Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ✍️ ตำราการแพทย์แผนไทย ในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) เล่ม ๓

✍️ ตำราการแพทย์แผนไทย ในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) เล่ม ๓

Description: ✍️ ตำราการแพทย์แผนไทย ในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) เล่ม ๓

Search

Read the Text Version

ตำราการแพทยแผนไทย ในศลิ าจารึกวัดพระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม (วดั โพธ์ิ) เลม 3 กาฬธาตุอตสิ ารํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยแลวแลนลงไปในกระเพาะเบาบ้ันตนกระทำใหขัดปสสาวะเปนน่ิว แลวใหทองใหญไส กาฬพิพธั , กาลพิพธั พอง กระทำใหตามืดตาฟาง ใหตกมูกตกเลือด ปวดมวนซูบผอมเปนกำลัง ดวยพยาธิ กาฬพิพิธ, กาลพิพธิ จำพวกน้ีเกิดข้ึนในเนื้อแลแถวเอ็นทั่วทั้งกายมีตัวดั่งไร ในบ้ันปลายนั้นกระทำใหลง เปนฟองฟอด มีสีอันคล้ำ มีกล่ินอันเปร้ียวมีอาการกระทำใหทองข้ึนเพลาเย็นเปนนิจ กาฬสมทุ ร, กาฬสูตร แลใหลงไปวันละ ๖ เพลา ๗ เพลา ทั้งกลางวันกลางคืนบริโภคอาหารมิไดอยูทอง ใหกายน้ันซูบผอมสากไปทงั้ ตวั กาฬสิงคล,ี กาลสงิ คลี เปนโบราณกรรมเปนคำรบ ๕ นั้น คือ กาฬพิพิธ กาฬพิพัธ กาฬสมุทร กาฬมูตร กาละสุกระโรค, กาลสุกระโรค และกาฬสิงคลี กำเดา กาฬธาตุอติสารอยางหนึ่ง ตำราการแพทยแผนไทยวาเกิดจากกาฬ ซึ่งเกิดท่ีขั้วหัวใจ กำเรบิ ผูปวยมีอาการทองเสีย ถายอุจจาระเปนน้ำลางเน้ือ มีกล่ินเหม็นเหมือนซากศพ นอกจากนี้ ยงั มีอาการเหนอ่ื ยหอบ กิมชิ าต,ิ ตัวกมิ ชิ าติ กาฬธาตุอติสารชนิดหน่ึง ตำราการแพทยแผนไทยวา เกิดจากกาฬซ่ึงเกิดท่ีข้ัวตับ ผูปวยมีอาการทองเสีย ถายอุจจาระเปนเลือดสดเมื่อใหยาอาการทองเสียก็จะหยุด แตจะทำใหถายอุจจาระเปนมูกปนเลือดเนา มีอาการปวดมวนในทองมากแนนหนาอก สะอึก ผวิ หนังจะเกิดเปน วงสเี ขยี ว สีแดง กาฬธาตุอติสารชนิดหน่ึง ตำราการแพทยแผนไทยวา ผูปวยมีอาการทองเสีย กระหายน้ำ ตัวเย็น เหง่ือตกฯ ถากาลสมุทรเกิดจากกาฬซึ่งเกิดท่ีหัวใจลามลงมาถึง หัวตับ แลวกินตับขาดออกมาเปนทอนนอยแลทอนใหญดุจถานเพลิงอันดับ ทำใหหอบ เชอ่ื มมึน มีเสมหะอยูตลอด กาฬธาตุอติสารอยางหนึ่ง ตำราการแพทยแผนไทยวาเกิดจากกาฬ ซึ่งเกิดท่ีดีทำให น้ำดีร่ัว ซึม หรือลนออกมา ผูปวยจะมีอาการทองเสีย อุจจาระ ปสสาวะเปนสีเหลือง ตัวเหลอื ง ตาเหลอื ง นอกจากนี้ยงั มีอาการหอบ เพอ อาเจียน และตายภายใน 3 วนั ริดสีดวงประเภทหน่ึง เกิดในทวารหนัก ผูปวยมีเลือดสดๆ หรือมูกปนเลือดเกา แสบรอนคัน เมือ่ ยตามรา งกายและขอ กระดูก อาการท่ีเกิดจากลมและกำเดาใหโทษ คือใหจับหนาวสะทาน ใหรอนเรา กระหายน้ำ เหงอื่ ตก ระส่ำระสาย วงิ เวียน ลักษณะอาการของโรคท่ีเกิดจากสมุฏฐานใดสมุฏฐานหน่ึง มีความรุนแรงมากขึ้น กวาปกติ จำแนกได ๒ ชนดิ คอื ๑. ธาตใุ ดธาตหุ นึง่ ในรา งกายมกี ารผดิ ปกติ เกดิ เปนพิษ ข้ึนเรียกวา ธาตุกำเริบ ๒. อาการไขที่เปนอยูแลว แตมีส่ิงที่ทำใหอาการไขนั้นทวี ความรุนแรงข้ึนอยางรวดเร็ว เชน รับประทานอาหาร ผิดสำแดงเขาไป ทำใหอาการ ไขหนักมากขึน้ เรยี กวา ไขก ำเรบิ พยาธิ หรือหนอน ท่ีอาศัยอยูตามสวนอวัยวะภาพในรางกายคน หรือสัตว ทำใหเกิดโรค ขนึ้ ตางๆ กมิ ิชาตนิ ีม้ ี ๘๐ ชนิด แตล ะชนดิ มขี ่อื เรียกตางๆ ดงั น้ี - กมิ ชิ าติ อาศัยเกาะกินน้ำมูกอยูในจมูก มี ๓ ชนิด คือ ณะหาปตระ ฉละมุคะ และสัตมคุ ะ - กิมชิ าติ อาศัยเกาะกนิ ภายในกระเพาะอาหารมี ๗ ชนดิ คอื กะตะ โอตะกะ คนั ทุปา ตาลหริ ะ สุจิมุขะปวัตนันตุ และ สุกะตะ 385

ชุดตำราภมู ปิ ญญาการแพทยแผนไทย ฉบบั อนุรักษ ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย- กมิ ิชาติ อาศัยเกาะกินอยูกลางลำตัว มี ๔ ชนิด คือ โลหะมุขะ มหาโลหะมุขะ มนุ ะชา และมหามนุ ะชา กุจฉิสยาวาต กฏุ ฐัง - กมิ ิชาติ อาศัยเกาะกินอยูใตเล็บมือ เล็บเทา มี ๓ ชนิด คือ เลหะ ราคะ และอะวณั ณะ 386 - กมิ ิชาติ อาศัยเกาะกินอยทู ีม่ า ม มี ๒ ชนิด คอื กะตะ และ ราตวตั ถา - กมิ ิชาติ อาศยั เกาะกินอยูในกระบอกตา มี ๓ ชนิด คอื มาณะ ตะกา และณะวะ - กิมชิ าติ อาศยั เกาะกนิ อยูในคอ มี ๒ ชนิด คอื รัมมะหาและมหารัมมะหา - กิมชิ าติ อาศัยเกาะกนิ อยใู นตับ มี ๓ ชนิด คือ วระณะตะณะ และสวะระ - กมิ ชิ าติ อาศัยเกาะกินอยูในทวารเบ้ืองต่ำ(ทวารหนัก เบา) มี ๓ ชนิด คือ กิททา ภะยะ และปาลาตะ - กมิ ชิ าติ อาศัยเกาะกินอยูในเนื้อ และเสนเอ็น มี ๓ ชนิด คือ กันนะ รัชชะกะ และโลหิต - กิมชิ าติ อาศัยเกาะกินอยูในบริเวณคร่ึงลางของรางกาย ตั้งแตสะดือถึงปลายเทา เรียกวา เบ้ืองต่ำ อโรธคะทวาร มี ๕ ชนิด คือ วิสระหา สิวาระ เตชันตะ สิวะรา และมหาสวิ ะรา - กิมชิ าติ อาศัยเกาะกินอยูในบุพโพ(น้ำเหลือง) มี ๓ ชนิด คือ มัญชุ มุขะ และ มิกขะละ - กมิ ชิ าติ อาศัยเกาะกินอยูในปอด มี ๖ ชนิด คือ เสตะ โลหิตะ จะวะกาล สิวาจา อัคคะ และมหาอัคคะ - กมิ ชิ าติ อาศยั เกาะกนิ อยูใ นปตตะและในเสมหะ มี ๓ ชนดิ คอื นลิ ะกะ อปุ วะ และ สามขุ ะ - กมิ ชิ าติ อาศยั เกาะกินอยใู นผม มี ๒ ชนิด คือ มะละวา และมหามะละวา - กิมชิ าติ อาศัยเกาะกินอยูในพุง มี ๖ ชนิด คือ อะวิชา อะธิวิชา วัตธาสิธาทสะหะ และมนุ ขะ - กิมชิ าติ อาศัยเกาะกินอยูในมันขน มี ๓ ชนิด คือ สุธาชะ สิเนหะชา และ มหาสเิ นหะชา - กิมิชาติ อาศยั เกาะกินอยูในมนั เหลว มี ๒ ชนิด คือ ทิมนั ชา และ เลมขะ - กมิ ชิ าติ อาศยั เกาะกินอยใู นลิ้น มี ๓ ชนิด คอื กาละมขุ า และมันนะเปละ - กมิ ิชาติ อาศยั เกาะกินอยใู นสมอง กระดกู มี ๒ ชนดิ คือ ยาวะ และโสภา - กมิ ิชาติ อาศัยเกาะกินอยูในหัวใจ มี ๔ ชนิด คือ ทะนันตะ มหาทะนันตะ โลหิตะ และมหาโลหิตะ - กมิ ิชาติ อาศัยเกาะกินอยูลำไสนอย และลำไสใหญ มี ๖ ชนิด คือ วะระสิมหา วะระนะตา มหาวะระนะตา สบิ ปา มหาสบิ ปา และสนั ตะอันตา ลมพดั ในทอ งแตพ ัดนอกลำไส เปน องคประกอบ ๑ ใน ๖ ส่งิ ของธาตลุ ม โรคผิวหนังชนิดหนึ่งแจงอยูในคัมภีรวิถีกุฐโรค คือโรคเรื้อนนั้นมีประเภท ๗ ประการ โรคเร้ือนอันบังเกิดแตปถวีธาตุ, อาโปธาตุ, เตโชธาตุ, วาโยธาตุ, เกิดเปนชาติสัมพันธ ตระกูล และเกิดดวยสามัคคีรสวาหลับนอนระคนกัน และเปนอุปปาติกะ เปนตน พยาธิโรคทั้ง ๗ จำพวกนี้ บังเกิดดวยกิมิชาติที่อาศัยอยูในอัฐิและช้ินเน้ือของตนเอง ใหเปนเหตุ ถาเกิดในอัฐิโลกสมมุติวากุฏฐัง เปนอติสัยโรค อาการตัด ถาเกิดในชิ้นเน้ือ โลกสมมตุ ิวาโรคเร้ือน เปนอสาทยโรค รกั ษายาก

เกลยี วปตฆาตํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแผนไทย ในศิลาจารึกวดั พระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธ)์ิ เลม 3 เกศา โกฏฐาสยาวาตา ชื่อเสนเอ็นที่อยูภายในรางกายคูขนานไปกับเสนเลือดบริเวณทองนอยและหนาขาเปน โกฏฐาสยาวาตอตสิ าร เสนสำคัญ เมอื่ กดเสน นี้จะรูสึกวา เตนตบุ ๆ บางทีเขยี น ปฏฆาตหรอื ปต ฆาฏ ผม องคประกอบ ๑ ใน ๒๐ สงิ่ ของธาตดุ ิน ขวัญกนิ เถ่อื น ลมพดั ในลำไสแ ละกระเพาะอาหาร เปน องคประกอบ ๑ ใน ๖ ส่งิ ของธาตุลม ขัดเบา ปจจุบันกรรมอติสารชนิดหน่ึง ตำราการแพทยแผนไทยวา เกิดจาก ลมโกฏฐาสยาวาตา เขมา ทำหนาท่ีไมปรกติ และชองทวารหนักเปด ทำใหอาหารท่ีกินเขาไป ขับออกทาง ทวารหนกั อยางรวดเรว็ ผปู ว ยมอี าการตางๆ ไขก ระดานหนิ ขวญั ทอ่ี อกไปจากรางกาย ทำใหม ีอาการสะดุง ผวา ตกใจงาย หรอื เจ็บปว ย อาการของโรคอยางหนึ่ง ทำใหปสสาวะไมออก ปสสาวะกระปริดกระปรอย ทำใหปวด ไขข า วไหมนอย บรเิ วณทอ งนอย ไขเ จลยี ง โรคเด็กชนิดหนึ่ง เกิดกับทารกที่อยูในเรือนไฟ (โดยทั่วไปอายุไมเกิน ๑ เดือน) ผูปวย ไขต รีโทษ มีฝาสีเทาแลวเปล่ียนเปนสีดำ เกิดไดตั้งแตหนาอกถึงปลายลิ้น เมื่อลุกลามเขาไปภายใน ไขเ พอื่ โลหิต ก็จะทำใหมีอาการรุนแรงข้นึ เชน อาเจียนอยางแรง ทองเสยี อยา งแรง ไขฟองปานแดง โรคกลุมหนึ่ง ผูปวยมีอาการเหมือนกับไขตะมอย แตสัณฐานตางกัน ถาไขกระดานหิน ไขมะเร็งตะมอย เกิดที่ตนขาทั้ง ๒ ขาง เปนวงสีเขียว สีลูกหวาสุก ใหรีบรักษาต้ังแตเร่ิมมีอาการ ถาเปน ระยะเวลานานจะทำใหผ วิ ลอกเปอย รกั ษาไมไ ด ไขมะเรง็ ทูม โรคกลุมหนึ่ง ผูปวยมีผื่นขึ้นเปนเม็ดแดงๆ เปนแผนๆ ขึ้นหลายที่ ทำใหปวดกระดูก ทุกขอ และใหบ ดิ ครา นตน ทรุ นทรุ าย กระหายน้ำ แลว ใหน้ำลายเหนียว ไขรากสาดกระดานหนิ โรคกลุมหน่ึง ผูปวยมีอาการไขวันเวนวัน ในทางการแพทยแผนไทย มีหลายชนิด เชน ไขร ากสาดมะเรง็ ทมู ไขเ จลียงอากาศ ไขเจลียงพระสมทุ ร ไขเจลียงไพร เปนตน ไขละอองไฟฟา ความเจ็บปวยอันเกิดจากกองสมุฏฐานปตตะ วาตะ และเสมหะรวมกันกระทำใหเกิด โทษ หรือความผดิ ปกตติ างๆ ชื่อโรคชนิดหนึ่ง ทำพิษตัวรอนกลา กระหายน้ำ ปวดศีรษะ เจ็บตามรางกาย เบาเหลือง ผวิ ตวั แดง ลนิ้ คางแข็ง ฟนแหง ปากแหง เหนียวน้ำลาย ชอื่ โรคชนิดหนง่ึ ผูปว ยมอี าการเหมอื นไขฟ องปานดำ แตม ีความรุนแรงของโรคนอ ยกวา ฝกาฬชนิดหน่ึง ผูปวยมีฝซ่ึงขนาดอาจโตเทาหัวแมมือผุดขึ้นตามตัว หรือตามแขนขา เรียก ฝมะเร็งตะมอย จะทำใหผูปวยมีไขสูง เรียก ไขมะเร็งตะมอย ถาเม็ดฝมีโคนสีขาว หัวสีดำ จำทำใหผ ูปว ยมอี าการรนุ แรงมาก ชื่อโรคชนิดหน่ึง ทำใหผูปวยมีอาการสะทานรอนสะทานหนาว เสียวซานทั่วรางกาย ตัวรอน ทองรอน เทาเย็นถึงเขา ปวดศีรษะ ครั่นตัว มีอาการต้ังแตเท่ียงคืนถึงรุงเชา แลว ทำใหบ วมข้นึ บรเิ วณใดบรเิ วณหนง่ึ หรือบวมท้ังตัว ทำใหคันมาก ดทู ่ี ไขก ระดานหนิ ดูที่ ไขมะเรง็ ทูม ชือ่ โรคชนิดหนึง่ มลี ักษณะยอด เหมอื นกบั ไขสายฟา ฟาด แตไ ขละอองไฟฟา ยอดมสี ีแดง กอ นแลวจึงคลำ้ ดำเขา ผูป วยมกั มีอาการปากเบ้ยี ว ตาแหก คางคลาด ใหรีบรักษา 387

ชุดตำราภมู ิปญ ญาการแพทยแ ผนไทย ฉบบั อนุรักษ ไขส นั นิบาต ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยชอื่ โรคชนดิ หนึง่ ทำใหเปน ไข มีอาการหนาวสัน่ ชกั กระตกุ และเพอ คชราด ๒ จำพวก ชื่อโรคชนิดหน่ึงเปนโรคติดตอเรื้อรัง ซ่ึงเกิดเปนเม็ดผุดขึ้นภายนอกตามผิวกาย เปน ตุมเลก็ ๆ คลา ยหูด แลว คอ ยๆ โตขน้ึ ลกั ษณะคลายดอกกะหลำ่ ปลี พษิ ของโรคทำให ครรภรักษา มีอาการไข ตัวรอน เบ่ืออาหาร น้ำหนักลด ตุมดังกลาวมัก ข้ึนตามใบหนา บริเวณจมูก ครีบกรด, ฝค รีบกรด ขา เทา เปนตน บางทเี รยี กวา คดุ ทะราด การดูแลรกั ษาพยาบาลหญิงตงั้ ครรภใหเ ปน ปรกติ ครีบชิวหา ฝวัณโรคชนิดหน่ึง ผูปวยมีตุมแข็งสีแดง ขนาดตั้งแตเมล็ดงาถึงถ่ัวเขียวขึ้นท่ีครีบล้ิน คิมหันตะฤดู ตำราวาทำใหลิ้นกระดางคางแข็ง เจ็บๆ คันๆ หากรักษาไมทัน ยอดฝแตกออก จะเปอย คุดทะราด เปนขุม ลามไปทั่วล้ินทั้งดานบนและดานลาง อาจบวมทะลุไปถึงบริเวณใตคาง มีเลือด และหนองไหล กลิน่ เหม็นเหมือนซากศพ คถู ทวาร บริเวณดา นขา งของลิ้นทั้ง 2 ขาง คถู เสมหะ ฤดรู อน ดเู พิ่มที่ฤดู ๓ ฤดู ๔ และฤดู ๖ คถู เสมหะสมฏุ ฐาน, ช่ือโรคชนิดหน่ึงเปนโรคติดตอเร้ือรัง ซ่ึงเกิดเปนเม็ดผุดข้ึนภายนอกตามผิวกาย สมุฏฐานเสมหะ เปนตมุ เลก็ ๆ คลา ยหูด แลวคอ ยๆ โตข้นึ ลกั ษณะคลายดอกกะหลำ่ ปลี พิษของโรคทำให ฆานะโรค มีอาการไข ตัวรอน เบ่ืออาหาร น้ำหนักลด ตุมดังกลาวมัก ขึ้นตามใบหนา บริเวณจมูก งวด ขา เทา เปน ตน บางทีเรยี กวา มะเรง็ คุดทะราด ฉะกาลวาโย ทวารหนกั เมือกทเ่ี คลือบอยทู ี่ผนงั ดานในของลำไสถ งึ ทวารหนัก ชำ้ รัว่ ที่ต้ังหรือที่แรกเกิดของโรคอันเกิดจากเสลด แบงออกเปน 3 อยาง ไดแก ศอเสมหะ (เสมหะในลำคอ) อุระเสมหะ (เสมหะในอก) และคูถเสมหะ (เสมหะในสวงทวาร) เชื่อมมวั ริดสีดวงประเภทหน่ึงเกิดในจมูก ผูปวยจะหายใจขัด มีเม็ดขึ้นในจมูก เมื่อเม็ดน้ันแตก 388 จะทำใหปวดแสบปวดรอ นมาก นำ้ มูกไหลอยตู ลอดเวลา ลมหายใจมีกลิน่ เหม็น ลดลงไป, พรอ งลงไป, แหง ลงไป เชน อาหารงวด ธาตุลม 6 ประการ ไดแก ลมพัดตง้ั แตปลายเทา ถงึ ศรี ษะ (อทุ ธงั คมาวาตา) ลมพัดตัง้ แต ศรี ษะถงึ ปลายเทา (อโธคมาวาตา) ลมพัดในทอ งแตพัดนอกลำไส (กุจฉิสยาวาตา) ลมพัด ในลำไสและกระเพาะอาหาร (โกฏฐาสยาวาตา) ลมพัดทั่วสรีระกาย (อังคมังคานุสารี วาตา) และลมหายใจเขาออก โรคทางเดินปสสาวะและอวัยวะสืบพันธุกลุมหน่ึง เกิดกับผูหญิง ผูปวยมีอาการปวดแสบ ปวดรอนภายในชองคลอดและทวารเบา กล้ันปสสาวะไมอยู เจ็บและขัด ถังบริเวณ หัวเหนา ตำราการแพทยแผนไทยวา เกิดจากสาเหตุ ๔ ประการ ไดแก 1. เกิดจากการ คลอดบุตร แลวอยูไฟไมไ ด ทำใหเ สมหะ โลหติ เดินไมส ะดวก มดลูกเนา 2. เกิดจากการ มีเพศสัมพันธมากเกินไป 3. เกิดจากฝในมดลูก ทำใหมีหนองหรือน้ำเหลืองไหลออกมา 4. น้ำเหลืองท่ีเกิดจากทางเดินปสสาวะอักเสบไหลออกมาทำใหเกิดแผลท่ีเปอยลามท่ี ทวารเบา ปสสาวะไหลกะปรบิ กะปรอย ปวดแสบ ขัดหัวเหนา อาการของโรคอยางหนึ่ง พิษไข หรือพิษของโรค ทำใหใบหนาหมองซึง นัยนตาปรือ ไมก ระปรกี้ ระเปรา

ซางํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแผนไทย ในศิลาจารกึ วัดพระเชตพุ นวิมลมงั คลาราม (วดั โพธ์ิ) เลม 3 ซางกระแหนะ ช่ือโรคชนิดหนึ่ง เปนกับเด็กตั้งแตแรกเกิดจงถึงอายุ ๑๒ ป อาการของโรคมีหลายอยาง ซางกราย เชน ตวั รอน เชอ่ื มซึม ปากแหง อาเจียน บริโภคอาหารไมได ทอ งเดนิ และท่สี ำคญั จะมี ซางกะตัง, ซางกระตงั เม็ดข้ึนตามสวนตางๆ ของรางกาย ในปาก ในคอ ล้ินเปนฝา เปนตน โรคซางมีหลาย ซางขา วเปลือก ลกั ษณะ หลายชนดิ จำแนกออกเปนกลมุ ใหญ ได ๒ กลุม คือ ซางเจา เรือน และ ซางจร โรคซางทง้ั ๒ กลุมน้ี มีแมซ างเปน ท่ีสงั เกต ซางโค ซางจรชนิดหน่ึง เกิดแทรกซางแดงอันเปนซางเจาเรือนประจำเด็กเกิดวันอังคาร ซางจร ซางชนิดน้ีมีแมซาง ๓ เม็ด มีบริวาร ๓๐ เม็ด แมทรางทั้ง ๓ เม็ดนั้นจะขึ้นที่ปลายล้ิน ซางโจร ๑ เม็ด ตนคาง ๑ เมด็ และทรวงอกหรือโคนลิ้น ๑ เมด็ โดยมีบริวารลอ มแมซ างตำแหนง ละ ๑๐ เม็ด เด็กท่ีปวยเปนซางชนิดนี้จะดูดนมไมได ลิ้นกระดางคางแข็ง กำมือ เทางอ ถาแมซางเล่ือนลงไปในทอง จะทำใหมีอาการทองเสีย ถายเปนมูกเลือดใส รางกาย ซูบผอม เบอ่ื อาหาร ปวดมวนทอ งมาก ซางจรชนิดหนึ่ง เกิดแทรกหรือตอจากซางเพลิง อันเปนซางเจาเรือนประจำเด็กเกิด วันอาทิตย เด็กท่ีปวยจะมีเม็ดยอดที่เปนแมซาง ๔ เม็ด ขึ้นท่ีหัวเหนา ๒ เม็ด ทอง ๒ เม็ด และมียอดท่ีเปนบริวาร อีก ๔๐ เม็ด เมื่อเริ่มมีอาการจะมีลักษณะเหมือนผด เม่ือเปนมากเม็ดยอดที่เปนแมซางจะมารวมกันท่ีทอง ทำใหมีอาการตัวรอน อาเจียน กนิ อาหารไมได นอนสะดุง ถายเปนมกู เลือด ซางจรชนิดหน่ึง เกิดแทรกหรือเกิดตอจากซางสะกออันเปนซางเจาเรือนประจำเด็กเกิด วันพุธ โรคนี้จะเกิดกับทารกท่ีมีอายุมากกวา ๑ เดือน โดยจะเกิดตอจากเขมา ซางจร ชนิดนี้มีแมซาง ๓ เม็ด แตละเม็ดมีบริวาร ๑๐ เม็ด แมซางและบริวารจะทยอยข้ึนตาม สวนตางๆ ของรางกาย ทำใหเ กิดอาการแตกตา งกนั เชน เมอ่ื แมซ างทัง้ ๒ เมด็ ข้นึ พรอม กนั แลวกระจายไปทก่ี ระเพาะปส สาวะ จะทำใหม อี าการปสสาวะขดั ช่ือโรคซางชนิดหนึ่ง เปนซางจรแทรกซางโค ซ่ึงเปนซางเจาเรือน ประจำเด็กเกิด วันพฤหัสบดี มีแมซาง ๕ เม็ด มีบริวาร ๕๐ เม็ด แมซางทั้ง ๕ เม็ด จะข้ึน ที่ขมอม กลางหลัง นาภี รักแร ๒ ขาง แมซางท้ัง ๕ มีบริวารแหงละ ๑๐ เม็ด มีอาการคร้ังแรก ใหปากรอนและลงทองกอน ตอไปมือเทา เยน็ ตอ เมอื่ แมซางทส่ี ันหลัง และรักแรเ ลอื่ ยไป อยูที่นาภี ซางบริวารขึ้นรายไปท้ังตัว สัณฐานดังเม็ดหัดหรือปาน จะมีอาการลงทอง อาเจยี น ทองขึ้น มอื กำ เทา งอ ลน้ิ กระดา ง คางแขง็ เปน ตน ดเู พิ่มเติมที่ แมซ าง ช่ือโรคซางชนิดหน่ึง เปนซางเจาเรือน ประจำเด็กเกิดวันพฤหัสบดี มีแมซาง ๔ เม็ด ขึ้นแข็งดังตาปลาที่โคนลิ้น ปลายล้ิน ขางล้ิน มีบริวาร 5๐ เม็ด ข้ึนในปาก กระเพาะ อาหาร ทำใหมีอาการเปนไข ตัวรอน กระหายน้ำ อาเจียน มือเทาเย็น หอบ ลงทอง ตกโลหิต ซบู ผอม เปนตน ดูเพมิ่ เติมที่ แมซาง ซางจร หรอื ซางแทรก คือโรคซางท่ีบังเกิดเปนแทรกขึ้นระหวางโรค ซางเจาเรือน ซางจร นจี้ ะเปนอยจู นถงึ อายุ ๑๒ ป จึงจะพนจากโทษของโรคซาง ดเู พมิ่ เตมิ ที่ ซางและแมซ าง ช่ือโรคซางชนิดหนึ่ง เปนซางเจาเรือน ประจำเด็กเกิดวันเสาร มีแมซาง ๙ ยอดขึ้นตาม สว นตางๆ ของรา งกาย มี ลกั ษณะสัณฐานตางๆ กนั เชน ขน้ึ ท่ีปากและเหงือก จะมียอด สีเหลืองจัด ถาขึ้นที่สะดือ จะมียอดแหลม ตรงกลางเปนสีดำ ขอบโดยรอบเปนสีเหลือง และแดง เปน ตน และมีปวดมวนทอ ง ปอมเหลือง และครา นนำ้ เปนตน จัดเปนโรคซาง ท่มี พี ิษรายมาก และอาจจะบงั เกิดแทรกได ทกุ ซาง ดูเพิ่มเติม แมซ าง 389

ชดุ ตำราภูมิปญ ญาการแพทยแ ผนไทย ฉบบั อนุรักษ ซางชา ง ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยช่ือโรคชนิดหน่ึง เปนซางเจาเรือนประจำเด็กเกิดวันศุกร มีแมซาง ๘-๙ ยอด ขึ้นในท่ี ซางแดง ๓ แหง คือ ที่ทอง ๓ ยอด ทรวงอก ๓ ยอด เพดาน ๒-๓ ยอด มีบริวาร ๘๐ ยอด ซางนางรนิ้ ข้ึนรายกระจายไปตามรางกาย ท่ีแขน ขา ชายโครง กลางหลัง เปนตน มีอาการ ไอ คอแหง เจบ็ คอ อาเจยี นลม คอเปอ ย คนั ทงั้ ตวั กบั มแี ผลพพุ อง หากข้ึนที่ กระเพาะ ซางน้ำ ลำไส จะทำให บริโภคอาหารไมได เบื่ออาหาร ทองผูกจนจนเปนพรรดึก เปนตนดู ซางฝาย เพมิ่ เตมิ ที่ แมซ าง ซางเพลงิ , ซางไฟ ชื่อโรคซางชนิดหนึ่ง เปนซางเจาเรือนประจำเด็กเกิดวันอังคาร มีแมซาง ๖ เม็ด ข้ึน 390 ขมอม ๓ เม็ด สันหลัง ๓ เม็ด มี บริวารรวม ๗๒ เม็ด สังเกตไดวา แมซางจะข้ึนเปน ระยะๆ ละ ๑ เม็ด ต้ังแตเด็กเกิดได ๓ เดือน ๖ เดือน ๙ เดือน แมซางยอดเอกจะมี สีแดง ถาข้ึนที่สันหลัง บริวารจะออกมา ที่คอ รักแร คาง ขาหนีบ ทวารหนัก มีอาการ อาเจียน กระหายน้ำ เปนไข เช่ือมมึน ไอ ตกมูกเลือด บริโภคอาหารไมได เปนตน จดั เปนโรคซางท่มี พี ษิ มาก ดเู พิม่ เตมิ ท่ี แมซ าง ช่ือโรคซางชนิดหนึ่ง เปนซางจรแทรกซางโจร ซ่ึงเปนซางเจา เรือนประจำเด็กเกิด วันเสาร มีแมซาง ๔ เม็ด บริวาร ๕๖ เม็ด โรคนี้เกิดกับเด็กตั้งแตออกจากเรือนไฟ ข้ึนรายไปตามรางกาย ทำใหอาการตางๆ เชน ขึ้นท่ีคอ ทำใหคอแหง ลิ้นขาว ดูดนม ไมได ไอ กระหายน้ำ ข้ึนที่ทรวงอก ทำให ตกมูกเลือด ตาแดง ข้ึนกระเพาะปสสาวะ ทำใหข ดั เบา บางท่ปี สสาวะเปน ดัง่ นำ้ ขาว และดินสอพอง เปน ตน ซางนางรน้ิ นี้ อาจจะ บงั เกดิ แทรกไดท กุ ซาง ถาเปนข้นึ พรอมกบั ซางโจร เรียกวา ซางโจรนางรน้ิ เมด็ ซางข้ึนที่ กระเพาะข้ี ทำใหอุจจาระสีขาวหยาบ เหม็นคาวเปนสาเหลา ทำใหอยากกินของสดคาว ถาขึ้นตามผิวกายจะทำใหผิวเปนเกล็ดลายดังปลากระทิง ถาข้ึนในอกทำใหหายใจ ไมสะดวก หอบขึ้นในทองทำใหลงทองเปนเมือกมัน มีไขตัวรอนมือเทาเย็นอาจชักมือ มือกำ เทางอ เปนตน ดูเพ่มิ เตมิ ท่ี แมซ าง ซางเจา เรอื นประจำเดก็ เกิดวันจนั ทร เดก็ ท่ีปวยเปนโรคนจ้ี ะมเี มด็ ยอดสีแดงวงขนาดใหญ ท่ีเปนแมซาง ๑๙ เม็ด ขึ้นตามแขน ตามแขง กลางหลัง และแกม ไมมีเม็ดยอดท่ีเปน บริวาร โรคนี้อาจเกิดกับเด็กตั้งแตระยะท่ีเปนทารกในครรภจนถึงหลังคลอด ซ่ึงอาจ รักษาใหหายไดใ น ๑๒ วัน แตถา รกั ษาไมห าย แมซางจะทยอยข้ึนกระจายไปตามอวัยวะ ตางๆ เม่อื เด็กมอี ายุ ๒ ขวบ ๖ เดอื น มกั มอี าการหนกั ขึ้น เม็ดยอดจะแตกเปน นำ้ เหลอื ง เปนแผลเปอ ยท่ัวตัว นานเขาจะทำใหมีไข ปวดทอง ทองรวง ซางจรชนิดหน่ึง เกิดแทรกซางน้ำอันเปนซางเจาเรือนประจำเด็กเกิดวันจันทร ไมมี แมซ างเกิดขน้ึ ตามผวิ หนงั แตขึน้ ที่เพดานปากกระพุงแกม ไรฟน และลิน้ เด็กท่ีปว ยเปน โรคน้ีจะมีอาการล้ินเปนฝาขาว มีไขสูง ปากรอน ปากแหงไมมีน้ำลาย หุบไมลง กนิ อาหารไมไ ด อาเจยี น ทอ งเดิน อุจจาระเหม็นเหมือนไขเ นา ซางเจาเรือนประจำเด็กเกิดวันอาทิตย เด็กท่ีปวยเปนโรคน้ีจะเริ่มมีเม็ดยอดท่ีเปนแมซาง ๔ เมด็ เกิดท่ีบริเวณฝาเทา เมอื่ มอี ายไุ ด ๗ วัน และมีเมด็ ยอดที่เปนบริวารอกี ๔๐ เม็ด ขึ้นท่ีหนาแขงขา งละ ๒๐ เมด็ ซง่ึ อาจรักษาใหหายไดใน ๑๑ วนั แตถา รกั ษาไมหายและ มีอาการคงอยู แมซางและบริวารจะกระจายออกไป ทำใหเกิดอาการตางๆ เชน เมื่อ แมซางและบริวารกระจายขึ้นไปจากกลางหนาแขง ถึงหัวเขาเปนเม็ดสีแดงลามออกไป เหมือนไฟไหม ทำใหม อี าการปวด เมอื่ มอี าการรุนแรงขึ้นอาจถึงตายได

ซางสะกอํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแ ผนไทย ในศลิ าจารึกวดั พระเชตพุ นวิมลมงั คลาราม (วัดโพธ)ิ์ เลม 3 ดานเสมหะ ซางเจา เรอื นประจำเดก็ เกิดวนั พุธ โรคนเี้ กดิ กบั ทารกไดตั้งแตแรกเกดิ ทารกจะมเี ม็ดยอด ตกมูกตกเลือด ท่ีเปนแมซางขึ้นบริเวณทองสวนบน ๔ เม็ด มีบริวาร ๔๐ เม็ด (บางตำราวา ๔๒ เม็ด) ตอ ซ่ึงอาจรักษาใหหายไดใน ๑๔ วัน แตถารักษาไมหายและมีอาการคงอยูถึง ๓ เดือน เม็ดยอดจะกระจายไปท่ัวรางกาย ทำใหเกิดอาการตางๆ เชน ถากระจายไปที่ลำไส ตอกงเกวยี น จะทำใหทอ งผูก ปสสาวะขัด เม่ือเปนอยูน านและรักษาไมถูกตองอาจทำใหถงึ ตายได ตอ กน หอย อาการแขง็ ในทองในเดก็ ทำใหมอื เทา เย็น อาเจยี น ทองเสยี ตวั รอ น ถา เปน มากชักตาต้งั ตอกระจก อาจถึงตายได ถา เปนในผใู หญม อี าการเสมหะแหงท่หี นา อกและคอ ตอกระจกขาว อาการของโรคอยางหนึ่ง เมือ่ ถา ยอจุ จาระจะมมี กู หรือน้ำเหลือง และเลอื ดทอ่ี ยูในลำไส ตอกระจกเขยี ว ติดออกมาดว ย โรคอยางหน่ึงเกิดท่ีลูกตาอาจทำใหตาพิการหรือตาบอดได เกิดจากสาเหตุแตกตางกันไป ตอกระจกแดง โดยท่ัวไปผูปวยมักเกิดความรำคาญ มีอาการตามัว มองเห็นไมชัด ตำราแพทยแผนไทย วา มีหลายชนิด เชน ตอหมาก ตอแนะ ตอฝ ตอวาโย ตอลิ้นสุนัข ตอกนหอย ตอสลัก ตอ กระจกปรอท ตอกงเกวียน ตอแกว ตอเนื้อ ตอแววนกยูง ตอหมอก ตอลาย ตอกระจก ตอหิน ตอมะเกลือ ตอไฟ ตอหดู ตอสผี ง้ึ และตอ ขาวสาร โรคชนิดหน่ึง ผูปวยมีจุดขึ้นที่หัวตา ปวดเคืองนัยนตา สาเหตุเกิดจากลมในทอง ทำให คล่ืนเหยี น ผะอดื ผะอม เจ็บในทอ ง ทองขึ้น จกุ เสยี ด มวนทอ ง เปน ตน โรคตอชนดิ หนึ่ง เริม่ ตนเกดิ ท่นี ว้ิ หวั แมเ ทา เนื่องจากเดนิ มากและสะดุดบอ ยๆ ผูปวยจะมี อาการเคืองตา ตาพราบอยๆ เมื่ออยูนานตาดำจะมีหลุมลึกคลายกนหอย ทำใหตามัว มอื เทา เยน็ เมื่อยตน คอ โรคตอชนิดหนึ่ง ตำราการแพทยแผนไทยวา เกิดจากลมท่ีฝาเทา ผูปวยมีอาการเมื่อยตั้ง แตเทาจนถึงตนคอ เมื่อเปนอยนู าน 2-3 ป จะมอี าการปวดศีรษะมาก แลวมีจดุ สดี ำข้ึน เปนแผน บางๆ ขนึ้ ท่ีตาดำ ทำใหตามวั มองเหน็ ไมชัด โรคตอกระจกชนิดหน่ึง ตำราการแพทยแผนไทยวา เริ่มตนเกิดจากน้ิวหัวแมเทาท้ัง ๒ ขา ง ผปู ว ยจะมอี าการเม่อื ยตง้ั แตบ รเิ วณ ๒ เทาข้นึ มา บางครง้ั อาจมอี าการตึงบริเวณ ตนคอ ปวดศีรษะ แลวปวดเสียดนยั นต า ทำใหตามวั โรคตอ กระจกชนิดหนง่ึ ตำราการแพทยแผนไทยวา เริม่ ตน เกดิ จากหวั ใจ (คมั ภีรอ ภยั สนั ตาวาเกิดจากทรวงอก) ผูปวยมีนัยนตาสีเขียวอมฟา บางคร้ังมองเห็นเปนหมอกควัน สีเขียวหรือสีรุง มีอาการหงุดหงิดงาย บางคร้ังมองเห็นเปนหมอกควันสีเขียวหรือสีรุง มอี าการหงดุ หงดิ งา ย อยากกินของเปรี้ยว หรอื หวาน เปนตน เม่อื เปน อยนู าน ๑-๒ เดือน จะมีเยือ่ ยางๆ สขี าวขุนคลุมครง่ึ หน่งึ ของนัยนตา ทำใหม องเห็นสงิ่ ตา งๆ เพียงคร่งึ เดียว โรคตอชนิดหน่ึง ตำราการแพทยแผนไทยวา เร่มิ ตน เกิดจากฝา เทา ผูปว ยจะเรม่ิ มอี าการ ปวดคันและรอน บริเวณใจกลางฝาเทา แลวมีอาการรอนแดง บริเวณเน้ือตัว และ ผิวหนังเหมือนถูกไฟไหม เมื่อยต้ังแตสันหลังถึงตนคอ ปวดศีรษะมาก อาการเหลานี้ จะเปนๆ หายๆ อยูประมาณ ๒-๓ เดือน (คัมภีรอภัยสันตาวา ๒-๓ ป) แลวจะมี เย่ือบางๆ รปู พระจนั ทรครงึ่ ซกี ปกคลุมนยั นต า ทำใหดวงตามดื มวั โรคตอกระจกชนิดหน่ึง ตำราการแพทยแผนไทยวา เริ่มตนเกิดท่ีบริเวณขอบตับ ผูปวย มีอาการปวดเม่ือยตามรางกาย แนนหนาอก หิวบอย เหนื่อยงาย เม่ือเปนอยูนาน ๑-๓ ป จะเกดิ เงาเปนดวงกลมๆ ขนึ้ ทแ่ี ววตา ทำใหต ามดื มวั มองไมเหน็ 391

ชดุ ตำราภูมปิ ญญาการแพทยแผนไทย ฉบบั อนุรักษ ตอ กระจกแววนกยูงํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยโรคตอชนิดหน่ึง ผูปวยมีอาการปวดเมื่อยตามขอ ครั่นเนื้อคร่ันตัว มึนศีรษะ เม่ือเปน ตอกระจกเหลือง เรอื้ รงั จะทำใหแ ววตาเหมอื นแววนกยงู ทำใหต ามดื มัว โรคตอกระจกชนิดหนึ่ง ตำราการแพทยแผนไทยวา เกิดจากปตตะสมุฏฐาน ผูปวย ตอนลิ กระจก มอี าการตาเหลอื ง ปวดเม่ือยตามรา งกาย อาการเหลา น้ีจะเปนๆ หายๆ เม่ือเปน อยนู าน ตอเน้อื ๙-๑๐ เดือน บริเวณดานลางนัยนตา จะมีสีเหลืองเขมข้ึน ทำใหมองต่ำไดไมชัดเจน ตอสาย ดวงตาจะมวั และบอดในท่ีสุด ตอ สายโลหติ โรคตอกระจกชนิดหนึ่ง ตำราการแพทยแผนไทยวาเกิดจาก ปตตะสมุฏฐาน ผูปวย มีอาการตามดื มวั หาวนอน อยากกินอาหารเปรีย้ วหวาน ตอหมอก โรคตอชนดิ หนึ่ง เรม่ิ ตน เกดิ จากหวั ใจ ผปู ว ยมผี น่ื แดงๆ ขนึ้ เปนแผนเลก็ ๆ ท่บี รเิ วณหวั ตา ตอหลังเบย้ี หรือหางตา นานเขาจะกลายเปนเย่ือสีเน้ือหรือสีเน้ืออมแดงปกคลุมตาดำ ทำใหตาแดง ตะมอย ปวดเคือง และฟกบวม ลมื ตาไมข ้ึน โรคตอชนิดหนึ่ง คัมภีรอภัยสันตาวา เกิดจากกำเดา (เปลวแหงความรอน) แบงเปน ตบั ทรุด ๒ ชนดิ คือ ตอสายโลหิต และตอสายฟา ฟาด ตบั ยอ ย ตอสายชนิดหนึ่ง ไมปรากฏรายละเอียดในตำราการแพทยแผนไทย อยางไรก็ตาม ตบั เลื้อย ในเอกสารคำบรรยายการอบรมแพทยประจำตำบลท่ัวราชอาณาจักร เร่ืองโรคเก่ียวกับ ตับหยอน ตา ของเจริญ พงษมาลา ใหไดความหมายวา “ตอชนิดน้ีเกิดเพ่ือกำเดาคลายกับผูเปน ตาทราย ตอนแรกมีอาการเขมนถี่ เหน็ ท่พี ้ืนตาขาวเปน สแี ดงเขม มีเสน โลหติ กา ยกนั เปน เสนเล็กๆ เห็นเปนเม็ดทรายที่เสนโลหิต เม็ดเปนตุมเล็ก ตอเมื่อนานวันเขาตุมเม็ดเลือด จะโตขึ้น และเสนโลหติ กข็ ยายใหญข้นึ และมีสีเขมจัด” ตอสายเลอื ดก็เรยี ก โรคตอชนิดหนึ่ง เกิดจากโลหิต (เมื่อเกิดระหวางเดือน 5-8) หรือกำเดา (เม่ือเกิด ระหวางเดือน 9-12) หรือเสมหะ (เมอื่ เกดิ ระหวา งเดือน 1-4) ผูป ว ยมีอาการปวดบวม ทนี่ ัยนต า มฝี าสีขาวปกคลมุ ตาดำ โรคตอชนิดหน่ึง ตำราการแพทยแผนไทยวา เริ่มตนเกิดบริเวณทองนอย ผูปวยมีอาการ ปวดถว งบรเิ วณทองนอ ย เคืองตา ปวดตา ตาฟกบวม เปน ตน ฝกาฬชนิดหน่ึง ผูปวยมีฝ ซ่ึงอาจมีขนาดโตเทาหัวแมมือผุดข้ึนตามตัว และ/หรือ ตาม แขนขา เรียกฝมะเร็งตะมอย จะทำใหผูปวยมีไขสูง เรียก ไขมะเร็งตะมอย ถาเม็ดฝมี โคนสีขาว หัวสีดำ จะทำใหผูปวยมีอาการรุนแรงมาก และหากเม็ดฝแตกออกหรือรักษา ไมหายจะกลายเปน มะเร็ง ช่ือโรคชนิดหน่ึง อาการของโรคเกิดจากลมลงโดยแรง ตกจากที่สูง หรือเด็กตกจากเปล หรือถูกฟดฟาดโดยแรง ทำใหเปนไขซาง ละออง หละ หรือธาตุสมุฏฐานในรางกาย ผดิ ปกติ วปิ ริต ทำใหตับเคล่ือนท่ี หรือตบั หยอน ทำใหเกิดเจ็บปว ยขน้ึ ช่อื โรคชนิดหนง่ึ มีอาการดุจตบั ทรดุ ดทู ่ี ตบั ทรดุ ชอื่ โรคชนิดหนึ่ง มีอาการดุจตบั ทรุด ดทู ี่ ตับทรุด ช่ือโรคชนดิ หน่ึง มีอาการดจุ ตบั ทรุด ดูท่ี ตับทรุด 392

ตานโจรํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแผนไทย ในศลิ าจารกึ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วดั โพธิ)์ เลม 3 ทอ งรงุ พุงมาน โรคตานชนิดหน่ึง เปนกับเด็กท่ีมีอายุตั้งแต ๕-๖ ปเปนตนไป จนถึง ๗ ป หรือพนเขต ทนั ตกุฏฐงั การเปนซางเจาเรือน และมักจะเปนโรคแทรกของซางจร อาการของโรคเกิดจากกิน ทันตะมูลา อาหารของเด็ก ซ่ึงมักชอบกินของแปลก ของสดคาว ทำใหบังเกิดเปนพยาธิขึ้นมีตัว ทุราวะสา ๑๒ ดั่งเอือนปลา ตั้งเปนดานขึ้น แลวกำเริบ มีเมือก หรือเสมหะหุมหออยู เมื่อแรกเปน ข้ึนแลว จะเปนคนกินอาหารจุ กินไมเปนเวลา แตไมมีกำลัง ไมอวน มีอาการทองรุง ธาตุสมฏุ ฐาน พุงมาน พุงปอง ทองใหญ ไสพอง เปนตน เม่ือแกตัวขึ้นประมาณ ๓ เดือน จะมีอาการ ลงทอง ตกเลือด ด่ังน้ำลางเนื้อ ปวดมวนเปนมูกเลือด ดากออก ตัวผอมเหลือง หากมี ธาตอุ ภิญญาณ เม็ดผุดข้ึนพรึงไปทั้งตัวดั่งผด เปนอาการตานจร ข้ึน แทรกซางแดง หากแมซางอยูที่ล้ิน จะทำใหลิ้นกระดาง คางแข็ง แมซางขึ้นท่ีหู ก็จะเจ็บหู อยูท่ีตา ตาก็จะเปนเกล็ดกระดี่ นานวันจะกลายเปนตอกนหอย ถาขึ้นที่หนาแข็ง ก็จะทำใหหนาแข็งแข็งดังหนังกระเบน เปนตน อาการของโรคตานโจรมีหลายชนิด เกดิ พยาธิ และ โรคซางชนดิ ตา งๆ ดงั นี้ ชอื่ โรคชนดิ หนงึ่ มีอาการทองโตใหญอยา งหญงิ มคี รรภ ดูท่ี ฝทนั ตกฏุ ฐัง ดทู ฝ่ี ท ันตะมลู า ความผดิ ปรกติของน้ำปส สาวะแบงเปน ๓ จำพวก คอื ๑. ความผิดปรกตขิ องนำ้ ปส สาวะ ที่เกิดเฉพาะในผูชาย แบงเปน ๔ ประเภท ๒. ความผิดปรกติของน้ำปสสาวะท่ีเกิดได ทงั้ ผชู ายและผหู ญงิ (มตุ ฆาต) แบงเปน ๔ ประเภท (มุตฆาต ๔) ๓. ความผดิ ปรกตขิ อง น้ำปสสาวะท่ีเกิดเฉพาะผูหญิง (มุตฆาต) แบงเปน ๔ ประเภท เปนตน ความผิดปรกติ ของน้ำปสสาวะท้ัง ๓ จำพวก ทำใหผูปวยมีอาการปวดหัวเหนา เจ็บขัดแสบองคชาต เวลาถายปสสาวะ น้ำปส สาวะอาจมีสีและลกั ษณะตางกนั ได ๔ แบบ คือ สขี าวขนุ คลาย น้ำขาวเช็ด สีเหลืองคลายน้ำขมิ้นสด สีแดงคลายน้ำฝาง และสีดำคลายน้ำครำ ดูเพมิ่ เติมที่ มุตกิด ธาตทุ ้งั ๔ เปนท่ีตั้งหรือทแ่ี รกเกิดของโรค ไดแ ก ปถวีธาตสุ มฏุ ฐาน ธาตุดนิ เปน ที่ตง้ั หรอื ที่แรกเกิดของโรค อาโปธาตุสมุฏฐาน ธาตุน้ำเปนที่ต้ังหรือที่แรกเกิดของโรค วาโยธาตุ สมุฏฐาน ธาตุลมเปนท่ีตั้งหรือท่ีแรกเกิดของโรค เตโชธาตุสมุฏฐาน ธาตุไฟเปนที่ต้ังหรือ ทแ่ี รกเกดิ ของโรค ธาตทุ งั้ ๔ ซงึ่ จำแนกไดเ ปน ๔๒ ประการน้ัน (ดนิ ๒๐, นำ้ ๑๒, ลม ๖, ไฟ ๔) แพทยแผนไทยพิจารณายอลงเหลือเพียง ๓ กองสมุฏฐาน เรียกวา สมุฏฐาน ปตตะ สมุฏฐานวาตะ และสมุฏฐานเสมหะ ธาตุทั้งสี่น้ีหากพิการ หรือผันแปรผิดปกติ ไปในแตละส่ิง ก็จะเปนสมุฏฐานของโรคตางๆ ตามกองธาตุเหลาน้ัน ดูเพ่ิมเติมท่ี สมุฏฐาน โรคชนิดหนึ่งเกิดจากธาตุไมดี ทำใหอุจจาระเปนสีตางๆ เชน อุจจาระสีดํา เปนเพื่อปถวี ธาตพุ ิการ อุจจาระสแี ดง เปน เพื่ออาโปธาตุพกิ าร อุจจาระสีขาว เปนเพื่อวาโยธาตพุ ิการ อุจจาระสีเขียว เปนเพ่ือเตโชธาตุพิการ คนที่จะเปนอภิญญาณธาตุ อสุรินทัญญาณธาตุ ธาตุตางๆ ตองประชุมเปนมหาภูตรูป เปนตนวา เตโชธาตุ ไดแก พัทธะปตตะ อพัทธะ ปตตะ และกําเดา วาโยธาตุไดแก หทัยวาตะ สัตถกวาตะ สุมนาวาตะ อาโปธาตุ ไดแก ศอเสมหะ อุระเสมหะ คูถเสมหะ ปถวีธาตุไดแก หทัยวัตถุ อุทริยะ กรีสะ รวมกัน ท้ัง ๑๒ ฐาน เชนนี้เรียกวามหาภูตรูปเต็มหมวดหมู จึงทำใหเกิดอุจจาระธาตุ เชน อภิญญาณธาตุ และอสรุ ินทัญญาณธาตุ 393

ชดุ ตำราภูมปิ ญญาการแพทยแ ผนไทย ฉบับอนรุ กั ษ เน้อื ชาสาก ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยอาการของโรคชนิดหนึ่ง เน้ือตัวตายผิวหนังไมเรียบ เมื่อสัมผัสจะระคายเหมือนกานบัว บานทะโรค ไมม ีความรสู ึก เคลื่อนไหวไมได ริดสีดวงประเภทหน่ึง เกิดที่ขอบทวารหนัก บริเวณรอยโรคเกิดเปนแผลมีเลือดปนหนอง บพุ โพ และมีกล่ินเหม็นมาก รูสึกปวดแสบปวดรอนมาก ถาทองผูกจะทำใหเจ็บปวดและ โบราณกรรม ตงึ บรเิ วณทวารหนกั มาก น้ำหนอง เปน องคป ระกอบ ๑ ใน ๑๒ สง่ิ ของธาตุน้ำ ปกตโิ ลหิต โรคอติสารประเภทหน่ึง ผูปวยมีอาการทองเสียเรื้อรัง มักรักษาไมหาย ตำราการแพทย แผนไทยวาเกดิ จากความผิดปรกติของธาตุท้งั ๔ แบงเปน ๕ ชนิด ไดแก อมธุ าตุอติสาร ปฐมวยั ปฉัณณธาตุอตสิ าร รตั ตธาตอุ ติสาร มุศกายธาตอุ ติสาร และกาลธาตอุ ติสาร ประดงเพลิง อาการกอนมีระดูอันเกิดขึ้นเปนประจำทุกเดือนของสตรีแตละคน อาการน้ีอาจเกิด ประเมหะ ๒๐ จากแหลงท่ีมาของโลหิตระดู ซึ่งจำแนกได ๕ ประการ คือ โลหิตเกิดแต หัวใจ (หทยัง ชาตัง) โลหิตเกิดแตขั้วดี (ปตตัง ชาตัง) โลหิตเกิดแตผิวเนื้อ (มังสัง ชาตัง) โลหิตเกิดแต ปวง เสน เอน็ (นหารู ชาโต) และโลหิตเกิดแตก ระดูก (อัฏฐกิ ัง ชาตงั ) โลหิตจากแตล ะแหลง น้ี อาจทำใหเกิดอาการกอนมีระดุที่แตกตางกันไปและเมื่อระดูมาแลวอาการเหลาน้ัน ปว ง ๕ ประการ กจ็ ะหายไป, ปกติโลหิตกเ็ รยี ก ปว งนำ้ วัยตน แพทยแ ผนไทยนับตัง้ แตแ รกเกิดจนถึงอายุ 16 ป ดูเพ่ิมเติมท่ี อายสุ มฏุ ฐาน ปว งลม ประดงประเภทหน่ึง ผูปวยมีเม็ดสีแดงยอดสีดำผุดขึ้นตามผิวหนัง เหมือนไขระบุชาติ ปวงวานร ทำใหส ะบัดรอ นสะทา นหนาว เช่ือมมัว กระหายนำ้ ปวงหิว ๑. ตำราการแพทยแผนไทยฉบับหนึ่งไมปรากฏช่ือผูแตง มีเน้ือหาสำคัญกลาวถึงโรคที่ ปะฉณั ณะธาตุ เกิดจากน้ำปสสาวะ. ๒. เมือกมันหรือเปลวแข็ง ซึ่งมีลักษณะขุนขนคลายหนอง คัมภีร 394 มจุ ฉาปก ขนั ทกิ าวา มี ๒๐ ประการ ไดแก สนั ทฆาต ๔, องคสตู ร ๔, อุปทม ๔, ชำ้ รั่ว ๔ และไสดว น ๔ ช่ือโรคชนิดหน่ึง เกิดขึ้นเพราะธาตุในรางกายผิดปกติ พิษของโรคทำใหเกิดอาการไข ตา งๆ จำแนกได ๘ ประการ คือ ปวงงู ปวงลิง(มักกะฏา) ปว งลม ปวงศิลา ปว งนก หรือ ปว งลกู นก ปวงเลอื ด ปวงนำ้ ปว งโกษ(ปว งโกฐ) โรคปว งกลุมหนึง่ ซง่ึ ประกอบดวย ปวงนำ้ ปว งลม ปวงวานร ปวงสุนัข และปวงหวิ โรคปวงชนิดหน่งึ ผูปว ยมีอาการคล่นื ไส อาเจียนอยางรนุ แรง ผิวกายซดี เผือด สะบัดรอ น สะทานหนาว โรคปวงชนิดหนึ่ง ผูปวยมีอาการปวดเสียดทอง ทองเดิน จุกอก อาเจียนเปนน้ำลาย กระสับกระสาย รอ งครวญคราง โรคชนิดหนึ่ง ผูปวยมีอาการทองเดิน อาเจียน แนนหนาอก ริมฝปากเขียว ขอบตาซีด และมีกริ ยิ าอาการคลา ยลงิ มกั ยงิ ฟน ตัวงอ น่งั กอดเขา ช่ือโรคชนิดหน่ึง เกิดเพราะธาตุในรางกายไมปกติ พิษของโรคทำใหเกิดอาการตัวเย็น เปน เหน็บ เหง่ือตกมาก ลงทอง อาเจียน ใจหวิว และสนั่ เปน ตน โบราณกรรมอติสารชนิดหนึ่ง ตำราการแพทยแผนไทยไมระบุวาเกิดจากความผิดปรกติ ของธาตุใด ผูปวยมีอาการทองเสีย ถายอุจจาระเปนน้ำสีแดง นอกจากน้ี ยังมีอาการ

ปกวาอติสารํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแ ผนไทย ในศิลาจารกึ วัดพระเชตุพนวิมลมงั คลาราม (วัดโพธ)์ิ เลม 3 ปจ จุบันกรรม จุกเสยี ดทอง แนนในลำคอ เปนตน ปจฉมิ วยั โรคอติสารประเภทหน่ึง ผูปวยมีอาการทองเสีย ถายอุจจาระเปนสีขาวเหมือนน้ำขาว ปส สวาตอติสาร มีกล่ินเหมน็ เหมือนซากศพ นอกจากน้ี ผปู ว ยยังมีอาการกินขา วไมได น้ำลายเหนียว โรคอติสารประเภทหนึ่ง ผูปวยมีอาการทองเสียเฉียบพลัน ตำราการแพทยแผนไทยวา ปาง มีสาเหตุแตกตางกันไป แบงเปน 6 ชนิด ไดแก อุทรวาตอติสาร สุนทรวาตอติสาร ปาลติญาณะโรค ปส สยาวาตอติสาร กุจฉสิ ยาวาตอตสิ าร โกฎฐาสยวาตอติสาร และอุตราวาตอติสาร ปต ตะสมุฏฐาน วัยตอนปลาย วัยชรา แพทยแผนไทยนับต้ังแตอายุ 32 ปเปนตนไป แตในคัมภีร สมุฏฐานวินจิ ฉัยนบั ตัง้ แตอายุ 30 ปเปน ตน ไป ปต ตะอชิณะ ปจจุบันกรรมอติสารชนิดหน่ึง ตำราการแพทยแผนไทยวา เกิดจากการกินของแสลง ผูปวยมีอาการทองเสียอยางรุนแรง อาเจียนเปนสีเขียว หรือสีเหลือง โบราณเรียกวา ปต ตงั ปวง ตำราวา มี 5 ชนดิ ไดแก ปวงน้ำ ปวงลม ปว งวานร ปวงสุนขั และปว งหวิ เปน อำเภอ อาการมามโตมักเกิดในเด็กอาจเกิดจากสาเหตุตางๆ ไดหลายอยาง เชน ไขจับสั่นเรื้อรัง ผวิ เนอื้ ชาสาก โรคทาลัสซีเมีย ผูปวยมักมไี ขคลมุ เครอื เร้ือรังรวมดว ยจงึ มกั เรียก ไขป า ง ฝกาฬ ริดสดี วงประเภทหน่ึง เกดิ ในสมอง ผูป วยมีอาการมึน ปวด และหนกั ศีรษะมาก ท่ีต้ังหรือท่ีแรกเกิดของโรคอันเกิดจากดี แบงออกเปน ๓ อยาง ไดแก พัทธะปตตะ ฝกตุ ะนารายณ (น้ำดีที่อยูในฝกหรือในถุงน้ำดี) อพัทธะปตตะ (น้ำดีที่อยูนอกฝกหรือนอกถุงน้ำดี) ฝค รีบกรด และกำเดา (เปลวแหงความรอน หรือความรอ นทไ่ี ดจากการเผาผลาญในรา งกาย) อชิณธาตุโรคอติสารประเภทหนึ่ง เกิดจากปตตะทำใหเกิดโทษ ผูปวยมีอาการทองเสีย ฝด าวดาดฟา อยางแรงในเวลากลางวัน อุจจาระมีสีแดง กล่ินเหมือนปลาเนา นอกจากนี้ยังมีอาการ รอ นในอก สวิงสวาย มไี ข น้ำดี เปน องคประกอบ ๑ ใน ๑๒ สง่ิ ของธาตุน้ำ หมายถงึ ท่ตี ั้งแรกเกดิ ของโรค หรือสาเหตขุ องการเกดิ โรค อาการของโรคชนิดหน่ึง เนื้อตัวตาย ผิวหนังไมเรียบ เม่ือสัมผัสจะระคายเหมือนกานบัว ไมมีความรูส ึก เคลอ่ื นไหวไมไ ด โรคฝกลุมหนึ่ง ทำใหเกิดไขพิษ แบงออกเปน ๑๐ ชนิด คือ ฟองสมุทร เลี่ยมสมุทร ทามสมุทร ทามควาย ละลอกแกว กาลทูม กาลทาม มะเร็งตะมอย มะเร็งปากทูม และมะเร็งเปลวไฟฟา ฝวัณโรคชนิดหนึ่ง ผูปวยมีตอมกลัดหนองขึ้นภายใน เม่ือเร่ิมเปนมีอาการแนนหนาอก ซ่ึงมกั เกดิ ขนึ้ ตอนกลางคนื มีไข สะบัดรอนสะทา นหนาว กนิ ไมไดนอนไมห ลับ ฝวัณโรคชนิดหน่ึง ผูปวยมีตุมแข็งสีแดง ขนาดต้ังแตเมล็ดงา ถึงถ่ัวเขียวขึ้นที่ครีบล้ิน ตำราวาทำใหล้ินกระดางคางแข็ง เจ็บๆ คันๆ หากรักษาไมทัน ยอดฝแตกออก จะเปอย เปนขุม ลามไปทั่วล้ินท้ังดานบนและดานลาง อาจบวมทะลุไปถึงบริเวณใตคาง มีเลือด หนองไหล กลิน่ เหม็นเหมือนซากศพ อวัยวะภายในท่ัวรางกาย หากเกิดกับอวัยวะใดจะทำใหเจ็บปวดและฟกบวมบริเวณน้ัน ตำราวาเกิดจากกองอาโปธาตุ สมุฏฐาน 3 พิกัด พิการ (น้ำลาย เสมหะ และเลือด) 395

ชดุ ตำราภมู ปิ ญ ญาการแพทยแผนไทย ฉบับอนุรักษ ฝทันตกุฏฐงั ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยผูป วยมีไข สะบัดรอนสะทา นหนาว จุกแนนหนาอก อาเจยี น น้ำลายเหนียว หอบ สะอึก เทาบวม ถา ยเปนเลอื ดเปนหนอง เปน ตน ฝท นั ตะ ฝวัณโรคชนิดหน่ึง ผูปวยมีตอมกลัดหนองเกิดข้ึนที่กรามขางขวา ตำราวาเมื่อเริ่มเปนจะ ฝทนั ตะมลู า มีเม็ดฝขนาดเทาเม็ดขาวโพด สีแดง อาจแข็งเหมือนหูด พอแตกจะบาน ออกเหมือน ดอกลำโพง แลวเปอยลามเขาไปถึงในลำคอ ฝชนิดน้ีมีพิษรายแรงมาก หากรักษาไมหาย ฝธ นูทวน อาจถงึ ตายได ถาเปนท่ีกรามดา นซา ย เรียกวา ฝทันตะมุนลัง หรือทนั ตะมนุ ลัง ฝธนูธรวาต ดทู ี่ ฝทันตกฏุ ฐงั ฝธ รสตู ร ฝวัณโรคชนิดหนึ่ง ผูปวยมีตอมกลัดหนองเกิดข้ึนบริเวณกระพุงแกมทั้ง ๒ ขาง ตำราวา ฝป ลวก เม่ือเริ่มเปนจะมีอาการบวมแดงเร่ือๆ ในปาก กระพุงแกมจะบวมและนูนเปนแนวคลาย ฝฟองพระสมทุ ร ปลิงเกาะ ยอดฝจะบานออกเหมือนดอกลำโพง ภายในมีหนองและน้ำเหลือง ทำใหปวด ฝภ าชอน แสบปวดรอน ชา เปนตน สวนใหญผูปวยที่เปนโรคนี้มักเสียชีวิต ดังนั้น จึงควรรักษา ฝม ะเรง็ ทรวง ตง้ั แตเม็ดฝยังไมโ ผลอ อกมา ฝมานทรวง ฝวัณโรคชนิดหน่ึง ผูปวยมีตอมกลัดหนองเกิดข้ึนบริเวณสันหลัง ตำราวาเม่ือเริ่มเปน ฝยอดคว่ำ จะมีอาการบวมตามแนวสันหลัง หลังแข็ง ตึงทอง ทองบวมโต จุกเสียดแนน ฝร วงผ้งึ ภายในทอง เปน ตน 396 ฝวัณโรคชนิดหนึ่ง ผูปวยมักมีตอมกลัดหนองเกิดขึ้นที่บริเวณทรวงอกและสันหลัง ตำราวา เมื่อเร่มิ เปน จะมอี าการเจบ็ หนา อก ปวดขบถงึ สนั หลงั ปวดเมื่อยตามตัว วิงเวียน อจุ จาระ ปส สาวะขดั ทองอดื เฟอ จุกเสียดแนน ซบู ผอม กนิ อาหารไมร รู ส เปน ตน ฝวณั โรคชนดิ หน่งึ ผปู วยมตี อ มกลัดหนองเกดิ ข้ึนภายใน ตำราวาเม่อื เริ่มเปน จะมีอาการ ปวดสนั หลังเสียดในทอ ง ซบู ผอม กนิ ไมได เปน ตน ช่ือโรคชนิดหนึ่ง มีอาการเจ็บในทรวงอกถึงสันหลัง ไอแรง อาเจียนเปนโลหิตมีหนอง ออกมาดว ย บริโภคอาหารไมไ ด ทำใหผอมซดี นอนไมห ลบั เปน ตน ฝวัณโรคชนิดหน่ึง ผูปวยมีตอมนูนข้ึนคลายหลังเบ้ียท่ีบริเวณตนคอ แลขากรรไกร ตำรา วาจะมีอาการเจ็บคอมาก กินดื่มไมได หากรักษาไมหายจะกลัดหนอง ทำใหผูปวยมีไข เช่อื มมวั เปน ตน ฝชนดิ นี้รกั ษาได ไมร ายแรงถึงตาย ฝวัณโรคชนิดหน่ึง ผูปวยมีตอมกลัดหนองซึ่งทำใหบวมเปนลำตามเกลียวปตฆาต ตำรา วาเมื่อเรม่ิ เปน จะมีไข ขนลุก ตัวแข็ง ขยับตวั ไมได เปนตน ชื่อโรคฝชนิดหน่ึง อาการของโรคเริ่มจากวัณโรคทรวงอก แลวลามกระจายไปท่ัวตัว มีอาการไอ หอบ จุกเสียด แนนในอกลงทองถึงมูกเลือด ซูบผอม ไมมีแรง และปวด ตามขอ เปน ตน ฝวัณโรคชนิดหนึ่ง ผูปวยจะมีตอมกลัดหนองเกิดขึ้นบริเวณทรวงอก ตำราวาเมื่อเร่ิมเปน จะมีอาการยอก จกุ เสียด แนนหนา อก หายใจขดั ไอ มีเสมหะ ซบู ผอม เปนตน ฝวัณโรคชนิดหนึ่ง ผูปวยมีตอมกลัดหนองเกิดข้ึนบริเวณทองนอย ตำราวาเม่ือเริ่มเปน จะมีอาการปวดบริเวณทองนอยไปจนถึงทวารหนักและหนาสะโพก ปวดมากเวลา กลางคนื สะบัดรอ นสะทานหนาว เปน ตน ฝวัณโรคชนิดหน่ึง ผูปวยมีตอมกลัดหนองเกิดขึ้นบริเวณชายโครงดานขวา ตำราวา

ฝร าหกู ลนื จนั ทรํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยตำราการแพทยแผนไทย ในศิลาจารึกวดั พระเชตพุ นวมิ ลมังคลาราม (วัดโพธ)์ิ เลม 3 ฝส ทุ วาต ฝส วุ รรณเศยี ร เม่ือเร่ิมเปน จะมีอาการแนนชายโครงดานขวา ยอกตลอดแนวสันหลัง ตัวเหลือง ฝอุรักกะวาต ตาเหลือง ปสสาวะเปนสีเหลืองเขม มีไข สะบัดรอนสะทานหนาว เมื่อยตามขอกระดูก พยาธชิ ่อื กัณณะ กินไมไ ด เปน ตน พยาธิชอ่ื ปรุ ะธาตุบท ฝวัณโรคชนิดหนึ่ง ผูปวยมีตอมกลัดหนองลักษณะคลายดวงจันทรเกิดข้ึนที่บริเวณ โคนล้ิน แตเมื่ออาปากจะมองเห็นเพียงครึ่งเดียว (เนื่องจากอีกครึ่งหนึ่งจะอยูดานหลัง) พยาธิชื่อพะละพะหะ นอกจากนี้ จะมีอาการคอบวม เมื่อกินหรือดื่มจะสำลักข้ึนจมูก หากเปนมากคอจะบวม แดงมาก มีหนอง และนำ้ เหลอื ง พูดไมได เปน ตน ควรรักษาต้ังแตเม่ือเรม่ิ เปน ฝวัณโรคชนิดหน่ึง ผูปวยมีตอมเกิดข้ึนที่ข้ัวกระเพาะปสสาวะ ตำราการแพทยแผนไทย วา จะมอี าการตางๆ เชน บวม แข็ง ตามฝเยบ็ ปส สาวะหยดยอย ปสสาวะขดั ปส สาวะ เปนลิ่มเลือดหรือเปน หนอง ชอ งปสสาวะอาจบวมแดงแตกเปน เลอื ดเปนหนอง เปนตน ฝวัณโรคชนิดหน่ึง มีลักษณะคลายจอกหูหนู สีเหลือง เกิดขึ้นที่สมอง ตำราการแพทย แผนไทยวา เมื่อเร่ิมเปน จะมีอาการเมอื่ ยตนคอถึงกระหมอ ม ตามดื หตู ึง ปวดศรี ษะมาก เจ็บตามเสนขน รอนในกระหมอม กระบอกตา และชองหู หากฝกลายเปนหนองแลว ผูปวยจะมีไข สะบัดรอนสะทานหนาว คล่ังเพอไมมีสติ เมื่อหนองแตกออก จะไหลออก ทางตาและหู ถา หนองไหลออกทางใด อวยั วะน้นั กจ็ ะเสยี การทำหนา ท่ไี ป ฝวัณโรคชนิดหนึ่ง ผูปวยมีตอมเกิดขึ้นบริเวณกระดูกสันหลัง ตำราวาเม่ือเริ่มเปนจะมี อาการจุกเสียด แนน อุจจาระปสสาวะขัด บางคร้ังอาจมีอาการทองเสีย เปนบิด มีมูกเลือดปน ปวดมวนทองมาก เจ็บหนาอก และชายสะบัก ปวดตามเนื้อและกระดูก ท่วั ตวั มไี ข สะบัดรอ นสะทานหนาว กนิ ไมได นอนไมหลับ เปนตน โรคตานชนิดหนึ่ง เปนโรคแทรกขณะท่ีเปนโรคซางโจรอยูแลว หรือ บังเกิดขึ้นเนื่องจาก โรคซางโจรอาการของโรค เปนตัวพยาธิเล็กด่ังตัวไรเขาไปเกาะกินอยูในเนื้อ และเลย เขาไปในกระดูกสันหลัง สมอง เสนเอ็น กระเพาะ และลำไส ทำใหมีอาการขัดเปนนิ่ว ทองใหญ ไสพอง นัยนตาฟางถึงมืด ปวดมวนทอง ลงทองถึงมูกเลือด รางกายซูบผอม เปนตน โรคตานชนิดหน่ึง บังเกิดข้ึนเนื่องจากโรคซางเพลิง หรือเปนโรคแทรกขณะท่ีเปน โรคซางเพลิงอยูแลว บังเกิดตัวพยาธิช่ือ ปุระธาตุบทกอน อาการของโคเร่ิมจากลงทอง ถึงตกโลหิต ตัวเหลือง ออนเพลียมาก อยากกินของสดคาว จากนั้นจะเกิดพยาธิขึ้นใน รางกาย ตัวพยาธิช่ือปตฉันนะ(ปกสันนะธาตุ) เกาะกินในชองจมูก ทำใหจมูกตึงและ เหม็นเนา จากนั้นก็ลามไปถึงโคนล้ิน ทำใหคอแหง บริโภคอาหารไมได ถาจะรักษา ตอ งแกท ่ลี นิ้ และคอกอน จากนั้นจงึ แกใ นทางโลหติ ตอ ไป โรคตานชนิดหน่ึง เปนโรคแทรกขณะท่ีเปนโรคซางแดงอยูแลว หรือบังเกิดข้ึนเนื่องจาก เปนโรคซางแดง และเม่ือสิ้นสุดเขตซางแดงแลว ตัวพยาธิจะบังเกิดข้ึนในลำไสตอนขาง ในสะดือดานซาย ตัวมีลายคลายเอือนปลา มีเมือกหรือเสมหะหอหุมตัวอยูขนาดโตเทา ผลมะขามปอม เม่ือเกิดเปนข้ึนแลว ทำใหมีอาการเจ็บ และเสียดทอง ถานานถึง ๓ เดือนแลว จะทำใหล งทอ ง ตกมูกเลือดใสด่ังน้ำลางเน้อื ปวดมวนเปนกำลงั เบง จนถงึ ดากอออกรางกายผอมเหลืองซดี อยากกนิ ของเผ็ดเค็มและสดคาวจากนน้ั จะมเี มด็ ผุดขึ้น พรึงไปท้ังตัว เหมือนโรคประดง เมื่ออาการถึงระดับนี้แลว โทษของโรคซางแดงก็บังเกิด 397

ชดุ ตำราภูมปิ ญ ญาการแพทยแผนไทย ฉบับอนรุ ักษ พยาธิชอ่ื มุศกายะธาตุ ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยข้ึนเรียกวา โจรซางแดง โรคซางแดงซึ่งมีแมซางข้ึนอยูท่ีตนลิ้นจะกำเริบขึ้น ทำใหบริโภค อาหารไมได บางทีจะมีอาการล้ินกระดางคางแข็ง สวนแมซางซ่ึงอยูท่ีหูกอนนั้น ก็จะ พยาธชิ ื่อรตั ชะกะ ทำใหเจ็บหู เปนน้ำหนวก แมซางท่ีตาก็ทำใหตาเจ็บ เปนเกล็ดกระดี่ และบังเกิดเปนตอ พยาธิชอ่ื วรรณณะ กนหอยขึ้น แตกภายใน ๗ วัน แมซางท่ีหนาแขง มีรากดุจสิวเส้ียน ทำใหหนังหนาแขง พยาธิชือ่ สันตาธาตุ แข็งเหมือนหนังกระเบน ถารักษาหายแลว ๗-๙ วันจะบังเกิด พยาธิข้ึนอีกชนิดหน่ึง พยาธชิ ่ือสุจมิ กุ ขกาลหริ ะ ช่ือพรหมกิจ เกิดข้ึนในลำไส ตัวเหมือนไร ปากดำ ทำใหเกิดอาการกินอาหารไมรูอิ่ม อุจจาระมาก ขาวเหม็น ตาฟาง มักชอบบริโภคของสดคาว พยาธิชนิดน้ีรักษายาก พยาธิชอื่ อมลุ ธาตุ แมหายแลว เมื่ออายุสูงวัยขึ้นก็มักเปนโรคริดสีดวงแหง การรักษาโรคตานซางชนิดนี้ หา มวางยาผาย จงใชแตยาชำระลำไส แตอยา เขา สลอด พยาธชิ ือ่ อทุ ราธาตุ โรคตานชนิดหน่ึง เปนโรคแทรกขณะที่เปนโรคซางโคอยูแลว หรือบังเกิดขึ้นเน่ืองจาก ฟองสมทุ ร เปน โรคซางโค ทำใหม ีเมด็ ผดุ ข้ึนท้งั ตัวเหมือนหัด มีอาการคนั ยอดขาวแตไ มม ีน้ำ ขน้ึ อยู มหาสนั นิบาต ๘-๙ วัน ก็จมลงไปทำใหลงทองใสดังน้ำลางเนื้อ ชอบบริโภคของสดคาว เปนอยู ๒-๓ 398 เดือน แมซางซ่ึงข้ึนที่ล้ินกอนน้ันจะกำเริบข้ึน เม็ดโตขนาดเมล็ดเดือยและแข็งดังตาปลา ดังไขระบุชาด ทำใหตัวรอนมีไข มือเทาเย็น กระหายน้ำ มีอาการหอบ ลิ้นกระดาง คางแข็ง เปน ตน โรคตานชนดิ หนึ่ง อาการของโรคเหมือนพยาธิ ชอ่ื กัณณะ ดเู พิม่ เติมที่ ตานโจร โรคตานชนดิ หนงึ่ อาการของโรค เหมือนพยาธชิ อื่ กัณณะ ดเู พมิ่ เติม ตานโจร โรคตานชนิดหนึ่ง เปนโรคแทรกขณะที่เปนโรคซางน้ำอยูแลว หรือบังเกิดข้ึนเนื่องจาก เปน โรคซางน้ำ ทำใหต วั เยน็ ทอ งขน้ึ ปส สาวะขาวดจุ น้ำขา วหรอื น่ิวน้ำนม เปนตน โรคตานชนิดหนึ่ง เปนโรคแทรกขณะที่เปนโรคซางชาง และซางอื่นๆ ไดทุกซาง หรือ บังเกิดเปนข้ึนเน่ืองจากเปนโรคซางชางหรือซางชนิดใดชนิดหน่ึงอยูแลว มีอาการ ตัวพยาธิเกิดอยูในลำไสขนาดเทางูเล็กหรือ ไสเดือน เมื่อเปนข้ึนแลว ทำใหรางกาย ซูบผอม ทองโร บริโภคอาหารไมรูอ่ิม ทำใหจุกเสียดในทอง หากเปนมานานประมาณ ๑ เดือน มักจะด้ิน และเสือกตัวไปมา ทำใหทองล่ัน บางท่ี ออกมาทางปาก ทวารหนัก และมอี าการไข ตัวรอ น จบั เปนเวลา ตาแดงเปนสายโลหิต เปน ตน โรคตานชนิดหนึ่ง เปนโรคแทรกขณะที่เปนโรคซางอยูแลว หรือบังเกิดขึ้นเพ่ือโรคซาง ตั้งข้ึนใน ลำไสใตสะดือ ขนาดเทาเมล็ดขาวโพด ต้ังอยู ๙-๑๐ วัน ก็แตกออก ทำให ลงทองเปนน้ำคาวปลา ตกโลหิตเปนกอนมีอาการกระหายน้ำ ตัวรอน เชื่อมซึม เบื่ออาหาร ซูบผอม เปนตน โรคตานชนิดหน่ึง อาการของโรคเกิดในอุทร (ทอง) มีอาการทำใหรางกายผอม หอบ เชื่อมซึม ถาเปนนาน ๓-๔ เดือน จำทำใหไสพอง ทองใหญ บางท่ี ก็ตับบวมใหญ จนคบั โครง ฝกาฬชนิดหนึ่ง ผูปวยจะมีเม็ดฝขนาดต้ังแตเมล็ดงาถึงเมล็ดถั่วดำผุดขึ้นในปากและคอ เรียก ฝฟองสมุทร เม่ือรุนแรงข้ึนผูปวยกิดื่มไมได สะบัดรอนสะทานหนาว มีไขสูง เรียก ไขฟองสมุทร สนั นิบาตที่มีอาการรนุ แรงอันเกดิ จากกองธาตุทั้ง ๔ รวมกนั กระทำใหเ กิดโทษ ดเู พ่ิมเติม ที่ สนั นบิ าต

มองครอํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแ ผนไทย ในศิลาจารกึ วัดพระเชตพุ นวิมลมงั คลาราม (วดั โพธิ)์ เลม 3 มะเร็ง ๑. โรคระบบทางเดินหายใจประเภทหน่ึง ผูปวยมีเสมหะเหนียวขนอยูในชองหลอดลม มะเร็งคดุ ทำใหมีอาการไอเรื้อรัง ๒. ในทางการแพทยแผนปจจุบันหมายถึงโรคหลอดลมโปงพอง มะเรง็ ตะมอย มเี สมหะในชองหลอดลม ทำใหม อี าการไอเร้อื รัง โดยเฉพาะเมอ่ื นอนราบ ๑. โรคเร้ือรังกลุมหนึ่ง ผูปวยมักมีแผล ผื่น ตุม กอน เปนตน อาจผุดขึ้นตามสวนตางๆ มะเรง็ ปากทมู ภายในหรือภายนอกรางกาย ตำราการแพทยแผนไทยแบงเปนหลายประเภท เชน มะเร็งไร มะเร็งตะมอย มะเรง็ ทรวง มะเร็งชาง หากผปู ว ยมีอาการไขรวมดวย มักเรยี กไข มะเร็งเพลงิ มะเร็ง เชน ไขมะเร็งปากทูม ไขมะเร็งปากหมู ไขมะเร็งเปลวไฟฟา หรือถาผูปวยมีผีรวม มะเรง็ ไร ดวย จะเรียกฝมะเร็ง เชน ฝมะเร็งทรวง ฝมะเร็งฝกบัว ฝมะเร็งตะมอย ๒. ในทางการ มะเรง็ ลาม แพทยแผนปจจุบัน หมายถึง เนื้องอกชนิดราย เกิดขึ้นเพราะเซลลแบงตัวอยางรวดเร็ว ควบคุมไมได แลวแทรกไปตามเน้ือเยื่อขางเคียง และสามารถหลุดจากแหลงเริ่มตนไป มะสรุ ิกาโรค ๘ ประการ แบงตวั เพิ่มจำนวนทีบ่ ริเวณอ่ืนๆ ได รกั ษาไมค อ ยหาย มัชฌิมวยั มะเร็งชนิดหน่ึง มีสาเหตุมาจากคุดทะราด ฝดาษ เขาขอ เม่ือเริ่มเปนทำใหเม่ือย มัตถเกมัตถลงุ คัง ในขอกระดกู บวมตามแขน ขา มือ เทา บางทีท่ีบวมนน้ั แตกออกเนา เปอยเปนน้ำเหลือง ไหล ฝกาฬชนิดหน่ึง ผูปวยมีฝ ซึ่งอาจมีขนาดโตเทาหัวแมมือผุดขึ้นตามตัว และ/หรือ ตาม แขนขา เรียกฝมะเร็งตะมอย จะทำใหผูปวยมีไขสูง เรียก ไขมะเร็งตะมอย ถาเม็ดฝ มีสีโคนสีขาว หัวสีดำ จะทำใหผูปวยมีอาการรุนแรงมาก และหากเม็ดฝแตกออกหรือ รกั ษาไมห ายจะกลายเปน มะเร็ง ฝก าฬชนดิ หน่ึง ผปู ว ยมีฝข นึ้ บริเวณหลังขา งใดขา งหน่งึ หรือท้งั 2 ขาง ฝน ีม้ ียอดสคี ราม เรยี กฝม ะเร็งปากทูม ผูปวยมไี ขสูง เรียก ไขม ะเร็งปากทมู ถา รกั ษาไมห าย ฝจ ะแตกออก มีลักษณะเหมือนปากหมู เรียก มะเร็งปากหมู และเรียกฝนี้วา ฝมะเร็งปากหมู หากมี อาการไขส งู มากรวมดว ย เรียก ไขมะเร็งปากหมู โรคมะเร็งชนิดหน่ึง เมื่อเริ่มเปนผูปวยมีอาการผิวแดงเหมือนถูกไฟ หรือเปนตุมขึ้นแลว เปอยลามออกไป ทำใหรอ นบริเวณท่เี ปน โรคมะเร็งชนิดหน่ึง ผูปวยมีตุมคลายหิดขึ้นตามผิวหนัง มีอาการคันมาก มักเกาจน เลือดซึม อาการไมรุนแรงถึงชีวิต แตรักษาใหหายขาดยาก ตำราการแพทยแผนไทย วา เกดิ จากพยาธิคลา ยตวั ไร มะเร็งชนิดหน่ึง เกิดไดหลายลักษณะ ไดแก เกิดเปนตุมแลวแตกออกเปอยลามไป หรือ รา งหายถกู กระทบทำใหฟ กชำ้ แลว เปอ ยลามออกไป หรือเกดิ จากเปน วณั โรค แลว รกั ษา ไมหายกลายเปนแผลเร้ือรัง แลวกลายเปนมะเร็งลาม ทำพิษใหเจ็บปวดมาก น้ำเหลือง ไหลไปถึงบรเิ วณใด จะทำใหเ ปนแผลเปอ ยลามถึงท่นี ั่น ชื่อโรค มีอาการตามผวิ กายแดงพองเปนแผน ขึน้ ท้งั ตัว วัยกลางคน แพทยแ ผนไทยนบั ตั้งแตอ ายุ ๑๖ ปขึ้นไปจนถงึ ๓๒ ป แตในคมั ภีรสมุฏฐาน วนิ จิ ฉัยนบั ต้งั แตอ ายุ ๑๖ ปข นึ้ ไปจนถึง ๓๐ป มนั สมอง เปน องคประกอบ ๑ ใน ๒๐ สิ่งของธาตุดนิ 399

ชดุ ตำราภมู ิปญญาการแพทยแผนไทย ฉบับอนรุ กั ษ มนั ทธาตุ ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยธาตุหยอน ตำราการแพทยแผนไทยแบงเปน ๔ ประเภท ไดแก มันทอาโป (ธาตุน้ำหยอน) มันทเตโช (ธาตุไฟหยอน) มันทปถวี (ธาตุดินหยอน) และมันทวาโย มานกระษยั (ธาตุลมหยอน) ลักษณะมันทธาตุนั้นยิ่งไปดวยเสมหะมีกำลัง คือ ไฟธาตุหยอน มานเลือด, มานโลหิต เผาอาหารมิไดยอย กระทำใหลงไปวันละ 3-4 เวลา ใหสวิงสวาย ถอยแรงยิ่งนัก มุตกิด ๔ กระทำใหทองข้ึนมิรูวาย อุจจาระเปนเมือกมันเปนเปลวหยาบละเอียดระคนกัน ใหปวดมวนทองมากโทษทั้งนีเ้ กิดแตก องทวาทศอาโปใหเ ปน เหตุ มตุ ฆาต ๔ ดทู ี่ กระษัยล้ินกระบอื โรคชนิดหน่งึ เกิดจากความผดิ ปกตขิ องระดู ทำใหม อี าการทองบวม แบง ตามสาเหตขุ อง มตุ ตงั การเกิดโรคออกเปน ๔ ประเภท ไดแก มานโลหิตเกิดจากระดูราง ระดูขัด มานโลหิต มศุ กายธาตอุ ตสิ าร เกิดจากระดตู กหมก มานโลหิตเกิดจากโลหิตระดเู นา มานโลหิตเกิดจากโลหิตจาง มตู รอตสิ าร ช่อื โรคชนดิ หนงึ่ เปน กับหญงิ อาการของโรคจะมรี ะดขู าว ลกั ษณะเหมอื นน้ำปสสาวะขนุ เมอ่ื ยขบ ขนไหลออกมาแถบขอบปากทวาร มีเม็ดผุดข้ึน หรือแผลคันเปอยแสบ และเหม็นคาว ทำใหมีอาการปวดเม่ือยบริเวณชายกระเบนเหน็บ เสียมดลูกและมักจะเปนลม หนามืด เวียนศีรษะ เบ่ืออาหาร เปนตน ลักษณะของโรคมุตกิดมี ๔ ชนิด คือ ๑. เบาเปนหนอง คือ น้ำปสสาวะสีเหมือนโลหิตช้ำ และ เหมือนน้ำปลาเนา ๒. เบาเปนน้ำคาวปลา คือ น้ำปสสาวะ เปนโลหิตจาง เหมือนน้ำซานหาก หรือน้ำลางปลา ๓. เบาดั่งน้ำซาวขาว คือ น้ำปสสาวะเปนน้ำหนองจาง เหมือนน้ำซาวขาว ๔. เบาขาว คือ น้ำปสสาวะ เปนเมือกคลองๆ ขัดๆ หยดยอย เหมือนน้ำมูกไหลออกมา อาการของโรคมุตกิดจะ เหมือนกับโรคมุตฆาต ท้ังน้ีอาจเปนเพราะแยกไมออกวา น้ำท่ีไหลออกมาจากชองคลอด หรือชองปสสาวะ เพราะโดยทั่วไปจะมีอาการเหมือนกัน คือ ปวดหัวเหนา เจ็บ ขดั สะโพก แสบในอก บรโิ ภคอาหารไมรรู ส เปนตน ชื่อโรคชนิดหนึ่ง อาการของโรคเก่ียวกับน้ำปสสาวะผิดปกติหรือพิการ ตำราการแพทย แผนไทยวาเกิดจากการกระทบกระท่ัง เชน จากอุบัติเหตุ เพศสัมพันธ เมื่อผูปวย ปสสาวะจะมีอาการเจ็บปวดมาก น้ำปสสาวะเปนหนองและเลือด ปวดเมื่อยที่สะโพก และกระเบนเหน็บ จุกเสียดบริเวณหนาอก อาเจียนเปนลมเปลา เบ่ืออาหาร เปนตน ลักษณะของนำ้ ปส สาวะที่เปน โทษมี ๔ ประการ เหมอื นกบั โรคมตุ กดิ ดเู พิม่ เตมิ ที่ มตุ กิด น้ำปสสาวะ เปน องคป ระกอบ ๑ ใน ๑๒ ส่ิงของธาตุนำ้ โบราณกรรมอติสารชนิดหน่ึง ตำราการแพทยแผนไทยวา เกิดจากธาตุน้ำ หรือจากการ กินอาหารแสลง ผูปวยจะมีอาการทองเสีย ถายอุจจาระเปนเสมหะและเลือดเนา มกี ลนิ่ เหม็นเหมือนซากศพ โรคที่ผูปวยมอี าการทอ งเสยี อยางรุนแรง ถา ยอจุ จาระเปนนำ้ เปน มกู เปน เลอื ด อจุ จาระ มีกล่ินผิดปรกติ ตำราการแพทยแผนไทยแบงเปน ๒ ประเภท คือ โบราณกรรมอติสาร และปจจบุ ันกรรมอติสาร โรคอยางหนึ่งเกิดจากอาการออนเพลียของกลามเนื้อ ทำใหปวดเหมือนมีอะไรมาบีบ มากดอยูตรงนน้ั 400

แมซ างํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแผนไทย ในศลิ าจารึกวดั พระเชตุพนวมิ ลมังคลาราม (วดั โพธิ)์ เลม 3 แมซอ้ื เม็ดพิษผุดข้ึนมาตามสวนตางๆ ของรางกาย เปนกลุม กับ มีบริวารกระจายอยูโดยรอบ รตั ตฆาต บริเวณที่แมซางข้ึนจะเปนสวนท่ีมีพิษมาก และมีอาการตางๆ กันตามลักษณะของซาง รัตตธาตุอติสาร แตละชนิด แพทยโบราณใหขอสังเกตไววา โรคซางที่เปนกับเด็กนั้น มีลักษณะอาการ รัตตปต ตะโรค ของโรคตางกานตามวันเกิดของเด็ก กับยังมีโรคหละ ละออง และลมเกิดเพ่ือซางประจำ วันตางๆ อีกดวย โดยกำหนดขอบเขตชวงอายุของเด็กกับโรคไวดังน้ี ๑. เด็กท่ีเกิด วันอาทิตย ซางเจาเรือนคือซางเพลิงหรือซางไฟ มีซางจรคือ ซางกรายหละช่ืออุทัยกาฬ ละอองชือ่ เปลวไฟฟา ลงไมไดก ลา วไว เม่ือเด็กอายุได ๒ ป เดือน ๖ วนั ก็จะพน จากโทษ ของซางเพลิง ๒. เด็กท่ีเกดิ วันจันทร ซางเจา เรอื นคือซางน้ำ มีซางจรคอื ซางฝาย หละช่ือ และพระจันทร ละออกชื่อแกววิเชียร ลมไมไดกลาวไว เมื่อเด็กอายุ ๒ ป ๑๕ วัน ก็จะ พนจากโทษของซางน้ำ ๓. เด็กที่เกิดวันอังคาร ซางเจาเรือนคือ ซางแดง มีซางจร คือ ซางกระแหนะ หรือซางหระแนะ หละช่ืออุทัยกาฬละอองชื่อ แกวมรกต ลมช่ืออุทรวาต เม่ือเด็กอายุได ๕ ป กับ ๘ วัน ก็จะพนโทษของซางแดง ๔. เด็กที่เกิดวันพุธ ซางเจา เรือนคอื ซางสะกอ มซี างจรคอื ซางกระตัง หละชือ่ เนระกนั ถี ละอองชอ่ื แสงเพลงิ ลมช่อื สนุ ทรวาต เมอื่ เด็กอายไุ ด ๒ ป ๗ เดอื นกับ ๑๗ วนั ก็จะพน โทษของซางสะกอ ๕. เดก็ ท่ี เกิดวันพฤหัสบดี ซางเจาเรือนคือซางโค มีซางจร คือ ซางขาวเปลือก หละช่ือนิลกาฬ ละอองช่ือมหาเมฆ ลมช่ือหัศคินี เมื่อเด็กอายุได ๓ ป ๑๑ เดือน กับ ๑๙ วัน ก็จะพน จากโทษของซางโค ๖. เด็กที่เกิดวันศุกร ซางเจาเรือนคือซางชาง มีซางจรคือ ซาง กระดกู หละชือ่ แสงพระจันทร ละอองชอื่ แกววเิ ชียร ลมชื่ออริต เมอ่ื เด็กอายุได ๓ ป ๔ เดือน กับ ๒๑ วัน ก็จะพนจากโทษของซางชาง ๗. เด็กท่ีเกิดวันเสาร ซางเจาเรือนคือ ซางโจร มีซางจร คือ ซางนางริ้น หละชื่อมหานิลกาฬ ละอองช่ือเปลวไฟฟาหรือทับทิม ลมชือ่ ลมกมุ ภณั ฑ ลมบาดทะยกั ลมจำปราบเมอ่ื เดก็ อายไุ ด ๕ ป ๓ เดอื น กับ ๑๐ วัน กจ็ ะพนจากโทษของซางโจร เทวดาหรือผีที่เชื่อกันวาทำหนาท่ีดูแลรักษาเด็กทารก ตำราการแพทยแผนไทยวา มีแมซื้อจรและแมซื้อประจำวันท้ัง ๗ วัน โดยแตละตนมีช่ือและที่อยูดังนี้ แมซื้อประจำ เด็กเกิดวันอาทิตยช่ือ วิจิตรนาวรรณ หรือวิจิตรนาวรร อยูบนจอมปลวก, แมซื้อประจำ เด็กเกิดวันจันทรชื่อ วัณณานงคราญ อยูที่บอน้ำ, แมซื้อประจำเด็กเกิดวันอังคารชื่อ นางยกั ษบรสิ ทุ ธ์ิ อยทู ่ีศาลเทพารกั ษ, แมซอื้ ประจำเดก็ เกิดวันพุธชอ่ื สามลทรรศน อยทู ่ี ตน ศรีมหาโพธ์,ิ แมซือ้ ประจำเด็กเกิดวนั พฤหัสบดชี ือ่ กาโลทุก หรอื กาโลทุกข อยูท่ีสระ น้ำหรือบอน้ำใหญ, แมซ้ือประจำเด็กเกิดวันศุกรชื่อ ยักษนงเยาว อยูที่ตนไทรใหญ และ แมซ้ือประจำเด็กเกิดวันเสารชื่อ เอกาไลย อยูท่ีศาลพระภูมิ, แมวี ก็เรียก ถาแมซ้ือ กระทำโทษจะทำใหผูป วยมอี าการตางๆ เชน อาเจยี น เสยี งแหบแหง ผวิ ซดี เปนตน ๑. เสนเลือดแดงใหญบริเวณขาหนีบเสนขางขวา เรียก รัตตฆาตขวา เสนขางซาย เรียก รัตตฆาตซาย. ๒. เสนบริวารของเสนอิทา และเสนปงคลา แลนจากบริเวณขอบกระดูก เชิงกราน ตรงขึน้ ไปถงึ บรเิ วณตน คอ มี ๒ เสน แนบขนานไปกับกระดูกสันหลงั เสน ขา ง ขวา เรยี ก รตั ตฆาตขวา เสน ขา งซาย เรยี ก รตั ตฆาตซาย, รัตฆาต หรอื รัตฆาฏ ก็เรยี ก โบราณกรรมอติสารชนิดหนึ่ง ตำราการแพทยแผนไทยวา เกิดจากธาตุดิน ผูปวย มอี าการทอ งเสีย ถายอุจจาระเปนสแี ดงคล้ำ หรือสีเขียว มเี สมหะปน โรคชนดิ หนึ่ง เกดิ จากโลหติ ระคนดว ยวาตะ เสมหะ และปตตะ ผปู ว ยจะมเี ลอื ดออกตาม อวัยวะตา งๆ ของรางกาย รักษายาก 401

ชุดตำราภูมปิ ญ ญาการแพทยแ ผนไทย ฉบบั อนรุ กั ษ ราหูกลนื จันทรํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยฝวัณโรคชนิดหนึ่ง ผูปวยมีตอมกลัดหนองลักษณะคลายดวงจันทรเกิดข้ึนท่ีบริเวณ รำมะนาด โคนล้ิน แตเม่ืออาปากจะมองเห็นเพียงครึ่งเดียว (เน่ืองจากอีกครึ่งหนึ่งจะอยูดานหลัง) รดิ สีดวง นอกจากนี้ จะมีอาการคอบวม เม่ือกินหรือด่ืมจะสำลักข้ึนจมูก หากเปนมากคอจะบวม โรหินี แดงมาก มหี นอง และน้ำเหลือง พูดไมไ ด เปนตน ควรรักษาตัง้ แตเม่ือเร่ิมเปน ฤดู ๓ โรคชนดิ หน่งึ เกดิ ตามรากฟน ทำใหเหงอื กบวม อักเสบเปนหนอง โรคกลุมหนึ่ง เกิดไดกับอวัยวะตางๆ ของรางกาย เชน ตา จมูก ลำไส ทวารหนัก ฤดู ๔ ตำราการแพทยแผนไทยวามี ๑๘ ชนิด แตละชนิดมีอาการและช่ือเรียกแตกตางกันไป บางชนิดอาจมีต่ิงหรือกอนเน้ือเกิดข้ึนท่ีอวัยวะน้ัน เชน ริดสีดวงตา ริดสีดวงจมูก ฤดู ๖ รดิ สีดวงทวารหนกั เปน ตน โรคริดสดี วง ฤดูสมุฏฐาน การกำหนดฤดกู าลในรอบ ๑ ปเปน ๓ ฤดู ฤดูละ ๔ เดือน ตามหลักวชิ าการการแพทย ลมกุจฉิสยาวาต แผนไทยไดแ ก คมิ หันตฤดู (ฤดรู อ น) นบั ตง้ั แตแรม ๑ คำ่ เดือน ๔ ถงึ ข้นึ ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ วสันตฤดู (ฤดูฝน) นับต้ังแตแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ และ เหมนั ตฤดู (ฤดูหนาว) นับตงั้ แตแรม ๑ คำ่ เดอื น ๑๒ ถึงขน้ึ ๑๕ คำ่ เดอื น ๔ ฤดเู ปนท่ีตง้ั แหงการเกิดโรคอันเกิดจากสมุฏฐานตางๆ ที่ประจำในแตละฤดู เชน คิมหันตฤดู มกั ทำใหเ กิดความเจบ็ ปวยเนือ่ งจากสมุฏฐานเตโช การกำหนดฤดูกาลในรอบ ๑ ปเปน ๔ ฤดู ฤดูละ ๓ เดือน ตามหลักวิชาการแพทย แผนไทย ซง่ึ อาจกำหนดไวต างกนั ตำราเวชศึกษาแบง เปน ฤดูที่ ๑ นับตงั้ แตแรม ๑ คำ่ เดอื น ๔ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดอื น ๗ ฤดูท่ี ๒ นับตง้ั แตแ รม ๑ คำ่ เดอื น ๗ ถงึ ข้ึน ๑๕ คำ่ เดือน ๑๐ ฤดทู ่ี ๓ นับต้ังแตแรม ๑ คำ่ เดอื น ๑๐ ถงึ ข้ึน ๑๕ ค่ำ เดอื นอา ย และฤดทู ่ี ๔ นับต้ังแตแรม ๑ ค่ำ เดือนอาย ถึงข้ึน ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ สวนคัมภีรธาตุวิวรณ แบงเปน คิมหันตฤดู นับตั้งแตเดือน ๕ ถึงเดือน ๗ วสันตฤดู นับต้ังแตเดือน ๘ ถึงเดือน ๑๐ วสันตเหมันตฤดู นับตั้งแตเดือน ๑๑ ถึงเดือน อาย และเหมันตคิมหันตฤดู นับตั้งแต เดือนย่ี ถึงเดือน ๔ ฤดูเปนท่ีต้ังแหงการเกิดโรคอันเกิดจากสมุฏฐานตางๆ ที่ประจำใน แตละฤดู เชน วสนั ตเหมันตฤดู มกั ทำใหเ กิดความเจบ็ ปวยเนอื่ งจากสมฏุ ฐานอาโป การกำหนดฤดูกาลในรอบ ๑ ป เปน ๖ ฤดู ฤดูละ ๒ เดือนตามหลักวิชาการแพทย แผนไทย ไดแก ฤดทู ่ี ๑ (คิมหนั ตฤดู) นับตง้ั ตาแรม ๑ คำ่ เดือน ๔ ถงึ ข้นึ ๑๕ คำ่ เดือน ๖ ฤดทู ่ี ๒ (วสนั ตฤดู) นับต้งั แตแรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ ถึง ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ฤดูท่ี ๓ (วัสสาน ฤด)ู นบั ต้งั แตแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึงข้ึน ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ฤดูท่ี ๔ (สารทฤดู) นบั ตัง้ แต แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ถงึ ข้ึน ๑๕ คำ่ เดือน ๑๒ ฤดทู ่ี ๕ (เหมันตฤดู) นบั ตง้ั แตแ รม ๑ คำ่ เดอื น ๑๒ ถงึ ขึ้น ๑๕ คำ่ เดือนยี่ และฤดทู ่ี ๖ (ศศิ ิรฤดู) นับตง้ั แตแ รม ๑ ค่ำ เดือน ๒ ถงึ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ฤดเู ปน ท่ีต้ังแหงการเกิดโรค อนั เกิดจากสมฏุ ฐานตางๆ ทีป่ ระจำใน แตล ะฤดู เชน วัสสานฤดู มักทำใหเ กดิ ความเจ็บปวยอันเนอ่ื งมาจากลมและเสมหะ ฤดูเปนที่ต้ังหรือที่แรกเกิดของโรค ตำราการแพทยแผนไทยแบงออกเปน ๓ แบบคือ ฤดู ๓, ฤดู ๔ และ ฤดู ๖, อตุ สุ มฏุ ฐาน กเ็ รยี ก ลมพัดในทอ งแตพัดนอกลำไส เปน องคป ระกอบ ๑ ใน ๖ ชนดิ ของธาตุลม 402

ลมกุมภัณฑยักษํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแผนไทย ในศลิ าจารกึ วัดพระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม (วัดโพธ)ิ์ เลม 3 ลมจิตบุ าทวาโย ลมทนุ ยกั ษวาโย โรคลมมีพิษชนิดหนึ่ง ผูปวยมีอาการชักมือกำเทางอ หมดสติ โบราณวาถารักษาไมได ลมนริ ิยังยักษวาโย ภายใน ๑๑ วนั อาจถงึ แกความตาย ลมพานไส โรคลมจรชนิดหนึ่ง เกิดจากลมอโธคมาวาต เกิดบริเวณลำคอ ผูปวยมักจะเปนคางทูม ลมพาหรุ ะวาโย หายใจขดั หอบ สวิงสวาย ทอ งข้ึนอดื เฟอ หากเปนนานถึง ๒ ป กับ ๔ เดือน จะทำให ลมพทุ ธยักษ ตาบอด โรคลมจรชนิดหนึ่ง เกิดจากกองลมอัมพาต ผูปวยมีอาการเสียดต้ังแตสีขางและ ลมพุทธยักษวาโย ชายโครงข้ึนมา ทำใหตัวงอ ทองแขง กินอาหารไมได มักอาเจียนเปนลมเปลา ตาฟาง ลมยกั ขินวี าโย ทอ งเสีย ลมรามะภานวี าโย โรคลมจรชนิดหนึ่ง เกิดจากกองอัมพฤกษและสุมนา ผูปวยมีอาการคลั่ง หิวโหย อยาก ลมวาระยักขวาโย กินของคาว มีผื่นข้ึนและคันทั้งตัว อุจจาระปสสาวะขัด มักนอนหลับ ไมมีแรง เปนตน ลมวิหค ถารักษาไมห ายจะตายภายใน ๑ ป โรคลมชนิดหนึ่ง ผูปวยมักมีอาการอาเจียน จุกอก ถาเปนถึงกําหนด ๗ เดือน มักเปน ตัวเสยี ดอยูซโ่ี ครงซาย ผอมเหลอื ง พอใจอยากของสดของคาว ครั้นถึง ๓ ปจ ะตาย โรคลมจรชนิดหนึ่ง เกิดจากกองสุขุมังควาต ผูปวยมีอาการมือเทาบวม หนักศีรษะ วิงเวียน น้ำมูกน้ำตาไหล เสียวมือและเทา เปนเหน็บ หากเปนนานถึง ๕ เดือน ผูปวย จะลกุ ไมขึน้ โรคลมชนิดหน่ึง มีอาการใหชักกระสับกระสาย ใหขบฟนเหลือกตา ใหมือกำเทางอ ปากเบ้ยี ว จักษุแหก แยกแขง แยกขา ไมมีสติ ลมจำพวกนี้รักษายาก เปน ปจ ฉมิ ท่สี ุดโรค การรักษาใหพิจารณาทวารหนัก ทวารเบา ถายังอุนอยูใหแกตอไป ประการหน่ึง ใหดผู ิวเนือ้ นว้ิ มอื กดลง แลว ยกขนึ้ ดหู าโลหติ มไิ ด รอยน้วิ ท่กี ดยกขนึ้ เปน รอยเขียวซีด โรคลมจรชนิดหนึ่ง เกิดจากกองสัณฑฆาต ผูปวยมีอาการเสียดบริเวณชายโครง เจบ็ กระดกู ลกุ นง่ั ไมไ ด มกั เปน รำมะนาดบอ ยๆ ตามัว และตาบอดในท่ีสุด หากเปนนาน ถงึ ๓ ป จะรกั ษายาก โรคลมจรชนิดหน่ึง เกิดจากกองสัณฑฆาต ผูปวยมีอาการเสียดบริเวณหนาอก และ ชายโครง ทรงตัวไมได มักทำใหตัวโกงแข็ง พูดไมชัด มักเปนรำมะนาด ตาบอด เปนตน ผูปว ยมักมอี ายสุ นั้ โรคลมจรชนิดหน่ึง เกิดจากกองหทัย ผูปวยมีอาการคันบริเวณใบหนา หู ตา เปนตน แลว คันมากไปทวั่ ท้งั ตัว กินอาหารไมได โรคลมจรชนิดหนึ่ง เกิดจากกองอชิณวาต ผูปวยจะอยากกินอาหารคาวหวาน เนื้อ ปู ปลา และหอย ซ่ึงเม่ือกินแลวทำใหมีอาการเสียดชายโครงทั้งสองขาง จุกแนนบริเวณ หนา อก แลวลามไปจนถึงบริเวณองคชาต มอื เทาตายไมม ีเรยี่ วแรง โรคลมชนิดหนึ่ง ไมปรากฏรายละเอียดในตำราการแพทยแผนไทย ในหนังสือ ศัพทแพทยแผนไทยของสำนักงานขอมูลสมุนไพร มหาวิทยาลัยมหิดล ใหความหมายวา ลมวหิ ค คอื ลมทเี่ กิดจากดีกำเรบิ อยางรนุ แรง 403

ชุดตำราภูมปิ ญญาการแพทยแผนไทย ฉบบั อนุรักษ ลมสัตถกวาต ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยโรคลมชนิดหน่ึง เกิดจากสัณฑฆาต ผูปวยจะเร่ิมมีอาการเจ็บบริเวณหนาอก เมื่อเปน นานเขาจะเกิดเปนเวลา โดยเมื่อมีอาการจะรูสึกเจ็บแปลปลาบไปทั่งทั้งตัวเหมือนถูก ลมสนุ ทรวาต มีดเชือด และเหล็กแหลมแทง ใจสั่น เมื่ออาการบรรเทาลงจะรูสึกหิว ไมมีแรง ปวดหัว ลมสุมนา ตามัว กินอาหารไมได นอนไมหลับ หากจะรักษาตองรักษาเม่ือเริ่มมีอาการเจ็บหนาอก ลมหทยั วาต ถารักษามิหายจะกลายเปน โทสณั ฑฆาตและตรีสัณฑฆาต รกั ษาไมไ ด ลมหศั คินี ปจจุบันกรรมอติสารชนิดหน่ึง เกิดจากลมอโธคมาวาตออนและลมอุทังคมา วาตกำเริบ ลมอรศิ เมื่อเปนเด็กอายุได ๓ เดือน ผูปวยมีอาการทองเสีย ถายอุจจาระเปนมูกเลือด ลมอศั ฎากาศ นอกจากน้ียังมีอาการปวดมวนในทอง ทองอืดเฟอ ถารักษาไมหายจะพัฒนากลายเปน ลมอทุ รวาต โรคมานท้งั ๕ ชนิด โรคลมชนดิ หนึง่ เกดิ จากกองลมอัมพฤกษและมักเกิดในระหวางตรโี ทษ ผูปวยจะสูญเสีย ละออง การรับรูทางประสาทสัมผัสท้ัง ๕ (การไดยิน การมองเห็น การไดกลิ่น การรับรส และ ละอองแกว มรกต การสัมผสั ) โรคนีร้ กั ษายาก แตอ าจบรรเทาอาการใหร นุ แรงนอยลงได 404 โรคลมชนิดหน่ึง ผูปวยมักมีอาการมึนตึง ไมคอยพูดคุย ใจลอยบอยๆ ชอบอยูคนเดียว ใจนอย โกรธงาย เบ่อื อาหาร บางครง้ั หวั เราะ บางครั้งรองไห ถา รกั ษาใหร กั ษาเมอ่ื เรมิ่ มี อาการ หากท้งิ ไวน านจะรกั ษายาก ชือ่ โรคลมชนดิ หนง่ึ เปนแกเดก็ มีอายุ ๓ เดอื นไปแลว และเปนโรคซางโคอยูเดิม มอี าการ ชกั มอื กำ เทางอ หลงั แข็ง เหงื่อตก ทองขน้ึ เทา เยน็ ข้ึนมาถงึ หัวเขา เปน ตน ดูเพิ่มเติมที่ แมซ าง ช่ือโรคชนิดหนึ่ง เปนแกเด็กท่ีเกิดในวันศุกร เปนโรคละอองพระบาท หรือ กาฬสิงคลี หรือเปนโรคซางชางอยูแลว มีอาการชัก คอเขียวกอนแลวชักมือกำเทางอ นัยนตากลอก ไปมา น้ำลายฟูมปาก ล้ินกระดางคางแข็ง บางทีชักเฉพาะ จำหระซาย(สวนรางกาย ขางซาย) บางทชี่ ักเฉพาะจำหระขวา(สว นรางกายขางขวา) เปน ตน ดูเพ่ิมเตมิ ที่ แมซ าง โรคลมชนิดหนึง่ ผปู ว ยมกั มอี าการชาท้งั ตวั ขยบั แขนขาไมได เชอ่ื มมนึ ช่ือโรคลมชนิดหน่ึง เปนโรคลมประจำวันของเด็กที่เกิดวันอังคาร เปนโรคลมท่ีติดมากับ เด็กตั้งแตแรกเกิด เรียกวา ลมกำเนิด มีอาการรองไหในเวลาเย็นเปนนิจ(ทุกวัน) ตั้งแต อยใู นเรือนไฟจนถึงอายุ ๓ เดือน อาการของโรคกจ็ ะหายไปเอง หรือรอ งไห อาการเชนน้ี พื้นบาน รองไห ๓ เดือน เปนเด็กเลี้ยงยาก เมื่อมีอาการลมจะบังคับขึ้นในทอง ทำให ทองขึ้น จับเช่ือมมัวและหอบเปนตน ถาอายุเกิน ๓ เดือนขึ้นไปแลว ยังรักษาไมหาย จะมอี าการซบู หอม ทอ งข้นึ อาเจียน จกุ เสียด ในท่ีสุดจะชักมอื กำเทางอ ตาชอ นขึ้นสูง เรียกวา โรคตะบองราหบู าง ตะพ้นั ไฟบาง ดเู พิม่ เติมท่ี แมซาง ชอ่ื โรคชนิดหน่งึ เปน กบั เด็กตง้ั แตแรกเกดิ จนโตใหญ อาการของโรคเกิดจากความรอนใน รางกาย สงไอความรอนข้ึนภายในชอทองขึ้นมา ทำใหเกิดเปนฝสีขาวๆ เกาะอยูบริเวณ ล้ินและในปากมีสีตางๆ ตามชนิดของโรค เชน สีขาว เหลือง เขียว เปนตน โรคละออง เม่อื เปน ขน้ึ แลว ทำใหรวู า จะบังเกดิ เปนโรคหละหรือซางตอ ไป ช่ือโรคละอองชนิดหน่ึง เปนแกเด็กที่เปนโรคซางแดงอยูแลวเม่ือบังเกิดโรคขึ้นน้ัน มีอาการใบหนาเขียวคล้ำจนเกือบดำ ลิ้นกระดาง คางแข็ง อาปากไมออก ชักกำมือ กำเทา หรือ มือกำเทา งอ ดเู พ่ิมเตมิ ท่ี แมซาง

ตำราการแพทยแ ผนไทย ในศิลาจารกึ วัดพระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม (วัดโพธ์ิ) เลม 3 ละอองแกว วเิ ชยี ร ชื่อโรคละอองชนิดหนึ่ง เปนแกเด็ก อาการของโรคเกิดขึ้นที่ ล้ิน เพดาน ในบริเวณ ละอองทับทมิ กระพุงแกม เปนตน ลักษณะเปนฝาเห็นขาวเปนเลือกท้ังปากและล้ินดุจมะพราวกะทิ ละอองเนยี รกรรถี ทำใหมอี าการทองขน้ึ ทองอืดมาก ทำใหร ูสกึ เบอื่ อาหาร ละอองเปลวไฟฟา ละอองมหาเมฆ ดทู ี่ ละอองเปลวไฟฟา ละออง ชื่อโรคละอองชนิดหน่ึง เปน แกเด็กท่ีเปนโรคซางชางอยูแลว มีอาการเปนฝาข้ึนมาแต ลำคอถึงลิ้นแลวดาดไปทั้งปากทำใหทองเสีย และอาเจียนอยางที่เรียกวา ทั้งลงท้ังราก ลำบองราหู กินอาหารไมไ ด ตวั รอน กระหายนำ้ เปน ตน ลำลาบ ชื่อโรคละอองชนิดหน่ึง เปนอาการตอเนื่องกับโรคซางเปนแกเด็กมีอาการลิ้นฝา มีเม็ด โลมา หรือยอดผดุ ขึน้ ท่ฝี า นัน้ สแี ดงดังชาด หรอื ยอดทับทมิ ทำใหลน้ิ กระดาง คางแข็ง ตาคาง โลหติ เกิดแตผ ิวเนอื้ ชกั มอื กำเทา งอ กดั ฟน ตัวรอนจดั บางทเี รยี กวา ละอองทบั ทิม ดเู พ่ิมเตมิ ที่ แมซ าง โลหติ เกิดแตเสน เอ็นํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย โลหิตคลอดบุตร ชื่อโรคละอองชนิดหนึ่ง เปนกับเด็กที่เกิดวันพฤหัสบดี มีซางโคเปนเจาเรือน ทำใหมี โลหิตช้ำ อาการล้ินเปนฝา มีเม็ด หรือ ยอด ผุดข้ึนที่ฝาน้ัน เม่ือแรกตั้งสีดังดอกตะแบก จับให โลหิตตกหมก หนาเขียวจนดำ ชักมือกำเทางอ นัยนตาชอนขึ้นสูง ทองข้ึน ปดหนักปดเบา เปนตน ดเู พิม่ เติมท่ี แมซาง โรคเด็กชนิดหนึ่ง เกิดกับทารกแรกเกิดถึงเด็กอายุไมเกิน ๕ ขวบ ๖ เดือน ผูปวยมี ฝาบางๆ เกิดขึ้นในปากลำคอ กระพุงแกม หรือบนล้ิน ฝาบางๆ นี้อาจมีสีตางๆ กัน ทำใหมีชื่อเรียกแตกตางกันไป นอกจากนี้ ยังมีเจาเรือนและช่ือเรียกแตกตางกันไปตาม วันเกิดของผูปวยดวย เชน ละอองแกววิเชียร เปนละอองที่เกิดกับเด็กที่เกิดวันจันทร มีซางน้ำเปนเจาเรือน ละอองท่ีอาจทำใหมีอาการรุนแรงขึ้นถึงตายได เรียก ละออง พระบาท เชน ละอองมหาเมฆ ละอองเปลวไฟฟา ละอองแกววิเชยี ร โรคชนิดหน่ึง เกิดกับเด็กต้ังแตแรกเกิดจนถึงอายุ ๑๒ เดือน ผูปวยมักมีอาการเปนเม็ด ตามรางกาย และอาการอ่ืนๆ แตกตางกันกันไปในแตละเดือน เชน ลำบองราหูท่ีเกิดใน เดือน ๑ เมื่อเปนจะทำใหเจ็บผิวหนัง ขนลุก ผื่นขึ้นท้ังตัว นอนสะดุง รองไหไมมีน้ำตา, ละบองราหูหรือกระบองราหู กเ็ รยี ก เปอ ยลามเปนแนวออกไป ขน สวนประกอบ ๑ ใน ๒๐ ส่งิ ของธาตดุ นิ โรคชนิดหนึ่งเม่ือจะมีระดูมานั้น ใหรอนผิวเน้ือ ใหรอนผิวหนัง แลแดงดังผลตําลึงสุก บางทผี ุดขึน้ ดงั เมด็ ผด แลเทาใบพุทราเทางบนำ้ ออยก็มี ดจุ ไขร ากสาดสนั นิบาตไป ๒ วัน ๓ วัน บางทสี มมตวิ าเปน ประดง คร้ันระดูมีมากห็ าย โรคชนิดหน่งึ เม่อื ระดจู ะมีมานั้น ใหเปนดุจไขจ บั ใหสะบัดรอนสะทาน หนาว ปวดศรี ษะ เปนกาํ ลงั ครนั้ ระดมู มี ากห็ ายไปแล โรคชนิดหนึ่งเม่ือจะบังเกิดทำใหโลหิตค่ังเขาเดินไมสะดวก แลวต้ังขึ้นเปนล่ิม เปนกอน ใหแดกข้ึนแดกลง เพราะบางทีใหคล่ัง ขบฟน ตาเหลือกตาซอน ขอบตาเขียวและ รมิ ฝป ากเขียว เล็บมอื เลบ็ เทา เขยี ว สมมตุ ิวา ปศาจเขาสิง ดทู ี่ โลหิตตกหมกชำ้ ดทู ี่ โลหติ ตกหมกช้ำ 405

ชุดตำราภมู ปิ ญ ญาการแพทยแผนไทย ฉบบั อนุรักษ โลหิตตกหมกช้ำ ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยโรคชนิดหนึ่งก็อาศัยโลหิตเนา เหตุเพราะแพทยใชยาประคบ ยาผาย ยาขับโลหิตไมถึง กําลัง หมายถึงใหยานอยกวากําลังเลือด และโลหิตน้ันเกิดระส่ำระสาย ออกไมหมดส้ิน โลหติ ตอ งพิฆาต เชิง จึงตกหมกซ้ำอยูไดชื่อวาโลหิตตกหมกช้ำ บางทีตกซ้ำอยูในเสนเอ็นหัวเหนา เม่ือจะ ใหโทษก็คุมกันเขากระทำใหเปนฝมดลกู ฝป อดควำ่ ฝเ อน็ ฝอ คั นสี นั ต ฝป ลวก และมาน โลหติ ทจุ รติ โทษ โลหติ โลหิตเนา อนั ตกตน ไมแ ละถูกทุบถองโบยตี ถา เปนดังกลาวทา นวา ไขนนั้ ถงึ พิฆาต เพราะโลหติ ทีถ่ ูก กระทํานั้นกระทบซ้ำระคนกับโลหิตระดู เกิดแหงกรังเขาติดกระดูกสันหลังอยู จึงไดช่ือ โลหิตระดรู า ง วา โลหติ แหง กรงั เพราะอาศยั โลหติ พิฆาต โรคชนิดหนึ่งเกิดจากระดูผิดปรกติ โลหิตทุจริตโทษมี ๕ ประการ คือ โลหิตระดูราง วสันตะฤดู โลหิตคลอดบตุ ร โลหติ ตองพฆิ าต โลหิตเนา โลหิตตกหมกชำ้ วัณโรค โรคชนิดหนง่ึ อาศัยโลหติ ระดรู าง โลหติ คลอดบุตร โลหิตตอ งพิฆาต และโลหติ ตกหมกซำ้ วาตะสมุฏฐาน เจอื มาเนา อยู จงึ เรยี กวา โลหติ เนา เปน ใหญก วา ลมทงั้ หลาย เมอื่ จะใหโทษโลหิตเนา มีพิษ อนั กลาแลน ไปทกุ ขุมขน บางทแี ลนเขา จับหวั ใจ บางทีแลนออกผวิ เนอ้ื ผุดเปน วงดาํ แดง วาตสุตะโรค เขยี ว ขาวก็มี บางทผี ุดข้ึนดงั ยอดผด ทาํ พิษใหคันเปน กําลงั ทุรนทุรายย่งิ นัก วชิ ิกามะโรค โรคชนิดหนึ่ง เม่ือจะบังเกิดโลหิตระดูมิใหมาตามปกติ บางทีดําและมีกล่ินเหม็นเนา วติ านะโรค บางทีจางดุจน้ำชานหมาก บางทีใส ดุจน้ำคาวปลา บางทีขาวดุจน้ำซางขาวกระทำให วปิ รติ เจบ็ ปวดเปนไปตางๆ ครัน้ เปน นานมักกลายเปนมานโลหติ วิสมธาตุ ดูท่ี ฤดู ๓ ฤดู ๔ และฤดู ๖ โรคฝกลุมหน่ึง เกิดเปนตุมข้ึนภายใน ผูปวยมีอาการแตกตางกันตามชนิดของฝ เชน รา งกายทรดุ โทรม ผอมเหลอื ง ท่ีต้ังหรือท่ีแรกเกิดของโรคอันเกิดจากลม แบงออกเปน ๓ อยาง ไดแก หทัยวาตะ (ลม ในหัวใจ อันทำใหหัวใจทำงานเปนปรกติ) สัตถกวาตะ (ลมท่ีทำใหเกิดอาการเสียดแทง ตามสว นตา งๆ ของรา งกาย) และสุมนาวาตะ (ลมในเสน อันทำใหเกิดอาการปวดเมอ่ื ย) ริดสีดวงประเภทหน่ึง เกิดในสันหลัง ผูปวยมีอาการเจ็บ รอนเอว และสันหลัง ไอ ผอมแหง ผิวแหง เปน เกล็ด เหน่อื ยหอบมาก ริดสีดวงประเภทหนึง่ เกดิ ในดวงจิต ผปู ว ยมอี าการปวด แสบ หรือยอกในทรวงอกบอ ยๆ บดิ ตวั ไปมาไมได สะบัดรอนสะทานหนาว กนิ อาหารไมได มเี หง่อื ออกมาก ริดสีดวงประเภทหน่ึง เกิดท่ีตา ผูปวยมีอาการน้ำตาไหลตลอดเวลา มีขี้ตา คันตา ปวดแสบปวดรอ นในตา อาจมแี ผลเปอ ยตามขอบตา ความผิดปกติ สามารถใชไ ดก บั อาการท่ีผดิ ปกติไป และธาตตุ า งๆ ท่ีผิดปกติไปได วิสมธาตุนั้นยิ่งไปดวยกองฉกาลวาโย วาโยเดินไมสะดวก คือทำใหทองล่ันอยูเปนนิจ บางวันใหทองผูก บางวันใหถายทอง บางวันใหแนนทองแนนอกคับใจ บางวันใหอยาก อาหาร เพลิงธาตุมิไดเสมอ วาโยเดินไมสะดวก โทษท้ังนี้เกิดขึ้นแตกองฉกาลวาโย ใหเปนเหตุ 406

วีสติปถวีํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแผนไทย ในศิลาจารึกวดั พระเชตพุ นวิมลมังคลาราม (วัดโพธ์ิ) เลม 3 ศอเสมหะสมุฏฐาน ธาตุดิน ๒๐ ประการ อันไดแก ผม (เกศา) ขน (โลมา) เล็บ (นขา) ฟน (ทันตา) หนัง สกะถาณะโรค (ตะโจ) เน้ือ (มังสัง) เอ็น (นหารู) กระดูก (อัฏฐิ) ไขกระดูก (อัฏฐิมิญชัง) ไต (ปหกัง) หัวใจ (หทยัง) ตับ (ยกนัง) พังผืด (กิโลมกัง) มาม (วักกัง) ปอด (ปปผาสัง) ไสใหญ สมะธาตุ (อันตัง) ไสนอย (อัณตคุนัง) อาหารใหม (อุทริยัง) อาหารเกา (กรีสัง) และสมองศีรษะ (มตั ถเกมัตถลงุ คงั ) สมุฏฐาน ดูท่ี สมุฏฐานเสมหะ ริดสีดวงประเภทหน่ึง เกิดขึ้นที่ริมทวารหนักขางในลักษณะเหมือนเดือยไก ผูปวย สมุฏฐานวาตะ มีอาการคลายไขเหลือง บางทีรูสึกรอน รูสึกหนาว เมื่อยตัว ทองผูกเวลาถายมีเลือด ปนออกมา สมุฏฐานเสมหะ ลักษณะสมาธาตุน้ัน ยิ่งไปดวยสรรพธาตุ มีอาการทำใหเจ็บเปนเพลา(เวลา) บางที สวิงสวาย กระทำใหตัวรอน เทาเย็น บางทีใหสวิงสวาย ใหเจ็บในอก รับประทานอาหารไมมีรส สองเพรียงหู บางทีใหมึนใหมัว โทษท้ังน้ีเปนเพราะเสมหะสมุฏฐาน ปตตะสมุฏฐาน และวาตะ สะบดั รอนสะทา นหนาว สมฏุ ฐาน ประชมุ พรอ มกนั ในกองปถวธี าตทุ ้งั 20 ประการ ใหเ ปน วสี ติปถ วี ดเู พ่ิมเติมท่ี สะพ้ัน อสุรินทัณญาธาตุ สรทะฤด,ู สารทฤดู ทตี่ ัง้ หรอื ท่แี รกบงั เกิดโรค บรรดาภัยไขเ จบ็ ทั้งหลาย จะบงั เกดิ ขึ้นกเ็ พราะ สมุฏฐานเปน สักเคระโรค ทีต่ ัง้ จำแนกได ๕ สมฏุ ฐาน คือ ธาตุสมฏุ ฐาน อตุ สุ มุฏฐาน อายสุ มุฏฐาน กาลสมฏุ ฐาน สณั ฐาน และ ประเทศสมุฏฐาน ดูเพ่ิมเติมที่ ธาตุสมุฏฐาน อุตุสมุฏฐาน อายุสมุฏฐาน กาลสมุฏฐาน และ ประเทศสมุฏฐาน ท่ีตั้งหรือที่แรกเกิดของโรคอันเกิดจากลม แบงออกเปน ๓ อยาง ไดแก หทัยวาตะ (ลมในหัวใจอันทำใหหัวใจทำงานเปนปรกติ) สัตถกวาตะ (ลมท่ีทำใหเกิดอาการ เสียดแทงตามสวนตางๆ ของรางกาย) และสุมนาวาตะ (ลมในเสนอันทำใหเกิดอาการ ปวดเมื่อย) ที่ตั้งหรือท่ีแรกเกิดของโรคอันเกิดจากเสลด แบงออกเปน ๓ อยาง ไดแก ศอ เสมหะ (เสมหะในลำคอ) อรุ ะเสมหะ (เสมหะในอก) และคูถเสมหะ (เสมหะในสว งทวาร) อาการของโรคชนดิ หน่งึ ทำใหเ ปนลม หนา มืด ตาลาย ใจหวิว กระสับกระสา ย บริเวณของศีรษะเหนือใบหูหลังขมับ เปนตำแหนงท่ีเอาส่ิงของหรือดอกไมเหน็บไว ทดั ดอกไมก็เรยี ก อาการของโรคอยา งหน่งึ พิษไขทำให หนาวตัวส่ัน โรคชนิดหน่ึง มักเกิดในทารกหรือเด็กเล็ก ผูปวยจะมีอาการขอบตาเขียว นอนสะดุง ชกั เทา กำมือกำ หลงั แข็ง ทองข้ึน ลิ้นกระดา งคางแขง็ ดูท่ฤี ดู ๖ ริดสีดวงประเภทหน่ึง เกิดขึ้นในทวารหนัก ผูปวยมีอาการแสบรอนในทวารหนัก บางที ใหนำ้ เหลืองไหลอยตู ลอด เหมือน 407

ชุดตำราภูมปิ ญญาการแพทยแ ผนไทย ฉบบั อนุรกั ษ สตั ถกวาตะสมุฏฐาน ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยที่ต้ังหรือที่แรกเกิดของโรคอันเกิดจากลมแบงออกเปน ๓ อยาง ไดแก หทัยวาตะ สันทฆาต (ลมในหัวใจอันทำใหหัวใจทำงานเปนปรกติ) สัตถกวาตะ (ลมที่ทำใหเกิดอาการ เสียดแทงตามสวนตางๆ ของรางกาย) และสุมนาวาตะ (ลมในเสนอันทำใหเกิดอาการ สันนิบาต ปวดเมอ่ื ย) สันนปิ าตะอชณิ ะ ๑. ชื่อโรคชนิดหนึ่ง เปนกับบุรุษและสตรี อาการของโรคเกิดเปนเลือดสด เปนกอนตก สาเขมา ออกจากทวารเบา เลือดน้ันเนาใสเหมือนน้ำลางเนื้อหรือน้ำคาวปลา ทำใหปสสาวะออก สำรอก เปนหยดๆ และปวดมาก ๒. ในหนังสือแพทยศาสตรสงเคราะห กลาววา อาการของง โรคสันทะคาดมี ๔ ชนิด คือ ๑) เอาสันทะคาดเปนกับหญิงเกิดจากโลหิตและระดูแหง ศิศริ ฤดู เปนกอน ขนาดประมาณฟองไขไกติดอยูที่กระดูกสันหลัง ทำใหมีอาการเจ็บหลังปวด สจุ ิมขุ ะ ตาละหริ ะ มากถึงบิดตัว ๒) โทสันทะคาด เกิดจากทองผูกจนเปนพรรดึก เกิดเปนกองลมเขาไปอยู สนุ ทรวาตอติสาร ในทองทำใหเจ็บปวดไปทั้งตัว มีอาการเม่ือยบั้นเอว ขัดตะโพก เวียนศีรษะ สะทานรอน 408 สะทานหนาว เปนตน ๓) ตรีสันทะคาด เกิดเปนเม็ดผุดขึ้นภายในบริเวณดีตับ หรือ ในลำไส ทำใหเปนไข จุก เสียด ทองพองมีอาการเพอ คลั่ง ประดุจผีเขาสิง ถาเปนนาน ๗-๘ วัน โลหิตจะแตกออกตามทวารทั้ง ๙ ๔) อาสันทะคาด เกิดจากการฟกช้ำภายใน เชน ตกจากท่ีสูง ถูกทุบ ถอง ตีโดยแรงเจ็บเน้ือตัว ทำใหโลหิตในรางกายคุมกันเขา เปนกอน มีอาการเจ็บรอนในอก เสียดแทงสันหลัง ดุจเปนเม็ดยอดข้ึนภายใน ถาวาง ยาผิด โลหติ กระจายออกแลวแลน เขา สนั หลัง ลงสทู วารหนักเบา เปน ตน ๑. ความเจบ็ ปวยอนั เกิดจากกองสมฏุ ฐานปต ตะ วาตะ และเสมหะ รวมกนั กระทำใหเกดิ โทษเต็มกำลัง ในวันท่ี ๓๐ ของการเจบ็ ปว ย ๒. ชอ่ื โรคชนิดหนึ่ง ทำใหเปนไข พิษของไข มอี าการหนาวสัน่ ชัก กระตกุ และเพอ อชิณธาตุโรคอติสารประเภทหน่ึง เกิดจากเสมหะ ปตตะ และวาตะ รวมกันกระทำให เกดิ โทษ ผูป ว ยมอี าการทองเสยี อยางแรงในเวลากลางคนื อจุ จาระมีสีดำ แดง ขาว และ เหลืองปนกัน นอกจากน้ียงั มีอาการแนน หนาอก สะบดั รอนสะทา นหนาว มีไข โรคเด็กชนิดหน่ึง เกิดกับทารกท่ีอยูในเรือนไฟ (โดยท่ัวไปอายุไมเกิน ๑ เดือน) ผูปวยมี ฝาสีเทาแลวเปล่ียนเปนสีดำ เกิดไดตั้งแตหนาอกถึงปลายล้ิน เม่ือลุกลามเขาไปภายใน ก็จะทำใหมอี าการรนุ แรงข้ึน เชน อาเจียนอยางแรง ทองเสยี อยางแรง ๑. อาเจียน ขยอนเอาส่ิงท่ีกลืนลงไปในกระเพาะแลวออกมาทางปาก เชน สำรอก อาหาร ๒. อาการซึ่งเกิดในเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ ๑ ขวบ เด็กมีอาการขยอนเอาส่ิง ท่ีกลืนเขาไปออกมาทางปาก มี ๔ อยาง คือ สำรอกเปนเสมหะ สำรอกเปนสีเหลือง สำรอกเปนสีเขียว และสำรอกเปนเม็ดคลายเมล็ดมะเขือ นอกจากนี้เด็กยังมีอาการ ทอ งอืดทอ งเฟอ ทอ งเดนิ มไี ข ดทู ีฤ่ ดู ๖ กิมิชาติ อาศัยเกาะกินภายในกระเพาะอาหารมี ๗ ชนิด คือ กะตะ โอตะกะ คันทุปา ตาลหิระ สุจิมุขะปวตั นนั ตุ และ สุกะตะ ดูเพิ่มเตมิ ที่ กิมิชาติ ปจ จุบนั กรรมอตสิ ารชนดิ หนงึ่ เกิดจากลมอโธคมาวาตาออ นและลมอุทังคมาวาตากำเรบิ เม่ือเปนเด็กอายุได ๓ เดือน ผูปวยมีอาการทองเสีย ถายอุจจาระเปนมูกเลือด นอกจากน้ียังมีอาการปวดมวนในทอง ทองอืดเฟอ ถารักษาไมหายจะกลายเปนโรคมาน ตา งๆ ท้งั ๕ ชนดิ

สมุ นาสมฏุ ฐานํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแผนไทย ในศลิ าจารกึ วดั พระเชตพุ นวิมลมังคลาราม (วดั โพธิ์) เลม 3 สุวิชกิ าโรค เสมหะ ดทู ่ี วาตะสมฏุ ฐาน เสมหะสมุฏฐาน ริดสีดวงประเภทหน่ึง เกิดขึ้นตามขอบทวารหนัก ลักษณะเปนเม็ดขนาดเทาเมล็ด เสยี ดอก ขาวโพด ผูปวยมีอาการปวดแสบ คัน บางทีมีหนองและเลือดออกทางทวารหนัก ไสด ว น ๔ ปวดมวนและตึงทวารหนัก นำ้ ลาย, เสลด, เมอื ก เปน องคประกอบ ๑ ใน ๑๒ สงิ่ ของธาตุนำ้ ไสล าม ที่ตั้งหรือท่ีแรกเกิดของโรคอันเกิดจากเสลด แบงออกเปน ๓ อยาง ไดแก ศอเสมหะ (เสมหะในลำคอ) อุระเสมหะ (เสมหะในอก) และคถู เสมหะ (เสมหะในสวงทวาร) หฤศโรค อาการทีร่ สู ึกอดึ อัดหรือแทงยอกภายในอก เนื่องจากมีลมอยู หละ ชื่อโรคชนดิ หน่งึ เปนโรคเกิดกบั ชาย อาการของโรคเกดิ จากเสพกับหญงิ ท่ีเปนโรคกายอยู กอนแลว ทำใหมีอาการเปนเม็ดขึ้นที่ปลายองชาติก็ดี รอบๆ องคชาตก็ดี เม็ดน้ัน หละนิลกาล แตกออกเปนน้ำเหลืองและเลือดทำใหเจ็บ ปวดแสบปวดรอน แผลเนา กัดตั้งแตปลาย หละนิลเพลงิ องคชาตเขาไปทุกวัน ถึงโคนองคชาตเม่ือใดก็ตาย โรคไสดวน เกิดจากเหตุ ๔ ประการ หละมหานลิ กาล คือ ๑. เกิดจากเสพเมถุนสำสอน เปนสัญจรโรค ๒. เกิดจากการเสพเมถุนกับหญิงกำลัง มีประจำเดือน ๓. เกิดจากการเสพเมถุนรุนแรงหักโหมจนฟกช้ำ ๔. เกิดจากการ เสพเมถุนกับหญงิ เปน กามโรค โรคติดตอทางเพศสัมพันธชนิดหน่ึง เกิดไดทั้งผูหญิงและผูชาย ผูปวยมีเม็ดฝข้ึนที่ภายใน อวัยวะเพศและลามออกมาภายนอก ไปที่ทองนอย ทวารหนัก ทวารเบา เม่ือเม็ดฝแตก ออกหนองจะไหลออกมา อาจมีอาการปวดมวนทอง ถายเปนมูกเลือด แนนหนาอก อาเจยี น กนิ อาหารไมได หรอื เปนลมบอ ยๆ รวมดวย โรคกลุมหน่ึง เกิดไดกับอวัยวะตางๆ ของรางกาย เชน ตา จมูก ลำไส ทวารหนัก ตำราการแพทยแผนไทยวา มี ๑๘ ชนดิ ดูเพิ่มเตมิ ที่ รดิ สดี วง ชื่อโรคชนิดหน่ึง เปนกับเด็กออนท่ียังอยูในเขตเรือนไฟ เม่ือเด็กออกจากเรือนไฟแลว อายุ ๓ เดอื นขน้ึ ไป จะไมคอ ยเปน หละ แตเ รยี กวา โรคซาง อาการของโรคหละ จะเปน ตอเนื่องมาจากโรคละออง โดยมีอาการรุนแรงมากข้ึนล้ินท่ีเปนฝาขาวน้ันจะเปน แผนหนา เห็นเปนคราบขาว กับมีเม็ดพิษผุดขึ้นเปนยอดแหลม มี ๙ ชนิด คือ ยอดเหลืองแดง ดำดุจน้ำหมึก เขียวดุจ สีใบไมมีสายโลหิต ดำดังสีนิล ดำแดงช้ำดัง สีลูกหวาหาม สีคราม ขาว และไมมียอด แตแดงทั่วปาก อาการของโรคหละ มีชื่อเรียก ตา งๆ กันไดแก หละอทุ ัยกาฬ หละเนระกันถี หละแสงพระจนั ทร และหละนิลกาฬ ชื่อโรคหละชนิดหนึ่ง เปนแกเด็กท่ีเปนโรคละอองมหาเมฆอยูแลว เม็ดที่ข้ึนเปนยอดดำ ดังสีนิล ทำใหเจบ็ ไปทั่วสรรพางคกาย หายใจขัด หลงั แข็ง เปนตน ดเู พ่มิ เตมิ ท่ี หละ และ แมซาง หละท่ีเปนกับเด็กที่เกิดวันพุธ เร่ิมแรกผูปวยมีเม็ดเล็กๆ สีเขียวใบไมขึ้น แลวเปล่ียนเปน สายยาวสีแดงที่ทอดผานยอดนั้น เม่ืออาการมากข้ึนเม็ดพาจะเปล่ียนเปนสีคล้ำคลาย สนี ิล เม่ือเปนไดค รบ ๕ วัน ผปู ว ยมีอาการ ทอ งรวง ทองข้ึน ปากแหง หละที่เปนกับเด็กท่ีเกิดวันเสาร ผูปวยมีเม็ดสีคล้ำคลายนิล เม่ือทำพาจะทำใหมีอาการ เหมือนหละนลิ กาฬ แตร ุนแรงกวามาก 409

ชดุ ตำราภูมิปญ ญาการแพทยแ ผนไทย ฉบับอนรุ ักษ หละแสงพระจนั ทร ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยชอื่ โรคหละชนดิ หนึง่ เปนแกเ ดก็ ทเ่ี ปนโรคละอองแกววิเชียรอยูแลว เม็ดท่ีผุดขนึ้ เปน ยอด สีขาวแลวกลับเหลือง ข้ึนที่ตนขากรรไกรซายหรือขวา ขนาดโตเทาเม็ดขาวโพดทำให หละอุไทยกาล มีตา ตาแข็งคาง เปนตนอาการลงทอง ตัวเย็น ล้ินกระดางคางแข็งหนาผากดึง รองไห หดื ไมม นี ้ำตา ตาแขง็ คาง เปนตน ดูเพิ่มเตมิ ท่ี หละและแมซ าง เหมันตฤดู หละที่เปนกับเด็กท่ีเกิดวันอาทิตย และวันอังคาร ผูปวยมีเม็ดพิษสีแดง ไขสูง ชัก องคสูตร ๔ ถา ยอุจจาระปส สาวะไมอ อก ภาวะหายใจไมสะดวกเน่ืองจากหลอดลมตีบแคบลง มักเกิดจากการหดตัว หรือการ อชิณธาตุ อกั เสบของหลอดลม อชณิ โรค ดูที่ ฤดู ๓ ฤดู ๔ และฤดู ๖ อชิรณะ โรคทางเดินปสสาวะและอวัยวะสืบพันธุกลุมหนึ่งเกิดกับผูชาย ผูปวยมีอาการแตกตาง อติสาร, อติสารโรค กันไปตามฤดูที่ปวย ตำราการแพทยแผนไทยแบงเปน ๔ ประเภท ไดแก 1. ผูที่ปวย อโธคมาวาต ในฤดูรอน อัณฑะขางขวาจะบวมแดง ปวดแสบปวดรอนเสียดแทงราวไปถึงราวขาง อพัทธปตตะสมุฏฐาน มีเลือดไหลซึมในชองปสสาวะทำใหมีอาการปวดแสบรอนมาก ปสสาวะขัด ทองผูกมาก อาจมีอาการปวดเสียวลงไปตามเทา ถานอนลงกลามเนื้อจะกระตุกเตนเบาๆ เปนตน 2. ผทู ี่ปวยในฤดูฝนจะมีอาการเจบ็ และปวดบรเิ วณหนา อก กระดกู สนั หลงั บาทง้ั ๒ ขาง ราวไปถึงราวนมและขาท้ัง ๒ ขาง ปวดแสบปวดรอนเวลาถายปสสาวะ คร่ันเนื้อครั่นตัว วิงเวียน ถายอุจจาระเปนมูกเลือดและอาจชักได 3. ผูที่ปวยในฤดูหนาว จะมีอาการ ปวดในองคชาต ปสสาวะหยดยอย เจ็บเอว กินไมได ถาเปนนานจะทำใหองคชาตขาด และตายได 4. ผูท่ีปวยในฤดูแหงสันนิบาต จะมีอัณฑะบวมและผิวเปนสีดำ ปวดแสบ ปวดรอน ถายปสสาวะไมออก หรือปสสาวะเปนเลือดปนหนองปวดเสียดตามราวขาง และหนาอก กนิ ขาวไมได คอแหงเปน ตน โรคชนิดหนึ่ง ซึ่งมีสาเหตุการเกดิ โรคมาจากการรับประทานอาหารท่ีไมถูกกับธาตุ หากมี อาการเจ็บปวยอาการผิดปกติจะเพิ่มมากขึ้น เชน เปนไขหามอาบน้ำ หรือหาม รับประทานของเย็น โรคชนิดหน่ึง ซ่ึงมีสาเหตุการเกิดโรคมาจากการเจ็บปวยแลวใชยาในการรักษาโรคไมถูก วิธี สง ผลใหอาการของโรคกำเรบิ มากข้นึ อาหารท่ีบริโภคไมถ กู กบั โรคหรอื ไมถูกกบั ธาตุ โรคทผี่ ปู วยมอี าการทอ งเสียอยางรุนแรง ถายอจุ จาระเปนน้ำ เปนมูก เปนเลอื ด อุจจาระ มีกล่ินผิดปรกติ ตำราการแพทยแผนไทยแบงเปน ๒ ประเภท คือ โบราณกรรมอติสาร และปจ จุบนั กรรมอตสิ าร ลมพัดตั้งแตศีรษะถึงปลายเทา บางตำราวาพัดต้ังแตลำไสนอยถึงทวารหนัก เชน ลมท่ี เกิดจากการผายลม อโธคมาวาตาเปน องคป ระกอบ ๑ ใน ๖ ชนดิ ของธาตุลม ท่ีตั้งหรือที่แรกเกิดของโรคอันเกิดจากดีแบงออกเปน ๓ อยาง ไดแก พัทธะปตตะ (น้ำดี ที่อยูในฝกหรือในถุงน้ำดี) อพัทธะปตตะ (น้ำดีท่ีอยูนอกฝกหรือนอกถุงน้ำดี) และกำเดา (เปลวแหงความรอน หรือความรอนทีไ่ ดจากการเผาผลาญในรางกาย) 410

อภิญญาณธาตุํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแผนไทย ในศิลาจารกึ วดั พระเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม (วัดโพธ)ิ์ เลม 3 อมลู ธาตุ โรคชนิดหน่ึงเกิดจากธาตุไมดี ทำใหอุจจาระเปนสีตางๆ เชน อุจจาระสีดํา เปนเพ่ือปถวี อระวณั โรค ธาตุพกิ าร อุจจาระสแี ดง เปน เพือ่ อาโปธาตพุ กิ าร อจุ จาระสีขาว เปน เพ่ือวาโยธาตพุ ิการ อสรุ ินทัณญาธาตุ อุจจาระสีเขียว เปนเพื่อเตโชธาตุพิการ คนที่จะเปนอภิญญาณธาตุ อสุรินทัณญาณธาตุ ธาตุตางๆ ตองประชุมเปนมหาภูตรูป เปนตนวา เตโชธาตุ ไดแก พัทธะปตตะ อพัทธะ อัคคมขุ ี ปตตะ และกาํ เดา วาโยธาตไุ ดแก หทยั วาตะ สัตถกะวาตะ สมุ นาวาตะ อาโปธาตุ ไดแก อัคนีโชตโรค ศอ เสมหะ อุระเสมหะ คูถเสมหะ ปถวีธาตุไดแก หทัยวัตถุ อุทริยะ กรีสะ รวมกันทั้ง อัณฑพฤกษ ๑๒ ฐาน เชน น้เี รียกวา มหาภูตรปู เตม็ หมวดหมู จงึ ทำใหเ กิดอจุ จาระธาตุ เชน อภิญญาณ อันตคณุ ะโรค ธาตุ และ อสรุ นิ ทณั ญาณธาตุ โบราณกรรมอติสารชนิดหน่ึงตำราการแพทยแผนไทยวา เกิดจากธาตุไฟหยอน ทำให อาหารไมยอย ผุปวยมีอาการทองเสีย ถายอุจจาระเปนสีน้ำลางเน้ือ มีกลิ่นเหม็นคาว นอกจากน้ี ยังมีอาการผะอืดผะอม จุกเสยี ดแนน ทอง คอแหง กระหายนำ้ ริดสีดวงประเภทหน่ึง เกิดข้ึนในทรวงอกผูปวยมีอาการเจ็บยอกในอก ไอแหงไมมีเสมหะ บางทไี อมเี ลอื ดออกมา บางทมี อี าการคลายไขเ จลียง ทำใหรอ น ใหห นาว ครน่ั เนื้อครั่นตัว กองธาตุผิดปกติแบงออกเปน ๔ ประการ แตละประการ มีอาการดังนี้ ๑. สมาธาตุ ลักษณะสมาธาตุนั้น ยิ่งไปดวยสรรพธาตุ มีอาการทำใหเจ็บเปนเพลา (เวลา) บางที กระทำใหตัวรอน เทาเย็น บางทีใหสวิงสวาย ใหเจ็บในอก รับประทานอาหารไมมีรส บางทีใหมึนใหมัว โทษทั้งนี้เปนเพราะเสมหะสมุฏฐาน ปตตะสมุฏฐาน และวาตะ สมุฏฐาน ประชุมพรอมกันในกองปถวีธาตุท้ัง 20 ประการ ใหเปนวีสติปถวี ๒. มันทร ธาตุ ลักษณะมนั ทรธาตนุ ัน้ ยิ่งไปดว ยเสมหะมีกำลัง คือ ไฟธาตหุ ยอน เผาอาหารมไิ ดยอย กระทำใหลงไปวันละ 3-4 เวลา ใหสวิงสวาย ถอยแรงย่ิงนัก กระทำใหทองขึ้นมิรูวาย อุจจาระเปนเมือกมัน เปนเปลวหยาบละเอียดระคนกัน ใหปวดมวนทองมาก โทษท้ังนี้ เกิดแตกองทวาทศอาโปใหเปนเหตุ ๓. วิสมาธาตุ ลักษณะวิสมาธาตุนั้นย่ิงไปดวยวาโยมี กำลัง กระทำใหทองลั่นอยูเปนนิจ บางวันก็ผูก บางวันก็ลง บางวันใหอยากอาหาร บาง วันใหคับทอง แนนอกคับใจ ไฟธาตุมิไดเสมอ (วาโยเดินมิสะดวกโทษทั้งนี้เกิดแตกอง วาโยใหเปนเหตุ) ๔. กติกธาตุ ลักษณะกติกธาตุน้ันยิ่งไปดวยสรรพพิษท้ังปวง มีพิษดี พิษเสมหะ พษิ วาตะเปนอาทิ พษิ อนั แสบเปน ทส่ี ุด คือไฟธาตุนนั้ แรง เผาอาหารฉับพลนั ย่ิงนัก กระทำใหจับเชื่อมมัว กลางวันกลางคืน ไมไดเวนเวลา ใหปวดศีรษะ ผิวเน้ือและ ตาแดง อุจจาระปสสาวะเดินไมสะดวก ผูกเปนพรรดึก พิษท้ังน้ีเกิดแกกองจตุกาลเตโช ใหเปนเหตุ โรคลมมีพษิ ชนดิ หนง่ึ เปน ไดท ง้ั เด็กและผูใ หญ มีอาการใหด้นิ ใหร อ ง แลว ชกั ใหห มดสติ ริดสีดวงประเภทหน่ึง เกิดในทางเดินปสสาวะ ผูปวยมีอาการปสสาวะเปนเลือดไหลออก มาตามทวารเบา บางทีมีน้ำปสสาวะเหลืองคลายน้ำขมิ้น บางทีมีหนองปน ปวดแสบ ปวดรอ นมาก ชื่อโรคลมชนิดหน่งึ มีอาการอวัยวะเพศชายตายแข็งเคลือ่ นไหวไมไ ด ริดสีดวงประเภทหนึ่ง เกิดในลำไสนอย ผูปวยมีอาการทองเสีย เวลาถายอุจจาระ มักผายลมเสียงดัง อาจมีมูกปน หิวโหย ไมมแี รง 411

ชดุ ตำราภูมิปญญาการแพทยแผนไทย ฉบบั อนรุ กั ษ อนั ตะริศะโรค ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทยริดสีดวงประเภทหนึ่งเกิดในลำไสใหญ ผูปวยมีอาการผอม แหง เหลือง เม่ือย หอบ อัมพฤกษ บางทปี วดทอง ทองขนึ้ ตลอดเวลา ผะอืดผะอม อมั พาต เปนโรคที่เกิดจากลมเบื้องสูงกับลมเบ้ืองต่ำพัดไมสมดุลกัน (ลมอโธคมาวาตา และ ลมอทุ ธงั คมาวาตาระคนกัน) ถา หัวตอ กระดูกไมเ คล่ือนไมหลดุ จะเรียกวา อมั พฤกษ อาการตดั เปนโรคท่ีเกิดจากลมเบื้องสูงกับลมเบื้องต่ำพัดไมสมดุลกัน (ลมอโธคมาวาตา และ อาคนั ตุกะ ลมอุทธังคมาวาตาระคนกัน) จะตองมีการเคล่ือนหลุดของหัวตอกระดูกจากเบาเสมอ อาคนั ตุกะสันนิบาต เห็นไดท่ีหัวไหลและสะโพก เรียกวาอัมพาต อัมพาต(ตัว) มี ๕ ชนิด ไดแกอัมพาต อายสุ มุฏฐาน คร่งึ ซกี อมั พาตครึง่ ทอ นลาง อัมพาตทงั้ ตวั อัมพาตเฉพาะแขน อมั พาตเฉพาะขา อุตราวาตอตสิ าร อาการรุนแรงมาก รักษาไมห าย อทุ ธังคมาวาต สันนิบาตท่ีเกิดข้ึนแทรกเปนคร้ังคราว ผูปวยมีอาการเหมือนสันนิบาต, สันนิบาตจร อทุ รโรค ก็เรียก ดูเพม่ิ เติมที่ สนั นบิ าต อุทรวาตอตสิ าร สันนิบาตท่ีเกิดขึ้นแทรกเปนคร้ังคราว ผูปวยมีอาการเหมือนสันนิบาต บางครั้งเรียก สนั นิบาตจร ดูเพิ่มเติมท่ี สนั นิบาต อุทรวาตะ อายุเปนท่ีตั้งแรกเกิดของโรค ตำราการแพทยแผนไทยแบงอายุมนุษยออกเปน ๓ วัย คอื ปฐมวยั มัชฌิมวยั และปจ ฌมิ วยั ดู สมฏุ ฐานประกอบ อทุ ราธาตุ ปจจุบันกรรมอติสารชนิดหน่ึง เกิดจากลม ๑๖ จำพวก ผูปวยมีอาการทองเสีย ถาใหยา ไมตรงกบั โรคจะทำใหม อี าการปวดมวนในทอง และถายเปนมกู เลอื ด กลายเปนโรคบดิ 412 ลมพัดต้ังแตปลายเทาถึงศีรษะ บางตำราวาพัดต้ังแตกระเพาะอาหารถึงลำคอแลวออก ทางปาก เชน ลมที่เกิดจากการเรอ อุทธังคมาวาตาเปนองคประกอบ ๑ ใน ๖ ชนิด ของธาตลุ ม ประเภทของโรคตางๆ ทเ่ี กิดภายในชอ งทอง ปจ จุบนั กรรมอติสารชนิดหนึ่ง เกดิ จากการดูแลรกั ษาสะดอื ไมดใี นระยะแรกคลอด ทำให สะดือไมแหง สะดือเนา สะดือพอง กลายเปนสะดือจุนมีลมอุทรวาตเขาไปในทอง เม่ือโตขึ้นจะมอี าการทอ งเสยี ปวดมวนในทอ ง นอกจากน้ี ยังมีอาการทอ งอืดตลอดเวลา ชกั เทา กำมอื กำ หนาเขียว ชื่อโรคลมชนิดหนึ่ง เปนโรคลมประจำวันของเด็กที่เกิดวันอังคาร เปนโรคลมที่ติดมากับ เด็กต้ังแตแรกเกิด เรียกวา ลมกำเนิด มีอาการรองไหในเวลาเย็นเปนนิจ(ทุกวัน) ต้ังแต อยใู นเรอื นไฟจนถึงอายุ ๓ เดือน อาการของโรคกจ็ ะหายไปเอง หรอื รอ งไห อาการเชน น้ี พ้ืนบาน รองไห ๓ เดือน เปนเด็กเล้ียงยาก เมื่อมีอาการลมจะบังคับข้ึนในทอง ทำให ทองขึ้น จับเช่ือมมัวและหอบเปนตน ถาอายุเกิน ๓ เดือนขึ้นไปแลว ยังรักษาไมหาย จะมอี าการซูบหอม ทอ งข้นึ อาเจยี น จกุ เสียด ในท่สี ุดจะชกั มือกำเทา งอ ตาชอนขนึ้ สงู เรียกวา โรคตะบองราหูบา ง ตะพ้นั ไฟบาง ดูเพมิ่ เติมที่ แมซาง ชือ่ โรคชนดิ หน่ึง เกิดเพ่ือซางสะกอ เกิดขนึ้ ในสะดือขนาดเทาเมลด็ ขาวโพด อยปู ระมาณ ๙ วนั ๑๐ วนั ก็ตกลงในอุทร ทำใหล งดุจน้ำคาวปลา นับเพลามไิ ด จึงทำใหตกโลหติ สด ออกมา ๓ วัน ๔ วัน แลวจึงเปนโลหิตเสมหะเนาออกมาภายหลัง ทำใหกระหายน้ำ เชือ่ มมัว ตัวรอน เหมน็ อาหาร รา งกายซูบผอม

อุทรยิ ะสมุฏฐาน ตำราการแพทยแ ผนไทย ในศลิ าจารกึ วดั พระเชตพุ นวิมลมงั คลาราม (วัดโพธ)ิ์ เลม 3 อุปทม การเกิดโรคท่มี ีสาเหตมุ าจากการรบั ประทานอาหารเขาไปใหมๆ เปน องคป ระกอบ ๑ ใน อปุ ทังสะโรค ๔ ๒๐ สิ่งของธาตุดิน อุปปาติกะพยาธิ ชอ่ื โรคชนิดหนง่ึ เกิดแกช าย มีอาการโรคเกดิ ข้นึ ทอ่ี งชาต ลักษณะอาการโรค มี ๔ ชนิด อรุ ะปศ ะโรค คือ 1. เกิดการอักเสบ ฟก บวม เพราะเสพเมถุนกับหญิงยังไมมีระดู ทำให เจ็บปวดช้ำ อุระเสมหะ หรือเดาะเปนหนอง เปนโลหิตออกมาตามชองทวารเบา เปนตน 2. เกิดเพราะ อุระเสมหะสมุฏฐาน กระษัยกลอน และกาฬมูตร ทำใหองชาตบวม ปสสาวะขัดมีหนอง และเลือดไหลออก อรุ กั กะวาต ทางชอง ทวารเบา เปนตน 3. เกิดเพราะเปนโรคน่ิว ปสสาวะไมออก บางทีปสสาวะ โอปกมกิ าพาธ มีเลือดและหนองออกมาดวย เปนตน 4. เกิดเพราะเสพเมถุนกับหญิงที่ผานชายมาก ชองสังวาสช้ำ มีน้ำชุมเปนลำลาบ ดุจน้ำใบไม ใบหญา ทำใหองชาตเปนแผล กัดเปอย เจ็บปวด ทรมานย่งิ ชอื่ โรคชนิดหนึง่ เกดิ แกชาย มีอาการโรคเกิดข้นึ ท่อี งชาต ดูเพ่ิมเตมิ ท่ี อุปทม โรคท่ีเกดิ ขึ้นเองโดยไมท ราบสาเหตุ รดิ สีดวงประเภทหน่ึงเกิดในทรวงอกและสีขา งท้ัง ๒ ผูปวยมีอาการเจ็บท่ัวตัว บางทบี วม ทงั้ ตัว บางท่ที องเสยี เหมอื นเปน บิด ปวดมวนถา ยอุจจาระมีมกู เลือดปน หมายถงึ เสมหะในอก ซึ่งอยูร ะหวา งคอและสะดอื ดูท่ี เสมหะสมฏุ ฐาน ดทู ่ี ฝอ รุ กั กะวาต ช่อื โรคที่บงั เกิดข้นึ เพราะตกจากที่สูง หรอื ถกู ทบุ ถองโบยตโี ดยแรง ํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย 413

ชดุ ตำราภูมิปญ ญาการแพทยแผนไทย ฉบับอนุรักษํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย 414

สํานักคุ้มครองภมู ิปัญญาการแพทย์แผนไทย ตำราการแพทยแ ผนไทย ในศลิ าจารึกวดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม (วดั โพธิ์) เลม 3 415

ชดุ ตำราภูมิปญ ญาการแพทยแผนไทย ฉบับอนุรักษํสา ันก ุ้คมครองภู ิม ัปญญาการแพทย์แผนไทย 416