230 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ฤาษีกําลังนอนในบรรณศาลา พระปจเจกพุทธเจาจึงไปน่ังบนแทนหินของฤาษี ฤาษีทราบวา พระปจเจกพุทธเจาน่ังบนอาสนะของตน มีความโกรธ จึงชี้หนาดาวา เจา สมณะโลน ถอ ยกาฬกณิ ี จงฉบิ หาย เจา มานง่ั บนแผน หนิ ทนี่ งั่ ของขา ทาํ ไม พระปจ เจก พระพุทธเจาไดพูดกับฤาษีนั้นวา ทานสัตบุรุษ ทําไมจึงถือตัวนักเลา อาตมาบรรลุ ปจเจกพุทธญาณแลว ทานก็จะเปนพระสัพพัญญพุทธเจาในกัลปน้ี ทานเปนหนอ เน้ือแหงพุทธะ บําเพ็ญความดีมามากแลว เมื่อเวลาผานไปเทาน้ี ทานก็จักไดเปน พระพุทธเจา ทรงพระนามวาสิทธัตถะ โดยใหโอวาทตอไปวา ทานเปนผูถือตัว หยาบคาย รายกาจ เพือ่ อะไร ทาํ อยา งนี้ไมส มควรแกท านเลย ฤาษนี นั้ ก็ยังไมไ หวทาน และไมถามวา ตนเองจะไดเปนพระพุทธเจาเม่ือไหร พระปจเจกพุทธเจาพูดกับฤาษีวา ทานไมร หู รือวา เราก็มชี าตสิ ูงและมคี ุณใหญเ หมือนกัน ถาแนจ รงิ ก็เหาะใหเหมือนเราสิ แลว พระปจ เจกพทุ ธเจา กเ็ หาะขนึ้ ไปในอากาศ โปรยฝนุ ทเ่ี ทา ของทา นลงบนมวยผมของ ฤาษีแลว กลบั ไปยังปา หมิ พานต ฤาษเี กดิ ความสลดใจ คดิ วา พระสมณะองคน มี้ รี า งกายหนกั แตเ หาะไปเหมอื น ปยุ นนุ ทถ่ี กู ลมพดั เราไมไ หวท า น ไมถ ามทา นดว ยความเยอ หยงิ่ เพราะชาติ ขนึ้ ชอ่ื วา ชาติ ชนชั้นวรรณะ จะทาํ ประโยชนอะไรได การประพฤตศิ ลี เทาน้นั เปน คณุ ทีย่ ่งิ ใหญในโลก แตมานะถือตัวของเรา เม่ือเกิดข้ึนแลว มีแตจะนําไปสูนรก ถาเรายังขมมานะนี้ไมได จะไมไปหาผลาผล (ผลไมอาหาร) มาบริโภค จึงเขาสูบรรณศาลาสมาทานอุโบสถเพื่อ ขม มานะของตน ชาดกเรอื่ งน้ี ไดแ สดงใหเ หน็ วา ความทกุ ขแ ละภยั อนั ตรายทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั มนษุ ย และสตั วเ ปน การสว นตวั หรอื เกดิ ขน้ึ กบั สงั คมกต็ าม มกั เกดิ ขน้ึ เพราะความขาดศลี ธรรม การจะแกไขความทุกขและภัยอันตรายน้ัน ควรแกไขดวยศีลธรรม ไมควรแกไขดวย กเิ ลสหรอื ดว ยอบายมขุ เพราะจะยงิ่ เปน การเพม่ิ ปญ หาใหม ากและกวา งขวางออกไปอกี การเขา อยจู าํ อโุ บสถ สงบจติ ใจ จะทาํ ใหเ กดิ ปญ ญา มองเหน็ วธิ แี กไ ขปญ หาและปอ งกนั ภัยอันตรายไดอ ยางถกู ตอ ง 230
ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÑÂ) 231 วริ ัติ เจตนางดเวนจากการลว งละเมิดศลี ศลี จะมไี ด กด็ วยการตง้ั เจตนางดเวนจากการลว งละเมดิ ศลี ถา ไมม ีเจตนา จะงดเวน แมมิไดทําการละเมิดศีล ก็ยังไมไดชื่อวามีศีล เชน ผูรายท่ีถูกจับขังไว ขณะทอ่ี ยใู นหอ งขงั นน้ั แมเ ขาไมไ ดฆ า ใคร ไมล กั ของใคร กย็ งั ไมไ ดช อ่ื วา มศี ลี เพราะไมไ ด มเี จตนางดเวน ตอเม่ือใดเขาไดต ้ังใจเจตนางดเวน เมือ่ นน้ั เขาจึงจะไดช่อื วามีศีล เจตนางดเวน จากการลวงละเมิดศลี เรียกวา วิรตั ิ มี ๓ ประการ คือ ๑. สัมปตติวิรัติ หมายถึง เจตนางดเวนเม่ือประจวบกับเหตุที่จะทําให ผิดศีล คือเวนส่ิงประสบเฉพาะหนา เวนไดทั้งที่ประจวบกับโอกาสที่เอ้ืออํานวยให กระทําผิดศีล งดเวนโดยท่ีไมไดตั้งเจตนาไวกอน ไมไดสมาทานสิกขาบทไวเลย แตเม่ือประสบเหตุท่ีจะทําชั่ว คิดขึ้นไดในขณะนั้นวา ตนมีชาติ ตระกูล วัย หรือ คุณวุฒิอยางน้ี ไมสมควรกระทํากรรมช่ัวเชนน้ัน แลวงดเวนเสียได ไมทําผิดศีล เกดิ ความละอายแกใ จท่จี ะทําชัว่ ๒. สมาทานวิรัติ หมายถึง เจตนางดเวนดวยการสมาทานศีล คือไดต้ังใจ สมาทานศลี และงดเวน ตามทไี่ ดส มาทานนนั้ สมดงั ความในอรรถกถาสมมั มทฎิ ฐสิ ตู รวา อุบาสกคนหน่ึง รับสิกขาบท ในสํานักของพระปงคลพุทธรักขิตเถระผูอยู ในอัมพริยวิหารแลวไดออกไปไถนา แตโคท่ีจะใชไถไดหายไป เขาจึงเที่ยวตามหาโค ไปถงึ ภเู ขา ชอื่ ทันตรวฑั ฒมานะ งูใหญที่ต้ังอยูบนภเู ขานั้นรดั ตัวเขาไว จงึ คิดวา “เราจะ เอามดี ตดั หวั งตู วั นเี้ สยี ” เขาคดิ อยา งนถ้ี งึ ๓ ครงั้ แลว ฉกุ คดิ ไดว า “การทเ่ี รารบั สกิ ขาบท ในสาํ นกั ครผู นู า เคารพสรรเสรญิ แลว ทาํ ลายสกิ ขาบทนนั้ เสยี เปน การกระทาํ ทไ่ี มส มควร” จึงตัดสินใจวา “เรายอมสละชีพแตจะไมยอมสละสิกขาบท” แลวทิ้งมีดไป ทันใดนั้น งใู หญไดค ลายจากการรัดตัวเขาแลว ๓. สมจุ เฉทวริ ตั ิ หมายถงึ เจตนางดเวน เดด็ ขาดของพระอรยิ ะทง้ั หลาย คอื เวน ดวยตดั ขาด อนั ประกอบดว ยอรยิ มรรคซ่งึ ขจัดกิเลสทเ่ี ปนเหตุแหง ความช่ัวน้ัน ๆ เสรจ็ ส้นิ แลว ไมเกดิ มแี มแตความคิดท่ีจะประกอบกรรมชว่ั นัน้ เลย สมดังความในอรรถกถา สัมมทฎิ ฐสิ ตู รวา ก็แมความคิด “เราจักฆาสัตว” ดังน้ี ยอ มไมเกดิ ข้ึนแกพระอรยิ บคุ คล ทง้ั หลายต้งั แตก ารเกิดขึน้ แหงวริ ัตทิ ่ีสมั ปยุตดวยอริยมรรคเรียกวา “สมุทจเฉทวิรตั ”ิ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 231
232 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªéѹⷠคมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ประเภทของอโุ บสถศลี อโุ บสถศีลน้นั แบงประเภทตามระยะเวลาของการรักษามี ๓ ประเภท คือ ๑. ปกติอุโบสถ อุโบสถที่รักษากันตามปกติ เฉพาะวันหน่ึงคืนหน่ึง อยางที่อุบาสก อุบาสิการักษากันอยูทุกวันน้ี มีเดือนละ ๔ วัน คือวันขึ้น ๘ ค่ํา วนั ขึ้น ๑๕ คํ่า วนั แรม ๘ คํ่า วันแรม ๑๔ คํ่า หรือวนั แรม ๑๕ ค่ํา คําวา “วนั หนง่ึ กับคืนหน่ึง” ทานกําหนดนับต้ังแตอรุณข้ึนของวันท่ีรักษาไปถึงอรุณข้ึนของ วันใหม ซึง่ ผูรกั ษาพงึ คาํ นงึ ถึงขอกาํ หนดเวลาเชน นดี้ ว ย เพื่อจะไดร ักษาใหเตม็ วนั หนง่ึ กบั คืนหน่งึ ๒. ปฏิชาครอุโบสถ อุโบสถท่ีรักษาเปนพิเศษกวาปกติ คือรักษาคราวละ ๓ วนั คอื วันรบั วนั รกั ษา วนั สง เชน จะรักษาอุโบสถวัน ๘ คาํ่ จะตอ งรบั มาแตรงุ อรุณ ของวนั ๗ คา่ํ รกั ษาในวนั ๘ คํา่ และสง ไปจงึ ถงึ วนั ๙ ค่าํ จวบถงึ อรณุ ข้ึนของวนั ใหม ในวนั ๑๐ ค่าํ จงึ ครบตามเวลาที่กาํ หนด ๓. ปาฏิหาริยอุโบสถ อุโบสถที่ตองเขาอยูรักษาติดตอกันอยางตํ่า ๑ ปกษ อยางสูงรักษาตลอด ๔ เดือน ตลอดฤดูฝน ปาฏิหาริยอุโบสถ เรียกอีกอยางวา นิพัทธอุโบสถ หมายถงึ อโุ บสถที่ตองรกั ษาติดตอกันเปน ระยะเวลายาว โดยมกี ําหนด ระยะเวลาการเขาอยรู ักษา ๔ ระดับ คือ ๓.๑ ระดับต่ํา ตองอยูรักษาอุโบสถ ๑ ปกษ นับต้ังแตวันออกพรรษาแรก เปนตน ไป จนครบ ๑ ปกษ คือตง้ั แตว นั แรม ๑ คา่ํ เดอื น ๑๑ ถงึ วันแรม ๑๔ คาํ่ เดอื น ๑๑ ๓.๒ ระดับกลาง ตองอยูรักษาอุโบสถ ๑ เดือนติดตอกัน นับแตวันออก พรรษาแรกเปนตนไป จนครบ ๑ เดอื น คอื ต้ังแตว ันแรม ๑ คา่ํ เดือน ๑๑ ถงึ วันข้ึน ๑๕ คํา่ เดอื น ๑๒ ๓.๓ ระดับสามัญ ตองอยูรักษาอุโบสถ ๓ เดือนติดตอกัน ตลอดพรรษา นบั แตว นั เขา พรรษาจนถึงวนั ออกพรรษา คือตัง้ แตว ันแรม ๑ คํ่า เดือน ๘ ถงึ วันขึ้น ๑๕ ค่ํา เดือน ๑๑ ๓.๔ ระดับสูง ตองอยูรักษาอุโบสถ ๔ เดือนติดตอกัน ตลอดฤดูฝน นับแตวันเขาพรรษาเปน ตน ไป จนครบ ๔ เดือน คือตั้งแตวนั แรม ๑ คํ่า เดอื น ๘ ถึง วนั ขึน้ ๑๕ คํา่ เดือน ๑๒ 232
ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÑÂ) 233 การรักษาอุโบสถศีลนี้ ยึดถือปฏิบัติตามคตินิยมของคนอินเดียในสมัยน้ัน ดังเรื่องท่ีพระพุทธเจาทรงอนุญาตใหภิกษุอยูจําพรรษา โดยปรารภการปฏิบัติของ ปริพาชกอัญญเดียรถีย เมื่อคร้ังสมัยท่ี พระพุทธองคยังมิไดทรงบัญญัติให ภิกษุอยูจําพรรษา ภิกษุท้ังหลายเที่ยวจาริกไปตลอดฤดูหนาว ฤดูรอน และ ฤดูฝน จึงถูกคนท้ังหลายติเตียน ไฉน พระสมณะเช่ือสายศากยบุตร จึงได เที่ยวจาริกไปอยางนี้ เยียบย่ําขาวกลาที่เขียวสด เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตทําสัตว เล็ก ๆ จํานวนมากใหตายฝายพวกปริพาชกอัญญเดียรถียยังพักอาศัยอยูประจํา ตลอดฤดูฝน ภิกษุท้ังหลายจึงกราบทูลเรื่องน้ันแกพระพุทธองค พระพุทธเจา ปรารภเหตนุ นั้ แลวตรัสวา จงึ ทรงอนญุ าตใหม กี ารอยูจ ําพรรษาในชวงฤดูฝน ในประเทศไทยฝายอุบาสก อุบาสิกาและประชาชนท่ัวไปก็นิยมสมาทานศีล และทําความดีตางๆ ในชวงพรรษาของพระสงฆ เชน กันโดยไดคือ อุโบสถศีลอยาง เครง ครดั จงึ เปน ทมี่ าของการรกั ษาปาฏหิ ารยิ อโุ บสถ ซงึ่ ตอ งใชเ วลาอยจู าํ ถงึ ๓ – ๔ เดอื น ดวยระยะเวลาที่ยาวนานดังกลาวเกรงวาจะรักษาใหบริสุทธิ์ไดยาก จึงกําหนดใหอยู จาํ อุโบสถจาํ นวน ๓ วนั ทเี่ รียกวา ปฎิชาครอโุ บสถ และใหแ หลือเพยี ง ๑ วัน กบั ๑ คนื ที่เรียกวา ปกติอุโบสถ และปจจุบันนี้อุโบสถที่รักษากันท่ัวไปก็คือปกติอุโบสถ เพราะเปน การรักษาไดง ายเนอ่ื งจากเปนชวงระยะเวลาสั้น อโุ บสถศีล มีผลนอ ย และมผี ลมาก การรักษาอุโบสถศีล จะมีผลนอยหรือผลมาก ขึ้นอยูกับเหตุปจจัย คือ คุณธรรม กาลเวลา ประเภท เปาหมาย เจตนา และองคข องศลี นี้ ๑. คุณธรรม หมายถึง คุณธรรมที่มีอยูในจิตใจของผูที่จะรักษาอุโบสถ ศีลนั้น มีมากหรือนอย โดยเฉพาะคุณธรรม คืออิทธิบาทท้ัง ๔ ประการ หาก ผูรกั ษามศี รทั ธา มีฉนั ทะความพอใจ ชอบใจในการรักษาอโุ บสถศีล มคี วามพากเพยี ร พยายามรักษาอยางตอเน่ือง มุงมั่นต้ังใจที่จะประพฤติปฏิบัติตามสิกขาบท และ มีความรูความเขาใจท่ีถูกตองในการรักษาอุโบสถศีล เมื่อมีคุณธรรมท้ัง ๔ อยูใน ระดับตํ่า อุโบสถศีลยอมมีผลระดับต่ํา เมื่อมีคุณธรรมอยูในระดับกลาง อุโบสถศีลก็ ยอมมีผลระดับกลาง และถามีคุณธรรมอยูในระดับสูง อุโบสถศีลยอมมีผลระดับสูง ตามไปดว ย คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 233
234 ¤ÁÙ‹ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ๒. กาลเวลา คือ ระยะเวลาที่รักษา หากผูรักษาอุโบสถศีลมีระยะเวลาการ รักษานอย ยอมมีอานิสงสนอยกวาผูที่มีระยะเวลารักษานานกวา แตท้ังน้ีก็ข้ึนอยูกับ เหตุปจจัยแหงคุณธรรมของผูรักษาเปนเครื่องประกอบการวินิจฉัยควบคูกันไปดวย เพราะบางคนอาจจะรักษาหลายวันแตมีศรัทธา ความเพียร ความมุงม่ัน และความ เขาใจในอุโบสถศีลนอย หรือไมถูกตอง ปจจัยแหงวันเวลาก็ไมไดเปนหลักวินิจฉัย เด็ดขาดเลยทีเดียว แตอยางไรก็ตามโดยทั่ว ๆ ไป หากผูรักษามีคุณธรรมเทากัน การรักษาแบบปกติอุโบสถที่รักษาวันหน่ึงกับคืนหน่ึง ยอมมีอานิสงสนอยกวา การรักษาแบบปฏิชาครอโุ บสถทรี่ ักษา ๓ วัน และการรกั ษาแบบปฏิชาครอุโบสถก็ยอม มีผลนอยกวาการรักษาแบบปาฏิหาริยอุโบสถที่มีระยะเวลารักษา ๑ ปกษ ๑ เดือน หรือ ๓ – ๔ เดือน ตามลําดับ ดังเร่ืองคนใชของเศรษฐีในอรรถกถาคังคมาลชาดก ท่ีกลา วมาแลว ๓. ประเภท การสมาทานรกั ษาอโุ บสถศลี นัน้ มี ๓ ประเภท คอื โคปาลอโุ บสถ นิคคัณฐอุโบสถ ซ่ึงแบงประเภทตามอัธยาศัยของผูสมาทานอุโบสถท้ัง ๓ ประเภทนี้ มีผลไมเหมือนกัน บางคนมีอัธยาศัยหนักไปในความโลภ ใชชีวิตวันหนึ่ง ๆ ใหหมด ไปกับความโลภ บางคนรักษาไมถูกวิธี ไมไดศึกษาใหถูกตอง ยอมไดรับผลนอย แตบางคนรกั ษาไปตามแบบอยางของพระอริยเจา ซงึ่ เปน การรกั ษาอยา งประเสรฐิ ยอ ม ไดร บั ผลมาก ดงั ทพี่ ระผมู พี ระภาคเจา ไดต รสั แกน างวสิ าขา ในอโุ บสถสตู ร สรปุ ความวา การรกั ษาอโุ บสถศลี มี ๓ ประเภท คอื โคปาลอโุ บสถ นคิ ณั ฐอโุ บสถ และอรยิ อโุ บสถ คอื ๓.๑ โคปาลอุโบสถ หมายถึง อุโบสถที่อุบาสก อุบาสิการักษาอันมี อาการเหมือนคนเลี้ยงโค ท่ีไมคํานึงถึงการรักษาอุโบสถศีล แตคํานึงถึงผลประโยชน ที่จะพึงไดรับ ดังความในอุโบสถสูตรวา คนเล้ียงโค มอบโคทั้งหลายใหเจาของใน เวลาเยน็ แลว คํานึงอยา งนี้วา วันนีโ้ คเท่ียวหากินในท่ีโนน ๆ ดม่ื น้าํ ในท่โี นน ๆ พรงุ นี้ โคนจักเท่ียวหากินในท่ีโนน ๆ จักดื่มน้ําในท่ีโนน ๆ ฉันใด คนรักษาอุโบสถบางคน ก็ฉันนน้ั เหมือนกนั คํานึงอยา งนวี้ า วนั น้ี เราบรโิ ภคของกนิ ของเคี้ยวสงิ่ น้ี ๆ พรุงน้เี รา จักบริโภคของกินของเคี้ยวสิ่งน้ี ๆ คนรักษาอุโบสถเชนน้ี มีใจประกอบกับความโลภ ความอยาก ใชวันหนง่ึ ๆ ใหหมดไปกบั ความโลภความอยากนนั้ ๆ การรักษาอุโบสถ เชนนี้ ยอ มไมม ีผลมาก ไมมีอานิสงสม าก ไมรุงเรอื งมาก ไมแ ผไ พศาลมาก 234
ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÂÑ ) 235 ๓.๒ นิคคณั ฐอุโบสถ หมายถึง อโุ บสถของนักบวชนอกพระพุทธศาสนา ดังความในอุโบสถสูตรวา ครั้นถึงวันอุโบสถ นิครนถจะเรียกพวกสาวกมาสอนวา สเู จาจงเปลอ้ื งผาออกใหหมดแลว ประกาศตนอยางนวี้ า ขาพเจา ไมเกย่ี วของกับใคร ๆ ในท่ไี หน ๆ และไมมคี วามกังวลในสง่ิ อะไร ๆ และในทไ่ี หน ๆ แตในความจริงไมไดเ ปน เชนนน้ั พวกนิครนถยงั กังวลอยูก บั บดิ ามารดา สามภี รรยา บุตรธิดา และญาติพ่นี อ ง ของตน เพราะตอ งอาศยั คนเหลา นนั้ ดาํ รงชพี อยู เขาชกั ชวนในการพดู เทจ็ ไมช กั ชวนใน การพดู คําสัตย ดังนน้ั ส่งิ ท่นี คิ รนถส อนน้ันจึงไมเ ปน ความจรงิ ฉะน้นั ผูรกั ษาอุโบสถ แบบพวกนิครนถน ้ยี อ มมีผลนอ ย ๓.๓ อริยอุโบสถ หมายถึง อุโบสถที่อุบาสกอุบาสิการักษาอยางประเสริฐ รักษาตามแบบอยา งของพระอรยิ เจาท้งั หลาย ยอมมีผลมาก อธิบายวา จิตของมนุษย ท่ีเศราหมองดวยอํานาจกิเลสน้ี สามารถชําระลางใหสะอาดไดดวยความเพียร เหมือน ศรี ษะทเี่ ปอ นทาํ ใหส ะอาดไดด ว ยเครอื่ งสนานศรี ษะ รา งกายทเี่ ปอ น ทาํ ใหส ะอาดไดด ว ย เครือ่ งชําระลา งรางกาย ผาทส่ี กปรก ทําใหสะอาดไดดว ยการฟอกหรอื ดวยเครอื่ งซกั ผา แวนท่ีมัวหมองทําใหสดใสไดดวยน้ํายาเช็ดกระจก ทองคําท่ีหมองคล้ํา ทําใหสุกปลั่ง ไดดวยเครื่องมือชางทอง และสิ่งท่ีจะทําจิตที่เศราหมองใหบริสุทธิ์ผองแผวไดนั้น คือ การระลกึ ถงึ อารมณกรรมฐาน คอื อนุสสติ ดงั ตอ ไปน้ี พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจา โดยระลึกถึงคุณของ พระพุทธเจาเปน อารมณ ดังความในอุโบสถสตู รวา ดกู รนางวิสาขา อริยสาวกในธรรม วนิ ัยนี้ ยอ มระลกึ ถึงพระพุทธเจา วา แมเพราะเหตนุ ี้ ๆ พระผูมีพระภาคเจา พระองคนนั้ เปนพระอรหนั ตต รสั รูเองโดยชอบ ถึงพรอ มดว ยวิชชาและจรณะ เสดจ็ ไปดแี ลว ทรงรู แจง โลก เปน สารถฝี ก บรุ ษุ ทส่ี มควรฝก ไดอ ยา งไมม ผี ใู ดยง่ิ กวา เปน ศาสดาของเทวดาของ มนษุ ยท ง้ั หลาย ทรงเบกิ บานแลว เปน ผจู าํ แนกธรรม เมอ่ื เธอหมนั่ นกึ ถงึ พระตถาคตอยู จิตยอ มผองใส เกดิ ความปราโมทย ละเคร่อื งเศรา หมองแหง จติ เสียได บคุ คลที่รกั ษาอรยิ อุโบสถ ดวยการเจรญิ พุทธานุสสติ เรยี กวา เขา จาํ “พรหม อุโบสถ” คือไดอยูรวมกับพรหม มีจิตผองใสเพราะปรารภพรหม เกิดความปราโมทย ละเครื่องเศรา หมองของจติ เสยี ได ในทีน่ ้ี คําวา พรหม แปลวา ผปู ระเสรฐิ หมายถึง พระพุทธเจา นน่ั เอง คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 235
236 ¤Á‹Ù ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ธัมมนานสุ สติ ระลึกถึงคุณความดีของพระธรรม ดงั ความในอุโบสถสูตรวา ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกในธรรมวินัยน้ี ยอมระลึกถึงพระธรรมวา พระธรรมอัน พระผูมีพระภาคตรัสไวดีแลว อันบุคคลผูบรรลุจะพึงเห็นไดดวยตนเอง ไมประกอบ ดวยกาล ควรเรียกใหมาดูควรนอ มเขา มาในตน อันวญิ ูชนพงึ รไู ดเฉพาะตน เมื่อเธอ หม่ันนึกถึงพระธรรมอยู จิตยอมผองใส เกิดความปราโมทย ละเครื่องเศราหมอง แหงจติ เสียได บคุ คลทรี่ กั ษาอรยิ อโุ บสถดว ยการเจริ ญธมั มานสุ สติ เรยี กวา เขา จาํ “ธรรมอโุ บสถ” คือไดอยูรวมกับพระธรรม มีจิตผองใสเพราะปรารภพระธรรม เกิดความปราโมทย ละเครอ่ื งเศราหมองแหง จติ เสยี ได สังฆานุสสติ ระลึกถึงคุณความดีของพระสงฆ ดังความในอุโบสถสูตรวา ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกในธรรมวินัยน้ี หมั่นระลึกพระสงฆวา พระสงฆสาวกของ พระผูมีพระภาค เปนผูปฏิบัติดีแลว เปนผูปฏิบัติตรงแลว เปนผูปฏิบัติธรรม เปน ผปู ฏบิ ตั ิสมควรนค้ี อื คแู หงบรุ ุษ ๔ คู นบั ไดเปนบุคคล ๘ บุคคล น้ีคอื พระสงฆสาวก ของพระพุทธเจา เปน ผคู วรแกของคํานับ เปน ผูค วรแกข องตอ นรับ เปนผคู วรแกของ ทําบุญ เปนผูควรแกการทําอัญชลี เปนเนื้อนาบุญของโลก ไมมีเน้ือนาบุญอ่ืนย่ิงกวา เมอ่ื เธอหมนั่ นึกถึงพระสงฆอยจู ิตยอ มผองใส เกดิ ความปราโมทย ละเครอื่ งเศราหมอง แหงจติ เสียได บคุ คลทรี่ กั ษาอรยิ อโุ บสถดว ยการเจรญิ สงั ฆานสุ สติ เรยี กวา เขา จาํ “สงั ฆอโุ บสถ” คอื ไดอ ยรู ว มกบั พระสงฆ มจี ติ ผอ งใสเพราะปรารภคณุ ของพระสงฆ เกดิ ความปราโมทย ละเครือ่ งเศรา หมองแหงจติ เสียได สีลานุสสติ ระลึกถึงคุณของศีลท่ีตนรักษา ดังความในอุโบสถสูตรวา ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ยอมระลึกถึงศีลของตนซึ่งไมขาด ไมทะลุ ไมดางพรอย ทานผูรูสรรเสริญ ไมถูกตัณหาทิฏฐิเขามาแตะตอง เปนไปเพื่อสมาธิ เมื่อเธอระลึกถึงศีลอยู จิตยอมผองใส เกิดความปราโมทย ละเคร่ืองเศราหมอง แหงจติ เสยี ได บคุ คลทร่ี กั ษาอรยิ อโุ บสถดว ยการเจรญิ สลี านสุ สติ เรยี กวา เขา จาํ “ศลี อโุ บสถ” คอื ไดอ ยรู ว มกบั ศลี มจี ติ ผอ งใสเพราะปรารถนาศลี ของตน เกดิ ความปราโมทย ละเครอื่ ง เศรา หมองแหงจิตเสยี ได 236
ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÂÑ ) 237 เทวตานุสสติ ระลึกถึงความดีที่เปนสาเหตุทําใหเกิดเปนเทวดา ดังความใน อโุ บสถสตู รวา ดกู รนางวสิ าขา อรยิ สาวกในธรรมวินยั น้ี ยอมระลึกถงึ เทวดาวา เทวดา ชน้ั จาตุมมหาราชิกา ดาวดงึ ส ยามา ดสุ ิต นิมมานรดี และปรนมิ มิตวสวตั ตมี ีอยู เทวดา พวกทนี่ บั เนอ่ื งเขาในหมพู รหมมอี ยู เทวดาพวกทส่ี งู กวา นน้ั ขน้ึ ไปกม็ อี ยู เทวดาเหลา นนั้ ประกอบดวยศรทั ธา ศลี สตุ ะ จาคะ และปญญาเชนใด แมศรัทธา ศีล สุต จาคะ และ ปญญาเชนนั้นของเราก็มีอยู เมื่อเธอระลึกคุณธรรมเหลานั้นของตนกับของเทวดาอยู จติ ยอ มผอ งใส เกิดความปราโมทย ละเครอื่ งเศรา หมองแหง จติ เสียได บุคคลที่รักษาอรยิ อุโบสถดว ยการเจริญเทวตานุสสติ เรยี กวา เขาจาํ “เทวดา อุโบสถ” คือ ไดอยูรวมกับเทวดามีจิตผองใสเพราะปรารภเทวดา เกิดความปราโมทย ละเคร่ืองเศราหมองแหงจิตเสยี ได เมอ่ื ผรู ักษาอริยอโุ บสถระลึกถงึ อนสุ สติทงั้ ๕ น้ี ชือ่ วาประพฤติพรหมอุโบสถ ธรรมอโุ บสถ สงั ฆอโุ บสถ สลี อโุ บสถ และเทวตาอโุ บสถ จติ ของเธอยอ มผอ งใสดว ยการ ปรารภพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ศีล และเทวดา ความปราโมทยยอ มเกิดขึ้น เธอยอมละอุปกิเลสเคร่ืองเศราหมองแหงจิตเสียได การทําจิตที่เศราหมองใหผองแผว ยอมมไี ดด ว ยความเพียร ระลกึ ถึงอารมณก รรมฐาน คอื อนสุ สติ อยา งนแี้ ล ๔. เปาหมาย บุคคลผูรักษาอุโบสถศีล มีเปาหมายของการรักษาตางกัน ซึ่งจะเปนเหตใุ หไดร ับผลของการรักษามากนอยตางกัน ดงั น้ี ๔.๑ การรักษาอุโบสถศีลเพราะตองการชื่อเสียง จัดเปนบุญอยางตํ่า มผี ลนอ ยเพราะชอ่ื เสยี งนนั้ เปน สงิ่ ทคี่ นอนื่ เขามอบให แสดงใหเ หน็ วา ผรู กั ษาทตี่ อ งการ เชน นชี้ อ่ื วา ยงั ไมเ ปน ไทตอ ตนเอง เพราะกระทาํ ความดโี ดยหวงั การยกยอ งสรรเสรญิ จาก คนอนื่ หากไมม ีใครยกยอ งสรรเสรญิ ก็อาจยกเลกิ การรักษาได ๔.๒ การรักษาอุโบสถศีลเพราะตองการผลบุญ จัดเปนบุญอยางกลาง มีผลมากกวาการรักษาอุโบสถศีลเพราะตองการชื่อเสียง การรักษาอุโบสถศีลเชนน้ี สามารถพัฒนานําไปสูเ ปา หมายทีส่ งู ข้นึ ไปได ๔.๓ การรกั ษาอโุ บสถศลี เพราะตอ งการขจดั กเิ ลส จดั เปน บญุ อยา งสงู มี ผลมากที่สุด เนื่องจากเปน ความตอ งการทีไ่ มอ ิงบุคคล ไมอิงอามิสสง่ิ ของ ไมอิงสวรรค แตมุงหวังเพ่ือขจัดขัดเกลากิเลสใหหมดไป กลาวคือ เพ่ือบรรลุเปาหมายสูงสุดคือ พระนิพพาน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 237
238 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ๕. เจตนา หมายถึง ความต้ังใจ ความจงใจที่จะรักษาอุโบสถศีล ซึ่งการรักษา อุโบสถศีลนนั้ จะมีผลมากหรือนอยขึ้นอยูก ับเจตนาในการรักษาทัง้ ๓ กาล คอื ๕.๑ บพุ พเจตนา หมายถงึ เจตนากอ นการรักษาอุโบสถศีล คือ ผูร กั ษา คิดมาตัง้ แตกอ นการรกั ษาวา เราจะรกั ษาอุโบสถศีล กม็ คี วามดีใจ พอใจ ๕.๒ มญุ จนเจตนา หมายถึง เจตนาขณะรกั ษาอโุ บสถศลี คือ ขณะที่ กําลงั รักษาอุโบสถศีลนนั้ ยอ มมจี ติ เลอื่ มใส ๕.๓ อปราปรเจตนา หมายถึง เจตนาหลักจากการรกั ษาอโุ บสถศีลแลว ยอมมีใจชื่นบาน หากบุคคลผรู ักษาอุโบสถศลี มเี จตนาครบทงั้ ๓ กาล ยอมมผี ลมาก หากมี เจตนาจาํ นวนสองกาลหรอื เพยี งกาลเดยี ว ก็จะมีผลนอ ยลงไปตามลาํ ดับ ๖. องคของศีล หมายถึง องคทจ่ี ะทาํ ใหศลี แตละขอขาด หากผรู ักษาอโุ บสถ ศีลคอยระมัดระวังมิใหองคของศีลขาด รักษาใหบริสุทธิ์ครบถวน ยอมไดรับผลมาก แตหากทําใหองคของศีลขอใดขอหนึ่งหรือหลาย ๆ ขอขาด ก็จะไดรับผลนอยลงไป ตามลําดับ ความแตกตา งระหวางอโุ บสถศีลและศลี ๘ ศลี อุโบสถและศลี ๘ ตางกม็ ี ๘ สิกขาบทเทากัน หามกระทําในเรื่องเดียวกนั แตมีความแตกตางกัน ๓ ประการ คือ วิธีการสมาทาน วันเวลาในการรักษา และ การขาดของศลี ดงั นี้ ๑. วิธกี ารสมาทาน อุโบสถศีล มวี ธิ กี ารสมาทาน คาํ ประกาศอโุ บสถ และคาํ อาราธนา ดังนี้ เม่ือต้ังใจจะรักษาอุโบสถศีล พึงต่ืนนอนแตเชา ชําระรางกายใหสะอาด ไปวัดทต่ี นตง้ั ใจจะไปอยูจํา เม่อื ผูรักษาอโุ บสถศีลพรอ มแลว พึงประกาศอุโบสถ ดงั นี้ อชชฺ โภนโฺ ต ปกฺขสสฺ อฏมที วิ โส (๑๔ คํา่ ใหว า “จาตทุ ฺทสที ิวโส” ๑๕ คํา่ ใหวา “ปณฺณรสีทิวโส”) เอวรูโป โข โภนฺโต ทิวโส พุทฺเธน ภควตา ปฺญตฺตสฺส ธมฺมสสฺ วนสฺส เจว ตทตถฺ าย อุปาสกอปุ าสกิ านํ อุโปสถกมมฺ สฺส จ กาโล โหติ ฯ หนฺท มยํ โภนฺโต สพฺเพ อิธ สมาคตา ตสฺส ภควโต ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติยา ปูชนตฺถาย อมิ จฺ รตตฺ ึ อมิ ฺจ ทิวสํ อุโปสถํ อุปวสสิ สฺ ามาติ กาลปรจิ ฺเฉทํ กตฺวา ตํ ตํ เวรมณึ 238
ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÂÑ ) 239 อารมฺมณํ กรติ ฺวา อวิกขฺ ติ ตฺ จติ ตฺ า หุตวฺ า สกฺกจจฺ ํ อุโปสถงฺคานิ สมาทเิ ยยยฺ าม อีทิสํ หิ อุโปสถกาลํ สมฺปตตฺ านํ อมหฺ ากํ ชวี ติ ํ มา นิรตฺถํ โหตุฯ อนงึ่ ผปู ระสงคจ ะรกั ษาอโุ บสถศลี ใหเ ตม็ เวลาวนั หนง่ึ กบั คนื หนงึ่ พงึ ตนื่ นอน กอนอรุณขน้ึ ของวันนั้น พึงชําระรา งกายใหสะอาด ครั้งไดเ วลารงุ อรุณ ใหกลา วคาํ บูชา พระรัตนตรยั เปลงวาจาสมาทานอุโบสถดว ยตนเองกอ นวา “อมิ ํ อฎฏงคฺ สมนฺนาคตํ พุทฺธปฺยตตํ อุโปสถํ อิมฺจ รตฺตึ อิมฺจ ทิวสํ สมฺมเทว อภิรกฺขิตุ สมาทิยามิ” หลงั จากน้ันกไ็ ปสมาทานท่วี ดั อีกคร้งั หนงึ่ คําอาราธนาอุโบสถศีลวา มยํ ภนฺเต ตสิ รเณน สห อฏงฺคสมนนฺ าคตํ อุโปสถํ ยาจาม ทุตยิ มฺป มยํ ภนเฺ ต ติสรเณน สห อฏงคฺ สมนนฺ าคตํ อโุ ปสถํ ยาจาม ตตยิ มปฺ มยํ ภนเฺ ต ตสิ รเณน สห อฏ งคฺ สมนฺนาคตํ อโุ ปสถํ ยาจาม สวนศลี ๘ ไมมีคําประกาศ แตม วี ธิ ีการสมาทานและคําอาราธนา ดงั นี้ มยํ ภนฺเต ติสรเณน สห อฏ สลี านิ ยาจาม ทตุ ยิ มฺป มยํ ภนเฺ ต ตสิ รเณน สห อฏ สีลานิ ยาจาม ตติยมปฺ มยํ ภนฺเต ตสิ รเณน สห อฏ สีลานิ ยาจาม ๒. วนั เวลาในการรักษา อโุ บสถศลี มวี นั พระเปน แดนเกดิ หรอื เปน วนั รกั ษา คอื รกั ษาไดเ ฉพาะวนั พระ หรือเน่ืองดวยวันพระเทาน้ัน ตามวันเวลาที่กําหนด เชน ปกติอุโบสถจะกําหนดรักษา ในวนั พระ ๘ คา่ํ ๑๔ ค่ํา หรอื ๑๕ ค่ํา แลว ตอ งรักษาไปจนถึงรงุ อรณุ ของวนั ใหม คอื มีเวลารกั ษาวันหนง่ึ กบั คนื หนึ่ง คําวา “วันหนึ่งกบั คนื หนงึ่ ” นนั้ ทา นกําหนดนบั ตัง้ แต อรุณข้นึ ของวันทีร่ กั ษา ไปจนถงึ อรุณขึ้นของวันใหม เปนตน สว นศลี ๘ ไมไดกําหนดวนั เวลาในการรกั ษา จะรกั ษาในวนั และเวลาใดก็ได ๓. การรักษาและการขาดของศลี อุโบสถศีล เมื่อสมาทานแลว ตองรักษารวมท้ัง ๘ ขอ ใหค รบถว น เน่ืองจาก เปนศลี รวมหรอื ศลี พวงตอ งรักษารวม ไมแ ยกขอ ในการรกั ษา ถาขาดขอ ใดขอ หนึง่ ก็ไม จัดเปน อุโบสถศลี ตามพุทธบญั ญัติ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 239
240 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ศีล ๘ เมื่อสมาทานแลวจะรักษารวมหรือแยกรักษาเฉพาะขอก็ได เพราะ ไมไดกําหนดเจาะจงไว ถารักษาแบบรวม เมื่อศีลขอใดขอหนึ่งขาด ก็ไมไดใชวารักษา ศีล ๘ ตามที่ตั้งใจสมาทานไว แตถารักษาแบบแยก เมื่อศีลขอใดขอหนึ่งขาดก็ขาด เฉพาะขอนน้ั ๆ ระเบียบพิธีสมาทานอโุ บสถศลี พระอรรถกถาจารยกลาวไวในอรรถกถาอุโบสถสูตรวา บุคคลผูจะเขาอยู จําอุโบสถศลี นั้น พงึ ตง้ั ใจวา พรงุ นีเ้ ราจักรักษาอุโบสถ ตรวจตราการทาํ อาหาร เปนตน ตัง้ แตใ นวนั นี้สัง่ การงานใหเรียบรอ ยวา ทา นทง้ั หลายจงทําสิง่ น้แี ละส่งิ นี้ เวลาเชา ตรใู นวนั อโุ บสถ พงึ เปลง วาจาสมาทานองคอ โุ บสถ ในสาํ นกั ของภกิ ษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกาก็ได ซ่ึงเปนผูรูจักลักษณะของศีลอุโบสถ ถาไมรูภาษา บาลี ถึงอธิษฐานวา ขาพเจา อธิษฐานอโุ บสถทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงบญั ญัติไว เมอ่ื ไมมผี ูอื่น พงึ อธิษฐานดวยตนเองก็ได ในการอธิษฐานดวยตนเองนน้ั ใหอ อกเสียงเปลง วาจาดว ย เมื่อเขาอยูจําอุโบสถแลว ไมควรจัดแจงการงานใด ๆ ที่เกี่ยวกับการเบียดเบียนผูอ่ืน ควรใหเวลาผานไปดว ยการไหวพระ สวดมนต และบําเพญ็ จิตภาวนา สว นพระฎกี าจารยอ ธบิ ายวา ตง้ั แตส มาทานศลี แลว ผรู กั ษาอโุ บสถไมค วรทาํ กจิ การงานของชาวโลกอะไรอยา งนนั้ ควรใหเ วลาผา นไปดว ยการฟง ธรรม หรอื มนสกิ าร กรรมฐานบาํ เพญ็ จติ ภาวนา เมื่อถึงวนั อุโบสถ ๘ คา่ํ ๑๔ คํ่า หรือ ๑๕ ค่าํ ผรู ักษาอุโบสถ นาํ ภตั ตาหารคาวหวานไปทาํ บุญท่ีวดั ซึง่ อยใู กลบา น หรือตนศรัทธาเล่อื มใส หลงั จากท่ี พระสงฆทาํ วตั รเชาเสรจ็ แลว พึงเรม่ิ กลาวคําบูชาพระรตั นตรัยวา อมิ ินา สกฺกาเรน พุทธฺ ํ อภิปูชยามิ อิมนิ า สกฺกาเรน ธมฺมํ อภิปชู ยามิ อิมินา สกฺกาเรน สงฆฺ ํ อภิปชู ยามิ อรหํ สมมฺ าสมฺพทุ โฺ ธ ภาควา พทุ ฺธํ ภควนตฺ ํ อภิวาเทมิ (กราบ) สวฺ ากขฺ าโต ภควตา ธมฺโม ธมฺมํ นมสฺสามิ (กราบ) สปุ ฏิปนโฺ น ภควโต สาวกสงฺโฆ สงฆฺ ํ นมามิ (กราบ) ตอ จากนนั้ ผเู ปนหวั หนา พงึ คกุ เขาประนมมือกลาวคําประกาศอุโบสถ ดังนี้ อชชฺ โภนโฺ ต ปกขฺ สฺส อฏมที ิวโส (๑๔ ค่ํา ใหวา “จาตทุ ทฺ สที ิวโส” ๑๕ คํ่า ใหวา “ปณฺณรสีทิวโส”) เวรูโป โข โภนฺโต ทิวโส พุทฺเธน ภควตา ปฺญตฺตสฺส 240
ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 241 ธมฺมสสฺ วนสสฺ เจว ตทตถฺ าย อุปาสกอปุ าสกิ านํ อุโปสถกมมฺ สสฺ จ กาโล โหติ ฯ หนฺท มยํ โภนฺโต สพฺเพ อิธ สมาคตา ตสฺส ภควโต ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติยาปูชนตฺถาย อมิ ฺจ รตฺตึ อมิ ฺจ ทวิ สํ อุโปสถํ อุปวสสิ สฺ ามาติ กาลปรจิ ฺเฉทํ กตวฺ า ตํ ตํ เวรมณี อารมฺมณํ กริตวฺ า อวกิ ฺขิตตฺ จิตตฺ า หตุ วฺ า สกกฺ จฺจํ อุโปสถงฺคานิ สมาทเิ ยยยฺ าม อีทสิ ํ หิ อโุ ปสถกาลํ สมปฺ ตฺตานํ อมฺหากํ ชีวิตํ มา นิรตถฺ กํ โหตุฯ ขา พเจา ขอประกาศเร่ิมเรือ่ งความท่จี ะไดส มาทานรกั ษาอุโบสถตามกาลสมยั พรอ มดว ยองค ๘ ประการ ใหส าธชุ นทจี่ ะตง้ั จติ สมาทานทราบทว่ั กนั กอ นแตจ ะสมาทาน ณ บัดนี้ ดว ยวนั น้ี เปนวนั อฏั ฐมี ดถิ ที ี่ ๘ (วันจาตทุ ทสี ดถิ ีท่ี ๑๔, วันปณณรสี ดถิ ที ่ี ๑๕) แหง ปก ษม าถงึ แลว กแ็ ลวนั เชน น้ี เปน กาลทจ่ี ะฟง ธรรมและทาํ การรกั ษาอโุ บสถ เพอ่ื ประโยชนแหงการฟง ธรรม บัดน้ี ขอกศุ ลอันย่ิงใหญ คือ ต้ังจติ สมาทานอุโบสถ จงเกดิ มแี กเราทัง้ หลาย บรรดามาประชมุ ณ ทน่ี ี้ เราทงั้ หลายพงึ มจี ติ ยินดีวาจะรักษาอโุ บสถ อันประกอบดว ยองค ๘ ประการ วันหนึง่ กับคืนหน่งึ ณ เวลาน้วี นั นแ้ี ลว จงตัง้ จติ คดิ งดเวน ไกลจากการทาํ ชวี ติ สตั วใ หต กถว งไป คอื ฆา สตั วเ องใหใ ชใ หค นอนื่ ฆา ๑ เวน จาก ถอื เอาสงิ่ ของทเ่ี จา ของไมใ ห คอื ลกั และฉอ และใชใ หล กั และฉอ ๑ เวน จากอพรหมจรรย ๑ เวน จากพดู คาํ เทจ็ คาํ ไมจ รงิ และลอ ลวงอาํ พรางทา นผอู น่ื ๑ เวน จากดม่ื กนิ ซง่ึ สรุ าเมรยั สารพดั นา้ํ กลนั่ นาํ้ ดอง อนั เปน ของใหผ ดู มื่ แลว เมา ซง่ึ เปน เหตทุ ต่ี งั้ แหง ความประมาท ๑ เวน จากฟอ นราํ ขบั รอ ง และประโคมดนตรี และดกู ารเลน บรรดาเปน ขา ศกึ แกก ศุ ล และ ทัดทรงระเบียบดอกไม ลูบไลทาตัวดวยของหอม เคร่ืองยอมเครื่องแตง และประดับ รางกายดวยเครื่องอาภรณวิจิตรงดงามตาง ๆ ๑ เวนจากนั่งนอนเหนือท่ีน่ังท่ีนอนอัน สูงมีเตียงต่ังเทาสูงกวาประมาณ และท่ีนั่งที่นอนอันใหญภายในมีนุนและสําลี และ เครอ่ื งลาดอันวจิ ติ รงดงาม ๑ จงทําความเวนองคทจ่ี ะพงึ เวน ๘ ประการน้ีเปนอารมณ อยามีจิตฟุงซานสงไปในที่อื่น จงสมาทานองคอุโบสถ ๘ ประการนี้โดยเคารพเถิด เพ่ือบูชาพระผูมีพระภาคพุทธเจาน้ัน ดวยขอปฏิบัติอยางย่ิงตามกําลังของเราทั้งหลาย ซึ่งเปนคฤหัสถ ชีวิตแหงเราท้ังหลายเปนมาถึงวันอุโบสถน้ี จงอยาลวงไปปราศจาก ประโยชนเ ลยและพงึ กลา วคําอาราธนาอุโบสถศีล พรอ มกันดงั น้ี คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 241
242 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท มยํ ภนเฺ ต ติสรเณน สห อฎงฺคสมนนฺ าคตํ อุโปสถํ ยาจาม ทุตยิ มฺป มยํ ภนเฺ ต ตสิ รเณน สห อฎ งฺคสมนนฺ าคตํ อโุ ปสถํ ยาจาม ตตยิ มฺป มยํ ภนฺเต ตสิ รเณน สห อฎงคฺ สมนฺนาคตํ อโุ ปสถํ ยาจาม จบแลวพึงตั้งใจรับสรณคมนและอุโบสถศีลโดยเคารพ โดยวาตาม พระสงฆ ดงั น้ี นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ุทธฺ สฺส นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธฺ สสฺ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทธฺ สสฺ พุทธฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ทตุ ิยมฺป พุทฺธํ สรณํ คจมฺ ิ ทุติยมปฺ ธมฺมํ สรณํ คจฺมิ ทตุ ิยมปฺ สงฺฆํ สรณํ คจฺมิ ตตยิ มฺป พทุ ฺธํ สรณํ คจฺมิ ตตยิ มปฺ ธมมฺ ํ สรณํ คจฺมิ ตตยิ มฺป สงฺฆํ สรณํ คจฺมิ เมอ่ื พระสงฆว า ตสิ รณคมนํ นฏิ ติ ํ พงึ รบั พรอ มกนั วา อาม ภนเฺ ต ตอ จากนน้ั พงึ รบั อโุ บสถศลี ทงั้ ๘ ขอ ดังนี้ ปาณาติปาตา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ อทินนฺ าทานา เวรมณี สกิ ฺขาปทํ สมาทิยามิ อพรฺ หมฺ จรยิ า เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทยิ ามิ มสุ าวาทา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ สุราเมรยมชชฺ ปมาทฎานา เวรมณี สกิ ฺขาปทํ สมาทยิ ามิ วิกาลโภชนา เวรมณี สกิ ฺขาปทํ สมาทิยามิ นจจฺ คตี วาทิตวิสกู ทสฺสนมาลาคนธฺ วิเลปนธารณมณฺฑนวภิ ูสนฏานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทยิ มิ 242
ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÂÑ ) 243 อจุ ฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ เมื่อรับศีลจบแลว พึงกลาวตามพระสงฆวา อิมํ อฏงฺคสมนฺนาคตํ พทุ ฺธปฺ ตตฺ ํ อโุ ปสถํ อมิ จฺ รตตฺ ึ อมิ จฺ ทิวสํ สมฺมเทว อภริ กฺขติ ุํ สมาทยิ ามิ ตอ จากนน้ั พระสงฆจ ะกลา วตอ ไปวา อมิ านิ อฏ สกิ ขฺ าปทานิ อโุ ปสถสลี วเสน สาธุกํ กตวฺ า อปปฺ มาเทน รกฺขิตพฺพานิ ใหรับพรอมกันวา อาม ภนเฺ ต ตอจากนั้น พระสงฆจ ะกลาวสรปุ อานสิ งสของศลี ตอไปวา สเี ลน สุคตึ ยนฺติ สีเลน โภคสมฺปทา สเี ลน นพิ ฺพุตึ ยนตฺ ิ ตสฺมา สลี ํ วิโสธเย จบพิธสี มาทานอุโบสถศีลเพียงเทา นี้ ตอจากนน้ั พงึ ตั้งใจฟง พระธรรมเทศนา หรือมนสิการกรรมฐานบําเพ็ญจิตภาวนาตอไป เมื่อรักษาครบเวลาวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง หรอื ตามทกี่ ําหนดแลว การรกั ษาอุโบสถศีลก็สน้ิ สุดลง หลักการใชค าํ วา มิ หรือ มะ ในการกลาวคําบูชาพระรัตนตรัย คํานมัสการพระรัตนตรัย คําอาราธนาศีล และคําสมาทานศลี เปน ตน ใหค ํานึงถงึ คาํ กริ ิยาซง่ึ จะบง บอกถงึ การกระทําของผูก ลาว วา เปน การกระทาํ เฉพาะตน หรอื เปน การกระทํารวมกนั โดยมีหลกั การใชดังน้ี ๑. คําวา “ม”ิ ใหใชในกรณีที่เปนการกระทาํ เฉพาะตน ไมสามารถใหค นอน่ื กระทาํ แทนได เชน อภปิ ูชยามิ อภวิ าเทมิ นมสฺสามิ นมามิ สมาทิยามิ เปนตน ๒ คําวา “มะ” ใหใ ชในกรณที ี่เปน การกระทํารว มกนั เชน ยาจาม กโรม เส เปนตน อโุ บสถศีลกับพระรัตนตรยั บุคคลท่ีจะสมาทานรักษาอุโบสถศีลนั้น เบื้องตนตองยอมรับนับถือ พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ เปนสรณะท่ีพึ่งท่ีระลึก พระรตั นตรยั มคี วามสาํ คญั อยา งยงิ่ สาํ หรบั พทุ ธศาสนกิ ชน เพราะเปน เสมอื นหนง่ึ ประตู เขา สพู ระพทุ ธศาสนา ผูท ่ีจะเขามาสูพระพุทธศาสนา จะเปนมนุษยหรืเทวดา ก็ตามตอ ง เขา มาทางพระรตั นตรยั ทงั้ สน้ิ คอื จะตอ งมศี รทั ธาเลอ่ื มใส เคารพนบั ถอื บชู าพระรตั นตรยั ดว ยการกลาวถงึ พระรตั นตรัยวา เปน ท่พี งึ่ ทีร่ ะลึก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 243
244 ¤‹ÙÁ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท การถึงพระรัตนตรัย หมายถึง การยอมรับนับถือพระรัตนตรัยวาเปนที่ พ่ึงที่ระลึก อีกนัยหน่ึง หมายถึง การกําจัดกิเลสที่เกิดขึ้นในจิตใจออกไป ดวยความ ศรัทธาเล่ือมใสและเคารพหนักแนนในพระรัตนตรัย การถึงพระรัตนตรัยนี้ เรียกวา ไตรสรณคมน มีคํากลาวการยอมรับนับถอื พระรัตนตรยั ดงั นี้ พุทธํ สรณํ คจฉฺ ามิ ขาพเจาขอถึงพระพุทธเจาวา เปน ท่ีพึ่ง ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ขาพเจาขอถึงพระธรรมเจาวา เปนทีพ่ ึง่ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ ขา พเจาขอถึงพระสงฆเ จา วาเปน ทีพ่ ง่ึ ทุตยิ มฺป พทุ ธํ สรณํ คจฉฺ ามิ ขา พเจา ขอถงึ พระพทุ ธเจา วา เปน ทพี่ งึ่ แมค รง้ั ทสี่ อง ทุติยมฺป ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ ขา พเจา ขอถงึ พระธรรมเจา วา เปน ทพี่ งึ่ แมค รง้ั ทส่ี อง ทตุ ิยมฺป สงฆํ สรณํ คจฺฉามิ ขา พเจา ขอถงึ พระสงฆเ จา วา เปน ทพ่ี ง่ึ แมค รงั้ ทสี่ อง ตตยิ มฺป พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ ขา พเจา ขอถงึ พระพทุ ธเจา วา เปน ทพี่ งึ่ แมค รง้ั ทส่ี าม ตติยมปฺ ธมฺมํ สรณํ คจฉฺ ามิ ขา พเจา ขอถงึ พระธรรมเจา วา เปน ทพ่ี งึ่ แมค รงั้ ทส่ี าม ตตยิ มปฺ สงฆํ สรณํ คจฺฉามิ ขา พเจา ขอถงึ พระสงฆเ จา วา เปน ทพ่ี ง่ึ แมค รง้ั ทส่ี าม ดงั นน้ั พทุ ธศาสนกิ ชน ควรจะศกึ ษาเรอ่ื งพระรตั นตรยั ใหม คี วามรู เพอ่ื เปน การ ปลกู ศรทั ธาปสาทะใหเ กดิ ฉนั ทะในการรกั ษาอโุ บสถศลี มากยง่ิ ขน้ึ ในทนี่ จี้ ะกลา วถงึ เรอื่ ง ทเ่ี ก่ยี วเน่อื งกบั พระรตั นตรยั ดังนี้ ๑. การกลา วถงึ พระรตั นตรยั เปน คร้ังแรก พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั ถงึ พระรตั นตรยั เปน ครงั้ แรก ทป่ี า อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั เมืองพาราณสี ในโอกาสที่ทรงสงพระอรหันต ๖๐ รูป ไปประกาศพระพุทธศาสนา เพื่อเปนการใหบรรพชาอุปสมบทแกผูท่ีศรัทธาปรารถนาใครจะบวชในพระพุทธศาสนา ดงั พระพุทธเจา ดาํ รสั วา ภกิ ษพุ ึงปลงผมและหนวดแกก ลุ บตุ รผปู ระสงคจ ะขอบรรพชา อุปสมบทกอน แลวใหนุงหมผากาสายะ ใหกราบเทาภิกษุทั้งหลาย แลวพึงสอนให วาตามดังน้ี “พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ, ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ, สงฆํ สรณํ คจฺฉามิ ฯเปฯ ตตยิ มปฺ สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม”ิ เพอ่ื ใหก ลุ บตุ รอปุ สมบท ดงั นนั้ พระรตั นตรยั น้ี จงึ มคี วาม สําคญั ตอ ทกุ คนที่จะเขามาเปน ชาวพุทธ เพราะเปน ประตูเขาสพู ระพทุ ธศาสนา ๒. ความหมายของพระรตั นตรัย การท่ีบุคคลจะยอมรับนับถือส่ิงใดวาเปนที่พึ่งท่ีระลึก หรือเปนแบบอยาง ในการประพฤติปฏิบัตินั้น เบ้ืองตนจะตองศึกษาใหเกิดความรูความเขาใจในสิ่งนั้นให 244
ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÂÑ ) 245 ถองแทกอน จึงจะเปนความเคารพนับถือหรือความเชื่อท่ีประกอบดวยปญญา เพราะ ฉะน้ัน จึงจําเปนอยางยิ่งที่ชาวพุทธ ตองศึกษาเร่ืองพระรัตนตรัยใหเขาใจเปนเบ้ืองตน ดงั นี้ พระพุทธ หมายถึง พระพุทธเจา ผูทรงรูดีรูชอบไดโดยพระองคเอง ทรงบรสิ ุทธ์สิ น้ิ เชงิ ทรงมพี ระกรุณาคุณ ทรงเปน ศาสดาของศาสนาพทุ ธ เมอ่ื ตรสั รแู ลว ไดท รงสง่ั สอนประชมุ ชนใหป ระพฤตชิ อบดว ยกาย วาจา ใจ ทรงประกาศพระพทุ ธศาสนา ใหเจรญิ รงุ เรืองม่ันคงมาถงึ ปจจบุ ันน้ี พุทธคณุ หมายถงึ คุณของพระพุทธเจา มี ๙ ประการ คือ ๑. อรหํ เปนผูห า งไกลจากกิเลส ๒. สมฺมาสมพฺ ทุ ฺโธ เปนผูตรัสรชู อบไดโดยพระองคเ อง ๓. วิชฺชาจรณสมปฺ นโฺ น เปนผถู งึ พรอ มดว ยวชิ ชาและจรณะ ๔. สุคโต เปน ผูไปแลว ดว ยดี ๕. โลกวทิ ู เปน ผูรูโลกอยา งแทจรงิ ๖. อนุตฺตโร ปรุ สิ ทมฺมสารถิ เปน ผูสามารถฝก บรุ ษุ ทส่ี มควรฝก ไดอยา งไมมี ใครยิ่งกวา ๗. สตฺถา เทวมนสุ สฺ านํ เปน ครูผสู อนของเทวดาและมนุษยทงั้ หลาย ๘. พุทฺโธ เปน ผรู ู ผูต ่นื ผูเบิกบานดวยธรรม ๙. ภควา เปน ผมู คี วามจําเริญจําแนกธรรมสงั่ สอนสตั ว พระธรรม หมายถึง คําสั่งสอนของพระพุทธเจา เปนสัจธรรมอันประเสริฐ เปนธรรมอันประเสริฐ เปนธรรมที่ทําใหผูประพฤติปฏิบัติตามพนจากทุกขไดจริง มี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ แบง เปน ๓ ปฎ ก เรยี กวา พระไตรปฎ ก คอื พระวินัยปฎก มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ พระสุตตนั ตปฎ ก มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ พระอภธิ รรมปฎก มี ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ เม่ือกลา วโดยยอ มี ๓ ประการ เรียกวา หัวใจพระพุทธศาสนา คอื การไม ทําบาปทงั้ ปวง การทํากศุ ลใหถ งึ พรอม และการทําจติ ใจใหบ ริสุทธิ์ ธรรมคณุ หมายถึง คณุ ของพระธรรม มี ๖ ประการ คือ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 245
246 ¤Ù‹ÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ๑. สฺวากฺขาโต ภควตา ธมโฺ ม พระธรรมเปนธรรมทีพ่ ระผูม ีพระภาคเจา ตรัส ไวดแี ลว ๒. สนทฺ ฏิ โิ ก เปน สง่ิ ทผ่ี ศู ึกษาและปฏิบัตพิ งึ เห็นไดดว ยตนเอง ๓. อกาลโิ ก เปนสิ่งที่ปฏิบตั ิไดและใหผลไมไ ดจ ํากดั กาล ๔. เอหปิ สสฺ ิโก เปนส่ิงทคี่ วรกลาวกับผูอน่ื วาทานจงมาดูเถิด ๕. โอปนยโิ ก เปน สงิ่ ท่ีควรนอมเขาใสต น ๖. ปจฺจตฺตํ เวทติ พโฺ พ วิ ฺ ูหิ เปนส่ิงท่ผี ูรูก ร็ ูไดเฉพาะตน พระสงฆ หมายถงึ สาวกของพระพทุ ธเจา ซงึ่ เปน ผปู ระพฤตดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบตาม หลกั ธรรมคาํ สอนของพระพทุ ธเจา สาวกของพระพุทธเจา หมายถึง พุทธบริษทั ๔ คือ ภกิ ษุ ภกิ ษณุ ี อุบาสก อุบาสิกา ผูยอมรับนับถือพระรัตนตรัยวาเปนท่ีพึ่งที่ระลึก แบงเปน ๒ กลุม คือ กลุมท่ีไดบรรลุธรรมแลวตั้งแตพระโสดาบันข้ึนไป เรียกวา อริยสาวก มีท้ังบรรพชิต และคฤหัสถ และกลุม ทย่ี ังไมไ ดบรรลุธรรม เรียกวา สาวกผูเ ปนปถุ ุชน คาํ วา สงั ฆะ แปลวา กลุม หรือหมู หมายถงึ กลมุ หรือหมพู ระสงฆ ท่มี ธี รรมะ เปนเครื่องอยูรวมกัน มีศีลและทิฏฐิเสมอกัน ไมขัดแยงกัน เปนไปในทางเดียวกัน สมดังทพี่ ระพุทธเจาตรสั ไววา “ดูกอนอานนท เธอจะสําคัญความขอน้ันเปนไฉน ธรรมเหลาใดที่เราแสดง แลวเพือ่ ความรูย่งิ สาํ หรบั เธอทงั้ หลาย คือ สติปฏ ฐาน ๔, สัมมัปปธาน ๔, อิทธบิ าท ๔, อนิ ทรีย ๕, พละ ๕, โพชฌงค ๗ และอรยิ มรรคมอี งค ๘ ดูกอนอานนท เธอจะไมเ หน็ ภิกษุแมส องรปู มีวาทะตา งกนั ในธรรมเหลา นี้เลย” สงั ฆคุณ หมายถึง คุณของพระสงฆ มี ๙ ประการ คอื ๑. สปุ ฏิปนโฺ น เปน ผูปฏบิ ตั ิดี ๒. อชุ ปุ ฏิปนโฺ น เปน ผูปฏิบัตติ รง ๓. ญายปฏิปนฺโน เปน ผปู ฏบิ ัตเิ พือ่ รูธรรมเปน เครอื่ งออกจากทุกข ๔. สามจี ปิ ฏินฺโน เปนผูป ฏบิ ตั ิสมควร ๕. อาหุเนยโฺ ย เปน ผูค วรแกส ่งิ ของที่เขานํามาบูชา ๖. ปาหเุ นยโฺ ย เปน ผูควรแกส ่ิงของทเ่ี ขาจัดไวต อ นรับ ๗. ทกฺขิณยโฺ ย เปน ผูค วรรับทักษณิ าทาน 246
ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 247 ๘. อชฺ ลกิ รณีโย เปน ผูท่บี ุคคลท่วั ไปควรทาํ อญั ชลี ๙. อนตุ ฺตรํ ปุ ฺ กเฺ ขตฺตํ โลกสฺส เปน เนอื้ นาบญุ ของโลก ไมม นี าบญุ อนื่ ยงิ่ กวา ๓. ความเปนหน่งึ แหงพระรตั นตรัย พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ ท้ัง ๓ นี้ แยกจาก กันไมได เพราะมีความสัมพันธเกี่ยวเนื่องกัน เมื่อมีพระพุทธเจา ก็ตองมีพระธรรม เพราะพระธรรมเปนผลแหงการตรัสรูของพระพุทธเจา และเม่ือมีพระพุทธเจาและ พระธรรม ก็ตองมีพระสงฆ เพราะพระสงฆเปนผูรับพระธรรมมาประพฤติปฏิบัติและ นําไปประกาศเผยแผ และยังเปนผูยืนยันหรือเปนพยานวาพระพุทธเจาและพระธรรม มีอยูจริงดังคําอุปมาของพระอรรถกถาจารย ที่กลาวถึงความเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน ของพระรตั นตรยั ไวดงั นี้ พระพุทธเจาเปรียบเหมือนดวงจันทร พระธรรมเปรียบเหมือนกลุมรัศมีของ ดวงจันทรที่มีความสวางและเย็นตาเย็นใจ พระสงฆเปรียบเหมือนสัตวโลกท่ีไดรับ ประโยชนจากดวงจนั ทรและแสงจันทร พระพทุ ธเจา เปรยี บเหมอื นดวงอาทติ ย พระธรรมเปรยี บเหมอื นแสงสวา งและ ความรอนของดวงอาทิตย พระสงฆเปรียบเหมือนสัตวโลกท่ีไดรับแสงสวางและไออุน จากดวงอาทติ ย พระพทุ ธเจา เปรยี บเหมอื นกอ นเมฆ พระธรรมเปรยี บเหมอื นนาํ้ ฝนทเี่ กดิ จาก กอนเมฆ พระสงฆเปรียบเหมอื นนํ้าฝนท่ีเกดิ จากกอนเมฆ พระสงฆเปรยี บเหมอื นโลก พรอ มทัง้ แมกไมตลอดถงึ กอหญาทีไ่ ดรับความชมุ ช้นื จากน้าํ ฝน พระพุทธเจาเปรียบเหมือนสารถีผูชาญฉลาด พระธรรมเปรียบเหมือนอุบาย วิธีสาํ หรบั ฝก มา พระสงฆเ ปรียบเหมอื นมาทไี่ ดรับการฝกหัดไวดีแลว พระพทุ ธเจา เปรยี บเหมอื นผชู ท้ี าง พระธรรมเปรยี บเหมอื นหนทางทถ่ี กู ทตี่ รง และมีความปลอดภัย พระสงฆเ ปรียบเหมอื นคนเดนิ ทางไปสทู ่หี มาย พระพุทธเจาเปรียบเหมือนผูช้ีขุมทรัพย พระธรรมเปรียบเหมือนขุมทรัพย พระสงฆเปรียบเหมือนคนท่ีไดน าํ ทรัพยนัน้ ไปใชใหม คี วามสุข คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 247
248 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªé¹Ñ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ๔. พระรตั นตรยั เปน สรณะทป่ี ลอดภยั พระรัตนตรัย คอื พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ เปน สรณะที่ปลอดภยั เปน สรณะทป่ี ระเสรฐิ ไมม สี รณะอนื่ ใดทจ่ี ะปลอดภยั หรอื ประเสรฐิ ยง่ิ กวา ผทู ม่ี จี ติ ศรทั ธา เลือ่ มใสและเคารพนบั ถอื บชู า เชอ่ื มั่นใน พระรัตนตรัย รกั ษาพระรัตนตรยั ไวด ว ยชีวิต ไมย อมใหไ ตรสรณคมนข าด ยอ มไดร บั ผลคอื ไดท พ่ี งึ่ อนั ปลอดภยั และไดท พี่ งึ อนั สงู สดุ ดงั ที่พระพุทธเจาตรัสไววา ชนเหลา ใดเหลา หนงึ่ ถงึ พระพทุ ธเจา เปน สรณะทพ่ี งึ่ ทร่ี ะลกึ ชนเหลา นนั้ ละกาย มนุษยไ ปแลว จักไมไปสอู บายภมู ิ จักไดไปเกดิ ในสวรรค บคุ คลใดถงึ พระพทุ ธเจา พระธรรม และพระสงฆ เปน สรณะแลว เหน็ อรยิ สจั ๔ คอื เหน็ ทกุ ข เหน็ เหตใุ หท กุ ขเ กดิ เหน็ ความดบั ทกุ ข และเหน็ มรรคมอี งค ๘ อนั ประเสรฐิ ซงึ่ เปนหนทางนําไปสูความดบั ทกุ ข ดวยปญ ญาอันชอบแลว สรณะของบคุ คลน้นั เปน สรณะทป่ี ลอดภยั เปน สรณะอันสงู สดุ เขาอาศัยสรณะนั้นแลว ยอ มพนจากความทุกข ท้งั ปวงได จากพระพทุ ธพจนน ้ี เปน เครอื่ งยนื ยนั ไดว า พระรตั นตรยั เปน สรณะทป่ี ลอดภยั เปนสรณะอนั สูงสุด ของสัตวทัง้ หลาย ส่ิงอ่ืน ๆ เชน ภเู ขา ตนไม ปาไม เทพเจา เปนตน ไมใชส รณะอนั ปลอดภยั ไมใ ชส รณะ อนั สงู สดุ เพราะผทู ถ่ี ึงสงิ่ เหลานัน้ เปน สรณะแลว ยอ มพน จากทุกขไ มได การทบ่ี คุ คลไดพบพระรัตนตรยั อนั เปนสรณะทปี่ ลอดภยั เปน สรณะทส่ี ูงสุด สามารถดบั ทกุ ขไ ดจ รงิ แตไ มย อมรบั นบั ถอื ไมป ฏบิ ตั ติ ามพระธรรมคาํ สง่ั สอน กเ็ ทา กบั เปนผูปฏิเสธสิริคือบุญท่ีมาถึงตน ดังที่ พระมหาปญถกเถระ กลาวไววา ผูที่ไดพบ พระพทุ ธเจา แลว ปลอ ยโอกาสนนั้ ใหผ า นไปโดยไมส นใจศกึ ษา และไมป ฏบิ ตั ติ ามโอวาท ของพระองค ผูนั้นเปนคนไมมีบุญ เหมือนกับคนท่ีใชมือและเทาปดสิริคือบุญที่มาถึง ตนออกไปเสยี ๕. การเขา ไปหาพระรตั นตรัย การเขา ไปหาพระรัตนตรัยดวยจิตที่เปนกุศลยอมไดร บั ผลบญุ แตการเขาไป หาพระรัตนตรัยดวยจิตที่เปนอกุศลยอมไดรับผลเปนบาป ดังเชน มารไดเขาไปหา พระพุทธเจาดวยจิตท่ีเปนอกุศลหลายครั้ง เชน ในครั้งเสด็จออกผนวชก็ไปหามวา จักรรัตนะจะเกิดข้ึนแกพระองคภายใน ๗ วัน พระองคจะไดเปนพระเจาจักรพรรดิ 248
ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÑÂ) 249 พระองคจ ะเสด็จออกผนวชเพ่ืออะไร และในครง้ั ท่ีไดตรสั รแู ลว กไ็ ดท ลู ขอใหพระพุทธ องคเสด็จดับขันธปรินิพพาน แตพระพุทธองคทรงหามปราบมารน้ัน ดังความในมหา ปรินพิ พานสูตรวา มารผมู ีบาป บรษิ ทั ๔ คือ ภกิ ษุ ภิกษณุ ี อุบาสก อุบาสิกา ผเู ปนสาวกและ สาวิกาของเรา จักเปนผูฉลาดไดรับแนะนําดี แกลวกลา เปนพหูสูต ทรงธรรม ปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแกธ รรม เปน ผปู ฏบิ ตั ชิ อบ ประพฤตติ ามธรรม เรยี นกบั อาจารยข อง ตนสาํ เรจ็ แลว จกั บอกแสดง บญั ญตั ิ แตง ตง้ั เปด เผย จาํ แนก กระทาํ ใหต นื้ ใหเ ขา ใจงา ย แสดงธรรมมปี าฏหิ ารยิ ขม ขปี่ รปั ปวาททเี่ กดิ ขน้ึ ใหเ รยี บรอ ยโดยสหธรรม ยงั ไมไ ดเ พยี งใด เราจะไมป รนิ พิ พานเพยี งนนั้ มารผมู บี าป พรหมจรรยค อื พระพทุ ธศาสนานข้ี องเรา จกั ยงั ไมบ รบิ รู ณ กวา งขวาง แพรห ลาย เปน ทร่ี เู ขา ใจโดยทว่ั กนั เปน ปก แผน จนถงึ พวกเทวดา และมนุษยประกาศไดด ีแลว ยงั ไมไ ดเพียงใด เราจะไมปรนิ พิ พาน เพียงนนั้ โดยพระยามารติดตามรังควานท้ังพระศาสดา และพระสาวกมาตลอดเวลา แมแ ตพ ระมหาโมคคลั ลานะเถระกถ็ กู รังควานดวย ครัง้ หนงึ่ พระเถระกลาวกบั มารวา ไฟไมไดตดิ เพอ่ื จะเผาไหมค นโง คนโงต างหากทีเ่ ขา ไปหาไฟท่ีกาํ ลังลุกโชน เขาเขา ไปหา ไฟใหเผาไหมตัวเขาเอง ดกู อนมารผมู ีบาป ไฉนทานจึงเขาไปหาพระตถาคต เหมือนคน โงเขาไปหาไฟเลา คนโงเ ขา ไปหาพระตถาคต แทนท่จี ะไดบุญกลบั ไดบ าป ซํ้ายังสาํ คญั ผิดวา ไมเ หน็ จะเปน บาปอะไร สรณะ สรณะ แปลวา ทีพ่ ึง่ ท่ีระลึก มีความหมายหลายอยาง ดงั นี้ ๑. สรณะ หมายถงึ “เปน เครอ่ื งเบยี ดเบยี น กาํ จดั นาํ ออก ยา่ํ ย”ี ซง่ึ โทษคอื ภยั ความกลวั ความสะดงุ ความทกุ ข ทคุ ติ และกเิ ลส เมอื่ มพี ระรตั นตรยั สถติ อยใู นใจแลว ความกลัว ความสะดุง ความไมส บายใจ ทคุ ติ และกิเลสก็จะถูกกาํ จัดหรอื ถกู ทําลาย หมดสิ้นไป ๒. สรณะ หมายถึง “เปน ทีอ่ าศยั ไป” ปกตใิ จของมนษุ ยน ัน้ มสี ่งิ ท่เี กิดกับใจ อาศยั อยูไดเพยี งอยา งเดียว ถากเิ ลสอยูในใจ พระรตั นตรยั ก็ไมอ ยู ถาพระรัตนตรยั อยู ในใจ กเิ ลสก็ไมอยู เพราะพระรัตนตรัยกบั กิเลสหรือความชั่วนั้น เหมือนความสวางกบั ความมืด เมื่อมีความสวางก็ไมมีความมืด ผูที่มีพระรัตนตรัยสถิตอยูในใจ จะไปไหน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 249
250 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªéѹⷠคมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ก็มีพระรัตนตรยั ไปดว ย พระรัตนตรยั จงึ ไดช อ่ื วา “เปน ที่อาศัยไป” ๓. สรณะ หมายถงึ “เปน ทร่ี ะลกึ ” เมอ่ื ใจมพี ระรตั นตรยั แลว ใจกร็ ะลกึ คดิ ถงึ แต พระรตั นตรยั ในขณะใดทใี่ จระลกึ คดิ ถงึ พระรตั นตรยั ปต ปิ ราโมทยก เ็ กดิ ขนึ้ ความกลวั ความสะดงุ ทกุ ข ทุคติ กเิ ลส ก็จะหายไป พระรัตนตรยั จงึ ไดช ่อื วา “เปนท่ีระลึก” ๔. สรณะ หมายถงึ “เปนท่พี ึ่งและกาํ จดั ภัยไดจ รงิ ” เม่ือมีพระรตั นตรัยเปน ทร่ี ะลกึ ก็ชื่อวา มีทีพ่ ง่ึ ทุกขภ ัยตา ง ๆ กห็ มดไปดวยอํานาจพระรัตนตรัยนน้ั จึงไดช ่อื วา “เปน ท่ีพ่งึ และกําจดั ภัยไดจ รงิ ” พระพุทธเจา ชื่อวา สรณะ เพราะเปนผูกําจัดภัยของสัตวท้ังหลาย ดวยการนําออกจากส่ิงที่เปนโทษภัย ซ่ึงไมเปนประโยชน แลวนําไปใหถึงส่ิงที่เปนคุณ ซ่งึ เกิดประโยชน พระธรรม ชอื่ วา สรณะ เพราะทรงไวห รอื รกั ษาผปู ฏบิ ตั ติ ามไมใ หต กไปในทชี่ ว่ั หรอื อบายภูมิทั้ง ๔ คอื นรก เปรต อสรุ กาย และสัตวเดยี รัจฉาน ทําใหผูปฏบิ ัตติ าม ไดรับความสขุ บรรลุถึงแดนอันเกษมกลา วคอื พระนพิ พาน พระสงฆ ชอื่ วา สรณะ เพราะเปน เนอื้ นาบญุ ของโลก ไมม เี นอื้ นาบญุ อน่ื ยง่ิ กวา หมายความวา พระสงฆผูประพฤติดีปฏิบัติชอบท่ีเรียกวาอริยสงฆน้ัน เปนเนื้อนาบุญ ของโลกท่ีดที ี่สดุ การไดถวายทานแกพ ระอรยิ สงฆน ัน้ ยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก ไตรสรณคมน ไตรสรณคมน แปลวา การถึงพระรัตนตรัยวาเปนที่พึ่ง ท่ีระลึก แยกออก เปน ๓ ศัพท คือ ไตร แปลวา สาม สรณะ แปลวา ที่พงึ่ ทร่ี ะลกึ คมน แปลวา การถึง ความเขา ถึง การยอมรับนับถือพระรัตนตรัย ความมีศรัทธาเล่ือมใสในพระรัตนตรัย แลว ขอถึงหรือปฏิญาณตนวาจะขอนอมนําพระรัตนตรัยเทานั้นมาเปนที่พ่ึง ที่ระลึก เพอ่ื ยดึ ถือเปนแบบอยา งในการดาํ เนินชีวิต เรียกวา ไตรสรณคมน การถงึ ไตรสรณคมนหรือการเขา ถึงพระรตั นตรัยนน้ั มวี ธิ ีการเขาถงึ ดงั นี้ ๑. วิธีสมาทาน คือ เจตนาท่ีตั้งไวลวงหนาวาจะยอมรับนับถือพระรัตนตรัย วาเปน ท่ีพ่งึ ท่รี ะลึก โดยการสมาทานขอยอมรบั นับถอื พระรตั นะ จํานวน ๒ รัตนะกม็ ี ๓ รัตนะกม็ ี ดังตวั อยางตอไปนี้ 250
ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÑÂ) 251 ผยู อมรับนับถอื พระรตั นตรัยเพยี ง ๒ รตั นะ คือ พาณิชสองพีน่ อ ง นามวา ตปุสสะ และภัลลิกะ ไดเปลงวาจาขอถึง ๒ รัตนะ คือ พระพุทธเจา และพระธรรม วา เปนสรณะ ดังน้ี “เอเต มยํ ภนฺเต ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมฺจ อุปาสเก โน ภควา ธาเรตุ อชฺชตคฺเค ปาณเุ ปเต สรณํ คเต” แปลวา “ขาแตพ ระองคผ เู จรญิ ขาพระองค ทงั้ สองน้ีขอถึงพระผูมีพระภาคเจา และพระธรรมวาเปน สรณะ ขอพระผูม พี ระภาคเจา จงทรงจาํ ขา พระองคท้งั สองวาเปน อบุ าสกผูถงึ สรณะดวยชีวิต ตั้งแตบ ดั น้เี ปนตนไป” ผยู อมรับนบั ถือพระรตั นครบ ๓ รัตนะเปน คนแรก คือ เศรษฐผี เู ปน บิดาของ พระยสเถระ ทไ่ี ดเ ปลง วาจาถึงพระรัตนตรยั คอื พระพทุ ธเจา พระธรรม และพระสงฆ วาเปนสรณะ ซง่ึ วิธสี มาทานหรือเปลงวาจาถึงพระรตั นตรัยนี้ ไดใชมาถึงปจ จบุ ัน เรยี ก วาการแสดงตนเปนพทุ ธมามกะ มีคาํ กลา วแสดงตน ดงั น้ี “เอเต มยํ ภนฺเต สุจิรปรินิพฺพุตมฺป ตํ ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉาม ธมฺมฺจ ภิกขฺ ุสงฆฺ จฺ พุทฺธมามกาติ โน สงโฺ ฆ ธาเรต”ุ แปลวา “ขาแตพระสงฆผ ูเ จริญ ขาพเจา ทั้งหลาย ขอถึงซึ่งพระผูมีพระภาคเจาพระองคน้ัน แมปรินิพพานนานแลวพรอมดวย พระธรรมและพระสงฆ วาเปนท่ีพึ่ง ท่ีระลึก ขอพระสงฆจงจําขาพเจาท้ังหลายไววา เปน พทุ ธมามกะ ผยู อมรบั นบั ถอื พระรัตนตรัยเปน ทพ่ี งึ่ ตั้งแตบ ัดนี้เปนตนไป” ๒. วธิ ีมอบตนเปน สาวก คอื การมอบตนเองเปนพทุ ธสาวก เชน พระมหา กัสสปเถระ คร้ังยังเปนปปผลิมาณพ ออกบวชอุทิศพระอรหันตทั้งหลายท่ีมีอยูในโลก ไดไปพบพระสมั มาสมั พุทธเจา ประทับนงั่ สมาธอิ ยทู โี่ คนตนพหุปตุ ตนิโครธ ในระหวา ง ทางจากเมืองราชคฤหไ ปเมอื งนาลนั ทา เขา ใจวา เปน พระอรหันต จึงนอ มกายเขาไปเฝา ดวยความเคารพอยางยิง่ แลวเปลงวาจามอบตนเปนสาวกวา “สตฺถา เม ภนฺเต ภควา สาวโกหมสฺมิ” แปลวา “ขาแตพระองคผูเจริญ พระผูมีพระภาคเจา เปนศาสดาของขา พระองค ขา พระองคเปน สาวก” ๓. วิธีนอบนอมเล่ือมใสในพระพุทธเจา คือ การแสดงความเคารพนอมใจ เล่ือมใส ศรัทธา เชน พรหมายุพราหมณ ในพรหมมายุสูตร มัชฌิมนิกาย กลาววา พรหมายพุ ราหมณ เปน พราหมณผ ใู หญ เช่ียวชาญไตรเวทท รูจ ักศาสตรวา ดว ยคดโี ลก คือ เร่ืองราวทางโลก และมหาปุริสลักษณะ คือ วิธีดูลักษณะของมหาบุรุษ ไดยิน กิตติศัพทว า พระพุทธเจา ทรงมีมหาปุรสิ ลกั ษณะครบ ๓๒ ประการ จงึ สงอตุ ตรมาณพ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 251
252 ¤Á‹Ù Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ผูเปนศิษยเอกไปพิสูจนความจริง อุตตรมาณพรับคําของอาจารยแลวเขาไปเฝา พระพุทธเจา ไดเห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และพระอิริยาบถท้ังปวงของ พระพทุ ธเจา แลว จึงกลบั ไปแจง ใหอ าจารยท ราบ พรหมายุพราหมณเ กดิ ความเลอื่ มใส ในพระพุทธเจา จงึ ไดล กุ ข้ึนหมผา เฉวยี งบา ผนิ หนา ไปทางทศิ ทพี่ ระพุทธเจา ประทับอยู ประณมมอื เปลงวาจาวา นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทธฺ สฺส นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ุทธฺ สฺส นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทฺธสสฺ แปลวา “ขาพเจา ขอนอบนอ มแดพ ระผมู ีพระภาค อรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา พระองคน้ัน” ๔. วธิ ีมอบตน คอื การมอบกายถวายชีวติ เพือ่ ทําความดี เชน พระโยคีผูมี ศรทั ธาขวนขวายในการเจรญิ กรรมฐาน กอ นแตจ ะสมาทานกรรมฐาน ตอ งกลา วคาํ มอบ ตนตอ พระผมู พี ระภาคเจา วา “อมิ าหํ ภนเฺ ต ภควา อตตฺ ภาวํ ตมุ หฺ ากํ ปรจิ จฺ ชาม”ิ แปลวา “ขา แตพ ระผมู พี ระภาคเจา ผเู จรญิ ขา พระองค ขอมอบกายถวายชวี ติ นแ้ี กพ ระพทุ ธองค” ซ่ึงวิธมี อบตนเชนน้ี ปจจุบันนิยมใชใ นการเขาปฏบิ ัตกิ รรมฐาน ๕. วิธีปฏิบัตหิ นาทขี่ องพุทธบรษิ ัท คือ การประพฤติปฏบิ ัตดิ วยปฏิบัติบชู า หมายถึง การบูชาพระพุทธเจาดวยการประพฤติปฏิบัติตามคําสั่งสอนของพระองค เพอื่ กาํ จดั กเิ ลสและบรรลมุ รรคผลนพิ พาน ปฏบิ ตั บิ ชู านี้ จดั เปน วธิ ถี งึ สรณคมนข น้ั สงู สดุ ไตรสรณคมนข าด ไตรสรณคมนขาด หมายถึง การขาดจากพระรัตนตรยั บคุ คลจะไดช่ือวาขาด จากพระรัตนตรัย หรอื พระรัตนตรยั ขาดจากบคุ คลนนั้ มเี หตุ ๓ ประการ คอื ๑. ตาย บุคคลที่ตายแลวถือวาไตรสรณคมนขาด เปนการขาดจาก พระรัตนตรัยท่ไี มมีโทษ ไมเปนเหตใุ หไปสูอ บาย ๒. ทํารายพระศาสดา บุคคลผูทํารายพระศาสดาถือวาไตรสรณคมนขาด เปน อนันตริยกรรม เปนเหตใุ หไปสอู บายเหมือนพระเทวทัตทาํ รา ยพระศาสดาดวยการ สั่งนายขมังธนูไปลอบปลงพระชนม กล้ิงศิลาหวังจะใหทับ ปลอยชางนาฬาคีรีหวังจะ ใหไปทําราย จัดเปนการขาดสรณคมนที่มีโทษมาก เพราะเห็นเหตุทําใหพระเทวทัตไป ตกนรกอเวจี 252
ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÂÑ ) 253 ๓. นบั ถอื ศาสนาอนื่ บคุ คลทหี่ นั ไปนบั ถอื ศาสดาอน่ื แลว ถอื วา ไตรสรณคมน ขาด เพราะไปนบั ถอื ศาสดาอนื่ เนอ่ื งจากการถงึ ไตรสรณคมนน นั้ เปน การยอมรบั นบั ถอื พระรัตนตรัยวาเปนท่ีพึ่งท่ีระลึกของตน เมื่อหันไปนับถือศาสดาอื่นหรือศาสนาอื่น กเ็ ทา กบั ปฏเิ สธศาสดาหรอื ศาสนาของตน ไตรสรณคมนขาด จะเกิดข้ึนไดเฉพาะในปุถุชนเทาน้ัน สวนพระอริยบุคคล ไตรสรณคมนจะไมขาด เพราะพระอริยบุคคลเปนผูมีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย ดงั เร่อื งนายสปุ ปพทุ ธกุฏฐิ ผมู ีความเล่ือมใสในศรัทธาม่นั คงในพระรตั นตรัย ดังนี้ วันหนึ่ง พระพุทธเจาทรงแสดงธรรมแกพุทธบริษัทในพระวิหารเวฬุวัน นายสปุ ปพทุ ธะ ซง่ึ เปน โรคเรอื้ น ยากจนเขญ็ ใจ ไดไ ปฟง ธรรม นงั่ อยขู า งทา ยของบรษิ ทั สี่ เขาไดบรรลุเปนพระโสดาบัน ประสงคจะกราบทูลการบรรลุธรรมใหพระพุทธเจา ทรงทราบ แตไมมีโอกาส เพราะบริษัทมีจํานวนหนาแนนมาก จึงกลับไปที่อยูของตน คร้ันบริษัทกลับไปหมดแลว เขาจึงไดมาเฝาพระพุทธเจาอีกคร้ัง ทาวสักกะเทวราช ทราบเชนน้ัน ตองการจะทดลองศรัทธาของเขา จึงไดเสด็จลงมาตรัสกับเขาวา “สปุ ปพทุ ธะทา นเปน คน ขดั สน ทา นจงกลา วคาํ วา พระพทุ ธเจา ไมใ ชพ ระพทุ ธเจา ทแ่ี ทจ รงิ พระธรรมไมใชพระธรรมที่แทจริง พระสงฆไมใชพระสงฆท่ีแทจริง พอกันทีกับ พระพุทธเจา พระธรรม และพระสงฆ เมื่อทานกลาวอยางน้ี เราจะใหทรัพยมากมาย นับประมาณไมไ ดแ กท าน” นายสปุ ปพทุ ธะถามวา ทา นเปน ใครทา วสกั กะตอบวา เราเปน ทา วสกั กะจอมเทพ นายสุปปพุทธะกลาววา ทานทาวสักกะผูไมมีหิริ ตามท่ีทานพูดวา ขาพเจาเปนคน ขัดสน ยากจน แตขาพเจา ไมไ ดขัดสนจนธรรม ไมไ ดจ นความสขุ เลย ทา นไมสมควร จะพูดเชนนี้กับขาพเจา คนมีอริยทรัพยสามารถมีความสุขไดในสภาพที่คนอื่นเขารูสึก เปนทุกข ทาวสักกะเม่ือไมอาจจะใหนายสุปปพุทธะพูดอยางนั้นได จึงเสด็จไปเขาเฝา พระพทุ ธเจา กราบทลู ถอ ยคาํ ทโี่ ตต อบกนั ใหพ ระพทุ ธเจา ทรงทราบ พระพทุ ธเจา ตรสั วา ทาวสักกะ บุคคลเชนกับพระองคเปนจํานวนรอยหรือจํานวนพัน ก็ไมสามารถจะให สปุ ปพทุ ธะพดู คําวา พระพุทธเจา ไมใชพ ระพุทธเจา พระธรรมไมใชพระธรรม พระสงฆ ไมใ ชพ ระสงฆ เรอ่ื งน้ีแสดงใหเ หน็ วา ผูบรรลุสจั จะเปน พระอริยบคุ คลแลว จะไมย อมละทิ้ง พระรตั นตรยั เพราะเหตแุ หง ทรพั ย อวยั วะ และแมแ ตช วี ติ อยา งแนน อน เปน ผมู ศี รทั ธา ไมคลอนแคลน ไมห วนั่ ไหวในพระรตั นตรยั คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 253
254 ¤Á‹Ù Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªéѹⷠคมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ไตรสรณคมนเศรา หมอง ไตรสรณคมนเศราหมอง หมายถึง มีการประพฤติตนที่ไมเหมาะสมตอ พระรตั นตรัยดว ยความไมร จู รงิ แบบผดิ ๆ ดว ยความสงสัย และดว ยความไมเอ้ือเฟอ ในพระรตั นตรยั แมไ ตรสรณคมนไ มข าด แตก เ็ ปน เหตใุ หไ ตรสรณคมนเ ศรา หมอง ดงั น้ี ความไมร ู คอื การไมศ กึ ษาเลา เรยี นพระธรรมวนิ ยั ใหร แู จง เหน็ จรงิ การปฏบิ ตั ิ แบบคดิ เองและการนําไปสอนคนอนื่ โดยไมถกู ตอ งตามพระธรรมวินยั ความรแู บบผดิ ๆ คอื การเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรม แตไ มย ดึ ตามหลกั พระไตรปฎ ก ตคี วามเอาตามความพอใจของตนแลว นําไปสอนคนอน่ื ความสงสยั คอื ความสงสยั ในเรือ่ งตาง ๆ ทเี่ ก่ียวกับพระพทุ ธศาสนา เชน สงสยั วาพระพทุ ธเจา ตรสั รจู รงิ หรอื ไม พระธรรมใหผลจรงิ หรือไม พระสงฆป ฏิบตั ิชอบ จริงหรือไม ทําบุญทําบาปแลวมีผลจริงหรือไม ชาติหนา นรก สวรรค มีจริงหรือไม เปนตน ความไมเอื้อเฟอ คือ การไมเคารพ ไมใหความสําคัญตอพระรัตนตรัย ไมเคารพพระพุทธเจา เชน ตเิ ตยี นพระพุทธเจา ลักขโมยพระพุทธรปู เหยียบยํ่าทําลาย พระพุทธรูป เปนตน ไมเคารพพระธรรม เชน คัดคานหลักธรรมคําสอน เหยียบย่ํา ทําลายหนังสือธรรมะ หรือส่ิงอื่นใดที่จารึกพระธรรม และไมเคารพพระสงฆ เชน ดาวาพระสงฆ ยุยงใหพระสงฆแตกกัน ไมทําบุญกับพระสงฆ และขัดขวางผูอื่น ไมใ หท ําบญุ กบั พระสงฆ เปนตน ประโยคของการลว งละเมิดสกิ ขาบท การลวงละเมิดสกิ ขาบท มปี ระโยค ๒ ประการ คอื ๑. สาหัตถิกประโยค คือ การลว งละเมิดโดยการกระทาํ ดว ยตนเอง เปน ไป ในสิกขาบทท้ัง ๘ ขอ ๒. อาณัตตกิ ประโยค คือ การลว งละเมิดโดยการสง่ั หรอื ใชใหค นอน่ื กระทํา เปนไปในสกิ ขาบท ขอ ที่ ๑ และขอ ที่ ๒ เทา น้ัน 254
ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÑÂ) 255 โทษของการลวงละเมิดสกิ ขาบท การลวงละเมดิ สกิ ขาบท มีโทษ ๒ ประเภท คอื ๑. โลกวชั ชะ คอื โทษทางโลก ขอ เสยี หายทชี่ าวโลกตเิ ตยี น เปน ไปในสกิ ขาบท ขอ ท่ี ๑ – ๕ ใครลวงละเมดิ คงเปน โทษแกผนู น้ั เพราะถา ใคร ๆ จะรักษาหรอื ไมร ักษา กต็ าม เมือ่ ลวงละเมิดแลว คงเปนโทษแกผ ูน ัน้ ๒. ปณณตั ิกวัชชะ คอื โทษตามท่ีพระพุทธทรงบัญญัติ เปนไปในสกิ ขาบท ขอ ท่ี ๖ – ๘ ถา ผมู จี ติ หยาบกระดา ง ฝา ฝน ลว งละเมดิ จงึ เปน โทษ ถา ไมแ กลง ลว งละเมดิ กไ็ มมีโทษ เวรของการลว งละเมดิ สกิ ขาบท การลว งละเมดิ สกิ ขาบทมีท้งั เปน เวรและไมเปนเวร ดงั น้ี ๑. การลวงละเมิดสิกขาบทท่ีเปนเวร ไดแก การลวงละเมิดสิกขาบทขอท่ี ๑ – ๕ เพราะผลู ว งละเมิดเกย่ี วขอ งกับผอู ่ืน ๒. การลว งละเมิดสกิ ขาบททไี่ มเปนเวร ไดแก การลวงละเมินสกิ ขาบทขอ ท่ี ๖ – ๘ เพราะผลู วงละเมดิ ไมไ ดเกยี่ วขอ งกบั ผูอ น่ื เปน การลว งละเมิดเฉพาะตัว อุโบสถสูตร สมัยหน่ึง พระผูมีพระภาคเจาประทับอยู ณ ปราสาทของมิคารมารดา ในบุพพาราม ใกลพระนครสาวัตถี ตรัสวา ดูกรนางวิสาขา พระอริยสาวกน้ันยอม พิจารณาเห็นดงั น้วี า พระอรหันตท้ังหลาย ละการฆาสัตว เวนขาดจากการฆาสัตว วางทัณฑะ วางศาสตราแลว มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชนแก สรรพสัตวอยูตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งน้ีในวันนี้ แมดวยองคเชนน้ี เราก็ชื่อวาได ทําตามพระอรหันตทง้ั หลาย ทงั้ อุโบสถกจ็ ักเปน อนั เราเขาอยูจําแลว พระอรหนั ตท ้ังหลาย ละการลักทรัพย เวน ขาดจากการลกั ทรพั ย รับแตของ ที่เขาให ตอ งการแตข องท่เี ขาให ไมป ระพฤตติ นเปน คนขโมย เปนผสู ะอาดตลอดชีวติ แมเ รากล็ ะการลกั ทรพั ย เวน ขาดจากการลกั ทรพั ย รบั แตข องทเี่ ขาให ตอ งการแตข องท่ี คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 255
256 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªé¹Ñ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท เขาให ไมป ระพฤติตนเปนคนขโมย เปน ผสู ะอาดอยตู ลอดคนื หนง่ึ กบั วันหนึ่งนใ้ี นวนั น้ี แมดวยองคอันนี้ เราก็ช่ือวาไดทําตามพระอรหันตท้ังหลาย ทั้งอุโบสถก็จักเปนอันเรา เขา อยูจาํ แลว พระอรหันตท้ังหลาย ละกรรมอันเปนขาศึกแกพรหมจรรย ประพฤติ พรหมจรรย ประพฤติหางไกลจากกาม เวนขาดจากเมถุนอันเปนเร่ืองของชาวบาน ตลอดชีวิต แมเราก็ไดละกรรมอันเปนขาศึกแกพรหมจรรย ประพฤติพรหมจรรย ประพฤติหา งไกลจากกาม เวนขาดจากเมถุนอนั เปนเร่ืองของชาวบานตลอดคืนหน่งึ กับ วนั หนงึ่ นใ้ี นวนั นี้ แมด ว ยองคเ ชน นี้ เรากช็ อื่ วา ไดท าํ ตามพระอรหนั ตท งั้ หลาย ทงั้ อโุ บสถ ก็จักเปนอนั เราเขาอยจู ําแลว พระอรหันตทั้งหลาย ละการพูดเท็จ เวนขาดจากการพูดเท็จ พูดแตคําจริง ดํารงคําสตั ย พูดเปน หลักฐานควรเชอ่ื ได ไมพูดลวงโลกตลอดชีวิต แมเ รากไ็ ดละการ พูดเท็จ เวนขาดจากการพูดเท็จ พูดแตคําจริง ดํารงคําสัตย พูดเปนหลักฐานควร เชอ่ื ได ไมพดู ลวงโลกตลอดคืนหนึ่งกับวนั หนึ่งนี้ในวันน้ี แมด ว ยองคเชนน้ี เราก็ชอื่ วา ไดท าํ ตามพระอรหันตทงั้ หลาย ท้ังอุโบสถก็จกั เปนอนั เราเขาอยูจ ําแลว พระอรหนั ตท งั้ หลาย ละการดมื่ นา้ํ เมาคอื สรุ าและเมรยั อนั เปน ทต่ี ง้ั แหง ความ ประมาท เวนขาดจากการด่ืมนํ้าเมา คือ สุราและเมรัยอันเปนท่ีตั้งแหงความประมาท ตลอดคืนหนง่ึ กับวันหนง่ึ นี้ในวนั น้ี แมดว ยองคเ ชน นี้ เรากช็ ื่อวา ไดท าํ ตามพระอรหันต ทง้ั หลาย ท้งั อุโบสถกจ็ กั เปน อันเราเขาอยจู าํ แลว พระอรหนั ตทง้ั หลาย ฉนั หนเดียว เวนการบริโภคในราตรี งดจากการฉันใน เวลาวกิ าลตลอดชวี ติ แมเ รากบ็ รโิ ภคหนเดยี ว เวน การบรโิ ภคในราตรี งดจากการบรโิ ภค ในเวลาวิกาลตลอดคืนหน่ึงกับวันหนึ่งในวันนี้ แมดวยองคเชนนี้ เราก็ชื่อวาไดทําตาม พระอรหันตท ้ังหลาย ทัง้ อโุ บสถจักเปนอันเราเขา อยจู าํ แลว พระอรหนั ตท ง้ั หลาย เวน ขาดจากฟอ นราํ ขบั รอ งการประโคมดนตรี และการดู การเลน อนั เปน ขา ศกึ แกก ศุ ล เวน จากการทดั ทรงประดบั และตกแตง กายดว ยดอกไมข อง หอมและเครื่องทาผิวตลอดชีวิต แมเรากเ็ วนขาดจากการฟอ นราํ ขับรอง การประโคม ดนตรี และดูการเลนอันเปนขาศึกแกกุศล เวนจากการทัดทรงประดับตกแตงรางกาย ดวยดอกไมข องหอม และเคร่อื งทาผวิ ตลอดคนื หนึ่งกับวนั หนง่ึ นใ้ี นวันน้ี แมด ว ยองค 256
ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÑÂ) 257 เชนนี้ เราก็ช่อื วา ไดท าํ ตามพระอรหนั ตท้งั หลาย ทัง้ อโุ บสถกจ็ กั เปน อนั เราเขาอยจู ําแลว พระอรหนั ตท ง้ั หลาย ไมน งั่ และนอนบนทนี่ ง่ั ทนี่ อนอนั สงู ใหญ เวน ขาดทน่ี ง่ั ทนี่ อนสงู ใหญ ใชท นี่ อนตา่ํ บนเตยี งบา ง บนเครอ่ื งลาดดว ยหญา บา งตลอดชวี ติ แมเ ราทงั้ หลายกไ็ มน งั่ และนอนบนทนี่ ง่ั ทนี่ อนอนั สงู ใหญ เวน จากทน่ี งั่ ทนี่ อนสงู ใหญ ใชท นี่ อนตาํ่ บนเตยี งบา ง บนเครอ่ื งลาดหญา บา งตลอดคนื หนง่ึ กบั วนั หนง่ึ ในวนั นี้ แมด ว ยองคเ ชน นี้ เรากช็ อ่ื วา ได ทําตามพระอรหนั ตท้ังหลาย ทั้งอโุ บสถกจ็ ักเปน อันเราเขาอยจู ําแลว ดูกรนางวิสาขา อริยอุโบสถเปนเชน นแี้ ล อริยอโุ บสถอันบุคคลถอื ปฏิบัติแลว อยา งนี้ ยอมมผี ลมาก มอี านิสงสม าก มคี วามรงุ เรอื งมาก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 257
258 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ ÊÔ¡¢Òº··Õè ñ »Ò³ÒμÔ»ÒμÒ àÇÃÁ³Õ เจตนางดเวนจากการฆา สตั ว ๑. ความมงุ หมาย พระพทุ ธองคท รงบญั ญตั ศิ ลี ขอ นไี้ ว เพอื่ มงุ ใหม นษุ ยอ บรมจติ ของตนใหค ลาย ความเหีย้ มโหด มีเมตตากรุณาตอกนั และเผือ่ แผแกสัตวท งั้ ปวง ๒. เหตุผล ชวี ติ เปน สมบตั ชิ นิ้ เดยี วทสี่ ตั วม อี ยู และเปน สง่ิ ทม่ี นษุ ยแ ละสตั วท กุ รปู ทกุ นาม หวงแหนท่ีสุด ดังนั้น การกระทําผิดตอสัตว ไมมีส่ิงใดรายแรงย่ิงกวาการทําลายชีวิต ของเรา เพราะเทากบั การทําลายทุกส่ิงทุกอยางทเี่ ขามีอยู การไมฆาสตั วต ดั ชีวิต เทากบั เปนการใหทกุ สง่ิ ทกุ อยาง ทานจงึ เรยี กศลี ขอนีว้ า มหาทาน หมายถึงการใหอ นั ยงิ่ ใหญ การประพฤติเปนคนโหดรายละเมิดศีลขอน้ี ยอมเปนการทําลายมนุษยธรรมในตัวเรา เองดว ย ทัง้ เปน การทําลายความสงบสขุ ของสังคมและประเทศชาติ ๓. ขอ หาม สกิ ขาบทน้ี หามการฆาโดยตรง แตผ รู กั ษาอุโบสถศลี พงึ เวน จากพฤตกิ รรม ทีโ่ หดรา ยดว ย เชน การทาํ รา ยรางกาย การทรกรรม ซงึ่ เปนกริ ิยาเบอื้ งตน ทนี่ าํ ไปสูก าร ฆาชวี ิตสตั ว ความหมายของขอ หา ม ๓ ประการ ดังน้ี การฆา กริ ิยาทฆี่ า หมายถึง การทาํ ชวี ติ สัตวใหต กลวงไป คอื การฆาใหตาย ฆาสัตว หมายถึงมนุษย ท้ังที่อยูในครรภและนอกครรภ และสัตวเดียรัจฉานทุกชนิด การฆานร้ี วมไปถงึ การฆา ตัวเองดว ย ซึ่งถอื วาบาปกรรมมาก การทาํ รายรา งกาย หมายถึง การทําใหร างกายเสียรปู เสียความงาม เจบ็ ปวด หรอื พกิ าร ดวยวธิ ีการตา งๆ เชน ยิง ฟน ทุบ ตี เปน ตน ดวยเจตนามงุ ราย แตไมถงึ ตาย การทรกรรม หมายถงึ การทาํ ใหส ตั วไ ดร บั ความลาํ บาก โดยขาดความเมตตา ปรานี เชน 258
ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (Ç¹Ô ÂÑ ) 259 ๑. การใชง านเกินกาํ ลัง ไมใหไ ดรบั การพกั ผอ นหรอื ไมเ ลย้ี งดูตามควร ๒. การกักขังใหอยูในท่ีคับแคบไมอาจเปล่ียนอิริยาบถได หรือกักขังไวในที่ อันตราย ๓. การนําสัตวไ ปโดยวธิ อี ันทรมาน เชน ลากหรือห้ิวเปด ไก สุกร เอาหัวลง และเอาเทา ชขี้ ึน้ ทําใหสัตวไดร บั ความทกุ ขทรมานอยา งย่งิ ๔. การทรมานสัตวดวยความสนุกสนาน เชน ใชประทัดผูกหางสุนัขแลว จุดไฟ เพ่ือใหสุนัขตกใจและว่ิงสุดชีวิต การใชกอนหินกอนดินขวางปาสัตวเพ่ือความ สนุกของตน เปนตน ๕. การยั่วสัตวใหทํารายกัน เพราะเห็นแกความสนุกสนาน เชน กัดปลา ชนไก เปน ตน การทาํ รา ยรา งกายกด็ ี การทรกรรมกด็ ี จดั เปน อนโุ ลมปาณาตบิ าต หา มไวด ว ย สกิ ขาบทนี้ ๔. หลกั วนิ ิจฉัย การลวงละเมิดสิกขาบทท่ี ๑ ท่ที าํ ใหศีลขาด ประกอบดว ยองค ๕ คอื ๔.๑ ปาโณ สัตวม ีชีวิต ๔.๒ ปาณสฺิตา รูว าสัตวมีชวี ิต ๔.๓ วธกจิตฺตํ จิตคดิ จะฆา ๔.๔ อุปกกฺ โม พยายามฆา ๔.๕ เตน มรณํ สัตวต ายดวยความพยายามนนั้ ๕. โทษของการลวงละเมิด ในคัมภีรช้ันอรรถกถาไดวางหลักวินิจฉัยการฆาวามีโทษมากหรือนอยไว ๔ ประการ ๑. คณุ ฆา สตั วม คี ณุ มากกม็ โี ทษมาก ฆา สตั วม คี ณุ นอ ยหรอื ไมม คี ณุ กม็ โี ทษ นอ ย เชน ฆา พระอรหนั ต มโี ทษมากกวา ฆา ปถุ ชุ น ฆา สตั วช ว ยงานมโี ทษมากกวา ฆา สตั ว ดรุ า ย เปน ตน การฆาบิดามารดา การฆาพระอรหันต มีบาปหนัก เปนอนันตริยกรรม หา มสวรรค หามนพิ พาน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 259
260 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท การฆาคนที่มีคณุ เชน พระอริยบุคคลท่ตี ํา่ กวา พระอรหนั ต หรอื กลั ยาณชน ผรู กั ษาศลี ปฏบิ ตั ธิ รรม หรอื คนทป่ี ระกอบคณุ งามความดตี อ สงั คมกม็ บี าปมาก แตน อ ย กวา การทําอนนั ตริยกรรม การฆา คนทัว่ ไป กม็ บี าปเชนเดียวกนั แตน อ ยกวา การฆาคนที่มคี ณุ แมก ารฆา คนทไี่ รศ ลี ธรรมและเปน ภยั แกค นอนื่ กจ็ ดั วา เปน บาป แตน อ ยกวา การฆาคนทว่ั ไป กลา วโดยสรุปแลว การฆา ลว นเปนบาปทั้งสิ้น ๒. ขนาดกาย สําหรับสัตวจําพวกเดียรัจฉานที่ไมมีคุณเหมือนกัน ฆาสัตว ใหญ มีโทษมาก ฆา สัตวเล็กกม็ โี ทษนอ ย เพราะการฆา สัตวทม่ี ขี นาดรางกายใหญตอง ใชความพยายามในการฆามากขน้ึ ๓. ความพยายาม มีความพยายามฆา มากก็มีโทษมาก มีความพยายามนอย ก็มี โทษนอย การฆาดว ยวธิ กี ารทรมาน คอื ทําใหต ายอยางลําบาก หวาดเสยี ว ใหเกดิ ความช้ําใจ หรอื ฆาดวยวธิ พี ิสดาร ยอ มมีบาปมาก แมการฆา ดว ยการใชเ ทคโนโลยี เชน การใชระเบิดอาวุธชีวะเคมี ท่ีเกิดความสูญเสียมากยอ มมีบาปมาก ๔. กิเลสหรือเจตนา มีกิเลสหรือเจตนาแรงก็มีโทษมาก มีกิเลสหรือเจตนา ออนก็มีโทษนอย เชน ฆาดวยโทสะหรือจงใจเกลียดชังมีโทษมากกวาฆาเพื่อปกปอง กันตวั เปน ตน การฆาดว ยความอาํ มหติ โหดเห้ยี ม เครียดแคน พยาบาท การฆา ดวย ความเปนมิจฉาทิฐิ การฆาดวยการเห็นแกอามิสสินจางรางวัล การฆาโดยไมมีเหตุผล หรอื การฆาเพื่อความสนุกสนาน ยอมมีบาปนอ ยลดหล่นั กันไป ในกรณที ่ไี มม เี จตนาก็ ไมบ าป ดงั เรอ่ื งพระจกั ขบุ าลเถระซงึ่ มจี กั ษบุ อดทงั้ สองขา ง เดนิ จงกรมเหยยี บแมลงเมา ตายเปน จํานวนมาก แตไมมีเจตนาทีจ่ ะฆา พระพุทธเจา ตรสั วา “ภิกษุทัง้ หลาย” ขน้ึ ชอ่ื วา เจตนาเปน เหตุฆาสัตวใ หตายของพระขีณาสพท้ังหลาย คอื บคุ คลผูมีอาสวะสิ้นแลว มิไดม”ี การหามฆาสัตวน้ี ทางพระพุทธศาสนายังรวมถึงการหามฆาตัวเองดวย เพราะการฆา ตวั เองนนั้ เปน ปาณาตบิ าต เพราะครบองคป ระกอบของปาณาตบิ าตทง้ั ๕ ขอ เชนเดียวกัน นอกจากนัน้ ผลู วงละเมิดอุโบสถศลี สกิ ขาบทท่ี ๑ ยอ มไดรบั กรรมวบิ าก ๕ อยาง คือ 260
ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 261 ๕.๑ เกดิ ในนรก ๕.๒ เกดิ ในกาํ เนิดสตั วเดียรจั ฉาน ๕.๓ เกดิ ในกาํ เนิดเปรตวิสยั ๕.๔ มอี วัยวะพิการ ๕.๕ มอี ายสุ ้นั ๖. อานสิ งส ผูรักษาอโุ บสถศีล ขอท่ี ๑ ยอ มไดร บั อานสิ งส ดงั น้ี ๖.๑ มีรา งกายสมสว น ไมพิการ ๖.๒ เปน คนแกลว กลา วองไว มกี ําลงั มาก ๖.๓ ผิวพรรณเปลงปลง่ั สดใส ไมเ ศราหมอง ๖.๔ เปนคนออนโยน มีวาจาไพเราะ เปนเสนหแ กค นทั้งหลาย ๖.๕ ศัตรทู าํ รายไมไ ด ไมถ ูกฆา ตาย ๖.๖ มโี รคภยั เบยี ดเบยี นนอ ย ๖.๗ มอี ายยุ นื คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 261
262 ¤Á‹Ù Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªéѹⷠคมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ตัวอยางโทษของการลวงละเมิดสกิ ขาบทท่ี ๑ เรือ่ งชน ๓ คน กาถกู ไฟไหมต ายในอากาศ มเี รื่องเลา วา เม่ือพระศาสดาประทับอยใู นวัดพระเชตวนั ภกิ ษหุ ลายรูปจะไป เขา เฝา พระศาสดา ไดไ ปบณิ ฑบาตทห่ี มบู า นแหง หนงึ่ ชาวบา นรบั บาตรของภกิ ษเุ หลา นน้ั แลวนิมนตใหน่ังในโรงฉัน ถวายขาวยาคูและของขบเคี้ยวแลว ขณะรอเวลาถวาย ภตั ตาหาร ไดพากนั น่ังฟงธรรมอยู ในขณะน้ันหญิงคนหน่ึงกําลังหุงขาวและทํากับขาว เปลวไฟลุกข้ึนจากเตา ไหมท่ีชายคาบาน ไฟไหมเสวียนหญาอันหน่ึงปลิวข้ึนจากชายคาบานลอยไปในอากาศ ในขณะนั้นมีอีกาตัวหน่ึงบินมาบังเอิญสอดคอเขาไปในเสวียนหญาน้ันพอดี ถูกเกลียว หญาพันคอแลวถูกไฟไหมตกลงมาตายท่ีกลางบาน ภกิ ษทุ ง้ั หลายเหน็ เหตนุ นั้ คดิ วา กรรมนหี้ นกั พวกเราจกั ทลู ถามกรรมของอกี า นน้ั กบั พระศาสดา แลวกพ็ ากนั เดนิ ทางไปเฝา พระศาสดา ภรรยานายเรือถกู ถว งนํ้า ภิกษุอีกพวกหน่ึง โดยสารเรือเดินทางไปเขาเฝาพระศาสดา เรือไดหยุดน่ิง กลางสมุทร พวกคนในเรือคิดวา “ในเรือน้ีคงมีคนกาลกรรณีอยู” (กาลกิณี) จึงใชวิธี แจกสลากเพ่ือหาคนกาลกรรณี ภรรยากัปตันเรือวัยกําลังรุนสาว รูปรางสวยงามนาดู นาชม จับไดสลากท่ีแจกนั้นถึง ๓ คร้ัง กัปตันเรือ ทั้งๆ ท่ีมีความรักภรรยาอยางย่ิง แตเห็นแกชีวิตของคนท้ังหลายในเรือ จําตองปฏิบัติตามความเห็นของคนสวนใหญ ในเรือ คือใหโยนนางทงิ้ ลงในสมุ ทร ภรรยาของกัปตันเรือ ขณะโดนจับโยนลงในสมุทรนั้น ไดรองเสียงดังดวย ความกลวั ตาย กปั ตันเรอื ไดยนิ เสยี งรอง จึงใหเอาของหนักผกู ทีค่ อภรรยาแลวโยนลง ไปในสมทุ ร พวกภกิ ษุรบั ทราบเรอื่ งเชน น้ีแลว เกดิ ความสลดใจ คิดวาพวกเราจะทลู ถาม กรรมของหญงิ นนั้ กบั พระศาสดาแลว จงึ พากันเดนิ ทางไปเขาเฝาพระศาสดา 262
ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÂÑ ) 263 ภิกษุ ๗ รปู อดอาหาร ๗ วันในถํ้า ภิกษุ ๗ รปู อีกพวกหน่งึ เดนิ ทางจากชนบทปลายแดนไปเขา เฝาพระศาสดา เวลาเยน็ เดนิ ทางถงึ วัดแหง หนง่ึ แลวขอพกั คางคนื ไดท พี่ ักในถํ้าแหง หนง่ึ ซ่งึ มเี ตยี งอยู ๗ เตียง เมื่อภิกษุเหลาน้ันอยูในถ้ํานั้น ตอนกลางคืนแผนหินเทาเรือนหลังขนาดใหญ กลง้ิ ลงจากภูเขามาปด ปากถ้ํานน้ั ไวพ อดี พวกภกิ ษเุ จา ของถน่ิ ไดร วบรวมชาวบา น ๗ หมบู า นใกลเ คยี ง ชว ยกนั พยายาม ผลกั หินออกจากปากถ้ํา แตก็ไมสามารถทําใหแผน หินเขย้ือนจากท่ไี ด แมพวกพระภิกษุเขาไปพักภายในถํ้า ก็พยายามเหมือนกัน แตก็ไมสามารถ ทาํ ใหแ ผน หนิ นนั้ เขยอ้ื นได ตอ งทนทกุ ขอ ยใู นถา้ํ เปน เวลาถงึ ๗ วนั ถกู ความหวิ กระหาย ครอบงาํ ตลอด ๗ วัน ไดเ สวยทุกขอยใู นถํ้าเปนเวลาถึง ๗ วนั แผนหินก็ไดกลบั กล้งิ ออกไปเอง พวกภกิ ษอุ อกจากถาํ้ ไดแ ลว คดิ วา พวกเราจะทลู ถามบาปกรรมของพวกเรา กับพระศาสดา แลวพากันเดนิ ทางไปเขาเฝา พระศาสดา พระศาสดาตรสั พยากรณบ รุ พกรรมแกภกิ ษเุ หลานน้ั โดยลาํ ดับ ดงั นี้ บรุ พกรรมของกา ในอดตี กาล ชาวนาผูหนึ่งในกรุงพาราณสี ฝก โคของตนอยู แตไมสามารถฝก ไดเ พราะโคของเขาเดนิ ไปไดห นอ ยหนง่ึ แลว กน็ อนเสยี เมอื่ เขาทบุ ตใี หล กุ ขน้ึ แลว เดนิ ไป ไดห นอ ยหนงึ่ กก็ ลบั นอนเสยี อกี เหมอื นเดมิ ชาวนานนั้ แมจ ะพยายามแลว กไ็ มส ามารถ ฝก โคนนั้ ได จงึ โกรธและไดน าํ ฟางมาสมุ ตวั โคโดยเอาฟางพนั คอโคแลว กจ็ ดุ ไฟ โคถกู ไฟ คลอกตายในทน่ี ั้นเอง กรรมท่ชี าวนาทาํ แลวในครง้ั นน้ั เขาถกู เผาไหมอ ยใู นนรกสิ้นกาลนาน เพราะ วิบากของกรรมนั้น เขาไดมาเกิดเปนกา ๗ ชาติ และถูกไฟไหมตายในอากาศอยางน้ี เหมอื นกนั ทงั้ ๗ ครัง้ บรุ พกรรมของภรรยากัปตนั เรือ ในอดีตกาล หญิงน้ันเปนภรรยาของคฤหบดีคนหนึ่งในกรุงพาราณสี ไดทําหนาที่ทุกอยางมีตักนํ้า ซอมขาว ปรุงอาหาร เปนตน ดวยตนเอง สุนัขตัวหน่ึง ตดิ ตามนางไปทกุ ท่ี ไมว า จะไปนา ไปปา ไปหาฟน หาผกั หรอื ไปทาํ อะไรกต็ าม กต็ ดิ ตาม นางไปเสมอ จนคนเยาะเยยวา นางเปน นายพรานหญิง คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 263
264 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท นางขวยเขนิ เพราะคาํ พดู ของคนเหลา นนั้ จงึ เอากอ นดนิ บา ง ทอ นไมบ า งขวา ง สนุ ขั เพอื่ ไมใหต ิดตามนางไป แตเ จา สุนขั กลับไปแลว ก็ตามนางไปอีก เนื่องจากในอดตี ชาติ สุนขั นั้นเคยเปน สามขี องนางในอัตภาพท่ี ๓ คือชาติท่ี ๓ ทผ่ี า นมา เหตนุ น้ั มนั จงึ ไมอาจตดั ความรักตอนางได ความจรงิ ในวฏั ฏสงสารน้ี ใครๆ ชอ่ื วา ไมเ คยเปน ภรรยาหรอื เปน สามกี นั ไมม ี โดยแท ถึงกระน้ันความรักมีประมาณย่ิงยอมมีในผูท่ีเปนญาติกันในอัตภาพไมไกล เพราะเหตุนัน้ สุนัขจงึ ไมอาจตดั รักนางได นางโกรธสุนัขมาก เมื่อนําขาวยาคูไปใหสามีท่ีนาแลว ไปที่ทาน้ําแหงหนึ่ง นําภาชนะบรรจุทรายใหเต็ม แลวเรียกสุนัขมา สุนัขดีใจจึงกระดิกหางเขาไปหานาง นางผูกภาชนะที่บรรจุทรายติดกับคอสุนัขแลวผลักภาชนะใหกล้ิงลงไปในน้ํา สุนัขถูก ภาชนะทก่ี ลงิ้ น้นั ดงึ ตกลงไปในน้ํา ถงึ แกความตาย เพราะวบิ ากของกรรมนั้น นางไหม อยูในนรกสิ้นกาลนานดวยวิบากกรรมที่เหลือ จึงถูกเขาจับถวงน้ําถึงแกความตายมา แลว ๑๐ ชาติ บรุ พกรรมของภกิ ษุ ๗ รปู ในอดีตกาล เดก็ เลี้ยงโค ๗ คนเปนชาวกรงุ พาราณสี เทยี่ วเล้ียงโคอยคู ราว ละ ๗ วนั ณ สถานทใ่ี กลป า ดงแหง หนงึ่ วนั หนง่ึ เลย้ี งโคแลว กลบั มาพบเหย้ี ใหญต วั หนงึ่ จงึ พากนั ไลต ดิ ตามเหยี้ ไดห นเี ขา ไปในจอมปลวกแหง หนงึ่ ซง่ึ มชี อ งอยู ๗ ชอ ง พวกเดก็ ปรกึ ษากนั วา วนั นี้ พวกเราจบั เหยี้ ไมไ ด พรงุ นคี้ อ ยมาจบั จงึ ตา งคนตา งกถ็ อื เอากง่ิ ไมห กั คนละกําๆ ทงั้ ๗ คน ก็พากนั ปดชอ งทั้ง ๗ ชอ ง แลว ตอ นโคกลับบาน ในวันรงุ ขนึ้ เดก็ เหลาน้ันลมื คดิ ถงึ เรื่องเหยี้ ตอนโคไปเลี้ยงในสถานทอี่ ื่น ครัน้ ในวันท่ี ๗ พาโคกลบั มาทีเ่ ดิม เหน็ จอมปลวกนัน้ กก็ ลบั ไดสติ คิดกนั วา “เหยี้ ตวั นน้ั เปน อยา งไรหนอ” จงึ เปด ชอ งทตี่ นปด ไว เหยี้ อดอาหารมาหลายวนั หมดอาลยั ในชวี ิตเหลือแตกระดูกและหนงั ตวั ส่นั คลานออกมา เด็กเหลานัน้ เหน็ แลวจงึ เกิดความ เอ็นดูพูดกันวา “พวกเราอยา ฆา มนั เลย มนั อดอาหารมาต้ัง ๗ วันแลว ” จงึ ลบู หลังเห้ีย นน้ั แลว ปลอยไป เด็กเหลาน้ันไมตองผูกเผาไหมในนรก เพราะไมไดฆาเห้ีย แตไดรับกรรม ตองอดขาวรวมกนั ตลอด ๗ วัน จาํ นวน ๑๔ ชาติซึ่งเปนผลแหงกรรมที่ทาํ ในคร้งั น้ัน 264
ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (Ç¹Ô ÂÑ ) 265 ตวั อยางอานสิ งสของการรักษาสกิ ขาบทท่ี ๑ เร่อื ง มหาธรรมบาลชาดก ในอดีตกาล เมือ่ พระเจาพรหมทตั ครองราชยสมบตั ิ อยใู นพระนครพาราณสี ไดม บี า นหลงั หนงึ่ ชอ่ื วา ธรรมบาลคาม ในแควน กาสี สาเหตทุ ไ่ี ดช อ่ื ธรรมบาลคาม เพราะ เปน ทอ่ี ยอู าศยั ของตระกลู ธรรมบาลพราหมณ และเพราะเหตทุ รี่ กั ษาธรรม คนในตระกลู รวมท้ังทาส และกรรมกรก็ใหทาน รักษาศีล รกั ษาอโุ บสถ พระโพธสิ ตั วเ กดิ ในตระกลู นน้ั ไดช อ่ื วา ธรรมบาลกมุ าร เมอ่ื เจรญิ วยั แลว บดิ า ไดสงไปเรียนศิลปะ ณ เมืองตักกสลิ าในสํานักของอาจารยทศิ าปาโมกข ไดร ับแตง ต้ัง เปนหวั หนามาณพจาํ นวน ๕๐๐ คน คร้ังนนั้ ลูกคนโตของอาจารยเสียชีวติ ท้งั อาจารย ลูกศษิ ย และญาติตางรองไหค รํ่าครวญ ทําฌาปณกจิ ศพลกู ธรรมบาลกุมารคนเดยี ว เทา นนั้ ทไี่ มร อ งไห ไมค ราํ่ ครวญ เมอื่ มาณพ ๕๐๐ คนนน้ั มาจากปา ชา แลว ไดพ ากนั ไปนงั่ ราํ พนั อยใู นสาํ นกั อาจารยว า นา เสยี ดาย มาณพหนมุ ผมู มี ารยาทดเี ชน น้ี ตอ งพลดั พราก จากบิดามารดา เสียชีวิตตง้ั แตยงั หนมุ ธรรมบาลกุมาร กลาววา เหตุไรเลา จงึ ไดต ายกนั เสียตั้งแตยังหนุม หนุมยังไมสมควรตายมิใชหรือ มาณพเหลาน้ันกลาวกะธรรมบาล กมุ ารวา ทานไมร จู ักความตายของสตั วเหลานีด้ อกหรอื ธรรมบาลกุมาร กลาววาเรารูแตเทาที่รูมา ไมมีใครตายต้ังแตยังหนุม ตายกันเม่อื แกแลว เทา นน้ั มาณพท้ังหลาย กลา ววาสังขารทง้ั ปวง ไมเทยี่ ง มแี ลว กลับไมม ี มใิ ชห รอื ธรรมบาลกมุ าร กลาววา จริง สังขารไมเทย่ี ง แตส ตั วทง้ั หลาย ไมต ายตั้งแต ยังหนมุ ตายกนั เม่อื แกแ ลว แลวจงึ จะถึงซึ่งความไมเท่ยี ง มาณพทงั้ หลาย ถามวา ในบา นของทา นไมม ใี ครตายหรือ ธรรมบาลกุมาร ตอบวา ท่ีตายตั้งแตยังหนุมไมมี มีแตตายกันตอนเมื่อแก แลว ท้ังนน้ั มาณพท้ังหลาย ถามวา ขอ นี้เปนประเพณีแหง ตระกลู ของทา นหรอื ธรรมบาลกุมาร ตอบวา ใช เปนประเพณีแหงตระกูลของเรา คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 265
266 ¤ÙÁ‹ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท มาณพทง้ั หลาย ไดฟ ง ถอ ยคาํ ของธรรมบาลกมุ ารดงั นน้ั แลว จงึ พากนั ไปบอก อาจารย อาจารยเรียกธรรมบาลกุมารมาถามและไดทราบดังน้ันแลวคิดวา กุมารนี้พูด อัศจรรยเหลือเกิน เราจักไปบานบิดาของกุมารนี้แลวถามดู ถาเปนจริง เราจักบําเพ็ญ ธรรมเชน นน้ั บาง อาจารยน ้ัน ครนั้ ทาํ ฌาปนกจิ ศพบุตรเสร็จแลว ลวงมาได ๗-๘ วนั ไดเรียกธรรมบาลกุมารมาสั่งวา แนะพอ เราจักออกเดินทางไป เจาจงบอกศิลปะ แกมาณพเหลานี้ จนกวาเราจะกลับมา เมื่อสั่งการเชนน้ันแลวเราก็เก็บกระดูกแพะ ตวั หนง่ึ มาลางเอาใสก ระสอบ ใหคนรับใชคนหนึง่ ถือตามไป ออกจากเมืองตักกศิลาไป สบู านธรรมบาล ไปหยดุ ยนื อยูท ป่ี ระตูบา น พวกขาทาสบานธรรมบาลเห็นเขา ตางก็รับรมรับรองเทาของอาจารย และ รบั กระสอบจากมอื ของคนรบั ใช เมอ่ื อาจารยก ลา ววา พวกทา นจงไปบอกบดิ าของกมุ ารวา อาจารยของธรรมบาลกุมารบุตรของทานมายืนอยูที่ประตู พวกทาสรับคําไปบอกบิดา ของธรรมบาล บดิ ารบี ไปเชอื้ เชญิ ขนึ้ บนบา นใหน ง่ั บนบลั ลงั ก ปรนนบิ ตั ทิ กุ อยา งมลี า งเทา ให เปน ตน อาจารยบ ริโภคอาหารแลว เวลานั่งสนทนากนั อยูตามสบาย จึงแสรง กลา ว วาทานพราหมณ ธรรมบาลกุมารบุตรของทาน เปนคนมีสติปญญา เรียนจบไตรเพท และศลิ ปะ ๑๘ ประการแลว แตไดเ สยี ชีวติ เสยี แลวดวยโรคอยา งหน่ึง สังขารทั้งปวง ไมเที่ยง ทานอยา เศรา โศกไปเลย พราหมณต บมอื หวั เราะดงั ลนั่ เมอื่ อาจารยถ ามวา ทา นพราหมณ ทา นหวั เราะ อะไร กต็ อบวา ลูกฉันยงั ไมตาย ทตี่ ายน้นั คงเปน คนอนื่ อาจารยกลาววา ทานพราหมณ ทา นไดก ระดกู บตุ รของทา นแลว จงเชอ่ื เถดิ แลว นาํ กระดกู ออกมาแลว กลา ววา นกี่ ระดกู ลกู ของทา น พราหมณก ลา ววา นจ้ี กั เปน กระดกู แพะหรอื กระดกู สนุ ขั แตล กู ฉนั ยงั ไมต าย เพราะในตระกูลของเรา ๗ ชว่ั โคตรมาแลว ไมม ใี ครเคยตายต้งั แตย ังหนุม เลย ทานพดู ปดขณะนนั้ คนทั้งหมดไดตบมอื หวั เราะกนั ยกใหญ อาจารยเห็นความอัศจรรย แลวมี ความยนิ ดี เมอ่ื จะถามวา ทา นพราหมณ ในประเพณตี ระกลู ของทา นทคี่ นหนมุ ๆ ไมต าย ตองมสี าเหตุทเ่ี ปนเหตผุ ล เพราะเหตไุ ร คนหนุม ๆ จงึ ไมตาย พราหมณไดพรรณนาคุณานุภาพที่เปนเหตุที่เปนเหตุใหคนหนุมในตระกูล นน้ั ไมตาย จงึ กลา วคาถาความวา พวกเราประพฤตธิ รรม ไมกลาวมสุ า งดเวนธรรมชวั่ งดเวน กรรมอนั ไมป ระเสรฐิ ทง้ั หมด เพราะเหตนุ น้ั แหละ คนหนมุ ๆ ของพวกเราจงึ ไมต าย 266
ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (Ç¹Ô ÂÑ ) 267 พวกเราฟง ธรรมของอสตั บรุ ษุ และของสตั บรุ ษุ แลว เราไมช อบใจธรรมของอสตั บรุ ษุ เลย ละอสัตบุรุษเสีย ไมละสัตบุรุษ เพราะเหตุนั้นแหละ คนหนุมๆ ของพวกเราจึงไมตาย กอนท่เี รมิ่ จะใหทาน พวกเราเปน ผตู ้งั ใจดี แมก าํ ลงั ใหทาน กม็ ใี จผอ งแผว ครั้นใหท าน แลวก็ไมเดือดรอนในภายหลัง เพราะเหตุนั้นแหละ คนหนุมๆ ของพวกเราจึงไมตาย พวกเราเลยี้ งดสู มณพราหมณ คนเดินทาง วณพิ ก ยาจก และคนขัดสนทัง้ หลาย ใหอ ิ่ม หนําสาํ ราญดวยขา วน้าํ เพราะเหตนุ ้ันแหละ คนหนมุ ๆ ของพวกเราจงึ ไมต าย พวกเรา ไมน อกใจภรรยา ถึงภรรยากไ็ มนอกใจพวกเรา พวกเราประพฤตพิ รหมจรรย นอกจาก ภรรยาของตน เพราะเหตุนนั้ แหละ คนหนุมๆ ของพวกเราจึงไมตาย พวกเราท้ังหมด งดเวนจากการฆาสัตว งดเวนสิ่งของท่ีเขาไมใหทุกท่ีในโลกนี้ ไมด่ืมของเมา ไมกลาว ปด เพราะเหตนุ ัน้ แหละ คนหนุมๆ ของพวกเราจงึ ไมตาย บุตรทเี่ กดิ ในภรรยาผมู ีศีล ดีเหลาน้ัน เปนผูฉลาด มีปญญา เปนพหูสูต เรียนจบไตรเพท เพราะเหตุน้ันแหละ คนหนุมๆ ของพวกเราจงึ ไมต าย มารดาบิดา พ่ีนองหญงิ ชาย บตุ ร ภรรยา และเราทุก คนประพฤติธรรมมงุ ประโยชนใ นโลกหนา เพราะเหตนุ น้ั แหละ คนหนุมๆ ของพวกเรา จึงไมตาย ทาส ทาสี คนที่มาอาศัยเพื่อเลี้ยงชีวิต คนรับใช คนงานทั้งหมด ลวนแต ประพฤติธรรม มุงประโยชนในโลกหนา เพราะเหตุนั้นแหละคนหนุมๆ ของพวกเรา จึงไมต าย ในท่ีสุด พราหมณก็ไดแสดงคุณของผูประพฤติธรรม ดวยคาถาความวา ธรรมแล ยอมรักษาผูประพฤติธรรม ธรรมท่ีบุคคลประพฤติดีแลว ยอมนําสุขให นี้เปนอานิสงสในธรรมที่ประพฤติดีแลว ผูประพฤติธรรมยอมไมไปสูทุคติ ธรรมแล ยอ มรกั ษาผปู ระพฤตธิ รรม เหมอื นในรม ใหญใ นฤดฝู น ฉะนนั้ ธรรมบาลบตุ รของเราผมู ี ธรรมคุมครองแลว กระดูกที่ทานนําเอามานี้ เปนกระดูกสัตวอื่น บุตรของเรายังมี ความสุขดอี ยู อาจารยไดฟงดังนั้นแลว จึงกลาววาการมาของตนเปนการมาท่ีดี มีผล ไมไรผลแลวมีความยินดี ขอขมาโทษกะบิดาธรรมบาล แลวบอกความจริงวา น้ีเปน กระดูกแพะตนนํามาเพ่ือจะทดลอง บุตรของทานสบายดี ทานจงใหธรรมท่ีทานรักษา แกเราบาง พักอยูม นที่นัน้ ๒-๓ วัน จงึ กลับไปเมอื งตักกศิลา ใหธรรมบาลกมุ าลศกึ ษา ศิลปะทกุ อยาง แลว สง กลับดวยบริวารใหญ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 267
268 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ÍØâºÊ¶ÈÕÅÊ¡Ô ¢Òº··Õè ò Í·¹Ô ¹Ú Ò·Ò¹Ò àÇÃÁ³Õ เจตนางดเวน จากการลกั ทรัพย ๑. ความมงุ หมาย สิกขาบทน้ี มีความมุงหมายเพื่อใหทุกคนประกอบอาชีพแตในทางสุจริต เวน จากการประกอบอาชพี ในทางทจุ รติ อนั จะเปน เหตเุ บยี ดเบยี นและทาํ ลายกรรมสทิ ธ์ิ ในทรพั ยสนิ ของผูอื่น ๒. เหตผุ ล มนุษยทุกคนยอมมีศักยภาพ มีศักดิ์ศรีของความเปนมนุษย และมีภาระ ในการประกอบอาชีพการงานเพื่อเล้ียงชีพของตนเองและครอบครัวใหมีความสุขตาม อัตภาพ ยอ มมีความภมู ใิ จ ความรกั และหวงแหนทรัพยส มบัติท่ตี นเองพยายามหามา ไดโ ดยชอบธรรม ไมต อ งการใหใ ครมาลว งละเมดิ ในกรรมสทิ ธขิ์ องตนเอง ในทางตรงกนั ขา ม ทรพั ยส มบตั ิ ทไ่ี ดม าโดยทจุ รติ ยอ มกอ ใหเ กดิ ความเดอื ดรอ นในภายหลงั เปน การ ทาํ ลายศกั ยภาพและศักดิ์ศรีความเปนมนษุ ยของตนเอง การลักขโมย ฉอโกง ลักลอบ เบียดบัง ชวงชิงเอาทรัพยของคนอื่นที่แสวงหามาไดโดยชอบธรรม นอกจากจะทําให เจา ของทรัพยไดรบั ความเดือดรอ น มีชีวิตอยูไดดวยความยากลาํ บาก หรอื ไมส ามารถ ดาํ รงชีวติ อยูไ ด แมตนเองก็จะไดร ับความเดอื ดรอ นจากการกระทาํ นนั้ และยังเปนการ ทําใหสูญเสียอริยทรัพยภายใน คือศีลธรรม ซึ่งเทียบคากันไมไดกับการ ท่ีไดทรัพย เขามา ท้ังสังคมมนุษยก็จะปราศจากสันติสุข เพราะไมมีหลักประกันความปลอดภัย ในทรพั ยส นิ นบั ดาเปนการกระทาํ ที่นา ละอาย และบณั ฑิตติเตยี น เพราะฉะนน้ั การเวนจาการลักทรพั ย เลยี้ งชพี ในทางทีช่ อบ ประกอบอาชีพ ในทางสจุ รติ รจู กั ทาํ มาหากนิ สง เสรมิ พฒั นาตนใหม คี วามรคู วามสามารถในการประกอบ สัมมาชีพ จึงเปนหลักประกันความปลอดภัยในทรัพยสิน และทําใหสังคมมนุษยมี ความสงบสุขรมเยน็ 268
ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (Ç¹Ô ÂÑ ) 269 ๓. ขอ หาม สิกขาบทน้ี หามกระทําโจรกรรมโดยตรง แตผูรักษาอุโบสถศีล พึงเวนจาก อนโุ ลมโจรกรรมและฉายาโจรกรรมดว ย ความหมายของขอหาม ๓ ประการ ดังนี้ โจรกรรม การกระทาํ อนั เปน โจรกรรม มี ๑๔ อยาง คอื ๑. ลัก ไดแก ขโมยเอาทรัพยเม่ือเจาของไมเห็น คือ กิริยาที่ถือเอาส่ิงของ ผูอ่ืนดวยการเปนโจร หมายถึง การถือเอาส่ิงของท่ีเจาของไมไดยกให ท้ังท่ีเปน สวิญญาณกทรัพยคือทรัพยท่ีมีวิญญาณ เชน ชาง มา วัว ควาย ทั้งท่ีเปน อวิญญาณกทรัพย คือทรัพยท่ีไมมีวิญญาณ เชน ท่ีดิน ไร นา และส่ิงของท่ีไมใช ของใครๆ โดยตรง แตม ีผูรักษาหวงแหน เชน ของสงฆ ของสวนรวมอันเปนสาธาณ ประโยชน เปน ตน ๒. ฉก ไดแก ชิงเอาทรพั ยต อ หนาเจาของ คือ กิรยิ าทีถ่ อื เอาส่ิงของในชว งท่ี เจา ของเผลอ หรอื ชงิ เอาทรัพยตอหนาเจาของ ๓. กรรโชก ไดแ ก ทาํ ใหเ ขากลวั แลว ใหท รพั ย หรอื ยกใหด ว ยความหวาดกลวั คือ กริ ยิ าทแี่ สดงอาํ นาจใหเ จา ของตกใจกลัวแลวยอมใหส งิ่ ของของตน หรอื ใชอาชญา เรงรดั เอา ๔. ปลน ไดแก การรวมหัวกันหลายคนใชกําลังแยงชิงเอาโดยไมรูตัว คือ กริ ยิ าทยี่ กพวกไปถือเอาสิง่ ของของคนอ่ืนดวยการใชอาวธุ ๕. ตู ไดแ ก อา งหลกั ฐานพยานเทจ็ หกั ลา งกรรมสทิ ธข์ิ องผอู น่ื คอื กริ ยิ าทร่ี อ ง เอาของผอู น่ื ซึง่ มไิ ดตกอยูในมอื ตนคอื มิไดครอบครองดแู ลอยู หรืออางหลกั ฐานพยาน เท็จหกั ลา งกรรมสทิ ธิ์ของผูอ่ืน ๖. ฉอ ไดแ ก โกง คือกริ ิยาทถี่ อื เอาสิ่งของของผูอืน่ อนั ตกอยูใ นมือตน คอื ตน ครอบครองดแู ลอยู หรอื โกงทรพั ยของผอู ื่น ๗. หลอก ไดแ ก ปนเร่อื งใหเขาเชอื่ เพ่ือจะใหเ ขามอบทรัพยใหแกตน ๘. ลวง ไดแก ทําใหห ลงผิด คอื กริ ยิ าท่ีถือเอาสิ่งของผอู น่ื ดว ยแสดงของ อยางใดอยางหน่งึ เพ่ือใหเ ขาเขา ใจผิด หรือใชเลหเ อาทรัพยดวยเครือ่ งมือลวงใหเขาเชือ่ เชน การใชต ราชัง่ ที่ไมไดมาตรฐาน เปนตน ๙. ปลอม ไดแก ทาํ ใหเหมอื นคนอ่ืนหรอื สง่ิ อืน่ เพื่อใหห ลงผิดวาเปน คนนนั้ หรอื สงิ่ น้ันคือกริ ิยาท่ีทําของไมแทใ หเห็นวาเปน ของแท คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 269
270 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ๑๐. ตระบัด ไดแ ก ยืมหรือกเู อาทรพั ยของคนอ่นื มาแลวโกงเอาเสีย ๑๑. เบยี ดบัง ไดแ ก ยกั เอาไวเ ปน ประโยชนของตวั คอื กิรยิ ากินเศษกินเลย ๑๒. สับเปลี่ยน ไดแก เปลี่ยนแทนที่กัน คือ กิริยาท่ีเอาสิ่งของของตน ท่ีเลวกวา เขาไวแทน และถือเอาสิ่งของของผูอื่นท่ีดีกวา หรือแอบสลับเอาของผูอื่น ซึง่ มีคา มากกวา ๑๓. ลกั ลอบ ไดแก ลอบกระทําการบางอยา ง เชน กิริยาทีเ่ อาของซึ่งจะตอง เสยี ภาษซี อนเขา มาโดยไมเสยี ภาษี ๑๔. ยักยอก ไดแก เอาทรัพยของผูอื่นท่ีอยูในความดูแลรักษาของตนไป โดยทจุ รติ หรอื ทรพั ยข องตนซงึ่ ผอู น่ื เปน เจา ของรวมอยดู ว ยทอ่ี ยใู นความดแู ลรกั ษาของตน เบียดบังเอาทรัพยน้ันมาเปนของตนโดยทุจริต ใชอํานาจท่ีที่มีอยูถือเอาทรัพยโดยไม สุจริต หรือ กริ ิยาทย่ี กั ยอกเอาทรัพยของตนที่จะตองถกู ยดึ ไปไวเสียทอี่ ืน่ หรือยักยา ย ทรัพยของตนทไี่ ดมาโดยทจุ ริตไปในลักษณะการฟอกเงนิ เปน ตน อนโุ ลมโจรกรรม การกระทาํ อนั เปน อนโุ ลมโจรกรรม มี ๓ อยาง คอื ๑. สมโจร ไดแก กิรยิ าทอี่ ุดหนุนโจรกรรม เชน การรบั ซ้อื ของโจร ๒. ปอกลอก ไดแ ก ทําใหเ ขาหลงเช่ือแลวลอ ลวงเอาทรัพยเ ขาไป หรอื กิรยิ าท่ี คบคนดว ยอาการไมซ อื่ สตั ย มงุ หมายจะเอาทรพั ยส มบตั ขิ องเขาถา ยเดยี ว เมอื่ เขาสนิ้ เนอื้ ประดาตัวกล็ ะท้ิงเขาเสยี ๓. รบั สนิ บน ไดแ ก รบั สนิ จา งเพื่อกระทาํ ผดิ หนาท่ีคอื การถอื เอาทรัพยท ่เี ขา ใหเพ่ือชวยทําธุระใหในทางที่ผิด การรับสินบนนี้ หากผูรับสินบนมีเจตนารวมกับผูให ในการทาํ ลายกรรมสิทธขิ์ องผูอ ่นื ก็ถอื วาเปน การทาํ โจรกรรมรว มกันโดยตรง ทําใหศ ลี ขอ น้ีขาด ฉายาโจรกรรม การกระทําเปน ฉายาโจรกรรม มี ๒ อยา ง คือ ๑. ผลาญ ไดแก ทําลายใหหมดส้นิ ไป คือ กิริยาที่ทาํ ความเสยี หายแกทรพั ย ของผูอ ่ืน โดยไมถือเอามาเปน ของตน ๒. หยิบฉวย ไดแก กริ ยิ าทถ่ี ือเอาทรัพยของผูอื่นดว ยความมกั งา ย โดยมิได บอกใหเ จาของรู คอื การถอื เอาดว ยวิสาสะเกินขอบเขต 270
ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÂÑ ) 271 ทั้งน้ี ฉายาโจรกรรม ถาผูกระทํามีเจตนาในทางทําลายกรรมสิทธ์ิของผูอ่ืน รวมอยูดวย ก็ถอื วาเปนการทาํ โจรกรรมโดยตรง ทําใหศ ีลขอน้ขี าด เฉพาะอนุโลมโจรกรรมกับฉายาโจรกรรมนั้น ตองพิจารณาถึงเจตนาของ ผกู ระทําดวย ถามเี จตนากระทาํ ใหเขาเสียกรรมสิทธ์ิ ศีลก็ขาด ๓. หลักวนิ จิ ฉยั การลวงละเมดิ สิกขาบทที่ ๒ ทที่ าํ ใหศลี ขาด ประกอบดว ย องค ๕ คอื ๓.๑ ปรปริคคฺ หติ ํ ของนน้ั มีเจาของ ๓.๒ ปรปรคิ คฺ หิตสฺิตา รวู า ของน้ันมเี จาของ ๓.๓ เถยยฺ จิตตฺ ํ จิตคิดจะลัก ๓.๔ อปุ กฺกโม พยายามลกั ๓.๕ เตน หรณํ ไดของมาดว ยความพยายามนนั้ ๔. โทษของการลวงละเมิด การประพฤติอทินนาทาน คือถือเอาส่ิงของท่ี เจา ของไมไ ดใ หดวยอาการแหงขโมยหรือลักทรพั ย จะมโี ทษมากหรือนอย ตามคณุ คา ของส่งิ ของคณุ คาของสงิ่ ของคณุ ความดีของเจา ของ และความพยายามในการลักขโมย นอกจากน้นั ผทู ล่ี ะเมิดยอมไดรบั วิบากกรรม ๕ อยาง คือ ๔.๑ เกดิ ในนรก ๔.๒ เกดิ ในกําเนดิ สัตวเดียรจั ฉาน ๔.๓ เกิดในกําเนิดเปรตวิสยั ๔.๔ เปน ผูยากจนเข็ญใจไรท ่ีพ่ึง ๔.๕ ทรพั ยส นิ ยอ มฉิบหาย ๕. อานสิ งส ผรู ักษาอโุ บสถศีลขอท่ี ๒ ยอ มไดรับอานสิ งส ดังน้ี ๕.๑ มที รพั ยสมบัตมิ าก ๕.๒ แสวงหาทรพั ยโ ดยชอบธรรมไดโดยงาย ๕.๓ โภคทรัพยทหี่ ามาไดแลว ยอ มมั่นคงถาวร ๕.๔ สมบัติไมฉบิ หายเพราะโจรภัย อัคคีภัย และอุทกภยั เปน ตน ๕.๕ ไดอรยิ ทรพั ย ๕.๖ ไมไดยนิ และไมรูจักคําวา “ไมม”ี ๕.๗ อยูท่ไี หนกเ็ ปน สุข เพราะไมมใี ครเบยี ดเบยี น คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 271
272 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ตวั อยา งโทษของการลวงละเมดิ และอานิสงสของการรักษาสิกขาบทท่ี ๒ เรื่อง เสรีววาณิชชาดก ในอดตี กาล ในกัปที่ ๕ แตภทั รกปั นี้ พระโพธสิ ตั วไดเปน พอคา เรช ือ่ วาเสรีวะ ในแควน เสรวิ รฐั เสรวี วาณชิ เมอื่ ไปคา ขายกบั พอ คา เรผ เู ปน พาล เดนิ ทางขา มแมน าํ้ ชอื่ วา นีลพาหะแลว เขาไปยังพระนครช่อื วา อริฏฐปรุ ะ ในพระนครนนั้ มตี ระกูลเศรษฐีเกา แก ตระกลู หน่ึง แตลกู ญาตพิ นี่ อ ง และทรพั ยสนิ ทง้ั ปวงไดหมดสิ้นแลว เหลอื แตเ ดก็ หญิง คนหนงึ่ อยกู บั ยาย ยายกบั หลานมอี าชพี รบั จา งคนอนื่ เลยี้ งชวี ติ กใ็ นเรอื นนน้ั มถี าดทอง ทม่ี หาเศรษฐขี องยายกบั หลานนนั้ เคยใชส อย ถกู เกบ็ ไวก บั ภาชนะอนื่ ๆ เมอื่ ไมไ ดใ ชส อย มานานเขมา ก็จับยายและหลานไมร ูเลยวา ถาดนั้นเปน ถาดทอง สมัยนั้น วาณิชพาลคนน้ัน เท่ียวรองขายของวา “จงถือเอาเคร่ืองประดับ จงถอื เอาเครอ่ื งประดบั ” ไดไ ปถงึ ประตบู า นนนั้ เดก็ หญงิ นนั้ เหน็ วาณชิ นนั้ จงึ ขอใหย ายซอื้ เครอ่ื งประดบั อยา งหนงึ่ ใหต น ยายบอกวา เราเปน คนจนจกั เอาอะไรไปซอื้ หลานจงึ บอกวา “เรามถี าดใบนอี้ ยแู ละถาดใบนไี้ มเ ปน ประโยชนแ ลว เอาถาดใบนแี้ ลกเครอ่ื งประดบั เถดิ ” ยายจึงใหเรยี กนายวาณชิ พาลมา ขอเอาถาดใบนน้ั แลกเครื่องประดับอะไรๆ กไ็ ดใหแ ก หลานสาว นายวาณชิ เอามอื ถอื จบั ถาดแลว คดิ วา คงเปน ถาดทอง จงึ พลกิ ถาดเอาเขม็ ขดี ท่ีหลังถาดรูวาเปนทองจึงคิดวาเรา “จักไมใหอะไรๆ แกคนเหลาน้ี จักนําเอาถาดนี้ไป” จึงกลาวขึ้นวา “ถาดใบน้ีจะมีราคาอะไร ราคาของถาดใบนี้แมกึ่งมาสกก็ยังไมถึงเลย” จึงโยนไปท่พี น้ื แลวลุกขน้ึ หลกี ไป วาณิชโพธิสัตวคิดวา “เรานาจะไปถนนท่ีนายวาณิชคนนั้นออกไปแลว” จึงเขาไปยังถนนนั้น รองขายของไดไปถึงประตูบานหลังนั้น เด็กหญิงก็กลาวกะยาย เหมอื นอยางน้ันอกี ลาํ ดับนั้นยายไดก ลาวกะหลานวา “นายวานชิ คนท่มี ากอนหนา น้ีได โยนถาดน้นั ลงบนพน้ื ไปแลว บดั นเี้ ราจักเอาอะไรแลกเครอื่ งประดับ” เด็กหญิงกลาววา “นายวานิชคนกอ นพูดจาหยาบคาย สวนนายวาณชิ คนน้ีนา รัก พดู จาออ นโยนคงจะได รบั เอาถาด” ยายจงึ ใหเ รยี กเขามาแลว ใหถ าดใบนน้ั แกว าณชิ โพธสิ ตั วน น้ั วาณชิ โพธสิ ตั ว นนั้ รวู า ถาดนั้นเปน ถาดทองจงึ บอกวา “ถาดใบน้ีมคี า ต้งั แสน เราไมม สี นิ คา ท่มี ีคาเทากบั 272
ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÂÑ ) 273 ถาดใบน”ี้ ยายและหลานจึงเลา วา “นายวาณชิ คนทม่ี ากอนตรี าคาถาดใบน้ีมคี าไมถ ึงกง่ึ มาสกแลว โยนลงพ้นื ไป แตเ พราะบญุ ของทา น ถาดใบนจี้ ึงกลายเปนถาดทอง พวกเรา ใหถ าดใบนีแ้ กทาน ทา นจะใหอะไรๆ กไ็ ดแกพ วกเรา” ขณะนนั้ วาณิชโพธิสตั วจึงใหเงนิ ๕๐๐ กหาปณะเทาท่ีมี และสนิ คา ทง้ั หมดซึ่งมรี าคาอีก ๕๐๐ กหาปณะ แลวเหลือเอาไว เพยี งตาชง่ั ถุง และเงนิ ๘ กหาปณะเทา น้ันแลวถือเอาถาดน้นั หลกี ไป วาณชิ โพธสิ ตั วร บี ไปขน้ึ เรอื ใหค า จา งนายเรอื ๘ กหาปณะ ฝา ยนายวานชิ พาล หวนกลับไปท่ีเรือนนั้นอีก บอกใหยายและหลานนําถาดใบนั้นมาแลกอะไรๆ บาง อยาง ยายจึงดานายวาณิชพาลนั้นวา “ทานไดตีคาถาดทองอันมีราคาต้ังแสนให เหลือเพียงหนึ่งมาสก แตนายวาณิชผูมีธรรมคนหน่ึงใหทรัพยพันหนึ่งแหพวกเรา แลวถอื เอาถาดทองน้นั ไปแลว ” นายวาณชิ พาล ไดฟ ง ดงั นัน้ คิดวา “เราสูญเสียถาดทอง อนั มคี า ตง้ั แสน วาณชิ โพธสิ ตั วท าํ ความเสอ่ื มอยา งใหญห ลวงแกเ รา” เกดิ ความเศรา โศก มากไมอ าจดํารงสตไิ วไดจึงสลบไป พอฟน ขนึ้ มาก็โปรยกหาปณะและส่งิ ของทม่ี ีอยูไ วท ี่ หนา บา น เปลอื้ งผา นงุ หม ผา ถอื คนั ชง่ั ทาํ เปน ไมค อ น วง่ิ ตามรอยเทา ของวานชิ โพธสิ ตั วไ ป ถงึ ฝง แมน ํา้ นั้นเห็นวานิชโพธสิ ัตวนง่ั เรือไปอยู จึงกลาวกะนายเรือใหกลับเรอื แตวาณชิ โพธสิ ตั วไดห า มวาอยา กลบั เม่ือนายวาณิชพาลเห็นวานิชโพธิสัตวออกไปหางเร่ือยๆ เกิดความเศรา โศกมากหัวใจรอน เลือดพุงออกจากปาก หัวใจแตกสลาย วาณิชพาลผูนั้นผูกอาฆาต วานิชโพธิสตั วถงึ ขั้นเสียชวี ติ ณ ท่นี ้นั นัน่ เอง นี้เปนการผูกอาฆาตในพระโพธิสตั วของ พระเทวทัตเปนคร้งั แรก ชาดกน้ีแสดงใหเห็นโทษของการลักขโมย แมจะเปนการวางแผนหลอกลวง ดวยการใหขอมูลเท็จ เพ่ือจะหลอกลวงใหผูอ่ืนหลงเช่ือหรือหลงผิดแลวใหส่ิงของนั้น แกตน ในเร่ืองนแ้ี มวาณชิ พาลกย็ ังไมไ ดส่งิ ของน้นั มา แตก ็เกดิ ความเสียดาย ยังมีโทษ ถงึ ขนั้ ทาํ ใหเ สยี ชวี ติ และแสดงใหเ หน็ ถงึ อานสิ งสข องการไมค ดิ หลอกลวงเอาทรพั ยข อง ผูอ ื่น ดวยการกลา วคาํ สัตย กอใหเ กิดความยินดีพอใจและความสขุ ท้ังสองฝาย คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 273
274 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ ÊÔ¡¢Òº··èÕ ó ;ÃÚ ËÚÁ¨ÃÂÔ Ò àÇÃÇ³Õ เจตนางดเวนจากการเสพเมถนุ อนั เปน ขาศกึ แกก ารประพฤตพิ รหมจรรย พรหมจรรย หมายถงึ ความประพฤติอนั ประเสริฐ การครองชีวติ ที่ประเสรฐิ ความประพฤติงดเวน จากการเสพเมถุน หรือการครองชีวติ ทลี่ ะเวน เมถนุ ดังกลาว เชน การบวช พรหมจรรย เปนหลกั การใหญท ม่ี คี วามหมายหลายอยา ง ในอรรถกถาไดใ ห ความหมายของ “พรหมจรรย” ไว ๑๐ นัย คอื ทาน คือ การให ไวยาวจั จ คือ การขวนขวายชว ยเหลอื รบั ใชทําประโยชน เบญจศีล คอื การรักษาศีล ๕ อัปปมัญญา คอื พรหมวิหาร ๔ เมถุนวัรัติ คือ การเวน เมถุน สทารสันโดษ คอื ความพอใจเฉพาะภรรยาหรอื คคู รองของตน ความเพยี ร คอื ความบากบนั่ ความเพยี รเพอื่ จะละความชวั่ ประพฤตคิ วามดี หรือ ความพยายามทาํ กิจไมท อ ถอย การรักษาอุโบสถ คือ การบาํ เพญ็ วัตร หรือพรต อริยมรรค คือ ทางอันประเสรฐิ ๘ ประการ พระศาสนา คือ พระธรรมวนิ ัย ซึ่งสรปุ รวมลงในไตรสิกขา คอื ศลี สมาธิ และ ปญ ญา แตใ นสกิ ขาบทนี้ จะกลา วเฉพาะความหมายในขอ เมถนุ วริ ตั ิ คอื การงดเวน จาก เมถุนเทา นน้ั ๑. ความมุงหมาย ความมงุ หมายสาํ คญั ของศลี ขอ น้ี อยทู ก่ี ารสรา งความบรสิ ทุ ธท์ิ างกาย วาจา ใจ เพื่อทําใหจิตใจสงบ ไมกวัดแกวงฟุงซานไปในเรื่องกามารมณ เพื่อขัดเกลากิเลสให เบาลงและเพอ่ื เปน การประพฤตพิ รหมจรรยของคฤหัสถ 274
ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (Ç¹Ô ÂÑ ) 275 ๒. เหตุผล การเสพเมถนุ คอื การมเี พศสัมพันธระหวางชายกบั หญิง หรือแมกระทั่งใน เพศเดียวกันน้ัน ไมเก้ือกูลตอการบําเพ็ญพรตและการปฏิบัติธรรม ทําใหเกิดปลิโพธ กังวล จิตใจไมป ลอดโปรง หมกมนุ อยใู นอารมณร กั ใคร ๓. ขอ หา ม สกิ ขาบทที่ ๓ หา มการมเี พศสมั พันธโดยตรง คอื ใหงดเวนจากการเสพเมถนุ โดยเดด็ ขาด แมใ นคคู รองของตนเองกต็ อ งงดเวน รวมถงึ การถกู ตอ งตวั กนั ดว ยอาํ นาจ แหง ราคะกเิ ลส หรอื การมีกิรยิ าทา ทางที่สอ ไปในทางรว มประเวณกี ็ทาํ ได ๔. หลกั วินิจฉยั การลวงละเมิดสิกขาบทท่ี ๓ ท่ที ําใหศ ีลขาด มี ๒ นยั คือ ตามนัยแหงฎีกาพรหมชาลสตู รและกังขาวติ รณี มีองค ๒ คือ ๑. เสวนจติ ฺตํ จิตคิดจะเสพ ๒. มคเฺ คน มคฺคปฺปฏิปาทนํ อวยั วะเพศถึงกนั ๓. ตามนยั แหงอรรถกถาขุททกปาฐะ มี องค ๔ คอื ๑. อชฌฺ าจรณยี วตถฺ ุ วัตถทุ ี่จะพงึ ประพฤตลิ วง ไดแ ก ทวารทัง้ ๓ ทวาล คอื มุขมรรค คอื ทวารปาก ปสสาวมรรคคือทวารเบา และวจั มรรค คือ ทวารหนกั ๒. ตตถฺ เสวนจิตตฺ ํ จติ คิดจะเสพ ๓. เสวนปฺปโยโค พยายามเสพ ๔. สาทยิ นํ มคี วามยนิ ดี ๕. โทษของการลว งละเมิด ผลู ว งละเมดิ อโุ บสถศลี สิกขาบทท่ี ๓ ยอมไดร ับ กรรมวบิ าก ๕ อยาง คอื ๕.๑ เกดิ ในนรก ๕.๒ เกิดในกําเนิดสัตวเ ดยี รจั ฉาน ๕.๓ เกิดในเกดิ เปรตวิสัย ๕.๔ มรี างกายทุพลภาพ ข้ีเหร มีโรคมาก ๕.๕ มศี ัตรูรอบดา น คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 275
276 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ๖. อานสิ งส ผรู ักษาศลี ขอ ท่ี ๓ ยอมไดรบั อานิสงส ดังนี้ ๖.๑ ไมมศี ตั รูเบยี ดเบียน ๖.๒ เปน ท่ีรกั ของคนท้งั หลาย ๖.๓ มที รพั ยสมบัติบรบิ รู ณ ๖.๔ ไมต อ งเกิดเปน หญงิ หรือเปน กระเทย ๖.๕ เปน ผูสงา มอี าํ นาจมาก ๖.๖ มอี นิ ทรยี ๕ ครบถว นสมบรู ณ ๖.๗ มีความสุข ไมต องทาํ งานหนัก 276
ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (Ç¹Ô ÑÂ) 277 ตัวอยา งโทษของการลวงละเมดิ สกิ ขาบทท่ี ๓ เรอื่ ง มุทลุ ักขณชาดก ในอดีตกาล สมัยพระเจาพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยูในกรุงพาราณสี พระโพธสิ ตั ว บงั เกดิ ในตระกลู พราหมณท มี่ สี มบตั มิ าก ในแควน กาสี เรยี นจบศลิ ปวทิ ยา ทุกประเภท ออกไปบวชเปนฤาษี บําเพ็ญเพียรอยูในหิมวันตประเทศไดบรรลุฌาน สามารถเหาะเหินได อยูมาวันหนึ่งตองการอาหารมีรสเค็มเปรี้ยวบาง จึงไดเหาะมาลง ทีพ่ ระอทุ ยานหลวงของพระเจา แผน เดิน เท่ียวภกิ ษาจารอยใู นกรงุ พาราณสี ลุถงึ ประตู พระราชนิเวศน พระราชาทรงเลื่อมใสในอิริยาบถของทานจึงรับส่ังใหนิมนตมาฉันใน พระราชวัง เพื่อใหโอวาทสง่ั สอนแกร าชสกลุ เปนเวลาถึง ๑๖ ป ครั้งหนึ่ง พระราชาเสด็จไปปราบกบฏนอกพระนคร ทรงมอบภาระใน การตอนรับฤาษีแกพระมเหสีพระนามวา มุทุลักขณา พระนางก็ทรงยินดีรับสนอง ภาระดังกลาว วันหน่ึง พระนางมุทุลักขณา ทรงเตรียมอาหารสําหรับพระโพธิสัตว ทรงดําริวา วันนี้ฤาษีคงจะมาชากวาปกติ จึงทรงสรงสนานดวยพระสุคันโธทก น้ําอบ นาํ้ หอม ตกแตง พระองคอ ยางสวยงาม บรรทมรอพระโพธิสตั วจะมา ฝายฤาษีกาํ หนด กะเวลาของตนแลวออกจากฌานเหาะไปสูพระราชนิเวศนทันที พระนางมุทุลักขณา ทรงสดับเสียงผาเปลือกไมทรงทราบวาพระฤาษีมา รีบเสด็จลุกขึ้น ดวยความรีบ รอนไมทันระวัง ผาทรงที่เปนผาเนื้อเกล้ียงก็หลุดลุย เปดใหเห็นพระวรกายบางสวน ฤาษเี หาะลงมาพอดแี ละเหน็ พระวรกายสว นนน้ั ไมไ ดส าํ รวมตา ตะลงึ ดดู ว ยอาํ นาจความ งาม กิเลสของทานกก็ าํ เริบขึน้ ทันใดน้ันเอง ฌานของทานก็เส่อื ม เปนเหมอื นกาปกหกั พระโพธสิ ตั วย นื ตะลงึ รบั อาหารโดยไมไ ดบ รโิ ภคเลย เสยี วสะทา นไปทว่ั กาย ขากลบั เหาะ ไมไ ดจ งึ เดนิ ลงจากปราสาทไป พระวรกายทเ่ี ปน ขา ศกึ ตอ พรหมจรรยย งั ตดิ ตาตรงึ ใจไฟ คอื กิเลศแผดเผาทาน รางกายกซ็ ูบเซยี วเพราะขาดอาหาร นอนซมนานถึง ๗ วนั ในวันท่ี ๗ พระราชาทรงปราบกบฏแลว เสด็จกลับมาโดยยังไมเสด็จไป พระราชนิเวศน เสด็จเลยไปยังพระราชอุทยานเพ่ือพบฤาษี เห็นฤาษีนอนซมอยู ทรงดําริวาฤาษีคงจะไมสบาย จึงรับสั่งใหทําความสะอาดบรรณศาลา พลางทรงนวด เฟนเทาให ตรัสส่ังถามวา ทานไมสบายเพราะอะไร ทรงทราบวา ฤาษีมีจิตปฏิพัทธ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 277
278 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªé¹Ñ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ในพระนางมุทุลักขณา จึงตรัสวาจะมอบพระนางมุทุลักขณาให ทรงพาพระฤาษีเขา พระราชนิเวศน ใหพระเทวีประดับพระองคใหงดงามแลวไดพระราชทานแกพระฤาษี แตกอนท่ีจะพระราชทานไดรับสั่งใหนางมุทุลักขณาใชปญญาปองกันตนเองใหได ฤาษี จงึ พา พระเทวอี อกจากพระราชนเิ วศน พระเทวพี าฤาษไี ปทเี่ รอื นรา งหลงั หนง่ึ ทใ่ี ชเ ปน หอ ง สว ม แลว ใชใ หฤ าษที าํ ความสะอาด ตงั้ แตโ กยสง่ิ สกปรกและขยะเอาไปทงิ้ ขนเอามลู โคมา ฉาบทาฝาเรอื น ขนเตยี ง ขนตง่ั ใชใ หไ ปตกั นาํ้ สาํ หรบั อาบ และปทู น่ี อน จนฤาษเี หนอ่ื ยลา ขณะนั้น พระนางเทวีทรงจับฤาษีที่กําลังนั่งขางๆ บนท่ีนอน ฉุดใหกมลงมาตรงหนา พลางตรสั เตอื นวา ทา นไมร ตู วั เลยหรอื วา ทา นเปน สมณะหรอื เปน ฤาษี ซงึ่ ตอ งมศี ลี ธรรม พระดาบสกลับไดสติข้ึนในขณะน้ัน แตตลอดเวลาท่ีผานมาทานไมรูตัวเอาเสียเลย เพราะอํานาจกิเลสทําใหไมรูตัวไดถึงเพียงน้ี จึงคิดวา ความอยากนี้เมื่อเกิดข้ึนแลว ทําใหเราโงหัวไมขึ้นจากอบายทั้ง ๔ เราควรถวายพระนางเทวีคืนแดพระราชา จึงพา นางเทวีไปถวายคนื พระราชา ทนั ใดนนั้ เอง พระฤาษกี ท็ าํ ฌานทเ่ี สอ่ื มไปใหเ กดิ ขน้ึ ใหม เหาะขน้ึ นงั่ ในอากาศ แสดงธรรม ถวายโอวาทแดพระราชา แลวเหาะไปสูปา หิมพานตทันที เจริญพรหมวหิ าร ไมเสื่อมจากฌาน ครัน้ ส้ินชีพแลวไดไ ปบังเกิดในพรหมโลก 278
ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÂÑ ) 279 ตวั อยางเรือ่ งทเี่ ปน อานิสงสข องการรักษาสิกขาบทที่ ๓ เร่อื ง พระเวสสันดร ตอนวนปเวสนกณั ฑ ขณะน้ัน พิภพของทาวสักกเทวราชสําแดงอาการเรารอน ทาวสักกะทรง พจิ ารณากท็ รงทราบเหตกุ ารณน นั้ จงึ ทรงดาํ รวิ า พระมหาสตั วเ สดจ็ เขา สหู มิ วนั ตประเทศ พระองคค วรไดท เ่ี ปนท่ปี ระทบั จงึ ตรสั เรียกพระวสิ สุกรรมเทพบุตรมาสง่ั วา ดพู อกอ น ทานจงไปสรา งอาศรมบทในสถานทอ่ี ันเปนรมณยี ณ เว้ิงเขาวงกต แลว จงึ กลับมา ตรัส สงั่ ฉะน้ีแลวทรงสง พระวิสสกุ รรมไป พระวิสสุกรรมรบั เทวบัญชาวา สาธุ แลว ลงจาก เทวโลกไป ณ ท่ีน้ัน เนรมิตบรรณศาลา ๒ หลัง ที่จงกลม ๒ แหง และสถานท่ีอยู กลางคนื สถานที่อยกู ลางวนั แลว ใหม กี อไมอ นั วิจิตรดว ยดอกไมตางๆ และดงกลว ยใน สถานทน่ี น้ั ๆ แลว ตกแตง บรขิ ารของนกั บวชทงั้ ปวงจารกึ อกั ษรไวว า ทา นผหู นงึ่ ผใู ดใครจ ะ บวชกจ็ งใชบ รขิ ารเหลา นนั้ แลว หา มปอ งกนั มใิ หม เี หลา อมนษุ ยแ ละหมเู นอ้ื หมนู กทม่ี เี สยี ง นากลัวแลวกลับไปทอี่ ยขู องตน ฝา ยพระมหาสตั ว ทอดพระเนตรเห็นทางเดนิ คนเดยี ว ทรงกาํ หนดวา จกั มี สถานที่อยูของพวกบรรพชิต จึงให พระนางมัทรีและพระราชโอรสธิดาพักอยูท่ีประตู อาศรมบทพระองคเองเสด็จเขาสูอาศรมบท ทอดพระเนตรเห็นอักษรทั้งหลายก็ทรง ทราบความทท่ี า วสกั กะประทานดว ยเขา พระทยั วา ทา วสกั กะทอดพระเนตรเหน็ เรา แลว จงึ เปด ทวารบรรณศาลาเสดจ็ เขา ไป ทรงเปลอ้ื งพระแสงขรรค และพระแสงศรทพี่ ระภษู า ทรงนงุ ผาเปลอื กไมส ีแดง พาดหนงั เสือบน พระองั สา เกลามณฑลชฎา ทรงถอื เพศฤาษี ทรงจบั ธารพระกรเสดจ็ ออกจากบรรณศาลาใหค วามเปน สริ แิ หง นกั บวชตง้ั ขน้ึ พรอ มทรง เปลง อทุ านวา โอเปน สขุ เปน สขุ อยา งยงิ่ เราไดถ งึ บรรพชา แลว เสดจ็ ขนึ้ สทู จ่ี งกรม เสดจ็ จงกรมไปมาแลว เสดจ็ ไปสาํ นกั พระราชโอรสธดิ าและพระราชเทวดี ว ยความสงบเชน กบั พระปจเจกพุทธเจา ฝา ยพระนางมทั รเี ทวี เมอื่ ทอดพระเนตรเหน็ กท็ รงจาํ ได ทรงหมอบลงทพี่ ระบาท แหงพระมหาสัตวทรงกราบแลวทรงกรรแสงเขาสูอาศรมบทกับดวยพระมหาสัตว แลว ไปสูบรรณศาลาของพระนาง ทรงนุงผาเปลอื กไมสแี ดง พาดหนังเสือบนพระองั สา เกลามณฑลชฎาทรงถือเพศเปนดาบสินี ภายหลังใหพระโอรสพระธิดาเปนดาบสกุมาร คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 279
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380