Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักฐานประวัติศาสตร์และหลักฐานโบราณคดีในประเทศไทย Historical Archaeology in Thailand

หลักฐานประวัติศาสตร์และหลักฐานโบราณคดีในประเทศไทย Historical Archaeology in Thailand

Description: หลักฐานประวัติศาสตร์และหลักฐานโบราณคดีในประเทศไทย Historical Archaeology in Thailand

Search

Read the Text Version

[๑]

หลกั ฐานประวตั ิศาสตรแ์ ละหลกั ฐานโบราณคดี ในประเทศไทย โดย มยรุ ี วีระประเสริฐ [๒]

ความหมายของคาว่าประวตั ิศาสตร์ คำว่ำประวตั ิศำสตรซ์ ่ึงตรงกบั คำว่ำ “History” ในภำษำองั กฤษนัน้ ถูกนำมำใช้เป็นครงั้ แรกในประเทศไทยเม่อื ปี พ.ศ. ๒๔๕๙ โดยกำรเสนอของ พระวรวงศ์เธอกรมหม่ืนทิพยลำภพฤฒิยำกรเม่ือครัง้ ท่ีทรงสอนวิชำ ประวตั ิศำสตร์ (ซ่ึงเรียกกนั ในเวลำนัน้ ว่ำ “พงศำวดำร”) อยู่ท่ีจุฬำลงกรณ์ มหำวทิ ยำลยั แต่ดูเหมือนว่ำกว่ำคนไทยจะคุน้ เคยกบั คำว่ำ “ประวตั ิศำสตร์” และยอมรบั กนั ทวั ่ ไปนัน้ ต้องใช้เวลำนำนพอสมควร เพรำะหลงั จำกท่ีมีกำร เสนอให้ใช้คำว่ำประวตั ิศำสตร์แทนพงศำวดำรผ่ำนมำหลำยปีแล้ว สมเด็จ พระเจำ้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยำดำรงรำชำนุภำพ องคบ์ ดิ ำแห่งประวตั ศิ ำสตร์ ไทยกย็ งั โปรดทจ่ี ะทรงใชค้ ำวำ่ พงศำวดำรตำมเดมิ ดงั ปรำกฏควำมบำงตอนอยู่ ในลำยพระหตั ถ์ท่ที รงมถี งึ พระเจ้ำบรมวงศ์เธอ เจำ้ ฟ้ำกรมพระยำนรศิ รำนุวดั ตวิ งศ์ ลงวนั ท่ี ๑๖ ธนั วำคม ๒๔๗๗ ว่ำ “...พงศาวดารทแี่ ต่งเป็นเรอื่ งของชาติ หรอื ประเทศ เป็นของเกิดใหม่ ตามความเห็นของหม่อมฉันยงั รกั ให้ใช้เรยี ก History วา่ พงศาวดารอยตู่ ามเดมิ ...” (ดสู ำสน์สมเดจ็ เลม่ ๕, ๒๕๑๔ : ๒๔๖) สำหรบั ควำมหมำยของคำว่ำ “ประวัติศำสตร์” ท่ีใช้กันทัว่ ไปใน ปัจจบุ นั นนั้ นกั ประวตั ศิ ำสตรใ์ หค้ ำอธบิ ำยต่ำงๆ กนั ไป ซง่ึ ในทน่ี ้ีขอยกมำเพยี ง บำงตวั อยำ่ ง เชน่ นักปรำชญ์ชำวกรีกโบรำณอธิบำยว่ำ “ประวัติศาสตร์เป็นเรือ่ ง เกยี่ วกบั การกระทาของมนุษย์และการกระทาของมนุษย์ทนี่ ักประวตั ิศาสตร์ สนใจนนั้ เป็นการกระทาในอดตี ” ลีโอ ตอลสตอย กล่ำวว่ำ “ประวัติศาสตร์คือเรือ่ งราวชีวิตของ ประเทศชาติ และมนุษยชาต”ิ โรเบอรต์ ว.ี แดเนียลส์ อธบิ ำยวำ่ “ประวตั ศิ าสตร์ คอื ความทรงจาว่า ดว้ ยประสบการณ์ของมนุษย์ ซงึ่ ถา้ หากถูกลมื หรอื ละเลย กเ็ ท่ากบั ว่าเราไดย้ ตุ ิ แนวทางอนั บ่งช้ีเราว่าคอื มนุษย์ หากไม่มปี ระวตั ิศาสตร์เสียแล้ว เราจะไม่รู้ เลยว่า เราคอื ใคร เป็นมาอย่างไร เหมอื นคนเคราะห์ร้ายตกอยู่ในภาวะมนึ งง เสาะหาเอกลกั ษณ์ของเราอยทู่ ่ามกลางความมดื ” [๓]

โรบนิ ยอรช์ คอลลงิ วดู กล่ำววำ่ “ประวตั ศิ าสตร์ คอื ศาสตรท์ วี่ ่าดว้ ย ความพยายามทจี่ ะตอบคาถามเกยี่ วกบั พฤตกิ รรมของมนุษยใ์ นอดตี ” ดร. นิธิ เอยี วศรสี งศ์ อธบิ ำยว่ำ “ประวตั ิศาสตร์ คอื การศกึ ษาความ เป็นมาของมนุษยชาติ หรอื สงั คมมนุษย์ใดสงั คมหนึง่ ตงั้ แต่อดตี ปัจจุบนั ถึง อนาคต โดยอาศยั วธิ กี ารทีเ่ ป็นทรี่ ู้จกั กนั ว่า วธิ ขี องประวตั ิศาสตร์ (Historical method) หรอื ประวตั ศิ าสตร์ คอื การศกึ ษาเพอื่ อธบิ ายอดตี หรอื เพอื่ เขา้ ใจอดตี ของสงั คมมนุษยใ์ นมติ ขิ องเวลา” ดร. แถมสุข นุ่มนนท์ อธบิ ำยว่ำ “ประวตั ศิ าสตรค์ อื การไต่สวนเขา้ ไป ให้รู้ถึงความจริงทุกสิง่ ทีม่ นุ ษย์ได้ทา ได้คิด ได้หวังและได้รู้สึก ฉะนั้น ประวตั ิศาสตรจ์ งึ เป็นเรอื่ งทีเ่ กีย่ วข้องกบั สงั คมมนุษย์ การเปลีย่ นแปลงของ สงั คม ความคดิ ทีก่ ่อให้เกิดพฤตกิ รรมต่างๆ ในสงั คม และสภาพเหตุการณ์ที่ ส่งเสริมหรือขัดขวางวิวัฒนาการของสังคม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง วิชา ประวตั ศิ าสตรม์ คี วามสมั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรมของสงั คมมนุษยท์ ุกแงท่ ุกมมุ ” จะเหน็ ไดว้ ำ่ คำอธบิ ำยควำมหมำยของคำวำ่ “ประวตั ศิ ำสตร”์ ขำ้ งต้น นั้นถึงแม้จะแตกต่ำงกันไป แต่ก็อำจพอสรุปได้ในทำนองเดียวกันว่ำ ประวตั ิศำสตร์คือ ศำสตรท์ ่ีศึกษำถึงประวตั ิควำมเป็นมำของสงั คมมนุษย์ใน อดตี รวมทงั้ พฤตกิ รรมต่ำงๆ ของมนุษยใ์ นอดตี ดว้ ย ประวตั ิศาสตรก์ บั เวลา ประวตั ศิ ำสตรเ์ ป็นศำสตรท์ ่ศี กึ ษำคน้ ควำ้ เรอ่ื งรำวของสงั คมมนุษยใ์ น “อดีต” จงึ อำจมีขอ้ สงสยั ว่ำ “อดีต” ในท่ีน้ีจะต้องมีระยะเวลำห่ำงจำกปัจจุบนั เท่ำใดจงึ จะถือเป็นเร่อื งของประวตั ศิ ำสตรไ์ ด้ โดยทวั ่ ไปมกั เขำ้ ใจว่ำเร่อื งรำวท่ี เป็นประวตั ิศำสตร์จะต้องเป็นเร่อื งท่ีเกิดข้นึ มำนำนมำกแล้วเท่ำนัน้ ซ่ึงเป็น ควำมเขำ้ ใจท่ไี มถ่ ูกตอ้ ง เพรำะอนั ท่จี รงิ แล้วเวลำของประวตั ศิ ำสตรไ์ มส่ ำมำรถ จำกดั ขอบเขตไดแ้ น่นอน สง่ิ ใดทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ หำกมคี วำมสำคญั หรอื มผี ลกระทบ อยำ่ งหน่ึงอย่ำงใดต่อสงั คมมนุษยน์ นั้ ๆ ถึงแมจ้ ะเพงิ่ เกดิ ขน้ึ ไม่นำนกถ็ อื วำ่ เป็น ประวตั ศิ ำสตร์ [๔]

ในขณะเดยี วกนั อดตี ในทำงประวตั ศิ ำสตรจ์ ะยอ้ นเวลำกลบั ไปไดไ้ กล แค่ไหนก็ไม่อำจกำหนดเวลำท่ีแน่ นอนได้อีกเช่นกัน เพรำะอดีตของ ประวตั ิศำสตร์ย้อนเวลำกลับไปได้ไกลท่ีสุดเท่ำท่ีเรำสำมำรถจะสอบค้น เร่อื งรำวของมนุษย์ได้ อำจจะเป็ นหม่ืนปี มำแล้ว แสนปี มำแล้วหรอื ล้ำนปี มำแล้วก็ได้ ข้นึ อยู่กับว่ำมีร่องรอยหลกั ฐำนท่ีเก่ียวข้องกบั มนุษย์ในอดีตให้ สบื คน้ ยอ้ นเวลำกลบั ไปไดไ้ กลเพยี งใด การแบง่ ยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ ร่องรอยหลกั ฐำนกำรกระทำของมนุษยใ์ นอดตี ท่ยี งั หลงเหลอื อยู่ใน ปัจจุบนั นัน้ บ่งช้ีว่ำเรำสำมำรถศึกษำเร่อื งรำวของมนุษยชำติในโลกนับจำก ปัจจุบนั ย้อนเวลำกลบั ไปได้นับล้ำนปีข้นึ ไป ซ่ึงเป็นระยะเวลำท่ยี ำวนำนมำก ดงั นัน้ เพ่อื ควำมสะดวกในกำรศึกษำค้นควำ้ และเพ่อื เป็นกำรแบ่งภำระหน้ำท่ี ในกำรศกึ ษำคน้ ควำ้ เร่อื งรำวเก่ยี วกบั มนุษยช์ ำตใิ นอดตี จงึ มกี ำรแบ่งช่วงเวลำ ทำงประวตั ิศำสตรอ์ อกเป็น ๒ ยุคกวำ้ งๆ โดยใช้กำรปรำกฏหลกั ฐำนประเภท ลำยลกั ษณ์อกั ษรเป็นตวั กำหนด ดงั น้ี ยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์ หมำยถงึ ชว่ งเวลำทส่ี งั คมมนุษยน์ นั้ ๆ ยงั ไม่ รูจ้ กั ใช้ตัวอักษร และในกำรศึกษำค้นคว้ำทำงประวตั ิศำสตร์ท่ีเก่ียวข้องกบั สมัยก่อนป ระวัติศำสตร์ ถือเป็ นหน้ ำท่ีของนักโบ รำณ คดีสมัยก่อน ประวตั ศิ ำสตร์ ยุคประวตั ิ ศาสตร์ หมำยถึงช่วงเวลำท่ีสงั คมมนุษย์นัน้ ๆ รู้จัก บันทึกเร่ืองรำวต่ำงๆ ไว้เป็ นลำยลักษณ์ อักษรแล้ว กำรศึกษำค้นคว้ำ ประวตั ิศำสตร์ในยุคน้ี ถือเป็นหน้ำท่ีของนักประวตั ิศำสตรแ์ ละนักโบรำณคดี สมยั ประวตั ศิ ำสตร์ [๕]

ภำพท่ี ๑ ภำพเขยี นสสี มยั กอ่ นประวตั ศิ ำสตรท์ ถ่ี ้ำลำสโกซ์ (Lascuax Cave) ประเทศฝรงั่ เศส มอี ำยุรำว ๒๐,๐๐๐ ปีมำแลว้ ภำพท่ี ๒ อกั ษรคนู ิฟอรม์ จำกเมอื ง Uruk ประเทศอริ กั ในอำรยธรรมเมโสโปเตเมยี มอี ำยรุ ำว ๕,๐๐๐ ปีมำแลว้ [๖]

ต่อมำภำยหลังองค์กำรศึกษำวิทยำศำสตร์และวฒั นธรรมของ สหประชำชำติ (Unesco) ได้กำหนดยุคทำงประวตั ิศำสตร์เพ่ิมเติมข้ึนอีก หน่ึงยุค คือ ยุคก่ึงก่อนประวตั ิศาสตร์หรือยุคหัวเลี้ยวประวตั ิศาสตร์ ตงั้ คนั ่ ไวร้ ะหวำ่ งยุคก่อนประวตั ศิ ำสตรแ์ ละยุคประวตั ิศำสตร์ โดยใหค้ ำนิยำม ไวว้ ่ำ หมำยถงึ ช่วงเวลำท่สี งั คมมนุษย์นนั้ ๆ ยงั ไม่รจู้ กั ใช้ตวั อกั ษร แต่สำมำรถ ศกึ ษำเร่อื งรำวของสงั คมมนุษยน์ นั้ ๆ ไดจ้ ำกหลกั ฐำนท่เี ป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรท่ี ชนตำ่ งถน่ิ บนั ทกึ ไว้ ดงั นนั้ เรำจงึ อำจแบ่งยคุ สมยั ทำงประวตั ศิ ำสตรอ์ อกไดเ้ ป็น ๓ ยคุ คอื ยคุ ก่อนประวตั ศิ ำสตร์ ยุคกง่ึ ก่อนประวตั ศิ ำสตร์ หรอื ยคุ หวั เลย้ี วประวตั ศิ ำสตร์ และยคุ ประวตั ศิ ำสตร์ จะเห็นได้ว่ำกำรแบ่งยุคสมัยทำงประวัติศำสตร์โดยทัว่ ไปนั้น ใช้หลกั ฐำนท่ีเป็นลำยลกั ษณ์อักษรเป็นตวั กำหนด โดยไม่มกี ำรกำหนดอำยุ เวลำไวเ้ ป็นตวั เลขท่แี น่นอนว่ำแต่ละสมยั ควรจะเรมิ่ ตน้ ขน้ึ เวลำใดและสน้ิ สุดลง เวลำใด เน่ืองจำกสังคมมนุษย์ในโลกแต่ละสังคมรู้จกั ใช้ตัวอักษรบันทึก เร่อื งรำวต่ำงๆ ไว้ในระยะเวลำท่ีไม่ตรงกนั ในขณะท่ีสงั คมมนุษย์บำงแห่งมี ตวั อกั ษรใช้แล้ว มกี ำรจดบนั ทึกเร่อื งรำวต่ำงๆ ไวเ้ ป็นลำยลกั ษณ์อักษรแล้ว แต่สงั คมมนุษย์บำงแห่งซ่ึงเกิดข้นึ ในระยะเวลำเดียวกนั ยงั ไม่รู้จกั จดบันทึก เร่อื งรำวตำ่ งๆ ไวเ้ ลย เพรำะในสงั คมของเขำยงั ไมม่ ตี วั อกั ษรใช้ กำรแบ่งยุคสมยั ประวตั ิศำสตร์ในประเทศไทยก็เป็ นเช่นเดียวกบั หลกั สำกลทวั ่ ไปคืออำจแบ่งออกเป็น ๒ ยุค คือ ยุคก่อนประวตั ิศำสตร์และ ยุคประวัติศำสตร์ หรืออำจแบ่งออกเป็ น ๓ ยุคได้เช่นกัน คือ ยุคก่อน ประวตั ศิ ำสตร์ ยุคก่งึ ก่อนประวตั ิศำสตรห์ รอื ยุคหวั เล้ยี วประวตั ิศำสตร์ และยุค ประวตั ศิ ำสตร์ นอกจำกน้ี ยังมีกำรแบ่ งยุคก่อนป ระวัติศำสต ร์ ยุคก่ึงก่ อน ประวตั ศิ ำสตรห์ รอื ยคุ หวั เล้ยี วประวตั ศิ ำสตร์ และยุคประวตั ศิ ำสตรใ์ นประเทศ ไทย ออกเป็นยุคสมยั ย่อยๆ และมกี ำรกำหนดอำยเุ ป็นตวั เลขไวด้ ว้ ยแนวคดิ ท่ี แตกตำ่ งกนั ไปอกี ดว้ ย [๗]

การกาหนดอายแุ ละการแบง่ ยคุ สมยั ก่อนประวตั ิศาสตรใ์ นประเทศไทย ถูกแบ่งออกไวด้ ว้ ยแนวคดิ ทต่ี ่ำงกนั ออกไปถงึ ๓ แนวคดิ คอื แนวคิดท่ี ๑ เป็ นแนวคิดเดิมของนักวิชาการชาวตะวนั ตก ซึ่งให้ความสาคญั ในเรื่องของเทคโนโลยี จงึ แบ่งยอ่ ยยุคก่อนประวตั ศิ ำสตร์ ในประเทศไทยออกเป็น ๑. ยคุ หิน (Stone Age) ซง่ึ แบง่ ออกเป็นยคุ ยอ่ ยๆ ไดแ้ ก่ ๑.๑) ยุคหินเก่า (Old Stone Age หรอื Palaeolithic Period) ครอบคลุมช่วงระยะเวลำนำนมำกรำวๆ ๕๐๐,๐๐๐ – ๑๐,๐๐๐ ปีมำแลว้ ๑.๒ ) ยุค หิ น ก ลาง (Middle Stone Age หรือ Mesolithic Period) มอี ำยรุ ำว ๑๐,๐๐๐ – ๖,๐๐๐ ปีมำแลว้ ๑.๓) ยุคหิ นใหม่ (Neolithic Period) มีอำยุรำว ๖,๐๐๐ – ๔,๐๐๐ ปีมำแลว้ ๒. ยคุ โลหะ (Metal Age) ซง่ึ แบ่งยอ่ ยออกเป็น ๒.๑) ยุคสาริด (Bronze Age) มอี ำยุรำวๆ ๔,๐๐๐ – ๒,๕๐๐ ปีมำแลว้ ๒.๒) ยุคเหล็ก (Iron Age) มีอำยุรำวๆ ๒,๕๐๐ – ๑,๕๐๐ ปีมำแลว้ แนวคิดที่ ๒ เป็ นแนวคิดที่เสนอขึ้นภายหลงั โดยนักวิชาการ ชาวอเมริกัน ซึ่งให้ความสาคัญกับแบบแผนการดารงชีวิต การตัง้ ถิ่ น ฐาน และสภาพแวด ล้ อม รวมทั้งลักษ ณ ะของสังคม ที่ มีก าร เปล่ียนแปลงไปตามช่วงเวลาต่างๆ จงึ มกี ำรแบ่งยุคก่อนประวตั ิศำสตรใ์ น ประเทศไทยออกเป็นยคุ ยอ่ ยๆ ดงั น้ี ๑. ยุคสังคมล่าสัตว์และหาของป่ า (Hunting – Gathering Society Period) ซ่ึงอำจะเรยี กได้อีกอย่ำงหน่ึงว่ำ ยุคสังคม นายพราน มอี ำยรุ ำวๆ ๕๐๐,๐๐๐ – ๖,๐๐๐ ปีมำแลว้ [๘]

๒. ยุค ห มู่ บ้ าน สังค ม เก ษ ต รก รรม (Agricultural Village Society Period) มอี ำยรุ ำวๆ ๖,๐๐๐ – ๒,๕๐๐ ปีมำแลว้ ๓. ยุคสงั คมเมือง (Urban Society Period) อำจเรม่ิ ข้นึ เม่อื รำว ๒,๕๐๐ ปีลงมำ แนวคิดท่ี ๓ แบ่งยุคก่อนประวตั ิ ศาสตร์ออกเป็ นยุคย่อยๆ โดยยึดตามช่วงเวลาของการแบ่งยคุ ทางธรณีวิทยาเป็นหลกั ได้แก่ ๑. ยุ ค ไ พ ล ส โ ต ซี น ( Pleistocene Epoch) มี อ ำ ยุ ร ำ ว ๒,๐๐๐,๐๐๐ – ๑๐,๐๐๐ ปี มำแล้ว และยังมีกำรแบ่งย่อย ออกเป็ นยุคไพลสโตซีนตอนต้น ตอนกลำง และตอนปลำย อกี ดว้ ย ๒. ยุคโฮโลซีน (Holocene) หรือยุคหลงั ไพลสโตซีน (Post- Pleistocene) มอี ำยรุ ำว ๑๐,๐๐๐ ปีลงมำ การกาหนดอายแุ ละการแบง่ ยคุ สมยั ประวตั ิศาสตรใ์ นประเทศไทย ยุคประวัติศำสตร์ในประเทศไทยแบ่งออกเป็ นสมัยย่อยๆ และ กำหนดอำยไุ ว้ ดงั น้ี ๑. สมยั ทวารวดี รำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๖ ๒. สมยั ศรีวิชยั รำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ – ๑๘ ๓. สมยั ลพบุรี (สมยั วฒั นธรรมเขมรในประเทศไทย) รำวพุทธ ศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๘ ๔. สมยั ล้านนา รำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ – ๒๓ ๕. สมยั สโุ ขทยั รำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ – ๒๐ ๖. สมยั อยธุ ยา รำว พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๓๑๐ ๗. สมยั ธนบรุ ี รำว พ.ศ. ๒๓๑๐ – ๒๓๒๔ ๘. สมยั รตั นโกสินทร์ รำว พ.ศ. ๒๓๒๕ – ปัจจบุ นั [๙]

กำรแบ่งยุคประวตั ิศำสตร์ในประเทศไทยแบ่งออกเป็นสมัยย่อย ต่ำงๆ ขำ้ งต้นนนั้ ถำ้ พจิ ำรณำใหด้ จี ะเหน็ ไดว้ ำ่ อำยขุ องสมยั ยอ่ ยๆ ทก่ี ำหนดไว้ ส่วนใหญ่มิได้เรยี งลำดบั เวลำลงมำในแนวดิ่ง อำยุของสมยั ทวำรวดี สมยั ศรวี ชิ ยั และสมยั ลพบุรี (วฒั นธรรมเขมรในประเทศไทย) นัน้ จะคำบเก่ยี วกนั อยู่ในช่วงรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๘ สว่ นอำยขุ องสมยั ล้ำนนำ สมยั สโุ ขทยั และสมยั อยุธยำจะคำบเก่ียวกนั อยู่ในรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ – ๒๔ มีเพียง สมยั ธนบุรแี ละสมยั รตั นโกสนิ ทรเ์ ทำ่ นนั้ ทม่ี อี ำยเุ รยี งลำดบั เวลำกนั ลงมำ ท่เี ป็นเช่นน้ีเพรำะหลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรแ์ ละโบรำณคดที เ่ี ก่ยี วขอ้ ง กบั กำรเจรญิ ขน้ึ ของบำ้ นเมอื งโบรำณในแต่ละภูมภิ ำคของประเทศไทยทม่ี อี ำยุ อยู่ในช่วงเวลำก่อนพุทธศตวรรษท่ี ๒๔ ขน้ึ ไปนัน้ จะมคี วำมหลำกหลำยและมี ควำมแตกต่ำงกันอย่ำงมำกมำย ทัง้ ในด้ำนศิลปวฒั นธรรมท่ีมีเอกลักษณ์ เฉพำะตน ในด้ำนลทั ธิควำมเช่อื ศำสนำและประวตั ิศำสตรท์ ่ีเก่ียวข้อง และท่ี สำคญั หลกั ฐำนท่มี คี วำมแตกต่ำงและหลำกหลำยเหล่ำน้ีมกั จะมอี ำยอุ ยใู่ นเวลำ เดยี วกนั หรอื มอี ำยุคำบเกย่ี วกนั อยเู่ ป็นเวลำนำนอกี ดว้ ย ลกั ษณะของหลกั ฐำน ดงั กล่ำวทำให้นักโบรำณคดีและนักประวตั ิศำสตร์ไม่สำมำรถกล่ำวถึงควำม เป็นมำของบ้ำนเมืองโบรำณท่ีเจรญิ ขน้ึ ในประเทศไทยในลกั ษณะท่ีรวมเป็น หน่วยเดยี วกนั ได้อย่ำงชดั เจน และไม่สำมำรถกำหนดอำยุของสมยั ต่ำงๆ ให้ เรยี งตำมลำดบั เวลำลงมำในแนวดง่ิ ได้ จำกลกั ษณะของหลกั ฐำนทำงประวตั ศิ ำสตรแ์ ละโบรำณคดที ก่ี ล่ำวถงึ ขำ้ งตน้ นนั้ ทำให้ต้องมกี ำรแบ่งยุคประวตั ศิ ำสตรใ์ นประเทศไทยออกเป็นสมยั ย่อยๆ โดยแบ่งออกตำมถิ่นกำเนิดและรูปแบบศิลปวัฒนธ รรมอันเป็ น เอกลักษณ์เฉพำะตน และนำเอำช่ือของบ้ำนเมืองอันเป็ นถิ่นกำเนิดหรือ บ้ำนเมอื งสำคญั ท่ีเก่ียวข้องกนั ทำงประวตั ิศำสตร์มำใช้เป็นช่ือของยุคสมยั ต่ำงๆ ทแ่ี บง่ ไว้ สำหรบั กำรกำหนดอำยุของแต่ละสมยั ท่ีแบ่งไว้ก็ยดึ ตำมช่วงเวลำ ของกำรเจรญิ ขน้ึ ของสกุลช่ำงศลิ ปกรรมสมยั ต่ำงๆ ในประเทศไทยซ่งึ มกั จะมี เวลำตรงกนั หรอื คำบเก่ยี วกนั เป็นเวลำนำน ตำมทส่ี มเดจ็ พระเจำ้ บรมวงศ์เธอ [๑๐]

กรมพระยำดำรงรำชำนุ ภ ำพ องค์บิดำแห่งประวัติศำสตร์ไทย และ ศำสตรำจำรย์ยอร์ช เซเดส์ นักปรำชญ์ชำวฝรงั ่ เศสได้ศึกษำและกำหนดไว้ อยำ่ งไรกด็ กี ำรใชช้ ่อื สมยั ต่ำงๆ และกำรกำหนดอำยุตำมแนวคดิ น้ีมนี กั วชิ ำกำร รนุ่ หลงั บำงท่ำนได้เสนอใหม้ กี ำรปรบั เปล่ยี นช่อื และกำรกำหนดอำยุของบำง สมยั ใหส้ อดคล้องกบั ขอ้ มูลหลกั ฐำนท่พี บใหม่ในปัจจุบนั แต่กำรเปล่ยี นแปลงท่ี ได้รบั กำรยอมรบั โดยทวั ่ ไปในปัจจุบนั นัน้ เป็นเร่อื งของกำรขยำยเวลำของบำง สมยั ออกไปเท่ำนนั้ สว่ นกำรเรยี กช่อื สมยั ต่ำงๆ นัน้ กย็ งั ใช้ช่อื ตำมแบบเดมิ มำ จนทุกวนั น้ี ภำพท่ี ๓ สมเดจ็ ฯ กรมพระยำดำรงรำชำนุภำพ ณ ปรำสำทตำพรหม ประเทศกมั พชู ำ บุรุษกลำงภำพคอื ศำสตรำจำรย์ ยอรซ์ เซเดส์ (ทม่ี ำ: สมเดจ็ ฯ กรมพระยำดำรงรำชำนุภำพ, นริ ำศนครวดั (กรุงเทพฯ: มตชิ น, ๒๕๔๕), ๑๗๗.) [๑๑]

นอกจำกน้ีถำ้ พจิ ำรณำกำรแบ่งยคุ ประวตั ศิ ำสตรอ์ อกเป็นสมยั ย่อยๆ ข้ำงต้น เรำอำจถือได้ว่ำ สมยั ประวตั ิศาสตร์ในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้น ราวๆ ต้นพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ แนวคดิ น้ีเป็นแนวคดิ ท่นี กั โบรำณคดี นักอ่ำน จำรกึ โบรำณ รวมทงั้ นักประวตั ศิ ำสตร์ส่วนใหญ่ (รวมทงั้ ผเู้ ขยี นดว้ ย) ยอมรบั เพรำะถอื วำ่ หลกั ฐำนทเ่ี ป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรทเ่ี ก่ำท่สี ดุ ในประเทศไทยคอื จำรกึ ซง่ึ มอี ำยอุ ยใู่ นรำวๆ ตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ ถงึ แมว้ ำ่ จำรกึ เหล่ำน้ีจะไมใ่ ช่จำรกึ ภำษำไทย ไม่ใช่จำรึกท่ีใช้ตัวอักษรไทย และเน้ือหำในจำรกึ ก็ไม่ให้ควำม กระจ่ำงเก่ยี วกบั บ้ำนเมอื งสมยั ประวตั ิศำสตร์ตอนต้นในประเทศไทยมำกนัก แต่จารึกเหล่านี้กเ็ ป็ นหลกั ฐานสาคญั ท่ีแสดงว่าชุมชนโบราณที่เจริญขึ้น บนดินแดนอนั เป็ นที่ตงั้ ประเทศไทยปัจจุบนั ในราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๒ นัน้ ร้จู กั ใช้ตวั อกั ษรหรือมกี ารบนั ทึกที่เป็นลายลกั ษณ์อกั ษรแล้ว นอกจำกน้ีถ้ำพิจำรณำถึงเน้ือหำของจำรกึ ในกลุ่มน้ีบำงหลกั ได้ดี ก็พ อ จ ะท ำให้ท ร ำบ ถึงเห ตุ ก ำ รณ์ บ้ ำน เมือ งท่ี เจ ริญ ข้ึน บ น แ ผ่ น ดิน ไท ย ใน ช่วงเวลำนัน้ ไดบ้ ้ำง เช่นจำรกึ เยธมั มำฯ ภำษำบำลีท่ีพบมำกในสมยั ทวำรวดี นนั้ ทำใหท้ รำบวำ่ บำ้ นเมอื งโบรำณในสมยั ทวำรวดซี ง่ึ มศี ูนยก์ ลำงอยใู่ นบรเิ วณ ภำคกลำงของไทยคงจะนบั ถอื ศำสนำพุทธลิ ทั ธหิ นิ ยำนเป็นศำสนำหลกั จำรกึ ของพระเจำ้ มเหนทรวรมนั ทพ่ี บในบรเิ วณภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือหลำยหลกั ทำใหท้ รำบวำ่ ในรำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ บำ้ นเมอื งทเ่ี จรญิ ขน้ึ ในภำคตะวนั ออก และตะวนั ออกเฉียงเหนือหลำยแห่งมคี วำมสมั พนั ธเ์ กย่ี วขอ้ งทำงกำรเมอื งกบั อำณำจกั รเขมรโบรำณในสมยั กอ่ นเมอื งพระนคร เป็นตน้ การกาหนดอายุและการแบ่งยุคกึ่งก่อนประวตั ิศาสตรห์ รือยุคหวั เลี้ยว ประวตั ิศาสตรใ์ นประเทศไทย ในกรณีท่ีแบ่งยุคสมยั ทำงประวตั ิศำสตร์ในประเทศไทยออกเป็ น ๓ ยุค โดยเพม่ิ ยุคก่ึงก่อนประวตั ิศำสตร์หรอื ยุคหวั เล้ยี วหวั ต่อประวตั ิศำสตร์ คนั ่ ไวร้ ะหว่ำงยุคก่อนประวตั ิศำสตร์และยุคประวตั ิศำสตร์ ก็มีแนวคิดในกำร [๑๒]

กำหนดอำยุเวลำของยุคก่งึ ก่อนประวตั ิศำสตร์ไว้ดว้ ยตวั เลขท่ีต่ำงกนั เป็น ๒ แนวคดิ คอื แนวคิดท่ี ๑ กำหนดอำยุเวลำสมัยก่ึงก่อนประวตั ิศำสตร์ไว้รำว พุทธศตวรรษท่ี ๖ – ๑๑ ซ่ึงเป็ นช่วงเวลำเช่ือมต่ อระหว่ำงสมัยก่อน ประวตั ิศำสตร์ตอนปลำยในยุคเหล็กและสมยั ประวตั ิศำสตร์แรกสุดคือสมยั ทวำรวดี เพรำะถือว่ำในช่วงเวลำดงั กล่ำวถึงแม้จะไม่พบหลกั ฐำนท่ีเป็นลำย ลกั ษณ์อกั ษรท่เี กย่ี วขอ้ งกบั ชว่ งเวลำน้ีบนแผน่ ดนิ ไทยเลย แตน่ กั ประวตั ศิ ำสตร์ สำมำรถสบื ค้นเร่อื งรำวและเหตุกำรณ์ต่ำงๆ ของสงั คมมนุษย์ท่ีอำศยั อยู่บน แผ่นดนิ ไทยในช่วงเวลำน้ีได้บ้ำงจำกบนั ทึกของชนต่ำงถ่ิน เช่น จนี อินเดยี เปอรเ์ ซยี กรกี และโรมนั แนวคดิ ท่ี ๒ ถอื วำ่ สมยั ทวำรวดี (อำยรุ ำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๖) สมยั ศรวี ชิ ยั (อำยุรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ – ๑๘) และสมยั ลพบุรี (อำยุรำว พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๘) ยงั ไม่จดั เขำ้ สู่ช่วงเวลำแหง่ ยุคประวตั ศิ ำสตรอ์ ยำ่ ง แท้จรงิ ถงึ แมว้ ำ่ ในช่วงสมยั ดงั กล่ำวจะมกี ำรค้นพบศลิ ำจำรกึ มำกมำยท่แี สดง ว่ำบ้ำนเมืองโบรำณท่ีตงั้ อยู่บนแผ่นดนิ ไทยในเวลำนัน้ รู้จกั ใช้ตัวอกั ษรแล้ว แต่ถือว่ำศิลำจำรึกท่ีพบในช่วงสมัยดังกล่ำวเป็ นจำรึกภำษำบำลี ภำษำ สนั สกฤต ภำษำมอญโบรำณ ภำษำขอมโบรำณ ตวั อักษรท่ีใช้เขียนก็เป็ น ตวั อกั ษรท่ีเรยี กกนั ว่ำ อกั ษรปัลลวะ อกั ษรขอมโบรำณ อกั ษรมอญโบรำณ ไมใ่ ช่จำรกึ ภำษำไทย ไมใ่ ช่จำรกึ ทใ่ี ชต้ วั เขยี นเป็นอกั ษรไทย ดงั นนั้ จงึ ยงั ไมน่ ับ สมยั ทวำรวดี สมยั ศรวี ชิ ยั สมยั ลพบุรี เป็นยุคประวตั ศิ ำสตรข์ องประเทศไทย ตำมแนวคิดน้ีถือว่ำสมัยประวตั ิศำสตร์ของประเทศไทยเริ่มต้นข้ึนในสมยั สโุ ขทยั เมอ่ื พอ่ ขนุ รำมคำแหงประดษิ ฐต์ วั อกั ษรไทยขน้ึ ใชเ้ ป็นครงั้ แรกรำว พ.ศ. ๑๘๒๖ อยำ่ งไรกด็ แี นวคดิ น้ีไมเ่ ป็นทน่ี ิยมมำกนกั มขี ้อสงั เกตเก่ียวกบั การแบ่งยุคประวตั ิศาสตรใ์ นประเทศไทยท่ี ปรากฏอยู่ในหนังสือแบบเรียนสงั คมศึกษาหรือหนังสือคู่มือครสู งั คม ศึกษาท่ีพิมพเ์ ผยแพร่ในปัจจบุ นั เท่าที่ผ้เู ขียนได้อ่านพบว่า ในแต่ละเล่ม กล่าวถึงการแบ่งยคุ และกาหนดอายุเวลาไว้เพียงแนวคิดเดียว แต่ไม่ใช่ [๑๓]

แนวคิ ดท่ีตรงกัน และในแต่ละเล่มก็ไม่มีคาอธิ บายเพิ่ มเติ มไว้ว่า การแบ่งยุคสมยั ทางประวตั ิศาสตรใ์ นประเทศไทยนัน้ มีหลายแนวคิด แต่ละแนวคิดนัน้ ยึดถือหลกั ฐานอะไรเป็ นหลกั บ้าง ซ่ึงผ้เู ขียนคิดว่าใน การสอนครคู วรอธิบายทาความเข้าใจเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ เพราะถ้า นักเรียนมีโอกาสได้อ่านทกุ เล่ม หรือนักเรียนที่ใช้หนังสือเรียนคนละเล่ม มีโอกาสได้พูดคุยกนั ในเร่ืองนี้ อาจจะไม่เข้าใจและเกิดข้อสงสยั ได้ว่า เหตุใดจึงมีการแบ่งยคุ ประวตั ิศาสตรแ์ ละกาหนดอายุเป็ นตวั เลขที่ต่างๆ กนั ไว้ และการแบ่งยคุ แบบใดถกู แบบใดผิดกนั แน่ และท่ีสาคญั ยิ่งไปกว่า นัน้ คือ ในหนังสือแบบเรียนบางเล่มยงั มีคาอธิบายบางตอนท่ีมีความ ผิดพลาดของการใช้หลกั ฐานข้อมูลอ้างอิงถึงเวลาของการเร่ิมต้นของ ยคุ ประวตั ิศาสตรใ์ นประเทศไทยด้วย หนังสือเรยี นสงั คมศึกษำ ส. ๐๒๘ ประวตั ิศำสตร์กำรตงั้ ถ่ินฐำนใน ดนิ แดนประเทศไทย ของ วฒั นำพำณิช สำรำญรำษฎร์ (หน้ำ ๒๑) มขี อ้ ควำม กล่ำวว่ำ สมัยก่ึงก่อนประวัติ ศาสตร์ในประเทศไทยนั้นสิ้ นสุดลง เม่ือประวตั ิศาสตร์ของประเทศไทยได้เร่ิมต้นขึ้นในสมยั กรุงสุโขทัย เป็ นราชธานี สำหรบั กรณีน้ีครผู สู้ อนควรอธบิ ำยเพม่ิ เตมิ ถงึ หลกั ฐำนท่ใี ช้ตำม แนวคดิ ท่ี ๒ ขำ้ งต้น และอธบิ ำยเพมิ่ เติมให้นักเรยี นเข้ำใจถึงแนวคิดอ่นื ๆ ท่ี ต่ำงไปดว้ ย หนังสือแบบเรียนประวตั ิศำสตร์ไทย ม.๑ ของสำนักพิมพ์แมค (หน้ำ ๔๘ – ๔๙) อธบิ ำยว่ำ ยุคหรอื สมยั ก่ึงก่อนประวตั ิศำสตร์ในดินแดน ประเทศไทย คือช่วงเวลำรอยต่อของยุคโลหะตอนปลำยและยุคต้น ประวตั ศิ ำสตร์ มอี ำยุรำวพุทธศตวรรษท่ี ๖ หรอื ๗ – ๑๑ ในกรณีน้ีครูผู้สอน ควรอธบิ ำยเพมิ่ เตมิ กำรใช้หลกั ฐำนตำมแนวคดิ ท่ี ๑ ของกำรกำหนดอำยแุ ละ กำรแบ่งยคุ กง่ึ กอ่ นประวตั ศิ ำสตร์ ตำมทก่ี ล่ำวไวข้ ำ้ งตน้ และอธบิ ำยใหเ้ ขำ้ ใจถงึ แนวคดิ อ่นื ๆ ดว้ ย [๑๔]

หนังสือคู่มือครูสังคมศึกษำ ส ๐๒๑ หลักฐำนประวัติศำสตร์ใน ประเทศไทยของสำนกั พมิ พไ์ ทยวฒั นำพำณิช (หน้ำ ๓) และหนงั สอื แบบเรยี น ประวตั ศิ ำสตรใ์ นประเทศไทย ส ๐๒๘ ของสำนกั พมิ พแ์ มค (หน้ำ ๖๓) อธบิ ำย วำ่ สมยั ประวตั ศิ ำสตรใ์ นประเทศไทยเรม่ิ ต้นขน้ึ เม่อื รำว พ.ศ. ๑๐๐๐ โดยอำ้ ง หลกั ฐำนสำคญั คือ จำรกึ เพนียด พบท่ีอำเภอเมือง จงั หวดั จนั ทบุรี ว่ำเป็ น หลักฐำนประเภทลำยลักษณ์ อักษรท่ีเก่ำท่ีสุด มีอำยุรำว พ.ศ. ๑๐๐๐ กำรอ้ำงอิงหลักฐำนจำรึกเพนียดหลกั น้ีไม่ถูกต้อง ควรยกเลิกเพรำะจำรึก เพนียดไมใ่ ช่จำรกึ ทม่ี อี ำยเุ ก่ำท่สี ุดในประเทศไทย จำรกึ หลกั น้ีมอี ำยุอยใู่ นรำว ครง่ึ แรกของพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ เป็นจำรกึ ของพระเจ้ำยโศวรมนั ท่ี ๑ กษตั รยิ ์ แหง่ อำณำจกั รเขมรโบรำณทเ่ี สดจ็ ขน้ึ ครองรำชยร์ ำว พ.ศ. ๑๔๓๒ – ๑๔๕๐ หนังสอื คู่มอื ครูสงั คมศึกษำ ส ๒๐๑ วชิ ำหลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์ใน ประเทศไทย ของไทยวฒั นำพำณิช (หน้ำ ๓) อธบิ ำยวำ่ สมยั ประวตั ศิ ำสตรใ์ น ประเทศไทยอำจจะเรม่ิ ต้นขน้ึ แล้วรำว พ.ศ. ๘๐๐ ครูควรอธิบำยเพ่ิมเติมว่ำ แนวคิดน้ีคดิ ต่ำงไปจำกแนวคดิ อ่ืนๆ โดยถอื ว่ำมเี ร่อื งรำวเก่ียวกบั บ้ำนเมือง โบรำณท่เี จรญิ ขน้ึ ในประเทศไทยรำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๘ ปรำกฏอยูใ่ นหลกั ฐำน ท่เี ป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรแล้ว ถงึ แม้วำ่ หลกั ฐำนลำยลกั ษณ์อกั ษรดงั กล่ำวนนั้ จะ ไม่ใช่บันทึกของคนท้องถ่ินเองก็ตำม หลักฐำนท่ีเป็ นลำยลักษณ์อักษรท่ี กล่ำวถงึ น้ีคอื จดหมำยเหตุจนี และบนั ทกึ ของพอ่ คำ้ และนักภูมศิ ำสตรช์ ำวกรกี โรมนั ครคู วรจะยกตวั อยำ่ งของบ้ำนเมอื งต่ำงๆ ท่มี กี ลำ่ วถงึ อยใู่ นจดหมำยเหตุ ของคนต่ำงถน่ิ ดงั กล่ำว ซ่งึ นักประวตั ศิ ำสตรแ์ ละนกั โบรำณคดเี ช่อื กนั วำ่ ตงั้ อยู่ ในดนิ แดนทเ่ี ป็นประเทศไทยในปัจจบุ นั ใหน้ กั เรยี นไดร้ จู้ กั ดว้ ย นอกจำกน้ีขอเรียนแนะนำเพ่ิมเติมอีกว่ำครูท่ีสอนวิชำหลักฐำน ประวตั ิศำสตร์ในประเทศไทยและประวตั ิศำสตร์กำรตงั้ ถ่ินฐำนในดินแดน ประเทศไทยควรอธบิ ำยใหน้ กั เรยี นเขำ้ ใจวำ่ กำรแบ่งยคุ ทำงประวตั ศิ ำสตรแ์ ละ กำรกำหนดอำยุของแต่ละยุคเป็นตวั เลขท่ีมีควำมแตกต่ำงกนั นั้น เน่ืองจำก แต่ละแนวคดิ ยดึ ถือหลกั ฐำนประวตั ิศำสตรอ์ ้ำงองิ ท่ตี ่ำงกนั ไปเรำไม่อำจกล่ำว ไดแ้ น่นอนวำ่ แนวคดิ ใดถูกตอ้ ง แนวคดิ ใดไมถ่ ูกต้อง และเรำจะเลอื กใช้แนวคดิ [๑๕]

ใดหรอื เช่อื ถอื ว่ำแนวคดิ ใดถูกต้องกไ็ ด้ แต่เรำตอ้ งเขำ้ ใจถงึ หลกั ฐำนทน่ี ำมำใช้ ในกำรอ้ำงอิงของแนวคิดนัน้ ๆ และต้องอธบิ ำยด้วยเหตุผลท่ีชดั เจนได้ด้วย แต่สาหรบั แนวคิดท่ีกล่าวว่ายคุ ประวตั ิศาสตรใ์ นประเทศไทยเริ่มต้นราว พ.ศ. ๑๐๐๐ โดยใช้จารึกเพนียดท่ีพบที่จงั หวดั จนั ทบุรี มาเป็ นหลกั ฐาน อ้างอิงนัน้ ไม่ถกู ต้อง เพราะจารกึ เพนียดไม่ใช่จารึกที่มีอายเุ ก่าท่ีสดุ ที่พบ ในประเทศไทย ควรทาความเข้าใจเรื่องนี้ ให้ถกู ต้องและเลิกอ้างอิง หลกั ฐานชิ้นนี้ ภำพท่ี ๔ จำรกึ เพนยี ด ๑ จงั หวดั จนั ทบุรี มอี ำยอุ ยใู่ นชว่ งพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ ไมใ่ ชจ่ ำรกึ ทม่ี อี ำยุเกำ่ ทส่ี ดุ ในประเทศไทย (ทม่ี ำ: ฐำนขอ้ มลู จำรกึ ในประเทศไทย ศนู ยม์ ำนุษวทิ ยำสริ นิ ธร (องคก์ ำรมหำชน)) ความหมายและความสาคญั ของหลกั ฐานประวตั ิศาสตร์ หลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์คอื อะไร ประวตั ิศำสตรเ์ ป็นศำสตร์ท่ีศึกษำ คน้ ควำ้ เร่อื งรำวเกย่ี วกบั สงั คมมนุษยใ์ นอดตี ซง่ึ เกดิ ขน้ึ แล้วและผ่ำนเลยไปแล้ว นักเรยี นอำจสงสยั วำ่ ผศู้ กึ ษำประวตั ศิ ำสตรจ์ ะสำมำรถสบื คน้ เร่อื งรำวท่เี กดิ ข้นึ ในอดตี หรอื เร่อื งทผ่ี ำ่ นเลยไปแลว้ ไดอ้ ย่ำงไร เพรำะผศู้ กึ ษำประวตั ศิ ำสตรไ์ มไ่ ด้ เกิดร่วมสมัยกับเหตุกำรณ์ นั้นๆ หรืออยู่ร่วมกับเหตุกำรณ์ นั้นๆ ด้วย โดยเฉพำะอย่ำงยง่ิ เหตุกำรณ์ในอดตี ท่ีผ่ำนมำนำนแล้ว เรำก็อำจอธบิ ำยข้อ [๑๖]

สงสยั น้ีได้ว่ำผู้ศึกษำประวตั ิศำสตร์สำมำรถศึกษำเร่อื งรำวของสงั คมมนุษย์ ในอดีตได้ เพรำะมีร่องรอยกำรกระทำของมนุษย์ในอดีตหลงเหลือมำจนถึง ปัจจุบัน ผู้ศึกษำประวตั ิศำสตร์สำมำรถใช้ร่องรอยกำรกระทำทุกอย่ำงของ มนุษย์ในอดีตท่ียงั หลงเหลืออยู่ ซ่ึงเรียกว่ำ “หลักฐานประวัติ ศาสตร์” มำศึกษำคน้ คว้ำว่ำมอี ะไรเกิดข้นึ ในสงั คมมนุษย์แต่ก่อนๆ บ้ำง สงิ่ ใดกต็ ำมท่ี มนุษยใ์ นอดตี เคยเขำ้ ไปเกย่ี วขอ้ งดว้ ยและสง่ิ ใดกต็ ำมท่เี คยมสี ่วนเก่ยี วขอ้ งกบั มนุษยใ์ นอดตี สง่ิ นนั้ ๆ สำมำรถนำมำศกึ ษำคน้ ควำ้ หำเร่อื งรำวเก่ยี วกบั มนุษย์ ไดท้ งั้ ส้นิ ดงั นัน้ เรำอำจอธบิ ำยควำมหมำยของคำว่ำ หลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตร์ ได้ว่ำ หลกั ฐานประวตั ิศาสตร์ คอื สงิ่ ต่ำงๆ ทเ่ี คยเกย่ี วขอ้ งกบั มนุษยใ์ นอดตี และสง่ิ ต่ำงๆ ท่เี ป็นรอ่ งรอยกำรกระทำของมนุษย์ในอดตี ทย่ี งั หลงเหลอื อย่ใู น ปัจจบุ นั หลกั ฐานประวัติ ศาสตร์มีความสาคัญต่อการศึกษาประวัติ ศาสตร์ อย่างไร หลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรเ์ ป็นสง่ิ สำคญั ท่สี ุดในกำรศกึ ษำประวตั ศิ ำสตร์ เพรำะหลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรเ์ ป็นเคร่อื งมอื สำคญั ทท่ี ำใหผ้ ศู้ กึ ษำประวตั ศิ ำสตร์ สำมำรถสบื ค้นถึงเร่อื งรำวของมนุษย์ในอดตี ได้ หลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์จึง เปรยี บเสมอื นเป็นส่อื กลำงระหว่ำงเหตุกำรณ์ท่เี กิดข้นึ ในสงั คมมนุษย์ในอดตี กบั กำรรบั รขู้ องคนในปัจจบุ นั ถ้ำไมม่ หี ลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรน์ ักประวตั ศิ ำสตร์ กไ็ มส่ ำมำรถศกึ ษำคน้ ควำ้ เรอ่ื งรำวของสงั คมมนุษยใ์ นอดตี ได้ หลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรเ์ ป็นสงิ่ ท่สี รำ้ งขน้ึ ใหม่ไม่ได้ นักประวตั ศิ ำสตร์ จะศกึ ษำประวตั ศิ ำสตรเ์ รอ่ื งหน่ึงเรอ่ื งใดไดก้ จ็ ะตอ้ งสบื คน้ ก่อนวำ่ มรี อ่ งรอยกำร กระทำของมนุษย์ท่ีเก่ียวข้องกับเร่อื งนัน้ ๆ หลงเหลืออยู่หรอื เปล่ำ ถ้ำไม่มี ร่องรอยหลักฐำนกำรกระทำของมนุษย์ในเร่ืองนั้นๆ มำยืนยนั เร่ืองท่ีนัก ประวตั ิศำสตรเ์ ขยี นขน้ึ กไ็ ม่ต่ำงไปจำกนิยำยปรมั ปรำ หรอื นิทำนท่แี ต่งขน้ึ เอง ผลงำนกำรศึกษำคน้ คว้ำของนักประวตั ศิ ำสตร์จะเป็นท่ยี อมรบั และน่ำเช่อื ถือ [๑๗]

มำกน้อยแค่ไหนก็ข้ึนอยู่กบั ว่ำมีหลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์มำใช้อ้ำงอิงหรอื ใช้ ยนื ยนั มำกน้อยเพยี งไร การแบ่งประเภทของหลกั ฐานประวตั ิศาสตร์ โดยทวั ่ ไปมกั เข้ำใจกนั ว่ำ หลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรค์ อื หลกั ฐำนท่เี ป็น ลำยลกั ษณ์อกั ษรและในกำรศกึ ษำประวตั ศิ ำสตรน์ นั้ นักประวตั ศิ ำสตรม์ กั จะให้ ควำมสนใจหรอื ใชห้ ลกั ฐำนทเ่ี ป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรหรอื หลกั ฐำนเอกสำรเท่ำนนั้ ซ่ึงควำมเข้ำใจดงั กล่ำวเป็นควำมเข้ำใจท่ีไม่ถูกต้องนัก เพรำะถ้ำจะศึกษำ ประวัติศำสตร์โดยยึดติดอยู่กับหลักฐำนท่ีเป็ นลำยลักษณ์อักษรแต่เพียง อย่ำงเดียว เรำก็จะศึกษำเร่อื งรำวของสงั คมมนุษย์ในอดีตได้นับย้อนไปได้ ไม่เกนิ ๕,๐๐๐ ปีเท่ำนัน้ เพรำะหลกั ฐำนท่เี ป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรท่เี ก่ำท่สี ุดใน โลกมีอำยุรำว ๕,๐๐๐ ปี แต่ในควำมเป็นจรงิ เรำสำมำรถศึกษำเร่อื งรำวของ มนุษยใ์ นอดตี ก่อนท่จี ะรจู้ กั ใชต้ วั อกั ษรยอ้ นเวลำกลบั ไปไดน้ บั เป็นหลำยล้ำนปี มำแลว้ โดยศกึ ษำจำกสง่ิ ต่ำงๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งของมนุษยใ์ นอดตี ทย่ี งั หลงเหลอื ตก ทอดมำจนปัจจบุ นั ซ่งึ มอี ยู่บนดนิ และทบั ถมอย่ใู ตด้ นิ หรอื ถ้ำจะศกึ ษำเร่อื งรำว เกย่ี วกบั สงั คมมนุษยใ์ นชว่ งเวลำทป่ี รำกฏหลกั ฐำนทเ่ี ป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรแลว้ นักประวตั ิศำสตรจ์ ะใช้หลกั ฐำนท่เี ป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรอย่ำงเดียว ก็ย่อมไม่เพียงพออีกเช่นกัน เพรำะถึงแม้ว่ำสงั คมมนุษย์นัน้ ๆ จะรู้จักใช้ ตวั อกั ษรบนั ทึกเร่อื งรำวต่ำงๆ ไวแ้ ล้ว ก็ไม่ไดห้ มำยควำมว่ำพฤตกิ รรมต่ำงๆ ของมนุษย์ในสังคมนั้นๆ ได้ถูกบันทึกไว้เป็ นลำยลักษณ์ อักษรทัง้ หมด นักประวตั ศิ ำสตรส์ ำมำรถใช้รอ่ งรอยหลกั ฐำนท่ไี มเ่ ป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรทม่ี อี ยู่ มำกมำยหลำยประเภท ไม่ว่ำจะเป็น ซำกสงิ่ มชี ีวติ ได้แก่ โครงกระดูกมนุษย์ กระดูกสตั ว์ เมลด็ พชื หรอื สง่ิ ของทไ่ี มม่ ชี วี ติ ไดแ้ ก่ สง่ิ ก่อสรำ้ งต่ำงๆ เคร่อื งมอื เคร่อื งใชต้ ่ำงๆ และยงั รวมไปถงึ สภำพแวดลอ้ มทำงธรรมชำตทิ อ่ี ยใู่ นบรเิ วณท่ี มนุษยอ์ ำศยั อยู่ดว้ ย มำใช้ในกำรสบื คน้ ถงึ พฤตกิ รรมต่ำงๆ ของมนุษย์ท่ไี ม่ได้ ถูกบนั ทกึ ไวไ้ ด้ [๑๘]

ภำพท่ี ๕ ภำชนะบรรจุกระดกู ของมนุษยส์ มยั ก่อนประวตั ศิ ำสตร์ ทแ่ี หล่งโบรำณคดเี มอื งบวั อำเภอเกษตรวสิ ยั จงั หวดั รอ้ ยเอด็ หลกั ฐำนท่ไี มเ่ ป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรเหล่ำน้ีจะช่วยเสรมิ ควำมรู้ท่ไี ม่มี อยใู่ นหลกั ฐำนประเภทลำยลกั ษณ์อกั ษร หรอื อำจช่วยเสรมิ หรอื เพม่ิ เตมิ ควำมรู้ ท่มี อี ยใู่ นหลกั ฐำนประเภทลำยลกั ษณ์อกั ษรใหส้ มบูรณ์ยงิ่ ขน้ึ ดงั นัน้ หลกั ฐาน ประวตั ิศาสตรท์ ่ีนักประวตั ิศาสตรน์ ามาศึกษาสืบค้นถึงเรื่องราวเก่ียวกบั มนุษย์ในอดีตได้นัน้ จึงไม่จากดั อยู่ที่หลกั ฐานที่เป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร เท่านัน้ หากรวมไปถงึ สิ่งอ่ืนๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกบั มนุษยด์ ้วย และ เพ่อื ควำมสะดวกในกำรศกึ ษำคน้ ควำ้ จงึ ต้องมกี ำรแบ่งหลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตร์ ออกเป็นประเภทต่ำงๆ โดยอำจแบ่งออกตำมยคุ สมยั หรอื ตำมลกั ษณะของวตั ถุ ไดด้ งั น้ี การแบ่งหลกั ฐานประวตั ิศาสตรต์ ามยุคสมยั อำจแบ่งออกเป็น สมยั กวำ้ งๆ ตำมกำรแบง่ ยคุ สมยั ทำงประวตั ศิ ำสตรค์ อื [๑๙]

หลักฐำนประวัติศำสตร์ยุคก่อนประวตั ิศำสตร์ ได้แก่ ร่องรอย กิจกรรมต่ำงๆ ท่ีเก่ียวข้องกบั มนุษย์ท่ียงั ไม่รู้จกั ใช้ตวั อกั ษร ซ่ึงเรยี กกนั ว่ำ หลกั ฐำนทำงโบรำณคดี หลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์ยุคประวตั ิศำสตร์ ได้แก่ ร่องรอยกิจกรรม ตำ่ งๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั มนุษยท์ ร่ี จู้ กั ใชต้ วั อกั ษรแลว้ หลกั ฐำนในยคุ ประวตั ศิ ำสตร์ จงึ มที งั้ หลกั ฐำนทไ่ี มเ่ ป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรและหลกั ฐำนทเ่ี ป็นลำยลกั ษณ์อกั ษร การแบ่งหลกั ฐานประวตั ิศาสตรต์ ามลกั ษณะสาคญั อำจแบ่ง ออกเป็นประเภทใหญ่ได้ ๒ ประเภท ดงั น้ี หลกั ฐำนท่มี ไิ ดเ้ ป็นลำยลกั ษณ์อกั ษร ไดแ้ ก่ หลกั ฐำนทำงโบรำณคดี หลกั ฐำนประเภทส่อื โสตทศั น์ และหลกั ฐำนประเภทบคุ คล หลกั ฐำนท่ีเป็นลำยลกั ษณ์อกั ษร ได้แก่ จำรกึ ตำนำน พงศำวดำร จดหมำยเหตุ บนั ทกึ ควำมทรงจำ วรรณกรรม ตำรำ วทิ ยำนิพนธ์ หนงั สอื พมิ พ์ ฯลฯ ภำพท่ี ๖ ตรำดนิ เผำมจี ำรกึ เบอ้ื งล่ำง อ่ำนไดค้ วำมวำ่ “พระศวิ ะผยู้ งิ่ ใหญ่” พบทเ่ี มอื งโบรำณอู่ทอง อำเภออ่ทู อง จงั หวดั สพุ รรณบุรี [๒๐]

หลกั ฐานประวตั ิศาสตรท์ ี่พบในประเทศไทย ประเทศไทยเป็นดนิ แดนทม่ี มี นุษยอ์ ำศยั อยู่มำนำนแหง่ หน่ึงในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ จงึ มรี ่องรอยหลกั ฐำนท่ีเก่ียวข้องกบั สงั คมมนุษย์ในอดีต ตงั้ แต่สมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรล์ งมำจนถงึ สมยั ประวตั ศิ ำสตร์ ซง่ึ มอี ยู่มำกมำย และสำมำรถแบ่งออกไดเ้ ป็นประเภทตำ่ งๆ คอื หลกั ฐานท่ีมิได้เป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ประกอบดว้ ย หลกั ฐานทางโบราณคดี ซง่ึ อำจแบ่งออกเป็น หลกั ฐานท่ีมนุษย์ไม่ได้ทาขึ้นหรือไม่ได้ตัง้ ใจทาขึ้น พบทัง้ สมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรแ์ ละสมยั ประวตั ศิ ำสตร์ ซง่ึ แบ่งออกเป็น โบราณสถาน ไดแ้ ก่ บรเิ วณท่อี ย่อู ำศยั ชนั้ ดนิ ในบรเิ วณทอ่ี ยู่ อำศยั ของมนุษย์ สภำพแวดล้อมทำงภูมศิ ำสตรแ์ ละท่ีตงั้ ถ่นิ ฐำน เช่น ท่ีรำบ ภูเขำ แมน่ ้ำ ลำธำร ถ้ำ และเพงิ ผำทม่ี นุษยเ์ คยใชเ้ ป็นทอ่ี ยอู่ ำศยั โบราณวตั ถุ ได้แก่ ซำกของส่ิงมีชีวติ เช่น โครงกระดูกคน กระดกู สตั ว์ เมลด็ พชื เป็นตน้ จะเหน็ ไดว้ ำ่ สง่ิ ต่ำงๆ ทงั้ ทเ่ี ป็นโบรำณสถำนและโบรำณวตั ถดุ งั กล่ำว ขำ้ งตน้ เป็นสง่ิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ เองตำมธรรมชำติ แต่สงิ่ เหล่ำน้ีเก่ยี วขอ้ งและมบี ทบำท อย่ำงมำกต่อกำรตงั้ ถิ่นฐำนและวิถีกำรดำรงชีวิตของมนุษย์ในอดีต จึงถูก นำมำใชเ้ ป็นหลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรไ์ ด้ หลกั ฐานที่มนุษยต์ งั้ ในสร้างขึน้ แบ่งออกเป็น โบราณสถานและอนุสรณ์สถาน ในสมัยก่อนประวัติ ศาสตร์ ได้แก่ ถ้ำหรือเพิงผำท่ีถูก ดดั แปลงเป็นท่ีอยู่อำศยั หรอื สถำนท่ปี ระกอบพธิ กี รรม เนินดนิ ท่เี ป็นท่ีฝังศพ แหล่งผลิตเคร่อื งมอื หินหรอื เคร่อื งมือเคร่อื งใช้อ่ืนๆ แหล่งถลุงโลหะโบรำณ เป็นตน้ ในสมยั ประวตั ิศาสตร์ พบมำกมำยและหลำกหลำยประเภท เพรำะเม่อื สงั คมมนุษยพ์ ฒั นำเขำ้ ส่สู มยั ประวตั ศิ ำสตรแ์ ลว้ มนุษยร์ จู้ กั ประดษิ ฐ์ คดิ คน้ สง่ิ ต่ำงๆ เพ่อื ประโยชน์ในกำรดำรงชวี ติ เพมิ่ ขน้ึ มำกมำย ควำมเจรญิ ทำง [๒๑]

เทคโนโลยีก้ำวหน้ ำมำกข้ึนกว่ำแต่ก่อนและมำกข้ึนเร่ือยๆ ในสมัย ประวตั ิศำสตร์จงึ มีร่องรอยหรอื ซำกส่ิงก่อสร้ำงท่ีมนุษย์สร้ำงข้นึ เพ่ือใช้สอย ในด้ำนต่ำงๆ เพ่ิมมำกข้นึ อย่ำงมำกมำย ไดแ้ ก่ บ้ำนเรอื นท่ีอยู่อำศยั กำแพง เมืองโบรำณ คนั ดินโบรำณ คูน้ำโบรำณ สระน้ำโบรำณ อ่ำงเก็บน้ำโบรำณ ถนนโบรำณ เตำเผำ เคร่อื งปั้นดนิ เผำ รวมทงั้ งำนสถำปัตยกรรมท่ีสร้ำงข้นึ เน่ืองในศำสนำด้วย เช่น ปรำสำทหิน สถูป เจดีย์ โบสถ์ วิหำร มณฑป หอระฆงั สะพำน เป็นตน้ ภำพท่ี ๗ ภำพถ่ำยทำงอำกำศ แสดงขอบเขตคนู ้ำคนั ดนิ ของเมอื งโบรำณฟ้ำแดดสงยำง อำเภอกมลำไสย จงั หวดั กำฬสนิ ธุ์ [๒๒]

โบราณวตั ถุ ในสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ มที งั้ ทเ่ี ป็นเคร่อื งมอื เครอ่ื งใช้และ เคร่อื งประดบั เคร่อื งมอื เคร่อื งใช้สมยั ก่อนประวตั ิศำสตรท์ ่พี บไดแ้ ก่ เคร่อื งมอื หิน เคร่อื งมือเหล็ก เคร่อื งมือสำรดิ เคร่อื งมือท่ีทำจำกกระดูกสตั ว์ ภำชนะ ดนิ เผำ ภำชนะสำรดิ แวดนิ เผำ ส่วนท่เี ป็นเคร่อื งประดบั ท่พี บ ได้แก่ ลูกปัดท่ี ทำจำกกระดูกสตั ว์ หิน และแก้ว นอกจำกน้ียงั มกี ำไลท่ีทำจำกกระดูกสตั ว์ หนิ และสำรดิ เป็นตน้ ภำพท่ี ๘ เครอ่ื งมอื เหลก็ พบทแ่ี หลง่ โบรำณคดสี มยั ก่อนประวตั ศิ ำสตร์ บำ้ นโป่งมะนำว อำเภอพฒั นำนิคม จงั หวดั ลพบรุ ี ในสมยั ประวตั ิศาสตร์ มมี ำกมำยหลำยประเภท เช่น สงิ่ ของ เคร่ืองใช้ในชีวิตประจำวันท่ีมีรูปแบบหลำกหลำยมำกข้ึน ซ่ึงมีทัง้ ท่ีเป็ น เคร่อื งมือเหล็ก และอำวุธท่ีทำจำกเหล็ก ภำชนะดินเผำ แวดนิ เผำ ภำชนะ สำรดิ เคร่อื งประดบั ประเภทต่ำงๆ ทำจำกทอง เงิน สำรดิ ดบี ุก ตะกวั ่ หิน [๒๓]

แก้วสีต่ำงๆ ส่ิงของเคร่ืองใช้ในกำรประกอบพิธีกรรม เช่น เคร่ืองดนตรี หอยสงั ข์ สำรดิ และดนิ เผำ ขนั สำรดิ พำนสำรดิ คนั ฉ่องสำรดิ เคร่อื งประกอบ คำนหำมสำรดิ และยงั รวมไปถึงงำนประติมำกรรมท่ีสร้ำงข้นึ เพ่อื ใช้ประดบั ตกแต่งสง่ิ ก่อสรำ้ งต่ำงๆ เช่น ทบั หลงั เสำประดบั กรอบประตู ลำยปูนปัน้ ฯลฯ และงำนประติมำกรรม ท่ีสร้ำงข้ึนเน่ืองในศำสนำ ได้แก่ พระพุทธรูป พระโพธสิ ตั ว์ นำงดำรำ นำงปรชั ญำปำรมติ ำ พระพมิ พ์ เทวรูปต่ำงๆ ศวิ ลึงค์ ธรรมจักร ใบเสมำ ตู้พระธรรม เป็ นต้น ส่ิงของต่ำงๆ ท่ีจัดแสดงไว้ใน พพิ ธิ ภณั ฑสถำนถอื เป็นหลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรป์ ระเภทน้ีไดท้ งั้ หมด ภำพท่ี ๙ เครอ่ื งปัน้ ดนิ เผำเขยี นลำยปลำจำกแหล่งเตำโบรำณในจงั หวดั สโุ ขทยั หลกั ฐานทางด้านศิลปกรรม งานศิลปกรรมท่ีพบในสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ ไดแ้ ก่ ภำพเขยี น สสี มยั ก่อนประวตั ิศำสตร์ท่ีพบอยู่ตำมเพิงผำหรอื ผนังถ้ำ ซ่ึงปรำกฏร่องรอย ห ลัก ฐำน ใน ทุ ก ภู มิ ภ ำค ข อ งไท ย แ ต่ พ บ ม ำก ท่ี สุ ด อ ยู่ ใน เข ต ภ ำค ตะวนั ออกเฉียงเหนือ [๒๔]

ภำพท่ี ๑๐ ภำพเขยี นสสี มยั กอ่ นประวตั ศิ ำสตรท์ ผ่ี ำแตม้ อำเภอโขงเจยี ม จงั หวดั อุบลรำชธำนี งานศิลปกรรมท่ีพบในสมยั ประวตั ิศาสตร์ มมี ำกมำยหลำย ประเภท นอกจำกงำนศลิ ปะทำงดำ้ นสถำปัตยกรรมไดแ้ ก่ บรรดำโบรำณสถำน ท่ีสร้ำงข้นึ เน่ืองในศำสนำ หรืองำนประติมำกรรมต่ำงๆ ท่ีใช้ประดบั ตกแต่ง สถำปัตยกรรมและบรรดำประตมิ ำกรรมรปู เคำรพในศำสนำ ซง่ึ ไดก้ ล่ำวรวมไว้ ในกลุ่มหลกั ฐำนประเภทโบรำณสถำนและโบรำณวตั ถุข้ำงต้นแล้ว ยงั มงี ำน ศิลปกรรมประเภทงำนจิตรกรรม ซ่ึงมีทัง้ ท่ีเป็ นภำพวำดลงบนแผ่นผ้ำ แผ่นกระดำษ สมุดไทย หรอื ท่วี ำดลงบนผนงั ของโบสถ์ วหิ ำร หรอื ท่เี รำเรยี ก กนั วำ่ จติ รกรรมฝำผนงั [๒๕]

หลกั ฐานประเภทส่ือโสตทศั น์ พบแต่เฉพำะในสมยั ประวตั ิศำสตร์ และส่วนใหญ่เป็นหลกั ฐำนท่ีมี อำยุอยู่ในรุ่นหลงั ๆ มำจนถึงปัจจุบนั ซ่ึงเป็นช่วงสมยั ท่ีสงั คมมนุษย์มคี วำม เจรญิ ทำงเทคโนโลยีในด้ำนต่ำงๆ ก้ำวหน้ำมำกแล้ว ยง่ิ มคี วำมเจรญิ มำกข้นึ เท่ำใด หลักฐำนประเภทน้ีก็จะมีควำมหลำกหลำยมำกข้ึนเท่ำนั้น เช่น ภำพถ่ำย แผนท่ี ภำพน่ิง ภำพยนตร์ เทปบนั ทกึ ภำพ (วดิ โี อ) เทปบนั ทกึ เสยี ง แผ่นดสิ ก์ท่บี นั ทกึ ภำพและบนั ทึกเสยี งของเหตุกำรณ์ต่ำงๆ ในขณะท่เี กดิ ข้นึ รวมทงั้ ข้อมูลภำพและข้อมูลเสียงท่ีบนั ทึกไว้และเรยี กมำดูได้จำกระบบกำร ส่ือสำรสมัยใหม่ หลักฐำนประเภทน้ีบำงอย่ำงอำจจะมีลำยลักษณ์อักษร ประกอบอยดู่ ว้ ย หลกั ฐานประเภทบคุ คล ไดแ้ ก่ บุคคลทม่ี สี ่วนรว่ มในเหตุกำรณ์หรอื เหน็ เหตกุ ำรณ์ดว้ ยตนเอง หรือเป็ นบุคคลท่ีมีควำมรู้ในเร่ืองท่ีเก่ียวกับเหตุกำรณ์นัน้ ข้อมูลหลักฐำน ประเภทน้ีจะไดม้ ำจำกกำรสมั ภำษณ์หรอื จำกคำบอกเล่ำ หลกั ฐานประวตั ิศาสตรท์ ี่เป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ได้แก่ จำรึก ตำนำน พงศำวดำร จดหมำยเหตุ คำให้กำร บันทึก ควำมทรงจำ เอกสำรทำงรำชกำร เอกสำรกฎหมำย จดหมำยส่วนตัว วรรณกรรม ตำรำโบรำณ วทิ ยำนิพนธ์ หนงั สอื พมิ พ์ สง่ิ พมิ พต์ ำ่ งๆ รวมทงั้ สงิ่ ท่ี บันทึกเป็ นตัวอักษรในลักษณะสัญญำณแม่เหล็กไฟฟ้ ำ เช่น แผ่น ดิสก์ คอมพวิ เตอร์ ระบบกำรสอ่ื สำรสมยั ใหม่ (เช่นระบบอนิ เตอรเ์ น็ต) ปัญหาและข้อจากดั โดยทวั ่ ไปของหลกั ฐานประวตั ิศาสตรใ์ นประเทศไทย ตำมท่กี ล่ำวมำแล้วข้ำงต้นว่ำประเทศไทยเป็นดนิ แดนท่เี ก่ำแก่ท่สี ุด แห่งหน่ึ งในภู มิภ ำคเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้ จึงมีร่องรอยหลักฐำน ประวตั ิศำสตร์ปรำกฏอยู่หลำยประเภท หลำยยุคสมยั มีทงั้ ท่ีเป็นหลกั ฐำน ยคุ ก่อนประวตั ศิ ำสตรแ์ ละหลกั ฐำนยคุ ประวตั ศิ ำสตรม์ ำกมำย แต่ผลกำรศกึ ษำ ประวตั ศิ ำสตรข์ องประเทศไทยทผ่ี ำ่ นมำยงั มปี ัญหำมำก ไมส่ มบูรณ์ คลุมเครอื [๒๖]

ไมป่ ะตดิ ปะตอ่ และมขี อ้ ขดั แยง้ มำกมำย โดยเฉพำะอยำ่ งยงิ่ ประวตั ศิ ำสตรไ์ ทย สมยั โบรำณในยุคตน้ ๆ ทเ่ี ป็นเช่นน้ีกเ็ น่ืองมำจำกปัญหำและขอ้ จำกดั ทวั ่ ไปของ หลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรท์ พ่ี บในประเทศไทย คอื หลักฐำนประวัติศำสตร์ท่ียังหลงเหลืออยู่ทุกวนั น้ี เกิดข้ึนโดย ผูก้ ระทำไม่ได้ตงั้ ใจท่ีจะสร้ำงขน้ึ ไว้เพ่อื ให้คนรุ่นหลงั ได้ศกึ ษำ แต่เกิดขน้ึ เพ่อื ประโยชน์และควำมต้องกำรของผูค้ นในยุคสมยั เดยี วกบั หลกั ฐำนนนั้ ๆ และท่ี ยงั หลงเหลอื หรอื ทง้ิ ร่องรอยไวก้ ม็ ไิ ดเ้ กดิ จำกควำมตงั้ ใจทจ่ี ะท้งิ ไวใ้ หค้ นรนุ่ หลงั ได้ศกึ ษำ แต่ท่ยี งั เหลอื อยหู่ รอื ทง้ิ รอ่ งรอยไวม้ ำจนถงึ ปัจจบุ นั ส่วนใหญ่เป็นไป เองโดยธรรมชำติ เพรำะสง่ิ ต่ำงๆ ท่เี กดิ ขน้ึ ในโลกไม่ไดส้ ูญหำยไปจนหมดสน้ิ ดว้ ยกำลเวลำ นอกจำกน้ีในสมยั โบรำณทผ่ี ำ่ นมำ ผคู้ นทอ่ี ำศยั อยใู่ นประเทศไทยยงั ไม่มคี วำมคดิ ท่จี ะรวบรวมหลกั ฐำนทำงประวตั ศิ ำสตร์ท่มี อี ยู่ในประเทศตนไว้ ให้แก่คนรุ่นหลงั ได้ศึกษำ จงึ ไม่มีพิพิธภัณฑสถำนหรอื หอจดหมำยเหตุทำ หน้ำท่ีเก็บหลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์ของชำติบ้ำนเมืองตนไว้ ดงั นัน้ หลกั ฐำน ประวตั ิศำสตรท์ ่ีเก่ียวข้องกบั บ้ำนเมืองในยุคโบรำณท่ียงั หลงเหลือมำจนถึง ปัจจบุ นั มกั จะอยู่ในลกั ษณะท่กี ระจดั กระจำย และส่วนใหญ่มกั มสี ภำพท่ชี ำรุด เสยี หำยคอ่ นขำ้ งมำก ยง่ิ ไปกวำ่ นนั้ หลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรท์ ห่ี ลงเหลอื อยยู่ งั ถูก ทำลำยจำกกำรกระทำของมนุษยใ์ นปัจจบุ นั ดว้ ยควำมตงั้ ใจหรอื ไมต่ งั้ ใจอกี ดว้ ย จนกล่ำวกนั ว่ำ สง่ิ ท่ที ำลำยหลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรแ์ ละโบรำณคดที ส่ี ำคญั ท่สี ุด คอื มนุษยเ์ รำน้ีเอง ดว้ ยปัญหำดงั กล่ำวขำ้ งต้นทำใหห้ ลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรใ์ นประเทศ ไทยโดยเฉพำะอย่ำงยิง่ หลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์ท่ีมีอำยุอยู่ในช่วงสมยั ก่อน พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ ขน้ึ ไปนนั้ มจี ำนวนน้อยมำกกว่ำทค่ี วรจะเป็น และในบรรดำ หลกั ฐำนท่มี อี ยู่นัน้ ส่วนใหญ่กอ็ ยู่ในสภำพท่ไี ม่สมบูรณ์หรอื ชำรุดเสยี หำยมำก ส่งผลให้กำรศึกษำประวัติศำสตร์สมัยโบรำณในยุคแรกๆ เป็ นเร่ืองยำก ไมส่ มบรู ณ์ ไมป่ ะตดิ ปะต่อและมขี อ้ ขดั แยง้ มำกมำย [๒๗]

ห ลัก ฐ ำ น ป ร ะ ว ัติ ศ ำ ส ต ร์ท่ี มี อ ยู่ ใน ป ร ะ เท ศ ไ ท ย จ ำ น ว น ห น่ึ ง ถู ก เคล่อื นย้ำยจำกแหล่งกำเนิดดงั้ เดมิ โดยไม่สำมำรถสอบคน้ ไดว้ ำ่ แหล่งกำเนิด ดงั้ เดมิ ของหลกั ฐำนนัน้ ๆ อยู่ท่ีใดแน่ ทำให้ไม่สำมำรถนำมำใช้ประโยชน์ได้ เท่ำท่ีควรจะเป็ น กำรท่ีเรำไม่ทรำบถึงท่ีมำหรือแหล่งกำเนิดดัง้ เดิมของ หลกั ฐำนนนั้ ๆ ทำให้เกดิ ปัญหำต่อกำรวเิ ครำะหต์ คี วำมทำงประวตั ศิ ำสตรเ์ ป็น อย่ำงมำก เพรำะถ้ำเรำไม่ทรำบท่ีมำหรือแหล่งกำเนิดดัง้ เดิมของหลกั ฐำน ประวตั ิศำสตร์นัน้ ๆ ก็จะทำให้กำรวิเครำะห์ กำรตีควำมเก่ียวกับสถำนท่ีท่ี เก่ียวข้องกับหลักฐำนประวตั ิศำสตร์นัน้ ๆ เป็ นไปได้ยำก เม่ือไม่ทรำบถึง สถำนท่ีท่ีเก่ียวข้องแล้วก็จะส่งผลให้ข้อสรุปในประเด็นอ่ืนๆ ท่ีเก่ียวข้องกับ หลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรน์ นั้ ๆ คลำดเคล่อื นหรอื ผดิ พลำดได้ นอกจำกปัญหำข้อจำกัดโดยทัว่ ไปท่ีกล่ำวข้ำงต้นแล้ว หลักฐำน ประวตั ิศำสตร์ท่ีพบในประเทศไทยแต่ละประเภทยงั มีข้อจำกดั ในตัวเองอีก หลำยประกำรด้วย ซ่ึงจะกล่ำวถึงต่อไปในเร่อื งกำรวเิ ครำะห์และตีควำมทำง ประวตั ศิ ำสตร์ การวิเคราะหต์ ีความหลกั ฐานประวตั ิศาสตร์ ดงั ท่ไี ดก้ ล่ำวมำแล้วในตอนต้นๆ วำ่ นักประวตั ศิ ำสตรส์ ำมำรถศกึ ษำ ค้น ค ว้ำ เร่ือ ง ร ำว ข อ ง ม นุ ษ ย์ใน อ ดีต ได้จ ำก ห ลัก ฐ ำ น ป ร ะวัติศ ำส ต ร์ท่ี มีอ ยู่ มำกมำยหลำยยุคสมยั แต่หลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรห์ รอื รอ่ งรอยกำรกระทำของ มนุษยใ์ นอดตี ท่มี อี ยู่นัน้ เกดิ ขน้ึ โดยผกู้ ระทำไม่ไดต้ งั้ ใจจะสร้ำงขน้ึ หรอื ตงั้ ใจท้งิ ไวใ้ หค้ นรนุ่ หลงั ไดศ้ กึ ษำ หำกเกดิ ขน้ึ เพ่อื ประโยชน์และควำมตอ้ งกำรของผคู้ น ในยุคสมยั นนั้ ๆ เป็นส่วนใหญ่ ดงั นนั้ หลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรแ์ ตล่ ะประเภทจงึ มี ข้อจำกดั ในตวั เองคอื ไม่สำมำรถบอกเร่อื งรำวได้อย่ำงตรงไปตรงมำได้ด้วย ตวั ของมนั เอง หรอื ไมส่ ำมำรถบอกเร่อื งรำวทุกสง่ิ ทุกอยำ่ งท่ผี ศู้ กึ ษำต้องกำรได้ ทงั้ หมด หลกั ฐำนท่ีมิได้เป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรประเภทต่ำงๆ ตวั หลกั ฐำนไม่ สำมำรถบอกเร่อื งรำวท่ีเก่ยี วกบั ตวั เองได้เลย ใครเป็นผูส้ รำ้ งขน้ึ มำ สร้ำงข้นึ มำเพ่ืออะไร สร้ำงข้ึนมำได้ด้วยวิธีกำรอย่ำงไร ฯลฯ ส่วนหลักฐำนท่ีเป็ น [๒๘]

ลำยลักษณ์อักษร ถึงแม้จะมีเร่ืองรำวบันทึกไว้เป็ นตัวหนังสือ แต่บันทึก เหล่ำนั้นก็ไม่สำมำรถบอกเร่ืองรำวต่ำงๆ ได้หมด เพรำะมีข้อจำกัดมำก ทำงดำ้ นภำษำโดยเฉพำะอย่ำงยงิ่ หลกั ฐำนประเภทลำยลกั ษณ์อกั ษรท่ีมอี ำยุ เก่ำมำกๆ ตวั อกั ษรและภำษำท่ใี ชเ้ ขยี นเป็นภำษำโบรำณ หรอื ภำษำถน่ิ ท่ยี ำก แก่กำรทำควำมเขำ้ ใจในปัจจบุ นั ทำใหเ้ รำไม่ทรำบควำมหมำยไดท้ งั้ หมดหรอื อ่ำนไมไ่ ดเ้ ลยถำ้ ไมม่ ผี เู้ ชย่ี วชำญอ่ำนและแปลควำมได้ ดงั นัน้ ผู้ศกึ ษำประวตั ิศำสตรต์ ้องพยำยำมท่จี ะคน้ หำข้อเท็จจรงิ หรอื ควำมหมำยท่แี ท้จรงิ แฝงอยู่ในหลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรป์ ระเภทต่ำงๆ ออกมำ เองด้วยวิธกี ำรท่ีเรยี กว่ำ กำรวิเครำะห์และตีควำม (กำรวิเครำะห์ คือ กำร แยกแยะ กำรตคี วำม คอื ควำมพยำยำมท่จี ะคน้ หำควำมหมำยหรอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ต่ำงๆ ท่ีมอี ยู่หรอื แฝงอยู่ในหลกั ฐำนนัน้ ๆ ออกมำ) และในกำรวเิ ครำะห์และ ตีควำมหลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์นัน้ ๆ จะต้องทำอย่ำงมหี ลกั เกณฑ์และมคี วำม เช่ยี วชำญ ท่สี ำคญั ผู้ศึกษำประวตั ิศำสตร์จะต้องรจู้ กั ลกั ษณะสำคญั ขอ้ ดแี ละ ข้อด้อยของหลักฐำนประวัติศำสตร์แต่ละประเภท ให้ดีด้วย ผู้ศึกษำ ประวตั ศิ ำสตร์ จงึ จะสำมำรถวเิ ครำะหแ์ ละตคี วำมหมำยหลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตร์ นนั้ ๆ ไดใ้ กลเ้ คยี งกบั ควำมเป็นจรงิ มำกทส่ี ดุ แนวทางในการวิเคราะห์ตีความหลกั ฐานประวตั ิศาสตร์ ลกั ษณะสาคญั ข้อดีและข้อด้อยของหลกั ฐานประวตั ิศาสตรใ์ นประเทศไทย หลกั ฐานท่ีไม่เป็นลายลกั ษณ์อกั ษร มที งั้ ท่ีมนุษย์มไิ ด้ตงั้ ใจสร้ำงขน้ึ หรอื ตงั้ ใจสร้ำงข้นึ นัน้ มขี ้อเท็จจรงิ เก่ียวกับสังคมมนุษย์ในอดีตแฝงอยู่มำกมำยหลำยเร่ือง เพรำะสัมพันธ์ เก่ยี วข้องกบั กำรดำเนินชีวติ ของสงั คมมนุษยใ์ นอดตี ทุกๆ เร่อื งตงั้ แต่เกดิ จน ถงึ ตำย แต่นกั ประวตั ศิ ำสตรแ์ ละนักโบรำณคดไี ม่สำมำรถทจ่ี ะศกึ ษำวเิ ครำะห์ ไดด้ ้วยตนเองทุกเร่อื ง ต้องอำศยั ควำมรู้จำกผู้เช่ียวชำญในศำสตรด์ ้ำนอ่ืนๆ เช่น ภู มิศำสตร์สิ่งแวดล้อม ธรณี วิทยำ ปฐพีวิท ยำ ชำติพันธุ์วิทยำ มำนุษยวิทยำ พฤกษศำสตร์ สตั วศำสตร์ โลหะวิทยำ ฯลฯ มำร่วมศึกษำ [๒๙]

ค้นคว้ำหรอื ให้คำแนะนำปรกึ ษำเก่ียวกบั วิธกี ำรในกำรวเิ ครำะห์และตีควำม หลกั ฐำนนนั้ ๆ หลกั ฐานท่ีมนุษยไ์ ม่ได้ทาขึน้ คอื ผลติ ผลทำงธรรมชำติ หรอื สง่ิ ท่ี เกดิ ขน้ึ ตำมธรรมชำติ ไดแ้ ก่ บริเวณท่ีตงั้ ถิ่นฐานของชุมชนหรือบ้านเมืองสมยั โบราณและ สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ เช่น ภูเขำ แม่น้ำ ลำธำร ถ้ำ เพิงผำหิน ชำยฝัง่ ทะเล ท่ีรำบสูง ฯลฯ สำมำรถนำมำใช้เป็นหลกั ฐำนประวตั ิศำสตรไ์ ด้ เพรำะมสี ว่ นสำคญั ในกำรกำหนดวถิ ีชีวติ และพฤตกิ รรมของมนุษยท์ ่อี ำศยั อยู่ ในบรเิ วณนัน้ ๆ อย่ำงมำกมำย เช่น คนท่ีอำศยั อยู่ตำมป่ ำเขำสูงมกั มีอำชีพ ลำ่ สตั วห์ ำของป่ำ คนทอ่ี ำศยั อยตู่ ำมชำยฝัง่ ทะเลมกั ดำรงชพี เป็นชำวประมง นอกจำกน้ีสภำพภูมปิ ระเทศอำจช่วยใหเ้ รำศกึ ษำถงึ ปัจจยั ต่ำงๆ ทม่ี ี บทบำทสำคญั ต่อพฒั นำกำรในด้ำนต่ำงๆ ท่ีเกิดข้นึ ในสงั คมมนุ ษย์นัน้ ๆ ได้ เช่น บำ้ นเมอื งโบรำณท่ตี งั้ อยู่ในพน้ื ท่มี ภี ูมปิ ระเทศเป็นท่รี ำบลุ่มอุดมสมบูรณ์ ท่ีทำกำรเพำะปลูกได้ดี มกั จะเป็นท่ีตงั้ ของชุมชนโบรำณท่ีมีควำมเจรญิ ใน ระดบั สงั คมเมือง มคี วำมรุ่งเรืองทำงเศรษฐกิจ เพรำะกำรเกษตรกรรมเป็น พน้ื ฐำนทำงเศรษฐกจิ ท่สี ำคญั นำไปสู่ควำมเจรญิ ดำ้ นอ่นื ๆ หรอื บ้ำนเมอื งใดท่ี ตงั้ อยบู่ รเิ วณชำยฝัง่ ทะเลทส่ี ำมำรถตดิ ตอ่ กบั คนต่ำงถน่ิ โพน้ ทะเลไดง้ ำ่ ย มกั จะ เป็นบำ้ นเมอื งท่เี คยเป็นเมอื งท่ำ หรอื ชมุ ชนกำรคำ้ โบรำณเป็นบำ้ นเมอื งโบรำณ ท่มี ีพฒั นำกำรทำงสงั คมและวฒั นธรรมท่ีเจรญิ ขน้ึ ภำยใต้อทิ ธพิ ลอำรยธรรม ต่ำงถนิ่ ทแ่ี พรห่ ลำยเขำ้ มำกอ่ นบำ้ นเมอื งทต่ี งั้ อยหู่ ำ่ งไกลชำยฝัง่ ทะเล เมล็ดพืช ละอองเกสรพืช และกระดูกสัตว์ เป็ นผลผลิตทำง ธรรมชำติท่ีมีส่วนเก่ียวข้องกับมนุ ษย์ ดังนั้นจึงนำมำใช้เป็ นหลักฐำน ประวตั ศิ ำสตรไ์ ด้ ถ้ำศกึ ษำจนทรำบไดว้ ำ่ เป็นเมลด็ พชื หรอื ละอองเกสรของพชื ชนิดใด หรอื เป็นกระดูกของสตั ว์ชนิดใด กจ็ ะช่วยให้เรำสนั นิษฐำนถึงอำหำร กำรกนิ ของสงั คมมนุษยใ์ นอดตี นัน้ ๆ ได้วำ่ มอี ะไรบ้ำง และยงั ช่วยใหม้ องเหน็ ถงึ สภำพแวดลอ้ มทำงธรรมชำติในอดตี ของสงั คมโบรำณแห่งนัน้ และอำจจะ นำไปสกู่ ำรศกึ ษำในเร่อื งอ่นื ๆ อกี มำกมำย [๓๐]

ภำพท่ี ๑๑ โครงกระดกู ววั (สมยั ทวำรวด)ี พบจำกกำรขดุ คน้ ทบ่ี ำ้ นเนินพลบั พลำ ภำยในเมอื งโบรำณอ่ทู อง จงั หวดั สุพรรณบรุ ี กระดูกมนุษย์ ถือเป็นผลผลิตทำงธรรมชำติท่ีสำคญั อย่ำงหน่ึง ท่แี ฝงข้อเทจ็ จรงิ เก่ยี วกบั ตวั มนุษยเ์ องและพฤติกรรมต่ำงๆ ท่ีมนุษยไ์ ด้ทำไว้ หลำยเร่อื ง เช่น ลกั ษณะทำงกำยภำพของมนุษย์โบรำณ โรคภัยไข้เจบ็ ของ มนุษยใ์ นอดตี พธิ กี รรมควำมเช่อื ต่ำงๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั ควำมตำยและควำมเช่อื อ่นื ๆ สำเหตุของกำรตำย หรอื อำจรวมไปถงึ สถำนะควำมเป็นอยขู่ องมนุษยใ์ น สงั คมนนั้ ๆ ในขณะทม่ี ชี วี ติ อยไู่ ดด้ ว้ ย เป็นตน้ [๓๑]

ภำพท่ี ๑๒ โครงกระดกู มนุษยส์ มยั กอ่ นประวตั ศิ ำสตร์ พบจำกกำรขดุ คน้ ทบ่ี ำ้ นโนนวดั อำเภอโนนสงู จงั หวดั นครรำชสมี ำ หลกั ฐานท่ีมนุษยไ์ ม่ได้ตงั้ ใจทาขึ้น ได้แก่ บริเวณเนิ นดินท่ีเคย เป็ นท่ีอย่อู าศยั ของมนุษย์ จะมรี ่องรอยหลกั ฐำนทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั กจิ กรรมของ สงั คมมนุษย์ท่เี คยอำศยั อยู่บนเนินดนิ แฝงอยมู่ ำกมำย เรำจะพบวำ่ ในดนิ แดน นนั้ ๆ มกั จะมเี ศษซำกสงิ่ ของเคร่อื งใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั และเศษซำกอำหำรของ มนุษยท์ บั ถมรวมกนั อยเู่ ป็นชนั้ ๆ กำรทบั ถมน้ีเกดิ จำกกำรกระทำของมนุษย์ท่ี อำศยั อยบู่ นเนินดนิ นัน้ แต่มนุษยม์ ไิ ดต้ งั้ ใจจะทำให้เกิดกำรทบั ถมทบั ซอ้ นกนั ของสง่ิ ของต่ำงๆ จนกลำยเป็นเนินดนิ สูงข้นึ มำ มนุษย์ไดท้ ้งิ ขวำ้ งสง่ิ ของและ เศษอำหำรท่ไี ม่ใชแ้ ล้วลงในบรเิ วณทอ่ี ยอู่ ำศยั นำนๆ เขำ้ เศษซำกต่ำงๆ กเ็ กดิ กำรทบั ถมข้นึ มำเร่อื ยๆ กำรทับถมน้ีเป็นไปตำมธรรมชำติ คนอยู่นำนมำก เท่ำใดกำรทบั ถมทบั ซ้อนกนั ก็มำกขน้ึ สูงข้นึ ตำมลำดบั สงิ่ ท่ีทบั ถมอยู่นัน้ จะ [๓๒]

เรยี งลำดบั ก่อนหลงั กนั ไปตำมเวลำ ดงั นนั้ กำรทบั ถมทบั ซ้อนกนั ทเ่ี กดิ จำกกำร กระทำของมนุษย์โดยมไิ ดต้ งั้ ใจนัน้ จงึ เป็นหลกั ฐำนท่ชี ่วยบอกเร่อื งรำวลำดบั เหตุกำรณ์ท่เี กดิ ข้นึ ในสงั คมมนุษย์ท่เี คยครอบครองเนินดนิ นัน้ ไดเ้ ป็นอย่ำงดี แตต่ อ้ งอำศยั วธิ กี ำรศกึ ษำโดยกระบวนกำรขดุ คน้ ทำงโบรำณคดี นักโบรำณคดจี ะมองเห็นชนั้ ดินท่ีเกิดจำกกำรทับถมทีละเล็กทีละ น้อยไดอ้ ย่ำงชดั เจนจำกผนังหลุมขุดคน้ ในชนั้ ดินท่ีเคยมีมนุษย์อำศยั อยู่นัน้ นอกจำกจะมเี ศษสง่ิ ของเคร่อื งใช้ต่ำงๆ รวมทงั้ เศษกระดูกสตั ว์ และเมลด็ พชื กระจดั กระจำยอยู่ทวั ่ ไปแล้ว เรำยงั สงั เกตเหน็ ไดอ้ ย่ำงชดั เจนอีกว่ำ ชนั้ ดนิ ท่ี มนุษยเ์ คยอำศยั อยู่นนั้ จะมกั มสี ดี ำหรอื สคี ล้ำกวำ่ สขี องชนั้ ดนิ ธรรมชำตทิ ่ไี มเ่ คย เก่ยี วข้องกบั กำรอยู่อำศยั ของมนุษย์เลย เพรำะเศษสง่ิ ของเคร่อื งใช้และเศษ อำหำรท่ีเป็ นซำกสิ่งมีชีวิตท่ีมนุ ษย์ท้ิงไว้ได้เน่ ำเป่ื อยและย่อยสลำยลงในดิน ทำให้แรธ่ ำตุท่ีผสมอยูใ่ นดนิ เปลย่ี นแปลงไป กำรศกึ ษำกำรทบั ซ้อนของชนั้ ดนิ จะช่วยให้เรียงลำดบั เหตุกำรณ์ในอดีตได้ดี ชนั้ ดินท่ีมีร่องรอยกำรอยู่อำศัย ล่ำงสุดคอื ชนั้ ดนิ ท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั สงั คมมนุษย์ท่เี ขำ้ มำอย่อู ำศยั บนเนินดนิ นัน้ ๆ เป็นครงั้ แรก ชนั้ ดนิ บนๆ ถดั มำกจ็ ะเกย่ี วขอ้ งกบั สงั คมมนุษยใ์ นระยะหลงั ๆ สบื มำตำมลำดบั ดงั นนั้ ถ้ำเรำศกึ ษำชนั้ ดนิ ล่ำงสุดเรยี งลำดบั ขน้ึ มำจนถงึ ชนั้ บนสุด เรำกจ็ ะสำมำรถเรยี งลำดบั เวลำกำรอยอู่ ำศยั ของมนุษยบ์ นเนินดนิ นนั้ ๆ ได้ นอกจำกน้ีกำรศกึ ษำซำกสงิ่ ของต่ำงๆ ทท่ี บั ถมอยู่ในชนั้ ดนิ แต่ละชนั้ จะช่วยใหเ้ รำสำมำรถทรำบเร่อื งรำวต่ำงๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั มนุษยท์ ่เี คยอำศยั อยู่ ในบริเวณเนินดนิ นัน้ ๆ ได้ และสำมำรถใช้กำหนดอำยุชนั้ ดินแต่ละชนั้ ได้ว่ำ น่ำจะมีอำยุอยู่ในช่วงสมัยใด กำรกำหนดอำยุนั้นอำจจะใช้วิธีกำรศึกษำ เปรียบเทียบซำกสิ่งของท่ีได้จำกแหล่งโบรำณคดีแห่งหน่ึงกับซำกสิ่งของ แบบเดยี วกนั ท่พี บในแหล่งโบรำณคดแี หง่ อ่นื ๆ หรอื อำจจะใช้กระบวนกำรทำง วทิ ยำศำสตรเ์ ข้ำมำช่วยกำหนดอำยุชนั้ ดินได้ วิธกี ำรกำหนดอำยุมีหลำยวิธี แต่ท่ีรูจ้ กั กนั ดีคือวิธที ่ีเรียกว่ำ Radiocarbon หรือคำร์บอน ๑๔ (Carbon-14) ซ่งึ วธิ ีน้ีจะใช้ได้กบั หลกั ฐำนท่ีเป็นซำกของอินทรยี วตั ถุเท่ำนัน้ เช่น ไม้ ถ่ำน กระดกู เป็นตน้ [๓๓]

ภำพท่ี ๑๓ ผนงั หลุมขดุ คน้ ทำงโบรำณคดที ท่ี งุ่ ตกึ อำเภอตะกวั่ ป่ำ จงั หวดั พงั งำ (ทม่ี ำ: รอ้ ยเอกบณุ ยฤทธิ ์ฉำยสวุ รรณ) หลกั ฐานท่ีมนุษยต์ งั้ ใจสรา้ งขึน้ เพ่อื ส่ิงหน่ึงสิ่งใด มมี ำกมำยหลำยประเภท และเป็นหลกั ฐำนสำคญั ทน่ี กั ประวตั ศิ ำสตร์ ใช้ศึกษำเร่ืองรำวต่ำงๆ ท่ีเก่ียวข้องกับสังคมมนุษย์ในอดีตได้มำกมำย หลำยเรอ่ื ง ไม่ว่ำจะเป็นเรอ่ื งกำรปกครอง เศรษฐกจิ สงั คมและวฒั นธรรม ชวี ติ ควำมเป็ นอยู่ กำรติดต่อสัมพันธ์ เส้นทำงคมนำคม ฯลฯ แต่จะนำมำใช้ ประโยชน์ได้มำกน้อยเพียงไรข้ึนอยู่กับควำมรอบรู้ ควำมเช่ียวชำญและ ประสบกำรณ์ของผใู้ ชเ้ อง เชน่ หลกั ฐานโบราณคดี ซ่งึ มอี ยทู่ งั้ บนดนิ และทบั ถมอย่ใู ต้ดนิ อำจถูก พบโดยบงั เอญิ หรอื ถูกพบจำกกำรสำรวจและกำรขุดคน้ ทำงโบรำณคดี และใน บรรดำหลกั ฐำนทำงโบรำณคดีท่ีมอี ยู่มำกมำยหลำยประเภทนัน้ หลกั ฐำนท่ี [๓๔]

สำคญั ท่ีพบเสมอๆ และพบมำกท่ีสุดจนมกี ำรเปรยี บเทียบว่ำเป็นตวั หนังสอื ของนักโบรำณคดี คอื ภำชนะดนิ เผำ ถึงแม้ว่ำท่ีพบอยู่ตำมแหล่งโบรำณคดี ต่ำงๆ นั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในสภำพท่ีแตกหักเป็ นช้ินเล็กช้ินน้อยก็ตำม นักโบรำณคดกี ็สำมำรถนำมำศกึ ษำค้นควำ้ ถึงเร่อื งรำวต่ำงๆ ท่ีเก่ียวข้องกบั สงั คมมนุษยใ์ นอดตี ไดห้ ลำยเร่อื งและไดท้ ุกสมยั ดว้ ย เพรำะภำชนะดนิ เผำเป็น สง่ิ ของทม่ี นุษยป์ ระดษิ ฐข์ น้ึ สำหรบั ใช้ในกำรดำรงชวี ติ ตงั้ แต่แรกเกดิ จนถงึ ตำย และประดษิ ฐข์ น้ึ มำใชต้ งั้ แต่ยคุ ก่อนประวตั ศิ ำสตรเ์ ร่อื ยมำจนถงึ สมยั ปัจจบุ นั ท่ีสำคญั ยิง่ ไปกว่ำนัน้ คอื ภำชนะดินเผำท่ีพบในยุคสมยั ต่ำงๆ นัน้ นอกจำกจะแสดงให้เห็นว่ำมีวิธีกำรผลิตท่ีมีพัฒนำกำรมำโดย ตลอดแล้ว ยงั แสดงใหเ้ หน็ ถงึ รปู แบบท่เี ป็นเอกลกั ษณ์เฉพำะตนดว้ ย ดงั นนั้ นักโบรำณคดี จึงสำมำรถใช้ภำชนะดินเผำโบรำณซ่ึงส่วนใหญ่ อยู่ในสภำพท่ีเรียกว่ำ เศษภำชนะดินเผำนัน้ เป็ นหลักฐำนข้อมูลในกำรสืบค้นหำเร่ืองรำวต่ำงๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั สงั คมมนุษยใ์ นอดตี ไดเ้ ป็นอยำ่ งดี เช่น อายุ ของแหล่งโบรำณคดที ่พี บภำชนะดนิ เผำนัน้ ๆ โดยศกึ ษำจำก รูปแบบและกำรตกแต่งลวดลำยของภำชนะดินเผำว่ำมอี ำยุอยู่ในยุคสมยั ใด เม่ือกำหนดอำยุภำชนะดินเผำได้ ก็สำมำรถนำอำยุของภำชนะดินเผำมำ กำหนดอำยชุ มุ ชนโบรำณหรอื แหล่งโบรำณคดที ่พี บภำชนะดนิ เผำนนั้ ๆ ได้ ความเจริญทางเทคโนโลยีในสมัยต่างๆ โดยศึกษำได้จำก สว่ นผสมของวสั ดุหรอื เน้ือดนิ ท่ใี ช้ปั้น เทคนิควธิ กี ำรปั้น กำรตกแต่งลวดลำย วธิ กี ำรเผำ เป็นตน้ ความสัมพนั ธ์ระหว่างชุมชนโบราณร่วมสมยั กนั รวมไปถึง เส้นทางคมนาคมและเส้นทางการค้าโบราณระหว่างชุมชนโบราณต่างๆ โดยศึกษำได้จำกรูปแบบของภำชนะและตำแหน่งท่ีพบภำชนะดนิ เผำนัน้ ๆ กำรพบภำชนะดนิ เผำแบบเดยี วกนั สมยั เดยี วกนั ในสถำนท่ีต่ำงๆ กนั ออกไป จะช่วยใหเ้ รำทรำบถงึ ควำมสมั พนั ธข์ องชุมชนต่ำงๆ รวมทงั้ เสน้ ทำงคมนำคม หรอื เสน้ ทำงกำรคำ้ ระหวำ่ งชมุ ชนได้ [๓๕]

แหล่งท่ี อยู่อาศัยหรือแหล่งกิ จกรรมของมนุ ษย์โบราณ เรำสำมำรถหำรอ่ งรอยแหล่งทอ่ี ยอู่ ำศยั ของมนุษยใ์ นอดตี ไดจ้ ำกภำชนะดนิ เผำ เพรำะในบรเิ วณใดท่ีเคยเป็นท่ีอยู่อำศยั ของมนุษย์มำก่อนหรอื เก่ียวข้องกบั กจิ กรรมมนุษยอ์ ย่ำงหน่ึงอย่ำงใดมำก่อนจะต้องพบเศษภำชนะดนิ เผำกระจดั กระจำยอยใู่ นบรเิ วณนนั้ ๆ เสมอไมม่ ำกกน็ ้อย หลกั ฐานทางด้านศิลปกรรม ไดแ้ ก่ งำนศลิ ปะประเภทตำ่ งๆ ซง่ึ ใช้ เป็ นหลักฐำนบอกเร่ืองรำวต่ำงๆ ได้มำกมำย แต่ผู้ใช้ต้องมีควำมรู้ ควำม เช่ียวชำญทำงด้ำนโบรำณคดี ประวตั ิศำสตร์ศิลปะ รวมทงั้ ควำมรู้ทำงด้ำน ศำสนำดว้ ย จงึ จะสำมำรถใชป้ ระโยชน์จำกหลกั ฐำนประเภทน้ีไดเ้ ตม็ ท่ี สถาปัตยกรรมหรือส่ิ งก่อสร้างโบราณ ท่ียังหลงเหลืออยู่ใน ปัจจบุ นั สว่ นใหญ่มกั เป็นสงิ่ ก่อสรำ้ งเน่ืองในศำสนำ จงึ ใชเ้ ป็นหลกั ฐำนศกึ ษำถงึ เร่อื งรำวเก่ยี วกบั คติควำมเช่อื ทำงศำสนำท่เี จรญิ ข้นึ ในแหล่งโบรำณคดนี ัน้ ๆ ได้เป็นอย่ำงดี นอกจำกน้ียงั ใช้เป็นหลกั ฐำนขอ้ มูลศึกษำเร่อื งอ่นื ได้อีกหลำย เร่อื งเช่นกนั คอื ควำมเจรญิ ทำงดำ้ นเทคโนโลยี โดยศกึ ษำจำกวธิ กี ำรก่อสรำ้ ง และวสั ดุท่ีใช้ในกำรก่อสร้ำง ควำมเจรญิ ทำงเศรษฐกิจ โดยศึกษำจำกขนำด ของสง่ิ ก่อสรำ้ งนนั้ ๆ ถ้ำมซี ำกสง่ิ ก่อสรำ้ งขนำดใหญ่เท่ำใดอยู่ในชุมชนหรอื ใน บ้ำนเมอื งโบรำณแห่งใด แสดงวำ่ บำ้ นเมอื งโบรำณแห่งนัน้ เคยเป็นบ้ำนเมอื งท่ี มคี วำมยงิ่ ใหญ่เจรญิ รงุ่ เรอื งมำกเท่ำนนั้ อำยขุ องสงิ่ ก่อสรำ้ งและชุมชนโบรำณท่ี พบศำสนสถำน แหลง่ กำเนิดของอำรยธรรมสมยั ต่ำงๆ ควำมสมั พนั ธก์ บั ชุมชน อ่นื ๆ โดยศึกษำได้จำกรูปแบบทำงสถำปัตยกรรมของศำสนสถำนแห่งนัน้ ๆ เป็นตน้ [๓๖]

ภำพท่ี ๑๔ พระวหิ ำรหลวง (สมยั อยุธยำ) และปรำงคป์ ระธำน (กอ่ นสมยั อยุธยำรำว ๑๐๐ ปี) วดั พระศรรี ตั นมหำธำตุ ลพบรุ ี ประติมากรรม ท่ีใช้ประดบั ตกแต่งอยู่ตำมศำสนสถำน หรอื งำน ประตมิ ำกรรมทเ่ี ป็นรปู เคำรพในศำสนำทพ่ี บในประเทศไทยนนั้ นอกจำกจะใช้ เป็นหลกั ฐำนศึกษำถงึ เร่อื งรำวทำงศำสนำท่นี ับถือกนั ในแต่ละยุคสมยั ไดเ้ ป็น อย่ำงดแี ล้ว ยงั ใช้เป็นหลกั ฐำนศึกษำเร่อื งรำวท่ีเก่ียวข้องกบั สงั คมและชีวติ ควำมเป็นอยู่ได้ เช่น งำนประติมำกรรมรูปบุคคลมกั จะแสดงให้เห็นถึงกำร แต่งกำยและกำรแบ่งชนชนั้ ในสงั คมมนุษยน์ นั้ ๆ ได้ งำนประตมิ ำกรรมบำงช้นิ อำจช่วยบอกเร่อื งรำวเก่ียวกบั ประเพณีและกำรละเล่นพ้ืนเมืองได้ รูปแบบ ศลิ ปะของงำนประตมิ ำกรรมอำจแสดงให้เหน็ ถงึ ควำมสมั พนั ธร์ ะหว่ำงท้องถิน่ และอำจบอกถงึ กำเนิดของแหล่งอำรยธรรมสมยั ตำ่ งๆ ได้ เป็นตน้ [๓๗]

ภำพท่ี ๑๕ ประตมิ ำกรรมพระคเณศ ศลิ ปะเขมรสมยั กอ่ นเมอื งพระนคร รำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๓-๑๔ พบทป่ี รำสำทพนมรุง้ อำเภอเฉลมิ พระเกยี รติ จงั หวดั บุรรี มั ย์ งานจิตรกรรม เช่น ภำพจิตรกรรมท่ีพบอยู่ตำมผนังของโบสถ์ วหิ ำร ถงึ แมจ้ ะเป็นภำพทเ่ี ล่ำเรอ่ื งรำวเก่ยี วกบั ศำสนำลว้ นๆ แต่ในรำยละเอยี ด ของภำพมกั จะมภี ำพชีวติ ชำวบ้ำนแทรกอยู่ด้วย ดงั นัน้ งำนจติ รกรรมเหล่ำน้ี นอกจำกจะใช้เป็นหลกั ฐำนศกึ ษำถึงเร่อื งรำวทำงศำสนำไดด้ แี ล้ว ยงั ใชศ้ ึกษำ ถึงสภำพชีวิตควำมเป็ นไปของผู้คนในท้องถิ่นในยุคสมยั ท่ีวำดภำพนัน้ ๆ ไดเ้ ป็นอยำ่ งดดี ว้ ย [๓๘]

ภำพท่ี ๑๖ จติ รกรรมฝำผนงั ทว่ี ดั ภมู นิ ทร์ อำเภอเมอื ง จงั หวดั น่ำน [๓๙]

หลักฐานที่ เป็ นลายลักษณ์ อักษร ท่ีพบในประเทศไทยแบ่ง ออกเป็นหลำยประเภท ทส่ี ำคญั คอื จารึก เป็นหลกั ฐำนประเภทลำยลกั ษณ์อกั ษรท่มี อี ำยุยำวนำนท่สี ุด หรอื เกำ่ ทส่ี ุดทพ่ี บในประเทศไทย เพรำะวสั ดุทใ่ี ชจ้ ำรกึ เป็นวสั ดุทม่ี คี วำมคงทน ถำวร เช่น ศลิ ำ แผน่ อฐิ แผน่ เงนิ แผน่ ทอง แผน่ ทองแดง ภำษำและตวั อกั ษรท่ี พบในจำรกึ โบรำณล้วนเป็นภำษำและตวั อกั ษรทต่ี ่ำงไปจำกปัจจบุ นั นอกจำกน้ี ภำษำและตวั อกั ษรทป่ี รำกฏอยใู่ นจำรกึ ของแต่ละยุคสมยั ยงั มรี ปู แบบท่ตี ำ่ งกนั ไปอกี ดว้ ย ปัจจบุ นั มกี ำรคน้ พบจำรกึ โบรำณในประเทศไทยมำกมำย อำจแบ่ง ออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ จำรกึ กลุ่มแรก มอี ำยุตงั้ แต่รำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๘ (คอื จำรกึ สมยั ทวำรวดี ศรวี ชิ ยั ลพบุรหี รอื เขมรในประเทศไทย) เป็นจำรกึ ทใ่ี ชภ้ ำษำบำลี ภำษำมอญโบรำณ ภำษำสนั สกฤต ภำษำขอม และภำษำทมฬิ ตวั อกั ษรท่ใี ช้ เขยี นมที งั้ ท่ีเป็นตวั อกั ษร ปัลลวะ ตวั อกั ษรหลงั ปัลลวะ ตวั อกั ษรมอญ และ อกั ษรขอม (เขมรโบรำณ) จำรึกกลุ่มท่ีสอง มีอำยุรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ ลงมำ มีทัง้ ท่ีเป็ น จำรกึ ภำษำไทยท่ีใช้ตวั อกั ษรไทย จำรกึ ภำษำขอมใช้อกั ษรขอม และจำรกึ ภำษำมอญใช้ตวั อกั ษรมอญ สำหรบั จำรกึ ทเ่ี ป็นภำษำไทยเรมิ่ มขี น้ึ ครงั้ แรกใน สมยั สุโขทยั รำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ และมเี ร่อื ยลงมำจนถึงสมยั ล้ำนนำไทย สมัยอยุธยำ สมัยรตั นโกสินทร์ แต่ตัวอักษรไทยและภำษำไทยท่ีใช้จะมี พฒั นำกำรท่แี ตกต่ำงกนั ออกไปตำมยุคสมยั และตำมท้องถนิ่ จนสำมำรถแยก ออกได้เป็นอกั ษรไทยภำษำไทยสมยั สุโขทยั สมยั อยุธยำ หรอื เป็นตวั อกั ษร ธรรม อกั ษรฝักขำมและอกั ษรไทยน้อย สำหรบั จำรกึ ภำษำขอมท่ีเขียนด้วย ตวั อกั ษรขอมและจำรกึ ภำษำมอญท่เี ขยี นด้วยตวั อกั ษรมอญท่มี อี ำยุอยู่ในรุ่น หลงั น้ี กจ็ ะมพี ฒั นำกำรต่ำงไปจำกภำษำขอมอกั ษรขอมและภำษำมอญอกั ษร มอญทใ่ี ชใ้ นสมยั แรกๆ เช่นเดยี วกนั [๔๐]

เน้ือควำมทป่ี รำกฏอยู่ในจำรกึ ท่พี บในประเทศไทยส่วนใหญ่ มกั เป็น เร่อื งท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั ศำสนำและกษตั รยิ ท์ ่ปี กครองบำ้ นเมอื ง นอกจำกน้ีจำรกึ ใน บำงสมยั ยงั มเี รอ่ื งเกย่ี วกบั กฎหมำยของบำ้ นเมอื งปรำกฏอยดู่ ว้ ย ภำพท่ี ๑๗ จำรกึ วดั เชยี งมนั่ จงั หวดั เชยี งใหม่ อกั ษรธรรมลำ้ นนำ ภำษำไทย พ.ศ. ๒๑๒๔ (ทม่ี ำ: ฐำนขอ้ มลู จำรกึ ในประเทศไทย ศนู ยม์ ำนุษวทิ ยำสริ นิ ธร (องคก์ ำรมหำชน)) [๔๑]

นกั ประวตั ิศำสตรถ์ อื วำ่ จำรกึ เป็นหลกั ฐำนประเภทลำยลกั ษณ์อกั ษร ท่สี ำคญั ท่นี ่ำเช่อื ถอื ท่ีสุด เพรำะเป็นหลกั ฐำนท่ที ำขน้ึ ในช่วงเวลำท่เี หตุกำรณ์ นนั้ เกดิ ขน้ึ จำรกึ ท่มี ศี กั รำชบอก วนั เดอื น ปีไวจ้ ะช่วยใหค้ วำมกระจำ่ งในเร่อื ง เวลำได้ดี จำรกึ ท่ีมีช่ือเสียงและรู้จกั กนั ทวั ่ ไป คือจำรกึ หลกั ท่ี ๑ ของพ่อขุน รำมคำแหงมหำรำช ซ่ึงเป็ นจำรึกสมยั สุโขทัยท่ีให้ข้อมูลเร่อื งรำวเก่ียวกับ ประวตั ศิ ำสตรส์ โุ ขทยั ทส่ี ำคญั ทส่ี ดุ อย่ำงไรก็ตำมถงึ แม้ว่ำจะเป็นหลกั ฐำนท่ีนักประวตั ศิ ำสตร์ให้ควำม เช่ือถือมำกท่ีสุด แต่จำรกึ ก็เป็นหลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์ประเภทลำยลกั ษณ์ อกั ษรทม่ี ขี อ้ จำกดั มำกเชน่ กนั คอื เน้ือหำในจำรกึ มกั เป็นเร่อื งรำวสนั้ ๆ ไม่มีรำยละเอียด เพรำะกำร จำรึกนั้นไม่ใช่วิธีกำรท่ีจะทำได้ง่ำยๆ พ้ืนท่ีในกำรจำรึกมีจำกัด จึงไม่มี รำยละเอยี ดมำกนกั ทำใหม้ ปี ัญหำในกำรทำควำมเขำ้ ใจเร่อื งรำวทจ่ี ำรกึ ไว้ จำรกึ ท่พี บสว่ นใหญ่มกั ทำขน้ึ โดยกษตั รยิ ห์ รอื บุคคลท่เี ป็นผนู้ ำในยคุ สมยั นนั้ ๆ เร่อื งรำวต่ำงๆ ทจ่ี ำรกึ ไวจ้ งึ น่ำจะมคี วำมถูกต้องแม่นยำ โดยเฉพำะ อย่ำงยิ่งในเร่อื งเวลำ ซ่ึงถือว่ำมีควำมถูกต้องมำกกว่ำเอกสำรประเภทอ่ืนๆ เพ รำะส่ว น ให ญ่ ม ัก จ ะจำรึก ข้ึน ใน ช่ วงเวล ำท่ีมีเห ตุ ก ำรณ์ นั้น เกิด ข้ึน ห รือ ใกล้เคียง แต่ต้องระมดั ระวงั ในกำรนำมำใช้ในกำรศึกษำทำงประวตั ิศำสตร์ เพรำะอำจจะเป็นหลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรท์ ่ใี หข้ อ้ มลู เพยี งดำ้ นเดยี ว จำรกึ ท่ีพบในประเทศไทย โดยเฉพำะจำรกึ ท่ีมอี ำยุอยู่ในรุ่นแรกๆ มกั จะมีสภำพชำรุดแตกหกั ทำให้ข้อควำมบำงตอนไม่ชดั เจนหรอื ลบเลือน หำยไปเหลือแต่ขอ้ ควำมกระท่อนกระแท่น ทำให้กำรอ่ำนและกำรแปลควำม เป็นไปด้วยควำมยำกลำบำกหรอื บำงครงั้ อ่ำนและแปลไม่ได้ควำมเลย จำรกึ บำงหลักถึงแม้มีข้อควำมสำคัญท่ีอ่ำนและแปลได้แล้ว แต่มีปั ญหำเร่ือง แหล่งกำเนิดดัง้ เดิมของจำรึก ทำให้นำมำใช้ประโยชน์ ในกำรศึกษำ ประวตั ศิ ำสตรไ์ ดย้ ำกหรอื ทำไดไ้ มเ่ ตม็ ท่ี [๔๒]

กำรอ่ำนและกำรแปลควำมในจำรกึ โบรำณต้องใช้นักอ่ำนจำรึกท่ีมี ควำมรู้ควำมเช่ียวชำญเป็ นพิเศษ คือนอกจำกจะต้องมีควำมรู้ทำงด้ำน โบรำณคดีและประวตั ิศำสตร์ด้วย นักวชิ ำกำรท่ีเช่ียวชำญทำงด้ำนน้ีจริงๆ มนี ้อยมำกไมว่ ำ่ จะเป็นในอดตี หรอื ในปัจจบุ นั ดว้ ยขอ้ จำกดั ของจำรกึ ดงั กล่ำวขำ้ งตน้ ผศู้ กึ ษำประวตั ศิ ำสตรจ์ งึ ต้อง ระมดั ระวงั ในกำรใช้ขอ้ มลู จำกจำรกึ มำเป็นหลกั ฐำนอำ้ งองิ ควรพจิ ำรณำวำ่ ใคร เป็ นผู้อ่ำนและแปลควำมจำรึกนั้นๆ มีควำมเช่ียวชำญมำกน้อยเพียงไร กำรแปลควำมนัน้ มีกำรขยำยควำมไปมำกกว่ำส่งิ ท่ีจำรกึ กล่ำวถึงไว้หรอื ไม่ และเม่อื จะนำไปใช้ยงั ตอ้ งตรวจสอบวำ่ ควำมในจำรกึ นนั้ สมั พนั ธส์ อดคล้องกบั หลกั ฐำนอ่นื ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งดว้ ยหรอื ไมอ่ ยำ่ งไร จดหมายเหตุ เป็นเอกสำรโบรำณท่ีสำคญั ประเภทหน่ึงท่ีใช้เป็น หลักฐำนในกำรศึกษำประวตั ิศำสตร์ไทย จดหมำยเหตุในควำมหมำยเดิม หมำยถึงบนั ทึกข่ำวครำวหรอื บนั ทึกเหตุกำรณ์ต่ำงๆ ท่ีเกิดข้นึ ในเวลำนัน้ ๆ แต่ควำมหมำยของจดหมำยเหตุท่ีเข้ำใจกนั ในปัจจุบนั คอื เอกสำรรำชกำร ทุกประเภทท่ีไม่ได้ใช้ประโยชน์ในหน่วยงำนนัน้ ๆ แล้ว แต่ได้รบั กำรคดั เลอื ก วำ่ เป็นเอกสำรท่มี คี ณุ ค่ำสำหรบั ใชป้ ระโยชน์ในกำรอำ้ งอิงได้ และจะถูกนำไป เกบ็ รกั ษำไวท้ ห่ี อจดหมำยเหตแุ หง่ ชำติ สำหรบั จดหมำยเหตุทเ่ี ป็นบนั ทกึ เหตุกำรณ์ต่ำงๆ ในสมยั โบรำณนนั้ มกั จะบันทึกข้ึนในขณะท่ีเหตุกำรณ์ นั้นเกิดข้ึนและมักจะบอกเวลำลำดับ เหตุกำรณ์ท่ีเกิดข้นึ ไว้ด้วย เร่ืองรำวท่ีปรำกฏในจดหมำยเหตุจงึ ได้รบั ควำม น่ำเช่ือถือและจัดว่ำเป็ นเอกสำรชัน้ ต้นด้วย จดหมำยเหตุท่ีเป็ นบันทึก เหตุกำรณ์ต่ำงๆ ในสมัยโบรำณ มีหลำยลักษณะและหลำยประเภท เช่น จดหมำยเหตุของหลวง จดหมำยเหตุโหร จดหมำยเหตุชำวต่ำงชำติ ซ่งึ มหี ลำย ชำติหลำยภำษำ ได้แก่ จีน กรกี ญ่ีปุ่น อำหรบั –เปอร์เชีย โปรตุเกส สเปน ฮอลนั ดำ องั กฤษ ฝรงั ่ เศส และสหรฐั อเมรกิ ำ [๔๓]

ในกำรนำจดหมำยเหตุมำใช้เป็ นหลักฐำนทำงประวตั ิศำสตร์นัน้ ถึงแม้ว่ำนักประวตั ิศำสตร์ให้ควำมเช่ือถือมำกท่ีสุดอย่ำงหน่ึง เพรำะมกั มี รำยละเอียดและมีควำมถูกต้องในเร่อื งเวลำ แต่ผู้ศึกษำจะต้องใช้ด้วยควำม ระมดั ระวงั รอบคอบ เพรำะอำจจะมขี อ้ คดิ เหน็ ของผบู้ นั ทกึ สอดแทรกลงไปดว้ ย โดยเฉพำะอย่ำงยิง่ ท่ีผู้บันทึกเป็นชำวต่ำงประเทศซ่ึงอำจจะบนั ทึกเร่อื งรำว ต่ำงๆ ดว้ ยแนวคดิ และมมุ มองทำงดำ้ นวฒั นธรรมต่ำงไปจำกควำมเป็นจรงิ กไ็ ด้ ตานาน เป็นหลกั ฐำนประเภทลำยลกั ษณ์อกั ษรทเ่ี กำ่ แก่อกี ประเภท หน่ึง ท่ีปรำกฏในรูปของเอกสำรโบรำณท่ีเรียกกันว่ำ ใบลำนและสมุดข่อย ตำนำนจงึ เป็นตวั อย่ำงของกำรบนั ทกึ แบบโบรำณท่เี ก่ำแก่ประเภทหน่ึง ภำษำ ท่ใี ช้เขยี นมีทงั้ ท่เี ป็นภำษำไทย ภำษำไทยเหนือ ภำษำลำว ภำษำเขมร และ ภำษำบำลี ตวั อกั ษรท่ีใช้เขยี น มที งั้ ท่เี ป็นตวั อกั ษรไทยเหนือ ตวั อกั ษรธรรม อกั ษรขอม หลกั ฐำนเกย่ี วกบั ตำนำนทพ่ี บในประเทศไทยอำจกล่ำวไดว้ ำ่ มกี ำร เขยี นตำนำนขน้ึ ตงั้ แต่รำวกลำงพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ และไดร้ บั ควำมนิยมมำก ในรำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ – ๒๒ ตำนำนท่ีรู้จกั กนั ดี ได้แก่ ตำนำนสิงหนวตั ิกุมำร ตำนำนพ้ืนเมอื ง เชยี งใหม่ ตำนำนจำมเทววี งศ์ ตำนำนพระแกว้ มรกต และตำนำนพทุ ธสหิ งิ ค์ เน้ือหำท่ีปรำกฏในตำนำน มีลกั ษณะเป็นเร่อื งเล่ำ โดยไม่ทรำบว่ำ ใครเป็ นผู้เล่ำคนแรก ทรำบแต่ว่ำเล่ำสืบต่อๆ กันมำเป็ นเวลำนำน ต่อมำ ภำยหลงั จงึ มกี ำรจดบนั ทกึ เร่อื งเล่ำนนั้ ๆ เป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรไว้ ตำนำนท่พี บ ในประเทศไทยมกั เป็นเร่อื งเก่ยี วกบั ประวตั ิของบ้ำนเมอื งโบรำณ ประวตั ิของ ปูชนียวตั ถุและปูชนียสถำนท่มี ีควำมเช่ือในเร่อื งศำสนำเข้ำมำเก่ียวข้องดว้ ย เสมอ เน้ือเร่ืองท่ีบันทึกไว้มักจะมีควำมเช่ือในเร่ืองอิทธิฤทธิป์ ำฏิหำริย์ สอดแทรกอยดู่ ว้ ย นอกจำกน้ียงั มีงำนเขียนท่ีเขยี นข้นึ ในสมยั หลงั ๆ ท่มี ีเน้ือหำในเชิง ประวตั คิ วำมเป็นมำ กม็ กั จะใชค้ ำนำหน้ำเรอ่ื งวำ่ “ตำนำน” ไวด้ ว้ ย เช่น ตำนำน วงั หน้ำ ตำนำนพทุ ธเจดยี ส์ ยำม และตำนำนเรอื รบไทย เป็นตน้ [๔๔]

กำรใช้ตำนำนเป็นหลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์ ถึงแม้ว่ำตำนำนจะเป็น เรอ่ื งเลำ่ ทน่ี ่ำสนใจเพรำะมรี ำยละเอยี ดมำก แต่ตอ้ งใชด้ ว้ ยควำมระมดั ระวงั และ ตอ้ งสอบทำนกบั เอกสำรหรอื หลกั ฐำนอ่นื ๆ ดว้ ย โดยเฉพำะอยำ่ งยงิ่ ตำนำนท่ี เขยี นขน้ึ ในสมยั โบรำณจะมคี วำมคลำดเคล่อื นในเรอ่ื งเวลำมำก เพรำะเล่ำต่อๆ กนั มำนำน อำจมกี ำรดดั แปลงโดยผู้เล่ำเอง และอำจจะมกี ำรเสรมิ แต่งโดยผู้ บนั ทึก นอกจำกน้ีในกำรอธบิ ำยควำมบำงตอนยงั เต็มไปด้วยเร่อื งอิทธฤิ ทธิ ์ ปำฏหิ ำรยิ ท์ เ่ี ป็นเรอ่ื งเหลอื เช่อื ในปัจจบุ นั ด้วยข้อจำกัดในเร่ืองเวลำและเน้ือหำท่ีมีเร่อื งอิทธิฤทธิป์ ำฏิหำริย์ แทรกอยู่ด้วย นักประวตั ิศำสตร์ส่วนใหญ่จึงจดั ลำดบั ควำมน่ำเช่ือถือของ ตำนำนไว้เป็นหลกั ฐำนชนั้ รองท่มี คี วำมน่ำเช่อื ถอื น้อยกว่ำหลกั ฐำนประเภท จำรึกและจดหมำยเหตุ อย่ำงไรก็ตำมนักประวัติศำสตร์บำงท่ำนก็ให้ ควำมสำคญั กบั หลกั ฐำนประเภทตำนำนเป็นอย่ำงมำกในกำรศกึ ษำถงึ สภำพ ของสังคมและวัฒ นธรรมของบ้ำนเมืองโบรำณ ท่ีตำนำนกล่ำวถึงไว้ โดยค้นหำหลกั ฐำนประเภทอ่ืนๆ ท่ีมีควำมสัมพนั ธ์สอดคล้องกบั เร่อื งรำวท่ี ตำนำนกล่ำวถงึ ไวม้ ำตรวจสอบกนั พระราชพงศาวดาร เป็ นหลักฐำนประวตั ิศำสตร์ประเภทลำย ลักษณ์ อักษรท่ีมีควำมสำคัญมำกในกำรศึกษำประวัติศำสตร์ชำติไทย สมยั ก่อนๆ เน้ือหำในพระรำชพงศำวดำรจะเป็นเร่อื งท่ีเก่ียวกบั ประเทศชำติ เหตุกำรณ์บ้ำนเมอื งกษตั รยิ ์ผู้เป็นประมุขและผู้สบื สนั ตติวงศ์ลงมำตำมลำดบั เอกสำรประเภทน้ีส่วนใหญ่ เป็ นเอกสำรทำงรำชกำรท่ีกษัตริย์โปรดให้ นักปรำชญ์ประจำรำชสำนักหรือพระเถระผู้ใหญ่ซ่ึงเป็ นผู้นำทำงศำสนำ ทำกำรรวบรวมเร่อื งรำวต่ำงๆ ท่มี อี ยู่ในเอกสำรโบรำณสำคญั ท่มี มี ำก่อน แล้ว นำมำประมวลเป็นเร่อื งรำวขน้ึ โดยอำจจะมกี ำรแต่งเร่อื งต่อเพมิ่ ขน้ึ ซง่ึ เรยี กวำ่ “เรยี บเรยี งขน้ึ หรอื แต่งขน้ึ ” หรอื อำจจะนำเอำหนงั สอื พระรำชพงศำวดำรทม่ี อี ยู่ แลว้ มำตรวจแกไ้ ขถอ้ ยคำหรอื แทรกควำมบำงตอนลงไป ซง่ึ เรยี กวำ่ “ชำระ” [๔๕]

พระรำชพงศำวดำรไทยท่ีมีอยู่ในปั จจุบัน ส่วนใหญ่มีเน้ือหำท่ี เก่ียวข้องกับบ้ำนเมืองในสมัยอยุธยำและสมัยรัตนโกสินทร์ พระรำช พงศำวดำรท่ีมีเน้ือหำเก่ียวกบั เร่อื งรำวในสมยั อยุธยำและเขียนข้ึนในสมัย อยธุ ยำ ไดแ้ ก่ พระราชพงศาวดารหมายเลข ๒๒๒, ๒ก/๑๐๔ และพระราช พงศาวดารหมายเลข ๒๒๓, ๒/ก ๑๒๕ ฉบบั แรกนำยไมเคลิ วคิ เคอร่ี เป็นผู้ คน้ พบต้นฉบบั จำกหอสมุดแห่งชำตเิ ม่อื พ.ศ. ๒๕๑๔ ส่วนฉบบั หลงั นำงสำว อุบลศรี อรรถพนั ธุ์ เป็นผคู้ ้นพบเม่อื พ.ศ. ๒๕๒๑ พระรำชพงศำวดำรทงั้ สอง เล่มน้ีเช่อื กนั ว่ำเดิมนนั้ คงจะเป็นเอกสำรเล่มเดยี วกนั ท่เี ขยี นข้นึ ในสมยั อยธุ ยำ ตอนต้น พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบบั เยเรเมียส ฟาน ฟลีต เขยี นขน้ึ รำวปี พ.ศ. ๒๑๘๓ โดย ฟำน ฟลตี หรอื วนั วลติ ซ่งึ เป็นผจู้ ดั กำรสถำนี กำรค้ำฮอลนั ดำท่ีตงั้ อยู่ท่ีกรุงศรอี ยุธยำในรชั กำลของพระเจ้ำปรำสำททอง พระราชพงศาวดารกรงุ เก่าฉบบั หลวงประเสริฐ เป็นพระรำชพงศำวดำรท่ี แต่งขน้ึ เม่อื ปี พ.ศ. ๒๒๒๓ โดยพระบรมรำชโองกำรของสมเดจ็ พระนำรำยณ์ มหำรำช พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยาฉบบั จาลอง จ.ศ. ๑๑๓๖ ซ่ึง สมเดจ็ พระเจำ้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยำดำรงรำชำนุภำพ ทรงสนั นิษฐำนวำ่ คง จะเขยี นขน้ึ ในรชั สมยั ของพระเจำ้ อยหู่ วั บรมโกศ สำหรบั พระรำชพงศำวดำรท่มี เี น้ือหำเกย่ี วกบั เรอ่ื งรำวในสมยั อยธุ ยำ และสมยั รตั นโกสนิ ทร์ตอนต้น ทเ่ี ขยี นหรอื ชำระขน้ึ ในสมยั ของพระบำทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้ำจุฬำโลกมหำรำช ไดแ้ ก่ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบับจักรพรรดิ พงศ์ (จาด) พระราชพงศาวดารฉบับหมอบรดั เลย์ พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนุมาศ (เจิม) พระราชพงศาวดารฉบบั กรุงศรีอยุธยาจาลอง จ.ศ. ๑๑๔๕ พระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จ พระพนรตั น์ พระราชพงศาวดารกรุงสยามหรือพระราชพงศาวดาร ฉบบั บริติชมิวเซียม และท่ชี ำระในรชั กำลของพระบำทสมเดจ็ พระจอมเกล้ำ เจำ้ อยหู่ วั ไดแ้ ก่ พระรำชพงศำวดำรฉบบั พระรำชหตั ถเลขำ [๔๖]

สำหรบั พระรำชพงศำวดำรท่ีมีเน้ือหำเก่ียวกับเร่ืองรำวในสมัย รัตนโกสินทร์ท่ีเขียนข้ึนหลังรัชกำลท่ี ๔ ลงมำ ท่ีสำคัญคือ พระราช พงศาวดารกรงุ รตั นโกสินทร์ รชั กาลที่ ๑ – ๔ เขยี นขน้ึ โดยเจำ้ พระยำทพิ ำ กรวงศ์ ตำมพระบรมรำชโองกำรของพระบำทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั รัชกำลท่ี ๕ และพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสิ นทร์ รัชกาลที่ ๒ ซ่งึ สมเดจ็ พระเจำ้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยำดำรงรำชำนุภำพ ทรงชำระมำจำก พระรำชพงศำวดำรกรุงรตั นโกสนิ ทร์ รชั กำลท่ี ๒ ของเจ้ำพระยำทิพำกรวงศ์ อกี ต่อหน่ึง นอกจำกน้ียงั มพี งศำวดำรท้องถนิ่ และพงศำวดำรประเทศเพ่อื นบ้ำน ซ่งึ มำแต่งข้นึ ในสมยั รตั นโกสนิ ทรอ์ ีกหลำยเร่อื ง เช่น พงศำวดำรเมืองถลำง พงศำวดำรเมืองปั ตตำนี พงศำวดำรเมืองเชียงรุ้ง พงศำวดำรล้ำนช้ำง พงศำวดำรมอญ พมำ่ พงศำวดำรเขมร เป็นตน้ นกั ประวตั ศิ ำสตรใ์ ห้ควำมสำคญั กบั เอกสำรประเภทน้ีค่อนขำ้ งมำก แต่กำรจะนำมำใช้ต้องตรวจสอบด้วยควำมระมดั ระวงั เพรำะเป็นเอกสำรท่ี เขยี นข้นึ โดยคำสงั ่ และควำมต้องกำรของรำชสำนักซ่ึงอำจมจี ุดมุ่งหมำยทำง กำรเมืองแฝงอยู่ด้วย เน้ือหำก็มีขอบเขตจำกดั อยู่ท่ีกิจกรรมท่ีเก่ียวข้องกับ พระมหำกษตั รยิ เ์ ท่ำนัน้ และเป็นเร่อื งรำวท่รี วบรวมมำจำกเอกสำรชนั้ ต้นท่ีมี มำก่อน มีกำรชำระควำม แต่งเตมิ ควำมบำงส่วนท่ีหำยไป กำรท่ีจะนำมำใช้ ประโยชน์ตอ้ งตรวจสอบกบั หลกั ฐำนอ่นื ๆ ควบคไู่ ปดว้ ย เอกสารราชการ เดิมเรียกว่า ใบบอก เป็นเอกสำรท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั กำรบรหิ ำรรำชกำรแผน่ ดนิ ดำ้ นกำรปกครองระหวำ่ งสว่ นกลำงกบั สว่ นภูมภิ ำค ในสมยั ก่อนยงั ไม่มกี ำรพมิ พ์ กจ็ ะใช้วธิ จี ำรลงบนใบลำนโดยเจำ้ หน้ำท่ซี ่งึ เรยี ก กนั ว่ำ “อำลกั ษณ์” ขอ้ ควำมท่จี ำรไวก้ เ็ ป็นพระบรมรำชโองกำรใหป้ ระชำชนรบั ไปถือปฏิบัติ และถูกคดั สำเนำส่งไปตำมหวั เมืองต่ำงๆ ซ่ึงเรยี กว่ำใบบอก ต่อมำเม่อื มีกำรพิมพ์เกิดข้ึนในเมืองไทย ก็ใช้วิธีพิมพ์แทน ทำให้มีเอกสำร รำชกำรเพม่ิ ขน้ึ มำกมำยหลำยประเภท ปัจจบุ นั สง่ิ พมิ พท์ ่ีทำงรำชกำรทำขน้ึ ถอื เป็นเอกสำรรำชกำรทงั้ สน้ิ [๔๗]

เอกสำรรำชกำรเป็ นหลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์ประเภทลำยลักษณ์ อกั ษรท่ีมมี ำกท่ีสุด ประโยชน์ท่ีได้จำกเอกสำรเหล่ำน้ีคอื ข้อเท็จจรงิ เก่ยี วกบั เร่อื งกระบวนกำรบรหิ ำรรำชกำรแผน่ ดนิ สภำพสงั คม ทศั นะควำมคดิ ของกลุ่ม ชนชนั้ ผู้นำของประเทศไทยแต่ละยคุ สมยั แต่ต้องใช้ดว้ ยควำมระมดั ระวงั และ ตรวจสอบข้อเท็จจรงิ กบั หลกั ฐำนท่ีเป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรประเภทอ่ืนๆ ด้วย เพรำะอำจมคี วำมลำเอยี งหรอื ไดข้ อ้ มลู เพยี งดำ้ นเดยี ว เอกสารกฎหมาย เป็นเอกสำรทม่ี ปี ระโยชน์อยำ่ งมำกในกำรศกึ ษำ ประวตั ศิ ำสตรก์ ำรปกครอง และยงั รวมไปถงึ สภำพสงั คม วฒั นธรรมและจำรตี ประเพณีของบ้ำนเมืองในอดตี อีกด้วย เพรำะเอกสำรประเภทน้ีเป็นหนังสือ กฎหมำยท่ีใช้ในแต่ละยุคสมยั เอกสำรกฎหมำยท่ีรู้จกั กันดี คือ กฎหมาย มงั รายศาสตร์ ซ่งึ เป็นกฎหมำยท่เี กย่ี วขอ้ งกบั บำ้ นเมอื งสมยั ลำ้ นนำไทยทำง ภำคเหนือ กฎหมายตราสามดวง เป็นกฎหมำยท่เี ขยี นขน้ึ ในสมยั รชั กำลท่ี ๑ แห่งกรงุ รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ และใช้มำจนถงึ สมยั รชั กำลท่ี ๕ และถูกยกเลิก ไปเม่อื มกี ำรประมวลกฎหมำยใหม่ขน้ึ ใช้ แต่ผใู้ ช้เอกสำรประเภทน้ีได้ดตี ้องมี ควำมรทู้ ำงดำ้ นกฎหมำยและภำษำโบรำณทจ่ี ะตอ้ งนำมำใชใ้ นกำรตคี วำม บนั ทึกความทรงจา มีลกั ษณะคล้ำยกบั จดหมำยเหตุ แต่เป็นกำร บันทึกเร่ืองย้อนอดีตข้ึนไปเพ่ือระลึกถึงควำมหลงั หรอื เตือนควำมทรงจำ เอกสำรประเภทน้ีจะให้เกรด็ ควำมรูต้ ่ำงๆ ให้ขอ้ มลู บำงเร่อื งท่มี รี ำยละเอยี ดท่ี สะท้อนภำพอดตี ได้ค่อนข้ำงชดั เจน แต่ต้องระมดั ระวงั ว่ำเอกสำรประเภทน้ี อำจจะมกี ำรพูดถึงเร่อื งรำวในอดตี ท่ใี ชค้ วำมรสู้ กึ ส่วนตวั เขำ้ มำเก่ยี วข้องมำก เกนิ ไป อำจจะทำใหข้ อ้ เทจ็ จรงิ บำงเร่อื งบำงประกำรคลำดเคล่อื นไปได้ สำหรบั บนั ทกึ ควำมทรงจำท่มี ชี ่อื เสยี งรจู้ กั กนั ดีและนิยมนำมำใช้เป็นหลกั ฐำนสบื คน้ ในทำงประวตั ศิ ำสตร์ คอื พระนิ พนธค์ วามทรงจาของสมเดจ็ ฯ กรมพระยา ดารงราชานุภาพ ชีวประวัติ เป็ นเอกสำรท่ีเกิดข้ึนในสมัยรชั กำลท่ี ๖ ซ่ึงสมเด็จ พระเจำ้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยำดำรงรำชำนุภำพทรงพระดำรขิ น้ึ เป็นพระองค์ แรก พระองคท์ รงนิพนธช์ วี ประวตั บิ ุคคลไวม้ ำกมำยในโอกำสทเ่ี จำ้ ของประวตั ิ [๔๘]

ได้ตำยลงและให้พิมพ์ข้ึนเป็ นอนุสรณ์แจกในงำนศพซ่ึงถือปฏิบัติกันเป็ น ธรรมเนียมสบื ต่อมำจนทุกวนั น้ี โดยทวั ่ ไปเอกสำรประเภทน้ีมกั จะถูกมองขำ้ ม เพรำะถือว่ำเป็ นเร่ืองส่วนตัวมำก แต่ถ้ำพิจำรณำให้ดีก็อำจจะนำมำใช้ ประโยชน์ได้ในบำงเร่อื ง เช่น กำรลำดบั วงศ์ตระกูลของเจ้ำนำยสมยั ก่อนๆ หรอื ควำมสำคญั ของบคุ คลทเ่ี คยมบี ทบำทอยใู่ นบำ้ นเมอื งในอดตี จดหมายส่วนตวั โดยทวั ่ ไปถือเป็นเร่อื งส่วนตวั ท่ไี ม่เปิดเผย แต่มี จดหมำยส่วนตวั ของบุคคลสำคญั บำงคนทน่ี ำมำเปิดเผยและพมิ พเ์ ผยแพรแ่ ล้ว และนำมำใช้ประโยชน์ในกำรศึกษำทำงประวตั ิศำสตร์ได้เป็ นอย่ำงดี คือ พระราชนิ พนธ์ไกลบ้าน ซ่ึงเป็ นพระรำชหัตถเลขำของพระบำทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หวั พระรำชทำนมำยงั สมเด็จพระเจ้ำลูกเธอ เจ้ำฟ้ำ นพดลฯ เม่อื ครำวเสด็จประพำสยุโรปปี พ.ศ. ๒๔๔๙ สาสน์สมเดจ็ ซ่งึ เป็น ลำยพระหตั ถ์โต้ตอบระหว่ำงสมเด็จพระเจ้ำบรมวงศ์เธอ กรมพระยำดำรง รำชำนุภำพ หรือบนั ทึกความรู้ต่างๆ ซ่ึงเป็นลำยพระหตั ถ์และจดหมำย โต้ตอบระหว่ำงสมเดจ็ พระเจำ้ บรมวงศ์เธอ เจำ้ ฟ้ำกรมพระยำนรศิ รำนุวดั ตวิ งศ์ กบั พระยำอนุมำนรำชธน ตาราโบราณต่างๆ ซ่งึ มอี ยู่มำกมำยหลำยเร่อื ง เอกสำรประเภทน้ี ใช้เป็ นหลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์ท่ีให้ข้อมูลในเร่อื งควำมรู้ควำมสำมำรถและ เทคโนโลยสี มยั โบรำณได้ เช่น ตาราแพทยแ์ ผนโบราณ ตาราโหราศาสตร์ ตาราดาราศาสตร์ ตาราพระราชพิธี วรรณกรรม คอื งำนเขยี นประเภทรอ้ ยแกว้ และรอ้ ยกรอง งำนเขยี น ในรปู ของนวนิยำย เร่อื งสนั้ ถอื เป็นเอกสำรท่มี เี ร่อื งรำวท่สี ะท้อนใหเ้ หน็ สภำพ ของสงั คมและชีวิตควำมเป็ นอยู่ของสงั คมไทยสมยั ท่ีผู้เขียนได้พบได้เห็น แต่ต้องระมดั ระวงั ว่ำงำนเขยี นประเภทน้ีมกั จะเป็นจนิ ตนำกำรท่ผี ู้เขยี นผูแ้ ต่ง ไดร้ บั แรงบนั ดำลใจมำจำกสภำพแวดลอ้ มรอบตวั ดงั นนั้ ตอ้ งแยกแยะใหไ้ ดว้ ่ำ อะไรคอื จรงิ อะไรคือจนิ ตนำกำรของผู้แต่ง วรรณกรรมท่มี ชี ่อื เสยี งท่ีสะท้อน ภำพของสงั คมไทยสมยั โบรำณไดด้ ี คอื ขนุ ช้างขนุ แผน [๔๙]

นอกจำกน้ียงั มงี ำนวรรณกรรมท้องถ่ินอกี มำกมำยท่สี ะท้อนให้เหน็ ถึงวิถีชีวิตของผู้คน สภำพสงั คม วฒั นธรรมประเพณีของผู้คนในท้องถ่ิน ทน่ี ำมำใชป้ ระโยชน์ในกำรศกึ ษำประวตั ศิ ำสตรท์ อ้ งถน่ิ ได้ หนังสือพิมพ์ นิ ตยสาร วารสาร ถือเป็ นหลกั ฐำนประเภทลำย ลกั ษณ์อกั ษรได้ เพรำะมีเน้ือหำหลำกหลำยท่ีเก่ียวกบั เหตุกำรณ์ต่ำงๆ และ ควำมเคล่ือนไหวท่ีเกิดข้ึนในบ้ำนเมือง แต่จะเช่ือถือได้มำกน้อยแค่ไหน ตอ้ งตรวจสอบกบั เอกสำรอ่นื ๆ ประกอบดว้ ย วิทยานิ พนธ์หรืองานวิจยั ทางประวตั ิศาสตร์ เป็นผลงำนทำง ประวัติศำสตร์ท่ีมีข้ึนอย่ำงมำกมำยหลังจำกท่ีมีกำรเรียนกำรสอนวิชำ ประวตั ิศำสตร์ในระดบั ปริญญำมหำบัณฑิต ผลงำนเหล่ำน้ีเป็นผลงำนทำง ประวตั ิศำสตรท์ ่ีได้มำจำกกำรวิเครำะห์ตีควำมหลกั ฐำนอย่ำงเป็นระบบด้วย วธิ กี ำรทำงประวตั ศิ ำสตรท์ ำใหเ้ กดิ แนวคดิ ขอ้ คดิ เหน็ ใหมห่ ลำกหลำยทต่ี ่ำงไป จำกกำรศึกษำประวตั ิศำสตรป์ ระเทศไทยในอดตี ผลงำนเหล่ำน้ีมปี ระโยชน์ท่ี นำมำใชใ้ นกำรศกึ ษำวจิ ยั ทำงประวตั ศิ ำสตรไ์ ดเ้ ช่นกนั การตรวจสอบและการประเมินคุณค่าความน่ าเช่ือถือของหลกั ฐาน ประวตั ิศาสตร์ การตรวจสอบหลกั ฐานประวตั ิศาสตร์ หลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรท์ ม่ี ี อยู่มำกมำยหลำยประเภทนัน้ ก่อนท่ีจะถูกนำมำใช้เป็นหลกั ฐำนอ้ำงอิงหรือ นำมำใช้เป็นข้อมูลในกำรศึกษำวจิ ยั เร่อื งหน่ึงเร่อื งใดนัน้ นักประวตั ิศำสตร์ จะตอ้ งทำกำรตรวจสอบหลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรน์ นั้ ๆ ใหด้ วี ำ่ เป็นของแทด้ งั้ เดมิ หรอื เปลำ่ เพรำะเป็นเรอ่ื งทส่ี ำคญั มำก เพอ่ื ป้องกนั ไม่ใหเ้ กดิ ควำมสญู เปล่ำทำง ประวตั ศิ ำสตร์ หรอื ป้องกนั มใิ หเ้ กดิ ขอ้ ผดิ พลำดในกำรแสวงหำขอ้ เทจ็ จรงิ ทำง ประวัติศำสตร์ ถ้ำผู้ศึกษำประวัติศำสตร์ไม่ตรวจสอบให้ดีว่ำหลักฐำน ประวตั ิศำสตร์ท่ีนำมำใช้อ้ำงอิงเป็ นของแท้ดงั้ เดิมหรือมีอำยุร่วมสมัยกับ เหตกุ ำรณ์นนั้ จรงิ หรอื เปล่ำ ตอ่ มำภำยหลงั ถ้ำมกี ำรตรวจสอบไดว้ ำ่ หลกั ฐำนท่ผี ู้ ศึกษำใช้เป็ นพยำนหลักฐำนอ้ำงอิงเป็ นของปลอมหรือทำข้ึนภำยหลัง [๕๐]