280 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ดาบสินกี ุมารี กษตั ริยท ้ัง ๔ พระองค ประทับอยูทเ่ี วิง้ แหง ครี ีวงกต คร้ังนั้น พระนาง มัทรีทูลขอพรแตพระเวสสันดรวา ขาแตสมมติเทพ พระองคไมตองเสด็จไปสูปา เพ่ือแสวงหาผลไม จงประทับอยู ณ บรรณศาลากับพระราชโอรสและพระธิดา หมอ มฉนั จะนาํ ผลาผลมาถวาย จําเดิมแตนั้นมา พระนางนําผลาผลจากปามาบํารุงปฏิบัติพระราชสวามีและ พระโอรสพระราชธดิ า ฝา ย พระเวสสนั ดรบรมโพธิสตั วก็ทรงขอพรกะพระนางมัทรีวา แนพระนองมัทรีผูเจริญ จาํ เดิมแตนี้ เราทง้ั สองชอื่ วาเปน บรรพชิตแลว ขน้ึ ชอื่ วา หญิง เปน มลทนิ แกพ รหมจรรย ตงั้ แตน ไี้ ป เธออยา มาสสู าํ นกั ฉนั ในเวลาทไี่ มส มควร พระนาง ทรงรบั วา สาธุ แมเ หลา สตั วด ิรัจฉานทง้ั ปวงในท่ี ๓ โยชนโดยรอบไดมีเมตตาจิตตอ กัน และกันดวยอานุภาพแหงเมตตาของ พระมหาสัตว พระนางมัทรีเสด็จต่ืนลุกขึ้นต้ังแต เชา ตง้ั นา้ํ ด่ืมน้าํ ใชแลว นาํ นํา้ บวนพระโอฐ น้ําสรงพระพกั ตร ไมช ําระ พระทนตมาถวาย กวาดอาศรมบทใหพระโอรสพระธิดาท้ังสองอยูในสํานักพระชนกแลว ทรงถือกระเชา เสียม เสด็จเขาไปสูปาหามูลผลาผลในปาใหเต็มกระเชาเสด็จกลับจากปา ในเวลาเย็น เกบ็ ผลาผงไวใ นบรรณศาลาแลว สรงนาํ้ และใหพ ระโอรสพระธดิ าสรงนา้ํ ครง้ั นน้ั กษตั รยิ ทั้ง ๔ พระองค ประทับนั่งเสวยผลาผลใกลประตูบรรณศาลา จากนั้นพระนางมัทรี พระชาลีและพระกณั หาจึงไปสูบ รรณศาลากษัตรยิ ทง้ั ๔ พระองค ประทบั อยู ณ เวิง้ เขา วงกตตลอด ๗ เดอื น โดยทาํ นองน้แี ลดว ยประการฉะนี้ เรอื่ งพระเวสสนั ดร ตอนวนปเวสนกณั ฑน ี้ พระเวสสนั ดรขณะทรงถอื เพศเปน ดาบสหรอื เปน นักบวชน้ัน พระองค กท็ รงประพฤติพรหมจรรยซ ่งึ เปน การบาํ เพญ็ บารมี ของพระโพธสิ ัตวส ง ผลใหบ รรลุถงึ เปน พระสมั มาสมั พุทธเจา 280
ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÑÂ) 281 ÍâØ ºÊ¶ÈÕÅÊ¡Ô ¢Òº··Õè ô ÁØÊÒÇÒ·Ò àÇÃÁ³Õ เจตนางดเวนจากการพดู เทจ็ ๑. ความมงุ หมาย สิกขาบทนี้ มุงหมายเพื่อหามการตัดประโยชนทางวาจา ปองกันการทําลาย ท้ังประโยชนตน คือคุณธรรมท่ีมีในตน และประโยชนผูอ่ืนท่ีจะพึงเกิดขึ้นจากการ พูดเท็จหรือจากการใหขอมูลขาวสารที่ไมเปนจริง คนท้ังหลายยอมชอบและเชื่อถือ ความจริงดวยกันทุกคน จะถามหรือฟงขอความอะไรกับใคร ก็ตองการความจริง แมจะใหใครเชื่อถอยคําของตนก็ตองอางความจริงข้ึนมาพูด เม่ือความจริงเปนเชนน้ี ผูใดพูดมุสาก็ช่ือวาเปนการตัดประโยชนทั้งของตนและคนอ่ืน สิกขาบทนี้ มุงสงเสริม ใหรักษาความซ่ือสัตยสุจริต ความซื่อตรงตอกัน อันเปนเหตุนํามาซึ่งความรัก ความสามคั คีของหมคู ณะ ๒. เหตุผล คนชอบพูดเท็จ พูดโกหก หลอกลวง หรือพูดมีเลศนัยในแงมุมตางๆ น้ัน ไดชื่อวาทําลายคุณธรรมในจิตใจของตนเอง และจะทําใหกลายเปนคนเหลาะแหละ ขาดความนาเชอื่ ถือ ไมเ ปน ที่ไวว างใจของคนทงั้ หลาย ไมมีใครคบคา สมาคมดวย ไมมี เกียรตแิ ละศักดศิ์ รใี นสังคม ๓. ขอ หาม สิกขาบทที่ ๔ หา มการพดู เท็จ อันจะทําใหผ อู ่นื เขาใจผดิ คลาดเคล่ือนจาก ความเปน จรงิ หรือการพูดทท่ี ําลายประโยชนของผอู ื่น นอกจากนีผ้ รู ักษาอโุ บสถศลี เวน จากการพูดอนโุ ลมมุสา และ ปฏสิ สวะ ดวย มุสา มสุ า แปลวา เทจ็ ไดแ ก โกหก หมายถงึ การทาํ เทจ็ ทกุ อยา ง การแสดงความเทจ็ เพ่ือใหผอู ่นื เขาใจผดิ นน้ั ทาํ ไดท ัง้ ทางวาจาและทางกาย ดงั นี้ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 281
282 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ทางวาจา คือ พูดออกมาเปนคําเท็จ ตรงกับคําโกหก ซึ่งเปนท่ีเขาใจกัน อยแู ลว ทางกาย คอื การแสดงกริ ยิ าอาการที่เปนเทจ็ เชน การเขยี นจดหมายโกหก การเขยี นรายงานเทจ็ การทาํ หลกั ฐานปลอม การตพี มิ พข า วสารอนั เปน เทจ็ การเผยแพร ขา วสารอันเปนเท็จทางส่อื สารสนเทศ การทาํ เครอื่ งหมายใหค นอื่นหลงเช่อื รวมถึงการ ใชใ บใ หค นอนื่ เขา ใจผดิ เชน สงั่ ศรี ษะในเรอ่ื งควรรบั หรอื พยกั หนา ในเรอ่ื งทคี่ วรปฏเิ สธ มสุ า มีประเภทท่ีจะพงึ พรรณนาเปน ตวั อยา ง ดังนี้ ปด ไดแก มุสาตรงๆ โดยไมอาศยั มูลเลย เชน ไมเหน็ บอกวา เหน็ ไมรูบอก วารู ไมมบี อกวา มี เปนตน สอ เสียด คือ พูดยแุ ยงเพื่อใหเ ขาแตกกนั หลอก คือ พดู เพอ่ื จะโกงเขา พดู ใหเ ขาเช่ือ พูดใหเ ขาเสียของใหตน ยอ คอื พูดเพ่ือจะยกยอ งเขา พูดใหเขาลืมตัวและหลงตวั ผิด กลับคาํ คอื พูดไวแ ลแตต อนหลังไมยอบรับ ปฏิเสธวา ไมไดพูด ทนสาบาน ไดแ ก กริ ยิ าทเ่ี สย่ี งสตั วว า จะพดู ความจรงิ หรอื จะทาํ ตามคาํ สาบาน แตไมไ ดพูดหรือทําตามน้นั เชน พยานทนสาบานแลว เบกิ คําเทจ็ เปน ตน ทําเลหกระเทห ไดแก กิริยาที่อวดอางความศักดิ์สิทธิ์อันไมเปนจริง เพ่ือใหค นหลงเชอื่ นยิ มยกยอง และเปนอบุ ายหาลาภแสวงหาผลประโยชนสวนตน เชน อวดรูวิชา คงกระพนั วาฟน ไมเ ขายิงไมออก เปนตน มารยา ไดแ ก กิริยาทีแ่ สดงอาการใหเขาเหน็ ผิดจากที่เปนจรงิ เชน เปนคน ทุศีล ทําทา ทางเครงครัดใหเ ขาเหน็ วา เปน คนมีศีล ทําเลศ ไดแ ก พูดมุสาเลนสํานวน พูดคลมุ เครือใหผูฟง เขาใจผิด เชน เหน็ คนวิ่งหนีเขามา เม่ือผูไลติดตามมาถาม จึงยายไปยืนท่ีอื่นแลวพูดวา ต้ังแตมายืนท่ีนี่ ไมเ หน็ ใครเลย เสรมิ ความ ไดแ ก พูดมุสาอาศัยมลู เดิม แตเ สรมิ ความใหมากกวาทเ่ี ปน จรงิ เชน โฆษณาสรรพคุณสนิ้ คาเกนิ ความเปน จริง เปนตน อาํ ความ ไดแ ก พดู มสุ าอาศยั มลู เดมิ โดยตดั ขอ ความทไี่ มป ระสงคจ ะใหร อู อก เสยี เพอ่ื ใหผ ฟู ง เขา ใจเปน อยา งอน่ื เชน เรอ่ื งมากพดู ใหเ หลอื นอ ยเพอื่ ปด ความบกพรอ ง 282
ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 283 บุคคลพูดดวยวาจาหรือทํากิริยาแสดงทาทางอยางใดอยางหน่ึง ผูอ่ืนรูแลว เขาจะเชือ่ หรอื ไมเช่อื ไมเ ปนประมาณ บุคคลผูพ ูดหรอื แสดงอาการนัน้ ไดชอื่ วา พดู มสุ า ในสกิ ขาบทนี้ อนุโลมมสุ า อนโุ ลมมสุ า คือ การพดู เร่อื งไมเปนจรงิ แตม ไิ ดมเี จตนาจะทาํ ใหผูฟ ง เขาใจ ผดิ หรอื หลงเชอ่ื เพยี งแตพ ดู เพอ่ื ใหเ จบ็ ใจ มปี ระเภททจ่ี ะพงึ พรรณนาเปน ตวั อยา ง ดงั นี้ เสยี ดแทง ไดแ ก ทพี่ ดู ใหผ อู น่ื เจบ็ ใจ ดว ยอา งเรอ่ื งทไ่ี มเ ปน จรงิ เชน ประชด คอื การกลาวแดกดันยกใหสูงกวาพืน้ เพเดิมของเขา หรอื ดา คือการกลา วถอ ยคําหยาบชา เลวทรามกดตาํ่ กวาพื้นเพเดิมของเขา สับปลบั ไดแ ก พูดกลับกรอกเชอ่ื ไมได พดู ดว ยความคะนองปาก แตผ ูพ ูด ไมไดจ งใจจะใหคนอื่นเขาใจผดิ เชน รบั ปากแลว ไมท ําตามท่รี ับน้นั อนุโลมมุสานี้ แมจะมิไดเปนท่ีมุสา คือ คําเท็จโดยตรง แตก็นับเขาในมุสา ไมควรพดู เพราะพูดแลว มโี ทษ ผูนยิ มความสุภาพแมจะวากลา วสง่ั สอนลกู หลานก็ไม ควรใชค าํ ดาหรอื คําเสยี ดแทง ควรใชค าํ สภุ าพ แสดงโทษผดิ ใหรูส ึกตัวแลวหา มปราม มใิ หก ระทําตอไป ปฏสิ สวะ ปฏสิ สวะ ไดแ ก การรบั คาํ ของคนอน่ื ดว ยความตง้ั ใจจะทาํ ตามทร่ี บั คาํ นน้ั ไวจ รงิ แตภายหลังเกิดกลับใจไมทําตามท่ีรับคําน้ัน ทั้งที่ตนพอจะทําตามท่ีรับคํานั้นได มปี ระเภทที่จะพึงพรรณนาเปน ตวั อยาง ดังนี้ ผิดสัญญา หมายถึง การไมท าํ ตามท่ีตกลงกนั ไว เชน ตกลงกนั วาจะเลกิ คา สง่ิ เสพติด แตพ อไดโอกาสก็กลับมาคาอีก คืนคาํ หมายถงึ การไมท ําตามท่ีรับปากไว เชน รบั ปากจะใหสิง่ ของแลว ไมได ใหต ามที่ไดร ับปากไวนัน้ ถอยคาํ ทไี่ มจัดเปน มสุ าวาท ผูพูดพดู ตามความสาํ คัญของตน เรยี กวา ยถาสญั ญา หรอื ตามวรรณกรรม ซึ่งเปนคําพูดไมจริง แตไมมีความประสงคจะใหผูฟงเชื่อ ไมเขาขายผิดศีลตาม สกิ ขาบทท่ี ๔ น้ี มปี ระเภททจ่ี ะพึงพรรณนาเปนตัวอยาง ดังนี้ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 283
284 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท โวหาร ไดแก ถอยคําที่ใชเปนธรรมเนียม เพื่อความไพเราะของภาษา เชน การเขียนจดหมายที่ลงทายวา ดวยความนับถืออยางสูง เปนโวหารการเขียนตามแบบ ธรรมเนียมสารบรรณ ซ่ึงในความเปนจริงผูเขียนอาจไมไดนับถืออยางสูง หรืออาจไม ไดนบั ถือเชนน้ันดวยซํา้ ไป นยิ าย ไดแ ก เรอื่ งทแ่ี ตง ขนึ้ เรอ่ื งทเี่ ลา กนั มา เรอื่ งทน่ี าํ มาอา งเพอ่ื เปรยี บเทยี บ ใหไ ดใ จความเปน หลกั เชน นิทาน ละคร ลิเก ซง่ึ ในทองเรอ่ื งนน้ั อาจมเี น้อื หาที่ไมเปน ความจรงิ แตผ แู ตง ไมไ ดต ง้ั ใจใหค นหลงเชอื่ เพยี งแตแ ตง แสดงเนอื้ หาไปตามทอ งเรอ่ื ง สาํ คญั ผิด ไดแ ก คําพดู ทผ่ี พู ดู สาํ คัญผิดวา เปน อยา งนนั้ ทั้งท่คี วามเปน จริง มไิ ดเปน เชนน้ัน คือ ผพู ูดพูดไปตามความเขาใจของตน เชน ผพู ดู จบั ผดิ จงึ บอกผูถาม ไปตามวันที่จําผิดน้นั เปน ตน พล้งั ไดแก คาํ พูดทพ่ี ลาดไปโดยท่ไี มไ ดต ั้งใจหรือไมท ันคิด เชน ผูพดู ต้ังใจ จะพดู อยางหน่งึ แตก ลบั พลาดไปพดู เสยี อีกอยางหนงึ่ ๔. หลักวินิจฉัย การลวงละเมดิ สกิ ขาบทท่ี ๔ ท่ที าํ ใหศีลขาด ประกอบดวย องค ๔ คือ ๔.๑ อตถํ วตถฺ ุ เร่ืองไมจริง ๔.๒ วิสํวาทนจิตฺตํ จิตคิดจะพดู ใหผดิ ๔.๓ ตชโฺ ช วายาโม พยายามพูดออกไป ๔.๔ ปรสสฺ ตทตฺถวิชานนํ คนอ่นื เขาใจเน้ือความนนั้ ๕. โทษของการลวงละเมิด การประพฤติมุสาวาท จะมีโทษมากหรือนอย ขนึ้ อยกู บั ประโยชนท จ่ี ะถกู ตดั นอน หมายความวา ถา การพดู เทจ็ นนั้ ทาํ ใหเ สยี ประโยชน มากกม็ โี ทษมาก เชน บคุ คลที่ไมตองการใหข องๆ ตน พดู ออกไปวา ไมม ี กย็ ังมโี ทษ นอ ย แตถ า เปน พยานเทจ็ กอ ใหเ กดิ ความเสยี หายมากกม็ โี ทษมาก เปน ตน นอกจากนนั้ ผูท ่ีละเมิดยอ มไดรบั กรรมวบิ าก ๕ อยา ง คอื ๕.๑ เกิดในนรก ๕.๒ เกดิ ในกาํ เนดิ สัตวเ ดยี รัจฉาน ๕.๓ เกดิ ในกาํ เนดิ เปรตวิสัย ๕.๔ มีวาจาไมเปน ทเ่ี ช่อื ถอื มีกลิน่ ปากเหม็นจดั ๕.๕ ถกู กลา วตูอยเู สมอ 284
ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÑÂ) 285 ๖. อานสิ งส ผรู ักษาอุโบสถศลี ขอ ท่ี ๔ ยอมไดรับอานสิ งส ดงั นี้ ๖.๑ มีอนิ ทรยี ๕ ผอ งใส ๖.๒ มวี าจาไพเราะ มไี รฟนสมา่ํ เสมอเปน ระเบียบดี ๖.๓ มรี า งกายสมสวนบรบิ ูรณ ผวิ พรรณเปลงปล่งั ๖.๔ มีกลิ่นปากหอมเหมือนกล่ินดอกบัว ๖.๕ มวี าจาศกั ดิ์สทิ ธิ์ เปนท่เี ชอ่ื ถอื ของคนทว่ั ไป ๖.๖ มรี ิมฝปากแดงระเร่อื และรมิ ฝป ากบาง คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 285
286 ¤ÙÁ‹ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ตัวอยา งเรอ่ื งท่ีเปน โทษของการลว งละเมิดสกิ ขาบทท่ี ๔ เร่ือง เจตยิ ราชชาดก ในอดตี กาล สมัยท่ีพระเจา อปุ ริจรราช ครองราชยสมบตั อิ ยู ณ โสตถยิ นคร ในเจตยิ รฐั พระองคมีฤทธ์ิ ๔ อยาง มักเสดจ็ เหาะไปในอากาศ มเี ทพบุตร ๔ องค ถอื พระขรรคร กั ษาอยทู ง้ั ๔ ทิศ มีกล่ินจันทรห อมฟงุ ออกจากพระวรกาย มกี ลน่ิ อบุ ลหอม ฟุงออกจากพระโอษฐ พระองคม ีปโุ รหติ ช่ือวา กปลพราหมณ กปล พราหมณม นี องชาย ชื่อโกรกลัมพกะ เปนพาลสหายของพระเจาอุปริจรราชซ่ึงเคยเลาเรียนศิลปะในสํานัก อาจารยเดียวกันกับพระราชาในสมัยที่พระราชายังเปนพระราชกุมาร พระองคไดทรง ปฏิบัติปฏิญญากะโกรกลัมพกพราหมณไววา เมื่อเราไดครองราชยสมบัติแลว จักให ตาํ แหนงปุโรหติ แกทาน คร้ันพระองคข้ึนครองราชยสมบัติแลว ก็ไมอาจถอดกปลพราหมณ ซึ่งเปน ปุโรหิตของพระชนกออกจากตําแหนงปุโรหิตได ก็เม่ือกปลปุโรหิตเขาเฝา พระองคก็ ทรงแสดงความยําเกรง ดวยความเคารพในปุโรหิตน้ัน พราหมณสงั เกตอาการนัน้ แลว คิดวา ธรรมดา การครองราชยส มบตั ิ ตองบรหิ ารราชการรวมกบั ผูที่มัยเสมอกนั จึงจะดี จงึ ทลู ลาบวช โดยทลู ขอใหท รงตง้ั บตุ รของตนเปน ปโุ รหติ ไดร บั พระราชทานพระบรมรา- ชานญุ าตแลว เขาไปบวชเปน ฤาษี ณ พระราชอทุ ยาน ไดฌานและอภญิ ญา โดยอาศัย ลกู เปนผูบํารุง โกรกลมั พกพราหมณ ผกู อาฆาตพช่ี ายวา พ่ีชอบของเราน้แี มบวชแลว ก็ยัง ไมใหฐานันดรแกเรา วันหน่ึง ขณะที่สนทนากัน พระราชาตรัสถามถึงการท่ีเขาไมได ตาํ แหนงปโุ รหิต เขากราบทลู การทีไ่ มไดตาํ แหนง ปโุ รหิตนั้น ตนเองไมไดทํา พ่ีชายของ ตนเปนคนทํา แตครั้งแรกนั้น พระองคไมอาจใหพระองคถอดพ่ีชายจากฐานันดรเสีย แลวแตงตงั้ ขา พระองคเปน ปุโรหติ เพราะเปน ตนั ตปิ ระเพณีสบื เน่ืองมา พระราชาจึงตรัสวา จะแตงต้ังใหเปนใหญ แลวทําพี่ชายของโกรกลัมพก พราหมณใหมีสถานภาพเปนนองชาย โดยจะทรงกระทําโดยมุสาวาท โกรกลัมพก พราหมณกราบทูลวาพ่ีชายของเขามีวิชาที่นาอัศจรรยยิ่งนัก สามารถลวงพระองค ดว ยอุบายท่ไี มจรงิ เชน จกั ทําใหเทพบตุ รท้งั ๔ องคหายตวั จักทํากลิ่นหอมทฟ่ี ุงจาก พระวรกายและพระโอษฐใหกลายเปน กลิน่ เหม็น จักทาํ พระองคใหเ ปน เหมอื นพลัดตก 286
ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÑÂ) 287 จากอากาศลงมายืนอยูบนพนดิน พระองคจักทําเปนเหมือนถูกแผนดินสูบ จักไมอาจ ดาํ รงพระวาจาอยูได จะยังทรงยนื ยังจะทรงทําเชนนน้ั ถัดจากไป ๗ วนั พระราชดาํ รสั นนั้ ไดแ พรส ะพดั ไปทว่ั พระนคร มหาชนเกดิ ปรวิ ติ กขน้ึ อยา งนวี้ า ไดข า ววา พระราชาจักทรงทาํ มสุ าวาท ทําเด็กใหเ ปนผใู หญ จักใหผูใหญค นื ฐานนั ดรให แกเ ด็ก ขึน้ ชื่อวา มสุ าวาท เปนอยางไรหนอ มีสีอะไรกันแน สเี ขยี วหรือสีเหลอื ง เปนตน เนอ่ื งจากในสมยั นนั้ เปน สมยั ทช่ี าวโลกพดู แตค วามสตั ย คนทง้ั หลายจงึ ไมร วู า มสุ าวาท นี้เปนอยา งไร แมล กู ของปโุ รหติ พอไดย นิ ขา วนนั้ แลว กบ็ อกบดิ าวา พระราชาจกั ทาํ มสุ าวาท ทําพอใหเปนเด็ก แลวพระราชทานฐานันดรของลูกใหแกอา กปลดาบสกลาววา ถงึ พระราชาทรงทํามุสาวาท ก็ไมอ าจพระราชทานฐานันดรของเราแกอาเจา ได คร้ันถึงวันที่ ๗ มหาชนคิดวา จักดูมุสาวาท จึงไปประชุมกันที่พระลาน หลวงผูกเตียงซอนๆ กันขึ้นยืนดู เมื่อพระราชาเสด็จอยูในอากาศหนาลานหลวง ทามกลางมหาชน พระดาบสไดเหาะมาแลวลาดหนังรองนั่งตรงพระพักตรพระราชา ทูลถามและทราบวา พระราชาทรงประสงคจะทํามุสาวาท ทําเด็กใหเปนผูใหญ แลว พระราชทานฐานนั ดรแกโ กรกลมั พกพราหมณ โดยพระดาบสไดท ลู กบั พระราชาวา ขนึ้ ชอ่ื วา มสุ าวาท เปน บาปหนกั กาํ จดั คณุ ความดี ทําใหเกิดในอบายทง้ั ๔ ธรรมดาพระราชา เมอื่ ทรงทํามสุ าวาท ยอ มชอื่ วา ได ทาํ ลายธรรม ครน้ั ทําลายธรรมเสียแลว ยอ มไดช ื่อวาทําลายตนนนั่ เอง ถาพระองคจัก ทรงทาํ มุสาวาทจริง ฤทธ์ิ ๔ อยางของพระองคกจ็ ักอันตรธานไป เทวดาทงั้ หลายก็จะ พากนั หลกี หนีไปเสยี พระโอษฐจ ักมีกล่ินบดู เนาเหม็นฟงุ ไป ยอ มพลัดพรากจากฐานะ ของตนแลว ถกู แผน ดนิ สูบ พระเจาอุปริจรราช ไดสดับโอวาทของพระดาบสแลวมีพระหทัยกลัว ลําดับน้ัน โกรกลัมพกพราหมณจึงกราบทูลขอใหพระองคอยาทรงกลัว จงรักษา พระดาํ รสั ของพระองคไ ว พระราชาจงึ ไดต รสั วา ทา นเปน นอ งชาย โกรกลมั พกะเปน พช่ี าย ทนั ใดนน้ั เทพบตุ รทง้ั ๔ องคก ไ็ มอ ารกั ขาคนพดู มสุ าวาท ไดท งิ้ พระขรรคไ วใ กล พระบาทของพระราชา อนั ตรธานหายตวั ไปพรอ มกบั ทพี่ ระราชาไดต รสั มสุ าวาท พระโอษฐ ก็มีกล่ินเหม็นเหมือนฟองไขเนาแตก พระวรกายก็มีกลิ่นเหม็นเหมือนสวมท่ีเปดไว ฟุงตลบไปทว่ั พระราชาตกจากอากาศประทบั อยูบนแผนดนิ ฤทธิ์ทงั้ ๔ ไดเ สอ่ื มไปแลว คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 287
288 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉҪѹé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท พระดาบสไดกราบทูลเตือนพระราชา ขอใหพระองคอยาไดทรงกลัวเลย ถาพระองคต รัสสัจจวาจา เขากจ็ ะทาํ สิ่งท้ังปวงใหกลับเปนปกติ พระราชานน้ั ตรสั วา พระดาบสกลา วอยา งนเ้ี พอื่ จะลวงพระองค จงึ ตรสั มสุ าวาท เปนครัง้ ท่สี อง จึงถูกแผนดินสูบลงไปแคข อพระบาท ลาํ ดับนนั้ พระดาบสไดก ราบทูล เตอื นพระราชาขอใหพ ระองคจ งทรงกาํ หนดดผู ลแหง มสุ าวาท ทาํ ใหพ ระองคถ กู แผน ดนิ สูบไปแตพ ระชงฆแลว และจะสบู ลงไปอกี ถาพระองคต รสั สจั วาจา เขากอ็ าจทาํ ใหก ลับ เปน ปกติ พระเจาอปุ รจิ รราช ไดท รงทํามุสาวาทเปนครั้งทส่ี าม จึงถูกแผนดินสบู ลงไป แตพ ระชานุ ลาํ ดบั นน้ั พระดาบสไดก ราบทลู เตอื นพระราชาขอใหพ ระองคต รสั สจั จวาจา แลวพระองคกจ็ ะประทบั อยูในพระราชวงั ตามเดิมได มเิ ชนน้ัน พระชิวหาของพระองค จะแตกเปนสองแฉกเหมือนลิน้ งู จะถูกแผนดินสบู ลึกยิ่งลงไปอกี พระราชามิไดถือเอาถอยคาํ ของพระดาบสนัน้ ยงั ทรงทํามุสาวาทเปน ครั้งที่ ๔ จงึ ถูกแผนดินสูบลงไปแคบนั้ พระองค ลําดบั น้ัน พระดาบสไดก ราบทูลเตอื นพระราชา ขอใหพ ระองคต รสั สัจวาจา แลว พระองคกไ็ ปประทบั อยใู นพระราชวังตามเดมิ ได มิเชน นั้นพระชิวหาของพระองคจะไมมี จะถูกแผนดินสูบลึกยิ่งลงไปอีก พระเจาอุปริจรราช ไดทํามุสาวาทเปนคร้ังท่ี ๕ จึงถูกแผนดินสูบลงไปแคพระนาภี ลําดับนั้น พระดาบส ไดกราบทูลเตือนพระราชาขอใหพระองคตรัสสัจวาจา แลวพระองคก็จะประทับอยูใน พระราชวังตามเดิมได มิเชนน้ัน จะมีแตพระราชธิดาเทานั้นมาเกิด หามีพระราชโอรส มาเกดิ ในราชสกุลไมจ ะถกู แผน ดินสบู ลกึ ย่งิ ลงไปอกี พระราชามไิ ดท รงเชอ่ื ถอื ถอ ยคาํ ตรสั มสุ าวาทเชน นน้ั อกี เปน ครง้ั ท่ี ๖ ถกู แผน ดินสูบลงไปแตพระถัน ลําดับนั้น พระดาบสไดกราบทูลเตือนพระราชาขอใหพระองค ตรัสสัจวาจา แลวพระองคก็จะประทับอยูในพระราชวังตามเดิมได มิเชนน้ัน จะไมมี พระราชโอรส ถา มกี จ็ ะเสดจ็ หนไี ปยงั ทิศตางๆ หมด จะจถุ กู แผน ดินสูบลกึ ยิ่งลงไป พระเจาอุปริจรราชมิไดทรงเชื่อถือถอยคําของพระดาบส เพราะโทษคือ การคบคนช่วั เปน มิตร ไดทรงทาํ มสุ าวาทเชน นนั้ อีกเปนคร้งั ที่ ๗ ทันใดนน้ั แผน ดนิ ได แยกออกเปน สองชอ ง มีเปลวไฟจากอเวจี พลงุ ข้ึนไหมพระราชา พระโอรสทั้ง ๕ องคของพระเจาเจติยราชพากันหมอบลงท่ีเทาของ พระดาบสกลาววาขอทานจงเปนท่ีพ่ึงของพวกขาพเจาเถิด พระดาบสทูลวา พระชนก 288
ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÑÂ) 289 ของพระองคยังธรรมใหพินาศ กลาวมุสาวาท ดาพระฤาษีจึงตกนรกอเวจี ขึ้นช่ือวา ธรรมน้ีอันบุคคลทําลายแลว ยอมทําลายบุคคลน้ัน พวกพระองคท้ังหลาย ก็จะไม สามารถประทับอยูในพระนครน้ีได แลวใหทั้ง ๕ พระองคเสด็จออกไปยังทิศตางๆ เพ่ือสรา งพระนครใหม คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 289
290 ¤ÁÙ‹ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ตัวอยา งเรื่องท่ีเปนอานสิ งสข องการรักษาสกิ ขาบทที่ ๔ เรือ่ ง สุวรรณสามชาดก ในอดตี กาล ณ ทไ่ี มไกลแตก รุงพาราณสี มีบา นนายพรานหลังหนง่ึ รมิ แมนํ้า ฝง นแี้ ละมบี า นนายพรานอกี หลงั หนง่ึ รมิ ฝง โนน นายบา นทง้ั สองเปน สหายกนั ในเวลาท่ี ยงั หนมุ อยเู ขาไดท าํ กตกิ าสญั ญากนั อยา งนว้ี า ถา ขา งหนง่ึ มธี ดิ า ขา งหนง่ึ มบี ตุ ร เราจกั ให แตง งานกนั ลาํ ดบั นนั้ ในเรอื นของนายบา นฝง นค้ี ลอดบตุ ร ชอื่ า ทกุ ลู กมุ าร อกี ฝง คลอด ธดิ าชื่อวา ปาริกากุมารี เดก็ ท้งั สองรูปงาม นารัก มผี ิวพรรณดังทองคาํ แมเ กิดในสกลุ นายพรานกไ็ มท ําปาณาติบาต กาลตอ มา เมอื่ ทุกูลกมุ ารมีอายุได ๑๖ ป บดิ ามารดาพูดวา จะนํากุมารกิ ามา เพื่อเจาแตทุกูลกุมารมาจากพรหมโลก เปนสัตวบริสุทธ์ิ จึงปดหูทั้งสองบอกวา ไมต อ งการอยูค รองเรอื น โปรดอยาไดพูดแบบน้ี แมบ ิดามารดาพูดถงึ สองคร้ังสามครัง้ กไ็ มป รารถนา ฝา ยปารกิ ากมุ ารี แมบ ดิ ามารดาของเธอกพ็ ดู วา จะใหล กู แตง งานกบั บตุ ร ของสหาย ซง่ึ มรี ปู งาม นา รกั มผี วิ พรรณดง่ั ทองคาํ ปารกิ ากมุ ารกี ก็ ลา วหา มอยา งเดยี วกนั แลวปด หูทัง้ สองเสยี เพราะนางมาแตพรหมโลก เปน สตั วบ ริสุทธิเ์ ชน กัน ในคราวนน้ั ทกุ ลู กมุ ารไดส ง ขา วลบั ไปถงึ ปารกิ ากมุ ารวี า ถา เธอมคี วามตอ งการ ดว ยเมถนุ ธรรม กจ็ งไปสเู รอื นของบคุ คลอนื่ ฉนั ไมม คี วามพอใจในเมถนุ แมน างปารกิ า ก็สงขาวลับไปถึงทุกูลกุมารเชนนั้น แตบิดามารดาไดกระทําการแตงงานใหเธอท้ังสอง ผูไมปรารถนาเรื่องประเวณีเลย เธอท้ังสองมิไดหย่ังลงสูสมุทรคือกิเลส อยูดวยกัน เหมอื นมหาพรหม ฉะนน้ั ฝา ยทกุ ลู กมุ ารไมฆ า ปลาหรอื เนอ้ื โดยทส่ี ดุ กไ็ มข ายแมก ระทงั่ เน้อื ทบ่ี คุ คลนํามา ลําดับน้นั บดิ ามารดาพูดกะเขาวา เจา เกดิ ในสกลุ นายพราน ไมปรารถนาอยู ครองเรือน ไมทําการฆา สตั ว เจาจกั ทาํ อะไรกไ็ ด ทกุ ูลกุมารจงึ ขอทา นท้งั สองอนุญาตให บวช บดิ ามารดากอ็ นุญาต ถา เชนน้นั เจาท้งั สองบวชเถดิ ทกุ ลู กุมารและปารกิ ากมุ ารกี ็ ยนิ ดรี า เรงิ ไหวบ ดิ ามารดา แลว ออกจากบา น เขาสปู า หมิ วนั ตท างฝง แมน าํ้ คงคา มงุ ตรง สแู มนา้ํ มคิ สมั มตา 290
ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (Ç¹Ô ÑÂ) 291 ขณะนั้น พิภพแหงทาวสักกเทวราชสําแดงอาการเลารอน ทาวสักกเทวราช ทรงหวนรําลกึ ดู ก็ทรงทราบเหตุการณน้ัน จงึ ตรสั เรยี กพระวิสสุ ุกรรมเทพบุตรมาใหไ ป เนรมิต บรรณศาลาและบรรพชิตบริขารใหกับกุมารีท้ังสอง ไลเน้ือและนกท่ีมีสําเนียง ไมเปนท่ีชอบใจใหหนีไป แลวเนรมิตมรรคาชองทางท่ีเดินไดคนเดียว กุมารกุมารีเดิน ไปตามทางน้ัน ถงึ อาศรมบท ทกุ ูลบัณฑติ เขา สูบรรณศาลา เหน็ บรรพชติ บริขารกท็ ราบ วาทา วสักกะประทานให จงึ เปลอ้ื งผาสาฎกออก นุงหม ผา เปลอื กไมสแี ดง พาดหนังเสอื บนบา ผูกมณฑลชฎาทรงเพศฤาษีแลว ใหนางปารกิ าบวชเปนฤาษิณี ฤาษฤี าษิณีทงั้ สอง เจรญิ เมตตาภูมิกามาพจรอาศัยอยูในทีน่ ั้น แมฝูงเนอื้ และนกทัง้ ปง กก็ ลับไดเ มตตาจติ ตอกันและกันดวยอานุภาพเมตตาแหงฤาษีฤาษิณีท้ังสองน้ัน บรรดาสัตวเหลานั้นไมมี สัตวตัวใดเบียดเบียนกันเลย ฝายฤาษีฤาษิณีลุกขึ้นแตเชา ต้ังน้ําด่ืมและของฉันแลว กวาดอาศรมบททํากิจทง้ั ปวง ฤาษฤี าษณิ ที ้งั สองนนั้ นาํ ผลไมเ ลก็ ใหญม าฉนั แลว เขาสู บรรณศาลาของตนๆ เจริญสมณธรรม อยู ณ ที่นั้นตลอดมา ทา วสกั กเทวราชเสดจ็ มาสทู บี่ าํ รงุ แหง นกั บวชทง้ั สองนนั้ วนั หนง่ึ พระองคท รง พิจารณาเห็นอันตรายของนักบวชทั้งสองน้ันวา จักษุท้ังสองขางของทานท้ังสองน้ีจัก มืดบอด จึงลงมาจากเทวโลกเขาไปหาฤาษีแลวตรัสบอกวา อันตรายจะปรากฏแกทาน ทงั้ สองควรทที่ า นทง้ั สองจะไดบ ตุ รไวส าํ หรบั ปรนปฏบิ ตั ิ ขอทา นทงั้ สองจงเสพโลกธรรม ฤาษีไดสดับคําของทาวสักกเทวราชจึงกลาววา เราทั้งสองแมคราวที่อยูครองเรือน ก็หาไดเสพโลกธรรมไม เราท้ังสองละโลกธรรมน้ี เกลียดดุจกองคูถอันเต็มไป ดวยนอน ก็ในบัดนี้ เราท้ังสองเขาปา บวชเปนฤาษี จกั กระทํากรรมเชน นไ้ี ดอยางไรเลา ทาวสักกเทวราชตรสั วา ไมตองทาํ อยางน้นั ทําแตเ พียงเอามอื ลบู หนา ทอ งฤาษณิ ีในเวลา นางมีระดู ฤาษีรูวาถาทําแคนั้นก็ทําได จึงบอกฤาษิณีใหรูตัว แลวเอามือลูบทองนาง ในเวลาทน่ี างมีระดู ในกาลนน้ั พระโพธสิ ตั วจตุ ิจากเทวโลก ถือปฏสิ นธิในทอ งฤาษิณี กาลลว งไป ไดส บิ เดอื น ฤาษิณกี ็คลอดบุตรมผี วิ พรรณด่ังทองคํา ดว ยเหตุนั้นเอง บดิ ามารดาจงึ ตัง้ ชื่อบุตรวา สุวรรณสามกมุ าร เวลาทฤ่ี าษณิ ีไปปาเพอื่ หามูลผลาผล นางกินรีทั้งหลายท่ี อยภู ายในบรรพตไดทาํ หนาทีน่ างนม เวลาท่ีฤาษฤี าษณิ ีทัง้ สองสรงนาํ้ พระโพธสิ ัตวแ ลว ฝนหรดาลและมโนศิลาเปนตนที่แผนศิลา ประใหเปนเม็ดที่หนาผากแลวนํามาใหนอน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 291
292 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ในบรรณศาลา ฤาษิณกี ลบั มากใ็ หบุตรดืม่ นม กาลตอมา บิดามารดาดูแลรักษาบุตรนัน้ จนมอี ายไุ ด ๑๖ ป ใหน งั่ อยใู นบรรณศาลา ตนเองพากนั ไปปา เพอื่ หาผลาผลในปา ลาํ ดบั นนั้ พระมหาโพธสิ ตั วท รงคดิ วา อนั ตรายอะไรๆ จะพงึ มแี กบ ดิ ามารดาของเรา ในกาลใด กาลหนึง่ ขางหนาเปน แน จงึ สังเกตทางท่ีบดิ ามารดาไป อยูมาวันหนึ่ง เมื่อฤาษีฤาษิณีท้ังสองนํามูลผลาผลในปากลับมาในเวลาเย็น พอถึงที่ใกลอาศรมบท มหาเมฆต้ังขึ้น ฝนตก ทานทั้งสองจึงเขาไปสูโคนไมแหงหน่ึง ยนื อยบู นยอดจอมปลวก อสรพษิ อยภู ายในจอมปลวกนนั้ ถกู นา้ํ ฝนทเี่ จอื ดว ยกลน่ิ เหงอื่ จากสรีระของฤาษีฤาษิณีไหลลงเขารูจมูก มันจึงโกรธแลวพนลมในจมูกออกมา ลมในจมูกนนั้ ถกู จักษทุ ้งั สองขางของฤาษฤี าษิณนี ้ัน ท้งั สองกเ็ ปนคนจกั ษุมืดไมเห็นกนั และกัน ฤาษเี รียกฤาษณิ ีมาตางบอกกันและกันวา จักษุท้งั สองมืดบอด มองไมเห็นกนั ทั้งสองมองไมเห็นทางก็ยืนคํ่าครวญอยูดวยความเขาใจวาบัดน้ีชีวิตของเราท้ังสอง หมดแลว ก็ฤาษีฤาษิณีท้ังสองนั้น มีบุรพกรรมโดยทั้งสองนั้นในปางกอนเกิดในสกุล แพทยคร้ังนั้น แพทยน้ันรักษาโรคนัยนตาของบุรุษรํ่ารวยคนหน่ึง บุรุษนั้นจักษุหาย ดีแลว ไมใหคารักษา แพทยจึงโกธรเขา กลับไปเรือนแจงเรื่องน้ันแกภรรยา ปรึกษา กันวา จะทําอยา งไรดี ฝายภริยาไดฟ งกโ็ กรธ แนะนาํ ใหสามีประกอบยาขนานหนง่ึ ใหตา ท้ังสองของบุรุษนั้นบอดเสีย สามีเห็นดีดวย จึงออกไปหาบุรุษน้ัน ไดกระทําเชนน้ัน ตอ ไมน านนกั บรุ ษุ นน้ั ตาบอดทงั้ สองขา ง ฤาษฤี าษณิ ที ง้ั สองมจี กั ษมุ ดื บอดดว ยบาปกรรม ดงั กลาวน้ี ลําดับน้ัน สุวรรณสามกุมารคิดวา บิดามารดาเคยกลับเวลานี้ ทานท้ังสอง จะเปนอยางไรหนอ จึงเดินสวนทางรองเรียกหาไป ทานทั้งสองน้ันจําเสียงบุตรได ขานรับ แลวกลาวหามดวยความรักในบุตรวา มีอันตรายในที่นี้ลูกอยาเขามาเลย สวุ รรณสามกมุ ารตอบวา ถาเชน นน้ั ขอใหพอ แมจ บั ปลายไมเทา นแี้ ลวออกมาหาลูกเถิด สุวรรณสามกุมารถามวาตาพอแมบอดเพราะเหตุอะไร บิดามารดาก็เลาเร่ืองท่ีเกิดข้ึน ใหฟง สุวรรณสามกมุ ารไดฟ ง กร็ วู าเปนเพราะอสรพิษมีในจอมปลวกนัน้ สวุ รรณสามกมุ ารเห็นบิดามารดาแลวก็รองไหแ ละหวั เราะ บดิ ามารดาจึงถาม ถึงสาเหตทุ ร่ี องไหแ ละหวั เราะ สวุ รรณสามกุมารตอบวา ลกู รอ งไห ดว ยความเสยี ใจวา ตาของพอ แมบ อดในเวลาทล่ี กู ยงั เลก็ อยู แตท หี่ วั เราะกด็ ว ยความดใี จวา จกั ไดป รนนบิ ตั ิ 292
ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 293 บํารุงทานท้ังสองต้ังแตบัดนี้ ขอใหพอแมอยาไดคิดอะไร เลยลูกจักปรนนิบัติบํารุงให ผาสกุ พระมหาสตั วป ลอบโยนใหบ ดิ ามารดาเกดิ ความเบาใจ แลว นาํ กลบั ไปยงั อาศรมบท ผกู เชอื กใหเ ปน ราวในสถานทท่ี กุ แหง คอื ทพ่ี กั กลางคนื ทพ่ี กั กลางวนั ทจี่ งกรม ทบี่ รรณ ศาลา ทถ่ี ายอุจจาระ ปส สาวะ สําหรบั ใหบดิ ามารดาจับถอื เดนิ ไป ต้ังแตน น้ั มา ก็ใหบดิ า มารดาอยแู ตใ นอาศรมบท ตนเองออกไปนํามลู ผลาผลในปามาให กวาดท่ีอยตู ้ังแตเชา ไหวบ ดิ ามารดาแลว ถอื หมอ นา้ํ ไปสมู คิ สมั มตานที นาํ นาํ้ ดม่ื มา จดั ตง้ั ของฉนั ไว จดั เตรยี ม ของฉันไว จัดเตรียมไมสีฟนและน้ําบวนปากเปนตน ใหผลาผลที่มีรสอรอยแกทาน ทง้ั สองกอ น แลว ตนเองจงึ บรโิ ภคผลาผลทเี่ หลอื ทหี ลงั เสรจ็ กจิ บรโิ ภคแลว กไ็ หวล าบดิ า มารดา มีฝูงมฤคแวดลอม เขาปาเพ่ือหาผลาผล เหลากินนรที่เชิงบรรพตก็แวดลอม และชว ยเกบ็ ผลาผลให เวลาเยน็ สวุ รรณสามกมุ ารกลบั มาอาศรม เอาหมอ ตกั นา้ํ มาตง้ั ไว ตมน้ําแลวอาบและลางเทาใหแกบิดามารดาตามอัธยาศัย นํากระเบื้องถานเพลิงมา ใหผิง เช็ดมือเช็ดเทาแลวใหบิดามารดาบริโภคผลาผล สุวรรณสามกุมารไดปรนนิบัติ บํารุงบดิ ามารดา โดยทํานองนี้ตลอดมา สมยั นั้น พระราชาพระนามวาปล ยกั ขราช เสวยราชสมบัติอยูใ นกรงุ พาราณสี พระองคทรงอยากไดเ นือ้ มฤค จงึ มอบราชสมบัติใหพ ระชนนีปกครอง เตรียมอาวธุ เขา สปู า หมิ วนั ต ทรงฆา มฤคทง้ั หลายเสวยเนอื้ เสดจ็ ถงึ มคิ สมั มตานทลี ถุ งึ ทา ทสี่ วุ รรณสาม โพธสิ ตั วต กั นาํ้ ตามลาํ ดบั ทอดพระเนตรเหน็ รอยเทา มฤค กท็ รงเอากงิ่ ไมม สี เี ขยี วทาํ ซมุ โกง คนั ศรสอดลกู ศรอาบยาพษิ ประทบั นงั่ เตรยี มอยใู นซมุ นนั้ ฝา ยสวุ รรณสามกมุ ารนาํ ผลาผลมาในเวลาเยน็ วางไวในอาศรมบท ไหวบดิ ามารดา ลาไปตกั นา้ํ ถอื หมอ น้ํามฝี ูง มฤคแวดลอม ใหมฤคสองตัวเดินเคียงกัน วางหมอน้ําดื่มบนหลังมฤคทั้งสองโดยเอา มอื ประคองไว ไปสทู า นา้ํ ฝา ยพระราชาประทบั อยใู นซมุ ทอดพระเนตรเหน็ สวุ รรณสาม กมุ ารเดนิ มาทรงคดิ วาเราเที่ยวมาในปาหมิ วันตต ลอดกาลนานถึงเพียงนี้ ยงั ไมเคยเห็น มนุษยเ ลย เขาจะเปน เทวดาหรือนาคหนอ ถาเราจักเขาไปไตถาม ถาเขาเปนเทวดาก็จัก เหาะขน้ึ สอู ากาศ ถา เปน นาคกจ็ กั ดาํ เนนิ ไป แตเ ราจะอยใู นปา หมิ วนั ต ประเทศตลอดเวลา กห็ าไม ถา เราจักกลับกรงุ พาราณสี อมาตยท้ังหลายถามเราเกี่ยวกบั เขา ก็จะตอบไมได เขากจ็ กั ตเิ ตยี นเรา เพราะเหตนุ น้ั เราจกั ยงิ ผนู ท้ี าํ ใหเ ราทรุ พลภาพ แลว จงึ ถามเรอ่ื งของเขา ลําดับนํ้า ในเม่ือฝูงมฤคน้ันลงด่ืมนํ้าแลวขึ้นมา สุวรรณสามกุมารจึงคอยๆ ลงอาบน้ํา ระงับความกระวนกระวายแลวขึ้นจากน้ํา นุงหมผาเปลือกไมสีแดง เอาหนังสือพาด คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 293
294 ¤ÙÁ‹ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท เฉวยี งปา ยกหมอน้าํ ขึน้ วางบนบา ซา ย ก็ในกาลนนั้ พระราชาทรงคิดวา บดั น้เี ปนเวลา ทเี่ ราควรจะยงิ ได จงึ ยกลกู ศรอาบยาพษิ นน้ั ขนึ้ ยงิ สวุ รรณสามกมุ ารถกู ขา งขวาทะลอุ อก ขา งซา ย ฝงู มฤครวู า สวุ รรณสามกมุ ารถกู ยงิ ตกใจกลวั วง่ิ หนไี ป ฝา ยสวุ รรณสามแมถ กู ยงิ ก็ประคองหมอนํ้าไว ตั้งสติคอยๆ วางหมอน้ําลง คุยเกลี่ยทรายต้ังหมอนํ้า กําหนด ทิศหนั ศีรษะไปทางทิศท่บี ิดามารดาอยู เปน ดจุ สุวรรณปฏิมา นอนบนทรายมพี รรณดงั แผนเงิน ต้ังสติกลาววา ชื่อวาบุคคลผูมีเวรของเราในปาหิมวันตนี้ไมมี บุคคลผูมีเวร ของบิดามารดาของเราก็ไมมี กลาวดังนี้แลวถมโลหิตในปาก ยังไมเห็นพระราชาเลย เม่ือจะถามจึงกลา วคาถาความวา ใครหนอใชลกู ศรยิงเรา ผูประมาท กาํ ลงั แบกหมอนา้ํ อยู กษัตริย พราหมณ หรอื แพทยท ย่ี งิ เราแลวซอ มตัวอยู เม่อื กลา วอยางน้แี ลว เพ่อื จะ แสดงความท่รี า งกายของตนไมไ ดเปน อาหาร จงึ กลาวคาถาทส่ี องความวา เนอ้ื ของเราก็ กินไมได หนังก็ไมม ปี ระโยชน เมอื่ เปน เชน นี้ เปนเพราะเหตุอะไรหนอจงึ เห็นวาเราเปน ผูส มควรถกู ยิง จึงถามถึงช่ือผทู ย่ี งิ พระราชาทรงสดบั ดังนน้ั ทรงดํารวิ า บุรุษนแี้ มถ ูกเรายิงดวยลกู ศรอาบยาพิษ ลม ลงแลว กไ็ มด า ไมต ดั พอ เรา เรยี กหาเราเราดว ยคาํ ทไี่ พเราะ เราจกั ไปหาเขา แลว เสดจ็ ไปประทบั ยนื ในที่ใกลส ุวรรณสามกมุ าร แลวตรสั ความวา เราเปน พระราชาของชาวกาสี นามวา พระเจา ปลยักษ เราละแวนแควนเที่ยวแสวงหามฤค เพราะความโลภ เปนผเู กง เรอื่ งการยงิ ธนูแมนยาํ แมชางมาสูระยะลูกศรก็ไมอ าจหนีพน ไปได แลวตรัสถามถงึ ชอ่ื และบดิ ามารดาของสุวรรณสาม พระมหาสตั วไ ดฟ ง ดังน้ันแลว ดาํ รวิ า ถาเราบอกวาเราเปนเทวดา นาค ยกั ษ กนิ นร หรอื เปนกษัตริย เปน ตนอยางใดอยางหนึ่ง พระราชากจ็ ะเชื่อคําของเรา เราควร กลาวความจริงเทา นนั้ แลวจึงกราบทลู วา ขา พระองคเปนบตุ รฤาษี เปนหลานของนาย พราน ชอ่ื วา สามะ วนั นใี้ กลจ ะตายนอนอยอู ยา งน้ี เพราะถกู พระองคย งิ ดว ยลกุ ศรใหญ อาบยาพิษ เหมือนมฤคที่ถูกนายพรานปายิง ขอพระองคจงทดพระเนตรขาพระองค ผนู อนจมเลอื ดอยู และทอดพระเนตรลกู ศรทเี่ สยี บขา งขวาทะลขุ า งซา ย ขา พระองคบ ว น เลอื ด กระสบั กระสา ยอยู ขอทูลถามพระองควา พระองคย งิ แลว จะซอนตวั เองอยูทําไม เสอื เหลอื งถูกฆาเพราะหนัง ชา งถกู ฆา เพราะงา แลวขา พระองคจ ะถูกยงิ เพราะอะไร พระราชาทรงสดับคาํ ของสุวรรณสามกุมารแลว ไมตรสั บอกตามจรงิ ตรัสคาํ เท็จวา มฤคที่เราเหน็ พอในระยะลกู ศร พอเห็นทา นแลว ก็หนีไปหมด เราโกรธจงึ ยงิ ทา น 294
ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 295 ลาํ ดบั นนั้ พระมหาสตั วท ลู พระราชาวา พระองคต รสั วา อะไร ขน้ึ ชอื่ วา มฤคใน ปาหิมวนั ตน้ีที่เหน็ ขาพระองคแ ลวหนไี ป ไมม ี ต้งั แตขา พระองคจําความได รจู ักถูกผิด ฝงู มฤคในปา แมจ ะดรุ า ย กไ็ มส ะดงุ กลวั ขา พระองค และตงั้ แตป ฐมวยั ขา พระองคน งุ ผา เปลอื กไม ฝงู มฤคในปาแมด ุรา ย ก็ไมส ะดุงกลัวขาพระองค ฝงู กนิ นรผขู ลาดทอ่ี ยูภ ูเขา คันธมาทน เห็นขา พระองคก็ไมสะดุงกลวั พวกเราตางรักใครกันไมว า จะไปภเู ขาและปา เมื่อเปน เชน น้ี มฤคทั้งหลายเหน็ ขาพระองคแ ลว จะตกใจเพราะอะไร พระราชาไดส ดบั ดงั นน้ั แลว ทรงดาํ รวิ า เรายงิ สวุ รรณสามผไู รค วามผดิ แลว ยงั มสุ าวาทอกี เราจักกลาวคําจริงเทานั้น ตรัสวา เรากลา วเท็จ ความจริงมฤคเหน็ ทานแลว หาไดส ะดุง กลวั ไม เราถกู ความโกรธและความโลภครอบงาํ แลว จึงไดย งิ ทา น และทรง ทราบวาสุวรรณสามนี้ไมไ ดอ ยูปาคนเดียวเทาน้ัน คงมีญาติแนน อน พระราชาตรสั ถาม เขาความวาทานมาจากทีไ่ หน หรือใครใหท า นมาอยูที่นี่ ทา นไปตักนํา้ ท่แี มน ้าํ มคิ สมั มตา แลว ก็กลบั มาทาํ ไม พระโพธิสัตวไดสดับพระดํารัสของพระราชาแลว กล้ันความเจ็บปวด บวน เลอื ดแลวกลาวคาถาความวา บดิ ามารดาของขาพระองคต าบอด ขา พระองคเลยี้ งทา น ท้ังสองอยูในปาใหญ และจะนําน้ําไปใหทานท้ังสองน้ัน จึงไดมาที่แมน้ํามิคสัมมตานี้ แลว บน ราํ พนั ปรารภถงึ บดิ ามารดาวา อาหารของบดิ ามารดานนั้ ยงั พอมอี ยู เมอื่ เปน เชน น้ี ชีวิตของทา นจักดาํ รงอยูไดราว ๖ วนั ทานท้งั สองตาบอด เกรงวา จกั ตายเสีย เพราะไม ไดด่ืมนํ้า ความทุกขท่ีถูกยิงน้ีไมใชความทุกขที่ใหญเลย เพราะเปนความทุกขท่ีคนจะ ตองประสบอยูแลว สวนความทุกขท่ีไมไดเห็นบิดามารดา เปนความทุกขที่ใหญบิดา มารดาจะเปนกําพราเข็ญใจ จะรองไหอยูตลอดคืน จักเหือดแหงไปในครึ่งคืนหรือถึง ตอนเชา เลยทเี ดยี ว ดจุ แมน าํ้ เลก็ ในฤดรู อ น ขา พระองคเ คยหมนั่ บาํ รงุ บาํ เรอนวดมอื เทา ของทา นทง้ั สอง บดั นท้ี า นทงั้ สองไมเ หน็ ขา พระองคจ กั บน เรยี กหา ลกู ศรคอื ความโศกที่ สองนีแ้ หละทาํ ใหหวั ใจของขา พระองคห วัน่ ไหว เพราะไมไดเ หน็ ทา นทัง้ สองผมู จี กั ษุมืด ขา พระองคเ หน็ จกั ตายเสีย พระราชาทรงฟงความครํ่าครวญของพระโพธิสัตว ทรงดําริวา บุรุษน้ีเปน ผูป ระพฤตพิ รหมจรรย ตัง้ อยูใ นธรรม ปรนนบิ ตั บิ ดิ ามารดาอยางเยยี่ มยอด บัดนไี้ ดร ับ ความทกุ ขถ งึ เพยี งน้ี ยงั ครา่ํ ครวญถงึ บดิ ามารดา เราไดท าํ ความผดิ ในบรุ ษุ ผสู มบรู ณด ว ย คุณธรรมอยา งนี้ เราควรปลอบใจบรุ ษุ นอ้ี ยา งไรดหี นอ แลวทรงสนั นษิ ฐานวา การตาย คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 295
296 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉҪѹé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ของบรุ ุษนี้จกั เปนเหมอื นไมตาย ดว ยประการฉะน้ี จงึ ตรัสความวา ทา นอยาคร่ําครวญ มากเลย เราเกง เร่อื งธนูศลิ ป ยงิ แมนยํานกั จักฆามฤค และแสวงหามลู อาหารปา เลีย้ ง บิดามารดาของทาน บิดามารดาของทานอยูที่ปาไหน เราจักเลี้ยงบิดามารดาของทาน ใหเหมือนกับท่ีทานเล้ียง ลําดับน้ัน สุวรรณสามกุมารไดฟงพระราชดํารัสของพระราชานั้นแลว จึงกราบทูลวา ถาอยางน้ัน ขอพระองคโปรดเล้ียงดูบิดามารดาของขาพระองคเถิด เมอ่ื จะชหี้ นทางใหท รงทราบ จงึ ทลู บอกหนทางทเ่ี ดนิ ไดเ ฉพาะคนเดยี ว ซงึ่ อยทู างหวั นอน ของตน ใหพ ระราชาเสด็จไปแตท ีน่ ี้ระหวา งกึง่ เสยี งกู กจ็ ะถงึ สถานทอ่ี ยขู องบิดามารดา แลว เลี้ยงดูทานทัง้ สองในสถานท่ีนนั้ เถิด สุวรรณสามกมุ าร กราบทลู ชที้ างแลว อดกลนั้ เวทนาเปน ปานน้นั ไวด ว ยความ รักยิ่ง ในบิดามารดา ประคองอัญชลีทูลวิงวอนขอใหเลี้ยงดูบิดามารดา และกราบทูล อยางน้ีอีกวาขาพระบาทขอนอมกราบพระองค ขอพระองคทรงบํารุงเลี้ยงดูบิดามารดา ผตู าบอดของขา พระองค ขา พระองคข อประคองอญั ชลถี วายบงั คมพระองค ขอพระองค มพี ระดาํ รสั กะบดิ ามารดาของขา พระองคใ หท ราบวา ขา พระองคไ หวน บทา นทงั้ สองดว ย พระราชาทรงรบั คาํ สวุ รรณสามกมุ ารฝากการไหวบ ดิ ามารดาแลว กถ็ งึ วสิ ญั ญี สลบนง่ิ ไปเมอ่ื กลา วมาไดเ พยี ง เทา น้ีก็ดับลมหายใจ ไมไดก ลาวอะไรอีกเลย กใ็ นกาล นนั้ ถอยคาํ ทีเ่ ปนไปอาศัยหทยั รปู ซงึ่ ตดิ ตอจติ ของสวุ รรณสามกมุ ารนั้นขาดแลว เพราะ กาํ ลงั แหง พษิ ซาบซา น ปากกป็ ด ตากห็ ลบั มอื เทา กแ็ ขง็ กระดา ง รา งกายทงั้ สน้ิ เปอ นเลอื ด ลาํ ดบั นน้ั พระราชาทรงคดิ วา สวุ รรณสามนพี้ ดู กบั เราอยเู ดย๋ี วนี้ เปน อะไรไปหนอ จงึ ทรง พจิ ารณาตรวจดลู มหายใจของพระโพธสิ ตั ว กท็ รงทราบวา บดั นสี้ วุ รรณสามเสยี ชวี ติ แลว ไมส ามารถทจี่ ะกลนั้ ความโศกไวไ ด กว็ างพระหตั ถไ วบ นพระเศยี รครา่ํ ครวญราํ พนั ดว ย เสยี งอันดัง การน้ัน เทพธิดานามวา พสุนธรี อยูท่ีภูเขาคันธมาทน เคยเปนมารดาของ สวุ รรณสามกมุ าร ในชาตทิ ่ี ๗ เฝา ดแู ลอยเู ปน นจิ ดว ยความรกั ในบตุ ร กใ็ นวนั นน้ั นางมวั เสวยทพิ ยสมบตั อิ ยจู งึ มไิ ดด แู ล ตอ เมอื่ ในเวลาทสี่ วุ รรณสามกมุ ารสลบ นางพจิ ารณาดกู ็ รวู าพระเจาปลยกั ขยงิ บตุ รของนาง จงึ พร่ํารําพนั ดวยเสยี งอันดังวา ถาเราจกั ไมไปท่นี ้ัน สุวรรณสามบุตรของเราจักพินาศอยูในท่ีน้ี แมพระหทัยของพระราชาก็จักแตก บิดา มารดาของสามะจักอดอาหาร จะไมไดน้ําด่ืม จักเหือดแหงตาย ตอเม่ือเราไปท่ีน้ัน 296
ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÑÂ) 297 พระราชาจกั ถอื เอาหมอ น้าํ ด่มื ไปสทู ่ีอยขู องบดิ ามารดาของสุวรรณสามนนั้ และแลว ก็ จกั รบั วา เราฆา บตุ รของทา นเสยี แลว แลว จกั นาํ ทา นทง้ั สองนน้ั ไปสทู อ่ี ยขู องสวุ รรณสาม บุตรของเราจักไดชีวิตคืนมา จักษุท้ังสองขางของบิดามารดาสุวรณสามก็จักแลเห็น เปน ปกติ และพระราชาจกั ไดทรงสดบั ธรรมเทศนาของสวุ รรณสาม เสด็จกลบั พระนคร จักทรงบริจาคมหาทาน ครองราชยสมบัติโดยยุติธรรมไดไปสูสวรรค เพราะเหตุน้ัน เราจะไปในทน่ี นั้ เทพธดิ านนั้ จงึ ไปสถติ อยใู นอากาศโดยไมป รากฏกายทฝี่ ง มคิ สมั มตานที กลา วอนเุ คราะหก บั พระเจาปยลักขราชา พระองคท าํ ความผิดมาก ไดท าํ กรรมอนั ชั่วชา บิดามารดาและบุตรท้ังสามคนนี้ ไมมีความประทุษราย ถูกรพระองคฆาเสียดวย ลูกศรเดียว เชิญเสด็จมาเถิด ขาพเจาจะพร่ําสอนพระองคดวยวิธีที่พระองคจะไดไป สูสวรรค พระองคจ งเลี้ยงดบู ิดามารดาผูต าบอดโดยธรรม พระราชาทรงสดับคําของเทพธิดาแลว ทรงเช่ือวา เราเลี้ยงบิดามารดาของ สุวรรณสามแลว จักไปสูสวรรค ทรงดําริวา เราจะตองการราชสมบัติทําไมเลา เราจัก เล้ียงดูทานท้งั สอง ทรงต้งั พระหฤทัยม่นั ทรงทําความโศกใหเ บาบาง เขาพระฤหทยั วา สวุ รรณสามโพธสิ ตั วเ สยี ชวี ติ แลว จงึ ทรงบชู าสรรี ะของสวุ รรณสามนนั้ ดว ยดอกไมต า งๆ ประพรมดวยนํ้า ทําประทักษิณ ๓ รอบ ทรงกราบในฐานะทั้งสี่ แลวถือหมอนํ้าที่ พระโพธสิ ตั วใ สไวเตม็ ถงึ ความโทมนสั เสด็จบา ยพระพักตรไปทางทศิ ทักษณิ ปกตพิ ระราชเปน ผมู พี ระกาํ ลงั มาก ทรงถอื หมอ นาํ้ เขา ไปสอู าศรมบท ถงึ ประตู บรรณศาลาของทุกูลบัณฑิต ดุจคนกระแทกอาศรมใหกระเทือน ทุกูลบัณฑิตน่ังอยู ภายในไดฟงเสียงฝพระบาทแหงพระเจาปลยักขราช ก็นึกในใจวา นี้ไมใชเสียงฝเทา สวุ รรณสามบุตรของเรา เสียงฝเทา ใครหนอ เมือ่ จะถามจึงกลาวคาถาความวา นั่นเสยี ง ฝเ ทา ใครหนอ เสยี งฝเ ทา คนเดนิ เปน แน เสยี งฝเ ทา สามะบตุ รของเราไมด งั แบบน้ี ดกู อ น ทานผูไ มมที กุ ข ทานเปน ใครหนอ สามะบุตรของเราเดินเบา วางเทา เบา พระราชาไดสดับคําถามน้ัน ทรงดําริวา ถาเราไมบอกวาเราเปนพระราชา บอกวาเราฆาบุตรของทานเสียแลว ทานทั้งสองน้ีจักโกรธเรา จะกลาวคําหยาบกะเรา เม่ือเปนเชนนี้ ความโกรธของเราจักเกิดขึ้น ครั้นโกรธแลว เราก็จักเบียดเบียนทาน ท้ังสอง กรรมนั้นจกั เปนอกศุ ล ตอ เม่ือเราบอกวา เราเปน พระราชา ชื่อวาผูท่ีไมเ กรงกลวั ยอมไม เพราะฉะน้ัน เราจะบอกความท่ีเราเปนพระราชากอน ทรงดําริฉะนี้แลว ทรงวางหมอน้ําไวที่โรงน้ําดื่มแลวประทับยืนที่ประตูบรรณศาลา เมื่อจะแสดงพระองค คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 297
298 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªéѹⷠคมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ใหฤ าษรี ูจ ัก จึงตรสั วา เราเปนพระราชาของชาวกาสี นามวา พระเจาปลยักข ไดจากแวน แควน เทยี่ วแสวงหาเนอื้ มฤคะเพราะความโลภ อนงึ่ เราเปน คนเกง เรอื่ งธนศู ลิ ป ยงิ แมน มากนกั แมชา งมาสรู ะยะลูกศรของเราก็ไมสามารถหนไี ปได ฝา ยทุกลู บัณฑติ เมื่อจะทาํ ปฏิสนั ถารกบั พระราชา จงึ ทูลวา พระองคเ สด็จมา ดีแลว เสด็จมาแตไกลเหมอื นใกล พระองคม อี สิ ระจงึ เสด็จมาถึงแลว ขอจงทรงทราบ สิ่งที่มีอยูในที่นี้ ขอเชิญเสวยผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง และผลหมากเมา อันเปนผลไมเ ล็กนอย ขอไดเลอื กเสวยผลทด่ี ๆี เถดิ ของจงทรงดื่มน้ําซ่งึ เปนนํ้าเย็นท่ี นํามาจากมิคสมั มตานที ซึ่งไหลจากซอกเขาตามพระประสงคเถดิ เมื่อฤาษีทําปฏิสันถารอยางน้ีแลว พระราชาทรงดําริวา เราไมควรจะบอกวา เราฆาบุตรของทานกอน จะทําเหมือนไมรู พูดเร่ืองอะไรๆ ไปกอนแลวจึงคอยบอก ทรงดาํ รดิ ังนแ้ี ลว จึงตรสั วา ทานท้งั สองจักษมุ ืดไมส ามารถจะเหน็ อะไร ๆ ใครเลา หนอ นําผลไมมาเพื่อทานทั้งสอง สะสมผลไมนอยใหญไวอยางเรียบรอย เราเห็นเหมือน คนตาดสี ะสมไว ทุกูลบัณฑิตไดฟงดังนั้น เพื่อจะบอกวาตนมิไดนํามา แตบุตรของเราเปน คนนาํ มา จึงไดกลา ววา สามะหนมุ นอ ยรูปรางสันทดั งดงามนาดู ผมยาวดาํ เฟอ ยลงไป ปลายผมงอนขน้ึ ขา งบน เธอนน่ั แหละนาํ ผลไมม า ถอื หมอ นา้ํ ไปสแู มน า้ํ นาํ นาํ้ มา ซง่ึ ใกลจ ะ กลบั มาแลว พระราชาไดท รงสดบั ดงั นน้ั แลว จงึ ตรสั บอกวา พระองคไ ดฆ า สามกมุ ารแลว ตอนนน้ี อนอยทู หี่ าดทรายเปรอะเปอ นดว ยเลอื ด กบ็ รรณศาลาของปารกิ าฤาษณิ อี ยูใกลท ่อี ยขู องทกุ ลู บัณฑิต นางน่งั อยไู ดย นิ พระดํารัสของพระราชา ก็ใครจะรูประพฤติการณน้ัน จึงออกจากบรรณศาลาของตน ไปยังที่อยูของทุกูลบัณฑิตดวยการสาวเชือกเดินไปแลวกลาววา ขาแตทุกูลบัณฑิต ทานพูดกับใคร ซึ่งบอกวา ขาพเจาไดฆาสามกุมารเสียแลว ใจของดิฉันยอมหว่ันไหว เพราะไดย นิ วา สามกมุ ารถกู ฆา เสยี เหมอื นกง่ิ ออ นแหง ตน โพธม์ิ ใี บอนั ลมพดั ใหห วนั่ ไหว ลาํ ดบั นั้น ทกุ ลู บัณฑิตเมือ่ จะโอวาทนางปารกิ าฤาษณิ ีนน้ั จงึ บอกวา ทานผนู ี้ คือพระเจากาสี พระองคทรงยิงสามกมุ าร ท่ีมคิ สมั มตานที ดวยความโกรธ เราท้งั สอง อยา ไดปรารถนาใหพระองคไ ดรับบาปเลย ปาริกาฤาษิณีกลาวอีกวา บุตรที่รัก ท่ีหายากเชนน้ี ผูไดเล้ียงเราทั้งสอง ผตู าบอด บณั ฑติ ทงั้ หลายยอ มสรรเสรญิ บคุ คลผไู มโ กรธในบคุ คลผฆู า บตุ รคนเดยี วนน้ั 298
ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 299 ฤาษฤี าษณิ ีทัง้ สองไดพรรณนาคณุ ของพระโพธสิ ัตว ครํ่าครวญอยตู ลอดเวลา ลําดับน้ัน พระเจาปลยักขราช เมื่อจะทรงปลอมใจฤาษีฤาษิณี จึงตรัสวา ผูเปนเจาทั้งสอง อยาครํ่าครวญไปมากเลย เม่ือขาพเจาฆาสามกุมารเสียแลว ขาพเจา จกั รบั ภาระเลยี้ งดผู เู ปน เจา ทงั้ สองในปา ใหญ ขา พเจา เปน คนเกง เรอื่ งธนศู ลิ ป ยงิ แมน ยาํ จกั ฆา มฤคะและแสวงหามลู ผลในปา รบั ภาระเลย้ี งดทู านทั้งสอง ลําดับน้ัน ฝายฤาษีฤาษิณีสนทนากับพระราชาแลวทูลวา ขอถวายพระพร มหาบพติ ร สภาพน้นั ไมสมควร การจะทรงกระทาํ อยา งน้นั ตออาตมาทั้งสองไมส มควร พระองคเปนพระราชาของอาตมาท้ังสอง พระราชาไดทรงสดับดังนั้นทรงดําริวา โอนาอัศจรรย แมเพียงคําหยาบของฤาษีท้ังสองน้ี ก็ไมมีตอเราผูทําความประทุษราย ถึงเพียงนี้ กลับยกยองเราเสียอีก จึงตรัสอยางน้ีวา ขาแตทานผูเชื้อชาตินายพราย ทานกลาวเปนธรรม ทานบําเพ็ญความถอมตัว ขอทานจงเปนบิดาของขาพเจา ขาแต ปารกิ า ขอทานจงเปน มารดาของขาพเจา ฤาษฤี าษณิ ปี ระคองอญั ชลไี หว เมอื่ จะทลู วงิ วอนวา ขอถวายพระพรมหาบพติ ร พระองคไมมหี นาท่ีทีจ่ ะทําภาระแกอ าตมาท้งั สอง แตข อพระองคจ งทรงถอื ปลายไมเ ทา ของอาตมาทงั้ สองราํ ไปใหถ งึ ทอ่ี ยขู องสวุ รรณสาม อาตมาทงั้ สองจะสมั ผสั เทา ทง้ั สองและ ดวงหนาอนั งดงามของลกู แลวทรมานตนใหถงึ แกความตาย เมื่อทา นเหลาน้ันสนทนา กันอยอู ยางน้ี พระอาทติ ยก็อสั ดงคต พระราชาทรงดาํ รวิ า ถา เรานาํ ฤาษที ง้ั สองผตู าบอดไปใหถ งึ ทอี่ ยขู องสวุ รรณสาม ในบัดนี้ทีเดียว หทัยของฤาษีทั้งสองจักแตกเพราะเห็นสุวรรณสามน้ัน เราก็ช่ือวานอน อยใู นนรกในเวลาทีท่ า นทงั้ สามสิ้นชวี ิต ฉะนน้ั เราจกั ไมใ หฤ าษที ้งั สองนน้ั ไป จึงตรสั วา สามกมุ ารถกู ฆา ตายนอนอยใู นปา ไกลสดุ ตรงทด่ี วงจนั ทรด วงอาทติ ยต กลงเหนอื แผน ดนิ เกลือกเปอ นดว ยฝนุ ทราย ปาน้ันเปนปาใหญ เกลือ่ นไปดวยสตั วรา ย ผูเ ปนเจาทง้ั สอง จงอยูในอาศรมนีก้ อ นเถดิ ฤาษที ง้ั สองไดก ลา ววา ตนไมก ลวั สตั วร า ย พระราชาเมอ่ื ไมอ าจหา มฤาษฤี าษณิ ี ท้งั สองได ก็ทรงจูงมือนาํ ไปใหถึงทีส่ ุวรรณสาม กแ็ ลครัน้ ทรงนาํ ไปแลว ประทับยนื ในท่ี ใกลส ุวรรณสามแลว ตรัสวา นบี้ ตุ รของผูเปน เจาทงั้ สอง ฤาษผี เู ปน บดิ าของสุวรรณสาม โพธิสัตวชอนเศียรข้ึนวางไวบนตัก ฤาษิณีผูเปนมารดาก็ยกเทาข้ึนวางไวบนตักของตน นั่งบนรําพันอยูวา สภาพไมยุติธรรมมาเปนไปในโลกนี้ พอสามผูงาม พอมาหลับ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 299
300 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªéѹⷠคมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท เอาจรงิ ๆ เคลิบเคลมิ้ เอามากมาย ดังคนด่มื สรุ าเขม ขดั เคืองใครมา ถอื ตวั มิใชนอย มีใจพิเศษ ในเม่ือกาลลวงไปอยางนี้ ในวันน้ี พอไมพูดอะไรบางเลย พอสามนี้เปนผู ปรนนบิ ัตบิ าํ รงุ เราทง้ั สองผตู ามดื มาเสียชีวิต บัดนี้ ใครเลา จกั ชาํ ระชฎาอันหมน หมอง เปอนฝุนละออง ใครเลาจักจับคราดกวาดอาศรม ใครเลาจักจัดน้ําเย็นน้ํารอนใหอาบ ใครเลาจักใหเราท้ังสองไดบริโภคมูลผลาหารในปา ลูกสามนี้เปนผูปรนนิบัติบํารุงเรา ทัง้ สองผูตามดื มาเสยี ชวี ิตแลว ฤาษผี มู ารดาแหง สวุ รรณสามโพธสิ ตั ว เอามอื องั ทอ่ี กของพระโพธสิ ตั วพ จิ ารณา ความอบอุน คิดวาความอบอุนของบุตรเรายังมีอยู บุตรเราจักสลบดวยกําลังยาพิษ เราจักกระทําสัจจกิริยาแกบุตร เพื่อถอนพิษออก คิดฉะน้ีแลวไดกระทําสัจจกิริยา กลาวคําสัจวา ลูกสามไดเปนผูประพฤติธรรมเปนปกติ ไดเปนผูประพฤติดังพรหม เปน ปกติ ไดเ ปน ผูกลาวคําจรงิ มาแตกอ น เปนผูทีเ่ รารักย่ิงกวา ชีวิต โดยความจริงใด ๆ ดว ยการกลา วความจรงิ นน้ั ๆ ขอพษิ ในรา งกายของลกู สามของเราจงหายไป บญุ อยา งใด อยางหน่ึงท่ีลูกสามกระทํามาแลวเราและแกบิดามารดามีอยู ดวยอานุภาพกุศลบุญน้ัน ทัง้ หมดขอพิษของลูกสามจงหายไป เมื่อมารดาทําสัจจกิริยาอยางน้ี สามกุมารก็พลิกตัวกลับแลวนอนตอไป ฝายบดิ าคดิ วา ลกู ของเรายงั มชี ีวิตอยู เราจกั ทําสจั จกริ ยิ าบาง จึงไดทาํ สัจจกริ ยิ ากลาว คาํ สัจโดยนยั เชน เดยี วกับมารดา เม่ือบิดาทําสัจจกิริยาอยูนั้น สุวรรณสามพลิกตัวอีกขางหนึ่งแลวนอนตอไป ลาํ ดบั นนั้ เทพธดิ าผมู นี ามวา พสนุ ธรไี ดท าํ สจั จกริ ยิ าเปน ลาํ ดบั ทสี่ าม โดยกลา วสจั จวาจา ดวยความเอ็นดูตอสามกุมารวา เราอยูภูเขาคันธมาทนตลอดราตรีนาน ใครๆ อื่น ซ่ึงเปนที่รัก ของเรามากกวาสามกุมารนี้ไมมี ของหอมลวนแลวดวยไมหอมท้ังหมด ณ คนั ธมาทนบรรพตมีอยู ดว ยสจั จวาจาน้ี ขอพิษของลกู จงหายไป เม่ือฤาษที ั้งสองบน เพอ รําพันเปนอนั มากอยางนาสงสาร สามกุมารกล็ ุกขึน้ ไดเ ร็วพลัน ความอัศจรรยทั้งปวงคือ สุวรรณสามกุมารหายจากโรค ฤาษีทั้งสองผูเปน บิดารมารดาไดดวงตากลับเห็นเปนปกติ แสงอรุณข้ึน และทานํ้าไดปรากฏมีข้ึนใน ขณะเดยี วกันทเี ดียว บิดามารดาทงั้ สองไดด วงตาดเี ปนปกติแลว เกิดยินดีอยา งมากวา ลูกสามหายจากโรค ลําดับนน้ั สามบัณฑิตไดกลาวกะทานเหลานั้นวา ขา พเจามนี ามวา 300
ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÂÑ ) 301 สามะ ขอความเจริญจงมีแกทานท้ังหลาย ขาพเจาลุกข้ึนไดแลวโดยสวัสดี ขอทาน ทั้งหลายอยาคราํ่ ครวญนักเลย จงพูดกะขา พเจาดว ยเสยี งอันไพเราะเถดิ สุวรรณสามโพธิสัตวมองเหน็ พระราชา เมอื่ จะกราบทลู ปฏสิ ันถาร จงึ กลาววา ขาแตมหาบพิตร พระองคเสด็จมาดีแลว เสด็จมาแตไกลก็เหมือนใกล มีอิสระ เสด็จมาดีแลว ขอจงทรงทราบสิ่งที่มีอยูในที่น้ี ขอเชิญเสวยผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง และผลหมากเมา อันเปนผลไมเล็กนอย ขอโปรดเลือกเสวยผลท่ีดีๆ เถิด ขอจงทรงดืม่ นา้ํ ซึ่งเปนนํ้าเยน็ ทีน่ าํ มาแตม ิคสัมมตานที ตามพระประสงคเ ถิด พระราชาทอดพระเนตรเห็นความอัศจรรย เชนนั้น จึงตรัสวา ขาพเจา มดื มนึ งงไปหมด ขา พเจา ไดเ หน็ สามบณั ฑติ นนั้ เสยี ชวี ติ แลว ทาํ ไมจงึ ฟน ขน้ึ มาไดอ กี เลา ฝา ยสามบณั ฑติ ดาํ รวิ า พระราชาทรงเขา พระทยั วา เราตายแลว เราจกั ประกาศ ความท่เี รายงั ไมต ายแกพระองค จงึ กราบทูลวา ขา แตมหาราชเจา ชาวโลกยอ มสาํ คญั ซึ่งบุคคลผยู ังมชี ีวิตอยู เสวยเวทนาอยางหนัก ใกลหมดความรูส ึก ซงึ่ ยงั เปน อยูแท ๆ วาตายแลว ขาแตมหาราชเจา ชาวโลกยอมสําคัญซึ่งบุคคลผูยังมีชีวิตอยู เสวยเวทนา อยางหนัก ถึงความดบั สนิทแนน ่ิงนนั้ ซ่งึ ยงั เปนอยแู ท ๆ วาตายแลวก็แลครนั้ กราบทลู อยางนี้แลว สามบัณฑิตประสงคจะใหพระราชาต้ังอยูในประโยชน เมื่อจะแสดงธรรม จึงไดก ลาวอีกวา บุคคลใดเลย้ี งดูบิดามารดาโดยธรรม เทวดาและมนุษยท ้ังหลาย ยอ ม ชว ยแกไ ขคมุ ครองบคุ คลนน้ั นกั ปราชญย อ มสรรเสรญิ บคุ คลนน้ั บคุ คลนนั้ ละจากโลก นีไ้ ปแลว ยอมบนั เทงิ อยูในสวรรค พระราชาไดสดบั คาํ นั้นแลว ทรงดาํ รวิ า นา อัศจรรยหนอ แมเทวดาท้ังหลายก็ เยยี วยาโรคทเี่ กดิ ขนึ้ ไดแ ก บคุ คลผเู ลยี้ งดบู ดิ ามารดา สามบณั ฑติ ผนู ้ี ชา งงดงามเหลอื เกนิ ทรงดําริฉะนี้แลว ประคองอัญชลีตรัสวา ขาพเจาน้ี มืดไปหมดแลว ทานสามบัณฑิต ขา พเจา ขอถงึ ทานเปน สรณะ และขอทานจงเปนสรณะที่พึง่ ของขาพเจา สามบณั ฑติ กราบทลู ตอ พระราชาวา ขา แตม หาราช ถา พระองคม พี ระประสงค เสด็จสูเทวโลก บริโภคทิพยสมบัติใหญ จงทรงประพฤติทศพิธราชธรรมจรรยา เหลา นเี้ ถดิ โดยกลา วคาถาวา ดว ยการประพฤตทิ ศพธิ ราชธรรมความวา ขอพระองคท รง ประพฤติธรรมในพระชนก พระชนนี ในพระโอรส และพระมเหสี ในมิตรและอาํ มาตย ในพาหนะและพลนกิ าย ในชาวบานและชาวนคิ ม ในชาวแวนแควน และชาวชนบท ใน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 301
302 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท สมณะและพราหมณ ในฝงู มฤคและฝูงปกษีเถดิ ครัง้ พระองคป ระพฤติธรรมนั้น ๆ ใน โลกนแี้ ลว จักเสดจ็ สูส วรรค ธรรมท่ีพระองคท รงประพฤตแิ ลว ยอมนาํ ความสุขมาให พระอนิ ทร เทพเจา พรอ มทง้ั พระพรหมถงึ แลว ซงึ่ พมิ พสถาน ดว ยธรรมทปี่ ระพฤตดิ แี ลว ขา แตพ ระราชา ขอพระองคอ ยาทรงประมาทในธรรม พระโพธสิ ัตว (สุวรรณสามบณั ฑิต) แสดงธรรมถวายพระราชาอยา งนี้ เม่อื จะ จะถวายโอวาทยง่ิ ข้ึนไปอีก ไดถวายเบญจศีล พระราชาทรงรับโอวาทของพระโพธสิ ตั ว นั้นดวยพระเศียร ทรงไหวและขอขมาโทษแลวเสด็จกลับกรุงพาราณสี ทรงบําเพ็ญ พระราชกศุ ลมที าน เปน ตน ทรงรกั ษาเบญจศลี ครองราชยส มบตั โิ ดยธรรมสม่ําเสมอ ในที่สุดแหงพระชนมไดเสด็จสูสวรรค ฝายพระโพธิสัตวปรนนิบัติบํารุงบิดามารดา ยังอภิญญาและสมาบัติใหบังเกิด พรอมดวยบิดามารดามิไดเส่ือมจากฌาน ในที่สุด แหงอายขุ ยั ไดเ ขาถึงพรหมโลกพรอ มดว ยบดิ ามารดานน้ั แล 302
ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (Ç¹Ô ÂÑ ) 303 ÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ Ê¡Ô ¢Òº··Õè õ ÊÃØ ÒàÁÃÂÁªÚª»ÁÒ·¯þ€Ò¹Ò àÇÃÁ³Õ เจตนางดเวน จากการด่ืมน้ําเมา คอื สุราและเมรยั อันเปนท่ีตัง้ แหง ความประมาท ๑. ความมุงหมาย สิกขาบทนี้ มีความมุงหมายเพ่ือใหบุคคลในสังคมรูจักรักษาสติสัมปชัญญะ ของตนใหสมบูรณไมตกอยูในความประมาท อันเปนเหตุลวงละเมิดสิกขาบทขออ่ืนๆ ไดง า ยไมก ระทาํ การอนั เปน โทษแกต น ครอบครวั และสงั คม สง เสรมิ การรกั ษาสขุ ภาพ รา งกายใหแ ขง็ แรง ไมม โี รคภยั ไขเ จบ็ เบยี ดเบยี นปอ งกนั การเกดิ อบุ ตั เิ หตทุ เ่ี กดิ ขนึ้ เพราะ ความประมาทขาดสติ และปองกันปญหาเรื่องสงิ่ เสพตดิ ของมึนเมาทกุ ชนดิ ๒. เหตผุ ล สุราและส่ิงเสพติดทุกชนิด เปนสาเหตุสําคัญในการทําลายสติสัมปชัญญะ ของคนเรายิ่งกวาส่ิงใด จิตถาขาดสติก็เปนจิตไมมีคุณภาพ เนื่องจากสติเปนส่ิงจําเปน ในกิจทุกอยาง คนที่ขาดสติสัมปชัญญะยอมทําความเสียหายท้ังแกตนเอง สังคมและ ประเทศชาติสามารถกระทําผิดศีลขออื่นๆไดโดยงาย ปดโอกาสในการกระทําคุณงาม ความดที ง้ั หลายเปน ทาสสงิ่ เสพตดิ แมม ชี วี ติ อยกู เ็ สมอื นตายทงั้ เปน ดงั นนั้ การไมด มื่ เหลา และไมเ สพสงิ่ เสพตดิ จงึ เปน การประกนั คณุ คา ชวี ติ ของตน ทา นจงึ หา มไมใ หล ว งละเมดิ สกิ ขาบทนี้ ๓. ขอ หา ม สิกขาบทนี้ หา มดมื่ นํา้ เมา หา มเสพส่ิงเสพตดิ ใหโ ทษทุกชนิด นํา้ เมามี ๒ ชนิด คอื สรุ า และเมรยั สุรา หมายถึง น้ําเมาทไี่ ดจากการกลนั่ เรียกอีกอยางหน่ึงวา เหลา ซง่ึ กลัน่ สกัดใหม รี สเมาแรงย่ิงข้นึ ในคัมภรี ว นิ ยั ปฎ ก จาํ แนกสรุ าเปน ๕ ชนิด คอื สรุ าทําดว ย แปง สรุ าทําดว ยขนม สรุ าทําดวยขาวสกุ สุราทใ่ี สเชอ้ื สรุ าท่ใี สเ คร่อื งปรุงตางๆ เมรยั หมายถงึ นา้ํ เมาทยี่ งั ไมไ ดก ลนั่ เปน แตเ พยี งของดอง เชน สาโท เหลา ดบิ กระแช นา้ํ ตาลเมา เครอื่ งดมื่ ทม่ี สี ารแอลกอฮอลผ สมทกุ ชนดิ ในคมั ภรี ว นิ ยั ปฎ ก จาํ แนก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 303
304 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท เมรยั เปน ๕ ชนิด คือ เมรยั ทําดวยดอกไม เมรยั ทาํ ดวยผลไม เมรยั ทําดวยนา้ํ ผึ้ง เมรัย ทําดว ยนํ้าออ ย เมรยั ทใ่ี สเ ครอ่ื งปรุงตา งๆ สิ่งเสพติดใหโทษทุกชนิด เชน ฝน กัญชา มอรฟน เฮโรอีน ยาบา ยาอี ยาไอซ เปน ตน กห็ ามตามสกิ ขาบทน้ี สิกขาบทน้ี หามด่ืมนํ้าเมา หามเสพส่ิงเสพติดใหโทษ อันเปนสาเหตุแหง ความประมาท คอื ทาํ ใหส ตฟิ น เฟอ น ๔. หลกั วนิ จิ ฉัย การลวงละเมดิ สิกขาบทที่ ๕ ทท่ี าํ ใหศ ลี ขาด ประกอบดวยองค ๔ คือ ๔.๑ มทนยี ํ นํ้าน้นั เปน นํ้าเมา ๔.๒ ปาตุกมฺยตาจิตตฺ ํ จิตคดิ จะดืม่ ๔.๓ ตชฺโช วายาโม พยายามดมื่ ๔.๔ ปตปปฺ เวสนํ ดื่มใหล ว งลําคอลงไป การลวงละเมิดสิกขาบทท่ี ๕ นี้ นอกจากวิธีการดื่มแลว สิ่งเสพติดอ่ืนๆ ที่เสพดวยวิธีการฉีด สูบ รมควัน หรือวิธีอื่นใดที่ทําใหสิ่งเสพติดนั้นเขาสูรางกาย ก็อนุโลมตามหลักวนิ ิจฉยั นี้ การด่ืมสุราเมรัยท่ีทําใหศีลขาด จะตองพรอมดวยองค ๔ นี้ ครบทุกขอ ถํ้าไมครบศลี ก็ไมขาด เชน องคท่ี ๑ น้ําท่ีด่ืมน้ันตองเปนนํ้าเมา แตนํ้าท่ีดื่มนั้นไมใชน้ําเมา ถือวายัง ไมลวงละเมดิ องคท ี่ ๑ แมจ ะมคี วามคดิ ท่จี ะด่มื น้ําเมากต็ าม เนื่องจากองคท ี่ ๑ น้เี ปน อจิตตกะ คือ ไมข้ึนกับความคิดของผูลวงละเมิด แตข้ึนอยูกับวัตถุที่ลวงละเมิด คือน้ําเมา การนําสุรามาปรุงรสอาหาร ปรุงยา หรือใชเปนกระสายยา เพ่ือใหยานั้น มีประสิทธิภาพดีข้ึน ลักษณะเชนน้ีถือวายังไมลวงละเมิดองคท่ี ๑ เชนเดียวกัน กรณสี ่งิ เสพตดิ อนื่ ๆ กเ็ ทยี บเคียงนัยเดียวกันกบั นํ้าเมานี้ องคท ี่ ๒ ผดู มื่ ตง้ั ใจจะดม่ื นา้ํ เมา หรอื ตง้ั ใจจะเสพสงิ่ เสพตดิ ใหโ ทษ ถอื วา ลว ง ละเมิดองคที่ ๒ องคท ่ี ๓ พยายามดม่ื คอื ดม่ื ดว ยตนเอง หรอื พยายามเสพเขา สรู า งกาย ถอื วา ลว งละเมิดองคท ี่ ๓ 304
ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 305 องคท ี่ ๔ ดม่ื ใหล ว งลาํ คอลงไปกาํ หนดในขณะทนี่ าํ้ เมาไหลลว งลาํ คอลงไป หรอื สงิ่ เสพตดิ ใหโทษเขา สูรา งกาย ถอื วา ลว งละเมิดองคท ่ี ๔ ๕. โทษของการลว งละเมดิ การดมื่ สรุ าเมรยั เสพสงิ่ เสพตดิ จะมโี ทษมากหรอื นอ ยตามอกศุ ลจติ หรอื กเิ ลสในการดม่ื ตามปรมิ าณทดี่ ม่ื และตามผลทจ่ี ะกอ ใหเ กดิ การ กระทาํ ผดิ พลาดชั่วราย นอกจากนน้ั ผทู ่ีลวงละเมิดยอมไดรบั กรรมวิบาก ๕ อยา ง คือ ๕.๑ เกิดในนรก ๕.๒ เกดิ ในกําเนดิ สัตวเดยี รัจฉาน ๕.๓ เกิดในเปรตวสิ ยั ๕.๔ มสี ตไิ มส มประกอบ ๕.๕ เปน บา โทษของการดมื่ น้าํ เมาและสงิ่ เสพตดิ มี ๖ ประการดังนี้ เปน เหตุทาํ ใหเ สียทรัพย เมอ่ื บคุ คลดมื่ สรุ าและเสพสงิ่ เสพตดิ เนอื งๆ ยอ มจะเลกิ ยาก เปน เหตใุ หต ดิ สรุ า และเปน ทาสสง่ิ เสพตดิ ทงั้ เปน เหตทุ าํ ใหม วั เมาในอบายมขุ อนื่ ๆ ตามมา เชน เทยี่ วผหู ญงิ เท่ียวกลางคืน เลนการพนัน คบคนช่ัวเปนมิตร จึงเปนเหตุทําใหเสียทรัพย พอเปน ตวั อยาง ดังน้ี ๑. เสียทรัพยเพราะซือ้ มาด่มื หรอื เสพเองและเลย้ี งคนอื่น ๒. เสยี ทรพั ยเ พราะส่งิ เสพตดิ มีราคาแพง ๓. เสยี ทรัพยเ พราะเพิ่มปริมาณการดื่มการเสพ ๔. เสยี ทรพั ยเพราะตอ งรกั ษาโรคท่เี กิดจากส่งิ เสพติด เปน เหตกุ อการทะเลาะววิ าท คนทข่ี าดสตเิ พราะดม่ื สรุ าหรอื เปน ทาสสง่ิ เสพตดิ ไมส ามารถควบคมุ อารมณ ตนเองไดม จี ติ ใจแปรปรวนผดิ ปกติ มคี วามกลา บา บนิ่ บนั ดาลโทสะ หงดุ หงดิ ฉนุ เฉยี ว มุทะลุ ววู าม ไมเกรงกลวั ใคร ชอบพูดพลามกวนโทสะคนอ่นื ลวนลามไดท ุกคนไมวา ลูกเมียใคร สามารถท่ีจะทะเลาะวิวาทหรือทํารายคนใกลชิดและคนอื่นไดโดยงาย โดยที่สุดถงึ กับฆากันตายกม็ ี คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 305
306 ¤ÙÁ‹ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªé¹Ñ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท เปนเหตเุ กดิ โรค ส่ิงเสพติดเมื่อเสพเขาไปแลวมีผลทําใหบั่นทอนสุขภาพ เกิดโรคในรางกาย หลายชนดิ ไดง า ย ในวงการแพทยย นื ยนั ตรงกนั วา สรุ าเปน วตั ถทุ เ่ี ปน อนั ตรายตอ อวยั วะ ทางเดินอาหาร ระบบประสาท ทางเดินของโลหิต ตอมไรทอ และระบบการหายใจ จึงเปนเหตุทําใหเกิดโรคตา งๆ ดงั น้ี ๑. โรคทางระบบประสาท เชน นอนไมห ลบั จติ หลอน ประสาทหลอน พรา่ํ เพอ กลามเนื้อสวนปลายแขนขาออนแรง ซึมเศรา ลมชัก ระแวง ๒. โรคมะเร็ง เชน มะเร็งในปากและชองปาก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็ง ลําไสใ หญ มะเรง็ กระเพาะอาหาร มะเรง็ ตับ มะเรง็ เตา นมในผูหญงิ มะเร็งรงั ไข ๓. โรคเรอื้ รงั เชน ตบั ออ นอกั เสบเฉียบพลนั เบาหวาน ตับอกั เสบ กระเพาะ อาหารอักเสบ โรคตอมหมวกไต กระดกู พรุน โรคเกา ต พษิ สุราเรอ้ื รงั ๔. โรคทางระบบหลอดเลอื ดและหวั ใจ เชน เสน เลอื ดทเ่ี ลยี้ งหวั ใจตบี กลา มเนอื้ หวั ใจเส่อื ม ความดนั โลหติ สงู เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ สมองสว นนอกลีบฝอ หวั ใจ เตน ผดิ จงั หวะ หวั ใจลมเหลว เปนเหตุเสียชื่อเสยี ง คนทตี่ ดิ สรุ าหรอื เปน ทาสสง่ิ เสพตดิ มสี ตฟิ น เฟอ น ยอ มกระทาํ ความผดิ ทาํ ลาย ชอ่ื เสยี งทกุ อยา งทตี่ นสงั่ สมมา จงึ เปน เหตเุ สยี ชอื่ เสยี งพอจะพรรณนาเปน ตวั อยา ง ดงั น้ี ๑. เสยี ความนยิ ม เสยี เคารพนับถอื ๒. เสียความเปนแบบอยา งทีด่ ขี องครอบครัว ลกู หลาน และคนทว่ั ไป ๓. เสยี สถานภาพทด่ี ที างสังคม เชน เปนผูใ หญบา น เปนกาํ นนั กไ็ มไ ดร ับ ความเชื่อถือ เปน ตน ๔. ถกู บณั ฑติ ติเตยี น เปนเหตใุ หไมรจู กั ละอาย วิญูชนยอมสงวนศักด์ิรักเกียรติของตนเอง จึงไมทําส่ิงที่นาอดสูใหคน ท้ังหลายดูหม่ิน แตสุราและส่ิงเสพติดทําใหคนท่ีเสพแลว ลืมเกียรติยศศักด์ิศรีของ ตนเอง แสดงกริ ยิ าวาจาอันนาอดสไู ดทกุ อยาง มนี อนกลางถนน ถา ยอจุ จาระปส สาวะ 306
ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (Ç¹Ô ÑÂ) 307 ตอ หนา สาธารณชน เปด เผยอวยั วะอนั พงึ ปกปด พดู จาหยาบคาย พูดเพอเจอ พดู เร่อื ง ทไ่ี มควรเปดเผย เปน ตน บ่ันทอนกําลงั ปญญา สรุ าและสง่ิ เสพตดิ ทาํ ลายระบบประสาท ทาํ ลายสติ และทาํ ลายสขุ ภาพดงั กลา ว แลวทําใหคนติดสุราและส่ิงเสพติดมีสมองมึนชา มีปญญาทึบ ขาดไหวพริบปฏิภาณ ขาดเชาวป ญญา คิดเชอ่ื งชา ความจําเส่อื ม หลงลืมงา ย ๖. อานิสงส ผรู กั ษาอโุ บสถศีลขอที่ ๕ ยอ มไดร ับอานสิ งส ดังนี้ ๖.๑ รูจักอดตี อนาคต ปจจุบนั ไดร วดเร็ว ๖.๒ มสี ตติ ั้งมน่ั ทกุ เมือ่ ๖.๓ มีความรมู าก มปี ญญามาก ๖.๔ ไมบ า ไมใบ ไมมวั เมาหลงใหล ๖.๕ มวี าจาไพเราะ มนี า้ํ คาํ เปนทนี่ า เชื่อถอื ๖.๖ มคี วามซ่อื สัตย สุจรติ ทั้งกาย วาจา ใจ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 307
308 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ตวั อยางเร่ืองทเ่ี ปน โทษของการลว งละเมดิ และอานิสงสข องการรกั ษาสกิ ขาบทที่ ๕ เรื่อง บตุ รเศรษฐมี ีทรพั ยมาก ดงั ไดสดับมา บุตรเศรษฐี เกิดในตระกูลทมี่ สี มบตั ิ ๘๐ โกฏิ ในกรงุ พาราณสี มารดาบิดาของเขาคิดวา ในตระกูลของเรามีกองสมบัติเปนอันมาก เราจักมอบสมบัติ นั้นแกลูกใหใชสอยอยางสบาย ไมตองทําการงานอะไร จึงใหลูกศึกษาศิลปะเพียง การฟอ น ขบั และประโคมดนตรีเทานนั้ ในพระนครนั้น แมธ ดิ าคนหน่ึงกเ็ กดิ ในตระกูลอืน่ ท่มี ีสมบตั ิ ๘๐ โกฏิเชนกนั บิดามารดาของนางก็คิดอยางน้ันเหมือนกันใหลูกสาวศึกษาศิลปะเพียงการฟอน ขับ และประโคมดนตรีเทา นน้ั เมอื่ เขาทงั้ สองเจรญิ วยั แลว กไ็ ดแ ตงงานกัน เมือ่ มารดาบิดา ของคนทง้ั สองนนั้ ไดถ งึ แกก รรม จึงมีทรัพย ๑๖๐ โกฏิรวมอยูบ า นหลงั เดียวกนั เศรษฐี ไปพระราชวงั วนั ละ ๓ หน พวกนกั เลง คดิ กนั วา ถา เศรษฐนี ี้ จกั เปน นกั ดมื่ สรุ าพวกเราก็ จะสบาย พวกเราจะสอนใหเ ขาเปน นกั ดมื่ สรุ า พวกนกั เลงนนั้ จงึ ถอื สรุ า นงั่ ดบู ตุ รเศรษฐี ท่ีมาจากราชสกุล เห็นเขากําลังเดินมา จึงด่ืมสุรา เอากอนเกลือใสปาก กัดหัวผักกาด กลา ววา ขอใหท า นเศรษฐีมอี ายยุ ืนเปน ๑๐๐ ปเ ถดิ พวกผมอาศัยทานก็จะมกี ินมดี ่ืม เศรษฐีฟงคําของพวกนักเลงนนั้ แลว จึงถามคนใชทส่ี นทิ วา พวกน้ันดื่มอะไร คนใชตอบวา น้ําดื่มชนิดหนึ่ง เศรษฐีถามตอวา มีรสชาตอิ รอยไหม คนใชตอบวา ไมม ี นํา้ อะไรในโลกนท้ี ี่จะมาเทยี บเทา เศรษฐีพูดวา เม่ือเปนเชนน้ันเราก็นาจะดื่ม จึงใหนํามาแลวดื่มนิดหนอย เม่ือนักเลงเหลานั้นรูวา เศรษฐีเร่ิมดื่มสุรา จึงพากันหอมลอมจนมีบริวารเพิ่มมากข้ึน เศรษฐีใหซื้อสุรา ดอกไม ของหอม มาดว ยเงิน ๑๐๐ บาง ๒๐๐ บาง เอาเงินกองรอบ ที่นั่งแลวดื่มสุราเรื่อยมา และใหเงินนักรอง นักรํา นักดนตรี ๑,๐๐๐ กหาปณะบาง ๒,๐๐๐ กหาปณะบาง ใชจา ยสรุ ุยสรุ าย จวบเวลาลวงไปไมน านนกั เงิน ๘๐ โกฏทิ เี่ ปน สวนของตนก็หมดไปเม่ือฝายการเงินแจงวา เงินสวนของทานหมดแลว จึงใหเอาเงิน สวนของภรรยามาใชจายสุรุยสุรายจนหมดสิ้นไปเชนนั้นเหมือนกัน ตอมาถึงขั้นขาย สมบตั ิท้งั หมดคือ นา สวนดอกไม สวนผลไม ยานพาหนะ แมก ระทงั่ ภาชนะ เครอ่ื งใช 308
ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÑÂ) 309 เครื่องลาด ผาหม และผาปูน่ัง เปนตน ก็ขายกินหมดเม่ือเขาสูวัยชรา เจาของเรือน จึงไลเขาซึ่งยังขออาศัยอยูใหออกจากบาน เขาพาภรรยาไปอาศัยอยูท่ีบานของคนอื่น ถอื กระเบอ้ื งเทยี่ วขอทาน กินอาหารเหลือเดน วันหนึง่ พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเขายนื อยทู ป่ี ระตูโรงฉัน รอรบั อาหาร ที่เหลือเดนจากพระภิกษุ สามเณร จึงทรงแยมพระโอษฐ พระอานนทเถระทูลถามถึง เหตุทีท่ รงแยม พระศาสดา เมื่อจะตรสั บอกเหตทุ ที่ รงแยม จึงตรัสวา อานนท เธอจงดู เศรษฐผี ูมที รัพยม ากผูน้ี ผลาญทรพั ยส มบัตหิ มดไป ๑๖๐ โกฏิ พาภรรยาเทย่ี วขอทาน อยใู นเมืองนถี้ าเขาไมผ ลาญทรัพยสมบตั ิใหห มด ทํากิจการงานในปฐมวัย กจ็ ักไดเปน เศรษฐอี นั ดบั ท่ี ๑ ในเมอื งน้ี และถา ออกบวชกจ็ กั บรรลอุ รหตั ผล แมภ รรยากจ็ กั ดาํ รงอยู ในอนาคามผิ ล ถาไมผ ลาญทรัพยใหห มด ทํากจิ การงานในมัชฌมิ วยั จกั ไดเปน เศรษฐี อันดับที่ ๒ ถาออกบวชจักไดเปนอนาคามี แมภรรยาก็จักดํารงอยูในสกทาคามิผล ถา ไมผ ลาญทรพั ยใ หห มด ทาํ กจิ การงานในปจ ฉมิ วยั จกั ไดเ ปน เศรษฐอี นั ดบั ท่ี ๓ แมถ า ออกบวช กจ็ กั ไดเ ปน สกทาคามี แมภ รรยากจ็ กั ดาํ รงอยใู นโสดาปต ตผิ ล แตบ ดั น้ี เศรษฐี น้ันไดเสอ่ื มจากโภคสมบตั ขิ องคฤหสั ถ และเสื่อมจากสามัญผลคอื มรรค ผล นิพพาน เมือ่ เสื่อมแลวก็เหมือนนกกะเรยี นในเปอ กตมแหง ทไี่ มม ีปลาจะใหกินอกี ตอ ไป ชาดกเร่ืองน้ี แสดงใหเห็นโทษของการดื่มสุราวา ทําใหสูญเสียทรัพยสมบัติ แมจ ะมจี าํ นวนมาก ใหห มดสน้ิ ไปในเวลาไมน าน และหนั หนา เขา หาอบายมขุ อนื่ ๆ ยง่ิ ไป กวา นนั้ ยงั สง ผลใหส ญู เสยี ทรพั ยภ ายใน หมดโอกาสบรรลมุ รรค ผล นพิ พาน แตใ นทาง กลบั กนั กแ็ สดงใหเ หน็ อานสิ งสข องการไมด ม่ื สรุ า จะทาํ ใหส ามารถรกั ษาทรพั ยส มบตั ไิ ว มแี ตค วามเจรญิ กา วหนา ยงิ่ ๆ ขน้ึ ไป หากออกบวชกจ็ ะไดรบั อานสิ งสถ งึ ข้ันบรรลมุ รรค ผล นิพพาน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 309
310 ¤Á‹Ù ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ÍØâºÊ¶ÈÅÕ Ê¡Ô ¢Òº··èÕ ö Ç¡Ô ÒÅâÀª¹Ò àÇÃÁ³Õ ผูรักษาอุโบสถศีล เวนจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล จะบริโภคได เฉพาะในเวลาทกี่ าํ หนด ท่ีเรียกวา “กาล” เทา น้นั คาํ วา “ วกิ าล” หมายถึง เวลาต้ังแต เที่ยงวันไปแลวจนถึงอรุณขึ้นของวันใหม คําวา “กาล” หมายถึงเวลาต้ังแตอรุณข้ึน จนถงึ เท่ยี งวนั ๑. ความมุง หมาย สิกขาบทนี้ มีความหมายเพื่อตัดปลิโพธ คือตัดความกังวลในการประกอบ อาหาร ไมตองพะวักพะวนในเร่ืองการกิน ทั้งยังจะสงผลใหรางกายเบาสบาย เก้ือกูล ตอ การปฏบิ ัติธรรม บําเพ็ญกศุ ลไดสะดวกมากย่ิงขึ้น เปนการขดั เกลากเิ ลสมกี ามราคะ เปน ตนใหเ บาบาง ๒. เหตผุ ล การไมบริโภคอาหารในเวลาวิกาลน้ัน เปนการบรรเทานิวรณธรรมอยางนอย ๒ ขอ คือ กามฉันทะ ความพอใจในกามคุณ และถีนมทิ ธะ ความงว งเหงาหาวนอน ความเกยี จครา น ความทอ แท ทาํ ใหร า งกายเบาสบายเกอ้ื กลู ตอ การปฏบิ ตั ธิ รรม ทาํ ใหม ี เวลาในการปฏิบตั ธิ รรมมากขนึ้ ท้งั เปน การปฏิบตั ิตามขอวตั รปฏิบตั ิของพระสงฆ ๓. ขอหา ม สกิ ขาบทนี้ หา มการบรโิ ภคอาหาร ตงั้ แตเ ทยี่ งวนั ไปแลว จนถงึ อรณุ ขน้ึ ในวนั ถดั ไป ๔. หลกั วินิจฉยั การลว งละเมิดสกิ ขาบทที่ ๖ ที่ทําใหศ ลี ขาด ประกอบดวยองค ๔ คือ ๔.๑ วกิ าโล เวลาตั้งแตเ ทีย่ งแลว ไปถึงอรุณขน้ึ ๔.๒ ยาวกาลิกํ ของเคยี้ วของกินนนั้ จดั วา เปน อาหาร ๔.๓ อชฺโฌหรณปปฺ โยโค พยายามกลนื กนิ ๔.๔ เตน อชฺโฌหรณํ กลนื ใหลว งลําคอเขาไปดวยความพยามนั้น 310
ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 311 ๕. โทษของการลวงละเมดิ การบริโภคอาหารในเวลาวกิ าล ผลู ว งละเมิดยอมไดรับกรรมวิบากดงั นี้ ๕.๑ เกดิ กามฉนั ทะ ความพอใจในกามคณุ ไมม สี มาธใิ นการปฏบิ ตั ธิ รรม ๕.๒ เกดิ ถนี มทิ ธะ ความงว งเหงาหาวนอน ความหดหเู ซอ่ื งซมึ ขาดความ เอิบอิ่ม กระปรกี้ ระเปรา ในการปฏิบัติธรรม ๕.๓ ไมมีความคลองแคลวอดทนในการปฏิบตั ธิ รรม ๕.๔ ทําใหเ กดิ โรค สุขภาพรางกายไมแ ข็งแรง ๖. อานิสงส ผรู กั ษาอุโบสถศีลขอที่ ๖ ยอ มไดร บั อานสิ งส ดังนี้ ๖.๑ บรรเทาความใครในกามคณุ ๖.๒ มคี วามกา วหนาในการปฏิบตั ิธรรม ๖.๓ มีเวลาบําเพ็ญเพียรไดม าก ๖.๔ รา งกายเบาสบายเกอ้ื กลู ตอการปฏิบตั ธิ รรม คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 311
312 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ตวั อยา งเรื่องท่ีเปน โทษของการลวงละเมิด และอานิสงสของการรกั ษาสิกขาบทที่ ๖ ตามหลักการทางแพทย โดยนายแพทย วารินทร ตัณฑศุภศิริ ไดเขียน บทความสนับสนนุ การเวน จากการบริโภคอาหารในเวลาวกิ าลไววา “กินมอ้ื เชา มอ้ื เทย่ี ง ก็พอเพียงไปจนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแนนอน ไมจําเปนตองไปเติมอีก เพราะเวลา นอนรา งกายจะนาํ พลงั งานทเ่ี หลอื ใชไ ปเกบ็ ไวท ต่ี า งๆ โดยตบั เปน ผทู าํ งานน้ี ถา พลงั งาน เหลอื มาก การเอาไปเกบ็ ทต่ี า งๆ กม็ าก ทาํ ใหอ ว น และแนน อนถา เกบ็ ไมห มด โดยเฉพาะ พวกไขมันตัวโตๆ จะตองคางอยูในหลอดเลือด สะสมมากรูหลอดเลือดก็จะเล็กลง เลือดไปเลีย้ งอวยั วะตา งๆ นอ ยลงอวยั วะท้งั หลายก็จะเสือ่ มสภาพเร็วข้นึ หรอื แกเ รว็ ข้ึน การกนิ มือ้ เย็นจงึ เปน มือ้ เรงกระบวนการเสื่อมถงึ เสยี ชวี ติ ใหเรว็ ข้ึนไปอกี มื้อเย็นจงึ เปน มื้ออนั ตราย เปนม้ือตายผอ นสง ยง่ิ กินมื้อเยน็ มาก ย่ิงผอนสง มาก ตายเร็ว ถาไมก ินมือ้ เย็นก็จะแกช าเส่ือมชา อายุยนื ” 312
ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÑÂ) 313 ÍØâºÊ¶ÈÅÕ Ê¡Ô ¢Òº··èÕ ÷ นจจฺ คีตวาทิตวสิ กู ทสฺสนมาลาคนธฺ วิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฐานา เวรมณี เจตนางดเวนจากการฟอนรํา การขับรอง การประโคมดนตรี การดู การละเลนอันเปนขาศึกตอพรหมจรรย การประดับตกแตงรางกาย ดวยดอกไม ของหอม และเครอ่ื งประดบั ตางๆ สกิ ขาบทท่ี ๗ น้มี ขี องดเวนอยู ๒ สว น คอื สว นของการดกู ารดกู ารละเลน หมายถงึ การฟอ นราํ การขบั รอ ง การประโคม ดนตรกี ารดกู ารละเลน อันเปนขา ศกึ ตอกศุ ล สวนของการประดับตกแตงรางกาย หมายถึง การประดับตกแตงรางกาย ดว ยดอกไมของหอม เคร่อื งยอ ม เครือ่ งทา และเครอ่ื งประดบั ตา งๆ ๑. ความมงุ หมาย สิกขาบทนี้ มีความมุงหมายเพ่ือดําเนินชีวิตตามแบบพรหมจรรย ฝกตน ขดั เกลากิเลส ใชช ีวติ แบบสมถะ เรียบงา ย ไมฟงุ เฟอฟุมเฟอ ย ไมมัวเมาในความสวย ความงาม ไมตกเปนทาสของวัตถุนิยมตามกระแสโลก ไมลุมหลงในความสนุกสนาน ร่นื เรงิ บนั เทงิ อนั เปน การดาํ เนนิ ชวี ิตแบบชาวบา น ๒. เหตุผล ๒.๑ เพ่ือทําจติ ใหออกหา งจากสง่ิ ทเ่ี ปน ขา ศกึ ตอพรหมจรรย ๒.๒ เพือ่ มิใหส ูญเสยี เวลาไปกบั สงิ่ ทีไ่ มเปน สาระ ๒.๓ เพ่ือมิใหห ลงใหลมวั เมาในสรรี ะรา งกาย ๒.๔ เพ่อื ประหยัดและตัดความกังวลเรื่องการตกแตงรางกาย ๒.๕ เพอื่ ใหเห็นสภาวธรรมตามหลกั ไตรลกั ษณ ๒.๖ เพือ่ ไมใหจ ิตฟุงซา นหมกมนุ อยใู นกามคณุ ๓. ขอ หา ม สิกขาบทนี้ หา มการฟอ นราํ การขบั รอง การประโคมดนตรี การดูการละเลน อันเปนขาศึกตอกุศล การประดับตกแตงรางกายดวยดอกไมของหอม และเครื่อง ประดบั ตางๆ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 313
314 ¤ÁÙ‹ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªé¹Ñ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ๔. หลกั วนิ จิ ฉยั การลวงละเมิดสิกขาบทท่ี ๗ ท่ีทําใหศีลขาด มีหลักวินิจฉัย ๒ สวน คือ การละเลนมีองค ๓ คือ ๑. นจจฺ าทนี ิ การละเลน มกี ารฟอ นรํา ขับรอ ง เปน ตน ๒. ทสฺสนตถฺ าย คมนํ ไปเพือ่ จะดกู ารละเลน ๓. ทสสฺ นํ ดกู ารละเลน อนั เปนขา ศกึ ตอพรหมจรรย การดู ในทีนี้ รวมถึงการฟงดวย สวนการฟงการขับรองท่ีสงเสริมศีลธรรม ทาํ ใหเ กดิ ศรทั ธา ความเลอ่ื มใส หรอื ทาํ ใหเ กดิ ความสงั เวช ความเบอ่ื หนา ยในทกุ ข ไมห า ม ในสกิ ขาบทนี้ การประดับตกแตงรา งกาย มีองค ๓ คือ ๑. มาลาทนี ํ อญฺ ตรตา เครอื่ งประดบั ตกแตง มดี อกไมแ ละของหอม เปน ตน ๒. อนุ ญฺ าตการณาภาโว ไมม เี หตเุ จบ็ ไขเ ปน ตน ทพี่ ระพทุ ธเจา ทรงอนญุ าต ๓. อลงกฺ ตภาโว ทดั ทรงตกแตง เปนตน ดว ยประสงคจะใหส วยงาม การตกแตง รา งกาย ทไ่ี มไ ดม งุ ความสวยงาม แตม งุ เพอ่ื รกั ษาโรค เปน ตน ไมห า ม ในสกิ ขาบทนี้ ๕. โทษของการลวงละเมดิ ผูลว งละเมิดยอ มไดร บั กรรมวบิ ากดงั นี้ ๕.๑ ทําใหเ กดิ ความกาํ หนัดยินดีในกามคุณ ๕.๒ ทาํ ใหเ กิดความกังวลสง ผลใหการปฏบิ ตั ธิ รรมไมกา วหนา ๕.๓ ทาํ ใหสญู เสียทรัพยไปในส่ิงทีไ่ รประโยชน ๕.๔ ทําใหเสยี เวลาในการประพฤติพรหมจรรย ๕.๕ ทําใหเกดิ อวชิ ชาปด บังสภาวธรรม ๖. อานสิ งส ผรู ักษาอโุ บสถศลี ขอท่ี ๗ ยอ มไดร บั อานิสงส ดังนี้ ๖.๑ จติ ใจสงบ ไมฟงุ ซาน ๖.๒ จติ ใจเปน อิสระจากวัตถุกาม ๖.๓ จิตผองใส เกดิ สมาธิไดง าย ๖.๔ อนิ ทรยี เอิบอ่ิมผอ งใส ๖.๕ กุศลธรรมเจรญิ งอกงาม ๖.๖ มีความกาวหนาในการปฏบิ ัตธิ รรม 314
ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÑÂ) 315 ตัวอยางเรือ่ งท่เี ปน โทษของการลว งละเมดิ และอานสิ งสของการรกั ษาสิกขาบทท่ี ๗ เรือ่ งพระสารีบุตร พระสารีบุตรเปนลูกพราหมณผูใหญบาน บิดาชื่อวังคันตะ มารดาช่ือสารี เกดิ ในตาํ บลนาลกะหรอื นาลนั ทะตง้ั อยไู มห า งไกลจากกรงุ ราชคฤห เดมิ ทา นชอ่ื อปุ ตสิ สะ แตค นนยิ มเรยี กชือ่ ตามความท่เี ปน ลูกของนางสารวี า สารบี ตุ ร พระคันถรจนาจารยพรรณนาวา อุปติสสมาณพ เปนลูกของตระกูลเศรษฐี สําเร็จศิลปะศาสตร เปนเพื่อนสนิทกับโกลิตมาณพ นามสกุลโมคคัลลานะ ซึ่งอยูวัย เดียวกันและเปนลูกเศรษฐีเหมือนกัน ตอนเยาววัย สองสหายไดไปเที่ยวดูการละเลน ในกรุงราชคฤหอยูเปนประจํา ขณะที่ดูถาเรื่องสนุกก็สนุกตาม เร่ืองเศราก็เศราตาม เขาแสดงดกี ็ใหรางวัล วันหน่ึงสองสหายนั้นชวนกันไปดูการละเลนเหมือนอยางท่ีผานมา แตรูสึก ไมสนุกราเริงเหมือนในวันกอนๆ โกลิตะจึงถามอุปติสสะวา ดูเพื่อนไมมีความสนุก เหมือนวันอ่ืนๆ เลยวันน้ีดูเศราใจทานเปนอยางไรหรืออุปติสสะ จึงบอกส่ิงท่ีเขาคิดวา อะไรที่ควรดูในการเลนน้ีมีหรือเปลา คนเหลาน้ีท้ังหมดเม่ืออายุยังไมทันถึง ๑๐๐ ป กจ็ ะไมมีเหลอื อยู จกั ตายไปหมดการดูการละเลนจะมปี ระโยชนอะไร เราควรขวนขวาย แสวงหาธรรมเครอ่ื งนาํ ไปสคู วามพน ทกุ ขด กี วา แลว ถามโกลติ ะและทราบวา ตา งกค็ ดิ เชน เดยี วกัน จงึ พาบรวิ ารไปขอบวชอยูใ นสํานักสญั ชัยปริพาชก เรยี นสาํ เรจ็ ลัทธิของสัญชัย แลว อาจารยส ญั ชยั ใหเ ปน ผชู ว ย สงั่ สอนหมศู ษิ ยต อ ไป สองสหายนน้ั ยงั ไมพ อใจในลทั ธิ ของครูสัญชัย จึงนัดหมายกันวาถาใครไดพบ โมกขธรรมคือธรรมอันเปนเคร่ืองนําไป สคู วามหลดุ พน ใหบ อกแกก นั และกัน ครนั้ พระศาสดาไดต รสั รแู ลว ทรงแสดงธรรมประกาศพระพทุ ธศาสนา เสดจ็ มา ถึงกรุงราชคฤหประทับอยู ณ เวฬุวัน วันหน่ึง พระอัสสชิ หน่ึงในพระปญาวัคคีย ซึ่งพระศาสดาทรงสงใหจาริกไปประกาศพุทธศาสนา กลับมาเฝา เขาไปบิณฑบาตใน กรงุ ราชคฤห อปุ ตสิ สปรพิ าชกเดนิ มาจากสาํ นกั ของปรพิ าชกไดเ หน็ พระอสั สชผิ มู อี าการ นา เลอื่ มใส จะกา วไปถอยกลบั แลเหลยี ว คแู ขน เรยี บรอ ยทกุ อริ ยิ าบถ มอี ริ ยิ าบถพเิ ศษ กวา นกั บวชในครงั้ นนั้ อยากจะทราบวา ใครเปน ศาสดาของทา น แตย งั ไมส ามารถจะถาม คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 315
316 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ไดเ พราะเปน เวลายงั ไมส มควร เนอ่ื งจากทา นยงั บณิ ฑบาตอยู จงึ คอยตดิ ตามไป ครนั้ เหน็ ทา นกลับจากบิณฑบาตแลว จงึ เขา ไปใกลพ ดู ปราศยั แลวถามวา “ผมู อี ายุ อนิ ทรียของ ทา นหมดจดผอ งใส ทา นบวชเจาะจงใคร ใครเปน พระศาสดาของทา น ทา นชอบใจธรรม ของใคร” พระอัสสชิตอบวา “เราบวชเจาะจงพระมหาสมณะผูเปนโอรสศากยราชสกุล พระองคเปนศาสดาของเรา เราชอบใจธรรมของพระองค” อุปติสสปริพาชกถามตอวา “พระศาสดาทรงสั่งสอนอยางไร” พระอัสสชิตอบวา ตนยังเปนพระใหมบวชยังไมนาน เพงิ่ เขา มายงั พระธรรมวนิ ยั นไ้ี มอ าจแสดงธรรมแกท า นอยา งพสิ ดาร จะกลา วเพยี งความ โดยยอ พอใหรูเ ทา นน้ั อปุ ตสิ สปริพาชกกลา ววา ไมเปน ไร ทานจะกลา วนอยหรือกลา ว มากกไ็ ด ขอใหก ลา วแตใ จความไมจ าํ เปน ตอ งขยายความมาก พระอสั สชจิ งึ แสดงธรรม แกอปุ ติสสปรพิ าชกพอเปนใจความวาพระศาสดาตรัสวา ธรรมทัง้ หลายเกดิ ขึ้นก็เพราะ มเี หตปุ จจยั และดับไปก็เพราะดบั เหตปุ จ จยั อปุ ตสิ สปรพิ าชกไดฟ ง เชน นนั้ กท็ ราบวา พระพทุ ธศาสนาสอนวา ธรรมทงั้ ปวง เกดิ เพราะเหตแุ ละจะสงบระงบั ไปเพราะเหตดุ บั พระศาสดาทรงสงั่ สอนใหป ฏบิ ตั เิ พอื่ สงบ ระงบั เหตแุ หง ธรรมอนั เปนเครื่องกอใหเ กดิ ทกุ ข ไดด วงตาเหน็ ธรรมวา ส่ิงใดสงิ่ หนึ่งมี ความเกดิ ขึน้ เปนธรรมดา ส่ิงน้ันทั้งหมด มคี วามดบั ไปเปน ธรรมดา จึงถามพระเถระ และทราบวา พระศาสดาเสดจ็ ประทบั อยทู เี่ วฬวุ นั จงึ กลบั ไปบอกขา วทไ่ี ดพ บพระอสั สชิ ใหโ กลิตปรพิ าชกทราบ แสดงธรรมนน้ั ใหสหายฟง โกลิตปรพิ าชกก็ไดด วงตาเห็นธรรม เชน เดยี วกบั อปุ ตสิ สะ จงึ ชวนกนั ไปเฝา พระศาสดาโดยไปลาสญั ชยั ผอู าจารย ถกู อาจารย สัญชัยหามและออนวอนใหอยูดวยกันเปนหลายคร้ังก็ไมฟง จึงพาบริวารไปวัดเวฬุวัน เขา เฝา พระศาสดา ทลู ขออปุ สมบท พระศาสดาทรงอนญุ าตใหเ ปน ภกิ ษดุ ว ยกนั ทง้ั หมด บรรดาภกิ ษุเหลาน้ัน ภิกษผุ เู ปนบรวิ ารไดส าํ เรจ็ พระอรหัตกอ นในเวลาไมช า พระโมค- คัลลานะอปุ สมบทได ๗ วนั จงึ ไดส าํ เร็จพระอรหตั ฝา ยพระสารบี ตุ รตอ อปุ สมบทแลว ไดก ่ึงเดอื นจงึ ไดสาํ เร็จพระอรหตั เร่ืองพระสารีบุตรน้ี แสดงใหโทษของการดูและการแสดงการละเลน วาเปน เหตทุ าํ ใหห ลงระเรงิ ประมาทมวั เมาในชวี ติ เปน ขา ศกึ ตอ การและพฤตพิ รหมจรรย และ แสดงใหเห็นอานิสงสของการงดเวนจากการดูการละเลน ดวยการมีสติเห็นสัจธรรม ของชวี ติ วา ไมเท่ยี ง ยังไมถึง ๑๐๐ ป กต็ อ งจากโลกนีไ้ ป เปนเหตุใหข วนขวายเรงรีบทาํ คณุ งามความดีเสยี ตงั้ แตวันน้ี 316
ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÑÂ) 317 ÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ Ê¡Ô ¢Òº··èÕ ø ÍØ¨Ú¨ÒʹÁËÒÊÂ¹Ò àÇÃÁ³Õ เวน จากการนั่งการนอนบนที่น่ังทนี่ อนอันสงู ใหญ ๑. ความมุง หมาย สิกขาบทนี้ มีความมุงหมายเพื่อมิใหยึดติดในสิ่งท่ีหรูหราฟุมเฟอย ความ สะดวกสบาย ซง่ึ เปน เหตใุ หเ กดิ ความกาํ หนดั ยนิ ดี ไมเ กอ้ื กลู ตอ การประพฤตพิ รหมจรรย ๒. เหตผุ ล ๒.๑ ไมใหย ึดติดกับความหรหู ราฟมุ เฟอย ความสะดวกสบาย ๒.๒ ฝกปฏิบตั ใิ หเ ปน ผูอ ยูงา ย นอนงา ย ๒.๓ ตัดความกังวลในเร่อื งท่หี ลับนอน ๒.๔ ไมใหเ กดิ ความกําหนดั ยินดี ๒.๕ กอใหเ กิดความวิรยิ ะอตุ สาหะในการประพฤตพิ รหมจรรย ๓. ขอ หา ม สิกขาบทนี้ หา มนัง่ และนอนบนทานอนสงู และทนี่ ง่ั ทนี่ อนใหญ ความสูงของท่นี ่งั ทีน่ อน กําหนดตามประเภทของเตยี งและต่ัง ดังน้ี เตยี งและตงั่ ทถี่ กั ดว ยหวายและตอก หรอื ผกู ดว ยผา ทาํ ดว ยกระดาน จะมเี ทา คู เทา ตรง หรือมเี ทา มากก็ตาม วัดจากแมแครข า งลา งลงไป ได ๑๐ นิ้ว กบั ๓ กระเบียด (๓ กระเบียด เทา กบั ๓/๔ ของนว้ิ ) หรอื ต่ํากวา กําหนดนีล้ งมาจงึ ใชไ ด สว นที่นง่ั ทนี่ อน สงู กวา กําหนดน้ขี ึน้ ไปใชไมไ ด เตยี งและตง่ั ทตี่ ดิ อยกู บั ท่ี ยกไปไหนไมไ ด มเี ทา สงู เกนิ กวา ประมาณนดิ หนอ ย กใ็ ชได เตยี งท่มี พี นักขา งทง้ั ๓ ดาน แมจ ะมเี ทา สูงกวา ทก่ี าํ หนดขางตน กใ็ ชไ ด เตยี งทไ่ี มม พี นกั โดยปกตเิ ปน เตยี งทม่ี เี ทา ตา่ํ สามารถทาํ ใหส งู ขนึ้ ไดเ ลก็ นอ ย ดวยการใชไมห นุนเทาเตยี ง แตต อ งไมสงู เกินกวา ๘ นวิ้ จงึ ใชได คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 317
318 ¤Ù‹ÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ตั่ง ๔ เหลยี่ ม ท่ีมีเทา สูงกวา ๑๐ นวิ้ กบั ๓ กระเบยี ด (๓ กระเบยี ด เทา กบั ๓/๔ ของนิว้ ) ก็ใชไ ด ความใหญของทีน่ ัง่ ทนี่ อนทใี ชไมได กําหนดตามประเภท ดงั นี้ ประเภทการตกแตงและการปลู าดดวยของไมค วรมี ๑๙ อยาง คือ ๑. บัลลงั กท ่นี ง่ั ทป่ี ระดับดวยรปู สตั วรายมเี สอื และจระเข เปนตน ๒. ผาขนสตั วใ หญท ี่มีขนยาวกวา ๔ นิว้ ๓. เครอื่ งปลู าดทาํ ดว ยขนแกะ วิจติ รดวยลายเยบ็ ปก ๔. เครื่องปลู าดทําดวยขนแกะ มีลายเปน แผน ๕. เครื่องปูลาดทาํ ดว ยขนแกะ มลี ายดอกไมแ นนเน่อื งกัน ๖. เคร่ืองปูลาดทาํ ดว ยขนแกะ วจิ ิตรทาํ ดวยรปู สัตวตางๆ ๗. เคร่อื งปูลาดทาํ ดว ยขนแกะ มขี นขน้ึ ทั้ง ๒ ขา ง ๘. เครอ่ื งปูลาดทาํ ดว ยขนแกะ มขี นข้นึ ขา งเดยี ว ๙. เครื่องปูลาดเปนช้นั เย็บดวยหนังสือ ๑๐. เครือ่ งปูลาดมเี พดานแดงดาดขา งบน ๑๑. เคร่อื งปูลาดบนหลังชา ง ๑๒. เคร่อื งปลู าดบนหลังมา ๑๓. เครอ่ื งปลู าดบนรถ ๑๔. เครือ่ งปนู อนทอดวยทองแกมดา ยไหมขลิบดว ยทอง ๑๕. เคร่ืองปูนอนทอดวยดา ยไหมขลบิ ดว ยทอง ๑๖. เคร่ืองปูนอนทําดว ยขนแกะใหญขนาดทนี่ างฟอ น ๑๖ คนยนื รําได ๑๗. เครื่องปูนอนอยางดีทีท่ ําดวยหนงั ชะมด ๑๘. ท่ีนอนท่มี ีหมอนแดงท้งั ๒ ขาง สําหรับหนนุ ศีรษะและหนุนเทา ๑๙. ฟูกเบาะยัดนนุ อยา งเดียว ประเภทขนาด กาํ หนดความกวา งซึ่งนอนไดตั้งแต ๒ คนขึน้ ไป เพราะเปน ท่ีนอนสําหรับคนคู ผูรักษาอุโบสถเวนจากความเปนคนคูแลว จึงไมควรนอนท่ีนอน เชน นนั้ ฟูกที่พระพทุ ธองคท รงอนุญาตใหน่งั หรอื นอนไดม ี ๕ อยาง คือ 318
ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÑÂ) 319 ๑. ฟกู มไี สเปนขนแกะ ขนสัตวมปี ก ขนสัตว ๒ เทา ขนสตั ว ๔ เทา แตฟกู ท่มี ีไสเ ปน ผมขนของมนษุ ย ใชไมได ๒. ฟกู มีไสเ ปน ผา ๓. ฟกู มไี สเปน เปลอื กไม ๔. ฟูกมีไสเ ปนหญา ๕. ฟูกมีไสเปนใบไมหรือใบพิมเสนเจือดวยใบไมอ่ืนแตฟูกมีไสเปน ใบพิมเสนลว นใชไมไ ด ๔. หลักวินจิ ฉยั การลวงละเมดิ สิกขาบทท่ี ๘ ทท่ี าํ ใหศ ลี ขาด ประกอบดว ยองค ๓ คือ ๔.๑ อุจจฺ าสยนมหาสยนํ ทีน่ ั่งท่ีนอนสงู ใหญ ๔.๒ อุจฺจาสยนมหาสยนสญฺ ติ า รูวาทนี่ ั่งทีน่ อนสงู ใหญ ๔.๓ อภินิสที นํ วา อภนิ ิปชชฺ นํ วา นั่งหรอื นอนลงไป ๕. โทษของการลวงละเมดิ ผูลวงละเมิดยอ มไดรับกรรมวบิ ากดังนี้ ๕.๑ ทาํ ใหห ลงติดอยใู นความสะดวกสบาย ๕.๒ ทาํ ใหเกดิ ความกําหนัดยินดี ๕.๓ ทาํ ใหเกดิ ความเกยี จครา นในการบําเพ็ญเพียร ๕.๔ ไมเกอ้ื กูลตอ การประพฤติพรหมจรรย ๖. อานิสงสของสิกขาบทท่ี ๘ ผูรักษาอโุ บสถศีลขอ ที่ ๘ ยอ มไดรับอานิสงส ดังนี้ ๖.๑ มชี ีวติ สมถะ เปนอยูอยา งเรียบงาย ๖.๒ มีสุขภาพพลานามัยดี ๖.๓ มสี ติตน่ื ตวั อยูเสมอ ๖.๔ มคี วามกาวหนาในการประพฤติพรหมจรรย คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 319
320 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªé¹Ñ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ตัวอยางเรอ่ื งที่เปนอานิสงสของการรักษาสิกขาบทที่ ๘ เรอ่ื ง พระพุทธเจา ตอนประทับนั่งบนหญาคา เชา วนั หน่ึง นางสชุ าดาบตุ รขี องกุฎมพีซึง่ เปน ผใู หญบ านเสนานคิ ม ณ ตําบล อุรุเวลา ปรารถนาจะทําการบวงสรวงเทวดา หุงขาวปายาสดวยน้ํานมโคสดเสร็จแลว จดั ลงในถาดทองคาํ นาํ ไปทโ่ี พธพิ ฤกษ เหน็ พระมหาบรุ ษุ เสดจ็ ประทบั นง่ั อยเู ขา ใจวา เปน เทวดา จงึ เขาไปนอ มถวายขา วปายาส ในเวลานั้น บาตรของพระมหาบุรุษไดอ ันตรธาน หายไป พระองคจึงทรงรบั ขาวปายาสนัน้ ทง้ั ถาดทองคํา นางทราบพระอาการทพ่ี ระองค ทอดพระเนตรดู นางจงึ ไดท ลู ถวายทงั้ ถาดทองคาํ แลว กลบั ไป พระมหาบรุ ษุ ทรงถอื ถาด ทองคาํ ขา วปายาสเสดจ็ ไปทา นาํ้ เนรญั ชรา สรงแลว เสวยขา วปายาส ทางลอยถาดทองคาํ ในกระแสนา้ํ เวลากลางวนั พระองคเ สดจ็ ประทบั อยใู นดงไมส าละใกลฝ ง แมน าํ้ เวลาเยน็ เสดจ็ มาทตี่ น พระศรมี หาโพธ์ิ ระหวา งทางไดท รงรบั หญา คาของรายโสตถยิ ะทรงลาดหญา คา แทนบัลลังก ณ ควงตนพระศรีมหาโพธิ์ ดานปราจีนทิศ แลวเสด็จนั่งขัดสมาธิ ผนิ พระพกั ตรไ ปทางบรุ พทศิ ผนิ พระปฤษฎางคไ ปทางตน พระศรมี หาโพธทิ์ รงอธษิ ฐานวา “ถายงั ไมบรรลุพระสมั มาสมั โพธิญาณเพียงใด จักไมเสด็จลุกขน้ึ เพียงนนั้ แมเนอื้ และ เลือดจะแหง เหลอื แตหนัง เอน็ และกระดกู กต็ ามท”ี ฝา ยพระยามารเกรงวา พระมหาบรุ ษุ จะพน จากอาํ นาจของตน จงึ ยกพลเสนามาร มาผจญแสดงฤทธ์ิตางๆ เพื่อจะใหตกพระหฤทัยกลัวแลวจะเสด็จหนีไป พระองค ทรงนึกถึงพระบารมี ๑๐ ทัศที่ไดทรงบําเพ็ญมาบริบูรณแลวต้ังมหาปฐพีไวเปนพยาน อธิษฐานใหพระบารมี เขาชวยผจญยังพระยามารกับเสนามารใหปราชัยไปต้ังแต ในเวลาพระอาทิตยยังไมทันอัสดงคต ในปฐมยามทรงบรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ในมัชฌิมยามทรงบรรลุทิพพจักขุญาณ พระพุทธเจากอนท่ีจะตรัสรู ทรงนั่งบนที่น่ังท่ี ลาดดวยหญาคาเทาน้ัน ฉะน้ันผูปฏิบัติตนเพื่อความพนทุกขควรเปนอยูงายไมควร ยดึ ตดิ กบั ความหรหู ราฟุม เฟอ ยเกินควร อุโบสถศีลนี้ นับเปนขอวัตรปฏิบัติพิเศษของพุทธศาสนิกชนมาต้ังแต สมัยพุทธกาล แมปจจุบันก็ยังนิยมประพฤติปฏิบัติกันอยู การรักษาอุโบสถศีล 320
ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 321 ตอ งใชค วามวริ ยิ ะอตุ สาหะเปน อยา งมาก จงึ จะรกั ษาใหบ รสิ ทุ ธไ์ิ ดอ โุ บสถศลี เปน การถอื ปฏิบตั ิที่มีกุศลมาก มีอานสิ งสม าก ดังท่พี ระพทุ ธเจาตรสั สรรเสริญการรักษาอโุ บสถศลี ไววา ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย อโุ บสถศีลประกอบดวยองค ๘ ที่บุคคลสมาทานรักษาแลว ยอ มมผี ลยงิ่ ใหญม ีอานสิ งสม หาศาล มคี วามเจรญิ รุงเรืองยิ่งนัก มผี ลแผไ พศาลมาก แมพ ระโพธสิ ตั ว กไ็ ดร กั ษาอโุ บสถศลี เปน ประจาํ เพอ่ื บรรลสุ มั มาสมั โพธญิ าณ ดังเร่อื งพระภูรทิ ัต และเรื่องพระมหาชนก เปนตวั อยาง ดงั นี้ ในสมยั ทพี่ ระพทุ ธเจา เสวยพระชาตเิ ปน พญานาคชอ่ื ภรู ทิ ตั ในวนั พระ จะออก จากนาคพิภพไปยังโลกมนุษยขนดเขาสมาธิบนจอมปลวก ใกลตนไทรใหญริมฝง แมน า้ํ ยมนุ าแลว ตงั้ สจั จะอธษิ ฐานวา “ผใู ดตอ งการหนงั เอน็ กระดกู หรอื เลอื ดเนอ้ื ของตน กจ็ ะยอมบรจิ าคใหขอเพียงใหไ ดร กั ษาศลี ใหบ ริสทุ ธก์ิ พ็ อ” แลวนอนจาํ ศีลอุโบสถ ในสมัยท่ีพระพุทธเจาเสวยพระชาติเปนพระมหาชนก พระองคเดินทางไป ทําการคาขายทางทะเล ถูกพายุพัดทําใหเรือแตกกลางมหาสมุทร พระมหาชนกแหวก วายอยูทามกลางมหาสมุทรนานถึง ๗ วัน รางกายออนลา เหน็ดเหน่ือย และทรง หวิ โหยมากถงึ กระนน้ั กไ็ มล ดละความเพยี ร ไมท อ ถอย ไมส น้ิ หวงั มพี ลงั จติ ทแ่ี ขง็ แกรง ขณะทกี่ าํ ลงั แหวกวา ยอยนู นั้ พระองคท รงทราบวา วนั นเ้ี ปน วนั อโุ บสถ จงึ บว น พระโอษฐ ดวยน้ําเค็มอธิษฐานรักษาอุโบสถศีล แลวพากเพียรแหวกวายอยูในมหาสมุทรตอไป ดวยพระวิริยบารมีและศีลอันแรงกลาของพระองค ในท่ีสุด นางมณีเมขลาก็ชวยให พระองคถงึ ฝง แมเ หลา เทวดามที า วสกั กะเปน ตน กร็ กั ษาอโุ บสถศลี ดงั ทพี่ ระพทุ ธเจา ไดต รสั กับภิกษุท้ังหลายวา “ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ทาวสักกะจอมเทพไดสมาทานรักษาอุโบสถ ศลี ในวนั พระเปน ประจาํ นอกจากน้ี ยงั ไดช กั ชวนเทวดาชนั้ ดาวดงึ ส ใหร กั ษาอโุ บสถศลี เชน เดียวกนั ดวย” เหน็ ไดวา ทา วสกั กะจอมเทพ เปนถึงประมุขของเทวดาช้ันดาวดึงสก็ ยังใหค วามสาํ คัญแกอ โุ บสถศลี อยางสงู คือ เมื่อถงึ วันธัมมัสสวนะ พระองคกไ็ ดรกั ษา อโุ บสถศลี และไดชกั ชวนเทพบตุ รเทพธดิ าทงั้ หลายใหร กั ษาดว ย แมในสมัยพุทธกาล อนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี และนางวิสาขามหาอุบาสิกา ตา งก็เปน พระอริยบคุ คล ไมไปเกิดในอบายภูมอิ กี ตอไป ถึงอยางนัน้ กย็ งั รกั ษาอุโบสถ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 321
322 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ศลี เปนประจาํ ดวยพิจารณาเหน็ วา อุโบสถศลี เปนศลี พเิ ศษสาํ หรับคฤหสั ถผูค รองเรอื น จึงสมควรท่ีชาวพุทธท้ังหลายจะไดรักษาซ่ึงถือเปนการปฏิบัติของพระอริยเจาท้ังหลาย เพือ่ ขจดั ขดั เกลากิเลสใหเ บาบางจนถึงบรรลมุ รรคผลนพิ พานสืบไป 322
ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÑÂ) 323 ¢ŒÍÊͺ¸ÃÃÁʹÒÁËÅǧ ËÅ¡Ñ Êμ٠øÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé â· ÇÔªÒÇԹѠ(ÍØâºÊ¶ÈÕÅ) ¾.È. òõõñ - òõõò คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 323
324 ¤Ù‹ÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé â· ปญหาและเฉลยวิชาอุโบสถศลี (วนิ ัย) ธรรมศกึ ษาช้ันโท สอบในสนามหลวง วันจันทรท ี่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒ เวลา ๑๕.๐๐ น. ******************** คําสั่ง : จงเลือกคําตอบท่ีถูกที่สุดเพียงคําตอบเดียว แลวกากบาทลงในชอง ของขอที่ ตอ งการในกระดาษคําตอบใหเ วลา ๕๐ นาที (๑๐๐ คะแนน) ๑. วชิ าอุโบสถศลี มีรายละเอียดเนอื้ หา ๔. แรกจะนับถือพระพุทธศาสนา ควรเปลงวาจา เก่ียวกับศลี ในขอใด ? เขาถึงพระรัตนตรัย เพ่ือปลูกฝงคุณธรรมใด ก. ศลี ๕ ข. ศลี ๘ ใหเ กดิ ขนึ้ กอ น ? ค. ศลี ๑๐ ง. ศลี ๒๒๗ ก. ศีล ข. ศรทั ธา คาํ ตอบ : ข ค. จาคะ ง. ปญ ญา ๒. ในการบาํ เพ็ญกุศลทกุ คร้ัง เหตใุ ด คาํ ตอบ : ข จงึ ตอ งสมาทานศีลกอน ? ๕. คําวา พุทธฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ พระพุทธเจาตรสั ก. เพราะศลี เปน เครอื่ งรองรบั กศุ ลกรรม แกใครเปน ครง้ั แรก ? ข. เพราะศลี เปน อบุ ายทาํ กายใจใหต ง้ั มนั่ ก. พระเจา พมิ พสิ าร ค. เพราะตองการสบื ทอดประเพณนี ยิ ม ข. พระมหาสาวก ๘๐ ง. เพราะใหปฏบิ ตั ิตามขน้ั ตอนพิธกี รรม ค. พระอรหันต ๖๐ คาํ ตอบ : ก ง. พระปญ จวัคคยี ๕ ๓. แผน ดนิ เปน ทรี่ องรบั ทกุ สรรพสง่ิ ศลี เปน คาํ ตอบ : ค เคร่ืองรองรับอะไร ? ๖. ในพระรัตนตรัย อะไรรักษาผปู ฏบิ ตั ิไมให ก. กศุ ลจิต ตกไปในทางทีช่ ัว่ ? ข. กศุ ลกรรม ก. พระพุทธ ข. พระธรรม ค. กุศลมลู ค. พระสงฆ ง. ถูกทุกขอ ง. กศุ ลธรรม คําตอบ : ข คาํ ตอบ : ข ๗. คําวา สรณะ ในอโุ บสถศีล หมายถงึ อะไร ? ก. วัตถมุ งคล ข. พระพุทธรูป คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท 324
ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÂÑ ) 325 ค. โชควาสนา ง. พระรัตนตรยั คาํ ตอบ : ค คําตอบ : ง ๑๓. ปฏบิ ตั ิตนอยางไร จึงถูกตอ งตาม ๘. การถึงพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ หลกั การเขา ถงึ สรณคมน ? เปนทพ่ี งึ่ ทร่ี ะลกึ เรยี กอะไร ? ก. ขอพรดจี ากหนหู ทู ิพย ก. อาราธนาศีล ข. สมาทานศีล ข. ไหวสง่ิ ศักด์สิ ิทธ์ิทว่ั ถ่ินไทย ค. รบั สรณคมน ง. รกั ษาศีล ๘ ค. สรางพระพฆิ เนศวรใ หญ คําตอบ : ค ง. ใหปฏิบัติขดั เกลากิเลส ๙. การเขาถึงสรณคมนข องใคร มคี วาม คาํ ตอบ : ง ม่ันคงมากกวาของผูอ ่ืน ? ๑๔. พระรตั นตรัยมีความเกีย่ วเนอ่ื งกนั ก. ปถุ ชุ น ข. สามัญชน หากเปรยี บพระพทุ ธเจา เปน ผูช้ี ค. อรยิ ชน ง. โลกิยชน ขมุ ทรัพย พระสงฆจะเปรยี บเหมือนอะไร ? คําตอบ : ค ก. คนฝง ขุมทรพั ย ๑๐. การเขา ถงึ สรณคมนข องพทุ ธศาสนกิ ชน ข. คนเฝา ขมุ ทรัพย จะสนิ้ สดุ ลงตอนใด ? ค. คนพบขุมทรัพย ก. เกดิ สงสยั ข. ศลี ขาด ง. คนใชสอยทรพั ย ค. ไมเชื่อถือ ง. เสียชวี ิต คาํ ตอบ : ง คําตอบ : ง ๑๕. ขอ ใด เปน ประโยชนส งู สุดในการเขา ๑๑. สงสยั วา พระพุทธเจา มจี รงิ หรือ ถึงพระรัตนตรัย ? เปน เหตใุ หสรณคมนเปนเชนไร ? ก. ไดสวดมนต ก. เศราหมอง ข. บกพรอ งไป ข. ไดกราบไหว ค. ตองรบั ใหม ง. ขาดลงทันที ค. ไดตักบาตร คาํ ตอบ : ก ง. ไดเ ห็นธรรม ๑๒. สรณคมนเ ศราหมองเพราะความไม คาํ ตอบ : ค เอื้อเฟอ ตรงกับเรื่องใด ? ๑๖. ขอใด ถือเปน ที่พ่งึ สูงสุดในทาง ก. ไมเ ลาเรยี นคําสอน พระพทุ ธศาสนา ? ข. ไมเ ชอื่ เร่อื งบุญ ก. พระรัตนตรัย ข. ตน ไม ค. ไมเ คารพพระสงฆ ค. ภเู ขา ง. แมน ํ้า ง. สงสยั เรอื่ งนรก คาํ ตอบ : ก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 325
326 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉҪѹé â· ๑๗. อโุ บสถ เปน เร่อื งบาํ เพญ็ กุศลความดี ข. การรบั สรณคมน ของใคร ? ค. การสมาทานศีล ก. คฤหัสถ ข. ภกิ ษุ ง. การงดเวนอาหาร ค. สามเณร ง. แมชี คาํ ตอบ : ง คําตอบ : ก ๒๒. หากรักษาปฏชิ าครอุโบสถในวัน ๘ คํ่า ๑๘. การรกั ษาอุโบสถ บัญญัติขึ้นดว ย วนั รับจะเปน วันก่คี ํ่า ? วัตถุประสงคใด ? ก. ๖ คํา่ ข. ๗ คํา่ ก. เพ่ือทํากิจทางพระพทุ ธศาสนา ค. ๘ คํ่า ง. ๙ คํา่ ข. เพอื่ หยดุ การงานของคฤหสั ถ คําตอบ : ข ค. เพ่ือขัดเกลากิเลสอยา งหยาบ ๒๓. อุโบสถที่อบุ าสกอบุ าสิกานิยมรักษา ง. ถกู ทุกขอ ในวันพระวันหนึ่งกับคนื หนึ่ง คําตอบ : ง เปน อุโบสถประเภทใด ? ๑๙. การรักษาอโุ บสถ เริม่ ปฏบิ ัตกิ ันมา ก. ปกติอโุ บสถ ตง้ั แตเม่อื ไร ? ข. ปฏชิ าครอโุ บสถ ก. กอนพุทธกาล ข. สมยั พุทธกาล ค. ปาฏหิ ารยิ อโุ บสถ ค. กึง่ พทุ ธกาล ง. หลงั พทุ ธกาล ง. นิคคัณฐอโุ บสถ คาํ ตอบ : ก คําตอบ : ก ๒๐. การรักษาอุโบสถ นอกจากใหท าน ๒๔. อโุ บสถประเภทใด เทียบไดกบั การอยู รกั ษาศลี และเจริญภาวนาแลว จาํ พรรษาของพระภิกษุ ? ควรทาํ อยางไรอีก ? ก. ปกติอุโบสถ ก. อยูใหครบเดอื น ข. ปฏิชาครอุโบสถ ข. อยูใหครบพรรษา ค. ปาฏหิ าริยอโุ บสถ ค. อยใู หค รบเวลา ง. นคิ คัณฐอุโบสถ ง. อยูคร่งึ วันพอแลว คาํ ตอบ : ค คําตอบ : ค ๒๕. อโุ บสถประกอบดวยองค ๘ หมายถงึ ขอ ใด ? ๒๑. อโุ บสถนอกพทุ ธกาลกบั สมยั พทุ ธกาล ก. ทศิ ๘ ข. บุคคล ๘ เหมอื นกันในขอ ใด ? ค. ศีล ๘ ง. มรรค ๘ ก. การรักษาศีล ๘ คาํ ตอบ : ค คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท 326
ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÑÂ) 327 ๒๖. การจะรักษาอโุ บสถศีลไมใหข าด ค. การดมื่ สรุ าเมรัย ไมใ หดา งพรอ ย ตอ งทาํ อยางไร ? ง. การอดอาหาร ก. สมาทานศลี คาํ ตอบ : ก ข. งดจากขอหาม ๓๑. สง่ิ เปนขาศกึ แกพ รหมจรรยใ นอโุ บสถ ค. ตงั้ ใจภาวนา ศีลขอ ๓ คอื อะไร ? ง. ถือใหครบเวลา ก. แตง ตัว ข. เสพกาม คําตอบ : ข ค. พดู ปด ง. ลกั ขโมย ๒๗. อโุ บสถศลี ขอ ใด ขาดเพราะประพฤติ คาํ ตอบ : ข ผิดทางวาจา ? ๓๒. ในอโุ บสถศลี ขอ ๖ กาํ หนดใหผ สู มาทาน ก. ปาณาติบาต รักษาตองงดเวน อะไร ? ข. อทินนาทาน ก. ขับรอง ข. ดกู ารเลน ค. กาเมสมุ จิ ฉาจาร ค. แตงตวั ง. อาหารคํ่า ง. มสุ าวาท คาํ ตอบ : ง คําตอบ : ง ๓๓. อุโบสถศลี ขอ ท่ี ๗ กําหนดใหผ ูสมาทาน ๒๘. อุโบสถศีลขอ ใด ขาดเพราะประพฤติ รักษาตอ งเวนเรอ่ื งใด ? เกี่ยวขอ งในกาม ? ก. เสพกาม ข. ลกั ทรัพย ก. สิกขาบทท่ี ๑ ข. สกิ ขาบทท่ี ๒ ค. แตงตัว ง. ด่มื เหลา ค. สกิ ขาบทท่ี ๓ ง. สกิ ขาบทท่ี ๔ คาํ ตอบ : ค คําตอบ : ค ๓๔. กาลทีก่ ําหนดใหผ รู กั ษาอโุ บสถบรโิ ภค ๒๙. เหตเุ ปนทีต่ งั้ แหงความประมาทใน อาหารได ตรงกบั ขอ ใด ? อโุ บสถศลี ขอ ๕ คืออะไร ? ก. ตอนเชา ข. ตอนบา ย ก. ฆา สัตว ข. ลกั ขโมย ค. ตอนเย็น ง. ตอนคา่ํ ค. พูดปด ง. ดมื่ นํา้ เมา คาํ ตอบ : ก คาํ ตอบ : ง ๓๕. วันอัฏฐมีในคําประกาศอุโบสถ ๓๐. คาํ วา อพรหมจรรย ในอุโบสถศลี หมายถงึ วันก่ีค่ํา ? ขอ ที่ ๓ หมายถึงอะไร ก. วนั ๘ ค่ํา ข. วัน ๑๐ คาํ่ ก. การลว งประเวณี ค. วนั ๑๔ คํา่ ง. วนั ๑๕ คํ่า ข. การรองเพลง คําตอบ : ก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 327
328 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹â· ๓๖. อโุ บสถของใคร มขี อหา มในบาง ข. สมาทานศลี เรื่องไมหามในบางเร่ือง ? ค. ประกาศคําอุโบสถ ก. อุบาสก ข. อุบาสกิ า ง. เจรญิ ภาวนา ค. อาชีวก ง. นิครนถ คาํ ตอบ : ค คําตอบ : ง ๔๑. ผสู มาทานอโุ บสถไมรูภาษาบาลี ๓๗. ผรู กั ษาอุโบสถทายากันยุง ถือวา ควรปฏบิ ัตอิ ยา งไร ? ไมละเมดิ ศลี เพราะสาเหตใุ ด ? ก. กลาวเปนภาษาไทย ก. ปอ งกันตัว ข. ประเทืองผวิ ข. กลาวเปนภาษาบาลี ค. ใหสบายใจ ง. ดับกลน่ิ กาย ค. กลา วที่หนา พุทธรปู คาํ ตอบ : ก ง. ไมตองกลา วเลยก็ได ๓๘. การกระทําใด ไมเ ปน ขาศกึ ตอ การ คาํ ตอบ : ก รกั ษาอุโบสถศีลขอ ๗ ? ๔๒. ครัน้ ถงึ วันอุโบสถ ควรสมาทาน ก. ขบั บทเสภา องคอ ุโบสถในเวลาใด ? ข. สวดสรภญั ญะ ก. ตอนเชา ค. ดโู ขนละคร ข. ตอนเท่ยี งวัน ง. ฟอ นรําขับรอง ค. ตอนบาย คําตอบ : ข ง. ตอนกลางคนื ๓๙. ในการรักษาอโุ บสถ หา มผูสมาทาน คาํ ตอบ : ก รกั ษานอนบนทนี่ อนสงู ใหญ ๔๓. ปจ จบุ ัน นิยมใหสมาทานศลี เพื่อปองกนั อะไร ? อุโบสถกบั ใคร ? ก. ความกําหนัด ก. พระพทุ ธเจา ข. อบุ ัติเหตุ ข. พระสงฆ ค. การนอนมาก ค. หลวงปูฤาษี ง. สตั วรา ย ง. คฤหสั ถ คาํ ตอบ : ก คาํ ตอบ : ข ๔๐. ในพิธีรักษาอุโบสถ กําหนดให ๔๔. หลังเขาจาํ อุโบสถ ปฏิบตั ติ นอยางไร ผสู มาทานรกั ษาทาํ เรอ่ื งใดกอ น ? บาปอกศุ ลจงึ ไมเกดิ ข้ึน ? ก. กราบพระรตั นตรัย ก. นึกถึงบาน คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท 328
ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÑÂ) 329 ข. นกึ ถงึ หลาน ข. ปาฏหิ ารยิ อุโบสถ ค. นกึ ถึงทาน ค. นคิ คณั ฐอโุ บสถ ง. นกึ ถงึ ลูก ๆ ง. ปฏชิ าครอุโบสถ คําตอบ : ค คําตอบ : ก ๔๕. เรอ่ื งท่ีไมค วรนํามาพูดในขณะถือ ๔๙. การถืออุโบสถศีลจะไดร ับผลมาก อโุ บสถศีล เรยี กวาอะไร ? หรือนอ ย ขนึ้ อยูกับอะไร ? ก. อนปุ ุพพกี ถา ก. บุญบารมี ข. อริยมรรคกถา ข. โชควาสนา ค. ตริ ัจฉานกถา ค. ชะตาชวี ติ ง. อนุโมทนากถา ง. ความตั้งใจ คําตอบ : ค คําตอบ : ก ๔๖. พดู เรือ่ งทาํ มาหากินในขณะถือ ๕๐. อุโบสถศลี สรางความปลอดภัย อโุ บสถศีล จัดเปน อโุ บสถใด ? ใหแ กม นุษยอ ยางไร ? ก. โคปาลกอุโบสถ ก. ใหไดเ กิดบนสวรรค ข. อรยิ อุโบสถ ข. ใหไ มมเี วรตอ กนั ค. นิคคณั ฐอุโบสถ ค. ใหท ันพระศรีอาริย ง. ปกติอโุ บสถ ง. ใหบรรลนุ พิ พาน คําตอบ : ก คําตอบ : ข ๔๗. อุโบสถประเภทใด มีอานสิ งสม าก เพราะตง้ั ใจรกั ษา ? ก. โคปาลกอโุ บสถ ข. อรยิ อโุ บสถ ค. นิคคัณฐอโุ บสถ ง. ถกู ทกุ ขอ คําตอบ : ข ๔๘. อุโบสถประเภทใด เปรยี บผูรกั ษา เหมอื นคนรบั จา งเลยี้ งโค ? ก. โคปาลกอุโบสถ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 329
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380