุ. วา คมน (ความ ไป), าน (ความยืน), นสิ ชฺชา (ความน่ัง), สยน (ความนอน), คำวา คมน เปน คมฺ ธาตุ ลง ยุ ปจจยั แลวแปลงเปน อน แยกรปู ออกต้ัง ว.ิ วา คจฺฉิยเต-ติ คมน (อนั เขา) ยอ มไป เหตุน้ัน ช่ือวา ความไป. าน เปน า ธาตุ ลง ยุ ปจจัย แลวแปลงเปน อน แยกรูปออกตั้ง วิ. วา ติฏ ยเต-ติ าน, (เตน อนั เขา) ยอมยืน เหตนุ ั้น ชื่อวา ความยืน. นสิ ชชฺ า เปน นิ บทหนา สทิ ฺ ธาตุ ในความจม ลง ณฺย ปจ จยั ลบ ณ แหง ณยฺ เสียแลวแปลงท่ีสุดธาตุคือ ทฺ กับ ย เปน ชฺช เปนรูปอิตถีลิงค แยกรูปออกตั้ง วิ. วา นสิ ีทยเต-ติ นสิ ชชฺ า, (เตน อนั เขา) ยอ มนง่ั เหตุนนั้ ช่ือวา ความนั่ง. สยน เปน สี ธาตุ ลง ยุ ปจจยั แลว แปลง ยุ เปน อน พฤทธิ์ อี ที่ สี เปน เอ แลวเอาเปน อย แยกรูปออกตั้ง ว.ิ วา สยเต-ติ สยน (เตน อนั เขา) ยอ มนอน เหตุนน้ั ชอื่ วา ความนอน. 233
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 234 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) สำหรับรปู วิเคราะหใ นภาวสาธนะนี้ ตง้ั ได ๓ วธิ ี คอื :- ใชป ระกอบเปน กริ ยิ าอาขยาต เปน รูปภาววาจก ๑ ใชป ระกอบเปน นามกิตก เปนรปู ภาวสาธนะ ๑ ใชประกอบเปน กริ ยิ ากติ ก เปน รูปภาววาจก ๑ สำหรับรูปวิเคราะห ท่ีเปนกิริยาอาขยาต พึงดูตัวอยางขางตน สวนรูป วิเคราะหท่ีใชประกอบเปนนามกิตก มักใชคงรูปตามเดิม เชน คมน ต้ัง วิ. วา คมน คมน. ความไป ชือ่ วา คมน (ความไป). าน ตงั้ ว.ิ วา าน าน. ความยนื ช่ือวา าน (ความยืน). นสิ ชฺชา ตั้ง วิ. วา นิสชฺชา นสิ ชชฺ า. ความน่งั ชือ่ วา นสิ ชชฺ า (ความนัง่ ) หรือจะใหประกอบ ยุ ปจจัย ต้ัง วิ. วา นิสีทน นิสชฺชา ดังนี้ก็ได แลวแต จะเหน็ ควร. สยน ตง้ั ว.ิ วา สยน สยน. ความนอน ชื่อวา สยน (ความนอน). รูปวิเคราะหที่ใชเปนกิริยากิตก ก็ใชประกอบปจจัยที่เปนภาววาจก เชน คมน ประกอบ ตพฺพ ต้ัง วิ. วา คนฺตพฺพนฺ-ติ คมน. (เตน อันเขา) พึงไป เหตุน้ัน ชอื่ วา คมน (ความไป). าน ตงั้ ว.ิ วา าตพพฺ น-ฺ ติ าน (เตน อนั เขา) พงึ ยนื เหตนุ นั้ ชอ่ื วา าน (ความยืน). นิสชฺชา ต้ัง วิ. วา นิสีทิตพฺพนฺ-ติ นิสชฺชา (เตน อันเขา) พึงน่ัง เหตุน้ัน ชื่อวา นิสชชฺ า (ความน่ัง). สยน ตงั้ ว.ิ วา สยติ พพฺ น-ฺ ติ สยน (เตน อนั เขา) พงึ นอน เหตนุ น้ั ชอื่ วา สยน (ความนอน). รูปวเิ คราะหที่ใชกริ ยิ ากติ กน้นั มกั ใชประกอบกบั ตพฺพ ปจจัยเปนพ้นื รปู อื่น ไมมีใช. ในสาธนะน้ีรูปและสาธนะลงเปนอันเดียวกัน คือ รูปวิเคราะหกับ สาธนะตางก็เปนภาววาจก ทานบัญญัติใหแปลวา “ความ” ก็ได “การ” ก็ได (เตน อันเขา) ท่ีเติมมาในรูปวิเคราะหที่เปนกิริยาอาขยาตและกิริยากิตกในเวลาแปล นนั้ เพอื่ ใหถ กู ตอ งและครบตามรปู ประโยค เพราะกริ ยิ าภาววาจกจะขาด กตั ตา ท่ีเปน ตติยาวิภัตติ ซึ่งแปลวา “อัน-” หาไดไ ม. 234
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 235 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò กรณสาธานะ สาธนะน้ี หมายถึงส่ิงที่เปนเครื่องมือใหสำเร็จการกระทำของบุคคล ผูทำๆ ดวยส่ิงใด ยกสิ่งน้ันข้ึนกลาว เชน ผูกดวยเชือก ประหารดวยดาบ หรือไชดวยสวาน เปนตน คำวา เชือก ดาบ และ สวานเปนเคร่ืองมือใหบุคคลทำกิจมีการผูกเปนตน สำเร็จ เพราะเหตนุ ้ัน จึงชอ่ื วากรณะ เพราะเปนเครอ่ื งมอื ยังการทำของบคุ คลใหส ำเรจ็ ดัง อุ.วา พนฺธน (วัตถุเปนเครื่องผูก), ปหรณ (วัตถุเปนเคร่ืองประหาร), วิชฺฌน (วัตถุเปนเครือ่ งไช) เปนตน ลวนเปนกรณสาธนะ. พนธฺ น เปน พนธฺ ธาตุ ลง ยุ ปจ จยั แลว แปลงเปน อน แยกรปู ออกตง้ั ว.ิ วา พนธฺ ติ เตนา-ติ พนธฺ น (ชโน ชน) ยอมผกู ดวยวัตถนุ ั้น เหตนุ ั้น (ต วตถฺ ุ วัตถนุ นั้ ) ชื่อวา พนธฺ น (เปน เครือ่ งผกู แหงชน). ปหรณ เปน ป บทหนา หรฺ ธาตุ ในความนำไป ลง ยุ ปจ จัยแลวแปลงเปน อณ (เพราะเปน ธาตุมี ณ เปน ที่สุด จึงมิไดแปลงเปน อน) แยกรูปออกตงั้ ว.ิ วา ปหรติ เตนา-ติ ปหรณ. (ชโน ชน) ยอมประหาร ดวยวัตถุนั้น เหตุนั้น (ต วตฺถุ วัตถุน้ัน) ชอ่ื วา ปหรณ (เปนเคร่อื งประหารแหงชน). วชิ ฌฺ น เปน วธิ ฺ ธาตุ ในความแทง ลง ยุ ปจจัย แลวแปลงเปน อน แตธ าตุ ตัวนี้ยังลง ย ปจ จยั ในอาขยาตตดิ มาดว ย คือ เมอื่ ลง ย ปจจยั แลวแปลง ย กบั ธฺ ท่สี ดุ ธาตุเปน ชฺฌ แลว ลง ยุ ปจจยั ในนามกติ กซ ำ้ อกี จึงไดร ปู เปน เชนน้ัน แยกรูปออกตง้ั วิ. วา วิชฌฺ ติ เตนา-ติ วิชฌฺ น. (ชโน ชน) ยอ มไช ดว ยวัตถุนน้ั เหตนุ ้นั (ต วตถฺ ุ วตั ถุน้ัน) ช่อื วา วิชฌฺ น (เปนเครอื่ งไชแหงชน). รูปวิเคราะหที่แสดงมาเหลานี้ กิริยาเปนกัตตุวาจก จึงเรียกวา กัตตุรูป กรณสาธนะ เมอื่ สำเร็จเปน สาธนะแลวแปลวา “เปน เครื่อง-” หรอื “เปน เหต-ุ ” แตในสาธนะน้ียังเปนไดอีกรูปหน่ึง คือ กัมมรูป กิริยาตองประกอบใหเปน กัมมวาจก ดงั ตัวอยางตอ ไปนี้ :- พนฺธน ต้ัง พนฺธ ธาตุ แลวลง ย ปจจัย อิ อาคม สำหรับกัมมวาจกใน อาขยาต ต้ัง ว.ิ วา พนฺธยิ ติ เตนา-ติ พนฺธน. (ชโน ชน) (เตน อันเขา) ยอ มผูก ดวย วัตถุนน้ั เหตุนนั้ (ต วตถฺ ุ วตั ถนุ นั้ ) ชอ่ื วา พนฺธน (เปนเครอ่ื งอันเขาผกู ). 235
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 236 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ปหรณ ตงั้ ป บทหนา หรฺ ธาตุ ลงเครอ่ื งปรงุ กมั มวาจก ตงั้ ว.ิ วา ปหรยิ ติ เตนา-ติ ปหรณ. [ชโน ชน] [เตน อันเขา] ยอมประหาร ดวยวัตถุนั้น เหตุน้ัน [ต วตฺถุ วตถนุ ัน้ ] ช่ือวา ปหรณ [เปน เครอ่ื งอนั เขาประหาร]. วิชฺฌน ตงั้ วธิ ฺ ธาตุ ลง ย ปจ จัยในหมวด ทวิ ฺ ธาตุ ไดร ปู เปน วชิ ฌฺ แลวลง เครื่องปรุงกัมมวาจก ตั้ง วิ. วา วิชฺฌิยติ เตนา-ติ วิชฺฌน [ชโน ชน] [เตน อันเขา] ยอมไข ดว ยวัตถนุ ้ัน เหตนุ ั้น [ต วตถฺ ุ วตั ถุนั้น] ช่ือวา วิชฺฌน [เปนเครื่องอนั เขาไช]. รูปวิเคราะหดังที่แสดงมาเหลาน้ี กิริยาเปนกัมมวาจก จึงเรียกวา กัมมรูป กรณสาธนะ เม่ือสำเร็จเปนสาธนะแลว ทานบัญญัติใหแปลวา “เปนเครื่องอันเขา -” หรือ “เปนเหตอุ นั เขา-” พึงสังเกตในสาธนะนี้ จำตองมีคำวา “เตน” ซึ่งเปนตติยาวิภัตติ แปลวา “ดว ย” ตดิ อยูขา งทายของกริ ยิ าเสมอ ท้ังใน กตั ตรุ ปู และกัมมรูป เพอื่ เปน เคร่ืองแสดง รปู ของสาธนะ จะขาดเสียหาไดไ ม. สัมปทานสาธนะ สาธนะนี้กลาวถึงผูรับ ผูรับน้ีจะเปนบุคคล สัตว หรือส่ิงของก็ได คือ ผูทำ หยิบยกส่ิงของใหแกผูใด หรือแกสิ่งใด ก็กลาวถึงผูน้ัน หรือส่ิงน้ัน เชนคำวา ใหท านแกยาจก, ยาจก จัดวา เปน ผูรบั คือ ผทู เ่ี ขาให สาธนะทกี่ ลาวถงึ ผูร ับเชนนี้แหละ เรียกวา สัมปทานสาธนะ เชน อุ. วา สมฺปทาน [วัตถเุ ปนที่มอบให] ศพั ทน มี้ ลู เดิมมา จาก ส+ป บทหนา ทา ธาตุในความให ลง ยุ ปจจัย แลวแปลงเปน อน และแปลง นคิ คหิตที่ ส เปน ม ในท่ีนเี้ ปนชื่อของผรู ับ จึงเปนสมั ปทานสาธนะ สว นรูปอาจเปนได ท้ังกตั ตรุ ปู และ กัมมรปู . กัตตุรูป สัมปทานสาธนะ ต้ัง วิ. วา สมฺปเทติ เอตสฺสา-ติ สมฺปทาน. [ชโน ชน] ยอมมอบให แกวัตถุน่ัน เหตุน้ัน [เอต วตฺถุ วัตถุนั่น] ช่ือวา สมฺปทาน. [เปนทมี่ อบใหแหงชน]. 236
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 237 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ท่ีเปนกัมมรูป สัมปทานสาธนะ แปลกแตเปล่ียนกิริยาเปนกัมมวาจก ตั้ง วิ. วา สมปฺ ทิยเต เอตสสฺ า-ติ สมปฺ ทาน [สกกฺ าโร สกั การะ] [เตน อนั เขา] ยอมมอบให แกว ัตถุน้นั เหตุนนั้ [เอต วตฺถุ วตั ถนุ ่ัน] ชื่อ สมปฺ ทาน [เปน ที่อันเขามอบให] . อุทาหรณเหลานี้สำเร็จรูปเปนนปุงสกลิงค เพราะหมายถึงวัตถุเปนผูรับ มีเจดียเปนตน ถาผูรับเปนปุงลิงค ก็ตองเปล่ียนบทท้ังปวงเปนรูปปุงลิงค เปน สมฺปทาโน เชน ภิกฺขุ (ภิกษุ) หรือ ยาจโก (ยาจก) เปนตน สวนรูปวิเคราะห คงตามรปู เดมิ สาธนะนี้ ถา เปน กตั ตรปู ทา นบญั ญตั ใิ หแ ปลวา “เปน ท-่ี ” ถา เปน กมั มรูป แปลวา “เปน ท่ีอนั เขา-” และพึงสังเกตในสาธนะน้ีจะตองมีสัพพนามคือ “เอตสฺส” ซึ่งมีรูปเปนจตุตถี วภิ ัตติ ที่แปลวา “แก” ตามหลังกริ ิยาในรปู วิเคราะหเสมอไป ซงึ่ จะขาดเสยี มไิ ด. อปาทานสาธนะ สาธนะนี้เปนสาธนะที่กลาวถึงสิ่งที่ปราศจากไป คือ ผูทำปราศจากสิ่งใดไป กลาวถึงสิ่งนั้น เชนคำวา ไปจากบานสูวัด หรือไปจากวัดสูบาน คำวา จากบาน หรือ จากวัด หมายถึงสิ่งท่ีเขาปราศจากไป สาธนะท่ีกลาวถึงส่ิงท่ีเขาปราศไป เชนนแ้ี หละ เรยี กวา อปาทานสาธนะ เชน อ.ุ ในแบบวา ปภสสฺ โร (แดนซา นออกแหง รศั ม)ี หมายถึง กายของเทวดาจำพวกหนึ่ง ซง่ึ มีรศั มซี านออก, ปภโว (แดนเกิดกอ น) หมายถงึ นำ้ ตก ซึง่ เปนตนเดมิ ของแมนำ้ คือ แมน ำ้ ยอ มเกดิ จากน้ำตกนั้น, ภโี ม (แดนกลวั ) หมายถงึ ยักษ ซงึ่ เปนแดนใหเ กดิ ความกลวั ของมนุษยผูเหน็ . ปภสฺสโร มลู เดมิ มาจาก ปภา (รศั มี) บทหนา สรฺ ธาตุในความซา น อ ปจจยั ลบ อา ที่ ปภา เสีย แลว ซอ น สฺ เพราะมี ส อยหู ลัง แยกรูปออกตัง้ ว.ิ วา ปภา สรติ เอตสฺมา-ติ ปภสฺสโร (เทวกาโย) รัศมียอมซานออก จากกายแหงเทวดานั้น เหตุนั้น (เอโส เทวกาโย) กายแหง เทวดานน้ั ) ช่ือ ปภสฺสโร (เปน แดนซานออกแหง รัศมี). ปภโว มูลเดมิ มาจาก ป บทหนา ภู ธาตุ อ ปจ จยั พฤทธิ์ อู ท่ี ภู เปน โอ แลวเอาเปน อว และ ป บทหนาตัวนั้น ศัพทเต็มรูป คือ ปม (กอน) ทานลบอักษร สองตัวหลังเสียเหลือไวแต ป ในเม่ือสำเร็จรูปเปนสาธนะแลว แยกรูปออกตั้ง วิ. วา 237
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 238 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ปม ภวติ เอตสมฺ า-ติ ปภโว (ปเทโส). (นที แมน้ำ) ยอมเกิดมกี อน แตประเทศนั่น เหตนุ น้ั (เอโส ปเทโส ประเทศนน่ั ) ชอื่ วา ปภโว (เปน คนเกดิ กอนแหง แมน ำ้ ). ภโี ม มูลเดิมมาจาก ภี ธาตุ ในความกลวั ลง ม ปจจัย แยกรูปออกตั้ง ว.ิ วา ภายติ เอตสฺมา-ติ ภีโม (ยกฺโข). ชโน (ชน) ยอมกลัว แตยักษน่ัน เหตุนั้น (เอโส ยกโฺ ข ยกั ษน ั่น) ช่ือวา ภีโม (เปนแดนกลัวแหง ชน). สาธนะน้ี เปนกัตตุรูปอยางเดียว เม่ือสำเร็จเปนสาธนะแลวทานบัญญัติให แปลวา “เปน แดน-” และพึงสังเกตในสาธนะน้ีตองมี ต หรือ เอต สัพพนาม ซ่ึงประกอบดวย ปญจมีวภิ ตั ติ “เอตสมฺ า” แปลวา แต,จาก ตามหลังกิริยา และตอสนธิกบั อิติ ศพั ท ใน เวลาแยกรูปออกตั้งวิเคราะหเ สมอไป จะขาดเสียมไิ ด. อธกิ รณสาธนะ สาธนะนี้หมายความวา สาธนะท่ีกลาวถึงสถานที่เปนที่ทำการคือบุคคล ทำการในสถานท่ีใด สาธนะน้ีกลาวถึงสถานท่ีน้ัน เชน โรงเรียนเปนสถานท่ีเลาเรียน วิชาความรู หรือโรงงานเปนสถานที่ทำงาน เปนตน กลาวสั้นก็คือ ยกสถานที่นั้นข้ึน กลา ว เชน อ.ุ วา านํ (ท่ตี ้ัง, ทยี่ ืน), อาสนํ (ท่นี ่งั ), สยนํ (ทน่ี อน). าน มูลเดิมมาจาก า ธาตุ ในความยืน ลง ยุ ปจจัย แลวแปลงเปน อน แยกรูปออกต้ัง วิ. วา ติฏติ เอตฺถา-ติ านํ (ชโน ชน) ยอมยืน ในท่ีน้ัน เหตุน้ัน (เอตํ านํ ท่นี ่ัน) ช่อื วา านํ (เปนท่ียนื แหงชน). อาสน มูลเดมิ มาจาก อาสฺ ธาตุในความนง่ั ลง ยุ ปจ จยั แลวแปลงเปน อน แยกรูปออกต้ัง วิ. วา อาสติ เอตฺถาติ-อาสนํ (ชโน ชน) ยอมนั่ง ในท่ีนั่น เหตุน้ัน (เอตํ านํ ท่นี น่ั ) ชอื่ วา อาสน (เปนท่นี ่ังแหง ชน). สยนํ มลู เดมิ มาจาก สี ธาตใุ นความนอน แปลง อี ที่ สี เปน เอ แลว เอาเปน อย ลง ยุ ปจจัย แลวแปลงเปน อน แยกรูปออกต้ัง วิ. วา สยติ เอตฺถา-ติ สยน (ชโน ชน) ยอ มนอน ในทนี่ ่ัน เหตนุ ั้น (เอต าน ทนี่ นั่ ) ช่ือวา สยน (เปนท่ีนอนแหงชน). 238
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 239 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò รูปวิเคราะหเหลาน้ันเปนกัตตุรูป เพราะใชกิริยาเปนกัตตุวาจก ถาตองการ ใหเปนกัมมรูป ก็ตองแปลงกิริยาใหเปนกัมมวาจก แตศัพททั้ง ๓ นี้เปนอกัมมธาตุ (ธาตุไมมกี รรม) ถึงจะต้ังรูปวิเคราะหเ ปน กมั มรปู กไ็ มเ หมาะ. ที่เปนกัมมรูป เชน อาฆาตนํ มูลเดิมมาจาก อา บทหนา วธ ธาตุในความ ฆา แปลง วธ เปน ฆาต ยุ ปจจยั แปลง ยุ เปน อน แยกรูปออกตัง้ วเิ คราะหว า อาเนตวฺ า วธยิ เต เอตถฺ า-ติ อาฆาตนํ (สตโฺ ต สตั ว) อนั เขา นำมาแลว ยอ มฆา ฆา ในทน่ี น้ั เพราะ เหตนุ นั้ ทนี่ นั้ ชอื่ วา อาฆาตนํ (เปน ทอ่ี นั เขานำมาฆา แหง สตั ว) เปน กมั มรปู อธกิ รณสาธนะ. ในสาธนะนท้ี เ่ี ปน กตั ตรุ ปู ทา นบญั ญตั ใิ หแ ปลวา “เปน ท-ี่ ” ถา เปน กมั มรปู แปล วา “เปนที่อันเขา-” และพึงสังเกตในสาธนะน้ีตองมี ต หรือ เอต สัพพนาม ซึ่งประกอบดวย สัตตมมี ีวิภัตติ “เอตสมฺ ึ” หรือ “เอตถฺ ” แปลวา ใน ตามหลังกริ ยิ า และตอ สนธกิ ับ อติ ิ ศพั ท ในเวลาแยกรปู ออกต้งั วิเคราะหเสมอไป จะขาดเสียมิได. วิเคราะหแ หง สาธนะ รูปวิเคราะหแหงสาธนะนี้ หมายความวา ตัวที่แยกออกต้ังวิเคราะห ซึ่ง เปนตนเหตุใหสำเร็จรูปเปนสาธนะๆ ที่จะสำเร็จเปนรูปข้ึนได ก็ตองอาศัยรูปวิเคราะห เชน ทายโก (ผูให) เปนสาธนะกอนท่ีจะสำเร็จรูปเปนเชนนั้น ตองมาจากรปู วเิ คราะห เทต+ี ติ ฉะนนั้ เทต-ี ติ จงึ เปน รปู วเิ คราะห ทายโก เปน ตวั สาธนะ. รปู วเิ คราะหนัน้ มีอยู ๓ รูป คอื กัตตุรูป ๑ กัมมรปู ๑ ภาวรูป ๑ ที่เรยี กชอ่ื เชนน้ี กด็ ว ยอำนาจวาจกในอาขยาต เพราะการตง้ั วเิ คราะหต องใช วาจกท้ังน้ัน และวาจกโดยมากก็มักใชในอาขยาตในกิริยากิตกก็มีใชบาง แตเปน สว นนอ ย บางคราวกใ็ ชน ามกติ กน น้ั เองกม็ ี ทก่ี ลา วนม้ี เี ฉพาะกมั มรปู และภาวรปู เทา นน้ั สวนกตั ตุรูปใชก ิรยิ าอาขยาตโดยสวนเดยี ว. 239
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 240 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) รปู วิเคราะหน เ้ี ม่ือจดั ตามวาจกยอ มไดด ังนี้ คือ :- รูปวิเคราะหที่เปนกัตตุวาจกและเหตุกัตตุวาจก จัดเปนกัตตุรูป ๑ รูป วิเคราะหที่เปนกัมมวาจกและเหตุกัมมวาจก จัดเปนกัมมรูป ๑ รูปวิเคราะหเปน ภาววาจก จดั เปนภาวรูป ๑. วธิ ปี รงุ รูปวิเคราะห เปนธรรมดาของการต้ังวิเคราะห กอนอ่ืนเม่ือเห็นศัพทแลวจะตองแยกรปู วา เปน ธาตอุ ะไร มกี รรมหรอื ไม ถา เปน สกมั มธาตุ กใ็ ชไ ดเ ฉพาะกตั ตรุ ปู กมั มรปู , ถาเปน อกมั มธาตุ กใ็ ชไ ดเฉพาะกัตตุรูป ภาวรูป, เมอ่ื เราคนตัวธาตไุ ดแลว ก็นำธาตุตวั นั้นมา ปรุงดวยเคร่ืองปรุงอาขยาต คือ วิภัตติ วาจก และปจจัย ถาจะตอ งการเปน กตั ตรุ ปู ก็ ตอ งใชเ ครอื่ งปรงุ ของกตั ตวุ าจก หรอื เหตกุ ตั ตวุ าจก, กมั มรปู กใ็ ชเ ครอื่ งปรงุ ของกมั มวาจก หรอื เหตกุ มั มวาจก, ภาวรปู กใ็ ชเ ครอ่ื งปรงุ ของภาววาจก เชนเห็นศัพทวา สิกฺขโก (ผูศึกษา) ถาคนดูธาตุก็จะเห็นวาเปน สิกฺข ธาตุ และเปนกัตตุรูป กัตตุสาธนะ เพราะบงผูทำเอง ฉะนั้น เวลาตั้งวิเคราะหก็ตองตั้งเปน กตั ตุวาจก ไดรปู เปน สกิ ฺขติ แลวเตมิ อติ ิ (เพราะเหตุนั้น) มาตอเขาสนธิกบั สกิ ขฺ ติ ไดรูปเปน สกิ ฺขต-ี ติ บทปลงซึ่งเปนตวั สาธนะก็คอื สิกขฺ โก สว นรปู วเิ คราะหอ นื่ กพ็ งึ สงั เกตตามนยั ทไี่ ดอ ธบิ ายมาแลว ในสาธนะนนั้ ๆ เถิด แตมีขอแปลกอีกอยางหนึ่ง คือ สำหรับรูปวิเคราะห ที่เปนเหตุกัตตุวาจก ซ่ึงทานรวม เขา กับกตั ตุวาจกเรยี กวา กตั ตรุ ปู นั้น มที ีใ่ ชบา ง ตอ งสังเกตตามคำแปลจึงจะรูได เชน ศัพทวา อาตาโป (ความเพียรซงึ่ ยงั กเิ ลสใหรอนทั่ว) หตถฺ ิมารโก (นายพรานผยู ังชา ง ใหตาย) เปนตน ตามคำแปลก็บงวา เปนรูปเหตุกัตตุวาจก เพราะมีคำวา “ยัง” ซ่ึง หมายถึงตัวการิต (ตัวท่ีถูกใชใหทำ) บงปรากฏอยู ฉะนั้นเวลาจะต้ังวิเคราะห ตองนำ ธาตุไปปรุงใหเปน เหตกุ ตั ตวุ าจก อาตาโป เปน อา บทหนา ตปฺ ธาตุ นำไปประกอบเปนเหตุกัตตุวาจก ไดร ูป เปน อาตาเปติ (ยัง-ใหรอนท่ัว) ต้ังเปนรูป วิ. วา อาตาเปตี-ติ อาตาโป (วายาโม ความเพียร) (กิเลส ยังกิเลส) ยอมใหรอนทั่ว เหตุนั้น (โส วายาโม ความเพียรน้ัน) ช่ือวา อาตาโป (ยังกิเลสใหร อนท่ัว). 240
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 241 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò หตถฺ มิ ารโก เปน หตถฺ ี (ชา ง) บทหนา มรฺ ธาตุ ประกอบเปน เหตกุ ตั ตวุ าจก ไดรูปเปน มาเรติ (ยัง....ใหตาย) ตั้งเปนรูป วิ. วา หตฺถึ มาเรตี-ติ หตฺถิมารโก (โย ลุทฺทโก นายพรานใด) ยังชาง ยอมใหตาย เหตุนั้น (โส ลุทฺทโก นายพรานน้ัน) ช่ือวา หตฺถิมารโก (ผูยังชางใหตาย) หมายความวา ผูฆาชาง, ในท่ีนี้ทานไดคงตัว การีต คอื หตฺถึ ไว. สว นรปู วิเคราะหท ่ีเปนเหตกุ ัมมวาจานั้นยังไมปรากฏวา มที ่ใี ช. 241
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 242 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò แบบประเมินผลตนเองกอ นเรยี น หนว ยท่ี ๘ วตั ถปุ ระสงค เพื่อประเมินความรูเดิมของนักเรียนเก่ียวกับเร่ือง “นามกิตก คำสั่ง รปู และสาธนะ” ใหนักเรียนอานคำถาม แลวเขียนวงกลมลอมรอบขอคำตอบ ท่ถี ูกตอ งทส่ี ุดเพียงขอเดยี ว ๑. คำวา “นามกิตก” หมายถงึ อะไร ? ก. กิตกท ใ่ี ชเ ปนนามนาม ข. กติ กท ่ใี ชเปนคุณนาม ค. กิตกท่ใี ชเ ปน สัพพนาม ง. กติ กท ่ีใชเ ปนนามนาม และคุณนาม ๒. คำวา “สาธนะ” หมายถึงอะไร ? ก. ศพั ทท่สี ำเร็จมาจากนามศพั ท ข. ศพั ทท ส่ี ำเรจ็ มาจากกริ ิยาศัพท ค. ศพั ททสี่ ำเร็จมาจากรปู วเิ คราะห ง. ศัพทท ี่สำเร็จมาจากปจ จัย ๓. สาธนะแบง ออกเปน เทาไร ? ก. ๓ สาธนะ ข. ๕ สาธนะ ค. ๗ สาธนะ ง. ๙ สาธนะ ๔. กัตตสุ าธนะหมายถงึ อะไร ? ก. ศัพททีเ่ ปน ชอ่ื ของผูทำ ข. ศัพทท่ีเปนชอ่ื ของส่ิงที่ถูกทำ ค. ศพั ทท เ่ี ปน ช่อื ของเครื่องมอื ทใ่ี ชทำ ง. ศัพทท เ่ี ปนช่อื ของสถานท่ๆี ทำ ๕. รูปวเิ คราะหใ ดตอไปนี้ไมจ ัดเปน ภาวรปู ภาวสาธนะ ? ก. คมิยเตติ คมนํ ข. นสิ ที นํ นสิ ชฺชา ค. าตพพฺ นฺติ านํ ง. ภุ ชฺ ติ พฺพนตฺ ิ โภชนํ ๖. ขอใดตอ ไปนี้เปน คำแปลของกตั ตุรูป กรณสาธนะ ? ก. เปน ท.่ี . ข. เปน เคร่อื ง.. ค. เปนแดน.. ง. ผ.ู .โดยปกติ เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 242
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 243 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๗. รูปวเิ คราะหใ ดตอ ไปน้ี จัดเปนกตั ตุรปู อธิกรณสาธนะ ? ก. กมมฺ ํ กโรตตี ิ กมฺมกาโร ข. คมนํ คมนํ ค. ปหรติ เตนาติ ปหรณํ ง. สยติ เอตฺถาติ สยนํ ๘. รปู วเิ คราะหตอไปนี้ เปนรูปและสาธนะใด “ธมฺมํ วตตฺ ุ สลี มสสฺ าติ ธมฺมวาที” ? ก. กตั ตรุ ปู ตัสสีละสาธนะ ข. สมาสรปู ตสั สลี สาธนะ ค. กัตตุรปู สัมปทานสาธนะ ง. กัตตรุ ูป อปาทานสาธนะ ๙. รูปวิเคราะหแหงสาธนะทา นแบงไวเทา ไร ? ก. ๒ รปู ข. ๓ รปู ค. ๔ รูป ง. ๕ รูป ๑๐. รูปวเิ คราะหแ หง สาธนะท่เี ปนเหตกุ ัตตวุ าจก จดั เปนรูปอะไร ? ก. กตั ตุรูป ข. กมั มรูป ค. ภาวรปู ง. เหตกุ ตั ตรุ ปู เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 243
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 244 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò แบบประเมนิ ผลตนเองหลังเรยี น หนว ยท่ี ๘ วตั ถปุ ระสงค เพอื่ ประเมนิ ผลความกา วหนา ของนกั เรยี นเกยี่ วกบั เรอ่ื ง “นามกติ ก คำสั่ง รูปและสาธนะ” ใหนักเรียนอานคำถาม แลว เขยี นวงกลมลอมรอบขอ คำตอบท่ีถูกตอ ง ที่สดุ เพยี งขอ เดยี ว ๑. คำวา “นามกิตก” หมายถึงอะไร ? ก. กติ กทใี่ ชเ ปนนามนาม และคณุ นาม ข. กิตกท่ีใชเ ปนนามนาม ค. กติ กท ใ่ี ชเ ปนคุณนาม ง. กติ กท ี่ใชเ ปนสัพพนาม ๒. คำวา “สาธนะ” หมายถึงอะไร ? ก. ศัพทท ่ีสำเร็จมาจากปจจัย ข. ศพั ทที่สำเร็จมาจากรูปวเิ คราะห ค. ศัพทท ี่สำเรจ็ มาจากกริ ิยาศัพท ง. ศัพทที่สำเรจ็ มาจากนามศพั ท ๓. สาธนะแบงออกเปนเทาไร ? ก. ๓ สาธนะ ข. ๔ สาธนะ ค. ๕ สาธนะ ง. ๗ สาธนะ ๔. กัตตุสาธนะหมายถงึ อะไร ? ก. ศพั ทท ี่เปนช่ือของสิ่งท่ถี ูกทำ ข. ศพั ทท เ่ี ปนชื่อของสถานที่ๆ ทำ ค. ศพั ทท เี่ ปน ชอื่ ของผทู ำ ง. ศพั ทท่เี ปนชื่อของเคร่ืองมอื ท่ใี ชทำ ๕. รูปวเิ คราะหใ ดตอไปนไ้ี มจ ัดเปนภาวรปู ภาวสาธนะ ? ก. าตพพฺ นฺติ านํ ข. ภฺุชิตพฺพนฺติ โภชนํ ค. นิสีทนํ นสิ ชฺชา ง. คมยิ เตติ คมนํ ๖. ขอใดตอไปน้เี ปนคำแปลของกตั ตรุ ูป กรณสาธนะ ? ก. ผู..โดยปกติ ข. เปนแดน.. ค. เปนท่.ี . ง. เปนเครือ่ ง.. เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 244
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 245 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๗. รูปวเิ คราะหใดตอ ไปนี้ จัดเปนกตั ตุรูป อธิกรณสาธนะ ? ก. ปหรติ เตนาติ ปหรณํ ข. สยติ เอตถฺ าติ สยนํ ค. คมนํ คมนํ ง. กมฺมํ กโรตตี ิ กมมฺ กาโร ๘. รปู วิเคราะหตอ ไปน้ี เปน รูปและสาธนะใด “ธมมฺ ํ วตตฺ ุ สีลมสสฺ าติ ธมมฺ วาที” ? ก. สมาสรปู ตัสสลี สาธนะ ข. กัตตุรูป อปาทานสาธนะ ค. กตั ตรุ ูป ตัสสลี ะสาธนะ ง. กตั ตุรปู สมั ปทานสาธนะ ๙. รปู วเิ คราะหแหงสาธนะทานแบงไวเทา ไร ? ก. ๓ รปู ข. ๕ รูป ค. ๗ รูป ง. ๙ รปู ๑๐. รปู วิเคราะหแหงสาธนะท่ีเปน เหตกุ ตั ตวุ าจก จดั เปนรปู อะไร ? ก. เหตุกตั ตุรปู ข. กมั มรูป ค. ภาวรปู ง. กัตตุรปู เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 245
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 246 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò เฉลยแบบประเมินผลตนเอง หนวยที่ ๘ ขอ กอ นเรยี น หลังเรยี น ๑. ง ก ๒. ค ข ๓. ค ง ๔. ก ค ๕. ง ข ๖. ข ง ๗. ง ข ๘. ข ก ๙. ข ก ๑๐. ก ง เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 246
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 247 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò แผนการสอนวิชาบาลไี วยากรณ หนว ยท่ี ๙ เรอ่ื ง “ปจ จัยนามกิตก” เวลาทำการสอน ๓ คาบ สาระสำคญั ศัพททุกศัพทที่จะสำเร็จเปนนามกิตกไดยอมตองมีการแจกแจงหรือแจกศัพท ใหเ หน็ รปู เดมิ ของศพั ทน น้ั ๆ กอ นเสมอ ซง่ึ การแยกศพั ทต า งๆ น้ี เรยี กวา “รปู วเิ คราะห” และในหนวยนี้จะกลา วถึงปจ จัยในนามกิตก หมวดกิตปจจยั -กิจจปจจยั -กติ กิจจปจ จัย จุดประสงค ๑. เพอื่ ใหน กั เรยี นรแู ละเขา ใจการตง้ั รปู วเิ คราะหด ว ยปจ จยั ในนามกติ ก หมวดกิตปจจยั -กิจจปจ จัย-กิตกจิ จปจ จัย ๒. นกั เรยี นสามารถนำปจ จยั ในนามกติ กท ง้ั หมดไปประกอบกบั ธาตอุ นื่ ได ๓. และเมอ่ื พบศพั ทน ามกิตกต ัวใดๆ กส็ ามารถบอกปจ จัย รปู สาธนะ และ ตั้งรูปเคราะหไ ดถ ูกตอ ง เนอื้ หา ๑. รปู วเิ คราะหใ นนามกติ ก หมวดกิตปจ จัย-กจิ จปจจัย-กิตกจิ จปจ จัย ๒. ปจ จัยในกิตปจจัย ๕ ตัว คอื กฺวิ ณี ณฺวุ ตุ รู ๓. ปจ จัยในกิจจปจจยั ๒ ตวั คอื ข ณฺย ๔. ปจจัยในกิตกจิ จปจจยั ๗ ตวั คือ อ อิ ณ เตฺว ติ ตํุ ยุ ๕. ปจจยั นอกแบบ ๑๔ ตัว กจิ กรรม ๑. ประเมินผลกอ นเรยี น ๒. ใหน กั เรยี นทองปจจยั นามกติ ก หมวดกติ ปจ จยั -กิจจปจจยั -กิตกจิ จปจจยั 247
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 248 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ๓. ครูนำเขา สูบทเรยี น และอธิบายเนื้อหา ๔. บตั รคำ ๕. ครสู รปุ เนื้อหาท้งั หมด ๖. ประเมนิ ผลหลงั เรยี น ๗. ใบงาน ๘. กิจกรรมเสนอแนะ ครสู อนควรใหน กั เรียน ๑. ทอ งแมแบบได ๒. ใหน ักเรยี นหดั ต้งั วิเคราะหด ว ยศพั ทท ่ีประกอบดวยปจจัยในนามกติ ก หมวดกิตปจจยั -กจิ จปจ จัย-กติ กจิ จปจ จยั (ส่ังเปน การบานดว ย) ส่อื การสอน ๑. ตำราทใ่ี ชป ระกอบการเรียน-การสอน ๑.๑ หนังสอื พระไตรปฎ ก ๑.๒ หนงั สอื พจนานกุ รม มคธ-ไทย โดย พันตรี ป. หลงสมบุญ สำนกั เรียนวดั ปากนำ้ ๑.๓ หนังสือพจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ๑.๔ หนงั สอื พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบับประมวลศพั ท โดย พระธรรมปฎ ก (ป.อ.ปยุตฺโต) ๑.๕ หนงั สอื คมู อื บาลไี วยากรณ นพิ นธ โดย สมเดจ็ พระมหาสมณเจา ฯ ๑.๖ หนงั สอื ปาลิทเทศ ของ สำนักเรยี นวัดปากน้ำ ๑.๗ คัมภีรอภธิ านัปปทีปกา ๑.๘ หนังสอื พจนานุกรมธาตุ ภาษาบาลี ๒. อปุ กรณท ีค่ วรมีประจำหองเรียน ๒.๑ กระดานดำ-แปรงลบกระดาน-ชอลก หรอื กระดานไวทบอรด ๒.๒ เครอ่ื งฉายขามศรี ษะ (Over-head) ๓. บตั รคำ ๔. ใบงาน 248
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 249 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò วธิ วี ัดผล-ประเมนิ ผล ๑. สอบถามความเขา ใจ ๒. สังเกตพฤตกิ รรมการมสี วนรว มในกิจกรรม ๓. สงั เกตความกาวหนาดานพฤติกรรมการเรียนรูของผูเรียน ๔. ตรวจใบงาน 249
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 250 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ปจ จัยแหงนามกิตก ในนามกิตกก็มีปจจัยสำหรับลงท่ีธาตุเชนเดียวกับอาขยาตเหมือนกัน แตในนามกิตกน้ีเม่ือลงที่ธาตุแลว ยอมปรุงธาตุใหเปนนามศัพท คือ นามนาม ๑ คณุ นาม ๑ ทานจดั ไวเปน ๓ พวก คือ กิตปจจัย ๑ กิจจปจจัย ๑ กิตกจิ จปจจยั ๑ ที่ทานจัดไวเปน ๓ พวก และจัดไวเปนหมูเหลา ดวยอำนาจรูปและสาธนะ เพราะปจจัยเหลาน้ีใชลงในรูปและสาธนะหาเสมอกันไม คือ บางตัวก็ลงไดรูปเดียว และสาธนะเดียว บางตัวก็ลงได ๒ รูปและ ๒ สาธนะ บางตัวก็ลงไดทั้ง ๓ รูปและ ทกุ สาธนะ. ปจจัยพวกกิตปจจัย ลงไดเฉพาะกัตตุรูปอยางเดียว หรือท่ีนับเนื่องใน กตั ตรุ ปู เชน สมาสรปู เทา นนั้ จะนำไปประกอบศพั ทท เ่ี ปน รปู อนื่ นอกจากนห้ี าไดไ ม และ เปน ไดเ ฉพาะกตั ตุสาธนะอยางเดยี ว. ปจจัยพวกกิจจปจจัย ลงไดเฉพาะกัมมรูปและภาวรูปเทาน้ัน และ สาธนะก็เปนไดเฉพาะกัมมสาธนะและภาวสาธนะเทาน้ัน จะลงในรูปและสาธนะอื่นหา ไดไ ม. ปจจัยพวกกิตกิจจปจจัย ใชประกอบศัพทลงไดทุกรูปและทุกสาธนะไมมี จำกัด แตก็ยังมีบางท่ีปจจัยบางตัวหาลงในรูปและสาธนะไม กลับไปลงใชแทนวิภัตติ นาม เชน ตุ และ เตฺว ปจ จยั และมี ๒ ตวั น้เี ทา นัน้ ท่แี ปลกจากปจจยั ท้งั หลาย. ปจจัยแหงนามกิตกในบาลีไวยากรณ ทานจำแนกไวมีเพียง ๑๔ ตัว จดั เปน ๓ พวก คือ :- กิตปจ จยั มี ๕ ตัว คอื กวฺ ิ, ณ,ี ณวฺ ุ, ต,ุ ร.ู กจิ จปจจยั มี ๒ ตัว คือ ข, ณฺย. กิตกจิ จปจจยั มี ๗ ตัว คือ อ, อ,ิ ณ, เตฺว, ติ, ตุ, ยุ. ปจจัยที่ยกมากลาวไวในบาลีไวยากรณเพียงเทาน้ี ก็โดยยกเอาเฉพาะปจ จยั ที่ใชมากในปกรณทั้งหลาย และใชสาธนะท่ัวไปแกธาตุทั้งปวง แตเม่ือจะกลาวใหครบ ปจ จัยในแผนกน้ี ยงั มีอยูอีกมากแตโดยมากมักใชล งไดเฉพาะในธาตุบางตวั หรอื ถงึ จะ ลงในธาตุอื่นไดบาง ก็ยากแกการท่ีจะจัดเขาเปนหมวดหมูใหลงรอยกันในรูปสาธนะ เหตุน้ัน ทานจึงยกเวนเสียมิไดนำมากลาวไว ผูศึกษาท่ีตองการความรูกวางขวาง จะตอ งคน ควาหาดวยตนเอง. 250
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356