178 ¤ÁÙ‹ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี จงถวายตถาคตผเู ดียว สว นทเ่ี หลือใหขดุ หลุมฝง กลบเสีย จงถวายอาหาร อยางอื่นแกภิกษุทั้งหลาย เพราะสูกรมัททวะไมสามารถจะยอยไดงาย นายจุนทะทูลรับพระดํารัสน้ันแลว คร้ันเสวยพระกระยาหารเสร็จ ได ตรัสอนุโมทนาใหนายจุนทะเบิกบานใจในไทยทานที่ถวาย เสด็จกลับไป อัมพวันแลว ในวนั นัน้ เป็นวนั ปรินิพพานของพระองค์ ตรงกบั วนั ข้ึน ๑๕ คาํ่ เดือน ๖ ทรงพระประชวร/เสดจ็ เมืองกสุ ินารา เมอ่ื พระพทุ ธองคเ สวยภตั ตาหารของนายจนุ ทะแลว กเ็ กดิ อาพาธ อยางรุนแรง ทรงพระประชวรลงพระโลหิต เกิดทุกขเวทนารุนแรงถึงกับ จะปรนิ พิ พาน แตท รงมพี ระสตสิ มั ปชญั ญะมนั่ คง ไมท รุ นทรุ าย ทรงอดกลนั้ ทุกขเวทนานั้นดวยอธิวาสนขันติ ตรัสส่ังพระอานนทวา ดูกอนอานนท เราจะไปเมอื งกสุ นิ ารากนั พระอานนทท ลู รบั พระดาํ รสั และแจง ขา วใหภ กิ ษุ สงฆรับทราบทั่วกันแลว พระพุทธองคเสด็จออกจากอัมพวันไปยังเมือง กุสินารา ในระหวางทางเสดจ็ พระดาํ เนนิ ทรงลําบากพระวรกายมาก ทรง แวะพกั เหนอ่ื ยเปน ระยะๆ ขณะประทบั ใตร ม ไมแ หง หนงึ่ ตรสั สง่ั พระอานนท ใหปูลาดผาสังฆาฏิพับเปน ๔ ช้ัน เพ่ือประทับนั่งพักระงับความเหน่ือย ทรงกระหายน้ํามาก ตรสั สัง่ ใหพ ระอานนทไ ปตกั น้าํ มาถวาย พระอานนทกราบทูลวา พระองคผูเจริญ เม่ือครูน้ีเอง เกวียน ประมาณ ๕๐๐ เลม เพ่ิงขามแมน้ําผานไป นํ้าขุนมาก ไมควรจะเสวย แตแมน า้ํ กกธุ านทอี ยไู มไกล นํ้าใสเยน็ สะอาด มที า ขนึ้ ลงสะดวก พระองค เสดจ็ ไปเสวยและสรงชาํ ระพระวรกายทแี่ มน า้ํ นน้ั เถดิ จงึ ตรสั สงั่ เปน ครง้ั ท่ี ๒ วา ดกู รอานนท เธอชวยนาํ นาํ้ มาใหเรา เรากระหายจะด่ืมน้ํา พระอานนท กราบทลู ทดั ทานเปน ครง้ั ที่๒เชน กนั พอครงั้ ที่๓พระอานนทท ลู รบั พระดาํ รสั ถอื บาตรไปยงั แมน า้ํ นน้ั ขณะนน้ั นา้ํ ในแมน า้ํ มนี อ ย ถกู เกวยี นยา่ํ จนขนุ มวั 178
ÇÔªÒ¾·Ø ¸»ÃÐÇÑμÔ 179 เมอ่ื พระอานนทเ ขา ไปใกล นา้ํ กลบั ใสสะอาด ไมข นุ มวั นกึ ฉงนในใจวา นา แปลกใจจรงิ สิ่งไมเคยเกิดก็เกดิ ข้นึ แมน า้ํ ขนาดเลก็ ถกู เกวียนเหยยี บยํ่า จนขนุ มัว น้าํ กลบั ใสสะอาด ไมข นุ มัว จึงใชบ าตรตักน้าํ นาํ เขา ไปถวายให พระองคเสวย กราบทลู เลา เหตกุ ารณทเ่ี กดิ ข้นึ ขณะน้ัน พระโอรสของมัลลกษัตริย นามวาปกุ กสุ ะ สาวกของ อาฬารดาบส กาลามโคตร ออกเดินทางจากเมืองกุสินาราจะไปยังเมือง ปาวา ผานมาทางน้ันพอดี เห็นพระพุทธเจาประทับนั่งภายใตรมไมน้ัน จึงเขาไปเฝาถวายบังคม น่ังฟงสันติวิหารธรรมเกิดความเล่ือมใส กลาว ชมพระธรรมเทศนาวา ขาแตพระองคผูเจริญ พระภาษิตของพระองค ไพเราะ แจมแจง เหมือนบุคคลหงายของท่ีคว่ํา เปดของท่ีปด บอกทาง แกคนหลงทาง และสองประทีปในท่ีมืด พรอ มทั้งประกาศตนเปน อุบาสก ขอถึงพระพุทธเจา พระธรรมและพระสงฆ เปนสรณะที่พึ่งตลอดชีวิต และไดน าํ ผา สงิ ควิ รรณ ๑ คู เปน ผา เนอื้ ละเอยี ด มสี ดี งั่ ทองสงิ คี คอื มสี ที อง เหมือนเปลวไฟ นอมเขา ไปถวายพระพุทธเจาผนื หน่ึง ถวายพระอานนท ผนื หนงึ่ ปลมื้ ปต ยิ นิ ดใี นการประกอบความดขี องตนในวนั นนั้ ถวายบงั คมลา ทําประทกั ษณิ แลวหลีกไป ผิวกายพระตถาคตผอ่ งใสยิ่งใน ๒ กาล เมอ่ื ปกุ กสุ ะมลั ลบตุ รหลกี ไปไมน าน พระอานนทไ ดน อ มผา สงิ ควิ รรณ คูนั้นเขาไปถวายพระพุทธองค ผาสิงคิวรรณนั้น ปรากฏประหน่ึงถาน ไฟปราศจากเปลว พระองคทรงนุงผืนหน่ึง ทรงหมผืนหน่ึง ทันใดน้ัน ผิวกายของพระพุทธองคก็งามบริสุทธิ์ผุดผองยิ่งนัก พระอานนททูล สรรเสรญิ ความงดงามผอ งใสของพระฉววี รรณ ซงึ่ ปกคลมุ พระวรกายดว ย ผา สงิ ควิ รรณ พระพทุ ธองคต รสั วา กายของตถาคต งามบรสิ ทุ ธผิ์ ดุ ผอ งยงิ่ นกั ใน ๒ กาล คือ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 179
180 ¤Á‹Ù ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี ๑. คนื ตรสั รอู้ นตุ ตรสมั มาสมั โพธิญาณสาํ เรจ็ เป็นพระพทุ ธเจา้ ๒. คืนตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเลสนิพพานธาตุ ดูกอ นอานนท ในยามสุดทา ยของคืนวนั นี้ ตถาคตจะปรินพิ พาน ในระหวางโคนไมสาละท้ังคูในสาลวโนทยานของมัลลกษัตริยท้ังหลาย ในเมอื งกสุ นิ ารา ดกู อ นอานนท เราจะไปแมน า้ํ กกธุ านทกี นั พระอานนทท ลู รบั พระบัญชาแจง ใหภ กิ ษุสงฆท ราบแลว พระพุทธองคพรอมดวยภิกษุสงฆหมูใหญ เสด็จดําเนินไปถึง แมน าํ้ กกธุ านทเี สดจ็ ลงเสวยและสรงสนานตามพระอธั ยาศยั แลว เสดจ็ ขนึ้ จากแมน้าํ ไปประทบั ทอ่ี ัมพวันตรสั ส่ังใหพระจนุ ทกะ ปูลาดผาสังฆาฏิพบั เปน ๔ชนั้ พระองคเ สดจ็ บรรทมสหี ไสยาโดยขา งเบอื้ งขวาทรงซอ นพระบาท ใหเ หล่ือมกนั ทรงมพี ระสตสิ มั ปชญั ญะ ทรงมนสกิ าร อฏุ ฐานสญั ญา คือ ตงั้ พระทยั วา่ บรรทมแล้วจะเสดจ็ ลกุ ข้นึ โดยมี พระจนุ ทกะนงั่ เฝา ถวาย การดูแลในท่นี ้ัน บิณฑบาตทาน ๒ คราวมีผลเสมอกนั เมอื่ พระพทุ ธองค ทรงพกั พระวรกายพอบรรเทาความเหนด็ เหนอื่ ย แลว จงึ ตรสั เรียกพระอานนทมารบั สง่ั วา ดูกอ นอานนท อาจมใี ครบางคน ทําใหนายจุนทกัมมารบุตรเกิดความเดือดรอนใจวา ตถาคตเสวยอาหาร บณิ ฑบาตของทา นเปนครัง้ สดุ ทา ยแลวเสดจ็ ปรนิ ิพพาน เธอพงึ ชวยระงับ ใหน ายจนุ ทะสบายใจวา ตถาคตไดต รสั สรรเสรญิ บณิ ฑบาต ๒ คราว มผี ล เสมอกนั มอี านสิ งสม ากกวา บณิ ฑบาตอน่ื ๆ คอื บิณฑบาตทีต่ ถาคตเสวย แลว้ ไดต้ รสั รอู้ นตุ ตรสมั มาสมั โพธิญาณ และบิณฑบาตทีต่ ถาคตเสวย แลว้ เสดจ็ ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เพราะไดส งั่ สมกศุ ล กรรมเปน เหตใุ หม อี ายุ ใหม วี รรณะ ใหม คี วามสขุ ใหม ยี ศศกั ด์ิ และใหบ งั เกดิ ในสวรรค ดูกรอานนท เราจะไปยังแมน้ําหิรัญญวดีฝงโนน ขามไปเมือง 180
ÇԪҾط¸»ÃÐÇμÑ Ô 181 กุสินารา และสาลวโนทยานของมัลลกษัตริยกัน พระอานนททูลรับ พระดาํ รสั ของพระพุทธองคแลว บรรทมอนุฏฐานไสยา พระพุทธองคพรอมดวยภิกษุสงฆหมูใหญ เสด็จขามแมน้ํา หิรัญญวดีไปยังเมืองกุสินารา ประทับอยู ณ สาลวโนทยาน สถานที่ เสด็จประพาสของเจามัลละท้ังหลาย ตรัสสั่งพระอานนทวา ดูกรอานนท เธอจงตั้งเตียงหันศีรษะไปทางทิศอุดร ระหวางตนสาละทั้งคู เราเหนื่อย จะนอนพัก พระอานนททูลรับพระดํารัสแลว ต้ังเตียงใหเปนพระแทน ปรินิพพาน หนั พระเศียรไปทางทิศอุดร ระหวา งตน สาละคู พระพุทธองค ทรงสําเร็จสีหไสยา โดยขางเบื้องขวา ทรงซอนพระบาทเหลื่อมกัน ทรงมพี ระสตสิ มั ปชญั ญะบรรทมอนุฏฐานไสยา คอื บรรทมครงั้ สดุ ท้าย ไม่เสดจ็ ลกุ ข้ึนอีกเลย ทรงปรารภสกั การบชู า สมัยนั้น ตนสาละทั้งคูผลิดอกบานสะพรั่งนอกฤดูกาลท้ังตน ดอกไมเหลานั้นรวงหลนโปรยปรายลงมาบูชาพระสรีระพระพุทธเจา แมดอกมณฑารพ ในเมืองสวรรค ก็รวงหลนโปรยปรายลงมาในบริเวณ น้ัน กลน่ิ หอมอบอวลโชยมาทางอากาศ เหลา เทวดากป็ ระโคมดนตรีทพิ ย ในอากาศ เพื่อสกั การบูชาพระพทุ ธองคในอวสานกาล พระองคตรัสบอก พระอานนทว า ดกู อ่ นอานนท์การบชู าตถาคตดว้ ยอามิสบชู าเชน่ น้ีไมช่ อื่ วา่ บูชาตถาคตอย่างแท้จรงิ เพราะไม่สามารถจะดํารงพระศาสนาไว้ได้ ผใู้ ดแล จะเป็นภกิ ษุ ภกิ ษุณี อุบาสก อุบาสกิ ากต็ าม ปฏบิ ตั ธิ รรมสมควร แก่ธรรม ผนู้ นั้ ชอื่ วา่ บชู าตถาคตดว้ ย ปฏิบตั ิบูชา เป็นการบูชาสงู สดุ เพราะสามารถดํารงพระศาสนาไวไ้ ด้ พรอมท้ังตรัสเตือนใหพุทธบริษัท คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 181
182 ¤ÙÁ‹ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี หนกั แนน ในการปฏบิ ตั ธิ รรม เพอื่ ความดาํ รงมน่ั สถติ สถาพรแหง พระศาสนา ตลอดกาลนาน ประทานโอกาสให้เทวดาเข้าเฝ้ า พระอุปวาณะยืนถวายงานพัดอยูเฉพาะพระพักตรพระพุทธเจา พระองคทรงรับสั่งใหพระอุปวาณะออกไป ไมใหยืนขวางพระพักตร พระอานนทนึกแปลกใจวา พระอุปวาณะรูปน้ี เปนพระอุปฏฐากใกลชิด พระพุทธองคมานาน ในวาระสุดทายกลับทรงขับพระอุปวาณะออกไป ไมใหถ วายการปรนนบิ ัติเหมือนเชนเคย จึงเขาไปทลู ถาม ไดรูค วามจริงวา ขณะนน้ั เหลา เทวดาในหมน่ื โลกธาตมุ าประชมุ กนั เพอ่ื จะเขา เฝา พระพทุ ธองค เปนครั้งสุดทาย แตพระอุปวาณะมายืนบังอยูเบ้ืองหนาพระพักตร เทวดาท้ังหลายพากันไมพอใจเพราะไมสมหวังดังตั้งใจมา พระองคจึงให พระอุปวาณะถอยออกไปจากเบ้ืองหนาพระพักตร เทวดาบางพวกยังมี กเิ ลส สยายผมประคองแขนคราํ่ ครวญอยู ลม เกลอื กกลงิ้ ไปมา เหมอื นคนมี เทา ขาด เพอ ราํ พนั วา พระพทุ ธเจา ผเู ปน ประทปี ของโลกปรนิ พิ พานเรว็ นกั สวนเหลาเทวดา ผปู ราศจากราคะ มีสตสิ ัมปชัญญะ อดกลั้นไดโ ดยธรรม สงั เวชวา สงั ขารทงั้ หลาย ไมเ ทย่ี ง สตั วท งั้ หลายจะพงึ หวงั อะไรในสงั ขารน้ี ความเที่ยงแทแนนอนซึ่งสัตวท้ังหลายตองการนักน้ัน ถึงหาไมไดแต สงั ขารนี้ พระพทุ ธองคต รสั บอกเหตใุ หพ ระอปุ วาณะออกไปจากเบอ้ื งหนา พระพักตร และทรงแสดงอาการของเหลาเทวดามาประชุมในวันน้ัน ใหพ ระอานนทท ราบดังกลา วมานี้ ทรงแสดงสงั เวชนียสถาน ๔ ตาํ บล พระอานนทกราบทูลวา พระองคผูเจริญ เม่ือกอนพวกภิกษุ อยูจําพรรษาในทิศตางๆ ครั้นออกพรรษาปวารณาแลว พากันเดินทาง มาเขาเฝาพระองค ไดโอกาสอยูใกลชิด ไดสนทนาปราศรัย ไดรับฟง 182
ÇªÔ Ò¾·Ø ¸»ÃÐÇμÑ Ô 183 พระโอวาทอนั ประทบั ใจ จากพระองค แตห ลงั จากพระองคเ สดจ็ ปรนิ พิ พาน แลว ขาพระองคท งั้ หลายจะไมไ ดเ ห็น จะไมไ ดเขา เฝาพระองคเ ชน นัน้ อีก ขาพระองคทั้งหลายควรปฏิบัติอยางไร พระพุทธองคตรัสบอกวา ดูกอ นอานนท สงั เวชนียสถาน ๔ ตาํ บล คอื สถานที่ประสตู ิ ๑ สถานท่ี ตรสั รู้๑ สถานท่ีแสดงปฐมเทศนา ๑ สถานท่ีปรินิพพาน ๑ เปน สถานที่ พุทธบริษัท คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มีใจศรัทธาเลื่อมใส ในตถาคต ควรจะไปดไู ปเหน็ เพื่อใหเกดิ ความสงั เวชสลดใจ ชนเหลาใด มีใจศรัทธาเลื่อมใสจาริกไปยังสังเวชนียสถานเหลาน้ี ชนเหลาน้ันตายไป จะเกิดในสคุ ติโลกสวรรค อาการอนั ภิกษุทงั้ หลายจะพึงปฏิบตั ิต่อสตรี ตอจากน้ัน พระอานนทไดทูลถามถึงการปฏิบัติตนตอสตรี ท้ังหลายวา พระองคผเู จริญ ขาพระองคท ง้ั หลายจะพงึ ปฏิบตั ติ อมาตคุ าม (สตร)ี อยา งไร พระพทุ ธองคต รสั บอกวา ดกู อ นอานนท ขนึ้ ชอ่ื วา มาตคุ าม ภิกษุท้ังหลายพึงปฏิบัติตอเธออยางนี้ คือ อย่าดูอย่าเห็นเป็นการดี เมอื่ จําเป็นตอ้ งดูตอ้ งเหน็ ไม่ควรพดู ไม่ควรเจรจาดว้ ย เมอื่ จําเป็นตอ้ ง เจรจาดว้ ย ควรตงั้ สตใิ หม้ นั่ คง ไมใ่ หจ้ ติ แปรปรวนดว้ ยอาํ นาจกเิ ลสตณั หา ดกู อนอานนทเธอทั้งหลายพึงปฏิบัติตอ มาตุคามอยา งน้ี วิธีปฏิบตั ิในพระพทุ ธสรีระ พระอานนททูลถามถึงวิธีปฏิบัติในพระพุทธสรีระวา พระองค ผเู จรญิ ขาพระองคท ั้งหลายจะพึงปฏบิ ตั ิในพระพทุ ธสรีระอยางไร พระพุทธองคตรัสวา ดูกอนอานนท เธอท้ังหลายอยาขวนขวาย เพ่ือบูชาสรีระตถาคตเลย จงประกอบประโยชนตน เปนผูไมประมาท ในประโยชนตน มีความเพียรเผากิเลสและบาปธรรม มีจิตมุงตรงตอ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 183
184 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี พระนพิ พานเถิด กษตั ริย พราหมณ และคฤหบดี ผูเปนบัณฑติ เลือ่ มใส ในตถาคตมอี ยู พวกเขาจะทําการบชู าสรีระตถาคตเอง พระอานนทก ราบทูลถามตอ ไปวา พระองคผเู จริญ ทา นเหลาน้นั จะพงึ ปฏบิ ัติในพระสรีระของพระองคอ ยา งไร ดูกอนอานนท ชนทงั้ หลายย่อมปฏบิ ตั ใิ นสรรี ะตถาคต เหมอื น ปฏบิ ตั ใิ นพระบรมศพพระเจา้ จกั รพรรดิ คอื เขาหอ่ สรรี ะพระเจา้ จกั รพรรดิ ดว้ ยผา้ ใหม่ ซับดว ยสาํ ลี หอ ดวยผา ใหมท บั อีก ๕๐๐ คู อัญเชญิ พระสรรี ะ ลงในรางเหลก็ เตม็ ดว ยนา้ํ มนั ใชร างเหลก็ อกี อนั หนง่ึ ปด ทบั ขา งบน อญั เชญิ พระบรมศพขน้ึ ประดษิ ฐานบนจติ กาธานดว ยไมห อมลว น ถวายพระเพลงิ พระบรมศพ สรา งสถปู ของพระเจา จกั รพรรดไิ วต รงทางใหญส แ่ี ยก อญั เชญิ พระอฐั บิ รรจลุ งในสถปู เพอ่ื เปน ทส่ี กั การบชู าของมหาชนผสู ญั จรไปมาทง้ั ๔ ทิศ ดูกอนอานนท ชนท้ังหลายพึงปฏิบัติในสรีระตถาคต เหมือนเขา ปฏิบัติในพระบรมศพพระเจาจักรพรรดิ พึงสรางสถูปตถาคตไวตรงทาง ใหญส่ีแยก เพื่อใหพุทธบริษัทไดสักการบูชาดวยดอกไมของหอม หรือ กราบไหว ระลกึ ถงึ พระพทุ ธคณุ ทาํ ใจใหเ ลอื่ มใสในพระสถปู นน้ั การกระทาํ เชนนัน้ เปน ไปเพอื่ ประโยชนส ขุ แกพุทธบรษิ ัทสนิ้ กาลนาน ถปู ารหบคุ คล ๔ พระพุทธองคทรงแสดง ถูปารหบุคคล ๔ ประเภท ซ่ึงควร บรรจุอัฐิธาตุไวในสถูป คือ พระพทุ ธเจ้า ๑ พระปัจเจกพทุ ธเจ้า ๑ พระอรหนั ตสาวก ๑ และ พระเจ้าจกั รพรรดิ ๑ ชนเหลาใดทาํ จติ ใหเ กดิ ศรทั ธาเลอ่ื มใสในสถปู วา สถปู นบี้ รรจอุ ฐั ธิ าตขุ องพระพทุ ธเจา พระปจ เจก พทุ ธเจา พระอรหนั ตสาวก พระเจา จกั รพรรดิ กราบไหว สกั การบูชาดวย ดอกไมข องหอม ชนเหลานั้นตายไป จะเกดิ ในสคุ ติ โลกสวรรค 184
ÇªÔ Ò¾·Ø ¸»ÃÐÇÑμÔ 185 ประทานโอวาทแก่พระอานนท์ พระอานนทรูสึกวา พระพุทธองคกําลังจะเสด็จจากไป ไดแอบ เขา ไปยงั วหิ ารยนื เหนยี่ วสลกั ประตสู ณั ฐานคลา ยศรี ษะวานร รอ งไหร าํ พนั ถงึ ตวั เองวา เรายงั เปน เสขบคุ คล ยงั มกี จิ จะตอ งทาํ อยู แตพ ระศาสดาผทู รง อนุเคราะหเราจะปรินิพพานเสยี แลว พระพุทธเจา ไมทรงเหน็ พระอานนท อยูในท่ีนั้น ตรัสถามภิกษุทั้งหลายวา พระอานนทไปไหน เม่ือภิกษุ ทงั้ หลายกราบทลู วา พระอานนทแ อบยนื รอ งไหอ ยู จงึ รบั สงั่ ใหเ รยี กเขา มา เฝาตรสั วา ดกู รอานนท พอทีเถิด อยาเศราโศก อยารองไหเ ลย เราบอก หลายครง้ั แลว มใิ ชห รอื วา วนั หนงึ่ เราตอ งพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจ สงั ขารทงั้ หลาย ไมเ ทยี่ งแทถ าวร จะหาความเทยี่ งแทจ ากสงั ขารไดท ไ่ี หน ทุกส่ิงเกิดข้ึนในเบ้ืองตน แปรปรวนในทามกลาง และตองแตกสลายไป ในทสี่ ดุ ดกู รอานนทเ ธอเฝา อปุ ฏ ฐากตถาคตมาเปน เวลานานแลว มเี มตตา กายกรรม เมตตาวจกี รรม เมตตามโนกรรม ในตถาคตมาโดยตลอด ถอื วา ไดทาํ บุญไวแ ลว เรงทาํ ความเพียรเขาเถดิ ไมนานจะหลุดพน จากอาสวะ สาํ เร็จเปนพระอรหันต ตรสั สรรเสริญพระอานนท์ พระพทุ ธเจา ตรสั สรรเสรญิ พระอานนทใ นทา มกลางสงฆว า ดกู รภกิ ษุ ทั้งหลาย ภิกษุผูอุปฏฐากพระพุทธเจาทั้งหลาย ทั้งในอดีตและอนาคต ไมมีใครเสมอเหมือนพระอานนทอ ปุ ฏ ฐากแหง เรา พระอานนทเ ปนพุทธ- อปุ ฏ ฐากดที ส่ี ดุ รจู กั กาลเทศะ รจู กั บคุ คล จดั ลาํ ดบั บคุ คลจะเขา เฝา ตถาคต ไดอยา งถูกตองเหมาะสมวา นี้เปน เวลาของภิกษุ นีเ้ ปน เวลาของภกิ ษุณี นเ้ี ปน เวลาของพวกอุบาสก นี้เปน เวลาของพวกอบุ าสิกา นีเ้ ปนเวลาของ พระราชา นี้เปน เวลาของมหาอาํ มาตย นเ้ี ปน เวลาของเดยี รถียแ ละสาวก เดียรถีย นอกจากนี้ พระอานนทยงั มีอพั ภตู ธรรมอนั น่าอศั จรรยอ์ ย่ใู น คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 185
186 ¤ÁÙ‹ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªé¹Ñ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี ตวั ๔ ประการ เชนเดียวกับท่มี อี ยใู นพระเจาจักรพรรดิ คอื ๑. พุทธบริษัทปรารถนาจะไดเห็นพระอานนท ๒. พทุ ธบรษิ ัทยินดพี อใจเมอ่ื ไดเ ห็นพระอานนท ๓. พุทธบรษิ ัทยินดีพอใจในธรรมทีพ่ ระอานนทแสดง ๔. พุทธบริษัทไมอิม่ ในรสพระธรรมทพ่ี ระอานนทแ สดง ตรสั ถึงเมืองกสุ ินารา เม่ือพระพุทธเจาตรัสสรรเสริญพระอานนทจบลง พระอานนท ไดกราบทลู วา พระองคผ เู จรญิ กุสินาราเปน เมอื งปา เมืองดอน เมอื งเล็ก เมืองนอย ไมเหมาะจะเปนที่ปรินิพพาน ยังมีเมืองใหญๆ มีความเจริญ มากกวา คอื เมอื งจาํ ปา เมอื งราชคฤห เมอื งสาวตั ถี เมอื งสาเกต เมอื งโกสมั พี และเมืองพาราณสี พระองคเสด็จไปปรินิพพานในเมืองใหญเหลาน้ันเถิด กษตั รยิ พราหมณ และคหบดี เลอื่ มใสในพระองค กม็ อี ยมู าก เขาเหลา นน้ั จะรับภาระจัดการพระศพของพระองคใหสมพระเกียรติ พระพุทธองค ตรสั หา มวา ดกู อ นอานนท อยา กลา วอยา งนนั้ เมอื งกสุ นิ าราในอดตี มนี ามวา กสุ าวดี เปนพระนครกวางใหญไพศาล เคยเปนราชธานีใหพระเจา จักรพรรดิประทับมาแลว เปนแผนดินธรรมแผนดินทอง ประชาชนอยู รม เยน็ เปน สขุ มคี วามเจรญิ มง่ั คง่ั ผคู นมากมายสญั จรไปมาหาสกู นั ไมห ยดุ หยอ น ไมเงียบเสยี ง ๑๐ อยาง คอื เสียงชาง เสียงมา เสยี งรถ เสียงกลอง เสียงตะโพน เสยี งพิณ เสียงกังสดาล เสียงขับรอ ง เสยี งสงั ข และเสยี งคน เรียกกันใหบ รโิ ภคอาหารทัง้ กลางวันและกลางคนื ตรสั สงั่ ให้แจ้งข่าวปรินิพพานแม่มลั ลกษตั ริย์ พระพุทธองคตรัสเร่ืองในอดีตของเมืองกุสินาราใหพระอานนท ฟงแลว ทรงรับส่ังวา ดูกอนอานนท เธอจงไปแจงขาวแกมัลลกษัตริย 186
ÇªÔ Ò¾Ø·¸»ÃÐÇμÑ Ô 187 และชาวเมืองกุสินาราวา พระตถาคตจะปรินิพพานในยามสุดทายคืนน้ี คนเหลาน้ันจะไดไมเสียใจภายหลังวา พระตถาคตเสด็จมาปรินิพพาน ในเมืองของเรา แตเ ราทงั้ หลายกลับไมไดเขาเฝา พระองคเปน คร้งั สุดทาย พระอานนททูลรับพระบัญชาแลว รีบเขาไปแจงขาวการ ปรินิพพานแกมัลลกษัตริยและชาวเมืองกุสินาราตามที่พระองคตรัสส่ัง ทุกประการ ทันทีที่ไดทราบขาว มัลลกษัตริยและประชาชนทั้งหลาย ก็พากันเศราโศกคร่ําครวญวา พระพุทธองคเสด็จปรินิพพานเร็วนัก ดวงประทีปของโลกดับเร็วนัก จึงพรอมกันไปเขาเฝาพระพุทธองค ณ สาลวโนทยานแลว พระอานนทคิดวา ถาจะใหมัลลกษัตริยท้ังหลายเขาเฝาถวาย บงั คมทลี ะพระองคๆ จะไมไ ดถ วายบงั คมพระพทุ ธองคท ว่ั ถงึ กนั ถงึ รงุ เชา กย็ งั ไมเ สรจ็ สนิ้ จงึ จดั ใหม ลั ลกษตั รยิ ท งั้ หลายเขา เฝา ถวายบงั คมเปน คณะ ตามลําดับสกุลวงศ กราบทูลช่ือและสกุลวงศใหทรงทราบ ดวยอุบายน้ี มลั ลกษตั รยิ ท ง้ั หลายไดถ วายบงั คมพระพทุ ธองค เสรจ็ สนิ้ ภายในปฐมยาม เทา นัน้ โปรดสภุ ทั ทปริพาชก ขณะพระพทุ ธเจา ทรงประชวรหนกั อยนู นั้ ปรพิ าชกคนหนงึ่ ชอ่ื วา สุภทั ทะ พักอยูในเมืองกุสินารานั้น พอทราบขาววาพระพุทธองคจะ ปรินิพพานในคืนน้ีแลว ไดรีบเดินทางไปเขาเฝาพระพุทธองคในทันที เพื่อทูลถามปญหาบางประการ เมื่อมาถึงสาลวโนทยานแลว ไดพบ พระอานนทก อ นจะเขา เฝา พระพทุ ธองค พระอานนทท ดั ทานไวไ มใ หเ ขา เฝา บอกวา อยา เลยสภุ ัททะ พระพุทธองคทรงประชวรหนกั อยาถามปญ หา ใหเปนการรบกวนพระองคเลย สุภัททปริพาชกน้ัน มีความรอนใจมาก ไมยอมฟงคําทัดทานของพระอานนทรบเราจะเขาเฝาพระพุทธองคใหได พระอานนทก ็ทดั ทานไมใหเ ขา เฝา ทุกคร้งั ไป คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 187
188 ¤Á‹Ù ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªé¹Ñ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี พระพุทธเจาทรงสดับเสียงพระอานนทเจรจาอยูกับสุภัททปริพาชก จึงทรงรับสั่งวา ดูก่อนอานนท์ อย่าหา้ มสุภทั ทะเลย ใหเ้ ขาเขา้ มาเถดิ การถามปญั หา ไมเ่ ป็นการรบกวนตถาคตใหล้ าํ บาก เขาจะรแู้ จง้ เหน็ จรงิ ในปญั หาทตี่ ถาคตพยากรณ์แลว้ พระอานนทจ์ งึ ยอมใหส้ ุภทั ทปรพิ าชก ไดเ้ ขา้ เฝ้าตามความประสงค์ สภุ ทั ทปรพิ าชกเขา้ ไปเฝ้าพระพทุ ธองคถ์ งึ ที่ ประทบั ทูลถามปญั หาว่า ขา้ แต่พระโคดมผู้เจรญิ เจ้าลทั ธทิ งั้ ๖ คอื ปรู ณกสั สปะมกั ขลโิ คศาลอชติ เกสกมั พลปกทุ ธกจั จายนะสญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร และนิครนถนาฏบตุ ร อา้ งตนวา่ เป็นผวู้ เิ ศษ เป็นพระอรหนั ต์ รแู้ จง้ เหน็ จรงิ ดว้ ยปญั ญา ทา่ นเหลา่ นนั้ เป็นพระอรหนั ตต์ ามคาํ อา้ งหรอื ไม่ พระพทุ ธองคต์ รสั วา่ ดกู อ่ นสภุ ทั ทะ อยา่ ถามเลย อยา่ คดิ ถงึ ปญั หา ขอ้ นัน้ แต่จงฟงั คําพดู เรา อริยมรรค คอื ธรรมเป็นเครอื่ งดําเนินชวี ติ อยา่ งถกู ตอ้ ง ๘ ประการ ไมม่ ใี นคาํ สอนของศาสนาใด ศาสนานนั้ จะไมม่ ี สมณะที่ ๑ คอื พระโสดาบนั สมณะที่ ๒ คอื พระสกทาคามี สมณะที่ ๓ คอื พระอนาคามี สมณะที่ ๔ คอื พระอรหนั ต์ ถา้ คาํ สอนของศาสนาใด มีอริยมรรค ๘ ประการดังกล่าว ศาสนานัน้ ย่อมมีสมณะที่ ๑ คือ พระโสดาบนั สมณะที่ ๒ คอื พระสกทาคามี สมณะที่ ๓ คอื พระอนาคามี สมณะที่ ๔ คอื พระอรหนั ต์ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ ย่อมมใี นพระศาสนาน้ี เท่านัน้ ดังนัน้ จึงมีบุคคลสําเร็จเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหนั ต์นับไม่ถ้วน ถ้าภกิ ษุทงั้ หลายยงั ปฏบิ ตั ดิ ี ปฏบิ ตั ชิ อบอยู่ โลกจะไมว่ า่ งจากพระอรหนั ตเ์ ลย เมื่อพระพทุ ธองคตรัสจบลง สุภทั ทปรพิ าชก เกิดความเช่ือความ เลอื่ มใสในพระศาสนา ไดป ระกาศตนเปนอบุ าสก ขอถงึ พระรตั นตรัยเปน สรณะ และทลู ขอบรรพชาอปุ สมบทกบั พระพทุ ธองค พระองคจ งึ ทรงแสดง ตติ ถยิ ปรวิ าส คอื วธิ อี ยกู รรมของเดยี รถยี ผมู าขอบวชในพระพทุ ธศาสนาวา ดูกรสุภทั ทะ บุคคลเคยเปนอัญญเดียรถยี ม ากอ นปรารถนาจะเขา มาบวช 188
ÇԪҾط¸»ÃÐÇÑμÔ 189 เปน ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั ตอ งอยปู รวิ าสกอ น ๔ เดอื น เมอื่ อยคู รบ ๔ เดอื นแลว จงึ จะอปุ สมบทเปน ภกิ ษไุ ด แมพ ระพทุ ธองคจ ะตรสั อยา งนน้ั กไ็ มส ามารถ ทําใหสุภัททปริพาชกทอถอยจนเลิกลมความต้ังใจได จึงกราบทูลวา ขา แตพระองคผูเจริญ ติตถยิ ปริวาสมกี าํ หนด ๔ เดอื น ขา พระองคจะอยูให นานถงึ ๔ ป เมอื่ ครบ ๔ ปแ ลว โปรดใหข า พระองคอ ปุ สมบทเปน ภกิ ษเุ ถดิ พระพุทธองค จึงทรงรับสั่งพระอานนทใหบรรพชาสุภัททะเปน สามเณรกอ น แลว พากลบั เขา มารบั การอปุ สมบทเปน ภกิ ษเุ ฉพาะพระพกั ตร พระพทุ ธองค เมอ่ื พระสภุ ทั ทะไดร บั อปุ สมบทตามปรารถนาแลว ปลกี วเิ วก ตามลาํ พงั บาํ เพญ็ เพยี รสมณธรรม มจี ติ มงุ ตรงตอ พระนพิ พาน สาํ เรจ็ เปน พระอรหันตใ นคนื น้นั เอง เปน ปัจฉิมสกั ขิสาวก คือ พระอรหนั ตสาวก องคส์ ดุ ท้าย ทนั เหน็ พระพทุ ธองคข์ ณะยงั ทรงพระชนมอ์ ยู่ ทรงตงั้ พระธรรมวินัยเป็นศาสดา ครน้ั ถงึ เวลาปจ ฉมิ ยาม พระพทุ ธเจา ตรสั เรยี กภกิ ษทุ ง้ั หลายใหเ ขา มาประชมุ พรอ มกนั ทรงรบั สงั่ กบั พระอานนทว า ดกู อ นอานนท เมอ่ื ตถาคต ปรินพิ พานแลว บางทีเธอท้ังหลายบางรปู อาจจะคดิ ไปวา พระศาสดาของ เราปรินิพพานแลว บัดน้ี เราทั้งหลายไมมีพระศาสดาแลว เธอทั้งหลาย ไมค วรจะคดิ เหน็ อยา งนน้ั ธรรมและวินัยอนั ใด เราแสดงแลว้ บญั ญตั แิ ลว้ แก่เธอทงั้ หลาย ธรรมและวินัยนัน้ จกั เป็นศาสดาของเธอทงั้ หลาย โดยการลว่ งไปแหง่ เรา ดกู อ นอานนทบดั น้ีภกิ ษทุ ง้ั หลายยงั เรยี กกนั ดว ยถอ ยคาํ วา อาวโุ ส เปนการทําตนเสมอกัน ทั้งภิกษุพรรษามากและภิกษุพรรษานอย อยา เรยี กกนั อยา งนนั้ เลย ภกิ ษมุ พี รรษามาก ควรเรยี กภกิ ษมุ พี รรษานอ ยกวา ออกช่ือ/โคตร หรอื เรยี กวา อาวโุ ส สว นภกิ ษมุ พี รรษานอ ย ควรเรยี กภกิ ษุ มพี รรษามากกวา่ ดว้ ยความเคารพวา่ ภนฺเต หรอื อายสมฺ า คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 189
190 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี ดกู อ นอานนท เมอ่ื ตถาคตปรนิ พิ พานแลว ถา สงฆม คี วามปรารถนา จะพรอ มเพรยี งกันถอนสกิ ขาบทเลก็ ๆ นอยๆ กจ็ งถอนเถิด ดูกอนอานนท สงฆพ์ ึงลงพรหมทณั ฑแ์ ก่พระฉันนะเถิด เม่ือ พระอานนททูลถามวิธีลงพรหมทัณฑ จึงทรงแสดงวา พระฉันนะน้ันจะ เจรจาคาํ ใดๆ ก็ตาม ภกิ ษุท้ังหลายไมพ งึ เจรจาดว ย ไมพึงวากลาว ไมพ ึง ตกั เตอื น ไมพ งึ พรา่ํ สอน การทาํ เชน นเ้ี รยี กวา พรหมทณั ฑ เมอ่ื พระฉนั นะ ถกู สงฆล งพรหมทณั ฑแ ลว จะสาํ นกั ถงึ ความผดิ เคารพพระธรรมวนิ ยั เปน ผูว างายสอนงาย ยอมรับฟง โอวาท และปฏบิ ัตธิ รรมสมควรแกธ รรม ประทานโอกาสให้ภิกษุสงฆถ์ ามข้อสงสยั สุดทายทรงประทานโอกาสใหภิกษุท้ังหลายทูลถามขอสงสัย ความเคลือบแคลงใจในพระรัตนตรัยและขอปฏิบัติวา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถาภิกษุรูปใด ในพวกเธอทั้งหลายยังมีความสงสัย ของใจ หรือเคลือบ แคลงใจ ในพระพทุ ธเจา ในพระธรรม ในพระสงฆ ในมรรค ในความผิด ความถูกตองแหงขอปฏิบัติ จงถามมาเกิด อยาไดเสียใจในภายหลังวา พระศาสดาประทับอยูตอหนาพวกเราแลว แตกลับไมมีโอกาสไดถาม ขอสงสัย เม่ือพระพุทธองคตรัสจบ ภิกษุเหลานั้นน่ังนิ่งอยู ไมมีรูปใด ทลู ถามเลยพระพทุ ธองคท รงประธานโอกาสใหท ลู ถามถงึ ๓ครงั้ แมค รง้ั ที่๓ ภกิ ษทุ ้ังหลายยังคงนั่งนิ่งอยู ไมม ีภิกษรุ ูปใดทลู ถาม ไมม ีภกิ ษุรูปใดสงสยั ขอ งใจ หรอื เคลือบแคลงใจในพระพุทธเจา ในพระธรรม ในพระสงฆ ใน มรรค หรือในขอปฏิบัติแตประการใด เพราะภิกษุท้ังหมดในที่น้ัน ลวน เปน พระอรยิ บคุ คล ชน้ั พระโสดาบนั เปน อยา งตาํ่ ไมเ จอื ปนดว ยปถุ ชุ นเลย ปัจฉิ มโอวาท เมื่อไมมีภิกษุรูปใดทูลถาม พระพุทธองคจึงตรัสแกภิกษุ เหลานั้นวา หนฺททานิ ภิกขฺ เว อามนฺตยามิ โว วยธมมฺ า สงฺขารา 190
ÇԪҾط¸»ÃÐÇÑμÔ 191 อปปฺ มาเทน สมปฺ าเทถดกู รภกิ ษทุ งั้ หลายบดั น้เี ราขอเตอื นเธอทงั้ หลายวา่ สงั ขารทงั้ หลาย มคี วามเสอื่ มไปเป็นธรรมดา เธอทงั้ หลายจงยงั ความ ไมป่ ระมาทใหถ้ งึ พรอ้ มเถดิ พระดาํ รสั น้ีเรยี กวา่ ปัจฉิมโอวาทพระพทุ ธองค์ ทรงประมวลพระโอวาททีป่ ระทานไว้ตลอด ๔๕ พรรษา รวมลงใน ความไม่ประมาท ตรัสเปนคร้งั สดุ ทายแกมวลมนุษยในโลกนี้ ปรินิ พพาน หลังจากตรัสปจฉิมโอวาทแลว พระองคไมไดตรัสอะไรอีกเลย ทรงทาํ ปรนิ พิ พานบรกิ รรม (เตรยี มปรนิ พิ พาน) ดว ยอนปุ พุ พวหิ ารสมาบตั ิ ทงั้ ๙ คือ รูปฌาณ ๔ อรปู ฌาณ ๔ และสัญญาเวทยติ นโิ รธสมาบตั ิ คือ ดับจิตสังขารคือสัญญาและเวทนา ๑ พระพทุ ธองคไ์ ด้เสดจ็ ดบั ขนั ธ- ปรินิพพาน ขณะถอนจิตออกจากจตตุ ถฌาน ภายใต้ต้นสาละทงั้ คู่ ในสาลวโนทยาน เมอื งกสุ ินารา ในปัจฉิมยามแห่งราตรวี ิสาขปรุ ณมี ดิถีเพญ็ กลางเดือน ๖ รวมพระชนมายไุ ด้ ๘๐ พรรษา การปรินิพพานของพระพุทธเจา ทําใหเกิดแผนดินไหวอยาง รนุ แรง ขนพองสยองเกลา นา สะพรงึ กลวั เสยี งกลองทพิ ยบ นั ลอื ลน่ั กกึ กอ ง ในอากาศ มคี วามโกลาหลไปทวั่ บรเิ วณสาลวโนทยาน ทา วสหมั บดพี รหม ทาวโกสีหสักกเทวราช พระอนุรุทธะ และพระอานนท ไดกลาวคาถา สรรเสรญิ พระคณุ ของพระพทุ ธเจา และแสดงสงั เวคกถา คอื ความไมเ ทยี่ ง ถาวรแหง สงั ขารทง้ั หลาย บรรเทาความทกุ ขโ ศกแกพ ทุ ธบรษิ ทั ทป่ี ระชมุ อยู ในสาลวโนทยานนนั้ ซงึ่ ตา งเศรา โศก ราํ่ ไร ราํ พนั ครา่ํ ครวญถงึ พระพทุ ธองค เปนทน่ี า สลดใจย่งิ นัก พระอนรุ ุทธะและพระอานนท แสดงธรรมปลอบใจ มหาชนใหค ลายความเศรา โศกเสยี ใจ จนกระท่ังถงึ รงุ เชา คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 191
192 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี ͻáÒÅ ปริเฉทท่ี ๑๓ ถวายพระเพลิงพระพทุ ธสรีระ ครั้นสวางแลว พระอนุรุทธะ ไดมีบัญชาใหพระอานนทเขาไป แจงขาวการปรินิพพานแกมัลลกษัตริยทั้งหลายในเมืองกุสินารา มัลลกษัตริยทั้งหลายพอทราบขาวตางเศราโศกเสียพระทัย ดวยความ อาลยั ในพระพทุ ธเจา ทรงรบั สง่ั ใหป ระกาศขา วการปรนิ พิ พานใหช าวเมอื ง กุสินาราทราบท่ัวกัน ทรงรับส่ังใหตระเตรียมเครื่องบูชาพระพุทธสรีระ และผา ๕๐๐ คู เสด็จไปยังสาลวโนทยาน ตกแตงสถานท่ี ฟอนราํ ขับรอ ง ประโคมดนตรี กระทาํ สักการบูชาพระพทุ ธสรรี ะอยา งมโหฬาร มลั ลกษตั รยิ ทงั้ หลายปรกึ ษากันวา วันนพ้ี ลบคํา่ แลว ไมสามารถ ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระได เอาไวพรุงน้ีเถิด พวกเราจะถวาย พระเพลงิ พระพุทธสรีระ มหาชนจํานวนมาก แมจ ะอยใู นทีไ่ กล พอทราบ ขาวพระพุทธเจาปรินิพพาน ตางถือเคร่ืองสักการะมากมาย รีบรุดเดิน ทางมาไมข าดสาย ไมม หี ยดุ พกั พากนั สกั การบชู าพระพทุ ธสรรี ะเปน เวลา ตอเนือ่ งถงึ ๖ วนั ครนั้ ถึงวนั ที่ ๗ มัลลกษัตริยทั้งหลาย พรอมใจกันจะอัญเชิญ พระพุทธสรีระออกไปทางทิศใตข องเมืองกุสินารา ทาํ การถวายพระเพลิง ภายนอกพระนคร เมื่อไดเวลาอัญเชิญ ปรากฏวาไมสามารถอัญเชิญ พระพุทธสรีระไปได แมแตขยับเขยื้อนใหเคลื่อนจากท่ีสักนอยหน่ึง ก็ไม อาจทาํ ได มลั ลกษตั รยิ ท ง้ั หลายพากนั ประหลาดใจ จงึ ตรสั ถามพระอนรุ ทุ ธะ ประธานสงฆในท่ีนั้น ไดรับคําตอบวา เหลาเทวดามีความประสงคจะให 192
ÇԪҾط¸»ÃÐÇμÑ Ô 193 อัญเชิญพระพุทธสรีระเขาสูพระนครทางประตูทิศเหนือ ผานทามกลาง พระนคร ออกทางประตทู ศิ ตะวนั ออก ถวายพระเพลงิ ณ มกฏุ พนั ธนเจดยี ทางทิศตะวันออกของเมอื งกสุ นิ ารา มัลลกษัตริยท้ังหลายทราบเชนนั้น ก็ทรงผอนผันตามความ ประสงคของเทวดาท้ังหลาย ปรากฏวาอัญเชิญพระพุทธสรีระออกจากท่ี นน้ั ไดอ ยา งงา ยดาย มลั ลปาโมกข ๘ องค จดั ขบวนอญั เชญิ พระพทุ ธสรรี ะ เคลอ่ื นเขา สพู ระนคร ทางประตูทิศเหนอื ผา นทา มกลางพระนคร ออกทาง ประตทู ศิ ตะวนั ออก ตามทพี่ ระอนรุ ทุ ธะอธบิ ายแลว ขณะนนั้ ดอกมณฑารพ บนสวรรค รวงหลนลงมาสักการบูชาพระพุทธสรีระท่ัวทั้งพระนคร- กสุ นิ ารา ประชาชนไดย นิ เสยี งขบั รอ ง เสยี งประโคมดนตรี พากนั ออกมาดู ขบวนอญั เชญิ พระพุทธสรีระ สกั การบูชา ดว ยดอกไมข องหอมนานาชนดิ นอ มสงเสดจ็ เปน ครง้ั สดุ ทายตลอดทางไปสูมกฏุ พนั ธนเจดยี เม่ืออัญเชิญพระพุทธสรีระไปถึงมกุฏพันธนเจดียเรียบรอยแลว มัลลกษัตริยท้ังหลาย ถามพระอานนทถึงวิธีปฏิบัติในพระพุทธสรีระ ใหตรงตามพระพุทธประสงคไดรับคําตอบวา มหาบพิตรพึงปฏิบัติใน พระพุทธสรีระ เชนเดียวกับพระบรมศพพระเจาจักรพรรดิ มัลลกษัตริย ทงั้ หลายไดป ฏบิ ตั ติ ามพระอานนทอ ธบิ ายแลว หอ พระพทุ ธสรรี ะดว ยผา ใหม ซับดวยสําลี หอดวยผาใหมทับอีก ๕๐๐ คู อัญเชิญลงประดิษฐานใน รางเหลก็ ชุมดวยนาํ้ มัน ใชรางเหล็กอกี อันหนึ่งปดทับขา งบน อัญเชิญขึ้น สูจติ กาธานทาํ ดวยไมห อมลวน เตรยี มการจะถวายพระเพลิง ครน้ั ดาํ เนนิ การเรยี บรอ ยแลว มลั ลปาโมกข ๔ องค นาํ ไฟเขา ไปยงั จติ กาธานทง้ั ๔ ทศิ แตไ มส ามารถจดุ ไฟทจี่ ติ กาธานใหต ดิ ได แมพ ยายาม อยหู ลายครัง้ ก็ไมบรรลผุ ล มัลลกษตั ริยท ้ังหลายสงสยั วา จะเปนอานภุ าพ เทวดา จงึ เขาไปถาม พระอนรุ ุทธะ ไดร ับคาํ ตอบวา เหลาเทวดาประสงค จะใหค อยพระมหากสั สปะ เมอื่ พระมหากสั สปะเดนิ ทางมาถงึ ถวายบงั คม คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 193
194 ¤Á‹Ù ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี พระบาทพระพุทธองคแ ลว จงึ จะถวายพระเพลงิ ได มลั ลกษตั ริยท ัง้ หลาย ทรงผอนผันตามความประสงคของเทวดาแลว สมัยนั้น พระมหากสั สปะ ยังมาไมถึงมกุฏพันธนเจดีย กําลัง เดินทางจากเมอื งปาวา ไปเขา เฝา พระพทุ ธเจา ณ เมอื งกสุ นิ ารา พรอ ม ดว ยภกิ ษบุ รวิ าณ ๕๐๐ รปู ในระหวา งทางพาภกิ ษบุ รวิ ารหยดุ พกั ใตร ม ไม แหงหน่ึงเห็นอาชีวกคนหน่ึงถือดอกมณฑารพเดินสวนทางมา รูสึก แปลกใจวา ดอกมณฑารพเปนดอกไมทิพย ไมมีในโลกมนุษย ปรากฏ เฉพาะในเหตุการณสําคัญเก่ียวของกับพระพุทธเจาเทานั้น เชน เสด็จ ลงสูพระครรภ ประสูติ เสด็จออกผนวช ตรัสรู ทรงแสดงปฐมเทศนา ทรงทาํ ยมกปาฏหิ ารยิ เสดจ็ ลงจากเทวโลก ปลงอายสุ งั ขาร และปรนิ พิ พาน นึกสังหรณใจถึงพระพุทธองค จึงเขาไปถามอาชีวกนั้น ไดรับคําตอบวา พระพุทธองคปรินิพพานได ๗ วันเขาวันน้ีแลว และจะถวายพระเพลิง ในวนั น้ี ดอกมณฑารพนี้เราเก็บมาจากสถานทีป่ รินิพพานนน้ั ภิกษุทั้งหลายฟงอาชีวกบอกเชนนั้น บางพวกยังเปนปุถุชนอยู ตา งตกใจ ประคองแขน รองไห กล้ิงเกลือกไปมา ราํ พนั ถงึ พระพทุ ธองค สวนพระขีณาสพท้ังหลายมีสติสัมปชัญญะมั่นคง อดกลั้นได เจริญธรรม สงั เวช พิจารณาความแตกดับแหงสงั ขาร ภิกษุรปู หน่ึงนามว่าสภุ ทั ทะ เปน วฑุ ฒบรรพชติ เพราะบวชพระ ตอนแก น่ังอยูในท่ีนั้นดวย ไดยืนขึ้นพูดหามภิกษุท้ังหลายวา พวกทาน อยา เศรา โศกเสยี ใจไปเลย พวกเราหลดุ พน จากอาํ นาจพระมหาสมณะแลว เมอื่ พระองคย งั ทรงพระชนมอ ยู คอยบงั คบั หา มปรามพวกเราตา ง ๆ นานา วาสิ่งนคี้ วร ส่ิงนไ้ี มควร พระองคปรนิ พิ พานก็ดีแลว พวกเราปรารถนาจะ ทาํ สงิ่ ใด ก็ทาํ ไดต ามใจชอบ ไมมใี ครมาคอยบงั คับหา มปรามพวกเราแลว พระมหากัสสปะฟงพระสุภัททะกลาวจาบจวงพระธรรมวินัย เชน นนั้ รสู กึ สลดใจวา พระพทุ ธองคป รนิ พิ พานเพยี งแค ๗ วนั เทา นน้ั ยงั มี 194
ÇԪҾط¸»ÃÐÇÑμÔ 195 อลชั ชกี ลา วจาบจว งพระธรรมวนิ ยั ไดไ มเ กรงขาม ครนั้ จะยกขนึ้ เปน อธกิ รณ ทาํ นคิ คหกรรม กเ็ หน็ วา ไมค วรทาํ ในเวลาเชน น้ี เพราะตอ งรบี เดนิ ทางไป ใหท นั ถวายพระเพลงิ ทาํ ไดเ พยี งแคป ลอบภกิ ษทุ งั้ หลายใหค ลายความโศก เสยี ใจ รีบพาภิกษุบริวารเดนิ ทางไปเมืองกุสินารา ตรงไปยังมกุฏพนั ธน- เจดีย ครั้นมาถึงจิตกาธานเปนท่ีประดิษฐานพระพุทธสรีระแลว หมจีวร เฉวียงบา ประคองอัญชลีทําประทักษิณจิตกาธาน ๓ รอบ ถวายบังคม พระยคุ ลบาท พรอ มกบั ภกิ ษบุ รวิ าร ๕๐๐ พอถวายบงั คมพระยคุ ลบาทเสรจ็ จติ กาธานเกิดไฟลกุ โชนขึน้ เอง คร้ันเสร็จการถวายพระเพลิงแลว ทอน้ําไดตกลงมาจากอากาศ นา้ํ พงุ ออกจากตน สาละ ดบั ไฟทจ่ี ติ กาธาน ตอ จากนนั้ มลั ลกษตั รยิ ท งั้ หลาย นาํ นาํ้ อบ นา้ํ หอมเขา ประพรมจติ กาธาน เกบ็ พระบรมสารรี กิ ธาตุ อญั เชญิ ไป ประดิษฐาน ณ ทองพระโรง ภายในพระนคร จัดวางกําลังอารักขา อยางแนนหนา ทั้งชั้นในและช้ันนอกเมืองกุสินารา สักการบูชาดวย เครื่องบูชาตางๆ ดอกไมของหอมนานาชนิด และจัดมหรสพสมโภช พระบรมสารรี ิกธาตเุ ปนเวลา ๗ วนั แจกพระบรมสารีริกธาตุ ครงั้ นน้ั พระเจา อชาตศตั รู เมอื งราชคฤห แควน มคธ กษตั รยิ ล จิ ฉวี เมืองเวสาลี กษัตริยศากยะ เมืองกบิลพัสดุ กษัตริยถูลี เมืองอัลลกัปปะ กษัตริยโกลิยะ เมืองรามคาม กษัตริยมัลละ เมืองปาวา รวมพราหมณ ผคู รองเมอื งเวฏฐทปี กะดว ย รวมเปน ๗ พระนคร ลว นมศี รทั ธาเลอ่ื มใสใน พระพุทธเจา พอทราบขาวพระพุทธเจาเสด็จปรินิพพานในเมืองกุสินารา ตางเศราโศกเสียพระทัย ไดสงทูตไปขอสวนแบงพระบรมสารีริกธาตุ เพื่ออญั เชญิ ไปสรางพระสถปู สาํ หรับสกั การบชู า ในพระนครของตน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 195
196 ¤Ù‹ÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี คณะทูตจากพระนครทั้ง ๗ พากันเขาเฝามัลลกษัตริย ถวาย พระราชสาสน ขอสวนแบงพระบรมสารีริกธาตุ มลั ลกษตั ริยท์ งั้ หลาย ไดมีพระดํารัสกับคณะทูตานุทูตเมืองเหลาน้ันวา พระพุทธเจาเสด็จมา ปรินิพพานในเมืองพวกเรา พวกเราจะไมยอมแบงพระบรมสารีริกธาตุ ใหแ กใ คร เมอื่ มลั ลกษตั รยิ ท งั้ หลาย ตรสั ยนื กรานเชน นน้ั ฝา ยคณะทตู านทุ ตู ก็ไมยอมทอถอย จึงเปนประเด็นถกเถียง เปนปมขัดแยง เกือบจะทํา สงครามแยงชงิ พระบรมสารรี ิกธาตกุ ันข้ึน สนุ ทรพจน์ของโทณพราหมณ์ ในท่ีประชุมน้ัน โทณพราหมณ์ เปนอาจารยของกษัตริยใน เมืองเหลานั้น ฉลาดทั้งคดีโลกคดีธรรม เปนท่ีเคารพยกยองของคน ท่วั ไป สามารถพูดโนมนา วใจคนฟง ใหโอนออ นตามได ฟงคําปฏเิ สธของ มลั ลกษตั รยิ เ หลา นน้ั แลว คดิ วา มลั ลกษตั รยิ ไ มม ขี อ อา งจะไมแ บง พระบรม สารีริกธาตุใหแกเมืองอ่ืน ๆ เพราะมัลลกษัตริยไมใชพระประยูรญาติ พระพุทธเจา เพียงแตนับถือพระพุทธองค เพราะพระธรรมคําสอน แม กษัตรยิ แ ละพราหมณม าขอแบง พระบรมสารีริกธาตุ ในครงั้ นี้ ตางนบั ถอื พระพุทธองค เพราะพระธรรมคําสอนเหมือนกัน พระพุทธองคไมได ทรงแสดงธรรมใหพุทธบริษัททําศึกสงครามกันเลย แตตรัสสอนใหมี ขันติ อดทน อดกลั้น ตอทุกขและกิเลสยั่วยุตางๆ ตรัสสอนใหตั้งอยูใน สามคั คธี รรม หา งไกลจากวหิ งิ สา เบยี ดเบยี น อาฆาตจองเวรกนั อกี ทงั้ สมยั ดาํ รงพระชนมอ ยู ปวงชนมากมายเคยไดเ หน็ ไดก ราบไหวพ ระพทุ ธองคใ น สถานท่ตี างๆ บดั น้ี พระพทุ ธองคปรินิพพานแลว ปวงชนควรจะไดกราบ ไหวบูชาพระบรมสารีริกธาตุแทนพระองค และปฏิบัติตนตามพุทโธวาท งดเวน จากบาปทุจรติ ทั้งปวง บําเพ็ญกศุ ลความดีใหถ งึ พรอม สรางความ มน่ั คงแกพ ระศาสนา มลั ลกษตั รยิ ท งั้ หลาย ไมค วรสรา งความขดั แยง เพราะ 196
ÇÔªÒ¾·Ø ¸»ÃÐÇμÑ Ô 197 สวนแบงพระบรมสารีรกิ ธาตุ ควรแบง ใหเทากนั ทั้ง ๘ พระนคร เมอื่ มีทูต มาขออกี ในภายหลงั กจ็ ะอางไดวา พระบรมสารรี ิกธาตุ ที่จะแบงใหไ มม ี แลว แบงปนกันเสร็จแลว ก็จะไมเสียสัมพันธไมตรี เกิดภัยอันตรายแก เมอื งกสุ นิ ารา โทณพราหมณประสงคจะระงับความขัดแยง และใหพระบรม สารีริกธาตุแพรหลายไปในพระนครตางๆ จึงกลาวข้ึนวา ท่านผูเ้ จรญิ ทงั้ หลาย โปรดฟงั ขา้ พเจ้าก่อน พระพุทธเจ้าทรงเป็นสรณะทพี่ งึ่ ของ เราทงั้ หลาย พระองค์ทรงมพี ระขนั ตธิ รรมเป็นเลศิ ตรสั สรรเสรญิ ขนั ติ ความอดทน อดกลนั้ ต่อความทุกขย์ ากและกเิ ลสทงั้ หลาย ทรงพราํ่ สอน ใหพ้ วกเราสามคั คปี รองดองกนั หา่ งไกลจากวหิ งิ สาและความอาฆาต การ จะถอื เอาสว่ นแบง่ พระบรมสารรี กิ ธาตุมาเป็นเหตุประหตั ประหารต่อสกู้ นั ดว้ ยศสั ตราวธุ จนเป็นสงครามขน้ึ มา จงึ ผดิ ไปจากคาํ สอนและพระประสงค์ ของพระพุทธเจา้ โดยส้นิ เชงิ พวกเราจงอดทน อดกลนั้ พรอ้ มใจกนั แบ่ง พระบรมสารีริกธาตุเป็ น ๘ ส่วน ใหเ้ ท่ากนั ทุกพระนคร อญั เชญิ ไป สรา้ งพระสถปู บรรจุพระบรมสารรี กิ ธาตุ ใหแ้ พรห่ ลายไปทวั่ ทุกทศิ านุทศิ เถดิ ยงั มปี วงชนอกี มากเคารพนบั ถอื พระพทุ ธเจา้ พวกเขาควรจะไดร้ บั ประโยชน์สขุ โดยทวั่ กนั มัลลกษตั ริยและคณะทตู านุทูตทั้ง ๘ พระนคร ไดย นิ คําพูดเตอื น สติเชนนั้นเห็นดวยกับโทณพราหมณน้ันพรอมใจกันใหโทณพราหมณทํา หนา ท่ีแบงพระบรมสารรี ิกธาตโุ ทณพราหมณ จงึ แบง พระบรมสารีรกิ ธาตุ ออกเปน ๘ สว นเทา ๆ กนั มอบใหแ กเ มอื งเหลา นน้ั สว นตนเองขอทะนาน ตวงพระบรมสารีริกธาตไุ ปสักการบชู า ภายหลงั โมริยกษตั ริย์ เมอื งปิ ปผลิวนั ทราบขา วการปรนิ พิ พาน ของพระพุทธเจาจึงสงทูตมาขอสวนแบงพระบรมสารีริกธาตุจากเมือง กุสินารา มัลลกษตั ริยท้งั หลายจงึ มอบพระองั คาร (เถา กระดกู ) ใหแ ทน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 197
198 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี สาระสาํ คญั ในการเสดจ็ ปรินิพพานท่ีเมืองกสุ ินารา ๑. เพราะเคยเปน เมอื งเจรญิ รงุ เรอื ง สมบรู ณด ว ยขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ๒. เพ่อื โปรดสภุ ัททปริพาชก พระสาวกองคส ุดทา ย ๓. เพื่อไมใหเกิดสงครามแยงชิงพระบรมสารีริกธาตุระหวาง เมอื งตางๆ ๔. เพื่อใหพระบรมสารีริกธาตุแพรหลายออกไป พรอมกับ พระธรรมวนิ ยั ประเภทแห่งสมั มาสมั พทุ ธเจดีย์ เมื่อกษัตริยและพราหมณเหลานั้น ไดรับสวนแบงพระบรม สารีรกิ ธาตแุ ลว ตา งจัดขบวนอญั เชิญอยางมโหฬาร นําไปประดิษฐานใน พระนครของตน โปรดใหส รา งพระสถปู บรรจเุ ปน ปชู นยี สถาน เปน สถานที่ กราบไหวสักการบูชาแหงมหาชนตามเมืองตางๆ รวม ๘ แหง คือ เมืองราชคฤห เมอื งเวสาลี เมอื งกบิลพสั ดุ เมอื งอลั ลกปั ปะ เมอื งรามคาม เมืองเวฏฐทีปกะ เมืองปาวา เมืองกุสินารา พระสถูปทั้ง ๘ แหงเหลานี้ จดั เปน ธาตเุ จดีย์ (คือเจดียบ รรจุพระบรมสารรี ิกธาตุ) ฝายโทณพราหมณ ไดนําทะนานตวงพระบรมสารีริกธาตุไป สรา งพระสถปู บรรจไุ วเ ปน ปชู นยี สถานใหช าวเมอื งกสุ นิ ารากราบไหวบ ชู า พระสถูปน้ี เรยี กวา ตมุ พสถปู สว นโมริยกษตั ริยเมอื งปปผลวิ นั อัญเชิญ พระอังคารไปสรางพระสถูปบรรจไุ วเชน กนั เรียกวา องั คารสถปู ในตนปฐมกาลแหง ปรินพิ พานของพระพุทธเจา มพี ระสถูปเจดยี รวมท้ังหมด ๑๐ แหง ดว ยกัน 198
ÇªÔ Ò¾·Ø ¸»ÃÐÇμÑ Ô 199 สงั เวชนียสถาน ๔ สงั เวชนียสถาน แปลวา สถานท่ีเป็ นที่ตงั้ แห่งความสงั เวช เปนคําใชเรยี กสถานท่ีท่ีเกย่ี วของกบั พระพทุ ธเจา มี ๔ แหง คือ ๑. สถานทีป่ ระสูติ ๒. สถานทต่ี รสั รู ๓. สถานที่แสดงปฐมเทศนา และ ๔. สถานทีป่ รนิ พิ พาน พุทธศาสนิกชนควรไปดูไปเห็นและใหเกิดความสังเวช เพ่ือ เพิ่มพูนความศรัทธาเล่ือมใสในพระพุทธเจา ทําใหรูสึกเหมือนไดอยู ใกลชิดพระพุทธเจา เปนแรงบันดาลใจในการทําความดี เปนเครื่อง เตอื นใจใหด าํ รงชวี ติ อยใู นความไมป ระมาท จะไดร บี เรง ขวนขวายประกอบ กศุ ลกรรม อนั จะนําใหไปเกิดในสคุ ตภิ ูมิ ประเภทแห่งเจดีย์ ในปฐมกาล หลังจากพระศาสดาเสด็จดบั ขนั ธปรนิ พิ พานใหม ๆ คงมีเจดีย ๒ ประเภท คือ ๑. พระสถูปทีบ่ รรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๘ แหง ทีโ่ ทณพราหมณ แบง ให เรียกวา ธาตเุ จดีย์ ๒. ตุมพสถูป อังคารสถูป สังเวชนียสถาน ๔ ตําบล และ อฐั บรขิ ารของพระพทุ ธเจา ทท่ี รงเคยใชส อย เชน บาตร จวี ร สงั ฆาฏิ ธรกรก รวมถึงเสนาสนะ ทีเ่ คยประทับ เชน เตียง ต่ัง กุฏิ วิหาร จัดเปน เรียกวา บริโภคเจดีย์ ตอมาภายหลัง พุทธศาสนิกชนบางพวกเล่ือมใสในพระพุทธเจา ไดนอมนําเอาทองคํา เงิน รัตนะ ไมแกน อิฐ ศิลา ปูน และโลหะตางๆ มาสรางเปนพระพทุ ธรูป ใหเปนปูชนยี วัตถเุ ปน เคร่ืองเตือนจิตใหร ะลึกถึง คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 199
200 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี พระพทุ ธเจาและเกิดปต ิศรทั ธาแกผูพ บเห็น เรียกวา อทุ เทสิกเจดีย์ วิญูชนบางพวก สรางพระสถูปขึ้นในถ่ินฐานของตนแลว จารึกพระพุทธวจนะ คือ คําสอนของพระพุทธเจา เชน ปฏิจจสมุปบาท อรยิ สัจโพธิปก ขยิ ธรรม และอืน่ ๆ ซงึ่ เห็นวาเปนพุทธภาษิตแท ลงในแผน ทองคาํ บาง แผน เงินบาง แผนศิลาบาง ใบลานบา ง นาํ มาบรรจุไวภายใน พระสถปู แทน เพ่ือกราบไหวส ักการบชู า เรยี กวา ธรรมเจดีย์ กลา วโดยสรุป สัมมาสัมพทุ ธเจดยี ม ี ๔ ประเภท คือ ธาตุเจดยี บรโิ ภคเจดีย อทุ เทสกิ เจดยี ธรรมเจดีย ดวยประการฉะนี้ 200
ÇªÔ Ò¾·Ø ¸»ÃÐÇμÑ Ô 201 ÈÒʹ¾¸Ô Õ ศาสนพิธี แปลวา พิธีทางศาสนา หมายถึง วิธี ระเบียบ แบบแผน หรือแบบอย่างที่ใช้ปฏิบตั ิพิธีกรรมทางศาสนา เม่ือนํามา ใชใ นพระพุทธศาสนา จึงหมายถงึ ระเบยี บแบบแผน หรือแบบอย่างท่ี พึงปฏิบตั ิในพระพทุ ธศาสนา ศาสนพธิ เี ปน สง่ิ ทม่ี อี ยใู นทกุ ศาสนา แตม คี วามแตกตา งกนั ไปตาม ความเชื่อและคําสอนของศาสนาหรือลัทธินั้นๆ เปนสิ่งท่ีเกิดข้ึนภายหลัง เมื่อมีศาสนาเกิดขึ้นแลว จึงมีพิธีกรรมตางๆ เกิดขึ้นตามมา เมื่อศาสนา น้ันๆ มผี นู ับถอื มากข้นึ พธิ กี รรมชนดิ เดยี วกันอาจมีการปฏบิ ตั เิ หมือนกนั บา ง แตกตา งกนั บา ง ในศาสนกิ ชนตา งกลมุ ตา งพนื้ ที่ ตอ มานกั ปราชญท าง ศาสนานน้ั ๆ จงึ ไดว างระเบยี บแบบแผนในการปฏบิ ตั พิ ธิ กี รรมแตล ะพธิ ไี ว เปน แบบอยา ง เพอื่ ใหก ารปฏบิ ตั พิ ธิ กี รรมเรอ่ื งนนั้ ๆ เปน ไปในทางเดยี วกนั เรยี กชอ่ื วา ศาสนพธิ ี ทา นผรู บู างทา นเปรยี บพธิ กี รรมหรอื ศาสนพธิ วี า เปน เหมอื นเปลือก หรือกระพีท้ ห่ี อหมุ แกนของตนไม คือ แกนแทของศาสนา ไว แตค วามจรงิ ทั้งสองสว นน้ี จะตอ งอาศัยกันและกนั กลาวคอื หากไมมี แกน แทข องศาสนา ศาสนพธิ กี อ็ ยไู ดไ มน าน หรอื หากมเี ฉพาะแกน แทข อง ศาสนา แตไ มมีศาสนพิธี แกน แทข องศาสนา กอ็ ยไู ดไ มน าน เชนเดยี วกบั ตน ไมท ม่ี แี ตเ ปลอื กไมม แี กน หรอื มแี ตแ กน ไมม เี ปลอื ก ฉะนนั้ ปจ จบุ นั ไดม ี จุดหกั เหในการประกอบพธิ ีกรรมตา งๆ พระพทุ ธศาสนา อาจทาํ ใหผ ูท ่ยี งั ไมเขาใจแกนแทของหลักธรรมไปยึดถือวา ศาสนพิธีนั้น คือแกนแทของ พระพทุ ธศาสนา ซงึ่ นบั วา เปน อนั ตรายอยา งยง่ิ ตอ พระพทุ ธศาสนา ดงั นนั้ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 201
202 ¤ÙÁ‹ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี จึงตองศกึ ษาทําความเขาใจใหถ กู ตองวา อะไรคอื เปลอื ก อะไรคอื แกนแท ของพระพุทธศาสนา เพ่ือจะไดปฏิบัติไดอยางถูกตองตามความมุงหมาย ของหลกั ธรรมคาํ สอนตอ ไป องคป์ ระกอบของศาสนา ศาสนา แปลวา คาํ สอน หมายถงึ หลักธรรมคําสอนของศาสดา ผกู อ ตงั้ ศาสนานนั้ ๆ รวมทง้ั หลกั ธรรมคาํ สอนของศาสนาทไ่ี มม ศี าสดาผกู อ ตง้ั ศาสนาโดยทัว่ ไปมีองคประกอบทสี่ าํ คัญ ๕ ประการ คอื ๑. ศาสดา ผกู อ ตง้ั ศาสนา ศาสนาทีม่ ีผูนบั ถือมากเปน ทีร่ จู กั กัน ดีในประเทศไทย และไดรับการรับรองจากทางราชการ คือ ศาสนาพุทธ คริสต อิสลาม สิกขหรือซิกข ลวนมีศาสดาผูกอต้ังศาสนาทั้งส้ิน ยกเวน ศาสนาพราหมณ-ฮินดูเทาน้ัน ไมมีศาสดาผูกอตั้งเปนศาสนาท่ีนับถือ สืบตอกนั มาแตโ บราณ ๒. ศาสนธรรม หลักธรรมคําสอน ท่ีศาสดาประกาศเผยแผ แกช าวโลก ๓. ศาสนิกหรอื สาวก คอื ผรู บั ฟง หลกั ธรรมคาํ สงั่ สอนทศี่ าสดา ประกาศแลวมีศรัทธาเลอ่ื มใสและปฏบิ ัติตาม ๔. ศาสนสถานหรือศาสนวตั ถุ คอื สถานที่ใชป ระกอบพิธขี อง ศาสนานน้ั ๆ หรอื รูปเคารพของศาสดา เปน ตน ๕. ศาสนพิธี คือ พิธีกรรมทางศาสนา ซ่ึงแตกตางกันไปตาม ความเช่อื ในหลกั ธรรมคําสอน ประโยชน์ของศาสนพิธี ศาสนพิธี แมจะไดรับการเปรียบเทียบวาเปนเพียงเปลือก หรือกระพ้ีของศาสนาก็ตาม แตศาสนพิธีท่ีปฏิบัติไดถูกตอง เรียบรอย มปี ระโยชนทั้งแกศ าสนาและผูปฏบิ ัติ คอื 202
ÇªÔ Ò¾·Ø ¸»ÃÐÇÑμÔ 203 ๑. ทาํ ใหพ ธิ มี คี วามถกู ตอ งเรยี บรอ ยงดงาม สาํ เรจ็ ประโยชน ตาม วตั ถุประสงค ๒. เพิม่ ความศรัทธาปสาทะ ความเชื่อความเลือ่ มใสแกผ พู บเห็น ๓. เปนเครื่องแสดงเกยี รติยศของเจาภาพและผรู ว มพิธี ๔. เปน การรกั ษาวัฒนธรรมประเพณที ีด่ งี ามของชาติไว คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 203
204 ¤ÁÙ‹ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªéѹμÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี บทท่ี ๑ การจดั โตะ๊ หม่บู ชู าและเคร่ืองสกั การะ การจดั โตะ๊ หม่บู ชู า โตะ๊ หมบู่ ชู า คอื กลมุ หรอื ชดุ ของโตะ ทใ่ี ชต งั้ พระพทุ ธรปู หรอื สง่ิ ท่ี ควรเคารพ เชน พระบรมฉายาลกั ษณ พระบรมสาทสิ ลกั ษณ หรอื พระบรม รูปหลอของพระมหากษตั ริย พระฉายาลักษณ หรือพระสาทสิ ลักษณของ พระบรมวงศานุวงศ หรือรูปของบรรพบุรุษ ประกอบดวยเคร่ืองบูชาอัน เปน การแสดงถงึ ความกตญั ตู อ ผมู อี ปุ การคณุ ซงึ่ เปน วฒั นธรรมอนั ดงี าม ทีม่ คี ณุ คา อยา งยิง่ ของสังคมไทย ความเป็นมาของโตะ๊ หม่บู ชู า สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ ไดทรง นิพนธไ วในเรอ่ื ง “อธิบายเครือ่ งบชู า” ไดทรงกลา วถงึ ความเปนมาของ มา หมู หรือโตะ หมบู ูชา ดังน้ี “เคร่ืองบูชานี้เปนอยางไทยแกมจีนน้ัน เพราะความคิดท่ีจัด เครื่องบชู าเปนความคิดไทย แตกระบวนการทีจ่ ดั เอาอยา งที่จนี เขาจัดตงั้ เครอื่ งแตง เรอื น หรอื เรยี กอกี อยา งหนงึ่ วา “ลายฮ่อ” ซง่ึ จนี ชอบเขยี นฉาก และเขียนเปนลายแจกัน และของเครื่องถวยชามอยางอื่น จีนเรียกวา “ลายปักโก๊” เปนของท่ีไดเห็นกันมาในประเทศน้ีเห็นจะชานานแลว แตต ามเรอื่ งตาํ นานปรากฏวา เมอื่ ในรชั กาลที่ ๒ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธ- เลิศหลานภาลัย ทรงสรางสวนขวาที่ในพระบรมมหาราชวัง (ตรงบริเวณ สวนศิวาลัยบัดน้ี) ครั้งนั้น ประจวบเวลาราชทูตไทยออกไปเมืองปกก่ิง 204
ÇªÔ Ò¾·Ø ¸»ÃÐÇÑμÔ 205 ไปไดเครื่องต้ังแตงเรือนอยางจีนเขามาจัดแตงพระตําหนักที่ในสวนขวา เปน เหตใุ หเ กดิ นยิ มกนั ขน้ึ เปน ทแี่ รกวา เปน ของงามนา ดู ถงึ เอาไปผกู เปน ลายเขยี นผนงั โบสถ แตค ดิ ดดั แปลงไปใหเ ปน เครอ่ื งพทุ ธบชู า ยงั มปี รากฏ อยทู กุ วนั นที้ พี่ ระอโุ บสถวดั ราชโอรสาราม ซง่ึ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา เจา อยหู วั ทรงสรา งตง้ั แตด าํ รงพระยศเปน พระเจา ลกู ยาเธอ ในรชั กาลที่ ๒ แลว เจาพระยานกิ รบดนิ ทร (โต) ตนสกุล กลั ยาณมติ ร เอาอยางมาเขียน ผนังพระอุโบสถวัดกัลยาณมิตร ซ่ึงสรางเม่ือในรัชกาลท่ี ๓ น้ัน เปนตน สันนษิ ฐานวา แมใ นช้ันน้ันก็ยงั ไมเกดิ เครอ่ื งบชู าอยา งมาหมูมาจนสมเด็จ พระน่ังเกลาเจาอยูหัว ทรงบูรณะวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เมื่อจะ ฉลองวดั พระเชตพุ น ใน พ.ศ. ๒๓๙๑ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา เจา อยหู วั ทรงพระราชดาํ รโิ ดยอนโุ ลมตามลายฮอ ซงึ่ เขยี นผนงั โบสถด งั กลา วมาแลว ใหสรางมาหมูข้ึนสําหรับตั้งเคร่ืองบูชา หนาพระประทานในพระอุโบสถ วดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม เปน มา หมใู หญ ๑๑ ตวั และทรงพระราชดาํ ริ ใหส รา งมาหมูขนาดนอย มมี าสําหรบั ตั้งเคร่ืองบูชาหมูละ ๔ ตวั ต้ังประจาํ พระวหิ ารทศิ สนั นษิ ฐานวา เครอื่ งบชู าอยา งมา หมูเกดิ มขี นึ้ ดว ยพระราชดาํ ริ ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกลาเจาอยูหัว เมื่อครั้งฉลองวัดพระเชตุพน วิมลมังคลารามเปนเดิม แลวผูอ่ืนนิยมก็เอาแบบอยางทํากันตอมาจน ทุกวันน”ี้ การจัดโตะหมูบูชา ถือเปนเอกลักษณทางวัฒนธรรมอันสําคัญ ประการหน่ึงของสังคมไทย ไดมีการปฏิบัติสืบทอดมาเปนระยะเวลา ยาวนาน ดังน้ัน พระราชประเพณี หรือพระราชพิธีตางๆ ท่ีเก่ียวกับ สถาบันพระมหากษัตริย หรอื ประเพณีตางๆ ของสงั คมไทย ไดม กี ารจดั โตะหมูบูชาในการประกอบพิธีน้ันๆ เปนการแสดงออกถึงการบูชาตอ สงิ่ ทเี่ คารพสกั การะอยา งสงู ยงิ่ ตามทบี่ รรพบรุ ษุ ไดก ระทาํ เปน แบบอยา งไว คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 205
206 ¤Ù‹ÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี ประเภทของโตะ๊ หม่บู ชู า โตะหมูบูชาท่ีจัดตั้งในท่ีตางๆ และในการประกอบพิธี เทาที่เคย พบเห็นมามีตั้งแตหมู ๒ จนถึง หมู ๒๑ ตามแตผูทําจะประดิษฐคิดทํา ขนึ้ มา แต่ทีย่ งั ใช้มากในปัจจบุ นั คือ หมู่ ๔ หมู่ ๕ หมู่ ๗ และหมู่ ๙ เท่านัน้ สว นหมอู น่ื ๆ เปน การจดั ตง้ั ประจาํ เฉพาะที่ เชน หนา พระประธาน ในอโุ บสถ ดังนัน้ ในศาสนพธิ นี ี้ จะขอนํามากลาวเฉพาะ ๔ หมูด ังกลาว เทา น้ัน การที่เรยี กวา หมู ๔ หมู ๕ หมู ๗ และหมู ๙ เปน การเรยี กชอื่ ตามจาํ นวนโตะ ทร่ี วมตงั้ อยบู นโตะ รองเทา นนั้ สว นโตะ ตวั รองไมน บั เขา ใน จํานวน วตั ถปุ ระสงคก์ ารจดั ตงั้ โตะ๊ หม่บู ชู า ปจจุบัน การจัดตั้งโตะหมูบูชา นิยมจัดต้ังในกิจกรรมตางๆ พอ สรุปไดด ังน้ี ๑. การตงั้ โตะหมูบชู าในพธิ ีทางพระพุทธศาสนา ๒. การตงั้ โตะหมบู ชู าในพธิ ีถวายพระพร ๓. การจดั ตงั้ โตะ หมบู ชู าในพธิ รี บั พระราชทานเครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณ หรอื ของพระราชทาน ๔. การตั้งโตะหมูบูชาในการรับเสด็จ หรือตามเสนทางเสด็จ พระราชดําเนนิ ๕. การต้ังโตะหมบู ูชาในพิธีถวายราชสกั การะ เนื่องในวันสาํ คัญ เกยี่ วกับพระมหากษตั รยิ ๖. การตั้งโตะ หมูบ ูชาในการประชุมสมั มนา ๗. การตง้ั โตะ หมบู ูชาเพื่อการประกวด 206
ÇÔªÒ¾·Ø ¸»ÃÐÇÑμÔ 207 วิธีการจดั โตะ๊ หม่บู ชู า โตะ หมบู ชู าทจี่ ดั ขน้ึ ตามวตั ถปุ ระสงคด งั กลา วมวี ธิ กี ารจดั ๒แบบคอื ๑. วิธีจดั แบบอนุรกั ษ์ คือ จดั ต้ังกระถางธูป เชงิ เทียน พานพุม และแจกันดอกไมครบตามจํานวนทีท่ า นกาํ หนดไว ๒. วิธีจดั แบบสมยั นิยม คอื จดั พานดอกไมส ดแทนพานพมุ และ แจกันดอกไม โตะหมูตางๆ ท่ีมีช่ือเรียกตามจํานวนของโตะตามที่กลาวแลว ยงั มกี ารแบงขนาดเปนขนาดเลก็ ขนาดกลาง ขนาดใหญ ดังนัน้ การจดั เคร่ืองสักการะประกอบการจัดโตะหมู ผูจัดก็ตองใชเครื่องประกอบ คือ กระถางธปู เชงิ เทยี น พานพมุ และแจกนั ใหเ หมาะสมกบั ขนาดของโตะ ดว ย จงึ จะดสู วยงาม ในการจัดแบบอนรุ กั ษ มกี ารจดั และการใช ดังน้ี โตะ๊ บชู าหมู่ ๔ โตะ บูชาหมู ๔ มีการจดั สรา งเปน ๒ แบบ คอื แบบแนวกวา ง และ แนวตงั้ แตท ่นี ยิ มใชในปจจบุ ัน คือ แบบแนวต้งั สงู ซง่ึ ประกอบดวยเคร่อื ง สักการะ ดงั น้ี แบบแนวกวางใช กระถางธูป ๑ เชิงเทียน ๒ พานพมุ ๒ และ แจกันดอกไม ๒ โตะตัวบนใชต้ังพระพุทธรูป พระบรมรูปหลอ หรือ โกศอัฐิตามแตว ตั ถุประสงคข องงาน แบบแนวตั้งสูงใช กระถางธูป ๑ เชิงเทยี น ๒ พานพมุ ๑ และแจกันดอกไม ๑ โตะ บชู าหมู ๔ นี้ นอกจาก ใชต งั้ รปู เคารพตามทก่ี ลา วแลว ยงั ใชจ ดั เปน ชดุ โตะ เคยี งประกอบโตะ บชู า หมู ๙ ในสถานทปี่ ระกอบพิธีกวา งขวางอกี ดวย คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 207
208 ¤‹ÙÁ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªéѹμÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี โตะ๊ บชู าหมู่ ๕ โตะ บชู าหมู ๕ ปจ จบุ นั มที ใ่ี ชน อ ย ถา จดั เตม็ รปู แบบ ประกอบดว ย เคร่ืองสักการบูชา คือกระถางธูป ๑ เชิงเทยี น ๔ คู พานพมุ ๕ พาน และ แจกนั ดอกไม ๒ คู แตปจจุบันนิยมจัดลดเชิงเทียนและแจกันคูที่ตั้งบนโตะตัวท่ีตั้ง พระพุทธรูป เพ่ือใหพระพุทธรูปดเู ดน ชัด และการจัดแบบลดน้ี นยิ มใชใ น การจดั โตะ หมบู ูชาทั้งหมู ๕ หมู ๗ และหมู ๙ การจดั เคร่ืองสักการบชู า มีแนวในการจดั ตงั้ ดงั น้ี ๑. แจกันดอกไม ตง้ั ไวมมุ นอกดานหลังสุดของโตะหมู ๒. พานพุม ตั้งกลางโตะหมูแตละตัว ในการจัดเพื่อบูชา พระรัตนตรัย ใชพานพุมที่ทําดวยดอกไมไมนิยมใชพานพุมท่ีทําดวย ตาดทองตาดเงนิ ๓. เทียนประดบั (เทียนที่ต้งั ไวป ระดบั โดยไมไดจ ุดในพธิ )ี ตั้งท่ี มมุ นอกดานหนา โตะทกุ ตวั ๔. กระถางธปู เชงิ เทยี น สาํ หรบั จดุ บชู า ตง้ั ไวก ลางโตะ ตวั ตา่ํ สดุ อน่ึง พระพุทธรูปท่ีอัญเชิญมาประดิษฐานที่โตะหมูบูชาควรมี ขนาดพอเหมาะกับโตะ ไมใหญ หรือเล็กเกนิ ไปกจ็ ะดงู าม และงานทวั่ ไป นยิ มใชพ ระพทุ ธรปู ปางมารวชิ ยั (ชนะมาร) ถา เปน งานทาํ บญุ คลา ยวนั เกดิ นิยมใชพ ระพุทธรปู ปางประจําวนั เกิดของเจา ภาพ โตะ๊ บชู าหมู่ ๗ โตะบูชาหมู ๗ เปนชุดที่นิยมใชกันมากที่สุดในพิธีทําบุญท่ัวไป เพราะมีขนาดพอเหมาะกับสถานท่ีท่ีประกอบพิธี เครื่องสักการบูชาท่ีจัด แบบลดรปู ซงึ่ นยิ มใชใ นปจ จบุ นั ประกอบดว ย กระถางธปู ๑ เชงิ เทยี น ๔ คู พานพุม ๕ พาน และแจกนั ดอกไม ๑ คู 208
ÇԪҾط¸»ÃÐÇμÑ Ô 209 โตะ๊ บชู าหมู่ ๙ โตะ บูชาหมู ๙ นยิ มจัดในงานพิธใี หญ สถานที่กวางขวาง เชน ใน อโุ บสถศาลาการเปรยี ญเครอ่ื งสกั การบชู าทจ่ี ดั แบบลดรปู แลว ประกอบดว ย กระถางธปู ๑ เชิงเทียน ๕ คู พานพมุ ๗ พาน และแจกนั ดอกไม ๒ คู สวนการจัดแบบสมัยนิยม ใชพานพุมดอกไมสดแทนพานพุม ดอกบานไมรโู รย และแจกันดอกไม สวนเทยี นประดบั จะมี หรือไมม กี ็ได แลว ตงั้ กระถางธปู เชงิ เทยี นสาํ หรบั บชู าพระรตั นตรยั ไวท โ่ี ตะ ตวั ตาํ่ สดุ บางงาน อาจเปล่ียนจากกระถางธปู เชงิ เทยี นเปนเครอ่ื งบูชาเครอื่ งหา แทนก็มี สําหรับในพิธีประชุมสัมมนาหรือจัดอบรม นิยมตั้งธงชาติ และ พระบรมฉายาลักษณดวย ใหตั้งธงชาติไวดานขวาของพระพุทธรูป และ ต้งั พระบรมฉายาลักษณไวด านซา ย เมือ่ มองเขา ไปจากดานนอก จะเหน็ สญั ลกั ษณตามลาํ ดบั คอื ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย มขี อแนะนํา คอื ธงชาติ และพระบรมฉายาลกั ษณ ไมควรอยสู ูงกวา พระพุทธรปู สว น พธิ สี งฆไมน ิยมตง้ั ธงชาติ และพระบรมฉายาลักษณท ข่ี างโตะหมูบชู า การจัดตั้งโตะหมูบูชาในพิธีทําบุญตางๆ ใหตั้งดานขวาของ อาสนะพระสงฆ แตถา สถานทบี่ งั คับ จะตง้ั ทางดานซายกไ็ ด ในพิธหี ลวง บางพิธี เชน พิธถี วายผาพระกฐนิ พระราชทาน พิธีบาํ เพญ็ กศุ ลวันเฉลมิ พระชนมพรรษาในสวนภมู ิภาค จัดโตะ หมบู ูชาไวด า นซายพระสงฆเ สมอ การตั้งโตะหมูถวายราชสักการะ ในพิธีถวายผาพระกฐิน พระราชทาน ตงั้ พระบรมฉายาลกั ษณท โี่ ตะ ตวั กลางบนสดุ ตง้ั พานแวน ฟา สําหรับวางผากฐินที่โตะตัวกลางรองมาจากพระบรมฉายาลักษณ และวางเคร่ืองราชสักการะ (ธูปเทียนแพ กรวยดอกไม) ท่ีโตะตัวลางสุด ดานขางต้ังพุมทอง พุมเงิน หรือพุมดอกไม ตามสมควร การต้ังโตะ หมูนี้นิยมตั้งดานหนาพระอุโบสถ หรือสถานท่ีอื่นที่ใชประกอบพิธีถวาย ผา พระกฐิน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 209
210 ¤Ù‹ÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี เครื่องสกั การบชู า นอกจากเครอ่ื งบชู าสกั การะ ทร่ี จู กั กนั ดี คอื ธปู เทยี น ดอกไมแ ลว ยงั มเี ครอ่ื งบชู าสกั การะพิเศษซึ่งเดิมมีใชเ ฉพาะในราชสาํ นกั แตต อมาได นํามาใชในพิธที ่ัวไป ไดแก เคร่อื งบชู ากระบะมุก หรือเครอื่ งบชู าเครอ่ื ง ๕ เคร่อื งบูชาทองนอ ย และเคร่ืองสักการะธูปเทียนแพกรวยดอกไม เครอื่ งบูชากระบะมกุ เปน เคร่ืองบูชาทจ่ี ดั ชุดบูชา คอื ธูป เทียน พุมดอกไมใ นกระบะมุก แถวหนาต้งั พมุ ดอกไมขนาดเลก็ ๔ พมุ แถวหลงั ตงั้ เชงิ ปก ธปู ไมร ะกาํ ขนาดเลก็ ตรงกลางตดิ ธปู ๑ ดอก ตง้ั เชงิ เทยี น ๒ ขา ง ขา งละ ๒ เลม รวมเปน ๔ เลม และเมอ่ื นบั รวมธปู เทยี นรวมเปน ๕ จงึ เรยี ก สน้ั ๆ วา เครอ่ื ง ๕ นยิ มใชต ง้ั บชู าหนา ตพู ระธรรมในการสวดพระอภธิ รรม ในพธิ หี ลวง เพราะสะดวกในการยกออกเมอื่ พระสวดพระอภธิ รรมจบแลว และจะมพี ธิ ที อดผา บงั สกุ ลุ ตอ ไป ปจ จบุ นั มวี ดั ตา งๆ จดั ทาํ เพอื่ ใชใ นวดั ของ ตนดวย นอกจากน้ียังมีการจัดทําเปนชุดกระบะปดทอง และขยายความ ยาวเพมิ่ ขน้ึ เพื่อใหต ั้งพุมดอกไมไดค รบ ๕ พมุ นาํ ไปเปนเคร่อื งบูชาทโ่ี ตะ หมู แทนกระถางธปู เชงิ เทียนในพิธีทาํ บุญตางๆ สง่ิ ทใี่ ชใ นการจดั เครอื่ งบชู ากระบะมกุ และกระบะทอง ประกอบดว ย ๑. พมุ ดอกไม๔พมุ (สาํ หรบั กระบะมกุ )๕พมุ (สาํ หรบั กระบะทอง) ตง้ั เรยี งแถวหนา ๒. เชงิ ธูป ปก ธปู ไมร ะกํา ๑ ดอก ตัง้ แถวหลงั ตรงกลาง ๓. เชงิ เทยี น ปกเทียน ๔ เลม ตัง้ ๒ ขา งของธูป ขางละ ๒ เลม การจดุ บชู า ใหจ ุดเรียงลาํ ดบั ต้ังแตเ ทยี นเลมแรกไปจนครบ 210
ÇÔªÒ¾·Ø ¸»ÃÐÇμÑ Ô 211 เครื่องบชู าทองน้อย เคร่ืองบูชาทองนอย หรือเรียกกันทั่วไปวา เคร่ืองทองนอย ใชส ักการบชู า ผลู ว งลับไปแลวเทา นนั้ ในกรณตี อไปน้ี ๑. เดิมพระมหากษัตริยทรงใชเปนเคร่ืองสักการะพระบรมศพ พระบรมอฐั บิ รุ พมหากษัตรยิ ๒. ปจจุบันใชไดทั่วไปทั้งพระมหากษัตริย พระบรมวงศานุวงศ พระสงฆ และสามัญชนท่วั ไปในกรณตี อไปน้ี บชู าพระบรมสารีริกธาตุ สกั การะพระบรมศพ พระบรมอฐั ิ และพระบรมรปู บรุ พมหากษตั รยิ เคารพศพหรืออัฐขิ องผูท ีล่ วงลับไปแลว สําหรับประธานจดุ บชู าธรรมในพิธีแสดงพระธรรมเทศนา สิ่งประกอบและการจดั เคร่ืองบชู าทองน้อย ๑. พมุ ดอกไม หรอื พุม ตาดทอง ๓ พมุ ตง้ั อยดู านนอก ๒. เชิงธปู ปก ธปู ไมร ะกาํ ๑ ดอก ตง้ั ดา นในซายมอื ผจู ดั ๓. เชงิ เทียน ปก เทียน ๑ เลม ต้ังคกู บั ธปู ดานขวามือผูจดั ทง้ั ๓ สงิ่ ต้ังรวมอยูในพานทอง พานมุก หรือพานแกว การตงั้ และการจดุ เครือ่ งบชู าทองน้อยเพ่ือสกั การะ พึงปฏิบตั ดิ ังน้ี ๑. จะบชู าส่งิ ใด ใหต้ังหนั พุมดอกไมไ ปทางสง่ิ นั้น ๒. เจา ภาพเคารพศพ อฐั ิ หรอื รปู ภาพ ใหต งั้ หนั พมุ ดอกไมเ ขา หา ศพ อัฐิหรือรปู ภาพน้ัน ๓. ตองการใหศพหรืออัฐิบูชาพระ ใหต้ังหันพุมดอกไมออก ดานนอก หนั ดา นธปู เทียนเขาหาศพหรอื อัฐิ ๔. การจุดเครื่องทองนอ ย ใหจ ุดธูปกอ น จงึ จุดเทยี น คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 211
212 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี เครือ่ งสกั การะธปู เทียนแพ ธูปเทียนแพกรวยดอกไมเปนเครื่องสักการะสําหรับแสดงความ เคารพอยา งสูงตอผทู ี่ยังมีชีวิตอยูเ ทาน้ัน มีวธิ ีใชดังนี้ ๑. ใชเปนเคร่ืองถวายราชสักการะแดพระมหากษัตริย และ พระบรมวงศานวุ งศท ี่ยังทรงพระชนมอ ยู ๒. ใชถ วายสกั การะ หรอื ขอขมาโทษสาํ หรบั พระสงฆด ว ยกนั หรอื คฤหสั ถตอ พระสงฆ ๓. ใชสําหรับผนู อ ยแสดงความเคารพ หรือขอขมาตอผูใ หญ การจดั ธปู เทียนแพกรวยดอกไม้ การจัดธูปเทียนแพกรวยดอกไมตามแบบของสํานักพระราชวัง ซ่ึงเปนแบบที่ถูกตองจัดเรียงลําดับจากดานบนลงมา คือ กรวยดอกไม ธูป เทียน การจดั ตามทีข่ ายในรานขายเครอื่ งสังฆภัณฑ จดั เรยี งลําดับคือ ดอกไม เทียน ธูป การตั้งธูปเทยี นแพกรวยดอกไม เพ่อื ถวายราชสักการะ หนาพระบรมฉายาลักษณ หรือพระบรมรูป ถาเปนพิธีที่จะมีประธานมา ถวายราชสกั การะ ใหปด กรวยกระทงดอกไมไ วกอ น เพอ่ื ใหป ระธานเปน ผูเปดกรวยถวายสักการะ ถาเปนการต้ังถวายราชสักการะที่ไมมีพิธีเปด กรวย ใหเ จา ของบา นหรอื สถานทนี่ น้ั เปน ผเู ปด กรวยถวายราชสกั การะเอง เพราะการต้ังไวโดยไมเปดกรวยกระทงดอกไม จัดวายังไมไดถวาย ราชสกั การะ การถวายธปู เทยี นแพเพอื่ สกั การะแดพ ระสงฆก ด็ ี การเคารพ ครอู าจารยใ นพธิ ไี หวค รกู ด็ ี กอ นถวายหรอื กอ นเคารพครอู าจารย ตอ งเปด กรวยกอ นเสมอ 212
ÇԪҾط¸»ÃÐÇμÑ Ô 213 บทที่ ๒ การปฏิบตั ิพิธี การปฏิบตั ิพิธี คือ การปฏิบัติพิธีกรรมในการทําบุญ หรือ ถวายทานรวมท้ังมารยาทท่ีพุทธศาสนิกชนพึงแสดงตอพระสงฆ และเร่ืองท่ีควรทราบเกี่ยวกับการปฏิบัติในขั้นตอนของพิธีน้ันๆ เชน การอาราธนาศลี การอาราธนาพระปรติ ร การอาราธนาธรรม การประเคนพระ การกรวดนา้ํ ฯลฯ เพอื่ เปนแนวทางปฏิบตั ใิ นการจัดพิธที าํ บญุ วิธีแสดงความเคารพ การแสดงความเคารพตอ บคุ คล หรอื สงิ่ ทคี่ วรเคารพมวี ธิ แี ตกตา ง กนั ไป ในทนี่ จี้ ะกลา วเฉพาะทเ่ี กย่ี วกบั พระพทุ ธศาสนา ไดแ ก พระพทุ ธรปู ปูชนยี วตั ถุ มสี ถูปเจดยี ท ่บี รรจุพระบรมสารีรกิ ธาตุ เปน ตน และพระภิกษุ สามเณรผูทรงศีล การแสดงความเคารพเปนวัฒนธรรมประเพณีของ พุทธศาสนิกชนชาวไทยไดปฏิบัติสืบตอกันมา สรุปได ๓ ประการ คือ การประนมมอื การไหว และการกราบ มคี วามหมาย และวธิ ีปฏบิ ตั ิ ดังนี้ การประนมมือ การประนมมือ ตรงกับคาํ บาลวี า อญั ชลี หมายถงึ การกระพมุ มือท้ังสองข้ึนประนมระหวางอก เปนการแสดงความเคารพแบบธรรมดา ในกรณีที่นั่งฟงพระสงฆเจริญพระพุทธมนต ฟงเทศน สนทนากับ พระสงฆ เปนตน วิธีปฏิบตั ิ ยกมอื ทง้ั สองขนึ้ ใหฝ า มอื ประกบกนั นวิ้ ทกุ นว้ิ แนบชดิ ตรงกนั ชขี้ น้ึ ขางบน กระพุมมือทําเปนรูปดอกบัวตูม ต้ังกระพุมนี้ไวระหวางทรวงอก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 213
214 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี ปลายนวิ้ ชข้ี น้ึ ตรงๆ ไมง องา้ํ ไปขา งหนา เยม าทางตวั หรอื เอยี งไปทางซา ย เอยี งไปทางขวา ไมย กใหส งู เกนิ ไปจนถงึ คา้ํ คางหรอื จรดปาก หรอื หอ ยตาํ่ ลง มาแคส ะดอื หรอื วางไวแ คเ ขา ศอกทงั้ สองแนบชดิ ชายโครง ไมเ กรง็ ขอ จน เกินไป วางทาใหสบายๆ ตงั้ ใจทําใหเ รียบรอยดว ยความตั้งใจจริง การไหว้ การไหว้ตรงกบั คาํ บาลวี า นมสั การวนั ทาหรอื วนั ทนาหมายถงึ การยกกระพุมมือที่ประนมแลวนั้นขึ้นจดหนาผากเปนการแสดงความ เคารพทีส่ งู ขนึ้ ไป ควรทาํ ในกรณที ่ีพระน่งั บนเกา อ้ี หรือยืนอยู ในเวลาพบ พระสงฆร ะหวา งทาง ในเวลาจะลากลบั หรอื เวลาประเคนของแกพ ระสงฆ เสรจ็ แลว เปนตน วิธีปฏิบตั ิ ใหป ระนมมอื ขน้ึ กอ นแลว ยกกระพมุ มอื นนั้ สงู ขนึ้ เสมอหนา โดยให นิ้วหัวแมม อื จรดถงึ ระหวา งควิ้ ปลายนว้ิ ชี้จรดไรผม พรอมกบั กม ศรี ษะลง เลก็ นอ ยพองามแลว ลดมอื ลง ทาํ อยา งนเี้ พยี งครง้ั เดยี ว เวลายกมอื ขน้ึ และ ลดมอื ลงขณะไหว อยา ทําใหเ รว็ นกั อยา ใหช านกั ควรทาํ โดยละมุนละไม จงึ จะงามเหมาะตา การกราบ การกราบ ตรงกบั คาํ บาลวี า อภิวาท หมายถงึ การหมอบกราบลง กบั พนื้ พรอ มทง้ั กระพมุ มอื เปน การแสดงความเคารพแบบสงู สดุ ในบรรดา การแสดงความเคารพท่มี ปี ฏิบตั ิกนั อยู โดยเฉพาะการกราบนี้ไดรวมการ ประนมมือและการไหวไวในวิธีปฏิบัติดวยการกราบใชในกรณีเขาไปหา พระสงฆ ลาพระสงฆ และเมือ่ ประเคนขอพระสงฆเ สรจ็ แลว เปนตน 214
ÇªÔ Ò¾Ø·¸»ÃÐÇÑμÔ 215 วิธีปฏิบตั ิ การกราบพระท่ีถูกวิธี ตองกราบใหไดหลักซึ่งเรียกวา เบญจางคประดิษฐ์ คือกราบใหองคอวัยวะหาสวนจรดพื้น คือ เขา ๒ ฝามือ ๒ หนาผาก ๑ การกราบน้ีมีวิธีปฏิบัติสําหรับหญิง และชายตาง กนั ดงั นี้ วิธีกราบแบบชาย ทาเตรียม นั่งคุกเขาใหหัวเขาหางกันประมาณ ๑ ศอก นั่งทับ สนเทา ตงั้ ฝาเทาทง้ั สองใหต รงและชดิ กนั ตัง้ กายใหต รง จงั หวะที่ ๑ ยกมอื ทงั้ สองขนึ้ ประนม (อญั ชล)ี นั่งอยา งนี้เรียกวา ท่าพรหม หรือ ท่าเทพพนม จงั หวะท่ี ๒ ยกมือท่ีประนมแลวขึ้นเสมอหนา ไมนอมศีรษะ ลงมารบั ใหน ิ้วหวั แมมอื จรดระหวา งค้ิว (วนั ทา หรอื วนั ทนา) จงั หวะท่ี ๓ หมอบลงกราบ (อภวิ าท) โดยลดมือลงใหมือท้ังสอง เรยี บลงตามลาํ ตวั แลว จงึ คอ ยยน่ื ฝา มอื ไปขา งหนา (ไมใ ชเ สอื กไปขา งหนา ) พรอมนอมตัวลง ขณะเดียวกันนั้นใหวางศอกตอกับเขาตรงไปขางหนา ท้ังสองขางไมใหแบะออก หรือเหล่ือมเขาขางใน วางฝามือราบกับพื้น หางกันประมาณ ๑ ฝามือ เพอื่ เวน ชองใหหนา ผากจรดพ้ืนได นว้ิ ทัง้ หมด แนบชดิ กนั ไมต อ งยกหวั แมม อื ขนึ้ มารบั หนา ผาก วางหนา ผากลงแตะพนื้ ระหวางฝามือท้ังสองที่เวนชองไว กะใหคิ้วอยูในระดับปลายน้ิวหัวแมมือ พอดี ยดื หลังออกเล็กนอ ยใหแบนราบไดระดบั เดียวกนั ไมใหหลงั โกงข้นึ ไมใหกนกระดกข้ึนจากสนเทามากนัก เม่ือหนาผากแตะพ้ืนแลว ใหเงย หนา ตงั้ ตวั ตรง เรมิ่ จงั หวะ ท่ี ๑-๒-๓ ใหม ตดิ ตอ กนั ไปจนกราบครบ ๓ ครง้ั แลว ใหเงยหนาทําจังหวะที่ ๒ (วนั ทา) อีกครัง้ เปนเสรจ็ วิธี คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 215
216 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี วิธีกราบแบบหญิง ทา เตรียม น่งั คกุ เขาราบ โดยเหยียดหลังเทา ราบกับพ้นื ขา งหลัง ปลายเทาทั้งสองทับกันเล็กนอย แลวน่ังทับลงไปบนฝาเทาน้ัน สวนเขา ท้ังสองชิดกัน จงั หวะท่ี ๑ ยกมือทงั้ สองขน้ึ ประนม (อญั ชลี) นง่ั อยางนเ้ี รยี กวา นัง่ ท่าเทพธิดา จงั หวะที่ ๒ ยกมอื ทีป่ ระนมแลวขึน้ เสมอหนา กมศรี ษะลงมารบั เล็กนอ ย ใหนิ้วหัวแมม ือจรดระหวางค้วิ (วันทา หรือ วันทนา) จงั หวะที่ ๓ หมอบลงกราบ (อภิวาท) ลดมือลงใหมือท้ังสอง เรียบลงตามลําตัว คอยๆ นอมตัวลงตามขณะเดียวกัน ใหวางศอกพับ ลงขนาบเขา ทง้ั สองไว ไมใชต อเขาแบบชาย วางฝา มือราบกับพ้นื หางกัน ประมาณ ๑ ฝา มือ เพ่ือเวน ชอ งใหหนาผากจรดพ้ืนได น้ิวทั้งหมดแนบชดิ กนั ไมต อ งยกหวั แมม อื ขนึ้ มารบั หนา ผาก วางหนา ผากลงแตะพน้ื ระหวา ง ฝามือท้ังสองท่ีเวนชองไว กะใหคิ้วอยูในระดับปลายนิ้วหัวแมมือพอดี ยืดหลังออกเล็กนอย ใหแบนราบไดระดับเดียวกัน ไมใหหลังโกงขึ้น และไมใหกนกระดกข้ึน เม่ือหนาผากแตะพื้นแลวใหเงยหนาต้ังตัวตรง เร่ิมจงั หวะท่ี ๑ - ๒ - ๓ ใหม ติดตอ กนั ไป จนกราบครบ ๓ ครง้ั แลว เงย หนา ทาํ จงั หวะท่ี ๒ (วันทา) อกี ครั้งเปนเสรจ็ วิธี ข้อแนะนําในการกราบ ในการกราบ อวัยวะสว นตา งๆ ตองสัมพนั ธกนั ทําใหถกู จังหวะ ไมเกๆ กังๆ และตอเน่ืองไมขาดตอน จึงจะดูเปนระเบียบและงามตา แตล ะจงั หวะตอ งไมช า เกนิ ไป และไมเ รว็ เกนิ ไป เปน จงั หวะตดิ ตอ กนั พอดี พอเหมาะ หม่ันฝกฝนทําจากผูรู ดูจากผูชํานาญ แลวฝกฝนฏิบัติดวย ตนเองบอยๆ จึงจะคลองแคลว เม่ือกราบพรอมกันหลายคนตองคอย 216
ÇªÔ Ò¾·Ø ¸»ÃÐÇμÑ Ô 217 ชาํ เลืองดูกัน ทาํ ใหพ รอ มๆ กนั ทกุ จังหวะ จึงจะงามและดเู รยี บรอย กอ ให เกิดศรัทธาแกผ พู บเห็น การจดั สถานที่ในพิธีทาํ บญุ สถานท่ีจัดงานเปนเร่ืองเจาภาพตองพิจารณาถึงความเหมาะสม เปน อนั ดบั แรกวา งานเลก็ งานใหญ มที างเขา ออกสะดวกหรอื ไม อาสนส งฆ โตะหมูบูชา จะตั้งท่ีใด ท่ีน่ังผูรวมงาน ประธานพิธีจะต้ังอยางไร ฯลฯ จะกลา วถงึ การจดั สถานทง่ี านพธิ ีทว่ั ๆ ไปอยางกวาง ๆ พอเปน แนวทาง ในการปฏบิ ตั ิงาน ๑. จดั ตงั้ โตะ หมบู ชู า พรอ มทก่ี ราบไวด า นใดดา นหนงึ่ ของสถาน ท่ปี ระกอบพธิ ี ๒. จัดอาสนสงฆ ต้ังตอจากโตะหมูบูชา โดยใหโตะหมูอยูดาน ขวาของพระสงฆ ยกเวนสถานท่ีบงั คบั จะตัง้ ดา นซายก็ได ๓. การปลู าดอาสนะพระสงฆ ใหป พู รมหรอื เสอ่ื ดา นประธานสงฆ ทับผืนตอๆ ไป จนถึงทายอาสนะสงฆ ไมควรปูติดเปนผืนเดียวกับท่ีนั่ง สตรี และปูอาสนะเฉพาะพระสงฆแตละรปู อีกคร้งั หนึ่ง ๔. จัดโตะ สําหรับวางเครื่องไทยธรรมไวดา นทายอาสนส งฆ ๕. จัดที่น่ังของประธานพิธีใหอยูต่ํากวาท่ีนั่งพระสงฆรูปที่ ๑ เล็กนอ ย หันหนา เขาหาพระสงฆ ๖. จดั ที่น่ังผรู ว มงานอนื่ ๆ ไวดานหลังประธาน ประมาณ ๕ - ๖ ท่ี ๗. จัดท่ีน่ังผูรวมงานอื่นๆ หันหนาไปทางประธานใหหางจาก โตะประธานประมาณ ๑.๕ หรือ ๒.๐๐ เมตร ใหแ ถวยาวไปตามอาสนสงฆ หรือจัดท่ีนั่งผูรวมงานอ่ืนๆ หันหนาเขาหาพระสงฆเชนเดียวกับประธาน แตตองจัดแถวนั่งใหตํ่ากวาแถวที่ประธานน่ัง ๑ แถว จัดยาวไปตาม อาสนสงฆ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 217
218 ¤ÙÁ‹ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªé¹Ñ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี การบชู าพระรตั นตรยั การจดุ ธปู เทยี นทโ่ี ตะ หมบู ชู า เพอ่ื บชู าพระรตั นตรยั เปน เบอ้ื งตน ของการทาํ บญุ ทกุ ประเภท เปน เครอ่ื งหมายใหร วู า พธิ เี รม่ิ ตน แลว เจา ภาพ จึงควรเปนผูจุดเอง เดิมใชไมขีดไฟจุด จึงจุดเทียนกอนเพราะติดไฟงาย แลวจึงนําธูป ๓ ดอกรวมกันจุดตอท่ีเทียนจนติดดีแลว ปกลงใหตรงใน กระถางธปู กราบ ๓ ครง้ั แลว ตงั้ ใจบชู าพระรตั นตรยั ทาํ ใหเ กดิ ธรรมเนยี มวา ตองจุดเทียนกอนแลวจึงจุดธูป และจุดเทียนเลมดานขวามือพระพุทธรูป กอน ปจจุบันมีการใชเชื้อชนวนทาท่ีธูปเทียน นิยมใชเทียนชนวนใน การจดุ และใชไ ฟแชก แทนไมข ดี ไฟจดุ เทยี นชนวนใหเ จา ภาพ หรอื ประธาน จุดธูปเทียนที่โตะ หมูบ ูชา เครอื่ งสกั การบชู าพระรตั นตรยั เครือ่ งสักการบูชาหลกั คอื ธูป เทยี น ดอกไม ทานผรู ูกลา วไวว า สงิ่ ทง้ั ๓ นี้ เปน สญั ลกั ษณส าํ หรบั บชู าพระรตั นตรยั โดยมคี วามหมาย ดงั น้ี ๑. ธปู เปนเครื่องหมายบูชาพระพุทธเจา ใช ๓ ดอก เพราะ พระองคท รงประกอบดว ยพระคณุ ทสี่ าํ คญั ๓ ประการ คอื พระปัญญาคณุ พระบริสทุ ธิคณุ และพระกรณุ าคณุ ๒. เทียน เปนเครื่องหมายบูชาพระธรรม ใช ๒ เลม เพราะ พระธรรมคําสอนของพระพุทธเจารวม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ เม่ือจัดเปนประเภทใหญ ๆ ไดเพียง ๒ คือ พระธรรมและพระวินัย เรียกอีกอยางหนง่ึ วา ศีลธรรม ๓. ดอกไม้ เปนเคร่ืองหมายบูชาพระสงฆ เพราะพระสงฆ มาจากตางเช้ือชาติตางสกุล แตเมื่อเขามาบวชในพระพุทธศาสนาแลว อยูในระเบียบคือพระวินัย มีศีลสามัญญตาเปนแบบเดียวกัน นํามา ซงึ่ ความเลอื่ มใสแกผ พู บเหน็ เหมอื นดอกไมต า งสี ตา งชนดิ เมอื่ นาํ มารอ ย เปนมาลัย หรือจัดแจกนั กจ็ ะดสู วยงาม เปนทีช่ นื่ ชมของผพู บเหน็ ฉะนัน้ 218
ÇªÔ Ò¾Ø·¸»ÃÐÇÑμÔ 219 แตโดยรวมแลว ทงั้ ๓ สง่ิ คอื ธปู เทียน ดอกไม ลว นเปน เครอื่ ง สักการบูชาแตพระรัตนตรัยนั่นเองตามหลักศาสนพิธี ในปจจุบันกําหนด ใหผบู ูชา จุดเทยี นเปน ลําดบั แรก โดยอธบิ ายวา บรรดาพระรตั นตรยั นั้น พระธรรมมีมากอนแลว พระพุทธเจาเปนเพียงผูมาคนพบ และใหจุดธูป เปนลําดับตอไป แตพระมหาเถระบางรูปจะจุดธูปกอน แลวจึงจุดเทียน ภายหลงั โดยมคี าํ อธบิ ายวา เปน การจดุ บชู าไปตามลาํ ดบั พระรตั นตรยั คอื เร่ิมตนจากธูป ซึ่งเปนเครื่องหมายถึงพระพุทธเจา แลวจึงจุดเทียนบูชา พระธรรมการจดุ ธปู เทยี นจะนงั่ หรอื ยนื จดุ ใหด สู ถานทบี่ ชู าถา โตะ หมบู ชู าตา่ํ ใหนงั่ คกุ เขาจุด แตถาโตะหมบู ชู าสูง ใหยืนจุด การอาราธนาศีล อาราธนาพระปริตร และอาราธนาธรรม การอาราธนา คอื การเชญิ หรอื การรอ้ งขอพระสงฆใ์ นพธิ ใี หศ้ ลี ใหส้ วด พระปรติ ร หรอื ใหแ้ สดงธรรม เปน ธรรมเนยี มมาแตเ ดมิ ในพธิ ที งั้ ๓ นัน้ ตองอาราธนากอ น พระสงฆจงึ ประกอบพธิ ีกรรมน้นั ๆ ในพิธีบําเพญ็ กุศลตาง ๆ ตอ งอาราธนา ดังนี้ ๑. พิธีเจริญหรือสวดพระพุทธมนต ใหอาราธนาศีล อาราธนา พระปริตร ๒. พธิ แี สดงพระธรรมเทศนา ใหอ าราธนาศลี อาราธนาธรรม ๓. พิธีสวดพระอภิธรรม สวดมาติกา ถาไมมีพิธีอ่ืนมากอน อาราธนาศลี อยา งเดียว ไมตองอาราธนาธรรม ๔. พธิ ถี วายทานทุกอยา ง ใหอ าราธนาศลี วิธีปฏิบตั ิในการอาราธนา การอาราธนาตางๆ นิยมปฏิบัติอยางน้ี พิธีเจริญหรือ สวดพระพทุ ธมนต ถา พระสงฆน งั่ บนอาสนส งฆ เจา ภาพ และผรู ว มพธิ นี งั่ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 219
220 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี เกาอ้ี ผอู าราธนาเขาไปยืนระหวา งเจาภาพ กับแถวพระสงฆต รงพระสงฆ รูปท่ี ๓ หรือ ๔ (นับจากทายแถว) หันหนา ไปทางโตะหมูบชู าประนมมอื นอมไหวพ ระพุทธรปู แลว ยนื ประนมมอื ตั้งตวั ตรง กลาวคาํ อาราธนาศีล เมอื่ รบั ศลี จบแลว พงึ นอ มไหวแ ลว ยนื ตง้ั ตวั ตรงกลา วคาํ อาราธนาพระปรติ ร ตอ จบแลว นอมไหวอีกครั้งหน่ึง แลว ถอยหลังออกไป ถา พระสงฆนั่งบน อาสนส งฆ หรอื บนอาสนะทตี่ า่ํ กต็ าม แตเ จา ภาพและผมู ารว มพธิ นี ง่ั อยกู บั พื้น ผูอ าราธนาตอ งเขาไปนั่งคุกเขา หนาแถวพระสงฆรูปท่ี ๒ หรอื ๓ (นบั จากหวั แถว) กราบพระท่ีโตะ หมูบูชาดวยเบญจางคประดษิ ฐ ๓ ครง้ั แลว ประนมมอื ตงั้ ตัวตรง กลา วคาํ อาราธนาตามแบบทีต่ อ งการ การอาราธนา ในพธิ ีอื่นๆ เชน พธิ ีแสดงพระธรรมเทศนา พงึ ปฏบิ ัตติ ามแนวทางนี้ มีขอสังเกตสําหรับการอาราธนาพระปริตร ตามธรรมเนียม โบราณไมว าจะเจริญ หรือสวดพระพทุ ธมนต เจ็ดตาํ นาน สิบสองตาํ นาน ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู รธรรมนยิ ามสตู รและพระสตู รอนื่ นอกจากนี้เมอ่ื กลา ว คาํ อาราธนาพระปรติ ร มกั ลงทา ยดว ยบทคาถาวา ปะรติ ตงั พรถู ะ มงั คะลงั ทั้งส้ิน เพราะพระสูตรหรือบทสวดมนตท้ังหมด ลวนเปนพระปริตร คือ เคร่ืองปองกัน หรือตานทานภัยพิบัติตางๆ แตปจจุบันมีมรรคทายกหรือ พิธีกรจํานวนมาก มีการดัดแปลงคําอาราธนาจากคําวา ปะริตตัง เปน ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตังบาง ธัมมะนิยามะสุตตังบาง เพื่อใหตรง กับพิธีท่ีจะสวด นับเปนการหลีกเล่ียงธรรมเนียมเกา เพราะคําอาราธนา พระปรติ ร เปนคําประพันธป ระเภทฉนั ท เรียกวา ปฐยาวตั รฉนั ท แตละ บาทจะมี ๘ พยางค เมื่อเปล่ียนไปใชชื่อพระสูตรตางๆ แทนคําวา ปะริตตัง จํานวนพยางคในบทคาถานั้นจะเกินไปมาก ดังนั้นผูจะใชวิธี ดงั กลา วควรศกึ ษาใหร อบคอบ 220
ÇÔªÒ¾·Ø ¸»ÃÐÇÑμÔ 221 คาํ อาราธนาศีล ๕ มะยัง ภันเต, วิสุง วสิ ุง รักขะณตั ถายะ, ตสิ ะระเณนะ สะหะ, ปญจะ สีลานิ ยาจามะ, ทตุ ยิ มั ป มะยงั ภนั เต, วสิ งุ วสิ งุ รกั ขะณตั ถายะ, ตสิ ะระเณนะ สะหะ, ปญจะ สีลานิ ยาจามะ, ตะติยัมป มะยัง ภันเต, วสิ งุ วสิ งุ รกั ขะณัตถายะ, ตสิ ะระเณนะ สะหะ, ปญจะ สลี านิ ยาจามะ. หมายเหตุ : อาราธนาศลี ๘ เปลยี่ น ปัญจะ เปน อฏั ฐะ รับศีลคนเดยี ว เปล่ียน มะยงั เปน อะหงั , ยาจามะ เปน ยาจามิ คาํ อาราธนาพระปริตร วปิ ต ตปิ ะฏิพาหายะ สัพพะสมั ปต ติสทิ ธยิ า สัพพะทุกขะวนิ าสายะ ปะรติ ตัง พรถู ะ มังคะลงั วิปต ตปิ ะฏิพาหายะ สพั พะสมั ปตตสิ ิทธยิ า สพั พะภะยะวนิ าสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง วิปตตปิ ะฏพิ าหายะ สัพพะสัมปต ตสิ ิทธยิ า สพั พะโรคะวนิ าสายะ ปะรติ ตงั พรูถะ มงั คะลงั . คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 221
222 ¤Á‹Ù ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี สรณคมน์และศีล ๕ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ (วา ๓ จบ) พุทธงั สะระณงั คจั ฉามิ ธมั มงั สะระณัง คัจฉามิ สังฆงั สะระณงั คัจฉามิ ทุตยิ ัมป พุทธัง สะระณัง คจั ฉามิ ทุตยิ มั ป ธมั มัง สะระณัง คัจฉามิ ทตุ ิยมั ป สังฆัง สะระณงั คัจฉามิ ตะติยัมป พุทธงั สะระณัง คัจฉามิ ตะติยมั ป ธมั มงั สะระณงั คัจฉามิ ตะตยิ ัมป สงั ฆัง สะระณัง คัจฉามิ ปาณาตปิ าตา เวระมะณี สกิ ขาปะทัง สะมาทยิ ามิ อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทยิ ามิ กาเมสุมจิ ฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทิยามิ มุสาวาทา เวระมะณี สกิ ขาปะทัง สะมาทยิ ามิ สุราเมระยะมชั ชะปะมาทฏั ฐานา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทิยามิ อมิ านิ ปญ จะ สิกขาปะทานิ สีเลนะ สุคะติง ยันติสเี ลนะโภคะสมั ปะทา สีเลนะ นพิ พตุ งิ ยันติ ตัสมา สลี งั วโิ สธะเย. คาํ อาราธนาธรรม พรัหมา จะ โลกาธิปะตี สะหมั ปะติ กัตอัญชะลี อนั ธวิ ะรงั อะยาจะถะ สนั ตีธะ สัตตาปปะระชักขะชาตกิ า เทเสตุ ธมั มัง อะนุกมั ปม งั ปะชงั . 222
ÇªÔ Ò¾·Ø ¸»ÃÐÇμÑ Ô 223 การจดุ เทียนนํ้ามนต์ การจดุ เทยี นทภี่ าชนะนา้ํ มนต เจา ภาพควรเปน ผจู ดุ เอง ตามหลกั ศาสนพิธีใหเริ่มจุดเมื่อพระสงฆขึ้นบทมงคลสูตร คือ อะเสวะนา จะ พาลานัง แตพระมหาเถระบางรูปนยิ มใหจดุ ตัง้ แตขนึ้ บท พทุ ธัง สะระณัง คัจฉามิ ก็มี น้ําพระพุทธมนตถือวาเปนนํ้าศักดิ์สิทธิ์ เพราะอานุภาพ ของพระพุทธมนต ใชประพรมบุคคล และสถานท่ีเพ่ือความเปนสิริมงคลใน พธิ ีเจรญิ พระพทุ ธมนตเทานัน้ จงึ ตั้งภาชนะน้าํ มนต ภาชนะนาํ้ มนตป จ จบุ นั นยิ มใชค รอบนา้ํ มนต ถา ไมม ใี ชบ าตร หรอื ขันนํ้าที่มีเชิงรองก็ได แตไมควรใชขันที่ทําจากทอง หรือเงิน เพราะเปน วัตถุอนามาส พระภิกษุจับตองจะเปนอาบัติ การจัดภาชนะนํ้ามนตควร ทําความสะอาดใหเรียบรอย ใสน้ําสะอาดประมาณสามในส่ีของภาชนะ ติดเทียนน้ํามนตที่ทําจากขี้ผ้ึงแทที่ขอบภาชนะ หรือติดที่เชิงเทียนเต้ียๆ แลว ตง้ั ไวก ลางภาชนะนา้ํ มนตก ไ็ ด โบราณนยิ มใสใ บไมม งคล เชน ใบทอง ใบนาค ใบเงนิ ดว ย แลว นาํ มาตง้ั วางขา งอาสนะของประธานสงฆ ไมต อ งวง สายสญิ จนไ วท ภ่ี าชนะนา้ํ มนต เพราะเปน หนา ทปี่ ระธานสงฆจ ะวงเองเมอื่ เจา ภาพจดุ เทยี นนาํ้ มนตแ ลว นอกจากนตี้ อ งเตรยี ม ทพ่ี รมนาํ้ มนตไ วด ว ย สาํ หรบั พระสงฆที่ใชป ระพรมน้ําพระพุทธมนตต อนทา ยพิธี การถวายภตั ตาหารพระสงฆ์ ในพิธีทําบุญเลี้ยงพระ เม่ือพระสงฆเจริญพระพุทธมนตจบแลว มีการถวายภัตตาหารแตพระสงฆดวย ปจจุบันมีการจัด ๒ แบบ คือ จัดสํารับถวายเปน รายรปู และจัดถวายเปนวงหรือเปน โตะ ขณะพระสงฆ เจรญิ พระพุทธมนตซ ึง่ ปกตจิ ะใชเวลาประมาณ ๓๐ นาที ระหวา งนี้ แผนก จัดอาหารตองเตรียมจัดเตรียมอาหารใหเสร็จกอนสวดมนตจบเล็กนอย เมื่อพระสงฆสวดมนตจบแลว ถาจัดสํารับถวายเปนรายรูปและมีคนมาก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 223
224 ¤ÁÙ‹ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี ควรจัดเตรียมผูยกสํารับใหครบจํานวนพระสงฆ เชน นิมนตพระ ๙ รูป จัดผูยกสํารับจํานวน ๑๐ คน คนแรกยกสํารับสําหรับบูชาขาวพระพุทธ ที่เหลือยกสํารับถวายพระสงฆ เดินเรียงลําดับไปต้ังตรงหนาพระสงฆ พรอมกัน เชิญเจาภาพและผูมีเกียรติประเคนภัตตาหารแดพระสงฆ พรอ มกัน ถาจดั ภตั ตาหารเปน วง หรอื เปนโตะ นมิ นตพระสงฆนงั่ ประจํา ท่ีแลว จึงประเคนภัตตาหารถวาย อาหารที่ต้ังไวบนโตะ ควรยกถวาย ทกุ จาน ไมค วรนาํ ทกุ จานมาชนกนั แลว ถวายรวมกนั ทเี ดยี ว หรอื หลายคน ชวยกันยกโตะประเคนแบบมักงาย เพราะเปนการไมเคารพในทาน และ ในพระสงฆผ รู บั ประเคน การถวายจตปุ ัจจยั ไทยธรรม เม่ือพระสงฆฉันเสร็จใหยกเคร่ืองไทยธรรมมาตั้งเบ้ืองหนา พระสงฆ การวางเครอื่ งไทยธรรมควรจดั วางใหเ หมอื นกนั ทกุ รปู ถา มขี อง หลายชิ้น เชน แจกันดอกไม ผาไตร เครื่องกัปปยภัณฑ ควรวางแจกัน ดอกไมเปนอันดับแรก เพราะเปนเครื่องสักการบูชา จากนั้นวางผาไตร กัปปยภัณฑเปนลําดับตอไป ถามีโบวผูกดวย วางหันโบวออกดานนอก แตถ ามีไทยธรรมเพยี งช้ินเดยี ว กว็ างใหเหมอื นกันทกุ ชน้ิ เมื่อจัดวางครบ แลว เจา ภาพและผมู เี กยี รตปิ ระเคนถวายพรอ มกนั การประเคนจะนง่ั หรอื ยืนประเคนใหดูท่ีสถานที่ ถาพระนั่งบนอาสนสงฆสูง จะยืนประเคนก็ได แตถาพระสงฆนั่งอาสนะต่ํา ผูประเคนควรนั่งประเคน เม่ือประเคนเสร็จ แลว นอ มไหว ๑ ครั้ง การประเคนเครื่องไทยธรรมอีกแบบหน่ึง ประเคนเม่ือพระสงฆ เจริญหรือสวดพระพุทธมนตจบ เสร็จแลวพระสงฆอนุโมทนา เจาภาพ กรวดน้ํารับพร รับประพรมน้ําพระพุทธมนตจบ เสร็จแลวพระสงฆ 224
ÇªÔ Ò¾Ø·¸»ÃÐÇÑμÔ 225 อนุโมทนา เจาภาพกรวดน้ํารับพร รับประพรมน้ําพระพุทธมนตจาก พระสงฆ วิธีนี้ใชในกรณีท่ีเจาภาพจัดถวายภัตตาหารในที่อื่นจากสถาน ท่ีประกอบพิธี เพ่ือความสะดวกท่ีพระสงฆฉันภัตตาหารแลวไมตองกลับ มาทีเ่ ดิมอีก วิธีประเคนของถวายพระ การประเคนของถวายพระ เรียกสั้นๆ วา การประเคนพระ คือ การยกส่ิงของถวายพระภิกษุดวยอาการเคารพในผูรับและส่ิงของท่ี ถวาย สิง่ ของท่ีควรประเคน ไดแก อาหารคาวหวาน ผลไม เครือ่ งด่ืม และ เครื่องไทยธรรมควรแกส มณบรโิ ภค สวนนํา้ เปลา จะไมประเคนก็ได การประเคนที่ถกู ต้อง วธิ ีการประเคนที่ถกู ตอ งตามหลกั พระวนิ ยั มลี ักษณะ ๕ ประการ คอื ๑. สิ่งของจะประเคนตองไมใหญและหนักเกินไป ขนาดคนมี กาํ ลงั ปานกลางยกข้ึนได ๒. ผูประเคนอยใู นหตั ถบาส คือ อยูหา งจากพระภิกษปุ ระมาณ ๑ ศอก ๓. ผูประเคนนอมส่ิงของนั้นเขาไปสงใหดวยกิริยาออนนอม เปน การเคารพ ๔. การนอ มเขา ไปนนั้ จะสง ใหด ว ยมอื กไ็ ด ใชข องเนอ่ื งดว ยกาย เชน ใชทัพพตี กั อาหารใสในบาตรทีท่ า นถือหรือสะพายอยกู ็ได ๕. พระภิกษุจะรับดวยกาย คือ มือของทานก็ได รับดวยของ เนื่องดวยกายกไ็ ด เชน ใชบ าตรรับใชจ านรบั ผา ทอดรบั กรณีผูป ระเคน เปน สตรี คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 225
226 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี วิธีปฏิบตั ิในการประเคน ถาเปนชาย น่ังคกุ เขา ดา นหนาพระภิกษุ หางจากทา นประมาณ ๑ ศอก ยกของท่ีจะประเคนสงถวายทาน ถาเปนสตรี วางสิ่งของที่จะ ประเคนบนผารับประเคนท่ีทานทอดออกมารับ แลวปลอยมือเพื่อพระ ทานจะไดหยิบของนั้น พระภิกษุนั่งบนเกาอี้หรืออาสนสงฆยกพื้นสูง ให ยืนประเคนได โดยผูประเคนถอดรองเทากอน แลวยืนประเคนตามวิธี ทกี่ ลา วแลว เมือ่ ประเคนเสร็จ กราบ ๓ ครง้ั จะไหว ๑ ครัง้ กไ็ ด ถา ของ ถวายมมี ากชิ้น ใหประเคนของใหหมดเสียกอน จงึ กราบหรอื ไหว สิ่งของ ที่ไมใชข องเคีย้ วของฉนั เชน จานเปลา ชอ น ไมตองประเคน หลังเวลา เท่ียงวันแลว ไมควรประเคนอาหารสด อาหารแหง ยกเวนน้ําปานะ ยารักษาโรค ประเคนได การกรวดน้ํารบั พร การกรวดน้ํา คือ การอทุ ิศหรือแผ่ส่วนบุญให้แก่ผ้ทู ี่ล่วงลบั ไป แล้ว ดว ยวธิ หี ลง่ั นา้ํ ใหเ ปน สาย อนั เปน เครอ่ื งหมายแหง สายนาํ้ ใจทบี่ รสิ ทุ ธิ์ ถาผูลว งลับไปเปน บิดา มารดา ปู ยา ตา ยาย ครอู าจารย เปนตน จัดวา เปนการแสดงกตัญูกตเวทิตาธรรมแกทานเหลาน้ัน ถาผูลวงลับไปแลว เปนผูมีอาวุโสนอยกวา เชน บุตร ธิดา มิตรสหาย ตลอดถึงสรรพสัตว ท้งั หลาย ไดช่อื วา แผเ มตตาธรรมของตนไปใหทานเหลา น้ัน การรบั พร คอื กริ ยิ าทเี่ จา ภาพนอ มใจรบั พรจากพระสงฆ ทา นตง้ั กัลยาณจติ สวดประสทิ ธิป์ ระสาทพร ใหผรู บั รอดพนจากอันตรายภยั พิบัติ ทงั้ ปวง และเจรญิ ดว ย อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ พระเจา พมิ พสิ าร กษตั รยิ ค รองเมอื งราชคฤห แควน มคธ ปจ จบุ นั ตั้งอยูในประเทศอินเดีย เปนบุคคลแรกในพระพุทธศาสนาท่ีทรงหลั่ง ทักษิโณทก (กรวดน้ํา) อุทิศสวนบุญใหแกญาติในอดีตชาติของพระองค 226
ÇÔªÒ¾·Ø ¸»ÃÐÇÑμÔ 227 ซ่ึงเกดิ เปน เปรตรอรับสวนบญุ จากพระองค ตรัสอุทิศวา อิทงั เม าตีนํ โหตุ แปลวา ขอสวนบุญน้ี จงสําเร็จแกญาติท้ังหลายของขาพเจาเถิด ตอ มามผี นู าํ พทุ ธภาษติ วา สขุ ิตา โหนตุ ญาตะโย แปลวา ขอญาตทิ ง้ั หลาย จงมคี วามสขุ มาตอ ทา ยคาํ อทุ ศิ พระเจา พมิ พสิ าร เปน คาํ กรวดนา้ํ ทน่ี ยิ มใช ในปจจบุ ันวา อิทงั เม าตีนํ โหตุ สขุ ิตา โหนตุ าตะโย แปลความวา ขอส่วนบุญน้ีจงสําเรจ็ แก่ญาติทงั้ หลายของขา้ พเจ้า ขอญาติทงั้ หลาย ของขา้ พเจา้ จงมคี วามสขุ เถดิ คํากรวดนํ้านี้ เรียกวา กรวดน้ําแบบสนั้ นยิ มใชก นั ทั่วไป เพราะมีขอ ความสั้น กะทดั รัด จดจํางาย นอกจากคาํ กรวดนา้ํ ตามทก่ี ลา วแลว ยงั มบี ทกรวดนาํ้ อกี ๓ แบบ คือ บทกรวดน้ํา อิมนิ า ปญุ ญะกัมเมนะ เปน ของเกา คนโบราณนิยมใช ปจจุบันพระสงฆใชเปนบทกรวดนํ้าตอจากพิธีทําวัตรเย็น บทกรวดนํ้า ปตติทานะคาถา ยา เทวะตา ... เปนพระราชนิพนธในพระบาทสมเด็จ พระจอมเกลาเจาอยูหัว รัชกาลที่ ๔ ใชสวดตอจากพิธีทําวัตรเชา และ บทกรวดนา้ํ คาถาตโิ ลกวชิ ยั ยงั กญิ จิ กสุ ะลงั กมั มงั ... บางสาํ นกั ใชส วดใน พธิ ที าํ วตั รเชา ควบกบั บทกรวด ปต ตทิ านะคาถา บทกรวดนา้ํ ทงั้ ๓ แบบนี้ จะแสดงไวใ นภาคผนวก วิธีปฏิบตั ิในการกรวดนํ้า การกรวดนํ้ารับพรพระน้ี เปนกิจสําคัญสุดทายของพิธีทําบุญ ทกุ ประเภท เพราะเปน การอทุ ศิ กศุ ลแกผ ลู ว งลบั ไปแลว จงึ ควรปฏบิ ตั ใิ หถ กู ตอ ง วา เวลาใดควรกรวดน้ําเวลาใดควรรบั พร มแี นวสําหรับการปฏบิ ัติ ดังน้ี ภาชนะท่ีกรวดนํ้าเปน คนโทขนาดเล็ก พธิ ีหลวงเรยี ก พระเตา นาํ้ ควรเตรยี มลว งหนา ใสน า้ํ และมถี าดรองดว ย ถา ไมม ภี าชนะสาํ หรบั กรวดนาํ้ โดยเฉพาะ จะใชข นั นา้ํ เลก็ หรอื แกว นาํ้ แทนกไ็ ด ในกรณนี ้ี ควรจดั จานหรอื ถาดไวรองกันนํ้าหกดวย น้ําสาํ หรบั กรวด ใหใ้ ชน้ ้ําสะอาดบรสิ ทุ ธ์ิ เชน่ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 227
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420