ตำราการแพทยแผนไทย ในศลิ าจารึกวัดพระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม (วดั โพธ์ิ) เลม 3 กาฬธาตุอตสิ ารํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยแลวแลนลงไปในกระเพาะเบาบ้ันตนกระทำใหขัดปสสาวะเปนน่ิว แลวใหทองใหญไส กาฬพิพธั , กาลพิพธั พอง กระทำใหตามืดตาฟาง ใหตกมูกตกเลือด ปวดมวนซูบผอมเปนกำลัง ดวยพยาธิ กาฬพิพิธ, กาลพิพธิ จำพวกน้ีเกิดข้ึนในเนื้อแลแถวเอ็นทั่วทั้งกายมีตัวดั่งไร ในบ้ันปลายนั้นกระทำใหลง เปนฟองฟอด มีสีอันคล้ำ มีกล่ินอันเปร้ียวมีอาการกระทำใหทองข้ึนเพลาเย็นเปนนิจ กาฬสมทุ ร, กาฬสูตร แลใหลงไปวันละ ๖ เพลา ๗ เพลา ทั้งกลางวันกลางคืนบริโภคอาหารมิไดอยูทอง ใหกายน้ันซูบผอมสากไปทงั้ ตวั กาฬสิงคล,ี กาลสงิ คลี เปนโบราณกรรมเปนคำรบ ๕ นั้น คือ กาฬพิพิธ กาฬพิพัธ กาฬสมุทร กาฬมูตร กาละสุกระโรค, กาลสุกระโรค และกาฬสิงคลี กำเดา กาฬธาตุอติสารอยางหนึ่ง ตำราการแพทยแผนไทยวาเกิดจากกาฬ ซึ่งเกิดท่ีขั้วหัวใจ กำเรบิ ผูปวยมีอาการทองเสีย ถายอุจจาระเปนน้ำลางเน้ือ มีกล่ินเหม็นเหมือนซากศพ นอกจากนี้ ยงั มีอาการเหนอ่ื ยหอบ กิมชิ าต,ิ ตัวกมิ ชิ าติ กาฬธาตุอติสารชนิดหน่ึง ตำราการแพทยแผนไทยวา เกิดจากกาฬซ่ึงเกิดท่ีข้ัวตับ ผูปวยมีอาการทองเสีย ถายอุจจาระเปนเลือดสดเมื่อใหยาอาการทองเสียก็จะหยุด แตจะทำใหถายอุจจาระเปนมูกปนเลือดเนา มีอาการปวดมวนในทองมากแนนหนาอก สะอึก ผวิ หนังจะเกิดเปน วงสเี ขยี ว สีแดง กาฬธาตุอติสารชนิดหน่ึง ตำราการแพทยแผนไทยวา ผูปวยมีอาการทองเสีย กระหายน้ำ ตัวเย็น เหง่ือตกฯ ถากาลสมุทรเกิดจากกาฬซึ่งเกิดท่ีหัวใจลามลงมาถึง หัวตับ แลวกินตับขาดออกมาเปนทอนนอยแลทอนใหญดุจถานเพลิงอันดับ ทำใหหอบ เชอ่ื มมึน มีเสมหะอยูตลอด กาฬธาตุอติสารอยางหนึ่ง ตำราการแพทยแผนไทยวาเกิดจากกาฬ ซึ่งเกิดท่ีดีทำให น้ำดีร่ัว ซึม หรือลนออกมา ผูปวยจะมีอาการทองเสีย อุจจาระ ปสสาวะเปนสีเหลือง ตัวเหลอื ง ตาเหลอื ง นอกจากนี้ยงั มีอาการหอบ เพอ อาเจียน และตายภายใน 3 วนั ริดสีดวงประเภทหน่ึง เกิดในทวารหนัก ผูปวยมีเลือดสดๆ หรือมูกปนเลือดเกา แสบรอนคัน เมือ่ ยตามรา งกายและขอ กระดูก อาการท่ีเกิดจากลมและกำเดาใหโทษ คือใหจับหนาวสะทาน ใหรอนเรา กระหายน้ำ เหงอื่ ตก ระส่ำระสาย วงิ เวียน ลักษณะอาการของโรคท่ีเกิดจากสมุฏฐานใดสมุฏฐานหน่ึง มีความรุนแรงมากขึ้น กวาปกติ จำแนกได ๒ ชนดิ คอื ๑. ธาตใุ ดธาตหุ นึง่ ในรา งกายมกี ารผดิ ปกติ เกดิ เปนพิษ ข้ึนเรียกวา ธาตุกำเริบ ๒. อาการไขที่เปนอยูแลว แตมีส่ิงที่ทำใหอาการไขนั้นทวี ความรุนแรงข้ึนอยางรวดเร็ว เชน รับประทานอาหาร ผิดสำแดงเขาไป ทำใหอาการ ไขหนักมากขึน้ เรยี กวา ไขก ำเรบิ พยาธิ หรือหนอน ท่ีอาศัยอยูตามสวนอวัยวะภาพในรางกายคน หรือสัตว ทำใหเกิดโรค ขนึ้ ตางๆ กมิ ิชาตนิ ีม้ ี ๘๐ ชนิด แตล ะชนดิ มขี ่อื เรียกตางๆ ดงั น้ี - กมิ ชิ าติ อาศัยเกาะกินน้ำมูกอยูในจมูก มี ๓ ชนิด คือ ณะหาปตระ ฉละมุคะ และสัตมคุ ะ - กิมชิ าติ อาศัยเกาะกนิ ภายในกระเพาะอาหารมี ๗ ชนดิ คอื กะตะ โอตะกะ คนั ทุปา ตาลหริ ะ สุจิมุขะปวัตนันตุ และ สุกะตะ 385
ชุดตำราภมู ปิ ญญาการแพทยแผนไทย ฉบบั อนุรักษ ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย- กมิ ิชาติ อาศัยเกาะกินอยูกลางลำตัว มี ๔ ชนิด คือ โลหะมุขะ มหาโลหะมุขะ มนุ ะชา และมหามนุ ะชา กุจฉิสยาวาต กฏุ ฐัง - กมิ ิชาติ อาศัยเกาะกินอยูใตเล็บมือ เล็บเทา มี ๓ ชนิด คือ เลหะ ราคะ และอะวณั ณะ 386 - กมิ ิชาติ อาศัยเกาะกินอยทู ีม่ า ม มี ๒ ชนิด คอื กะตะ และ ราตวตั ถา - กมิ ิชาติ อาศยั เกาะกินอยูในกระบอกตา มี ๓ ชนิด คอื มาณะ ตะกา และณะวะ - กิมชิ าติ อาศยั เกาะกนิ อยูในคอ มี ๒ ชนิด คอื รัมมะหาและมหารัมมะหา - กิมชิ าติ อาศัยเกาะกนิ อยใู นตับ มี ๓ ชนิด คือ วระณะตะณะ และสวะระ - กมิ ชิ าติ อาศัยเกาะกินอยูในทวารเบ้ืองต่ำ(ทวารหนัก เบา) มี ๓ ชนิด คือ กิททา ภะยะ และปาลาตะ - กมิ ชิ าติ อาศัยเกาะกินอยูในเนื้อ และเสนเอ็น มี ๓ ชนิด คือ กันนะ รัชชะกะ และโลหิต - กิมชิ าติ อาศัยเกาะกินอยูในบริเวณคร่ึงลางของรางกาย ตั้งแตสะดือถึงปลายเทา เรียกวา เบ้ืองต่ำ อโรธคะทวาร มี ๕ ชนิด คือ วิสระหา สิวาระ เตชันตะ สิวะรา และมหาสวิ ะรา - กิมชิ าติ อาศัยเกาะกินอยูในบุพโพ(น้ำเหลือง) มี ๓ ชนิด คือ มัญชุ มุขะ และ มิกขะละ - กมิ ชิ าติ อาศัยเกาะกินอยูในปอด มี ๖ ชนิด คือ เสตะ โลหิตะ จะวะกาล สิวาจา อัคคะ และมหาอัคคะ - กมิ ชิ าติ อาศยั เกาะกนิ อยูใ นปตตะและในเสมหะ มี ๓ ชนดิ คอื นลิ ะกะ อปุ วะ และ สามขุ ะ - กมิ ชิ าติ อาศยั เกาะกินอยใู นผม มี ๒ ชนิด คือ มะละวา และมหามะละวา - กิมชิ าติ อาศัยเกาะกินอยูในพุง มี ๖ ชนิด คือ อะวิชา อะธิวิชา วัตธาสิธาทสะหะ และมนุ ขะ - กิมชิ าติ อาศัยเกาะกินอยูในมันขน มี ๓ ชนิด คือ สุธาชะ สิเนหะชา และ มหาสเิ นหะชา - กิมิชาติ อาศยั เกาะกินอยูในมนั เหลว มี ๒ ชนิด คือ ทิมนั ชา และ เลมขะ - กมิ ชิ าติ อาศยั เกาะกินอยใู นลิ้น มี ๓ ชนิด คอื กาละมขุ า และมันนะเปละ - กมิ ิชาติ อาศยั เกาะกินอยใู นสมอง กระดกู มี ๒ ชนดิ คือ ยาวะ และโสภา - กมิ ิชาติ อาศัยเกาะกินอยูในหัวใจ มี ๔ ชนิด คือ ทะนันตะ มหาทะนันตะ โลหิตะ และมหาโลหิตะ - กมิ ิชาติ อาศัยเกาะกินอยูลำไสนอย และลำไสใหญ มี ๖ ชนิด คือ วะระสิมหา วะระนะตา มหาวะระนะตา สบิ ปา มหาสบิ ปา และสนั ตะอันตา ลมพดั ในทอ งแตพ ัดนอกลำไส เปน องคประกอบ ๑ ใน ๖ ส่งิ ของธาตลุ ม โรคผิวหนังชนิดหนึ่งแจงอยูในคัมภีรวิถีกุฐโรค คือโรคเรื้อนนั้นมีประเภท ๗ ประการ โรคเร้ือนอันบังเกิดแตปถวีธาตุ, อาโปธาตุ, เตโชธาตุ, วาโยธาตุ, เกิดเปนชาติสัมพันธ ตระกูล และเกิดดวยสามัคคีรสวาหลับนอนระคนกัน และเปนอุปปาติกะ เปนตน พยาธิโรคทั้ง ๗ จำพวกนี้ บังเกิดดวยกิมิชาติที่อาศัยอยูในอัฐิและช้ินเน้ือของตนเอง ใหเปนเหตุ ถาเกิดในอัฐิโลกสมมุติวากุฏฐัง เปนอติสัยโรค อาการตัด ถาเกิดในชิ้นเน้ือ โลกสมมตุ ิวาโรคเร้ือน เปนอสาทยโรค รกั ษายาก
เกลยี วปตฆาตํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแผนไทย ในศิลาจารึกวดั พระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธ)์ิ เลม 3 เกศา โกฏฐาสยาวาตา ชื่อเสนเอ็นที่อยูภายในรางกายคูขนานไปกับเสนเลือดบริเวณทองนอยและหนาขาเปน โกฏฐาสยาวาตอตสิ าร เสนสำคัญ เมอื่ กดเสน นี้จะรูสึกวา เตนตบุ ๆ บางทีเขยี น ปฏฆาตหรอื ปต ฆาฏ ผม องคประกอบ ๑ ใน ๒๐ สงิ่ ของธาตดุ ิน ขวัญกนิ เถ่อื น ลมพดั ในลำไสแ ละกระเพาะอาหาร เปน องคประกอบ ๑ ใน ๖ ส่งิ ของธาตุลม ขัดเบา ปจจุบันกรรมอติสารชนิดหน่ึง ตำราการแพทยแผนไทยวา เกิดจาก ลมโกฏฐาสยาวาตา เขมา ทำหนาท่ีไมปรกติ และชองทวารหนักเปด ทำใหอาหารท่ีกินเขาไป ขับออกทาง ทวารหนกั อยางรวดเรว็ ผปู ว ยมอี าการตางๆ ไขก ระดานหนิ ขวญั ทอ่ี อกไปจากรางกาย ทำใหม ีอาการสะดุง ผวา ตกใจงาย หรอื เจ็บปว ย อาการของโรคอยางหนึ่ง ทำใหปสสาวะไมออก ปสสาวะกระปริดกระปรอย ทำใหปวด ไขข า วไหมนอย บรเิ วณทอ งนอย ไขเ จลยี ง โรคเด็กชนิดหนึ่ง เกิดกับทารกที่อยูในเรือนไฟ (โดยทั่วไปอายุไมเกิน ๑ เดือน) ผูปวย ไขต รีโทษ มีฝาสีเทาแลวเปล่ียนเปนสีดำ เกิดไดตั้งแตหนาอกถึงปลายลิ้น เมื่อลุกลามเขาไปภายใน ไขเ พอื่ โลหิต ก็จะทำใหมีอาการรุนแรงข้นึ เชน อาเจียนอยางแรง ทองเสยี อยา งแรง ไขฟองปานแดง โรคกลุมหนึ่ง ผูปวยมีอาการเหมือนกับไขตะมอย แตสัณฐานตางกัน ถาไขกระดานหิน ไขมะเร็งตะมอย เกิดที่ตนขาทั้ง ๒ ขาง เปนวงสีเขียว สีลูกหวาสุก ใหรีบรักษาต้ังแตเร่ิมมีอาการ ถาเปน ระยะเวลานานจะทำใหผ วิ ลอกเปอย รกั ษาไมไ ด ไขมะเรง็ ทูม โรคกลุมหนึ่ง ผูปวยมีผื่นขึ้นเปนเม็ดแดงๆ เปนแผนๆ ขึ้นหลายที่ ทำใหปวดกระดูก ทุกขอ และใหบ ดิ ครา นตน ทรุ นทรุ าย กระหายน้ำ แลว ใหน้ำลายเหนียว ไขรากสาดกระดานหนิ โรคกลุมหน่ึง ผูปวยมีอาการไขวันเวนวัน ในทางการแพทยแผนไทย มีหลายชนิด เชน ไขร ากสาดมะเรง็ ทมู ไขเ จลียงอากาศ ไขเจลียงพระสมทุ ร ไขเจลียงไพร เปนตน ไขละอองไฟฟา ความเจ็บปวยอันเกิดจากกองสมุฏฐานปตตะ วาตะ และเสมหะรวมกันกระทำใหเกิด โทษ หรือความผดิ ปกตติ างๆ ชื่อโรคชนิดหนึ่ง ทำพิษตัวรอนกลา กระหายน้ำ ปวดศีรษะ เจ็บตามรางกาย เบาเหลือง ผวิ ตวั แดง ลนิ้ คางแข็ง ฟนแหง ปากแหง เหนียวน้ำลาย ชอื่ โรคชนิดหนง่ึ ผูปว ยมอี าการเหมอื นไขฟ องปานดำ แตม ีความรุนแรงของโรคนอ ยกวา ฝกาฬชนิดหน่ึง ผูปวยมีฝซ่ึงขนาดอาจโตเทาหัวแมมือผุดขึ้นตามตัว หรือตามแขนขา เรียก ฝมะเร็งตะมอย จะทำใหผูปวยมีไขสูง เรียก ไขมะเร็งตะมอย ถาเม็ดฝมีโคนสีขาว หัวสีดำ จำทำใหผ ูปว ยมอี าการรนุ แรงมาก ชื่อโรคชนิดหน่ึง ทำใหผูปวยมีอาการสะทานรอนสะทานหนาว เสียวซานทั่วรางกาย ตัวรอน ทองรอน เทาเย็นถึงเขา ปวดศีรษะ ครั่นตัว มีอาการต้ังแตเท่ียงคืนถึงรุงเชา แลว ทำใหบ วมข้นึ บรเิ วณใดบรเิ วณหนง่ึ หรือบวมท้ังตัว ทำใหคันมาก ดทู ่ี ไขก ระดานหนิ ดูที่ ไขมะเรง็ ทูม ชือ่ โรคชนิดหนึง่ มลี ักษณะยอด เหมอื นกบั ไขสายฟา ฟาด แตไ ขละอองไฟฟา ยอดมสี ีแดง กอ นแลวจึงคลำ้ ดำเขา ผูป วยมกั มีอาการปากเบ้ยี ว ตาแหก คางคลาด ใหรีบรักษา 387
ชุดตำราภมู ิปญ ญาการแพทยแ ผนไทย ฉบบั อนุรักษ ไขส นั นิบาต ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยชอื่ โรคชนดิ หนึง่ ทำใหเปน ไข มีอาการหนาวสัน่ ชกั กระตกุ และเพอ คชราด ๒ จำพวก ชื่อโรคชนิดหน่ึงเปนโรคติดตอเรื้อรัง ซ่ึงเกิดเปนเม็ดผุดขึ้นภายนอกตามผิวกาย เปน ตุมเลก็ ๆ คลา ยหูด แลว คอ ยๆ โตขน้ึ ลกั ษณะคลายดอกกะหลำ่ ปลี พษิ ของโรคทำให ครรภรักษา มีอาการไข ตัวรอน เบ่ืออาหาร น้ำหนักลด ตุมดังกลาวมัก ข้ึนตามใบหนา บริเวณจมูก ครีบกรด, ฝค รีบกรด ขา เทา เปนตน บางทเี รยี กวา คดุ ทะราด การดูแลรกั ษาพยาบาลหญิงตงั้ ครรภใหเ ปน ปรกติ ครีบชิวหา ฝวัณโรคชนิดหน่ึง ผูปวยมีตุมแข็งสีแดง ขนาดตั้งแตเมล็ดงาถึงถ่ัวเขียวขึ้นท่ีครีบล้ิน คิมหันตะฤดู ตำราวาทำใหลิ้นกระดางคางแข็ง เจ็บๆ คันๆ หากรักษาไมทัน ยอดฝแตกออก จะเปอย คุดทะราด เปนขุม ลามไปทั่วล้ินทั้งดานบนและดานลาง อาจบวมทะลุไปถึงบริเวณใตคาง มีเลือด และหนองไหล กลิน่ เหม็นเหมือนซากศพ คถู ทวาร บริเวณดา นขา งของลิ้นทั้ง 2 ขาง คถู เสมหะ ฤดรู อน ดเู พิ่มที่ฤดู ๓ ฤดู ๔ และฤดู ๖ คถู เสมหะสมฏุ ฐาน, ช่ือโรคชนิดหน่ึงเปนโรคติดตอเร้ือรัง ซ่ึงเกิดเปนเม็ดผุดข้ึนภายนอกตามผิวกาย สมุฏฐานเสมหะ เปนตมุ เลก็ ๆ คลา ยหูด แลวคอ ยๆ โตข้นึ ลกั ษณะคลายดอกกะหลำ่ ปลี พิษของโรคทำให ฆานะโรค มีอาการไข ตัวรอน เบ่ืออาหาร น้ำหนักลด ตุมดังกลาวมัก ขึ้นตามใบหนา บริเวณจมูก งวด ขา เทา เปน ตน บางทีเรยี กวา มะเรง็ คุดทะราด ฉะกาลวาโย ทวารหนกั เมือกทเ่ี คลือบอยทู ี่ผนงั ดานในของลำไสถ งึ ทวารหนัก ชำ้ รัว่ ที่ต้ังหรือที่แรกเกิดของโรคอันเกิดจากเสลด แบงออกเปน 3 อยาง ไดแก ศอเสมหะ (เสมหะในลำคอ) อุระเสมหะ (เสมหะในอก) และคูถเสมหะ (เสมหะในสวงทวาร) เชื่อมมวั ริดสีดวงประเภทหน่ึงเกิดในจมูก ผูปวยจะหายใจขัด มีเม็ดขึ้นในจมูก เมื่อเม็ดน้ันแตก 388 จะทำใหปวดแสบปวดรอ นมาก นำ้ มูกไหลอยตู ลอดเวลา ลมหายใจมีกลิน่ เหม็น ลดลงไป, พรอ งลงไป, แหง ลงไป เชน อาหารงวด ธาตุลม 6 ประการ ไดแก ลมพัดตง้ั แตปลายเทา ถงึ ศรี ษะ (อทุ ธงั คมาวาตา) ลมพัดตัง้ แต ศรี ษะถงึ ปลายเทา (อโธคมาวาตา) ลมพัดในทอ งแตพัดนอกลำไส (กุจฉิสยาวาตา) ลมพัด ในลำไสและกระเพาะอาหาร (โกฏฐาสยาวาตา) ลมพัดทั่วสรีระกาย (อังคมังคานุสารี วาตา) และลมหายใจเขาออก โรคทางเดินปสสาวะและอวัยวะสืบพันธุกลุมหน่ึง เกิดกับผูหญิง ผูปวยมีอาการปวดแสบ ปวดรอนภายในชองคลอดและทวารเบา กล้ันปสสาวะไมอยู เจ็บและขัด ถังบริเวณ หัวเหนา ตำราการแพทยแผนไทยวา เกิดจากสาเหตุ ๔ ประการ ไดแก 1. เกิดจากการ คลอดบุตร แลวอยูไฟไมไ ด ทำใหเ สมหะ โลหติ เดินไมส ะดวก มดลูกเนา 2. เกิดจากการ มีเพศสัมพันธมากเกินไป 3. เกิดจากฝในมดลูก ทำใหมีหนองหรือน้ำเหลืองไหลออกมา 4. น้ำเหลืองท่ีเกิดจากทางเดินปสสาวะอักเสบไหลออกมาทำใหเกิดแผลท่ีเปอยลามท่ี ทวารเบา ปสสาวะไหลกะปรบิ กะปรอย ปวดแสบ ขัดหัวเหนา อาการของโรคอยางหนึ่ง พิษไข หรือพิษของโรค ทำใหใบหนาหมองซึง นัยนตาปรือ ไมก ระปรกี้ ระเปรา
ซางํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแผนไทย ในศิลาจารกึ วัดพระเชตพุ นวิมลมงั คลาราม (วดั โพธ์ิ) เลม 3 ซางกระแหนะ ช่ือโรคชนิดหนึ่ง เปนกับเด็กตั้งแตแรกเกิดจงถึงอายุ ๑๒ ป อาการของโรคมีหลายอยาง ซางกราย เชน ตวั รอน เชอ่ื มซึม ปากแหง อาเจียน บริโภคอาหารไมได ทอ งเดนิ และท่สี ำคญั จะมี ซางกะตัง, ซางกระตงั เม็ดข้ึนตามสวนตางๆ ของรางกาย ในปาก ในคอ ล้ินเปนฝา เปนตน โรคซางมีหลาย ซางขา วเปลือก ลกั ษณะ หลายชนดิ จำแนกออกเปนกลมุ ใหญ ได ๒ กลุม คือ ซางเจา เรือน และ ซางจร โรคซางทง้ั ๒ กลุมน้ี มีแมซ างเปน ท่ีสงั เกต ซางโค ซางจรชนิดหน่ึง เกิดแทรกซางแดงอันเปนซางเจาเรือนประจำเด็กเกิดวันอังคาร ซางจร ซางชนิดน้ีมีแมซาง ๓ เม็ด มีบริวาร ๓๐ เม็ด แมทรางทั้ง ๓ เม็ดนั้นจะขึ้นที่ปลายล้ิน ซางโจร ๑ เม็ด ตนคาง ๑ เมด็ และทรวงอกหรือโคนลิ้น ๑ เมด็ โดยมีบริวารลอ มแมซ างตำแหนง ละ ๑๐ เม็ด เด็กท่ีปวยเปนซางชนิดนี้จะดูดนมไมได ลิ้นกระดางคางแข็ง กำมือ เทางอ ถาแมซางเล่ือนลงไปในทอง จะทำใหมีอาการทองเสีย ถายเปนมูกเลือดใส รางกาย ซูบผอม เบอ่ื อาหาร ปวดมวนทอ งมาก ซางจรชนิดหนึ่ง เกิดแทรกหรือตอจากซางเพลิง อันเปนซางเจาเรือนประจำเด็กเกิด วันอาทิตย เด็กท่ีปวยจะมีเม็ดยอดที่เปนแมซาง ๔ เม็ด ขึ้นท่ีหัวเหนา ๒ เม็ด ทอง ๒ เม็ด และมียอดท่ีเปนบริวาร อีก ๔๐ เม็ด เมื่อเริ่มมีอาการจะมีลักษณะเหมือนผด เม่ือเปนมากเม็ดยอดที่เปนแมซางจะมารวมกันท่ีทอง ทำใหมีอาการตัวรอน อาเจียน กนิ อาหารไมได นอนสะดุง ถายเปนมกู เลือด ซางจรชนิดหน่ึง เกิดแทรกหรือเกิดตอจากซางสะกออันเปนซางเจาเรือนประจำเด็กเกิด วันพุธ โรคนี้จะเกิดกับทารกท่ีมีอายุมากกวา ๑ เดือน โดยจะเกิดตอจากเขมา ซางจร ชนิดนี้มีแมซาง ๓ เม็ด แตละเม็ดมีบริวาร ๑๐ เม็ด แมซางและบริวารจะทยอยข้ึนตาม สวนตางๆ ของรางกาย ทำใหเ กิดอาการแตกตา งกนั เชน เมอ่ื แมซ างทัง้ ๒ เมด็ ข้นึ พรอม กนั แลวกระจายไปทก่ี ระเพาะปส สาวะ จะทำใหม อี าการปสสาวะขดั ช่ือโรคซางชนิดหนึ่ง เปนซางจรแทรกซางโค ซ่ึงเปนซางเจาเรือน ประจำเด็กเกิด วันพฤหัสบดี มีแมซาง ๕ เม็ด มีบริวาร ๕๐ เม็ด แมซางทั้ง ๕ เม็ด จะข้ึน ที่ขมอม กลางหลัง นาภี รักแร ๒ ขาง แมซางท้ัง ๕ มีบริวารแหงละ ๑๐ เม็ด มีอาการคร้ังแรก ใหปากรอนและลงทองกอน ตอไปมือเทา เยน็ ตอ เมอื่ แมซางทส่ี ันหลัง และรักแรเ ลอื่ ยไป อยูที่นาภี ซางบริวารขึ้นรายไปท้ังตัว สัณฐานดังเม็ดหัดหรือปาน จะมีอาการลงทอง อาเจยี น ทองขึ้น มอื กำ เทา งอ ลน้ิ กระดา ง คางแขง็ เปน ตน ดเู พิ่มเติมที่ แมซ าง ช่ือโรคซางชนิดหน่ึง เปนซางเจาเรือน ประจำเด็กเกิดวันพฤหัสบดี มีแมซาง ๔ เม็ด ขึ้นแข็งดังตาปลาที่โคนลิ้น ปลายล้ิน ขางล้ิน มีบริวาร 5๐ เม็ด ข้ึนในปาก กระเพาะ อาหาร ทำใหมีอาการเปนไข ตัวรอน กระหายน้ำ อาเจียน มือเทาเย็น หอบ ลงทอง ตกโลหิต ซบู ผอม เปนตน ดูเพมิ่ เติมที่ แมซาง ซางจร หรอื ซางแทรก คือโรคซางท่ีบังเกิดเปนแทรกขึ้นระหวางโรค ซางเจาเรือน ซางจร นจี้ ะเปนอยจู นถงึ อายุ ๑๒ ป จึงจะพนจากโทษของโรคซาง ดเู พมิ่ เตมิ ที่ ซางและแมซ าง ช่ือโรคซางชนิดหนึ่ง เปนซางเจาเรือน ประจำเด็กเกิดวันเสาร มีแมซาง ๙ ยอดขึ้นตาม สว นตางๆ ของรา งกาย มี ลกั ษณะสัณฐานตางๆ กนั เชน ขน้ึ ท่ีปากและเหงือก จะมียอด สีเหลืองจัด ถาขึ้นที่สะดือ จะมียอดแหลม ตรงกลางเปนสีดำ ขอบโดยรอบเปนสีเหลือง และแดง เปน ตน และมีปวดมวนทอ ง ปอมเหลือง และครา นนำ้ เปนตน จัดเปนโรคซาง ท่มี พี ิษรายมาก และอาจจะบงั เกิดแทรกได ทกุ ซาง ดูเพิ่มเติม แมซ าง 389
ชดุ ตำราภูมิปญ ญาการแพทยแ ผนไทย ฉบบั อนุรักษ ซางชา ง ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยช่ือโรคชนิดหน่ึง เปนซางเจาเรือนประจำเด็กเกิดวันศุกร มีแมซาง ๘-๙ ยอด ขึ้นในท่ี ซางแดง ๓ แหง คือ ที่ทอง ๓ ยอด ทรวงอก ๓ ยอด เพดาน ๒-๓ ยอด มีบริวาร ๘๐ ยอด ซางนางรนิ้ ข้ึนรายกระจายไปตามรางกาย ท่ีแขน ขา ชายโครง กลางหลัง เปนตน มีอาการ ไอ คอแหง เจบ็ คอ อาเจยี นลม คอเปอ ย คนั ทงั้ ตวั กบั มแี ผลพพุ อง หากข้ึนที่ กระเพาะ ซางน้ำ ลำไส จะทำให บริโภคอาหารไมได เบื่ออาหาร ทองผูกจนจนเปนพรรดึก เปนตนดู ซางฝาย เพมิ่ เตมิ ที่ แมซ าง ซางเพลงิ , ซางไฟ ชื่อโรคซางชนิดหนึ่ง เปนซางเจาเรือนประจำเด็กเกิดวันอังคาร มีแมซาง ๖ เม็ด ข้ึน 390 ขมอม ๓ เม็ด สันหลัง ๓ เม็ด มี บริวารรวม ๗๒ เม็ด สังเกตไดวา แมซางจะข้ึนเปน ระยะๆ ละ ๑ เม็ด ต้ังแตเด็กเกิดได ๓ เดือน ๖ เดือน ๙ เดือน แมซางยอดเอกจะมี สีแดง ถาข้ึนที่สันหลัง บริวารจะออกมา ที่คอ รักแร คาง ขาหนีบ ทวารหนัก มีอาการ อาเจียน กระหายน้ำ เปนไข เช่ือมมึน ไอ ตกมูกเลือด บริโภคอาหารไมได เปนตน จดั เปนโรคซางท่มี พี ษิ มาก ดเู พิม่ เตมิ ท่ี แมซ าง ช่ือโรคซางชนิดหนึ่ง เปนซางจรแทรกซางโจร ซ่ึงเปนซางเจา เรือนประจำเด็กเกิด วันเสาร มีแมซาง ๔ เม็ด บริวาร ๕๖ เม็ด โรคนี้เกิดกับเด็กตั้งแตออกจากเรือนไฟ ข้ึนรายไปตามรางกาย ทำใหอาการตางๆ เชน ขึ้นท่ีคอ ทำใหคอแหง ลิ้นขาว ดูดนม ไมได ไอ กระหายน้ำ ข้ึนที่ทรวงอก ทำให ตกมูกเลือด ตาแดง ข้ึนกระเพาะปสสาวะ ทำใหข ดั เบา บางท่ปี สสาวะเปน ดัง่ นำ้ ขาว และดินสอพอง เปน ตน ซางนางรน้ิ นี้ อาจจะ บงั เกดิ แทรกไดท กุ ซาง ถาเปนข้นึ พรอมกบั ซางโจร เรียกวา ซางโจรนางรน้ิ เมด็ ซางข้ึนที่ กระเพาะข้ี ทำใหอุจจาระสีขาวหยาบ เหม็นคาวเปนสาเหลา ทำใหอยากกินของสดคาว ถาขึ้นตามผิวกายจะทำใหผิวเปนเกล็ดลายดังปลากระทิง ถาข้ึนในอกทำใหหายใจ ไมสะดวก หอบขึ้นในทองทำใหลงทองเปนเมือกมัน มีไขตัวรอนมือเทาเย็นอาจชักมือ มือกำ เทางอ เปนตน ดูเพ่มิ เตมิ ท่ี แมซ าง ซางเจา เรอื นประจำเดก็ เกิดวันจนั ทร เดก็ ท่ีปวยเปนโรคนจ้ี ะมเี มด็ ยอดสีแดงวงขนาดใหญ ท่ีเปนแมซาง ๑๙ เม็ด ขึ้นตามแขน ตามแขง กลางหลัง และแกม ไมมีเม็ดยอดท่ีเปน บริวาร โรคนี้อาจเกิดกับเด็กตั้งแตระยะท่ีเปนทารกในครรภจนถึงหลังคลอด ซ่ึงอาจ รักษาใหหายไดใ น ๑๒ วัน แตถา รกั ษาไมห าย แมซางจะทยอยข้ึนกระจายไปตามอวัยวะ ตางๆ เม่อื เด็กมอี ายุ ๒ ขวบ ๖ เดอื น มกั มอี าการหนกั ขึ้น เม็ดยอดจะแตกเปน นำ้ เหลอื ง เปนแผลเปอ ยท่ัวตัว นานเขาจะทำใหมีไข ปวดทอง ทองรวง ซางจรชนิดหน่ึง เกิดแทรกซางน้ำอันเปนซางเจาเรือนประจำเด็กเกิดวันจันทร ไมมี แมซ างเกิดขน้ึ ตามผวิ หนงั แตขึน้ ที่เพดานปากกระพุงแกม ไรฟน และลิน้ เด็กท่ีปว ยเปน โรคน้ีจะมีอาการล้ินเปนฝาขาว มีไขสูง ปากรอน ปากแหงไมมีน้ำลาย หุบไมลง กนิ อาหารไมไ ด อาเจยี น ทอ งเดิน อุจจาระเหม็นเหมือนไขเ นา ซางเจาเรือนประจำเด็กเกิดวันอาทิตย เด็กท่ีปวยเปนโรคน้ีจะเริ่มมีเม็ดยอดท่ีเปนแมซาง ๔ เมด็ เกิดท่ีบริเวณฝาเทา เมอื่ มอี ายไุ ด ๗ วัน และมีเมด็ ยอดที่เปนบริวารอกี ๔๐ เม็ด ขึ้นท่ีหนาแขงขา งละ ๒๐ เมด็ ซง่ึ อาจรักษาใหหายไดใน ๑๑ วนั แตถา รกั ษาไมหายและ มีอาการคงอยู แมซางและบริวารจะกระจายออกไป ทำใหเกิดอาการตางๆ เชน เมื่อ แมซางและบริวารกระจายขึ้นไปจากกลางหนาแขง ถึงหัวเขาเปนเม็ดสีแดงลามออกไป เหมือนไฟไหม ทำใหม อี าการปวด เมอื่ มอี าการรุนแรงขึ้นอาจถึงตายได
ซางสะกอํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแ ผนไทย ในศลิ าจารึกวดั พระเชตพุ นวิมลมงั คลาราม (วัดโพธ)ิ์ เลม 3 ดานเสมหะ ซางเจา เรอื นประจำเดก็ เกิดวนั พุธ โรคนเี้ กดิ กบั ทารกไดตั้งแตแรกเกดิ ทารกจะมเี ม็ดยอด ตกมูกตกเลือด ท่ีเปนแมซางขึ้นบริเวณทองสวนบน ๔ เม็ด มีบริวาร ๔๐ เม็ด (บางตำราวา ๔๒ เม็ด) ตอ ซ่ึงอาจรักษาใหหายไดใน ๑๔ วัน แตถารักษาไมหายและมีอาการคงอยูถึง ๓ เดือน เม็ดยอดจะกระจายไปท่ัวรางกาย ทำใหเกิดอาการตางๆ เชน ถากระจายไปที่ลำไส ตอกงเกวยี น จะทำใหทอ งผูก ปสสาวะขัด เม่ือเปนอยูน านและรักษาไมถูกตองอาจทำใหถงึ ตายได ตอ กน หอย อาการแขง็ ในทองในเดก็ ทำใหมอื เทา เย็น อาเจยี น ทองเสยี ตวั รอ น ถา เปน มากชักตาต้งั ตอกระจก อาจถึงตายได ถา เปนในผใู หญม อี าการเสมหะแหงท่หี นา อกและคอ ตอกระจกขาว อาการของโรคอยางหนึ่ง เมือ่ ถา ยอจุ จาระจะมมี กู หรือน้ำเหลือง และเลอื ดทอ่ี ยูในลำไส ตอกระจกเขยี ว ติดออกมาดว ย โรคอยางหน่ึงเกิดท่ีลูกตาอาจทำใหตาพิการหรือตาบอดได เกิดจากสาเหตุแตกตางกันไป ตอกระจกแดง โดยท่ัวไปผูปวยมักเกิดความรำคาญ มีอาการตามัว มองเห็นไมชัด ตำราแพทยแผนไทย วา มีหลายชนิด เชน ตอหมาก ตอแนะ ตอฝ ตอวาโย ตอลิ้นสุนัข ตอกนหอย ตอสลัก ตอ กระจกปรอท ตอกงเกวียน ตอแกว ตอเนื้อ ตอแววนกยูง ตอหมอก ตอลาย ตอกระจก ตอหิน ตอมะเกลือ ตอไฟ ตอหดู ตอสผี ง้ึ และตอ ขาวสาร โรคชนิดหน่ึง ผูปวยมีจุดขึ้นที่หัวตา ปวดเคืองนัยนตา สาเหตุเกิดจากลมในทอง ทำให คล่ืนเหยี น ผะอดื ผะอม เจ็บในทอ ง ทองขึ้น จกุ เสยี ด มวนทอ ง เปน ตน โรคตอชนดิ หนึ่ง เริม่ ตนเกดิ ท่นี ว้ิ หวั แมเ ทา เนื่องจากเดนิ มากและสะดุดบอ ยๆ ผูปวยจะมี อาการเคืองตา ตาพราบอยๆ เมื่ออยูนานตาดำจะมีหลุมลึกคลายกนหอย ทำใหตามัว มอื เทา เยน็ เมื่อยตน คอ โรคตอชนิดหนึ่ง ตำราการแพทยแผนไทยวา เกิดจากลมท่ีฝาเทา ผูปวยมีอาการเมื่อยตั้ง แตเทาจนถึงตนคอ เมื่อเปนอยนู าน 2-3 ป จะมอี าการปวดศีรษะมาก แลวมีจดุ สดี ำข้ึน เปนแผน บางๆ ขนึ้ ท่ีตาดำ ทำใหตามวั มองเหน็ ไมชัด โรคตอกระจกชนิดหน่ึง ตำราการแพทยแผนไทยวา เริ่มตนเกิดจากน้ิวหัวแมเทาท้ัง ๒ ขา ง ผปู ว ยจะมอี าการเม่อื ยตง้ั แตบ รเิ วณ ๒ เทาข้นึ มา บางครง้ั อาจมอี าการตึงบริเวณ ตนคอ ปวดศีรษะ แลวปวดเสียดนยั นต า ทำใหตามวั โรคตอ กระจกชนิดหนง่ึ ตำราการแพทยแผนไทยวา เริม่ ตน เกดิ จากหวั ใจ (คมั ภีรอ ภยั สนั ตาวาเกิดจากทรวงอก) ผูปวยมีนัยนตาสีเขียวอมฟา บางคร้ังมองเห็นเปนหมอกควัน สีเขียวหรือสีรุง มีอาการหงุดหงิดงาย บางคร้ังมองเห็นเปนหมอกควันสีเขียวหรือสีรุง มอี าการหงดุ หงดิ งา ย อยากกินของเปรี้ยว หรอื หวาน เปนตน เม่อื เปน อยนู าน ๑-๒ เดือน จะมีเยือ่ ยางๆ สขี าวขุนคลุมครง่ึ หน่งึ ของนัยนตา ทำใหม องเห็นสงิ่ ตา งๆ เพียงคร่งึ เดียว โรคตอชนิดหน่ึง ตำราการแพทยแผนไทยวา เร่มิ ตน เกิดจากฝา เทา ผูปว ยจะเรม่ิ มอี าการ ปวดคันและรอน บริเวณใจกลางฝาเทา แลวมีอาการรอนแดง บริเวณเน้ือตัว และ ผิวหนังเหมือนถูกไฟไหม เมื่อยต้ังแตสันหลังถึงตนคอ ปวดศีรษะมาก อาการเหลานี้ จะเปนๆ หายๆ อยูประมาณ ๒-๓ เดือน (คัมภีรอภัยสันตาวา ๒-๓ ป) แลวจะมี เย่ือบางๆ รปู พระจนั ทรครงึ่ ซกี ปกคลุมนยั นต า ทำใหดวงตามดื มวั โรคตอกระจกชนิดหน่ึง ตำราการแพทยแผนไทยวา เริ่มตนเกิดท่ีบริเวณขอบตับ ผูปวย มีอาการปวดเม่ือยตามรางกาย แนนหนาอก หิวบอย เหนื่อยงาย เม่ือเปนอยูนาน ๑-๓ ป จะเกดิ เงาเปนดวงกลมๆ ขนึ้ ทแ่ี ววตา ทำใหต ามดื มวั มองไมเหน็ 391
ชดุ ตำราภูมปิ ญญาการแพทยแผนไทย ฉบบั อนุรักษ ตอ กระจกแววนกยูงํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยโรคตอชนิดหน่ึง ผูปวยมีอาการปวดเมื่อยตามขอ ครั่นเนื้อคร่ันตัว มึนศีรษะ เม่ือเปน ตอกระจกเหลือง เรอื้ รงั จะทำใหแ ววตาเหมอื นแววนกยงู ทำใหต ามดื มัว โรคตอกระจกชนิดหนึ่ง ตำราการแพทยแผนไทยวา เกิดจากปตตะสมุฏฐาน ผูปวย ตอนลิ กระจก มอี าการตาเหลอื ง ปวดเม่ือยตามรา งกาย อาการเหลา น้ีจะเปนๆ หายๆ เม่ือเปน อยนู าน ตอเน้อื ๙-๑๐ เดือน บริเวณดานลางนัยนตา จะมีสีเหลืองเขมข้ึน ทำใหมองต่ำไดไมชัดเจน ตอสาย ดวงตาจะมวั และบอดในท่ีสุด ตอ สายโลหติ โรคตอกระจกชนิดหนึ่ง ตำราการแพทยแผนไทยวาเกิดจาก ปตตะสมุฏฐาน ผูปวย มีอาการตามดื มวั หาวนอน อยากกินอาหารเปรีย้ วหวาน ตอหมอก โรคตอชนดิ หนึ่ง เรม่ิ ตน เกดิ จากหวั ใจ ผปู ว ยมผี น่ื แดงๆ ขนึ้ เปนแผนเลก็ ๆ ท่บี รเิ วณหวั ตา ตอหลังเบย้ี หรือหางตา นานเขาจะกลายเปนเย่ือสีเน้ือหรือสีเน้ืออมแดงปกคลุมตาดำ ทำใหตาแดง ตะมอย ปวดเคือง และฟกบวม ลมื ตาไมข ้ึน โรคตอชนิดหนึ่ง คัมภีรอภัยสันตาวา เกิดจากกำเดา (เปลวแหงความรอน) แบงเปน ตบั ทรุด ๒ ชนดิ คือ ตอสายโลหิต และตอสายฟา ฟาด ตบั ยอ ย ตอสายชนิดหนึ่ง ไมปรากฏรายละเอียดในตำราการแพทยแผนไทย อยางไรก็ตาม ตบั เลื้อย ในเอกสารคำบรรยายการอบรมแพทยประจำตำบลท่ัวราชอาณาจักร เร่ืองโรคเก่ียวกับ ตับหยอน ตา ของเจริญ พงษมาลา ใหไดความหมายวา “ตอชนิดน้ีเกิดเพ่ือกำเดาคลายกับผูเปน ตาทราย ตอนแรกมีอาการเขมนถี่ เหน็ ท่พี ้ืนตาขาวเปน สแี ดงเขม มีเสน โลหติ กา ยกนั เปน เสนเล็กๆ เห็นเปนเม็ดทรายที่เสนโลหิต เม็ดเปนตุมเล็ก ตอเมื่อนานวันเขาตุมเม็ดเลือด จะโตขึ้น และเสนโลหติ กข็ ยายใหญข้นึ และมีสีเขมจัด” ตอสายเลอื ดก็เรยี ก โรคตอชนิดหนึ่ง เกิดจากโลหิต (เมื่อเกิดระหวางเดือน 5-8) หรือกำเดา (เม่ือเกิด ระหวางเดือน 9-12) หรือเสมหะ (เมอื่ เกดิ ระหวา งเดือน 1-4) ผูป ว ยมีอาการปวดบวม ทนี่ ัยนต า มฝี าสีขาวปกคลมุ ตาดำ โรคตอชนิดหน่ึง ตำราการแพทยแผนไทยวา เริ่มตนเกิดบริเวณทองนอย ผูปวยมีอาการ ปวดถว งบรเิ วณทองนอ ย เคืองตา ปวดตา ตาฟกบวม เปน ตน ฝกาฬชนิดหน่ึง ผูปวยมีฝ ซ่ึงอาจมีขนาดโตเทาหัวแมมือผุดข้ึนตามตัว และ/หรือ ตาม แขนขา เรียกฝมะเร็งตะมอย จะทำใหผูปวยมีไขสูง เรียก ไขมะเร็งตะมอย ถาเม็ดฝมี โคนสีขาว หัวสีดำ จะทำใหผูปวยมีอาการรุนแรงมาก และหากเม็ดฝแตกออกหรือรักษา ไมหายจะกลายเปน มะเร็ง ช่ือโรคชนิดหน่ึง อาการของโรคเกิดจากลมลงโดยแรง ตกจากที่สูง หรือเด็กตกจากเปล หรือถูกฟดฟาดโดยแรง ทำใหเปนไขซาง ละออง หละ หรือธาตุสมุฏฐานในรางกาย ผดิ ปกติ วปิ ริต ทำใหตับเคล่ือนท่ี หรือตบั หยอน ทำใหเกิดเจ็บปว ยขน้ึ ช่อื โรคชนิดหนง่ึ มีอาการดุจตบั ทรดุ ดทู ่ี ตบั ทรดุ ชอื่ โรคชนิดหนึ่ง มีอาการดุจตบั ทรุด ดทู ี่ ตับทรุด ช่ือโรคชนดิ หน่ึง มีอาการดจุ ตบั ทรุด ดูท่ี ตับทรุด 392
ตานโจรํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแผนไทย ในศลิ าจารกึ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วดั โพธิ)์ เลม 3 ทอ งรงุ พุงมาน โรคตานชนิดหน่ึง เปนกับเด็กท่ีมีอายุตั้งแต ๕-๖ ปเปนตนไป จนถึง ๗ ป หรือพนเขต ทนั ตกุฏฐงั การเปนซางเจาเรือน และมักจะเปนโรคแทรกของซางจร อาการของโรคเกิดจากกิน ทันตะมูลา อาหารของเด็ก ซ่ึงมักชอบกินของแปลก ของสดคาว ทำใหบังเกิดเปนพยาธิขึ้นมีตัว ทุราวะสา ๑๒ ดั่งเอือนปลา ตั้งเปนดานขึ้น แลวกำเริบ มีเมือก หรือเสมหะหุมหออยู เมื่อแรกเปน ข้ึนแลว จะเปนคนกินอาหารจุ กินไมเปนเวลา แตไมมีกำลัง ไมอวน มีอาการทองรุง ธาตุสมฏุ ฐาน พุงมาน พุงปอง ทองใหญ ไสพอง เปนตน เม่ือแกตัวขึ้นประมาณ ๓ เดือน จะมีอาการ ลงทอง ตกเลือด ด่ังน้ำลางเนื้อ ปวดมวนเปนมูกเลือด ดากออก ตัวผอมเหลือง หากมี ธาตอุ ภิญญาณ เม็ดผุดข้ึนพรึงไปทั้งตัวดั่งผด เปนอาการตานจร ข้ึน แทรกซางแดง หากแมซางอยูที่ล้ิน จะทำใหลิ้นกระดาง คางแข็ง แมซางขึ้นท่ีหู ก็จะเจ็บหู อยูท่ีตา ตาก็จะเปนเกล็ดกระดี่ นานวันจะกลายเปนตอกนหอย ถาขึ้นที่หนาแข็ง ก็จะทำใหหนาแข็งแข็งดังหนังกระเบน เปนตน อาการของโรคตานโจรมีหลายชนิด เกดิ พยาธิ และ โรคซางชนดิ ตา งๆ ดงั นี้ ชอื่ โรคชนดิ หนงึ่ มีอาการทองโตใหญอยา งหญงิ มคี รรภ ดูท่ี ฝทนั ตกฏุ ฐัง ดทู ฝ่ี ท ันตะมลู า ความผดิ ปรกติของน้ำปส สาวะแบงเปน ๓ จำพวก คอื ๑. ความผิดปรกตขิ องนำ้ ปส สาวะ ที่เกิดเฉพาะในผูชาย แบงเปน ๔ ประเภท ๒. ความผิดปรกติของน้ำปสสาวะท่ีเกิดได ทงั้ ผชู ายและผหู ญงิ (มตุ ฆาต) แบงเปน ๔ ประเภท (มุตฆาต ๔) ๓. ความผดิ ปรกตขิ อง น้ำปสสาวะท่ีเกิดเฉพาะผูหญิง (มุตฆาต) แบงเปน ๔ ประเภท เปนตน ความผิดปรกติ ของน้ำปสสาวะท้ัง ๓ จำพวก ทำใหผูปวยมีอาการปวดหัวเหนา เจ็บขัดแสบองคชาต เวลาถายปสสาวะ น้ำปส สาวะอาจมีสีและลกั ษณะตางกนั ได ๔ แบบ คือ สขี าวขนุ คลาย น้ำขาวเช็ด สีเหลืองคลายน้ำขมิ้นสด สีแดงคลายน้ำฝาง และสีดำคลายน้ำครำ ดูเพมิ่ เติมที่ มุตกิด ธาตทุ ้งั ๔ เปนท่ีตั้งหรือทแ่ี รกเกิดของโรค ไดแ ก ปถวีธาตสุ มฏุ ฐาน ธาตุดนิ เปน ที่ตง้ั หรอื ที่แรกเกิดของโรค อาโปธาตุสมุฏฐาน ธาตุน้ำเปนที่ต้ังหรือที่แรกเกิดของโรค วาโยธาตุ สมุฏฐาน ธาตุลมเปนท่ีตั้งหรือท่ีแรกเกิดของโรค เตโชธาตุสมุฏฐาน ธาตุไฟเปนที่ต้ังหรือ ทแ่ี รกเกดิ ของโรค ธาตทุ งั้ ๔ ซงึ่ จำแนกไดเ ปน ๔๒ ประการน้ัน (ดนิ ๒๐, นำ้ ๑๒, ลม ๖, ไฟ ๔) แพทยแผนไทยพิจารณายอลงเหลือเพียง ๓ กองสมุฏฐาน เรียกวา สมุฏฐาน ปตตะ สมุฏฐานวาตะ และสมุฏฐานเสมหะ ธาตุทั้งสี่น้ีหากพิการ หรือผันแปรผิดปกติ ไปในแตละส่ิง ก็จะเปนสมุฏฐานของโรคตางๆ ตามกองธาตุเหลาน้ัน ดูเพ่ิมเติมท่ี สมุฏฐาน โรคชนิดหนึ่งเกิดจากธาตุไมดี ทำใหอุจจาระเปนสีตางๆ เชน อุจจาระสีดํา เปนเพื่อปถวี ธาตพุ ิการ อุจจาระสแี ดง เปน เพื่ออาโปธาตุพกิ าร อุจจาระสีขาว เปนเพื่อวาโยธาตพุ ิการ อุจจาระสีเขียว เปนเพ่ือเตโชธาตุพิการ คนที่จะเปนอภิญญาณธาตุ อสุรินทัญญาณธาตุ ธาตุตางๆ ตองประชุมเปนมหาภูตรูป เปนตนวา เตโชธาตุ ไดแก พัทธะปตตะ อพัทธะ ปตตะ และกําเดา วาโยธาตุไดแก หทัยวาตะ สัตถกวาตะ สุมนาวาตะ อาโปธาตุ ไดแก ศอเสมหะ อุระเสมหะ คูถเสมหะ ปถวีธาตุไดแก หทัยวัตถุ อุทริยะ กรีสะ รวมกัน ท้ัง ๑๒ ฐาน เชนนี้เรียกวามหาภูตรูปเต็มหมวดหมู จึงทำใหเกิดอุจจาระธาตุ เชน อภิญญาณธาตุ และอสรุ ินทัญญาณธาตุ 393
ชดุ ตำราภูมปิ ญญาการแพทยแ ผนไทย ฉบับอนรุ กั ษ เน้อื ชาสาก ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยอาการของโรคชนิดหนึ่ง เน้ือตัวตายผิวหนังไมเรียบ เมื่อสัมผัสจะระคายเหมือนกานบัว บานทะโรค ไมม ีความรสู ึก เคลื่อนไหวไมได ริดสีดวงประเภทหน่ึง เกิดที่ขอบทวารหนัก บริเวณรอยโรคเกิดเปนแผลมีเลือดปนหนอง บพุ โพ และมีกล่ินเหม็นมาก รูสึกปวดแสบปวดรอนมาก ถาทองผูกจะทำใหเจ็บปวดและ โบราณกรรม ตงึ บรเิ วณทวารหนกั มาก น้ำหนอง เปน องคป ระกอบ ๑ ใน ๑๒ สง่ิ ของธาตุน้ำ ปกตโิ ลหิต โรคอติสารประเภทหน่ึง ผูปวยมีอาการทองเสียเรื้อรัง มักรักษาไมหาย ตำราการแพทย แผนไทยวาเกดิ จากความผิดปรกติของธาตุท้งั ๔ แบงเปน ๕ ชนิด ไดแก อมธุ าตุอติสาร ปฐมวยั ปฉัณณธาตุอตสิ าร รตั ตธาตอุ ติสาร มุศกายธาตอุ ติสาร และกาลธาตอุ ติสาร ประดงเพลิง อาการกอนมีระดูอันเกิดขึ้นเปนประจำทุกเดือนของสตรีแตละคน อาการน้ีอาจเกิด ประเมหะ ๒๐ จากแหลงท่ีมาของโลหิตระดู ซึ่งจำแนกได ๕ ประการ คือ โลหิตเกิดแต หัวใจ (หทยัง ชาตัง) โลหิตเกิดแตขั้วดี (ปตตัง ชาตัง) โลหิตเกิดแตผิวเนื้อ (มังสัง ชาตัง) โลหิตเกิดแต ปวง เสน เอน็ (นหารู ชาโต) และโลหิตเกิดแตก ระดูก (อัฏฐกิ ัง ชาตงั ) โลหิตจากแตล ะแหลง น้ี อาจทำใหเกิดอาการกอนมีระดุที่แตกตางกันไปและเมื่อระดูมาแลวอาการเหลาน้ัน ปว ง ๕ ประการ กจ็ ะหายไป, ปกติโลหิตกเ็ รยี ก ปว งนำ้ วัยตน แพทยแ ผนไทยนับตัง้ แตแ รกเกิดจนถึงอายุ 16 ป ดูเพ่ิมเติมท่ี อายสุ มฏุ ฐาน ปว งลม ประดงประเภทหน่ึง ผูปวยมีเม็ดสีแดงยอดสีดำผุดขึ้นตามผิวหนัง เหมือนไขระบุชาติ ปวงวานร ทำใหส ะบัดรอ นสะทา นหนาว เช่ือมมัว กระหายนำ้ ปวงหิว ๑. ตำราการแพทยแผนไทยฉบับหนึ่งไมปรากฏช่ือผูแตง มีเน้ือหาสำคัญกลาวถึงโรคที่ ปะฉณั ณะธาตุ เกิดจากน้ำปสสาวะ. ๒. เมือกมันหรือเปลวแข็ง ซึ่งมีลักษณะขุนขนคลายหนอง คัมภีร 394 มจุ ฉาปก ขนั ทกิ าวา มี ๒๐ ประการ ไดแก สนั ทฆาต ๔, องคสตู ร ๔, อุปทม ๔, ชำ้ รั่ว ๔ และไสดว น ๔ ช่ือโรคชนิดหน่ึง เกิดขึ้นเพราะธาตุในรางกายผิดปกติ พิษของโรคทำใหเกิดอาการไข ตา งๆ จำแนกได ๘ ประการ คือ ปวงงู ปวงลิง(มักกะฏา) ปว งลม ปวงศิลา ปว งนก หรือ ปว งลกู นก ปวงเลอื ด ปวงนำ้ ปว งโกษ(ปว งโกฐ) โรคปว งกลุมหนึง่ ซง่ึ ประกอบดวย ปวงนำ้ ปว งลม ปวงวานร ปวงสุนัข และปวงหวิ โรคปวงชนิดหน่งึ ผูปว ยมีอาการคล่นื ไส อาเจียนอยางรนุ แรง ผิวกายซดี เผือด สะบัดรอ น สะทานหนาว โรคปวงชนิดหนึ่ง ผูปวยมีอาการปวดเสียดทอง ทองเดิน จุกอก อาเจียนเปนน้ำลาย กระสับกระสาย รอ งครวญคราง โรคชนิดหนึ่ง ผูปวยมีอาการทองเดิน อาเจียน แนนหนาอก ริมฝปากเขียว ขอบตาซีด และมีกริ ยิ าอาการคลา ยลงิ มกั ยงิ ฟน ตัวงอ น่งั กอดเขา ช่ือโรคชนิดหน่ึง เกิดเพราะธาตุในรางกายไมปกติ พิษของโรคทำใหเกิดอาการตัวเย็น เปน เหน็บ เหง่ือตกมาก ลงทอง อาเจียน ใจหวิว และสนั่ เปน ตน โบราณกรรมอติสารชนิดหนึ่ง ตำราการแพทยแผนไทยไมระบุวาเกิดจากความผิดปรกติ ของธาตุใด ผูปวยมีอาการทองเสีย ถายอุจจาระเปนน้ำสีแดง นอกจากน้ี ยังมีอาการ
ปกวาอติสารํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแ ผนไทย ในศิลาจารกึ วัดพระเชตุพนวิมลมงั คลาราม (วัดโพธ)์ิ เลม 3 ปจ จุบันกรรม จุกเสยี ดทอง แนนในลำคอ เปนตน ปจฉมิ วยั โรคอติสารประเภทหน่ึง ผูปวยมีอาการทองเสีย ถายอุจจาระเปนสีขาวเหมือนน้ำขาว ปส สวาตอติสาร มีกล่ินเหมน็ เหมือนซากศพ นอกจากน้ี ผปู ว ยยังมีอาการกินขา วไมได น้ำลายเหนียว โรคอติสารประเภทหนึ่ง ผูปวยมีอาการทองเสียเฉียบพลัน ตำราการแพทยแผนไทยวา ปาง มีสาเหตุแตกตางกันไป แบงเปน 6 ชนิด ไดแก อุทรวาตอติสาร สุนทรวาตอติสาร ปาลติญาณะโรค ปส สยาวาตอติสาร กุจฉสิ ยาวาตอตสิ าร โกฎฐาสยวาตอติสาร และอุตราวาตอติสาร ปต ตะสมุฏฐาน วัยตอนปลาย วัยชรา แพทยแผนไทยนับต้ังแตอายุ 32 ปเปนตนไป แตในคัมภีร สมุฏฐานวินจิ ฉัยนบั ตัง้ แตอายุ 30 ปเปน ตน ไป ปต ตะอชิณะ ปจจุบันกรรมอติสารชนิดหน่ึง ตำราการแพทยแผนไทยวา เกิดจากการกินของแสลง ผูปวยมีอาการทองเสียอยางรุนแรง อาเจียนเปนสีเขียว หรือสีเหลือง โบราณเรียกวา ปต ตงั ปวง ตำราวา มี 5 ชนดิ ไดแก ปวงน้ำ ปวงลม ปว งวานร ปวงสุนขั และปว งหวิ เปน อำเภอ อาการมามโตมักเกิดในเด็กอาจเกิดจากสาเหตุตางๆ ไดหลายอยาง เชน ไขจับสั่นเรื้อรัง ผวิ เนอื้ ชาสาก โรคทาลัสซีเมีย ผูปวยมักมไี ขคลมุ เครอื เร้ือรังรวมดว ยจงึ มกั เรียก ไขป า ง ฝกาฬ ริดสดี วงประเภทหน่ึง เกดิ ในสมอง ผูป วยมีอาการมึน ปวด และหนกั ศีรษะมาก ท่ีต้ังหรือท่ีแรกเกิดของโรคอันเกิดจากดี แบงออกเปน ๓ อยาง ไดแก พัทธะปตตะ ฝกตุ ะนารายณ (น้ำดีที่อยูในฝกหรือในถุงน้ำดี) อพัทธะปตตะ (น้ำดีที่อยูนอกฝกหรือนอกถุงน้ำดี) ฝค รีบกรด และกำเดา (เปลวแหงความรอน หรือความรอ นทไ่ี ดจากการเผาผลาญในรา งกาย) อชิณธาตุโรคอติสารประเภทหนึ่ง เกิดจากปตตะทำใหเกิดโทษ ผูปวยมีอาการทองเสีย ฝด าวดาดฟา อยางแรงในเวลากลางวัน อุจจาระมีสีแดง กล่ินเหมือนปลาเนา นอกจากนี้ยังมีอาการ รอ นในอก สวิงสวาย มไี ข น้ำดี เปน องคประกอบ ๑ ใน ๑๒ สง่ิ ของธาตุน้ำ หมายถงึ ท่ตี ั้งแรกเกดิ ของโรค หรือสาเหตขุ องการเกดิ โรค อาการของโรคชนิดหน่ึง เนื้อตัวตาย ผิวหนังไมเรียบ เม่ือสัมผัสจะระคายเหมือนกานบัว ไมมีความรูส ึก เคลอ่ื นไหวไมไ ด โรคฝกลุมหนึ่ง ทำใหเกิดไขพิษ แบงออกเปน ๑๐ ชนิด คือ ฟองสมุทร เลี่ยมสมุทร ทามสมุทร ทามควาย ละลอกแกว กาลทูม กาลทาม มะเร็งตะมอย มะเร็งปากทูม และมะเร็งเปลวไฟฟา ฝวัณโรคชนิดหนึ่ง ผูปวยมีตอมกลัดหนองขึ้นภายใน เม่ือเร่ิมเปนมีอาการแนนหนาอก ซ่ึงมกั เกดิ ขนึ้ ตอนกลางคนื มีไข สะบัดรอนสะทา นหนาว กนิ ไมไดนอนไมห ลับ ฝวัณโรคชนิดหน่ึง ผูปวยมีตุมแข็งสีแดง ขนาดต้ังแตเมล็ดงา ถึงถ่ัวเขียวขึ้นที่ครีบล้ิน ตำราวาทำใหล้ินกระดางคางแข็ง เจ็บๆ คันๆ หากรักษาไมทัน ยอดฝแตกออก จะเปอย เปนขุม ลามไปทั่วล้ินท้ังดานบนและดานลาง อาจบวมทะลุไปถึงบริเวณใตคาง มีเลือด หนองไหล กลิน่ เหม็นเหมือนซากศพ อวัยวะภายในท่ัวรางกาย หากเกิดกับอวัยวะใดจะทำใหเจ็บปวดและฟกบวมบริเวณน้ัน ตำราวาเกิดจากกองอาโปธาตุ สมุฏฐาน 3 พิกัด พิการ (น้ำลาย เสมหะ และเลือด) 395
ชดุ ตำราภมู ปิ ญ ญาการแพทยแผนไทย ฉบับอนุรักษ ฝทันตกุฏฐงั ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยผูป วยมีไข สะบัดรอนสะทา นหนาว จุกแนนหนาอก อาเจยี น น้ำลายเหนียว หอบ สะอึก เทาบวม ถา ยเปนเลอื ดเปนหนอง เปน ตน ฝท นั ตะ ฝวัณโรคชนิดหน่ึง ผูปวยมีตอมกลัดหนองเกิดข้ึนที่กรามขางขวา ตำราวาเมื่อเริ่มเปนจะ ฝทนั ตะมลู า มีเม็ดฝขนาดเทาเม็ดขาวโพด สีแดง อาจแข็งเหมือนหูด พอแตกจะบาน ออกเหมือน ดอกลำโพง แลวเปอยลามเขาไปถึงในลำคอ ฝชนิดน้ีมีพิษรายแรงมาก หากรักษาไมหาย ฝธ นูทวน อาจถงึ ตายได ถาเปนท่ีกรามดา นซา ย เรียกวา ฝทันตะมุนลัง หรือทนั ตะมนุ ลัง ฝธนูธรวาต ดทู ี่ ฝทันตกฏุ ฐงั ฝธ รสตู ร ฝวัณโรคชนิดหนึ่ง ผูปวยมีตอมกลัดหนองเกิดข้ึนบริเวณกระพุงแกมทั้ง ๒ ขาง ตำราวา ฝป ลวก เม่ือเริ่มเปนจะมีอาการบวมแดงเร่ือๆ ในปาก กระพุงแกมจะบวมและนูนเปนแนวคลาย ฝฟองพระสมทุ ร ปลิงเกาะ ยอดฝจะบานออกเหมือนดอกลำโพง ภายในมีหนองและน้ำเหลือง ทำใหปวด ฝภ าชอน แสบปวดรอน ชา เปนตน สวนใหญผูปวยที่เปนโรคนี้มักเสียชีวิต ดังนั้น จึงควรรักษา ฝม ะเรง็ ทรวง ตง้ั แตเม็ดฝยังไมโ ผลอ อกมา ฝมานทรวง ฝวัณโรคชนิดหน่ึง ผูปวยมีตอมกลัดหนองเกิดข้ึนบริเวณสันหลัง ตำราวาเม่ือเริ่มเปน ฝยอดคว่ำ จะมีอาการบวมตามแนวสันหลัง หลังแข็ง ตึงทอง ทองบวมโต จุกเสียดแนน ฝร วงผ้งึ ภายในทอง เปน ตน 396 ฝวัณโรคชนิดหนึ่ง ผูปวยมักมีตอมกลัดหนองเกิดขึ้นที่บริเวณทรวงอกและสันหลัง ตำราวา เมื่อเร่มิ เปน จะมอี าการเจบ็ หนา อก ปวดขบถงึ สนั หลงั ปวดเมื่อยตามตัว วิงเวียน อจุ จาระ ปส สาวะขดั ทองอดื เฟอ จุกเสียดแนน ซบู ผอม กนิ อาหารไมร รู ส เปน ตน ฝวณั โรคชนดิ หน่งึ ผปู วยมตี อ มกลัดหนองเกดิ ข้ึนภายใน ตำราวาเม่อื เริ่มเปน จะมีอาการ ปวดสนั หลังเสียดในทอ ง ซบู ผอม กนิ ไมได เปน ตน ช่ือโรคชนิดหนึ่ง มีอาการเจ็บในทรวงอกถึงสันหลัง ไอแรง อาเจียนเปนโลหิตมีหนอง ออกมาดว ย บริโภคอาหารไมไ ด ทำใหผอมซดี นอนไมห ลบั เปน ตน ฝวัณโรคชนิดหน่ึง ผูปวยมีตอมนูนข้ึนคลายหลังเบ้ียท่ีบริเวณตนคอ แลขากรรไกร ตำรา วาจะมีอาการเจ็บคอมาก กินดื่มไมได หากรักษาไมหายจะกลัดหนอง ทำใหผูปวยมีไข เช่อื มมวั เปน ตน ฝชนดิ นี้รกั ษาได ไมร ายแรงถึงตาย ฝวัณโรคชนิดหน่ึง ผูปวยมีตอมกลัดหนองซึ่งทำใหบวมเปนลำตามเกลียวปตฆาต ตำรา วาเมื่อเรม่ิ เปน จะมีไข ขนลุก ตัวแข็ง ขยับตวั ไมได เปนตน ชื่อโรคฝชนิดหน่ึง อาการของโรคเริ่มจากวัณโรคทรวงอก แลวลามกระจายไปท่ัวตัว มีอาการไอ หอบ จุกเสียด แนนในอกลงทองถึงมูกเลือด ซูบผอม ไมมีแรง และปวด ตามขอ เปน ตน ฝวัณโรคชนิดหนึ่ง ผูปวยจะมีตอมกลัดหนองเกิดขึ้นบริเวณทรวงอก ตำราวาเมื่อเร่ิมเปน จะมีอาการยอก จกุ เสียด แนนหนา อก หายใจขดั ไอ มีเสมหะ ซบู ผอม เปนตน ฝวัณโรคชนิดหนึ่ง ผูปวยมีตอมกลัดหนองเกิดข้ึนบริเวณทองนอย ตำราวาเม่ือเริ่มเปน จะมีอาการปวดบริเวณทองนอยไปจนถึงทวารหนักและหนาสะโพก ปวดมากเวลา กลางคนื สะบัดรอ นสะทานหนาว เปน ตน ฝวัณโรคชนิดหน่ึง ผูปวยมีตอมกลัดหนองเกิดขึ้นบริเวณชายโครงดานขวา ตำราวา
ฝร าหกู ลนื จนั ทรํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยตำราการแพทยแผนไทย ในศิลาจารึกวดั พระเชตพุ นวมิ ลมังคลาราม (วัดโพธ)์ิ เลม 3 ฝส ทุ วาต ฝส วุ รรณเศยี ร เม่ือเร่ิมเปน จะมีอาการแนนชายโครงดานขวา ยอกตลอดแนวสันหลัง ตัวเหลือง ฝอุรักกะวาต ตาเหลือง ปสสาวะเปนสีเหลืองเขม มีไข สะบัดรอนสะทานหนาว เมื่อยตามขอกระดูก พยาธชิ ่อื กัณณะ กินไมไ ด เปน ตน พยาธิชอ่ื ปรุ ะธาตุบท ฝวัณโรคชนิดหนึ่ง ผูปวยมีตอมกลัดหนองลักษณะคลายดวงจันทรเกิดข้ึนที่บริเวณ โคนล้ิน แตเมื่ออาปากจะมองเห็นเพียงครึ่งเดียว (เนื่องจากอีกครึ่งหนึ่งจะอยูดานหลัง) พยาธิชื่อพะละพะหะ นอกจากนี้ จะมีอาการคอบวม เมื่อกินหรือดื่มจะสำลักข้ึนจมูก หากเปนมากคอจะบวม แดงมาก มีหนอง และนำ้ เหลอื ง พูดไมได เปน ตน ควรรักษาต้ังแตเม่ือเรม่ิ เปน ฝวัณโรคชนิดหน่ึง ผูปวยมีตอมเกิดข้ึนที่ข้ัวกระเพาะปสสาวะ ตำราการแพทยแผนไทย วา จะมอี าการตางๆ เชน บวม แข็ง ตามฝเยบ็ ปส สาวะหยดยอย ปสสาวะขดั ปส สาวะ เปนลิ่มเลือดหรือเปน หนอง ชอ งปสสาวะอาจบวมแดงแตกเปน เลอื ดเปนหนอง เปนตน ฝวัณโรคชนิดหน่ึง มีลักษณะคลายจอกหูหนู สีเหลือง เกิดขึ้นที่สมอง ตำราการแพทย แผนไทยวา เมื่อเร่ิมเปน จะมีอาการเมอื่ ยตนคอถึงกระหมอ ม ตามดื หตู ึง ปวดศรี ษะมาก เจ็บตามเสนขน รอนในกระหมอม กระบอกตา และชองหู หากฝกลายเปนหนองแลว ผูปวยจะมีไข สะบัดรอนสะทานหนาว คล่ังเพอไมมีสติ เมื่อหนองแตกออก จะไหลออก ทางตาและหู ถา หนองไหลออกทางใด อวยั วะน้นั กจ็ ะเสยี การทำหนา ท่ไี ป ฝวัณโรคชนิดหนึ่ง ผูปวยมีตอมเกิดขึ้นบริเวณกระดูกสันหลัง ตำราวาเม่ือเริ่มเปนจะมี อาการจุกเสียด แนน อุจจาระปสสาวะขัด บางคร้ังอาจมีอาการทองเสีย เปนบิด มีมูกเลือดปน ปวดมวนทองมาก เจ็บหนาอก และชายสะบัก ปวดตามเนื้อและกระดูก ท่วั ตวั มไี ข สะบัดรอ นสะทานหนาว กนิ ไมได นอนไมหลับ เปนตน โรคตานชนิดหนึ่ง เปนโรคแทรกขณะท่ีเปนโรคซางโจรอยูแลว หรือ บังเกิดขึ้นเนื่องจาก โรคซางโจรอาการของโรค เปนตัวพยาธิเล็กด่ังตัวไรเขาไปเกาะกินอยูในเนื้อ และเลย เขาไปในกระดูกสันหลัง สมอง เสนเอ็น กระเพาะ และลำไส ทำใหมีอาการขัดเปนนิ่ว ทองใหญ ไสพอง นัยนตาฟางถึงมืด ปวดมวนทอง ลงทองถึงมูกเลือด รางกายซูบผอม เปนตน โรคตานชนิดหน่ึง บังเกิดข้ึนเนื่องจากโรคซางเพลิง หรือเปนโรคแทรกขณะท่ีเปน โรคซางเพลิงอยูแลว บังเกิดตัวพยาธิช่ือ ปุระธาตุบทกอน อาการของโคเร่ิมจากลงทอง ถึงตกโลหิต ตัวเหลือง ออนเพลียมาก อยากกินของสดคาว จากนั้นจะเกิดพยาธิขึ้นใน รางกาย ตัวพยาธิช่ือปตฉันนะ(ปกสันนะธาตุ) เกาะกินในชองจมูก ทำใหจมูกตึงและ เหม็นเนา จากนั้นก็ลามไปถึงโคนล้ิน ทำใหคอแหง บริโภคอาหารไมได ถาจะรักษา ตอ งแกท ่ลี นิ้ และคอกอน จากนั้นจงึ แกใ นทางโลหติ ตอ ไป โรคตานชนิดหน่ึง เปนโรคแทรกขณะท่ีเปนโรคซางแดงอยูแลว หรือบังเกิดข้ึนเนื่องจาก เปนโรคซางแดง และเม่ือสิ้นสุดเขตซางแดงแลว ตัวพยาธิจะบังเกิดข้ึนในลำไสตอนขาง ในสะดือดานซาย ตัวมีลายคลายเอือนปลา มีเมือกหรือเสมหะหอหุมตัวอยูขนาดโตเทา ผลมะขามปอม เม่ือเกิดเปนข้ึนแลว ทำใหมีอาการเจ็บ และเสียดทอง ถานานถึง ๓ เดือนแลว จะทำใหล งทอ ง ตกมูกเลือดใสด่ังน้ำลางเน้อื ปวดมวนเปนกำลงั เบง จนถงึ ดากอออกรางกายผอมเหลืองซดี อยากกนิ ของเผ็ดเค็มและสดคาวจากนน้ั จะมเี มด็ ผุดขึ้น พรึงไปท้ังตัว เหมือนโรคประดง เมื่ออาการถึงระดับนี้แลว โทษของโรคซางแดงก็บังเกิด 397
ชดุ ตำราภูมปิ ญ ญาการแพทยแผนไทย ฉบับอนรุ ักษ พยาธิชอ่ื มุศกายะธาตุ ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยข้ึนเรียกวา โจรซางแดง โรคซางแดงซึ่งมีแมซางข้ึนอยูท่ีตนลิ้นจะกำเริบขึ้น ทำใหบริโภค อาหารไมได บางทีจะมีอาการล้ินกระดางคางแข็ง สวนแมซางซ่ึงอยูท่ีหูกอนนั้น ก็จะ พยาธชิ ื่อรตั ชะกะ ทำใหเจ็บหู เปนน้ำหนวก แมซางท่ีตาก็ทำใหตาเจ็บ เปนเกล็ดกระดี่ และบังเกิดเปนตอ พยาธิชอ่ื วรรณณะ กนหอยขึ้น แตกภายใน ๗ วัน แมซางท่ีหนาแขง มีรากดุจสิวเส้ียน ทำใหหนังหนาแขง พยาธิชือ่ สันตาธาตุ แข็งเหมือนหนังกระเบน ถารักษาหายแลว ๗-๙ วันจะบังเกิด พยาธิข้ึนอีกชนิดหน่ึง พยาธชิ ่ือสุจมิ กุ ขกาลหริ ะ ช่ือพรหมกิจ เกิดข้ึนในลำไส ตัวเหมือนไร ปากดำ ทำใหเกิดอาการกินอาหารไมรูอิ่ม อุจจาระมาก ขาวเหม็น ตาฟาง มักชอบบริโภคของสดคาว พยาธิชนิดน้ีรักษายาก พยาธิชอื่ อมลุ ธาตุ แมหายแลว เมื่ออายุสูงวัยขึ้นก็มักเปนโรคริดสีดวงแหง การรักษาโรคตานซางชนิดนี้ หา มวางยาผาย จงใชแตยาชำระลำไส แตอยา เขา สลอด พยาธชิ ือ่ อทุ ราธาตุ โรคตานชนิดหน่ึง เปนโรคแทรกขณะที่เปนโรคซางโคอยูแลว หรือบังเกิดขึ้นเน่ืองจาก ฟองสมทุ ร เปน โรคซางโค ทำใหม ีเมด็ ผดุ ข้ึนท้งั ตัวเหมือนหัด มีอาการคนั ยอดขาวแตไ มม ีน้ำ ขน้ึ อยู มหาสนั นิบาต ๘-๙ วัน ก็จมลงไปทำใหลงทองใสดังน้ำลางเนื้อ ชอบบริโภคของสดคาว เปนอยู ๒-๓ 398 เดือน แมซางซ่ึงข้ึนที่ล้ินกอนน้ันจะกำเริบข้ึน เม็ดโตขนาดเมล็ดเดือยและแข็งดังตาปลา ดังไขระบุชาด ทำใหตัวรอนมีไข มือเทาเย็น กระหายน้ำ มีอาการหอบ ลิ้นกระดาง คางแข็ง เปน ตน โรคตานชนดิ หนึ่ง อาการของโรคเหมือนพยาธิ ชอ่ื กัณณะ ดเู พิม่ เติมที่ ตานโจร โรคตานชนดิ หนงึ่ อาการของโรค เหมือนพยาธชิ อื่ กัณณะ ดเู พมิ่ เติม ตานโจร โรคตานชนิดหนึ่ง เปนโรคแทรกขณะที่เปนโรคซางน้ำอยูแลว หรือบังเกิดข้ึนเนื่องจาก เปน โรคซางน้ำ ทำใหต วั เยน็ ทอ งขน้ึ ปส สาวะขาวดจุ น้ำขา วหรอื น่ิวน้ำนม เปนตน โรคตานชนิดหนึ่ง เปนโรคแทรกขณะที่เปนโรคซางชาง และซางอื่นๆ ไดทุกซาง หรือ บังเกิดเปนข้ึนเน่ืองจากเปนโรคซางชางหรือซางชนิดใดชนิดหน่ึงอยูแลว มีอาการ ตัวพยาธิเกิดอยูในลำไสขนาดเทางูเล็กหรือ ไสเดือน เมื่อเปนข้ึนแลว ทำใหรางกาย ซูบผอม ทองโร บริโภคอาหารไมรูอ่ิม ทำใหจุกเสียดในทอง หากเปนมานานประมาณ ๑ เดือน มักจะด้ิน และเสือกตัวไปมา ทำใหทองล่ัน บางท่ี ออกมาทางปาก ทวารหนัก และมอี าการไข ตัวรอ น จบั เปนเวลา ตาแดงเปนสายโลหิต เปน ตน โรคตานชนิดหนึ่ง เปนโรคแทรกขณะที่เปนโรคซางอยูแลว หรือบังเกิดขึ้นเพ่ือโรคซาง ตั้งข้ึนใน ลำไสใตสะดือ ขนาดเทาเมล็ดขาวโพด ต้ังอยู ๙-๑๐ วัน ก็แตกออก ทำให ลงทองเปนน้ำคาวปลา ตกโลหิตเปนกอนมีอาการกระหายน้ำ ตัวรอน เชื่อมซึม เบื่ออาหาร ซูบผอม เปนตน โรคตานชนิดหน่ึง อาการของโรคเกิดในอุทร (ทอง) มีอาการทำใหรางกายผอม หอบ เชื่อมซึม ถาเปนนาน ๓-๔ เดือน จำทำใหไสพอง ทองใหญ บางท่ี ก็ตับบวมใหญ จนคบั โครง ฝกาฬชนิดหนึ่ง ผูปวยจะมีเม็ดฝขนาดต้ังแตเมล็ดงาถึงเมล็ดถั่วดำผุดขึ้นในปากและคอ เรียก ฝฟองสมุทร เม่ือรุนแรงข้ึนผูปวยกิดื่มไมได สะบัดรอนสะทานหนาว มีไขสูง เรียก ไขฟองสมุทร สนั นิบาตที่มีอาการรนุ แรงอันเกดิ จากกองธาตุทั้ง ๔ รวมกนั กระทำใหเ กิดโทษ ดเู พ่ิมเติม ที่ สนั นบิ าต
มองครอํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแ ผนไทย ในศิลาจารกึ วัดพระเชตพุ นวิมลมงั คลาราม (วดั โพธิ)์ เลม 3 มะเร็ง ๑. โรคระบบทางเดินหายใจประเภทหน่ึง ผูปวยมีเสมหะเหนียวขนอยูในชองหลอดลม มะเร็งคดุ ทำใหมีอาการไอเรื้อรัง ๒. ในทางการแพทยแผนปจจุบันหมายถึงโรคหลอดลมโปงพอง มะเรง็ ตะมอย มเี สมหะในชองหลอดลม ทำใหม อี าการไอเร้อื รัง โดยเฉพาะเมอ่ื นอนราบ ๑. โรคเร้ือรังกลุมหนึ่ง ผูปวยมักมีแผล ผื่น ตุม กอน เปนตน อาจผุดขึ้นตามสวนตางๆ มะเรง็ ปากทมู ภายในหรือภายนอกรางกาย ตำราการแพทยแผนไทยแบงเปนหลายประเภท เชน มะเร็งไร มะเร็งตะมอย มะเรง็ ทรวง มะเร็งชาง หากผปู ว ยมีอาการไขรวมดวย มักเรยี กไข มะเร็งเพลงิ มะเร็ง เชน ไขมะเร็งปากทูม ไขมะเร็งปากหมู ไขมะเร็งเปลวไฟฟา หรือถาผูปวยมีผีรวม มะเรง็ ไร ดวย จะเรียกฝมะเร็ง เชน ฝมะเร็งทรวง ฝมะเร็งฝกบัว ฝมะเร็งตะมอย ๒. ในทางการ มะเรง็ ลาม แพทยแผนปจจุบัน หมายถึง เนื้องอกชนิดราย เกิดขึ้นเพราะเซลลแบงตัวอยางรวดเร็ว ควบคุมไมได แลวแทรกไปตามเน้ือเยื่อขางเคียง และสามารถหลุดจากแหลงเริ่มตนไป มะสรุ ิกาโรค ๘ ประการ แบงตวั เพิ่มจำนวนทีบ่ ริเวณอ่ืนๆ ได รกั ษาไมค อ ยหาย มัชฌิมวยั มะเร็งชนิดหน่ึง มีสาเหตุมาจากคุดทะราด ฝดาษ เขาขอ เม่ือเริ่มเปนทำใหเม่ือย มัตถเกมัตถลงุ คัง ในขอกระดกู บวมตามแขน ขา มือ เทา บางทีท่ีบวมนน้ั แตกออกเนา เปอยเปนน้ำเหลือง ไหล ฝกาฬชนิดหน่ึง ผูปวยมีฝ ซึ่งอาจมีขนาดโตเทาหัวแมมือผุดขึ้นตามตัว และ/หรือ ตาม แขนขา เรียกฝมะเร็งตะมอย จะทำใหผูปวยมีไขสูง เรียก ไขมะเร็งตะมอย ถาเม็ดฝ มีสีโคนสีขาว หัวสีดำ จะทำใหผูปวยมีอาการรุนแรงมาก และหากเม็ดฝแตกออกหรือ รกั ษาไมห ายจะกลายเปน มะเร็ง ฝก าฬชนดิ หน่ึง ผปู ว ยมีฝข นึ้ บริเวณหลังขา งใดขา งหน่งึ หรือท้งั 2 ขาง ฝน ีม้ ียอดสคี ราม เรยี กฝม ะเร็งปากทูม ผูปวยมไี ขสูง เรียก ไขม ะเร็งปากทมู ถา รกั ษาไมห าย ฝจ ะแตกออก มีลักษณะเหมือนปากหมู เรียก มะเร็งปากหมู และเรียกฝนี้วา ฝมะเร็งปากหมู หากมี อาการไขส งู มากรวมดว ย เรียก ไขมะเร็งปากหมู โรคมะเร็งชนิดหน่ึง เมื่อเริ่มเปนผูปวยมีอาการผิวแดงเหมือนถูกไฟ หรือเปนตุมขึ้นแลว เปอยลามออกไป ทำใหรอ นบริเวณท่เี ปน โรคมะเร็งชนิดหน่ึง ผูปวยมีตุมคลายหิดขึ้นตามผิวหนัง มีอาการคันมาก มักเกาจน เลือดซึม อาการไมรุนแรงถึงชีวิต แตรักษาใหหายขาดยาก ตำราการแพทยแผนไทย วา เกดิ จากพยาธิคลา ยตวั ไร มะเร็งชนิดหน่ึง เกิดไดหลายลักษณะ ไดแก เกิดเปนตุมแลวแตกออกเปอยลามไป หรือ รา งหายถกู กระทบทำใหฟ กชำ้ แลว เปอ ยลามออกไป หรือเกดิ จากเปน วณั โรค แลว รกั ษา ไมหายกลายเปนแผลเร้ือรัง แลวกลายเปนมะเร็งลาม ทำพิษใหเจ็บปวดมาก น้ำเหลือง ไหลไปถึงบรเิ วณใด จะทำใหเ ปนแผลเปอ ยลามถึงท่นี ั่น ชื่อโรค มีอาการตามผวิ กายแดงพองเปนแผน ขึน้ ท้งั ตัว วัยกลางคน แพทยแ ผนไทยนบั ตั้งแตอ ายุ ๑๖ ปขึ้นไปจนถงึ ๓๒ ป แตในคมั ภีรสมุฏฐาน วนิ จิ ฉัยนบั ต้งั แตอ ายุ ๑๖ ปข นึ้ ไปจนถึง ๓๐ป มนั สมอง เปน องคประกอบ ๑ ใน ๒๐ สิ่งของธาตุดนิ 399
ชดุ ตำราภมู ิปญญาการแพทยแผนไทย ฉบับอนรุ กั ษ มนั ทธาตุ ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยธาตุหยอน ตำราการแพทยแผนไทยแบงเปน ๔ ประเภท ไดแก มันทอาโป (ธาตุน้ำหยอน) มันทเตโช (ธาตุไฟหยอน) มันทปถวี (ธาตุดินหยอน) และมันทวาโย มานกระษยั (ธาตุลมหยอน) ลักษณะมันทธาตุนั้นยิ่งไปดวยเสมหะมีกำลัง คือ ไฟธาตุหยอน มานเลือด, มานโลหิต เผาอาหารมิไดยอย กระทำใหลงไปวันละ 3-4 เวลา ใหสวิงสวาย ถอยแรงยิ่งนัก มุตกิด ๔ กระทำใหทองข้ึนมิรูวาย อุจจาระเปนเมือกมันเปนเปลวหยาบละเอียดระคนกัน ใหปวดมวนทองมากโทษทั้งนีเ้ กิดแตก องทวาทศอาโปใหเ ปน เหตุ มตุ ฆาต ๔ ดทู ี่ กระษัยล้ินกระบอื โรคชนิดหน่งึ เกิดจากความผดิ ปกตขิ องระดู ทำใหม อี าการทองบวม แบง ตามสาเหตขุ อง มตุ ตงั การเกิดโรคออกเปน ๔ ประเภท ไดแก มานโลหิตเกิดจากระดูราง ระดูขัด มานโลหิต มศุ กายธาตอุ ตสิ าร เกิดจากระดตู กหมก มานโลหิตเกิดจากโลหิตระดเู นา มานโลหิตเกิดจากโลหิตจาง มตู รอตสิ าร ช่อื โรคชนดิ หนงึ่ เปน กับหญงิ อาการของโรคจะมรี ะดขู าว ลกั ษณะเหมอื นน้ำปสสาวะขนุ เมอ่ื ยขบ ขนไหลออกมาแถบขอบปากทวาร มีเม็ดผุดข้ึน หรือแผลคันเปอยแสบ และเหม็นคาว ทำใหมีอาการปวดเม่ือยบริเวณชายกระเบนเหน็บ เสียมดลูกและมักจะเปนลม หนามืด เวียนศีรษะ เบ่ืออาหาร เปนตน ลักษณะของโรคมุตกิดมี ๔ ชนิด คือ ๑. เบาเปนหนอง คือ น้ำปสสาวะสีเหมือนโลหิตช้ำ และ เหมือนน้ำปลาเนา ๒. เบาเปนน้ำคาวปลา คือ น้ำปสสาวะ เปนโลหิตจาง เหมือนน้ำซานหาก หรือน้ำลางปลา ๓. เบาดั่งน้ำซาวขาว คือ น้ำปสสาวะเปนน้ำหนองจาง เหมือนน้ำซาวขาว ๔. เบาขาว คือ น้ำปสสาวะ เปนเมือกคลองๆ ขัดๆ หยดยอย เหมือนน้ำมูกไหลออกมา อาการของโรคมุตกิดจะ เหมือนกับโรคมุตฆาต ท้ังน้ีอาจเปนเพราะแยกไมออกวา น้ำท่ีไหลออกมาจากชองคลอด หรือชองปสสาวะ เพราะโดยทั่วไปจะมีอาการเหมือนกัน คือ ปวดหัวเหนา เจ็บ ขดั สะโพก แสบในอก บรโิ ภคอาหารไมรรู ส เปนตน ชื่อโรคชนิดหนึ่ง อาการของโรคเก่ียวกับน้ำปสสาวะผิดปกติหรือพิการ ตำราการแพทย แผนไทยวาเกิดจากการกระทบกระท่ัง เชน จากอุบัติเหตุ เพศสัมพันธ เมื่อผูปวย ปสสาวะจะมีอาการเจ็บปวดมาก น้ำปสสาวะเปนหนองและเลือด ปวดเมื่อยที่สะโพก และกระเบนเหน็บ จุกเสียดบริเวณหนาอก อาเจียนเปนลมเปลา เบ่ืออาหาร เปนตน ลักษณะของนำ้ ปส สาวะที่เปน โทษมี ๔ ประการ เหมอื นกบั โรคมตุ กดิ ดเู พิม่ เตมิ ที่ มตุ กิด น้ำปสสาวะ เปน องคป ระกอบ ๑ ใน ๑๒ ส่ิงของธาตุนำ้ โบราณกรรมอติสารชนิดหน่ึง ตำราการแพทยแผนไทยวา เกิดจากธาตุน้ำ หรือจากการ กินอาหารแสลง ผูปวยจะมีอาการทองเสีย ถายอุจจาระเปนเสมหะและเลือดเนา มกี ลนิ่ เหม็นเหมือนซากศพ โรคที่ผูปวยมอี าการทอ งเสยี อยางรุนแรง ถา ยอจุ จาระเปนนำ้ เปน มกู เปน เลอื ด อจุ จาระ มีกล่ินผิดปรกติ ตำราการแพทยแผนไทยแบงเปน ๒ ประเภท คือ โบราณกรรมอติสาร และปจจบุ ันกรรมอติสาร โรคอยางหนึ่งเกิดจากอาการออนเพลียของกลามเนื้อ ทำใหปวดเหมือนมีอะไรมาบีบ มากดอยูตรงนน้ั 400
แมซ างํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแผนไทย ในศลิ าจารึกวดั พระเชตุพนวมิ ลมังคลาราม (วดั โพธิ)์ เลม 3 แมซอ้ื เม็ดพิษผุดข้ึนมาตามสวนตางๆ ของรางกาย เปนกลุม กับ มีบริวารกระจายอยูโดยรอบ รตั ตฆาต บริเวณที่แมซางข้ึนจะเปนสวนท่ีมีพิษมาก และมีอาการตางๆ กันตามลักษณะของซาง รัตตธาตุอติสาร แตละชนิด แพทยโบราณใหขอสังเกตไววา โรคซางที่เปนกับเด็กนั้น มีลักษณะอาการ รัตตปต ตะโรค ของโรคตางกานตามวันเกิดของเด็ก กับยังมีโรคหละ ละออง และลมเกิดเพ่ือซางประจำ วันตางๆ อีกดวย โดยกำหนดขอบเขตชวงอายุของเด็กกับโรคไวดังน้ี ๑. เด็กท่ีเกิด วันอาทิตย ซางเจาเรือนคือซางเพลิงหรือซางไฟ มีซางจรคือ ซางกรายหละช่ืออุทัยกาฬ ละอองชือ่ เปลวไฟฟา ลงไมไดก ลา วไว เม่ือเด็กอายุได ๒ ป เดือน ๖ วนั ก็จะพน จากโทษ ของซางเพลิง ๒. เด็กท่ีเกดิ วันจันทร ซางเจา เรอื นคือซางน้ำ มีซางจรคอื ซางฝาย หละช่ือ และพระจันทร ละออกชื่อแกววิเชียร ลมไมไดกลาวไว เมื่อเด็กอายุ ๒ ป ๑๕ วัน ก็จะ พนจากโทษของซางน้ำ ๓. เด็กที่เกิดวันอังคาร ซางเจาเรือนคือ ซางแดง มีซางจร คือ ซางกระแหนะ หรือซางหระแนะ หละช่ืออุทัยกาฬละอองชื่อ แกวมรกต ลมช่ืออุทรวาต เม่ือเด็กอายุได ๕ ป กับ ๘ วัน ก็จะพนโทษของซางแดง ๔. เด็กที่เกิดวันพุธ ซางเจา เรือนคอื ซางสะกอ มซี างจรคอื ซางกระตัง หละชือ่ เนระกนั ถี ละอองชอ่ื แสงเพลงิ ลมช่อื สนุ ทรวาต เมอื่ เด็กอายไุ ด ๒ ป ๗ เดอื นกับ ๑๗ วนั ก็จะพน โทษของซางสะกอ ๕. เดก็ ท่ี เกิดวันพฤหัสบดี ซางเจาเรือนคือซางโค มีซางจร คือ ซางขาวเปลือก หละช่ือนิลกาฬ ละอองช่ือมหาเมฆ ลมช่ือหัศคินี เมื่อเด็กอายุได ๓ ป ๑๑ เดือน กับ ๑๙ วัน ก็จะพน จากโทษของซางโค ๖. เด็กที่เกิดวันศุกร ซางเจาเรือนคือซางชาง มีซางจรคือ ซาง กระดกู หละชือ่ แสงพระจันทร ละอองชอื่ แกววเิ ชียร ลมชื่ออริต เมอ่ื เด็กอายุได ๓ ป ๔ เดือน กับ ๒๑ วัน ก็จะพนจากโทษของซางชาง ๗. เด็กท่ีเกิดวันเสาร ซางเจาเรือนคือ ซางโจร มีซางจร คือ ซางนางริ้น หละชื่อมหานิลกาฬ ละอองช่ือเปลวไฟฟาหรือทับทิม ลมชือ่ ลมกมุ ภณั ฑ ลมบาดทะยกั ลมจำปราบเมอ่ื เดก็ อายไุ ด ๕ ป ๓ เดอื น กับ ๑๐ วัน กจ็ ะพนจากโทษของซางโจร เทวดาหรือผีที่เชื่อกันวาทำหนาท่ีดูแลรักษาเด็กทารก ตำราการแพทยแผนไทยวา มีแมซื้อจรและแมซื้อประจำวันท้ัง ๗ วัน โดยแตละตนมีช่ือและที่อยูดังนี้ แมซื้อประจำ เด็กเกิดวันอาทิตยช่ือ วิจิตรนาวรรณ หรือวิจิตรนาวรร อยูบนจอมปลวก, แมซื้อประจำ เด็กเกิดวันจันทรชื่อ วัณณานงคราญ อยูที่บอน้ำ, แมซื้อประจำเด็กเกิดวันอังคารชื่อ นางยกั ษบรสิ ทุ ธ์ิ อยทู ่ีศาลเทพารกั ษ, แมซอื้ ประจำเดก็ เกิดวันพุธชอ่ื สามลทรรศน อยทู ่ี ตน ศรีมหาโพธ์,ิ แมซือ้ ประจำเด็กเกิดวนั พฤหัสบดชี ือ่ กาโลทุก หรอื กาโลทุกข อยูท่ีสระ น้ำหรือบอน้ำใหญ, แมซ้ือประจำเด็กเกิดวันศุกรชื่อ ยักษนงเยาว อยูที่ตนไทรใหญ และ แมซ้ือประจำเด็กเกิดวันเสารชื่อ เอกาไลย อยูท่ีศาลพระภูมิ, แมวี ก็เรียก ถาแมซ้ือ กระทำโทษจะทำใหผูป วยมอี าการตางๆ เชน อาเจยี น เสยี งแหบแหง ผวิ ซดี เปนตน ๑. เสนเลือดแดงใหญบริเวณขาหนีบเสนขางขวา เรียก รัตตฆาตขวา เสนขางซาย เรียก รัตตฆาตซาย. ๒. เสนบริวารของเสนอิทา และเสนปงคลา แลนจากบริเวณขอบกระดูก เชิงกราน ตรงขึน้ ไปถงึ บรเิ วณตน คอ มี ๒ เสน แนบขนานไปกับกระดูกสันหลงั เสน ขา ง ขวา เรยี ก รตั ตฆาตขวา เสน ขา งซาย เรยี ก รตั ตฆาตซาย, รัตฆาต หรอื รัตฆาฏ ก็เรยี ก โบราณกรรมอติสารชนิดหนึ่ง ตำราการแพทยแผนไทยวา เกิดจากธาตุดิน ผูปวย มอี าการทอ งเสีย ถายอุจจาระเปนสแี ดงคล้ำ หรือสีเขียว มเี สมหะปน โรคชนดิ หนึ่ง เกดิ จากโลหติ ระคนดว ยวาตะ เสมหะ และปตตะ ผปู ว ยจะมเี ลอื ดออกตาม อวัยวะตา งๆ ของรางกาย รักษายาก 401
ชุดตำราภูมปิ ญ ญาการแพทยแ ผนไทย ฉบบั อนรุ กั ษ ราหูกลนื จันทรํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยฝวัณโรคชนิดหนึ่ง ผูปวยมีตอมกลัดหนองลักษณะคลายดวงจันทรเกิดข้ึนท่ีบริเวณ รำมะนาด โคนล้ิน แตเม่ืออาปากจะมองเห็นเพียงครึ่งเดียว (เน่ืองจากอีกครึ่งหนึ่งจะอยูดานหลัง) รดิ สีดวง นอกจากนี้ จะมีอาการคอบวม เม่ือกินหรือด่ืมจะสำลักข้ึนจมูก หากเปนมากคอจะบวม โรหินี แดงมาก มหี นอง และน้ำเหลือง พูดไมไ ด เปนตน ควรรักษาตัง้ แตเม่ือเร่ิมเปน ฤดู ๓ โรคชนดิ หน่งึ เกดิ ตามรากฟน ทำใหเหงอื กบวม อักเสบเปนหนอง โรคกลุมหนึ่ง เกิดไดกับอวัยวะตางๆ ของรางกาย เชน ตา จมูก ลำไส ทวารหนัก ฤดู ๔ ตำราการแพทยแผนไทยวามี ๑๘ ชนิด แตละชนิดมีอาการและช่ือเรียกแตกตางกันไป บางชนิดอาจมีต่ิงหรือกอนเน้ือเกิดข้ึนท่ีอวัยวะน้ัน เชน ริดสีดวงตา ริดสีดวงจมูก ฤดู ๖ รดิ สีดวงทวารหนกั เปน ตน โรคริดสดี วง ฤดูสมุฏฐาน การกำหนดฤดกู าลในรอบ ๑ ปเปน ๓ ฤดู ฤดูละ ๔ เดือน ตามหลักวชิ าการการแพทย ลมกุจฉิสยาวาต แผนไทยไดแ ก คมิ หันตฤดู (ฤดรู อ น) นบั ตง้ั แตแรม ๑ คำ่ เดือน ๔ ถงึ ข้นึ ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ วสันตฤดู (ฤดูฝน) นับต้ังแตแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ และ เหมนั ตฤดู (ฤดูหนาว) นับตงั้ แตแรม ๑ คำ่ เดอื น ๑๒ ถึงขน้ึ ๑๕ คำ่ เดอื น ๔ ฤดเู ปนท่ีตง้ั แหงการเกิดโรคอันเกิดจากสมุฏฐานตางๆ ที่ประจำในแตละฤดู เชน คิมหันตฤดู มกั ทำใหเ กิดความเจบ็ ปวยเนือ่ งจากสมุฏฐานเตโช การกำหนดฤดูกาลในรอบ ๑ ปเปน ๔ ฤดู ฤดูละ ๓ เดือน ตามหลักวิชาการแพทย แผนไทย ซง่ึ อาจกำหนดไวต างกนั ตำราเวชศึกษาแบง เปน ฤดูที่ ๑ นับตงั้ แตแรม ๑ คำ่ เดอื น ๔ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดอื น ๗ ฤดูท่ี ๒ นับตง้ั แตแ รม ๑ คำ่ เดอื น ๗ ถงึ ข้ึน ๑๕ คำ่ เดือน ๑๐ ฤดทู ่ี ๓ นับต้ังแตแรม ๑ คำ่ เดอื น ๑๐ ถงึ ข้ึน ๑๕ ค่ำ เดอื นอา ย และฤดทู ่ี ๔ นับต้ังแตแรม ๑ ค่ำ เดือนอาย ถึงข้ึน ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ สวนคัมภีรธาตุวิวรณ แบงเปน คิมหันตฤดู นับตั้งแตเดือน ๕ ถึงเดือน ๗ วสันตฤดู นับต้ังแตเดือน ๘ ถึงเดือน ๑๐ วสันตเหมันตฤดู นับตั้งแตเดือน ๑๑ ถึงเดือน อาย และเหมันตคิมหันตฤดู นับตั้งแต เดือนย่ี ถึงเดือน ๔ ฤดูเปนท่ีต้ังแหงการเกิดโรคอันเกิดจากสมุฏฐานตางๆ ที่ประจำใน แตละฤดู เชน วสนั ตเหมันตฤดู มกั ทำใหเ กิดความเจบ็ ปวยเนอื่ งจากสมฏุ ฐานอาโป การกำหนดฤดูกาลในรอบ ๑ ป เปน ๖ ฤดู ฤดูละ ๒ เดือนตามหลักวิชาการแพทย แผนไทย ไดแก ฤดทู ่ี ๑ (คิมหนั ตฤดู) นับตง้ั ตาแรม ๑ คำ่ เดือน ๔ ถงึ ข้นึ ๑๕ คำ่ เดือน ๖ ฤดทู ่ี ๒ (วสนั ตฤดู) นับต้งั แตแรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ ถึง ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ฤดูท่ี ๓ (วัสสาน ฤด)ู นบั ต้งั แตแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึงข้ึน ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ฤดูท่ี ๔ (สารทฤดู) นบั ตัง้ แต แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ถงึ ข้ึน ๑๕ คำ่ เดือน ๑๒ ฤดทู ่ี ๕ (เหมันตฤดู) นบั ตง้ั แตแ รม ๑ คำ่ เดอื น ๑๒ ถงึ ขึ้น ๑๕ คำ่ เดือนยี่ และฤดทู ่ี ๖ (ศศิ ิรฤดู) นับตง้ั แตแ รม ๑ ค่ำ เดือน ๒ ถงึ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ฤดเู ปน ท่ีต้ังแหงการเกิดโรค อนั เกิดจากสมฏุ ฐานตางๆ ทีป่ ระจำใน แตล ะฤดู เชน วัสสานฤดู มักทำใหเ กดิ ความเจ็บปวยอันเนอ่ื งมาจากลมและเสมหะ ฤดูเปนที่ต้ังหรือที่แรกเกิดของโรค ตำราการแพทยแผนไทยแบงออกเปน ๓ แบบคือ ฤดู ๓, ฤดู ๔ และ ฤดู ๖, อตุ สุ มฏุ ฐาน กเ็ รยี ก ลมพัดในทอ งแตพัดนอกลำไส เปน องคป ระกอบ ๑ ใน ๖ ชนดิ ของธาตุลม 402
ลมกุมภัณฑยักษํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแผนไทย ในศลิ าจารกึ วัดพระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม (วัดโพธ)ิ์ เลม 3 ลมจิตบุ าทวาโย ลมทนุ ยกั ษวาโย โรคลมมีพิษชนิดหนึ่ง ผูปวยมีอาการชักมือกำเทางอ หมดสติ โบราณวาถารักษาไมได ลมนริ ิยังยักษวาโย ภายใน ๑๑ วนั อาจถงึ แกความตาย ลมพานไส โรคลมจรชนิดหนึ่ง เกิดจากลมอโธคมาวาต เกิดบริเวณลำคอ ผูปวยมักจะเปนคางทูม ลมพาหรุ ะวาโย หายใจขดั หอบ สวิงสวาย ทอ งข้ึนอดื เฟอ หากเปนนานถึง ๒ ป กับ ๔ เดือน จะทำให ลมพทุ ธยักษ ตาบอด โรคลมจรชนิดหนึ่ง เกิดจากกองลมอัมพาต ผูปวยมีอาการเสียดต้ังแตสีขางและ ลมพุทธยักษวาโย ชายโครงข้ึนมา ทำใหตัวงอ ทองแขง กินอาหารไมได มักอาเจียนเปนลมเปลา ตาฟาง ลมยกั ขินวี าโย ทอ งเสีย ลมรามะภานวี าโย โรคลมจรชนิดหนึ่ง เกิดจากกองอัมพฤกษและสุมนา ผูปวยมีอาการคลั่ง หิวโหย อยาก ลมวาระยักขวาโย กินของคาว มีผื่นข้ึนและคันทั้งตัว อุจจาระปสสาวะขัด มักนอนหลับ ไมมีแรง เปนตน ลมวิหค ถารักษาไมห ายจะตายภายใน ๑ ป โรคลมชนิดหนึ่ง ผูปวยมักมีอาการอาเจียน จุกอก ถาเปนถึงกําหนด ๗ เดือน มักเปน ตัวเสยี ดอยูซโ่ี ครงซาย ผอมเหลอื ง พอใจอยากของสดของคาว ครั้นถึง ๓ ปจ ะตาย โรคลมจรชนิดหนึ่ง เกิดจากกองสุขุมังควาต ผูปวยมีอาการมือเทาบวม หนักศีรษะ วิงเวียน น้ำมูกน้ำตาไหล เสียวมือและเทา เปนเหน็บ หากเปนนานถึง ๕ เดือน ผูปวย จะลกุ ไมขึน้ โรคลมชนิดหน่ึง มีอาการใหชักกระสับกระสาย ใหขบฟนเหลือกตา ใหมือกำเทางอ ปากเบ้ยี ว จักษุแหก แยกแขง แยกขา ไมมีสติ ลมจำพวกนี้รักษายาก เปน ปจ ฉมิ ท่สี ุดโรค การรักษาใหพิจารณาทวารหนัก ทวารเบา ถายังอุนอยูใหแกตอไป ประการหน่ึง ใหดผู ิวเนือ้ นว้ิ มอื กดลง แลว ยกขนึ้ ดหู าโลหติ มไิ ด รอยน้วิ ท่กี ดยกขนึ้ เปน รอยเขียวซีด โรคลมจรชนิดหนึ่ง เกิดจากกองสัณฑฆาต ผูปวยมีอาการเสียดบริเวณชายโครง เจบ็ กระดกู ลกุ นง่ั ไมไ ด มกั เปน รำมะนาดบอ ยๆ ตามัว และตาบอดในท่ีสุด หากเปนนาน ถงึ ๓ ป จะรกั ษายาก โรคลมจรชนิดหน่ึง เกิดจากกองสัณฑฆาต ผูปวยมีอาการเสียดบริเวณหนาอก และ ชายโครง ทรงตัวไมได มักทำใหตัวโกงแข็ง พูดไมชัด มักเปนรำมะนาด ตาบอด เปนตน ผูปว ยมักมอี ายสุ นั้ โรคลมจรชนิดหน่ึง เกิดจากกองหทัย ผูปวยมีอาการคันบริเวณใบหนา หู ตา เปนตน แลว คันมากไปทวั่ ท้งั ตัว กินอาหารไมได โรคลมจรชนิดหนึ่ง เกิดจากกองอชิณวาต ผูปวยจะอยากกินอาหารคาวหวาน เนื้อ ปู ปลา และหอย ซ่ึงเม่ือกินแลวทำใหมีอาการเสียดชายโครงทั้งสองขาง จุกแนนบริเวณ หนา อก แลวลามไปจนถึงบริเวณองคชาต มอื เทาตายไมม ีเรยี่ วแรง โรคลมชนิดหนึ่ง ไมปรากฏรายละเอียดในตำราการแพทยแผนไทย ในหนังสือ ศัพทแพทยแผนไทยของสำนักงานขอมูลสมุนไพร มหาวิทยาลัยมหิดล ใหความหมายวา ลมวหิ ค คอื ลมทเี่ กิดจากดีกำเรบิ อยางรนุ แรง 403
ชุดตำราภูมปิ ญญาการแพทยแผนไทย ฉบบั อนุรักษ ลมสัตถกวาต ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยโรคลมชนิดหน่ึง เกิดจากสัณฑฆาต ผูปวยจะเร่ิมมีอาการเจ็บบริเวณหนาอก เมื่อเปน นานเขาจะเกิดเปนเวลา โดยเมื่อมีอาการจะรูสึกเจ็บแปลปลาบไปทั่งทั้งตัวเหมือนถูก ลมสนุ ทรวาต มีดเชือด และเหล็กแหลมแทง ใจสั่น เมื่ออาการบรรเทาลงจะรูสึกหิว ไมมีแรง ปวดหัว ลมสุมนา ตามัว กินอาหารไมได นอนไมหลับ หากจะรักษาตองรักษาเม่ือเริ่มมีอาการเจ็บหนาอก ลมหทยั วาต ถารักษามิหายจะกลายเปน โทสณั ฑฆาตและตรีสัณฑฆาต รกั ษาไมไ ด ลมหศั คินี ปจจุบันกรรมอติสารชนิดหน่ึง เกิดจากลมอโธคมาวาตออนและลมอุทังคมา วาตกำเริบ ลมอรศิ เมื่อเปนเด็กอายุได ๓ เดือน ผูปวยมีอาการทองเสีย ถายอุจจาระเปนมูกเลือด ลมอศั ฎากาศ นอกจากน้ียังมีอาการปวดมวนในทอง ทองอืดเฟอ ถารักษาไมหายจะพัฒนากลายเปน ลมอทุ รวาต โรคมานท้งั ๕ ชนิด โรคลมชนดิ หนึง่ เกดิ จากกองลมอัมพฤกษและมักเกิดในระหวางตรโี ทษ ผูปวยจะสูญเสีย ละออง การรับรูทางประสาทสัมผัสท้ัง ๕ (การไดยิน การมองเห็น การไดกลิ่น การรับรส และ ละอองแกว มรกต การสัมผสั ) โรคนีร้ กั ษายาก แตอ าจบรรเทาอาการใหร นุ แรงนอยลงได 404 โรคลมชนิดหน่ึง ผูปวยมักมีอาการมึนตึง ไมคอยพูดคุย ใจลอยบอยๆ ชอบอยูคนเดียว ใจนอย โกรธงาย เบ่อื อาหาร บางครง้ั หวั เราะ บางครั้งรองไห ถา รกั ษาใหร กั ษาเมอ่ื เรมิ่ มี อาการ หากท้งิ ไวน านจะรกั ษายาก ชือ่ โรคลมชนดิ หนง่ึ เปนแกเดก็ มีอายุ ๓ เดอื นไปแลว และเปนโรคซางโคอยูเดิม มอี าการ ชกั มอื กำ เทางอ หลงั แข็ง เหงื่อตก ทองขน้ึ เทา เยน็ ข้ึนมาถงึ หัวเขา เปน ตน ดูเพิ่มเติมที่ แมซ าง ช่ือโรคชนิดหนึ่ง เปนแกเด็กท่ีเกิดในวันศุกร เปนโรคละอองพระบาท หรือ กาฬสิงคลี หรือเปนโรคซางชางอยูแลว มีอาการชัก คอเขียวกอนแลวชักมือกำเทางอ นัยนตากลอก ไปมา น้ำลายฟูมปาก ล้ินกระดางคางแข็ง บางทีชักเฉพาะ จำหระซาย(สวนรางกาย ขางซาย) บางทชี่ ักเฉพาะจำหระขวา(สว นรางกายขางขวา) เปน ตน ดูเพ่ิมเตมิ ที่ แมซ าง โรคลมชนิดหนึง่ ผปู ว ยมกั มอี าการชาท้งั ตวั ขยบั แขนขาไมได เชอ่ื มมนึ ช่ือโรคลมชนิดหน่ึง เปนโรคลมประจำวันของเด็กที่เกิดวันอังคาร เปนโรคลมท่ีติดมากับ เด็กตั้งแตแรกเกิด เรียกวา ลมกำเนิด มีอาการรองไหในเวลาเย็นเปนนิจ(ทุกวัน) ตั้งแต อยใู นเรือนไฟจนถึงอายุ ๓ เดือน อาการของโรคกจ็ ะหายไปเอง หรือรอ งไห อาการเชนน้ี พื้นบาน รองไห ๓ เดือน เปนเด็กเลี้ยงยาก เมื่อมีอาการลมจะบังคับขึ้นในทอง ทำให ทองขึ้น จับเช่ือมมัวและหอบเปนตน ถาอายุเกิน ๓ เดือนขึ้นไปแลว ยังรักษาไมหาย จะมอี าการซบู หอม ทอ งข้นึ อาเจียน จกุ เสียด ในท่ีสุดจะชักมอื กำเทางอ ตาชอ นขึ้นสูง เรียกวา โรคตะบองราหบู าง ตะพ้นั ไฟบาง ดเู พิม่ เติมท่ี แมซาง ชอ่ื โรคชนิดหน่งึ เปน กบั เด็กตง้ั แตแรกเกดิ จนโตใหญ อาการของโรคเกิดจากความรอนใน รางกาย สงไอความรอนข้ึนภายในชอทองขึ้นมา ทำใหเกิดเปนฝสีขาวๆ เกาะอยูบริเวณ ล้ินและในปากมีสีตางๆ ตามชนิดของโรค เชน สีขาว เหลือง เขียว เปนตน โรคละออง เม่อื เปน ขน้ึ แลว ทำใหรวู า จะบังเกดิ เปนโรคหละหรือซางตอ ไป ช่ือโรคละอองชนิดหน่ึง เปนแกเด็กที่เปนโรคซางแดงอยูแลวเม่ือบังเกิดโรคขึ้นน้ัน มีอาการใบหนาเขียวคล้ำจนเกือบดำ ลิ้นกระดาง คางแข็ง อาปากไมออก ชักกำมือ กำเทา หรือ มือกำเทา งอ ดเู พ่ิมเตมิ ท่ี แมซาง
ตำราการแพทยแ ผนไทย ในศิลาจารกึ วัดพระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม (วัดโพธ์ิ) เลม 3 ละอองแกว วเิ ชยี ร ชื่อโรคละอองชนิดหนึ่ง เปนแกเด็ก อาการของโรคเกิดขึ้นที่ ล้ิน เพดาน ในบริเวณ ละอองทับทมิ กระพุงแกม เปนตน ลักษณะเปนฝาเห็นขาวเปนเลือกท้ังปากและล้ินดุจมะพราวกะทิ ละอองเนยี รกรรถี ทำใหมอี าการทองขน้ึ ทองอืดมาก ทำใหร ูสกึ เบอื่ อาหาร ละอองเปลวไฟฟา ละอองมหาเมฆ ดทู ี่ ละอองเปลวไฟฟา ละออง ชื่อโรคละอองชนิดหน่ึง เปน แกเด็กท่ีเปนโรคซางชางอยูแลว มีอาการเปนฝาข้ึนมาแต ลำคอถึงลิ้นแลวดาดไปทั้งปากทำใหทองเสีย และอาเจียนอยางที่เรียกวา ทั้งลงท้ังราก ลำบองราหู กินอาหารไมไ ด ตวั รอน กระหายนำ้ เปน ตน ลำลาบ ชื่อโรคละอองชนิดหน่ึง เปนอาการตอเนื่องกับโรคซางเปนแกเด็กมีอาการลิ้นฝา มีเม็ด โลมา หรือยอดผดุ ขึน้ ท่ฝี า นัน้ สแี ดงดังชาด หรอื ยอดทับทมิ ทำใหลน้ิ กระดาง คางแข็ง ตาคาง โลหติ เกิดแตผ ิวเนอื้ ชกั มอื กำเทา งอ กดั ฟน ตัวรอนจดั บางทเี รยี กวา ละอองทบั ทิม ดเู พ่ิมเตมิ ที่ แมซ าง โลหติ เกิดแตเสน เอ็นํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย โลหิตคลอดบุตร ชื่อโรคละอองชนิดหนึ่ง เปนกับเด็กที่เกิดวันพฤหัสบดี มีซางโคเปนเจาเรือน ทำใหมี โลหิตช้ำ อาการล้ินเปนฝา มีเม็ด หรือ ยอด ผุดข้ึนที่ฝาน้ัน เม่ือแรกตั้งสีดังดอกตะแบก จับให โลหิตตกหมก หนาเขียวจนดำ ชักมือกำเทางอ นัยนตาชอนขึ้นสูง ทองข้ึน ปดหนักปดเบา เปนตน ดเู พิม่ เติมท่ี แมซาง โรคเด็กชนิดหนึ่ง เกิดกับทารกแรกเกิดถึงเด็กอายุไมเกิน ๕ ขวบ ๖ เดือน ผูปวยมี ฝาบางๆ เกิดขึ้นในปากลำคอ กระพุงแกม หรือบนล้ิน ฝาบางๆ นี้อาจมีสีตางๆ กัน ทำใหมีชื่อเรียกแตกตางกันไป นอกจากนี้ ยังมีเจาเรือนและช่ือเรียกแตกตางกันไปตาม วันเกิดของผูปวยดวย เชน ละอองแกววิเชียร เปนละอองที่เกิดกับเด็กที่เกิดวันจันทร มีซางน้ำเปนเจาเรือน ละอองท่ีอาจทำใหมีอาการรุนแรงขึ้นถึงตายได เรียก ละออง พระบาท เชน ละอองมหาเมฆ ละอองเปลวไฟฟา ละอองแกววิเชยี ร โรคชนิดหน่ึง เกิดกับเด็กต้ังแตแรกเกิดจนถึงอายุ ๑๒ เดือน ผูปวยมักมีอาการเปนเม็ด ตามรางกาย และอาการอ่ืนๆ แตกตางกันกันไปในแตละเดือน เชน ลำบองราหูท่ีเกิดใน เดือน ๑ เมื่อเปนจะทำใหเจ็บผิวหนัง ขนลุก ผื่นขึ้นท้ังตัว นอนสะดุง รองไหไมมีน้ำตา, ละบองราหูหรือกระบองราหู กเ็ รยี ก เปอ ยลามเปนแนวออกไป ขน สวนประกอบ ๑ ใน ๒๐ ส่งิ ของธาตดุ นิ โรคชนิดหนึ่งเม่ือจะมีระดูมานั้น ใหรอนผิวเน้ือ ใหรอนผิวหนัง แลแดงดังผลตําลึงสุก บางทผี ุดขึน้ ดงั เมด็ ผด แลเทาใบพุทราเทางบนำ้ ออยก็มี ดจุ ไขร ากสาดสนั นิบาตไป ๒ วัน ๓ วัน บางทสี มมตวิ าเปน ประดง คร้ันระดูมีมากห็ าย โรคชนิดหน่งึ เม่อื ระดจู ะมีมานั้น ใหเปนดุจไขจ บั ใหสะบัดรอนสะทาน หนาว ปวดศรี ษะ เปนกาํ ลงั ครนั้ ระดมู มี ากห็ ายไปแล โรคชนิดหนึ่งเม่ือจะบังเกิดทำใหโลหิตค่ังเขาเดินไมสะดวก แลวต้ังขึ้นเปนล่ิม เปนกอน ใหแดกข้ึนแดกลง เพราะบางทีใหคล่ัง ขบฟน ตาเหลือกตาซอน ขอบตาเขียวและ รมิ ฝป ากเขียว เล็บมอื เลบ็ เทา เขยี ว สมมตุ ิวา ปศาจเขาสิง ดทู ี่ โลหิตตกหมกชำ้ ดทู ี่ โลหติ ตกหมกช้ำ 405
ชุดตำราภมู ปิ ญ ญาการแพทยแผนไทย ฉบบั อนุรักษ โลหิตตกหมกช้ำ ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยโรคชนิดหนึ่งก็อาศัยโลหิตเนา เหตุเพราะแพทยใชยาประคบ ยาผาย ยาขับโลหิตไมถึง กําลัง หมายถึงใหยานอยกวากําลังเลือด และโลหิตน้ันเกิดระส่ำระสาย ออกไมหมดส้ิน โลหติ ตอ งพิฆาต เชิง จึงตกหมกซ้ำอยูไดชื่อวาโลหิตตกหมกช้ำ บางทีตกซ้ำอยูในเสนเอ็นหัวเหนา เม่ือจะ ใหโทษก็คุมกันเขากระทำใหเปนฝมดลกู ฝป อดควำ่ ฝเ อน็ ฝอ คั นสี นั ต ฝป ลวก และมาน โลหติ ทจุ รติ โทษ โลหติ โลหิตเนา อนั ตกตน ไมแ ละถูกทุบถองโบยตี ถา เปนดังกลาวทา นวา ไขนนั้ ถงึ พิฆาต เพราะโลหติ ทีถ่ ูก กระทํานั้นกระทบซ้ำระคนกับโลหิตระดู เกิดแหงกรังเขาติดกระดูกสันหลังอยู จึงไดช่ือ โลหิตระดรู า ง วา โลหติ แหง กรงั เพราะอาศยั โลหติ พิฆาต โรคชนิดหนึ่งเกิดจากระดูผิดปรกติ โลหิตทุจริตโทษมี ๕ ประการ คือ โลหิตระดูราง วสันตะฤดู โลหิตคลอดบตุ ร โลหติ ตองพฆิ าต โลหิตเนา โลหิตตกหมกชำ้ วัณโรค โรคชนิดหนง่ึ อาศัยโลหติ ระดรู าง โลหติ คลอดบุตร โลหิตตอ งพิฆาต และโลหติ ตกหมกซำ้ วาตะสมุฏฐาน เจอื มาเนา อยู จงึ เรยี กวา โลหติ เนา เปน ใหญก วา ลมทงั้ หลาย เมอื่ จะใหโทษโลหิตเนา มีพิษ อนั กลาแลน ไปทกุ ขุมขน บางทแี ลนเขา จับหวั ใจ บางทีแลนออกผวิ เนอ้ื ผุดเปน วงดาํ แดง วาตสุตะโรค เขยี ว ขาวก็มี บางทผี ุดข้ึนดงั ยอดผด ทาํ พิษใหคันเปน กําลงั ทุรนทุรายย่งิ นัก วชิ ิกามะโรค โรคชนิดหนึ่ง เม่ือจะบังเกิดโลหิตระดูมิใหมาตามปกติ บางทีดําและมีกล่ินเหม็นเนา วติ านะโรค บางทีจางดุจน้ำชานหมาก บางทีใส ดุจน้ำคาวปลา บางทีขาวดุจน้ำซางขาวกระทำให วปิ รติ เจบ็ ปวดเปนไปตางๆ ครัน้ เปน นานมักกลายเปนมานโลหติ วิสมธาตุ ดูท่ี ฤดู ๓ ฤดู ๔ และฤดู ๖ โรคฝกลุมหน่ึง เกิดเปนตุมข้ึนภายใน ผูปวยมีอาการแตกตางกันตามชนิดของฝ เชน รา งกายทรดุ โทรม ผอมเหลอื ง ท่ีต้ังหรือท่ีแรกเกิดของโรคอันเกิดจากลม แบงออกเปน ๓ อยาง ไดแก หทัยวาตะ (ลม ในหัวใจ อันทำใหหัวใจทำงานเปนปรกติ) สัตถกวาตะ (ลมท่ีทำใหเกิดอาการเสียดแทง ตามสว นตา งๆ ของรา งกาย) และสุมนาวาตะ (ลมในเสน อันทำใหเกิดอาการปวดเมอ่ื ย) ริดสีดวงประเภทหน่ึง เกิดในสันหลัง ผูปวยมีอาการเจ็บ รอนเอว และสันหลัง ไอ ผอมแหง ผิวแหง เปน เกล็ด เหน่อื ยหอบมาก ริดสีดวงประเภทหนึง่ เกดิ ในดวงจิต ผปู ว ยมอี าการปวด แสบ หรือยอกในทรวงอกบอ ยๆ บดิ ตวั ไปมาไมได สะบัดรอนสะทานหนาว กนิ อาหารไมได มเี หง่อื ออกมาก ริดสีดวงประเภทหน่ึง เกิดท่ีตา ผูปวยมีอาการน้ำตาไหลตลอดเวลา มีขี้ตา คันตา ปวดแสบปวดรอ นในตา อาจมแี ผลเปอ ยตามขอบตา ความผิดปกติ สามารถใชไ ดก บั อาการท่ีผดิ ปกติไป และธาตตุ า งๆ ท่ีผิดปกติไปได วิสมธาตุนั้นยิ่งไปดวยกองฉกาลวาโย วาโยเดินไมสะดวก คือทำใหทองล่ันอยูเปนนิจ บางวันใหทองผูก บางวันใหถายทอง บางวันใหแนนทองแนนอกคับใจ บางวันใหอยาก อาหาร เพลิงธาตุมิไดเสมอ วาโยเดินไมสะดวก โทษท้ังนี้เกิดขึ้นแตกองฉกาลวาโย ใหเปนเหตุ 406
วีสติปถวีํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแผนไทย ในศิลาจารึกวดั พระเชตพุ นวิมลมังคลาราม (วัดโพธ์ิ) เลม 3 ศอเสมหะสมุฏฐาน ธาตุดิน ๒๐ ประการ อันไดแก ผม (เกศา) ขน (โลมา) เล็บ (นขา) ฟน (ทันตา) หนัง สกะถาณะโรค (ตะโจ) เน้ือ (มังสัง) เอ็น (นหารู) กระดูก (อัฏฐิ) ไขกระดูก (อัฏฐิมิญชัง) ไต (ปหกัง) หัวใจ (หทยัง) ตับ (ยกนัง) พังผืด (กิโลมกัง) มาม (วักกัง) ปอด (ปปผาสัง) ไสใหญ สมะธาตุ (อันตัง) ไสนอย (อัณตคุนัง) อาหารใหม (อุทริยัง) อาหารเกา (กรีสัง) และสมองศีรษะ (มตั ถเกมัตถลงุ คงั ) สมุฏฐาน ดูท่ี สมุฏฐานเสมหะ ริดสีดวงประเภทหน่ึง เกิดขึ้นที่ริมทวารหนักขางในลักษณะเหมือนเดือยไก ผูปวย สมุฏฐานวาตะ มีอาการคลายไขเหลือง บางทีรูสึกรอน รูสึกหนาว เมื่อยตัว ทองผูกเวลาถายมีเลือด ปนออกมา สมุฏฐานเสมหะ ลักษณะสมาธาตุน้ัน ยิ่งไปดวยสรรพธาตุ มีอาการทำใหเจ็บเปนเพลา(เวลา) บางที สวิงสวาย กระทำใหตัวรอน เทาเย็น บางทีใหสวิงสวาย ใหเจ็บในอก รับประทานอาหารไมมีรส สองเพรียงหู บางทีใหมึนใหมัว โทษท้ังน้ีเปนเพราะเสมหะสมุฏฐาน ปตตะสมุฏฐาน และวาตะ สะบดั รอนสะทา นหนาว สมฏุ ฐาน ประชมุ พรอ มกนั ในกองปถวธี าตทุ ้งั 20 ประการ ใหเ ปน วสี ติปถ วี ดเู พ่ิมเติมท่ี สะพ้ัน อสุรินทัณญาธาตุ สรทะฤด,ู สารทฤดู ทตี่ ัง้ หรอื ท่แี รกบงั เกิดโรค บรรดาภัยไขเ จบ็ ทั้งหลาย จะบงั เกดิ ขึ้นกเ็ พราะ สมุฏฐานเปน สักเคระโรค ทีต่ ัง้ จำแนกได ๕ สมฏุ ฐาน คือ ธาตุสมฏุ ฐาน อตุ สุ มุฏฐาน อายสุ มุฏฐาน กาลสมฏุ ฐาน สณั ฐาน และ ประเทศสมุฏฐาน ดูเพ่ิมเติมที่ ธาตุสมุฏฐาน อุตุสมุฏฐาน อายุสมุฏฐาน กาลสมุฏฐาน และ ประเทศสมุฏฐาน ท่ีตั้งหรือที่แรกเกิดของโรคอันเกิดจากลม แบงออกเปน ๓ อยาง ไดแก หทัยวาตะ (ลมในหัวใจอันทำใหหัวใจทำงานเปนปรกติ) สัตถกวาตะ (ลมท่ีทำใหเกิดอาการ เสียดแทงตามสวนตางๆ ของรางกาย) และสุมนาวาตะ (ลมในเสนอันทำใหเกิดอาการ ปวดเมื่อย) ที่ตั้งหรือท่ีแรกเกิดของโรคอันเกิดจากเสลด แบงออกเปน ๓ อยาง ไดแก ศอ เสมหะ (เสมหะในลำคอ) อรุ ะเสมหะ (เสมหะในอก) และคูถเสมหะ (เสมหะในสว งทวาร) อาการของโรคชนดิ หน่งึ ทำใหเ ปนลม หนา มืด ตาลาย ใจหวิว กระสับกระสา ย บริเวณของศีรษะเหนือใบหูหลังขมับ เปนตำแหนงท่ีเอาส่ิงของหรือดอกไมเหน็บไว ทดั ดอกไมก็เรยี ก อาการของโรคอยา งหน่งึ พิษไขทำให หนาวตัวส่ัน โรคชนิดหน่ึง มักเกิดในทารกหรือเด็กเล็ก ผูปวยจะมีอาการขอบตาเขียว นอนสะดุง ชกั เทา กำมือกำ หลงั แข็ง ทองข้ึน ลิ้นกระดา งคางแขง็ ดูท่ฤี ดู ๖ ริดสีดวงประเภทหน่ึง เกิดขึ้นในทวารหนัก ผูปวยมีอาการแสบรอนในทวารหนัก บางที ใหนำ้ เหลืองไหลอยตู ลอด เหมือน 407
ชุดตำราภูมปิ ญญาการแพทยแ ผนไทย ฉบบั อนุรกั ษ สตั ถกวาตะสมุฏฐาน ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยที่ต้ังหรือที่แรกเกิดของโรคอันเกิดจากลมแบงออกเปน ๓ อยาง ไดแก หทัยวาตะ สันทฆาต (ลมในหัวใจอันทำใหหัวใจทำงานเปนปรกติ) สัตถกวาตะ (ลมที่ทำใหเกิดอาการ เสียดแทงตามสวนตางๆ ของรางกาย) และสุมนาวาตะ (ลมในเสนอันทำใหเกิดอาการ สันนิบาต ปวดเมอ่ื ย) สันนปิ าตะอชณิ ะ ๑. ชื่อโรคชนิดหนึ่ง เปนกับบุรุษและสตรี อาการของโรคเกิดเปนเลือดสด เปนกอนตก สาเขมา ออกจากทวารเบา เลือดน้ันเนาใสเหมือนน้ำลางเนื้อหรือน้ำคาวปลา ทำใหปสสาวะออก สำรอก เปนหยดๆ และปวดมาก ๒. ในหนังสือแพทยศาสตรสงเคราะห กลาววา อาการของง โรคสันทะคาดมี ๔ ชนิด คือ ๑) เอาสันทะคาดเปนกับหญิงเกิดจากโลหิตและระดูแหง ศิศริ ฤดู เปนกอน ขนาดประมาณฟองไขไกติดอยูที่กระดูกสันหลัง ทำใหมีอาการเจ็บหลังปวด สจุ ิมขุ ะ ตาละหริ ะ มากถึงบิดตัว ๒) โทสันทะคาด เกิดจากทองผูกจนเปนพรรดึก เกิดเปนกองลมเขาไปอยู สนุ ทรวาตอติสาร ในทองทำใหเจ็บปวดไปทั้งตัว มีอาการเม่ือยบั้นเอว ขัดตะโพก เวียนศีรษะ สะทานรอน 408 สะทานหนาว เปนตน ๓) ตรีสันทะคาด เกิดเปนเม็ดผุดขึ้นภายในบริเวณดีตับ หรือ ในลำไส ทำใหเปนไข จุก เสียด ทองพองมีอาการเพอ คลั่ง ประดุจผีเขาสิง ถาเปนนาน ๗-๘ วัน โลหิตจะแตกออกตามทวารทั้ง ๙ ๔) อาสันทะคาด เกิดจากการฟกช้ำภายใน เชน ตกจากท่ีสูง ถูกทุบ ถอง ตีโดยแรงเจ็บเน้ือตัว ทำใหโลหิตในรางกายคุมกันเขา เปนกอน มีอาการเจ็บรอนในอก เสียดแทงสันหลัง ดุจเปนเม็ดยอดข้ึนภายใน ถาวาง ยาผิด โลหติ กระจายออกแลวแลน เขา สนั หลัง ลงสทู วารหนักเบา เปน ตน ๑. ความเจบ็ ปวยอนั เกิดจากกองสมฏุ ฐานปต ตะ วาตะ และเสมหะ รวมกนั กระทำใหเกดิ โทษเต็มกำลัง ในวันท่ี ๓๐ ของการเจบ็ ปว ย ๒. ชอ่ื โรคชนิดหนึ่ง ทำใหเปนไข พิษของไข มอี าการหนาวสัน่ ชัก กระตกุ และเพอ อชิณธาตุโรคอติสารประเภทหน่ึง เกิดจากเสมหะ ปตตะ และวาตะ รวมกันกระทำให เกดิ โทษ ผูป ว ยมอี าการทองเสยี อยางแรงในเวลากลางคนื อจุ จาระมีสีดำ แดง ขาว และ เหลืองปนกัน นอกจากน้ียงั มีอาการแนน หนาอก สะบดั รอนสะทา นหนาว มีไข โรคเด็กชนิดหน่ึง เกิดกับทารกท่ีอยูในเรือนไฟ (โดยท่ัวไปอายุไมเกิน ๑ เดือน) ผูปวยมี ฝาสีเทาแลวเปล่ียนเปนสีดำ เกิดไดตั้งแตหนาอกถึงปลายล้ิน เม่ือลุกลามเขาไปภายใน ก็จะทำใหมอี าการรนุ แรงข้ึน เชน อาเจียนอยางแรง ทองเสยี อยางแรง ๑. อาเจียน ขยอนเอาส่ิงท่ีกลืนลงไปในกระเพาะแลวออกมาทางปาก เชน สำรอก อาหาร ๒. อาการซึ่งเกิดในเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ ๑ ขวบ เด็กมีอาการขยอนเอาส่ิง ท่ีกลืนเขาไปออกมาทางปาก มี ๔ อยาง คือ สำรอกเปนเสมหะ สำรอกเปนสีเหลือง สำรอกเปนสีเขียว และสำรอกเปนเม็ดคลายเมล็ดมะเขือ นอกจากนี้เด็กยังมีอาการ ทอ งอืดทอ งเฟอ ทอ งเดนิ มไี ข ดทู ีฤ่ ดู ๖ กิมิชาติ อาศัยเกาะกินภายในกระเพาะอาหารมี ๗ ชนิด คือ กะตะ โอตะกะ คันทุปา ตาลหิระ สุจิมุขะปวตั นนั ตุ และ สุกะตะ ดูเพิ่มเตมิ ที่ กิมิชาติ ปจ จุบนั กรรมอตสิ ารชนดิ หนงึ่ เกิดจากลมอโธคมาวาตาออ นและลมอุทังคมาวาตากำเรบิ เม่ือเปนเด็กอายุได ๓ เดือน ผูปวยมีอาการทองเสีย ถายอุจจาระเปนมูกเลือด นอกจากน้ียังมีอาการปวดมวนในทอง ทองอืดเฟอ ถารักษาไมหายจะกลายเปนโรคมาน ตา งๆ ท้งั ๕ ชนดิ
สมุ นาสมฏุ ฐานํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแผนไทย ในศลิ าจารกึ วดั พระเชตพุ นวิมลมังคลาราม (วดั โพธิ์) เลม 3 สุวิชกิ าโรค เสมหะ ดทู ่ี วาตะสมฏุ ฐาน เสมหะสมุฏฐาน ริดสีดวงประเภทหน่ึง เกิดขึ้นตามขอบทวารหนัก ลักษณะเปนเม็ดขนาดเทาเมล็ด เสยี ดอก ขาวโพด ผูปวยมีอาการปวดแสบ คัน บางทีมีหนองและเลือดออกทางทวารหนัก ไสด ว น ๔ ปวดมวนและตึงทวารหนัก นำ้ ลาย, เสลด, เมอื ก เปน องคประกอบ ๑ ใน ๑๒ สงิ่ ของธาตุนำ้ ไสล าม ที่ตั้งหรือท่ีแรกเกิดของโรคอันเกิดจากเสลด แบงออกเปน ๓ อยาง ไดแก ศอเสมหะ (เสมหะในลำคอ) อุระเสมหะ (เสมหะในอก) และคถู เสมหะ (เสมหะในสวงทวาร) หฤศโรค อาการทีร่ สู ึกอดึ อัดหรือแทงยอกภายในอก เนื่องจากมีลมอยู หละ ชื่อโรคชนดิ หน่งึ เปนโรคเกิดกบั ชาย อาการของโรคเกดิ จากเสพกับหญงิ ท่ีเปนโรคกายอยู กอนแลว ทำใหมีอาการเปนเม็ดขึ้นที่ปลายองชาติก็ดี รอบๆ องคชาตก็ดี เม็ดน้ัน หละนิลกาล แตกออกเปนน้ำเหลืองและเลือดทำใหเจ็บ ปวดแสบปวดรอน แผลเนา กัดตั้งแตปลาย หละนิลเพลงิ องคชาตเขาไปทุกวัน ถึงโคนองคชาตเม่ือใดก็ตาย โรคไสดวน เกิดจากเหตุ ๔ ประการ หละมหานลิ กาล คือ ๑. เกิดจากเสพเมถุนสำสอน เปนสัญจรโรค ๒. เกิดจากการเสพเมถุนกับหญิงกำลัง มีประจำเดือน ๓. เกิดจากการเสพเมถุนรุนแรงหักโหมจนฟกช้ำ ๔. เกิดจากการ เสพเมถุนกับหญงิ เปน กามโรค โรคติดตอทางเพศสัมพันธชนิดหน่ึง เกิดไดทั้งผูหญิงและผูชาย ผูปวยมีเม็ดฝข้ึนที่ภายใน อวัยวะเพศและลามออกมาภายนอก ไปที่ทองนอย ทวารหนัก ทวารเบา เม่ือเม็ดฝแตก ออกหนองจะไหลออกมา อาจมีอาการปวดมวนทอง ถายเปนมูกเลือด แนนหนาอก อาเจยี น กนิ อาหารไมได หรอื เปนลมบอ ยๆ รวมดวย โรคกลุมหน่ึง เกิดไดกับอวัยวะตางๆ ของรางกาย เชน ตา จมูก ลำไส ทวารหนัก ตำราการแพทยแผนไทยวา มี ๑๘ ชนดิ ดูเพิ่มเตมิ ที่ รดิ สดี วง ชื่อโรคชนิดหน่ึง เปนกับเด็กออนท่ียังอยูในเขตเรือนไฟ เม่ือเด็กออกจากเรือนไฟแลว อายุ ๓ เดอื นขน้ึ ไป จะไมคอ ยเปน หละ แตเ รยี กวา โรคซาง อาการของโรคหละ จะเปน ตอเนื่องมาจากโรคละออง โดยมีอาการรุนแรงมากข้ึนล้ินท่ีเปนฝาขาวน้ันจะเปน แผนหนา เห็นเปนคราบขาว กับมีเม็ดพิษผุดขึ้นเปนยอดแหลม มี ๙ ชนิด คือ ยอดเหลืองแดง ดำดุจน้ำหมึก เขียวดุจ สีใบไมมีสายโลหิต ดำดังสีนิล ดำแดงช้ำดัง สีลูกหวาหาม สีคราม ขาว และไมมียอด แตแดงทั่วปาก อาการของโรคหละ มีชื่อเรียก ตา งๆ กันไดแก หละอทุ ัยกาฬ หละเนระกันถี หละแสงพระจนั ทร และหละนิลกาฬ ชื่อโรคหละชนิดหนึ่ง เปนแกเด็กท่ีเปนโรคละอองมหาเมฆอยูแลว เม็ดที่ข้ึนเปนยอดดำ ดังสีนิล ทำใหเจบ็ ไปทั่วสรรพางคกาย หายใจขัด หลงั แข็ง เปนตน ดเู พ่มิ เตมิ ท่ี หละ และ แมซาง หละท่ีเปนกับเด็กที่เกิดวันพุธ เร่ิมแรกผูปวยมีเม็ดเล็กๆ สีเขียวใบไมขึ้น แลวเปล่ียนเปน สายยาวสีแดงที่ทอดผานยอดนั้น เม่ืออาการมากข้ึนเม็ดพาจะเปล่ียนเปนสีคล้ำคลาย สนี ิล เม่ือเปนไดค รบ ๕ วัน ผปู ว ยมีอาการ ทอ งรวง ทองข้ึน ปากแหง หละที่เปนกับเด็กท่ีเกิดวันเสาร ผูปวยมีเม็ดสีคล้ำคลายนิล เม่ือทำพาจะทำใหมีอาการ เหมือนหละนลิ กาฬ แตร ุนแรงกวามาก 409
ชดุ ตำราภูมิปญ ญาการแพทยแ ผนไทย ฉบับอนรุ ักษ หละแสงพระจนั ทร ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยชอื่ โรคหละชนดิ หนึง่ เปนแกเ ดก็ ทเ่ี ปนโรคละอองแกววิเชียรอยูแลว เม็ดท่ีผุดขนึ้ เปน ยอด สีขาวแลวกลับเหลือง ข้ึนที่ตนขากรรไกรซายหรือขวา ขนาดโตเทาเม็ดขาวโพดทำให หละอุไทยกาล มีตา ตาแข็งคาง เปนตนอาการลงทอง ตัวเย็น ล้ินกระดางคางแข็งหนาผากดึง รองไห หดื ไมม นี ้ำตา ตาแขง็ คาง เปนตน ดูเพิ่มเตมิ ท่ี หละและแมซ าง เหมันตฤดู หละที่เปนกับเด็กท่ีเกิดวันอาทิตย และวันอังคาร ผูปวยมีเม็ดพิษสีแดง ไขสูง ชัก องคสูตร ๔ ถา ยอุจจาระปส สาวะไมอ อก ภาวะหายใจไมสะดวกเน่ืองจากหลอดลมตีบแคบลง มักเกิดจากการหดตัว หรือการ อชิณธาตุ อกั เสบของหลอดลม อชณิ โรค ดูที่ ฤดู ๓ ฤดู ๔ และฤดู ๖ อชิรณะ โรคทางเดินปสสาวะและอวัยวะสืบพันธุกลุมหนึ่งเกิดกับผูชาย ผูปวยมีอาการแตกตาง อติสาร, อติสารโรค กันไปตามฤดูที่ปวย ตำราการแพทยแผนไทยแบงเปน ๔ ประเภท ไดแก 1. ผูที่ปวย อโธคมาวาต ในฤดูรอน อัณฑะขางขวาจะบวมแดง ปวดแสบปวดรอนเสียดแทงราวไปถึงราวขาง อพัทธปตตะสมุฏฐาน มีเลือดไหลซึมในชองปสสาวะทำใหมีอาการปวดแสบรอนมาก ปสสาวะขัด ทองผูกมาก อาจมีอาการปวดเสียวลงไปตามเทา ถานอนลงกลามเนื้อจะกระตุกเตนเบาๆ เปนตน 2. ผทู ี่ปวยในฤดูฝนจะมีอาการเจบ็ และปวดบรเิ วณหนา อก กระดกู สนั หลงั บาทง้ั ๒ ขาง ราวไปถึงราวนมและขาท้ัง ๒ ขาง ปวดแสบปวดรอนเวลาถายปสสาวะ คร่ันเนื้อครั่นตัว วิงเวียน ถายอุจจาระเปนมูกเลือดและอาจชักได 3. ผูที่ปวยในฤดูหนาว จะมีอาการ ปวดในองคชาต ปสสาวะหยดยอย เจ็บเอว กินไมได ถาเปนนานจะทำใหองคชาตขาด และตายได 4. ผูท่ีปวยในฤดูแหงสันนิบาต จะมีอัณฑะบวมและผิวเปนสีดำ ปวดแสบ ปวดรอน ถายปสสาวะไมออก หรือปสสาวะเปนเลือดปนหนองปวดเสียดตามราวขาง และหนาอก กนิ ขาวไมได คอแหงเปน ตน โรคชนิดหนึ่ง ซึ่งมีสาเหตุการเกดิ โรคมาจากการรับประทานอาหารท่ีไมถูกกับธาตุ หากมี อาการเจ็บปวยอาการผิดปกติจะเพิ่มมากขึ้น เชน เปนไขหามอาบน้ำ หรือหาม รับประทานของเย็น โรคชนิดหน่ึง ซ่ึงมีสาเหตุการเกิดโรคมาจากการเจ็บปวยแลวใชยาในการรักษาโรคไมถูก วิธี สง ผลใหอาการของโรคกำเรบิ มากข้นึ อาหารท่ีบริโภคไมถ กู กบั โรคหรอื ไมถูกกบั ธาตุ โรคทผี่ ปู วยมอี าการทอ งเสียอยางรุนแรง ถายอจุ จาระเปนน้ำ เปนมูก เปนเลอื ด อุจจาระ มีกล่ินผิดปรกติ ตำราการแพทยแผนไทยแบงเปน ๒ ประเภท คือ โบราณกรรมอติสาร และปจ จุบนั กรรมอตสิ าร ลมพัดตั้งแตศีรษะถึงปลายเทา บางตำราวาพัดต้ังแตลำไสนอยถึงทวารหนัก เชน ลมท่ี เกิดจากการผายลม อโธคมาวาตาเปน องคป ระกอบ ๑ ใน ๖ ชนดิ ของธาตุลม ท่ีตั้งหรือที่แรกเกิดของโรคอันเกิดจากดีแบงออกเปน ๓ อยาง ไดแก พัทธะปตตะ (น้ำดี ที่อยูในฝกหรือในถุงน้ำดี) อพัทธะปตตะ (น้ำดีท่ีอยูนอกฝกหรือนอกถุงน้ำดี) และกำเดา (เปลวแหงความรอน หรือความรอนทีไ่ ดจากการเผาผลาญในรางกาย) 410
อภิญญาณธาตุํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแผนไทย ในศิลาจารกึ วดั พระเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม (วัดโพธ)ิ์ เลม 3 อมลู ธาตุ โรคชนิดหน่ึงเกิดจากธาตุไมดี ทำใหอุจจาระเปนสีตางๆ เชน อุจจาระสีดํา เปนเพ่ือปถวี อระวณั โรค ธาตุพกิ าร อุจจาระสแี ดง เปน เพือ่ อาโปธาตพุ กิ าร อจุ จาระสีขาว เปน เพ่ือวาโยธาตพุ ิการ อสรุ ินทัณญาธาตุ อุจจาระสีเขียว เปนเพื่อเตโชธาตุพิการ คนที่จะเปนอภิญญาณธาตุ อสุรินทัณญาณธาตุ ธาตุตางๆ ตองประชุมเปนมหาภูตรูป เปนตนวา เตโชธาตุ ไดแก พัทธะปตตะ อพัทธะ อัคคมขุ ี ปตตะ และกาํ เดา วาโยธาตไุ ดแก หทยั วาตะ สัตถกะวาตะ สมุ นาวาตะ อาโปธาตุ ไดแก อัคนีโชตโรค ศอ เสมหะ อุระเสมหะ คูถเสมหะ ปถวีธาตุไดแก หทัยวัตถุ อุทริยะ กรีสะ รวมกันทั้ง อัณฑพฤกษ ๑๒ ฐาน เชน น้เี รียกวา มหาภูตรปู เตม็ หมวดหมู จงึ ทำใหเ กิดอจุ จาระธาตุ เชน อภิญญาณ อันตคณุ ะโรค ธาตุ และ อสรุ นิ ทณั ญาณธาตุ โบราณกรรมอติสารชนิดหน่ึงตำราการแพทยแผนไทยวา เกิดจากธาตุไฟหยอน ทำให อาหารไมยอย ผุปวยมีอาการทองเสีย ถายอุจจาระเปนสีน้ำลางเน้ือ มีกลิ่นเหม็นคาว นอกจากน้ี ยังมีอาการผะอืดผะอม จุกเสยี ดแนน ทอง คอแหง กระหายนำ้ ริดสีดวงประเภทหน่ึง เกิดข้ึนในทรวงอกผูปวยมีอาการเจ็บยอกในอก ไอแหงไมมีเสมหะ บางทไี อมเี ลอื ดออกมา บางทมี อี าการคลายไขเ จลียง ทำใหรอ น ใหห นาว ครน่ั เนื้อครั่นตัว กองธาตุผิดปกติแบงออกเปน ๔ ประการ แตละประการ มีอาการดังนี้ ๑. สมาธาตุ ลักษณะสมาธาตุนั้น ยิ่งไปดวยสรรพธาตุ มีอาการทำใหเจ็บเปนเพลา (เวลา) บางที กระทำใหตัวรอน เทาเย็น บางทีใหสวิงสวาย ใหเจ็บในอก รับประทานอาหารไมมีรส บางทีใหมึนใหมัว โทษทั้งนี้เปนเพราะเสมหะสมุฏฐาน ปตตะสมุฏฐาน และวาตะ สมุฏฐาน ประชุมพรอมกันในกองปถวีธาตุท้ัง 20 ประการ ใหเปนวีสติปถวี ๒. มันทร ธาตุ ลักษณะมนั ทรธาตนุ ัน้ ยิ่งไปดว ยเสมหะมีกำลัง คือ ไฟธาตหุ ยอน เผาอาหารมไิ ดยอย กระทำใหลงไปวันละ 3-4 เวลา ใหสวิงสวาย ถอยแรงย่ิงนัก กระทำใหทองขึ้นมิรูวาย อุจจาระเปนเมือกมัน เปนเปลวหยาบละเอียดระคนกัน ใหปวดมวนทองมาก โทษท้ังนี้ เกิดแตกองทวาทศอาโปใหเปนเหตุ ๓. วิสมาธาตุ ลักษณะวิสมาธาตุนั้นย่ิงไปดวยวาโยมี กำลัง กระทำใหทองลั่นอยูเปนนิจ บางวันก็ผูก บางวันก็ลง บางวันใหอยากอาหาร บาง วันใหคับทอง แนนอกคับใจ ไฟธาตุมิไดเสมอ (วาโยเดินมิสะดวกโทษทั้งนี้เกิดแตกอง วาโยใหเปนเหตุ) ๔. กติกธาตุ ลักษณะกติกธาตุน้ันยิ่งไปดวยสรรพพิษท้ังปวง มีพิษดี พิษเสมหะ พษิ วาตะเปนอาทิ พษิ อนั แสบเปน ทส่ี ุด คือไฟธาตุนนั้ แรง เผาอาหารฉับพลนั ย่ิงนัก กระทำใหจับเชื่อมมัว กลางวันกลางคืน ไมไดเวนเวลา ใหปวดศีรษะ ผิวเน้ือและ ตาแดง อุจจาระปสสาวะเดินไมสะดวก ผูกเปนพรรดึก พิษท้ังน้ีเกิดแกกองจตุกาลเตโช ใหเปนเหตุ โรคลมมีพษิ ชนดิ หนง่ึ เปน ไดท ง้ั เด็กและผูใ หญ มีอาการใหด้นิ ใหร อ ง แลว ชกั ใหห มดสติ ริดสีดวงประเภทหน่ึง เกิดในทางเดินปสสาวะ ผูปวยมีอาการปสสาวะเปนเลือดไหลออก มาตามทวารเบา บางทีมีน้ำปสสาวะเหลืองคลายน้ำขมิ้น บางทีมีหนองปน ปวดแสบ ปวดรอ นมาก ชื่อโรคลมชนิดหน่งึ มีอาการอวัยวะเพศชายตายแข็งเคลือ่ นไหวไมไ ด ริดสีดวงประเภทหนึ่ง เกิดในลำไสนอย ผูปวยมีอาการทองเสีย เวลาถายอุจจาระ มักผายลมเสียงดัง อาจมีมูกปน หิวโหย ไมมแี รง 411
ชดุ ตำราภูมิปญญาการแพทยแผนไทย ฉบบั อนรุ กั ษ อนั ตะริศะโรค ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยริดสีดวงประเภทหนึ่งเกิดในลำไสใหญ ผูปวยมีอาการผอม แหง เหลือง เม่ือย หอบ อัมพฤกษ บางทปี วดทอง ทองขนึ้ ตลอดเวลา ผะอืดผะอม อมั พาต เปนโรคที่เกิดจากลมเบื้องสูงกับลมเบ้ืองต่ำพัดไมสมดุลกัน (ลมอโธคมาวาตา และ ลมอทุ ธงั คมาวาตาระคนกัน) ถา หัวตอ กระดูกไมเ คล่ือนไมหลดุ จะเรียกวา อมั พฤกษ อาการตดั เปนโรคท่ีเกิดจากลมเบื้องสูงกับลมเบื้องต่ำพัดไมสมดุลกัน (ลมอโธคมาวาตา และ อาคนั ตุกะ ลมอุทธังคมาวาตาระคนกัน) จะตองมีการเคล่ือนหลุดของหัวตอกระดูกจากเบาเสมอ อาคนั ตุกะสันนิบาต เห็นไดท่ีหัวไหลและสะโพก เรียกวาอัมพาต อัมพาต(ตัว) มี ๕ ชนิด ไดแกอัมพาต อายสุ มุฏฐาน คร่งึ ซกี อมั พาตครึง่ ทอ นลาง อัมพาตทงั้ ตวั อัมพาตเฉพาะแขน อมั พาตเฉพาะขา อุตราวาตอตสิ าร อาการรุนแรงมาก รักษาไมห าย อทุ ธังคมาวาต สันนิบาตท่ีเกิดข้ึนแทรกเปนคร้ังคราว ผูปวยมีอาการเหมือนสันนิบาต, สันนิบาตจร อทุ รโรค ก็เรียก ดูเพม่ิ เติมที่ สนั นบิ าต อุทรวาตอตสิ าร สันนิบาตท่ีเกิดขึ้นแทรกเปนคร้ังคราว ผูปวยมีอาการเหมือนสันนิบาต บางครั้งเรียก สนั นิบาตจร ดูเพิ่มเติมท่ี สนั นิบาต อุทรวาตะ อายุเปนท่ีตั้งแรกเกิดของโรค ตำราการแพทยแผนไทยแบงอายุมนุษยออกเปน ๓ วัย คอื ปฐมวยั มัชฌิมวยั และปจ ฌมิ วยั ดู สมฏุ ฐานประกอบ อทุ ราธาตุ ปจจุบันกรรมอติสารชนิดหน่ึง เกิดจากลม ๑๖ จำพวก ผูปวยมีอาการทองเสีย ถาใหยา ไมตรงกบั โรคจะทำใหม อี าการปวดมวนในทอง และถายเปนมกู เลอื ด กลายเปนโรคบดิ 412 ลมพัดต้ังแตปลายเทาถึงศีรษะ บางตำราวาพัดต้ังแตกระเพาะอาหารถึงลำคอแลวออก ทางปาก เชน ลมที่เกิดจากการเรอ อุทธังคมาวาตาเปนองคประกอบ ๑ ใน ๖ ชนิด ของธาตลุ ม ประเภทของโรคตางๆ ทเ่ี กิดภายในชอ งทอง ปจ จุบนั กรรมอติสารชนิดหนึ่ง เกดิ จากการดูแลรกั ษาสะดอื ไมดใี นระยะแรกคลอด ทำให สะดือไมแหง สะดือเนา สะดือพอง กลายเปนสะดือจุนมีลมอุทรวาตเขาไปในทอง เม่ือโตขึ้นจะมอี าการทอ งเสยี ปวดมวนในทอ ง นอกจากน้ี ยังมีอาการทอ งอืดตลอดเวลา ชกั เทา กำมอื กำ หนาเขียว ชื่อโรคลมชนิดหนึ่ง เปนโรคลมประจำวันของเด็กที่เกิดวันอังคาร เปนโรคลมที่ติดมากับ เด็กต้ังแตแรกเกิด เรียกวา ลมกำเนิด มีอาการรองไหในเวลาเย็นเปนนิจ(ทุกวัน) ต้ังแต อยใู นเรอื นไฟจนถึงอายุ ๓ เดือน อาการของโรคกจ็ ะหายไปเอง หรอื รอ งไห อาการเชน น้ี พ้ืนบาน รองไห ๓ เดือน เปนเด็กเล้ียงยาก เมื่อมีอาการลมจะบังคับข้ึนในทอง ทำให ทองขึ้น จับเช่ือมมัวและหอบเปนตน ถาอายุเกิน ๓ เดือนขึ้นไปแลว ยังรักษาไมหาย จะมอี าการซูบหอม ทอ งข้นึ อาเจยี น จกุ เสียด ในท่สี ุดจะชกั มือกำเทา งอ ตาชอนขนึ้ สงู เรียกวา โรคตะบองราหูบา ง ตะพ้นั ไฟบาง ดูเพมิ่ เติมที่ แมซาง ชือ่ โรคชนดิ หน่ึง เกิดเพ่ือซางสะกอ เกิดขนึ้ ในสะดือขนาดเทาเมลด็ ขาวโพด อยปู ระมาณ ๙ วนั ๑๐ วนั ก็ตกลงในอุทร ทำใหล งดุจน้ำคาวปลา นับเพลามไิ ด จึงทำใหตกโลหติ สด ออกมา ๓ วัน ๔ วัน แลวจึงเปนโลหิตเสมหะเนาออกมาภายหลัง ทำใหกระหายน้ำ เชือ่ มมัว ตัวรอน เหมน็ อาหาร รา งกายซูบผอม
อุทรยิ ะสมุฏฐาน ตำราการแพทยแ ผนไทย ในศลิ าจารกึ วดั พระเชตพุ นวิมลมงั คลาราม (วัดโพธ)ิ์ เลม 3 อุปทม การเกิดโรคท่มี ีสาเหตมุ าจากการรบั ประทานอาหารเขาไปใหมๆ เปน องคป ระกอบ ๑ ใน อปุ ทังสะโรค ๔ ๒๐ สิ่งของธาตุดิน อุปปาติกะพยาธิ ชอ่ื โรคชนิดหนง่ึ เกิดแกช าย มีอาการโรคเกดิ ข้นึ ทอ่ี งชาต ลักษณะอาการโรค มี ๔ ชนิด อรุ ะปศ ะโรค คือ 1. เกิดการอักเสบ ฟก บวม เพราะเสพเมถุนกับหญิงยังไมมีระดู ทำให เจ็บปวดช้ำ อุระเสมหะ หรือเดาะเปนหนอง เปนโลหิตออกมาตามชองทวารเบา เปนตน 2. เกิดเพราะ อุระเสมหะสมุฏฐาน กระษัยกลอน และกาฬมูตร ทำใหองชาตบวม ปสสาวะขัดมีหนอง และเลือดไหลออก อรุ กั กะวาต ทางชอง ทวารเบา เปนตน 3. เกิดเพราะเปนโรคน่ิว ปสสาวะไมออก บางทีปสสาวะ โอปกมกิ าพาธ มีเลือดและหนองออกมาดวย เปนตน 4. เกิดเพราะเสพเมถุนกับหญิงที่ผานชายมาก ชองสังวาสช้ำ มีน้ำชุมเปนลำลาบ ดุจน้ำใบไม ใบหญา ทำใหองชาตเปนแผล กัดเปอย เจ็บปวด ทรมานย่งิ ชอื่ โรคชนิดหนึง่ เกดิ แกชาย มีอาการโรคเกิดข้นึ ท่อี งชาต ดูเพ่ิมเตมิ ท่ี อุปทม โรคท่ีเกดิ ขึ้นเองโดยไมท ราบสาเหตุ รดิ สีดวงประเภทหน่ึงเกิดในทรวงอกและสีขา งท้ัง ๒ ผูปวยมีอาการเจ็บท่ัวตัว บางทบี วม ทงั้ ตัว บางท่ที องเสยี เหมอื นเปน บิด ปวดมวนถา ยอุจจาระมีมกู เลือดปน หมายถงึ เสมหะในอก ซึ่งอยูร ะหวา งคอและสะดอื ดูท่ี เสมหะสมฏุ ฐาน ดทู ่ี ฝอ รุ กั กะวาต ช่อื โรคที่บงั เกิดข้นึ เพราะตกจากที่สูง หรอื ถกู ทบุ ถองโบยตโี ดยแรง ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย 413
ชดุ ตำราภูมิปญ ญาการแพทยแผนไทย ฉบับอนุรักษํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย 414
สํานักคุ้มครองภมู ิปัญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแ ผนไทย ในศลิ าจารึกวดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม (วดั โพธิ์) เลม 3 415
ชดุ ตำราภูมิปญ ญาการแพทยแผนไทย ฉบับอนุรักษํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย 416
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432