Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Funda-Nursing ฉบับปี 2023

Funda-Nursing ฉบับปี 2023

Published by jitrada.sin, 2023-06-11 13:00:28

Description: Funda-Nursing2023

Keywords: Fundamental,Funda Nursing,Funda,Nursing,Basic,Basic nursing,PBRU,Jitrada,Nurse

Search

Read the Text Version

ข้อ 4 การเตรียมอุปกรณ์ให้ Oxygen mask with bag 8 Lit/min ข้อใดถูกต้อง (ตอบได้หลาย ขอ้ ) 1. 2. 3. 4. 5. 6. ข้อ 5 การทำความชนื้ ในการใหอ้ อกซเิ จน ข้อใดถูกต้อง 1. เตมิ 0.9 % NSS 1/3 ของกระบอกทำความชื้น 2. เติม 0.9 % NSS 2/3 ของกระบอกทำความชืน้ 3. เติม Sterile water 1/3 ของกระบอกทำความชื้น 4. เตมิ Sterile water 2/3 ของกระบอกทำความชื้น ข้อ 6 การให้ออกซิเจนในข้อใด ตอ้ งเปิดทำความชน้ื แบบละอองฝอย (jet) 1. Cannula 2. Collar mask 3. Simple Mask 4. Mask with bag 450

ขอ้ 7 การเลือกวธิ ีการให้ออกซิเจน 20 LPM ขอ้ ใดเหมาะสม 5. Oxygen hood 6. Simple mask 7. Mask with reservoir bag 8. High flow nasal cannula ข้อ 8 ค่าความเข้มข้นของออกซเิ จน (SpO2) ในข้อใดทค่ี วรหยดุ ให้ออกซิเจน 1. 90 % 2. 92 % 3. 94 % 4. 96 % ข้อ 9 หนา้ กากในขอ้ ใดทใ่ี ช้สำหรบั พ่นยา 1. Collar mask 2. Simple Mask 3. Tracheal mask 4. Mask with bag ข้อ 10 การพ่นยาตอ้ งเปดิ อตั ราการไหลของออกซเิ จนกีล่ ิตรต่อนาที 1. 4 ลติ รต่อนาที 2. 8 ลิตรตอ่ นาที 3. 10 ลิตรตอ่ นาที 4. 12 ลิตรต่อนาที 451

12.6 แบบประเมินทักษะปฏบิ ตั กิ ารให้ออกซเิ จน คณะพยาบาลศาสตร์และวิทยาการสขุ ภาพ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เพชรบรุ ี วชิ าการพยาบาลพ้นื ฐาน แบบประเมินทักษะการให้ออกซเิ จน (Oxygenation) ชือ่ ................................................สกุล................................รหัสนกั ศึกษา...................................................... คำชีแ้ จง โปรดทำเคร่ืองหมาย  ลงในช่องท่ีตรงกับผลการปฏบิ ัติ ผลการปฏิบตั ิ หมาย วธิ กี าร ปฏิบตั ิ ไม่ปฏิบัติ เหตุ (1) (0) ลำดบั ขัน้ เตรยี ม 1 ประเมินลักษณะการหายใจ (ลึก/ตน้ื เรว็ /ชา้ เสียงการหายใจ 2 วัดค่า Oxygen saturation (SpO2) 3 ทักทายผ้ปู ่วยและแนะนำตนเอง 4 อธบิ ายวัตถปุ ระสงค์ของการใหอ้ อกซเิ จนให้ผ้ปู ่วยทราบ 5 เตรยี มอุปกรณถ์ ูกต้อง ครบถว้ น พรอ้ มใช้ 6 จดั ท่าศีรษะสูงประมาณ 15- 30 องศา หากไมม่ ีข้อจำกดั ขั้นปฏิบัติ 7 ลา้ งมือถูกวิธี 7 ข้ันตอน 8 สวม Flow meter กบั แหลง่ ออกซเิ จนท่ีผนงั (Pipe-line)/ ถัง (Tank) 9 ต่อกระบอกความชนื้ ท่ีใส่น้ำกล่ันปลอดเชื้อ (Sterile water) ให้ระดับน้ำกลั่นอยู่ 2/3 ของกระบอกความช้นื 10 เปิดการทำความช้ืน -แบบละอองโต (bubble) สำหรับการให้ Nasal cannula, Mask 452

วิธกี าร ผลการปฏิบตั ิ หมาย ลำดับ ปฏิบัติ ไม่ปฏบิ ัติ เหตุ (1) (0) - ละอองฝอย(jet) สำหรับ Collar mask, Oxygen Hood 11 สวมสายออกซเิ จนกบั ท่อของเครื่องปรบั ความชนื้ 12 หมุนปมุ่ เปิด Flow meter ปรับอตั ราการไหลของออกซเิ จน ตามแผนการรักษา ทดสอบการไหลของออกซิเจน 13 ใสส่ ายออกซิแจนชนิดตา่ ง ๆ ตามแผนการรักษา -Nasal cannula สวมเข้ยี ว (nasal prong) เขา้ ในช่องจมกู ทั้ง 2 ข้าง โดยให้ส่วนโค้งลง แนบไปกับโพรงจมูก คล้องสายกับใบหู 2 ข้าง ปรับสายใหพ้ อดกี บั ใตค้ าง -Simple mask เลือกขนาดให้พอเหมาะโดยสามารถครอบ จมูกและปากของผู้ป่วยพอดี ครอบหนา้ กากบรเิ วณสันจมูก และปากให้แนบสนิท ปรับสายคล้องทัดเหนือใบหูรอบศีรษะ จัดให้ พอดี -Mask with reservoir bag ให้เปดิ ออกซเิ จนไหลผ่านถงุ 15 ลติ ร/นาที จนถุงโปง่ เต็มที่ เพ่ือไล่ก๊าซอืน่ ท่คี า้ งใจถงุ ออกและทดสอบการรว่ั ของถุง แลว้ จงึ ปรบั การไหลตาม แผนการรักษา ครอบหนา้ กากบรเิ วณสนั จมกู และปากให้ แนบสนิท ปรบั สายคลอ้ งทดั เหนอื ใบหูรอบศีรษะ จดั ใหพ้ อดี -Collar mask ครอบท่ที อ่ หลอดลมคอ ปรับสายรดั ให้พอดี ขน้ั ประเมินผล 14 ประเมนิ ลักษณะการหายใจ อัตราการหายใจ oxygen saturation (≥ 95%) ขนั้ บนั ทกึ ผล 15 บันทกึ สภาวะของผ้ปู ่วยและลักษณะการหายใจ 16 บนั ทกึ ค่า oxygen saturation จาก pulse oximeter รวม (16 คะแนน) 453

ขอ้ เสนอแนะ ....................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... .......................................................ผู้ประเมิน (.....................................................................) วันที่...........เดือน..........................พ.ศ............... 12.7 เอกสารอา้ งอิง ณัฐสุรางค์ บุญจันทร์ และอรุณรัตน์ เทพนา. (2559). ทักษะพื้นฐานทางการพยาบาล. กรุงเทพฯ: หจก. เอน็ พีเพรส. ธนรัตน์ พรศิริรัตน์ และ สุรัตน์ ทองอยู่. (2563). การพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีภาวะพร่องออกซิเจน และได้รับการรักษาด้วย High Flow Nasal Cannula. เวชบันทกึ ศริ ิราช, 13(1), 60-68. สัมพันธ์ สันทนาคณิต, สุมาลี โพธิ์ทอง และ สุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พน้ื ฐาน II. กรุงเทพฯ: บริษทั บพธิ การพิมพ์ จำกดั . สุปราณี เสนาดิสัย และ วรรณภา ประไพพานิช. (2564). การพยาบาลพื้นฐาน ปรับปรุงครั้งท่ี 2. กรุงเทพฯ: บรษิ ัทจดุ ทอง จำกัด. สุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์ สุมาลี โพธิ์ทอง, และสัมพันธ์ สันทนาคณิต. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พ้ืนฐาน I.กรุงเทพฯ: บรษิ ัท บพิธการพิมพ์ จำกัด. อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2556). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 1. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บรษิ ัท ธนาเพรส จำกดั . อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2558). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 2. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บริษทั จรัลสนทิ วงศ์การพมิ พ์ จำกดั . อัจฉรา พุ่มดวง. (2559). การพยาบาลพื้นฐาน : ปฏิบัติการพยาบาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . Michael A Matthay, B Taylor Thompson, Lorraine B Ware. (2021). The Berlin definition of acute respiratory distress syndrome: should patients receiving high-flow nasal oxygen be included? The Lancet, 9, 933-936. Nettina SM. (2 0 1 4 ) . Manual of Nursing Practice. Philadelphia: Williams &Wilkins Lippincott. 454

Patricia A. Potter. (2 0 1 3 ) . Fundamentals of Nursing 8 th ed. St. Louis, Mo : Mosby Elsevier. Taylor ll. (2015). Fundamental of Nursing .8th ed. Philadelphia: Walters Kluwer. 455

แผนบริหารการสอนประจำบทที่ 13 หลกั การและเทคนคิ การพยาบาลพน้ื ฐานในการดูดเสมหะ หัวขอ้ เนอื้ หาประจำบท 1. ความรู้เบ้อื งตน้ เกีย่ วกบั ภาวะเสมหะค่งั คา้ ง 2. การพยาบาลผู้ปว่ ยท่ีต้องได้รบั การดูดเสมหะ 3. หลกั การและวิธีการดดู เสมหะทางทอ่ หลอดลมคอ จำนวนช่ัวโมงที่สอน: ภาคทฤษฎี 1 ชั่วโมง ภาคทดลอง 1 ชว่ั โมง วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. อธิบายหลักการดูดเสมหะทางทอ่ หลอดลมคอได้ 2. วางแผนการพยาบาลผูป้ ว่ ยทต่ี ้องได้รับการดดู เสมหะได้ 3. ปฏบิ ตั ิการดดู เสมหะทางท่อหลอดลมคอไดถ้ ูกต้อง 4. ปฏิบัติการดูดเสมหะทางท่อหลอดลมคอความเอื้ออาทร เคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ รายงานเมอ่ื เกดิ ขอ้ ผิดพลาด 5. ดูแลความสะอาด ความเรียบร้อยของวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกปฏิบัติใน หอ้ งปฏบิ ตั ิการและหอ้ งปฏิบตั กิ ารเสมือนจริงอยา่ งสมำ่ เสมอ วิธสี อนและกิจกรรมการเรียนการสอน 1. วิธสี อน 1.1 บรรยายแบบมีสว่ นร่วม 1.2 อภิปรายกลุ่ม 1.3 สอนดว้ ยเกม 1.4 สอนสาธิตและสาธติ ย้อนกลบั 1.5 ฝึกปฏบิ ัตใิ นสถานการณจ์ ำลองเสมอื นจรงิ 2. กจิ กรรมการเรยี นการสอน 2.1 ขน้ั นำ ถามผู้เรยี นถงึ อนั ตรายของภาวะเสมหะคัง่ ค้าง ผ้ปู ว่ ยทไ่ี ม่สามารถไอขับเสมหะได้ กระตนุ้ ใหผ้ ู้เรียนร่วมแสดงความคิดเหน็ 456

2.2 ข้นั สอน 1) บรรยายประกอบ Power point presentation เรื่อง ภาวะเสมหะคั่งค้างและ ยกตัวอย่างการวางแผนการพยาบาลผู้ป่วยท่ีมีปัญหาเสมหะคั่งค้าง กระตุ้นให้ผู้เรียนร่วมกันแสดง ความคดิ เห็น 2) บรรยายประกอบ Power point presentation เร่อื ง หลักการและวธิ กี ารดูดเสมหะ ตามชอ่ งทางการดดู เสมหะ 3) บรรยายประกอบสื่อวดิ ีทัศน์ เร่อื ง การดดู เสมหะทางท่อหลอดลมคอ 4) เล่นเกมแข่งขันการเลอื กสายดดู เสมหะทถี่ ูกต้องตามโจทยส์ ถานการณ์ 5) สอนสาธิตการดดู เสมหะทางทอ่ หลอดลมคอ 6) มอบหมายฝึกปฏิบัติการดูดเสมหะทางท่อหลอดลมคอในสถานการณ์จำลองเสมือน จริง 2.3 ขั้นสรุป กระตุ้นให้ผู้เรียนร่วมกนั สรุปหลักการสำคัญของดูดเสมหะทางท่อหลอดลมคอ ให้ผเู้ รยี นเล่นเกมดว้ ยโปรแกรมคอมพิวเตอรเ์ พื่อตอบคำถามทา้ ยบท ส่ือการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. โปรแกรมสำเร็จรูป Power Point Presentation, Quizizz.com 3. ส่ือวดิ ีทศั นป์ ระกอบการสอนใน YouTube channel: nursing practice 4. กรณีศกึ ษาในสถานการณจ์ ำลองเสมือนจริง 5. วัสดุ อุปกรณ์ หุ่น ในหอ้ งปฏบิ ัติการและหอ้ งปฏิบตั ิการเสมอื นจริง การวัดผลและประเมนิ ผล 1. การสังเกตการมสี ่วนร่วมในอภิปราย การตอบคำถาม พฤตกิ รรมการปฏิบัติการพยาบาล ด้วยความเอื้ออาทร ผ่านแบบสังเกตพฤติกรรมการเรียน ด้านคุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณ วิชาชพี พยาบาล (ภาคผนวก ก.) 2. การเล่นเกมตอบคำถามท้ายบท ผลคะแนนการเล่นเกมตอบคำถามท้ายบทถูกต้อง ร้อย ละ 80 ข้ึนไป 3. ประเมนิ ทกั ษะปฎิบตั กิ ารดูดเสมหะทางท่อหลอดลมคอ ผา่ นแบบประเมนิ ทักษะปฏบิ ตั ิ 457

บทที่ 13 หลกั การและเทคนคิ การพยาบาลพืน้ ฐานในการดูดเสมหะ การดูดเสมหะ (suction) เป็นการนำเอาเสมหะออกจากทางเดินหายใจในผู้ป่วยที่ไม่ สามารถไอขับเสมหะไดด้ ว้ ยตนเอง โดยการใสส่ ายดูดเสมหะ (suction catheter) ท่ีปราศจากเช้ือผ่าน เขา้ ไปทางปาก จมกู หรอื ทอ่ ชว่ ยหายใจชนิดต่างๆ เพ่ือดูดเสมหะที่คง่ั ค้างในระบบทางเดินหายใจออก การพยาบาลผปู้ ่วยท่ีมีเสมหะคงั่ คา้ ง มีรายละเอียดทเี่ กี่ยวข้องดงั นี้ 13.1 ความรู้เบือ้ งตน้ เกีย่ วกบั ภาวะเสมหะคงั่ คา้ ง ในภาวะปกติร่างกายของมนษุ ย์สามารถขับเสมหะออกได้เองโดยการไอ จาม หรือการกลนื แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีความผิดปกติในระบบทางเดินหายใจและไม่สามารถขับเสมหะออกได้เองอาจ ส่งผลให้กลไกของระบบทางเดนิ หายใจทำงานไดไ้ ม่มปี ระสทิ ธิภาพหรือในกรณผี ูป้ ว่ ยที่ได้รับการใสท่ อ่ ทางเดนิ หายใจชนิดต่าง ๆ เชน่ ท่อทางเดินหายใจทางปาก (endotracheal tube) ทอ่ ทางเดินหายใจ ทางจมูก (nasotracheal tube) และท่อเจาะคอ (tracheostomy tube) อาจส่งผลกระทบต่อกลไก การทำงานของระบบทางเดินหายใจได้ เช่น กระตุ้นให้ร่างกายมีการสร้างเสมหะเพิ่มขึ้น การรบกวน การทำงานของขนพดั โบก (cilia) ทำให้พดั โบกสง่ิ คัดหลงั่ บรเิ วณเยื่อบุทางเดินหายใจไดไ้ มส่ ะดวก และ ทำให้ฝาปิดกล่องเสียงปิดไม่สนิท ส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถไอเอาเสมหะออกมาได้ เสมหะผู้ป่วยจึง เหนียวข้น แห้งกรัง และอาจทำให้เกิดการอดุ กล้ันของทางเดินหายใจได้ ดังนั้นผูป้ ่วยจึงควรได้รับการ ดดู เสมหะเพ่ือทำใหท้ างเดนิ หายใจโลง่ 13.2 การพยาบาลผปู้ ่วยท่ตี ้องได้รบั การดดู เสมหะ 13.2.1 วตั ถุประสงค์ของการดูดเสมหะ 1) ช่วยขจดั เสมหะออกจากทางเดินหายใจ ทำใหผ้ ปู้ ว่ ยมที างเดินหายใจโลง่ 2) ป้องกันทางเดินหายใจอุดกั้น ภาวะปอดอักเสบ ถุงลมปอดแฟบ และการติดเชื้อใน ระบบทางเดินหายใจจากการมเี สมหะคงั่ คา้ ง 3) เพื่อส่งเสริมการระบายอากาศในระบบทางเดินหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ ปอดมีการแลกเปลย่ี นกา๊ ซออกซิเจน และกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ดีย่ิงขนึ้ 4) ชว่ ยใหผ้ ้ปู ่วยสุขสบาย คลายความวติ กกังวลจากการมเี สมหะในทางเดินหายใจ 458

5) เก็บเสมหะส่งตรวจทางหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร 13.2.2 ช่องทางการดดู เสมหะ การดดู เสมหะสามารถทำไดห้ ลายทางข้ึนกับลักษณะของผูป้ ว่ ย ดงั น้ี 1) ทางปาก (oropharynx) โดยการใส่สายดูดเสมหะในปาก บริเวณกระพุ้งแก้ม ใต้ล้ิน เพื่อดดู เสมหะออกมา ดงั แสดงในภาพท่ี 13-1 รูปภาพท่ี 13-1 แสดงการดดู เสมหะทางปาก ท่ีมา: https://www.homage.sg 2) ทางท่อหายใจทางปาก (oropharyngeal tube or oropharyngeal airway) โดย การใส่ท่อหายใจทางปากรว่ มซึ่งมีลกั ษณะเป็นท่อขนาดใหญ่ที่สอดเขา้ ไปทางปากถึงโคนลิ้น (ดังแสดง ในรปู ภาพที่ 13-2) แลว้ จึงนำสายดดู เสมหะมาดูดเสมหะทางทางท่อหายใจทางปาก (oropharyngeal airway) ได้เช่นเดียวกันกับการดูดเสมหะทางปาก ทั้งนี้การใส่ท่อหายใจทางปาก (oropharyngeal tube or oropharyngeal airway) มกั ใชใ้ นผ้ปู ว่ ยท่ไี ม่รสู้ ึกตวั รูปภาพที่ 13-2 แสดงผู้ป่วยใส่ทอ่ หายใจทางปาก (oropharyngeal airway) ทีม่ า: https://geekymedics.com 459

3) ทางจมูก (Nasopharynx) โดยใส่สายดูดเสมหะในจมูกของผู้ป่วยเพื่อดูดเสมหะ ออกมา วธิ ีปฎบิ ัติเชน่ เดียวกบั การดูดเสมหะทางปาก หลีกเล่ยี งการดดู เสมหะทางจมูกในผู้ปว่ ยเด็กเล็ก เนอ่ื งจากอาจเกดิ การระคายเคืองเยื่อบจุ มกู ได้ 4) ทางท่อหายใจทางจมูก (Nasopharyngeal tube) ในกรณีที่ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ ทางจมูก มีลักษณะเป็นท่อยาว โค้ง ภายในกลวง และมีความยืดหยุ่น สามารถสอดใส่สายยางดูด เสมหะทางจมูกผา่ นไปยงั โพรงจมูกได้ รูปภาพท่ี 13-3 แสดงผู้ป่วยใส่ทางท่อหายใจทางจมูก (Nasopharyngeal tube) ทมี่ า: http://www.webtumwai.com 5) ทางท่อหลอดลม (endotracheal tube) เป็นท่อทำด้วยยางพลาสติกหรือสาร สังเคราะห์อื่นๆ มีลักษณะโค้งยาว ใส่เข้าไปในปากถึงหลอดลมคอเป็นการชั่วคราว เพื่อช่วยให้ผู้ป่วย หายใจได้สะดวก โดยส่วนบนของท่อช่วยหายใจ จะมีข้อต่อเชื่อมไว้สำหรับต่อกับเครื่องช่วยหายใจ ส่วนบริเวณปลายท่อช่วยหายใจจะมีรูเปิดและมีกระเปาะสำหรับใส่ลมไว้ขณะคาท่อหลอดลมกับ เครอ่ื งช่วยหายใจซึง่ เปน็ หัตถการที่ซบั ซอ้ นตอ้ งศกึ ษาในรายละเอียดและวิธกี ารฝกึ ปฏบิ ัตติ ่อไป รูปภาพท่ี 13-4 แสดงการดดู เสมหะทางทอ่ หลอดลม (endotracheal tube) ทม่ี า: https://journals.rcni.com 460

6) ทางท่อเจาะคอ (tracheostomy tube) เป็นท่อที่ใส่เข้าไปในหลอดลมคอ เพื่อให้ อากาศผ่านเข้าสู่ปอดได้ ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาการอุดกลั้นทางเดินหายใจ หรือต้องใส่เครื่องช่วย หายใจในระยะยาว มีลักษณะเป็นท่อสั้น โค้ง 2 ชั้น สวมซ้อนกันอยู่สามารถถอดออกจากกันได้ ประกอบด้วย ท่อหลอดลมชั้นนอก (outer tube) ถอดออกไม่ได้ และท่อหลอดลมชั้นใน (Inner tube) ที่สามารถถอดออกทำความสะอาดได้ ทำจากวัสดุหลายชนิด เช่น พลาสติก โลหะเงิน โลหะ ผสม ซิลิโคน เป็นต้น บริเวณส่วนปลายบนของท่อมีข้อต่อสำหรับต่อเข้ากับเครื่องช่วยหายใจ ส่วน บริเวณปลายท่อบางชนดิ มีกระเปาะใส่ลม เพื่อปอ้ งกันการรัว่ ของลม และปอ้ งกนั การเลอ่ื นหลดุ 13.2.3 กระบวนการพยาบาลผู้ป่วยทตี่ ้องได้รบั การดูดเสมหะ 1) การประเมินผูป้ ่วย (Assessment) ก่อนให้การพยาบาลต้องประเมินผู้ป่วย หากมีข้อ บ่งชก้ี ารดูดเสมหะจงึ ทำการดดู เสมหะให้ผปู้ ่วย ซ่ึงขอ้ บง่ ชีผ้ ู้ป่วยที่ตอ้ งไดร้ บั การดูดเสมหะมดี ังนี้ (1) ผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงต่อการมีเสมหะอุดกั้นในทางเดินหายใจ เช่น ผู้ป่วยมีเสมหะ เหนยี ว ปริมาณมาก ไม่สามารถไอขบั เสมหะออกเองได้ (2) ผู้ป่วยมีอาการแสดงของเสมหะอุดกั้นทางเดินหายใจ เช่น มีภาวะพร่อง ออกซิเจน (Cyanosis) O2 saturation < 92 % ผิวหนงั เล็บมอื เลบ็ เทา้ มสี ีเขียวคล้ำ มีอาการเหนื่อย หายใจลำบาก หายใจได้ยินเสียงดังครืดคราด หรือได้ยินเสียงเสมหะในหลอดลมผู้ป่วย ฟังปอดได้ยิน เสียงผดิ ปกติ เช่น Rhonchi, Wheezing (3) สัญญาณชพี อัตราชพี จรและหายใจเพิม่ ข้ึน โดยไมม่ ีสาเหตุอนื่ (4) ก่อนไดร้ บั อาหารทางสายยาง (nasogastric tube) (4) ขณะทำกายภาพบำบัดทรวงอกให้ผู้ป่วย หรือหลังจากกระตุ้นใหผ้ ู้ป่วยไออย่างมี ประสิทธิภาพ (Effective cough) (5) ก่อนและหลังเอาลมออกจากกระเปาะลมของท่อหลอดลมคอ (Endotracheal tube cuff) และท่อเจาะคอ (Tracheostomy tube cuff) (6) กอ่ นหรือหลงั การพลิกตะแคงตัว (7) เกบ็ เสมหะส่งตรวจ (8) ปว่ ยบอกว่ามีเสมหะ ต้องการให้ดดู เสมหะออก 2) การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis) การวินิจฉัยทางการพยาบาล ข้นึ อยกู่ บั ข้อมลู การประเมินผปู้ ่วย ตวั อย่างเช่น - เสีย่ งตอ่ ภาวะพรอ่ งออกซเิ จนเนอ่ื งจากการขับเสมหะไมม่ ปี ระสิทธิภาพ เปา้ หมายของการดูดเสมหะ มีดังน้ี - ขจัดเสมหะออกจากทางเดินหายใจ ทำให้ทางเดินหายใจผู้ป่วยโล่ง การหายใจมี ประสทิ ธภิ าพ 461

3) การวางแผนการพยาบาล (Planning) (1) การเตรียมผู้ปว่ ย โดยยึดหลกั การพยาบาลด้วยจิตใจของความเป็นมนุษย์ (2) อธิบายให้ผู้ป่วยทราบวัตถุประสงค์ของการดูดเสมหะ เพื่อคลายความวิตกกังวล และให้ความรว่ มมือขณะดดู เสมหะ (3) จัดท่าผู้ป่วยศีรษะสูง 30 องศา (Semi-fowler’s position) เพื่อให้ดูดเสมหะได้ งา่ ย และป้องกนั การสำลกั (4) ให้ออกซิเจนที่มีความเข้มข้นสูง (Hyperoxygenation) ก่อนการดูดเสมหะเพ่ือ ป้องกันภาวะพร่องออกซิเจน กรณีผู้ป่วยทีห่ ายใจด้วยเครือ่ งชว่ ยหายใจ ให้ออกซิเจน 100% โดยการ ปรับ FiO2 ของเครื่องช่วยหายใจ ใช้ปุ่มปรับ 100% oxygen suction ของเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งจะ ทำงานอยู่นาน 2 นาที โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ปัญหาพร่องออกซิเจนอย่างรุนแรง เช่น ARDS หรือใช้ Manual resuscitating bag with reservoir bag with O2 > 10 LPM บีบ 4-6 ครั้ง หรือกรณีที่ ผูป้ ว่ ยรสู้ กึ ตวั ดี ให้หายใจเขา้ -ออกลกึ ๆ 2-3 คร้งั (สุจิตรา ล้ิมอำนวยลาภ และชวนพศิ ทำนอง, 2557) 4) ปฏบิ ตั กิ ารดูดเสมหะตามแผนการพยาบาล 5) ประเมินผลการดูดเสมหะ ตามเกณฑ์การประเมินผลที่กำหนดไว้ กรณีผู้ป่วยยังคงมี เสมหะมากใหท้ บทวนแผนการพยาบาล ปรับปรงุ กจิ กรรมการพยาบาลทเี่ หมาะสมต่อไป 13.3 หลักการและวิธกี ารดดู เสมหะทางทอ่ หลอดลมคอ 13.3.1 การเตรยี มอปุ กรณ์ในการดดู เสมหะ ให้สะดวกพรอ้ มใช้งาน ดังน้ี 1) เครื่องดูดเสมหะชนิดติดฝาผนัง (Wall suction) หรือเครื่องดูดเสมหะเคลื่อนที่ (Portable suction machine) รปู ภาพที่ 13-5 แสดงเครอ่ื งดูดเสมหะชนิดตดิ ฝาผนงั (Wall suction) ที่มา: https://www.istockphoto.com 462

รูปภาพท่ี 13-6 แสดงเคร่ืองดูดเสมหะเคลื่อนที่ (Portable suction machine) ท่มี า: http://stericom.com 2) ข้อต่อควบคุมแรงดัน (vacuum control fingertip) เมื่อต้องการดูดเสมหะให้ใช้ นิว้ หวั แม่มือกดปิดรู รปู ภาพที่ 13-7 แสดงขอ้ ตอ่ ควบคุมแรงดนั (vacuum control fingertip) ทม่ี า: https://www.dd-medic.com 3) หฟู ัง (Stethoscope) ใช้ฟงั เสียงเสมหะในปอด 4) สายดูดเสมหะปลอดเชื้อ (suction catheter) การเลือกสายดูดเสมหะ คือ เส้นผ่าศนู ย์กลางของสายดูดเสมหะต้องมีขนาดไมเ่ กิน ½ ของเสน้ ผ่าศูนย์กลางของท่อเจาะคอหรือท่อ หลอดลมคอ ผู้ใหญ่ใช้เบอร์ 14-16 Fr. เด็กใช้เบอร์ 8-12 Fr. ทารกใช้เบอร์ 4 – 8 Fr. การเลือกสาย ดูดเสมหะที่มีขนาดใหญ่เกินไป จะทำให้เกิดภาวะถุงลมปอดแฟบ (Lung collapse) และพร่อง ออกซเิ จนระหว่างดูดเสมหะได้เน่ืองจากสายดูดเสมหะทมี่ ีขนาดใหญ่อาจทำให้ไม่มชี ่องว่างเพียงพอให้ อากาศจากภายนอกเข้าไปแทนท่ีอากาศทด่ี ูดออกมาพร้อมเสมหะ 463

รูปภาพที่ 13-8 แสดงสายดูดเสมหะปลอดเช้ือ (suction catheter) ที่มา: https://www.medicalexpo.com 5) ถงุ มือปลอดเชอื้ 7) ผ้าปิดจมูก (Mask) 8) สำลปี ลอดเชอื้ และ 70% แอลกอฮอล์ 9) ปากคบี (Forceps) 10.) ขวดนำ้ สะอาด 1 ขวดสำหรับล้างสายยางทีใ่ ช้ดูดเสมหะแลว้ 11) ถงั ขยะติดเช้ือ 12) เสื้อกาวน์ สำหรับผู้ป่วยกรณีติดเชื้อที่สามารถติดต่อได้ทางเสมหะ หรือทางเดิน หายใจ 13.3.2 การปฏิบัตกิ ารพยาบาลในการดูดเสมหะ (Implementation) 1) ล้างมือให้สะอาดเพอื่ ลดการติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อ 2) สวมผ้าปิดปากและจมูกเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อของละอองเสมหะ หาก ผปู้ ว่ ยมีการตดิ เชอ้ื ทีส่ ามารถติดต่อไดท้ างเสมหะหรือทางเดนิ หายใจให้สวมเสอ้ื กาวน์ 3) ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดทำความสะอาดบริเวณปลายข้อต่อของสายดูด เสมหะท่ตี อ่ กบั เครอ่ื งดดู เสมหะ 4) ฉีกซองสายดูดเสมหะ สวมถุงมือปลอดเชื้อข้างที่ถนัดและหยิบสายดูดเสมหะด้วย เทคนคิ ปลอดเชอื้ (sterile technique) 5) ต่อสายดูดเสมหะเข้ากับข้อต่อของสายเครื่องดูดเสมหะ ระมัดระวังไม่ให้ถุงมือและ สายดูดเสมหะปนเปอ้ื น (contaminate) 464

6) เปิดเครื่องดูดเสมหะด้วยมือข้างที่ไม่ใส่ถุงมือ ปรับแรงดันให้เหมาะสม เพื่อป้องกัน ไม่ให้เกดิ การระคายเคอื งหรือการบาดเจ็บของเซลล์บุทางเดินหายใจ ดงั น้ี เดก็ เล็ก 60-90 mmHg เดก็ โต 80-100 mmHg ผูใ้ หญ่ 100-120 mmHg รูปภาพที่ 13-9 แสดงการเปิดเครื่องดูดเสมหะและการปรบั แรงดัน ทม่ี า: ภาพถา่ ยโดย จติ รรดา พงศธราธกิ 7) ใชห้ ลัก sterile technique ในการใส่สายดูดเสมหะโดยไม่อดุ รูเปิดของข้อต่อควบคุม ความดันผ่านท่อหลอดลม (tracheostomy tube) ให้ใส่สายดูดเสมหะถึงระดับทางแยกของท่อ หลอดลมใหญ่ (carina) หรือรู้สึกวา่ มีสิง่ กีดขวาง แล้วดึงสายข้ึนมา 1 เซนติเมตร เพื่อให้ปลายสายดูด เสมหะอยูใ่ นตำแหน่งที่เหมาะสมและสามารถดดู เอาเสมหะออกมาได้ 8) เริ่มดูดเสมหะโดยใช้นิ้วหัวแม่มือข้างที่ไม่ถนัดปิดรูข้อต่อควบคุมความดัน (vacuum control fingertip) ขณะเดียวกันใช้นิ้วมือข้างที่สวมถุงมือค่อย ๆ ดึงสายดูดเสมหะขึ้นอย่างนุ่มนวล ใช้ระยะเวลาในการดูดเสมหะแตล่ ะคร้ัง ไม่เกนิ 10-15 วินาทเี พ่ือป้องกนั ภาวะพร่องออกซิเจนและลด การกระตุ้น vagal nerve ซึ่งจะทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ (สุรศักด์ิ พุฒิวณิชย์, นภาพร พุฒิวณิชย์ และจันทนา เกลี้ยงพร้อม, 2561) การดูดเสมหะแต่ละครั้ง ควรเว้นระยะ 20-30 วินาที ให้ผู้ป่วยพัก หรือให้ผปู้ ว่ ยหายใจ 3 – 5 ครงั้ เพื่อปอ้ งกันภาวะพรอ่ งออกซิเจน 465

รูปภาพที่ 13-10 แสดงการดูดเสมหะทางท่อหลอดลมคอ ที่มา: YouTube channel: Nursing Practice 9) การดูดเสมหะไมค่ วรเกิน 2-3 คร้ังตอ่ รอบของการดดู เสมหะเพราะอาจทำให้ผู้ป่วยไม่ สุขสบายและเกิดการบาดเจ็บของเยื่อบุทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บทางศีรษะ อาจส่งผลให้เกิดภาวะความดันในกระโหลกศีรษะสูง (สุรศักดิ์ พุฒิวณิชย์, นภาพร พุฒิวณิชย์ และ จันทนา เกลีย้ งพรอ้ ม, 2561) การไหลเวียนโลหติ เปลี่ยนแปลงและอตั ราการเต้นของหัวใจเพิม่ ข้ึน 10) กรณีที่ยังมีเสียงเสมหะให้ดูดซ้ำได้ โดยเว้นระยะให้ผู้ป่วยพักหายใจอย่างน้อย 2-3 นาที เพอ่ื ป้องกนั ภาวะพร่องออกซเิ จน 11) ในผู้ปว่ ยที่ตอ้ งการเก็บเสมหะสง่ ตรวจ ให้ตอ่ สายดูดเสมหะเขา้ กบั สายยางของหลอด เกบ็ เสมหะ เมื่อดดู เสมหะแล้วใหป้ ลดสายดูดเสมหะออกจากหลอดเก็บเสมหะ แล้วนำเสมหะสง่ ตรวจ 12) ขณะดดู เสมหะ ใหส้ ังเกตลักษณะสี ปริมาณเสมหะ และอาการแสดงของผู้ป่วยด้วย เช่น อาการหายใจลำบาก กระสับกระส่าย ปลายมือปลายเท้าเขียว เป็นต้น เพื่อสังเกตภาวะพร่อง ออกซเิ จน 13) ในกรณีที่มีเสมหะหรือน้ำลายในปากให้ใช้สายดูดเสมหะเส้นใหม่ ห้ามใช้สายดูด เสมหะที่ดูดน้ำลายในปากแล้วมาดูดเสมหะทางท่อทางเดินหายใจ เนื่องจากอาจทำให้เกิดการติดเช้ือ ได้ (จันทร์ทิรา เจียรณัย, ณัฐฐิตา เพชรประไพ, ศรัญญา จุฬารี, วาริธร พงษ์พุฒิพัชร และ สิริกร ขาวบุญมาศิริ, 2561) กรณีประเมินได้ว่ามีเสมหะในปากจำนวนมากให้ดูดเสมหะในปากก่อนแล้วจึง เปล่ยี นสายดดู เสมหะเส้นใหม่แล้วจงึ ดูดเสมหะในทอ่ หลอดลมคอ 14) กรณีดูดเสมหะด้วยระบบปิด (Closed suction) ปฏิบัติเช่นเดียวกันโดยไม่ จำเป็นต้องใส่ถุงมือปลอดเชื้อ เนื่องจากสายดูดเสมหะอยู่ในระบบปิด สามารถใส่สายเข้าไปในระบบ ทางเดินหายใจได้เลย เมื่อสายไปถึง carina ให้ดึงสายขึ้นมาประมาณ 1 เซนติเมตร แล้วกดบริเวณ 466

Thumb control for suction เพื่อดูดเสมหะ ภายหลังดูเสมหะเสร็จแล้วให้ต่อ 0.9 % NSS ทาง Irrigation port แล้วเปิดล้างสาย (จนั ทรท์ ิรา เจยี รณยั และคณะ, 2561) รูปท่ี 13-11 แสดงอปุ กรณส์ ำหรับดูดเสมหะแบบระบบปดิ (close suction) ทม่ี า: https://bradford.instructure.com 15) หลังการดูดเสมหะให้ล้างสายดูดเสมหะ โดยการดูดน้ำสะอาดจากขวดที่เตรียมไว้ เพือ่ ป้องกันไม่ใหเ้ สมหะอุดตันสายยางและป้องกนั การแพร่กระจายเช้อื โรค 16) ปิดเครื่องดูดเสมหะ ปลดสายดูดเสมหะและถอดถุงมืออย่างถูกวิธีแล้วทิ้งลงในถัง ขยะตดิ เชื้อ เพ่อื ปอ้ งกันการแพรก่ ระจายเชื้อโรค 17) เช็ดข้อต่อของเครื่องดูดเสมหะด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% เพื่อทำความสะอาด และลดการแพรก่ ระจายเชือ้ โรค 18) ถอดผ้าปิดปากและจมูกแล้วล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง เพื่อป้องกันการ แพรก่ ระจายเชอื้ โรค ภายหลงั การปฏิบัตกิ ิจกรรมการพยาบาล 19) จัดใหผ้ ้ปู ่วยนอนในทา่ ทส่ี ขุ สบายเพ่ือใหผ้ ู้ปว่ ยได้พักผ่อนหลังการปฏบิ ัติกิจกรรมการ พยาบาล 13.3.3 การประเมินผลหลงั การดูดเสมหะ การประเมินผลภายหลังการพยาบาลผู้ป่วย อาการที่แสดงถึงการดูดเสมหะได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพมีดงั นี้ 1) ผูป้ ว่ ยหายใจปกติ ทางเดินหายใจโล่ง ไมไ่ ดย้ นิ เสยี งเสมหะในปอด 2) ค่าความอม่ิ ตัวของออกซเิ จนอย่ใู นระดับปกติ (Oxygen saturation 96-100%) 3) อัตราการหายใจ 12-20 ครง้ั ตอ่ นาที และอตั ราชีพจร 60-100 ครัง้ ตอ่ นาที 467

4) ไมม่ ภี าวะพร่องออกซิเจน (Cyanosis) ผิวหนงั เลบ็ มือ เลบ็ เท้ามสี ีปกติ 5) ไม่มกี ารติดเชอ้ื ในระบบทางเดินหายใจ 7) ผู้ป่วยมีสีหน้าสขุ สบายขน้ึ เมื่อประเมินผลแล้วต้องบันทึกลักษณะ ปริมาณ สีของเสมหะ อาการผู้ป่วยลงในบันทึก ทางการพยาบาล (Nurse note) เพื่อเป็นหลักฐานในการปฏิบัติการพยาบาลให้ผู้ป่วยและเพื่อส่งต่อ ขอ้ มูลการพยาบาลให้กับบคุ ลากรทีมสขุ ภาพ 13.3.4 ภาวะแทรกซอ้ นจากการดดู เสมหะ ภาวะแทรกซ้อนทอี่ าจพบได้จากการดูดเสมหะ มดี งั นี้ 1) ภาวะพร่องออกซิเจนในเลือด (hypoxemia) เป็นภาวะที่ค่าความอิ่มตัวของ ออกซิเจนในเลือดลดลงต่ำกว่าค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดก่อนดูดเสมหะ เป็นภาวะที่พบได้ บ่อยทสี่ ดุ เกิดจากการเลือกขนาดของสายดูดเสมหะที่ใหญเ่ กินไป ใชร้ ะยะเวลาในการดดู เสมหะแต่ละ ครงั้ นานเกินไป อาการผู้ปว่ ยจะขึน้ อย่กู ับระดบั คา่ ความอ่ิมตัวของออกซิเจนในเลือด หากมีภาวะพร่อง ออกซิเจนในเลือดอย่างรุนแรง อาจทำให้ผู้ป่วยมีภาวะหวั ใจเตน้ ผดิ จังหวะ หัวใจเต้นเรว็ หรืออาจเกิด ภาวะหัวใจหยดุ เต้นได้ 2) ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (cardiac arrhythmia) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ในขณะดูด เสมหะ เนื่องจากการดูดเสมหะจะไปกระตุ้นปลายประสาทวากัส (vagal nerve) หรือกระตุ้นระบบ ประสาท Sympathetic ทำใหผ้ ู้ป่วยมภี าวะหวั ใจเต้นชา้ หรอื เตน้ เร็วผิดจงั หวะ 3) หลอดลมหดเกร็ง (bronchospasm) เกิดจากการกระตุ้นประสาทรับความรู้สึก (Sensory neuron) บรเิ วณทางแยกของหลอดลมท้งั สองขา้ ง หรือกระตนุ้ ระบบประสาทอัตโนมัติ 4) ภาวะปอดแฟบ (atelectasis) เกิดจากการคั่งค้างของเสมหะ เนื่องจากดูดเสมหะ น้อยเกินไป การเลือกสายดูดเสมหะที่มีขนาดใหญ่เกินไป ทำให้ไม่มีช่องว่างที่อากาศภายนอกเข้าไป แทนที่อากาศที่ดูดออกมาได้ การดูดเสมหะที่นานเกินไป หรือเกิดจากการใช้แรงดันในการดูดเสมหะ มากเกินไป 5) การเพมิ่ ข้ึนของความดันในกะโหลกศีรษะ (increased intracranial pressure) เกดิ จาก การมีออกซิเจนในเลือดต่ำ และคาร์บอนไดออกไซดค์ ั่งในสมอง ทำให้ความดนั ในกะโหลกศีรษะสงู ขึ้น ได้ 6) การบาดเจ็บของเซลล์บุทางเดินหายใจ (mucosal trauma) เกิดจากการใช้แรงดันใน การดูดเสมหะที่มากเกินไป หรือการดูดเสมหะบ่อยๆ ทำให้มีการระคายเคือง หรือการหลุดลอกของ เซลลบ์ รเิ วณเยือ่ บุทางเดนิ หายใจ ทำให้มเี ลือดออก บวม หรอื อักเสบได้ 468

7) การติดเชื้อ (infection) เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามเทคนิคปลอดเชื้อ (sterile technique) 13.4 สรปุ การดูดเสมหะเป็นหัตถการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่ไม่สามารถไอขับเสมหะได้ด้วย ตนเอง พยาบาลจึงควรมคี วามรใู้ นการประเมินสภาพผู้ปว่ ยที่ต้องได้รับการดูดเสมหะ การวางแผนการ พยาบาลและมีทักษะในการปฏิบัติการพยาบาลในการดูดเสมหะให้ผู้ป่วยได้อย่างถูกวิธี รวมทั้ง ระมดั ระวังในทุกขัน้ ตอนของการดูดเสมหะเพ่ือลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกดิ ขึน้ ได้ 13.5 คำถามทา้ ยบท ขอ้ 1 ข้อใดถกู ต้องเกย่ี วกับระยะเวลาในการดดู เสมหะแต่ละครั้ง 1. 10 -15 วินาที ตัง้ แต่เริ่มใส่สายดดู เสมหะ 2. 20 -30 วนิ าที ต้ังแต่เร่มิ ใสส่ ายดูดเสมหะ 3. 10 -15 วนิ าที ตั้งแต่เริ่มปดิ รขู ้อตอ่ ควบคุมความดัน 4. 20 -30 วนิ าที ตัง้ แต่เร่ิมปดิ รูขอ้ ต่อควบคุมความดัน ขอ้ 2 อปุ กรณ์ชิ้นนี้ชอ่ื วา่ อะไร 1. Oral piece 2. Mouthpiece 3. Oropharyngeal airway 4. Nasopharyngeal airway 469

ข้อ 3 อุปกรณ์ชิน้ น้ชี ่ือวา่ อะไร 1. Suction set 2. Suction line 3. Suction drain 4. Suction catheter ข้อ 4 ข้อใดถูกต้องเก่ียวกบั จำนวนครั้งในการดูดเสมหะต่อรอบ 1. 1-2 คร้ัง 2. 2-3 ครงั้ 3. 3-5 ครั้ง 4. จนกวา่ เสมหะจะหมด 470

ข้อ 5 การสายดูดเสมหะปลอดเชือ้ (suction catheter) สำหรับผปู้ ่วยในภาพ ขอ้ ใดถกู ตอ้ ง 1. 10 Fr. 2. 12 Fr. 3. 14 Fr. 4. 16 Fr. ข้อ 6 การดูดเสมหะผู้ใหญ่ต้องเปิด Pressure เทา่ ใด 1. 60-80 mmHg 2. 100-120 mmHg 3. 100-140 mmHg 4. 140-160 mmHg ข้อ 7 การดูดเสมหะเด็กตอ้ งเปิด Pressure เท่าใด 1. 60-80 mmHg 2. 80-100 mmHg 3. 100-140 mmHg 4. 140-160 mmHg 471

ข้อ 8 ระหว่างดูดเสมหะมีเสมหะเหนยี วขน้ มาก การปฏิบัติข้อใดเหมาะสม 1. หยอด 0.9% NSS ในท่อหลอดลมคอ 2. หยอด Sterile water ในท่อหลอดลมคอ 3. พ่นยาขยายหลอดลมก่อนดดู เสมหะคร้งั ต่อไป 4. เคาะปอดและใหค้ วามช้นื กอ่ นดูดเสมหะครั้งตอ่ ไป ขอ้ 9 ภาวะปอดแฟบ (atelectasis) จากการดดู เสมหะเกดิ จากสาเหตุใด 1. การใช้แรงดนั สงู เกนิ ไป 2. การดดู เสมหะนานเกนิ ไป 3. การปนเปื้อนระหวา่ งดูดเสมหะ 4. ใชส้ ายดดู เสมหะขนาดใหญเ่ กนิ ไป ข้อ 10 การป้องกนั ภาวะพรอ่ งออกซิเจนระหว่างดดู เสมหะทางท่อหลอดลมคอ ขอ้ ใดถูกต้อง 1. จัดท่านอนศรี ษะสงู ประมาณ 30 องศา 2. ดูดเสมหะดว้ ยความรวดเร็ว ไมเ่ กนิ 10 วนิ าที 3. บีบ Manual resuscitating bag ก่อนและระหวา่ งดูดเสมหะ 4. เม่ือใส่สายลกึ ถึง carina ใหด้ งึ สายขน้ึ มาประมาณ 1 เซนตเิ มตรจึงเริ่มดูดเสมหะ 472

13.6 แบบประเมินทักษะปฏิบัตกิ ารดดู เสมหะ คณะพยาบาลศาสตร์และวิทยาการสขุ ภาพ มหาวิทยาลัยราชภฏั เพชรบรุ ี วชิ าการพยาบาลพ้ืนฐาน แบบประเมนิ ทักษะการดดู เสมหะ (Suction) ชือ่ .....................................สกลุ ...........................................รหสั ...................................... คำช้แี จง โปรดทำเคร่ืองหมาย  ลงในชอ่ งท่ีตรงกบั ผลการปฏิบัติ วธิ กี าร ผลการปฏิบัติ หมาย ลำดับ ปฏิบตั ิ ไม่ปฏบิ ตั ิ เหตุ (1) (0) ขัน้ เตรยี ม 1 ลักษณะการหายใจ (ลึก/ตนื้ เร็ว/ช้า เสยี งการหายใจ) 2 ฟังเสยี งปอด ประเมนิ เสียงเสมหะในทางเดนิ หายใจ 3 ทกั ทายผู้ป่วยและแนะนำตนเอง 4 อธิบายวตั ถปุ ระสงคข์ องการดูดเสมหะให้ผปู้ ว่ ยทราบ 5 เตรียมอุปกรณถ์ ูกต้อง ครบถว้ น พรอ้ มใช้ 6 จดั ท่าศีรษะสงู ประมาณ 30 องศา(semi- fowler position) 7 ล้างมือถูกวธิ ี 7 ข้นั ตอน 8 สวม Mask ข้ันปฏบิ ัติ (ก่อนดูดเสมหะ ใช้หลกั ปลอดเชื้อ) 9 เชด็ vacuum control fingertip ด้วยแอลกอฮอล์ 70% 10 ฉกี ซองสายดูดเสมหะ แลว้ วางไว้โดยทไี่ ม่มกี ารปนเปื้อน 11 สวมถงุ มอื ปลอดเช้ือมอื ขา้ งท่ีถนดั 12 หยบิ สายดูดเสมหะปลอดเชือ้ ดว้ ยมอื ขา้ งทสี่ วมถุงมือ 13 ตอ่ สายดดู เสมหะปลอดเช้ือกับขอ้ ต่อโดยไมป่ นเปอื้ น 14 เปิดเคร่ืองดดู เสมหะด้วยมอื ข้างท่ีไมส่ วมถุงมือ โดยไม่ใหส้ าย 473

วธิ ีการ ผลการปฏบิ ัติ หมาย ลำดบั ปฏิบัติ ไม่ปฏบิ ตั ิ เหตุ (1) (0) ปนเป้อื น 15 เลือกแรงดันถกู ต้อง เด็กเลก็ 60-90 mmHg เด็กโต 80-100 mmHg ผ้ใู หญ่ 100-120 mmHg ขั้นปฏบิ ตั ิ (ขณะดูดเสมหะ ใชห้ ลักปลอดเช้ือ) 16 สอดสายดูดเสมหะเขา้ ไปในท่อหลอดลมอย่างรวดเรว็ และ นุ่มนวล โดยไมป่ ดิ รู vacuum control fingertip 17 สอดสายจนถงึ บรเิ วณ carina หรอื ผ้ปู ว่ ยไอ ดึงสายข้นึ มา ประมาณ 1 ซ.ม. 18 ปดิ รู vacuum control fingertip เพื่อดดู เสมหะ ดงึ ออกช้าๆ ใชเ้ วลาประมาณ 10 – 15 วนิ าที 19 เวน้ ระยะ 20-30 วนิ าที ใหผ้ ปู้ ว่ ยพกั หรือใหผ้ ปู้ ่วยหายใจ 3 – 5 ครงั้ กอ่ นการดูดครัง้ ต่อไป 20 การดูดเสมหะไม่ควรเกนิ 3 ครงั้ ต่อรอบของการดูดเสมหะ 21 กรณีที่ยงั มเี สียงเสมหะให้ดดู ซ้ำได้ โดยเว้นระยะใหผ้ ู้ป่วยพัก หายใจอยา่ งน้อย 2-3 นาที ขน้ั ปฏบิ ัติ (หลังดูดเสมหะ) 22 ดูดนำ้ เพ่ือลา้ งสายดูดเสมหะใหส้ ะอาด 23 ปิดเครอื่ งและปลดสายดดู เสมหะออก 24 ถอดถงุ มือและทิ้งสายดูดเสมหะลงถังขยะตดิ เชื้อ 25 เช็ดข้อต่อด้วยแอลกอฮอล์ 70% 26 ถอด mask ทิ้งลงถังขยะติดเช้อื 27 ล้างมอื ใหส้ ะอาด ขั้นประเมินผล 28 ประเมินการหายใจ ผู้ป่วยหายใจสะดวก ไมก่ ระสับกระส่าย เสยี ง เสมหะลดลง ค่า oxygen saturation 474

วธิ กี าร ผลการปฏบิ ตั ิ หมาย ลำดับ ปฏบิ ัติ ไมป่ ฏิบตั ิ เหตุ (1) (0) 29 ขน้ั บันทึกผล 30 บันทึกสภาวะของผปู้ ว่ ยและลักษณะการหายใจ 31 ลกั ษณะของเสมหะ สี กลิ่น ปรมิ าณ 32 บันทึกค่า oxygen saturation จาก pulse oximeter รวม (32 คะแนน) ข้อเสนอแนะ ....................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... .......................................................ผู้ประเมิน (.....................................................................) วันที.่ ..........เดือน..........................พ.ศ............... 475

13.7 เอกสารอา้ งอิง จันทร์ทิรา เจียรณัย, ณัฐฐิตา เพชรประไพ, ศรัญญา จุฬารี, วาริธร พงษ์พุฒิพัชร และ สิริกร ขาวบุญ มาศิริ. (2561). การดูดเสมหะแบบระบบปิดในผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจ: การทบทวนจาก หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์. ราชาวดีสาร, 8(10), 82-93 ณัฐสุรางค์ บุญจันทร์ และอรุณรัตน์ เทพนา. (2559). ทักษะพื้นฐานทางการพยาบาล. กรุงเทพฯ: หจก. เอ็นพเี พรส. สัมพันธ์ สันทนาคณิต, สุมาลี โพธิ์ทอง และสุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พืน้ ฐาน II. กรุงเทพฯ: บริษทั บพธิ การพมิ พ์ จำกัด. สุจิตรา ลิ้มอำนวยลาภ และชวนพิศ ทำนอง. (2557). การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะเจ็บป่วยวิกฤต Clinical care nursing. พิมพ์ครง้ั ท๘่ี : ขอนแก่น: คลังนานาวิทยา. สุปราณี เสนาดิสัย และ วรรณภา ประไพพานิช. (2564). การพยาบาลพื้นฐาน ปรับปรุงครั้งที่ 2. กรงุ เทพฯ: บรษิ ัทจดุ ทอง จำกัด. สุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์ สุมาลี โพธิ์ทอง, และสัมพันธ์ สันทนาคณิต. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พนื้ ฐาน I.กรุงเทพฯ: บรษิ ทั บพิธการพิมพ์ จำกัด. สุรศักด์ิ พุฒิวณิชย์, นภาพร พุฒิวณิชย์ และจันทนา เกลี้ยงพร้อม. (2561). หลักฐานเชิงประจักษ์ เกี่ยวกับการดูดเสมหะในผู้ใหญ่ที่ใส่ท่อช่วยหายใจ. วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสขุ , 27(3), 10-18 อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2556). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 1. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บรษิ ัท ธนาเพรส จำกดั . อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2558). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 2. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บริษทั จรัลสนทิ วงศก์ ารพมิ พ์ จำกัด. อัจฉรา พุ่มดวง. (2559). การพยาบาลพื้นฐาน : ปฏิบัติการพยาบาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . Nettina SM. (2 0 1 4 ) . Manual of Nursing Practice. Philadelphia: Williams &Wilkins Lippincott. Patricia A. Potter. (2 0 1 3 ) . Fundamentals of Nursing 8 th ed. St. Louis, Mo : Mosby Elsevier. Taylor ll. (2015). Fundamental of Nursing .8th ed. Philadelphia: Walters Kluwer. 476

แผนบรหิ ารการสอนประจำบทที่ 14 หลกั การและเทคนิคการพยาบาลพน้ื ฐานในการเก็บสง่ิ ส่งตรวจ หวั ข้อเนอื้ หาประจำบท 1. หลักการเก็บส่งิ สง่ ตรวจ 2. วธิ ีการเก็บส่ิงส่งตรวจ จำนวนช่ัวโมงทีส่ อน: ภาคทฤษฎี 1 ชัว่ โมง ภาคทดลอง 1 ชวั่ โมง วัตถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม 1. บอกหลกั การเกบ็ สง่ิ สง่ ตรวจไดถ้ กู ต้อง 2. อธบิ ายวิธีการเก็บตวั อย่างสิ่งส่งตรวจได้ 3. เตรยี มการเก็บสิ่งสง่ ตรวจไดถ้ ูกต้องตามหลักการ 4. ดูแลความสะอาด ความเรียบร้อยของวสั ดุ อุปกรณแ์ ละเอกสารทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การฝึก ปฏบิ ตั ใิ นห้องปฏิบตั กิ ารและหอ้ งปฏบิ ัติการเสมือนจรงิ อยา่ งสมำ่ เสมอ วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรยี นการสอน 1. วธิ สี อน 1.1 บรรยายแบบมสี ่วนร่วม 1.2 อภปิ รายกลุ่ม 1.3 ฝึกปฏบิ ตั ใิ นสถานการณ์จำลองเสมอื นจรงิ 2. กิจกรรมการเรียนการสอน 2.1 ขั้นนำ ยกตัวอย่างสถานการณ์การเจาะเลือดผิดคน กระตุ้นให้ผู้เรียนรว่ มสะท้อนคดิ ถึง ผลกระทบและบอกแนวทางการพฒั นาตนเองเพื่อไมใ่ ห้เกิดความผิดพลาดในการเจาะเลือดผู้ปว่ ย 2.2 ข้นั สอน 1) บรรยายประกอบ Power point presentation เรอ่ื ง หลกั การเก็บสงิ่ สง่ ตรวจและการ เลอื ดชนดิ ของภาชนะใสส่ ่ิงสง่ ตรวจ การเขียนใบขอส่งสงิ่ ส่งตรวจ 2) บรรยายประกอบส่ือวิดที ัศน์เรอ่ื ง การเก็บสงิ่ สง่ ตรวจ ใหผ้ เู้ รียนสอบถามขอ้ สงสยั 3) สอนสาธิตการเขียนใบขอตรวจส่ิงสง่ ตรวจและการเลอื กภาชนะใสส่ ิง่ ส่งตรวจท่ถี ูกต้อง 477

4) มอบหมายใบงานกรณีศึกษาใหผ้ ู้เรยี นฝึกปฏิบัติการเตรยี มเก็บสง่ิ ส่งตรวจ 2.3 ขน้ั สรปุ กระตนุ้ ใหผ้ ู้เรยี นร่วมกนั สรปุ หลักการสำคัญของการเก็บสิ่งส่งตรวจ ใหผ้ ู้เรียนเลน่ เกมด้วย โปรแกรมคอมพิวเตอรเ์ พ่ือตอบคำถามท้ายบท สื่อการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. โปรแกรมสำเรจ็ รูป Power Point Presentation, Quizizz.com 3. สอ่ื วิดที ศั น์ประกอบการสอนใน YouTube channel: nursing practice 4. กรณศี ึกษาในสถานการณจ์ ำลองเสมอื นจรงิ 5. วสั ดุ อปุ กรณ์ หุ่น ในห้องปฏิบตั ิการและห้องปฏิบตั กิ ารเสมือนจรงิ การวดั ผลและประเมนิ ผล 1. การสังเกตการมีสว่ นร่วมในอภิปราย การตอบคำถาม พฤติกรรมการปฏิบตั ิการพยาบาล ด้วยความเอื้ออาทร ผ่านแบบสังเกตพฤติกรรมการเรียน ด้านคุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณ วิชาชีพพยาบาล (ภาคผนวก ก.) 2. ความถูกต้องของการเตรียมใบขอส่งสิ่งส่งตรวจ ภาชนะเก็บสิ่งส่งตรวจและอุปกรณ์ สำหรับเกบ็ ส่งิ สง่ ตรวจตามใบงานกรณีศึกษา 3. การเล่นเกมตอบคำถามท้ายบท ผลคะแนนการเล่นเกมตอบคำถามท้ายบทถูกต้อง ร้อย ละ 80 ข้นึ ไป 478

บทที่ 14 หลักการและเทคนคิ การพยาบาลพืน้ ฐานในการเก็บส่ิงส่งตรวจ พยาบาลเป็นผทู้ ี่ใกลช้ ดิ ผ้ปู ว่ ยมากทส่ี ุด เนอื่ งจากตอ้ งดูแลช่วยเหลือผูป้ ่วยในการทำกิจกรรม ตา่ งๆ รวมท้ังให้การรกั ษา และค้นหาความผิดปกติของผปู้ ว่ ย ซงึ่ การค้นหาความผิดปกติของผู้ป่วยนั้น นอกเหนือจากการซักประวัติและตรวจร่างกายแล้ว การตรวจทางห้องปฏิบัติการก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะ ช่วยใหก้ ารวินจิ ฉัยโรคและการรักษาพยาบาลมีความถกู ต้อง เหมาะสม จงึ มีความสำคัญเป็นอย่างย่ิงท่ี พยาบาลควรมีความรู้ และสามารถเก็บสิ่งส่งตรวจได้ถูกต้อง เพือ่ ใหก้ ารวนิ จิ ฉัยโรคมีความถูกต้องมาก ที่สุด ผู้รับบริการได้รับการรักษาพยาบาลได้เหมาะสม และปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะ เกิดขนึ้ 14.1 หลกั การเกบ็ สิง่ สง่ ตรวจ เพ่อื ใหก้ ารตรวจมีความถูกตอ้ ง เปน็ ประโยชนก์ ับผู้ป่วยมากท่ีสุด มีกระบวนการในการปฏิบัติ 3 ขน้ั ตอน หลกั ดังน้ี 1) การเตรยี มกอ่ นเก็บสงิ่ ส่งตรวจ 2) การเกบ็ สง่ิ ส่งตรวจทถี่ ูกตอ้ งตามหลักการ 3) การนำสง่ สิ่งส่งตรวจ หลกั ในการเก็บส่งิ สง่ ตรวจในการเกบ็ ตัวอย่างสง่ ตรวจ มีหลักสำคัญดังนี้ 1) ถูกผู้ป่วย การเก็บสิ่งส่งตรวจต้องถูกผู้ป่วย ซึ่งในขั้นตอนการเก็บสิ่งส่งตรวจต้อง ตรวจสอบความถูกต้องของชื่อผู้ป่วย เลขโรงพยาบาล โดยก่อนการเตรียมก่อนเก็บสิ่งส่งตรวจ ต้อง ตรวจสอบคำสัง่ การรักษา ภาชนะเกบ็ ส่งิ สง่ ตรวจและปา้ ยข้อมือผู้ปว่ ยต้องถูกต้องตรงกนั 2) สิ่งส่งตรวจถูกต้อง พยาบาลต้องตรวจสอบคำสั่งการรักษา หากไม่มั่นใจในคำสั่งการ รกั ษาต้องตรวจทานกบั แพทยผ์ สู้ ง่ั การรักษาอกี คร้ัง 3) วิธีการถูกต้อง วิธีการเก็บสิ่งส่งตรวจต้องถูกต้องตามหลักการของส่ิงส่งตรวจนั้น ๆ รายละเอยี ดในหวั ขอ้ ถัดไป 479

4) เวลาถูกต้อง การเก็บสิ่งส่งตรวจบางชนิดมีความสำคัญมากเกี่ยวกับเวลาในการเก็บ เพราะหากเก็บสิ่งส่งตรวจไม่ถูกต้องตามเวลาอาจทำให้ผลการตรวจคลาดเคลื่อนได้ เช่น การตรวจ ระดับนำ้ ตาลในเลือดก่อนการรับประทานอาหาร การเกบ็ ตวั อย่างเลือดส่งตรวจระดับ cortisol level ตอ้ งเก็บในตอนเช้า 5) ภาชนะที่ใช้บรรจุ การเก็บสิ่งส่งตรวจต้องเลือกภาชนะให้ถูกต้อง เช่น การเก็บสิ่งส่ง ตรวจเพอ่ื การเพาะเชอื้ ตอ้ งใช้ภาชนะทีป่ ลอดเชื้อเท่านั้น 6) ปริมาณถูกต้อง สิ่งส่งตรวจต้องมีปริมาณเพียงพอต่อการตรวจหรือเหมาะสม เช่น การ เก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจในภาชนะที่มีสารกันเลือดแข็งตัว ปริมาณเลือดต้องถูกต้องตามที่ระบุไว้ เพื่อให้เหมาะสมกับสารกันเลือดแข็งตัว หากน้อยเกินไปอาจทำให้ผลการตรวจคลาดเคลื่อน หาก ปรมิ าณเลอื ดมากเกินไปจะทำใหเ้ ลอื ดแขง็ ตวั ไมส่ ามารถตรวจได้ 7) ฉลากถูกต้อง ก่อนการส่งสิ่งส่งตรวจไปห้องปฏิบัติต้องตรวจสอบความถูกต้องของชื่อ ผปู้ ว่ ยในคำส่ังการรกั ษา ใบขอตรวจส่งิ สง่ ตรวจและภาชนะท่เี กบ็ สง่ิ สง่ ตรวจ 14.2 วิธกี ารเก็บสิ่งส่งตรวจ 14.2.1 การเกบ็ ตวั อยา่ งเลอื ด การเกบ็ ตวั อย่างเลอื ดใหถ้ ูกตอ้ งตามหลักการมีขนั้ ตอนการปฏบิ ตั ิดังน้ี 1) ตรวจสอบคำสง่ั การรกั ษา 2) เตรียมใบขอตรวจเลือด ติดติดสติกเกอร์ชื่อ นามสกุลและเลขประจำตัวผู้ป่วย เลือก ชนดิ ของการตรวจให้ถูกต้องตามแผนการรักษา ตัวอย่างใบขอตรวจเลือดทางเคมีวิทยาคลินิก (chemical chemistry) ดังแสดงใน รปู ภาพที่ 14-1 480

รูปภาพที่ 14-1 แสดงตวั อย่างการเตรยี มใบขอตรวจเลอื ดทางเคมีวทิ ยาคลนิ กิ 3) เตรียมหลอดแก้วหรือภาชนะบรรจุตัวอย่างเลือด ติดสติกเกอร์ชื่อ นามสกุลและเลข ประจำตัวผู้ป่วย โดยการติดสติกเกอร์ตองมองเห็นแนวแถบสีที่บอกชนิดของหลอดเลือดและเว้น ชอ่ งว่างใหเ้ หน็ ขดี บอกระดบั เลือด กรณีมบี ารโ์ คด้ ห้ามปดิ ทบั โดยหลอดแกว้ แลละภาชนะเก็บตัวอย่าง เลอื ด มดี งั น้ี (1) Complete Blood count (CBC) เป็นการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ประกอบด้วยการตรวจค่า red blood cell count (Hemoglobin, Hct) white blood cell count และ Platelet count เป็นการตรวจพื้นฐานในการคัดกรองโรคสำหรับผู้ป่วยทั่วไปและการเตรียม ความพร้อมผ้ปู ่วยกอ่ นการผ่าตัด - วิธีเก็บ เจาะเลือดจากเส้นโลหิตดำ 3 มิลลิลิตร ใส่ในหลอดบรรจุเลือดที่มีสาร กันเลือดแข็งตัว ชนิด Ethylene diamine Tetra acetic acid (E.D.T.A) หรือเรียกว่า EDTA tube (จุกมว่ ง) แล้วผสมใหเ้ ข้ากนั ดว้ ยวิธกี ารคว่ำหลอดบรรจุขนึ้ และลงสลับกนั (mixed invert) ประมาณ 8 -10 คร้ัง 481

รปู ภาพที่ 14-2 แสดงแสดงหลอดบรรจุเลือดชนดิ EDTA tube (จุกม่วง) ที่มา: http://g2016.digitree.co.kr ( 2) Prothrombin time test (PT) Partial Thromboplastin time test (PTT) เป็นการตรวจดูระยะเวลาในการแขง็ ตวั ของเลือด - วิธีเก็บ เจาะเลือดจากเส้นโลหิตดำ 1.8-2 มิลลิลิตรใส่ในหลอดบรรจุเลือดที่มี สารกนั เลอื ดแขง็ ตัวชนิด sodium citrate 0.2 มลิ ลิลติ ร หรือเรยี กว่า sodium citrate tube (จุกฟ้า) แล้วผสมให้เข้ากันด้วยวธิ ีการคว่ำหลอดบรรจขุ ึ้นและลงสลับกันช้า ๆ (mixed invert) ประมาณ 8 - 10 ครง้ั รปู ภาพที่ 14-3 แสดงหลอดบรรจุเลือดชนดิ sodium citrate tube (จกุ ฟา้ ) ที่มา: http://g2016.digitree.co.kr 482

(3) Electrolyte เป็นการตรวจดูความสมดุลของปริมาณอิเลคโตรไลท์ที่อยู่ใน ร่างกาย ประกอบด้วย Sodium (Na+), Potassium (K+), Calcium (Ca2+), Phosphorus (P), Chloride (CI-) CO2, Magnesium (Mg2+) - วิธีเก็บ เจาะเลือดจากเส้นโลหิตดำ 5 มิลลิลิตร ใส่ในหลอดบรรจุเลือดที่ไม่มี สารเคมีในใด ๆ เรียกว่า clot blood tube (จุกแดง) หรือใส่ในหลอดบรรจุเลือดที่มีสารกันแข็งตัว ของเลือดชนิด Lithium heparin (จุกเขียว) ก็ได้ โดย ห้าม เขยา่ หลอดบรรจเุ ลอื ดภายหลังนำเลือดมา ใส่เพราะจำทำใหเ้ ม็ดเลือดแดงแตก ผลการตรวจคลาดเคล่ือนได้ รปู ภาพที่ 14-4 แสดงหลอดบรรจเุ ลือดชนิด Lithium heparin tube (จุกเขียว) ท่ีมา: https://arkanmedical.id/home-old/ (4) การตรวจการทำงานของไต ประกอบด้วย Blood urea nitrogen (BUN) Creatinine (Cr) คา่ อตั ราการกรอของไต (eGFR) - วิธีเก็บ เจาะเลือดจากเส้นโลหิตดำ 5 มิลลิลิตร ใส่ใน tube เป็น clot blood (จุกแดง) (5) การตรวจการทำงานของตับ (Liver function test: LFT) ประกอบด้วย SGOT, SGPT, LDH, HDL, Cholesterol, Triglyceride, Serum bilirubin Albumin/Globulin Ratio Globulin - วธิ เี กบ็ เจาะเลือดจากเสน้ โลหติ ดำ 5 มิลลิลติ ร ใสใ่ นหลอดบรรจุเลือดชนดิ clot blood (จกุ แดง) 483

รูปภาพท่ี 14-5 แสดงหลอดบรรจเุ ลอื ดชนิด clot blood tube (จกุ แดง) ทมี่ า: http://g2016.digitree.co.kr (6) การตรวจน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar: FBS) เป็นการตรวจระดับ นำ้ ตาลในเลือดเพอ่ื วิเคราะหโ์ รคเบาหวาน -วิธีเก็บ เจาะเลือดจากเส้นโลหิตดำ 3 มิลลิลิตร ใส่ในหลอดบรรจุเลือดที่มี Sodium Fluoride หรือ NaF tube (จุกเทา) แล้วผสมให้เข้ากันด้วยวิธีการคว่ำหลอดบรรจุขึ้น - ลง (mixed invert) ประมาณ 8 -10 คร้งั (เจาะเลือดหลงั จากงดอาหารและเครอ่ื งดมื่ 8-10ช่ัวโมง) รูปภาพท่ี 14-6 แสดง Sodium Fluoride tube (จกุ เทา) ท่ีมา: https://stevens.ca 484

(7) การเจาะหาค่าความดันแก๊สในหลอดเลอื ดแดง (Arterial blood gas: ABG) - วิธีเก็บ เจาะเลือดจากเส้นโลหิตแดงโดยแพทย์เป็นผู้เจาะ พยาบาลเตรียม Syringe ขนาด 1 มลิ ลลิ ิตร ทีห่ ล่อดว้ ย heparin เมือ่ เจาะเสรจ็ แล้วนำ syringe แช่ในน้ำแข็งก่อนการ สง่ ตรวจ รูปภาพท่ี 14-7 แสดงการเจาะ Arterial blood gas ที่มา: https://andyheeps.wordpress.com. (8) การส่งตรวจหาภูมิคุ้มกัน เช่น Venereal Disease Research Laboratory: VDRL, Widal’s test, HBsAg, HIV - วิธีเก็บ เจาะเลือดจากเส้นโลหิตดำ 5 มิลลิลิตรใส่หลอดบรรจุเลือดชนิด clot blood (จกุ แดง) (9) การเจาะโลหติ ส่งเพาะเชื้อ (Hemoculture) เป็นการเจาะโลหติ ไปเพาะเลี้ยงเช้ือ เพ่อื ดูความไวของเชอื้ โรค - วธิ ีเกบ็ ทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่ต้องการเจาะเลือดดว้ ย Betadine หรือ 2 % Chlorhexidine in 70 % Alcohol เจาะเลือดจากเส้นโลหิตดำ 5 มิลลิตร ได้แล้วเปลี่ยนเข็ม ใหม่และใส่เลือดลงในขวด Hemoculture ซึ่งมีอาหารเลี้ยงเชื้อ โดยแทงผ่านจุกยาง แล้วเขย่าเบา ๆ เพื่อกันการแข็งตัวของเลือด ลงหมายเลขขวด และเวลาที่เจาะให้ชัดเจน จำนวนขวดที่ใช้ในการเจาะ 2-3 ขวด ทัง้ น้ขี ้นึ อย่กู ับแผนการรักษาของแพทย์ ระยะเวลาในการเจาะแต่ละขวด เว้นช่วงหา่ ง 15-30 นาที และเปลีย่ นตำแหน่งการเจาะ 485

รปู ภาพที่ 14-8 แสดงขวด Hemoculture ทมี่ า: https://www.biomerieux-asean.com (10) การเจาะหาระดับเอนไซม์ของหัวใจ (cardiac enzymes test) ประกอบด้วย การหาค่า CPK, LDH - วิธเี กบ็ เจาะเลอื ดจำนวน 5 มลิ ลิลิตรใส่ tube ที่เปน็ clot blood (จุกแดง) (11) การตรวจเลือดปลายนิ้วเพื่อวัดค่าระดับน้ำตาลในเลือด โดยการเจาะก่อนม้ือ อาหาร วธิ เี กบ็ นวดคลงึ ปลายน้ิว เชด็ น้วิ ท่ีจะเจาะด้วยสำลแี อลกอฮอล์ ควรเจาะด้านข้าง ของนิ้วกลาง หรือนิ้วนาง ใช้เข็มเจาะชนิดใช้แล้วทิ้งที่มาพร้อมเครื่องเจาะน้ำตาล เช็ดเลือดหยดแรก ออก หยดเลือดหยดที่สองลงบนแถบตรวจ รปู ภาพที่ 14-9 แสดงการเจาะน้ำตาลปลายนิ้ว ท่ีมา: https://hellokhunmor.com 486

4) ตรวจสอบความถูกต้องของคำสั่งการรักษาใบขอตรวจตัวอย่างเลือด และหลอดแก้ว หรอื ภาชนะบรรจตุ ัวอย่างเลอื ด โดยช่ือผ้ปู ่วย นามสกลุ เลขประจำตวั ผูป้ ว่ ยต้องตรงกนั ท้ัง 3 ส่วน 5) เตรียมอปุ กรณส์ ำหรับเจาะเลอื ดใส่ถาดหรือใช้รถฉดี ยา ดงั น้ี (1) ใบขอตรวจตวั อย่างเลือด (2) หลอดบรรจุตวั อย่างเลอื ด (3) Syringe ขนาด 3 ml, 5 ml หรือ 10 ml ตามปริมาณเลือดที่ต้องการส่งตรวจ กรณีเก็บตัวอย่างเลือดหลายชนิดให้รวมปริมาณเลือดที่ต้องการทั้งหมดแล้วเจาะเลื อดผู้ป่วยตาม ปริมาณน้ัน (4) Needle No 20 , 21 (5) 70 % alcohol หรือ 2 % chlorhexidine (6) ถงุ มือสะอาด 1 คู่ (7) พลาสเตอร์ (8) สำลี (9) ถาดอปุ กรณ์ (10) สายรัด (tourniquet) 6) แจ้งผ้ปู ว่ ยรบั ทราบพร้อมทง้ั อธบิ ายเหตผุ ลของการเจาะเลือด 7) จดั ท่าใหผ้ ู้ป่วยนง่ั หรือนอนในทา่ ท่ีสขุ สบาย 8) ตรวจสอบความถูกต้องของใบขอตรวจตัวอย่างเลือด หลอดแก้วหรือภาชนะบรรจุ ตัวอยา่ งเลือด ป้ายข้อมอื ผู้ป่วย โดยชือ่ ผปู้ ่วย นามสกุล เลขประจำตัวผู้ปว่ ยต้องตรงกนั ทั้ง 3 ส่วน 9) ล้างมอื 7 ข้นั ตอน สวมถุงมอื สะอาด 10) ตอ่ syringe เขา้ กับ Needle หมุนปลายตดั ของเขม็ ให้ตรงกบั scale ของ syringe 11) เลือกตำแหน่งของการเจาะเลือด โดยส่วนใหญ่จะเลือกบริเวณท่อนแขนด้านหน้า ใกล้ขอ้ พับแขน (median cubital vein, Cephalic vein, basilic vein) 12) ใช้สายรัด (Tourniquet) รัดเหนือตำแหน่งที่ต้องการเจาะประมาณ 1- 1.5 นิ้ว ไม่ ควรรัดนานเกนิ 1นาที เพราะอาจทำให้ผลการตรวจบางอย่างมีคา่ เปล่ยี นแปลงได้ 13) ทำความสะอาดบริเวณที่จะเจาะด้วยสำลีชุบ 70 % alcohol หรือ 2 % chlorhexidine ในกรณกี ารเก็บตวั อยา่ งเลือดเพอ่ื การเพาะเช้ือ 487

14) ใช้มือข้างถนัดจับ syringe หงายปลายตดั ของเข็มขน้ึ 15) นิ้วหัวแม่มือข้างที่ไม่ถนัดข้างที่ไม่ถนัดวางลงบนหลอดเลือดดำ ต่ำกว่าตำแหน่งที่ ตอ้ งการเจาะเลก็ น้อย ประมาณ 1 -2 นวิ้ 16) แทงเข็มทำมุม ประมาณ 15 – 30 องศาขึ้นกบั ความลกึ ของหลอดเลือดผู้ป่วยแต่ละ ราย เมื่อเลือดไหลเขา้ มาใน syringe ให้ใช้มือขา้ งที่ไม่ถนดั ค่อย ๆ ดูดเลือดออกมาจนครบตามจำนวน ทตี่ อ้ งการ1. 17) ใช้มือข้างทไ่ี ม่ถนัดปลด Tourniquet 18) เอาสำลีแห้งวางตรงที่แทงเข็มพร้อมทั้งถอดเข็มออก แล้วกดสำลีแห้งประมาณ 15 วนิ าที ให้เลือดหยุดไหล แล้วจึงปิดพลาสเตอร์บนสำลี 19) นำเลือดใส่ในหลอดแก้ว หากต้องเจาะเลือดเพื่อเก็บตัวอย่างเลือดหลายชนิดให้ เรียงลำดับการใส่เลือดในหลอดแก้วบรรจุตัวอย่างเลือด ดังนี้ Hemoculture, 3.2 % sodium citrate, Clot blood, Lithium heparin, EDTA และ Sodium fluoride รปู ภาพที่ 14-10 แสดงลำดบั การใส่เลือดในหลอดแกว้ บรรจตุ วั อยา่ งเลือด 20) แทงเขม็ ผานจุกยางเลือดจะไหลเขาหลอดโดยอัตโนมตั ิดวยระบบสญู ญากาศ หากเลือด ยังไมถึงขีดที่กําหนดสามารถดัน Syringe เพิ่มปริมาณเลือดใหถึงขีดที่กําหนด ดึงเข็มและ Syringe ออกมา กรณเี จาะ Hemoculture ให้เปล่ยี น Needle ใหมก่ ่อนแทงเขม็ ผ่านจุกหลอดแกว้ 21) กรณีการเจาะเลือดที่มีสารกันหลอดเลือดแข็งตัว ให้ผสมเลือดเข้ากับสารป้องกันเลือด แข็งตัวโดยการกลับหลอดเลือดขึ้นและลงสลับกันเบา ๆ 8 –10 ครั้ง นำหลอดใส่ตัวอย่างเลือดพร้อม ใบขอตรวจส่งไปยงั ห้องปฏบิ ตั ิการ 22) เซน็ ชื่อผู้เกบ็ ส่ิงส่งตรวจ เวลาท่เี กบ็ ส่งิ สง่ ตรวจในใบขอตรวจตวั อย่างเลือด 488

23) ตรวจสอบความถูกต้องของใบขอตรวจตัวอย่างเลือด หลอดแก้วหรือภาชนะบรรจุ ตัวอย่างเลอื ด อกี ครงั้ กอ่ นส่งเลือดไปตรวจทีห่ ้องปฏิบัตกิ าร 14.2.2 การเกบ็ ตวั อย่างปัสสาวะส่งตรวจ การเกบ็ ตวั อย่างปสั สาวะส่งตรวจมกี ารเกบ็ ทส่ี ง่ ตรวจบอ่ ย 3 ชนดิ ไดแ้ ก่ การเกบ็ ปสั สาวะ ตรวจท่ัวไป (Urine analysis: UA) การส่งปัสสาวะเพ่อื เพาะเชือ้ (Urine Culture) การเก็บปสั สาวะ 24 ชัว่ โมง โดยทัง้ 3 มรี ายละเอียดดงั นี้ 1) การเก็บปัสสาวะตรวจท่วั ไป (Urine analysis: UA) เพอ่ื ตรวจดู สี ความถ่วงจำเพาะ โปรตนี เม็ดเลอื ดขาว ความเปน็ กรด-ดา่ ง เมด็ เลือดแดง เซลล์ และอนื่ ๆกรณีผู้ปว่ ย ผูป้ ่วยสามารถ ปสั สาวะเองได้ให้ไปถ่ายปสั สาวะท่ีห้องนำ้ ก่อนปัสสาวะให้ทำความสะอาดอวยั วะสืบพนั ธ์ุดว้ ยสบู่ให้ สะอาด แลว้ ถ่ายปสั สาวะส่วนต้นทง้ิ เกบ็ ปสั สาวะสว่ นกลาง (Mid-stream urine) 10-20 มลิ ลลิ ิตรใส่ ในถว้ ยหรือขวดสะอาดทม่ี ีฝาปดิ กรณผี ปู้ ่วยปัสสาวะเองได้แต่ไมส่ ามารถไปห้องน้ำได้เองให้พยาบาล เป็นผชู้ ว่ ยเหลือโดยใหห้ มอ้ นอนทำความสะอาดอวยั วะสืบพันธ์ุ และเก็บปสั สาวะดว้ ยวธิ กี ารเดยี วกนั กรณผี ู้ป่วยไม่สามารถเก็บปัสสาวะได้ดว้ ยตนเอง เช่น ไม่รูส้ ึกตวั หรือกลั้นปัสสาวะไม่ได้ ใหเ้ กบ็ ปัสสาวะด้วยวธิ ีการสวนปัสสาวะแบบสวนท้งิ (intermittent catheter) นำนำ้ ปสั สาวะ 10-20 มิลลิลิตรใส่ลงในขวดสะอาดที่มฝี าปดิ กรณผี ู้ปว่ ยที่ใส่สายสวนปัสสาวะให้ดดู ปสั สาวะออกไปตรวจ () รายละเอยี ดจะกลา่ วในส่วนถัดไป) รูปภาพที่ 14-11 แสดงการตรวจปสั สาวะตรวจทวั่ ไป (Urine analysis) ทมี่ า: https://www.imed.co.th 489

2) การสง่ ปสั สาวะเพอ่ื เพาะเช้อื (Urine Culture) เป็นการเก็บปัสสาวะเพ่ือนำไปเพาะเล้ียง เชื้อ หาเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราในอาหารเลี้ยงเชื้อพิเศษ มีวิธีการเก็บเช่นเดียวกับการส่งปัสสาวะตรวจ ทั่วไป เพยี งแต่ตอ้ งใชภ้ าชนะหรือขวดปราศจากเชอ้ื สำหรบั ใสน่ ้ำปัสสาวะ 3) การเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง เป็นการเก็บรวบรวมปัสสาวะผู้ป่วยจนครบ 24 ชม. แล้วจงึ ส่งตรวจ โดยให้ผู้ป่วยปัสสาวะทิ้งก่อนการเก็บตอน 08.00 น. แล้วเก็บปัสสาวะที่ถ่ายทุกครั้งหลัง 08.00 น. รวมกันจนครบ 24 ชั่วโมง คือ 08.00 น. ของวันรุ่งขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย โดยเก็บในขวด สะอาดปากกว้าง ระหว่างที่เก็บปัสสาวะควรเก็บไว้ในตู้เย็นตลอดเวลา หรือถ้าไม่เก็บในตู้เย็นให้ใส่ สารเคมีบางอย่างลงไปเพื่อรักษาสภาพของปัสสาวะ เช่น Toluene, concentrated Hydrochloric acid ทัง้ นีเ้ วลาในการเกบ็ มกี ารปรบั เปล่ยี นได้ แลว้ แต่โรงพยาบาลจะเลอื กปฏบิ ัติ วิธีการเกบ็ ตัวอยา่ งปัสสาวะสง่ ตรวจในผู้ป่วยทส่ี วนคาสายสวนปสั สาวะ ขั้นตอนการปฏบิ ัติ ดังนี้ 1) ตรวจสอบคำสง่ั การรักษา 2) เตรียมใบขอตรวจปัสสาวะ ติดสติ๊กเกอร์ชื่อนามสกุลและเลขประจำตัวผู้ป่วย เลือกชนดิ ของการตรวจปัสสาวะตามแผนการรักษา ตัวอย่างการเขียนใบขอตรวจเพาะเชื้อในปัสสาวะ ดงั แสดงในรปู ภาพที่ 14-11 รูปภาพท่ี 14-12 แสดงตัวอยา่ งการเขยี นใบขอตรวจเพาะเชอ้ื ในปสั สาวะ 490

3) เตรียมขวดสำหรับใส่ปัสสาวะเพื่อส่งตรวจ กรณีส่งตรวจ Urine analysis (U/A) ใช้ขวดสะอาด กรณีส่งตรวจปัสสาวะเพื่อเพาะเชื้อ (Urine Culture) ใช้ขวดปลอดเชื้อสำหรับใส่น้ำ ปัสสาวะ ตดิ สตกิ๊ เกอร์ช่อื นามสกุลและเลขประจำตัวผู้ป่วย บนขวดเกบ็ ปสั สาวะ 4) เตรียมอปุ กรณ์ ดังน้ี (1) ขวดสำหรับเกบ็ ปสั สาวะ (2) Syringe 10 ml (3) Needle No 23, 24 (4) Betadine หรอื 70% Alcohol , 2 % chlorhexidine (5) คีมหรอื อปุ กรณ์สำหรับรัดสายสวนปัสสาวะ 5) ตรวจสอบความถูกต้องของคำสั่งการรักษา ใบขอตรวจปัสสาวะ และขวดบรรจุ ตวั อยา่ งปสั สาวะ โดยช่อื ผปู้ ่วย นามสกุล เลขประจำตัวผปู้ ว่ ยตอ้ งตรงกนั ทง้ั 3 ส่วน 6) แจ้งใหผ้ ปู้ ่วยรบั ทราบ อธิบายเหตผุ ลใหเ้ ข้าใจ 7) ใชค้ ีมหรอื อุปกรณ์จบั หนีบสายของถงุ ปสั สาวะ ใหห้ ่างจากสายสวนปัสสาวะ ประมาณ 2-3 น้ิว นานประมาณ 15 -30 นาที 8) เตรียมอุปกรณ์ แลว้ นำมาทเ่ี ตยี งผปู้ ว่ ย 9) ตรวจสอบความถูกต้องของใบขอตรวจปัสสาวะ ขวดบรรจุตัวอย่างปัสสาวะ โดย ชื่อและป้ายข้อมอื ผู้ป่วย โดยผ้ปู ว่ ย นามสกลุ เลขประจำตวั ผู้ป่วยต้องตรงกันทง้ั 3 สว่ น 10) ล้างมือ 7 ขน้ั ตอน สวมถุงมือสะอาด 11) ต่อ syringe เข้ากับ Needle หมุนปลายตัดของเข็มให้ตรงกับ scale ของ syringe 12) ทำความสะอาดบริเวณกระเปาะสายสวนปัสสาวะด้านที่ปัสสาวะไหลออกมา ด้วยสำลีชุบ 70 % alcohol หรือ Betadine กรณีการเก็บปัสสาวะส่งตรวจเพาะเชื้อให้ใช้ 2 % chlorhexidine หรอื Betadine 13) ใชม้ อื ข้างถนัดจับ syringe หงายปลายตดั ของเข็มขึ้น 14) แทงเข็มทำมุม ประมาณ 15 องศาที่สายสวนปัสสาวะ ระวังอย่าให้เข็มแทงสาย สวนปัสสาวะด้านทเ่ี ป็นบอลลูน 491

15) ดูดปัสสาวะออกมา 10 ml ครบแล้วนำ Syringe ออก คลายสายรัดที่รัดสายถุง ปสั สาวะออก 16) นำตัวอย่างปสั สาวะใสข่ วด 17) เซน็ ชื่อผูเ้ ก็บสิง่ ส่งตรวจ เวลาที่เกบ็ ส่งิ สง่ ตรวจในใบขอตรวจปสั สาวะ 18) ตรวจสอบความถูกต้องของใบขอตรวจตัวอย่างปัสสาวะ ขวดบรรจุปัสสาวะอีก คร้ังก่อนส่งเลอื ดไปตรวจทหี่ ้องปฏบิ ตั ิการ 14.2.3 การเก็บตวั อยา่ งอุจจาระส่งตรวจ 1) การเก็บอุจจาระตรวจทั่วไป (Stool examination) เพื่อตรวจดูสี พยาธิ ไข่พยาธิ เลือดในอุจจาระ สิ่งตกตะกอนต่าง ๆ ในอุจจาระ วิธีเก็บ เมื่อผู้ป่วยถ่ายอุจจาระ ใช้ไม้เขี่ยอุจจาระใส่ ขวดท่ีมฝี าปดิ ใหเ้ รยี บร้อย และหากอจุ จาระมสี ่วนผดิ ปกติ เช่น มมี กู เลือด ควรเลือกส่วนท่ีผิดปกติ ส่ง ตรวจโดยเร็วภายใน 30 นาที เพือ่ ได้ผลดียิง่ ขนึ้ 2) การเก็บอุจจาระเพื่อตรวจหาเลือดในอจุ จาระ (Occult Blood) วิธีเก็บ ก่อนการเก็บ ควรให้ผู้ป่วยงดอาหาร เนื้อสัตว์ที่มีเลือดปน เช่น อาหารเนื้อที่ปรุงสุกๆดิบๆ (งด 3 วัน ก่อนเก็บ) จากนั้นเมื่อผู้ป่วยถ่ายอุจจาระ ใช้ไม้เขี่ยอุจจาระจำนวนเล็กน้อย พยายามเลือกส่วนที่ไม่มีเลือดปนใส่ ขวดท่ีมีฝาปิดมดิ ชดิ ส่งตรวจทนั ทีภายใน 30 นาที 3) การเก็บอุจจาระเพื่อเพาะเชื้อ (Stool-culture) เป็นการเก็บอุจจาระเพื่อนำไป เพาะเลี้ยงเชื้อ และดคู วามไวของเชื้อต่อยา วิธีเกบ็ ให้ผปู้ ว่ ยนอนตะแคงซ้ายขาดา้ นลา่ งเหยยี ดตรง ขา ด้านบนงอขึ้นชดิ อก จนเห็นรูทวารหนักชัดเจน จากนั้นใช้ไม้พันสำลีขนาดเล็กทีป่ ราศจากเชื้อสอดเข้า ทางทวารหนักลึกประมาณ 1-2 นิ้ว หมนุ ไม้ไปมา 2-30 รอบ กอ่ นนำไมน้ นั้ ใสล่ งในขวดที่มีอาหารเล้ียง เช้อื แล้วสง่ ตรวจทนั ทหี รือเกบ็ ไวท้ ี่อณุ หภมู ิ 4 0C (ไมเ่ กิน 24 ช่วั โมง) 14.2.4 การเก็บตวั อย่างเสมหะส่งตรวจ 1) การเก็บเสมหะตรวจทั่วไป (Sputum examination) เป็นการตรวจหาส่วนประกอบ ของเสมหะ เช่น เช้ือโรค มกู เลือด หนอง เซลลท์ ล่ี อกหลดุ ตายและสิ่งเจือปนอ่ืน ๆ 2) การเกบ็ เสมหะส่งเพาะเชือ้ (Sputum culture) เปน็ การเกบ็ เสมหะ เพอ่ื สง่ เพาะเล้ียง เชอื้ และดคู วามไวของเช้อื ตอ่ ยา 492

3) การเก็บเสมหะตรวจ Acid -fast-Bacilli (AFB) เป็นการเก็บเสมหะ เพื่อนำไปย้อมสี หาเชือ้ วัณโรค 14.2.4.1 วธิ ีการเก็บตัวอย่างเสมหะส่งตรวจ วธิ ีการเก็บ มี 2 ลกั ษณะดังนี้ 1) การเก็บเสมหะในผู้ป่วยที่ไอออกเองได้ ให้ผู้ป่วยเก็บเสมหะในตอนเช้าก่อน รับประทานอาหาร ก่อนเก็บให้บ้วนปากด้วยน้ำสะอาด (ห้ามบ้วนด้วยน้ำยาบ้วนปาก) เพื่อลด แบคทเี รียในช่องปาก ใหห้ ายใจเขา้ -ออก ลกึ ๆ 2-3 ครงั้ ครั้งสดุ ทา้ ยใหห้ ายใจเข้าลกึ -ยาว แลว้ กลัน้ ไว้ สักครู่จึงไอออกมาแรงๆ ขณะหายใจออก เมื่อขากได้เสมหะแล้วให้ยกปากขวดหรือถ้วยขึ้นชิดริม ฝีปากล่างค่อยๆ ปล่อยเสมหะไหลลงในถ้วย (ใส่ขวด sterile หากเก็บเพาะเชื้อ : gram stain, culture หรือใส่ในกระปุกสะอาดที่มีฝาปิด มิดชิด หากเก็บ sputum exam, AFB) ตรวจดูเสมหะท่ี เก็บได้ ควรมีลักษณะเป็นเมือกเหนียว เป็นยวง ขุ่นข้น มีสีปนเหลือง หรือปนเขียว ไม่ใช่น้ำลายซึง่ ใส หรอื เปน็ ฟองสขี าว ปดิ ฝาขวดเสมหะใหแ้ นน่ แลว้ ส่งตรวจทนั ทหี รือเกบ็ ท่อี ณุ หภูมหิ อ้ ง * หมายเหตุ การเกบ็ AFB มกั เกบ็ ส่งหอ้ งปฏิบตั ิการตดิ ต่อกนั 3 วนั 2) การเกบ็ เสมหะโดยการใช้เครื่องดูดเสมหะ มีวธิ กี ารปฏิบตั ิ ดงั น้ี (1) ตรวจสอบคำส่ังการรกั ษา (2) เตรียมใบขอตรวจเสมหะ ติดสติ๊กเกอร์ชื่อนามสกุลและเลขประจำตัวผู้ป่วย เลือกชนดิ ของการตรวจปสั สาวะตามแผนการรักษา (3) เตรียมขวดเก็บเสมหะสำเร็จรูป (sputum collection set หรือ luken tube) โดยยงั ไมต่ อ้ งฉีกซอง เตรียมสตกิ๊ เกอร์ชอื่ นามสกลุ และเลขประจำตวั ผูป้ ว่ ย (4) ตรวจสอบความถูกต้องของคำสั่งการรักษา ใบขอตรวจเสมหะ และขวดเก็บ เสมหะสำเร็จรูป โดยช่ือผูป้ ว่ ย นามสกลุ เลขประจำตัวผู้ปว่ ยตอ้ งตรงกันทง้ั 3 ส่วน (5) เตรียมอปุ กรณ์ ดงั นี้ - ใบขอตรวจเสมหะตามแผนการรักษา - ขวดเก็บเสมหะสำเรจ็ รูป (sputum collection set หรือ luken tube) - อุปกรณอ์ น่ื เชน่ เดียวกบั การดดู เสมหะแจง้ ใหผ้ ปู้ ่วยรับทราบ (6) อธิบายเหตผุ ลให้ผ้ปู ว่ ยรบั ทราบ จัดทา่ นอนศีรษะสงู มากกว่า 45 องศา (7) ใช้สำลีชุบ 70 % alcohol เช็ด finger tip แลว้ หอ้ ยไว้ไม่ใหส้ มั ผสั กับสง่ิ ใด 493

(8) ฉีกซองขวดเก็บเสมหะสำเร็จรูป (sputum collection set หรือ luken tube) ไว้ (9) ใสถ่ งุ มือปลอดเช้ือข้างขวา (10) ใช้มือที่ใส่ถุงมือหยิบขวดเก็บเสมหะสำเร็จรูป (sputum collection set หรือ luken tube) ด้วย sterile technique แล้วนำปลายด้านทเี่ ป็นข้อตอ่ มาต่อเข้ากับ finger tip (11) เปิดเครื่องดดู เสมหะแลว้ ดดู เสมหะตามวธิ ีการดูดเสมหะ (12) เมื่อได้เสมหะพอสมควรประมาณ 1/3 ของขวดดูดเสมหะ หรือผู้ป่วยไม่มี เสมหะแล้ว หรือเมือดูดเสมหะครบ 3 ครั้งแล้ว ให้ปิดเครื่อง นำขวดเก็บเสมหะสำเร็จรูป (sputum collection set หรอื luken tube) ออก หมนุ ฝาส่วนทีด่ ูดเสมหะทงิ้ ในขยะติดเช้ือ นำฝาท่ีอยู่บริเวณ กน้ ขวดมาปิดขวดใหส้ นิท (13) ตรวจสอบความถกู ตอ้ งของใบขอตรวจเสมหะ ขวดบรรจเุ สมหะ อกี ครั้งก่อน สง่ เลือดไปตรวจที่หอ้ งปฏิบตั ิการ รปู ภาพท่ี 14-13 แสดงขวดเก็บเสมหะสำเร็จรูป (sputum collection) ที่มา: https://www.indiamart.com 494

14.2.5 การเก็บหนองสง่ ตรวจ 1) การตรวจโดยตรงด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Smear) เป็นการตรวจหาเชื้อโดยย้อมสี แก รมแล้วดูเชื้อด้วยกลองจุลทรรศน์ วิธีเก็บ ใช้ไม้พันสำลีที่ปราศจากเชื้อป้ายหนองจากบริเวณแผลท่ี ต้องการตรวจโดยหมุนปลายไม้พันสำลีเบา ๆ ให้ติดหนอง แล้วนำหนองที่ติดที่ไม้พันสำลีป้ายลงบน สไลด์สะอาด เขยี นชือ่ -สกลุ ผ้ปู ่วยลงบนสไลดก์ ่อนนำไปสง่ ท่หี ้องปฏิบัติการ 2) การเก็บหนองส่งเพาะเชื้อ (Pus culture) เป็นการตรวจเพื่อหาเชื้อที่อยู่บริเวณแผล และดูความไวของเชื้อต่อยา วิธีเก็บ หลังจากทำแผลแล้วใช้ไม้พันสำลีขนาดเล็กที่ปราศจากเชื้อป้าย หนองจากบริเวณแผล หรือหนองจากบริเวณที่ต้องการตรวจ ใส่ในขวดที่มีอาหารเลี้ยงเชื้อ เก็บไว้ที่ อณุ หภมู ิห้องหรือนำส่งตรวจทนั ที แลว้ ทำความสะอาดปิดแผลตามวิธีการทำแผลท่วั ไป 14.2.6 การเกบ็ นำ้ ไขสันหลังส่งตรวจ เป็นการตรวจเพื่อค้นหาความผิดปกติของโรคที่เกี่ยวกับสมองและไขสันหลัง เช่น เยื่อหุ้ม สมองอักเสบ ผู้ป่วยที่อาการชัก หรือมีไข้สูง โดยแพทย์เป็นผู้เจาะน้ำจากไขสันหลัง วิธีเก็บ ภายหลัง จากเจาะหลังและไดน้ ำ้ ไขสนั หลงั ออกมา ก็จะเก็บตวั อยา่ งส่งตรวจโดยใชข้ วดที่ปราศจากเชื้อรองน้ำไข สันหลงั บรรจลุ งในขวด ขวดละ 2-3 มลิ ลลิ ติ ร จำนวน 3 ขวด โดยขวดใบที่ 1 สง่ culture ขวดใบที่ 2 ส่ง gram stain ขวดใบที่ 3 ส่ง cell diff, cell count นอกจากนี้จะเจาะ Blood sugar ส่งตรวจ หลงั จากเจาะด้วย 14.3 บทสรุป การเก็บสิ่งส่งตรวจ เป็นการตรวจหาความผิดปกติภายในร่างกายผู้ป่วย เพื่อนำผลมาใช้ใน การวินิจฉัยหรือตัดสินใจรักษาของแพทย์ ดังนั้นพยาบาลผู้เก็บจึงต้องเข้าใจหลักการและเก็บอย่าง ถูกต้อง ระวงั การผิดพลาด เพ่ือประโยชนส์ ูงสดุ ของผู้ปว่ ย 14.4 คำถามท้ายบท ข้อ 1 การเก็บสง่ิ ส่งตรวจต้องตรวจสอบชอ่ื ผู้ปว่ ยท่ตี ำแหนง่ ใดบ้าง (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 1. ปา้ ยข้อมือ 2. คำส่ังการรักษา 3. หลอดบรรจุสิง่ สง่ ตรวจ 4. ใบขอตรวจทางห้องปฏบิ ัตกิ าร 495

ขอ้ 2 การเก็บตัวอยา่ งเลือดสง่ ตรวจ Complete blood count ต้องใชห้ ลอดบรรจเุ ลือดในข้อ ใด 1. จุกฟา้ 2. จกุ แดง 3. จกุ มว่ ง 4. จุกเขียว ข้อ 3 การเก็บตัวอยา่ งเลือดสง่ ตรวจ electrolyte ต้องใชห้ ลอดบรรจุเลอื ดในข้อใด 1. จุกฟ้า 2. จกุ ม่วง 3. จุกแดง 4. จกุ เทา ข้อ 4 คำสงั่ การรกั ษา blood for Hemoculture, CBC, BUN, Cr, E, lyte. ต้องเรยี งลำดับการ นำเลอื ดใสห่ ลอดเลือดอยา่ งไร 1. E.D.T.A tube, clot blood tube, Hemoculture 2. clot blood tube, E.D.T.A tube, Hemoculture 3. Hemoculture, E.D.T.A tube, clot blood tube 4. Hemoculture, clot blood tube, E.D.T.A tube ข้อ 5 การเก็บตัวอย่างเลอื ดในข้อใดต้องเปลย่ี นเข็มก่อนนำเลอื ดใสห่ ลอดแกว้ 1. Electrolyte 2. Blood sugar 3. Hemoculture 4. Complete blood count 496

ขอ้ 6 การเกบ็ mid steam urine culture (MUC) ข้อใดถูกตอ้ ง 1. เทปสั สาวะจากถงุ รองรบั ปสั สาวะไปครง่ึ ถุงแล้วเกบ็ สว่ นกลาง 2. ใหผ้ ปู้ ว่ ยปสั สาวะลงในภาชนะรอรบั แล้วใช้ syringe ดูดเกบ็ ส่ิงส่งตรวจ 3. สวนปสั สาวะแบบเป็นครงั้ คราวเพ่ือเกบ็ MUC แมผ้ ปู้ ว่ ยจะปัสสาวะเองได้ 4. พับสาย urine ไว้ประมาณ 15 นาที แล้วใช้เข็มดูดจากกระเปาะสาย Foley, s catheter ข้อ 7 การตราจเพาะเชอื้ ในปสั สาวะ หมายถึงการตรวจในขอ้ ใด 1. Urine analysis 2. Urine culture 3. Urine protein 4. Urine specific gravity ข้อ 8 การเกบ็ เสมหะสง่ ตรวจช่วงเวลาใดเหมาะสมทีส่ ุด 1. ก่อนนอน 2. หลังต่ืนนอน 3. กอ่ นรับประทานอาหาร 4. หลงั รบั ประทานอาหาร ขอ้ 9 วธิ ีการเกบ็ หนองสง่ เพาะเช้ือ (Pus culture) ขอ้ ใดถกู ตอ้ ง 1. ก่อนทำแผล 2. หลังจากทำแผล 3. ระหว่างทำแผล 4. เกบ็ ชว่ งในใดกไ็ ด้ 497

ข้อ 10 การนำสง่ ส่ิงสง่ ตรวจตอ้ งตรวจสอบข้อมลู ผปู้ ่วยใหต้ รงกนั ในส่วนใดบ้าง (ตอบได้หลายข้อ) 1. ปา้ ยขอ้ มอื ผ้ปู ว่ ย 2. คำสงั่ การรักษา 3. ใบขอตรวจสง่ิ สง่ ตรวจ 4. ภาชนะบรรจุสง่ิ สง่ ตรวจ 14.5 เอกสารอ้างอิง ชวนพศิ วงศ์สามัญ และ กล้าเผชญิ โชคบำรุง. (2558). การตรวจทางหอ้ งปฏิบตั กิ ารและการพยาบาล. พิมพค์ รง้ั ท่ี 21. ขอนแก่น: หจก ขอนแกน่ การพมิ พ.์ ณัฐสุรางค์ บุญจันทร์ และอรุณรัตน์ เทพนา. (2559). ทักษะพื้นฐานทางการพยาบาล. กรุงเทพฯ: หจก. เอ็นพีเพรส. สัมพันธ์ สันทนาคณิต, สุมาลี โพธิ์ทอง และสุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พ้นื ฐาน II. กรงุ เทพฯ: บริษทั บพธิ การพมิ พ์ จำกดั . สุปราณี เสนาดิสัย และ วรรณภา ประไพพานิช. (2564). การพยาบาลพื้นฐาน ปรับปรุงครั้งท่ี 2. กรงุ เทพฯ: บริษทั จุดทอง จำกดั . สุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์ สุมาลี โพธิ์ทอง, และสัมพันธ์ สันทนาคณิต. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พื้นฐาน I.กรุงเทพฯ: บริษทั บพิธการพมิ พ์ จำกดั . อัจฉรา พุ่มดวง. (2559). การพยาบาลพื้นฐาน : ปฏิบัติการพยาบาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2558). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 2. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บรษิ ัท จรลั สนิทวงศก์ ารพมิ พ์ จำกดั . Nettina SM. (2 0 1 4 ) . Manual of Nursing Practice. Philadelphia: Williams &Wilkins Lippincott. Patricia A. Potter. (2 0 1 3 ) . Fundamentals of Nursing 8 th ed. St. Louis, Mo : Mosby Elsevier. Taylor ll. (2015). Fundamental of Nursing .8th ed. Philadelphia: Walters Kluwer. 498

แผนบริหารการสอนประจำบทท่ี 15 หลักการและเทคนคิ การพยาบาลพื้นฐาน ในการพยาบาลผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวติ หัวขอ้ เน้อื หาประจำบท 1. ความรู้เบอ้ื งต้นเกีย่ วกบั ผปู้ ่วยระยะสดุ ท้าย 2. หลกั การพยาบาลแบบประคับประคองและการดูแลระยะสดุ ท้ายของชวี ติ 3. หลกั การพยาบาลและวธิ ปี ฎิบัติเมื่อผู้ป่วยทีถ่ ึงแกก่ รรม จำนวนชว่ั โมงทส่ี อน: ภาคทฤษฎี 1 ชว่ั โมง ภาคทดลอง 1 ชั่วโมง วัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม 1. อธบิ ายหลักการดูแลแบบประคบั ประคองและการดูแลระยะสดุ ทา้ ยได้ 2. ระบปุ ญั หาด้านร่างกายและจติ ใจของผปู้ ว่ ยระยะสดุ ทา้ ยได้ 3. วางแผนการพยาบาลผ้ปู ว่ ยระยะสุดท้ายและครอบครวั ได้เหมาะสมกบั สถานการณ์ 4. รักษามารยาทในการแสดงความคดิ เหน็ ท่ีแตกต่างตามความเชื่อหรอื หลกั ศาสนา วธิ ีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. วิธีสอน 1.1 บรรยายแบบมีส่วนร่วม 1.2 อภปิ รายกลุ่ม 1.3 ฝึกปฏบิ ัตใิ นสถานการณ์จำลองเสมือนจรงิ 2. กิจกรรมการเรยี นการสอน 2.1 ขั้นนำ ถามผเู้ รียนเก่ียวกับความหมายของความตาย ในทัศนะของศาสนาต่าง ๆ สุ่ม ผู้เรียนที่เป็นตัวแทนนักศึกษาที่นับถือศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม แสดงความ คิดเห็น 2.2 ขัน้ สอน 1) บรรยายประกอบ Power point presentation เรื่อง ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ ผู้ปว่ ยระยะสุดท้าย หลักการพยาบาลแบบประคับประคองและการดูแลระยะสุดทา้ ยของชวี ติ 499


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook