228 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี น้ําประปา น้ําฝน น้ําบ่อ หา้ มใชน้ ้ํา มสี งิ่ อนื่ เจอื ปน เชน นํ้าผสมยาอุทัย เจา ภาพหรอื ประธานนงั่ ลงกบั พน้ื หรอื นง่ั เกา อี้ ใชม อื ทงั้ สองประคองภาชนะ สาํ หรบั กรวดนา้ํ ไมค วรใชป ลายนวิ้ รองนาํ้ เปน ทางนาํ้ ไหลลงตรงภาชนะท่ี รองรบั เมอื่ ประธานสงฆต งั้ ตาลปต ร หรอื ประนมมอื เรม่ิ สวดอนโุ มทนาวา ยะถา วาริวะหา ... ผกู้ รวดน้ําพึงรินน้ําให้ไหลลงเป็นสาย โดยสายนํ้า ไมขาดตอน เปนหยด ๆ พรอมสํารวมจิตต้ังใจอุทิศกุศลใหแกผูลวง ลับไปแลวดังกลาว หรือจะใชแบบอื่น หรืออธิษฐานเปนภาษาไทยใหมี ความหมายวา อุทศิ กุศลไปใหแ กผ นู น้ั ๆ โดยระบุชื่อดว ยกไ็ ด และเทนํา้ ให หมด ขณะพระสงฆอนโุ มทนาถึงประโยควา มะณิโชติระโส ยะถา สาํ หรับ ผูรวมพิธีพึงตั้งใจกรวดน้ําในใจ โดยใชน้ําใจแทนน้ํากรวด ไมควรเกาะ แขนกัน หรือเกาะชายเสื้อของผูท่ีถือคนโทกรวดน้ํา เพราะเปนกิริยา ไมสมเหตุสมผล ขณะพระสงฆกําลังสวดอนุโมทนา เจาภาพหรือประธานไมไป ทํากิจอื่น ควรน่ังฟงพระสงฆสวดอนุโมทนาและรับพรไปจนกวาจะจบ เม่ือพระสงฆอนุโมทนาจบแลว พึงกราบหรือไหวพระรัตนตรัยและ พระสงฆอีกคร้ังหนึ่ง นําน้ํากรวดไปรดโคนตนไมหรือสถานที่สะอาด นอกบา น ไมใ ชสาดท้ิงหรือเททิง้ ในสถานที่ไมเ หมาะสม เชน กระโถน การกรวดน้ํา กระทาํ ไดต้ ่อเมอื่ บําเพญ็ กุศลหรอื ทาํ ความดอี ย่าง ใด อยา่ งหนึง่ แลว้ เชน่ ทาํ บุญตกั บาตร ถวายสงิ่ ของแก่พระสงฆ์ แมไ้ มม่ ี พระสงฆ์อนุโมทนาต่อหน้าจะกรวดน้ําภายหลงั สวดมนต์ไหวพ้ ระก่อน นอนกไ็ ด้ 228
ÇԪҾط¸»ÃÐÇÑμÔ 229 บทที่ ๓ พิธีบาํ เพญ็ กศุ ลในวนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนา มวี นั สาํ คญั ทกี่ าํ หนดขนึ้ สาํ หรบั ใหพ ทุ ธศาสนกิ ชน ปฏบิ ตั ิ เพอ่ื นอ มราํ ลกึ ถงึ คณุ พระรตั นตรยั และบาํ เพญ็ กศุ ลเปน กรณพี เิ ศษ ดว ยอามสิ บชู าและปฏบิ ตั บิ ชู า วนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนาพอสรปุ ได คอื ๑. วนั มาฆบชู า ๒. วนั วิสาขบชู า ๓. วนั อฏั ฐมีบชู า ๔. วนั อาสาฬหบชู า วนั มาฆบชู า มาฆบูชา ยอมาจาก มาฆปุณณมีบูชา แปลวา การบูชาใน วนั เพญ็ เดือน ๓ ปรารภการชุมนุมใหญครั้งแรกของพระอรหันตสาวก ที่เรียกวา จาตรุ งคสนั นิบาต ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห แควนมคธ เมอื่ วนั เพญ็ เดอื น ๓ หลงั วนั ตรสั รู ๙ เดอื น พทุ ธศาสนกิ ชนชาวไทยกาํ หนด วนั มาฆบชู าเปน วนั พระธรรม เพราะพระพทุ ธเจา ทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกข คือ คําสั่งสอนท่ีเปนหลักสําคัญของพระพุทธศาสนา เปรียบเหมือนทรง วางธรรมนูญสงฆข ้ึนไว เปน แนวทาในการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนาตอ ไป ความเป็นมาของวนั มาฆบชู า วันมาฆบชู าเปนวนั สําคัญทางพระพทุ ธศาสนา มคี วามเปนมาวา ในคร้ังพุทธกาล หลังจากพระพทุ ธเจา ตรัสรแู ลว ไดเ ทศนาสงั่ สอนเวไนย- สตั ว ใหไ ดร บั ความรคู วามเขา ใจในสภาวะความจรงิ ของสงิ่ ตา งๆ ทอ่ี บุ ตั ขิ น้ึ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 229
230 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ μÃÕ บนโลก จนทําใหผูรับฟงคาํ สัง่ สอนเกดิ ความรคู วามเขา ใจ บรรลมุ รรคผล สําเร็จเปนพระอรหันตจํานวนมาก และไดรับการอุปสมบทเปนพระภิกษุ ดว ยวิธีเอหภิ ิกขอุ ุปสัมปทา ในพระพุทธศาสนาเปน จํานวนมาก ตอ มาวนั หนง่ึ เปน วนั ทพ่ี ระจนั ทรเ สวยมาฆฤกษ คอื วนั ขน้ึ ๑๕ คาํ่ เดือน ๓ พระอรหันตขีณาสพผูไดรับการอุปสมบทจากพระพุทธเจา ไดห วนระลกึ ถึงพระพุทธองคจึงเดนิ ทางมาเขา เฝา ณ วดั เวฬวุ นั อนั เปน สถานทปี่ ระทบั ของพระพทุ ธเจา นบั เปน เหตมุ หศั จรรย ๔ ประการ เรยี กวา จาตรุ งคสนั นิบาต คอื ๑. พระสงฆจ์ ํานวน ๑,๒๕๐ องค์ มาประชุมพรอ้ มกนั โดยมไิ ด้ นดั หมาย ๒. พระสงฆท์ งั้ หมดลว้ นเป็นพระอรหนั ตขณี าสพ ๓. พระสงฆท์ งั้ หมดไดร้ บั การบวชดว้ ยวธิ เี อหภิ กิ ขอุ ุปสมั ปทา ๔. วนั นนั้ ตรงกบั วนั เพญ็ มาฆมาส พระพุทธเจาทรงแสดงหัวใจพระพุทธศาสนา ท่ีเรียกวา โอวาท ปาฏิโมกขแ์ กพระสงฆทีม่ าประชุมในวนั น้นั โดยมคธภาษาวา ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา นิพพฺ านํ ปรมํ วทนฺติ พทุ ธฺ า น หิ ปพพฺ ชิโต ปรปู ฆาตี สมโณ โหตุ ปรํ วิเหยนฺโต สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ กสุ ลสสฺ ปู สมปฺ ทา สจิตตฺ ปริโยทปนํ เอตํ พทุ ธฺ านสาสนํ อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาฏิโมกฺเข จ สวํ โร มตตฺ ญญฺ ตุ า จ ภตตฺ สมฺ ึ ปนฺตญจฺ สยนาสนํ อธิจิตเฺ ต จ อาโยโค เอตํ พทุ ธฺ านสาสนํ. คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี 230
ÇªÔ Ò¾Ø·¸»ÃÐÇÑμÔ 231 แปลวา่ ความอดทนคอื ความอดกลนั้ เป็นตบะอยา่ งยงิ่ พระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลายตรสั วา่ นิพพานเป็นธรรมอนั ยอดเยยี่ ม ผทู้ ที่ าํ รา้ ยผอู้ นื่ อยู่ ไมช่ อื่ วา่ เป็นบรรพชติ ผทู้ เี่ บยี ดเบยี นผอู้ นื่ ไมช่ อื่ วา่ เป็นสมณะ การไมท่ าํ ความชวั่ ทงั้ ปวง การทาํ ความดใี หถ้ งึ พรอ้ ม การทาํ จติ ของตนใหบ้ รสิ ุทธิ์ นัน่ เป็น คาํ สอน ของพระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลาย การไมว่ า่ รา้ ยผอู้ นื่ การไมเ่ บยี ดเบยี น ความสํารวมในพระปาฏิโมกข์ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร การประกอบความเพยี รในอธจิ ติ นนั่ เป็นคาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลาย พระองคตรัสแกพระสงฆทั้งหลายอีกวา จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหชุ นหิตาย พหชุ นสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนสุ สฺ านํแปลความวา ดกู รภกิ ษทุ งั้ หลายเธอทง้ั หลายจงเทยี่ วจารกิ ไป เพ่ือเกื้อกูลแกชนหมูมาก เพื่อความสุขแกชนหมูมาก เพ่ืออนุเคราะห ชาวโลก เพอ่ื ประโยชนเ กอ้ื กลู เพอ่ื ความสขุ แกเ ทวดาและมนษุ ยท งั้ หลาย ดงั น้ี วนั มาฆบชู าเปน วนั สาํ คญั เชน น้ี พทุ ธศาสนกิ ชน จงึ ไดท าํ การบชู า อยา งมโหฬาร แตเ ดมิ ไมเ คยมพี ธิ เี กย่ี วกบั วนั มาฆบชู า ในรชั สมยั พระบาท สมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั รชั กาลที่ ๔ ทรงปรารภวา เพ่ือเปน การรําลึกถึงวันอันเปนเหตุการณสําคัญทางพระพุทธศาสนา และเพื่อ เปนการเฉลิมพระเกียรติพระบรมศาสดาจึงทรงประกาศใหวัดท้ังหลาย ประกอบพิธีทําการบูชาเปนพิเศษ ทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ ใหมีการ บําเพ็ญพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้นเปนงานพระราชพิธี ในวันขึ้น ๑๕ ค่ํา เดอื น ๓ สาํ หรบั ในปท มี่ อี ธกิ มาส (เดอื น ๘ สองหน) ใหเ ลอื่ นไปจดั ในวนั ขน้ึ ๑๕ คํา่ เดอื น ๔ พิธบี ําเพ็ญพระราชกศุ ลมาฆบชู านัน้ ใหนิมนตพระสงฆ วัดบวรนิเวศวิหารและวดั ราชประดิษฐสถิตมหาสมี าราม จํานวน ๓๐ รูป มารับพระราชทานฉันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สวนใน เวลาคา่ํ เสดจ็ ฯ ออกทรงจุดเทียนเคร่อื งนมัสการ พระสงฆสวดทําวัตรเย็น คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 231
232 ¤Ù‹ÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี และเจริญพระพุทธมนต พรอมท้ังสวดคาถาโอวาทปาฏิโมกขดวย เม่ือพระสงฆเจริญพระพุทธมนตจบแลว ทรงจุดเทียนรายตามแนวราว รอบๆ พระอุโบสถ จํานวน ๑,๒๕๐ องค ประโคมครั้งหนึ่งแลว มีถวาย พระธรรมเทศนาโอวาทปาฏิโมกขกัณฑหนึ่ง ทรงบูชากัณฑเทศนดวย ผาจีวรเนือ้ ดี ๑ ผืน เงิน ๒ ตําลงึ และขนมหลากหลายชนิด พระราชพิธี ทรงบําเพ็ญพระราชกุศลมาฆบูชานี้ ไดบําเพ็ญสืบตอมาจนถึงรัชกาล ปจจุบัน ลาํ ดับการบาํ เพ็ญพระราชกศุ ลมาฆบูชาในปจจุบัน ดังนี้ ทรงจุดธูปเทียนรุงบูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรและ พระสมั พุทธพรรณี ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรและ พระสัมพทุ ธพรรณี ทรงจุดธูปเทียนทายที่นั่งบูชาพระพุทธยอดฟาจุฬาโลกยและ พระพทุ ธเลิศหลา นภาไลย ทรงจดุ ธูปเทียนเคร่ืองนมสั การทหี่ นาธรรมาสนส ลิ า ทรงหยิบชนวนจุดไฟท่ีโคมไฟฟา พระราชทานใหผูอํานวยการ กองพระราชพิธีเพื่อเชิญไปถวายเจาอาวาส สําหรับจุดเทียนรุง พระราชทานในพระอารามหลวง ทั้ง ๕ คือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดบวรนิเวศวิหาร วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม วัดราชบพิธสถิต- มหาสีมาราม และวัดเบญจมบพติ รดสุ ิตวนาราม ตอจากนั้น พระสงฆค ณะธรรมยุต ๓๐ รปู สวดมนตทาํ วัตรเยน็ สวดบทนมการอฏั ฐกคาถา สรณคมนปาฐะคาถา คาถาโอวาทปาฏิโมกข สปุ พุ พณั หสตู ร และบทภวตุ สพพฺ มงคฺ ลํ จบแลว เสดจ็ ไปทรงโปรยดอกมะลิ ท่ีธรรมาสนศิลา เสด็จกลับมาประทับพระราชอาสน พระราชาคณะ ผูถวายพระธรรมเทศนาขึ้นน่ังบนธรรมาสน ทรงจุดเทียนดูหนังสือเทศน 232
ÇÔªÒ¾·Ø ¸»ÃÐÇÑμÔ 233 (เทียนสองธรรม) ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม พระราชทานให เจาพนักงานพระราชพิธี นําไปต้ังขางธรรมาสนศิลา พระราชาคณะ ถวายศีล คร้ันถวายพระธรรมเทศนาจบแลว ถวายอนุโมทนา (ยะถา) บนธรรมาสน ทรงหลง่ั ทกั ษโิ ณทก พระสงฆท ง้ั หลายรบั สพั พี พระราชาคณะ ลงจากธรรมาสนมานั่งที่อาสนสงฆ เม่ือสวดบทสัพพีจบ เสด็จมา ทรงประเคนเครือ่ งไทยธรรมกณั ฑเ ทศน และถวายไทยธรรมแดพระสงฆ ท้ังหมด พระสงฆถวายอดิเรก และสวดบท ภวตุ สพฺพมงคฺ ลํ จบแลว ลง จากอาสนส งฆ ออกจากพระอุโบสถ พระมหากษัตรยิ พ ระราชดาํ เนนิ กลบั เปนอันเสรจ็ การพระราชพธิ ี การเตรียมตวั ก่อนเข้ารว่ มพิธีเวียนเทียน ๑. อาบนา้ํ ชําระรางกายใหส ะอาด ทําจิตใจใหสงบ ๒. แตงกายสภุ าพ เรียบรอย เหมาะสมกบั พิธีและสถานท่ี ๓. เตรียมเคร่ืองบูชา เชน ดอกไม ธปู เทียน ใหพรอม ๔. ควรเดินทางไปถึงวัดหรือสถานที่ประกอบพิธีเวียนเทียน กอนเวลาทีจ่ ะเริม่ พธิ ี ๕. เม่ือไปถึงควรเขาไปกราบบูชาพระรัตนตรัยเปนลําดับแรก แลวรอเวลาเขา รว มพธิ ตี อไป การเวียนเทียนในวนั มาฆบชู า เม่ือถึงวันมาฆบูชา ในตอนเชาพุทธศาสนิกชนเตรียมภัตตาหาร คาวหวานพากันไปทําบุญตักบาตร สมาทานศีล ๕ หรือศีลอุโบสถ ฟงพระธรรมเทศนา เจริญจิตภาวนาตามพิธีท่ีปฏิบัติกันในวัดนั้นตางๆ จะทาํ การประชาสมั พนั ธล ว งหนา เพอ่ื ใหพ ทุ ธศาสนกิ ชนไดร บั ทราบทว่ั กนั โดยมหี ลกั ปฏบิ ตั ิ ดังน้ี คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 233
234 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี ๑. กอ นถงึ กาํ หนดวนั มาฆบชู า ทางวดั จะประกาศใหพ ทุ ธศาสนกิ ชน ทราบท่ัวกนั บอกกาํ หนดเวลาประกอบพธิ ี อาจเปนเวลาบา ยหรอื คาํ่ กไ็ ด ตามแตส ะดวก ๒. เมอ่ื ถงึ เวลาตามกาํ หนด ทางวดั ตรี ะฆงั สญั ญาณ ทงั้ พระภกิ ษุ สามเณร และอบุ าสกอบุ าสกิ า ประชมุ พรอ มกนั ณ สถานทก่ี าํ หนด บางวดั มีพิธีทําวัตรเย็นกอน บางวัดมีการแสดงธรรมเทศนา หรือปาฐกถาธรรม เพื่อช้ีแจงประวัติความเปนมาของวันสําคัญและหลักธรรม ขอคิดจาก วันสาํ คญั น้นั เพ่ือนําไปปฏบิ ตั ิในชวี ติ ประจําวนั กอ น บางแหงจัดใหม กี าร ทําวัตรสวดมนตแ ละแสดงพระธรรมเทศนาหลังเสร็จพธิ เี วียนเทียนแลว ๓. เมื่อพรอมแลว ประธานสงฆจุดธูปเทียน ทุกคนจุดธูปเทียน ของตนตามทจี่ ดั เตรยี มมา ยนื ประนมมอื ถอื ดอกไมธ ปู เทยี นหนั หนา เขา หา ปูชนียสถานที่จะเวียนเทียนนั้น ประธานสงฆนํากลาวคําบูชาตามแบบท่ี กาํ หนดไวจ นจบ ๔. ประธานสงฆป ระนมมือถอื ดอกไมธปู เทยี น เดนิ นําหนาตาม ดว ยพระภกิ ษสุ ามเณรและอบุ าสกอบุ าสกิ า เดนิ เวยี นขวารอบปชู นยี สถาน คือเดินใหขวามือของตนเขาหาสถานที่นั้นตลอดเวลา จนครบ ๓ รอบ ระหวางเวียนเทยี นเดินดวยความสงบ ไมค ยุ กนั หรือหยอกลอกัน การเดินเวยี นขวาเรยี กวา ทกั ษิณาวฏั เปน การแสดงความเคารพ อยา งสงู ตามธรรมเนยี มอนิ เดยี สมยั พทุ ธกาล การเวยี นแตล ะรอบใหร ะลกึ ถงึ พระพุทธคณุ พระธรรมคณุ และพระสังฆคณุ ตามลําดบั ดงั น้ี รอบที่ ๑ ระลกึ ถงึ พระพทุ ธคณุ คอื สวด อติ ปิ ิโส ภะคะวา จนถงึ พทุ โธ ภะคะวาติ ถา้ สวดไมไ่ ด้ จะภาวนาในใจวา่ พทุ โธ แทนกไ็ ด้ รอบที่ ๒ ระลกึ ถงึ พระธรรมคณุ คอื สวด สวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม จนถงึ วญิ ญหู ตี ิ ถา้ สวดไมไ่ ด้ จะภาวนาในใจวา่ ธมั โม แทนกไ็ ด้ 234
ÇªÔ Ò¾Ø·¸»ÃÐÇÑμÔ 235 รอบที่ ๓ ระลกึ ถงึ พระสงั ฆคณุ คอื สวด สปุ ะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ จนถงึ ปญุ ญกั เขตตงั โลกสั สาติ ถา้ สวดไมไ่ ด้ จะภาวนาใน ใจวา่ สงั โฆ แทนกไ็ ด้ อนึ่ง การประกอบพิธีเวียนเทียนเน่ืองในวันสําคัญอื่นๆ ไดแก วันวิสาขบูชา วันอัฏฐมีบูชา วันอาสาฬหบูชา ใหถือปฏิบัติเชนเดียวกับ วนั มาฆบชู า คอื เลอื่ นจากกาํ หนดปกตไิ ปอกี ๑ เดอื น สาํ หรบั ปท ม่ี เี ดอื น ๘ สองหน (ปอธกิ มาส) คาํ บชู าวนั มาฆบชู า อชั ชายงั มาฆะปณุ ณะมี สมั ปต ตา มาฆะนกั ขตั เตนะ ปณุ ระจนั โท ยุตโต ยัตถะ ตะถาคะโต อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ จาตุรังคิเก สาวะกะสนั ตปิ าเต โอวาทะปาฏโิ มกขงั อทุ ทสิ ิ ตะทา หิ อฑั ฒะเตระสานิ ภกิ ขสุ ะตานิ สพั เพสงั เยวะ ขณี าสะวานงั สพั เพ เต เอหภิ กิ ขกุ า สพั เพป เต อะนามนั ตติ าวะ ภะคะวะโต สนั ตกิ งั อาคะตา เวฬวุ ะเน กะลนั ทะกะนวิ าเป มาฆะปณุ ณะมยิ งั วฑั ฒะมานะกจั ฉายายะ ตสั มญิ จะ สนั นปิ าเต ภะคะวา วิสทุ ธโุ ปสะถงั อะกาสิ โอวาทปาฏโิ มกขงั อะยงั อมั หากัง ภะคะวะโต เอโกเยวะ สาวะกะสันนิปาโต อะโหสิ จาตุรังคิโก อัฑฒะเตระสานิ ภิกขสุ ะตานิ สพั เพสงั เยวะ ขณี าสะวานัง มะยนั ทานิ อมิ งั มาฆะปณุ ณะมี นกั ขตั ตะสะมะยงั ตกั กาละสะทสิ งั สมั ปตตา จิระปะรินพิ พุตมั ป ตัง ภะคะวันตัง อะนุสสะระมานา อมิ สั มิง ตสั สะ ภะคะวะโต สกั ขภิ เู ต เจตเิ ย อเิ มหิ ทปี ะธปู ะปปุ ผาทสิ กั กาเรหิ ตงั ภะคะวนั ตงั ตานิ จะ อฑั ฒะเตระสานิ ภกิ ขสุ ะตานิ อะภปิ ชู ะยามะ สาธุ โน ภนั เต ภะคะวา สะสาวะกะสังโฆ สจุ ิระปะรนิ พิ พโุ ตป คเุ ณหิ ธะระมาโน อเิ ม สกั กาเร ทคุ คะตะปณ ณาการะภเู ต ปะฏคิ คณั หาตุ อมั หากงั ทฆี ะรตั ตงั หิตายะ สุขายะ. คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 235
236 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี คาํ แปล วนั นี้ มาถงึ มาฆปณุ ณมี ดถิ พี ระจนั ทรเ พญ็ ประกอบดว ยฤกษม าฆะ ตรงกับวันที่องคพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา ทรงแสดงโอวาท ปาฏิโมกข ในประชุมสาวกสงฆพรอมดวยองค ๔ ประการ ครั้งน้ันแล พระภิกษุ ๑,๒๕๐ องค ลวนแตเปนพระอรหันตขีณาสพ อุปสมบทดวย เอหิภิกขุอุปสัมปทา ไมมีผูใดนัดหมาย ไดมายังสํานักพระผูมีพระภาค ณ พระอารามเวฬวุ ัน เวลาตะวนั บาย ในวันมาฆปุณณมี ณ ท่ปี ระชมุ นน้ั พระผูมีพระภาคเจาไดทรงทําวิสุทธิอุโบสถ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข การประชมุ พระสงฆสาวกพรอมดวยองค ๔ ของ พระผมู พี ระภาคเจาแหง เราท้ังหลาย มคี รั้งเดียวนีเ้ ทานั้น พระภกิ ษผุ เู ขาประชุม ๑,๒๕๐ องคน ัน้ ลวนแตเปนพระอรหันตขีณาสพ บัดนี้ มาถึงมาฆปุณณมีนักขัตตสมัยนี้ คลา ยกบั วนั จาตรุ งคสนั นบิ าตนนั้ แลว เราทงั้ หลายระลกึ ถงึ พระผมู พี ระภาค นั้น แมปรนิ ิพพานนานแลว ขอนอ มบูชาพระผูม ีพระภาคกับทงั้ พระภิกษุ สงฆ ๑,๒๕๐ องคน น้ั ดว ยสกั การะทงั้ หลาย มธี ปู เทยี นดอกไมเ ปน ตน เหลา นี้ ณ พระพทุ ธเจดีย ซึง่ เปน สักขีพยานแหง พระผมู ีพระภาคเจา พระองคนน้ั ขาแตพระผูมีพระภาคเจาผูเจริญ ขอพระผูมีพระภาคเจา พรอมดวย พระสงฆส าวก แมป รนิ พิ พานนานแลว แตโ ดยพระคณุ ทงั้ หลายยงั คงดาํ รง อยู โปรดรบั เครอื่ งสกั การะเหลา นขี้ องขา พเจา ทงั้ หลาย เพอ่ื ประโยชนแ ละ ความสขุ แกข า พเจาทงั้ หลาย ตลอดกาลนาน เทอญ. วนั วิสาขบชู า วนั วิสาขบูชา ยอมาจากคําวา วิสาขปุณณมีบูชา แปลวา การบูชาในวนั เพญ็ เดือน ๖ ซ่ึงพุทธศาสนิกชนถือวาเปนวันสําคัญ ยิ่งในรอบป เพราะเปนวันท่ีเกิดเหตุการณสําคัญท่ีสุดของพระพุทธเจา ๓ เหตกุ ารณ คอื ประสตู ิ ตรัสรู และปรนิ พิ พาน 236
ÇÔªÒ¾·Ø ¸»ÃÐÇμÑ Ô 237 วนั ประสตู ิ เจาชายสิทธัตถะประสูติจากพระครรภของพระนาง สิริมหามายาเทวี มเหสีของพระเจาสุทโธทนะ ผูครองกรุงกบิลพัสดุ ใตร ม สาลพฤกษ ในพระราชอทุ ยานลมุ พนิ วี นั ปจ จบุ นั อยใู นประเทศเนปาล เมอ่ื วันเพ็ญเดือน ๖ กอ นพุทธศกั ราช ๘๐ ป วนั ตรสั รู้ เกิดขึ้นเมื่อ ๓๕ ปตอมา ภายหลังเจาชายสิทธัตถะ เสดจ็ ออกผนวชได ๖ ป ณ โคนตน อสั สตั ถพฤกษต น โพธ์ิ ใกลแ มน า้ํ เนรญั ชรา ตําบลอรุ เุ วลาเสนานคิ ม แควน มคธ ปจจบุ นั อยูในประเทศอนิ เดีย เมอื่ วนั เพญ็ เดอื น ๖ กอนพทุ ธศกั ราช ๔๕ ป วนั ปรินิพพานเกดิ ขนึ้ ในปท ี่ ๘๐ แหง พระชนมายขุ องพระพทุ ธเจา ณ พระแทนบรรทมระหวางตนสาละคู ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา ปจ จุบนั อยใู นประเทศอนิ เดีย เม่อื วันเพญ็ เดือน ๖ กอนพุทธศักราช ๑ ป เหตุการณทั้งหมดลวนเกิดตรงกับวันเพ็ญเดือน ๖ หรือเดือน วิสาขะน้ี ชาวพุทธจึงนับถือวาวันเพ็ญเดือน ๖ เปนวันท่ีรวมการเกิด เหตุการณส ําคัญตา งๆ ของพระพุทธเจาไวม ากที่สดุ จึงไดก ําหนดใหเปน วนั ของพระพทุ ธเจ้า และนยิ มประกอบพธิ บี ชู าและเวยี นเทยี นเปน พเิ ศษ ความเป็นมาของวนั วิสาขบชู าในประเทศไทย การประกอบพิธีวิสาขบูชาสมัยตางๆ นั้น มีรูปแบบไมชัดเจน สนั นษิ ฐานวา เรมิ่ มมี าตงั้ แตส มยั สโุ ขทยั โดยอาจสบื เนอ่ื งมาจากการตดิ ตอ กบั ลงั กาทวปี (ประเทศศรีลงั กาปจจุบนั ) ท่ีมีการจัดพธิ วี สิ าขบูชามากอน แลว มีปรากฏในความตอนหน่ึงของหนังสือตําหรับทาวศรีจุฬาลักษณ กลาวถึงพิธีวิสาขบูชาในสมยั สโุ ขทัยวา อนั พระนครสโุ ขทยั ราชธานี ถงึ วนั นกั ขตั ฤกษค รง้ั ใด กส็ วา งไสวไป ดวยแสงประทีปเทียน ดอกไมเพลิง แลสลางสลอนไปดวยธงชายและ ธงผา ไสวไปดว ยพพู วงดอกไมก รองรอ ยหอ ยแขวน หอมตลบไปดว ยกลนิ่ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 237
238 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªéѹμÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี สคุ นธรสระรวยร่นื เสนาะสําเนียงเสยี งพิณพาทย ฆอ งกลอง ทั้งทวิ าราตรี มหาชนชายหญิงพากันมากระทํากองการกุศล เหมือนจะเผยซ่ึงทวาร พมิ านฟา ทุกชอ งชนั้ ดงั นี้ ในสมัยสุโขทัย เมื่อถึงวันวิสาขบูชา พระมหากษัตริยก็ทรง บําเพ็ญพระราชกุศลตางๆ เปนอันมาก ในเวลาตะวันชายแสง จะเสด็จ พระราชดําเนินทรงเวียนเทียนพรอมดวยพระบรมวงศานุวงศและขาทูล ละอองธุลพี ระบาท ณ วัดตางๆ รวม ๓ วัด คอื วัดหนา พระธาตรุ าชอาราม หลวง วดั หน่งึ วัดราชบูรณะพระวิหารหลวง วดั หนึง่ และวดั โลกสทุ ธรา- ชาวาส วดั หนงึ่ ในสวนของประชาชนทั่วไป กพ็ รอมใจกันประดับประดา อาคารบา นเรือน ตลอดถงึ วัดวาอารามและพระราชวงั ใหง ดงามสวางไสว ดว ยถอื กันวาวันวสิ าขบูชานี้เปน วนั นักขตั ฤกษมงคลท่สี าํ คัญยง่ิ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทรตอนตน ไมปรากฏหลักฐานวามีการประกอบพิธีวิสาขบูชาในรูปแบบใด ในกฎ มณเฑียรบาล ศักราช ๗๒๐ ซ่ึงกลาวถึงพระราชพธิ สี ิบสองเดอื น ก็ไมมี การกลาวถึงการพระราชพิธีวิสาขบูชาไว การทําพิธีวิสาขบูชาในสมัย ดงั กลาวมา คงกระทําเหมอื นกับแบบสมัยสุโขทยั แตพ ธิ ีนอี้ าจขาดชวงไป บางในยามที่บานเมืองมีศึกสงคราม จนถึงเมื่อปพุทธศักราช ๒๓๖๐ ใน รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลานภาลัย รัชกาลที่ ๒ แหงกรุง รตั นโกสนิ ทร สมเดจ็ พระอริยวงษญาณ สมเดจ็ พระสังฆราช (ม)ี ซึง่ เปน สมเด็จพระสังฆราชพระองคที่ ๓ แหงกรุงรัตนโกสินทรไดถวายพระพร ขอใหพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลานภาลัย ทรงบําเพ็ญพระราชกุศล วสิ าขบูชา จึงไดม พี ระราชดําริเห็นชอบ และทรงพระกรุณาโปรดใหมกี าร พระราชพธิ บี าํ เพญ็ พระราชกศุ ลวสิ าขบชู าขนึ้ ตง้ั แตน นั้ มา พระมหากษตั รยิ แหงกรุงรัตนโกสินทร ทุกพระองค ก็ทรงบําเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา สืบมาจนกระทงั่ ปจจุบนั 238
ÇªÔ Ò¾·Ø ¸»ÃÐÇμÑ Ô 239 พระราชพิธีทรงบําเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา ซ่ึงพระบาทสมเด็จ พระพทุ ธเลศิ หลา นภาลยั รชั กาลท่ี ๒ ไดท รงพระกรณุ าโปรดใหจ ดั ใหม ขี น้ึ นนั้ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา เจาอยหู วั รัชกาลท่ี ๕ ไดม ีพระบรม- ราชาธิบายไวใ นหนังสือพระราชพธิ สี ิบสองเดือนวา สมยั รชั กาลท่ี ๒ พระองคโ ปรดใหพ ระอารามตา งๆ ทง้ั บา นเรอื น ตามประทปี และโคมไฟ ในวนั วิสาขบชู า ประดับประดาดวยมาลาดอกไม ใหข าราชการและราษฎรรกั ษาศลี ฟง ธรรม สมยั รชั กาลที่ ๓ เมอ่ื ทรงสรา งวดั สทุ ศั นเทพวราราม โปรดใหท าํ เกยขน้ึ สาํ หรบั ตงั้ พระสตั ตมหาสถานรอบพระอโุ บสถ ครงั้ ถงึ วนั วสิ าขบชู า กใ็ หเ ชญิ พระพทุ ธรปู ออกตงั้ แลว มเี ทศนาปฐมสมโพธกิ ถา ใหส ปั บรุ ษุ ไปฟง และนมัสการพระพทุ ธรูป และที่วัดพระเชตุพนก็ไดโ ปรดใหมีตะเกยี งราย รอบกาํ แพงแกว เพิ่มเตมิ สมยั รชั กาลที่ ๔ พระองคโปรดใหมีการตั้งเคร่ืองบูชาท่ีระเบียง วัดพระศรีรัตนศาสดารามและตอมาไดโปรดใหทําโคมตามตําแหนง ตง้ั หรอื แขวนตามศาลาราย สมยั รชั กาลท่ี ๕ พระองคโปรดใหพระบรมวงศานุวงศและ ขา ราชการฝา ยในเดนิ เทยี น (เวยี นเทยี น) และสวดมนต คลา ยการพระราช- พธิ ที ที่ ําในปจ จบุ นั ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สมยั รชั กาลที่ ๖ การบาํ เพ็ญพระราชกศุ ลนักขตั ฤกษว ิสาขบชู า เหมือนกับในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว ตางกัน แตเม่ือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัว เสด็จฯประทับอยูใน ตา งจงั หวดั ถา ถงึ กาลนกั ขตั ฤกษว สิ าขบชู า จะทรงพระกรณุ าโปรดเกลา ฯ ใหม กี ารบําเพญ็ พระราชกศุ ลวสิ าขบูชา ณ อารามในจังหวดั ท่ปี ระทบั แรม อกี แหง หนง่ึ สว นทางวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา ฯ ใหพ ระราชวงศผ ูใหญไ ปปฏิบัตพิ ระราชกรณียกจิ แทนพระองค คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 239
240 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี สมยั รชั กาลท่ี ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกลาเจาอยูหัว ไดท รงพระกรณุ าโปรดเกลา ฯ ใหม พี ธิ กี ารตงั้ เปรยี ญธรรม ๙ ประโยค และ ๖ ประโยค ภายในพระอโุ บสถวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม กอ นวนั วสิ าขบชู า ๑ วนั คอื วนั ขนึ้ ๑๔ คา่ํ และในวนั ขนึ้ ๑๕ คา่ํ เสดจ็ ออกสวดพระพทุ ธมนต เวยี นเทยี นบชู าพระรัตนตรยั และทรงสดบั พระธรรมเทศนา การพระราชพิธีทรงบําเพ็ญพระราชกุศลในรัชกาลปจจุบัน มีรปู แบบปฏบิ ัติเหมือนในสมัยรชั กาลที่ ๗ คือ ในวันข้นึ ๑๔ ค่าํ เดอื น ๖ พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหวั เสด็จพระราชดําเนนิ ทรงต้ังเปรยี ญธรรม ๙ ประโยค และ ๖ ประโยค ณ พระอโุ บสถวดั พระศรีรัตนศาสดาราม เมือ่ เสดจ็ ถงึ ดา นหนา พระอโุ บสถ ผอู าํ นวยการกองพระราชพธิ สี าํ นกั พระราชวงั กราบทูลรายงานจํานวนธูปเทียนที่ทรงพระราชอุทิศพระราชทานไป จุดบูชาพระรัตนตรัย ตามพระอารามหลวงในวันวิสาขบูชาและวันถวาย พระเพลงิ พระพทุ ธเจา (แรม ๘ คาํ่ เดอื น ๖) ทรงพระสหุ รา ย ทรงเจมิ เทยี น ทกุ เลม เสดจ็ เขา สพู ระอโุ บสถ ทรงจดุ ธปู เทยี นทา ยทน่ี งั่ บชู าพระพทุ ธมหา- มณรี ตั นปฏมิ ากร พระสมั พทุ ธพรรณพี ระพทุ ธยอดฟา จฬุ าโลกย พระพทุ ธ เลิศหลานภาไลย ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการหนาธรรมาสนศิลา ทรงกราบ ตอจากน้ัน ประทับยืนกลางพระอุโบสถ พระราชทานประกาศ- นียบัตร พัดยศเปรียญ และผาไตร แกพระภิกษุและสามเณรที่สอบได เปรยี ญธรรม๙ประโยคและ๖ประโยคตามลาํ ดบั เสรจ็ แลว เสดจ็ ไปทรงประเคน ผา ไตรแกพ ระสงฆท เี่ จรญิ ชยั มงคลคาถา ประทบั พระราชอาสน พระราชทาน รางวัลแกผูชนะการประกวดแตงหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแกเด็ก พระสงฆถ วายอนุโมทนาถวายอดิเรก ทรงหล่งั ทักษโิ ณทก เสด็จพระราช ดาํ เนินกลบั ครน้ั วนั ขนึ้ ๑๕ คา่ํ เดอื น ๖ ตอนเยน็ พระบาทสมเดจ็ พระเจา อยหู วั เสดจ็ พระราชดาํ เนนิ ทรงบาํ เพญ็ พระราชกศุ ลวนั วสิ าขบชู า ณ พระอโุ บสถ วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม เสดจ็ เขา สพู ระอโุ บสถ ทรงจดุ ธปู เทยี นทา ยทนี่ ง่ั 240
ÇԪҾط¸»ÃÐÇÑμÔ 241 บูชาพระพทุ ธมหามณรี ตั นปฏมิ ากร พระสัมพทุ ธพรรณี พระพุทธยอดฟา จฬุ าโลกย พระพทุ ธเลศิ หลา นภาไลย ทรงจดุ ธปู เทยี นเครอื่ งนมสั การทหี่ นา ธรรมาสนศิลา ทรงกราบ จากนัน้ เสด็จออกจากพระอโุ บสถ ประทบั ยืนที่ ชานพระอุโบสถ ผอู ํานวยการกองพระราชพิธี สํานักพระราชวงั ทลู เกลาฯ ถวายเทียนทรงจุดไฟจากโคมไฟฟา เพื่อนําไปถวายเจาอาวาส สําหรับ จุดเทียนพระราชทานตามพระอารามที่ทรงพระราชอุทิศไว เจาพนักงาน ศุภรัต นําโคมเทียนสําหรับทรงถือ เมื่อเวลาเสด็จเวียนเทียนประทักษิณ พระอุโบสถ มาขอพระราชทานจุดไฟ พระบรมวงศานุวงศ ขาราชการ เขาไปเฝาขอพระราชทานตอเทียนที่ทรงถือน้ัน เสร็จแลวพระราชทาน เทยี นชนวนใหเ จาพนักงานสนมพลเรอื นรับไป ทรงกราบแลวทรงนาํ สวด สรรเสรญิ คณุ พระรตั นตรยั จบแลว ทรงรบั โคมเทยี นจากเจา พนกั งานศภุ รตั เสดจ็ เวยี นเทยี นประทกั ษณิ รอบ พระอโุ บสถ พรอ มดว ยพระบรมวงศานวุ งศ ขา ราชการครบ ๓ รอบแลว เสดจ็ ขน้ึ สพู ระอโุ บสถไปยงั ธรรมาสนศ ลิ า ทรง โปรดดอกมะลทิ ธี่ รรมาสนศ ลิ า เสดจ็ กลบั มาประทบั พระราชอาสน ทรงศลี พระราชาคณะถวายพระธรรมเทศนา จบแลว ถวายอนโุ มทนา (ยถา วารวิ หา) บนธรรมาสนน้ัน ทรงหล่ังทักษิโณทก พระสงฆ ๔ รูป สวดอนุโมทนา พระราชาคณะลงมานัง่ ณ อาสนสงฆ เสด็จไปทรงประเคนเคร่อื งไทยธรรม กัณฑเทศน และทรงประเคนไทยธรรม พระสงฆ ๔ รูป สวดอนุโมทนา พระสงฆถวายอดิเรก ออกจากพระอุโบสถ พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว เสด็จไปทรงกราบที่หนาเครื่องนมัสการ เสด็จพระราชดําเนินกลับเปนอัน เสรจ็ การพระราชพิธี การเวียนเทียนวนั วิสาขบชู า สําหรับประชาชนชาวพุทธทั่วไป เม่ือถึงวันสําคัญเชนนี้ มีธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติสืบมา ทั้งชาววัดชาวบานจะพากันทํา ความสะอาดวัดวาอาราม อาคารบานเรือน ในตอนเชาเขาวัดทําบุญ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 241
242 ¤ÁÙ‹ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี ตักบาตร รักษาศีลฟง ธรรม ถอื ศลี อุโบสถ ตอนค่ําวัดทวั่ ประเทศจะมกี าร จดั พิธีเวยี นเทยี นเปน กจิ กรรมหลัก บางแหงอาจมกี ิจกรรมอนื่ ๆ เพิ่มเตมิ เสริมตามความเหมาะสม เชน จัดนิทรรศการ สนทนาธรรม บําเพ็ญ ประโยชนตามความเหมาะสม เฉพาะท่ีวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จะมีพุทธศาสนิกชนจํานวนมาก นําโคมสวยงามไปแขวนศาลารายรอบ พระอโุ บสถ ถวายเปน พทุ ธบูชา พิธีการเวียนเทียนในวันวิสาขบูชา มีขอควรปฏิบัติเหมือน วนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนาอ่ืนๆ เชน วันมาฆบูชา คร้ันเสร็จพิธเี วียน เทียนแลว บางวัดจัดใหมีการแสดงธรรมเทศนาพุทธประวัติ และปฏิบัติ ธรรมตลอดทง้ั คนื เพอ่ื ถวายเปน พทุ ธบชู า ปจ จบุ นั กย็ งั มถี อื ปฏบิ ตั อิ ยบู า ง แตมีอยนู อ ยมาก วนั วิสาขบชู าได้รบั การรบั รองให้เป็นวนั สาํ คญั สากล เม่ือวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๓ นายดอน ปรมัตถวินัย โฆษก กระทรวงการตางประเทศไดแถลงตอสื่อมวลชนวา ตามท่ีการประชุม International Buddhist Conference ณ กรงุ โคลัมโบ ประเทศศรีลังกา ระหวา งวนั ท่ี ๙ – ๑๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๑ ซงึ่ มผี แู ทนจากประเทศทน่ี บั ถอื พระพทุ ธศาสนาจาํ นวนมาก อาทิ บงั คลาเทศ จนี ลาว เกาหลใี ต เวยี ดนาม ภฏู าน อนิ โดนเี ซยี เนปาล กมั พชู า อนิ เดยี ปากสี ถาน และไทย ไดต กลงท่ี จะเสนอใหส มชั ชาสหประชาชาตริ บั รองขอ มตทิ จี่ ะประกาศใหว นั วสิ าขบชู า เปนวันสาํ คญั ของสหประชาชาติ ตอมาเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๓ ท่ีประชุมสมัชชา สหประชาชาตสิ มยั สามญั ครงั้ ที่ ๕๔ ไดพ จิ ารณาวา เนอ่ื งจากวนั วสิ าขบชู า เปนวันสําคัญของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เพราะเปนวันที่พระพุทธเจา ประสูติ ตรัสรู และเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจาทรงส่ังสอน 242
ÇªÔ Ò¾Ø·¸»ÃÐÇÑμÔ 243 ใหมวลมนุษย มีเมตตาธรรมและขันติธรรมตอเพื่อนมนุษยดวยกัน เพื่อ ใหเกิดสันติสุขตอสังคมอันเปนแนวทางของสหประชาชาติที่ประชุมจึง ใหการรับรองโดยฉันทามติวา วนั ดงั กล่าวเป็ นวนั ท่ีสาํ นักงานใหญ่ องคก์ ารสหประชาชาติและท่ีทาํ การสมชั ชาจะจดั ให้มีการระลึกถึง (Observance) ตามความเหมาะสม การจดั พิธีวนั วิสาขบชู าของชาวพทุ ธนานาชาติ การบูชาวนั เพญ็ เดือนวสิ าขะ ซงึ่ ตรงกับวันขึน้ ๑๕ ค่าํ เดอื น ๖ ตามปฏิทินจันทรคติของไทย คือ คํานวณการโคจรของดวงจันทร เปน ขางขึน้ ขางแรม ซง่ึ มกั จะตรงกบั เดอื นพฤษภาคมหรือมถิ นุ ายน เฉพาะใน ประเทศไทย ถา ปใ ดมอี ธกิ มาส คอื มเี ดอื น ๘ สองหน ใหเ ลอื่ นไปประกอบพธิ ี ในวนั เพ็ญเดือน ๗ สวนประเทศท่นี บั ถอื พระพุทธศาสนาเถรวาทอ่ืนๆ คง จดั ใหม พี ธิ วี นั วสิ าขบชู าในวนั เพญ็ เดอื น ๖ แมใ นปน นั้ จะมเี ดอื น ๘ สองหน ก็ตาม สวนกลุมชาวพุทธมหายานบางนิกาย ที่นับถือวาเหตุการณ ทงั้ ๓ นน้ั เกดิ ในวนั ตา งกัน ไมใ ชตรงกบั วันเพ็ญเดอื น ๖ ทุกเหตุการณ ก็ จะจดั พธิ วี ิสาขบชู าตามความเชอ่ื ในนิกายของตน เชน ชาวพุทธญ่ปี นุ จดั งานฉลองวนั ประสตู พิ ระพทุ ธเจา ตามปฏทิ นิ สรุ ยิ คติ (ปฏทิ นิ สากล) ในวนั ที่ ๘ เมษายน สว นชาวพทุ ธศรีลงั กา เรียกวา วีสคั หรือวีซกั (Vesak หรอื Wesak Day) ดงั นเ้ี ปน ตน แตส าระสาํ คญั ของงานกย็ งั คงเปน อยา งเดยี วกนั คาํ บชู า ดอกไม้ ธปู เทียน วนั วิสาขบชู า ยะมัมหะ โข มะยงั ภะคะวันตงั สะระณงั คะตา โย โน ภะคะวา สัตถา ยัสสะ จะ มะยงั ภะคะวะโต ธัมมงั โรเจมะ อะโหสิ โข โส ภะคะวา มชั ฌเิ มสุ ชะนะปะเทสุ อะรยิ ะเกสุ มะนุสเสสุ อปุ ปนโน ขตั ติโย ชาติยา โคตะโม โคตเตนะ สักยะปุตโต สักยะกุลา ปพพะชิโต สะเทวะเก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 243
244 ¤Á‹Ù ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนสุ สายะ อะนุตตะรงั สมั มาสมั โพธงิ อะภิสมั พุทโธ นสิ สงั สะยัง โข โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสมั พทุ โธ วิชชาจะระณะสมั ปนโน สคุ ะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวา สวากขาโต โข ปะนะ เตนะ ภะคะวะตา ธมั โม สนั ทฏิ ฐโิ ก อะกาลโิ ก เอหิปสสิโก โอปะนะยิโก ปจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหิ สุปะฏิปนโน โข ปะนสั สะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ อชุ ปุ ะฏปิ น โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ญายะปะฏปิ น โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามจี ปิ ะฏิปน โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลิกะระณีโย อะนุตตะรงั ปุญญกั เขตตัง โลกสั สะ อะยัง โข ปะนะ ถโู ป (ปะฏมิ า) ตงั ภะคะวันตัง อุททสิ สะ กะโต (อทุ ทสิ สะ กะตา) ยาวะเทวะ ทสั สะเนนะ ตัง ภะคะวันตงั อะนุสสะริตวา ปะสาทะสงั เวคะปะฏลิ าภายะ มะยงั โข เอตะระหิ อมิ งั วสิ าขะปณุ ณะมกี าลงั ตัสสะ ภะคะวะโต ชาตสิ ัมโพธินพิ พานะกาละสมั มะตัง ปตวา อิมัง ฐานงั สัมปตตา อิเม ทัณฑะทีปะธูปาทิสักกาเร คะเหตวา อัตตะโน กายัง สกั การปุ ะธานงั กะรติ วา ตสั สะ ภะคะวะโต ยะถาภจุ เจ คเุ ณ อะนสุ สะรนั ตา อิมัง ถปู ง (ปะฏมิ งั ) ติกขตั ตุง ปะทักขิณัง กะรสิ สามะ อมิ งั ยะถาคะหิเตหิ สักกาเรหิ ปูชัง กุรุมานา สาธุ โน ภันเต ภะคะวา สุจิระปะรินิพพุโตป ญาตัพเพหิ คุเณหิ อะตีตารัมมะณะตายะ ปญญายะมาโน อิเม อัมเหหิ คะหเิ ต สักกาเร ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากงั ทีฆะรตั ตัง หิตายะ สุขายะ . 244
ÇÔªÒ¾·Ø ¸»ÃÐÇÑμÔ 245 คาํ แปล เราทงั้ หลาย ถงึ ซง่ึ พระผมู พี ระภาคพระองคใ ดวา เปน ทพ่ี ง่ึ , พระผมู ี พระภาคพระองคใด เปนศาสดาของเราทั้งหลาย และเราทั้งหลายชอบ ซึง่ ธรรมของพระผมู พี ระภาคพระองคใ ด, พระผูมีพระภาคพระองคนนั้ แล ไดอ บุ ตั แิ ลว ในหมมู นษุ ยช าวอรยิ กะในมชั ฌมิ ชนบท, พระองคเ ปน กษตั รยิ โดยพระชาติ เปนโคดม โดยพระโคตร, เปน ศากยบุตรเสด็จออกบรรพชา แลวแตศากยสกุล เปนผูตรัสรูพรอมเฉพาะแลว ซึ่งพระอนุตตรสัมมา สัมโพธิญาณในโลกพรอมท้ังเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมูสัตว พรอมท้ังสมณพราหมณ เทวดา และมนษุ ย พระผมู พี ระภาคพระองคน ้ัน เปนพระอรหันตเปนผูตรัสรูชอบเอง เปนผูถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ เปนผูเสด็จไปดีแลว เปนผูรูแจงโลก เปนสารถีแหงบุรุษควรฝกได ไมมี ผูอ่ืนยิ่งไปกวา เปนศาสดาของเทวดาและมนุษยทั้งหลาย เปนผูตื่นแลว เปนผเู บกิ บานแลว เปน ผูมีโชค โดยไมต อ งสงสยั แล อนงึ่ พระธรรมอนั พระผมู พี ระภาคพระองคน น้ั ตรสั ดแี ลว อนั ผบู รรลุ จะพึงเห็นเอง ไมประกอบดวยกาล ควรเรียกใหมาดู ควรนอมเขามา อญั วญิ ชู นพงึ รเู ฉพาะตน และพระสงฆส าวกของพระผมู พี ระภาคพระองค นนั้ เปน ผูปฏิบตั ดิ ีแลว เปน ผูปฏิบัติตรงแลว เปน ผปู ฏิบตั ิเปนธรรม เปน ผูปฏิบัติสมควร นี้คือคูแหงบุรุษส่ีบุรุษ บุคคลแปด นี่พระสงฆสาวกของ พระผูมีพระภาค เปนผูควรของคํานับ เปนผูควรของตอนรับ เปนผูควร ของทาํ บุญ เปนผคู วรทําอญั ชลี เปน นาบญุ ของโลก ไมม นี าบญุ อน่ื ยงิ่ กวา พระสถปู (พระปฏิมา) นีแ้ ล นกั ปราชญไดอทุ ิศเฉพาะตอ พระผูมีพระภาค พระองคน้ัน สรางไวแลวเพียงเพื่อระลึกถึงพระผูมีพระภาคพระองคนั้น ดวยทรรศนะแลว ไดความเล่ือมใสและสังเวช บัดน้ี เราท้ังหลายมาถึง กาลวิสาขปุณณมี เปนท่ีรูกันวากาลเปนท่ีประสูติ ตรัสรู และเสด็จดับ ขันธปรินิพพานแหงพระผูมีพระภาคพระองคนั้น สรางไวแลวเพียงเพ่ือ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 245
246 ¤Á‹Ù Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี ระลึกถึงพระผูมีพระภาคพระองคนั้น ดวยทรรศนะแลว ไดความเลื่อมใส และสงั เวช บดั น้ี เราทงั้ หลาย มาถงึ กาลวสิ าขปณุ ณมี เปน ทร่ี กู นั วา กาลเปน ทป่ี ระสตู ิ ตรสั รู และเสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พานแหง พระผมู พี ระภาคพระองค นัน้ จึงมาประชมุ กนั แลว ณ ทีน่ ้ี ถอื สักการะ ระลกึ ถงึ พระคุณตามเปนจรงิ ทั้งหลาย ของพระผูมีพระภาคพระองคนั้น บูชาดวยสักการะอันถือไว แลว อยา งไร จกั ทําประทักษณิ สิน้ วาระสามรอบ ซ่ึงพระสถูป (พระปฏิมา) นี้ขาแตพระองคผูเจริญ ขอพระผูมีพระภาค แมเสด็จดับขันธปรินิพพาน นานมาแลว ยังปรากฏอยดู ว ยพระคุณสมบตั ิ อันขา พระพุทธเจา ท้งั หลาย จะพงึ รโู ดยความเปน อตตี ารมณ จงทรงรบั เครอื่ งสกั การะอนั ขา พระพทุ ธเจา ทั้งหลายถือไวแลวนี้ เพ่ือประโยชน เพ่ือความสุข แกขาพระพุทธเจา ท้งั หลาย สิน้ กาลนาน เทอญ. สถานท่ีประกอบพธิ ีเวียน เปนสถูปหรือเจดีย ใชคําวา ถโู ป ถปู ัง ถาสถานที่น้ันเปนพระพุทธรูปหรืออุโบสถ ใหเปลี่ยนใชคําในวงเล็บวา ปะฏิมา อทุ ทิสสะ กะตา, อิมงั ปะฏิมงั แทน วนั อฏั ฐมีบชู า วนั อฏั ฐมบี ชู า หมายถงึ การบชู าในวนั ๘ คา่ํ ซง่ึ ตรงกบั วนั ถวาย พระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจา นับเปนวันท่ี ๘ หลังเสด็จ ดับขันธปรินิพพาน ตรงกับแรม ๘ คา่ํ เดอื น ๖ ของไทย ความเป็นมาของวนั อฏั ฐมีบชู า เมอื่ พระพุทธเจาไดเสดจ็ ดบั ขันธปรินพิ พาน ณ พระแทนบรรทม ระหวางตนสาละคูในสาลวโนทยาน เมืองกุสินารา เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ กอนพทุ ธศกั ราช ๑ ป พวกมัลลกษตั รยิ แ หง เมอื งกสุ นิ ารา ไดทําการบูชา สักการะพระพุทธสรรี ะ ดวยดอกไมห อมและประโคมเคร่อื งดนตรที กุ ชนิด 246
ÇԪҾط¸»ÃÐÇμÑ Ô 247 ท่มี อี ยูในเมืองกุสนิ าราตลอด ๗ วัน ในวันท่ี ๘ ใหเ จามัลละระดับหัวหนา ๘ คน สระสรงเกลาผม นุงหมผาใหม อัญเชิญพระพุทธสรีระไปทาง ทศิ ตะวนั ออกของพระนคร เพอื่ ทาํ การถวายพระเพลงิ ณ มกฏุ พนั ธนเจดยี ในวันแรม ๘ คา่ํ เดอื น ๖ ในวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ณ มกุฏพันธนเจดีย มีพระสงฆสาวกจํานวนมากมาชุมนุมกัน โดยมีพระมหากัสสปเถระเปน ประธาน พรอ มดว ยพระเถระผใู หญ มพี ระอนรุ ทุ ธเถระและพระอานนทเ ถระ เปนตน ในฝายเมืองมีพวกมัลลกษัตริยพรอมชาวเมืองกุสินาราและ เมืองใกลเคียงมารวมชุมนุม เพื่อรวมพิธีถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ เปนวันเศราโศกเสียใจของปุถุชน และธรรมสังเวชเกิดข้ึนแกพระอรหันต เพราะการสญู เสยี แหง พระพทุ ธสรรี ะ วันอัฏฐมีบูชา เริ่มมีมาแตครั้งใด ไมปรากฏหลักฐานแนนอน ท้ังไมไดกําหนดเปนงานพระราชพิธี และทางราชการยังไมรับรองให เปนวันสําคัญ แตเดิมสวนใหญ มีการจัดพิธีเวียนเทียนในวัดที่ต้ังอยูใน สว นกลางเปน สว นใหญ สว นภมู ภิ าคมจี ดั เฉพาะวดั ทอ่ี ยใู นเขตเมอื งเทา นนั้ ทําใหไ มคอยมคี นทราบถงึ ความสําคัญของวนั อัฏฐมีบชู า การจดั พิธีวนั อฏั ฐมีบชู า การจัดพิธีอฏั ฐมีบูชา มกี ารจดั เปน ๒ รูปแบบ คอื แบบที่ ๑ จัดพิธีเวียนเทียนเชนเดียวกับวันสําคัญอ่ืนๆ คือ วนั วสิ าขบูชา วันอาสาฬหบชู า และวันมาฆบชู า แบบที่ ๒ จัดพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพจําลอง มีการจัด ที่วัดพลับพลาชัย อําเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี แตจัดเพียงคร้ังคราว ไมไ ดจดั เปนประเพณี สว นทีอ่ ืน่ ก็คงมบี า ง แตค งไมมากนัก สว นที่จดั จน เปน ประเพณนี นั้ ปรากฏวา มปี ระเพณกี ารจดั พธิ ถี วายพระเพลงิ พระพทุ ธ- คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 247
248 ¤Ù‹ÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี สรีระจําลอง ท่ีวัดพระบรมธาตุ ทุงย้ัง อําเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ โดยประเพณีมีมาแตเม่อื ใด ไมป รากฏหลกั ฐานแนนอน ปจ จบุ นั ประเพณี น้ีไดรับการสนับสนุนจากหนวยงานภาครัฐและเอกชนโดยจัดเปนงาน “วันอฏั ฐมีบูชารําลึก เมอื งทุงยง้ั ” ณ วดั พระบรมธาตุ ทงุ ย้ัง อาํ เภอลับแล จงั หวดั อตุ รดติ ถ เปนประจาํ ทุกป โดยกาํ หนดจดั งานในวันวิสาขบูชา คือ วันขนึ้ ๑๕ ค่าํ เดอื น ๖ ถึงวันแรม ๘ คาํ่ เดือน ๖ รวม ๙ วัน กิจกรรม ในงาน มกี ารแสดงแสง สี เสยี ง ตง้ั แตพ ระพทุ ธเจา เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พาน จนถงึ พธิ ถี วายพระเพลิงพระพทุ ธสรรี ะ (จาํ ลอง) มปี ระชาชนชาวจังหวดั อุตรดติ ถและจงั หวัดใกลเคยี งเขาชมเปน จาํ นวนมาก เพื่อเปนการรักษาวันอัฏฐมีบูชา ไมใหเลือนหายไปจาก ประเทศไทย พุทธศาสนิกชนชาวไทย ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถควรจะ ชวยกันรณรงคใหเห็นความสําคัญของวันอัฏฐมีบูชาสืบสานการประกอบ พิธอี ัฏฐมบี ชู าใหคงอยสู ืบไป คาํ บชู า ดอกไม้ ธปู เทียน วนั อฏั ฐมีบชู า ยะมมั หะ โข มะยงั ภะคะวนั ตงั สะระณงั คะตา โย โน ภะคะวา สตั ถา ยสั สะ จะ มะยงั ภะคะวะโต ธมั มงั โรเจมะ อะโหสิ โข โส ภะคะวา มชั ฌิเมสุ ชะนะปะเทสุ อะริยะเกสุ มะนสุ เสสุ อุปปน โน ขตั ติโย ชาตยิ า โคตะโม โคตเตนะ สักยะปุตโต สักยะกุลา ปพพะชิโต สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนสุ สายะ อะนตุ ตะรงั สมั มาสมั โพธงิ อะภสิ มั พทุ โธ นสิ สงั สะยงั โข โส ภะคะวา อะระหงั สมั มาสมั พทุ โธ วชิ ชาจะระณะสมั ปน โน สคุ ะโต โลกะวทิ ู อนตุ ตะโร ปุรสิ ทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานงั พทุ โธ ภะคะวา สวากขาโต โข ปะนะ เตนะ ภะคะวา ธมั โม สนั ทฏิ ฐโิ ก อะกาลิ โก เอหปิ ส สโิ ก โอปะนะยโิ ก ปจ จตั ตงั เวทติ พั โพ วญิ หู ิ สปุ ะฏปิ น โน โข 248
ÇªÔ Ò¾·Ø ¸»ÃÐÇÑμÔ 249 ปะนสั สะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ อชุ ปุ ะฏปิ น โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ญายะปะฏปิ น โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ สามจี ปิ ะฏปิ น โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ยะททิ ัง จตั ตาริ ปรุ สิ ะยคุ าน,ิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ อาหเุ นยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อญั ชลิกะระณโี ย อะนตุ ตะรัง ปุญญกั เขตตงั โลกัสสะ อะยงั โข ปะนะ ถูโป (ปฏิมา) ตัง ภะคะวนั ตงั อุททิสสะ กโต (อุททสิ สะ กตา) ยาวะเทวะ ทัสสะเนนะ ตงั ภะคะวนั ตัง อะนุสสะรติ วา ปะสาทะสงั เวคะปะฏลิ าภายะ มะยงั โข เอตะระหิ อมิ งั วสิ าขะปณุ ณะม-ิ โตปะรงั อัฏฐะมีกาลงั ตัสสะ ภะคะวะโต สรีรัชฌาปะนะกาละสมั มะตัง ปตวา อิมงั ฐานงั สัมปต ตา อิเม ทัณฑะทีปะธูปะปุปผาทิสักกาเร คะเหตวา อตั ตะโน กายัง สกั การปุ ะธานงั กะริตวา ตัสสะ ภะคะวะโต ยะถาภจุ เจ คเุ ณ อะนสุ สะรนั ตา อมิ งั ถปู ง (ปะฏมิ งั ) ตกิ ขตั ตงุ ปะทกั ขณิ งั กะริสสามะ ยะถาคะหิเตหิ สักกาเรหิ ปชู ัง กุรมุ านา สาธุ โน ภันเต ภะคะวา สุจริ ะปะรินิพพุโตป ญาตพั เพหิ คุเณหิ อะตีตารัมมะณะตายะ ปญ ญายะมาโน อิเม อัมเหหิ คะหเิ ต สักกาเร ปะฏิคคณั หาตุ อมั หากงั ฑ. ฆี ะรตั ตัง หติ ายะ สุขายะ คาํ แปล เราทง้ั หลาย ถงึ พระผมู พี ระภาคพระองคใ ดวา เปน ทพ่ี งึ , พระผมู ี พระภาคพระองคใ ด เปน ศาสดาของเราทงั้ หลายและเราทง้ั หลาย ชอบธรรม ของพระผมู พี ระภาคพระองคใด, พระผมู พี ระภาคพระองคน้ันแล ไดอุบตั ิ แลวในหมมู นุษยช าวอริยกะ ในมัชฌมิ ชนบท, พระองคเปน กษัตรยิ โดย พระชาติ เปน โคดม โดยพระโคตร, เปน ศากยบตุ ร เสดจ็ ออกบรรพชาแลว แตศ ากยสกลุ เปน ผตู รสั รพู รอ มเฉพาะแลว ซง่ึ พระอนตุ ตรสมั มาสมั โพธญิ าณ ในโลก พรอ มท้งั เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมูสตั ว พรอมทัง้ สมณะ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 249
250 ¤ÁÙ‹ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªé¹Ñ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี พราหมณ เทวดา และมนุษย พระผมู ีพระภาคน้นั เปนพระอรหนั ต เปนผู ตรสั รชู อบเอง เปน ผถู งึ พรอ มดว ยวชิ ชาและจรณะ เปน ผเู สดจ็ ไปดแี ลว เปน ผูรูแจงโลก เปนสารถีแหงบุรุษควรฝกไดไมมีผูอ่ืนย่ิงไปกวา เปนศาสดา ของเทวดาและมนษุ ยทั้งหลาย เปนผูต ่ืนแลว เปนผูเ บิกบานแลว เปนผมู ี โชค โดยไมตอ งสงสัยแล อน่ึง พระธรรมอันพระผูมพี ระภาคนัน้ ตรัสดแี ลว อนั ผูบ รรลจุ ะพึง เหน็ เอง ไมป ระกอบดว ยกาล ควรเรยี กใหม าดู ควรนอ มเขา มา อนั วญิ ชู น พงึ รเู ฉพาะตน และพระสงฆส าวกของพระผมู พี ระภาคเจา นนั้ เปน ผปู ฏบิ ตั ิ ดีแลวแล เปนผูปฏิบัติตรงแลว เปนผูปฏิบัติธรรม เปนผูปฏิบัติสมควร นี้คือคูแหงบุรุษสี่ บุรุษบุคคลแปด น่ีพระสงฆสาวกของพระผูมีพระภาค เปนผูควรของคํานับ เปนผูควรของตอนรับ เปนผูควรของทําบุญ เปน ผคู วรทาํ อญั ชลี (ประนมมอื ไหว) เปน นาบญุ ของโลก ไมม นี าบญุ อน่ื ยงิ่ กวา พระสถปู (พระปฏมิ า) นแ้ี ล นกั ปราชญ ไดอ ทุ ศิ เฉพาะตอ พระผมู พี ระภาค นั้น สรางไวแลว เพียงเพื่อระลึกถึงพระผูมีพระภาคน้ัน ดวยทรรศนะ แลว ไดความเล่ือมใสและสังเวช บัดน้ี เราท้ังหลายมาถึงกาลอัฏฐมีบูชา หลังจากวันวิสาขปณุ ณมีเปนท่ีรูก นั วา กาลเปน ท่ถี วายพระเพลงิ พระสรีระ แหง พระผมู พี ระภาคจงึ มาประชมุ กนั แลว ณทนี่ ี้ถอื สกั การะมปี ระทปี ดา มและ ธูป เปน ตนเหลานี้ ทํากายของตนใหเปน ดังภาชนะรองรบั เครอ่ื งสกั การะ ระลึกถึงพระคุณตามเปนจริงทั้งหลายของพระผูมีพระภาคน้ัน บูชา ดวยสักการะอันถือไวแลวอยางไร จักทําประทักษิณสิ้นวาระสามรอบ ซ่ึงพระสถูป (พระปฏิมา) นี้ ขาแตพระองคผูเจริญ ขอพระผูมีพระภาค แมเสด็จปรินิพพานนานมาแลว ยังปรากฏอยูดวยพระคุณสมบัติ อนั ขา พระพทุ ธเจา ทง้ั หลาย จะพงึ รโู ดยความเปน อตตี ารมณ ขอจงทรงรบั ซ่ึงเครื่องสักการะอันขาพระพุทธเจาทั้งหลายถือไวแลวนี้ เพ่ือประโยชน เพ่อื ความสขุ แกขาพระพทุ ธเจาท้งั หลาย สนิ้ กาลนาน เทอญ. 250
ÇªÔ Ò¾·Ø ¸»ÃÐÇμÑ Ô 251 วนั อาสาฬหบชู า วนั อาสาฬหบชู า หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ คอื วนั ขึน้ ๑๕ คํา่ เดอื น ๘ (ประมาณเดือนกรกฎาคม) ในปทีม่ ีอธกิ มาส เลอ่ื นไปจัดพิธีในวันเพญ็ เดอื น ๘ หลงั ความสาํ คญั ของวนั อาสาฬหบชู า วนั อาสาฬหบชู า มเี หตกุ ารณส าํ คญั ทเ่ี กยี่ วขอ งกบั พระพทุ ธศาสนา เกิดขึ้นหลายประการ ภายหลังจากพระพุทธเจาตรัสรูได ๒ เดือน พอสรุปได ดงั น้ี ๑. เปน วนั ทพี่ ระพุทธเจาทรงแสดงปฐมเทศนา คือ ธัมมจกั กปั - ปวัตตนสูตรแกปญจวัคคีย และโกณฑัญญะไดบรรลุดวงตาเห็นธรรม (โสดาบนั ) แลว ทูลขอบวช ๒. เปนวันท่ีมีพระสงฆสาวกเกิดขึ้นเปนองคแรกในโลก คือ โกณฑญั ญะ ไดบ วชเปน ภกิ ษอุ งคแ รกในพระพทุ ธศาสนา ดว ยวธิ เี อหภิ กิ ขุ อปุ สมั ปทา ๓. เปน วนั แรกทมี่ พี ระรตั นตรยั คอื พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ ครบบริบูรณ ๓ ประการ ความเป็นมาของวนั อาสาฬหบชู า วันอาสาฬหบูชา เปนวันที่พระพุทธเจาทรงแสดงธมั มจกั กปั ป- วตั ตนสูตร ซ่ึงเปนพระธรรมเทศนากัณฑแรกโปรดปญจวัคคียท่ี ปาอิสิปตนมฤคทายวัน (ปจจุบันเรียก สารนาถ) แขวงเมืองพาราณาสี เม่ือวันเพ็ญกลางเดือน ๘ ภายหลังการตรัสรู ๒ เดือน พอจบพระธรรม เทศนา โกณฑญั ญะพราหมณ ไดด วงตาเหน็ ธรรม สาํ เรจ็ เปน พระโสดาบนั เปนพยานการตรัสรูของพระพุทธเจา พระองคทรงทราบวาโกณฑัญญะ ไดด วงตาเหน็ ธรรมแลว จงึ ทรงเปลง อทุ านวา อญั ญาสิ วะตะ โภ โกณฑญั โญ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 251
252 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉҪѹé μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี อญั ญาสิ วะตะ โภ โกณฑญั โญ แปลวา โกณฑญั ญะรแู ลว หนอ โกณฑญั ญะ รูแลวหนอ ตั้งแตนั้นเปนตนมา โกณฑัญญะพราหมณ ไดทูลขอบวช พระองคท รงประทานการบวช ดว ยวธิ เี อหภิ กิ ขอุ ปุ สมั ปทา ดว ยพระดาํ รสั วา เธอจงเปน ภกิ ษมุ าเถดิ ธรรมเรากลา วไวด แี ลว เธอจงประพฤตพิ รหมจรรย เพื่อทําท่ีสุดทุกขโดยชอบเถิด จึงนับวาพระอัญญาโกณฑัญญะเปน พระสงฆองคแรก และมีพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ เกิดข้ึนครบบริบูรณในวันน้ัน วันอาสาฬหบูชายังเรียกกันวา วนั พระสงฆ์ อกี ดว ย ประเทศไทยได้ประกาศให้มีพิธีอาสาฬหบูชา เมือ่ วนั ที่ ๑๔ กรกฎาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๐๑ โดยพระธรรมโกศาจารย (ชอบ อนุจาร)ี ตอมาไดรับสมณศักดิ์เปน พระพิมลธรรม ครั้งดํารงตําแหนงสังฆมนตรี ชวยวาการองคการศึกษา ไดเสนอคณะสังฆมนตรีใหเพิ่มวันศาสนพิธี เพื่อทําพุทธบูชาขึ้นอีกวันหนึ่ง คือ วันธรรมจักร หรือวันอาสาฬหบูชา คณะสังฆมนตรีมีมติเห็นชอบ โดยใหกําหนดวาวันอาสาฬหบูชา เปน วนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา และทางรฐั บาลกไ็ ดเ หน็ ความสาํ คญั ของวนั ดังกลา ว จงึ ไดป ระกาศใหเ ปนวนั หยุดราชการ จนกระท่ังปจจุบันนี้ วันอาสาฬหบูชา มีปฏิบัติเฉพาะในประเทศไทยเทาน้ัน สําหรับ ชาวพุทธในประเทศอื่น ๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาไมไดมีการจัดพิธีแต อยางใด พระราชพิธีในวนั อาสาฬหบชู า การพระราชพธิ เี นอื่ งในวนั อาสาฬหบชู าในปจ จบุ นั พธิ หี ลวงมไิ ดม ี การเวยี นเทยี นเหมอื นวนั วสิ าขบชู าและวนั มาฆบชู า แตเ ปน พธิ จี ดั ตอ เนอื่ ง กัน ๒ วนั คือ วนั อาสาฬหบชู า และวันเขาพรรษา เรยี กวา พระราชพิธี ทรงบาํ เพญ็ พระราชกศุ ล เนอ่ื งในวนั อาสาฬหบชู า และเทศกาลเขา พรรษา สําหรับพระราชกจิ ในการพระราชพธิ ีวนั อาสาฬหบูชา พอสรุปได ดงั นี้ 252
ÇªÔ Ò¾Ø·¸»ÃÐÇÑμÔ 253 ในวนั ขน้ึ ๑๕ คาํ่ เดอื น ๘ วนั อาสาฬหบชู า เวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว เสด็จพระราชดําเนินไปยังพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ทรงจุดเทียนพรรษา บูชาพระรัตนตรัย ทรงจุดเทียนทายที่นั่ง ถวายพานพุมเทียน พุมตนไม บูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระสัมพุทธพรรณี พระพุทธยอด ฟาจุฬาโลกย พระพุทธเลิศหลานภาไลย ทรงจุดเทียนเคร่ืองนมัสการ ทองใหญ (เครอ่ื งบชู าสาํ หรบั พระมหากษตั รยิ จดุ บชู าพระรตั นตรยั ในงาน พระราชพิธี) ทรงจุดเทียนชนวนพระราชทานแกเจาพนักงาน เพื่อนํา ไปถวายเจาอาวาส สําหรับจุดเทียนพรรษาที่ทรงอุทิศตามพระอาราม หลวงตางๆ และถวายพระราชวงศ เพื่อจุดเทียนที่พระศรีรัตนเจดีย หอพระมณเฑยี รธรรม หอพระศาสตราคม ในพระบรมมหาราชวัง ทมี่ ิได เสดจ็ พระราชดําเนินไปทรงจุดดวยพระองคเอง ทรงประเคนพมุ เทียนแด สมเดจ็ พระสงั ฆราช สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ และพระภิกษุ นาคหลวง เม่ือพระสงฆถวายอดิเรกออกจากพระอุโบสถแลว จึงเสด็จ พระราชดาํ เนนิ กลบั วันอาสาฬหบูชา พุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติเชนเดียวกับ วนั มาฆบูชาและวนั วิสาขบูชา คาํ บชู า ดอกไม้ ธปู เทียน วนั อาสาฬหบชู า ยะมัมหะ โข มะยงั ภะคะวนั ตงั สะระณัง คะตา โย โน ภะคะวา สัตถา ยัสสะ จะ มะยงั ภะคะวะโต ธัมมัง โรเจมะ อะโหสิ โข โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ สัตเตสุ การญุ ญัง ปะฏจิ จะ กะรณุ ายะโก หิเตสี อะนุกัมปง อุปาทายะ อาสาฬหะปุณณะมิยัง พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย ปญจะวัคคิยานัง ภิกขูนัง อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะฐะมัง ปะวตั เตตวา จัตตาริ อะรยิ ะสจั จานิ ปะกาเสสิ. คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 253
254 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี ตสั มิญจะ โข สะมะเย ปญ จะวัคคยิ านงั ภิกขนู ัง ปะมุโข อายัสมา อญั ญาโกณฑญั โญ ภะคะวะโต ธมั มงั สตุ ะวา วริ ะชงั วตี ะมะลงั ธมั มะจกั ขงุ ปะฏิละภิตวา ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ ภะคะวันตัง อุปะสัมสะทัง ยาจิตะวา ภะคะวะโตเยวะ สันติกา เอหิภิกขุ อุปะสัมปะทัง ปะฏิละภิตะวา ภะคะวะโต ธัมมะวินะเย อะริยะ- สาวะกะสังโฆ โลเก ปะฐะมัง อุปปนโน อะโหสิ ตัสมิญจะ โข สะมะเย สังฆังระตะนัง โลเก ปะฐะมัง อุปปนนัง อะโหสิ พุทธะระตะนัง ธัมมะระตะนงั สงั ฆะระตะนนั ตริ ะตะนงั สัมปุณณัง อะโหส.ิ มะยัง โข เอตะระหิ อิมัง อาสาฬหะปุณณะมีกาลัง ตัสสะ ภะคะวะโต ธมั มะจกั กัปปะวตั ตะนะกาละสัมมะตัง อะริยะสาวะกะสงั ฆะ- อุปปตติกาละสัมมะตัญจะ ระตะนัตตะยะสัมปุณณะกาละสัมมะตัญ จะ-ปตตะวา อิมัง ฐานัง สัมปตตา อิเม สักกาเร คะเหตวา อัตตะโน กายัง สักการุปะธานัง กะริตะวา ตัสสะ ภะคะวะโต ยะถาภุจเจ คุเณ อะนุสสะรันตาอิมัง ถูปง (ปฏิมัง) ติกขัตตุง ปะทักขิณัง กะริสสามะ ยะถาคะหิเตหิ สักกาเรหิ ปูชัง กุรุมานา สาธุ โน ภันเต ภะคะวา สุจิระปะรินิพพุโตป ญาตัพเพหิ คุเณหิ อะตีตารัมมะณะตายะ ปญญายะมาโน อิเม อัมเหหิ คะหิเต สักกาเร ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทฆี ะรัตตงั หิตายะ สขุ ายะ. คาํ แปล เราท้ังหลายถึงพระผูมีพระภาคพระองคใด วาเปนท่ีพ่ึงที่ระลึก พระผูมีพระภาคพระองคใด เปนพระศาสดาของเราทั้งหลาย และ เราทั้งหลายชอบใจ พระธรรมของพระผูมีพระภาคพระองคใด พระผูมี พระภาคพระองคน น้ั เปน พระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา พระองคท รงอาศยั ความกรุณาในหมูสัตว ทรงพระมหากรุณา มีพระทัยใฝประโยชนเก้ือกูล 254
ÇªÔ Ò¾Ø·¸»ÃÐÇμÑ Ô 255 ทรงอาศัยความเอ็นดู ทรงแสดงพระธรรมจักร ประกาศอริยสัจ ๔ เปน คร้ังแรก แกป ญจวคั คยี ท ่ีปา อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ใกลก รุงพาราณสี ในวัน อาสาฬหปณุ ณมี อนึ่ง สมยั น้ันแล ทา นโกณฑัญญะ ผูเปน ประธานของปญ จวัคคีย ไดฟงธรรมของพระผูมีพระภาคแลว ไดธรรมจักษุอันบริสุทธิ์ปราศจาก มลทินวา “สิ่งใดสิ่งหน่ึงมีความเกิดข้ึนเปนธรรมดา ส่ิงน้ันท้ังมวลลวน มีความดับเปนธรรมดา” จึงทูลขออุปสมบทตอพระผูมีพระภาค ไดรับ เอหิภิกขุอุปสมบทจากสํานักของพระผูมีพระภาค เกิดเปนอริยสาวกองค แรกในโลก ในพระธรรมวินัยของพระผูมีพระภาค และในสมัยแมนั้นแล พระสงั ฆรตั นะไดบ ังเกดิ ขน้ึ เปน ครัง้ แรก พระรัตนตรัย คือ พระพทุ ธรัตนะ พระธรรมรตั นะ พระสงั ฆรัตนะ ไดส มบูรณแลวในโลก บัดน้ี เราท้ังหลาย มาประจวบมงคลสมัย วันอาสาฬหปุณรมี วันเพ็ญเดือนแปดอันเปนท่ียอมรับกันวา เปนวันที่พระผูมีพระภาค พระองคนัน้ ทรงประกาศพระธรรมจกั ร เปน วนั ท่ีเกิดขึ้นแหงพระอริยสงฆ สาวก และเปนวนั ทพ่ี ระรตั นตรัยสมบูรณ คอื ครบ ๑ รัตนะ จงึ มาประชุม พรอมกันแลว ณ ที่นี้ ถือเครื่องสักการะเหลานี้ ทํากายของตนใหเปน ดงั เครอ่ื งรองรบั เครอ่ื งสกั การะ ระลกึ ถงึ พระคณุ ตามเปน จรงิ ทงั้ หลายของ พระผมู พี ระภาคพระองคน น้ั จกั ทาํ ประทกั ษณิ รอบพระสถปู นี้ (พระปฏมิ า) สิน้ วาระ ๓ รอบ นอ มบชู าอยดู วยเครื่องสกั การะที่ถือกนั อยู ณ บดั นี้ ขาแตพระองคผูเจริญ พระผูมีพระภาคเจา แมเสด็จดับขันธ- ปรนิ พิ พาน ไปนานแลว แตยังปรากฏอยดู วยพระคุณ ซง่ึ ขาพระพุทธเจา ทั้งหลายจะพึงรู โดยความเปนอตีตารมณ ขอจงทรงรับเครื่องสักการะ อันขาพระพุทธเจาทั้งหลายถือไวนี้ เพ่ือประโยชน เพ่ือความสุข แกข าพระพทุ ธเจา ทั้งหลายสิ้นกาลนาน เทอญ. คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 255
256 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี บทที่ ๔ พิธีทาํ บญุ เลี้ยงพระ ความเป็นมาของพิธีทาํ บญุ เลีย้ งพระ การทําบุญเล้ียงพระ เร่ิมมีมาต้ังแตสมัยพุทธกาลและยังนิยม ปฏิบัติอยูจนกระท่ังทุกวันนี้ ครั้งแรกเม่ือพระพุทธเจาเสด็จไปโปรด พระเจาพิมพิสาร ท่ีเมืองราชคฤห แควนมคธ เมื่อพระเจาพิมพิสารสดับ พระธรรมเทศนาของพระพุทธเจาแลว บรรลุโสดาปตติผลไดทูลนิมนต พระพุทธเจาและพระสงฆสาวก ไปฉันภัตตาหาร ณ พระราชนิเวศน ใน เมืองราชคฤห หรือในคราวพระพุทธเจาเสด็จไปโปรดพระพุทธบิดาและ พระประยูรญาติที่เมืองกบิลพัสดุ ในวันท่ี ๔ มีงานอาวาหมงคลอภิเษก สมรสระหวางนันทราชกุมารกับนางชนบทกัลยาณี พระพุทธเจาพรอม ดวยพระสงฆไดรับอาราธนาใหเขาไปฉันภัตตาหารในพิธีดังกลาวดวย นอกจากนี้ในบานของอุบาสกอุบาสิกา เชน อนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขามหาอุบาสิกา ตลอดถึงพุทธศาสนิกชนอื่นๆ จะนิมนต พระพุทธเจาหรือพระสาวก ไปรับบิณฑบาตหรือฉันภัตตาหารที่บาน ของตนๆ แตในสมัยพุทธกาล ยังไมมีพิธีสวดมนตเหมือนสมัยปจจุบัน เมื่อฉันภัตตาหารแลว พระพุทธเจาหรือพระสงฆสาวก จะแสดงธรรม เปน การอนโุ มทนาเพ่มิ พูนศรัทธาของทายกทายิกาใหยิง่ ๆ ขน้ึ ไป ตอมา พุทธศาสนิกชนในประเทศตาง ๆ ไดนําหลักคําสอนในพระพุทธศาสนา มาประยุกตใชในการจัดพิธีทําบุญใหเหมาะสมกับพิธีที่เกี่ยวของกับชีวิต ประจาํ วนั เชน การเกดิ การมคี คู รอง การตาย และอน่ื ๆ โดยยดึ หลกั คาํ สอน ทางพระพุทธศาสนาวา ผูฉลาดปรารภเหตุอยางใดอยางหนึ่งแลวทําบุญ จึงเกิดการทาํ บุญข้ึนมากมาย หลายรูปแบบ 256
ÇԪҾط¸»ÃÐÇÑμÔ 257 การเตรียมการในพิธีทาํ บญุ การจะจัดพิธีทําบุญไมวาจะเปนงานใด เจาภาพจะตองเตรียม การในเบื้องตนกอนถึงวันพิธี เพ่ือใหการจัดงานน้ันๆ เปนไปดวย ความเรยี บรอ ยในวนั ประกอบพธิ ี ซงึ่ การเตรยี มการน้ี มที งั้ การเตรยี มการ ระยะยาวกอ นกาํ หนดจดั งาน และการเตรยี มการในระยะสน้ั คอื ในวนั จดั พธิ ี หรือกอ นวันจดั พธิ ี ๑-๒ วนั แลว แตงานทจ่ี ะจัดเปน งานเลก็ หรืองานใหญ ซ่ึงพอสรุปได ดงั นี้ ๑. เตรียมกาํ หนดการ กอนจะจัดงานใดๆ ตองกาํ หนดวนั เวลา จัดงานใหตรงวัตถุประสงคของการจัดงานในเบ้ืองตน เพื่อใชในการท่ีจะ นิมนตพระและเชิญผูที่จะมารวมงานในระยะส้ัน คือใกลวันจัดงานหรือ ในวนั งาน ถา เปน งานพิธที างราชการ หรอื งานทจ่ี ดั เปนงานใหญ นิมนต พระสงฆจ าํ นวนมากและมหี ลายพธิ ใี นงานเดยี วกนั ตอ งจดั ทาํ กาํ หนดการ กําหนดลําดับของงานเพ่ือสะดวกในการปฏิบัติ โดยผูจะทํากําหนดการ ตองเขาใจในข้ันตอนของงานเปนอยางดี แตถาเปนงานเล็กๆ เชน การทาํ บญุ บา น หรอื ครบรอบวนั ตายของบรรพบรุ ษุ กไ็ มจ าํ เปน ตอ งเขยี น เปน กาํ หนดการ เพียงแตกําหนดไวค ราวๆ ในใจกเ็ พยี งพอแลว ๒. เตรียมบุคลากร คือ เตรียมบุคคลจะมาเขารวมพิธี เชน การนมิ นตพ ระสงฆ การเชญิ ประธานพธิ ี (กรณงี านนน้ั มปี ระธานของงาน แตถา เปนงานทําบญุ บา น ประธานก็เจา ภาพนน้ั เอง) พธิ ีกรและผทู ่จี ะมา รวมงานเหลานี้ตองเตรียมไวลวงหนา ในวันงานตองเตรียมมอบหมาย หนาที่ใหชัดเจน เชน ผูรับสงพระสงฆ ผูชวยตอนรับผูมารวมงาน และ อืน่ ๆ ตามความเหมาะสม ๓. เตรียมสถานที่ สถานที่จัดงานพิธีตามวัตถุประสงคของ การจัดงาน เชน ท่ีบาน สํานักงาน ตองมีการจัดทําความสะอาดหรือ ตกแตง เพอื่ ความเรยี บรอ ยสวยงาม สว นสถานทอ่ี นื่ ๆ เชน หอ งประชมุ ของ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 257
258 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉҪѹé μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี สวนราชการ หรือโรงแรม ตองติดตอประสานงานเพื่อจองสถานที่เปน การลวงหนา และสถานที่จัดงานตอ งเหมาะสมและเพยี งพอแกผ รู วมงาน ๔. เตรียมอปุ กรณ์พิธี อปุ กรณการจดั พิธีทาํ บญุ มที ้งั อปุ กรณท่ี ใชไ ดท กุ พธิ แี ละอปุ กรณท ใ่ี ชเ ฉพาะพธิ ี ซงึ่ ผจู ดั เตรยี มอปุ กรณจ ะตอ งทราบ วา งานใดจะใชอปุ กรณอะไรพอจาํ แนกได ดังนี้ อุปกรณที่ใชไดทั่วไปทุกพิธี สําหรับงานทําบุญที่นิยามเรียกกัน ในปจจุบันวา งานมงคล เปนงานจัดขึ้นโดยปรารภเหตุเพื่อความสุข ความเจริญ เชน งานทาํ บุญประจําป งานทําบุญคลา ยวนั เกดิ มอี ุปกรณ ท่ใี ชใ นพธิ ี ประกอบดวย พระพทุ ธรูป โตะหมบู ชู า กระถางธปู เชงิ เทยี น แจกนั ดอกไม ชนวนจดุ ธูปเทยี น ขันน้ํามนต พรอ มเทียนทําน้าํ มนต และ หญา คาปะพรมนา้ํ มนต สายสญิ จนจ บั เปน ๓ เสน หรอื ๙ เสน โตะ ปผู า ขาว สําหรับต้ังอาหารบูชาพระพุทธ กรณีมีพิธีเลี้ยงพระ ใหจัดอาสนะสําหรับ พระสงฆ พรอมเครอ่ื งรบั รองและท่ีกรวดน้ํา พิธีทําบุญขึ้นบานใหม และเปดอาคารสํานักงาน มีอุปกรณเพิ่ม เติมเฉพาะพิธี ตองจัดเตรียม คือ แปงกระแจะ น้ําอบนํ้าหอม แผนทอง พรอมสีผ้งึ หรือนา้ํ มันใชท าสาํ หรบั ปดทอง พธิ มี งคลสมรส มอี ปุ กรณเ ฉพาะพธิ ี คอื มงคลแฝด กระแจกสาํ หรบั เจมิ หนา คูบาวสาว พธิ เี ทศน มอี ปุ กรณเ ฉพาะพธิ ี คอื เทยี นสอ งธรรม หรอื เครอื่ งทองนอ ย สําหรับบชู าธรรม ถาไมม ี จะใชกระถางธูปเชงิ เทยี นแทนกไ็ ด พธิ ีทําบุญเกีย่ วกับงานศพ เชน พิธีทาํ บุญ ๗ วัน ๕๐ วนั ๑๐๐ วนั และพิธีอ่ืนเก่ียวกับงานดังกลาวมีอุปกรณเฉพาะพิธีตองจัดเตรียม คือ ภูษาโยง หรือสายสิญจน สําหรับใชในงานศพ เคร่ืองทองนอย (ถามี) ตูพระอภิธรรม สําหรบั พธิ สี วดพระอภธิ รรมศพ และสวดพระอภธิ รรม หน้าไฟ และไมใ่ ชข้ นั น้ํามนต์ 258
ÇԪҾط¸»ÃÐÇμÑ Ô 259 อุปกรณเหลานี้ ถาจัดงานท่ีวัด ทางวัดจะจัดเตรียมไวให ถาจัด งานที่บา น เจา ภาพตอ งยมื จากวัดหรอื จัดหามาเอง พิธีสวดมนตเ์ ยน็ - ฉันเช้า คาํ วา สวดมนตเ ยน็ -ฉนั เชา เปน คาํ พดู สามญั ตามธรรมเนยี มของ ชาวบา นทว่ั ไป โดยเฉพาะในภาคกลาง เปน พธิ ที จ่ี ดั ทง้ั งานทป่ี รารภเหตทุ ่ี เปน สริ มิ งคล และงานทปี่ รารภการตายของบคุ คลในครอบครวั ในสมยั กอ น คนไทยมเี วลาวางมาก โดยเฉพาะในหลังฤดเู ก็บเกย่ี ว ไมเ รง รอนเหมอื น สมัยปจจุบัน ดังนั้น พิธีการตาง ๆ ก็จัดเต็มที่ไมรวบรัด โดยนิมนต พระสงฆมาเจริญพระพุทธมนตหรือสวดพระพุทธมนตตอนเย็นวันหนึ่ง กอนเรียกวา สวดมนตเย็น ในวันรุงข้ึนตอนเชา จะนิมนตพระสงฆเมื่อ วันวานมาฉันภัตตาหาร ทานจะนําบาตรปนโตมาดวย เมอื่ พระสงฆส์ วด ถวายพรพระ (บทพาหุง) เจา้ ภาพและผูม้ าร่วมงานจะร่วมกนั ตกั บาตร ถวายภตั ตาหาร เรียกวา เลี้ยงพระเชาหรือฉันเชา ปจ จบุ นั ยนเวลามาทาํ วันเดียวกัน ตอนเชาหรือตอนเพลตามความสะดวก นิมนตพระสงฆมา เจริญพระพุทธมนตหรือสวดพระพุทธมนตกอน จบแลวถวายภัตตาหาร การประกอบพธิ ที าํ บญุ ทง้ั ๒วนั หรอื วนั เดยี วกต็ ามเรยี กวา ทาํ บญุ เลยี้ งพระ ก า ร ทํ า บุ ญ เ ลี้ ย ง พ ร ะ ห รื อ ก า ร ทํ า บุ ญ อ ย า ง อ่ื น น อ ก จ า ก นี้ จะประกอบดวยบุคคล ๒ ฝาย คือฝ่ ายเจ้าภาพ หมายถึง ทายกหรือ ทายิกา ผมู ศี รทั ธาประสงคจ ะประกอบการบญุ และฝ่ายพระสงฆ์ หมายถงึ ปฏิคคาหก ผรู บั ทานและประกอบพธิ กี รรม ตามความประสงคข องเ จา ภาพ แนวทางการจดั พิธีทาํ บญุ ในงานต่างๆ เพอื่ เปน แนวปฏบิ ตั ใิ นการจดั งานพธิ ที าํ บญุ ทนี่ ยิ มจดั ในปจ จบุ นั นี้ จงึ ไดนาํ รปู แบบและลําดบั ขั้นตอนของงานตา งๆ มาแสดงไวเปน ตวั อยา ง คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 259
260 ¤Á‹Ù ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี สาํ หรบั พธิ ที าํ บญุ ของพทุ ธศาสนกิ ชนชาวไทย โดยทว่ั ไปจะนมิ นตพ ระสงฆ จํานวน ๙ รูป ๗ รปู หรือ ๕ รูป สวนพธิ ีหลวงนิมนตพระสงฆ ๑๐ รูป เปนหลักการนิมนตมากหรือนอ ยกวา น้ี ขึ้นอยกู ับงาน งานทาํ บญุ ประจาํ ปี คล้ายวนั เกิด ทาํ บญุ บา้ น หรืออาคารสาํ นักงาน การทาํ บญุ ดงั กลา ว เพอ่ื ใหเ กดิ ความสขุ ความเจรญิ แกต นเองหรอื กจิ การ ทที่ าํ อยูเปน การเพมิ่ ขวญั และกาํ ลงั ใจแกผ ปู ฏบิ ตั งิ าน ควรเตรยี มการ ดังน้ี ก่อนถึงวนั งาน ควรจัดโตะหมบู ชู า หมู ๕ หมู ๗ หรือ หมู ๙ ตามทมี่ ี ถา ไมม ี จะใชโ ตะ ธรรมดาปลู าดดว ยผา ขาวกไ็ ด ใหอ ยดู า นขวามอื ของพระสงฆ ถา สถานทจ่ี าํ กดั อาจอยดู า นซา ยมอื พระสงฆไ ดบ า ง อญั เชญิ พระพทุ ธรปู มาตงั้ บนโตะ หมู พรอ มเครอื่ งสกั การบชู า คอื ดอกไม ธปู เทยี น อาจจดั ในวนั ประกอบพธิ กี ไ็ ด ปลู าดอาสนะพระสงฆต ามจาํ นวนทน่ี มิ นตไ ว วงสายสิญจน เร่มิ ตนจากโตะ หมูบชู า แลว วงวนขวารอบบา น สาํ นักงาน หรอื หอ งทจี่ ดั พธิ แี ลว แตก รณี เมอ่ื ครบรอบแลว นาํ มาวนทฐ่ี านพระพทุ ธรปู ๓ รอบ ไมค วรพนั องคพ ระหรอื พระศอของพระพทุ ธรปู นาํ สว นทเี่ หลอื วาง ใสไวในพาน สาํ หรบั พระสงฆถือขณะเจรญิ พระพทุ ธมนต วันประกอบพิธี เม่ือถึงเวลาตามกําหนด เจาภาพและผูรวมงาน พรอมกัน ณ มณฑลพิธี นิมนตพระสงฆน่ังประจําอาสนะ ประธานพิธี หรอื เจา ภาพจุดธปู เทยี นบูชาพระรตั นตรยั อาราธนาศลี รบั ศีล อาราธนา พระปรติ ร ฟง พระสงฆเจรญิ พระพุทธมนต เมื่อถึงบท อะเสวะวนา จะ พาลานัง จุดเทียนท่ีขนั น้ํามนต์ ยกประเคนประธานสงฆ ครั้นเจริญ พระพุทธมนตจบ ถวายภัตตาหารแตพระสงฆ ทานฉันเสร็จแลว ถวาย จตปุ จ จยั ไทยธรรม เมอื่ พระสงฆอ นโุ มทนา กรวดนาํ้ รบั พร และรบั ประพรม นาํ้ พระพุทธมนตจ ากพระสงฆเสร็จพธิ ีแลวสง พระสงฆก ลบั วัด 260
ÇԪҾط¸»ÃÐÇÑμÔ 261 การบชู าข้าวพระพทุ ธ ในพิธีทําบุญเลี้ยงพระ มีประเพณีโบราณสืบเน่ืองมาจนกระทั่ง ปจจุบัน คือการบูชาขาวพระ หรือเรียกกันท่ัวไปวา ถวายขาวพระพุทธ มีคํากลาวในพระบาลีวา การถวายภัตตาหารแดพระสงฆมีพระพุทธเจา เปน ประมขุ นัน้ มอี านิสงสมาก จงึ มธี รรมเนยี มวา เม่ือนมิ นตพระสงฆม า ประกอบพธิ ที ําบญุ ไมวางานใดๆ ตองอัญเชญิ พระพทุ ธรปู มาประดิษฐาน เปนประธานเสมอ แตการถวายขาวพระพุทธนั้น จัดเปนบูชาอยางหนึ่ง คือ อามิสบูชา คาํ บูชาขาวพระพทุ ธวา อิมงั สปู ะพยญั ชะนะสมั ปันนัง สาลีนัง โอทะนัง อทุ ะกงั วะรงั พทุ ธสั สะ ปเู ชมิ ไมใ ชค าํ วา โอโณชะยามิ หรือ เทมิ เหมือนกลา วคาํ ถวายทานแดพระสงฆ การจดั อาหารสาํ หรบั บชู าพระพทุ ธนน้ั ควรจดั ใหป ระณตี สวยงาม ทงั้ อาหารคาวหวานพรอ มขา วนาํ้ ใสโ ตกหรอื สาํ รบั ภาชนะทใ่ี สอาหารตอ ง ไมเล็กเกินไป พอขนาดใหคนรับประทานอิ่ม ไมควรจัดใสภาชนะเล็ก ๆ ดูคลา ยของเซนผี เชน ถว ยตะไล จดั โตะปผู า ขาว ตั้งไวดา นหนาโตะหมู เมอ่ื พระสงฆเ จรญิ หรอื สวดพระพทุ ธมนตถ งึ บทพาหงุ ยกสาํ รบั อาหารมาตงั้ แลวกลาวคาํ บชู า หรอื จะยกมาตอนพระสงฆเ จริญหรือสวดพระพทุ ธมนต จบแลว กไ็ ด กลา วคาํ บชู าใหเ รยี บรอ ยกอ น จงึ ประเคนภตั ตาหารแดพ ระสงฆ ตามลาํ ดับไป งานทาํ บญุ ขึน้ บา้ นใหม่และเปิ ดอาคารสาํ นักงาน ธรรมเนียมของชาวพุทธไทยแตโบราณ เมื่อปลูกอาคารบาน เรือนหลังใหม กอนจะเขาไปอยูอาศัยหรือใชประกอบกิจการ จะตองจัด พิธีทําบุญขึ้นบานใหม หรือพิธีทําบุญเนื่องในการเปดอาคารสํานักงาน ไมเวนแมแตวัดวาอารามตาง ๆ ที่สรา งอุโบสถ วหิ ารหรอื ศาลาหลงั ใหม เสร็จเรียบรอยแลว ก็จะจัดพิธีเฉลิมฉลองเชนกัน การจัดพิธีตามที่กลาว คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 261
262 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี มานน้ั วัตถุประสงคสําคญั กเ็ พอื่ ใหเ กดิ ความสขุ ความเจริญ เปนสริ มิ งคล แกผ อู ยอู าศยั หรอื เพ่อื ความเจริญรุงเรืองแกกิจการ ของบรษิ ทั หางรา นท่ี ประกอบธรุ กจิ ในอาคารสาํ นักงานนนั้ ลาํ ดบั ขนั้ ตอนพิธี ลําดับขั้นตอนของพิธีน้ี มีลําดับวิธีการปฏิบัติคลายกับพิธีกลาว มาแลว เพียงแตเจาภาพตองจัดเตรียมแปงกระแจะ น้ําอบหรือน้ําหอม และแผนทอง สําหรับประธานสงฆเจิมบานหรือเจิมปายอาคารสํานักงาน สงิ่ ของเหลาน้ตี อ งจัดเตรยี มไว เพ่ือนาํ เขา พธิ เี จริญพระพุทธมนตดว ย การเจิมบานหรือเจิมปายอาคารสํานักงาน จะเจิมตอจากพิธี ประพรมน้ําพระพุทธมนต โดยเจาภาพเปนผูถือพานใสแปงเจิมและ แผน ทอง นาํ ประธานสงฆไ ปเจมิ ตามจดุ ทก่ี าํ หนดไว เชน ประตบู า น ประตู หอ งนอน หรอื ปา ยอาคารสาํ นกั งาน เมอื่ เจมิ และปด แผน ทองเรยี บรอ ยแลว ประธานสงฆประพรมน้าํ พระพุทธมนต เปน อันเสร็จพธิ ี 262
ÇªÔ Ò¾·Ø ¸»ÃÐÇμÑ Ô 263 บทท่ี ๕ พิธีถวายทาน คําวา ทาน แปลวา การให้ กลาวโดยรวม คือ การให้สิ่งท่ี ควรให้แก่คนที่ควรให้ ทานจึงสําเร็จประโยชนและเกิดผลตามความ ประสงค เพราะถาใหส ง่ิ ท่ีไมเ หมาะสม เชน สรุ า ยาเสพติด ไมจัดเปน ทาน ในทางธรรมจาํ แนกชนดิ ของทาน คอื อามสิ ทาน ใหว ตั ถสุ งิ่ ของ ธรรมทาน ใหธ รรมะคาํ สง่ั สอน นอกจากนย้ี งั มคี าํ ทเี่ พมิ่ เตมิ ในภายหลงั คอื อภยั ทาน การใหอภัย และวิทยาทาน ใหวิชาความรู สวนคําท่ีมีความหมาย ใกลเคียง ไดแก บริจาค นาํ มารวมกับคาํ วา ทาน เปนบรจิ าคทาน ทาน ท่ีแปลวา การให เมื่อใชกับผูรับท่ีมีฐานะแตกตางกัน ในภาษาไทยมีคําใชตามความเหมาะสมแกฐานะ เชน ใหบุคคลธรรมดา หรือสัตวเพ่ือสงเคราะห ใชคําวาใหทานหรือบริจาคทาน ใหพระภิกษุ สามเณร ใชคําวา ถวายทาน ใหพระมหากษัตริย ใชคําวา ทูลเกลา้ ฯ ถวาย หรอื น้อมเกลา้ ฯ ถวาย แตในท่ีนี้กลาวเฉพาะการถวายทานแด พระภกิ ษสุ ามเณรทมี่ กี ารจดั เปน พธิ ี มกี ารกลา วคาํ ถวายนยิ มจดั กนั ทว่ั ไป คือ พิธีถวายทาน ทาน ที่แปลวา สงิ่ ทคี่ วรให้ คือ การถวายวัตถุส่ิงของที่สมควร ใหเ ปน ทาน เรยี กวา ทานวตั ถุในพระพทุ ธศาสนาจาํ แนกไว ๑๐ อยา ง คอื ๑. ภตั ตาหาร ๒. นํา้ รวมทั้งเครื่องด่ืมท่ีสมควรแกสมณบรโิ ภค ๓. ผา เครอ่ื งนงุ หม ๔. ยานพาหนะรวมทั้งปจจยั คา โดยสาร ๕. ดอกไมแ ละมาลยั สาํ หรบั บชู า คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 263
264 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี ๖. ของหอม หมายถงึ ธปู เทยี นเครือ่ งสกั การบูชา ๗. เคร่ืองลูบไล หมายถงึ เครอื่ งชําระรางกายใหสะอาด เชน สบู ๘. เครือ่ งท่นี อนอนั สมควรแกส มณะ ๙. เสนาสนะท่ีอยูอาศยั รวมทง้ั ตู โตะ เกาอี้ เปน ตน ๑๐. เครื่องประทีป เทียน ตะเกียง พรอมน้ํามันตะเกียงและ เคร่อื งไฟฟา ทานวตั ถุท้ัง ๑๐ ประการน้ี โดยรวม ไดแก ปจจยั ๔ คอื อาหาร เคร่ืองนุงหม ที่อยูอาศัย ยารักษาโรค พรอมท้ังเครื่องบูชาพระรัตนตรัย และเครอ่ื งใชควรแกสมณบริโภคนน่ั เอง พิธีถวายทาน การถวายทานแดพระภิกษุสามเณร แบงออกเปนประเภทใหญ ๒ ประเภท คือ ๑. ปาฏิบคุ ลิกทาน การถวายเจาะจงบคุ คลผรู้ บั คอื ถวายพระภกิ ษุ สามเณรรูปที่ตนรูจักหรือศรัทธาเล่ือมใส การถวายปาฏิบุคลิกทาน ไมจําเปนตองมีพิธีการถวาย เม่ือผูถวายมีจิตศรัทธาจะถวายสิ่งใด แดพระภกิ ษุสามเณรรูปใด ก็จัดของสิง่ น้ัน ถวายแดรปู นน้ั เปน รายบุคคล กส็ าํ เรจ็ เปน ทานแลว สว นผรู บั จะอนโุ มทนาอยา งไร กเ็ ปน เรอ่ื งสว นบคุ คล เชน กนั ๒. สงั ฆทาน การถวายแด่สงฆไ์ ม่เจาะจงภิกษุรปู ใดรปู หน่ึง โดยถวายเปนกองกลางใหพระสงฆเฉล่ียกันใชสอย การถวายสังฆทาน เปนการทาํ บญุ ทมี่ ีอานิสงสม ากกวา ปาฏบิ คุ ลกิ ทาน เพราะถอื วาสงฆเ ปน องคกรทีส่ าํ คญั ในพระพทุ ธศาสนา พระพุทธเจาทรงมอบใหส งฆเปน ใหญ ในพธิ กี รรมและกิจการตางๆ จึงมีผูนยิ มถวายสังฆทานกนั มาก 264
ÇªÔ Ò¾Ø·¸»ÃÐÇÑμÔ 265 เน่ืองจากมีผูนิยมถวายสังฆทานกันมากดังกลาว ปจจุบันจึง มีการจัดพิธีถวายสังฆทานในวัดตางๆ ทั่วไป เพ่ือรองรับศรัทธาของ พุทธศาสนิกชน ใหพุทธศาสนิกชนทําบุญไดสะดวก ทําแลวเกิดความ อิ่มเอมใจ สบายใจ ไดทําบุญถวายสังฆทานตามศรัทธาของตน ในท่ีน้ี จะกลาวเฉพาะพิธีถวายสังฆทานที่เปนแบบอยาง เพื่อเปนแนวทางท่ี พุทธศาสนิกชนจะนําไปปฏบิ ตั อิ ยา งถกู ตอ ง พิธีถวายสงั ฆทาน การถวายสงั ฆทาน หมายถงึ ถวายเป็นของสงฆ์ ให้พระสงฆ์ ได้ใช้ร่วมกนั ผูรับจะเปนภิกษุหรือสามเณรก็ได จํานวนเพียงรูปเดียว หรือหลายรูปก็ได สําคัญอยูท่ีเจตนาวาตองการจะถวายสงฆ ดังนั้น เวลานมิ นตพ ระตอ งไมร ะบวุ า รปู นน้ั รปู น้ี เพราะจะกลายเปน ปาฏบิ คุ ลกิ ทาน ไป เมื่อทางวัดจัดพระภิกษุใหตามจํานวนที่นิมนต จะเปนพระมหาเถระ พระบวชใหม หรือสามเณรก็ตาม จัดวาเปนสงฆในพิธีน้ี สวนผูนิมนต ก็ถวายสังฆทานสําเร็จตามความต้ังใจ แตถาผูนิมนตเห็นพระเถระ ท่ีตนเคารพเลื่อมใส เปนหัวหนาสงฆมารับสังฆทาน เกิดความปติ ยินดีวา เจาอาวาสมาดวยตนเอง เปนการใหเกียรติแกตน ถาทางวัด จัดพระบวชใหมและสามเณรให เกิดความนอยใจวา ทางวัดไมเห็น ความสําคัญของตน จัดแตพระบวชใหมและสามเณรมาให เชนนี้เมื่อ ถวายแลว ไมจัดเปนสังฆทานท่ีสมบูรณ เพราะจิตของผูถวายไปยึด ติดในบุคคล บางคนนิมนตพระภิกษุหรือสามเณรท่ีเดินบิณฑบาต ผานหนาบานของตน โดยตั้งใจวา นิมนตจากสงฆไมเจาะจงรูปใด แมเ พยี งรปู เดียวหรือสองรปู แลวถวายสงั ฆทานในบานของตนนนั้ เชนนี้ จดั เปนสังฆทานท่ีถกู ตองสมบูรณและมีอานิสงสมาก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 265
266 ¤Á‹Ù Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี การถวายสังฆทานนั้น มิใชถวายไดเฉพาะภัตตาหารและ กัปปยภัณฑเทาน้ัน การถวายกุฏิ ศาลา สะพาน ที่ดิน เปนตน อันควร แกสงฆ ก็จัดวาเปนสังฆทานเชนเดียวกัน และการถวายสังฆทานน้ันจะ ถวายท่ีวัด ทีบ่ าน หรือทีส่ าํ นักงานกไ็ ด ถวายเวลาเชา บาย หรือกลางคนื ก็ไดเ ชน กนั ท้ังนี้ ข้นึ กับความสะดวกและความเหมาะสม การเตรียมการและลาํ ดบั พิธี ๑. นิมนตพระสงฆต ามจํานวนทีต่ องการ ๒. เตรยี มสถานประกอบพธิ ี ตัง้ โตะหมูบชู า และอาสนะสงฆ ๓. จัดภตั ตาหารและสง่ิ อืน่ ๆ ทตี่ อ งการถวาย ๔. ผรู ว มพธิ แี ละพระสงฆพ รอ มแลว ยกสงั ฆทานตง้ั ไวเ บอื้ งหนา พระสงฆห รือท่สี มควร ๕. จดุ ธูปเทียนบูชาพระรตั นตรัย กลา วบชู าพระ ไหวพระ ๖. อาราธนาศีล รบั ศีล ๗. ถวายสังฆทาน พิธกี รเชิญทกุ คนต้งั นะโม พรอ มกัน ๓ จบ แลวกลาวคําถวายสังฆทาน ท้ังภาษามคธและคําแปล จบแลวยกเครื่อง สังฆทานประเคนพระสงฆ กรวดน้าํ รับพรจากพระสงฆ เปน อันเสร็จพิธี ข้อควรรบั ทราบ การถวายทานทุกคร้ัง ใหต้ังนะโม ๓ จบกอนกลาวคําถวาย ถาถวายสังฆทานหลังเท่ียงวันไปแลว ไมควรมีอาหารสด ถาเปนอาหาร แหง ก็ไมจําเปนตองยกประเคน เพราะผิดวินัยพระสงฆ ประเคนเฉพาะ ของฉนั ไดห ลังเทีย่ งวันและของควรแกสมณบริโภค เชน น้าํ ด่มื น้าํ ปานะ เปน ตน 266
ÇªÔ Ò¾Ø·¸»ÃÐÇμÑ Ô 267 การถวายสงั ฆทานอทุ ศิ ใหผ ตู าย พงึ ปฏบิ ตั เิ ชน เดยี วกบั การถวาย สงั ฆทานสามญั ตา งกนั แตค าํ ถวายจาก ภตตฺ านิ เปน มตกภตตฺ านิ เทา นน้ั ในการถวายทานอน่ื ๆ เชน ถวายผา อาบนา้ํ ฝน ถวายผา ปา มลี าํ ดบั พธิ เี ชน เดียวกนั ตางกันบางในพิธีถวายผาปา เมือ่ กลาวคําถวายแลว ไมต อ งยก ตน ผา ปา ประเคน นมิ นตพ ระสงฆ ไปพจิ ารณาผา ปา (ชักบังสุกุล) แทน คาํ ถวายสงั ฆทาน (สามญั ) อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขสุ งั โฆ อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏคิ คณั หาตุ อมั หากงั ทฆี ะรัตตงั หิตายะ สขุ ายะ. คาํ แปล ขา แตพระสงฆผเู จริญ ขาพเจา ท้ังหลาย ขอนอมถวายภตั ตาหาร พรอมทั้งบริวารเหลานี้ แดพระภิกษุสงฆ ขอพระภิกษุสงฆโปรดรับ ภัตตาหาร พรอมท้ังบริวารเหลานี้ ของขาพเจาท้ังหลาย เพ่ือประโยชน และความสขุ แกขา พเจา ท้งั หลาย ตลอดกาลนาน เทอญ. คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 267
268 ¤Á‹Ù ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี บทที่ ๖ พิธีกรรมพิเศษเฉพาะเรื่อง พิธีแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ การแสดงตนเป็ นพุทธมามกะ คือ การประกาศตนของ ผแู้ สดงว่า เป็นผรู้ บั นับถือพระพทุ ธเจ้าว่าเป็นของตน ได้แก่ ยอมรบั นับถือพระพุทธศาสนาเป็ นศาสนาประจําชีวิตของตน สมเด็จ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ทรงพระนิพนธไวใ นคาํ นาํ หนังสือพุทธมามกะวา “การแสดงใหปรากฏวาเปนผูนับถือพระพุทธ- ศาสนา ไดท าํ กันมาต้ังแตค รง้ั พทุ ธกาล เปน กจิ จาํ เปน ทาํ ในสมยั อันเปน คราวทพ่ี ระพทุ ธศาสนาเกดิ ขน้ึ ใหม เพอื่ แสดงใหร วู า ตนละลทั ธเิ ดมิ รบั เอา พระพุทธศาสนาเปน ท่ีนับถือ” การแสดงตนเปนพุทธมามกะมีวัตถุประสงคตางกัน โดยสมควร แกบริษทั ดงั น้ี ๑. ผเู ปน บรรพชติ นอกพระพทุ ธศาสนามากอ น มาทลู ขอบรรพชา อุปสมบท พระพุทธเจาจะทรงประทานการอุปสมบทดวยวิธีเอหิภิกขุ อปุ สัมปทา แมคฤหัสถก็ทรงรับวิธเี ดยี วกัน ๒. ผูมาขอบรรพชาอุปสมบทตอพระสาวก รับถือเพศตาม พระสาวกกอ นแลว เปลง วาจา ถอื พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ เปน สรณะ ทพี่ งึ่ ทรี่ ะลกึ ๓ ครงั้ เรยี กวา ตสิ รณคมนปู สมั ปทา ตอ มาใชเ ปน วธิ บี รรพชา เปน สามเณร ๓. คฤหัสถผูไมประสงคจะบวช ปฏิญาณตนถึงพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ เปน สรณะ ชายเปน อบุ าสก หญงิ เปนอุบาสิกา หรือ มิไดกลา วปฏิญาณตน แตน ับถอื สบื กันมา ไดก ราบไหวบูชาสักการะตาม 268
ÇԪҾط¸»ÃÐÇμÑ Ô 269 ประเพณีก็ใชไดเชนกัน การแสดงตนเปนพุทธมามกะไมจําเพาะตองทํา คราวเดยี ว ทําซ้ําๆ หลายครั้งกไ็ ด เรียกวา ทฬั หีกรรม ทําใหม น่ั คงยง่ิ ขึ้น ความเป็นมาของพิธีแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ ในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา เจาอยหู วั รชั กาลที่ ๕ ทรงสงพระราชโอรสไปศึกษาในยุโรปหลายพระองค บางพระองคยัง ทรงพระเยาว และไมเคยผนวชเปนสามเณรมากอน พระองคมีพระราช ปริวิตกวา พระราชโอรสเหลานั้นยังไมรูสึกมั่นคงในพระพุทธศาสนา จึงทรงโปรดใหพระราชโอรสผูมิเคยผนวชเปนสามเณรปฏิญาณพระองค เปนผูนับถือพระพุทธศาสนา กอนเสด็จออกไปศึกษาในยุโรป พระบาท สมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเป็นพระองคแ์ รกทปี่ ฏญิ าณพระองค์ ตามธรรมเนียมทที่ รงตงั้ ข้นึ ใหม่นัน้ ตอมาผูอื่นนอกจากพระราชวงศ เห็นชอบตามพระราชดําริ จงึ ไดท าํ ตามบา ง ดวยเหตุน้ี จึงมีประเพณีการแสดงตนเปนพุทธมามกะสืบตอ กันมา ในปจจุบันการปฏิบัติพิธีแสดงตนเปนพุทธมามกะยังนิยมจัดใน ประเทศไทย พอสรปุ วตั ถปุ ระสงคไ ด ดงั น้ี ๑. เมอื่ บตุ รหลานของตนเจรญิ วยั อยใู นระหวา งอายุ ๑๒ - ๑๕ ป ประกอบพิธีใหบุตรหลานของตนแสดงตนเปนพุทธมามกะ เพื่อใหเด็ก สบื ทอดความเปนพทุ ธศาสนกิ ชนตามสกุลวงศ ๒. เม่ือบุตรหลานซ่ึงนับถือพระพุทธศาสนาอยูแลว ไปศึกษา ในประเทศนับถือศาสนาอื่น นิยมประกอบพิธีใหบุตรหลานแสดงตนเปน พทุ ธมามกะ เพอ่ื ตอ งการใหเ ดก็ ระลกึ ถงึ ตนอยเู สมอวา เปน พทุ ธศาสนกิ ชน ๓. เมื่อจะปลูกฝงใหเยาวชนม่ันคงในพระพุทธศาสนา โรงเรียน ซึ่งต้ังอยูในชุมชนชาวพุทธ นิยมนํานักเรียนท่ีเขารับการศึกษาใหม หรือ รวมทง้ั หมดกไ็ ด แสดงตนเปน พทุ ธมามกะปล ะ ๑ ครง้ั เพอื่ ใหน กั เรยี นเหน็ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 269
270 ¤Á‹Ù Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี ความสาํ คัญในการนับถือพระพุทธศาสนา ๔. เม่อื บุคคลท่นี บั ถือศาสนาอนื่ เกิดความเลือ่ มใสในพระพทุ ธ- ศาสนา ตองการประกาศตนนับถือพระพุทธศาสนา ก็ประกอบพิธีแสดง ตนเปน พทุ ธมามกะ เพอื่ ประกาศตนวา นบั แตน ไี้ ป ขา พเจา ยอมรบั นบั ถอื พระพุทธศาสนา ระเบยี บพิธีการแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ บุคคลที่ตองการแสดงตนเปนพุทธมามกะ ตองไปมอบตัวตอ พระอาจารยทีต่ นเคารพนบั ถอื ถาเปน เดก็ หรอื นกั เรียน ควรมีผปู กครอง หรือครูนําไป นําดอกไมธูปเทียนหรือธูปเทียนแพไปถวายพระอาจารย ตามธรรมเนยี มโบราณดว ย เมอ่ื ไปถงึ สาํ นกั พระอาจารยผ จู ะแสดงตนเปน พุทธมามกะ พงึ ปฏิบตั ิ ดังน้ี ๑. เขาไปหาพระอาจารย ทําความเคารพ กราบเรียนถึง วัตถุประสงคในการแสดงตนเปนพุทธมามกะใหพระอาจารยทราบ เม่ือทา นรบั แลวจงึ มอบตวั ๒. ผูจะแสดงตนเปนพุทธมามกะ ถือพานดอกไมเขาไปหา พระอาจารย คกุ เขา ลงกับพนื้ ยกพานดอกไมข น้ึ นอ มตวั ลงประเคน ๓. เมอื่ พระอาจารยร บั พานแลว ใหถ อยออกมาพอสมควร ประนม มอื กมลงกราบดวยเบญจางคประดิษฐ ๓ ครงั้ แลวน่ังพบั เพียบเพ่ือรบั ฟง ขอแนะนาํ พรอมท้ังกําหนดนัดหมายวนั เวลาในการประกอบพธิ ี ๔. อาราธนาพระสงฆอยางตาํ่ ๓ รปู รวมพระอาจารยดวยเปน ๔ รูป คอื ครบองคส งฆ หรือเกนิ กวา น้ีก็ได เสร็จแลว กราบลาพระอาจารย ๕. เมอื่ ถงึ วนั นดั หมาย พระอาจารยจ ะจดั เตรยี มสถานทปี่ ระกอบ พธิ ี พิธีน้อี าจจัดข้นึ ในวัด เชน พระอุโบสถ หากผูแสดงตนมจี าํ นวนมาก 270
ÇªÔ Ò¾·Ø ¸»ÃÐÇÑμÔ 271 จะจัดที่ศาลาการเปรียญ หรือหองประชุมในวัดก็ได ผูจะแสดงตนเปน พทุ ธมามกะควรแตง กายสภุ าพ ชดุ สขี าว ถา เปน เดก็ นกั เรยี นจะแตง เครอื่ ง แบบตามปกตกิ ไ็ ด เมอื่ ถงึ เวลากาํ หนด พระอาจารยพ รอ มดว ยพระสงฆ จะ มายงั สถานท่ปี ระกอบพิธี กราบพระพทุ ธรูป นั่งบนอาสนะท่ีจดั เตรียมไว ผูแสดงตนเปนพุทธมามกะเขาไปคุกเขาหนาโตะหมู จุดธูปเทียนและ วางดอกไม เปลง วาจาบชู าพระรตั นตรัยวา อมิ นิ า สกั กาเรนะ พทุ ธงั ปเู ชมิ (กราบ) อมิ นิ า สกั กาเรนะ ธมั มงั ปเู ชมิ (กราบ) อมิ นิ า สกั กาเรนะ สงั ฆงั ปเู ชมิ (กราบ) ถามีผูแสดงตนเปนพุทธมามกะจํานวนมาก ใหหัวหนาหรือผูนํา เปน คนจดุ ธปู เทยี นคนเดยี ว นอกนนั้ ใหว างดอกไมท นี่ าํ มาบชู าพระรตั นตรยั ดว ย ใหห วั หนา เปน ผกู ลา วนาํ บชู าเสรจ็ แลว กราบลงพรอ มๆ กนั หลงั จากนน้ั กลาวคาํ นมัสการและคําปฏิญาณตนตอหนาพระสงฆ ดังนี้ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพทุ ธัสสะ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พทุ ธสั สะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พุทธสั สะ เอสาหัง ภันเต สุจริ ะปะรินิพพตุ มั ป ตัง ภะคะวันตงั สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัญจะ สังฆญั จะ พทุ ธะมามะโกติ มงั สังโฆ ธาเรตุ. คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 271
272 ¤ÁÙ‹ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี คาํ แปล ขา พเจา ขอนอบนอ ม แดพ ระผมู พี ระภาค อรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา นัน้ (๓ จบ) ขา แตพ ระสงฆผ เู จรญิ ขา พเจา ขอถงึ พระผมู พี ระภาคพระองคน นั้ แมป รินิพพานนานแลว ทงั้ พระธรรม และพระสงฆ เปนสรณะที่พึ่งที่ระลึก นบั ถอื ขอพระสงฆจ งจําขา พเจาไวว า เปนพุทธมามกะ ผูรับพระพทุ ธเจา เปนของตน คือ ผูนับถอื พระพุทธเจา ถา ปฏิญาณพรอ มกันหลายคน ใหเปล่ียนคาํ กลา ว ดงั นี้ คาํ วา เอสาหงั ผชู ายวา เอเต มะยงั สตรีวา เอตา มะยงั คําวา คจั ฉามิ เปน คจั ฉามะ คําวา พทุ ธมามโกติ เปน พทุ ธมามกาติ คําวา มงั เปน โน คําวา พุทธมามโกติ ถาเปนสตรีแมคนเดียว ก็เปลี่ยนเปน พทุ ธมามกาติ เมื่อกลาวคํานมัสการและคําปฏิญาณจบลงแลว พระสงฆจะรับ สาธุ พรอมกัน พึงกมลงกราบพรอมกัน ลดลงนั่งราบกับพื้น ประนมมือ รับฟงโอวาทจากพระอาจารยตอไป หลังจากรับโอวาทจากพระอาจารย จบแลว ผปู ฏญิ าณตนรบั วา สาธุ แลว พงึ น่งั คุกเขาประนมมือ กลา วคาํ สมาทานศลี ๕ ถ้าปฏิญาณตนเป็นพทุ ธมามกะคนเดียว เปลี่ยนคาํ วา มะยงั เปน อะหงั คําวา ยาจามะ เปน ยาจามิ ทงั้ หญิงและชาย ตอจาก น้ันพงึ วา ตามพระอาจารยผูบ อกศีล ๕ เริม่ ต้งั แต นะโม ... เมือ่ วา นะโม ตามครบสามจบแลว พระอาจารยจะกลาวคําวา ยะมะหัง วะทามิ ตัง วะเทหิ ผปู ฏญิ าณตนรบั วา อามะ ภนั เต พระอาจารยจ ะบอกไตรสรณคมน ตอ วา พทุ ธงั สะระณงั คจั ฉาม.ิ .. พงึ วา ตามไป จบแลว พระอาจารยจ ะกลา ว 272
ÇªÔ Ò¾·Ø ¸»ÃÐÇμÑ Ô 273 อีกวา ตสิ ะระณะคะมะนัง นิฏฐติ งั ผูปฏิญาณตนพึงรับวา อามะ ภนั เต ต่อมาพระอาจารยจ์ ะบอกศลี ๕ วา่ ปาณาตปิ าตา เวรมณี ... พงึ วา ตามไป จนครบ ๕ ขอ จากนนั้ พระอาจารยจ ะกลา วคาํ วา อมิ านิ ปญ จะ สกิ ขาปะทานิ สะมาทยิ ามิ จบเดยี ว สว นผปู ฏญิ าณตนตอ งวา ตาม ๓ จบ เมอื่ พระอาจารย บอกอานิสงสข องศลี จบแลว ผปู ฏิญาณตนพึงกราบลง ๓ ครงั้ ถา มเี ครอ่ื ง ไทยธรรมถวายพระสงฆ ก็นํามาถวายในตอนน้ี ถวายเสร็จแลวน่ังราบ เตรียมกรวดนํา้ รับพรจากพระสงฆตอ ไป การกรวดน้ํา มีแบบแผนปฏิบัติกันมา คือ เมื่อพระสงฆเร่ิม ยะถา วาริวะหา ... ผกู รวดนา้ํ พงึ เทนาํ้ กรวดลงภาชนะรองรบั เมอ่ื พระสงฆ กลาวถึงคําวา มณิโชติรโส ยะถา ผู้กรวดน้ําพึงเทน้ําให้หมดพอดี เมื่อพระสงฆรูปท่ีสองรับวา สัพพีติโย ... พึงนั่งประนมมือรับพรตอไป จนจบ เสร็จแลวน่ังคุกเขากราบพระสงฆ ๓ ครั้ง เปนอันเสร็จพิธีการ ปฏิญาณตนเปนพทุ ธมามกะ คาํ บชู า คาํ อาราธนา คาํ ถวายทาน คาํ บชู าพระรตั นตรยั แบบท่ี ๑ อมิ นิ า สักกาเรนะ พุทธงั ปเู ชมิ อิมนิ า สักกาเรนะ ธัมมงั ปูเชมิ อิมินา สกั กาเรนะ สงั ฆัง ปเู ชมิ แบบที่ ๒ อมิ นิ า สักกาเรนะ พทุ ธัง อภปิ ชู ะยามิ อมิ ินา สกั กาเรนะ ธัมมงั อภิปชู ะยามิ อมิ นิ า สกั กาเรนะ สังฆัง อภปิ ชู ะยามิ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 273
274 ¤Á‹Ù ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ μÃÕ คาํ กราบนมสั การพระรตั นตรยั อะระหงั สมั มาสัมพทุ โธ ภะคะวา, พุทธงั ภะคะวันตงั อะภวิ าเทมิ (กราบ) สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธมั มงั นะมสั สามิ (กราบ) สปุ ะฏปิ นโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ) คาํ อาราธนาศีล ๕ มะยงั ภนั เต, วสิ งุ วิสุง รักขะนัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, ปญ จะ สีลานิ ยาจามะ ทตุ ิยัมป มะยัง ภนั เต, วิสงุ วสิ ุง รักขะนตั ถายะ, ตสิ ะระเณนะ สะหะ, ปญจะ สลี านิ ยาจามะ, ตะตยิ ัมป มะยัง ภันเต, วิสุง วิสงุ รกั ขะนตั ถายะ, ตสิ ะระเณนะ สะหะ, ปญจะ สีลานิ ยาจามะ. หมายเหตุ : อาราธนาศีล ๘ เปลีย่ น ปัญจะ เปน อฏั ฐะ รบั ศลี คนเดยี ว เปลย่ี น มะยงั เปน อะหงั , ยาจามะ เปน ยาจามิ คาํ อาราธนาพระปริตร วปิ ต ติปะฏพิ าหายะ สพั พะสมั ปตติสทิ ธยิ า สพั พะทกุ ขะวินาสายะ ปะรติ ตัง พรถู ะ มงั คะลงั วปิ ต ติปะฏพิ าหายะ สพั พะสัมปต ติสิทธิยา สัพพะภะยะวินาสายะ ปะรติ ตงั พรูถะ มงั คะลัง วปิ ตติปะฏพิ าหายะ สัพพะสมั ปต ตสิ ิทธิยา สพั พะโรคะวินาสายะ ปะริตตงั พรูถะ มงั คะลงั . คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี 274
ÇÔªÒ¾·Ø ¸»ÃÐÇÑμÔ 275 สรณคมน์และศีล ๕ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ (วา ๓ จบ) พุทธงั สะระณงั คัจฉามิ ธัมมงั สะระณงั คัจฉามิ สงั ฆงั สะระณัง คจั ฉามิ ทุติยมั ป พทุ ธัง สะระณัง คจั ฉามิ ทตุ ิยมั ป ธมั มัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยมั ป สังฆงั สะระณงั คจั ฉามิ ตะตยิ ัมป พทุ ธงั สะระณงั คจั ฉามิ ตะตยิ ัมป ธัมมัง สะระณงั คัจฉามิ ตะตยิ ัมป สังฆัง สะระณัง คจั ฉามิ ปาณาติปาตา เวระมะณี สกิ ขาปะทัง สะมาทิยามิ อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทยิ ามิ กาเมสุมจิ ฉาจารา เวระมะณี สกิ ขาปะทัง สะมาทยิ ามิ มสุ าวาทา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทยิ ามิ สุราเมระยะมัชชะปะมาทฏั ฐานา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามิ อิมานิ ปญจะ สิกขาปะทานิ สีเลนะ สคุ ะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา สเี ลนะ นพิ พุตงิ ยันติ ตัสมา สลี งั วิโสธะเย. คาํ อาราธนาธรรม พรหั มา จะ โลกาธิปะตี สะหัมปะติ กัตอัญชะลี อนั ธิวะรงั อะยาจะถะ สันตีธะ สัตตาปปะระชักขะชาติกา เทเสตุ ธมั มงั อะนุกัมปม งั ปะชัง. คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 275
276 ¤ÁÙ‹ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ μÃÕ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั ตรี คาํ บชู าข้าวพระพทุ ธ อิมัง สูปะพะยัญชะนะสัมปนนัง สาลีนัง โอทะนัง อุทะกัง วะรัง พุทธัสสะ ปูเชมิ. คาํ ลาข้าวพระพทุ ธ เสสงั มังคะลงั ยาจามิ. ขาพเจา ขอสวนท่เี หลือ อันเปน มงคล. คาํ ถวายสงั ฆทาน (สามญั ) อิมานิ มะยัง ภันเต, ภัตตานิ, สะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ, อิมานิ, ภัตตานิ, สะปะริวารานิ, ปะฏิคคณั หาต,ุ อัมหากัง, ทฆี ะรัตตัง, หติ ายะ สุขายะ. คาํ แปล ขา แตพ ระสงฆผ เู จรญิ ขา พเจา ทงั้ หลาย ขอนอ มถวาย ภตั ตาหาร พรอมท้ังบริวารเหลาน้ี แดพระภิกษุสงฆ ขอพระภิกษุสงฆโปรดรับ ภัตตาหาร พรอมทั้งบริวารเหลาน้ี ของขาพเจาท้ังหลาย เพื่อประโยชน และความสุข แกข าพเจา ท้ังหลาย ตลอดกาลนาน เทอญ. 276
ÇªÔ Ò¾·Ø ¸»ÃÐÇμÑ Ô 277 ¢ŒÍÊͺ¸ÃÃÁʹÒÁËÅǧ ËÅÑ¡ÊÙμøÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªéѹμÃÕ ÇªÔ Ò ¾·Ø ¸»ÃÐÇÑμÔ ¾.È. òõõö - òõõø คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นตรี 277
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420