Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือธรรมศึกษาชั้นโท ปี 2561

คู่มือธรรมศึกษาชั้นโท ปี 2561

Published by suttasilo, 2021-06-27 06:38:00

Description: คู่มือธรรมศึกษาชั้นโท ปี 2561

Keywords: คู่มือธรรมศึกษา,ธรรมศึกษาชั้นโท,2561

Search

Read the Text Version

230 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ฤาษีกําลังนอนในบรรณศาลา พระปจเจกพุทธเจาจึงไปน่ังบนแทนหินของฤาษี ฤาษีทราบวา พระปจเจกพุทธเจาน่ังบนอาสนะของตน มีความโกรธ จึงชี้หนาดาวา เจา สมณะโลน ถอ ยกาฬกณิ ี จงฉบิ หาย เจา มานง่ั บนแผน หนิ ทนี่ งั่ ของขา ทาํ ไม พระปจ เจก พระพุทธเจาไดพูดกับฤาษีนั้นวา ทานสัตบุรุษ ทําไมจึงถือตัวนักเลา อาตมาบรรลุ ปจเจกพุทธญาณแลว ทานก็จะเปนพระสัพพัญญพุทธเจาในกัลปน้ี ทานเปนหนอ เน้ือแหงพุทธะ บําเพ็ญความดีมามากแลว เมื่อเวลาผานไปเทาน้ี ทานก็จักไดเปน พระพุทธเจา ทรงพระนามวาสิทธัตถะ โดยใหโอวาทตอไปวา ทานเปนผูถือตัว หยาบคาย รายกาจ เพือ่ อะไร ทาํ อยา งนี้ไมส มควรแกท านเลย ฤาษนี นั้ ก็ยังไมไ หวทาน และไมถามวา ตนเองจะไดเปนพระพุทธเจาเม่ือไหร พระปจเจกพุทธเจาพูดกับฤาษีวา ทานไมร หู รือวา เราก็มชี าตสิ ูงและมคี ุณใหญเ หมือนกัน ถาแนจ รงิ ก็เหาะใหเหมือนเราสิ แลว พระปจ เจกพทุ ธเจา กเ็ หาะขนึ้ ไปในอากาศ โปรยฝนุ ทเ่ี ทา ของทา นลงบนมวยผมของ ฤาษีแลว กลบั ไปยังปา หมิ พานต ฤาษเี กดิ ความสลดใจ คดิ วา พระสมณะองคน มี้ รี า งกายหนกั แตเ หาะไปเหมอื น ปยุ นนุ ทถ่ี กู ลมพดั เราไมไ หวท า น ไมถ ามทา นดว ยความเยอ หยงิ่ เพราะชาติ ขนึ้ ชอ่ื วา ชาติ ชนชั้นวรรณะ จะทาํ ประโยชนอะไรได การประพฤตศิ ลี เทาน้นั เปน คณุ ทีย่ ่งิ ใหญในโลก แตมานะถือตัวของเรา เม่ือเกิดข้ึนแลว มีแตจะนําไปสูนรก ถาเรายังขมมานะนี้ไมได จะไมไปหาผลาผล (ผลไมอาหาร) มาบริโภค จึงเขาสูบรรณศาลาสมาทานอุโบสถเพื่อ ขม มานะของตน ชาดกเรอื่ งน้ี ไดแ สดงใหเ หน็ วา ความทกุ ขแ ละภยั อนั ตรายทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั มนษุ ย และสตั วเ ปน การสว นตวั หรอื เกดิ ขน้ึ กบั สงั คมกต็ าม มกั เกดิ ขน้ึ เพราะความขาดศลี ธรรม การจะแกไขความทุกขและภัยอันตรายน้ัน ควรแกไขดวยศีลธรรม ไมควรแกไขดวย กเิ ลสหรอื ดว ยอบายมขุ เพราะจะยงิ่ เปน การเพม่ิ ปญ หาใหม ากและกวา งขวางออกไปอกี การเขา อยจู าํ อโุ บสถ สงบจติ ใจ จะทาํ ใหเ กดิ ปญ ญา มองเหน็ วธิ แี กไ ขปญ หาและปอ งกนั ภัยอันตรายไดอ ยางถกู ตอ ง 230

ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÑÂ) 231 วริ ัติ เจตนางดเวนจากการลว งละเมิดศลี ศลี จะมไี ด กด็ วยการตง้ั เจตนางดเวนจากการลว งละเมดิ ศลี ถา ไมม ีเจตนา จะงดเวน แมมิไดทําการละเมิดศีล ก็ยังไมไดชื่อวามีศีล เชน ผูรายท่ีถูกจับขังไว ขณะทอ่ี ยใู นหอ งขงั นน้ั แมเ ขาไมไ ดฆ า ใคร ไมล กั ของใคร กย็ งั ไมไ ดช อ่ื วา มศี ลี เพราะไมไ ด มเี จตนางดเวน ตอเม่ือใดเขาไดต ้ังใจเจตนางดเวน เมือ่ นน้ั เขาจึงจะไดช่อื วามีศีล เจตนางดเวน จากการลวงละเมิดศลี เรียกวา วิรตั ิ มี ๓ ประการ คือ ๑. สัมปตติวิรัติ หมายถึง เจตนางดเวนเม่ือประจวบกับเหตุที่จะทําให ผิดศีล คือเวนส่ิงประสบเฉพาะหนา เวนไดทั้งที่ประจวบกับโอกาสที่เอ้ืออํานวยให กระทําผิดศีล งดเวนโดยท่ีไมไดตั้งเจตนาไวกอน ไมไดสมาทานสิกขาบทไวเลย แตเม่ือประสบเหตุท่ีจะทําชั่ว คิดขึ้นไดในขณะนั้นวา ตนมีชาติ ตระกูล วัย หรือ คุณวุฒิอยางน้ี ไมสมควรกระทํากรรมช่ัวเชนน้ัน แลวงดเวนเสียได ไมทําผิดศีล เกดิ ความละอายแกใ จท่จี ะทําชัว่ ๒. สมาทานวิรัติ หมายถึง เจตนางดเวนดวยการสมาทานศีล คือไดต้ังใจ สมาทานศลี และงดเวน ตามทไี่ ดส มาทานนนั้ สมดงั ความในอรรถกถาสมมั มทฎิ ฐสิ ตู รวา อุบาสกคนหน่ึง รับสิกขาบท ในสํานักของพระปงคลพุทธรักขิตเถระผูอยู ในอัมพริยวิหารแลวไดออกไปไถนา แตโคท่ีจะใชไถไดหายไป เขาจึงเที่ยวตามหาโค ไปถงึ ภเู ขา ชอื่ ทันตรวฑั ฒมานะ งูใหญที่ต้ังอยูบนภเู ขานั้นรดั ตัวเขาไว จงึ คิดวา “เราจะ เอามดี ตดั หวั งตู วั นเี้ สยี ” เขาคดิ อยา งนถ้ี งึ ๓ ครงั้ แลว ฉกุ คดิ ไดว า “การทเ่ี รารบั สกิ ขาบท ในสาํ นกั ครผู นู า เคารพสรรเสรญิ แลว ทาํ ลายสกิ ขาบทนนั้ เสยี เปน การกระทาํ ทไ่ี มส มควร” จึงตัดสินใจวา “เรายอมสละชีพแตจะไมยอมสละสิกขาบท” แลวทิ้งมีดไป ทันใดนั้น งใู หญไดค ลายจากการรัดตัวเขาแลว ๓. สมจุ เฉทวริ ตั ิ หมายถงึ เจตนางดเวน เดด็ ขาดของพระอรยิ ะทง้ั หลาย คอื เวน ดวยตดั ขาด อนั ประกอบดว ยอรยิ มรรคซ่งึ ขจัดกิเลสทเ่ี ปนเหตุแหง ความช่ัวน้ัน ๆ เสรจ็ ส้นิ แลว ไมเกดิ มแี มแตความคิดท่ีจะประกอบกรรมชว่ั นัน้ เลย สมดังความในอรรถกถา สัมมทฎิ ฐสิ ตู รวา ก็แมความคิด “เราจักฆาสัตว” ดังน้ี ยอ มไมเกดิ ข้ึนแกพระอรยิ บคุ คล ทง้ั หลายต้งั แตก ารเกิดขึน้ แหงวริ ัตทิ ่ีสมั ปยุตดวยอริยมรรคเรียกวา “สมุทจเฉทวิรตั ”ิ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 231

232 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªéѹⷠคมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ประเภทของอโุ บสถศลี อโุ บสถศีลน้นั แบงประเภทตามระยะเวลาของการรักษามี ๓ ประเภท คือ ๑. ปกติอุโบสถ อุโบสถที่รักษากันตามปกติ เฉพาะวันหน่ึงคืนหน่ึง อยางที่อุบาสก อุบาสิการักษากันอยูทุกวันน้ี มีเดือนละ ๔ วัน คือวันขึ้น ๘ ค่ํา วนั ขึ้น ๑๕ คํ่า วนั แรม ๘ คํ่า วันแรม ๑๔ คํ่า หรือวนั แรม ๑๕ ค่ํา คําวา “วนั หนง่ึ กับคืนหน่ึง” ทานกําหนดนับต้ังแตอรุณข้ึนของวันท่ีรักษาไปถึงอรุณข้ึนของ วันใหม ซึง่ ผูรกั ษาพงึ คาํ นงึ ถึงขอกาํ หนดเวลาเชน นดี้ ว ย เพื่อจะไดร ักษาใหเตม็ วนั หนง่ึ กบั คืนหน่งึ ๒. ปฏิชาครอุโบสถ อุโบสถท่ีรักษาเปนพิเศษกวาปกติ คือรักษาคราวละ ๓ วนั คอื วันรบั วนั รกั ษา วนั สง เชน จะรักษาอุโบสถวัน ๘ คาํ่ จะตอ งรบั มาแตรงุ อรุณ ของวนั ๗ คา่ํ รกั ษาในวนั ๘ คํา่ และสง ไปจงึ ถงึ วนั ๙ ค่าํ จวบถงึ อรณุ ข้ึนของวนั ใหม ในวนั ๑๐ ค่าํ จงึ ครบตามเวลาที่กาํ หนด ๓. ปาฏิหาริยอุโบสถ อุโบสถที่ตองเขาอยูรักษาติดตอกันอยางตํ่า ๑ ปกษ อยางสูงรักษาตลอด ๔ เดือน ตลอดฤดูฝน ปาฏิหาริยอุโบสถ เรียกอีกอยางวา นิพัทธอุโบสถ หมายถงึ อโุ บสถที่ตองรกั ษาติดตอกันเปน ระยะเวลายาว โดยมกี ําหนด ระยะเวลาการเขาอยรู ักษา ๔ ระดับ คือ ๓.๑ ระดับต่ํา ตองอยูรักษาอุโบสถ ๑ ปกษ นับต้ังแตวันออกพรรษาแรก เปนตน ไป จนครบ ๑ ปกษ คือตง้ั แตว นั แรม ๑ คา่ํ เดอื น ๑๑ ถงึ วันแรม ๑๔ คาํ่ เดอื น ๑๑ ๓.๒ ระดับกลาง ตองอยูรักษาอุโบสถ ๑ เดือนติดตอกัน นับแตวันออก พรรษาแรกเปนตนไป จนครบ ๑ เดอื น คอื ต้ังแตว ันแรม ๑ คา่ํ เดือน ๑๑ ถงึ วันข้ึน ๑๕ คํา่ เดอื น ๑๒ ๓.๓ ระดับสามัญ ตองอยูรักษาอุโบสถ ๓ เดือนติดตอกัน ตลอดพรรษา นบั แตว นั เขา พรรษาจนถึงวนั ออกพรรษา คือตัง้ แตว ันแรม ๑ คํ่า เดือน ๘ ถงึ วันขึ้น ๑๕ ค่ํา เดือน ๑๑ ๓.๔ ระดับสูง ตองอยูรักษาอุโบสถ ๔ เดือนติดตอกัน ตลอดฤดูฝน นับแตวันเขาพรรษาเปน ตน ไป จนครบ ๔ เดือน คือตั้งแตวนั แรม ๑ คํ่า เดอื น ๘ ถึง วนั ขึน้ ๑๕ คํา่ เดือน ๑๒ 232

ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÑÂ) 233 การรักษาอุโบสถศีลนี้ ยึดถือปฏิบัติตามคตินิยมของคนอินเดียในสมัยน้ัน ดังเรื่องท่ีพระพุทธเจาทรงอนุญาตใหภิกษุอยูจําพรรษา โดยปรารภการปฏิบัติของ ปริพาชกอัญญเดียรถีย เมื่อคร้ังสมัยท่ี พระพุทธองคยังมิไดทรงบัญญัติให ภิกษุอยูจําพรรษา ภิกษุท้ังหลายเที่ยวจาริกไปตลอดฤดูหนาว ฤดูรอน และ ฤดูฝน จึงถูกคนท้ังหลายติเตียน ไฉน พระสมณะเช่ือสายศากยบุตร จึงได เที่ยวจาริกไปอยางนี้ เยียบย่ําขาวกลาที่เขียวสด เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตทําสัตว เล็ก ๆ จํานวนมากใหตายฝายพวกปริพาชกอัญญเดียรถียยังพักอาศัยอยูประจํา ตลอดฤดูฝน ภิกษุท้ังหลายจึงกราบทูลเรื่องน้ันแกพระพุทธองค พระพุทธเจา ปรารภเหตนุ นั้ แลวตรัสวา จงึ ทรงอนญุ าตใหม กี ารอยูจ ําพรรษาในชวงฤดูฝน ในประเทศไทยฝายอุบาสก อุบาสิกาและประชาชนท่ัวไปก็นิยมสมาทานศีล และทําความดีตางๆ ในชวงพรรษาของพระสงฆ เชน กันโดยไดคือ อุโบสถศีลอยาง เครง ครดั จงึ เปน ทมี่ าของการรกั ษาปาฏหิ ารยิ อโุ บสถ ซงึ่ ตอ งใชเ วลาอยจู าํ ถงึ ๓ – ๔ เดอื น ดวยระยะเวลาที่ยาวนานดังกลาวเกรงวาจะรักษาใหบริสุทธิ์ไดยาก จึงกําหนดใหอยู จาํ อุโบสถจาํ นวน ๓ วนั ทเี่ รียกวา ปฎิชาครอโุ บสถ และใหแ หลือเพยี ง ๑ วัน กบั ๑ คนื ที่เรียกวา ปกติอุโบสถ และปจจุบันนี้อุโบสถที่รักษากันท่ัวไปก็คือปกติอุโบสถ เพราะเปน การรักษาไดง ายเนอ่ื งจากเปนชวงระยะเวลาสั้น อโุ บสถศีล มีผลนอ ย และมผี ลมาก การรักษาอุโบสถศีล จะมีผลนอยหรือผลมาก ขึ้นอยูกับเหตุปจจัย คือ คุณธรรม กาลเวลา ประเภท เปาหมาย เจตนา และองคข องศลี นี้ ๑. คุณธรรม หมายถึง คุณธรรมที่มีอยูในจิตใจของผูที่จะรักษาอุโบสถ ศีลนั้น มีมากหรือนอย โดยเฉพาะคุณธรรม คืออิทธิบาทท้ัง ๔ ประการ หาก ผูรกั ษามศี รทั ธา มีฉนั ทะความพอใจ ชอบใจในการรักษาอโุ บสถศีล มคี วามพากเพยี ร พยายามรักษาอยางตอเน่ือง มุงมั่นต้ังใจที่จะประพฤติปฏิบัติตามสิกขาบท และ มีความรูความเขาใจท่ีถูกตองในการรักษาอุโบสถศีล เมื่อมีคุณธรรมท้ัง ๔ อยูใน ระดับตํ่า อุโบสถศีลยอมมีผลระดับต่ํา เมื่อมีคุณธรรมอยูในระดับกลาง อุโบสถศีลก็ ยอมมีผลระดับกลาง และถามีคุณธรรมอยูในระดับสูง อุโบสถศีลยอมมีผลระดับสูง ตามไปดว ย คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 233

234 ¤ÁÙ‹ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ๒. กาลเวลา คือ ระยะเวลาที่รักษา หากผูรักษาอุโบสถศีลมีระยะเวลาการ รักษานอย ยอมมีอานิสงสนอยกวาผูที่มีระยะเวลารักษานานกวา แตท้ังน้ีก็ข้ึนอยูกับ เหตุปจจัยแหงคุณธรรมของผูรักษาเปนเครื่องประกอบการวินิจฉัยควบคูกันไปดวย เพราะบางคนอาจจะรักษาหลายวันแตมีศรัทธา ความเพียร ความมุงม่ัน และความ เขาใจในอุโบสถศีลนอย หรือไมถูกตอง ปจจัยแหงวันเวลาก็ไมไดเปนหลักวินิจฉัย เด็ดขาดเลยทีเดียว แตอยางไรก็ตามโดยทั่ว ๆ ไป หากผูรักษามีคุณธรรมเทากัน การรักษาแบบปกติอุโบสถที่รักษาวันหน่ึงกับคืนหน่ึง ยอมมีอานิสงสนอยกวา การรักษาแบบปฏิชาครอโุ บสถทรี่ ักษา ๓ วัน และการรกั ษาแบบปฏิชาครอุโบสถก็ยอม มีผลนอยกวาการรักษาแบบปาฏิหาริยอุโบสถที่มีระยะเวลารักษา ๑ ปกษ ๑ เดือน หรือ ๓ – ๔ เดือน ตามลําดับ ดังเร่ืองคนใชของเศรษฐีในอรรถกถาคังคมาลชาดก ท่ีกลา วมาแลว ๓. ประเภท การสมาทานรกั ษาอโุ บสถศลี นัน้ มี ๓ ประเภท คอื โคปาลอโุ บสถ นิคคัณฐอุโบสถ ซ่ึงแบงประเภทตามอัธยาศัยของผูสมาทานอุโบสถท้ัง ๓ ประเภทนี้ มีผลไมเหมือนกัน บางคนมีอัธยาศัยหนักไปในความโลภ ใชชีวิตวันหนึ่ง ๆ ใหหมด ไปกับความโลภ บางคนรักษาไมถูกวิธี ไมไดศึกษาใหถูกตอง ยอมไดรับผลนอย แตบางคนรกั ษาไปตามแบบอยางของพระอริยเจา ซงึ่ เปน การรกั ษาอยา งประเสรฐิ ยอ ม ไดร บั ผลมาก ดงั ทพี่ ระผมู พี ระภาคเจา ไดต รสั แกน างวสิ าขา ในอโุ บสถสตู ร สรปุ ความวา การรกั ษาอโุ บสถศลี มี ๓ ประเภท คอื โคปาลอโุ บสถ นคิ ณั ฐอโุ บสถ และอรยิ อโุ บสถ คอื ๓.๑ โคปาลอุโบสถ หมายถึง อุโบสถที่อุบาสก อุบาสิการักษาอันมี อาการเหมือนคนเลี้ยงโค ท่ีไมคํานึงถึงการรักษาอุโบสถศีล แตคํานึงถึงผลประโยชน ที่จะพึงไดรับ ดังความในอุโบสถสูตรวา คนเล้ียงโค มอบโคทั้งหลายใหเจาของใน เวลาเยน็ แลว คํานึงอยา งนี้วา วันนีโ้ คเท่ียวหากินในท่ีโนน ๆ ดม่ื น้าํ ในท่โี นน ๆ พรงุ นี้ โคนจักเท่ียวหากินในท่ีโนน ๆ จักดื่มน้ําในท่ีโนน ๆ ฉันใด คนรักษาอุโบสถบางคน ก็ฉันนน้ั เหมือนกนั คํานึงอยา งนวี้ า วนั น้ี เราบรโิ ภคของกนิ ของเคี้ยวสงิ่ น้ี ๆ พรุงน้เี รา จักบริโภคของกินของเคี้ยวสิ่งน้ี ๆ คนรักษาอุโบสถเชนน้ี มีใจประกอบกับความโลภ ความอยาก ใชวันหนง่ึ ๆ ใหหมดไปกบั ความโลภความอยากนนั้ ๆ การรักษาอุโบสถ เชนนี้ ยอ มไมม ีผลมาก ไมมีอานิสงสม าก ไมรุงเรอื งมาก ไมแ ผไ พศาลมาก 234

ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÂÑ ) 235 ๓.๒ นิคคณั ฐอุโบสถ หมายถึง อโุ บสถของนักบวชนอกพระพุทธศาสนา ดังความในอุโบสถสูตรวา ครั้นถึงวันอุโบสถ นิครนถจะเรียกพวกสาวกมาสอนวา สเู จาจงเปลอ้ื งผาออกใหหมดแลว ประกาศตนอยางนวี้ า ขาพเจา ไมเกย่ี วของกับใคร ๆ ในท่ไี หน ๆ และไมมคี วามกังวลในสง่ิ อะไร ๆ และในทไ่ี หน ๆ แตในความจริงไมไดเ ปน เชนนน้ั พวกนิครนถยงั กังวลอยูก บั บดิ ามารดา สามภี รรยา บุตรธิดา และญาติพ่นี อ ง ของตน เพราะตอ งอาศยั คนเหลา นนั้ ดาํ รงชพี อยู เขาชกั ชวนในการพดู เทจ็ ไมช กั ชวนใน การพดู คําสัตย ดังนน้ั ส่งิ ท่นี คิ รนถส อนน้ันจึงไมเ ปน ความจรงิ ฉะน้นั ผูรกั ษาอุโบสถ แบบพวกนิครนถน ้ยี อ มมีผลนอ ย ๓.๓ อริยอุโบสถ หมายถึง อุโบสถที่อุบาสกอุบาสิการักษาอยางประเสริฐ รักษาตามแบบอยา งของพระอรยิ เจาท้งั หลาย ยอมมีผลมาก อธิบายวา จิตของมนุษย ท่ีเศราหมองดวยอํานาจกิเลสน้ี สามารถชําระลางใหสะอาดไดดวยความเพียร เหมือน ศรี ษะทเี่ ปอ นทาํ ใหส ะอาดไดด ว ยเครอื่ งสนานศรี ษะ รา งกายทเี่ ปอ น ทาํ ใหส ะอาดไดด ว ย เครือ่ งชําระลา งรางกาย ผาทส่ี กปรก ทําใหสะอาดไดดว ยการฟอกหรอื ดวยเครอื่ งซกั ผา แวนท่ีมัวหมองทําใหสดใสไดดวยน้ํายาเช็ดกระจก ทองคําท่ีหมองคล้ํา ทําใหสุกปลั่ง ไดดวยเครื่องมือชางทอง และสิ่งท่ีจะทําจิตที่เศราหมองใหบริสุทธิ์ผองแผวไดนั้น คือ การระลกึ ถงึ อารมณกรรมฐาน คอื อนุสสติ ดงั ตอ ไปน้ี พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจา โดยระลึกถึงคุณของ พระพุทธเจาเปน อารมณ ดังความในอุโบสถสตู รวา ดกู รนางวิสาขา อริยสาวกในธรรม วนิ ัยนี้ ยอ มระลกึ ถึงพระพุทธเจา วา แมเพราะเหตนุ ี้ ๆ พระผูมีพระภาคเจา พระองคนนั้ เปนพระอรหนั ตต รสั รูเองโดยชอบ ถึงพรอ มดว ยวิชชาและจรณะ เสดจ็ ไปดแี ลว ทรงรู แจง โลก เปน สารถฝี ก บรุ ษุ ทส่ี มควรฝก ไดอ ยา งไมม ผี ใู ดยง่ิ กวา เปน ศาสดาของเทวดาของ มนษุ ยท ง้ั หลาย ทรงเบกิ บานแลว เปน ผจู าํ แนกธรรม เมอ่ื เธอหมนั่ นกึ ถงึ พระตถาคตอยู จิตยอ มผองใส เกดิ ความปราโมทย ละเคร่อื งเศรา หมองแหง จติ เสียได บคุ คลที่รกั ษาอรยิ อุโบสถ ดวยการเจรญิ พุทธานุสสติ เรยี กวา เขา จาํ “พรหม อุโบสถ” คือไดอยูรวมกับพรหม มีจิตผองใสเพราะปรารภพรหม เกิดความปราโมทย ละเครื่องเศรา หมองของจติ เสยี ได ในทีน่ ้ี คําวา พรหม แปลวา ผปู ระเสรฐิ หมายถึง พระพุทธเจา นน่ั เอง คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 235

236 ¤Á‹Ù ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ธัมมนานสุ สติ ระลึกถึงคุณความดีของพระธรรม ดงั ความในอุโบสถสูตรวา ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกในธรรมวินัยน้ี ยอมระลึกถึงพระธรรมวา พระธรรมอัน พระผูมีพระภาคตรัสไวดีแลว อันบุคคลผูบรรลุจะพึงเห็นไดดวยตนเอง ไมประกอบ ดวยกาล ควรเรียกใหมาดูควรนอ มเขา มาในตน อันวญิ ูชนพงึ รไู ดเฉพาะตน เมื่อเธอ หม่ันนึกถึงพระธรรมอยู จิตยอมผองใส เกิดความปราโมทย ละเครื่องเศราหมอง แหงจติ เสียได บคุ คลทรี่ กั ษาอรยิ อโุ บสถดว ยการเจริ ญธมั มานสุ สติ เรยี กวา เขา จาํ “ธรรมอโุ บสถ” คือไดอยูรวมกับพระธรรม มีจิตผองใสเพราะปรารภพระธรรม เกิดความปราโมทย ละเครอ่ื งเศราหมองแหง จติ เสยี ได สังฆานุสสติ ระลึกถึงคุณความดีของพระสงฆ ดังความในอุโบสถสูตรวา ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกในธรรมวินัยน้ี หมั่นระลึกพระสงฆวา พระสงฆสาวกของ พระผูมีพระภาค เปนผูปฏิบัติดีแลว เปนผูปฏิบัติตรงแลว เปนผูปฏิบัติธรรม เปน ผปู ฏบิ ตั ิสมควรนค้ี อื คแู หงบรุ ุษ ๔ คู นบั ไดเปนบุคคล ๘ บุคคล น้ีคอื พระสงฆสาวก ของพระพุทธเจา เปน ผคู วรแกของคํานับ เปน ผูค วรแกข องตอ นรับ เปนผคู วรแกของ ทําบุญ เปนผูควรแกการทําอัญชลี เปนเนื้อนาบุญของโลก ไมมีเน้ือนาบุญอ่ืนย่ิงกวา เมอ่ื เธอหมนั่ นึกถึงพระสงฆอยจู ิตยอ มผองใส เกดิ ความปราโมทย ละเครอื่ งเศราหมอง แหงจติ เสียได บคุ คลทรี่ กั ษาอรยิ อโุ บสถดว ยการเจรญิ สงั ฆานสุ สติ เรยี กวา เขา จาํ “สงั ฆอโุ บสถ” คอื ไดอ ยรู ว มกบั พระสงฆ มจี ติ ผอ งใสเพราะปรารภคณุ ของพระสงฆ เกดิ ความปราโมทย ละเครือ่ งเศรา หมองแหงจติ เสียได สีลานุสสติ ระลึกถึงคุณของศีลท่ีตนรักษา ดังความในอุโบสถสูตรวา ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ยอมระลึกถึงศีลของตนซึ่งไมขาด ไมทะลุ ไมดางพรอย ทานผูรูสรรเสริญ ไมถูกตัณหาทิฏฐิเขามาแตะตอง เปนไปเพื่อสมาธิ เมื่อเธอระลึกถึงศีลอยู จิตยอมผองใส เกิดความปราโมทย ละเคร่ืองเศราหมอง แหงจติ เสยี ได บคุ คลทร่ี กั ษาอรยิ อโุ บสถดว ยการเจรญิ สลี านสุ สติ เรยี กวา เขา จาํ “ศลี อโุ บสถ” คอื ไดอ ยรู ว มกบั ศลี มจี ติ ผอ งใสเพราะปรารถนาศลี ของตน เกดิ ความปราโมทย ละเครอื่ ง เศรา หมองแหงจิตเสยี ได 236

ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÂÑ ) 237 เทวตานุสสติ ระลึกถึงความดีที่เปนสาเหตุทําใหเกิดเปนเทวดา ดังความใน อโุ บสถสตู รวา ดกู รนางวสิ าขา อรยิ สาวกในธรรมวินยั น้ี ยอมระลึกถงึ เทวดาวา เทวดา ชน้ั จาตุมมหาราชิกา ดาวดงึ ส ยามา ดสุ ิต นิมมานรดี และปรนมิ มิตวสวตั ตมี ีอยู เทวดา พวกทนี่ บั เนอ่ื งเขาในหมพู รหมมอี ยู เทวดาพวกทส่ี งู กวา นน้ั ขน้ึ ไปกม็ อี ยู เทวดาเหลา นนั้ ประกอบดวยศรทั ธา ศลี สตุ ะ จาคะ และปญญาเชนใด แมศรัทธา ศีล สุต จาคะ และ ปญญาเชนนั้นของเราก็มีอยู เมื่อเธอระลึกคุณธรรมเหลานั้นของตนกับของเทวดาอยู จติ ยอ มผอ งใส เกิดความปราโมทย ละเครอื่ งเศรา หมองแหง จติ เสียได บุคคลที่รักษาอรยิ อุโบสถดว ยการเจริญเทวตานุสสติ เรยี กวา เขาจาํ “เทวดา อุโบสถ” คือ ไดอยูรวมกับเทวดามีจิตผองใสเพราะปรารภเทวดา เกิดความปราโมทย ละเคร่ืองเศราหมองแหงจิตเสยี ได เมอ่ื ผรู ักษาอริยอโุ บสถระลึกถงึ อนสุ สติทงั้ ๕ น้ี ชือ่ วาประพฤติพรหมอุโบสถ ธรรมอโุ บสถ สงั ฆอโุ บสถ สลี อโุ บสถ และเทวตาอโุ บสถ จติ ของเธอยอ มผอ งใสดว ยการ ปรารภพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ศีล และเทวดา ความปราโมทยยอ มเกิดขึ้น เธอยอมละอุปกิเลสเคร่ืองเศราหมองแหงจิตเสียได การทําจิตที่เศราหมองใหผองแผว ยอมมไี ดด ว ยความเพียร ระลกึ ถึงอารมณก รรมฐาน คอื อนสุ สติ อยา งนแี้ ล ๔. เปาหมาย บุคคลผูรักษาอุโบสถศีล มีเปาหมายของการรักษาตางกัน ซึ่งจะเปนเหตใุ หไดร ับผลของการรักษามากนอยตางกัน ดงั น้ี ๔.๑ การรักษาอุโบสถศีลเพราะตองการชื่อเสียง จัดเปนบุญอยางตํ่า มผี ลนอ ยเพราะชอ่ื เสยี งนนั้ เปน สงิ่ ทคี่ นอนื่ เขามอบให แสดงใหเ หน็ วา ผรู กั ษาทตี่ อ งการ เชน นชี้ อ่ื วา ยงั ไมเ ปน ไทตอ ตนเอง เพราะกระทาํ ความดโี ดยหวงั การยกยอ งสรรเสรญิ จาก คนอนื่ หากไมม ีใครยกยอ งสรรเสรญิ ก็อาจยกเลกิ การรักษาได ๔.๒ การรักษาอุโบสถศีลเพราะตองการผลบุญ จัดเปนบุญอยางกลาง มีผลมากกวาการรักษาอุโบสถศีลเพราะตองการชื่อเสียง การรักษาอุโบสถศีลเชนน้ี สามารถพัฒนานําไปสูเ ปา หมายทีส่ งู ข้นึ ไปได ๔.๓ การรกั ษาอโุ บสถศลี เพราะตอ งการขจดั กเิ ลส จดั เปน บญุ อยา งสงู มี ผลมากที่สุด เนื่องจากเปน ความตอ งการทีไ่ มอ ิงบุคคล ไมอิงอามิสสง่ิ ของ ไมอิงสวรรค แตมุงหวังเพ่ือขจัดขัดเกลากิเลสใหหมดไป กลาวคือ เพ่ือบรรลุเปาหมายสูงสุดคือ พระนิพพาน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 237

238 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ๕. เจตนา หมายถึง ความต้ังใจ ความจงใจที่จะรักษาอุโบสถศีล ซึ่งการรักษา อุโบสถศีลนนั้ จะมีผลมากหรือนอยขึ้นอยูก ับเจตนาในการรักษาทัง้ ๓ กาล คอื ๕.๑ บพุ พเจตนา หมายถงึ เจตนากอ นการรักษาอุโบสถศีล คือ ผูร กั ษา คิดมาตัง้ แตกอ นการรกั ษาวา เราจะรกั ษาอุโบสถศีล กม็ คี วามดีใจ พอใจ ๕.๒ มญุ จนเจตนา หมายถึง เจตนาขณะรกั ษาอโุ บสถศลี คือ ขณะที่ กําลงั รักษาอุโบสถศีลนนั้ ยอ มมจี ติ เลอื่ มใส ๕.๓ อปราปรเจตนา หมายถึง เจตนาหลักจากการรกั ษาอโุ บสถศีลแลว ยอมมีใจชื่นบาน หากบุคคลผรู ักษาอุโบสถศลี มเี จตนาครบทงั้ ๓ กาล ยอมมผี ลมาก หากมี เจตนาจาํ นวนสองกาลหรอื เพยี งกาลเดยี ว ก็จะมีผลนอ ยลงไปตามลาํ ดับ ๖. องคของศีล หมายถึง องคทจ่ี ะทาํ ใหศลี แตละขอขาด หากผรู ักษาอโุ บสถ ศีลคอยระมัดระวังมิใหองคของศีลขาด รักษาใหบริสุทธิ์ครบถวน ยอมไดรับผลมาก แตหากทําใหองคของศีลขอใดขอหนึ่งหรือหลาย ๆ ขอขาด ก็จะไดรับผลนอยลงไป ตามลําดับ ความแตกตา งระหวางอโุ บสถศีลและศลี ๘ ศลี อุโบสถและศลี ๘ ตางกม็ ี ๘ สิกขาบทเทากัน หามกระทําในเรื่องเดียวกนั แตมีความแตกตางกัน ๓ ประการ คือ วิธีการสมาทาน วันเวลาในการรักษา และ การขาดของศลี ดงั นี้ ๑. วิธกี ารสมาทาน อุโบสถศีล มวี ธิ กี ารสมาทาน คาํ ประกาศอโุ บสถ และคาํ อาราธนา ดังนี้ เม่ือต้ังใจจะรักษาอุโบสถศีล พึงต่ืนนอนแตเชา ชําระรางกายใหสะอาด ไปวัดทต่ี นตง้ั ใจจะไปอยูจํา เม่อื ผูรักษาอโุ บสถศีลพรอ มแลว พึงประกาศอุโบสถ ดงั นี้ อชชฺ โภนโฺ ต ปกฺขสสฺ อฏมที วิ โส (๑๔ คํา่ ใหว า “จาตทุ ฺทสที ิวโส” ๑๕ คํา่ ใหวา “ปณฺณรสีทิวโส”) เอวรูโป โข โภนฺโต ทิวโส พุทฺเธน ภควตา ปฺญตฺตสฺส ธมฺมสสฺ วนสฺส เจว ตทตถฺ าย อุปาสกอปุ าสกิ านํ อุโปสถกมมฺ สฺส จ กาโล โหติ ฯ หนฺท มยํ โภนฺโต สพฺเพ อิธ สมาคตา ตสฺส ภควโต ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติยา ปูชนตฺถาย อมิ จฺ รตตฺ ึ อมิ ฺจ ทิวสํ อุโปสถํ อุปวสสิ สฺ ามาติ กาลปรจิ ฺเฉทํ กตฺวา ตํ ตํ เวรมณึ 238

ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÂÑ ) 239 อารมฺมณํ กรติ ฺวา อวิกขฺ ติ ตฺ จติ ตฺ า หุตวฺ า สกฺกจจฺ ํ อุโปสถงฺคานิ สมาทเิ ยยยฺ าม อีทิสํ หิ อุโปสถกาลํ สมฺปตตฺ านํ อมหฺ ากํ ชวี ติ ํ มา นิรตฺถํ โหตุฯ อนงึ่ ผปู ระสงคจ ะรกั ษาอโุ บสถศลี ใหเ ตม็ เวลาวนั หนง่ึ กบั คนื หนงึ่ พงึ ตนื่ นอน กอนอรุณขน้ึ ของวันนั้น พึงชําระรา งกายใหสะอาด ครั้งไดเ วลารงุ อรุณ ใหกลา วคาํ บูชา พระรัตนตรยั เปลงวาจาสมาทานอุโบสถดว ยตนเองกอ นวา “อมิ ํ อฎฏงคฺ สมนฺนาคตํ พุทฺธปฺยตตํ อุโปสถํ อิมฺจ รตฺตึ อิมฺจ ทิวสํ สมฺมเทว อภิรกฺขิตุ สมาทิยามิ” หลงั จากน้ันกไ็ ปสมาทานท่วี ดั อีกคร้งั หนงึ่ คําอาราธนาอุโบสถศีลวา มยํ ภนฺเต ตสิ รเณน สห อฏงฺคสมนนฺ าคตํ อุโปสถํ ยาจาม ทุตยิ มฺป มยํ ภนเฺ ต ติสรเณน สห อฏงคฺ สมนนฺ าคตํ อโุ ปสถํ ยาจาม ตตยิ มปฺ  มยํ ภนเฺ ต ตสิ รเณน สห อฏ งคฺ สมนฺนาคตํ อโุ ปสถํ ยาจาม สวนศลี ๘ ไมมีคําประกาศ แตม วี ธิ ีการสมาทานและคําอาราธนา ดงั นี้ มยํ ภนฺเต ติสรเณน สห อฏ สลี านิ ยาจาม ทตุ ยิ มฺป มยํ ภนเฺ ต ตสิ รเณน สห อฏ สีลานิ ยาจาม ตติยมปฺ  มยํ ภนฺเต ตสิ รเณน สห อฏ สีลานิ ยาจาม ๒. วนั เวลาในการรักษา อโุ บสถศลี มวี นั พระเปน แดนเกดิ หรอื เปน วนั รกั ษา คอื รกั ษาไดเ ฉพาะวนั พระ หรือเน่ืองดวยวันพระเทาน้ัน ตามวันเวลาที่กําหนด เชน ปกติอุโบสถจะกําหนดรักษา ในวนั พระ ๘ คา่ํ ๑๔ ค่ํา หรอื ๑๕ ค่ํา แลว ตอ งรักษาไปจนถึงรงุ อรณุ ของวนั ใหม คอื มีเวลารกั ษาวันหนง่ึ กบั คนื หนึ่ง คําวา “วันหนึ่งกบั คนื หนงึ่ ” นนั้ ทา นกําหนดนบั ตัง้ แต อรุณข้นึ ของวันทีร่ กั ษา ไปจนถงึ อรุณขึ้นของวันใหม เปนตน สว นศลี ๘ ไมไดกําหนดวนั เวลาในการรกั ษา จะรกั ษาในวนั และเวลาใดก็ได ๓. การรักษาและการขาดของศลี อุโบสถศีล เมื่อสมาทานแลว ตองรักษารวมท้ัง ๘ ขอ ใหค รบถว น เน่ืองจาก เปนศลี รวมหรอื ศลี พวงตอ งรักษารวม ไมแ ยกขอ ในการรกั ษา ถาขาดขอ ใดขอ หนึง่ ก็ไม จัดเปน อุโบสถศลี ตามพุทธบญั ญัติ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 239

240 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ศีล ๘ เมื่อสมาทานแลวจะรักษารวมหรือแยกรักษาเฉพาะขอก็ได เพราะ ไมไดกําหนดเจาะจงไว ถารักษาแบบรวม เมื่อศีลขอใดขอหนึ่งขาด ก็ไมไดใชวารักษา ศีล ๘ ตามที่ตั้งใจสมาทานไว แตถารักษาแบบแยก เมื่อศีลขอใดขอหนึ่งขาดก็ขาด เฉพาะขอนน้ั ๆ ระเบียบพิธีสมาทานอโุ บสถศลี พระอรรถกถาจารยกลาวไวในอรรถกถาอุโบสถสูตรวา บุคคลผูจะเขาอยู จําอุโบสถศลี นั้น พงึ ตง้ั ใจวา พรงุ นีเ้ ราจักรักษาอุโบสถ ตรวจตราการทาํ อาหาร เปนตน ตัง้ แตใ นวนั นี้สัง่ การงานใหเรียบรอ ยวา ทา นทง้ั หลายจงทําสิง่ น้แี ละส่งิ นี้ เวลาเชา ตรใู นวนั อโุ บสถ พงึ เปลง วาจาสมาทานองคอ โุ บสถ ในสาํ นกั ของภกิ ษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกาก็ได ซ่ึงเปนผูรูจักลักษณะของศีลอุโบสถ ถาไมรูภาษา บาลี ถึงอธิษฐานวา ขาพเจา อธิษฐานอโุ บสถทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงบญั ญัติไว เมอ่ื ไมมผี ูอื่น พงึ อธิษฐานดวยตนเองก็ได ในการอธิษฐานดวยตนเองนน้ั ใหอ อกเสียงเปลง วาจาดว ย เมื่อเขาอยูจําอุโบสถแลว ไมควรจัดแจงการงานใด ๆ ที่เกี่ยวกับการเบียดเบียนผูอ่ืน ควรใหเวลาผานไปดว ยการไหวพระ สวดมนต และบําเพญ็ จิตภาวนา สว นพระฎกี าจารยอ ธบิ ายวา ตง้ั แตส มาทานศลี แลว ผรู กั ษาอโุ บสถไมค วรทาํ กจิ การงานของชาวโลกอะไรอยา งนนั้ ควรใหเ วลาผา นไปดว ยการฟง ธรรม หรอื มนสกิ าร กรรมฐานบาํ เพญ็ จติ ภาวนา เมื่อถึงวนั อุโบสถ ๘ คา่ํ ๑๔ คํ่า หรือ ๑๕ ค่าํ ผรู ักษาอุโบสถ นาํ ภตั ตาหารคาวหวานไปทาํ บุญท่ีวดั ซึง่ อยใู กลบา น หรือตนศรัทธาเล่อื มใส หลงั จากท่ี พระสงฆทาํ วตั รเชาเสรจ็ แลว พึงเรม่ิ กลาวคําบูชาพระรตั นตรัยวา อมิ ินา สกฺกาเรน พุทธฺ ํ อภิปูชยามิ อิมนิ า สกฺกาเรน ธมฺมํ อภิปชู ยามิ อิมินา สกฺกาเรน สงฆฺ ํ อภิปชู ยามิ อรหํ สมมฺ าสมฺพทุ โฺ ธ ภาควา พทุ ฺธํ ภควนตฺ ํ อภิวาเทมิ (กราบ) สวฺ ากขฺ าโต ภควตา ธมฺโม ธมฺมํ นมสฺสามิ (กราบ) สปุ ฏิปนโฺ น ภควโต สาวกสงฺโฆ สงฆฺ ํ นมามิ (กราบ) ตอ จากนนั้ ผเู ปนหวั หนา พงึ คกุ เขาประนมมือกลาวคําประกาศอุโบสถ ดังนี้ อชชฺ โภนโฺ ต ปกขฺ สฺส อฏมที ิวโส (๑๔ ค่ํา ใหวา “จาตทุ ทฺ สที ิวโส” ๑๕ คํ่า ใหวา “ปณฺณรสีทิวโส”) เวรูโป โข โภนฺโต ทิวโส พุทฺเธน ภควตา ปฺญตฺตสฺส 240

ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 241 ธมฺมสสฺ วนสสฺ เจว ตทตถฺ าย อุปาสกอปุ าสกิ านํ อุโปสถกมมฺ สสฺ จ กาโล โหติ ฯ หนฺท มยํ โภนฺโต สพฺเพ อิธ สมาคตา ตสฺส ภควโต ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติยาปูชนตฺถาย อมิ ฺจ รตฺตึ อมิ ฺจ ทวิ สํ อุโปสถํ อุปวสสิ สฺ ามาติ กาลปรจิ ฺเฉทํ กตวฺ า ตํ ตํ เวรมณี อารมฺมณํ กริตวฺ า อวกิ ฺขิตตฺ จิตตฺ า หตุ วฺ า สกกฺ จฺจํ อุโปสถงฺคานิ สมาทเิ ยยยฺ าม อีทสิ ํ หิ อโุ ปสถกาลํ สมปฺ ตฺตานํ อมฺหากํ ชีวิตํ มา นิรตถฺ กํ โหตุฯ ขา พเจา ขอประกาศเร่ิมเรือ่ งความท่จี ะไดส มาทานรกั ษาอุโบสถตามกาลสมยั พรอ มดว ยองค ๘ ประการ ใหส าธชุ นทจี่ ะตง้ั จติ สมาทานทราบทว่ั กนั กอ นแตจ ะสมาทาน ณ บัดนี้ ดว ยวนั น้ี เปนวนั อฏั ฐมี ดถิ ที ี่ ๘ (วันจาตทุ ทสี ดถิ ีท่ี ๑๔, วันปณณรสี ดถิ ที ่ี ๑๕) แหง ปก ษม าถงึ แลว กแ็ ลวนั เชน น้ี เปน กาลทจ่ี ะฟง ธรรมและทาํ การรกั ษาอโุ บสถ เพอ่ื ประโยชนแหงการฟง ธรรม บัดน้ี ขอกศุ ลอันย่ิงใหญ คือ ต้ังจติ สมาทานอุโบสถ จงเกดิ มแี กเราทัง้ หลาย บรรดามาประชมุ ณ ทน่ี ี้ เราทงั้ หลายพงึ มจี ติ ยินดีวาจะรักษาอโุ บสถ อันประกอบดว ยองค ๘ ประการ วันหนึง่ กับคืนหน่งึ ณ เวลาน้วี นั นแ้ี ลว จงตัง้ จติ คดิ งดเวน ไกลจากการทาํ ชวี ติ สตั วใ หต กถว งไป คอื ฆา สตั วเ องใหใ ชใ หค นอนื่ ฆา ๑ เวน จาก ถอื เอาสงิ่ ของทเ่ี จา ของไมใ ห คอื ลกั และฉอ และใชใ หล กั และฉอ ๑ เวน จากอพรหมจรรย ๑ เวน จากพดู คาํ เทจ็ คาํ ไมจ รงิ และลอ ลวงอาํ พรางทา นผอู น่ื ๑ เวน จากดม่ื กนิ ซง่ึ สรุ าเมรยั สารพดั นา้ํ กลนั่ นาํ้ ดอง อนั เปน ของใหผ ดู มื่ แลว เมา ซง่ึ เปน เหตทุ ต่ี งั้ แหง ความประมาท ๑ เวน จากฟอ นราํ ขบั รอ ง และประโคมดนตรี และดกู ารเลน บรรดาเปน ขา ศกึ แกก ศุ ล และ ทัดทรงระเบียบดอกไม ลูบไลทาตัวดวยของหอม เคร่ืองยอมเครื่องแตง และประดับ รางกายดวยเครื่องอาภรณวิจิตรงดงามตาง ๆ ๑ เวนจากนั่งนอนเหนือท่ีน่ังท่ีนอนอัน สูงมีเตียงต่ังเทาสูงกวาประมาณ และท่ีนั่งที่นอนอันใหญภายในมีนุนและสําลี และ เครอ่ื งลาดอันวจิ ติ รงดงาม ๑ จงทําความเวนองคทจ่ี ะพงึ เวน ๘ ประการน้ีเปนอารมณ อยามีจิตฟุงซานสงไปในที่อื่น จงสมาทานองคอุโบสถ ๘ ประการนี้โดยเคารพเถิด เพ่ือบูชาพระผูมีพระภาคพุทธเจาน้ัน ดวยขอปฏิบัติอยางย่ิงตามกําลังของเราทั้งหลาย ซึ่งเปนคฤหัสถ ชีวิตแหงเราท้ังหลายเปนมาถึงวันอุโบสถน้ี จงอยาลวงไปปราศจาก ประโยชนเ ลยและพงึ กลา วคําอาราธนาอุโบสถศีล พรอ มกันดงั น้ี คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 241

242 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท มยํ ภนเฺ ต ติสรเณน สห อฎงฺคสมนนฺ าคตํ อุโปสถํ ยาจาม ทุตยิ มฺป มยํ ภนเฺ ต ตสิ รเณน สห อฎ งฺคสมนนฺ าคตํ อโุ ปสถํ ยาจาม ตตยิ มฺป มยํ ภนฺเต ตสิ รเณน สห อฎงคฺ สมนฺนาคตํ อโุ ปสถํ ยาจาม จบแลวพึงตั้งใจรับสรณคมนและอุโบสถศีลโดยเคารพ โดยวาตาม พระสงฆ ดงั น้ี นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ุทธฺ สฺส นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธฺ สสฺ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทธฺ สสฺ พุทธฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ทตุ ิยมฺป พุทฺธํ สรณํ คจมฺ ิ ทุติยมปฺ  ธมฺมํ สรณํ คจฺมิ ทตุ ิยมปฺ  สงฺฆํ สรณํ คจฺมิ ตตยิ มฺป พทุ ฺธํ สรณํ คจฺมิ ตตยิ มปฺ  ธมมฺ ํ สรณํ คจฺมิ ตตยิ มฺป สงฺฆํ สรณํ คจฺมิ เมอ่ื พระสงฆว า ตสิ รณคมนํ นฏิ  ติ ํ พงึ รบั พรอ มกนั วา อาม ภนเฺ ต ตอ จากนน้ั พงึ รบั อโุ บสถศลี ทงั้ ๘ ขอ ดังนี้ ปาณาติปาตา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ อทินนฺ าทานา เวรมณี สกิ ฺขาปทํ สมาทิยามิ อพรฺ หมฺ จรยิ า เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทยิ ามิ มสุ าวาทา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ สุราเมรยมชชฺ ปมาทฎานา เวรมณี สกิ ฺขาปทํ สมาทยิ ามิ วิกาลโภชนา เวรมณี สกิ ฺขาปทํ สมาทิยามิ นจจฺ คตี วาทิตวิสกู ทสฺสนมาลาคนธฺ วิเลปนธารณมณฺฑนวภิ ูสนฏานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทยิ มิ 242

ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÂÑ ) 243 อจุ ฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ เมื่อรับศีลจบแลว พึงกลาวตามพระสงฆวา อิมํ อฏงฺคสมนฺนาคตํ พทุ ฺธปฺ ตตฺ ํ อโุ ปสถํ อมิ จฺ รตตฺ ึ อมิ จฺ ทิวสํ สมฺมเทว อภริ กฺขติ ุํ สมาทยิ ามิ ตอ จากนน้ั พระสงฆจ ะกลา วตอ ไปวา อมิ านิ อฏ สกิ ขฺ าปทานิ อโุ ปสถสลี วเสน สาธุกํ กตวฺ า อปปฺ มาเทน รกฺขิตพฺพานิ ใหรับพรอมกันวา อาม ภนเฺ ต ตอจากนั้น พระสงฆจ ะกลาวสรปุ อานสิ งสของศลี ตอไปวา สเี ลน สุคตึ ยนฺติ สีเลน โภคสมฺปทา สเี ลน นพิ ฺพุตึ ยนตฺ ิ ตสฺมา สลี ํ วิโสธเย จบพิธสี มาทานอุโบสถศีลเพียงเทา นี้ ตอจากนน้ั พงึ ตั้งใจฟง พระธรรมเทศนา หรือมนสิการกรรมฐานบําเพ็ญจิตภาวนาตอไป เมื่อรักษาครบเวลาวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง หรอื ตามทกี่ ําหนดแลว การรกั ษาอุโบสถศีลก็สน้ิ สุดลง หลักการใชค าํ วา มิ หรือ มะ ในการกลาวคําบูชาพระรัตนตรัย คํานมัสการพระรัตนตรัย คําอาราธนาศีล และคําสมาทานศลี เปน ตน ใหค ํานึงถงึ คาํ กริ ิยาซง่ึ จะบง บอกถงึ การกระทําของผูก ลาว วา เปน การกระทาํ เฉพาะตน หรอื เปน การกระทํารวมกนั โดยมีหลกั การใชดังน้ี ๑. คําวา “ม”ิ ใหใชในกรณีที่เปนการกระทาํ เฉพาะตน ไมสามารถใหค นอน่ื กระทาํ แทนได เชน อภปิ ูชยามิ อภวิ าเทมิ นมสฺสามิ นมามิ สมาทิยามิ เปนตน ๒ คําวา “มะ” ใหใ ชในกรณที ี่เปน การกระทํารว มกนั เชน ยาจาม กโรม เส เปนตน อโุ บสถศีลกับพระรัตนตรยั บุคคลท่ีจะสมาทานรักษาอุโบสถศีลนั้น เบื้องตนตองยอมรับนับถือ พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ เปนสรณะท่ีพึ่งท่ีระลึก พระรตั นตรยั มคี วามสาํ คญั อยา งยงิ่ สาํ หรบั พทุ ธศาสนกิ ชน เพราะเปน เสมอื นหนง่ึ ประตู เขา สพู ระพทุ ธศาสนา ผูท ่ีจะเขามาสูพระพุทธศาสนา จะเปนมนุษยหรืเทวดา ก็ตามตอ ง เขา มาทางพระรตั นตรยั ทงั้ สน้ิ คอื จะตอ งมศี รทั ธาเลอ่ื มใส เคารพนบั ถอื บชู าพระรตั นตรยั ดว ยการกลาวถงึ พระรตั นตรัยวา เปน ท่พี งึ่ ทีร่ ะลึก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 243

244 ¤‹ÙÁ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท การถึงพระรัตนตรัย หมายถึง การยอมรับนับถือพระรัตนตรัยวาเปนที่ พ่ึงที่ระลึก อีกนัยหน่ึง หมายถึง การกําจัดกิเลสที่เกิดขึ้นในจิตใจออกไป ดวยความ ศรัทธาเล่ือมใสและเคารพหนักแนนในพระรัตนตรัย การถึงพระรัตนตรัยนี้ เรียกวา ไตรสรณคมน มีคํากลาวการยอมรับนับถอื พระรัตนตรยั ดงั นี้ พุทธํ สรณํ คจฉฺ ามิ ขาพเจาขอถึงพระพุทธเจาวา เปน ท่ีพึ่ง ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ขาพเจาขอถึงพระธรรมเจาวา เปนทีพ่ ึง่ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ ขา พเจาขอถึงพระสงฆเ จา วาเปน ทีพ่ ง่ึ ทุตยิ มฺป พทุ ธํ สรณํ คจฉฺ ามิ ขา พเจา ขอถงึ พระพทุ ธเจา วา เปน ทพี่ งึ่ แมค รง้ั ทสี่ อง ทุติยมฺป ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ ขา พเจา ขอถงึ พระธรรมเจา วา เปน ทพี่ งึ่ แมค รง้ั ทส่ี อง ทตุ ิยมฺป สงฆํ สรณํ คจฺฉามิ ขา พเจา ขอถงึ พระสงฆเ จา วา เปน ทพ่ี ง่ึ แมค รงั้ ทสี่ อง ตตยิ มฺป พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ ขา พเจา ขอถงึ พระพทุ ธเจา วา เปน ทพี่ งึ่ แมค รง้ั ทส่ี าม ตติยมปฺ  ธมฺมํ สรณํ คจฉฺ ามิ ขา พเจา ขอถงึ พระธรรมเจา วา เปน ทพ่ี งึ่ แมค รงั้ ทส่ี าม ตตยิ มปฺ  สงฆํ สรณํ คจฺฉามิ ขา พเจา ขอถงึ พระสงฆเ จา วา เปน ทพ่ี ง่ึ แมค รง้ั ทส่ี าม ดงั นน้ั พทุ ธศาสนกิ ชน ควรจะศกึ ษาเรอ่ื งพระรตั นตรยั ใหม คี วามรู เพอ่ื เปน การ ปลกู ศรทั ธาปสาทะใหเ กดิ ฉนั ทะในการรกั ษาอโุ บสถศลี มากยง่ิ ขน้ึ ในทนี่ จี้ ะกลา วถงึ เรอื่ ง ทเ่ี ก่ยี วเน่อื งกบั พระรตั นตรยั ดังนี้ ๑. การกลา วถงึ พระรตั นตรยั เปน คร้ังแรก พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั ถงึ พระรตั นตรยั เปน ครงั้ แรก ทป่ี า อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั เมืองพาราณสี ในโอกาสที่ทรงสงพระอรหันต ๖๐ รูป ไปประกาศพระพุทธศาสนา เพื่อเปนการใหบรรพชาอุปสมบทแกผูท่ีศรัทธาปรารถนาใครจะบวชในพระพุทธศาสนา ดงั พระพุทธเจา ดาํ รสั วา ภกิ ษพุ ึงปลงผมและหนวดแกก ลุ บตุ รผปู ระสงคจ ะขอบรรพชา อุปสมบทกอน แลวใหนุงหมผากาสายะ ใหกราบเทาภิกษุทั้งหลาย แลวพึงสอนให วาตามดังน้ี “พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ, ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ, สงฆํ สรณํ คจฺฉามิ ฯเปฯ ตตยิ มปฺ  สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม”ิ เพอ่ื ใหก ลุ บตุ รอปุ สมบท ดงั นนั้ พระรตั นตรยั น้ี จงึ มคี วาม สําคญั ตอ ทกุ คนที่จะเขามาเปน ชาวพุทธ เพราะเปน ประตูเขาสพู ระพทุ ธศาสนา ๒. ความหมายของพระรตั นตรัย การท่ีบุคคลจะยอมรับนับถือส่ิงใดวาเปนที่พึ่งท่ีระลึก หรือเปนแบบอยาง ในการประพฤติปฏิบัตินั้น เบ้ืองตนจะตองศึกษาใหเกิดความรูความเขาใจในสิ่งนั้นให 244

ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÂÑ ) 245 ถองแทกอน จึงจะเปนความเคารพนับถือหรือความเชื่อท่ีประกอบดวยปญญา เพราะ ฉะน้ัน จึงจําเปนอยางยิ่งที่ชาวพุทธ ตองศึกษาเร่ืองพระรัตนตรัยใหเขาใจเปนเบ้ืองตน ดงั นี้ พระพุทธ หมายถึง พระพุทธเจา ผูทรงรูดีรูชอบไดโดยพระองคเอง ทรงบรสิ ุทธ์สิ น้ิ เชงิ ทรงมพี ระกรุณาคุณ ทรงเปน ศาสดาของศาสนาพทุ ธ เมอ่ื ตรสั รแู ลว ไดท รงสง่ั สอนประชมุ ชนใหป ระพฤตชิ อบดว ยกาย วาจา ใจ ทรงประกาศพระพทุ ธศาสนา ใหเจรญิ รงุ เรืองม่ันคงมาถงึ ปจจบุ ันน้ี พุทธคณุ หมายถงึ คุณของพระพุทธเจา มี ๙ ประการ คือ ๑. อรหํ เปนผูห า งไกลจากกิเลส ๒. สมฺมาสมพฺ ทุ ฺโธ เปนผูตรัสรชู อบไดโดยพระองคเ อง ๓. วิชฺชาจรณสมปฺ นโฺ น เปนผถู งึ พรอ มดว ยวชิ ชาและจรณะ ๔. สุคโต เปน ผูไปแลว ดว ยดี ๕. โลกวทิ ู เปน ผูรูโลกอยา งแทจรงิ ๖. อนุตฺตโร ปรุ สิ ทมฺมสารถิ เปน ผูสามารถฝก บรุ ษุ ทส่ี มควรฝก ไดอยา งไมมี ใครยิ่งกวา ๗. สตฺถา เทวมนสุ สฺ านํ เปน ครูผสู อนของเทวดาและมนุษยทงั้ หลาย ๘. พุทฺโธ เปน ผรู ู ผูต ่นื ผูเบิกบานดวยธรรม ๙. ภควา เปน ผมู คี วามจําเริญจําแนกธรรมสงั่ สอนสตั ว พระธรรม หมายถึง คําสั่งสอนของพระพุทธเจา เปนสัจธรรมอันประเสริฐ เปนธรรมอันประเสริฐ เปนธรรมที่ทําใหผูประพฤติปฏิบัติตามพนจากทุกขไดจริง มี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ แบง เปน ๓ ปฎ ก เรยี กวา พระไตรปฎ ก คอื พระวินัยปฎก มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ พระสุตตนั ตปฎ ก มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ พระอภธิ รรมปฎก มี ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ เม่ือกลา วโดยยอ มี ๓ ประการ เรียกวา หัวใจพระพุทธศาสนา คอื การไม ทําบาปทงั้ ปวง การทํากศุ ลใหถ งึ พรอม และการทําจติ ใจใหบ ริสุทธิ์ ธรรมคณุ หมายถึง คณุ ของพระธรรม มี ๖ ประการ คือ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 245

246 ¤Ù‹ÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ๑. สฺวากฺขาโต ภควตา ธมโฺ ม พระธรรมเปนธรรมทีพ่ ระผูม ีพระภาคเจา ตรัส ไวดแี ลว ๒. สนทฺ ฏิ  โิ ก เปน สง่ิ ทผ่ี ศู ึกษาและปฏิบัตพิ งึ เห็นไดดว ยตนเอง ๓. อกาลโิ ก เปนสิ่งที่ปฏิบตั ิไดและใหผลไมไ ดจ ํากดั กาล ๔. เอหปิ สสฺ ิโก เปนส่ิงทคี่ วรกลาวกับผูอน่ื วาทานจงมาดูเถิด ๕. โอปนยโิ ก เปน สงิ่ ท่ีควรนอมเขาใสต น ๖. ปจฺจตฺตํ เวทติ พโฺ พ วิ ฺ ูหิ เปนส่ิงท่ผี ูรูก ร็ ูไดเฉพาะตน พระสงฆ หมายถงึ สาวกของพระพทุ ธเจา ซงึ่ เปน ผปู ระพฤตดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบตาม หลกั ธรรมคาํ สอนของพระพทุ ธเจา สาวกของพระพุทธเจา หมายถึง พุทธบริษทั ๔ คือ ภกิ ษุ ภกิ ษณุ ี อุบาสก อุบาสิกา ผูยอมรับนับถือพระรัตนตรัยวาเปนท่ีพึ่งที่ระลึก แบงเปน ๒ กลุม คือ กลุมท่ีไดบรรลุธรรมแลวตั้งแตพระโสดาบันข้ึนไป เรียกวา อริยสาวก มีท้ังบรรพชิต และคฤหัสถ และกลุม ทย่ี ังไมไ ดบรรลุธรรม เรียกวา สาวกผูเ ปนปถุ ุชน คาํ วา สงั ฆะ แปลวา กลุม หรือหมู หมายถงึ กลมุ หรือหมพู ระสงฆ ท่มี ธี รรมะ เปนเครื่องอยูรวมกัน มีศีลและทิฏฐิเสมอกัน ไมขัดแยงกัน เปนไปในทางเดียวกัน สมดังทพี่ ระพุทธเจาตรสั ไววา “ดูกอนอานนท เธอจะสําคัญความขอน้ันเปนไฉน ธรรมเหลาใดที่เราแสดง แลวเพือ่ ความรูย่งิ สาํ หรบั เธอทงั้ หลาย คือ สติปฏ ฐาน ๔, สัมมัปปธาน ๔, อิทธบิ าท ๔, อนิ ทรีย ๕, พละ ๕, โพชฌงค ๗ และอรยิ มรรคมอี งค ๘ ดูกอนอานนท เธอจะไมเ หน็ ภิกษุแมส องรปู มีวาทะตา งกนั ในธรรมเหลา นี้เลย” สงั ฆคุณ หมายถึง คุณของพระสงฆ มี ๙ ประการ คอื ๑. สปุ ฏิปนโฺ น เปน ผูปฏบิ ตั ิดี ๒. อชุ ปุ ฏิปนโฺ น เปน ผูปฏิบัตติ รง ๓. ญายปฏิปนฺโน เปน ผปู ฏบิ ัตเิ พือ่ รูธรรมเปน เครอื่ งออกจากทุกข ๔. สามจี ปิ ฏินฺโน เปนผูป ฏบิ ตั ิสมควร ๕. อาหุเนยโฺ ย เปน ผูค วรแกส ่งิ ของที่เขานํามาบูชา ๖. ปาหเุ นยโฺ ย เปน ผูควรแกส ่ิงของทเ่ี ขาจัดไวต อ นรับ ๗. ทกฺขิณยโฺ ย เปน ผูค วรรับทักษณิ าทาน 246

ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 247 ๘. อชฺ ลกิ รณีโย เปน ผูท่บี ุคคลท่วั ไปควรทาํ อญั ชลี ๙. อนตุ ฺตรํ ปุ ฺ กเฺ ขตฺตํ โลกสฺส เปน เนอื้ นาบญุ ของโลก ไมม นี าบญุ อนื่ ยงิ่ กวา ๓. ความเปนหน่งึ แหงพระรตั นตรัย พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ ท้ัง ๓ นี้ แยกจาก กันไมได เพราะมีความสัมพันธเกี่ยวเนื่องกัน เมื่อมีพระพุทธเจา ก็ตองมีพระธรรม เพราะพระธรรมเปนผลแหงการตรัสรูของพระพุทธเจา และเม่ือมีพระพุทธเจาและ พระธรรม ก็ตองมีพระสงฆ เพราะพระสงฆเปนผูรับพระธรรมมาประพฤติปฏิบัติและ นําไปประกาศเผยแผ และยังเปนผูยืนยันหรือเปนพยานวาพระพุทธเจาและพระธรรม มีอยูจริงดังคําอุปมาของพระอรรถกถาจารย ที่กลาวถึงความเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน ของพระรตั นตรยั ไวดงั นี้ พระพุทธเจาเปรียบเหมือนดวงจันทร พระธรรมเปรียบเหมือนกลุมรัศมีของ ดวงจันทรที่มีความสวางและเย็นตาเย็นใจ พระสงฆเปรียบเหมือนสัตวโลกท่ีไดรับ ประโยชนจากดวงจนั ทรและแสงจันทร พระพทุ ธเจา เปรยี บเหมอื นดวงอาทติ ย พระธรรมเปรยี บเหมอื นแสงสวา งและ ความรอนของดวงอาทิตย พระสงฆเปรียบเหมือนสัตวโลกท่ีไดรับแสงสวางและไออุน จากดวงอาทติ ย พระพทุ ธเจา เปรยี บเหมอื นกอ นเมฆ พระธรรมเปรยี บเหมอื นนาํ้ ฝนทเี่ กดิ จาก กอนเมฆ พระสงฆเปรียบเหมอื นนํ้าฝนท่ีเกดิ จากกอนเมฆ พระสงฆเปรยี บเหมอื นโลก พรอ มทัง้ แมกไมตลอดถงึ กอหญาทีไ่ ดรับความชมุ ช้นื จากน้าํ ฝน พระพุทธเจาเปรียบเหมือนสารถีผูชาญฉลาด พระธรรมเปรียบเหมือนอุบาย วิธีสาํ หรบั ฝก มา พระสงฆเ ปรียบเหมอื นมาทไี่ ดรับการฝกหัดไวดีแลว พระพทุ ธเจา เปรยี บเหมอื นผชู ท้ี าง พระธรรมเปรยี บเหมอื นหนทางทถ่ี กู ทตี่ รง และมีความปลอดภัย พระสงฆเ ปรียบเหมอื นคนเดนิ ทางไปสทู ่หี มาย พระพุทธเจาเปรียบเหมือนผูช้ีขุมทรัพย พระธรรมเปรียบเหมือนขุมทรัพย พระสงฆเปรียบเหมือนคนท่ีไดน าํ ทรัพยนัน้ ไปใชใหม คี วามสุข คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 247

248 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªé¹Ñ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ๔. พระรตั นตรยั เปน สรณะทป่ี ลอดภยั พระรัตนตรัย คอื พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ เปน สรณะที่ปลอดภยั เปน สรณะทป่ี ระเสรฐิ ไมม สี รณะอนื่ ใดทจ่ี ะปลอดภยั หรอื ประเสรฐิ ยง่ิ กวา ผทู ม่ี จี ติ ศรทั ธา เลือ่ มใสและเคารพนบั ถอื บชู า เชอ่ื มั่นใน พระรัตนตรัย รกั ษาพระรัตนตรยั ไวด ว ยชีวิต ไมย อมใหไ ตรสรณคมนข าด ยอ มไดร บั ผลคอื ไดท พ่ี งึ่ อนั ปลอดภยั และไดท พี่ งึ อนั สงู สดุ ดงั ที่พระพุทธเจาตรัสไววา ชนเหลา ใดเหลา หนงึ่ ถงึ พระพทุ ธเจา เปน สรณะทพ่ี งึ่ ทร่ี ะลกึ ชนเหลา นนั้ ละกาย มนุษยไ ปแลว จักไมไปสอู บายภมู ิ จักไดไปเกดิ ในสวรรค บคุ คลใดถงึ พระพทุ ธเจา พระธรรม และพระสงฆ เปน สรณะแลว เหน็ อรยิ สจั ๔ คอื เหน็ ทกุ ข เหน็ เหตใุ หท กุ ขเ กดิ เหน็ ความดบั ทกุ ข และเหน็ มรรคมอี งค ๘ อนั ประเสรฐิ ซงึ่ เปนหนทางนําไปสูความดบั ทกุ ข ดวยปญ ญาอันชอบแลว สรณะของบคุ คลน้นั เปน สรณะทป่ี ลอดภยั เปน สรณะอันสงู สดุ เขาอาศัยสรณะนั้นแลว ยอ มพนจากความทุกข ท้งั ปวงได จากพระพทุ ธพจนน ้ี เปน เครอื่ งยนื ยนั ไดว า พระรตั นตรยั เปน สรณะทป่ี ลอดภยั เปนสรณะอนั สูงสุด ของสัตวทัง้ หลาย ส่ิงอ่ืน ๆ เชน ภเู ขา ตนไม ปาไม เทพเจา เปนตน ไมใชส รณะอนั ปลอดภยั ไมใ ชส รณะ อนั สงู สดุ เพราะผทู ถ่ี ึงสงิ่ เหลานัน้ เปน สรณะแลว ยอ มพน จากทุกขไ มได การทบ่ี คุ คลไดพบพระรัตนตรยั อนั เปนสรณะทปี่ ลอดภยั เปน สรณะทส่ี ูงสุด สามารถดบั ทกุ ขไ ดจ รงิ แตไ มย อมรบั นบั ถอื ไมป ฏบิ ตั ติ ามพระธรรมคาํ สง่ั สอน กเ็ ทา กบั เปนผูปฏิเสธสิริคือบุญท่ีมาถึงตน ดังที่ พระมหาปญถกเถระ กลาวไววา ผูที่ไดพบ พระพทุ ธเจา แลว ปลอ ยโอกาสนนั้ ใหผ า นไปโดยไมส นใจศกึ ษา และไมป ฏบิ ตั ติ ามโอวาท ของพระองค ผูนั้นเปนคนไมมีบุญ เหมือนกับคนท่ีใชมือและเทาปดสิริคือบุญที่มาถึง ตนออกไปเสยี ๕. การเขา ไปหาพระรตั นตรัย การเขา ไปหาพระรัตนตรัยดวยจิตที่เปนกุศลยอมไดร บั ผลบญุ แตการเขาไป หาพระรัตนตรัยดวยจิตที่เปนอกุศลยอมไดรับผลเปนบาป ดังเชน มารไดเขาไปหา พระพุทธเจาดวยจิตท่ีเปนอกุศลหลายครั้ง เชน ในครั้งเสด็จออกผนวชก็ไปหามวา จักรรัตนะจะเกิดข้ึนแกพระองคภายใน ๗ วัน พระองคจะไดเปนพระเจาจักรพรรดิ 248

ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÑÂ) 249 พระองคจ ะเสด็จออกผนวชเพ่ืออะไร และในครง้ั ท่ีไดตรสั รแู ลว กไ็ ดท ลู ขอใหพระพุทธ องคเสด็จดับขันธปรินิพพาน แตพระพุทธองคทรงหามปราบมารน้ัน ดังความในมหา ปรินพิ พานสูตรวา มารผมู ีบาป บรษิ ทั ๔ คือ ภกิ ษุ ภิกษณุ ี อุบาสก อุบาสิกา ผเู ปนสาวกและ สาวิกาของเรา จักเปนผูฉลาดไดรับแนะนําดี แกลวกลา เปนพหูสูต ทรงธรรม ปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแกธ รรม เปน ผปู ฏบิ ตั ชิ อบ ประพฤตติ ามธรรม เรยี นกบั อาจารยข อง ตนสาํ เรจ็ แลว จกั บอกแสดง บญั ญตั ิ แตง ตง้ั เปด เผย จาํ แนก กระทาํ ใหต นื้ ใหเ ขา ใจงา ย แสดงธรรมมปี าฏหิ ารยิ  ขม ขปี่ รปั ปวาททเี่ กดิ ขน้ึ ใหเ รยี บรอ ยโดยสหธรรม ยงั ไมไ ดเ พยี งใด เราจะไมป รนิ พิ พานเพยี งนนั้ มารผมู บี าป พรหมจรรยค อื พระพทุ ธศาสนานข้ี องเรา จกั ยงั ไมบ รบิ รู ณ กวา งขวาง แพรห ลาย เปน ทร่ี เู ขา ใจโดยทว่ั กนั เปน ปก แผน จนถงึ พวกเทวดา และมนุษยประกาศไดด ีแลว ยงั ไมไ ดเพียงใด เราจะไมปรนิ พิ พาน เพียงนนั้ โดยพระยามารติดตามรังควานท้ังพระศาสดา และพระสาวกมาตลอดเวลา แมแ ตพ ระมหาโมคคลั ลานะเถระกถ็ กู รังควานดวย ครัง้ หนงึ่ พระเถระกลาวกบั มารวา ไฟไมไดตดิ เพอ่ื จะเผาไหมค นโง คนโงต างหากทีเ่ ขา ไปหาไฟท่ีกาํ ลังลุกโชน เขาเขา ไปหา ไฟใหเผาไหมตัวเขาเอง ดกู อนมารผมู ีบาป ไฉนทานจึงเขาไปหาพระตถาคต เหมือนคน โงเขาไปหาไฟเลา คนโงเ ขา ไปหาพระตถาคต แทนท่จี ะไดบุญกลบั ไดบ าป ซํ้ายังสาํ คญั ผิดวา ไมเ หน็ จะเปน บาปอะไร สรณะ สรณะ แปลวา ทีพ่ ึง่ ท่ีระลึก มีความหมายหลายอยาง ดงั นี้ ๑. สรณะ หมายถงึ “เปน เครอ่ื งเบยี ดเบยี น กาํ จดั นาํ ออก ยา่ํ ย”ี ซง่ึ โทษคอื ภยั ความกลวั ความสะดงุ ความทกุ ข ทคุ ติ และกเิ ลส เมอื่ มพี ระรตั นตรยั สถติ อยใู นใจแลว ความกลัว ความสะดุง ความไมส บายใจ ทคุ ติ และกิเลสก็จะถูกกาํ จัดหรอื ถกู ทําลาย หมดสิ้นไป ๒. สรณะ หมายถึง “เปน ทีอ่ าศยั ไป” ปกตใิ จของมนษุ ยน ัน้ มสี ่งิ ท่เี กิดกับใจ อาศยั อยูไดเพยี งอยา งเดียว ถากเิ ลสอยูในใจ พระรตั นตรยั ก็ไมอ ยู ถาพระรัตนตรยั อยู ในใจ กเิ ลสก็ไมอยู เพราะพระรัตนตรัยกบั กิเลสหรือความชั่วนั้น เหมือนความสวางกบั ความมืด เมื่อมีความสวางก็ไมมีความมืด ผูที่มีพระรัตนตรัยสถิตอยูในใจ จะไปไหน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 249

250 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªéѹⷠคมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ก็มีพระรัตนตรยั ไปดว ย พระรัตนตรยั จงึ ไดช อ่ื วา “เปน ที่อาศัยไป” ๓. สรณะ หมายถงึ “เปน ทร่ี ะลกึ ” เมอ่ื ใจมพี ระรตั นตรยั แลว ใจกร็ ะลกึ คดิ ถงึ แต พระรตั นตรยั ในขณะใดทใี่ จระลกึ คดิ ถงึ พระรตั นตรยั ปต ปิ ราโมทยก เ็ กดิ ขนึ้ ความกลวั ความสะดงุ ทกุ ข ทุคติ กเิ ลส ก็จะหายไป พระรัตนตรยั จงึ ไดช ่อื วา “เปนท่ีระลึก” ๔. สรณะ หมายถงึ “เปนท่พี ึ่งและกาํ จดั ภัยไดจ รงิ ” เม่ือมีพระรตั นตรัยเปน ทร่ี ะลกึ ก็ชื่อวา มีทีพ่ ง่ึ ทุกขภ ัยตา ง ๆ กห็ มดไปดวยอํานาจพระรัตนตรัยนน้ั จึงไดช ่อื วา “เปน ท่ีพ่งึ และกําจดั ภัยไดจ รงิ ” พระพุทธเจา ชื่อวา สรณะ เพราะเปนผูกําจัดภัยของสัตวท้ังหลาย ดวยการนําออกจากส่ิงที่เปนโทษภัย ซ่ึงไมเปนประโยชน แลวนําไปใหถึงส่ิงที่เปนคุณ ซ่งึ เกิดประโยชน พระธรรม ชอื่ วา สรณะ เพราะทรงไวห รอื รกั ษาผปู ฏบิ ตั ติ ามไมใ หต กไปในทชี่ ว่ั หรอื อบายภูมิทั้ง ๔ คอื นรก เปรต อสรุ กาย และสัตวเดยี รัจฉาน ทําใหผูปฏบิ ัตติ าม ไดรับความสขุ บรรลุถึงแดนอันเกษมกลา วคอื พระนพิ พาน พระสงฆ ชอื่ วา สรณะ เพราะเปน เนอื้ นาบญุ ของโลก ไมม เี นอื้ นาบญุ อน่ื ยง่ิ กวา หมายความวา พระสงฆผูประพฤติดีปฏิบัติชอบท่ีเรียกวาอริยสงฆน้ัน เปนเนื้อนาบุญ ของโลกท่ีดที ี่สดุ การไดถวายทานแกพ ระอรยิ สงฆน ัน้ ยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก ไตรสรณคมน ไตรสรณคมน แปลวา การถึงพระรัตนตรัยวาเปนที่พึ่ง ท่ีระลึก แยกออก เปน ๓ ศัพท คือ ไตร แปลวา สาม สรณะ แปลวา ที่พงึ่ ทร่ี ะลกึ คมน แปลวา การถึง ความเขา ถึง การยอมรับนับถือพระรัตนตรัย ความมีศรัทธาเล่ือมใสในพระรัตนตรัย แลว ขอถึงหรือปฏิญาณตนวาจะขอนอมนําพระรัตนตรัยเทานั้นมาเปนที่พ่ึง ที่ระลึก เพอ่ื ยดึ ถือเปนแบบอยา งในการดาํ เนินชีวิต เรียกวา ไตรสรณคมน การถงึ ไตรสรณคมนหรือการเขา ถึงพระรตั นตรัยนน้ั มวี ธิ ีการเขาถงึ ดงั นี้ ๑. วิธีสมาทาน คือ เจตนาท่ีตั้งไวลวงหนาวาจะยอมรับนับถือพระรัตนตรัย วาเปน ท่ีพ่งึ ท่รี ะลึก โดยการสมาทานขอยอมรบั นับถอื พระรตั นะ จํานวน ๒ รัตนะกม็ ี ๓ รัตนะกม็ ี ดังตวั อยางตอไปนี้ 250

ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÑÂ) 251 ผยู อมรับนับถอื พระรตั นตรัยเพยี ง ๒ รตั นะ คือ พาณิชสองพีน่ อ ง นามวา ตปุสสะ และภัลลิกะ ไดเปลงวาจาขอถึง ๒ รัตนะ คือ พระพุทธเจา และพระธรรม วา เปนสรณะ ดังน้ี “เอเต มยํ ภนฺเต ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมฺจ อุปาสเก โน ภควา ธาเรตุ อชฺชตคฺเค ปาณเุ ปเต สรณํ คเต” แปลวา “ขาแตพ ระองคผ เู จรญิ ขาพระองค ทงั้ สองน้ีขอถึงพระผูมีพระภาคเจา และพระธรรมวาเปน สรณะ ขอพระผูม พี ระภาคเจา จงทรงจาํ ขา พระองคท้งั สองวาเปน อบุ าสกผูถงึ สรณะดวยชีวิต ตั้งแตบ ดั น้เี ปนตนไป” ผยู อมรับนบั ถือพระรตั นครบ ๓ รัตนะเปน คนแรก คือ เศรษฐผี เู ปน บิดาของ พระยสเถระ ทไ่ี ดเ ปลง วาจาถึงพระรัตนตรยั คอื พระพทุ ธเจา พระธรรม และพระสงฆ วาเปนสรณะ ซง่ึ วิธสี มาทานหรือเปลงวาจาถึงพระรตั นตรัยนี้ ไดใชมาถึงปจ จบุ ัน เรยี ก วาการแสดงตนเปนพทุ ธมามกะ มีคาํ กลา วแสดงตน ดงั น้ี “เอเต มยํ ภนฺเต สุจิรปรินิพฺพุตมฺป ตํ ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉาม ธมฺมฺจ ภิกขฺ ุสงฆฺ จฺ พุทฺธมามกาติ โน สงโฺ ฆ ธาเรต”ุ แปลวา “ขาแตพระสงฆผ ูเ จริญ ขาพเจา ทั้งหลาย ขอถึงซึ่งพระผูมีพระภาคเจาพระองคน้ัน แมปรินิพพานนานแลวพรอมดวย พระธรรมและพระสงฆ วาเปนท่ีพึ่ง ท่ีระลึก ขอพระสงฆจงจําขาพเจาท้ังหลายไววา เปน พทุ ธมามกะ ผยู อมรบั นบั ถอื พระรัตนตรัยเปน ทพ่ี งึ่ ตั้งแตบ ัดนี้เปนตนไป” ๒. วธิ ีมอบตนเปน สาวก คอื การมอบตนเองเปนพทุ ธสาวก เชน พระมหา กัสสปเถระ คร้ังยังเปนปปผลิมาณพ ออกบวชอุทิศพระอรหันตทั้งหลายท่ีมีอยูในโลก ไดไปพบพระสมั มาสมั พุทธเจา ประทับนงั่ สมาธอิ ยทู โี่ คนตนพหุปตุ ตนิโครธ ในระหวา ง ทางจากเมืองราชคฤหไ ปเมอื งนาลนั ทา เขา ใจวา เปน พระอรหันต จึงนอ มกายเขาไปเฝา ดวยความเคารพอยางยิง่ แลวเปลงวาจามอบตนเปนสาวกวา “สตฺถา เม ภนฺเต ภควา สาวโกหมสฺมิ” แปลวา “ขาแตพระองคผูเจริญ พระผูมีพระภาคเจา เปนศาสดาของขา พระองค ขา พระองคเปน สาวก” ๓. วิธีนอบนอมเล่ือมใสในพระพุทธเจา คือ การแสดงความเคารพนอมใจ เล่ือมใส ศรัทธา เชน พรหมายุพราหมณ ในพรหมมายุสูตร มัชฌิมนิกาย กลาววา พรหมายพุ ราหมณ เปน พราหมณผ ใู หญ เช่ียวชาญไตรเวทท รูจ ักศาสตรวา ดว ยคดโี ลก คือ เร่ืองราวทางโลก และมหาปุริสลักษณะ คือ วิธีดูลักษณะของมหาบุรุษ ไดยิน กิตติศัพทว า พระพุทธเจา ทรงมีมหาปุรสิ ลกั ษณะครบ ๓๒ ประการ จงึ สงอตุ ตรมาณพ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 251

252 ¤Á‹Ù Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ผูเปนศิษยเอกไปพิสูจนความจริง อุตตรมาณพรับคําของอาจารยแลวเขาไปเฝา พระพุทธเจา ไดเห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และพระอิริยาบถท้ังปวงของ พระพทุ ธเจา แลว จึงกลบั ไปแจง ใหอ าจารยท ราบ พรหมายุพราหมณเ กดิ ความเลอื่ มใส ในพระพุทธเจา จงึ ไดล กุ ข้ึนหมผา เฉวยี งบา ผนิ หนา ไปทางทศิ ทพี่ ระพุทธเจา ประทับอยู ประณมมอื เปลงวาจาวา นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทธฺ สฺส นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ุทธฺ สฺส นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทฺธสสฺ แปลวา “ขาพเจา ขอนอบนอ มแดพ ระผมู ีพระภาค อรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา พระองคน้ัน” ๔. วธิ ีมอบตน คอื การมอบกายถวายชีวติ เพือ่ ทําความดี เชน พระโยคีผูมี ศรทั ธาขวนขวายในการเจรญิ กรรมฐาน กอ นแตจ ะสมาทานกรรมฐาน ตอ งกลา วคาํ มอบ ตนตอ พระผมู พี ระภาคเจา วา “อมิ าหํ ภนเฺ ต ภควา อตตฺ ภาวํ ตมุ หฺ ากํ ปรจิ จฺ ชาม”ิ แปลวา “ขา แตพ ระผมู พี ระภาคเจา ผเู จรญิ ขา พระองค ขอมอบกายถวายชวี ติ นแ้ี กพ ระพทุ ธองค” ซ่ึงวิธมี อบตนเชนน้ี ปจจุบันนิยมใชใ นการเขาปฏบิ ัตกิ รรมฐาน ๕. วิธีปฏิบัตหิ นาทขี่ องพุทธบรษิ ัท คือ การประพฤติปฏบิ ัตดิ วยปฏิบัติบชู า หมายถึง การบูชาพระพุทธเจาดวยการประพฤติปฏิบัติตามคําสั่งสอนของพระองค เพอื่ กาํ จดั กเิ ลสและบรรลมุ รรคผลนพิ พาน ปฏบิ ตั บิ ชู านี้ จดั เปน วธิ ถี งึ สรณคมนข น้ั สงู สดุ ไตรสรณคมนข าด ไตรสรณคมนขาด หมายถึง การขาดจากพระรัตนตรยั บคุ คลจะไดช่ือวาขาด จากพระรัตนตรัย หรอื พระรัตนตรยั ขาดจากบคุ คลนนั้ มเี หตุ ๓ ประการ คอื ๑. ตาย บุคคลที่ตายแลวถือวาไตรสรณคมนขาด เปนการขาดจาก พระรัตนตรัยท่ไี มมีโทษ ไมเปนเหตใุ หไปสูอ บาย ๒. ทํารายพระศาสดา บุคคลผูทํารายพระศาสดาถือวาไตรสรณคมนขาด เปน อนันตริยกรรม เปนเหตใุ หไปสอู บายเหมือนพระเทวทัตทาํ รา ยพระศาสดาดวยการ สั่งนายขมังธนูไปลอบปลงพระชนม กล้ิงศิลาหวังจะใหทับ ปลอยชางนาฬาคีรีหวังจะ ใหไปทําราย จัดเปนการขาดสรณคมนที่มีโทษมาก เพราะเห็นเหตุทําใหพระเทวทัตไป ตกนรกอเวจี 252

ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÂÑ ) 253 ๓. นบั ถอื ศาสนาอนื่ บคุ คลทหี่ นั ไปนบั ถอื ศาสดาอน่ื แลว ถอื วา ไตรสรณคมน ขาด เพราะไปนบั ถอื ศาสดาอนื่ เนอ่ื งจากการถงึ ไตรสรณคมนน นั้ เปน การยอมรบั นบั ถอื พระรัตนตรัยวาเปนท่ีพึ่งท่ีระลึกของตน เมื่อหันไปนับถือศาสดาอื่นหรือศาสนาอื่น กเ็ ทา กบั ปฏเิ สธศาสดาหรอื ศาสนาของตน ไตรสรณคมนขาด จะเกิดข้ึนไดเฉพาะในปุถุชนเทาน้ัน สวนพระอริยบุคคล ไตรสรณคมนจะไมขาด เพราะพระอริยบุคคลเปนผูมีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย ดงั เร่อื งนายสปุ ปพทุ ธกุฏฐิ ผมู ีความเล่ือมใสในศรัทธาม่นั คงในพระรตั นตรัย ดังนี้ วันหนึ่ง พระพุทธเจาทรงแสดงธรรมแกพุทธบริษัทในพระวิหารเวฬุวัน นายสปุ ปพทุ ธะ ซง่ึ เปน โรคเรอื้ น ยากจนเขญ็ ใจ ไดไ ปฟง ธรรม นงั่ อยขู า งทา ยของบรษิ ทั สี่ เขาไดบรรลุเปนพระโสดาบัน ประสงคจะกราบทูลการบรรลุธรรมใหพระพุทธเจา ทรงทราบ แตไมมีโอกาส เพราะบริษัทมีจํานวนหนาแนนมาก จึงกลับไปที่อยูของตน คร้ันบริษัทกลับไปหมดแลว เขาจึงไดมาเฝาพระพุทธเจาอีกคร้ัง ทาวสักกะเทวราช ทราบเชนน้ัน ตองการจะทดลองศรัทธาของเขา จึงไดเสด็จลงมาตรัสกับเขาวา “สปุ ปพทุ ธะทา นเปน คน ขดั สน ทา นจงกลา วคาํ วา พระพทุ ธเจา ไมใ ชพ ระพทุ ธเจา ทแ่ี ทจ รงิ พระธรรมไมใชพระธรรมที่แทจริง พระสงฆไมใชพระสงฆท่ีแทจริง พอกันทีกับ พระพุทธเจา พระธรรม และพระสงฆ เมื่อทานกลาวอยางน้ี เราจะใหทรัพยมากมาย นับประมาณไมไ ดแ กท าน” นายสปุ ปพทุ ธะถามวา ทา นเปน ใครทา วสกั กะตอบวา เราเปน ทา วสกั กะจอมเทพ นายสุปปพุทธะกลาววา ทานทาวสักกะผูไมมีหิริ ตามท่ีทานพูดวา ขาพเจาเปนคน ขัดสน ยากจน แตขาพเจา ไมไ ดขัดสนจนธรรม ไมไ ดจ นความสขุ เลย ทา นไมสมควร จะพูดเชนนี้กับขาพเจา คนมีอริยทรัพยสามารถมีความสุขไดในสภาพที่คนอื่นเขารูสึก เปนทุกข ทาวสักกะเม่ือไมอาจจะใหนายสุปปพุทธะพูดอยางนั้นได จึงเสด็จไปเขาเฝา พระพทุ ธเจา กราบทลู ถอ ยคาํ ทโี่ ตต อบกนั ใหพ ระพทุ ธเจา ทรงทราบ พระพทุ ธเจา ตรสั วา ทาวสักกะ บุคคลเชนกับพระองคเปนจํานวนรอยหรือจํานวนพัน ก็ไมสามารถจะให สปุ ปพทุ ธะพดู คําวา พระพุทธเจา ไมใชพ ระพุทธเจา พระธรรมไมใชพระธรรม พระสงฆ ไมใ ชพ ระสงฆ เรอ่ื งน้ีแสดงใหเ หน็ วา ผูบรรลุสจั จะเปน พระอริยบคุ คลแลว จะไมย อมละทิ้ง พระรตั นตรยั เพราะเหตแุ หง ทรพั ย อวยั วะ และแมแ ตช วี ติ อยา งแนน อน เปน ผมู ศี รทั ธา ไมคลอนแคลน ไมห วนั่ ไหวในพระรตั นตรยั คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 253

254 ¤Á‹Ù Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªéѹⷠคมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ไตรสรณคมนเศรา หมอง ไตรสรณคมนเศราหมอง หมายถึง มีการประพฤติตนที่ไมเหมาะสมตอ พระรตั นตรัยดว ยความไมร จู รงิ แบบผดิ ๆ ดว ยความสงสัย และดว ยความไมเอ้ือเฟอ ในพระรตั นตรยั แมไ ตรสรณคมนไ มข าด แตก เ็ ปน เหตใุ หไ ตรสรณคมนเ ศรา หมอง ดงั น้ี ความไมร ู คอื การไมศ กึ ษาเลา เรยี นพระธรรมวนิ ยั ใหร แู จง เหน็ จรงิ การปฏบิ ตั ิ แบบคดิ เองและการนําไปสอนคนอนื่ โดยไมถกู ตอ งตามพระธรรมวินยั ความรแู บบผดิ ๆ คอื การเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรม แตไ มย ดึ ตามหลกั พระไตรปฎ ก ตคี วามเอาตามความพอใจของตนแลว นําไปสอนคนอน่ื ความสงสยั คอื ความสงสยั ในเรือ่ งตาง ๆ ทเี่ ก่ียวกับพระพทุ ธศาสนา เชน สงสยั วาพระพทุ ธเจา ตรสั รจู รงิ หรอื ไม พระธรรมใหผลจรงิ หรือไม พระสงฆป ฏิบตั ิชอบ จริงหรือไม ทําบุญทําบาปแลวมีผลจริงหรือไม ชาติหนา นรก สวรรค มีจริงหรือไม เปนตน ความไมเอื้อเฟอ คือ การไมเคารพ ไมใหความสําคัญตอพระรัตนตรัย ไมเคารพพระพุทธเจา เชน ตเิ ตยี นพระพุทธเจา ลักขโมยพระพุทธรปู เหยียบยํ่าทําลาย พระพุทธรูป เปนตน ไมเคารพพระธรรม เชน คัดคานหลักธรรมคําสอน เหยียบย่ํา ทําลายหนังสือธรรมะ หรือส่ิงอื่นใดที่จารึกพระธรรม และไมเคารพพระสงฆ เชน ดาวาพระสงฆ ยุยงใหพระสงฆแตกกัน ไมทําบุญกับพระสงฆ และขัดขวางผูอื่น ไมใ หท ําบญุ กบั พระสงฆ เปนตน ประโยคของการลว งละเมิดสกิ ขาบท การลวงละเมิดสกิ ขาบท มปี ระโยค ๒ ประการ คอื ๑. สาหัตถิกประโยค คือ การลว งละเมิดโดยการกระทาํ ดว ยตนเอง เปน ไป ในสิกขาบทท้ัง ๘ ขอ ๒. อาณัตตกิ ประโยค คือ การลว งละเมิดโดยการสง่ั หรอื ใชใหค นอน่ื กระทํา เปนไปในสกิ ขาบท ขอ ที่ ๑ และขอ ที่ ๒ เทา น้ัน 254

ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÑÂ) 255 โทษของการลวงละเมิดสกิ ขาบท การลวงละเมดิ สกิ ขาบท มีโทษ ๒ ประเภท คอื ๑. โลกวชั ชะ คอื โทษทางโลก ขอ เสยี หายทชี่ าวโลกตเิ ตยี น เปน ไปในสกิ ขาบท ขอ ท่ี ๑ – ๕ ใครลวงละเมดิ คงเปน โทษแกผนู น้ั เพราะถา ใคร ๆ จะรักษาหรอื ไมร ักษา กต็ าม เมือ่ ลวงละเมิดแลว คงเปนโทษแกผ ูน ัน้ ๒. ปณณตั ิกวัชชะ คอื โทษตามท่ีพระพุทธทรงบัญญัติ เปนไปในสกิ ขาบท ขอ ท่ี ๖ – ๘ ถา ผมู จี ติ หยาบกระดา ง ฝา ฝน ลว งละเมดิ จงึ เปน โทษ ถา ไมแ กลง ลว งละเมดิ กไ็ มมีโทษ เวรของการลว งละเมดิ สกิ ขาบท การลว งละเมดิ สกิ ขาบทมีท้งั เปน เวรและไมเปนเวร ดงั น้ี ๑. การลวงละเมิดสิกขาบทท่ีเปนเวร ไดแก การลวงละเมิดสิกขาบทขอท่ี ๑ – ๕ เพราะผลู ว งละเมิดเกย่ี วขอ งกับผอู ่ืน ๒. การลว งละเมิดสกิ ขาบททไี่ มเปนเวร ไดแก การลวงละเมินสกิ ขาบทขอ ท่ี ๖ – ๘ เพราะผลู วงละเมดิ ไมไ ดเกยี่ วขอ งกบั ผูอ น่ื เปน การลว งละเมิดเฉพาะตัว อุโบสถสูตร สมัยหน่ึง พระผูมีพระภาคเจาประทับอยู ณ ปราสาทของมิคารมารดา ในบุพพาราม ใกลพระนครสาวัตถี ตรัสวา ดูกรนางวิสาขา พระอริยสาวกน้ันยอม พิจารณาเห็นดงั น้วี า พระอรหันตท้ังหลาย ละการฆาสัตว เวนขาดจากการฆาสัตว วางทัณฑะ วางศาสตราแลว มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชนแก สรรพสัตวอยูตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งน้ีในวันนี้ แมดวยองคเชนน้ี เราก็ชื่อวาได ทําตามพระอรหันตทง้ั หลาย ทงั้ อุโบสถกจ็ ักเปน อนั เราเขาอยูจําแลว พระอรหนั ตท ้ังหลาย ละการลักทรัพย เวน ขาดจากการลกั ทรพั ย รับแตของ ที่เขาให ตอ งการแตข องท่เี ขาให ไมป ระพฤตติ นเปน คนขโมย เปนผสู ะอาดตลอดชีวติ แมเ รากล็ ะการลกั ทรพั ย เวน ขาดจากการลกั ทรพั ย รบั แตข องทเี่ ขาให ตอ งการแตข องท่ี คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 255

256 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªé¹Ñ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท เขาให ไมป ระพฤติตนเปนคนขโมย เปน ผสู ะอาดอยตู ลอดคนื หนง่ึ กบั วันหนึ่งนใ้ี นวนั น้ี แมดวยองคอันนี้ เราก็ช่ือวาไดทําตามพระอรหันตท้ังหลาย ทั้งอุโบสถก็จักเปนอันเรา เขา อยูจาํ แลว พระอรหันตท้ังหลาย ละกรรมอันเปนขาศึกแกพรหมจรรย ประพฤติ พรหมจรรย ประพฤติหางไกลจากกาม เวนขาดจากเมถุนอันเปนเร่ืองของชาวบาน ตลอดชีวิต แมเราก็ไดละกรรมอันเปนขาศึกแกพรหมจรรย ประพฤติพรหมจรรย ประพฤติหา งไกลจากกาม เวนขาดจากเมถุนอนั เปนเร่ืองของชาวบานตลอดคืนหน่งึ กับ วนั หนงึ่ นใ้ี นวนั นี้ แมด ว ยองคเ ชน นี้ เรากช็ อื่ วา ไดท าํ ตามพระอรหนั ตท งั้ หลาย ทงั้ อโุ บสถ ก็จักเปนอนั เราเขาอยจู ําแลว พระอรหันตทั้งหลาย ละการพูดเท็จ เวนขาดจากการพูดเท็จ พูดแตคําจริง ดํารงคําสตั ย พูดเปน หลักฐานควรเชอ่ื ได ไมพูดลวงโลกตลอดชีวิต แมเ รากไ็ ดละการ พูดเท็จ เวนขาดจากการพูดเท็จ พูดแตคําจริง ดํารงคําสัตย พูดเปนหลักฐานควร เชอ่ื ได ไมพดู ลวงโลกตลอดคืนหนึ่งกับวนั หนึ่งนี้ในวันน้ี แมด ว ยองคเชนน้ี เราก็ชอื่ วา ไดท าํ ตามพระอรหันตทงั้ หลาย ท้ังอุโบสถก็จกั เปนอนั เราเขาอยูจ ําแลว พระอรหนั ตท งั้ หลาย ละการดมื่ นา้ํ เมาคอื สรุ าและเมรยั อนั เปน ทต่ี ง้ั แหง ความ ประมาท เวนขาดจากการด่ืมนํ้าเมา คือ สุราและเมรัยอันเปนท่ีตั้งแหงความประมาท ตลอดคืนหนง่ึ กับวันหนง่ึ นี้ในวนั น้ี แมดว ยองคเ ชน นี้ เรากช็ ื่อวา ไดท าํ ตามพระอรหันต ทง้ั หลาย ท้งั อุโบสถกจ็ กั เปน อันเราเขาอยจู าํ แลว พระอรหนั ตทง้ั หลาย ฉนั หนเดียว เวนการบริโภคในราตรี งดจากการฉันใน เวลาวกิ าลตลอดชวี ติ แมเ รากบ็ รโิ ภคหนเดยี ว เวน การบรโิ ภคในราตรี งดจากการบรโิ ภค ในเวลาวิกาลตลอดคืนหน่ึงกับวันหนึ่งในวันนี้ แมดวยองคเชนนี้ เราก็ชื่อวาไดทําตาม พระอรหันตท ้ังหลาย ทัง้ อโุ บสถจักเปนอันเราเขา อยจู าํ แลว พระอรหนั ตท ง้ั หลาย เวน ขาดจากฟอ นราํ ขบั รอ งการประโคมดนตรี และการดู การเลน อนั เปน ขา ศกึ แกก ศุ ล เวน จากการทดั ทรงประดบั และตกแตง กายดว ยดอกไมข อง หอมและเครื่องทาผิวตลอดชีวิต แมเรากเ็ วนขาดจากการฟอ นราํ ขับรอง การประโคม ดนตรี และดูการเลนอันเปนขาศึกแกกุศล เวนจากการทัดทรงประดับตกแตงรางกาย ดวยดอกไมข องหอม และเคร่อื งทาผวิ ตลอดคนื หนึ่งกับวนั หนง่ึ นใ้ี นวันน้ี แมด ว ยองค 256

ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÑÂ) 257 เชนนี้ เราก็ช่อื วา ไดท าํ ตามพระอรหนั ตท้งั หลาย ทัง้ อโุ บสถกจ็ กั เปน อนั เราเขาอยจู ําแลว พระอรหนั ตท ง้ั หลาย ไมน งั่ และนอนบนทนี่ ง่ั ทนี่ อนอนั สงู ใหญ เวน ขาดทน่ี ง่ั ทนี่ อนสงู ใหญ ใชท นี่ อนตา่ํ บนเตยี งบา ง บนเครอ่ื งลาดดว ยหญา บา งตลอดชวี ติ แมเ ราทงั้ หลายกไ็ มน งั่ และนอนบนทนี่ ง่ั ทนี่ อนอนั สงู ใหญ เวน จากทน่ี งั่ ทนี่ อนสงู ใหญ ใชท นี่ อนตาํ่ บนเตยี งบา ง บนเครอ่ื งลาดหญา บา งตลอดคนื หนง่ึ กบั วนั หนง่ึ ในวนั นี้ แมด ว ยองคเ ชน นี้ เรากช็ อ่ื วา ได ทําตามพระอรหนั ตท้ังหลาย ทั้งอโุ บสถกจ็ ักเปน อันเราเขาอยจู ําแลว ดูกรนางวิสาขา อริยอุโบสถเปนเชน นแี้ ล อริยอโุ บสถอันบุคคลถอื ปฏิบัติแลว อยา งนี้ ยอมมผี ลมาก มอี านิสงสม าก มคี วามรงุ เรอื งมาก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 257

258 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ ÊÔ¡¢Òº··Õè ñ »Ò³ÒμÔ»ÒμÒ àÇÃÁ³Õ เจตนางดเวนจากการฆา สตั ว ๑. ความมงุ หมาย พระพทุ ธองคท รงบญั ญตั ศิ ลี ขอ นไี้ ว เพอื่ มงุ ใหม นษุ ยอ บรมจติ ของตนใหค ลาย ความเหีย้ มโหด มีเมตตากรุณาตอกนั และเผือ่ แผแกสัตวท งั้ ปวง ๒. เหตุผล ชวี ติ เปน สมบตั ชิ นิ้ เดยี วทสี่ ตั วม อี ยู และเปน สง่ิ ทม่ี นษุ ยแ ละสตั วท กุ รปู ทกุ นาม หวงแหนท่ีสุด ดังนั้น การกระทําผิดตอสัตว ไมมีส่ิงใดรายแรงย่ิงกวาการทําลายชีวิต ของเรา เพราะเทากบั การทําลายทุกส่ิงทุกอยางทเี่ ขามีอยู การไมฆาสตั วต ดั ชีวิต เทากบั เปนการใหทกุ สง่ิ ทกุ อยาง ทานจงึ เรยี กศลี ขอนีว้ า มหาทาน หมายถึงการใหอ นั ยงิ่ ใหญ การประพฤติเปนคนโหดรายละเมิดศีลขอน้ี ยอมเปนการทําลายมนุษยธรรมในตัวเรา เองดว ย ทัง้ เปน การทําลายความสงบสขุ ของสังคมและประเทศชาติ ๓. ขอ หาม สกิ ขาบทน้ี หามการฆาโดยตรง แตผ รู กั ษาอุโบสถศลี พงึ เวน จากพฤตกิ รรม ทีโ่ หดรา ยดว ย เชน การทาํ รา ยรางกาย การทรกรรม ซงึ่ เปนกริ ิยาเบอื้ งตน ทนี่ าํ ไปสูก าร ฆาชวี ิตสตั ว ความหมายของขอ หา ม ๓ ประการ ดังน้ี การฆา กริ ิยาทฆี่ า หมายถึง การทาํ ชวี ติ สัตวใหต กลวงไป คอื การฆาใหตาย ฆาสัตว หมายถึงมนุษย ท้ังที่อยูในครรภและนอกครรภ และสัตวเดียรัจฉานทุกชนิด การฆานร้ี วมไปถงึ การฆา ตัวเองดว ย ซึ่งถอื วาบาปกรรมมาก การทาํ รายรา งกาย หมายถึง การทําใหร างกายเสียรปู เสียความงาม เจบ็ ปวด หรอื พกิ าร ดวยวธิ ีการตา งๆ เชน ยิง ฟน ทุบ ตี เปน ตน ดวยเจตนามงุ ราย แตไมถงึ ตาย การทรกรรม หมายถงึ การทาํ ใหส ตั วไ ดร บั ความลาํ บาก โดยขาดความเมตตา ปรานี เชน 258

ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (Ç¹Ô ÂÑ ) 259 ๑. การใชง านเกินกาํ ลัง ไมใหไ ดรบั การพกั ผอ นหรอื ไมเ ลย้ี งดูตามควร ๒. การกักขังใหอยูในท่ีคับแคบไมอาจเปล่ียนอิริยาบถได หรือกักขังไวในที่ อันตราย ๓. การนําสัตวไ ปโดยวธิ อี ันทรมาน เชน ลากหรือห้ิวเปด ไก สุกร เอาหัวลง และเอาเทา ชขี้ ึน้ ทําใหสัตวไดร บั ความทกุ ขทรมานอยา งย่งิ ๔. การทรมานสัตวดวยความสนุกสนาน เชน ใชประทัดผูกหางสุนัขแลว จุดไฟ เพ่ือใหสุนัขตกใจและว่ิงสุดชีวิต การใชกอนหินกอนดินขวางปาสัตวเพ่ือความ สนุกของตน เปนตน ๕. การยั่วสัตวใหทํารายกัน เพราะเห็นแกความสนุกสนาน เชน กัดปลา ชนไก เปน ตน การทาํ รา ยรา งกายกด็ ี การทรกรรมกด็ ี จดั เปน อนโุ ลมปาณาตบิ าต หา มไวด ว ย สกิ ขาบทนี้ ๔. หลกั วนิ ิจฉัย การลวงละเมิดสิกขาบทท่ี ๑ ท่ที าํ ใหศีลขาด ประกอบดว ยองค ๕ คอื ๔.๑ ปาโณ สัตวม ีชีวิต ๔.๒ ปาณสฺิตา รูว าสัตวมีชวี ิต ๔.๓ วธกจิตฺตํ จิตคดิ จะฆา ๔.๔ อุปกกฺ โม พยายามฆา ๔.๕ เตน มรณํ สัตวต ายดวยความพยายามนนั้ ๕. โทษของการลวงละเมิด ในคัมภีรช้ันอรรถกถาไดวางหลักวินิจฉัยการฆาวามีโทษมากหรือนอยไว ๔ ประการ ๑. คณุ ฆา สตั วม คี ณุ มากกม็ โี ทษมาก ฆา สตั วม คี ณุ นอ ยหรอื ไมม คี ณุ กม็ โี ทษ นอ ย เชน ฆา พระอรหนั ต มโี ทษมากกวา ฆา ปถุ ชุ น ฆา สตั วช ว ยงานมโี ทษมากกวา ฆา สตั ว ดรุ า ย เปน ตน การฆาบิดามารดา การฆาพระอรหันต มีบาปหนัก เปนอนันตริยกรรม หา มสวรรค หามนพิ พาน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 259

260 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท การฆาคนที่มีคณุ เชน พระอริยบุคคลท่ตี ํา่ กวา พระอรหนั ต หรอื กลั ยาณชน ผรู กั ษาศลี ปฏบิ ตั ธิ รรม หรอื คนทป่ี ระกอบคณุ งามความดตี อ สงั คมกม็ บี าปมาก แตน อ ย กวา การทําอนนั ตริยกรรม การฆา คนทัว่ ไป กม็ บี าปเชนเดียวกนั แตน อ ยกวา การฆาคนที่มคี ณุ แมก ารฆา คนทไี่ รศ ลี ธรรมและเปน ภยั แกค นอนื่ กจ็ ดั วา เปน บาป แตน อ ยกวา การฆาคนทว่ั ไป กลา วโดยสรุปแลว การฆา ลว นเปนบาปทั้งสิ้น ๒. ขนาดกาย สําหรับสัตวจําพวกเดียรัจฉานที่ไมมีคุณเหมือนกัน ฆาสัตว ใหญ มีโทษมาก ฆา สัตวเล็กกม็ โี ทษนอ ย เพราะการฆา สัตวทม่ี ขี นาดรางกายใหญตอง ใชความพยายามในการฆามากขน้ึ ๓. ความพยายาม มีความพยายามฆา มากก็มีโทษมาก มีความพยายามนอย ก็มี โทษนอย การฆาดว ยวธิ กี ารทรมาน คอื ทําใหต ายอยางลําบาก หวาดเสยี ว ใหเกดิ ความช้ําใจ หรอื ฆาดวยวธิ พี ิสดาร ยอ มมีบาปมาก แมการฆา ดว ยการใชเ ทคโนโลยี เชน การใชระเบิดอาวุธชีวะเคมี ท่ีเกิดความสูญเสียมากยอ มมีบาปมาก ๔. กิเลสหรือเจตนา มีกิเลสหรือเจตนาแรงก็มีโทษมาก มีกิเลสหรือเจตนา ออนก็มีโทษนอย เชน ฆาดวยโทสะหรือจงใจเกลียดชังมีโทษมากกวาฆาเพื่อปกปอง กันตวั เปน ตน การฆาดว ยความอาํ มหติ โหดเห้ยี ม เครียดแคน พยาบาท การฆา ดวย ความเปนมิจฉาทิฐิ การฆาดวยการเห็นแกอามิสสินจางรางวัล การฆาโดยไมมีเหตุผล หรอื การฆาเพื่อความสนุกสนาน ยอมมีบาปนอ ยลดหล่นั กันไป ในกรณที ่ไี มม เี จตนาก็ ไมบ าป ดงั เรอ่ื งพระจกั ขบุ าลเถระซงึ่ มจี กั ษบุ อดทงั้ สองขา ง เดนิ จงกรมเหยยี บแมลงเมา ตายเปน จํานวนมาก แตไมมีเจตนาทีจ่ ะฆา พระพุทธเจา ตรสั วา “ภิกษุทัง้ หลาย” ขน้ึ ชอ่ื วา เจตนาเปน เหตุฆาสัตวใ หตายของพระขีณาสพท้ังหลาย คอื บคุ คลผูมีอาสวะสิ้นแลว มิไดม”ี การหามฆาสัตวน้ี ทางพระพุทธศาสนายังรวมถึงการหามฆาตัวเองดวย เพราะการฆา ตวั เองนนั้ เปน ปาณาตบิ าต เพราะครบองคป ระกอบของปาณาตบิ าตทง้ั ๕ ขอ เชนเดียวกัน นอกจากนัน้ ผลู วงละเมิดอุโบสถศลี สกิ ขาบทท่ี ๑ ยอ มไดรบั กรรมวบิ าก ๕ อยาง คือ 260

ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 261 ๕.๑ เกดิ ในนรก ๕.๒ เกดิ ในกาํ เนิดสตั วเดียรจั ฉาน ๕.๓ เกดิ ในกาํ เนิดเปรตวิสยั ๕.๔ มอี วัยวะพิการ ๕.๕ มอี ายสุ ้นั ๖. อานสิ งส ผูรักษาอโุ บสถศีล ขอท่ี ๑ ยอ มไดร บั อานสิ งส ดงั น้ี ๖.๑ มีรา งกายสมสว น ไมพิการ ๖.๒ เปน คนแกลว กลา วองไว มกี ําลงั มาก ๖.๓ ผิวพรรณเปลงปลง่ั สดใส ไมเ ศราหมอง ๖.๔ เปนคนออนโยน มีวาจาไพเราะ เปนเสนหแ กค นทั้งหลาย ๖.๕ ศัตรทู าํ รายไมไ ด ไมถ ูกฆา ตาย ๖.๖ มโี รคภยั เบยี ดเบยี นนอ ย ๖.๗ มอี ายยุ นื คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 261

262 ¤Á‹Ù Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªéѹⷠคมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ตัวอยางโทษของการลวงละเมิดสกิ ขาบทท่ี ๑ เรือ่ งชน ๓ คน กาถกู ไฟไหมต ายในอากาศ มเี รื่องเลา วา เม่ือพระศาสดาประทับอยใู นวัดพระเชตวนั ภกิ ษหุ ลายรูปจะไป เขา เฝา พระศาสดา ไดไ ปบณิ ฑบาตทห่ี มบู า นแหง หนงึ่ ชาวบา นรบั บาตรของภกิ ษเุ หลา นน้ั แลวนิมนตใหน่ังในโรงฉัน ถวายขาวยาคูและของขบเคี้ยวแลว ขณะรอเวลาถวาย ภตั ตาหาร ไดพากนั น่ังฟงธรรมอยู ในขณะน้ันหญิงคนหน่ึงกําลังหุงขาวและทํากับขาว เปลวไฟลุกข้ึนจากเตา ไหมท่ีชายคาบาน ไฟไหมเสวียนหญาอันหน่ึงปลิวข้ึนจากชายคาบานลอยไปในอากาศ ในขณะนั้นมีอีกาตัวหน่ึงบินมาบังเอิญสอดคอเขาไปในเสวียนหญาน้ันพอดี ถูกเกลียว หญาพันคอแลวถูกไฟไหมตกลงมาตายท่ีกลางบาน ภกิ ษทุ ง้ั หลายเหน็ เหตนุ นั้ คดิ วา กรรมนหี้ นกั พวกเราจกั ทลู ถามกรรมของอกี า นน้ั กบั พระศาสดา แลวกพ็ ากนั เดนิ ทางไปเฝา พระศาสดา ภรรยานายเรือถกู ถว งนํ้า ภิกษุอีกพวกหน่ึง โดยสารเรือเดินทางไปเขาเฝาพระศาสดา เรือไดหยุดน่ิง กลางสมุทร พวกคนในเรือคิดวา “ในเรือน้ีคงมีคนกาลกรรณีอยู” (กาลกิณี) จึงใชวิธี แจกสลากเพ่ือหาคนกาลกรรณี ภรรยากัปตันเรือวัยกําลังรุนสาว รูปรางสวยงามนาดู นาชม จับไดสลากท่ีแจกนั้นถึง ๓ คร้ัง กัปตันเรือ ทั้งๆ ท่ีมีความรักภรรยาอยางย่ิง แตเห็นแกชีวิตของคนท้ังหลายในเรือ จําตองปฏิบัติตามความเห็นของคนสวนใหญ ในเรือ คือใหโยนนางทงิ้ ลงในสมุ ทร ภรรยาของกัปตันเรือ ขณะโดนจับโยนลงในสมุทรนั้น ไดรองเสียงดังดวย ความกลวั ตาย กปั ตันเรอื ไดยนิ เสยี งรอง จึงใหเอาของหนักผกู ทีค่ อภรรยาแลวโยนลง ไปในสมทุ ร พวกภกิ ษุรบั ทราบเรอื่ งเชน น้ีแลว เกดิ ความสลดใจ คิดวาพวกเราจะทลู ถาม กรรมของหญงิ นนั้ กบั พระศาสดาแลว จงึ พากันเดนิ ทางไปเขาเฝาพระศาสดา 262

ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÂÑ ) 263 ภิกษุ ๗ รปู อดอาหาร ๗ วันในถํ้า ภิกษุ ๗ รปู อีกพวกหน่งึ เดนิ ทางจากชนบทปลายแดนไปเขา เฝาพระศาสดา เวลาเยน็ เดนิ ทางถงึ วัดแหง หนง่ึ แลวขอพกั คางคนื ไดท พี่ ักในถํ้าแหง หนง่ึ ซ่งึ มเี ตยี งอยู ๗ เตียง เมื่อภิกษุเหลาน้ันอยูในถ้ํานั้น ตอนกลางคืนแผนหินเทาเรือนหลังขนาดใหญ กลง้ิ ลงจากภูเขามาปด ปากถ้ํานน้ั ไวพ อดี พวกภกิ ษเุ จา ของถน่ิ ไดร วบรวมชาวบา น ๗ หมบู า นใกลเ คยี ง ชว ยกนั พยายาม ผลกั หินออกจากปากถ้ํา แตก็ไมสามารถทําใหแผน หินเขย้ือนจากท่ไี ด แมพวกพระภิกษุเขาไปพักภายในถํ้า ก็พยายามเหมือนกัน แตก็ไมสามารถ ทาํ ใหแ ผน หนิ นนั้ เขยอ้ื นได ตอ งทนทกุ ขอ ยใู นถา้ํ เปน เวลาถงึ ๗ วนั ถกู ความหวิ กระหาย ครอบงาํ ตลอด ๗ วัน ไดเ สวยทุกขอยใู นถํ้าเปนเวลาถึง ๗ วนั แผนหินก็ไดกลบั กล้งิ ออกไปเอง พวกภกิ ษอุ อกจากถาํ้ ไดแ ลว คดิ วา พวกเราจะทลู ถามบาปกรรมของพวกเรา กับพระศาสดา แลวพากันเดนิ ทางไปเขาเฝา พระศาสดา พระศาสดาตรสั พยากรณบ รุ พกรรมแกภกิ ษเุ หลานน้ั โดยลาํ ดับ ดงั นี้ บรุ พกรรมของกา ในอดตี กาล ชาวนาผูหนึ่งในกรุงพาราณสี ฝก โคของตนอยู แตไมสามารถฝก ไดเ พราะโคของเขาเดนิ ไปไดห นอ ยหนง่ึ แลว กน็ อนเสยี เมอื่ เขาทบุ ตใี หล กุ ขน้ึ แลว เดนิ ไป ไดห นอ ยหนงึ่ กก็ ลบั นอนเสยี อกี เหมอื นเดมิ ชาวนานนั้ แมจ ะพยายามแลว กไ็ มส ามารถ ฝก โคนนั้ ได จงึ โกรธและไดน าํ ฟางมาสมุ ตวั โคโดยเอาฟางพนั คอโคแลว กจ็ ดุ ไฟ โคถกู ไฟ คลอกตายในทน่ี ั้นเอง กรรมท่ชี าวนาทาํ แลวในครง้ั นน้ั เขาถกู เผาไหมอ ยใู นนรกสิ้นกาลนาน เพราะ วิบากของกรรมนั้น เขาไดมาเกิดเปนกา ๗ ชาติ และถูกไฟไหมตายในอากาศอยางน้ี เหมอื นกนั ทงั้ ๗ ครัง้ บรุ พกรรมของภรรยากัปตนั เรือ ในอดีตกาล หญิงน้ันเปนภรรยาของคฤหบดีคนหนึ่งในกรุงพาราณสี ไดทําหนาที่ทุกอยางมีตักนํ้า ซอมขาว ปรุงอาหาร เปนตน ดวยตนเอง สุนัขตัวหน่ึง ตดิ ตามนางไปทกุ ท่ี ไมว า จะไปนา ไปปา ไปหาฟน หาผกั หรอื ไปทาํ อะไรกต็ าม กต็ ดิ ตาม นางไปเสมอ จนคนเยาะเยยวา นางเปน นายพรานหญิง คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 263

264 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท นางขวยเขนิ เพราะคาํ พดู ของคนเหลา นนั้ จงึ เอากอ นดนิ บา ง ทอ นไมบ า งขวา ง สนุ ขั เพอื่ ไมใหต ิดตามนางไป แตเ จา สุนขั กลับไปแลว ก็ตามนางไปอีก เนื่องจากในอดตี ชาติ สุนขั นั้นเคยเปน สามขี องนางในอัตภาพท่ี ๓ คือชาติท่ี ๓ ทผ่ี า นมา เหตนุ น้ั มนั จงึ ไมอาจตดั ความรักตอนางได ความจรงิ ในวฏั ฏสงสารน้ี ใครๆ ชอ่ื วา ไมเ คยเปน ภรรยาหรอื เปน สามกี นั ไมม ี โดยแท ถึงกระน้ันความรักมีประมาณย่ิงยอมมีในผูท่ีเปนญาติกันในอัตภาพไมไกล เพราะเหตุนัน้ สุนัขจงึ ไมอาจตดั รักนางได นางโกรธสุนัขมาก เมื่อนําขาวยาคูไปใหสามีท่ีนาแลว ไปที่ทาน้ําแหงหนึ่ง นําภาชนะบรรจุทรายใหเต็ม แลวเรียกสุนัขมา สุนัขดีใจจึงกระดิกหางเขาไปหานาง นางผูกภาชนะที่บรรจุทรายติดกับคอสุนัขแลวผลักภาชนะใหกล้ิงลงไปในน้ํา สุนัขถูก ภาชนะทก่ี ลงิ้ น้นั ดงึ ตกลงไปในน้ํา ถงึ แกความตาย เพราะวบิ ากของกรรมนั้น นางไหม อยูในนรกสิ้นกาลนานดวยวิบากกรรมที่เหลือ จึงถูกเขาจับถวงน้ําถึงแกความตายมา แลว ๑๐ ชาติ บรุ พกรรมของภกิ ษุ ๗ รปู ในอดีตกาล เดก็ เลี้ยงโค ๗ คนเปนชาวกรงุ พาราณสี เทยี่ วเล้ียงโคอยคู ราว ละ ๗ วนั ณ สถานทใ่ี กลป า ดงแหง หนงึ่ วนั หนง่ึ เลย้ี งโคแลว กลบั มาพบเหย้ี ใหญต วั หนงึ่ จงึ พากนั ไลต ดิ ตามเหยี้ ไดห นเี ขา ไปในจอมปลวกแหง หนงึ่ ซง่ึ มชี อ งอยู ๗ ชอ ง พวกเดก็ ปรกึ ษากนั วา วนั นี้ พวกเราจบั เหยี้ ไมไ ด พรงุ นคี้ อ ยมาจบั จงึ ตา งคนตา งกถ็ อื เอากง่ิ ไมห กั คนละกําๆ ทงั้ ๗ คน ก็พากนั ปดชอ งทั้ง ๗ ชอ ง แลว ตอ นโคกลับบาน ในวันรงุ ขนึ้ เดก็ เหลาน้ันลมื คดิ ถงึ เรื่องเหยี้ ตอนโคไปเลี้ยงในสถานทอี่ ื่น ครัน้ ในวันท่ี ๗ พาโคกลบั มาทีเ่ ดิม เหน็ จอมปลวกนัน้ กก็ ลบั ไดสติ คิดกนั วา “เหยี้ ตวั นน้ั เปน อยา งไรหนอ” จงึ เปด ชอ งทตี่ นปด ไว เหยี้ อดอาหารมาหลายวนั หมดอาลยั ในชวี ิตเหลือแตกระดูกและหนงั ตวั ส่นั คลานออกมา เด็กเหลานัน้ เหน็ แลวจงึ เกิดความ เอ็นดูพูดกันวา “พวกเราอยา ฆา มนั เลย มนั อดอาหารมาต้ัง ๗ วันแลว ” จงึ ลบู หลังเห้ีย นน้ั แลว ปลอยไป เด็กเหลาน้ันไมตองผูกเผาไหมในนรก เพราะไมไดฆาเห้ีย แตไดรับกรรม ตองอดขาวรวมกนั ตลอด ๗ วัน จาํ นวน ๑๔ ชาติซึ่งเปนผลแหงกรรมที่ทาํ ในคร้งั น้ัน 264

ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (Ç¹Ô ÂÑ ) 265 ตวั อยางอานสิ งสของการรักษาสกิ ขาบทท่ี ๑ เร่อื ง มหาธรรมบาลชาดก ในอดีตกาล เมือ่ พระเจาพรหมทตั ครองราชยสมบตั ิ อยใู นพระนครพาราณสี ไดม บี า นหลงั หนงึ่ ชอ่ื วา ธรรมบาลคาม ในแควน กาสี สาเหตทุ ไ่ี ดช อ่ื ธรรมบาลคาม เพราะ เปน ทอ่ี ยอู าศยั ของตระกลู ธรรมบาลพราหมณ และเพราะเหตทุ รี่ กั ษาธรรม คนในตระกลู รวมท้ังทาส และกรรมกรก็ใหทาน รักษาศีล รกั ษาอโุ บสถ พระโพธสิ ตั วเ กดิ ในตระกลู นน้ั ไดช อ่ื วา ธรรมบาลกมุ าร เมอ่ื เจรญิ วยั แลว บดิ า ไดสงไปเรียนศิลปะ ณ เมืองตักกสลิ าในสํานักของอาจารยทศิ าปาโมกข ไดร ับแตง ต้ัง เปนหวั หนามาณพจาํ นวน ๕๐๐ คน คร้ังนนั้ ลูกคนโตของอาจารยเสียชีวติ ท้งั อาจารย ลูกศษิ ย และญาติตางรองไหค รํ่าครวญ ทําฌาปณกจิ ศพลกู ธรรมบาลกุมารคนเดยี ว เทา นนั้ ทไี่ มร อ งไห ไมค ราํ่ ครวญ เมอื่ มาณพ ๕๐๐ คนนน้ั มาจากปา ชา แลว ไดพ ากนั ไปนงั่ ราํ พนั อยใู นสาํ นกั อาจารยว า นา เสยี ดาย มาณพหนมุ ผมู มี ารยาทดเี ชน น้ี ตอ งพลดั พราก จากบิดามารดา เสียชีวิตตง้ั แตยงั หนมุ ธรรมบาลกุมาร กลาววา เหตุไรเลา จงึ ไดต ายกนั เสียตั้งแตยังหนุม หนุมยังไมสมควรตายมิใชหรือ มาณพเหลาน้ันกลาวกะธรรมบาล กมุ ารวา ทานไมร จู ักความตายของสตั วเหลานีด้ อกหรอื ธรรมบาลกุมาร กลาววาเรารูแตเทาที่รูมา ไมมีใครตายต้ังแตยังหนุม ตายกันเม่อื แกแลว เทา นน้ั มาณพท้ังหลาย กลา ววาสังขารทง้ั ปวง ไมเทยี่ ง มแี ลว กลับไมม ี มใิ ชห รอื ธรรมบาลกมุ าร กลาววา จริง สังขารไมเทย่ี ง แตส ตั วทง้ั หลาย ไมต ายตั้งแต ยังหนมุ ตายกนั เม่อื แกแ ลว แลวจงึ จะถึงซึ่งความไมเท่ยี ง มาณพทงั้ หลาย ถามวา ในบา นของทา นไมม ใี ครตายหรือ ธรรมบาลกุมาร ตอบวา ท่ีตายตั้งแตยังหนุมไมมี มีแตตายกันตอนเมื่อแก แลว ท้ังนน้ั มาณพท้ังหลาย ถามวา ขอ นี้เปนประเพณีแหง ตระกลู ของทา นหรอื ธรรมบาลกุมาร ตอบวา ใช เปนประเพณีแหงตระกูลของเรา คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 265

266 ¤ÙÁ‹ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท มาณพทง้ั หลาย ไดฟ ง ถอ ยคาํ ของธรรมบาลกมุ ารดงั นน้ั แลว จงึ พากนั ไปบอก อาจารย อาจารยเรียกธรรมบาลกุมารมาถามและไดทราบดังน้ันแลวคิดวา กุมารนี้พูด อัศจรรยเหลือเกิน เราจักไปบานบิดาของกุมารนี้แลวถามดู ถาเปนจริง เราจักบําเพ็ญ ธรรมเชน นน้ั บาง อาจารยน ้ัน ครนั้ ทาํ ฌาปนกจิ ศพบุตรเสร็จแลว ลวงมาได ๗-๘ วนั ไดเรียกธรรมบาลกุมารมาสั่งวา แนะพอ เราจักออกเดินทางไป เจาจงบอกศิลปะ แกมาณพเหลานี้ จนกวาเราจะกลับมา เมื่อสั่งการเชนน้ันแลวเราก็เก็บกระดูกแพะ ตวั หนง่ึ มาลางเอาใสก ระสอบ ใหคนรับใชคนหนึง่ ถือตามไป ออกจากเมืองตักกศิลาไป สบู านธรรมบาล ไปหยดุ ยนื อยูท ป่ี ระตูบา น พวกขาทาสบานธรรมบาลเห็นเขา ตางก็รับรมรับรองเทาของอาจารย และ รบั กระสอบจากมอื ของคนรบั ใช เมอ่ื อาจารยก ลา ววา พวกทา นจงไปบอกบดิ าของกมุ ารวา อาจารยของธรรมบาลกุมารบุตรของทานมายืนอยูที่ประตู พวกทาสรับคําไปบอกบิดา ของธรรมบาล บดิ ารบี ไปเชอื้ เชญิ ขนึ้ บนบา นใหน ง่ั บนบลั ลงั ก ปรนนบิ ตั ทิ กุ อยา งมลี า งเทา ให เปน ตน อาจารยบ ริโภคอาหารแลว เวลานั่งสนทนากนั อยูตามสบาย จึงแสรง กลา ว วาทานพราหมณ ธรรมบาลกุมารบุตรของทาน เปนคนมีสติปญญา เรียนจบไตรเพท และศลิ ปะ ๑๘ ประการแลว แตไดเ สยี ชีวติ เสยี แลวดวยโรคอยา งหน่ึง สังขารทั้งปวง ไมเที่ยง ทานอยา เศรา โศกไปเลย พราหมณต บมอื หวั เราะดงั ลนั่ เมอื่ อาจารยถ ามวา ทา นพราหมณ ทา นหวั เราะ อะไร กต็ อบวา ลูกฉันยงั ไมตาย ทตี่ ายน้นั คงเปน คนอนื่ อาจารยกลาววา ทานพราหมณ ทา นไดก ระดกู บตุ รของทา นแลว จงเชอ่ื เถดิ แลว นาํ กระดกู ออกมาแลว กลา ววา นกี่ ระดกู ลกู ของทา น พราหมณก ลา ววา นจ้ี กั เปน กระดกู แพะหรอื กระดกู สนุ ขั แตล กู ฉนั ยงั ไมต าย เพราะในตระกูลของเรา ๗ ชว่ั โคตรมาแลว ไมม ใี ครเคยตายต้งั แตย ังหนุม เลย ทานพดู ปดขณะนนั้ คนทั้งหมดไดตบมอื หวั เราะกนั ยกใหญ อาจารยเห็นความอัศจรรย แลวมี ความยนิ ดี เมอ่ื จะถามวา ทา นพราหมณ ในประเพณตี ระกลู ของทา นทคี่ นหนมุ ๆ ไมต าย ตองมสี าเหตุทเ่ี ปนเหตผุ ล เพราะเหตไุ ร คนหนุม ๆ จงึ ไมตาย พราหมณไดพรรณนาคุณานุภาพที่เปนเหตุที่เปนเหตุใหคนหนุมในตระกูล นน้ั ไมตาย จงึ กลา วคาถาความวา พวกเราประพฤตธิ รรม ไมกลาวมสุ า งดเวนธรรมชวั่ งดเวน กรรมอนั ไมป ระเสรฐิ ทง้ั หมด เพราะเหตนุ น้ั แหละ คนหนมุ ๆ ของพวกเราจงึ ไมต าย 266

ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (Ç¹Ô ÂÑ ) 267 พวกเราฟง ธรรมของอสตั บรุ ษุ และของสตั บรุ ษุ แลว เราไมช อบใจธรรมของอสตั บรุ ษุ เลย ละอสัตบุรุษเสีย ไมละสัตบุรุษ เพราะเหตุนั้นแหละ คนหนุมๆ ของพวกเราจึงไมตาย กอนท่เี รมิ่ จะใหทาน พวกเราเปน ผตู ้งั ใจดี แมก าํ ลงั ใหทาน กม็ ใี จผอ งแผว ครั้นใหท าน แลวก็ไมเดือดรอนในภายหลัง เพราะเหตุนั้นแหละ คนหนุมๆ ของพวกเราจึงไมตาย พวกเราเลยี้ งดสู มณพราหมณ คนเดินทาง วณพิ ก ยาจก และคนขัดสนทัง้ หลาย ใหอ ิ่ม หนําสาํ ราญดวยขา วน้าํ เพราะเหตนุ ้ันแหละ คนหนมุ ๆ ของพวกเราจงึ ไมต าย พวกเรา ไมน อกใจภรรยา ถึงภรรยากไ็ มนอกใจพวกเรา พวกเราประพฤตพิ รหมจรรย นอกจาก ภรรยาของตน เพราะเหตุนนั้ แหละ คนหนุมๆ ของพวกเราจึงไมตาย พวกเราท้ังหมด งดเวนจากการฆาสัตว งดเวนสิ่งของท่ีเขาไมใหทุกท่ีในโลกนี้ ไมด่ืมของเมา ไมกลาว ปด เพราะเหตนุ ัน้ แหละ คนหนุมๆ ของพวกเราจงึ ไมตาย บุตรทเี่ กดิ ในภรรยาผมู ีศีล ดีเหลาน้ัน เปนผูฉลาด มีปญญา เปนพหูสูต เรียนจบไตรเพท เพราะเหตุน้ันแหละ คนหนุมๆ ของพวกเราจงึ ไมต าย มารดาบิดา พ่ีนองหญงิ ชาย บตุ ร ภรรยา และเราทุก คนประพฤติธรรมมงุ ประโยชนใ นโลกหนา เพราะเหตนุ น้ั แหละ คนหนุมๆ ของพวกเรา จึงไมตาย ทาส ทาสี คนที่มาอาศัยเพื่อเลี้ยงชีวิต คนรับใช คนงานทั้งหมด ลวนแต ประพฤติธรรม มุงประโยชนในโลกหนา เพราะเหตุนั้นแหละคนหนุมๆ ของพวกเรา จึงไมต าย ในท่ีสุด พราหมณก็ไดแสดงคุณของผูประพฤติธรรม ดวยคาถาความวา ธรรมแล ยอมรักษาผูประพฤติธรรม ธรรมท่ีบุคคลประพฤติดีแลว ยอมนําสุขให นี้เปนอานิสงสในธรรมที่ประพฤติดีแลว ผูประพฤติธรรมยอมไมไปสูทุคติ ธรรมแล ยอ มรกั ษาผปู ระพฤตธิ รรม เหมอื นในรม ใหญใ นฤดฝู น ฉะนนั้ ธรรมบาลบตุ รของเราผมู ี ธรรมคุมครองแลว กระดูกที่ทานนําเอามานี้ เปนกระดูกสัตวอื่น บุตรของเรายังมี ความสุขดอี ยู อาจารยไดฟงดังนั้นแลว จึงกลาววาการมาของตนเปนการมาท่ีดี มีผล ไมไรผลแลวมีความยินดี ขอขมาโทษกะบิดาธรรมบาล แลวบอกความจริงวา น้ีเปน กระดูกแพะตนนํามาเพ่ือจะทดลอง บุตรของทานสบายดี ทานจงใหธรรมท่ีทานรักษา แกเราบาง พักอยูม นที่นัน้ ๒-๓ วัน จงึ กลับไปเมอื งตักกศิลา ใหธรรมบาลกมุ าลศกึ ษา ศิลปะทกุ อยาง แลว สง กลับดวยบริวารใหญ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 267

268 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ÍØâºÊ¶ÈÕÅÊ¡Ô ¢Òº··Õè ò Í·¹Ô ¹Ú Ò·Ò¹Ò àÇÃÁ³Õ เจตนางดเวน จากการลกั ทรัพย ๑. ความมงุ หมาย สิกขาบทน้ี มีความมุงหมายเพื่อใหทุกคนประกอบอาชีพแตในทางสุจริต เวน จากการประกอบอาชพี ในทางทจุ รติ อนั จะเปน เหตเุ บยี ดเบยี นและทาํ ลายกรรมสทิ ธ์ิ ในทรพั ยสนิ ของผูอื่น ๒. เหตผุ ล มนุษยทุกคนยอมมีศักยภาพ มีศักดิ์ศรีของความเปนมนุษย และมีภาระ ในการประกอบอาชีพการงานเพื่อเล้ียงชีพของตนเองและครอบครัวใหมีความสุขตาม อัตภาพ ยอ มมีความภมู ใิ จ ความรกั และหวงแหนทรัพยส มบัติท่ตี นเองพยายามหามา ไดโ ดยชอบธรรม ไมต อ งการใหใ ครมาลว งละเมดิ ในกรรมสทิ ธขิ์ องตนเอง ในทางตรงกนั ขา ม ทรพั ยส มบตั ิ ทไ่ี ดม าโดยทจุ รติ ยอ มกอ ใหเ กดิ ความเดอื ดรอ นในภายหลงั เปน การ ทาํ ลายศกั ยภาพและศักดิ์ศรีความเปนมนษุ ยของตนเอง การลักขโมย ฉอโกง ลักลอบ เบียดบัง ชวงชิงเอาทรัพยของคนอื่นที่แสวงหามาไดโดยชอบธรรม นอกจากจะทําให เจา ของทรัพยไดรบั ความเดือดรอ น มีชีวิตอยูไดดวยความยากลาํ บาก หรอื ไมส ามารถ ดาํ รงชีวติ อยูไ ด แมตนเองก็จะไดร ับความเดอื ดรอ นจากการกระทาํ นนั้ และยังเปนการ ทําใหสูญเสียอริยทรัพยภายใน คือศีลธรรม ซึ่งเทียบคากันไมไดกับการ ท่ีไดทรัพย เขามา ท้ังสังคมมนุษยก็จะปราศจากสันติสุข เพราะไมมีหลักประกันความปลอดภัย ในทรพั ยส นิ นบั ดาเปนการกระทาํ ที่นา ละอาย และบณั ฑิตติเตยี น เพราะฉะนน้ั การเวนจาการลักทรพั ย เลยี้ งชพี ในทางทีช่ อบ ประกอบอาชีพ ในทางสจุ รติ รจู กั ทาํ มาหากนิ สง เสรมิ พฒั นาตนใหม คี วามรคู วามสามารถในการประกอบ สัมมาชีพ จึงเปนหลักประกันความปลอดภัยในทรัพยสิน และทําใหสังคมมนุษยมี ความสงบสุขรมเยน็ 268

ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (Ç¹Ô ÂÑ ) 269 ๓. ขอ หาม สิกขาบทน้ี หามกระทําโจรกรรมโดยตรง แตผูรักษาอุโบสถศีล พึงเวนจาก อนโุ ลมโจรกรรมและฉายาโจรกรรมดว ย ความหมายของขอหาม ๓ ประการ ดังนี้ โจรกรรม การกระทาํ อนั เปน โจรกรรม มี ๑๔ อยาง คอื ๑. ลัก ไดแก ขโมยเอาทรัพยเม่ือเจาของไมเห็น คือ กิริยาที่ถือเอาส่ิงของ ผูอ่ืนดวยการเปนโจร หมายถึง การถือเอาส่ิงของท่ีเจาของไมไดยกให ท้ังท่ีเปน สวิญญาณกทรัพยคือทรัพยท่ีมีวิญญาณ เชน ชาง มา วัว ควาย ทั้งท่ีเปน อวิญญาณกทรัพย คือทรัพยท่ีไมมีวิญญาณ เชน ท่ีดิน ไร นา และส่ิงของท่ีไมใช ของใครๆ โดยตรง แตม ีผูรักษาหวงแหน เชน ของสงฆ ของสวนรวมอันเปนสาธาณ ประโยชน เปน ตน ๒. ฉก ไดแก ชิงเอาทรพั ยต อ หนาเจาของ คือ กิรยิ าทีถ่ อื เอาส่ิงของในชว งท่ี เจา ของเผลอ หรอื ชงิ เอาทรัพยตอหนาเจาของ ๓. กรรโชก ไดแ ก ทาํ ใหเ ขากลวั แลว ใหท รพั ย หรอื ยกใหด ว ยความหวาดกลวั คือ กริ ยิ าทแี่ สดงอาํ นาจใหเ จา ของตกใจกลัวแลวยอมใหส งิ่ ของของตน หรอื ใชอาชญา เรงรดั เอา ๔. ปลน ไดแก การรวมหัวกันหลายคนใชกําลังแยงชิงเอาโดยไมรูตัว คือ กริ ยิ าทยี่ กพวกไปถือเอาสิง่ ของของคนอ่ืนดวยการใชอาวธุ ๕. ตู ไดแ ก อา งหลกั ฐานพยานเทจ็ หกั ลา งกรรมสทิ ธข์ิ องผอู น่ื คอื กริ ยิ าทร่ี อ ง เอาของผอู น่ื ซึง่ มไิ ดตกอยูในมอื ตนคอื มิไดครอบครองดแู ลอยู หรืออางหลกั ฐานพยาน เท็จหกั ลา งกรรมสทิ ธิ์ของผูอ่ืน ๖. ฉอ ไดแ ก โกง คือกริ ิยาทถี่ อื เอาสิ่งของของผูอืน่ อนั ตกอยูใ นมือตน คอื ตน ครอบครองดแู ลอยู หรอื โกงทรพั ยของผอู ื่น ๗. หลอก ไดแ ก ปนเร่อื งใหเขาเชอื่ เพ่ือจะใหเ ขามอบทรัพยใหแกตน ๘. ลวง ไดแก ทําใหห ลงผิด คอื กริ ยิ าท่ีถือเอาสิ่งของผอู น่ื ดว ยแสดงของ อยางใดอยางหน่งึ เพ่ือใหเ ขาเขา ใจผิด หรือใชเลหเ อาทรัพยดวยเครือ่ งมือลวงใหเขาเชือ่ เชน การใชต ราชัง่ ที่ไมไดมาตรฐาน เปนตน ๙. ปลอม ไดแก ทาํ ใหเหมอื นคนอ่ืนหรอื สง่ิ อืน่ เพื่อใหห ลงผิดวาเปน คนนนั้ หรอื สงิ่ น้ันคือกริ ิยาท่ีทําของไมแทใ หเห็นวาเปน ของแท คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 269

270 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ๑๐. ตระบัด ไดแ ก ยืมหรือกเู อาทรพั ยของคนอ่นื มาแลวโกงเอาเสีย ๑๑. เบยี ดบัง ไดแ ก ยกั เอาไวเ ปน ประโยชนของตวั คอื กิรยิ ากินเศษกินเลย ๑๒. สับเปลี่ยน ไดแก เปลี่ยนแทนที่กัน คือ กิริยาท่ีเอาสิ่งของของตน ท่ีเลวกวา เขาไวแทน และถือเอาสิ่งของของผูอื่นท่ีดีกวา หรือแอบสลับเอาของผูอื่น ซึง่ มีคา มากกวา ๑๓. ลกั ลอบ ไดแก ลอบกระทําการบางอยา ง เชน กิริยาทีเ่ อาของซึ่งจะตอง เสยี ภาษซี อนเขา มาโดยไมเสยี ภาษี ๑๔. ยักยอก ไดแก เอาทรัพยของผูอื่นท่ีอยูในความดูแลรักษาของตนไป โดยทจุ รติ หรอื ทรพั ยข องตนซงึ่ ผอู น่ื เปน เจา ของรวมอยดู ว ยทอ่ี ยใู นความดแู ลรกั ษาของตน เบียดบังเอาทรัพยน้ันมาเปนของตนโดยทุจริต ใชอํานาจท่ีที่มีอยูถือเอาทรัพยโดยไม สุจริต หรือ กริ ิยาทย่ี กั ยอกเอาทรัพยของตนที่จะตองถกู ยดึ ไปไวเสียทอี่ ืน่ หรือยักยา ย ทรัพยของตนทไี่ ดมาโดยทจุ ริตไปในลักษณะการฟอกเงนิ เปน ตน อนโุ ลมโจรกรรม การกระทาํ อนั เปน อนโุ ลมโจรกรรม มี ๓ อยาง คอื ๑. สมโจร ไดแก กิรยิ าทอี่ ุดหนุนโจรกรรม เชน การรบั ซ้อื ของโจร ๒. ปอกลอก ไดแ ก ทําใหเ ขาหลงเช่ือแลวลอ ลวงเอาทรัพยเ ขาไป หรอื กิรยิ าท่ี คบคนดว ยอาการไมซ อื่ สตั ย มงุ หมายจะเอาทรพั ยส มบตั ขิ องเขาถา ยเดยี ว เมอื่ เขาสนิ้ เนอื้ ประดาตัวกล็ ะท้ิงเขาเสยี ๓. รบั สนิ บน ไดแ ก รบั สนิ จา งเพื่อกระทาํ ผดิ หนาท่ีคอื การถอื เอาทรัพยท ่เี ขา ใหเพ่ือชวยทําธุระใหในทางที่ผิด การรับสินบนนี้ หากผูรับสินบนมีเจตนารวมกับผูให ในการทาํ ลายกรรมสิทธขิ์ องผูอ ่นื ก็ถอื วาเปน การทาํ โจรกรรมรว มกันโดยตรง ทําใหศ ลี ขอ น้ีขาด ฉายาโจรกรรม การกระทําเปน ฉายาโจรกรรม มี ๒ อยา ง คือ ๑. ผลาญ ไดแก ทําลายใหหมดส้นิ ไป คือ กิริยาที่ทาํ ความเสยี หายแกทรพั ย ของผูอ ่ืน โดยไมถือเอามาเปน ของตน ๒. หยิบฉวย ไดแก กริ ยิ าทถ่ี ือเอาทรัพยของผูอื่นดว ยความมกั งา ย โดยมิได บอกใหเ จาของรู คอื การถอื เอาดว ยวิสาสะเกินขอบเขต 270

ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÂÑ ) 271 ทั้งน้ี ฉายาโจรกรรม ถาผูกระทํามีเจตนาในทางทําลายกรรมสิทธ์ิของผูอ่ืน รวมอยูดวย ก็ถอื วาเปนการทาํ โจรกรรมโดยตรง ทําใหศ ีลขอน้ขี าด เฉพาะอนุโลมโจรกรรมกับฉายาโจรกรรมนั้น ตองพิจารณาถึงเจตนาของ ผกู ระทําดวย ถามเี จตนากระทาํ ใหเขาเสียกรรมสิทธ์ิ ศีลก็ขาด ๓. หลักวนิ จิ ฉยั การลวงละเมดิ สิกขาบทที่ ๒ ทที่ าํ ใหศลี ขาด ประกอบดว ย องค ๕ คอื ๓.๑ ปรปริคคฺ หติ ํ ของนน้ั มีเจาของ ๓.๒ ปรปรคิ คฺ หิตสฺิตา รวู า ของน้ันมเี จาของ ๓.๓ เถยยฺ จิตตฺ ํ จิตคิดจะลัก ๓.๔ อปุ กฺกโม พยายามลกั ๓.๕ เตน หรณํ ไดของมาดว ยความพยายามนนั้ ๔. โทษของการลวงละเมิด การประพฤติอทินนาทาน คือถือเอาส่ิงของท่ี เจา ของไมไ ดใ หดวยอาการแหงขโมยหรือลักทรพั ย จะมโี ทษมากหรือนอย ตามคณุ คา ของส่งิ ของคณุ คาของสงิ่ ของคณุ ความดีของเจา ของ และความพยายามในการลักขโมย นอกจากน้นั ผทู ล่ี ะเมิดยอมไดรบั วิบากกรรม ๕ อยาง คือ ๔.๑ เกดิ ในนรก ๔.๒ เกดิ ในกําเนดิ สัตวเดียรจั ฉาน ๔.๓ เกิดในกําเนิดเปรตวิสยั ๔.๔ เปน ผูยากจนเข็ญใจไรท ่ีพ่ึง ๔.๕ ทรพั ยส นิ ยอ มฉิบหาย ๕. อานสิ งส ผรู ักษาอโุ บสถศีลขอท่ี ๒ ยอ มไดรับอานสิ งส ดังน้ี ๕.๑ มที รพั ยสมบัตมิ าก ๕.๒ แสวงหาทรพั ยโ ดยชอบธรรมไดโดยงาย ๕.๓ โภคทรัพยทหี่ ามาไดแลว ยอ มมั่นคงถาวร ๕.๔ สมบัติไมฉบิ หายเพราะโจรภัย อัคคีภัย และอุทกภยั เปน ตน ๕.๕ ไดอรยิ ทรพั ย ๕.๖ ไมไดยนิ และไมรูจักคําวา “ไมม”ี ๕.๗ อยูท่ไี หนกเ็ ปน สุข เพราะไมมใี ครเบยี ดเบยี น คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 271

272 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ตวั อยา งโทษของการลวงละเมดิ และอานิสงสของการรักษาสิกขาบทท่ี ๒ เรื่อง เสรีววาณิชชาดก ในอดตี กาล ในกัปที่ ๕ แตภทั รกปั นี้ พระโพธสิ ตั วไดเปน พอคา เรช ือ่ วาเสรีวะ ในแควน เสรวิ รฐั เสรวี วาณชิ เมอื่ ไปคา ขายกบั พอ คา เรผ เู ปน พาล เดนิ ทางขา มแมน าํ้ ชอื่ วา นีลพาหะแลว เขาไปยังพระนครช่อื วา อริฏฐปรุ ะ ในพระนครนนั้ มตี ระกูลเศรษฐีเกา แก ตระกลู หน่ึง แตลกู ญาตพิ นี่ อ ง และทรพั ยสนิ ทง้ั ปวงไดหมดสิ้นแลว เหลอื แตเ ดก็ หญิง คนหนงึ่ อยกู บั ยาย ยายกบั หลานมอี าชพี รบั จา งคนอนื่ เลยี้ งชวี ติ กใ็ นเรอื นนน้ั มถี าดทอง ทม่ี หาเศรษฐขี องยายกบั หลานนนั้ เคยใชส อย ถกู เกบ็ ไวก บั ภาชนะอนื่ ๆ เมอื่ ไมไ ดใ ชส อย มานานเขมา ก็จับยายและหลานไมร ูเลยวา ถาดนั้นเปน ถาดทอง สมัยนั้น วาณิชพาลคนน้ัน เท่ียวรองขายของวา “จงถือเอาเคร่ืองประดับ จงถอื เอาเครอ่ื งประดบั ” ไดไ ปถงึ ประตบู า นนนั้ เดก็ หญงิ นนั้ เหน็ วาณชิ นนั้ จงึ ขอใหย ายซอื้ เครอ่ื งประดบั อยา งหนงึ่ ใหต น ยายบอกวา เราเปน คนจนจกั เอาอะไรไปซอื้ หลานจงึ บอกวา “เรามถี าดใบนอี้ ยแู ละถาดใบนไี้ มเ ปน ประโยชนแ ลว เอาถาดใบนแี้ ลกเครอ่ื งประดบั เถดิ ” ยายจึงใหเรยี กนายวาณชิ พาลมา ขอเอาถาดใบนน้ั แลกเครื่องประดับอะไรๆ กไ็ ดใหแ ก หลานสาว นายวาณชิ เอามอื ถอื จบั ถาดแลว คดิ วา คงเปน ถาดทอง จงึ พลกิ ถาดเอาเขม็ ขดี ท่ีหลังถาดรูวาเปนทองจึงคิดวาเรา “จักไมใหอะไรๆ แกคนเหลาน้ี จักนําเอาถาดนี้ไป” จึงกลาวขึ้นวา “ถาดใบน้ีจะมีราคาอะไร ราคาของถาดใบนี้แมกึ่งมาสกก็ยังไมถึงเลย” จึงโยนไปท่พี น้ื แลวลุกขน้ึ หลกี ไป วาณิชโพธิสัตวคิดวา “เรานาจะไปถนนท่ีนายวาณิชคนนั้นออกไปแลว” จึงเขาไปยังถนนนั้น รองขายของไดไปถึงประตูบานหลังนั้น เด็กหญิงก็กลาวกะยาย เหมอื นอยางน้ันอกี ลาํ ดับนั้นยายไดก ลาวกะหลานวา “นายวานชิ คนท่มี ากอนหนา น้ีได โยนถาดน้นั ลงบนพน้ื ไปแลว บดั นเี้ ราจักเอาอะไรแลกเครอื่ งประดับ” เด็กหญิงกลาววา “นายวานิชคนกอ นพูดจาหยาบคาย สวนนายวาณชิ คนน้ีนา รัก พดู จาออ นโยนคงจะได รบั เอาถาด” ยายจงึ ใหเ รยี กเขามาแลว ใหถ าดใบนน้ั แกว าณชิ โพธสิ ตั วน น้ั วาณชิ โพธสิ ตั ว นนั้ รวู า ถาดนั้นเปน ถาดทองจงึ บอกวา “ถาดใบน้ีมคี า ต้งั แสน เราไมม สี นิ คา ท่มี ีคาเทากบั 272

ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÂÑ ) 273 ถาดใบน”ี้ ยายและหลานจึงเลา วา “นายวาณชิ คนทม่ี ากอนตรี าคาถาดใบน้ีมคี าไมถ ึงกง่ึ มาสกแลว โยนลงพ้นื ไป แตเ พราะบญุ ของทา น ถาดใบนจี้ ึงกลายเปนถาดทอง พวกเรา ใหถ าดใบนีแ้ กทาน ทา นจะใหอะไรๆ กไ็ ดแกพ วกเรา” ขณะนนั้ วาณิชโพธิสตั วจึงใหเงนิ ๕๐๐ กหาปณะเทาท่ีมี และสนิ คา ทง้ั หมดซึ่งมรี าคาอีก ๕๐๐ กหาปณะ แลวเหลือเอาไว เพยี งตาชง่ั ถุง และเงนิ ๘ กหาปณะเทา น้ันแลวถือเอาถาดน้นั หลกี ไป วาณชิ โพธสิ ตั วร บี ไปขน้ึ เรอื ใหค า จา งนายเรอื ๘ กหาปณะ ฝา ยนายวานชิ พาล หวนกลับไปท่ีเรือนนั้นอีก บอกใหยายและหลานนําถาดใบนั้นมาแลกอะไรๆ บาง อยาง ยายจึงดานายวาณิชพาลนั้นวา “ทานไดตีคาถาดทองอันมีราคาต้ังแสนให เหลือเพียงหนึ่งมาสก แตนายวาณิชผูมีธรรมคนหน่ึงใหทรัพยพันหนึ่งแหพวกเรา แลวถอื เอาถาดทองน้นั ไปแลว ” นายวาณชิ พาล ไดฟ ง ดงั นัน้ คิดวา “เราสูญเสียถาดทอง อนั มคี า ตง้ั แสน วาณชิ โพธสิ ตั วท าํ ความเสอ่ื มอยา งใหญห ลวงแกเ รา” เกดิ ความเศรา โศก มากไมอ าจดํารงสตไิ วไดจึงสลบไป พอฟน ขนึ้ มาก็โปรยกหาปณะและส่งิ ของทม่ี ีอยูไ วท ี่ หนา บา น เปลอื้ งผา นงุ หม ผา ถอื คนั ชง่ั ทาํ เปน ไมค อ น วง่ิ ตามรอยเทา ของวานชิ โพธสิ ตั วไ ป ถงึ ฝง แมน ํา้ นั้นเห็นวานิชโพธสิ ัตวนง่ั เรือไปอยู จึงกลาวกะนายเรือใหกลับเรอื แตวาณชิ โพธสิ ตั วไดห า มวาอยา กลบั เม่ือนายวาณิชพาลเห็นวานิชโพธิสัตวออกไปหางเร่ือยๆ เกิดความเศรา โศกมากหัวใจรอน เลือดพุงออกจากปาก หัวใจแตกสลาย วาณิชพาลผูนั้นผูกอาฆาต วานิชโพธิสตั วถงึ ขั้นเสียชวี ติ ณ ท่นี ้นั นัน่ เอง นี้เปนการผูกอาฆาตในพระโพธิสตั วของ พระเทวทัตเปนคร้งั แรก ชาดกน้ีแสดงใหเห็นโทษของการลักขโมย แมจะเปนการวางแผนหลอกลวง ดวยการใหขอมูลเท็จ เพ่ือจะหลอกลวงใหผูอ่ืนหลงเช่ือหรือหลงผิดแลวใหส่ิงของนั้น แกตน ในเร่ืองนแ้ี มวาณชิ พาลกย็ ังไมไ ดส่งิ ของน้นั มา แตก ็เกดิ ความเสียดาย ยังมีโทษ ถงึ ขนั้ ทาํ ใหเ สยี ชวี ติ และแสดงใหเ หน็ ถงึ อานสิ งสข องการไมค ดิ หลอกลวงเอาทรพั ยข อง ผูอ ื่น ดวยการกลา วคาํ สัตย กอใหเ กิดความยินดีพอใจและความสขุ ท้ังสองฝาย คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 273

274 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ ÊÔ¡¢Òº··èÕ ó ;ÃÚ ËÚÁ¨ÃÂÔ Ò àÇÃÇ³Õ เจตนางดเวนจากการเสพเมถนุ อนั เปน ขาศกึ แกก ารประพฤตพิ รหมจรรย พรหมจรรย หมายถงึ ความประพฤติอนั ประเสริฐ การครองชีวติ ที่ประเสรฐิ ความประพฤติงดเวน จากการเสพเมถุน หรือการครองชีวติ ทลี่ ะเวน เมถนุ ดังกลาว เชน การบวช พรหมจรรย เปนหลกั การใหญท ม่ี คี วามหมายหลายอยา ง ในอรรถกถาไดใ ห ความหมายของ “พรหมจรรย” ไว ๑๐ นัย คอื ทาน คือ การให ไวยาวจั จ คือ การขวนขวายชว ยเหลอื รบั ใชทําประโยชน เบญจศีล คอื การรักษาศีล ๕ อัปปมัญญา คอื พรหมวิหาร ๔ เมถุนวัรัติ คือ การเวน เมถุน สทารสันโดษ คอื ความพอใจเฉพาะภรรยาหรอื คคู รองของตน ความเพยี ร คอื ความบากบนั่ ความเพยี รเพอื่ จะละความชวั่ ประพฤตคิ วามดี หรือ ความพยายามทาํ กิจไมท อ ถอย การรักษาอุโบสถ คือ การบาํ เพญ็ วัตร หรือพรต อริยมรรค คือ ทางอันประเสรฐิ ๘ ประการ พระศาสนา คือ พระธรรมวนิ ัย ซึ่งสรปุ รวมลงในไตรสิกขา คอื ศลี สมาธิ และ ปญ ญา แตใ นสกิ ขาบทนี้ จะกลา วเฉพาะความหมายในขอ เมถนุ วริ ตั ิ คอื การงดเวน จาก เมถุนเทา นน้ั ๑. ความมุงหมาย ความมงุ หมายสาํ คญั ของศลี ขอ น้ี อยทู ก่ี ารสรา งความบรสิ ทุ ธท์ิ างกาย วาจา ใจ เพื่อทําใหจิตใจสงบ ไมกวัดแกวงฟุงซานไปในเรื่องกามารมณ เพื่อขัดเกลากิเลสให เบาลงและเพอ่ื เปน การประพฤตพิ รหมจรรยของคฤหัสถ 274

ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (Ç¹Ô ÂÑ ) 275 ๒. เหตุผล การเสพเมถนุ คอื การมเี พศสัมพันธระหวางชายกบั หญิง หรือแมกระทั่งใน เพศเดียวกันน้ัน ไมเก้ือกูลตอการบําเพ็ญพรตและการปฏิบัติธรรม ทําใหเกิดปลิโพธ กังวล จิตใจไมป ลอดโปรง หมกมนุ อยใู นอารมณร กั ใคร ๓. ขอ หา ม สกิ ขาบทที่ ๓ หา มการมเี พศสมั พันธโดยตรง คอื ใหงดเวนจากการเสพเมถนุ โดยเดด็ ขาด แมใ นคคู รองของตนเองกต็ อ งงดเวน รวมถงึ การถกู ตอ งตวั กนั ดว ยอาํ นาจ แหง ราคะกเิ ลส หรอื การมีกิรยิ าทา ทางที่สอ ไปในทางรว มประเวณกี ็ทาํ ได ๔. หลกั วินิจฉยั การลวงละเมิดสิกขาบทท่ี ๓ ท่ที ําใหศ ีลขาด มี ๒ นยั คือ ตามนัยแหงฎีกาพรหมชาลสตู รและกังขาวติ รณี มีองค ๒ คือ ๑. เสวนจติ ฺตํ จิตคิดจะเสพ ๒. มคเฺ คน มคฺคปฺปฏิปาทนํ อวยั วะเพศถึงกนั ๓. ตามนยั แหงอรรถกถาขุททกปาฐะ มี องค ๔ คอื ๑. อชฌฺ าจรณยี วตถฺ ุ วัตถทุ ี่จะพงึ ประพฤตลิ วง ไดแ ก ทวารทัง้ ๓ ทวาล คอื มุขมรรค คอื ทวารปาก ปสสาวมรรคคือทวารเบา และวจั มรรค คือ ทวารหนกั ๒. ตตถฺ เสวนจิตตฺ ํ จติ คิดจะเสพ ๓. เสวนปฺปโยโค พยายามเสพ ๔. สาทยิ นํ มคี วามยนิ ดี ๕. โทษของการลว งละเมิด ผลู ว งละเมดิ อโุ บสถศลี สิกขาบทท่ี ๓ ยอมไดร ับ กรรมวบิ าก ๕ อยาง คอื ๕.๑ เกดิ ในนรก ๕.๒ เกิดในกําเนิดสัตวเ ดยี รจั ฉาน ๕.๓ เกิดในเกดิ เปรตวิสัย ๕.๔ มรี างกายทุพลภาพ ข้ีเหร มีโรคมาก ๕.๕ มศี ัตรูรอบดา น คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 275

276 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ๖. อานสิ งส ผรู ักษาศลี ขอ ท่ี ๓ ยอมไดรบั อานิสงส ดังนี้ ๖.๑ ไมมศี ตั รูเบยี ดเบียน ๖.๒ เปน ท่ีรกั ของคนท้งั หลาย ๖.๓ มที รพั ยสมบัติบรบิ รู ณ ๖.๔ ไมต อ งเกิดเปน หญงิ หรือเปน กระเทย ๖.๕ เปน ผูสงา มอี าํ นาจมาก ๖.๖ มอี นิ ทรยี  ๕ ครบถว นสมบรู ณ ๖.๗ มีความสุข ไมต องทาํ งานหนัก 276

ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (Ç¹Ô ÑÂ) 277 ตัวอยา งโทษของการลวงละเมดิ สกิ ขาบทท่ี ๓ เรอื่ ง มุทลุ ักขณชาดก ในอดีตกาล สมัยพระเจาพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยูในกรุงพาราณสี พระโพธสิ ตั ว บงั เกดิ ในตระกลู พราหมณท มี่ สี มบตั มิ าก ในแควน กาสี เรยี นจบศลิ ปวทิ ยา ทุกประเภท ออกไปบวชเปนฤาษี บําเพ็ญเพียรอยูในหิมวันตประเทศไดบรรลุฌาน สามารถเหาะเหินได อยูมาวันหนึ่งตองการอาหารมีรสเค็มเปรี้ยวบาง จึงไดเหาะมาลง ทีพ่ ระอทุ ยานหลวงของพระเจา แผน เดิน เท่ียวภกิ ษาจารอยใู นกรงุ พาราณสี ลุถงึ ประตู พระราชนิเวศน พระราชาทรงเลื่อมใสในอิริยาบถของทานจึงรับส่ังใหนิมนตมาฉันใน พระราชวัง เพื่อใหโอวาทสง่ั สอนแกร าชสกลุ เปนเวลาถึง ๑๖ ป ครั้งหนึ่ง พระราชาเสด็จไปปราบกบฏนอกพระนคร ทรงมอบภาระใน การตอนรับฤาษีแกพระมเหสีพระนามวา มุทุลักขณา พระนางก็ทรงยินดีรับสนอง ภาระดังกลาว วันหน่ึง พระนางมุทุลักขณา ทรงเตรียมอาหารสําหรับพระโพธิสัตว ทรงดําริวา วันนี้ฤาษีคงจะมาชากวาปกติ จึงทรงสรงสนานดวยพระสุคันโธทก น้ําอบ นาํ้ หอม ตกแตง พระองคอ ยางสวยงาม บรรทมรอพระโพธิสตั วจะมา ฝายฤาษีกาํ หนด กะเวลาของตนแลวออกจากฌานเหาะไปสูพระราชนิเวศนทันที พระนางมุทุลักขณา ทรงสดับเสียงผาเปลือกไมทรงทราบวาพระฤาษีมา รีบเสด็จลุกขึ้น ดวยความรีบ รอนไมทันระวัง ผาทรงที่เปนผาเนื้อเกล้ียงก็หลุดลุย เปดใหเห็นพระวรกายบางสวน ฤาษเี หาะลงมาพอดแี ละเหน็ พระวรกายสว นนน้ั ไมไ ดส าํ รวมตา ตะลงึ ดดู ว ยอาํ นาจความ งาม กิเลสของทานกก็ าํ เริบขึน้ ทันใดน้ันเอง ฌานของทานก็เส่อื ม เปนเหมอื นกาปกหกั พระโพธสิ ตั วย นื ตะลงึ รบั อาหารโดยไมไ ดบ รโิ ภคเลย เสยี วสะทา นไปทว่ั กาย ขากลบั เหาะ ไมไ ดจ งึ เดนิ ลงจากปราสาทไป พระวรกายทเ่ี ปน ขา ศกึ ตอ พรหมจรรยย งั ตดิ ตาตรงึ ใจไฟ คอื กิเลศแผดเผาทาน รางกายกซ็ ูบเซยี วเพราะขาดอาหาร นอนซมนานถึง ๗ วนั ในวันท่ี ๗ พระราชาทรงปราบกบฏแลว เสด็จกลับมาโดยยังไมเสด็จไป พระราชนิเวศน เสด็จเลยไปยังพระราชอุทยานเพ่ือพบฤาษี เห็นฤาษีนอนซมอยู ทรงดําริวาฤาษีคงจะไมสบาย จึงรับสั่งใหทําความสะอาดบรรณศาลา พลางทรงนวด เฟนเทาให ตรัสส่ังถามวา ทานไมสบายเพราะอะไร ทรงทราบวา ฤาษีมีจิตปฏิพัทธ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 277

278 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªé¹Ñ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ในพระนางมุทุลักขณา จึงตรัสวาจะมอบพระนางมุทุลักขณาให ทรงพาพระฤาษีเขา พระราชนิเวศน ใหพระเทวีประดับพระองคใหงดงามแลวไดพระราชทานแกพระฤาษี แตกอนท่ีจะพระราชทานไดรับสั่งใหนางมุทุลักขณาใชปญญาปองกันตนเองใหได ฤาษี จงึ พา พระเทวอี อกจากพระราชนเิ วศน พระเทวพี าฤาษไี ปทเี่ รอื นรา งหลงั หนง่ึ ทใ่ี ชเ ปน หอ ง สว ม แลว ใชใ หฤ าษที าํ ความสะอาด ตงั้ แตโ กยสง่ิ สกปรกและขยะเอาไปทงิ้ ขนเอามลู โคมา ฉาบทาฝาเรอื น ขนเตยี ง ขนตง่ั ใชใ หไ ปตกั นาํ้ สาํ หรบั อาบ และปทู น่ี อน จนฤาษเี หนอ่ื ยลา ขณะนั้น พระนางเทวีทรงจับฤาษีที่กําลังนั่งขางๆ บนท่ีนอน ฉุดใหกมลงมาตรงหนา พลางตรสั เตอื นวา ทา นไมร ตู วั เลยหรอื วา ทา นเปน สมณะหรอื เปน ฤาษี ซงึ่ ตอ งมศี ลี ธรรม พระดาบสกลับไดสติข้ึนในขณะน้ัน แตตลอดเวลาท่ีผานมาทานไมรูตัวเอาเสียเลย เพราะอํานาจกิเลสทําใหไมรูตัวไดถึงเพียงน้ี จึงคิดวา ความอยากนี้เมื่อเกิดข้ึนแลว ทําใหเราโงหัวไมขึ้นจากอบายทั้ง ๔ เราควรถวายพระนางเทวีคืนแดพระราชา จึงพา นางเทวีไปถวายคนื พระราชา ทนั ใดนนั้ เอง พระฤาษกี ท็ าํ ฌานทเ่ี สอ่ื มไปใหเ กดิ ขน้ึ ใหม เหาะขน้ึ นงั่ ในอากาศ แสดงธรรม ถวายโอวาทแดพระราชา แลวเหาะไปสูปา หิมพานตทันที เจริญพรหมวหิ าร ไมเสื่อมจากฌาน ครัน้ ส้ินชีพแลวไดไ ปบังเกิดในพรหมโลก 278

ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÂÑ ) 279 ตวั อยางเรือ่ งทเี่ ปน อานิสงสข องการรักษาสิกขาบทที่ ๓ เร่อื ง พระเวสสันดร ตอนวนปเวสนกณั ฑ ขณะน้ัน พิภพของทาวสักกเทวราชสําแดงอาการเรารอน ทาวสักกะทรง พจิ ารณากท็ รงทราบเหตกุ ารณน นั้ จงึ ทรงดาํ รวิ า พระมหาสตั วเ สดจ็ เขา สหู มิ วนั ตประเทศ พระองคค วรไดท เ่ี ปนท่ปี ระทบั จงึ ตรสั เรียกพระวสิ สุกรรมเทพบุตรมาสง่ั วา ดพู อกอ น ทานจงไปสรา งอาศรมบทในสถานทอ่ี ันเปนรมณยี  ณ เว้ิงเขาวงกต แลว จงึ กลับมา ตรัส สงั่ ฉะน้ีแลวทรงสง พระวิสสกุ รรมไป พระวิสสุกรรมรบั เทวบัญชาวา สาธุ แลว ลงจาก เทวโลกไป ณ ท่ีน้ัน เนรมิตบรรณศาลา ๒ หลัง ที่จงกลม ๒ แหง และสถานท่ีอยู กลางคนื สถานที่อยกู ลางวนั แลว ใหม กี อไมอ นั วิจิตรดว ยดอกไมตางๆ และดงกลว ยใน สถานทน่ี น้ั ๆ แลว ตกแตง บรขิ ารของนกั บวชทงั้ ปวงจารกึ อกั ษรไวว า ทา นผหู นงึ่ ผใู ดใครจ ะ บวชกจ็ งใชบ รขิ ารเหลา นนั้ แลว หา มปอ งกนั มใิ หม เี หลา อมนษุ ยแ ละหมเู นอ้ื หมนู กทม่ี เี สยี ง นากลัวแลวกลับไปทอี่ ยขู องตน ฝา ยพระมหาสตั ว ทอดพระเนตรเห็นทางเดนิ คนเดยี ว ทรงกาํ หนดวา จกั มี สถานที่อยูของพวกบรรพชิต จึงให พระนางมัทรีและพระราชโอรสธิดาพักอยูท่ีประตู อาศรมบทพระองคเองเสด็จเขาสูอาศรมบท ทอดพระเนตรเห็นอักษรทั้งหลายก็ทรง ทราบความทท่ี า วสกั กะประทานดว ยเขา พระทยั วา ทา วสกั กะทอดพระเนตรเหน็ เรา แลว จงึ เปด ทวารบรรณศาลาเสดจ็ เขา ไป ทรงเปลอ้ื งพระแสงขรรค และพระแสงศรทพี่ ระภษู า ทรงนงุ ผาเปลอื กไมส ีแดง พาดหนงั เสือบน พระองั สา เกลามณฑลชฎา ทรงถอื เพศฤาษี ทรงจบั ธารพระกรเสดจ็ ออกจากบรรณศาลาใหค วามเปน สริ แิ หง นกั บวชตง้ั ขน้ึ พรอ มทรง เปลง อทุ านวา โอเปน สขุ เปน สขุ อยา งยงิ่ เราไดถ งึ บรรพชา แลว เสดจ็ ขนึ้ สทู จ่ี งกรม เสดจ็ จงกรมไปมาแลว เสดจ็ ไปสาํ นกั พระราชโอรสธดิ าและพระราชเทวดี ว ยความสงบเชน กบั พระปจเจกพุทธเจา ฝา ยพระนางมทั รเี ทวี เมอื่ ทอดพระเนตรเหน็ กท็ รงจาํ ได ทรงหมอบลงทพี่ ระบาท แหงพระมหาสัตวทรงกราบแลวทรงกรรแสงเขาสูอาศรมบทกับดวยพระมหาสัตว แลว ไปสูบรรณศาลาของพระนาง ทรงนุงผาเปลอื กไมสแี ดง พาดหนังเสือบนพระองั สา เกลามณฑลชฎาทรงถือเพศเปนดาบสินี ภายหลังใหพระโอรสพระธิดาเปนดาบสกุมาร คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 279


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook