Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Funda-Nursing ฉบับปี 2023

Funda-Nursing ฉบับปี 2023

Published by jitrada.sin, 2023-06-11 13:00:28

Description: Funda-Nursing2023

Keywords: Fundamental,Funda Nursing,Funda,Nursing,Basic,Basic nursing,PBRU,Jitrada,Nurse

Search

Read the Text Version

วิธกี ารกา้ วเดินด้วยอปุ กรณไ์ ม้ค้ำยนั รักแรม้ ีวิธีการก้าวเดนิ 4 แบบ ดงั น้ี (1) Two point gait เป็นการก้าวเท้า 2 จังหวะ ลักษณะคล้ายคลึงกับการก้าวเดิน ตามปกติ (2) Three point gait เป็นการก้าวเท้า 3 จังหวะ โดยก้าวเท้าที่ได้รับบาดเจ็บไป กอ่ น เทา้ เจบ็ แตะพืน้ หลงั จากน้นั ก้าวเท้าปกติใหเ้ ลยเท้าที่ไดร้ บั บาดเจ็บเล็กนอ้ ย แล้วลงนำ้ หนักเต็มที่ ก้าวเท้าเจบ็ ตามมาในระดบั ที่เทา่ กัน (3) Swing – Through เปน็ การเหวีย่ งเทา้ ทัง้ สองข้างข้ามไม้คำ้ ยันไปพร้อมกนั (4) Four point gait เป็นการก้าวเท้า 4 จังหวะ โดยก้าวเท้าที่ได้รับบาดเจ็บไปก่อน แล้วกา้ วเทา้ ปกติตามไปอยู่ในระดบั เดยี วกนั รูปภาพท่ี 6-30 แสดงวธิ กี ารก้าวเดนิ ด้วยอปุ กรณ์ไม้ค้ำยนั รักแร้ ท่มี า: https://link.springer.com. 3) อุปกรณ์ช่วยเดินชนิด 4 ขา (pick up walker) เป็นอุปกรณ์ที่เหมาะสมสำหรับ ผู้สูงอายุเนื่องจากมีความมั่นคงกว่าอปุ กรณ์ชว่ ยพยุงเดินแบบอื่น อุปกรณ์นี้มีให้เลือกหลากหลายแบบ เช่น มลี อ้ เลื่อน แบบทพ่ี บั ได้ การเลอื กใช้ขึน้ อยู่กบั ความตอ้ งการของผู้ปว่ ย วิธีการใช้อปุ กรณช์ ว่ ยเดินชนิด pick up walker มขี น้ั ตอนหลกั 3 ขั้นตอนคือ (1) ยืนให้ม่ันคง วางมือบริเวณที่วางมือจับ กางขาออกให้ความกว้างเท่ากับความ กว้างของไหล่ (2) ยก pick up walker ไปด้ายหนา้ ประมาณ 1 กา้ ว (3) ก้าวขาไปด้านหน้า โดยใหใ้ ชข้ าท่ีได้รบั บาดเจ็บก้าวนำก่อน จากน้ันก้าวขาอีกข้าง หนง่ึ ตาม โดยให้ปลายเท้าท้ังจากข้างอยู่ในลักษณะของท่าที่ 1 200

รปู ภาพท่ี 6-31 แสดงวธิ กี ารใช้อปุ กรณช์ ว่ ยเดนิ ชนดิ pick up walker ท่ีมา: https://demo.staywellhealthlibrary.com. 6.4.6 การลงนำ้ หนักเท้า การลงน้ำหนักเท้าเปน็ หนึง่ เร่ืองทีต่ ้องให้ความสำคัญในการฟนื้ ฟูสภาพผปู้ ว่ ย ท้ังน้ีการเลือก วธิ ีการลงน้ำหนักนั้นเปน็ ไปตามแผนการรักษาของแพทย์ มีวธิ ีการลงนำ้ หนัก 3 แบบ ดงั น้ี 1) การลงน้ำหนักแบบเต็มที่ (Full weight bearing: FWB) เป็นการลงน้ำหนักเท้า ตามปกติของการเดิน ส่วนใหญ่ใช้ในผู้ป่วยที่ฟื้นฟูตามปกติ ไม่ได้มีการผ่าตัดบริเวณระยางล่างของ รา่ งกาย หรอื ในผู้ป่วยหลงั ผา่ ตดั เปลย่ี นข้อเข่าสามารถใช้วิธกี ารลงนำ้ หนกั แบบนไี้ ด้ 2) การลงน้ำหนักแบบบางส่วน (Partial weight bearing: PWB) เป็นการลงน้ำหนัก แบบปลายเทา้ แตะที่พน้ื ใชส้ ำหรบั ผปู้ ่วยที่ได้รับการผา่ ตดั ใส่อปุ กรณด์ ามกระดกู ท่ีสว่ นล่างของรา่ งกาย 3) ไม่ลงน้ำหนัก (Non weight bearing: NWB) ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดใส่ อุปกรณ์ดามกระดูกที่ส่วนล่างของร่างกาย โดยที่การผ่าตัดนั้นยังไม่สามารถลงน้ำหนักได้ ทั้งนี้ขึ้นกับ แผนการรกั ษา 6.5 บทสรปุ การจัดท่า การเคลื่อนย้ายและการฟื้นฟูสภาพร่างกายเป้นบทบาทที่สำคัญอย่างหนึ่งของ พยาบาล เนื่องจากสามารถช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ เช่น แผลกดทับ ข้อติดแข็งได้ นอกจากนี้การฟื้นฟูสภาพที่ถูกต้องเหมาะสมยังเป็นการช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ ใกล้เคยี งกบั ภาวะปกติ ร่างกายแขง็ แรง รวมทั้งป้องกนั การพลัดตกหกล้มได้ 201

6.6 คำถามทา้ ยบท 1 ทา่ นี้ช่อื ว่าอะไร 1. Fowler’s Position 2. Semi Fowler’s Position 3. Supine position 4. Prone, s position 2 การจัดท่าในผ้ปู ว่ ยหลงั ตัดขาที่ระดับเหนอื เข่า ขอ้ ใดเหมาะสม 11. 23. / 34. 42. // 202

3 การจัดท่า Fowler’ s Position ควรไขปลายเท้าสูงกอี่ งศา 1. 0 2. 15 3. 30 4. 45 4 ผู้ปว่ ยหลังผ่าตัด ภายใต้ยาระงบั ความรสู้ ึกแบบทั่วรา่ งกาย (general anesthesia) รสู้ กึ ตวั ดี ควร จดั ท่าหลงั ผ่าตดั อย่างไร 1. Supine position 2. Prone’ s position 3. Semi – Fowler’ s position 4. Dorsal recumbent position 5 ผู้ป่วยชอ็ คจากการเสียเลือดควรจดั ท่านอนทา่ ใด 1. Prone, s position 2. Supine's position 3. Semi - Fowler's position 4. Trendelenburg, s position 6 การพลกิ ตะแคงตัวผูป้ ่วยที่ผา่ ตดั หลงั ช่ือว่าอะไร 1. Log rolling 2. Back rolling 3. Lateral turn 4. Back lateral turn 203

7 การออกกำลงั กายทา่ งอ-เหยยี ดเข้า พร้อมๆ กบั กระดกปลายเทา้ เป็นการออกกำลงั กายชนิดใด 1. Isotonic 2. Isometric 3. Isokinetic 4. Isomeric 8. คะแนนการประเมินความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกลม้ (Henrich Fall Risk Score) ผู้ปว่ ยรายใดยัง ไมค่ วรลงเดนิ 1. 2 คะแนน 2. 3 คะแนน 3. 4 คะแนน 4. 5 คะแนน 9 ผปู้ ่วยสูงอายุ หลงั ผ่าตดั เปลี่ยนข้อเข่าควรเลอื กอุปกรณ์ชว่ ยพยงุ เดนิ ในข้อใด 1. Quad cane 2. Wheel chair 3. Axillary crutch 4. Pick up walker 10 ผู้ป่วยหลังผ่าตัด แผนการรักษาให้ลงเดินแบบ Axillary crutch partial weight bearing ควร เดินแบบใด 1. 2 point gait 2. 3 point gait 3. 4 point gait 4. Swing trough 204

6.7 แบบประเมินทักษะปฏิบัตกิ ารจดั ทา่ และเคลือ่ นย้าย คณะพยาบาลศาสตรแ์ ละวิทยาการสขุ ภาพ มหาวิทยาลยั ราชภัฏเพชรบรุ ี วชิ าการพยาบาลพ้นื ฐาน แบบประเมนิ ทักษะการจดั ท่าและเคลื่อนยา้ ย (Transferring) ชอ่ื ........................................สกุล.............................................รหสั นักศึกษา................................. คำชี้แจง โปรดทำเครื่องหมาย  ลงในช่องทต่ี รงกับผลการปฏบิ ัติ ผลการปฏิบัติ หมาย ลำดับ รายการประเมิน ปฏิบตั ิ ไม่ปฏิบตั ิ เหตุ (1) (0) ทา่ นอนหงายราบ ( protective supine position) 1. บอกใหผ้ ู้ป่วยทราบ 2. จดั ทา่ ให้ผ้ปู ่วยนอนหงายราบ หนุนหมอนรองรับศรี ษะ 3. จดั ขาทั้งสองขา้ งของผปู้ ว่ ยเหยียดตรง วางราบกบั พื้น 4. จดั แขนวางข้างลำตวั หรอื วางบนหนา้ ทอ้ ง 5. ใช้หมอนนุ่มๆ วางรองใหส้ ้นเทา้ ลอยเหนือท่นี อนเลก็ นอ้ ย และใช้หมอนทราย หรอื foot board หนุนก้นั ปลายเทา้ (ในกรณผี ปู้ ่วยไมร่ สู้ กึ ตัว) รวมคะแนน (4 คะแนน) ท่านอนคว่ำ (protective prone position) 1. บอกใหผ้ ปู้ ว่ ยทราบ 2. จัดใหผ้ ้ปู ว่ ยนอนควำ่ ตะแคงศีรษะไปดา้ นใดดา้ นหนง่ึ 3. หนนุ หมอนนุ่มๆ ใต้ศีรษะ ใบหน้า บริเวณทอ้ งน้อย และ ปลายขา เพ่ือปอ้ งกนั แรงกด 4. จัดแขนทัง้ 2 ขา้ งใหง้ อขน้ึ ข้างศรี ษะ รวมคะแนน (4 คะแนน) 205

ลำดบั รายการประเมิน ผลการปฏบิ ตั ิ หมาย ปฏบิ ตั ิ ไม่ปฏิบัติ เหตุ (1) (0) ท่านอนตะแคง (protective lateral position) 1. บอกให้ผปู้ ่วยทราบ 2. จัดให้ผู้ปว่ ยนอนตะแคง 3. หนุนหมอนใต้ศรี ษะจนถงึ คอและหวั ไหล่ 4. วางหมอนทีล่ ำตัวดา้ นหน้ารองรบั แขนบนไว้ จัดให้แขนงอ เลก็ น้อย 5. แขนขา้ งทอี่ ยู่ด้านล่างใหง้ อวางข้างศรี ษะ 6. วางหมอนรองรับขาทอ่ี ยดู่ ้านบน จัดให้เข่างอเล็กน้อย รวมคะแนน (6 คะแนน) การจดั ท่านอนศีรษะสงู 1 เลอื่ นตวั ผ้ปู ว่ ยไปด้านหวั เตียง 2 ไขเตยี งฝั่งปลายเทา้ ให้ทำมมุ 15 องศา เพ่ือป้องกนั การ เล่อื นไหลของผู้ปว่ ย ไขเตยี งฝัง่ ศีรษะ โดยมีการจดั ทา่ ศีรษะสูง 3 ลักษณะ ดังนี้ 3 - High Fowler’s position จดั ท่าใหห้ วั เตยี งสงู ทำ มมุ 60-90 º กับพื้นเตียง - Fowler’s position จดั ท่าใหห้ วั เตียงสูงทำมมุ 45 – 60 º กบั พ้ืนเตียง - Semi Fowler’s position จดั ท่าให้หวั เตียงสงู ทำมุม 30-45 º กบั พ้ืนเตยี ง รวมคะแนน (3 คะแนน) การเคล่อื นย้ายผู้ป่วยโดยใช้กระดานสำหรบั เคลื่อนยา้ ยผู้ปว่ ย (transfer board/ pad-slide) 1 อธิบายใหผ้ ้ปู ว่ ยทราบ เพื่อคลายความวิตกกังวล ความ ร่วมมือและส่งเสริมความเปน็ บคุ คล (Autonomy) 2 - พยาบาลคนที่ 1 ยืนอยู่ดา้ นศีรษะของผู้ป่วย จับผ้ารอง ยกทใ่ี ต้คอใตข้ องผู้ป่วยโดยและแขนอีกข้างหนึง่ อยู่ใตห้ ลงั บริเวณเหนอื เอว 206

ลำดับ รายการประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิ หมาย ปฏิบัติ ไม่ปฏบิ ัติ เหตุ (1) (0) - พยาบาลคนที่ 2 ยนื ดา้ นลำตวั ของผปู้ ่วยจับผ้ารองยกใต้ เอวให้แขนชิดกับแขนพยาบาลคนที่ 1 และแขนอีกดา้ น หนึ่งจับผา้ รองยกบริเวณใต้โคนขาหรือสะโพกของผปู้ ่วย - พยาบาลคนท่ี 3 ยนื ตรงข้ามและปฏบิ ัติเชน่ เดยี วกับ พยาบาลคนท่ี 1 - พยาบาลคนที่ 4 ยืนตรงขา้ มและปฏิบัตเิ ช่นเดียวกับ พยาบาลคนท่ี 2 3 ให้สญั ญาณยกตวั ผู้ป่วยขน้ึ พร้อมๆ กับอมุ้ ผปู้ ่วยใหช้ ดิ ตวั พยาบาลมากที่สุดหรอื ยกผา้ รองยก ข้ามกระดานสำหรับ เคลอ่ื นย้ายผู้ป่วย (transfer board/ pad-slide) ไปยัง เปลนอน 4 จดั ทา่ ใหผ้ ู้ป่วยสบาย ผอ่ นคลาย เลอ่ื นตวั ผปู้ ว่ ยให้อยกู่ ลาง เตียง รวมคะแนน (4 คะแนน) ขอ้ เสนอแนะ ....................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... .......................................................ผู้ประเมิน (.....................................................................) วันท.ี่ ..........เดอื น..........................พ.ศ............... 207

6.8 เอกสารอ้างองิ ณัฐสุรางค์ บุญจันทร์ และอรุณรัตน์ เทพนา. (2559). ทักษะพื้นฐานทางการพยาบาล. กรุงเทพฯ: หจก. เอน็ พีเพรส. สัมพันธ์ สันทนาคณิต, สุมาลี โพธิ์ทอง และสุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พ้นื ฐาน II. กรุงเทพฯ: บริษัท บพธิ การพิมพ์ จำกัด. สุปราณี เสนาดิสัย และ วรรณภา ประไพพานิช. (2564). การพยาบาลพื้นฐาน ปรับปรุงครั้งท่ี 2. กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั จุดทอง จำกัด. สุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์ สุมาลี โพธิ์ทอง, และสัมพันธ์ สันทนาคณิต. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พื้นฐาน I.กรุงเทพฯ: บรษิ ัท บพธิ การพิมพ์ จำกดั . อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2556). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 1. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บริษทั ธนาเพรส จำกดั . อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2558). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 2. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บรษิ ัท จรัลสนิทวงศ์การพิมพ์ จำกัด. อัจฉรา พุ่มดวง. (2559). การพยาบาลพื้นฐาน : ปฏิบัติการพยาบาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. Nettina SM. (2 0 1 4 ) . Manual of Nursing Practice. Philadelphia: Williams &Wilkins Lippincott. Patricia A. Potter. (2 0 1 3 ) . Fundamentals of Nursing 8 th ed. St. Louis, Mo : Mosby Elsevier. Taylor ll. (2015). Fundamental of Nursing .8th ed. Philadelphia: Walters Kluwer. 208

แผนบริหารการสอนประจำบทที่ 7 หลกั การและเทคนิคการพยาบาลพืน้ ฐานในการบริหารยา หัวขอ้ เนื้อหาประจำบท 1. ความรู้เบอ้ื งตน้ เกีย่ วกับยา 2. หลักการบรหิ ารยา 3. การป้องกนั ความคลาดเคลอ่ื นทางยา 4. การบริหารยาทางปาก 5. การบรหิ ารยาทางผวิ หนงั และเยอื่ บุ 6. การบริหารยาฉีด 6.1 การเตรียมยาฉีด 6.2 การฉีดยาเขา้ ชนั้ ผิวหนงั (intradermal injection) 6.3 การฉีดยาเขา้ ใต้ผวิ หนัง (hypodermic injection or subcutaneous injection) 6.4 การฉีดยาเขา้ ช้ันกลา้ มเน้ือ (intramuscular injection) 6.5 การฉดี ยาเขา้ หลอดเลือดดำ (intravascular injection) 7. การบรหิ ารยาพ่น 7.1 การเตรียมยาพ่น 7.2 การพน่ ยา จำนวนชวั่ โมงท่ีสอน: ภาคทฤษฎี 4 ช่ัวโมง ภาคทดลอง 4 ช่วั โมง วตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. สะทอ้ นคิดถึงผลกระทบของความผิดพลาดในการบรหิ ารยาได้สอดคลอ้ งกบั สถานการณ์ 2. บอกความหมายของคำศัพทท์ ่ีเกย่ี วข้องกับการบริหารยาได้ 3. อธบิ ายหลักการและวิธกี ารบริหารยาบนพื้นฐานหลกั การความปลอดภยั ของผปู้ ว่ ยได้ 6. ปฏิบัติการพยาบาลในการบริหารยาทางปาก ยาทางผิวหนังและเยื่อบุ ยาฉีด ยาพ่น ใน สถานการณจ์ ำลองเสมือนจรงิ ได้ถกู ตอ้ งและปลอดภัย 7. บริหารยาผู้ป่วยเสมือนในสถานการณ์จำลองเสมือนจริงด้วยความนุ่มนวล รวมทั้งแจ้ง ผปู้ ว่ ยใหร้ ับทราบกอ่ นการบรหิ ารยาทุกครง้ั 209

8. ส่วนร่วมในการดแู ลความสะอาด ความเรียบร้อยของวสั ดุ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการฝึก ปฏบิ ตั ิในห้องปฏบิ ัตกิ ารและห้องปฏบิ ตั กิ ารเสมอื นจริงอยา่ งสม่ำเสมอ วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอน 1. วธิ ีสอน 1.1 บรรยายแบบมีสว่ นรว่ ม 1.2 อภิปรายกลุ่ม 1.3 มอบหมายงานกรณศี ึกษา 1.4 สอนสาธติ และสาธติ ย้อนกลับ 1.5 ฝกึ ปฏบิ ัตใิ นสถานการณ์จำลองเสมือนจรงิ 2. กิจกรรมการเรยี นการสอน 2.1 ขั้นนำ ยกตัวอย่างสถานการณ์การบริหารยาผิดพลาด ผู้สอนตั้งคำถามถึงความรู้สึกต่อ สถานการณ์ดังกล่าว กระตุ้นให้ผู้เรียนร่วมสะท้อนคิดและร่วมกันสร้างเป้าหมายการบริหารยาอย่าง ปลอดภัย 2.2 ขั้นสอน 1) บรรยายประกอบ Power Point Presentation เรอื่ ง ความรพู้ ้ืนฐานทางเภสัชวิทยา การเรยี กชื่อยา รปู แบบของยา การคำนวณปรมิ าณยาและหน่วยของยาตามหลักสากล 2) ยกตัวอย่างโจทย์สถานการณ์เกี่ยวกับการคำนวณยา มอบหมายให้ผู้เรียนฝึกการ คำนวณยา 3) บรรยายประกอบ Power Point Presentation เรื่อง หลักการบริหารยาอย่าง ปลอดภัย หลกั การใชย้ าอย่างสมเหตผุ ล 4) กระตุ้นผู้เรียนร่วมอภิปรายเกี่ยวกับการบริหารยาอย่างปลอดภัย สุ่มผู้เรียนตอบ คำถาม 5) บรรยายประกอบส่ือวิดีทศั น์ เรื่อง วิธกี ารบรหิ ารยาตามชอ่ งทาง (route) ตา่ ง ๆ และ เปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียนสอบถามข้อสงสยั 6) สอนสาธิต เรือ่ ง วธิ กี ารบริหารยาทางปาก ยาทางผิวหนังและเยื่อบุ ยาฉดี ยาพน่ 7) มอบหมายงานฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จำลองเสมือนจริง เรื่อง การบริหารยาทาง ปาก ยาทางผวิ หนงั และเย่ือบุ ยาฉดี ยาพ่น 2.3 ขั้นสรุป กระตุ้นให้ผู้เรียนสรุปหลักการสำคัญของการบริหารยา ให้ผู้เรียนเล่นเกมด้วย โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพอื่ ตอบคำถามทา้ ยบท 210

สอื่ การเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. โปรแกรมสำเรจ็ รปู Power Point Presentation, Quizizz.com 3. สอื่ วดิ ีทศั นป์ ระกอบการสอนใน YouTube channel: nursing practice 4. กรณีศกึ ษา 5. วสั ดุ อปุ กรณ์ หนุ่ บันทกึ คำส่ังการใหย้ า (doctor order sheet) และใบบนั ทึกการให้ยา (medication administration record: MAR) ในห้องปฏิบัตกิ ารและหอ้ งปฏบิ ตั ิการเสมือนจรงิ การวัดผลและประเมินผล 1. การสงั เกตการมีสว่ นรว่ มในอภิปราย การตอบคำถาม พฤตกิ รรมการปฏิบตั ิการพยาบาล ด้วยความเอื้ออาทร ผ่านแบบสังเกตพฤติกรรมการเรียน ด้านคุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณ วิชาชีพพยาบาล (ภาคผนวก ก.) 2. ความถูกต้องของใบงานกรณีศึกษาและการนำเสนองาน ผ่านแบบประเมินกรณีศึกษา (ภาคผนวก ค.) 3. การเล่นเกมตอบคำถามท้ายบท ผลคะแนนการเล่นเกมตอบคำถามท้ายบทถูกต้อง รอ้ ยละ 80 ข้ึนไป 4. ประเมินทักษะปฎิบัติการบริหารยา ผ่านแบบประเมนิ ทักษะปฏบิ ัติ 211

บทที่ 7 หลกั การและเทคนคิ การพยาบาลพืน้ ฐานในการบริหารยา การบริหารยาเป็นหน้าที่สำคัญประการหนึ่งของพยาบาลเพื่อช่วยให้การรักษา ผู้ป่วยมี ประสิทธิภาพมากขึ้นเนื่องจากยาช่วยในการรักษาโรค การบริหารยาให้ผู้ป่วยได้รับยาอย่างมี ประสิทธิภาพและปลอดภัยเป็นหน้าที่สำคัญสำหรับบุคคลากรทางการแพทย์ ได้แก่ แพทย์ เภสัชกร และพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยง่ิ พยาบาลมบี ทบาทสำคัญในการจัดยาและให้ยาแกผ่ ้ปู ว่ ยในแต่ละราย พยาบาลต้องมีความรู้ ทักษะและการจัดการเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาอย่างถูกตอ้ ง ปลอดภัยและสามารถ ให้การดแู ลอาการขา้ งเคียงของยาได้ 7.1 ความรเู้ บ้อื งตน้ เกี่ยวกับยา 7.1.1 ความหมายของยา ความหมายของยาได้มีผู้ให้ความหมายไว้ค่อนข้างมาก เช่น พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน กล่าวว่า ยา หมายถึง สิ่งที่ใช้แก้หรือป้องกันโรคหรือบํารุงร่างกาย เรียกชื่อต่าง ๆ กัน คือ เรียกตาม ลกั ษณะก็มี เชน่ ยาผง ยาเม็ด ยานา้ํ เรยี กตามสกี ็มี เชน่ ยาแดง ยาเขยี ว ยาเหลือง ยาดํา เรียกตามรส หรือกลิน่ ก็มี เช่น ยาขม ยาหอม เรยี กตามวิธที าํ กม็ ี เชน่ ยาต้ม ยากลัน่ ยาดอง เรียกตามกิริยาท่ีใช้ก็มี เช่น ยากวาด ยากิน ยาฉีด ยาดม ยาอม ยา ตามความหมายใน พระราชบญั ญัติยา พ.ศ. 2510 หมายความว่า วตั ถทุ รี่ ับรองไว้ในตาํ รา ยาที่รัฐมนตรีประกาศ วัตถุที่มุ่งหมายสําหรับใช้ในการวินิจฉัย บําบัด บรรเทา รักษาหรือป้องกันโรค หรือความเจ็บป่วยของ มนุษย์หรอื สัตว์ วัตถุที่เปน็ เภสัชเคมีภณั ฑ์หรอื เภสชั เคมีภัณฑ์กึ่งสําเร็จรูปหรอื วัตถุที่มุ่งหมายสําหรับให้เกิดผลต่อสุขภาพ โครงสร้างหรือการกระทําหน้าที่ใดๆของร่างกายมนุษย์ หรอื สตั ว์ จิรวรรณ มาลา ให้ความหมายของยา (drug or medication) หมายถึง เภสัชภัณฑ์ที่ออก ฤทธิ์ต่อร่างกายเพื่อใช้ในการวินิจฉัยทางการแพทย์ การบำบัดรักษา หรือใช้ในการป้องกันโรค (จิรวรรณ มาลา, 2559 อ้างใน ณฐั สุรางค์ บุญจนั ทร,์ 2559) 212

สรุป ยา หมายถึง วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อร่างกายมนุษย์และสัตว์เพื่อใช้ในการวินิจฉัย บำบดั รักษา บรรเทาอาการ รวมถึงปอ้ งกันโรค มที ั้งรูปแบบยาผง ยานำ้ ยาเม็ด 7.1.2 เภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetics) กระบวนการของรา่ งกายในการจดั การเมื่อยาเข้าสู่ร่างกายประกอบดว้ ย 4 ข้นั ตอน ดังน้ี 7.1.2.1 การดูดซึมยา (absorption) คือ กระบวนการของโมเลกุลยาที่ถูกดูดซึมเข้าไป ในกระแสเลือดจากบริเวณที่มีการบริหารยา ยาจะผ่านผนังหุ้มเซลล์โดยการแพร่กระจายจากความ เขม้ ข้นสูงสคู่ วามเข้มข้นต่ำ ยาทมี่ ีโมเลกุลเลก็ หรือละลายในไขมนั ได้ดีจะผา่ นเข้าสู่เซลล์ได้ดี โดยปัจจัย ท่ีมีผลต่อการดูดซึมยามดี งั น้ี 1) วิธีทางในการให้ยา (route of administration) การบริหารยาทางปาก ยาจะถูก ดูดซมึ ไดด้ ที ี่สดุ บรเิ วณลำไส้เลก็ ส่วนตน้ ยาทางภายนอกจะซึมแบบธรรมดา (simple diffusion) เข้าสู่ ผิวหนัง การบริหารยาด้วยการพ่น สูดดม หรือในรูปแบบของเหลวยาจะถูกดูดซึมผ่านเข้าทางเดิน หายใจ การบริหารยาโดยการฉีด ยาจะถูกดูดซึมจากชั้นใต้ผิวหนัง ชั้นไขมันเข้าไปยังกระแสเลือด ข้ึนกับการบริหารยาฉดี ในชน้ั ต่าง ๆ 2) ความสามารถในการละลายของยา ความสามารถในการละลายของยาขึ้นอยู่กับ รูปแบบการเตรียมยา เช่น ยาน้ำจะถูกดูดซึมได้ง่ายกว่ายาเมด็ ยาที่อยู่ในรูปน้ำมันสามารถดูดซึมได้ดี เนื่องจากสามารถผา่ นช้นั เยือ่ หุม้ เซลลไ์ ด้ดกี ว่า 3) การไหลเวียนของเลือดในบริเวณที่ให้ยา เช่น การฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อยาจะดูดซึม ไดด้ ีกวา่ การฉีดเขา้ ชนั้ ใต้ผิวหนังเนือ่ งจากมกี ารไหลเวียนของเลือดทก่ี ล้ามเนื้อมากกวา่ ชัน้ ใต้ผิวหนงั 4) พืน้ ท่ผี ิวสัมผัสท่ีสมั ผัสกบั ยาได้มาก เช่น ในลำไสเ้ ลก็ จะดูดซมึ ได้ดีกว่าในกระเพาะ เน่ืองจากมีพ้นื ทผ่ี วิ สมั ผสั ที่มากกวา่ 5) ความเข้มขน้ ของยาสงู จะดดู ซมึ ได้ดีกว่าความเข้มขน้ ต่ำ 6) ภาวะความเปน็ กรด-ด่าง ของร่างกาย เช่น ในกระเพาะอาหารมีความเปน็ กรดสูง ดังน้นั ยาท่ีมีความเป็นกรดอ่อนจะสามารถดดู ซึมไดด้ ี 7.1.2.2 การกระจายตัวของยา (Drug distribution) ภายหลังจากที่ยาถูกดูดซึมเข้าสู่ กระแสเลือดก็จะกระจายตัวไปยังส่วนต่าง ๆ ยาบางชนิดไปที่เนื้อเยื่อทุกชนิด ยาบางตัวไปจับกับ เนื้อเยื่อเป้าหมาย การกระจายตัวของยาจะดีหรือไม่ขึ้นกับการไหลเวียนของเลือด ความสามารถใน การจับกับโปรตีน ความสามารถในการซึมผา่ นเย่ือหุ้มเซลล์ 7.2.1.3 การแตกตัวหรือการเปลี่ยนแปลงยาในร่างกาย (Biotransformation) เมื่อยา เขา้ ไปที่เน้อื เย่อื ยาจะถกู เปลยี่ นโดยเอนไซม์ให้มีฤทธิ์มากขน้ึ หรือมีฤทธิล์ ดลง เพื่อเตรยี มในการขับออก จากร่างกาย โดยส่วนใหญ่การเปลี่ยนแปลงของยามักเกิดขึ้นที่ตับ ดังนั้นหากการทำงานของตับไม่ดี 213

อาจทำให้ยาค้างอยใู่ นร่างกายมากจนเป็นอนั ตรายได้ การไดร้ บั ยามากกว่า 1 ตวั และยามปี ฏิกิริยาต่อ กัน (Drug - drug interaction) อาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของยาที่ผิดไปจากเดิมได้ ดังนั้นการให้ ยาต้องทราบปฏิกิรยิ าตอ่ กันของยาแต่ละชนดิ ได้ 7.2.1.4 การกำจัดยา (Excretion) การจำจัดยาส่วนใหญ่เป็นการกำจัดออกทางไต มี บางส่วนที่ขับออกทางอุจจาระ เหงื่อ ลมหายใจ ดังนั้นการให้ยาผู้ป่วยต้องคำนึงถึงความสามารถใน การกำจดั ยาของไตผปู้ ่วยด้วย 7.1.3 ปจั จัยทมี่ ีผลต่อการออกฤทธิ์ของยา เมือ่ ได้รบั ยาเขา้ ไปในร่างกายแล้ว การออกฤทธข์ิ องยายังมปี จั จัยอ่ืน ๆ ท่ีเก่ยี วข้อง ไดแ้ ก่ 1) อายุ การให้ยาในหญิงตั้งครรภ์หรือในเด็กเล็กที่การพัฒนาของอวัยวะต่าง ๆ ยัง เจริญเติบโตไม่เต็มที่ ส่งผลให้ต่อความสามารถในการกำจัดยาออก ยาอาจเกิดพิษได้มาก ดังนั้น การ ให้ยาในหญิงตั้งครรภ์ควรให้ในปริมาณน้อย คำนึงถึงทารกในครรภ์ การให้ยาในเด็กเช่นเดียวกัน นอกจากนี้การให้ยาในผู้สงู อายุหรือผู้ที่มีความเสือ่ ม ความบกพร่องของตับและไต ควรพิจารณาให้ใน ปรมิ าณทนี่ อ้ ยกวา่ ผ้ใู หญป่ กติ 2) น้ำหนักตัว หากน้ำหนักตัวมากการดดู ซึมยาจะมากกว่าผู้ที่น้ำหนักตัวปกตดิ ังนั้นการ ให้ยาจึงคำนวณปริมาณยาตามน้ำหนัก และในเด็กทารกซึ่งมีพื้นที่ผิวมากกว่าผู้ใหญ่การดูดซึมยาจะ มากกว่า ดังน้ันการให้ยาในเดก็ ทารกจึงต้องคำนวณยาโดยคำนึงถงึ นำ้ หนักตัวและพื้นทผ่ี ิวกายด้วย 3) ความสามารถในการทำหนา้ ท่ีของตับและไต ซงึ่ อวัยวะทง้ั 2 อยา่ งนมี้ ีความเก่ียวข้อง กับการกำจัดยาออกจากร่างกาย หากความสามารถในการทำหน้าที่ของตับและไตลดลง เช่น ผู้ป่วย โรคตบั ผู้ปว่ ยไตวาย 7.1.4 การเรียกชื่อยา (Drug nomenclature) ยาแต่ละชนิดอาจมีชื่อเรียกได้หลาย ๆ แบบ ซงึ่ แบง่ ชื่อที่สามารถเรยี กได้ 4 ช่อื เรียก ได้แก่ 1) ชื่อทางเคมี (chemical name) คือ ชื่อที่บอกถึงส่วนประกอบทางเคมีของยานั้น ๆ ตัวยาชนดิ หน่งึ จะมีช่ือทางเคมไี ดเ้ พยี งช่อื เดียวเทา่ น้ัน 2) ชอ่ื สามัญ (Generic name) เป็นชื่อท่ีตัง้ สำหรับยาชนิดนนั้ ๆ ตัง้ แต่เร่มิ ตน้ ผลติ 3) ชื่อทางการ (Official name) เป็นชื่อทีผ่ า่ นการเห็นชอบอยา่ งเป็นทางการ และพิมพ์ อย่ใู นตำรายา 214

4) ชอื่ ทางการค้า (Trade name or Brand name) เปน็ ช่อื ท่บี ริษัทผู้ผลิตต้ังข้ึนและจด ทะเบียนไวส้ ำหรับยาแต่ละชนดิ ลำดบั chemical name Generic name Official name Trade name 1 N-Acetyl-para- Acetaminophen Acetaminophen, Paracap®, aminophenol Paracetamol Tylenol® 2 Omeprazole Omeprazole Omeprazole Losec® sodium ตารางท่ี 7-1 แสดงตัวอย่างการเรยี กชอื่ ยา 7.1.5 รปู แบบของยา (Drug form) รูปแบบของยาทใี่ ช้บอ่ ย ๆ มดี งั น้ี 7.1.5.1 ยาน้ำ ซึ่งเป็นรูปแบบของยาที่ถูกละลายด้วยตัวทำละลาย (solvent) ยาน้ำมี หลายลักษณะ ไดแ้ ก่ 1) ยาน้ำใส (solution) เป็นยาที่อยู่ในรูปแบบน้ำใสผสมอยู่ในตัวทำละลายท่ี เหมาะสม ส่วนใหญจ่ ะเปน็ กลมุ่ ยาฉีด เช่น ยาน้ำโพแทสเซียมคลอไรด์ (KCL solution) 2) ยานำ้ เชื่อม (syrup) เป็นยาทอี่ ยู่ในสารละลายทีม่ สี ว่ นประกอบของนำ้ ตาล เพอื่ ให้ กินได้งา่ ย เชน่ ยาแมกนีเซียม ซัลเฟต (MgSO4) ยาน้ำเชื่อมพาราเชตามอล 3) อิมัลชัน (emulsion) เป็นยาที่ไม่สามารถละลายเข้าด้วยกันได้ มักเป็นรูปแบบ น้ำมัน แต่เมื่อใส่สารอิมัลชัน ยาจึงละลายเข้ากัน การใช้ยากลุ่มน้ีต้องเขย่าก่อนเพื่อให้ยาเข้ากัน หาก ไม่เขย่ายาจะแยกช้ันอยู่ เช่น ยาระบายนำ้ มันละหงุ่ 4) ยาน้ำแขวนตะกอน (suspension) คือยาที่อย่รู ปู แบบของตะกอนทต่ี กอยูด่ า้ นล่าง ตัวทำละลายจะลอยอยู่ด้านบน ก่อนใช้ยาต้องเขย่าให้ยาเข้ากันก่อน เช่น ยาลดกรดในกระเพาะ อาหาร (Alum milk) 5) อิลิกเซอร์ (elixir) เป็นลักษณะยาน้ำใส ถูกทำละลายด้วยสารที่มีส่วนประกอบ ของแอลกอฮอล์ ประมาณ 4 -40 % เช่น Elixir KCL 6) ทิงเจอร์ (Tincture) เป็นยาที่สกัดออกมาจากพืช สัตว์ โดยตัวทำละลายที่เป็น แอลกอฮอล์ เชน่ ทงิ เจอรไ์ อโอดีน สำหรับทำแผล 7) ยาสปิรติ (Spirit) เป็นยาท่ีเปน็ ของเหลว หรอื ของแข็งทีถ่ ูกละลายด้วยแอลกอฮอล์ ผสมน้ำ ระเหยง่าย เชน่ แอมโทเนียแกว้ ิงเวียนศีรษะ 215

8) ยาพ่น (Aerosol spray) เป็นยาน้ำที่ผสมอยู่ในน้ำหรือแอลกอฮอล์ เมื่อนำไปใช้ กับเครื่องพ่นละอองฝอยจะทำให้ได้ยาที่เป็นละอองเล็ก ใช้ในการสูดเข้าระบบทางเดินหายใจ เช่น Ventolin ใชใ้ นการพน่ ขยายหลอดลม 7.1.5.2 ยาเม็ด เป็นยาที่ประกอบด้วยตัวยาตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไป โดยยาเม็ดมีลักษณะต่าง ๆ ดังน้ี 1) ยาผงที่อัดเม็ดเป็นเม็ดแข็ง (tablet) มีรูปร่างได้หลายรูปแบบ ส่วนใหญ่เป็นยา รับประทานทางปาก หรือยาเหน็บตา่ ง ๆ 2) ยาเมด็ ท่ีมีรปู รา่ งคลา้ ยแคปซลู (caplet) มีสารเคลือบที่ทำให้งา่ ยต่อการกลืน 3) ยาเมด็ ที่มรี ูปรา่ งกลมหรอื รี (pill) มีสว่ นประกอบของสารที่มคี วามหนดื 4) ยาเม็ดที่มีปลอกหุ้มทำด้วยเจลาติน (capsule) ภายในบรรจุยาที่เป็นผง หรือ ของเหลว หรือยาเม็ดเล็กๆ (pellet) 7.1.5.3 ยาผง (powder, granule) มีลกั ษณะเป็นผงแห้ง มที ้งั รูปแบบยารับประทานซ่ึง ตอ้ งละลายกอ่ นรบั ประทาน หรือกอ่ นนำไปฉีด หรอื หากเป็นยาทาภายนอกทน่ี ำไปโรยผวิ หนงั 7.1.5.4 ยารูปแบบกึ่งแข็ง กึ่งเหลว (semi- solid dosage form) เป็นยาที่ใช้ภายนอก ร่างกายมรี ปู แบบตา่ ง ๆ ดังนี้ 1) ยาขี้ผึง้ (ointment) เปน็ ยาทีม่ ีสว่ นประกอบของไขมันใชย้ าเฉพาะทเ่ี ชน่ ขผ้ี ้งึ ป้าย ตา 2) ครมี (cream) เป็นยาอิมลั ชันชนดิ ก่ึงแข็ง ตัวยาละลายในน้ำหรือนำ้ มัน สีขุ่น ขาว เช่น ครีมทาแก้เชอ้ื รา 3) เจล (gel) เน้ือยามลี ักษณะข้น ใส ลา้ งออกง่าย เชน่ เจลทาแกป้ วด 4) ยาเปยี ก (past) เปน็ ยาทมี่ ีลักษณะเหนยี ว ข้น ไม่มีส่วนประกอบของไขมัน ซึมเข้า ใตผ้ วิ หนังได้นอ้ ยกว่ายาขผ้ี ้ึง 5) ยาสำหรับติดที่ผิวหนัง (transdermal disk, patch) เป็นแผ่นฟิล์มที่มียาอยู่ด้าน ใน ใช้แปะผิวหนัง ยาจะค่อยๆ ซึมเข้าสู่ผิว ผ่านเข้าสู่กระแสเลือดต่อไป เช่น fentanyl patch ใช้ สำหรบั แปะแกป้ วด 7.1.6 หนังสือคู่มือเกี่ยวกับยา (Drug references) การบริหารยาที่ดีนั้นมีความจำเป็น อย่างยิ่งที่ผู้บริหารยาต้องมีข้อมูลยาที่เป็นมาตรฐานสากล มีความทันสมัย โดยในทุกประเทศจะมี หนงั สอื ตำรับยาอย่แู ล้ว ตวั อยา่ งค่มู อื ยาทใ่ี ช้บอ่ ย 216

1) ตำรับยาของประเทศไทย (Thai pharmacopeia: TP) ที่เนื้อหาประกอบไปด้วยชื่อ ยา ส่วนประกอบของยา คุณสมบัติทางเคมี ทางกายภาพ วิธีการตรวจวิเคราะห์ การทดสอบสาร ปนเปื้อน ภาชนะบรรจุและการเก็บรักษา โดยในแต่ละประเทศจะมีตำรับยาเป็นของตนเอง เช่นเดยี วกนั 2) หนังสือมาตรฐานยาที่แพทย์ใช้ในการอ้างอิง (Physical, Desk Reference) เป็น หนังสือคู่มอื ยาทแี่ บง่ ออกเป็นหมวดหมู่ บอกช่อื การค้า ช่ือสามญั สรรพคุณ ขนาดบรรจุ ขอ้ ห้ามใช้ คำ เตอื นต่าง ๆ 3) หนังสือคู่มือยาฉบับที่ใช้เฉพาะประเทศไทย ( Master Index of Medical Specialties: MIMS Thailand) เป็นหนังสอื ค่มู ือยาทม่ี ีข้อมูลลกั ษณะเดียวกับ PDR 7.2 หลักการบรหิ ารยา การบริหารยา (medication administration) เป็นกระบวนการนำยาเข้าสู่ร่างกาย ซึ่ง สามารถทำไดห้ ลายวิธีขน้ึ อยู่กบั ภาวะสขุ ภาพของผปู้ ่วย กลไกการออกฤทธิ์ของยานน้ั ๆ ในการบริหาร ยา พยาบาลต้องมคี วามรูพ้ นื้ ฐานทเี่ ก่ียวขอ้ งกับการบรหิ ารยาดงั น้ี 7.2.1 วธิ ใี นการใหย้ า (Method of drug administration) การนำยาเข้าสู่ร่างกายเพื่อให้เกิดการดูดซึมจนกระทั่งออกฤทธิ์มีหลายวิธี ซึ่งยาหนึ่งชนิด อาจใหไ้ ด้หลายวธิ ี โดยวธิ ีในการใหย้ ามดี ังน้ี 7.2.1.1 การให้ยาทางปากหรือยารับประทาน (Oral administration) เขียนตัวย่อว่า PO. หรือ  เป็นวิธีที่ค่อนข้างปลอดภัย สะดวก สิ้นเปลืองน้อย แต่มีข้อจำกัดในผู้ป่วยที่ไม่สามารถ รับประทานได้หรอื มปี ญั หาการกลืน 7.2.1.2 การฉีด (Injection) เป็นวิธีการให้ยาที่ออกฤทธิ์ได้เร็วกว่าการให้ยาทางปาก การใหย้ าฉดี สามารถทำได้หลายทาง ดงั นี้ 1) การฉดี เขา้ ชน้ั ใต้ผิวหนัง (Hypodermic, subcutaneous injection) เขียนตัวย่อ ว่า sc เป็นการฉดี ยาเข้าไปในเนื้อเย่ือชั้นใตผ้ วิ หนัง 2) การฉีดเขา้ กลา้ มเน้ือ (Intramuscular injection) เขยี นตวั ยอ่ ว่า IM หรือ m เป็น การฉดี ยาเขา้ ไปที่ชน้ั กล้ามเนอื้ ซึ่งยาจะดูดซมึ ไดเ้ รว็ กวา่ ชั้นใต้ผวิ หนัง เน่ืองจากมเี ลอื ดมาเล้ียงมากกว่า และมีเส้นประสาทมาเล้ยี งนอ้ ย ดงั น้นั การฉดี ยาที่เป็นสูตรนำ้ มนั ซ่งึ ค่อนขา้ งปวด ไมค่ วรฉดี เขา้ ช้นั น้ี 217

3) การฉีดยาเข้าระหวา่ งชั้นผิวหนัง (Intradermal injection) เขยี นตัวย่อว่า ID หรือ D เป็นการฉีดยาที่มีปริมาณน้อยกว่า 0.5 มิลลิลิตร เข้าไปในชั้น dermis มักใช้ในการฉีดเพื่อทดสอบ ภมู แิ พ้ หรอื การฉีดยาชา 4) การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ (Intravenous injection) เขียนตัวย่อว่า IV หรือ v เป็นวิธีที่ยาออกฤทธิ์เร็วมาก แต่การฉีดเร็วเกินไป หรือยาที่มีความเข้มข้นสูงอาจทำให้หลอดเลือดดำ อกั เสบได้ 5) การหยดยาเข้าหลอดเลือดดำ (Intravenous infusion) เขียนตัวย่อว่า IV drip หรือ v drip เป็นวิธีการให้ยาทางหลอดเลือดดำที่ใช้ในการให้ยาที่มีความระคายเคือง ซึ่งต้องผสมใน สารละลายคอ่ นข้างมาก 7.2.1.3 การให้ยาทางผิวหนังและเยื่อบุ เป็นการให้ยาซึ่งมีผลเฉพาะที่มีฤทธิ์ข้างเคียง นอ้ ย ซ่งึ การให้ยามีไดห้ ลายทาง ได้แก่ 1) การให้ยาสอดทางชอ่ งคลอดหรอื ทางทวารหนัก 2) การให้ยาอมใต้ลิ้น (sublingual administration) ยาจะดูดซึมเข้าทางเยื่อบุ ภายในชอ่ งปากซ่งึ ออกฤทธไ์ิ ดเ้ ร็วกว่าการให้ยาทางปาก 3) การสดู ดมหรอื การพน่ (Inhalation) 4) ยาทาหรอื ยาถนู วด (Inunction) 5) ยาหยอด (Instillation) เชน่ ยาหยอดหู ยาหยอดตา 6) ยาสำหรับติดท่ผี ิวหนงั (Transdermal disk, patch) 7.2.2 มาตราในระบบตา่ งๆ ท่ีใช้ในการบริหารยา 7.2.2.1 ระบบเมตริก (metric) เป็นหน่วยสากลมาตรฐาน ได้แก่ เมตร ลิตร กรัม โดย ส่วนใหญย่ าน้ำจะวัดหนว่ ยเปน็ มลิ ลิลติ ร ยาทีอ่ ยู่ในรูปของแขง็ จะวดั เปน็ กรัม มลิ ลกิ รมั หรอื ในกรณีของ อินซูลินจะมหี น่วยเปน็ ยูนิต (unit: Ū) นอกจากนี้ในระบบเมตรกิ ยังมีคำอุปสรรค (Prefix) ท่ีเป็นเลขยก กำลงั ฐานสิบที่มผี ลในการคำนวณขนาดยาได้ (จะกลา่ วถึง การคำนวณยาในสว่ นถดั ไป) 218

เลขยกกำลงั ค่าอุปสรรค สญั ญลกั ษ์ เลขยกกำลัง ค่าอุปสรรค สญั ญลักษ์ ฐานสบิ 1012 ฐานสิบ p 109 n 106 teta T 10-12 pico µ 103 m 102 giga G 10-9 Nano c 10 d mega M 10-6 micro kilo k 10-3 milli hecto h 10-2 centi deca da 10-1 deci ตารางท่ี 7-2 แสดงคำอปุ สรรค (Prefix) ทใ่ี ช้ในการคำนวณยา ดดั แปลงจาก: http://cwweb2.tu.ac.th 7.2.2.2 ระบบอะโพทิคารี (apothecary) เป็นระบบของน้ำหนักเป็น เกรน (Grain, gr) หน่วยพื้นบานเรยี กว่า มนิ มิ (Minim) เปน็ ระบบเกา่ แกซ่ ึง่ ใช้ตัวเลขโรมนั 7.2.2.3 ระบบที่ใช้ภายในบ้าน (household) ประกอบด้วยการใช้เป็นหยด (drops) ชอ้ นชา (teaspoons) ช้อนโต๊ะ (spoons) ถว้ ย (cups) แก้ว (glasses) ในการบริหารยานั้นมีความจำเป็นที่ผู้บริหารยาต้องเข้ าใจมาตราในการวัดขนาดยา สามารถเทียบเคียงหน่วยน้ำหนัก หน่วยปริมาตรทั้งสามหน่วยได้ เพื่อให้สามารถคำนวณขนาดยาได้ รายละเอยี ดดงั น้ี 1) การเปรียบเทียบระบบหน่วยเป็นน้ำหนักของระบบเมตริกและระบบอะโพทิคารี ดังแสดงในตารางที่ 7-3 ระบบเมตรกิ ระบบอะโพทคิ ารี 60 mg. 1 grain (gr.) 1 gm. 15 grains (gr.) 4 gm. 1 dram (dr.) 30 gm. 1 ounce (oz.) 1000 gm. 2.2 pound (lb.) ตารางที่ 7-3 แสดงการเปรียบเทียบหนว่ ยเป็นนำ้ หนักของระบบเมตริกและระบบอะโพทิคารี 219

2) การเปรียบเทียบหน่วยเป็นปริมาตรของระบบเมตริกและระบบอะโพทิคารี ดังแสดงในตารางท่ี 7-4 ระบบเมตริก ระบบอะโพทคิ ารี 1 ml. 15 minims 1 cc. 15 minims 0.06 ml. 1 minim 4 ml. 1 fluid dram 30 ml. 1 fluid ounce 500 ml. 1 pint 1 quart 1000 ml. 1 gallon 4000 ml. ตารางที่ 7-4 แสดงการเปรียบเทียบหน่วยเปน็ ปริมาตรของระบบเมตริกและระบบอะโพทคิ ารี 3) การเปรียบเทียบหน่วยเป็นปริมาตรของทั้ง 3 ระบบได้แก่ ระบบเมตริก ระบบ อะโพทิคารี ระบบทใี่ ช้ภายในบ้าน ระบบเมตริก ระบบอะโพทิคารี ระบบที่ใช้ภายในบา้ น 0.06 ml 1 minim 1 drop 1 ml. 15 minims 15 drops 4-5 ml. 1 fluid dram 1 teaspoon 15 ml. 4 fluid drams 1 tablespoon 30 ml. 1 fluid ounce 2 tablespoons 180 ml. 6 fluid ounces 1 teacup 240 ml 8 fluid ounces 1 glass ตารางท่ี 7-5 การเปรยี บเทยี บหนว่ ยเป็นปรมิ าตร ของระบบเมตริก ระบบอะโพทคิ ารี ระบบท่ีใช้ภายในบา้ น 220

7.2.3 ตัวยอ่ เกี่ยวกับการบรหิ ารยา ในการบรหิ ารยามคี ำย่อท่ีเกย่ี วขอ้ งเป็นจำนวนมาก โดยคำทใ่ี ช้บอ่ ย มีดงั นี้ ตัวยอ่ ภาษาลาติน ความหมายใน ความหมายใน ภาษาไทย aq. ภาษาอังกฤษ น้ำ Aq.dest.,aq. dest น้ำกล่นั Comp., comp. Aqua water ปน ผสมหลายชนดิ Dil., dil. เจือจาง Elix. aqua distillata distiled water ยาประเภทน้ำเชื่อม ผสมแอลกอฮอล์ ext. Compositus,compositum compound ยาสกดั Lin. ยาทาถนู วด liq. Dilutus dilute ลักษณะเป็นนำ้ Lot. ยาน้ำสำหรับทา Mist.,mist.,M. elixir elixir ยาผสม Pil., pil ยาเมด็ ชนดิ กลม Pulv., pulv. extractum extract ยาชนดิ ผง เป็นผง Sol. linimentum liniment ยาชนดิ น้ำ Sp., sp liquor. Liquid เหลา้ ยา เหล้าระเหย Syr. lotio. lotion น้ำเชือ่ ม Tab. mistura, Misc mixture, Mix ยาเมด็ ชนดิ แบน Caps., caps. pilula pill ปลอกแคปซูลใส่ยา Tr.,tr.,Tinct.,tinct. Pulvis a powder ผงทิงเจอร์ Ung., ung. Solution solution ขผ้ี ้ึง aa., a.a. spiritus spirit อยา่ งละเท่าๆ กนั ad. Syrupus syrup เติมจนครบ add. Tabella tablet กับ c Capsule capsule ดว้ ย cc., c.c. Tinctura Tincture ลกู บาศก์เซนติเมตร Gm., gm. Unquentum ointment กรัม แกรม Ana of each Ad to, up to Adde add to cum with gram, gramma, cubic centimeter gramme gram, grams 221

ตัวยอ่ ภาษาลาตนิ ความหมายใน ความหมายใน gr. grana, granum ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย gtt. gutta Kg. kilogram grain, grains เกรน l, L. liter Lb. libra a drop, drops หยด ml. milliliter mcg., µg - a thousand grams กิโลกรัม/1,000 กรัม Rx recipe S., sig. signa a liter ลิตร S, s. sine pound ปอนด์ Tsp. teaspoon Tbsp. tablespoon a thousand of a liter 1/1000 ลติ ร dr drachme scrupulum microgram ไมโครกรมั A.M., a.m. c. ante meridiem take ใหเ้ อา ให้ใช้ h cibum os Oz. hora give the following ใหต้ ามคำส่ังนี้ P.M., p.m. os uncia IM., M post meridiem directions IV., V - - without ปราศจาก H, sc - P.O. teaspoonful ช้อนชา Sup., supp Per os - tablespoonful ช้อนโตะ๊ dram แดรม a scruple 1 สครูเปิล หรือ 20 before midday เกรน meal กอ่ นอาหารเทยี่ ง hour ชว่ั โมง mouth ปาก ounce ออนซ์ afternoon หลงั เทยี่ ง Intramuscular เขา้ ทางกลา้ มเน้อื Intravenous เข้าทางหลอดเลือด ดำ Subcutaneous เขา้ ทางใต้ผวิ หนัง by mouth ทางปาก per rectum ยาเหนบ็ ตารางที่ 7-6 แสดงตัวย่อทใี่ ช้บอ่ ยในการบริหารยา 222

นอกจากคำย่อท่ีเกีย่ วข้องกบั การบริหารยาแลว้ ยงั มีคำย่อทเ่ี กีย่ วข้องกบั เวลาในการบริหาร ยาซ่ึงมคี วามสำคัญต่อความถูกต้องในด้านเวลาของการบริหารยา (right time) รายละเอยี ดดงั นี้ ตัวย่อ ภาษาลาตนิ ความหมายในภาษาองั กฤษ ความหมายในภาษาไทย a.c. Ante cibum before meals ก่อนอาหาร p.c. Post cibum หลงั อาหาร OD Omni die daily, every day วนั ละครัง้ b.i.d. Bis in die Twice a day วนั ละ 2 ครง้ั t.i.d. Ter in die Three time a day วนั ละ 3 ครัง้ q.i.d. Quarter in die four times a day วันละ 4 ครง้ั h.s. Hora somni at bed time ก่อนนอน t.i.d. and Ter in die and Hora Three time a day and at วันละ 3 ครง้ั และกอ่ นนอน h.s. somni bed time p.r.n. Pro re nata when required, เมื่อจำเป็น เป็นครั้งคราว occasionally เม่ือตอ้ งการ Stat. statim at once, immediately ทันที q.1.hr. Quaque 1 hora every hour ทุก 1 ช่วั โมง q.2 hr. Quaque 2 hora every two hours ทุก 2 ช่ัวโมง q.4 hr. Quaque 4 hora every hour ทุก 4 ช่ัวโมง q.6 hr. Quaque 6 hora every hour ทกุ 6 ชว่ั โมง q.12 hr. Quaque 12 hora every hour ทุก 12 ชัว่ โมง Alt. Die alternis diebus alternate days วนั เว้นวัน Alt. Hor. alternis horis alternate hours ช่วั โมงเวน้ ชัว่ โมง ตารางท่ี 7-7 แสดงตัวย่อท่เี กี่ยวข้องกบั เวลาในการให้ยา 223

7.2.4 เอกสารที่เกีย่ วขอ้ งกับการบริหารยา 7.2.4.1 คำสั่งการรักษา (Doctor order, medication orders) คำสั่งการรักษาเป็น บทบาท หน้าที่ของแพทย์ตามกฎหมาย คำสั่งการรักษาประกอบไปด้วย ชื่อ-สกุล ผู้ป่วย เลขที่ผู้ป่วย ใน วนั เวลา ทเ่ี ขยี นคำสง่ั การรักษา ชื่อยา(ควรเขยี นช่อื ยาทเี่ ป็นชือ่ สามัญ) รปู แบบยา ขนาดยา ทางที่ ให้ยา เวลา ความถ่ใี นการใหย้ าและลายเซน็ แพทย์ผสู้ ่งั ยา โดยคำส่งั การรักษามหี ลกั ๆ 2 ชนิด ไดแ้ ก่ 1) คำสั่งครั้งเดียวใช้ตลอดไป (Standing order/ Routine medication order/ Order for continuous) เปน็ คำส่ังการใหย้ าทีใ่ ช้ตลอดไปจนกวา่ จะมคี ำส่ังให้เลิกใช้ยา (off) 2) คำสั่งครั้งเดียวใช้ได้เฉพาะ 1 วัน (Order for one day) เป็นการรักษาเฉพาะ วันที่มีคำสั่งการรักษาเฉพาะเพียงครั้งเดียว ภายหลังสั่งการรักษาสามารถใช้คำสั่งการรักษานี้ได้ 24 ชั่วโมง รูปภาพท่ี 7-1 แสดงตัวอยา่ งใบคำสงั่ การรักษา 224

จากภาพสามารถอธบิ ายความหมายของคำสั่งการรักษาได้ดงั นี้ - ORDER FOR ONE DAY (1) Buscopan sig 20 mg v stat หมายความวา่ ฉดี Buscopan 20 มลิ ลกิ รัม เข้าหลอดเลือดดำทนั ที ให้แคว่ นั เดียว คร้งั เดียวเทา่ นัน้ - ORDER FOR CONTINUE (1) Omeprazole 20 mg sig 1cap.  b.i.d. ac. หมายความวา่ ใหร้ ับประทาน ยา Omeprazole 20 มลิ ลกิ รัม ครงั้ ละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครัง้ ก่อนอาหารเช้าและก่อนอาหารเย็น (2) Paracetamol 500 mg sig 1 tab  p.r.n. for pain q 6 hr. หมายความ ว่าให้รับประทานยา Paracetamol 500 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด เวลามีอาการปวด กินซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง 7.2.4.2 ใบบันทึกการบริหารยา (Medication Administration Record: MAR) ใช้ใน การบันทึกยาที่ให้ผู้ป่วยแต่ละราย พยาบาลหัวหน้าทีมจะเป็นผู้รับคำสั่งการรักษาแล้วบันทึกลงใบ บันทึกการบริหารยา (MAR) และทำการตรวจสอบซ้ำ (Double check) โดยพยาบาลอีก 1 คน หลังจากนั้นจึงนำใบบันทึกการบริหารยา (MAR) ไปจัดยาให้ผู้ป่วย ผู้ให้ยาและผู้ตรวจสอบการให้ยา เซ็นชอ่ื ในใบใบบนั ทึกการบริหารยา (MAR) ดังตัวอย่างในรูปภาพท่ี 7-2 225

ชอ่ื…………………………………สกลุ ………………………………………... HN………………………AN…………………………… ประวตั กิ ารแพย้ า ไม่มี  มี ระบุ................................... Medication Date 14 กค. 64 15 กค. 64 16 กค. 64 17กค. 64 Dosage, Frequency Time ผู้ให้ ผู้ตรวจสอบ ผู้ให้ ผ้ตู รวจสอบ ผ้ใู ห้ ผตู้ รวจสอบ ผใู้ ห้ ผตู้ รวจสอบ - Omeprazole 20 mg sig 1 cap.  b.i.d. ac. 6.30 - 16.30 จิตรรดาRN - Paracetamol 500 mg 18 น. sig 1 tab  p.r.n. for pain p.r.n. จติ รรดาRN q 6 hr. Buscopan sig 20 mg 15.00 จติ รรดาRN off v stat Administration notes V Patient vomiting A Patient absent N Medication unavailable F Patient fasting H Withheld on doctor orders L Patient on leave W Withheld for other reason R Patient refused รปู ภาพท่ี 7-2 แสดงตวั อยา่ งใบบันทึกการบรหิ ารยา (Medication Administration Record: MAR) 226

ในกรณนี ำยาไปให้ผู้ป่วยอาจจะพบเหตุการณ์ท่ีไมส่ ามารถให้ยาได้ สามารถบันทึกโดยใช้ คำย่อดงั แสดงในตารางที่ 7-8 คำย่อ คำอธิบายภาษาองั กฤษ คำอธบิ ายภาษาไทย A Patient absent ผู้ปว่ ยไมอ่ ยใู่ นหอผ้ปู ว่ ย F Patient fasting ผูป้ ว่ ยงดน้ำ งดอาหาร L Patient on leave ผปู้ ่วยลากลบั บา้ น R Patient refused ผูป้ ว่ ยปฏิเสธการรบั ยา V Patient vomiting ผู้ป่วยอาเจยี นยาที่รับประทาน N Medication unavailable ไมม่ ยี า ยาขาดชวั่ คราว รอเบิกยา H Withheld on doctor orders งดให้ยาชวั่ คราวเนอื่ งจากคำสั่งการรักษา W Withheld for other reason งดใหย้ าช่วั คราวเน่อื งจากเหตผุ ลอนื่ ตารางท่ี 7- 8 คำย่อสำหรบั การบนั ทึกในใบบันทกึ การบริหารยา (MAR) เมอ่ื มเี หตุการณ์ที่ไมส่ ามารถใหย้ าผูป้ ่วยได้ 7.2.5 กระบวนการพยาบาลในการบริหารยา (Nursing process for Medication administration) กระบวนการพยาบาลในการบริหารยา ข้ันตอนการบรหิ ารยาประกอบดว้ ย 4 ข้นั ตอนดงั น้ี 7.2.5.1 การประเมิน (nursing assessment) เป็นการประเมินและเตรียมความ พร้อมก่อนการให้ยา โดยเริ่มต้นจากการตรวจสอบใบบันทึกการบริหารยา (MAR) กับคำสั่งการรักษา เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยา หลังจากนั้นประเมินภาวะสุขภาพของผู้ป่วยที่มีความสำคัญกับ การบริการยา เช่น อายุ น้ำหนัก สภาพร่างกาย สัญญาณชีพ ผลการตรวจทางหอ้ งปฏบิ ัติการ ประวัติ การแพ้ยา ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในการได้รับยา หลังจากนั้นเป็นการเตรียมข้อมูลความรู้ที่ทางเภสัช วทิ ยาเก่ยี วขอ้ งกับยาชนดิ นน้ั ๆ 7.2.5.2 การวินิจฉัยทางการพยาบาล (nursing diagnosis) กำหนดข้อวินิจฉัย ทางการพยาบาลทสี่ อดคล้องกับขอ้ มูลการให้ยาน้นั 7.2.5.3 การวางแผนการพยาบาล (nursing planning) กำหนดเป้าหมายทางการ พยาบาลที่สำคัญในการบริหารยา คือ ผู้ป่วยมีความปลอดภัยในการได้รับยา ควรมีการวางแผนการ 227

เตรียมยาล่วงหน้า 30 -60 นาที ก่อนเวลาให้ยาจริง เพื่อป้องกันความเร่งรีบในการจัดยา เตรียม สถานทใี่ ห้เหมาะสม แสงสวา่ งเพียงพอ 7.2.5.4 การปฏิบัติการพยาบาล (Implementation) ปฏิบัติตามหลักการบริหารยา มีข้นั ตอนดังน้ี 1) ล้างมือ 7 ขน้ั ตอนอย่างถูกตอ้ ง 2) แนะนำตัว ทักทายผู้ป่วย ตรวจสอบความถูกต้องของตัวผู้ป่วย (patient identification) โดยการถามชื่อ นามสกุล ผู้ป่วย ตรวจสอบป้ายข้อมือเทียบกับใบบันทึกการบริหาร ยา (MAR) 3) อา่ นและตรวจสอบใบบันทึกการบริหารยา (MAR) เปรยี บเทียบกบั ซองยาหรือ ฉลากยาให้ตรงกนั 4) คำนวณยาและเปลี่ยนหนว่ ยของยาได้อย่างถูกต้อง 5) ไม่วางยาไว้ในท่สี กปรกหรืออย่นู อกพื้นทขี่ องการเตรียมยา 6) จัดท่าผ้ปู ่วยให้เหมาะสมกับการบรหิ ารยาตามทางในการให้ยาน้นั 7) อธิบายเหตุผลของการได้รับยาชนิดนั้น สรรพคุณ การออกฤทธิ์ ข้อบ่งใช้ ผลขา้ งเคียงของยาด้วยคำพูดที่เข้าใจงา่ ย 8) ดูแลบรหิ ารยาอย่างตรงเวลาและปฏิบตั ติ ามหลกั สากล 7.2.5.5 การประเมินผล (Evaluation) ติดตามประเมินผลการให้ยาอย่างเหมาะสม ภายหลังผูป้ ่วยได้รับยาแล้วพยาบาลตอ้ งลงลายมือชื่อในใบบันทึกการบริหารยา (MAR) บันทึกอาการ ผปู้ ว่ ยขณะได้รบั ยาภายหลงั ได้รบั ยาลงในบันทึกทางการพยาบาล 7.3 การป้องกันความคลาดเคลอ่ื นทางยา ความคลาดเคลื่อนทางยา (Medication error) หมายถึง เหตุการณ์ใดๆ ที่สามารถป้องกัน ได้ อาจเป็นสาเหตุหรอื นำไปสู่การใช้ยาท่ีไม่เหมาะสมหรือเปน็ อันตรายตอ่ ผู้ป่วยในขณะท่ียานั้นอย่ใู น ความควบคุม ดูแลของบุคลากรทางสขุ ภาพ ซึ่งอาจเกดิ จากกระบวนการใหย้ าหรอื ระบบการบริหารยา ท่ีไมเ่ หมาะสม 228

7.3.1 หลกั สำคญั ในการป้องกนั ความคลาดเคลอ่ื นทางยา เพื่อป้องกันการเกิดความคลาดเคลื่อนทางยา จำเป็นต้องยึดหลักหลักการบริหารยา อย่างถูกต้องด้วยหลกั การ 10 Right รายละเอยี ด ดังน้ี 1) ถูกผู้ป่วย (Right patients หรือ Right clients) หมายถึง การให้ยาผู้ป่วยอย่าง ถูกต้อง ถกู คน โดยการถามชื่อและนามสกุลของผู้ปว่ ยพร้อมตรวจสอบป้ายข้อมือช่ือผู้ป่วยทุกครั้งเมื่อ มกี ารให้ยาตรวจสอบกับใบบนั ทึกการบรหิ ารยา (MAR) 2) ถูกชนิดหรือถูกตัวยา (Right drugs) หมายถึง การให้ยาผู้ป่วยด้วยชนิดหรือตัวยาที่ ถูกต้องและยังไม่หมดอายุ สามารถให้ยาแก่ผู้ป่วยได้ ต้องตรวจสอบชื่อยาในใบบันทึกการบริหารยา (MAR) กบั ซองยาหรือขวดยาให้ถูกตอ้ งตรงกันอยา่ งนอ้ ย 3 คร้ัง คอื กอ่ นหยิบ กอ่ นจัดและกอ่ นเก็บยา เพราะยาแตล่ ะชนิดมีคุณสมบตั ิ กลไกการออกฤทธิ์และผลขา้ งเคยี งแตกต่างกัน 3) ถูกขนาด (Right dose) หมายถึง การให้ยาผู้ป่วยด้วยขนาดยาที่ถูกต้อง ยาชื่อ เดียวกันอาจมีหลายขนาดและเหมาะสมต่อน้ำหนักหรอื ไม่ ยาแต่ละขนาดให้ผลการรักษาแตกต่างกนั ดงั นนั้ พยาบาลท่ีทำหนา้ ท่ีเตรยี มยาจะตอ้ งระมดั ระวงั และตรวจสอบขนาดยาอยา่ งละเอียดรอบคอบ 4) ถูกวิถีทางหรือวิธี (Right route หรือ Right method) หมายถึง การให้ยาผู้ป่วย อยา่ งถกู ช่องทางเพือ่ ให้ยาออกฤทธอิ์ ยา่ งมีประสิทธิภาพสงู สุด 5) ถูกเวลา (Right time) หมายถึง การให้ยาผู้ป่วยตรงเวลาหรือเวลาที่ถูกต้องเพื่อให้ ระดบั ความเขม้ ขนั ของยาในการรักษาเพียงพอ ยากอ่ นอาหาร ควรให้กอ่ นอาหาร 30 นาทถี ึง 1 ชั่วโมง ยาหลงั อาหารบางชนิดรับประทานหลังอาหารทนั ที ปกติให้หลงั อาหาร 30 นาทถี ึง 1 ช่วั โมง พยาบาล จำเปน็ ต้องรถู้ ึง สญั ลักษณ์/คำย่อ ความหมายของคำที่ใช้ในการบริหารยา ใหเ้ ป็นอย่างดี 6) บันทึกถูกต้อง (Right document) หมายถึง การบันทึกการให้ยาอย่างถูกต้อง การ ปฏิบัติการพยาบาลตามหลักสากล พยาบาลจำเป็นต้องมีการบันทึกเอกสารทางการพยาบาลเพื่อเป็น หลักฐานว่าผู้ป่วยไดร้ บั ยาอย่างถูกตอ้ งและปลอดภัย 7) ถูกเหตุผล (Right reason) หมายถึง การให้ยาผู้ป่วยอย่างมีเหตุผลสมควรและบอก เหตุผลนั้นใหผ้ ูป้ ่วยรับทราบ พยาบาลจำเปน็ ต้องอธิบายถงึ เหตุผล พรอ้ มท้งั สรรพคุณและผลข้างเคียง ของยานนั้ ๆให้ผู้ป่วยได้รับทราบ 229

8) ถูกความถี่ (Right frequency) หมายถึง การให้ยาถูกต้องตามความถี่และตรงเวลา เนื่องจากยามีค่าครึ่งชีวิตที่ออกฤทธิ์แตกต่างกันตามหลักการ haft way route การให้ได้รับยาตาม ชว่ งเวลาที่เหมาะสมจะทำใหม้ ีผลต่อการรกั ษาได้ผลดี เชน่ ให้ยาทกุ 8 ช่วั โมง เปน็ ตน้ 9) ผู้ป่วยมีสทิ ธิปฏิเสธการรับยา (Right to refused) โดยการปฏิเสธนั้น พยาบาลได้ให้ ข้อมูลผลเสียของการปฏิเสธยาแล้ว เป็นการอธิบายผลเสียที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว แต่ผู้ป่วยยังคง ยนื ยนั การปฏเิ สธยา 10) ประเมินก่อนและหลังให้ยาอย่างถูกต้อง (Right evaluation) เป็นการประเมิน ประวัติการแพ้ยา การใช้ยาที่มีอยู่เดิม ยาที่รับประทานเป็นประจำ (medication reconciliation) รวมถึงการเฝา้ ระวังการแพย้ า อาการผิดปกตติ า่ ง ๆ ภายหลงั การใหย้ า 7.3.2 อาการไม่พงึ ประสงคจ์ ากการใชย้ า (Adverse drug reaction: ADR) อาการไมพ่ ึงประสงคจ์ ากการใช้ยา (Adverse drug reaction: ADR) หมายถึง อาการไม่ พงึ ประสงคจ์ ากการใหย้ าในขนาดปกติ โดยมลี กั ษณะตา่ ง ๆ ดังตอ่ ไปน้ี 1) ผลข้างเคียงจากยา (side effect) เป็นอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้จากการใช้ ยาในขนาดรกั ษาโดยอาจไม่เคยไดร้ ับยาน้ันมาก่อน เช่น อาการงว่ ง ปากแห้ง 2) การแพ้ยา (Allergy reaction) เกิดจากการที่ร่างกายมีความไวต่อการตอบสนอง ต่อยาตัวนั้นที่มากกกว่าคนทั่วไป อาจเกิดขึ้นทันทีหรือเกิดภายหลังได้รับยาไประยะหนึ่ง อาจมีตั้งแต่ การแพเ้ ล็กน้อย เช่น ผ่ืน แดง คัน จนถึงขั้นรนุ แรง ทีเ่ รยี กว่า Anaphylaxis shock ผู้ป่วยจะมีอาการ หลอดเลือดตีบ หายใจลำบาก ความดันโลหิตต่ำ อาจเสียชีวิตได้ ตัวอย่าง Anaphylaxis shock เช่น Steven Johnson Syndrome 3) พิษจากยา (Drug toxicity) เกิดจากการได้รับยาเป็นเวลานาน ได้รับยาบ่อย ทำ ใหย้ ามีการสะสมในกระแสเลือด การใช้ยาในทางผดิ (Drug abuse) เกิดจากการใช้ยาเป็นเวลานานจน ติดเป็นนิสยั ส่วนใหญเ่ กดิ จากการซือ้ ยารบั ประทานเอง 4) การด้อื ยา (Drug resistance) ร่างกายมกี ารตอบสนองตอ่ ยาลดลง แมใ้ ช้ในขนาด รักษา พบได้บ่อยในกลมุ่ ยาตา้ นเชอื้ จลุ ชีพ 5) การทนต่อยา (Drug tolerance) เกิดจากเคยได้รับยามาก่อนหลาย ๆ ครั้งเป็น เวลานาน ทำใหร้ า่ งกายมีความทนตอ่ ยา จึงตอ้ งใช้ยามากขึน้ 6) ปฏิกิริยากับยา (Drug interaction) เกิดจากการใช้ยาตั้งแต่ 2 ชนิดพร้อมกัน แล้วเกดิ ความไม่เข้ากนั ของยา 230

7.3.3 การใช้ยาอยา่ งสมเหตุผล (rational drug use: RDU) การใช้ยาอย่างสมเหตุผล เป็นการใช้ยาโดยมีข้อบ่งชี้ เป็นยาที่มีคุณภาพ มีประสิทธิผล จรงิ สนบั สนนุ ด้วยหลักฐานทเี่ ชือ่ ถือได้ ให้ประโยชน์ทางคลนิ ิกเหนือกว่าความเส่ียงจากการใช้ยาอย่าง ชัดเจน มีราคาเหมาะสม คุ้มค่าตามหลักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข ไม่เป็นการใช้ยาอย่างซ้ำซ้อน คำนึงถึงปัญหาเชื้อดื้อยา เป็นการใช้ยาในกรอบบัญชียายังผลอย่างเป็นขั้นตอนตามแนวทางพิจารณา การใชย้ า โดยใช้ยาในขนาดท่ีพอเหมาะกับผ้ปู ว่ ยในแต่ละกรณดี ้วยวิธีการใหย้ าและความถี่ในการให้ยา ที่ถูกต้องตามหลักเภสัชวิทยาคลินิก ด้วยระยะเวลาการรักษาที่เหมาะสม ผู้ป่วยให้การยอมรับและ สามารถใชย้ าดังกล่าวได้อยา่ งถกู ตอ้ งและต่อเนอ่ื ง กองทนุ ในระบบประกนั สขุ ภาพหรือระบบสวัสดิการ สามารถใหเ้ บกิ ยานน้ั ได้อย่างย่งั ยนื เป็นการใช้ยาที่ไมเ่ ลอื กปฏิบตั ิ เพื่อให้ผปู้ ่วยทุกคนสามารถใช้ยาน้ัน ได้อยา่ งเท่าเทียมกนั และไม่ถูกปฏเิ สธยาทีส่ มควรได้รบั 7.4 การบริหารยาทางปาก การบริหารยาทางปาก หมายถึง การให้ยาที่สามารถรบั ประทานผ่านทางปากได้ ชึ่งอาจอยู่ ในรปู ของยาเม็ด ยาแคปซลู (capsule) ยาผงหรือยาน้ำ มีวิธกี ารบริหารยาตามข้ันตอน ดังนี้ 1) ตรวจสอบใบบนั ทกึ การใหย้ าของผู้ป่วยกบั หรอื คำส่งั การรักษา 2) ล้างมอื ให้สะอาด 7 ข้ันตอน 3) เตรยี มอปุ กรณ์ เครือ่ งใช้ ได้แก่ (1) ถ้วยยาเม็ด ถว้ ยยาน้ำ ถาดใสถ่ ้วยยา (2) ใบแผนการรกั ษาและใบบนั ทกึ การบรหิ ารยา (MAR) (3) ยาตามแผนการรกั ษา ยาบางชนดิ อาจใช้หลอดดูด หลอดหยดยา ชอ้ นตวง (4) นำ้ ดืม่ สำหรับผู้ป่วย 4) หยิบยาท่ตี รงกบั ใบบนั ทึกการบรหิ ารยา (MAR) โดยมวี ธิ ใี นการหยบิ ยาดงั นี้ (1) จัดยาใส่ถ้วยยาตามขนาดทต่ี อ้ งการ โดยอา่ นฉลากยาอยา่ งนอ้ ย 3 ครง้ั คอื ก่อนหยิบ ยา กอ่ นเทยา และก่อนเกบ็ ยาเข้าท่ีเดิม (2) การจัดยาเม็ด เทเม็ดยาใส่ฝาขวดตามจำนวนทีต่ ้องการก่อนเทลงถ้วยยา ดังรูปภาพ ท่ี 7-3 231

รูปภาพที่ 7-3 แสดงวิธีการเทเม็ดยา ท่มี า: YouTube channel: nursing practice (3) ยานำ้ ให้เขย่าขวดยาจนยาทีต่ กตะกอนละลายกลายเปน็ เนื้อเดียวกนั หนั ฉลากไว้ ด้านบนหรือฉลากอยู่ในอุ้งมือ อีกมือหนึ่งถือถ้วยยาสูงระดับสายตา ใช้นิ้วหัวแม่มือกะขนาดของยาที่ ต้องการข้างถว้ ยยา ดงั รูปภาพท่ี 7-4 รูปภาพท่ี 7-4 แสดงการเทยานำ้ ที่มา: YouTube channel: nursing practice 232

(4) ยาผง เทลงถว้ ยยา เติมนำ้ สะอาดคนดว้ ยชอ้ นให้ยาละลายเขา้ กนั (5) ยาหยด ถา้ ขวดยาไม่มที ี่สำหรบั หยดยาใหใ้ ช้หลอดหยด (medicine dropper) 5) วางถว้ ยยาลงในถาด 6) ตรวจสอบความถูกต้องด้วยพยาบาลผรู้ บั ผิดชอบอีกหนง่ึ คนเพ่ือป้องกันความผดิ พลาด 7) ยกถาดยาไปที่เตยี งผปู้ ่วย ถา้ ยาจำนวนมากให้ใชร้ ถเขน็ หรือรถจัดยา 8) ตรวจสอบชื่อผู้ป่วยให้ตรงกับใบบันทึกการให้ยา โดยการถามให้ผู้ป่วยเป็นผู้บอกช่ือ และนามสกุลของตนเองและเปรียบเทยี บช่ือในใบบันทึกการบรหิ ารยา (MAR) เทียบกบั ป้ายขอ้ มือ 9) ส่งยาให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อหน้า พร้อมทั้งจัดหาน้ำให้ผู้ป่วยด้วย ให้ผู้ป่วยกลืนยา น้ำหรือยาเม็ดพร้อมกบั น้ำ ขณะที่ศีรษะและคออยู่ในลักษณะตัง้ ตรงหรือกม้ คอลงเล็กน้อย จะป้องกัน การสำลักได้ดีกว่าการแหงนคอขึ้น รอจนผู้ป่วยกลนื ยาหรือดื่มน้ำตามจนหมด ยกเว้นยาบางชนิดที่ไม่ ตอ้ งดมื่ นำ้ ตาม เช่น ยาแก้ไอ หรอื ยาท่ีตอ้ งการให้ละลายในปาก 10) บันทึกการให้ยาลงใบบันทึกการบริหารยา (MAR) และใบบันทึกการพยาบาล เรื่อง ขนาดของยา เวลาให้ยา อาการผิดปกติ (ถ้ามี) 11) เกบ็ ใบบันทึกการให้ยาเข้าท่ี 12) ลา้ งถ้วยยาให้สะอาด เช็ดให้แห้งเก็บเขา้ ที่ 13) ประเมินผลผูป้ ว่ ยภายหลงั การให้ยาแล้ว 30 นาทเี พอื่ ป้องกนั อาการข้างเคียงจากยา 7.5 การบรหิ ารยาทางผวิ หนังและเยือ่ บุ การบรหิ ารยาทางผวิ หนังและเยอ่ื บุเปน็ การบรหิ ารยาทม่ี ีลักษณะสามารถซึมเขา้ สู่เยื่อต่าง ๆ ได้แก่ ผิวหนัง เยื่อบุใต้ลิ้น เยื่อบุหู เยื่อบุตา เยื่อบุชอ่ งคลอด เยื่อบุทวารหนัก โดยรายละเอียดวิธกี าร บริหารยาของแต่ละช่องทางมดี ังนี้ 7.5.1 การใหย้ าทางใตล้ นิ้ (Sublingual medication) ขนั้ ตอนท่ี 1) – 4) ปฏบิ ัติเช่นเดียวกับการบรหิ ารยาทางปาก 5) บอกใหผ้ ูป้ ่วยอ้าปาก กระดกล้ินขน้ึ ใส่ยาลงไปใตล้ น้ิ ผปู้ ว่ ย 6) ใหผ้ ู้ป่วยปิดปาก และใชล้ ิ้นกดยาไวจ้ นกว่ายาละลายหมด ห้ามกลนื ยาไปท้ังเม็ด และ ไมต่ ้องด่มื นำ้ ตาม 233

รปู ภาพที่ 7-5 แสดงวิธกี ารให้ยาใตล้ นิ้ ทมี่ า: https://snacksafely.com 7.5.2 การใหย้ าทางผวิ หนังและเย่อื บุผวิ หนัง (Administering topical medication ขั้นตอนท่ี 1) – 4) ปฏิบตั เิ ชน่ เดียวกับการบริหารยาทางปาก 5) อธิบายวิธกี ารให้ยาเพอื่ ใหผ้ ้ปู ว่ ยรบั ทราบ 6) เตรียมบริเวณที่จะให้ยา โดยการล้างหรือเช็ดให้สะอาดและแห้ง สวมถุงมือหากต้อง สมั ผัสกบั สง่ิ คดั หลัง่ จากตัวผู้ป่วย หรอื ผู้ป่วยมีแผลเปดิ ท่ผี ิวหนัง 7) ใช้ผ้ายางหรือผ้ากันเปื้อน รองบริเวณที่จะให้ยา หากเป็นยาที่อาจทำให้เปียกช้ืน เปรอะเป้อื น 8) ใหย้ าผปู้ ว่ ยตามลักษณะของยา (1) ยาน้ำ (lotion) ให้เขย่าขวดยาจนยาผสมกันดี เทยาใส่ชามรูปไต ล้างมือให้ สะอาด สวมถงุ มอื ใช้ไม้ปา้ ยยาหรือใชแ้ ผน่ สำลชี ุบยาทาบางๆ บรเิ วณที่ตอ้ งการ (2) ยาขี้ผง้ึ (ointment) ลา้ งมอื ใหส้ ะอาด สวมถุงมือ บีบยาหรือป้ายยาลงบนผ้ากอซ หรือสำลีแผ่น ทายาบางๆ ลงบนผวิ หนงั (3) ยาผง (powder) ล้างมือให้สะอาด สวมถุงมือ เทยาลงบนผ้ากอซ แล้วใส่ยาลง บนบริเวณทต่ี อ้ งการ ถ้ายาอยใู่ นหลอดทพี่ น่ ได้ บบี หลอดยาพ่นลงบนผวิ หนังโดยตรง (4) ยาป้ายที่เป็นครีม (paste) ล้างมือให้สะอาด บีบยาจากหลอดลงบนกระดาษ สำหรับปิดยาตามแผนการรักษา พับริมการดาษเข้าหากัน หรือใช้ปลายไม้สะอาดเกลี่ยยาให้กระจาย ทั่วแผนกระดาษระวังอย่าให้ยาถูกผิวหนังของผู้เตรียมยา เพราะอาจทำให้ได้รับผลจากฤทธิ์ของยาได้ ปิดยาลงบนผิวหนังผู้ป่วยบริเวณที่แห้งสะอาดและไม่มีขน เพื่อให้ผิวหนังดูดซึมยาได้ดีข้น ปิด 234

ปลาสเตอร์ทับริมขอบกระดาษท่ปี ิดยา เพื่อยึดกระดาษปดิ ยาให้แนบสนทิ กับผวิ หนัง นำแผ่นปิดยาช้ิน เก่าที่ปิดไว้ก่อนหน้านี้ออก (ถ้ามี) ทำความสะอาดบริเวณที่ถูกปิดยา ไม่ปิดยาซ้ำตำแหน่งเดิม ควร หมุนเวยี นกันไป เพ่อื ลดการระคายเคอื งของผิวหนังบริเวณท่ีถูกยา 7.5.3 การใหย้ าทางตา (Instilling eye medication) 1) ตรวจสอบใบบันทึกการให้ยาให้ตรงกับแผนการรักษา ชื่อยา ขนาดยา ตาข้างที่จะ หยอด 2) ตรวจสอบยาให้ตรงกับใบบันทึกการบริหารยา (MAR) และตรวจสอบยายังไม่ หมดอายุ โดยพยาบาล 2 คน 3) อปุ กรณเ์ ครอื่ งใช้ ได้แก่ (1) ใบแผนการรักษาและใบบนั ทึกการบรหิ ารยา (MAR) (2) ยา พรอ้ มหลอดหยดปลอดเช้อื (3) อบั ใสส่ ำลปี ลอดเชือ้ พรอ้ มปากคบี ปลอดเช้ือ (4) น้ำยาปลอดเชื้อสำหรับเช็ดตา อาจเป็นน้ำต้มสุก หรือน้ำเกลือนอร์มัล (0.9 N.S.S) (5) ผา้ ปิดตาปลอดเชอื้ (6) ปลาสเตอร์ (7) ชามรปู ไต (8) ถาดใสย่ าและเครื่องใช้ 4) นำเครือ่ งใชใ้ สถ่ าดไปทเี่ ตยี งผปู้ ว่ ย บอกผูป้ ว่ ยให้ทราบ 5) จัดให้ผู้ป่วยนอนในท่าที่สบาย ในท่านอนหงายศีรษะเหยียดตรงหรือนั่งบนเก้าอ้ี แหงนศรี ษะไปทางด้านหลงั 6) ถ้าผู้ป่วยปดิ ตาไว้ ลอกปลาสเตอรอ์ อก แต่ยงั ไม่ตอ้ งเอาผ้าปดิ ตาออก 7) ลา้ งมือใหส้ ะอาด 7 ข้นั ตอน 8) หยิบผ้าปิดตาออก ทิ้งในชามรูปไต 9) เช็ดตาผู้ปว่ ยใหส้ ะอาดด้วยสำลี และน้ำยาเช็ดตาปลอดเชื้อหรือนำ้ เกลือนอร์มัล (0.9 % NSS) โดยเช็ดจากหัวตาไปหางตา ไม่เช็ดย้อนไปมา ถ้ายังไม่สะอาดให้ใช้สำลีชุบน้ำเกลือนอร์มัล (0.9 % NSS) ใหมอ่ กี 1 กอ้ น เพ่อื เชด็ ใหมอ่ ีกคร้ังแล้วทง้ิ สำลที ใี่ ชแ้ ล้วลงในชามรูปไต 235

10) หยิบสำลีแหง้ ใส่อุ้งมอื ตรวจดชู ื่อยาอีกคร้ังหนึง่ ดขู นาดยา และตาข้างทีจ่ ะหยอด 11) ดูดยาจากขวดเขา้ หลอดหยดตา ถา้ ขวดยาไมม่ ีทห่ี ยด 12) บอกใหผ้ ปู้ ว่ ยลมื ตา เหลอื บตามองข้ึนข้างบน 13) วางสำลีแหง้ ใต้หนังตาล่างใช้นิ้วชี้กดทบั สำลี ดึงหนงั ตาล่างลง 14) ใหย้ าทางตา ดงั นี้ (1) กรณยี าหยอด ใหห้ ยอดยาลงบนเย่ือบุเปลือกตาล่างด้านหางตา 1 หยด ให้ปลาย หลอดหยดห่างจากตา 1-2 ซม. หรือ ¾ นิ้ว ให้ผู้ป่วยหลับตา ใช้สำลีเช็ดน้ำยาที่ไหลออกทางด้านหาง ตา ทง้ิ สำลีลงในชามรูปไต หยบิ สำลีก่อนใหมก่ ดท่ีหวั ตา 30 วนิ าที เพือ่ ปอ้ งกนั นำ้ ยาไหลลงทอ่ นำ้ ตา รูปภาพที่ 7-6 แสดงวธิ กี ารหยอดตา A. ให้ผปู้ ว่ ยลืมตา มองขึ้นด้านบน B. ใช้นวิ้ ช้ีดงึ หนงั ตาลา่ งลง C. ให้หยอดยาลงบนเยอ่ื บุเปลือกตาลา่ งดา้ นหางตา 1 หยด ให้ปลายหลอดหยดห่างจากตา 1-2 ซม. ท่ีมา: https://www.emedicinehealth.com (2) กรณียาปา้ ย ให้ปา้ ยยาบนเย่ือบเุ ปลือกตาลา่ ง จากกงึ่ กลางตาไปหางตา ให้ปลาย หลอดยาหา่ งจากตาประมาณ 1 – 2 เซนตเิ มตร หรือ ¾ นิว้ จากนนั้ ให้ผู้ป่วยหลับตา ดึงหนังตาบนลง มาคลมุ หนงั ตาลา่ ง ใชส้ ำลีคลงึ ตาเบา ๆ เพ่ือให้ยากระจายตัว 236

รปู ภาพที่ 7-7 แสดงวิธีการปา้ ยตา ทมี่ า: https://www.jaypeedigital.com (3) กรณีท่มี กี ารใหย้ าทางตาตั้งแต่ 2 ชนดิ ขึน้ ไป ให้ใชย้ าแตล่ ะชนิดหา่ งหันอย่างน้อย 5 -10 นาที เพื่อให้ยาสามารถออกฤทธิ์ได้เต็มที่ การเรียงลำดับการใช้ยา ดังนี้ 1) ยาหยอดชนิดใส 2) ยาทแี่ ขวนตะกอน เป็นนำขนุ่ 3) ยาปา้ ยชนดิ ใส 4 ) ยาป้ายครมี เหนยี ว กรณีที่เป็นยาหยอดชนดิ ใสเช่นเดียวกันให้เลือกหยอดยาที่ค่า pH ต่ำก่อน เนื่องจาก ยาทีก่ รดกรดดูดซมี ไดด้ ีกว่ายาที่เปน็ ดา่ ง 15) ปดิ ฝาขวดยา และตรวจดชู ่ือยาอีกครัง้ หน่งึ 16) ถ้าต้องปิดตา ใช้ผ้าปิดตาปลอดเชื้อ (eye pad) ปิดให้เรียบร้อย และยึดติดด้วย ปลาสเตอร์ 17) เก็บยาเขา้ ที่ ทำความสะอาดเครือ่ งใช้และลา้ งมือ 18) บันทกึ การให้ยาลงในใบบนั ทกึ การบรหิ ารยา (MAR) 7.5.4 การใช้ยาทางหู (Instilling ear medication) ขน้ั ตอนที่ 1) – 3) ปฏบิ ตั เิ ช่นเดยี วกันกับการให้ยาทางตา 4) จดั ท่าผู้ป่วยตะแคงดา้ นตรงกันข้ามกับหูขา้ งทีจ่ ะหยอด 5) ล้างมือใหส้ ะอาด 7 ข้นั ตอน 6) ตรวจดใู นชอ่ งหูว่ามีหนองหรอื เลอื ดหรอื ไม่ ถา้ มีใช้สำลพี ันปลายไม้เชด็ ให้สะอาด 237

7) ดึงใบหูให้นิ้วหัวแม่มืออยู่ด้านหน้า นิ้วชี้และนิ้วกลางอยู่ด้านหลัง ในผู้ใหญ่ดึงไปข้าง หลงั และข้ึนขา้ งบน ส่วนในเดก็ ดงึ ไปขา้ งหลังและลงขา้ งล่าง เพื่อใหช้ ่องหูตรง 8) หยอดยาลงในหู ใหห้ ลอดหยดหา่ งจากชอ่ งหู 1 ซม. 9) กดบริเวณติ่งหน้าหู (tragus) เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้ยาไหลไปลึกๆ ใช้สำลีปิดช่องหู ดา้ นนอกไว้ ระวังอย่าใหส้ ำลีดดู ซบั น้ำยา 10) ใหผ้ ูป้ ่วยนอนท่าเดมิ ตอ่ อีก 5-10 นาที 11) เก็บยาเข้าท่ี และทำความสะอาดเคร่ืองใช้ 12) บนั ทกึ การใชย้ าลงในใบบันทึกการบริหารยา (MAR) และใบบันทกึ การพยาบาล ก. การหยอดหูในเด็ก ดงึ ตงิ่ หูลง ข. การหยอดหูในผใู้ หญ่ ดงึ ใบหขู ึน้ รูปภาพท่ี 7-8 แสดงวธิ หี ยอดหู ที่มา: https://quizlet.com 7.5.5 การใชย้ าทางจมกู (Instilling nasal medication) ขั้นตอนท่ี 1) – 3) ปฏบิ ตั ิเช่นเดยี วกันกบั การให้ยาทางตา 4) จัดผู้ป่วยอยู่ในท่านั่ง แหงนหน้า หรือท่านอนหงายรองหมอนหนุนใต้ไหล่ เพื่อให้ ศีรษะแหวนไปดา้ นหลังทำความสะอาด ส่ิงคัดหลง่ั ในช่องจมกู ออกให้หมด 5) ถือหลอดหยดยาเหนอื รจู มกู 1 ซม. บบี ยาลงไป จำนวนตามแผนการรกั ษา 6) ใหผ้ ปู้ ่วยอยใู่ นท่าเดิม 5 นาที ถึง 10 นาทีเพือ่ ป้องกันใหย้ าไหลออกมา 7) บันทกึ การใหย้ าลงในใบบนั ทึกการบรหิ ารยา (MAR) สงั เกตผลข้างเคยี งของยาภายใน 15-30 นาที และบันทกึ ในในบนั ทึกทางการพยาบาล 238

รูปภาพที่ 7-9 แสดงวธิ ีหยอดจมกู ท่ีมา: http://medical-dictionary.thefreedictionary.com 7.5.6 การใสย่ าทางชอ่ งคลอด (Inserting medication into vagina) 7.5.6.1 การใสย่ าชนดิ เมด็ ข้นั ตอนท่ี 1) – 3) ปฏิบัติเช่นเดยี วกันกบั การใหย้ าทางตา 4) อธิบายให้ผูป้ ว่ ยทราบ กน้ั ม่าน 5) ให้ผู้ป่วยถา่ ยปัสสาวะ 6) ปิดตาให้ผู้ป่วย จัดให้ผู้ป่วยนอนหงายราบ งอเข่า กางขาออกด้านข้าง คลุมผ้าให้ เรียนร้อย เปิดเฉพาะส่วนเทา่ ท่ีจำเปน็ เพือ่ รักษาความเปน็ ส่วนตวั ของผปู้ ว่ ย 7) ฉกี กระดาษตะก่ัวท่ีหุ้มเมด็ ยาออก โดยใหย้ ายงั อยู่ในกระดาษห่อ 8) ลา้ งมือใหส้ ะอาด 7 ขัน้ ตอน สวมถงุ มือ 8) หยิบเม็ดยาสอดเขา้ ช่องคลอดไปตามผนงั ดา้ นหลงั ช่องคลอด ใช้นิ้วชี้ดันเข้าไปลึก ประมาณ 3.5-4 น้วิ ฟุต 239

รูปภาพท่ี 7-10 แสดงการเหน็บยาชอ่ งคลอดโดยใช้นวิ้ ทม่ี า: https://www.wikiwand.com 9) จัดให้ผู้ปว่ ยนอนในท่าทีส่ บาย พักนาน 15 นาที เพ่ือใหย้ าถกู ดูดซึม 10) บนั ทกึ การใหย้ าลงในใบบนั ทกึ การบรหิ ารยา (MAR) และใบบันทึกการพยาบาล 7.5.6.2 การใสย่ าชนดิ ครีม 1) ขอ้ 1) -6) ปฏิบัตเิ ชน่ เดยี วกบั การใส่ยาชนิดเม็ด 7) สอดเครื่องมือ (applicator) ซึ่งบรรจุยาที่เป็นครีมหรือยาขี้ผึ้งเข้าในช่องคลอด ประมาณ 1.5-2 นิว้ ฟตุ ดนั ลูกสูบให้ยาไหลเข้าไปในช่องคลอดจนหมด เอาเครื่องมือ (applicator) ออก รูปภาพที่ 7-11 แสดงการใส่ยาเขา้ ช่องคลอดโดย applicator ทมี่ า: https://www.wikiwand.com 8) ทำความสะอาดผิวหนังผปู้ ่วยด้วยกระดาษ หากมยี าหกล้นออกมา 240

9) จดั ให้ผู้ป่วยนอนในท่าทส่ี บาย พกั นาน 15 นาที เพือ่ ใหย้ าถกู ดดู ซมึ 10) บนั ทึกการใหย้ าลงในใบบันทึกการให้ยาและใบบันทึกการพยาบาล 7.5.7 การใส่ยาทางทวารหนกั (Inserting medication into the rectum) ข้ันตอนท่ี 1) – 3) ปฏิบตั ิเช่นเดยี วกันกบั การใหย้ าทางตา 4) จัดใหผ้ ปู้ ว่ ยนอนในท่าตะแคงซ้าย (sim’s position) คลุมผา้ เปดิ เฉพาะบริเวณกน้ 5) ลา้ งมือให้สะอาด ฉกี กระดาษตะกัว่ ท่ีห่อเม็ดยาออก โดยให้ยายงั อยู่ในกระดาษห่อ 6) สวมถุงมือ ทาสารหล่อลื่นที่นิ้วชี้มือข้างที่จะสอดเม็ดยา ใช้มืออีกข้างหนึ่งแหวกก้น ผู้ป่วย 7) สอดเม็ดยาเข้าไปในรูปเปิดทวารหนัก ใช้นิ้วชี้ดันเม็ดยาเข้าไปจนพ้นหูรูดทวารหนัก บอกใหผ้ ปู้ ว่ ยหายใจทางปากขณะทำการสอดยา รปู ภาพที่ 7-12 แสดงการสอดยาเขา้ ทางทวารหนกั ท่ีมา: https://aplmed.com 8) ใช้กระดาษเช็ดทำความสะอาดบริเวณทวารหนักซึ่งอาจเปียกชื้นจากสารหลอ่ ลื่น แล้ว ถอดถุงมือ 9) จดั ให้ผู้ปว่ ยนอนในท่าสบาย 10) ลงบนั ทึกการใหย้ าในใบบันทกึ การบรหิ ารยา (MAR) และบันทกึ การพยาบาล 241

7.6 การบริหารยาฉดี การบริหารยาฉีดหรอื การฉดี ยา (Injections) เป็นการให้ยาเขา้ สู่ร่างกายโดยใช้กระบอกฉีด ยา (syringe) และเขม็ ฉีดยา (needle) ซง่ึ กระบอกฉดี ยา (syringe) ประกอบดว้ ยส่วนของ แกนลูกสูบ (plunger) เป็นส่วนทีใ่ ช้ในการดันยาเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย บริเวณของแกนลูกสูบ (plunger) ห้ามใช้มอื จับเพราะเปน็ พ้ืนที่ปลอดเชือ้ แตส่ ามารถจับสว่ นปลายของแกนลกู สูบ (plunger) ได้ ส่วนถดั มาคือส่วน ปลายบนของแกนลกู สูบ (plunger tip) ซ่ึงจะสวมอยู่ภายในส่วนกระบอก (barrel) ส่วนประกอบของเข็มฉีดยา (needle) ประกอบด้วยส่วนหัวของเข็ม (hub) ซึ่งต่อกับ กระบอกฉดี ยาและส่วนของเขม็ กลวง (cannula) ดงั แสดงในรปู ภาพที่ 7-14 รูปภาพที่ 7-13 แสดงสว่ นประกอบของกระบอกฉีดยาและเข็มฉดี ยา ที่มา: https://veryserioso.wordpress.com ลักษณะของขวดยาที่ใช้สำหรับการฉีดมีทั้งหมด 2 ลักษณะ คือ 1) ขวดยาฉีด (Vial) สามารถบรรจุยาได้ทง้ั ยาชนดิ ผง (powder) และน้ำใส (solution) 2) หลอดยาฉดี (ampule) สามารถ บรรจไุ ด้เฉพาะนำ้ ใส (solution) เท่านัน้ 242

กข รปู ภาพที่ 7- 14 แสดงลกั ษณะขวดยาฉีด ก. ขวดยาฉีด (Vial) ข. หลอดยาฉดี (ampule) ทมี่ า: https://stock.adobe.com 7.6.1 วิธีการเตรยี มยาฉีด กอ่ นการฉีดยาต้องตรวจสอบยาให้ถูกต้องตรงกับคำส่ังการรกั ษาก่อนแลว้ จึงเตรยี มยา กรณี ยาที่เป็นน้ำใส (solution) สามารถนำไปฉีดได้เลย ยกเว้นยาที่มีความเข้มข้นสูง อาจทำลายเนื้อเย่ือ ต้องมีการเจือจางยาก่อน สำหรับยาที่เป็นผง (powder) ต้องทำละลายก่อนจึงจะสามารถนำไปฉีดได้ รายละเอียดการเตรียมยา ดังนี้ 7.6.1.1 การเตรียมยาฉีดทอ่ี ยู่ในหลอดแก้ว (ampule) ยาที่อยู่ในหลอดแก้ว (ampule) จะยาที่เป็นน้ำใส (solution) ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำ ละลายแต่อาจต้องมีการเจือจางยาก่อนกรณที่ยามีความเข้มข้นสูงหรือระคายเคืองได้สูง วิธีการนำยา ออกจากหลอดแกว้ (ampule) ดงั น้ี 1) ต้งั หลอดยาข้ึน ถ้ามยี าคา้ งอยู่ทีป่ ลายหลอด ใช้นว้ิ เคาะใหย้ าไหลลงมาที่ก้นหลอด ใหห้ มด 2) เช็ดคอหลอดยาและใบเลื่อยด้วยแอลกอฮอล์ 70% เลื่อยรอบๆ คอหลอดยาให้ เปน็ รอย 3) ยาบางชนิดมีรอยเส้นสีเข้มคาดอยู่รอบๆ คอหลด ให้หักคอหลอดยาได้เลยโดยไม่ ต้องเลื่อย แต่ก่อนหักให้เช็ดรอบคอหลอดยาด้วยแอลกอฮอล์ 70 % วิธีหักให้ใช้สำลีแห้งหรือก๊อซ ปลอดเชื้อวางระหว่านิ้วชี้กับคอหลอดยา หักคอหลอดยาออกนอกตัวลงไปที่สำลีหรือก๊อซที่รองรับ หรอื ใชอ้ ปุ กรณห์ กั หลอดยา 243

4) เตรียมกระบอกฉีดยา ต่อหัวเข็มเบอร์ 18 หรือ 20 ที่กระบอกฉีดยาจับหัวเข็ม หมนุ และดันเขา้ ให้ดา้ นปลายตดั เข็มหงายขึ้นอยดู่ า้ นเดยี วกับสเกลของกระบอกฉดี ยา 5) ใช้มือข้างถนัดถือกระบอกฉีดยา ใช้นิ้วชี้ประคองทีห่ ัวเข็ม นิ้วก้อยประกอบลกู สบู ให้อยตู่ รงกบั ท่ี น้ิวทีเ่ หลือจบั กระบอกฉดี ยา ส่วนมืออีกขา้ งหนึง่ คบี หลอดยาด้วยน้ิวชีแ้ ละนิว้ กลาง 6) สอดปลายเข็มเข้าไปในหลอดยา ดูดยาออกมาตามจำนวนทีต่ ้องการ รปู ภาพที่ 7-15 แสดงวิธีการดูดยาจากหลอดยา ท่ีมา: https://stock.adobe.com 7) อ่านชื่อยาที่ข้างหลอดยา ตรวจสอบกับใบบันทึกการให้ยาอีกครั้งหนึ่งก่อนท้ิง หลอดยา 8) เปลี่ยนเข็มอันใหม่ตามขนาดที่จะใช้ฉีดให้ผู้ป่วย โดยไม่ต้องดึงปลอกเข็มออก หมุนเข็มให้ยดึ แน่นกบั กระบอกฉีดยา ใหป้ ลายตัดอยู่ดา้ นเดยี วกับสเกลและหันเข้าหาตัวผู้ฉดี 7.6.1.2 วธิ กี ารเตรยี มยาฉีดท่ีอย่ใู นขวด (vial) สำหรับยาฉดี ชนดิ ที่เปน็ ยาน้ำบรรจุอยู่ในขวดใช้ฉีดไดโ้ ดยไม่ต้องผสม ยกเว้นยาที่มีความ ระคายเคืองมากอาจมีการผสมในตัวทำละลายก่อน (การเตรียมยาให้ดูตามฉลากยาหรือหนงั สอื ตำรับ ยา) ชนิดที่เป็นยาผงต้องผสมกับน้ำกลั่น (sterile water) หรือตัวทำละลายที่มาพร้อมกับขวดยา วธิ ีการเตรียมยาผง (vial) ดงั น้ี 1) ตรวจสอบใบบันทึกการใหย้ ากับแผนการักษาของแพทย์ 2) หยิบยาใหต้ รงกับใบบันทกึ การให้ยาและตรวจสอบยายงั ไม่หมดอายุ 244

3) ลา้ งมอื ให้สะอาด 7 ขน้ั ตอน 4) ใช้แอลกอฮอล์ 70% เชด็ จกุ ยางของขวดยาผง ขวดนำ้ กลั่น (sterile water) หรือ ตวั ทำละลายที่มากับยา 5) เตรียมกระบอกฉดี ยาต่อหวั เขม็ เบอร์ 18 หรือ 20 6) ดดู อากาศเข้าในกระบอกฉีดยาเทา่ กับจำนวนน้ำกล่ัน (sterile water) หรือตัวทำ ละลายตามตอ้ งการ 7) แทงเข็มตรงจุกยางของขวดน้ำกลั่นหรือตวั ทำละลาย ดันอากาศเข้าไปดูดน้ำกลั่น ออกมาเทา่ จำนวนที่จะผสม 8) แทงเขม็ ตรงจุกยางของขวดยา ดนั ลกู สูบใหน้ ำ้ กลน่ั หรือตวั ทำละลายเข้าไปในขวด ยา 9) ถือขวดยาในอุ้งมือ หมนุ ขวดยาใหย้ าละลายเข้ากันจนหมด อยา่ เขยา่ เพราะจะทำ ใหเ้ กดิ ฟอง 10) ดูดอากาศเข้าในกระบอกฉีดยาเท่าจำนวนยาทีต่ ้องการ 11) แทงเข็มตรงจุกยางของขวดยา ดันอากาศเข้าไป ดูดยาออกมาแทนให้ครบตาม ขนาดที่ต้องการ 12) อา่ นชือ่ ยาทข่ี ้างขวด ตรวจสอบกบั การด์ ยาอีกครัง้ หนงึ่ ก่อนเกบ็ ขวดยา 13) หลังจากน้ี ทำเชน่ เดียวกบั การฉดี ยา ampule 7.6.1.3 การคำนวณยา กรณีท่ไี ม่ได้ใหย้ าทง้ั หมดสามารถคำนวณยาทตี่ ้องใหผ้ ปู้ ่วยตามแผนการรักษาไดจ้ ากสตู ร ปรมิ าณยาท่ตี ้องการ = ขนาดยาตามแผนการรกั ษา x ปริมาณยาทั้งหมด ขนาดยาทั้งหมด ตัวอย่าง คำส่งั การรักษา Meropenem 250 mg V q 12 hr. ยา 1 ขวดมี 500 mg เม่อื ทำละลายยาแลว้ ได้ 11 มลิ ลลิ ิตร คำนวณปรมิ าณยาทต่ี ้องใหผ้ ู้ป่วย ดงั น้ี ปรมิ าณยาท่ตี ้องการ = 250 x 11 = 5.5 มลิ ลิลติ ร 500 245

7.6.2 วิธีการฉดี ยาเขา้ ช้ันผวิ หนัง (intradermal injection) 1) ตรวจสอบใบบันทกึ การบรหิ ารยา (MAR) กับคำส่ังการรักษาของแพทย์ 2) หยบิ ยาให้ตรงกบั บันทกึ การให้ยาและตรวจสอบยายังไม่หมดอายุ 3) อปุ กรณ์เครือ่ งใช้ ได้แก่ (1) ใบคำสั่งการรักษาของแพทย์และใบบันทึกการบริหารยา (Medication Administration Record: MAR) (2) ยาตามแผนการรกั ษา (3) เข็มปลอดเชื้อ (needle) เบอร์ 25-27 ความยาว 1 – 1½ นิ้ว สำหรับฉีดและ เบอร์ 18-20 สำหรับผสมและ/หรอื ดดู ยา (4) กระบอกฉีดยาปลอดเชื้อ (syringe) ควรใช้ขนาด 1 มิลลิลิตรหรือใช้กระบอกฉีด ยาสำหรับฉดี tuberculin (5) น้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ 70% (6) สำลปี ลอดเชอ้ื บรรจใุ นภาชนะปลอดเชือ้ (7) ปากคีบปลอดเชื้อพร้อมกระปุก (8) ชามรูปไต 1 ใบ (9) ถาดใสเ่ คร่ืองใชห้ รือรถเขน็ (10) ภาชนะใส่เข็มทใ่ี ชแ้ ล้ว (safety box) 4) แจง้ ใหผ้ ู้ป่วยทราบ 5) ล้างมอื ให้สะอาด 7 ขัน้ ตอน 6) ใช้กระบอกฉีดยาปลอดเชื้อขนาดบรรจุ 1-3 มิลลิลิตร เตรียมยาฉีดตามหลักการ ปลอดเชื้อ แล้วเปลี่ยนเข็มอันใหม่เป็นขนาดเบอร์ 24-26 ความยาว 3/8-5/8 นิ้ว หมุนเข็มให้ยึดแน่น กับกระบอกฉีดยา ให้ปลายตดั อยดู่ า้ นเดยี วกับสเกลและหนั เข้าหาตัวผฉู้ ีด 7) เลือกตำแหน่งที่ฉีดยา หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีรอยถลอก อักเสบ ช้ำ บวมหรือรอย แผลเป็น โดยตำแหน่งการฉีดยาที่เหมาะสม คือ (1) ท้องแขนด้านหน้า (2) หน้าอกส่วนบน (3) ส่วน หลังใต้กระดกู สะบัก 8) เช็ดบริเวณที่จะฉีดยาด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดเป็นวงกลมจากตรงกลาง ออกมาด้านนอกไปกวา้ งประมาณ 5 เซนติเมตร หรอื 2 นิว้ (Potter& Perry, 2017) 246

9) ถอดปลอกเขม็ ออก 10) ขณะทร่ี อใหแ้ อลกอฮอลแ์ ห้ง ไล่อากาศในกระบอกฉีดยาโดยจบั กระบอกฉีดยาให้ตั้ง ตรง ค่อยๆ ดนั ลกู สูบจนกระทง่ั เห็นยาเขา้ ไปอยู่ในหวั เขม็ ตรวจสอบจำนวนยาใหถ้ ูกตอ้ ง 11) ใช้มือขา้ งทีไ่ มถ่ นดั ดงึ ผวิ หนงั บริเวณท่จี ะฉดี ยาใหต้ งึ 12) หงายปลายตัดของเขม็ ขึ้นทำมุม 5-15 องศา กับผิวหนังแทงเขม็ เข้าไปในผิวหนังถงึ ชั้นหนังแท้ (dermis) ลึกประมาณ 3 มิลลิเมตร หรือ 1/8 นิ้ว ซึ่งจะสังเกตเห็นปลายเข็มที่อยู่ใต้ช้ัน ผิวหนงั ได้ รปู ภาพท่ี 7-16 แสดงแสดงวิธแี ทงเข็มฉีดยาเข้าชนั้ ผิวหนัง (intradermal injection) ท่ีมา: https://www.freepik.com 13) ดันยาเข้าไปในผิวหนังผู้ป่วย ถ้ายาซึมออกมา แทงเข็มลึกเข้าไปอีกเล็กน้อย เมื่อดัน ยาเข้าไปจะเห็นตุ่มนูน (bleb) ขึ้น ขนาดประมาณ 6 มม. (1/4 นิ้ว ) ถ้าไม่มีตุ่มนูนขึ้น ถอนเข็มออก เล็กน้อยแล้วจึงดนั ยาใหม่จะมแี รงต้าน 14) ถอนเขม็ ฉีดยาออก หา้ มกดหรอื นวดบรเิ วณที่ฉดี เพราะจะทำใหย้ ากระจายเข้าไปใน เนอื้ เยอ่ื 15) อยู่กับผู้ป่วยประมาณ 3-5 นาที สังเกตอาการของผู้ป่วยที่อาจมีปฏิกิริยาต่อยา อาการแพ้ เช่น ไอ หอบ เหนื่อย ชีพจรเบาเร็ว หรอื หมดสติ 16) บันทึกลงในใบบันทึกการให้ยาและใบบันทึกการพยาบาลเกี่ยวกับ ยา ขนาด เวลา วถิ ที างและบริเวณท่ใี ห้ 247

17) ประเมินสภาพผู้ป่วยบริเวณที่ฉีดยาภายใน 48-72 ชั่วโมง โดยวัดและบันทึก เสน้ ผา่ ศนู ย์กลางเปน็ มลิ ลเิ มตรบรเิ วณท่มี รี อยแดงและแข็ง รปู ภาพท่ี 7-17 แสดงลักษณะตุม่ นนู เม่ือฉดี ยาเข้าช้นั ผิวหนงั ทม่ี า: https://stock.adobe.com 7.6.3 วิธีการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง (hypodermic injection or subcutaneous injection) 1) ตรวจสอบใบบันทึกการบริหารยา (MAR) ให้ตรงกับแผนการรักษาของแพทย์เพื่อ ป้องกันความผดิ พลาดตรวจสอบยาให้ตรงกบั ใบบันทึกการให้ยา 2) ตรวจสอบยายังไมห่ มดอายุเพือ่ ความปลอดภยั ของผู้ปว่ ย 3) เตรยี มอปุ กรณเ์ ครอ่ื งใช้ ได้แก่ (1) ใบคำสั่งการรักษาของแพทย์และใบบันทึกการบริหารยา (Medication Administration Record: MAR) (2) ยาตามแผนการรกั ษา (3) เข็มปลอดเชื้อเบอร์ 25-27 ความยาว 1 – 1½ นิ้ว สำหรับฉีดและเบอร์ 18-20 สำหรบั ผสมและ/หรือดูดยา (4) กระบอกฉดี ยาปลอดเชื้อ มกั ใชข้ นาด 1 มิลลิลติ ร หรอื กระบอกฉีดยาสำหรับฉีด tuberculin 248

(5) น้ำยาฆา่ เช้ือ เช่น แอลกอฮอล์ 70% (6) สำลีปลอดเชื้อบรรจุในภาชนะปลอดเชือ้ (7) ปากคีบปลอดเช้อื พรอ้ มกระปกุ (8) ชามรปู ไต 1 ใบ (9) ถาดใสเ่ ครือ่ งใช้หรือรถเขน็ (10) ภาชนะใส่เขม็ ทใี่ ชแ้ ล้ว (safety box) 4) ลา้ งมือใหส้ ะอาด 7 ขน้ั ตอนเพื่อป้องกนั การนำเช้อื โรคสผู่ ้ปู ว่ ย 5) ใช้กระบอกฉีดยาปลอดเชื้อขนาดบรรจุ 1-3 มิลลิลิตร เตรียมยาฉีดตามจำนวนท่ี ต้องการ แลว้ เปล่ยี นเข็มสำหรับฉีดเป็นขนาดเบอร์ 24-26 ความยาว 3/8-5/8 นวิ้ 6) ถามชื่อและนามสกุล โดยให้ผู้ป่วยเป็นผู้บอกชื่อและนามสกุลของตัวเองในรายที่ไม่ สามารถสื่อสารไดใ้ ห้ดทู ีป่ ้ายขอ้ มอื 7) เลือกตำแหน่งทฉ่ี ีดยาท่ีไม่มกี ารอักเสบ บวม แดง คนั มแี ผลเป็นไตแข็งหรือลักษณะ เน้อื เยอื่ ถูกทำลายเน่ืองจากฉีดยาซ้ำทบี่ ่อยๆ โดยตำแหน่งทเ่ี หมาะสม ได้แก่ (1) ต้นแขนใกล้ไหล่ (2) ดา้ นหลังต้นแขน (3) หน้าขาด้านขา้ ง (4) หน้าทอ้ ง (5) เอวด้านหลงั 8) เช็ดบริเวณที่ฉีดยาด้วยแอลกอฮอล์ 70% เช็ดจุดที่จะแทงเข็มหมุนออกเป็นวงกลม กวา้ ง 2 น้วิ รอใหแ้ ห้ง รูปภาพที่ 7-18 แสดงตำแหน่งทีฉ่ ดี ยาเขา้ ใตผ้ วิ หนัง ท่ีมา: https://www.shutterstock.com 249


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook