Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือธรรมศึกษาชั้นโท ปี 2561

คู่มือธรรมศึกษาชั้นโท ปี 2561

Published by suttasilo, 2021-06-27 06:38:00

Description: คู่มือธรรมศึกษาชั้นโท ปี 2561

Keywords: คู่มือธรรมศึกษา,ธรรมศึกษาชั้นโท,2561

Search

Read the Text Version

280 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ดาบสินกี ุมารี กษตั ริยท ้ัง ๔ พระองค ประทับอยูทเ่ี วิง้ แหง ครี ีวงกต คร้ังนั้น พระนาง มัทรีทูลขอพรแตพระเวสสันดรวา ขาแตสมมติเทพ พระองคไมตองเสด็จไปสูปา เพ่ือแสวงหาผลไม จงประทับอยู ณ บรรณศาลากับพระราชโอรสและพระธิดา หมอ มฉนั จะนาํ ผลาผลมาถวาย จําเดิมแตนั้นมา พระนางนําผลาผลจากปามาบํารุงปฏิบัติพระราชสวามีและ พระโอรสพระราชธดิ า ฝา ย พระเวสสนั ดรบรมโพธิสตั วก็ทรงขอพรกะพระนางมัทรีวา แนพระนองมัทรีผูเจริญ จาํ เดิมแตนี้ เราทง้ั สองชอื่ วาเปน บรรพชิตแลว ขน้ึ ชอื่ วา หญิง เปน มลทนิ แกพ รหมจรรย ตงั้ แตน ไี้ ป เธออยา มาสสู าํ นกั ฉนั ในเวลาทไี่ มส มควร พระนาง ทรงรบั วา สาธุ แมเ หลา สตั วด ิรัจฉานทง้ั ปวงในท่ี ๓ โยชนโดยรอบไดมีเมตตาจิตตอ กัน และกันดวยอานุภาพแหงเมตตาของ พระมหาสัตว พระนางมัทรีเสด็จต่ืนลุกขึ้นต้ังแต เชา ตง้ั นา้ํ ด่ืมน้าํ ใชแลว นาํ นํา้ บวนพระโอฐ น้ําสรงพระพกั ตร ไมช ําระ พระทนตมาถวาย กวาดอาศรมบทใหพระโอรสพระธิดาท้ังสองอยูในสํานักพระชนกแลว ทรงถือกระเชา เสียม เสด็จเขาไปสูปาหามูลผลาผลในปาใหเต็มกระเชาเสด็จกลับจากปา ในเวลาเย็น เกบ็ ผลาผงไวใ นบรรณศาลาแลว สรงนาํ้ และใหพ ระโอรสพระธดิ าสรงนา้ํ ครง้ั นน้ั กษตั รยิ  ทั้ง ๔ พระองค ประทับนั่งเสวยผลาผลใกลประตูบรรณศาลา จากนั้นพระนางมัทรี พระชาลีและพระกณั หาจึงไปสูบ รรณศาลากษัตรยิ ทง้ั ๔ พระองค ประทบั อยู ณ เวิง้ เขา วงกตตลอด ๗ เดอื น โดยทาํ นองน้แี ลดว ยประการฉะนี้ เรอื่ งพระเวสสนั ดร ตอนวนปเวสนกณั ฑน ี้ พระเวสสนั ดรขณะทรงถอื เพศเปน ดาบสหรอื เปน นักบวชน้ัน พระองค กท็ รงประพฤติพรหมจรรยซ ่งึ เปน การบาํ เพญ็ บารมี ของพระโพธสิ ัตวส ง ผลใหบ รรลุถงึ เปน พระสมั มาสมั พุทธเจา 280

ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÑÂ) 281 ÍâØ ºÊ¶ÈÕÅÊ¡Ô ¢Òº··Õè ô ÁØÊÒÇÒ·Ò àÇÃÁ³Õ เจตนางดเวนจากการพดู เทจ็ ๑. ความมงุ หมาย สิกขาบทนี้ มุงหมายเพื่อหามการตัดประโยชนทางวาจา ปองกันการทําลาย ท้ังประโยชนตน คือคุณธรรมท่ีมีในตน และประโยชนผูอ่ืนท่ีจะพึงเกิดขึ้นจากการ พูดเท็จหรือจากการใหขอมูลขาวสารที่ไมเปนจริง คนท้ังหลายยอมชอบและเชื่อถือ ความจริงดวยกันทุกคน จะถามหรือฟงขอความอะไรกับใคร ก็ตองการความจริง แมจะใหใครเชื่อถอยคําของตนก็ตองอางความจริงข้ึนมาพูด เม่ือความจริงเปนเชนน้ี ผูใดพูดมุสาก็ช่ือวาเปนการตัดประโยชนทั้งของตนและคนอ่ืน สิกขาบทนี้ มุงสงเสริม ใหรักษาความซ่ือสัตยสุจริต ความซื่อตรงตอกัน อันเปนเหตุนํามาซึ่งความรัก ความสามคั คีของหมคู ณะ ๒. เหตุผล คนชอบพูดเท็จ พูดโกหก หลอกลวง หรือพูดมีเลศนัยในแงมุมตางๆ น้ัน ไดชื่อวาทําลายคุณธรรมในจิตใจของตนเอง และจะทําใหกลายเปนคนเหลาะแหละ ขาดความนาเชอื่ ถือ ไมเ ปน ที่ไวว างใจของคนทงั้ หลาย ไมมีใครคบคา สมาคมดวย ไมมี เกียรตแิ ละศักดศิ์ รใี นสังคม ๓. ขอ หาม สิกขาบทที่ ๔ หา มการพดู เท็จ อันจะทําใหผ อู ่นื เขาใจผดิ คลาดเคล่ือนจาก ความเปน จรงิ หรือการพูดทท่ี ําลายประโยชนของผอู ื่น นอกจากนีผ้ รู ักษาอโุ บสถศลี เวน จากการพูดอนโุ ลมมุสา และ ปฏสิ สวะ ดวย มุสา มสุ า แปลวา เทจ็ ไดแ ก โกหก หมายถงึ การทาํ เทจ็ ทกุ อยา ง การแสดงความเทจ็ เพ่ือใหผอู ่นื เขาใจผดิ นน้ั ทาํ ไดท ัง้ ทางวาจาและทางกาย ดงั นี้ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 281

282 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ทางวาจา คือ พูดออกมาเปนคําเท็จ ตรงกับคําโกหก ซึ่งเปนท่ีเขาใจกัน อยแู ลว ทางกาย คอื การแสดงกริ ยิ าอาการที่เปนเทจ็ เชน การเขยี นจดหมายโกหก การเขยี นรายงานเทจ็ การทาํ หลกั ฐานปลอม การตพี มิ พข า วสารอนั เปน เทจ็ การเผยแพร ขา วสารอันเปนเท็จทางส่อื สารสนเทศ การทาํ เครอื่ งหมายใหค นอื่นหลงเช่อื รวมถึงการ ใชใ บใ หค นอนื่ เขา ใจผดิ เชน สงั่ ศรี ษะในเรอ่ื งควรรบั หรอื พยกั หนา ในเรอ่ื งทคี่ วรปฏเิ สธ มสุ า มีประเภทท่ีจะพงึ พรรณนาเปน ตวั อยา ง ดังนี้ ปด ไดแก มุสาตรงๆ โดยไมอาศยั มูลเลย เชน ไมเหน็ บอกวา เหน็ ไมรูบอก วารู ไมมบี อกวา มี เปนตน สอ เสียด คือ พูดยแุ ยงเพื่อใหเ ขาแตกกนั หลอก คือ พดู เพอ่ื จะโกงเขา พดู ใหเ ขาเช่ือ พูดใหเ ขาเสียของใหตน ยอ คอื พูดเพ่ือจะยกยอ งเขา พูดใหเขาลืมตัวและหลงตวั ผิด กลับคาํ คอื พูดไวแ ลแตต อนหลังไมยอบรับ ปฏิเสธวา ไมไดพูด ทนสาบาน ไดแ ก กริ ยิ าทเ่ี สย่ี งสตั วว า จะพดู ความจรงิ หรอื จะทาํ ตามคาํ สาบาน แตไมไ ดพูดหรือทําตามน้นั เชน พยานทนสาบานแลว เบกิ คําเทจ็ เปน ตน ทําเลหกระเทห ไดแก กิริยาที่อวดอางความศักดิ์สิทธิ์อันไมเปนจริง เพ่ือใหค นหลงเชอื่ นยิ มยกยอง และเปนอบุ ายหาลาภแสวงหาผลประโยชนสวนตน เชน อวดรูวิชา คงกระพนั วาฟน ไมเ ขายิงไมออก เปนตน มารยา ไดแ ก กิริยาทีแ่ สดงอาการใหเขาเหน็ ผิดจากที่เปนจรงิ เชน เปนคน ทุศีล ทําทา ทางเครงครัดใหเ ขาเหน็ วา เปน คนมีศีล ทําเลศ ไดแ ก พูดมุสาเลนสํานวน พูดคลมุ เครือใหผูฟง เขาใจผิด เชน เหน็ คนวิ่งหนีเขามา เม่ือผูไลติดตามมาถาม จึงยายไปยืนท่ีอื่นแลวพูดวา ต้ังแตมายืนท่ีนี่ ไมเ หน็ ใครเลย เสรมิ ความ ไดแ ก พูดมุสาอาศัยมลู เดิม แตเ สรมิ ความใหมากกวาทเ่ี ปน จรงิ เชน โฆษณาสรรพคุณสนิ้ คาเกนิ ความเปน จริง เปนตน อาํ ความ ไดแ ก พดู มสุ าอาศยั มลู เดมิ โดยตดั ขอ ความทไี่ มป ระสงคจ ะใหร อู อก เสยี เพอ่ื ใหผ ฟู ง เขา ใจเปน อยา งอน่ื เชน เรอ่ื งมากพดู ใหเ หลอื นอ ยเพอื่ ปด ความบกพรอ ง 282

ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 283 บุคคลพูดดวยวาจาหรือทํากิริยาแสดงทาทางอยางใดอยางหน่ึง ผูอ่ืนรูแลว เขาจะเชือ่ หรอื ไมเช่อื ไมเ ปนประมาณ บุคคลผูพ ูดหรอื แสดงอาการนัน้ ไดชอื่ วา พดู มสุ า ในสกิ ขาบทนี้ อนุโลมมสุ า อนโุ ลมมสุ า คือ การพดู เร่อื งไมเปนจรงิ แตม ไิ ดมเี จตนาจะทาํ ใหผูฟ ง เขาใจ ผดิ หรอื หลงเชอ่ื เพยี งแตพ ดู เพอ่ื ใหเ จบ็ ใจ มปี ระเภททจ่ี ะพงึ พรรณนาเปน ตวั อยา ง ดงั นี้ เสยี ดแทง ไดแ ก ทพี่ ดู ใหผ อู น่ื เจบ็ ใจ ดว ยอา งเรอ่ื งทไ่ี มเ ปน จรงิ เชน ประชด คอื การกลาวแดกดันยกใหสูงกวาพืน้ เพเดิมของเขา หรอื ดา คือการกลา วถอ ยคําหยาบชา เลวทรามกดตาํ่ กวาพื้นเพเดิมของเขา สับปลบั ไดแ ก พูดกลับกรอกเชอ่ื ไมได พดู ดว ยความคะนองปาก แตผ ูพ ูด ไมไดจ งใจจะใหคนอื่นเขาใจผดิ เชน รบั ปากแลว ไมท ําตามท่รี ับน้นั อนุโลมมุสานี้ แมจะมิไดเปนท่ีมุสา คือ คําเท็จโดยตรง แตก็นับเขาในมุสา ไมควรพดู เพราะพูดแลว มโี ทษ ผูนยิ มความสุภาพแมจะวากลา วสง่ั สอนลกู หลานก็ไม ควรใชค าํ ดาหรอื คําเสยี ดแทง ควรใชค าํ สภุ าพ แสดงโทษผดิ ใหรูส ึกตัวแลวหา มปราม มใิ หก ระทําตอไป ปฏสิ สวะ ปฏสิ สวะ ไดแ ก การรบั คาํ ของคนอน่ื ดว ยความตง้ั ใจจะทาํ ตามทร่ี บั คาํ นน้ั ไวจ รงิ แตภายหลังเกิดกลับใจไมทําตามท่ีรับคําน้ัน ทั้งที่ตนพอจะทําตามท่ีรับคํานั้นได มปี ระเภทที่จะพึงพรรณนาเปน ตวั อยาง ดังนี้ ผิดสัญญา หมายถึง การไมท าํ ตามท่ีตกลงกนั ไว เชน ตกลงกนั วาจะเลกิ คา สง่ิ เสพติด แตพ อไดโอกาสก็กลับมาคาอีก คืนคาํ หมายถงึ การไมท ําตามท่ีรับปากไว เชน รบั ปากจะใหสิง่ ของแลว ไมได ใหต ามที่ไดร ับปากไวนัน้ ถอยคาํ ทไี่ มจัดเปน มสุ าวาท ผูพูดพดู ตามความสาํ คัญของตน เรยี กวา ยถาสญั ญา หรอื ตามวรรณกรรม ซึ่งเปนคําพูดไมจริง แตไมมีความประสงคจะใหผูฟงเชื่อ ไมเขาขายผิดศีลตาม สกิ ขาบทท่ี ๔ น้ี มปี ระเภททจ่ี ะพึงพรรณนาเปนตัวอยาง ดังนี้ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 283

284 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท โวหาร ไดแก ถอยคําที่ใชเปนธรรมเนียม เพื่อความไพเราะของภาษา เชน การเขียนจดหมายที่ลงทายวา ดวยความนับถืออยางสูง เปนโวหารการเขียนตามแบบ ธรรมเนียมสารบรรณ ซ่ึงในความเปนจริงผูเขียนอาจไมไดนับถืออยางสูง หรืออาจไม ไดนบั ถือเชนน้ันดวยซํา้ ไป นยิ าย ไดแ ก เรอื่ งทแ่ี ตง ขนึ้ เรอ่ื งทเี่ ลา กนั มา เรอื่ งทน่ี าํ มาอา งเพอ่ื เปรยี บเทยี บ ใหไ ดใ จความเปน หลกั เชน นิทาน ละคร ลิเก ซง่ึ ในทองเรอ่ื งนน้ั อาจมเี น้อื หาที่ไมเปน ความจรงิ แตผ แู ตง ไมไ ดต ง้ั ใจใหค นหลงเชอื่ เพยี งแตแ ตง แสดงเนอื้ หาไปตามทอ งเรอ่ื ง สาํ คญั ผิด ไดแ ก คําพดู ทผ่ี พู ดู สาํ คัญผิดวา เปน อยา งนนั้ ทั้งท่คี วามเปน จริง มไิ ดเปน เชนน้ัน คือ ผพู ูดพูดไปตามความเขาใจของตน เชน ผพู ดู จบั ผดิ จงึ บอกผูถาม ไปตามวันที่จําผิดน้นั เปน ตน พล้งั ไดแก คาํ พูดทพ่ี ลาดไปโดยท่ไี มไ ดต ั้งใจหรือไมท ันคิด เชน ผูพดู ต้ังใจ จะพดู อยางหน่งึ แตก ลบั พลาดไปพดู เสยี อีกอยางหนงึ่ ๔. หลักวินิจฉัย การลวงละเมดิ สกิ ขาบทท่ี ๔ ท่ที าํ ใหศีลขาด ประกอบดวย องค ๔ คือ ๔.๑ อตถํ วตถฺ ุ เร่ืองไมจริง ๔.๒ วิสํวาทนจิตฺตํ จิตคิดจะพดู ใหผดิ ๔.๓ ตชโฺ ช วายาโม พยายามพูดออกไป ๔.๔ ปรสสฺ ตทตฺถวิชานนํ คนอ่นื เขาใจเน้ือความนนั้ ๕. โทษของการลวงละเมิด การประพฤติมุสาวาท จะมีโทษมากหรือนอย ขนึ้ อยกู บั ประโยชนท จ่ี ะถกู ตดั นอน หมายความวา ถา การพดู เทจ็ นนั้ ทาํ ใหเ สยี ประโยชน มากกม็ โี ทษมาก เชน บคุ คลที่ไมตองการใหข องๆ ตน พดู ออกไปวา ไมม ี กย็ ังมโี ทษ นอ ย แตถ า เปน พยานเทจ็ กอ ใหเ กดิ ความเสยี หายมากกม็ โี ทษมาก เปน ตน นอกจากนนั้ ผูท ่ีละเมิดยอ มไดรบั กรรมวบิ าก ๕ อยา ง คอื ๕.๑ เกิดในนรก ๕.๒ เกดิ ในกาํ เนดิ สัตวเ ดยี รัจฉาน ๕.๓ เกดิ ในกาํ เนดิ เปรตวิสัย ๕.๔ มีวาจาไมเปน ทเ่ี ช่อื ถอื มีกลิน่ ปากเหม็นจดั ๕.๕ ถกู กลา วตูอยเู สมอ 284

ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÑÂ) 285 ๖. อานสิ งส ผรู ักษาอุโบสถศลี ขอ ท่ี ๔ ยอมไดรับอานสิ งส ดงั นี้ ๖.๑ มีอนิ ทรยี  ๕ ผอ งใส ๖.๒ มวี าจาไพเราะ มไี รฟนสมา่ํ เสมอเปน ระเบียบดี ๖.๓ มรี า งกายสมสวนบรบิ ูรณ ผวิ พรรณเปลงปล่งั ๖.๔ มีกลิ่นปากหอมเหมือนกล่ินดอกบัว ๖.๕ มวี าจาศกั ดิ์สทิ ธิ์ เปนท่เี ชอ่ื ถอื ของคนทว่ั ไป ๖.๖ มรี ิมฝปากแดงระเร่อื และรมิ ฝป ากบาง คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 285

286 ¤ÙÁ‹ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ตัวอยา งเรอ่ื งท่ีเปน โทษของการลว งละเมิดสกิ ขาบทท่ี ๔ เร่ือง เจตยิ ราชชาดก ในอดตี กาล สมัยท่ีพระเจา อปุ ริจรราช ครองราชยสมบตั อิ ยู ณ โสตถยิ นคร ในเจตยิ รฐั พระองคมีฤทธ์ิ ๔ อยาง มักเสดจ็ เหาะไปในอากาศ มเี ทพบุตร ๔ องค ถอื พระขรรคร กั ษาอยทู ง้ั ๔ ทิศ มีกล่ินจันทรห อมฟงุ ออกจากพระวรกาย มกี ลน่ิ อบุ ลหอม ฟุงออกจากพระโอษฐ พระองคม ีปโุ รหติ ช่ือวา กปลพราหมณ กปล พราหมณม นี องชาย ชื่อโกรกลัมพกะ เปนพาลสหายของพระเจาอุปริจรราชซ่ึงเคยเลาเรียนศิลปะในสํานัก อาจารยเดียวกันกับพระราชาในสมัยที่พระราชายังเปนพระราชกุมาร พระองคไดทรง ปฏิบัติปฏิญญากะโกรกลัมพกพราหมณไววา เมื่อเราไดครองราชยสมบัติแลว จักให ตาํ แหนงปุโรหติ แกทาน คร้ันพระองคข้ึนครองราชยสมบัติแลว ก็ไมอาจถอดกปลพราหมณ ซึ่งเปน ปุโรหิตของพระชนกออกจากตําแหนงปุโรหิตได ก็เม่ือกปลปุโรหิตเขาเฝา พระองคก็ ทรงแสดงความยําเกรง ดวยความเคารพในปุโรหิตน้ัน พราหมณสงั เกตอาการนัน้ แลว คิดวา ธรรมดา การครองราชยส มบตั ิ ตองบรหิ ารราชการรวมกบั ผูที่มัยเสมอกนั จึงจะดี จงึ ทลู ลาบวช โดยทลู ขอใหท รงตง้ั บตุ รของตนเปน ปโุ รหติ ไดร บั พระราชทานพระบรมรา- ชานญุ าตแลว เขาไปบวชเปน ฤาษี ณ พระราชอทุ ยาน ไดฌานและอภญิ ญา โดยอาศัย ลกู เปนผูบํารุง โกรกลมั พกพราหมณ ผกู อาฆาตพช่ี ายวา พ่ีชอบของเราน้แี มบวชแลว ก็ยัง ไมใหฐานันดรแกเรา วันหน่ึง ขณะที่สนทนากัน พระราชาตรัสถามถึงการท่ีเขาไมได ตาํ แหนงปโุ รหิต เขากราบทลู การทีไ่ มไดตาํ แหนง ปโุ รหิตนั้น ตนเองไมไดทํา พ่ีชายของ ตนเปนคนทํา แตครั้งแรกนั้น พระองคไมอาจใหพระองคถอดพ่ีชายจากฐานันดรเสีย แลวแตงตงั้ ขา พระองคเปน ปุโรหติ เพราะเปน ตนั ตปิ ระเพณีสบื เน่ืองมา พระราชาจึงตรัสวา จะแตงต้ังใหเปนใหญ แลวทําพี่ชายของโกรกลัมพก พราหมณใหมีสถานภาพเปนนองชาย โดยจะทรงกระทําโดยมุสาวาท โกรกลัมพก พราหมณกราบทูลวาพ่ีชายของเขามีวิชาที่นาอัศจรรยยิ่งนัก สามารถลวงพระองค ดว ยอุบายท่ไี มจรงิ เชน จกั ทําใหเทพบตุ รท้งั ๔ องคหายตวั จักทํากลิ่นหอมทฟ่ี ุงจาก พระวรกายและพระโอษฐใหกลายเปน กลิน่ เหม็น จักทาํ พระองคใหเ ปน เหมอื นพลัดตก 286

ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÑÂ) 287 จากอากาศลงมายืนอยูบนพนดิน พระองคจักทําเปนเหมือนถูกแผนดินสูบ จักไมอาจ ดาํ รงพระวาจาอยูได จะยังทรงยนื ยังจะทรงทําเชนนน้ั ถัดจากไป ๗ วนั พระราชดาํ รสั นนั้ ไดแ พรส ะพดั ไปทว่ั พระนคร มหาชนเกดิ ปรวิ ติ กขน้ึ อยา งนวี้ า ไดข า ววา พระราชาจักทรงทาํ มสุ าวาท ทําเด็กใหเ ปนผใู หญ จักใหผูใหญค นื ฐานนั ดรให แกเ ด็ก ขึน้ ชื่อวา มสุ าวาท เปนอยางไรหนอ มีสีอะไรกันแน สเี ขยี วหรือสีเหลอื ง เปนตน เนอ่ื งจากในสมยั นนั้ เปน สมยั ทช่ี าวโลกพดู แตค วามสตั ย คนทง้ั หลายจงึ ไมร วู า มสุ าวาท นี้เปนอยา งไร แมล กู ของปโุ รหติ พอไดย นิ ขา วนนั้ แลว กบ็ อกบดิ าวา พระราชาจกั ทาํ มสุ าวาท ทําพอใหเปนเด็ก แลวพระราชทานฐานันดรของลูกใหแกอา กปลดาบสกลาววา ถงึ พระราชาทรงทํามุสาวาท ก็ไมอ าจพระราชทานฐานันดรของเราแกอาเจา ได คร้ันถึงวันที่ ๗ มหาชนคิดวา จักดูมุสาวาท จึงไปประชุมกันที่พระลาน หลวงผูกเตียงซอนๆ กันขึ้นยืนดู เมื่อพระราชาเสด็จอยูในอากาศหนาลานหลวง ทามกลางมหาชน พระดาบสไดเหาะมาแลวลาดหนังรองนั่งตรงพระพักตรพระราชา ทูลถามและทราบวา พระราชาทรงประสงคจะทํามุสาวาท ทําเด็กใหเปนผูใหญ แลว พระราชทานฐานนั ดรแกโ กรกลมั พกพราหมณ โดยพระดาบสไดท ลู กบั พระราชาวา ขนึ้ ชอ่ื วา มสุ าวาท เปน บาปหนกั กาํ จดั คณุ ความดี ทําใหเกิดในอบายทง้ั ๔ ธรรมดาพระราชา เมอื่ ทรงทํามสุ าวาท ยอ มชอื่ วา ได ทาํ ลายธรรม ครน้ั ทําลายธรรมเสียแลว ยอ มไดช ื่อวาทําลายตนนนั่ เอง ถาพระองคจัก ทรงทาํ มุสาวาทจริง ฤทธ์ิ ๔ อยางของพระองคกจ็ ักอันตรธานไป เทวดาทงั้ หลายก็จะ พากนั หลกี หนีไปเสยี พระโอษฐจ ักมีกล่ินบดู เนาเหม็นฟงุ ไป ยอ มพลัดพรากจากฐานะ ของตนแลว ถกู แผน ดนิ สูบ พระเจาอุปริจรราช ไดสดับโอวาทของพระดาบสแลวมีพระหทัยกลัว ลําดับน้ัน โกรกลัมพกพราหมณจึงกราบทูลขอใหพระองคอยาทรงกลัว จงรักษา พระดาํ รสั ของพระองคไ ว พระราชาจงึ ไดต รสั วา ทา นเปน นอ งชาย โกรกลมั พกะเปน พช่ี าย ทนั ใดนน้ั เทพบตุ รทง้ั ๔ องคก ไ็ มอ ารกั ขาคนพดู มสุ าวาท ไดท งิ้ พระขรรคไ วใ กล พระบาทของพระราชา อนั ตรธานหายตวั ไปพรอ มกบั ทพี่ ระราชาไดต รสั มสุ าวาท พระโอษฐ ก็มีกล่ินเหม็นเหมือนฟองไขเนาแตก พระวรกายก็มีกลิ่นเหม็นเหมือนสวมท่ีเปดไว ฟุงตลบไปทว่ั พระราชาตกจากอากาศประทบั อยูบนแผนดนิ ฤทธิ์ทงั้ ๔ ไดเ สอ่ื มไปแลว คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 287

288 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉҪѹé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท พระดาบสไดกราบทูลเตือนพระราชา ขอใหพระองคอยาไดทรงกลัวเลย ถาพระองคต รัสสัจจวาจา เขากจ็ ะทาํ สิ่งท้ังปวงใหกลับเปนปกติ พระราชานน้ั ตรสั วา พระดาบสกลา วอยา งนเ้ี พอื่ จะลวงพระองค จงึ ตรสั มสุ าวาท เปนครัง้ ท่สี อง จึงถูกแผนดินสูบลงไปแคข อพระบาท ลาํ ดับนนั้ พระดาบสไดก ราบทูล เตอื นพระราชาขอใหพ ระองคจ งทรงกาํ หนดดผู ลแหง มสุ าวาท ทาํ ใหพ ระองคถ กู แผน ดนิ สูบไปแตพ ระชงฆแลว และจะสบู ลงไปอกี ถาพระองคต รสั สจั วาจา เขากอ็ าจทาํ ใหก ลับ เปน ปกติ พระเจาอปุ รจิ รราช ไดท รงทํามุสาวาทเปนครั้งทส่ี าม จึงถูกแผนดินสบู ลงไป แตพ ระชานุ ลาํ ดบั นน้ั พระดาบสไดก ราบทลู เตอื นพระราชาขอใหพ ระองคต รสั สจั จวาจา แลวพระองคกจ็ ะประทบั อยูในพระราชวงั ตามเดิมได มเิ ชนน้ัน พระชิวหาของพระองค จะแตกเปนสองแฉกเหมือนลิน้ งู จะถูกแผนดินสบู ลึกยิ่งลงไปอกี พระราชามิไดถือเอาถอยคาํ ของพระดาบสนัน้ ยงั ทรงทํามุสาวาทเปน ครั้งที่ ๔ จงึ ถูกแผนดินสูบลงไปแคบนั้ พระองค ลําดบั น้ัน พระดาบสไดก ราบทูลเตอื นพระราชา ขอใหพ ระองคต รสั สัจวาจา แลว พระองคกไ็ ปประทบั อยใู นพระราชวังตามเดมิ ได มิเชน นั้นพระชิวหาของพระองคจะไมมี จะถูกแผนดินสูบลึกยิ่งลงไปอีก พระเจาอุปริจรราช ไดทํามุสาวาทเปนคร้ังท่ี ๕ จึงถูกแผนดินสูบลงไปแคพระนาภี ลําดับนั้น พระดาบส ไดกราบทูลเตือนพระราชาขอใหพระองคตรัสสัจวาจา แลวพระองคก็จะประทับอยูใน พระราชวังตามเดิมได มิเชนน้ัน จะมีแตพระราชธิดาเทานั้นมาเกิด หามีพระราชโอรส มาเกดิ ในราชสกุลไมจ ะถกู แผน ดินสบู ลกึ ย่งิ ลงไปอกี พระราชามไิ ดท รงเชอ่ื ถอื ถอ ยคาํ ตรสั มสุ าวาทเชน นน้ั อกี เปน ครง้ั ท่ี ๖ ถกู แผน ดินสูบลงไปแตพระถัน ลําดับนั้น พระดาบสไดกราบทูลเตือนพระราชาขอใหพระองค ตรัสสัจวาจา แลวพระองคก็จะประทับอยูในพระราชวังตามเดิมได มิเชนน้ัน จะไมมี พระราชโอรส ถา มกี จ็ ะเสดจ็ หนไี ปยงั ทิศตางๆ หมด จะจถุ กู แผน ดินสูบลกึ ยิ่งลงไป พระเจาอุปริจรราชมิไดทรงเชื่อถือถอยคําของพระดาบส เพราะโทษคือ การคบคนช่วั เปน มิตร ไดทรงทาํ มสุ าวาทเชน นนั้ อีกเปนคร้งั ที่ ๗ ทันใดนน้ั แผน ดนิ ได แยกออกเปน สองชอ ง มีเปลวไฟจากอเวจี พลงุ ข้ึนไหมพระราชา พระโอรสทั้ง ๕ องคของพระเจาเจติยราชพากันหมอบลงท่ีเทาของ พระดาบสกลาววาขอทานจงเปนท่ีพ่ึงของพวกขาพเจาเถิด พระดาบสทูลวา พระชนก 288

ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÑÂ) 289 ของพระองคยังธรรมใหพินาศ กลาวมุสาวาท ดาพระฤาษีจึงตกนรกอเวจี ขึ้นช่ือวา ธรรมน้ีอันบุคคลทําลายแลว ยอมทําลายบุคคลน้ัน พวกพระองคท้ังหลาย ก็จะไม สามารถประทับอยูในพระนครน้ีได แลวใหทั้ง ๕ พระองคเสด็จออกไปยังทิศตางๆ เพ่ือสรา งพระนครใหม คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 289

290 ¤ÁÙ‹ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ตัวอยา งเรื่องท่ีเปนอานสิ งสข องการรักษาสกิ ขาบทที่ ๔ เรือ่ ง สุวรรณสามชาดก ในอดตี กาล ณ ทไ่ี มไกลแตก รุงพาราณสี มีบา นนายพรานหลังหนง่ึ รมิ แมนํ้า ฝง นแี้ ละมบี า นนายพรานอกี หลงั หนง่ึ รมิ ฝง โนน นายบา นทง้ั สองเปน สหายกนั ในเวลาท่ี ยงั หนมุ อยเู ขาไดท าํ กตกิ าสญั ญากนั อยา งนว้ี า ถา ขา งหนง่ึ มธี ดิ า ขา งหนง่ึ มบี ตุ ร เราจกั ให แตง งานกนั ลาํ ดบั นนั้ ในเรอื นของนายบา นฝง นค้ี ลอดบตุ ร ชอื่ า ทกุ ลู กมุ าร อกี ฝง คลอด ธดิ าชื่อวา ปาริกากุมารี เดก็ ท้งั สองรูปงาม นารัก มผี ิวพรรณดังทองคาํ แมเ กิดในสกลุ นายพรานกไ็ มท ําปาณาติบาต กาลตอ มา เมอื่ ทุกูลกมุ ารมีอายุได ๑๖ ป บดิ ามารดาพูดวา จะนํากุมารกิ ามา เพื่อเจาแตทุกูลกุมารมาจากพรหมโลก เปนสัตวบริสุทธ์ิ จึงปดหูทั้งสองบอกวา ไมต อ งการอยูค รองเรอื น โปรดอยาไดพูดแบบน้ี แมบ ิดามารดาพูดถงึ สองคร้ังสามครัง้ กไ็ มป รารถนา ฝา ยปารกิ ากมุ ารี แมบ ดิ ามารดาของเธอกพ็ ดู วา จะใหล กู แตง งานกบั บตุ ร ของสหาย ซง่ึ มรี ปู งาม นา รกั มผี วิ พรรณดง่ั ทองคาํ ปารกิ ากมุ ารกี ก็ ลา วหา มอยา งเดยี วกนั แลวปด หูทัง้ สองเสยี เพราะนางมาแตพรหมโลก เปน สตั วบ ริสุทธิเ์ ชน กัน ในคราวนน้ั ทกุ ลู กมุ ารไดส ง ขา วลบั ไปถงึ ปารกิ ากมุ ารวี า ถา เธอมคี วามตอ งการ ดว ยเมถนุ ธรรม กจ็ งไปสเู รอื นของบคุ คลอนื่ ฉนั ไมม คี วามพอใจในเมถนุ แมน างปารกิ า ก็สงขาวลับไปถึงทุกูลกุมารเชนนั้น แตบิดามารดาไดกระทําการแตงงานใหเธอท้ังสอง ผูไมปรารถนาเรื่องประเวณีเลย เธอท้ังสองมิไดหย่ังลงสูสมุทรคือกิเลส อยูดวยกัน เหมอื นมหาพรหม ฉะนน้ั ฝา ยทกุ ลู กมุ ารไมฆ า ปลาหรอื เนอ้ื โดยทส่ี ดุ กไ็ มข ายแมก ระทงั่ เน้อื ทบ่ี คุ คลนํามา ลําดับน้นั บดิ ามารดาพูดกะเขาวา เจา เกดิ ในสกลุ นายพราน ไมปรารถนาอยู ครองเรือน ไมทําการฆา สตั ว เจาจกั ทาํ อะไรกไ็ ด ทกุ ูลกุมารจงึ ขอทา นท้งั สองอนุญาตให บวช บดิ ามารดากอ็ นุญาต ถา เชนน้นั เจาท้งั สองบวชเถดิ ทกุ ลู กุมารและปารกิ ากมุ ารกี ็ ยนิ ดรี า เรงิ ไหวบ ดิ ามารดา แลว ออกจากบา น เขาสปู า หมิ วนั ตท างฝง แมน าํ้ คงคา มงุ ตรง สแู มนา้ํ มคิ สมั มตา 290

ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (Ç¹Ô ÑÂ) 291 ขณะนั้น พิภพแหงทาวสักกเทวราชสําแดงอาการเลารอน ทาวสักกเทวราช ทรงหวนรําลกึ ดู ก็ทรงทราบเหตุการณน้ัน จงึ ตรสั เรยี กพระวิสสุ ุกรรมเทพบุตรมาใหไ ป เนรมิต บรรณศาลาและบรรพชิตบริขารใหกับกุมารีท้ังสอง ไลเน้ือและนกท่ีมีสําเนียง ไมเปนท่ีชอบใจใหหนีไป แลวเนรมิตมรรคาชองทางท่ีเดินไดคนเดียว กุมารกุมารีเดิน ไปตามทางน้ัน ถงึ อาศรมบท ทกุ ูลบัณฑติ เขา สูบรรณศาลา เหน็ บรรพชติ บริขารกท็ ราบ วาทา วสักกะประทานให จงึ เปลอ้ื งผาสาฎกออก นุงหม ผา เปลอื กไมสแี ดง พาดหนังเสอื บนบา ผูกมณฑลชฎาทรงเพศฤาษีแลว ใหนางปารกิ าบวชเปนฤาษิณี ฤาษฤี าษิณีทงั้ สอง เจรญิ เมตตาภูมิกามาพจรอาศัยอยูในทีน่ ั้น แมฝูงเนอื้ และนกทัง้ ปง กก็ ลับไดเ มตตาจติ ตอกันและกันดวยอานุภาพเมตตาแหงฤาษีฤาษิณีท้ังสองน้ัน บรรดาสัตวเหลานั้นไมมี สัตวตัวใดเบียดเบียนกันเลย ฝายฤาษีฤาษิณีลุกขึ้นแตเชา ต้ังน้ําด่ืมและของฉันแลว กวาดอาศรมบททํากิจทง้ั ปวง ฤาษฤี าษณิ ที ้งั สองนนั้ นาํ ผลไมเ ลก็ ใหญม าฉนั แลว เขาสู บรรณศาลาของตนๆ เจริญสมณธรรม อยู ณ ที่นั้นตลอดมา ทา วสกั กเทวราชเสดจ็ มาสทู บี่ าํ รงุ แหง นกั บวชทง้ั สองนนั้ วนั หนง่ึ พระองคท รง พิจารณาเห็นอันตรายของนักบวชทั้งสองน้ันวา จักษุท้ังสองขางของทานท้ังสองน้ีจัก มืดบอด จึงลงมาจากเทวโลกเขาไปหาฤาษีแลวตรัสบอกวา อันตรายจะปรากฏแกทาน ทงั้ สองควรทที่ า นทง้ั สองจะไดบ ตุ รไวส าํ หรบั ปรนปฏบิ ตั ิ ขอทา นทงั้ สองจงเสพโลกธรรม ฤาษีไดสดับคําของทาวสักกเทวราชจึงกลาววา เราทั้งสองแมคราวที่อยูครองเรือน ก็หาไดเสพโลกธรรมไม เราท้ังสองละโลกธรรมน้ี เกลียดดุจกองคูถอันเต็มไป ดวยนอน ก็ในบัดนี้ เราท้ังสองเขาปา บวชเปนฤาษี จกั กระทํากรรมเชน นไ้ี ดอยางไรเลา ทาวสักกเทวราชตรสั วา ไมตองทาํ อยางน้นั ทําแตเ พียงเอามอื ลบู หนา ทอ งฤาษณิ ีในเวลา นางมีระดู ฤาษีรูวาถาทําแคนั้นก็ทําได จึงบอกฤาษิณีใหรูตัว แลวเอามือลูบทองนาง ในเวลาทน่ี างมีระดู ในกาลนน้ั พระโพธสิ ตั วจตุ ิจากเทวโลก ถือปฏสิ นธิในทอ งฤาษิณี กาลลว งไป ไดส บิ เดอื น ฤาษิณกี ็คลอดบุตรมผี วิ พรรณด่ังทองคํา ดว ยเหตุนั้นเอง บดิ ามารดาจงึ ตัง้ ชื่อบุตรวา สุวรรณสามกมุ าร เวลาทฤ่ี าษณิ ีไปปาเพอื่ หามูลผลาผล นางกินรีทั้งหลายท่ี อยภู ายในบรรพตไดทาํ หนาทีน่ างนม เวลาท่ีฤาษฤี าษณิ ีทัง้ สองสรงนาํ้ พระโพธสิ ัตวแ ลว ฝนหรดาลและมโนศิลาเปนตนที่แผนศิลา ประใหเปนเม็ดที่หนาผากแลวนํามาใหนอน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 291

292 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ในบรรณศาลา ฤาษิณกี ลบั มากใ็ หบุตรดืม่ นม กาลตอมา บิดามารดาดูแลรักษาบุตรนัน้ จนมอี ายไุ ด ๑๖ ป ใหน งั่ อยใู นบรรณศาลา ตนเองพากนั ไปปา เพอื่ หาผลาผลในปา ลาํ ดบั นนั้ พระมหาโพธสิ ตั วท รงคดิ วา อนั ตรายอะไรๆ จะพงึ มแี กบ ดิ ามารดาของเรา ในกาลใด กาลหนึง่ ขางหนาเปน แน จงึ สังเกตทางท่ีบดิ ามารดาไป อยูมาวันหนึ่ง เมื่อฤาษีฤาษิณีท้ังสองนํามูลผลาผลในปากลับมาในเวลาเย็น พอถึงที่ใกลอาศรมบท มหาเมฆต้ังขึ้น ฝนตก ทานทั้งสองจึงเขาไปสูโคนไมแหงหน่ึง ยนื อยบู นยอดจอมปลวก อสรพษิ อยภู ายในจอมปลวกนนั้ ถกู นา้ํ ฝนทเี่ จอื ดว ยกลน่ิ เหงอื่ จากสรีระของฤาษีฤาษิณีไหลลงเขารูจมูก มันจึงโกรธแลวพนลมในจมูกออกมา ลมในจมูกนนั้ ถกู จักษทุ ้งั สองขางของฤาษฤี าษิณนี ้ัน ท้งั สองกเ็ ปนคนจกั ษุมืดไมเห็นกนั และกัน ฤาษเี รียกฤาษณิ ีมาตางบอกกันและกันวา จักษุท้งั สองมืดบอด มองไมเห็นกนั ทั้งสองมองไมเห็นทางก็ยืนคํ่าครวญอยูดวยความเขาใจวาบัดน้ีชีวิตของเราท้ังสอง หมดแลว ก็ฤาษีฤาษิณีท้ังสองนั้น มีบุรพกรรมโดยทั้งสองนั้นในปางกอนเกิดในสกุล แพทยคร้ังนั้น แพทยน้ันรักษาโรคนัยนตาของบุรุษรํ่ารวยคนหน่ึง บุรุษนั้นจักษุหาย ดีแลว ไมใหคารักษา แพทยจึงโกธรเขา กลับไปเรือนแจงเรื่องน้ันแกภรรยา ปรึกษา กันวา จะทําอยา งไรดี ฝายภริยาไดฟ งกโ็ กรธ แนะนาํ ใหสามีประกอบยาขนานหนง่ึ ใหตา ท้ังสองของบุรุษนั้นบอดเสีย สามีเห็นดีดวย จึงออกไปหาบุรุษน้ัน ไดกระทําเชนน้ัน ตอ ไมน านนกั บรุ ษุ นน้ั ตาบอดทงั้ สองขา ง ฤาษฤี าษณิ ที ง้ั สองมจี กั ษมุ ดื บอดดว ยบาปกรรม ดงั กลาวน้ี ลําดับน้ัน สุวรรณสามกุมารคิดวา บิดามารดาเคยกลับเวลานี้ ทานท้ังสอง จะเปนอยางไรหนอ จึงเดินสวนทางรองเรียกหาไป ทานทั้งสองน้ันจําเสียงบุตรได ขานรับ แลวกลาวหามดวยความรักในบุตรวา มีอันตรายในที่นี้ลูกอยาเขามาเลย สวุ รรณสามกมุ ารตอบวา ถาเชน นน้ั ขอใหพอ แมจ บั ปลายไมเทา นแี้ ลวออกมาหาลูกเถิด สุวรรณสามกุมารถามวาตาพอแมบอดเพราะเหตุอะไร บิดามารดาก็เลาเร่ืองท่ีเกิดข้ึน ใหฟง สุวรรณสามกมุ ารไดฟ ง กร็ วู าเปนเพราะอสรพิษมีในจอมปลวกนัน้ สวุ รรณสามกมุ ารเห็นบิดามารดาแลวก็รองไหแ ละหวั เราะ บดิ ามารดาจึงถาม ถึงสาเหตทุ ร่ี องไหแ ละหวั เราะ สวุ รรณสามกุมารตอบวา ลกู รอ งไห ดว ยความเสยี ใจวา ตาของพอ แมบ อดในเวลาทล่ี กู ยงั เลก็ อยู แตท หี่ วั เราะกด็ ว ยความดใี จวา จกั ไดป รนนบิ ตั ิ 292

ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 293 บํารุงทานท้ังสองต้ังแตบัดนี้ ขอใหพอแมอยาไดคิดอะไร เลยลูกจักปรนนิบัติบํารุงให ผาสกุ พระมหาสตั วป ลอบโยนใหบ ดิ ามารดาเกดิ ความเบาใจ แลว นาํ กลบั ไปยงั อาศรมบท ผกู เชอื กใหเ ปน ราวในสถานทท่ี กุ แหง คอื ทพ่ี กั กลางคนื ทพ่ี กั กลางวนั ทจี่ งกรม ทบี่ รรณ ศาลา ทถ่ี ายอุจจาระ ปส สาวะ สําหรบั ใหบดิ ามารดาจับถอื เดนิ ไป ต้ังแตน น้ั มา ก็ใหบดิ า มารดาอยแู ตใ นอาศรมบท ตนเองออกไปนํามลู ผลาผลในปามาให กวาดท่ีอยตู ้ังแตเชา ไหวบ ดิ ามารดาแลว ถอื หมอ นา้ํ ไปสมู คิ สมั มตานที นาํ นาํ้ ดม่ื มา จดั ตง้ั ของฉนั ไว จดั เตรยี ม ของฉันไว จัดเตรียมไมสีฟนและน้ําบวนปากเปนตน ใหผลาผลที่มีรสอรอยแกทาน ทง้ั สองกอ น แลว ตนเองจงึ บรโิ ภคผลาผลทเี่ หลอื ทหี ลงั เสรจ็ กจิ บรโิ ภคแลว กไ็ หวล าบดิ า มารดา มีฝูงมฤคแวดลอม เขาปาเพ่ือหาผลาผล เหลากินนรที่เชิงบรรพตก็แวดลอม และชว ยเกบ็ ผลาผลให เวลาเยน็ สวุ รรณสามกมุ ารกลบั มาอาศรม เอาหมอ ตกั นา้ํ มาตง้ั ไว ตมน้ําแลวอาบและลางเทาใหแกบิดามารดาตามอัธยาศัย นํากระเบื้องถานเพลิงมา ใหผิง เช็ดมือเช็ดเทาแลวใหบิดามารดาบริโภคผลาผล สุวรรณสามกุมารไดปรนนิบัติ บํารุงบดิ ามารดา โดยทํานองนี้ตลอดมา สมยั นั้น พระราชาพระนามวาปล ยกั ขราช เสวยราชสมบัติอยูใ นกรงุ พาราณสี พระองคทรงอยากไดเ นือ้ มฤค จงึ มอบราชสมบัติใหพ ระชนนีปกครอง เตรียมอาวธุ เขา สปู า หมิ วนั ต ทรงฆา มฤคทง้ั หลายเสวยเนอื้ เสดจ็ ถงึ มคิ สมั มตานทลี ถุ งึ ทา ทสี่ วุ รรณสาม โพธสิ ตั วต กั นาํ้ ตามลาํ ดบั ทอดพระเนตรเหน็ รอยเทา มฤค กท็ รงเอากงิ่ ไมม สี เี ขยี วทาํ ซมุ โกง คนั ศรสอดลกู ศรอาบยาพษิ ประทบั นงั่ เตรยี มอยใู นซมุ นนั้ ฝา ยสวุ รรณสามกมุ ารนาํ ผลาผลมาในเวลาเยน็ วางไวในอาศรมบท ไหวบดิ ามารดา ลาไปตกั นา้ํ ถอื หมอ น้ํามฝี ูง มฤคแวดลอม ใหมฤคสองตัวเดินเคียงกัน วางหมอน้ําดื่มบนหลังมฤคทั้งสองโดยเอา มอื ประคองไว ไปสทู า นา้ํ ฝา ยพระราชาประทบั อยใู นซมุ ทอดพระเนตรเหน็ สวุ รรณสาม กมุ ารเดนิ มาทรงคดิ วาเราเที่ยวมาในปาหมิ วันตต ลอดกาลนานถึงเพียงนี้ ยงั ไมเคยเห็น มนุษยเ ลย เขาจะเปน เทวดาหรือนาคหนอ ถาเราจักเขาไปไตถาม ถาเขาเปนเทวดาก็จัก เหาะขน้ึ สอู ากาศ ถา เปน นาคกจ็ กั ดาํ เนนิ ไป แตเ ราจะอยใู นปา หมิ วนั ต ประเทศตลอดเวลา กห็ าไม ถา เราจักกลับกรงุ พาราณสี อมาตยท้ังหลายถามเราเกี่ยวกบั เขา ก็จะตอบไมได เขากจ็ กั ตเิ ตยี นเรา เพราะเหตนุ น้ั เราจกั ยงิ ผนู ท้ี าํ ใหเ ราทรุ พลภาพ แลว จงึ ถามเรอ่ื งของเขา ลําดับนํ้า ในเม่ือฝูงมฤคน้ันลงด่ืมนํ้าแลวขึ้นมา สุวรรณสามกุมารจึงคอยๆ ลงอาบน้ํา ระงับความกระวนกระวายแลวขึ้นจากน้ํา นุงหมผาเปลือกไมสีแดง เอาหนังสือพาด คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 293

294 ¤ÙÁ‹ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท เฉวยี งปา ยกหมอน้าํ ขึน้ วางบนบา ซา ย ก็ในกาลนนั้ พระราชาทรงคิดวา บดั น้เี ปนเวลา ทเี่ ราควรจะยงิ ได จงึ ยกลกู ศรอาบยาพษิ นน้ั ขนึ้ ยงิ สวุ รรณสามกมุ ารถกู ขา งขวาทะลอุ อก ขา งซา ย ฝงู มฤครวู า สวุ รรณสามกมุ ารถกู ยงิ ตกใจกลวั วง่ิ หนไี ป ฝา ยสวุ รรณสามแมถ กู ยงิ ก็ประคองหมอนํ้าไว ตั้งสติคอยๆ วางหมอน้ําลง คุยเกลี่ยทรายต้ังหมอนํ้า กําหนด ทิศหนั ศีรษะไปทางทิศท่บี ิดามารดาอยู เปน ดจุ สุวรรณปฏิมา นอนบนทรายมพี รรณดงั แผนเงิน ต้ังสติกลาววา ชื่อวาบุคคลผูมีเวรของเราในปาหิมวันตนี้ไมมี บุคคลผูมีเวร ของบิดามารดาของเราก็ไมมี กลาวดังนี้แลวถมโลหิตในปาก ยังไมเห็นพระราชาเลย เม่ือจะถามจึงกลา วคาถาความวา ใครหนอใชลกู ศรยิงเรา ผูประมาท กาํ ลงั แบกหมอนา้ํ อยู กษัตริย พราหมณ หรอื แพทยท ย่ี งิ เราแลวซอ มตัวอยู เม่อื กลา วอยางน้แี ลว เพ่อื จะ แสดงความท่รี า งกายของตนไมไ ดเปน อาหาร จงึ กลาวคาถาทส่ี องความวา เนอ้ื ของเราก็ กินไมได หนังก็ไมม ปี ระโยชน เมอื่ เปน เชน นี้ เปนเพราะเหตุอะไรหนอจงึ เห็นวาเราเปน ผูส มควรถกู ยิง จึงถามถึงช่ือผทู ย่ี งิ พระราชาทรงสดบั ดังนน้ั ทรงดํารวิ า บุรุษนแี้ มถ ูกเรายิงดวยลกู ศรอาบยาพิษ ลม ลงแลว กไ็ มด า ไมต ดั พอ เรา เรยี กหาเราเราดว ยคาํ ทไี่ พเราะ เราจกั ไปหาเขา แลว เสดจ็ ไปประทบั ยนื ในที่ใกลส ุวรรณสามกมุ าร แลวตรสั ความวา เราเปน พระราชาของชาวกาสี นามวา พระเจา ปลยักษ เราละแวนแควนเที่ยวแสวงหามฤค เพราะความโลภ เปนผเู กง เรอื่ งการยงิ ธนูแมนยาํ แมชางมาสูระยะลูกศรก็ไมอ าจหนีพน ไปได แลวตรัสถามถงึ ชอ่ื และบดิ ามารดาของสุวรรณสาม พระมหาสตั วไ ดฟ ง ดังน้ันแลว ดาํ รวิ า ถาเราบอกวาเราเปนเทวดา นาค ยกั ษ กนิ นร หรอื เปนกษัตริย เปน ตนอยางใดอยางหนึ่ง พระราชากจ็ ะเชื่อคําของเรา เราควร กลาวความจริงเทา นนั้ แลวจึงกราบทลู วา ขา พระองคเปนบตุ รฤาษี เปนหลานของนาย พราน ชอ่ื วา สามะ วนั นใี้ กลจ ะตายนอนอยอู ยา งน้ี เพราะถกู พระองคย งิ ดว ยลกุ ศรใหญ อาบยาพิษ เหมือนมฤคที่ถูกนายพรานปายิง ขอพระองคจงทดพระเนตรขาพระองค ผนู อนจมเลอื ดอยู และทอดพระเนตรลกู ศรทเี่ สยี บขา งขวาทะลขุ า งซา ย ขา พระองคบ ว น เลอื ด กระสบั กระสา ยอยู ขอทูลถามพระองควา พระองคย งิ แลว จะซอนตวั เองอยูทําไม เสอื เหลอื งถูกฆาเพราะหนัง ชา งถกู ฆา เพราะงา แลวขา พระองคจ ะถูกยงิ เพราะอะไร พระราชาทรงสดับคาํ ของสุวรรณสามกุมารแลว ไมตรสั บอกตามจรงิ ตรัสคาํ เท็จวา มฤคที่เราเหน็ พอในระยะลกู ศร พอเห็นทา นแลว ก็หนีไปหมด เราโกรธจงึ ยงิ ทา น 294

ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 295 ลาํ ดบั นนั้ พระมหาสตั วท ลู พระราชาวา พระองคต รสั วา อะไร ขน้ึ ชอื่ วา มฤคใน ปาหิมวนั ตน้ีที่เหน็ ขาพระองคแ ลวหนไี ป ไมม ี ต้งั แตขา พระองคจําความได รจู ักถูกผิด ฝงู มฤคในปา แมจ ะดรุ า ย กไ็ มส ะดงุ กลวั ขา พระองค และตงั้ แตป ฐมวยั ขา พระองคน งุ ผา เปลอื กไม ฝงู มฤคในปาแมด ุรา ย ก็ไมส ะดุงกลัวขาพระองค ฝงู กนิ นรผขู ลาดทอ่ี ยูภ ูเขา คันธมาทน เห็นขา พระองคก็ไมสะดุงกลวั พวกเราตางรักใครกันไมว า จะไปภเู ขาและปา เมื่อเปน เชน น้ี มฤคทั้งหลายเหน็ ขาพระองคแ ลว จะตกใจเพราะอะไร พระราชาไดส ดบั ดงั นน้ั แลว ทรงดาํ รวิ า เรายงิ สวุ รรณสามผไู รค วามผดิ แลว ยงั มสุ าวาทอกี เราจักกลาวคําจริงเทานั้น ตรัสวา เรากลา วเท็จ ความจริงมฤคเหน็ ทานแลว หาไดส ะดุง กลวั ไม เราถกู ความโกรธและความโลภครอบงาํ แลว จึงไดย งิ ทา น และทรง ทราบวาสุวรรณสามนี้ไมไ ดอ ยูปาคนเดียวเทาน้ัน คงมีญาติแนน อน พระราชาตรสั ถาม เขาความวาทานมาจากทีไ่ หน หรือใครใหท า นมาอยูที่นี่ ทา นไปตักนํา้ ท่แี มน ้าํ มคิ สมั มตา แลว ก็กลบั มาทาํ ไม พระโพธิสัตวไดสดับพระดํารัสของพระราชาแลว กล้ันความเจ็บปวด บวน เลอื ดแลวกลาวคาถาความวา บดิ ามารดาของขาพระองคต าบอด ขา พระองคเลยี้ งทา น ท้ังสองอยูในปาใหญ และจะนําน้ําไปใหทานท้ังสองน้ัน จึงไดมาที่แมน้ํามิคสัมมตานี้ แลว บน ราํ พนั ปรารภถงึ บดิ ามารดาวา อาหารของบดิ ามารดานนั้ ยงั พอมอี ยู เมอื่ เปน เชน น้ี ชีวิตของทา นจักดาํ รงอยูไดราว ๖ วนั ทานท้งั สองตาบอด เกรงวา จกั ตายเสีย เพราะไม ไดด่ืมนํ้า ความทุกขท่ีถูกยิงน้ีไมใชความทุกขที่ใหญเลย เพราะเปนความทุกขท่ีคนจะ ตองประสบอยูแลว สวนความทุกขท่ีไมไดเห็นบิดามารดา เปนความทุกขที่ใหญบิดา มารดาจะเปนกําพราเข็ญใจ จะรองไหอยูตลอดคืน จักเหือดแหงไปในครึ่งคืนหรือถึง ตอนเชา เลยทเี ดยี ว ดจุ แมน าํ้ เลก็ ในฤดรู อ น ขา พระองคเ คยหมนั่ บาํ รงุ บาํ เรอนวดมอื เทา ของทา นทง้ั สอง บดั นท้ี า นทงั้ สองไมเ หน็ ขา พระองคจ กั บน เรยี กหา ลกู ศรคอื ความโศกที่ สองนีแ้ หละทาํ ใหหวั ใจของขา พระองคห วัน่ ไหว เพราะไมไดเ หน็ ทา นทัง้ สองผมู จี กั ษุมืด ขา พระองคเ หน็ จกั ตายเสีย พระราชาทรงฟงความครํ่าครวญของพระโพธิสัตว ทรงดําริวา บุรุษน้ีเปน ผูป ระพฤตพิ รหมจรรย ตัง้ อยูใ นธรรม ปรนนบิ ตั บิ ดิ ามารดาอยางเยยี่ มยอด บัดนไี้ ดร ับ ความทกุ ขถ งึ เพยี งน้ี ยงั ครา่ํ ครวญถงึ บดิ ามารดา เราไดท าํ ความผดิ ในบรุ ษุ ผสู มบรู ณด ว ย คุณธรรมอยา งนี้ เราควรปลอบใจบรุ ษุ นอ้ี ยา งไรดหี นอ แลวทรงสนั นษิ ฐานวา การตาย คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 295

296 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉҪѹé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ของบรุ ุษนี้จกั เปนเหมอื นไมตาย ดว ยประการฉะน้ี จงึ ตรัสความวา ทา นอยาคร่ําครวญ มากเลย เราเกง เร่อื งธนูศลิ ป ยงิ แมนยํานกั จักฆามฤค และแสวงหามลู อาหารปา เลีย้ ง บิดามารดาของทาน บิดามารดาของทานอยูที่ปาไหน เราจักเลี้ยงบิดามารดาของทาน ใหเหมือนกับท่ีทานเล้ียง ลําดับน้ัน สุวรรณสามกุมารไดฟงพระราชดํารัสของพระราชานั้นแลว จึงกราบทูลวา ถาอยางน้ัน ขอพระองคโปรดเล้ียงดูบิดามารดาของขาพระองคเถิด เมอ่ื จะชหี้ นทางใหท รงทราบ จงึ ทลู บอกหนทางทเ่ี ดนิ ไดเ ฉพาะคนเดยี ว ซงึ่ อยทู างหวั นอน ของตน ใหพ ระราชาเสด็จไปแตท ีน่ ี้ระหวา งกึง่ เสยี งกู กจ็ ะถงึ สถานทอ่ี ยขู องบิดามารดา แลว เลี้ยงดูทานทัง้ สองในสถานท่ีนนั้ เถิด สุวรรณสามกมุ าร กราบทลู ชที้ างแลว อดกลนั้ เวทนาเปน ปานน้นั ไวด ว ยความ รักยิ่ง ในบิดามารดา ประคองอัญชลีทูลวิงวอนขอใหเลี้ยงดูบิดามารดา และกราบทูล อยางน้ีอีกวาขาพระบาทขอนอมกราบพระองค ขอพระองคทรงบํารุงเลี้ยงดูบิดามารดา ผตู าบอดของขา พระองค ขา พระองคข อประคองอญั ชลถี วายบงั คมพระองค ขอพระองค มพี ระดาํ รสั กะบดิ ามารดาของขา พระองคใ หท ราบวา ขา พระองคไ หวน บทา นทงั้ สองดว ย พระราชาทรงรบั คาํ สวุ รรณสามกมุ ารฝากการไหวบ ดิ ามารดาแลว กถ็ งึ วสิ ญั ญี สลบนง่ิ ไปเมอ่ื กลา วมาไดเ พยี ง เทา น้ีก็ดับลมหายใจ ไมไดก ลาวอะไรอีกเลย กใ็ นกาล นนั้ ถอยคาํ ทีเ่ ปนไปอาศัยหทยั รปู ซงึ่ ตดิ ตอจติ ของสวุ รรณสามกมุ ารนั้นขาดแลว เพราะ กาํ ลงั แหง พษิ ซาบซา น ปากกป็ ด ตากห็ ลบั มอื เทา กแ็ ขง็ กระดา ง รา งกายทงั้ สน้ิ เปอ นเลอื ด ลาํ ดบั นน้ั พระราชาทรงคดิ วา สวุ รรณสามนพี้ ดู กบั เราอยเู ดย๋ี วนี้ เปน อะไรไปหนอ จงึ ทรง พจิ ารณาตรวจดลู มหายใจของพระโพธสิ ตั ว กท็ รงทราบวา บดั นสี้ วุ รรณสามเสยี ชวี ติ แลว ไมส ามารถทจี่ ะกลนั้ ความโศกไวไ ด กว็ างพระหตั ถไ วบ นพระเศยี รครา่ํ ครวญราํ พนั ดว ย เสยี งอันดัง การน้ัน เทพธิดานามวา พสุนธรี อยูท่ีภูเขาคันธมาทน เคยเปนมารดาของ สวุ รรณสามกมุ าร ในชาตทิ ่ี ๗ เฝา ดแู ลอยเู ปน นจิ ดว ยความรกั ในบตุ ร กใ็ นวนั นน้ั นางมวั เสวยทพิ ยสมบตั อิ ยจู งึ มไิ ดด แู ล ตอ เมอื่ ในเวลาทสี่ วุ รรณสามกมุ ารสลบ นางพจิ ารณาดกู ็ รวู าพระเจาปลยกั ขยงิ บตุ รของนาง จงึ พร่ํารําพนั ดวยเสยี งอันดังวา ถาเราจกั ไมไปท่นี ้ัน สุวรรณสามบุตรของเราจักพินาศอยูในท่ีน้ี แมพระหทัยของพระราชาก็จักแตก บิดา มารดาของสามะจักอดอาหาร จะไมไดน้ําด่ืม จักเหือดแหงตาย ตอเม่ือเราไปท่ีน้ัน 296

ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÑÂ) 297 พระราชาจกั ถอื เอาหมอ น้าํ ด่มื ไปสทู ่ีอยขู องบดิ ามารดาของสุวรรณสามนนั้ และแลว ก็ จกั รบั วา เราฆา บตุ รของทา นเสยี แลว แลว จกั นาํ ทา นทง้ั สองนน้ั ไปสทู อ่ี ยขู องสวุ รรณสาม บุตรของเราจักไดชีวิตคืนมา จักษุท้ังสองขางของบิดามารดาสุวรณสามก็จักแลเห็น เปน ปกติ และพระราชาจกั ไดทรงสดบั ธรรมเทศนาของสวุ รรณสาม เสด็จกลบั พระนคร จักทรงบริจาคมหาทาน ครองราชยสมบัติโดยยุติธรรมไดไปสูสวรรค เพราะเหตุน้ัน เราจะไปในทน่ี นั้ เทพธดิ านนั้ จงึ ไปสถติ อยใู นอากาศโดยไมป รากฏกายทฝี่ ง มคิ สมั มตานที กลา วอนเุ คราะหก บั พระเจาปยลักขราชา พระองคท าํ ความผิดมาก ไดท าํ กรรมอนั ชั่วชา บิดามารดาและบุตรท้ังสามคนนี้ ไมมีความประทุษราย ถูกรพระองคฆาเสียดวย ลูกศรเดียว เชิญเสด็จมาเถิด ขาพเจาจะพร่ําสอนพระองคดวยวิธีที่พระองคจะไดไป สูสวรรค พระองคจ งเลี้ยงดบู ิดามารดาผูต าบอดโดยธรรม พระราชาทรงสดับคําของเทพธิดาแลว ทรงเช่ือวา เราเลี้ยงบิดามารดาของ สุวรรณสามแลว จักไปสูสวรรค ทรงดําริวา เราจะตองการราชสมบัติทําไมเลา เราจัก เล้ียงดูทานท้งั สอง ทรงต้งั พระหฤทัยม่นั ทรงทําความโศกใหเ บาบาง เขาพระฤหทยั วา สวุ รรณสามโพธสิ ตั วเ สยี ชวี ติ แลว จงึ ทรงบชู าสรรี ะของสวุ รรณสามนนั้ ดว ยดอกไมต า งๆ ประพรมดวยนํ้า ทําประทักษิณ ๓ รอบ ทรงกราบในฐานะทั้งสี่ แลวถือหมอนํ้าที่ พระโพธสิ ตั วใ สไวเตม็ ถงึ ความโทมนสั เสด็จบา ยพระพักตรไปทางทศิ ทักษณิ ปกตพิ ระราชเปน ผมู พี ระกาํ ลงั มาก ทรงถอื หมอ นาํ้ เขา ไปสอู าศรมบท ถงึ ประตู บรรณศาลาของทุกูลบัณฑิต ดุจคนกระแทกอาศรมใหกระเทือน ทุกูลบัณฑิตน่ังอยู ภายในไดฟงเสียงฝพระบาทแหงพระเจาปลยักขราช ก็นึกในใจวา นี้ไมใชเสียงฝเทา สวุ รรณสามบุตรของเรา เสียงฝเทา ใครหนอ เมือ่ จะถามจึงกลาวคาถาความวา นั่นเสยี ง ฝเ ทา ใครหนอ เสยี งฝเ ทา คนเดนิ เปน แน เสยี งฝเ ทา สามะบตุ รของเราไมด งั แบบน้ี ดกู อ น ทานผูไ มมที กุ ข ทานเปน ใครหนอ สามะบุตรของเราเดินเบา วางเทา เบา พระราชาไดสดับคําถามน้ัน ทรงดําริวา ถาเราไมบอกวาเราเปนพระราชา บอกวาเราฆาบุตรของทานเสียแลว ทานทั้งสองน้ีจักโกรธเรา จะกลาวคําหยาบกะเรา เม่ือเปนเชนนี้ ความโกรธของเราจักเกิดขึ้น ครั้นโกรธแลว เราก็จักเบียดเบียนทาน ท้ังสอง กรรมนั้นจกั เปนอกศุ ล ตอ เม่ือเราบอกวา เราเปน พระราชา ชื่อวาผูท่ีไมเ กรงกลวั ยอมไม เพราะฉะน้ัน เราจะบอกความท่ีเราเปนพระราชากอน ทรงดําริฉะนี้แลว ทรงวางหมอน้ําไวที่โรงน้ําดื่มแลวประทับยืนที่ประตูบรรณศาลา เมื่อจะแสดงพระองค คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 297

298 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªéѹⷠคมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ใหฤ าษรี ูจ ัก จึงตรสั วา เราเปนพระราชาของชาวกาสี นามวา พระเจาปลยักข ไดจากแวน แควน เทยี่ วแสวงหาเนอื้ มฤคะเพราะความโลภ อนงึ่ เราเปน คนเกง เรอื่ งธนศู ลิ ป ยงิ แมน มากนกั แมชา งมาสรู ะยะลูกศรของเราก็ไมสามารถหนไี ปได ฝา ยทุกลู บัณฑติ เมื่อจะทาํ ปฏิสนั ถารกบั พระราชา จงึ ทูลวา พระองคเ สด็จมา ดีแลว เสด็จมาแตไกลเหมอื นใกล พระองคม อี สิ ระจงึ เสด็จมาถึงแลว ขอจงทรงทราบ สิ่งที่มีอยูในที่นี้ ขอเชิญเสวยผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง และผลหมากเมา อันเปนผลไมเ ล็กนอย ขอไดเลอื กเสวยผลทด่ี ๆี เถดิ ของจงทรงดื่มน้ําซ่งึ เปนนํ้าเย็นท่ี นํามาจากมิคสมั มตานที ซึ่งไหลจากซอกเขาตามพระประสงคเถดิ เมื่อฤาษีทําปฏิสันถารอยางน้ีแลว พระราชาทรงดําริวา เราไมควรจะบอกวา เราฆาบุตรของทานกอน จะทําเหมือนไมรู พูดเร่ืองอะไรๆ ไปกอนแลวจึงคอยบอก ทรงดาํ รดิ ังนแ้ี ลว จึงตรสั วา ทานท้งั สองจักษมุ ืดไมส ามารถจะเหน็ อะไร ๆ ใครเลา หนอ นําผลไมมาเพื่อทานทั้งสอง สะสมผลไมนอยใหญไวอยางเรียบรอย เราเห็นเหมือน คนตาดสี ะสมไว ทุกูลบัณฑิตไดฟงดังนั้น เพื่อจะบอกวาตนมิไดนํามา แตบุตรของเราเปน คนนาํ มา จึงไดกลา ววา สามะหนมุ นอ ยรูปรางสันทดั งดงามนาดู ผมยาวดาํ เฟอ ยลงไป ปลายผมงอนขน้ึ ขา งบน เธอนน่ั แหละนาํ ผลไมม า ถอื หมอ นา้ํ ไปสแู มน า้ํ นาํ นาํ้ มา ซง่ึ ใกลจ ะ กลบั มาแลว พระราชาไดท รงสดบั ดงั นน้ั แลว จงึ ตรสั บอกวา พระองคไ ดฆ า สามกมุ ารแลว ตอนนน้ี อนอยทู หี่ าดทรายเปรอะเปอ นดว ยเลอื ด กบ็ รรณศาลาของปารกิ าฤาษณิ อี ยูใกลท ่อี ยขู องทกุ ลู บัณฑิต นางน่งั อยไู ดย นิ พระดํารัสของพระราชา ก็ใครจะรูประพฤติการณน้ัน จึงออกจากบรรณศาลาของตน ไปยังที่อยูของทุกูลบัณฑิตดวยการสาวเชือกเดินไปแลวกลาววา ขาแตทุกูลบัณฑิต ทานพูดกับใคร ซึ่งบอกวา ขาพเจาไดฆาสามกุมารเสียแลว ใจของดิฉันยอมหว่ันไหว เพราะไดย นิ วา สามกมุ ารถกู ฆา เสยี เหมอื นกง่ิ ออ นแหง ตน โพธม์ิ ใี บอนั ลมพดั ใหห วนั่ ไหว ลาํ ดบั นั้น ทกุ ลู บัณฑิตเมือ่ จะโอวาทนางปารกิ าฤาษณิ ีนน้ั จงึ บอกวา ทานผนู ี้ คือพระเจากาสี พระองคทรงยิงสามกมุ าร ท่ีมคิ สมั มตานที ดวยความโกรธ เราท้งั สอง อยา ไดปรารถนาใหพระองคไ ดรับบาปเลย ปาริกาฤาษิณีกลาวอีกวา บุตรที่รัก ท่ีหายากเชนน้ี ผูไดเล้ียงเราทั้งสอง ผตู าบอด บณั ฑติ ทงั้ หลายยอ มสรรเสรญิ บคุ คลผไู มโ กรธในบคุ คลผฆู า บตุ รคนเดยี วนน้ั 298

ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 299 ฤาษฤี าษณิ ีทัง้ สองไดพรรณนาคณุ ของพระโพธสิ ัตว ครํ่าครวญอยตู ลอดเวลา ลําดับน้ัน พระเจาปลยักขราช เมื่อจะทรงปลอมใจฤาษีฤาษิณี จึงตรัสวา ผูเปนเจาทั้งสอง อยาครํ่าครวญไปมากเลย เม่ือขาพเจาฆาสามกุมารเสียแลว ขาพเจา จกั รบั ภาระเลยี้ งดผู เู ปน เจา ทงั้ สองในปา ใหญ ขา พเจา เปน คนเกง เรอื่ งธนศู ลิ ป ยงิ แมน ยาํ จกั ฆา มฤคะและแสวงหามลู ผลในปา รบั ภาระเลย้ี งดทู านทั้งสอง ลําดับน้ัน ฝายฤาษีฤาษิณีสนทนากับพระราชาแลวทูลวา ขอถวายพระพร มหาบพติ ร สภาพน้นั ไมสมควร การจะทรงกระทาํ อยา งน้นั ตออาตมาทั้งสองไมส มควร พระองคเปนพระราชาของอาตมาท้ังสอง พระราชาไดทรงสดับดังนั้นทรงดําริวา โอนาอัศจรรย แมเพียงคําหยาบของฤาษีท้ังสองน้ี ก็ไมมีตอเราผูทําความประทุษราย ถึงเพียงนี้ กลับยกยองเราเสียอีก จึงตรัสอยางน้ีวา ขาแตทานผูเชื้อชาตินายพราย ทานกลาวเปนธรรม ทานบําเพ็ญความถอมตัว ขอทานจงเปนบิดาของขาพเจา ขาแต ปารกิ า ขอทานจงเปน มารดาของขาพเจา ฤาษฤี าษณิ ปี ระคองอญั ชลไี หว เมอื่ จะทลู วงิ วอนวา ขอถวายพระพรมหาบพติ ร พระองคไมมหี นาท่ีทีจ่ ะทําภาระแกอ าตมาท้งั สอง แตข อพระองคจ งทรงถอื ปลายไมเ ทา ของอาตมาทงั้ สองราํ ไปใหถ งึ ทอ่ี ยขู องสวุ รรณสาม อาตมาทงั้ สองจะสมั ผสั เทา ทง้ั สองและ ดวงหนาอนั งดงามของลกู แลวทรมานตนใหถงึ แกความตาย เมื่อทา นเหลาน้ันสนทนา กันอยอู ยางน้ี พระอาทติ ยก็อสั ดงคต พระราชาทรงดาํ รวิ า ถา เรานาํ ฤาษที ง้ั สองผตู าบอดไปใหถ งึ ทอี่ ยขู องสวุ รรณสาม ในบัดนี้ทีเดียว หทัยของฤาษีทั้งสองจักแตกเพราะเห็นสุวรรณสามน้ัน เราก็ช่ือวานอน อยใู นนรกในเวลาทีท่ า นทงั้ สามสิ้นชวี ิต ฉะนน้ั เราจกั ไมใ หฤ าษที ้งั สองนน้ั ไป จึงตรสั วา สามกมุ ารถกู ฆา ตายนอนอยใู นปา ไกลสดุ ตรงทด่ี วงจนั ทรด วงอาทติ ยต กลงเหนอื แผน ดนิ เกลือกเปอ นดว ยฝนุ ทราย ปาน้ันเปนปาใหญ เกลือ่ นไปดวยสตั วรา ย ผูเ ปนเจาทง้ั สอง จงอยูในอาศรมนีก้ อ นเถดิ ฤาษที ง้ั สองไดก ลา ววา ตนไมก ลวั สตั วร า ย พระราชาเมอ่ื ไมอ าจหา มฤาษฤี าษณิ ี ท้งั สองได ก็ทรงจูงมือนาํ ไปใหถึงทีส่ ุวรรณสาม กแ็ ลครัน้ ทรงนาํ ไปแลว ประทับยนื ในท่ี ใกลส ุวรรณสามแลว ตรัสวา นบี้ ตุ รของผูเปน เจาทงั้ สอง ฤาษผี เู ปน บดิ าของสุวรรณสาม โพธิสัตวชอนเศียรข้ึนวางไวบนตัก ฤาษิณีผูเปนมารดาก็ยกเทาข้ึนวางไวบนตักของตน นั่งบนรําพันอยูวา สภาพไมยุติธรรมมาเปนไปในโลกนี้ พอสามผูงาม พอมาหลับ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 299

300 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªéѹⷠคมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท เอาจรงิ ๆ เคลิบเคลมิ้ เอามากมาย ดังคนด่มื สรุ าเขม ขดั เคืองใครมา ถอื ตวั มิใชนอย มีใจพิเศษ ในเม่ือกาลลวงไปอยางนี้ ในวันน้ี พอไมพูดอะไรบางเลย พอสามนี้เปนผู ปรนนบิ ัตบิ าํ รงุ เราทง้ั สองผตู ามดื มาเสียชีวิต บัดนี้ ใครเลา จกั ชาํ ระชฎาอันหมน หมอง เปอนฝุนละออง ใครเลาจักจับคราดกวาดอาศรม ใครเลาจักจัดน้ําเย็นน้ํารอนใหอาบ ใครเลาจักใหเราท้ังสองไดบริโภคมูลผลาหารในปา ลูกสามนี้เปนผูปรนนิบัติบํารุงเรา ทัง้ สองผูตามดื มาเสยี ชวี ิตแลว ฤาษผี มู ารดาแหง สวุ รรณสามโพธสิ ตั ว เอามอื องั ทอ่ี กของพระโพธสิ ตั วพ จิ ารณา ความอบอุน คิดวาความอบอุนของบุตรเรายังมีอยู บุตรเราจักสลบดวยกําลังยาพิษ เราจักกระทําสัจจกิริยาแกบุตร เพื่อถอนพิษออก คิดฉะน้ีแลวไดกระทําสัจจกิริยา กลาวคําสัจวา ลูกสามไดเปนผูประพฤติธรรมเปนปกติ ไดเปนผูประพฤติดังพรหม เปน ปกติ ไดเ ปน ผูกลาวคําจรงิ มาแตกอ น เปนผูทีเ่ รารักย่ิงกวา ชีวิต โดยความจริงใด ๆ ดว ยการกลา วความจรงิ นน้ั ๆ ขอพษิ ในรา งกายของลกู สามของเราจงหายไป บญุ อยา งใด อยางหน่ึงท่ีลูกสามกระทํามาแลวเราและแกบิดามารดามีอยู ดวยอานุภาพกุศลบุญน้ัน ทัง้ หมดขอพิษของลูกสามจงหายไป เมื่อมารดาทําสัจจกิริยาอยางน้ี สามกุมารก็พลิกตัวกลับแลวนอนตอไป ฝายบดิ าคดิ วา ลกู ของเรายงั มชี ีวิตอยู เราจกั ทําสจั จกริ ยิ าบาง จึงไดทาํ สัจจกริ ยิ ากลาว คาํ สัจโดยนยั เชน เดยี วกับมารดา เม่ือบิดาทําสัจจกิริยาอยูนั้น สุวรรณสามพลิกตัวอีกขางหนึ่งแลวนอนตอไป ลาํ ดบั นนั้ เทพธดิ าผมู นี ามวา พสนุ ธรไี ดท าํ สจั จกริ ยิ าเปน ลาํ ดบั ทสี่ าม โดยกลา วสจั จวาจา ดวยความเอ็นดูตอสามกุมารวา เราอยูภูเขาคันธมาทนตลอดราตรีนาน ใครๆ อื่น ซ่ึงเปนที่รัก ของเรามากกวาสามกุมารนี้ไมมี ของหอมลวนแลวดวยไมหอมท้ังหมด ณ คนั ธมาทนบรรพตมีอยู ดว ยสจั จวาจาน้ี ขอพิษของลกู จงหายไป เม่ือฤาษที ั้งสองบน เพอ รําพันเปนอนั มากอยางนาสงสาร สามกุมารกล็ ุกขึน้ ไดเ ร็วพลัน ความอัศจรรยทั้งปวงคือ สุวรรณสามกุมารหายจากโรค ฤาษีทั้งสองผูเปน บิดารมารดาไดดวงตากลับเห็นเปนปกติ แสงอรุณข้ึน และทานํ้าไดปรากฏมีข้ึนใน ขณะเดยี วกันทเี ดียว บิดามารดาทงั้ สองไดด วงตาดเี ปนปกติแลว เกิดยินดีอยา งมากวา ลูกสามหายจากโรค ลําดับนน้ั สามบัณฑิตไดกลาวกะทานเหลานั้นวา ขา พเจามนี ามวา 300

ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÂÑ ) 301 สามะ ขอความเจริญจงมีแกทานท้ังหลาย ขาพเจาลุกข้ึนไดแลวโดยสวัสดี ขอทาน ทั้งหลายอยาคราํ่ ครวญนักเลย จงพูดกะขา พเจาดว ยเสยี งอันไพเราะเถดิ สุวรรณสามโพธิสัตวมองเหน็ พระราชา เมอื่ จะกราบทลู ปฏสิ ันถาร จงึ กลาววา ขาแตมหาบพิตร พระองคเสด็จมาดีแลว เสด็จมาแตไกลก็เหมือนใกล มีอิสระ เสด็จมาดีแลว ขอจงทรงทราบสิ่งที่มีอยูในที่น้ี ขอเชิญเสวยผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง และผลหมากเมา อันเปนผลไมเล็กนอย ขอโปรดเลือกเสวยผลท่ีดีๆ เถิด ขอจงทรงดืม่ นา้ํ ซึ่งเปนนํ้าเยน็ ทีน่ าํ มาแตม ิคสัมมตานที ตามพระประสงคเ ถิด พระราชาทอดพระเนตรเห็นความอัศจรรย เชนนั้น จึงตรัสวา ขาพเจา มดื มนึ งงไปหมด ขา พเจา ไดเ หน็ สามบณั ฑติ นนั้ เสยี ชวี ติ แลว ทาํ ไมจงึ ฟน ขน้ึ มาไดอ กี เลา ฝา ยสามบณั ฑติ ดาํ รวิ า พระราชาทรงเขา พระทยั วา เราตายแลว เราจกั ประกาศ ความท่เี รายงั ไมต ายแกพระองค จงึ กราบทูลวา ขา แตมหาราชเจา ชาวโลกยอ มสาํ คญั ซึ่งบุคคลผยู ังมชี ีวิตอยู เสวยเวทนาอยางหนัก ใกลหมดความรูส ึก ซงึ่ ยงั เปน อยูแท ๆ วาตายแลว ขาแตมหาราชเจา ชาวโลกยอมสําคัญซึ่งบุคคลผูยังมีชีวิตอยู เสวยเวทนา อยางหนัก ถึงความดบั สนิทแนน ่ิงนนั้ ซ่งึ ยงั เปนอยแู ท ๆ วาตายแลวก็แลครนั้ กราบทลู อยางนี้แลว สามบัณฑิตประสงคจะใหพระราชาต้ังอยูในประโยชน เมื่อจะแสดงธรรม จึงไดก ลาวอีกวา บุคคลใดเลย้ี งดูบิดามารดาโดยธรรม เทวดาและมนุษยท ้ังหลาย ยอ ม ชว ยแกไ ขคมุ ครองบคุ คลนน้ั นกั ปราชญย อ มสรรเสรญิ บคุ คลนน้ั บคุ คลนนั้ ละจากโลก นีไ้ ปแลว ยอมบนั เทงิ อยูในสวรรค พระราชาไดสดบั คาํ นั้นแลว ทรงดาํ รวิ า นา อัศจรรยหนอ แมเทวดาท้ังหลายก็ เยยี วยาโรคทเี่ กดิ ขนึ้ ไดแ ก บคุ คลผเู ลยี้ งดบู ดิ ามารดา สามบณั ฑติ ผนู ้ี ชา งงดงามเหลอื เกนิ ทรงดําริฉะนี้แลว ประคองอัญชลีตรัสวา ขาพเจาน้ี มืดไปหมดแลว ทานสามบัณฑิต ขา พเจา ขอถงึ ทานเปน สรณะ และขอทานจงเปนสรณะที่พึง่ ของขาพเจา สามบณั ฑติ กราบทลู ตอ พระราชาวา ขา แตม หาราช ถา พระองคม พี ระประสงค เสด็จสูเทวโลก บริโภคทิพยสมบัติใหญ จงทรงประพฤติทศพิธราชธรรมจรรยา เหลา นเี้ ถดิ โดยกลา วคาถาวา ดว ยการประพฤตทิ ศพธิ ราชธรรมความวา ขอพระองคท รง ประพฤติธรรมในพระชนก พระชนนี ในพระโอรส และพระมเหสี ในมิตรและอาํ มาตย ในพาหนะและพลนกิ าย ในชาวบานและชาวนคิ ม ในชาวแวนแควน และชาวชนบท ใน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 301

302 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท สมณะและพราหมณ ในฝงู มฤคและฝูงปกษีเถดิ ครัง้ พระองคป ระพฤติธรรมนั้น ๆ ใน โลกนแี้ ลว จักเสดจ็ สูส วรรค ธรรมท่ีพระองคท รงประพฤตแิ ลว ยอมนาํ ความสุขมาให พระอนิ ทร เทพเจา พรอ มทง้ั พระพรหมถงึ แลว ซงึ่ พมิ พสถาน ดว ยธรรมทปี่ ระพฤตดิ แี ลว ขา แตพ ระราชา ขอพระองคอ ยาทรงประมาทในธรรม พระโพธสิ ัตว (สุวรรณสามบณั ฑิต) แสดงธรรมถวายพระราชาอยา งนี้ เม่อื จะ จะถวายโอวาทยง่ิ ข้ึนไปอีก ไดถวายเบญจศีล พระราชาทรงรับโอวาทของพระโพธสิ ตั ว นั้นดวยพระเศียร ทรงไหวและขอขมาโทษแลวเสด็จกลับกรุงพาราณสี ทรงบําเพ็ญ พระราชกศุ ลมที าน เปน ตน ทรงรกั ษาเบญจศลี ครองราชยส มบตั โิ ดยธรรมสม่ําเสมอ ในที่สุดแหงพระชนมไดเสด็จสูสวรรค ฝายพระโพธิสัตวปรนนิบัติบํารุงบิดามารดา ยังอภิญญาและสมาบัติใหบังเกิด พรอมดวยบิดามารดามิไดเส่ือมจากฌาน ในที่สุด แหงอายขุ ยั ไดเ ขาถึงพรหมโลกพรอ มดว ยบดิ ามารดานน้ั แล 302

ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (Ç¹Ô ÂÑ ) 303 ÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ Ê¡Ô ¢Òº··Õè õ ÊÃØ ÒàÁÃÂÁªÚª»ÁÒ·¯þ€Ò¹Ò àÇÃÁ³Õ เจตนางดเวน จากการด่ืมน้ําเมา คอื สุราและเมรยั อันเปนท่ีตัง้ แหง ความประมาท ๑. ความมุงหมาย สิกขาบทนี้ มีความมุงหมายเพ่ือใหบุคคลในสังคมรูจักรักษาสติสัมปชัญญะ ของตนใหสมบูรณไมตกอยูในความประมาท อันเปนเหตุลวงละเมิดสิกขาบทขออ่ืนๆ ไดง า ยไมก ระทาํ การอนั เปน โทษแกต น ครอบครวั และสงั คม สง เสรมิ การรกั ษาสขุ ภาพ รา งกายใหแ ขง็ แรง ไมม โี รคภยั ไขเ จบ็ เบยี ดเบยี นปอ งกนั การเกดิ อบุ ตั เิ หตทุ เ่ี กดิ ขนึ้ เพราะ ความประมาทขาดสติ และปองกันปญหาเรื่องสงิ่ เสพตดิ ของมึนเมาทกุ ชนดิ ๒. เหตผุ ล สุราและส่ิงเสพติดทุกชนิด เปนสาเหตุสําคัญในการทําลายสติสัมปชัญญะ ของคนเรายิ่งกวาส่ิงใด จิตถาขาดสติก็เปนจิตไมมีคุณภาพ เนื่องจากสติเปนส่ิงจําเปน ในกิจทุกอยาง คนที่ขาดสติสัมปชัญญะยอมทําความเสียหายท้ังแกตนเอง สังคมและ ประเทศชาติสามารถกระทําผิดศีลขออื่นๆไดโดยงาย ปดโอกาสในการกระทําคุณงาม ความดที ง้ั หลายเปน ทาสสงิ่ เสพตดิ แมม ชี วี ติ อยกู เ็ สมอื นตายทงั้ เปน ดงั นนั้ การไมด มื่ เหลา และไมเ สพสงิ่ เสพตดิ จงึ เปน การประกนั คณุ คา ชวี ติ ของตน ทา นจงึ หา มไมใ หล ว งละเมดิ สกิ ขาบทนี้ ๓. ขอ หา ม สิกขาบทนี้ หา มดมื่ นํา้ เมา หา มเสพส่ิงเสพตดิ ใหโ ทษทุกชนิด นํา้ เมามี ๒ ชนิด คอื สรุ า และเมรยั สุรา หมายถึง น้ําเมาทไี่ ดจากการกลนั่ เรียกอีกอยางหน่ึงวา เหลา ซง่ึ กลัน่ สกัดใหม รี สเมาแรงย่ิงข้นึ ในคัมภรี ว นิ ยั ปฎ ก จาํ แนกสรุ าเปน ๕ ชนิด คอื สรุ าทําดว ย แปง สรุ าทําดว ยขนม สรุ าทําดวยขาวสกุ สุราทใ่ี สเชอ้ื สรุ าท่ใี สเ คร่อื งปรุงตางๆ เมรยั หมายถงึ นา้ํ เมาทยี่ งั ไมไ ดก ลนั่ เปน แตเ พยี งของดอง เชน สาโท เหลา ดบิ กระแช นา้ํ ตาลเมา เครอื่ งดมื่ ทม่ี สี ารแอลกอฮอลผ สมทกุ ชนดิ ในคมั ภรี ว นิ ยั ปฎ ก จาํ แนก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 303

304 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท เมรยั เปน ๕ ชนิด คือ เมรยั ทําดวยดอกไม เมรยั ทาํ ดวยผลไม เมรยั ทําดวยนา้ํ ผึ้ง เมรัย ทําดว ยนํ้าออ ย เมรยั ทใ่ี สเ ครอ่ื งปรุงตา งๆ สิ่งเสพติดใหโทษทุกชนิด เชน ฝน กัญชา มอรฟน เฮโรอีน ยาบา ยาอี ยาไอซ เปน ตน กห็ ามตามสกิ ขาบทน้ี สิกขาบทน้ี หามด่ืมนํ้าเมา หามเสพส่ิงเสพติดใหโทษ อันเปนสาเหตุแหง ความประมาท คอื ทาํ ใหส ตฟิ น เฟอ น ๔. หลกั วนิ จิ ฉัย การลวงละเมดิ สิกขาบทที่ ๕ ทท่ี าํ ใหศ ลี ขาด ประกอบดวยองค ๔ คือ ๔.๑ มทนยี ํ นํ้าน้นั เปน นํ้าเมา ๔.๒ ปาตุกมฺยตาจิตตฺ ํ จิตคดิ จะดืม่ ๔.๓ ตชฺโช วายาโม พยายามดมื่ ๔.๔ ปตปปฺ เวสนํ ดื่มใหล ว งลําคอลงไป การลวงละเมิดสิกขาบทท่ี ๕ นี้ นอกจากวิธีการดื่มแลว สิ่งเสพติดอ่ืนๆ ที่เสพดวยวิธีการฉีด สูบ รมควัน หรือวิธีอื่นใดที่ทําใหสิ่งเสพติดนั้นเขาสูรางกาย ก็อนุโลมตามหลักวนิ ิจฉยั นี้ การด่ืมสุราเมรัยท่ีทําใหศีลขาด จะตองพรอมดวยองค ๔ นี้ ครบทุกขอ ถํ้าไมครบศลี ก็ไมขาด เชน องคท่ี ๑ น้ําท่ีด่ืมน้ันตองเปนนํ้าเมา แตนํ้าท่ีดื่มนั้นไมใชน้ําเมา ถือวายัง ไมลวงละเมดิ องคท ี่ ๑ แมจ ะมคี วามคดิ ท่จี ะด่มื น้ําเมากต็ าม เนื่องจากองคท ี่ ๑ น้เี ปน อจิตตกะ คือ ไมข้ึนกับความคิดของผูลวงละเมิด แตข้ึนอยูกับวัตถุที่ลวงละเมิด คือน้ําเมา การนําสุรามาปรุงรสอาหาร ปรุงยา หรือใชเปนกระสายยา เพ่ือใหยานั้น มีประสิทธิภาพดีข้ึน ลักษณะเชนน้ีถือวายังไมลวงละเมิดองคท่ี ๑ เชนเดียวกัน กรณสี ่งิ เสพตดิ อนื่ ๆ กเ็ ทยี บเคียงนัยเดียวกันกบั นํ้าเมานี้ องคท ี่ ๒ ผดู มื่ ตง้ั ใจจะดม่ื นา้ํ เมา หรอื ตง้ั ใจจะเสพสงิ่ เสพตดิ ใหโ ทษ ถอื วา ลว ง ละเมิดองคที่ ๒ องคท ่ี ๓ พยายามดม่ื คอื ดม่ื ดว ยตนเอง หรอื พยายามเสพเขา สรู า งกาย ถอื วา ลว งละเมิดองคท ี่ ๓ 304

ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 305 องคท ี่ ๔ ดม่ื ใหล ว งลาํ คอลงไปกาํ หนดในขณะทนี่ าํ้ เมาไหลลว งลาํ คอลงไป หรอื สงิ่ เสพตดิ ใหโทษเขา สูรา งกาย ถอื วา ลว งละเมิดองคท ่ี ๔ ๕. โทษของการลว งละเมดิ การดมื่ สรุ าเมรยั เสพสงิ่ เสพตดิ จะมโี ทษมากหรอื นอ ยตามอกศุ ลจติ หรอื กเิ ลสในการดม่ื ตามปรมิ าณทดี่ ม่ื และตามผลทจ่ี ะกอ ใหเ กดิ การ กระทาํ ผดิ พลาดชั่วราย นอกจากนน้ั ผทู ่ีลวงละเมิดยอมไดรบั กรรมวิบาก ๕ อยา ง คือ ๕.๑ เกิดในนรก ๕.๒ เกดิ ในกําเนดิ สัตวเดยี รัจฉาน ๕.๓ เกิดในเปรตวสิ ยั ๕.๔ มสี ตไิ มส มประกอบ ๕.๕ เปน บา โทษของการดมื่ น้าํ เมาและสงิ่ เสพตดิ มี ๖ ประการดังนี้ เปน เหตุทาํ ใหเ สียทรัพย เมอ่ื บคุ คลดมื่ สรุ าและเสพสงิ่ เสพตดิ เนอื งๆ ยอ มจะเลกิ ยาก เปน เหตใุ หต ดิ สรุ า และเปน ทาสสง่ิ เสพตดิ ทงั้ เปน เหตทุ าํ ใหม วั เมาในอบายมขุ อนื่ ๆ ตามมา เชน เทยี่ วผหู ญงิ เท่ียวกลางคืน เลนการพนัน คบคนช่ัวเปนมิตร จึงเปนเหตุทําใหเสียทรัพย พอเปน ตวั อยาง ดังน้ี ๑. เสียทรัพยเพราะซือ้ มาด่มื หรอื เสพเองและเลย้ี งคนอื่น ๒. เสยี ทรพั ยเ พราะส่งิ เสพตดิ มีราคาแพง ๓. เสยี ทรัพยเ พราะเพิ่มปริมาณการดื่มการเสพ ๔. เสยี ทรพั ยเพราะตอ งรกั ษาโรคท่เี กิดจากส่งิ เสพติด เปน เหตกุ อการทะเลาะววิ าท คนทข่ี าดสตเิ พราะดม่ื สรุ าหรอื เปน ทาสสง่ิ เสพตดิ ไมส ามารถควบคมุ อารมณ ตนเองไดม จี ติ ใจแปรปรวนผดิ ปกติ มคี วามกลา บา บนิ่ บนั ดาลโทสะ หงดุ หงดิ ฉนุ เฉยี ว มุทะลุ ววู าม ไมเกรงกลวั ใคร ชอบพูดพลามกวนโทสะคนอ่นื ลวนลามไดท ุกคนไมวา ลูกเมียใคร สามารถท่ีจะทะเลาะวิวาทหรือทํารายคนใกลชิดและคนอื่นไดโดยงาย โดยที่สุดถงึ กับฆากันตายกม็ ี คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 305

306 ¤ÙÁ‹ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªé¹Ñ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท เปนเหตเุ กดิ โรค ส่ิงเสพติดเมื่อเสพเขาไปแลวมีผลทําใหบั่นทอนสุขภาพ เกิดโรคในรางกาย หลายชนดิ ไดง า ย ในวงการแพทยย นื ยนั ตรงกนั วา สรุ าเปน วตั ถทุ เ่ี ปน อนั ตรายตอ อวยั วะ ทางเดินอาหาร ระบบประสาท ทางเดินของโลหิต ตอมไรทอ และระบบการหายใจ จึงเปนเหตุทําใหเกิดโรคตา งๆ ดงั น้ี ๑. โรคทางระบบประสาท เชน นอนไมห ลบั จติ หลอน ประสาทหลอน พรา่ํ เพอ กลามเนื้อสวนปลายแขนขาออนแรง ซึมเศรา ลมชัก ระแวง ๒. โรคมะเร็ง เชน มะเร็งในปากและชองปาก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็ง ลําไสใ หญ มะเรง็ กระเพาะอาหาร มะเรง็ ตับ มะเรง็ เตา นมในผูหญงิ มะเร็งรงั ไข ๓. โรคเรอื้ รงั เชน ตบั ออ นอกั เสบเฉียบพลนั เบาหวาน ตับอกั เสบ กระเพาะ อาหารอักเสบ โรคตอมหมวกไต กระดกู พรุน โรคเกา ต พษิ สุราเรอ้ื รงั ๔. โรคทางระบบหลอดเลอื ดและหวั ใจ เชน เสน เลอื ดทเ่ี ลยี้ งหวั ใจตบี กลา มเนอื้ หวั ใจเส่อื ม ความดนั โลหติ สงู เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ สมองสว นนอกลีบฝอ หวั ใจ เตน ผดิ จงั หวะ หวั ใจลมเหลว เปนเหตุเสียชื่อเสยี ง คนทตี่ ดิ สรุ าหรอื เปน ทาสสง่ิ เสพตดิ มสี ตฟิ น เฟอ น ยอ มกระทาํ ความผดิ ทาํ ลาย ชอ่ื เสยี งทกุ อยา งทตี่ นสงั่ สมมา จงึ เปน เหตเุ สยี ชอื่ เสยี งพอจะพรรณนาเปน ตวั อยา ง ดงั น้ี ๑. เสยี ความนยิ ม เสยี เคารพนับถอื ๒. เสียความเปนแบบอยา งทีด่ ขี องครอบครัว ลกู หลาน และคนทว่ั ไป ๓. เสยี สถานภาพทด่ี ที างสังคม เชน เปนผูใ หญบา น เปนกาํ นนั กไ็ มไ ดร ับ ความเชื่อถือ เปน ตน ๔. ถกู บณั ฑติ ติเตยี น เปนเหตใุ หไมรจู กั ละอาย วิญูชนยอมสงวนศักด์ิรักเกียรติของตนเอง จึงไมทําส่ิงที่นาอดสูใหคน ท้ังหลายดูหม่ิน แตสุราและส่ิงเสพติดทําใหคนท่ีเสพแลว ลืมเกียรติยศศักด์ิศรีของ ตนเอง แสดงกริ ยิ าวาจาอันนาอดสไู ดทกุ อยาง มนี อนกลางถนน ถา ยอจุ จาระปส สาวะ 306

ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (Ç¹Ô ÑÂ) 307 ตอ หนา สาธารณชน เปด เผยอวยั วะอนั พงึ ปกปด พดู จาหยาบคาย พูดเพอเจอ พดู เร่อื ง ทไ่ี มควรเปดเผย เปน ตน บ่ันทอนกําลงั ปญญา สรุ าและสง่ิ เสพตดิ ทาํ ลายระบบประสาท ทาํ ลายสติ และทาํ ลายสขุ ภาพดงั กลา ว แลวทําใหคนติดสุราและส่ิงเสพติดมีสมองมึนชา มีปญญาทึบ ขาดไหวพริบปฏิภาณ ขาดเชาวป ญญา คิดเชอ่ื งชา ความจําเส่อื ม หลงลืมงา ย ๖. อานิสงส ผรู กั ษาอโุ บสถศีลขอที่ ๕ ยอ มไดร ับอานสิ งส ดังนี้ ๖.๑ รูจักอดตี อนาคต ปจจุบนั ไดร วดเร็ว ๖.๒ มสี ตติ ั้งมน่ั ทกุ เมือ่ ๖.๓ มีความรมู าก มปี ญญามาก ๖.๔ ไมบ า ไมใบ ไมมวั เมาหลงใหล ๖.๕ มวี าจาไพเราะ มนี า้ํ คาํ เปนทนี่ า เชื่อถอื ๖.๖ มคี วามซ่อื สัตย สุจรติ ทั้งกาย วาจา ใจ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 307

308 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ตวั อยางเร่ืองทเ่ี ปน โทษของการลว งละเมดิ และอานิสงสข องการรกั ษาสกิ ขาบทที่ ๕ เรื่อง บตุ รเศรษฐมี ีทรพั ยมาก ดงั ไดสดับมา บุตรเศรษฐี เกิดในตระกูลทมี่ สี มบตั ิ ๘๐ โกฏิ ในกรงุ พาราณสี มารดาบิดาของเขาคิดวา ในตระกูลของเรามีกองสมบัติเปนอันมาก เราจักมอบสมบัติ นั้นแกลูกใหใชสอยอยางสบาย ไมตองทําการงานอะไร จึงใหลูกศึกษาศิลปะเพียง การฟอ น ขบั และประโคมดนตรีเทานนั้ ในพระนครนั้น แมธ ดิ าคนหน่ึงกเ็ กดิ ในตระกูลอืน่ ท่มี ีสมบตั ิ ๘๐ โกฏิเชนกนั บิดามารดาของนางก็คิดอยางน้ันเหมือนกันใหลูกสาวศึกษาศิลปะเพียงการฟอน ขับ และประโคมดนตรีเทา นน้ั เมอื่ เขาทงั้ สองเจรญิ วยั แลว กไ็ ดแ ตงงานกัน เมือ่ มารดาบิดา ของคนทง้ั สองนนั้ ไดถ งึ แกก รรม จึงมีทรัพย ๑๖๐ โกฏิรวมอยูบ า นหลงั เดียวกนั เศรษฐี ไปพระราชวงั วนั ละ ๓ หน พวกนกั เลง คดิ กนั วา ถา เศรษฐนี ี้ จกั เปน นกั ดมื่ สรุ าพวกเราก็ จะสบาย พวกเราจะสอนใหเ ขาเปน นกั ดมื่ สรุ า พวกนกั เลงนนั้ จงึ ถอื สรุ า นงั่ ดบู ตุ รเศรษฐี ท่ีมาจากราชสกุล เห็นเขากําลังเดินมา จึงด่ืมสุรา เอากอนเกลือใสปาก กัดหัวผักกาด กลา ววา ขอใหท า นเศรษฐีมอี ายยุ ืนเปน ๑๐๐ ปเ ถดิ พวกผมอาศัยทานก็จะมกี ินมดี ่ืม เศรษฐีฟงคําของพวกนักเลงนนั้ แลว จึงถามคนใชทส่ี นทิ วา พวกน้ันดื่มอะไร คนใชตอบวา น้ําดื่มชนิดหนึ่ง เศรษฐีถามตอวา มีรสชาตอิ รอยไหม คนใชตอบวา ไมม ี นํา้ อะไรในโลกนท้ี ี่จะมาเทยี บเทา เศรษฐีพูดวา เม่ือเปนเชนน้ันเราก็นาจะดื่ม จึงใหนํามาแลวดื่มนิดหนอย เม่ือนักเลงเหลานั้นรูวา เศรษฐีเร่ิมดื่มสุรา จึงพากันหอมลอมจนมีบริวารเพิ่มมากข้ึน เศรษฐีใหซื้อสุรา ดอกไม ของหอม มาดว ยเงิน ๑๐๐ บาง ๒๐๐ บาง เอาเงินกองรอบ ที่นั่งแลวดื่มสุราเรื่อยมา และใหเงินนักรอง นักรํา นักดนตรี ๑,๐๐๐ กหาปณะบาง ๒,๐๐๐ กหาปณะบาง ใชจา ยสรุ ุยสรุ าย จวบเวลาลวงไปไมน านนกั เงิน ๘๐ โกฏทิ เี่ ปน สวนของตนก็หมดไปเม่ือฝายการเงินแจงวา เงินสวนของทานหมดแลว จึงใหเอาเงิน สวนของภรรยามาใชจายสุรุยสุรายจนหมดสิ้นไปเชนนั้นเหมือนกัน ตอมาถึงขั้นขาย สมบตั ิท้งั หมดคือ นา สวนดอกไม สวนผลไม ยานพาหนะ แมก ระทงั่ ภาชนะ เครอ่ื งใช 308

ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÑÂ) 309 เครื่องลาด ผาหม และผาปูน่ัง เปนตน ก็ขายกินหมดเม่ือเขาสูวัยชรา เจาของเรือน จึงไลเขาซึ่งยังขออาศัยอยูใหออกจากบาน เขาพาภรรยาไปอาศัยอยูท่ีบานของคนอื่น ถอื กระเบอ้ื งเทยี่ วขอทาน กินอาหารเหลือเดน วันหนึง่ พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเขายนื อยทู ป่ี ระตูโรงฉัน รอรบั อาหาร ที่เหลือเดนจากพระภิกษุ สามเณร จึงทรงแยมพระโอษฐ พระอานนทเถระทูลถามถึง เหตุทีท่ รงแยม พระศาสดา เมื่อจะตรสั บอกเหตทุ ที่ รงแยม จึงตรัสวา อานนท เธอจงดู เศรษฐผี ูมที รัพยม ากผูน้ี ผลาญทรพั ยส มบัตหิ มดไป ๑๖๐ โกฏิ พาภรรยาเทย่ี วขอทาน อยใู นเมืองนถี้ าเขาไมผ ลาญทรัพยสมบตั ิใหห มด ทํากิจการงานในปฐมวัย กจ็ ักไดเปน เศรษฐอี นั ดบั ท่ี ๑ ในเมอื งน้ี และถา ออกบวชกจ็ กั บรรลอุ รหตั ผล แมภ รรยากจ็ กั ดาํ รงอยู ในอนาคามผิ ล ถาไมผ ลาญทรัพยใหห มด ทํากจิ การงานในมัชฌมิ วยั จกั ไดเปน เศรษฐี อันดับที่ ๒ ถาออกบวชจักไดเปนอนาคามี แมภรรยาก็จักดํารงอยูในสกทาคามิผล ถา ไมผ ลาญทรพั ยใ หห มด ทาํ กจิ การงานในปจ ฉมิ วยั จกั ไดเ ปน เศรษฐอี นั ดบั ท่ี ๓ แมถ า ออกบวช กจ็ กั ไดเ ปน สกทาคามี แมภ รรยากจ็ กั ดาํ รงอยใู นโสดาปต ตผิ ล แตบ ดั น้ี เศรษฐี น้ันไดเสอ่ื มจากโภคสมบตั ขิ องคฤหสั ถ และเสื่อมจากสามัญผลคอื มรรค ผล นิพพาน เมือ่ เสื่อมแลวก็เหมือนนกกะเรยี นในเปอ กตมแหง ทไี่ มม ีปลาจะใหกินอกี ตอ ไป ชาดกเร่ืองน้ี แสดงใหเห็นโทษของการดื่มสุราวา ทําใหสูญเสียทรัพยสมบัติ แมจ ะมจี าํ นวนมาก ใหห มดสน้ิ ไปในเวลาไมน าน และหนั หนา เขา หาอบายมขุ อนื่ ๆ ยง่ิ ไป กวา นนั้ ยงั สง ผลใหส ญู เสยี ทรพั ยภ ายใน หมดโอกาสบรรลมุ รรค ผล นพิ พาน แตใ นทาง กลบั กนั กแ็ สดงใหเ หน็ อานสิ งสข องการไมด ม่ื สรุ า จะทาํ ใหส ามารถรกั ษาทรพั ยส มบตั ไิ ว มแี ตค วามเจรญิ กา วหนา ยงิ่ ๆ ขน้ึ ไป หากออกบวชกจ็ ะไดรบั อานสิ งสถ งึ ข้ันบรรลมุ รรค ผล นิพพาน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 309

310 ¤Á‹Ù ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ÍØâºÊ¶ÈÅÕ Ê¡Ô ¢Òº··èÕ ö Ç¡Ô ÒÅâÀª¹Ò àÇÃÁ³Õ ผูรักษาอุโบสถศีล เวนจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล จะบริโภคได เฉพาะในเวลาทกี่ าํ หนด ท่ีเรียกวา “กาล” เทา น้นั คาํ วา “ วกิ าล” หมายถึง เวลาต้ังแต เที่ยงวันไปแลวจนถึงอรุณขึ้นของวันใหม คําวา “กาล” หมายถึงเวลาต้ังแตอรุณข้ึน จนถงึ เท่ยี งวนั ๑. ความมุง หมาย สิกขาบทนี้ มีความหมายเพื่อตัดปลิโพธ คือตัดความกังวลในการประกอบ อาหาร ไมตองพะวักพะวนในเร่ืองการกิน ทั้งยังจะสงผลใหรางกายเบาสบาย เก้ือกูล ตอ การปฏบิ ัติธรรม บําเพ็ญกศุ ลไดสะดวกมากย่ิงขึ้น เปนการขดั เกลากเิ ลสมกี ามราคะ เปน ตนใหเ บาบาง ๒. เหตผุ ล การไมบริโภคอาหารในเวลาวิกาลน้ัน เปนการบรรเทานิวรณธรรมอยางนอย ๒ ขอ คือ กามฉันทะ ความพอใจในกามคุณ และถีนมทิ ธะ ความงว งเหงาหาวนอน ความเกยี จครา น ความทอ แท ทาํ ใหร า งกายเบาสบายเกอ้ื กลู ตอ การปฏบิ ตั ธิ รรม ทาํ ใหม ี เวลาในการปฏิบตั ธิ รรมมากขนึ้ ท้งั เปน การปฏิบตั ิตามขอวตั รปฏิบตั ิของพระสงฆ ๓. ขอหา ม สกิ ขาบทนี้ หา มการบรโิ ภคอาหาร ตงั้ แตเ ทยี่ งวนั ไปแลว จนถงึ อรณุ ขน้ึ ในวนั ถดั ไป ๔. หลกั วินิจฉยั การลว งละเมิดสกิ ขาบทที่ ๖ ที่ทําใหศ ลี ขาด ประกอบดวยองค ๔ คือ ๔.๑ วกิ าโล เวลาตั้งแตเ ทีย่ งแลว ไปถึงอรุณขน้ึ ๔.๒ ยาวกาลิกํ ของเคยี้ วของกินนนั้ จดั วา เปน อาหาร ๔.๓ อชฺโฌหรณปปฺ โยโค พยายามกลนื กนิ ๔.๔ เตน อชฺโฌหรณํ กลนื ใหลว งลําคอเขาไปดวยความพยามนั้น 310

ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 311 ๕. โทษของการลวงละเมดิ การบริโภคอาหารในเวลาวกิ าล ผลู ว งละเมิดยอมไดรับกรรมวิบากดงั นี้ ๕.๑ เกดิ กามฉนั ทะ ความพอใจในกามคณุ ไมม สี มาธใิ นการปฏบิ ตั ธิ รรม ๕.๒ เกดิ ถนี มทิ ธะ ความงว งเหงาหาวนอน ความหดหเู ซอ่ื งซมึ ขาดความ เอิบอิ่ม กระปรกี้ ระเปรา ในการปฏิบัติธรรม ๕.๓ ไมมีความคลองแคลวอดทนในการปฏิบตั ธิ รรม ๕.๔ ทําใหเ กดิ โรค สุขภาพรางกายไมแ ข็งแรง ๖. อานิสงส ผรู กั ษาอุโบสถศีลขอที่ ๖ ยอ มไดร บั อานสิ งส ดังนี้ ๖.๑ บรรเทาความใครในกามคณุ ๖.๒ มคี วามกา วหนาในการปฏิบตั ิธรรม ๖.๓ มีเวลาบําเพ็ญเพียรไดม าก ๖.๔ รา งกายเบาสบายเกอ้ื กลู ตอการปฏิบตั ธิ รรม คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 311

312 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ตวั อยา งเรื่องท่ีเปน โทษของการลวงละเมิด และอานิสงสของการรกั ษาสิกขาบทที่ ๖ ตามหลักการทางแพทย โดยนายแพทย วารินทร ตัณฑศุภศิริ ไดเขียน บทความสนับสนนุ การเวน จากการบริโภคอาหารในเวลาวกิ าลไววา “กินมอ้ื เชา มอ้ื เทย่ี ง ก็พอเพียงไปจนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแนนอน ไมจําเปนตองไปเติมอีก เพราะเวลา นอนรา งกายจะนาํ พลงั งานทเ่ี หลอื ใชไ ปเกบ็ ไวท ต่ี า งๆ โดยตบั เปน ผทู าํ งานน้ี ถา พลงั งาน เหลอื มาก การเอาไปเกบ็ ทต่ี า งๆ กม็ าก ทาํ ใหอ ว น และแนน อนถา เกบ็ ไมห มด โดยเฉพาะ พวกไขมันตัวโตๆ จะตองคางอยูในหลอดเลือด สะสมมากรูหลอดเลือดก็จะเล็กลง เลือดไปเลีย้ งอวยั วะตา งๆ นอ ยลงอวยั วะท้งั หลายก็จะเสือ่ มสภาพเร็วข้นึ หรอื แกเ รว็ ข้ึน การกนิ มือ้ เย็นจงึ เปน มือ้ เรงกระบวนการเสื่อมถงึ เสยี ชวี ติ ใหเรว็ ข้ึนไปอกี มื้อเย็นจงึ เปน มื้ออนั ตราย เปนม้ือตายผอ นสง ยง่ิ กินมื้อเยน็ มาก ย่ิงผอนสง มาก ตายเร็ว ถาไมก ินมือ้ เย็นก็จะแกช าเส่ือมชา อายุยนื ” 312

ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÑÂ) 313 ÍØâºÊ¶ÈÅÕ Ê¡Ô ¢Òº··èÕ ÷ นจจฺ คีตวาทิตวสิ กู ทสฺสนมาลาคนธฺ วิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฐานา เวรมณี เจตนางดเวนจากการฟอนรํา การขับรอง การประโคมดนตรี การดู การละเลนอันเปนขาศึกตอพรหมจรรย การประดับตกแตงรางกาย ดวยดอกไม ของหอม และเครอ่ื งประดบั ตางๆ สกิ ขาบทท่ี ๗ น้มี ขี องดเวนอยู ๒ สว น คอื สว นของการดกู ารดกู ารละเลน หมายถงึ การฟอ นราํ การขบั รอ ง การประโคม ดนตรกี ารดกู ารละเลน อันเปนขา ศกึ ตอกศุ ล สวนของการประดับตกแตงรางกาย หมายถึง การประดับตกแตงรางกาย ดว ยดอกไมของหอม เคร่อื งยอ ม เครือ่ งทา และเครอ่ื งประดบั ตา งๆ ๑. ความมงุ หมาย สิกขาบทนี้ มีความมุงหมายเพ่ือดําเนินชีวิตตามแบบพรหมจรรย ฝกตน ขดั เกลากิเลส ใชช ีวติ แบบสมถะ เรียบงา ย ไมฟงุ เฟอฟุมเฟอ ย ไมมัวเมาในความสวย ความงาม ไมตกเปนทาสของวัตถุนิยมตามกระแสโลก ไมลุมหลงในความสนุกสนาน ร่นื เรงิ บนั เทงิ อนั เปน การดาํ เนนิ ชวี ิตแบบชาวบา น ๒. เหตุผล ๒.๑ เพ่ือทําจติ ใหออกหา งจากสง่ิ ทเ่ี ปน ขา ศกึ ตอพรหมจรรย ๒.๒ เพือ่ มิใหส ูญเสยี เวลาไปกบั สงิ่ ทีไ่ มเปน สาระ ๒.๓ เพ่ือมิใหห ลงใหลมวั เมาในสรรี ะรา งกาย ๒.๔ เพ่อื ประหยัดและตัดความกังวลเรื่องการตกแตงรางกาย ๒.๕ เพอื่ ใหเห็นสภาวธรรมตามหลกั ไตรลกั ษณ ๒.๖ เพือ่ ไมใหจ ิตฟุงซา นหมกมนุ อยใู นกามคณุ ๓. ขอ หา ม สิกขาบทนี้ หา มการฟอ นราํ การขบั รอง การประโคมดนตรี การดูการละเลน อันเปนขาศึกตอกุศล การประดับตกแตงรางกายดวยดอกไมของหอม และเครื่อง ประดบั ตางๆ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 313

314 ¤ÁÙ‹ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªé¹Ñ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ๔. หลกั วนิ จิ ฉยั การลวงละเมิดสิกขาบทท่ี ๗ ท่ีทําใหศีลขาด มีหลักวินิจฉัย ๒ สวน คือ การละเลนมีองค ๓ คือ ๑. นจจฺ าทนี ิ การละเลน มกี ารฟอ นรํา ขับรอ ง เปน ตน ๒. ทสฺสนตถฺ าย คมนํ ไปเพือ่ จะดกู ารละเลน ๓. ทสสฺ นํ ดกู ารละเลน อนั เปนขา ศกึ ตอพรหมจรรย การดู ในทีนี้ รวมถึงการฟงดวย สวนการฟงการขับรองท่ีสงเสริมศีลธรรม ทาํ ใหเ กดิ ศรทั ธา ความเลอ่ื มใส หรอื ทาํ ใหเ กดิ ความสงั เวช ความเบอ่ื หนา ยในทกุ ข ไมห า ม ในสกิ ขาบทนี้ การประดับตกแตงรา งกาย มีองค ๓ คือ ๑. มาลาทนี ํ อญฺ ตรตา เครอื่ งประดบั ตกแตง มดี อกไมแ ละของหอม เปน ตน ๒. อนุ ญฺ าตการณาภาโว ไมม เี หตเุ จบ็ ไขเ ปน ตน ทพี่ ระพทุ ธเจา ทรงอนญุ าต ๓. อลงกฺ ตภาโว ทดั ทรงตกแตง เปนตน ดว ยประสงคจะใหส วยงาม การตกแตง รา งกาย ทไ่ี มไ ดม งุ ความสวยงาม แตม งุ เพอ่ื รกั ษาโรค เปน ตน ไมห า ม ในสกิ ขาบทนี้ ๕. โทษของการลวงละเมดิ ผูลว งละเมิดยอ มไดร บั กรรมวบิ ากดงั นี้ ๕.๑ ทําใหเ กดิ ความกาํ หนัดยินดีในกามคุณ ๕.๒ ทาํ ใหเ กิดความกังวลสง ผลใหการปฏบิ ตั ธิ รรมไมกา วหนา ๕.๓ ทาํ ใหสญู เสียทรัพยไปในส่ิงทีไ่ รประโยชน ๕.๔ ทําใหเสยี เวลาในการประพฤติพรหมจรรย ๕.๕ ทําใหเกดิ อวชิ ชาปด บังสภาวธรรม ๖. อานสิ งส ผรู ักษาอโุ บสถศลี ขอท่ี ๗ ยอ มไดร บั อานิสงส ดังนี้ ๖.๑ จติ ใจสงบ ไมฟงุ ซาน ๖.๒ จติ ใจเปน อิสระจากวัตถุกาม ๖.๓ จิตผองใส เกดิ สมาธิไดง าย ๖.๔ อนิ ทรยี เอิบอ่ิมผอ งใส ๖.๕ กุศลธรรมเจรญิ งอกงาม ๖.๖ มีความกาวหนาในการปฏบิ ัตธิ รรม 314

ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÑÂ) 315 ตัวอยางเรือ่ งท่เี ปน โทษของการลว งละเมดิ และอานสิ งสของการรกั ษาสิกขาบทท่ี ๗ เรือ่ งพระสารีบุตร พระสารีบุตรเปนลูกพราหมณผูใหญบาน บิดาชื่อวังคันตะ มารดาช่ือสารี เกดิ ในตาํ บลนาลกะหรอื นาลนั ทะตง้ั อยไู มห า งไกลจากกรงุ ราชคฤห เดมิ ทา นชอ่ื อปุ ตสิ สะ แตค นนยิ มเรยี กชือ่ ตามความท่เี ปน ลูกของนางสารวี า สารบี ตุ ร พระคันถรจนาจารยพรรณนาวา อุปติสสมาณพ เปนลูกของตระกูลเศรษฐี สําเร็จศิลปะศาสตร เปนเพื่อนสนิทกับโกลิตมาณพ นามสกุลโมคคัลลานะ ซึ่งอยูวัย เดียวกันและเปนลูกเศรษฐีเหมือนกัน ตอนเยาววัย สองสหายไดไปเที่ยวดูการละเลน ในกรุงราชคฤหอยูเปนประจํา ขณะที่ดูถาเรื่องสนุกก็สนุกตาม เร่ืองเศราก็เศราตาม เขาแสดงดกี ็ใหรางวัล วันหน่ึงสองสหายนั้นชวนกันไปดูการละเลนเหมือนอยางท่ีผานมา แตรูสึก ไมสนุกราเริงเหมือนในวันกอนๆ โกลิตะจึงถามอุปติสสะวา ดูเพื่อนไมมีความสนุก เหมือนวันอ่ืนๆ เลยวันน้ีดูเศราใจทานเปนอยางไรหรืออุปติสสะ จึงบอกส่ิงท่ีเขาคิดวา อะไรที่ควรดูในการเลนน้ีมีหรือเปลา คนเหลาน้ีท้ังหมดเม่ืออายุยังไมทันถึง ๑๐๐ ป กจ็ ะไมมีเหลอื อยู จกั ตายไปหมดการดูการละเลนจะมปี ระโยชนอะไร เราควรขวนขวาย แสวงหาธรรมเครอ่ื งนาํ ไปสคู วามพน ทกุ ขด กี วา แลว ถามโกลติ ะและทราบวา ตา งกค็ ดิ เชน เดยี วกัน จงึ พาบรวิ ารไปขอบวชอยูใ นสํานักสญั ชัยปริพาชก เรยี นสาํ เรจ็ ลัทธิของสัญชัย แลว อาจารยส ญั ชยั ใหเ ปน ผชู ว ย สงั่ สอนหมศู ษิ ยต อ ไป สองสหายนน้ั ยงั ไมพ อใจในลทั ธิ ของครูสัญชัย จึงนัดหมายกันวาถาใครไดพบ โมกขธรรมคือธรรมอันเปนเคร่ืองนําไป สคู วามหลดุ พน ใหบ อกแกก นั และกัน ครนั้ พระศาสดาไดต รสั รแู ลว ทรงแสดงธรรมประกาศพระพทุ ธศาสนา เสดจ็ มา ถึงกรุงราชคฤหประทับอยู ณ เวฬุวัน วันหน่ึง พระอัสสชิ หน่ึงในพระปญาวัคคีย ซึ่งพระศาสดาทรงสงใหจาริกไปประกาศพุทธศาสนา กลับมาเฝา เขาไปบิณฑบาตใน กรงุ ราชคฤห อปุ ตสิ สปรพิ าชกเดนิ มาจากสาํ นกั ของปรพิ าชกไดเ หน็ พระอสั สชผิ มู อี าการ นา เลอื่ มใส จะกา วไปถอยกลบั แลเหลยี ว คแู ขน เรยี บรอ ยทกุ อริ ยิ าบถ มอี ริ ยิ าบถพเิ ศษ กวา นกั บวชในครงั้ นนั้ อยากจะทราบวา ใครเปน ศาสดาของทา น แตย งั ไมส ามารถจะถาม คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 315

316 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ไดเ พราะเปน เวลายงั ไมส มควร เนอ่ื งจากทา นยงั บณิ ฑบาตอยู จงึ คอยตดิ ตามไป ครนั้ เหน็ ทา นกลับจากบิณฑบาตแลว จงึ เขา ไปใกลพ ดู ปราศยั แลวถามวา “ผมู อี ายุ อนิ ทรียของ ทา นหมดจดผอ งใส ทา นบวชเจาะจงใคร ใครเปน พระศาสดาของทา น ทา นชอบใจธรรม ของใคร” พระอัสสชิตอบวา “เราบวชเจาะจงพระมหาสมณะผูเปนโอรสศากยราชสกุล พระองคเปนศาสดาของเรา เราชอบใจธรรมของพระองค” อุปติสสปริพาชกถามตอวา “พระศาสดาทรงสั่งสอนอยางไร” พระอัสสชิตอบวา ตนยังเปนพระใหมบวชยังไมนาน เพงิ่ เขา มายงั พระธรรมวนิ ยั นไ้ี มอ าจแสดงธรรมแกท า นอยา งพสิ ดาร จะกลา วเพยี งความ โดยยอ พอใหรูเ ทา นน้ั อปุ ตสิ สปริพาชกกลา ววา ไมเปน ไร ทานจะกลา วนอยหรือกลา ว มากกไ็ ด ขอใหก ลา วแตใ จความไมจ าํ เปน ตอ งขยายความมาก พระอสั สชจิ งึ แสดงธรรม แกอปุ ติสสปรพิ าชกพอเปนใจความวาพระศาสดาตรัสวา ธรรมทัง้ หลายเกดิ ขึ้นก็เพราะ มเี หตปุ จจยั และดับไปก็เพราะดบั เหตปุ จ จยั อปุ ตสิ สปรพิ าชกไดฟ ง เชน นนั้ กท็ ราบวา พระพทุ ธศาสนาสอนวา ธรรมทงั้ ปวง เกดิ เพราะเหตแุ ละจะสงบระงบั ไปเพราะเหตดุ บั พระศาสดาทรงสงั่ สอนใหป ฏบิ ตั เิ พอื่ สงบ ระงบั เหตแุ หง ธรรมอนั เปนเครื่องกอใหเ กดิ ทกุ ข ไดด วงตาเหน็ ธรรมวา ส่ิงใดสงิ่ หนึ่งมี ความเกดิ ขึน้ เปนธรรมดา ส่ิงน้ันทั้งหมด มคี วามดบั ไปเปน ธรรมดา จึงถามพระเถระ และทราบวา พระศาสดาเสดจ็ ประทบั อยทู เี่ วฬวุ นั จงึ กลบั ไปบอกขา วทไ่ี ดพ บพระอสั สชิ ใหโ กลิตปรพิ าชกทราบ แสดงธรรมนน้ั ใหสหายฟง โกลิตปรพิ าชกก็ไดด วงตาเห็นธรรม เชน เดยี วกบั อปุ ตสิ สะ จงึ ชวนกนั ไปเฝา พระศาสดาโดยไปลาสญั ชยั ผอู าจารย ถกู อาจารย สัญชัยหามและออนวอนใหอยูดวยกันเปนหลายคร้ังก็ไมฟง จึงพาบริวารไปวัดเวฬุวัน เขา เฝา พระศาสดา ทลู ขออปุ สมบท พระศาสดาทรงอนญุ าตใหเ ปน ภกิ ษดุ ว ยกนั ทง้ั หมด บรรดาภกิ ษุเหลาน้ัน ภิกษผุ เู ปนบรวิ ารไดส าํ เรจ็ พระอรหัตกอ นในเวลาไมช า พระโมค- คัลลานะอปุ สมบทได ๗ วนั จงึ ไดส าํ เร็จพระอรหตั ฝา ยพระสารบี ตุ รตอ อปุ สมบทแลว ไดก ่ึงเดอื นจงึ ไดสาํ เร็จพระอรหตั เร่ืองพระสารีบุตรน้ี แสดงใหโทษของการดูและการแสดงการละเลน วาเปน เหตทุ าํ ใหห ลงระเรงิ ประมาทมวั เมาในชวี ติ เปน ขา ศกึ ตอ การและพฤตพิ รหมจรรย และ แสดงใหเห็นอานิสงสของการงดเวนจากการดูการละเลน ดวยการมีสติเห็นสัจธรรม ของชวี ติ วา ไมเท่ยี ง ยังไมถึง ๑๐๐ ป กต็ อ งจากโลกนีไ้ ป เปนเหตุใหข วนขวายเรงรีบทาํ คณุ งามความดีเสยี ตงั้ แตวันน้ี 316

ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÑÂ) 317 ÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ Ê¡Ô ¢Òº··èÕ ø ÍØ¨Ú¨ÒʹÁËÒÊÂ¹Ò àÇÃÁ³Õ เวน จากการนั่งการนอนบนที่น่ังทนี่ อนอันสงู ใหญ ๑. ความมุง หมาย สิกขาบทนี้ มีความมุงหมายเพื่อมิใหยึดติดในสิ่งท่ีหรูหราฟุมเฟอย ความ สะดวกสบาย ซง่ึ เปน เหตใุ หเ กดิ ความกาํ หนดั ยนิ ดี ไมเ กอ้ื กลู ตอ การประพฤตพิ รหมจรรย ๒. เหตผุ ล ๒.๑ ไมใหย ึดติดกับความหรหู ราฟมุ เฟอย ความสะดวกสบาย ๒.๒ ฝกปฏิบตั ใิ หเ ปน ผูอ ยูงา ย นอนงา ย ๒.๓ ตัดความกังวลในเร่อื งท่หี ลับนอน ๒.๔ ไมใหเ กดิ ความกําหนดั ยินดี ๒.๕ กอใหเ กิดความวิรยิ ะอตุ สาหะในการประพฤตพิ รหมจรรย ๓. ขอ หา ม สิกขาบทนี้ หา มนัง่ และนอนบนทานอนสงู และทนี่ ง่ั ทนี่ อนใหญ ความสูงของท่นี ่งั ทีน่ อน กําหนดตามประเภทของเตยี งและต่ัง ดังน้ี เตยี งและตงั่ ทถี่ กั ดว ยหวายและตอก หรอื ผกู ดว ยผา ทาํ ดว ยกระดาน จะมเี ทา คู เทา ตรง หรือมเี ทา มากก็ตาม วัดจากแมแครข า งลา งลงไป ได ๑๐ นิ้ว กบั ๓ กระเบียด (๓ กระเบียด เทา กบั ๓/๔ ของนว้ิ ) หรอื ต่ํากวา กําหนดนีล้ งมาจงึ ใชไ ด สว นที่นง่ั ทนี่ อน สงู กวา กําหนดน้ขี ึน้ ไปใชไมไ ด เตยี งและตง่ั ทตี่ ดิ อยกู บั ท่ี ยกไปไหนไมไ ด มเี ทา สงู เกนิ กวา ประมาณนดิ หนอ ย กใ็ ชได เตยี งท่มี พี นักขา งทง้ั ๓ ดาน แมจ ะมเี ทา สูงกวา ทก่ี าํ หนดขางตน กใ็ ชไ ด เตยี งทไ่ี มม พี นกั โดยปกตเิ ปน เตยี งทม่ี เี ทา ตา่ํ สามารถทาํ ใหส งู ขนึ้ ไดเ ลก็ นอ ย ดวยการใชไมห นุนเทาเตยี ง แตต อ งไมสงู เกินกวา ๘ นวิ้ จงึ ใชได คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 317

318 ¤Ù‹ÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ตั่ง ๔ เหลยี่ ม ท่ีมีเทา สูงกวา ๑๐ นวิ้ กบั ๓ กระเบยี ด (๓ กระเบยี ด เทา กบั ๓/๔ ของนิว้ ) ก็ใชไ ด ความใหญของทีน่ ัง่ ทนี่ อนทใี ชไมได กําหนดตามประเภท ดงั นี้ ประเภทการตกแตงและการปลู าดดวยของไมค วรมี ๑๙ อยาง คือ ๑. บัลลงั กท ่นี ง่ั ทป่ี ระดับดวยรปู สตั วรายมเี สอื และจระเข เปนตน ๒. ผาขนสตั วใ หญท ี่มีขนยาวกวา ๔ นิว้ ๓. เครอื่ งปลู าดทาํ ดว ยขนแกะ วิจติ รดวยลายเยบ็ ปก ๔. เครื่องปลู าดทําดวยขนแกะ มีลายเปน แผน ๕. เครื่องปูลาดทาํ ดว ยขนแกะ มลี ายดอกไมแ นนเน่อื งกัน ๖. เคร่ืองปูลาดทาํ ดว ยขนแกะ วจิ ิตรทาํ ดวยรปู สัตวตางๆ ๗. เคร่อื งปูลาดทาํ ดว ยขนแกะ มขี นขน้ึ ทั้ง ๒ ขา ง ๘. เครอ่ื งปูลาดทาํ ดว ยขนแกะ มขี นข้นึ ขา งเดยี ว ๙. เครื่องปูลาดเปนช้นั เย็บดวยหนังสือ ๑๐. เครือ่ งปูลาดมเี พดานแดงดาดขา งบน ๑๑. เคร่อื งปูลาดบนหลังชา ง ๑๒. เคร่อื งปลู าดบนหลังมา ๑๓. เครอ่ื งปลู าดบนรถ ๑๔. เครือ่ งปนู อนทอดวยทองแกมดา ยไหมขลิบดว ยทอง ๑๕. เคร่ืองปูนอนทอดวยดา ยไหมขลบิ ดว ยทอง ๑๖. เคร่ืองปูนอนทําดว ยขนแกะใหญขนาดทนี่ างฟอ น ๑๖ คนยนื รําได ๑๗. เครื่องปูนอนอยางดีทีท่ ําดวยหนงั ชะมด ๑๘. ท่ีนอนท่มี ีหมอนแดงท้งั ๒ ขาง สําหรับหนนุ ศีรษะและหนุนเทา ๑๙. ฟูกเบาะยัดนนุ อยา งเดียว ประเภทขนาด กาํ หนดความกวา งซึ่งนอนไดตั้งแต ๒ คนขึน้ ไป เพราะเปน ท่ีนอนสําหรับคนคู ผูรักษาอุโบสถเวนจากความเปนคนคูแลว จึงไมควรนอนท่ีนอน เชน นนั้ ฟูกที่พระพทุ ธองคท รงอนุญาตใหน่งั หรอื นอนไดม ี ๕ อยาง คือ 318

ÇªÔ ÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÑÂ) 319 ๑. ฟกู มไี สเปนขนแกะ ขนสัตวมปี ก ขนสัตว ๒ เทา ขนสตั ว ๔ เทา แตฟกู ท่มี ีไสเ ปน ผมขนของมนษุ ย ใชไมได ๒. ฟกู มีไสเ ปน ผา ๓. ฟกู มไี สเปน เปลอื กไม ๔. ฟูกมีไสเ ปนหญา ๕. ฟูกมีไสเปนใบไมหรือใบพิมเสนเจือดวยใบไมอ่ืนแตฟูกมีไสเปน ใบพิมเสนลว นใชไมไ ด ๔. หลักวินจิ ฉยั การลวงละเมดิ สิกขาบทท่ี ๘ ทท่ี าํ ใหศ ลี ขาด ประกอบดว ยองค ๓ คือ ๔.๑ อุจจฺ าสยนมหาสยนํ ทีน่ ั่งท่ีนอนสงู ใหญ ๔.๒ อุจฺจาสยนมหาสยนสญฺ ติ า รูวาทนี่ ั่งทีน่ อนสงู ใหญ ๔.๓ อภินิสที นํ วา อภนิ ิปชชฺ นํ วา นั่งหรอื นอนลงไป ๕. โทษของการลวงละเมดิ ผูลวงละเมิดยอ มไดรับกรรมวบิ ากดังนี้ ๕.๑ ทาํ ใหห ลงติดอยใู นความสะดวกสบาย ๕.๒ ทาํ ใหเกดิ ความกําหนัดยินดี ๕.๓ ทาํ ใหเกดิ ความเกยี จครา นในการบําเพ็ญเพียร ๕.๔ ไมเกอ้ื กูลตอ การประพฤติพรหมจรรย ๖. อานิสงสของสิกขาบทท่ี ๘ ผูรักษาอโุ บสถศีลขอ ที่ ๘ ยอ มไดรับอานิสงส ดังนี้ ๖.๑ มชี ีวติ สมถะ เปนอยูอยา งเรียบงาย ๖.๒ มีสุขภาพพลานามัยดี ๖.๓ มสี ติตน่ื ตวั อยูเสมอ ๖.๔ มคี วามกาวหนาในการประพฤติพรหมจรรย คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 319

320 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªé¹Ñ â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ตัวอยางเรอ่ื งที่เปนอานิสงสของการรักษาสิกขาบทที่ ๘ เรอ่ื ง พระพุทธเจา ตอนประทับนั่งบนหญาคา เชา วนั หน่ึง นางสชุ าดาบตุ รขี องกุฎมพีซึง่ เปน ผใู หญบ านเสนานคิ ม ณ ตําบล อุรุเวลา ปรารถนาจะทําการบวงสรวงเทวดา หุงขาวปายาสดวยน้ํานมโคสดเสร็จแลว จดั ลงในถาดทองคาํ นาํ ไปทโ่ี พธพิ ฤกษ เหน็ พระมหาบรุ ษุ เสดจ็ ประทบั นง่ั อยเู ขา ใจวา เปน เทวดา จงึ เขาไปนอ มถวายขา วปายาส ในเวลานั้น บาตรของพระมหาบุรุษไดอ ันตรธาน หายไป พระองคจึงทรงรบั ขาวปายาสนัน้ ทง้ั ถาดทองคํา นางทราบพระอาการทพ่ี ระองค ทอดพระเนตรดู นางจงึ ไดท ลู ถวายทงั้ ถาดทองคาํ แลว กลบั ไป พระมหาบรุ ษุ ทรงถอื ถาด ทองคาํ ขา วปายาสเสดจ็ ไปทา นาํ้ เนรญั ชรา สรงแลว เสวยขา วปายาส ทางลอยถาดทองคาํ ในกระแสนา้ํ เวลากลางวนั พระองคเ สดจ็ ประทบั อยใู นดงไมส าละใกลฝ ง แมน าํ้ เวลาเยน็ เสดจ็ มาทตี่ น พระศรมี หาโพธ์ิ ระหวา งทางไดท รงรบั หญา คาของรายโสตถยิ ะทรงลาดหญา คา แทนบัลลังก ณ ควงตนพระศรีมหาโพธิ์ ดานปราจีนทิศ แลวเสด็จนั่งขัดสมาธิ ผนิ พระพกั ตรไ ปทางบรุ พทศิ ผนิ พระปฤษฎางคไ ปทางตน พระศรมี หาโพธทิ์ รงอธษิ ฐานวา “ถายงั ไมบรรลุพระสมั มาสมั โพธิญาณเพียงใด จักไมเสด็จลุกขน้ึ เพียงนนั้ แมเนอื้ และ เลือดจะแหง เหลอื แตหนัง เอน็ และกระดกู กต็ ามท”ี ฝา ยพระยามารเกรงวา พระมหาบรุ ษุ จะพน จากอาํ นาจของตน จงึ ยกพลเสนามาร มาผจญแสดงฤทธ์ิตางๆ เพื่อจะใหตกพระหฤทัยกลัวแลวจะเสด็จหนีไป พระองค ทรงนึกถึงพระบารมี ๑๐ ทัศที่ไดทรงบําเพ็ญมาบริบูรณแลวต้ังมหาปฐพีไวเปนพยาน อธิษฐานใหพระบารมี เขาชวยผจญยังพระยามารกับเสนามารใหปราชัยไปต้ังแต ในเวลาพระอาทิตยยังไมทันอัสดงคต ในปฐมยามทรงบรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ในมัชฌิมยามทรงบรรลุทิพพจักขุญาณ พระพุทธเจากอนท่ีจะตรัสรู ทรงนั่งบนที่น่ังท่ี ลาดดวยหญาคาเทาน้ัน ฉะน้ันผูปฏิบัติตนเพื่อความพนทุกขควรเปนอยูงายไมควร ยดึ ตดิ กบั ความหรหู ราฟุม เฟอ ยเกินควร อุโบสถศีลนี้ นับเปนขอวัตรปฏิบัติพิเศษของพุทธศาสนิกชนมาต้ังแต สมัยพุทธกาล แมปจจุบันก็ยังนิยมประพฤติปฏิบัติกันอยู การรักษาอุโบสถศีล 320

ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÕÅ (ÇÔ¹ÂÑ ) 321 ตอ งใชค วามวริ ยิ ะอตุ สาหะเปน อยา งมาก จงึ จะรกั ษาใหบ รสิ ทุ ธไ์ิ ดอ โุ บสถศลี เปน การถอื ปฏิบตั ิที่มีกุศลมาก มีอานสิ งสม าก ดังท่พี ระพทุ ธเจาตรสั สรรเสริญการรักษาอโุ บสถศลี ไววา ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย อโุ บสถศีลประกอบดวยองค ๘ ที่บุคคลสมาทานรักษาแลว ยอ มมผี ลยงิ่ ใหญม ีอานสิ งสม หาศาล มคี วามเจรญิ รุงเรืองยิ่งนัก มผี ลแผไ พศาลมาก แมพ ระโพธสิ ตั ว กไ็ ดร กั ษาอโุ บสถศลี เปน ประจาํ เพอ่ื บรรลสุ มั มาสมั โพธญิ าณ ดังเร่อื งพระภูรทิ ัต และเรื่องพระมหาชนก เปนตวั อยาง ดงั นี้ ในสมยั ทพี่ ระพทุ ธเจา เสวยพระชาตเิ ปน พญานาคชอ่ื ภรู ทิ ตั ในวนั พระ จะออก จากนาคพิภพไปยังโลกมนุษยขนดเขาสมาธิบนจอมปลวก ใกลตนไทรใหญริมฝง แมน า้ํ ยมนุ าแลว ตงั้ สจั จะอธษิ ฐานวา “ผใู ดตอ งการหนงั เอน็ กระดกู หรอื เลอื ดเนอ้ื ของตน กจ็ ะยอมบรจิ าคใหขอเพียงใหไ ดร กั ษาศลี ใหบ ริสทุ ธก์ิ พ็ อ” แลวนอนจาํ ศีลอุโบสถ ในสมัยท่ีพระพุทธเจาเสวยพระชาติเปนพระมหาชนก พระองคเดินทางไป ทําการคาขายทางทะเล ถูกพายุพัดทําใหเรือแตกกลางมหาสมุทร พระมหาชนกแหวก วายอยูทามกลางมหาสมุทรนานถึง ๗ วัน รางกายออนลา เหน็ดเหน่ือย และทรง หวิ โหยมากถงึ กระนน้ั กไ็ มล ดละความเพยี ร ไมท อ ถอย ไมส น้ิ หวงั มพี ลงั จติ ทแ่ี ขง็ แกรง ขณะทกี่ าํ ลงั แหวกวา ยอยนู นั้ พระองคท รงทราบวา วนั นเ้ี ปน วนั อโุ บสถ จงึ บว น พระโอษฐ ดวยน้ําเค็มอธิษฐานรักษาอุโบสถศีล แลวพากเพียรแหวกวายอยูในมหาสมุทรตอไป ดวยพระวิริยบารมีและศีลอันแรงกลาของพระองค ในท่ีสุด นางมณีเมขลาก็ชวยให พระองคถงึ ฝง แมเ หลา เทวดามที า วสกั กะเปน ตน กร็ กั ษาอโุ บสถศลี ดงั ทพี่ ระพทุ ธเจา ไดต รสั กับภิกษุท้ังหลายวา “ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ทาวสักกะจอมเทพไดสมาทานรักษาอุโบสถ ศลี ในวนั พระเปน ประจาํ นอกจากน้ี ยงั ไดช กั ชวนเทวดาชนั้ ดาวดงึ ส ใหร กั ษาอโุ บสถศลี เชน เดียวกนั ดวย” เหน็ ไดวา ทา วสกั กะจอมเทพ เปนถึงประมุขของเทวดาช้ันดาวดึงสก็ ยังใหค วามสาํ คัญแกอ โุ บสถศลี อยางสงู คือ เมื่อถงึ วันธัมมัสสวนะ พระองคกไ็ ดรกั ษา อโุ บสถศลี และไดชกั ชวนเทพบตุ รเทพธดิ าทงั้ หลายใหร กั ษาดว ย แมในสมัยพุทธกาล อนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี และนางวิสาขามหาอุบาสิกา ตา งก็เปน พระอริยบคุ คล ไมไปเกิดในอบายภูมอิ กี ตอไป ถึงอยางนัน้ กย็ งั รกั ษาอุโบสถ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 321

322 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé â· คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท ศลี เปนประจาํ ดวยพิจารณาเหน็ วา อุโบสถศลี เปนศลี พเิ ศษสาํ หรับคฤหสั ถผูค รองเรอื น จึงสมควรท่ีชาวพุทธท้ังหลายจะไดรักษาซ่ึงถือเปนการปฏิบัติของพระอริยเจาท้ังหลาย เพือ่ ขจดั ขดั เกลากิเลสใหเ บาบางจนถึงบรรลมุ รรคผลนพิ พานสืบไป 322

ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÑÂ) 323 ¢ŒÍÊͺ¸ÃÃÁʹÒÁËÅǧ ËÅ¡Ñ Êμ٠øÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé â· ÇÔªÒÇԹѠ(ÍØâºÊ¶ÈÕÅ) ¾.È. òõõñ - òõõò คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 323

324 ¤Ù‹ÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé â· ปญหาและเฉลยวิชาอุโบสถศลี (วนิ ัย) ธรรมศกึ ษาช้ันโท สอบในสนามหลวง วันจันทรท ี่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒ เวลา ๑๕.๐๐ น. ******************** คําสั่ง : จงเลือกคําตอบท่ีถูกที่สุดเพียงคําตอบเดียว แลวกากบาทลงในชอง ของขอที่ ตอ งการในกระดาษคําตอบใหเ วลา ๕๐ นาที (๑๐๐ คะแนน) ๑. วชิ าอุโบสถศลี มีรายละเอียดเนอื้ หา ๔. แรกจะนับถือพระพุทธศาสนา ควรเปลงวาจา เก่ียวกับศลี ในขอใด ? เขาถึงพระรัตนตรัย เพ่ือปลูกฝงคุณธรรมใด ก. ศลี ๕ ข. ศลี ๘ ใหเ กดิ ขนึ้ กอ น ? ค. ศลี ๑๐ ง. ศลี ๒๒๗ ก. ศีล ข. ศรทั ธา คาํ ตอบ : ข ค. จาคะ ง. ปญ ญา ๒. ในการบาํ เพ็ญกุศลทกุ คร้ัง เหตใุ ด คาํ ตอบ : ข จงึ ตอ งสมาทานศีลกอน ? ๕. คําวา พุทธฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ พระพุทธเจาตรสั ก. เพราะศลี เปน เครอื่ งรองรบั กศุ ลกรรม แกใครเปน ครง้ั แรก ? ข. เพราะศลี เปน อบุ ายทาํ กายใจใหต ง้ั มนั่ ก. พระเจา พมิ พสิ าร ค. เพราะตองการสบื ทอดประเพณนี ยิ ม ข. พระมหาสาวก ๘๐ ง. เพราะใหปฏบิ ตั ิตามขน้ั ตอนพิธกี รรม ค. พระอรหันต ๖๐ คาํ ตอบ : ก ง. พระปญ จวัคคยี  ๕ ๓. แผน ดนิ เปน ทรี่ องรบั ทกุ สรรพสง่ิ ศลี เปน คาํ ตอบ : ค เคร่ืองรองรับอะไร ? ๖. ในพระรัตนตรัย อะไรรักษาผปู ฏบิ ตั ิไมให ก. กศุ ลจิต ตกไปในทางทีช่ ัว่ ? ข. กศุ ลกรรม ก. พระพุทธ ข. พระธรรม ค. กุศลมลู ค. พระสงฆ ง. ถูกทุกขอ ง. กศุ ลธรรม คําตอบ : ข คาํ ตอบ : ข ๗. คําวา สรณะ ในอโุ บสถศีล หมายถงึ อะไร ? ก. วัตถมุ งคล ข. พระพุทธรูป คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท 324

ÇÔªÒÍØâºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÂÑ ) 325 ค. โชควาสนา ง. พระรัตนตรยั คาํ ตอบ : ค คําตอบ : ง ๑๓. ปฏบิ ตั ิตนอยางไร จึงถูกตอ งตาม ๘. การถึงพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ หลกั การเขา ถงึ สรณคมน ? เปนทพ่ี งึ่ ทร่ี ะลกึ เรยี กอะไร ? ก. ขอพรดจี ากหนหู ทู ิพย ก. อาราธนาศีล ข. สมาทานศีล ข. ไหวสง่ิ ศักด์สิ ิทธ์ิทว่ั ถ่ินไทย ค. รบั สรณคมน ง. รกั ษาศีล ๘ ค. สรางพระพฆิ เนศวรใ หญ คําตอบ : ค ง. ใหปฏิบัติขดั เกลากิเลส ๙. การเขาถึงสรณคมนข องใคร มคี วาม คาํ ตอบ : ง ม่ันคงมากกวาของผูอ ่ืน ? ๑๔. พระรตั นตรัยมีความเกีย่ วเนอ่ื งกนั ก. ปถุ ชุ น ข. สามัญชน หากเปรยี บพระพทุ ธเจา เปน ผูช้ี ค. อรยิ ชน ง. โลกิยชน ขมุ ทรัพย พระสงฆจะเปรยี บเหมือนอะไร ? คําตอบ : ค ก. คนฝง ขุมทรพั ย ๑๐. การเขา ถงึ สรณคมนข องพทุ ธศาสนกิ ชน ข. คนเฝา ขมุ ทรัพย จะสนิ้ สดุ ลงตอนใด ? ค. คนพบขุมทรัพย ก. เกดิ สงสยั ข. ศลี ขาด ง. คนใชสอยทรพั ย ค. ไมเชื่อถือ ง. เสียชวี ิต คาํ ตอบ : ง คําตอบ : ง ๑๕. ขอ ใด เปน ประโยชนส งู สุดในการเขา ๑๑. สงสยั วา พระพุทธเจา มจี รงิ หรือ ถึงพระรัตนตรัย ? เปน เหตใุ หสรณคมนเปนเชนไร ? ก. ไดสวดมนต ก. เศราหมอง ข. บกพรอ งไป ข. ไดกราบไหว ค. ตองรบั ใหม ง. ขาดลงทันที ค. ไดตักบาตร คาํ ตอบ : ก ง. ไดเ ห็นธรรม ๑๒. สรณคมนเ ศราหมองเพราะความไม คาํ ตอบ : ค เอื้อเฟอ ตรงกับเรื่องใด ? ๑๖. ขอใด ถือเปน ที่พ่งึ สูงสุดในทาง ก. ไมเ ลาเรยี นคําสอน พระพทุ ธศาสนา ? ข. ไมเ ชอื่ เร่อื งบุญ ก. พระรัตนตรัย ข. ตน ไม ค. ไมเ คารพพระสงฆ ค. ภเู ขา ง. แมน ํ้า ง. สงสยั เรอื่ งนรก คาํ ตอบ : ก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 325

326 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉҪѹé â· ๑๗. อโุ บสถ เปน เร่อื งบาํ เพญ็ กุศลความดี ข. การรบั สรณคมน ของใคร ? ค. การสมาทานศีล ก. คฤหัสถ ข. ภกิ ษุ ง. การงดเวนอาหาร ค. สามเณร ง. แมชี คาํ ตอบ : ง คําตอบ : ก ๒๒. หากรักษาปฏชิ าครอุโบสถในวัน ๘ คํ่า ๑๘. การรกั ษาอุโบสถ บัญญัติขึ้นดว ย วนั รับจะเปน วันก่คี ํ่า ? วัตถุประสงคใด ? ก. ๖ คํา่ ข. ๗ คํา่ ก. เพ่ือทํากิจทางพระพทุ ธศาสนา ค. ๘ คํ่า ง. ๙ คํา่ ข. เพอื่ หยดุ การงานของคฤหสั ถ คําตอบ : ข ค. เพ่ือขัดเกลากิเลสอยา งหยาบ ๒๓. อุโบสถที่อบุ าสกอบุ าสิกานิยมรักษา ง. ถกู ทุกขอ ในวันพระวันหนึ่งกับคนื หนึ่ง คําตอบ : ง เปน อุโบสถประเภทใด ? ๑๙. การรักษาอโุ บสถ เริม่ ปฏบิ ัตกิ ันมา ก. ปกติอโุ บสถ ตง้ั แตเม่อื ไร ? ข. ปฏชิ าครอโุ บสถ ก. กอนพุทธกาล ข. สมยั พุทธกาล ค. ปาฏหิ ารยิ อโุ บสถ ค. กึง่ พทุ ธกาล ง. หลงั พทุ ธกาล ง. นิคคัณฐอโุ บสถ คาํ ตอบ : ก คําตอบ : ก ๒๐. การรักษาอุโบสถ นอกจากใหท าน ๒๔. อโุ บสถประเภทใด เทียบไดกบั การอยู รกั ษาศลี และเจริญภาวนาแลว จาํ พรรษาของพระภิกษุ ? ควรทาํ อยางไรอีก ? ก. ปกติอุโบสถ ก. อยูใหครบเดอื น ข. ปฏิชาครอุโบสถ ข. อยูใหครบพรรษา ค. ปาฏหิ าริยอโุ บสถ ค. อยใู หค รบเวลา ง. นคิ คัณฐอุโบสถ ง. อยูคร่งึ วันพอแลว คาํ ตอบ : ค คําตอบ : ค ๒๕. อโุ บสถประกอบดวยองค ๘ หมายถงึ ขอ ใด ? ๒๑. อโุ บสถนอกพทุ ธกาลกบั สมยั พทุ ธกาล ก. ทศิ ๘ ข. บุคคล ๘ เหมอื นกันในขอ ใด ? ค. ศีล ๘ ง. มรรค ๘ ก. การรักษาศีล ๘ คาํ ตอบ : ค คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท 326

ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (ÇÔ¹ÑÂ) 327 ๒๖. การจะรักษาอโุ บสถศีลไมใหข าด ค. การดมื่ สรุ าเมรัย ไมใ หดา งพรอ ย ตอ งทาํ อยางไร ? ง. การอดอาหาร ก. สมาทานศลี คาํ ตอบ : ก ข. งดจากขอหาม ๓๑. สง่ิ เปนขาศกึ แกพ รหมจรรยใ นอโุ บสถ ค. ตงั้ ใจภาวนา ศีลขอ ๓ คอื อะไร ? ง. ถือใหครบเวลา ก. แตง ตัว ข. เสพกาม คําตอบ : ข ค. พดู ปด ง. ลกั ขโมย ๒๗. อโุ บสถศลี ขอ ใด ขาดเพราะประพฤติ คาํ ตอบ : ข ผิดทางวาจา ? ๓๒. ในอโุ บสถศลี ขอ ๖ กาํ หนดใหผ สู มาทาน ก. ปาณาติบาต รักษาตองงดเวน อะไร ? ข. อทินนาทาน ก. ขับรอง ข. ดกู ารเลน ค. กาเมสมุ จิ ฉาจาร ค. แตงตวั ง. อาหารคํ่า ง. มสุ าวาท คาํ ตอบ : ง คําตอบ : ง ๓๓. อุโบสถศลี ขอ ท่ี ๗ กําหนดใหผ ูสมาทาน ๒๘. อุโบสถศีลขอ ใด ขาดเพราะประพฤติ รักษาตอ งเวนเรอ่ื งใด ? เกี่ยวขอ งในกาม ? ก. เสพกาม ข. ลกั ทรัพย ก. สิกขาบทท่ี ๑ ข. สกิ ขาบทท่ี ๒ ค. แตงตัว ง. ด่มื เหลา ค. สกิ ขาบทท่ี ๓ ง. สกิ ขาบทท่ี ๔ คาํ ตอบ : ค คําตอบ : ค ๓๔. กาลทีก่ ําหนดใหผ รู กั ษาอโุ บสถบรโิ ภค ๒๙. เหตเุ ปนทีต่ งั้ แหงความประมาทใน อาหารได ตรงกบั ขอ ใด ? อโุ บสถศลี ขอ ๕ คืออะไร ? ก. ตอนเชา ข. ตอนบา ย ก. ฆา สัตว ข. ลกั ขโมย ค. ตอนเย็น ง. ตอนคา่ํ ค. พูดปด ง. ดมื่ นํา้ เมา คาํ ตอบ : ก คาํ ตอบ : ง ๓๕. วันอัฏฐมีในคําประกาศอุโบสถ ๓๐. คาํ วา อพรหมจรรย ในอุโบสถศลี หมายถงึ วันก่ีค่ํา ? ขอ ที่ ๓ หมายถึงอะไร ก. วนั ๘ ค่ํา ข. วัน ๑๐ คาํ่ ก. การลว งประเวณี ค. วนั ๑๔ คํา่ ง. วนั ๑๕ คํ่า ข. การรองเพลง คําตอบ : ก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 327

328 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹â· ๓๖. อโุ บสถของใคร มขี อหา มในบาง ข. สมาทานศลี เรื่องไมหามในบางเร่ือง ? ค. ประกาศคําอุโบสถ ก. อุบาสก ข. อุบาสกิ า ง. เจรญิ ภาวนา ค. อาชีวก ง. นิครนถ คาํ ตอบ : ค คําตอบ : ง ๔๑. ผสู มาทานอโุ บสถไมรูภาษาบาลี ๓๗. ผรู กั ษาอุโบสถทายากันยุง ถือวา ควรปฏบิ ัตอิ ยา งไร ? ไมละเมดิ ศลี เพราะสาเหตใุ ด ? ก. กลาวเปนภาษาไทย ก. ปอ งกันตัว ข. ประเทืองผวิ ข. กลาวเปนภาษาบาลี ค. ใหสบายใจ ง. ดับกลน่ิ กาย ค. กลา วที่หนา พุทธรปู คาํ ตอบ : ก ง. ไมตองกลา วเลยก็ได ๓๘. การกระทําใด ไมเ ปน ขาศกึ ตอ การ คาํ ตอบ : ก รกั ษาอุโบสถศีลขอ ๗ ? ๔๒. ครัน้ ถงึ วันอุโบสถ ควรสมาทาน ก. ขบั บทเสภา องคอ ุโบสถในเวลาใด ? ข. สวดสรภญั ญะ ก. ตอนเชา ค. ดโู ขนละคร ข. ตอนเท่ยี งวัน ง. ฟอ นรําขับรอง ค. ตอนบาย คําตอบ : ข ง. ตอนกลางคนื ๓๙. ในการรักษาอโุ บสถ หา มผูสมาทาน คาํ ตอบ : ก รกั ษานอนบนทนี่ อนสงู ใหญ ๔๓. ปจ จบุ ัน นิยมใหสมาทานศลี เพื่อปองกนั อะไร ? อุโบสถกบั ใคร ? ก. ความกําหนัด ก. พระพทุ ธเจา ข. อบุ ัติเหตุ ข. พระสงฆ ค. การนอนมาก ค. หลวงปูฤาษี ง. สตั วรา ย ง. คฤหสั ถ คาํ ตอบ : ก คาํ ตอบ : ข ๔๐. ในพิธีรักษาอุโบสถ กําหนดให ๔๔. หลังเขาจาํ อุโบสถ ปฏิบตั ติ นอยางไร ผสู มาทานรกั ษาทาํ เรอ่ื งใดกอ น ? บาปอกศุ ลจงึ ไมเกดิ ข้ึน ? ก. กราบพระรตั นตรัย ก. นึกถึงบาน คมู ือธรรมศึกษา=ช้นั โท 328

ÇÔªÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ (Ç¹Ô ÑÂ) 329 ข. นกึ ถงึ หลาน ข. ปาฏหิ ารยิ อุโบสถ ค. นกึ ถึงทาน ค. นคิ คณั ฐอโุ บสถ ง. นกึ ถงึ ลูก ๆ ง. ปฏชิ าครอุโบสถ คําตอบ : ค คําตอบ : ก ๔๕. เรอ่ื งท่ีไมค วรนํามาพูดในขณะถือ ๔๙. การถืออุโบสถศีลจะไดร ับผลมาก อโุ บสถศีล เรยี กวาอะไร ? หรือนอ ย ขนึ้ อยูกับอะไร ? ก. อนปุ ุพพกี ถา ก. บุญบารมี ข. อริยมรรคกถา ข. โชควาสนา ค. ตริ ัจฉานกถา ค. ชะตาชวี ติ ง. อนุโมทนากถา ง. ความตั้งใจ คําตอบ : ค คําตอบ : ก ๔๖. พดู เรือ่ งทาํ มาหากินในขณะถือ ๕๐. อุโบสถศลี สรางความปลอดภัย อโุ บสถศีล จัดเปน อโุ บสถใด ? ใหแ กม นุษยอ ยางไร ? ก. โคปาลกอุโบสถ ก. ใหไดเ กิดบนสวรรค ข. อรยิ อุโบสถ ข. ใหไ มมเี วรตอ กนั ค. นิคคณั ฐอุโบสถ ค. ใหท ันพระศรีอาริย ง. ปกติอโุ บสถ ง. ใหบรรลนุ พิ พาน คําตอบ : ก คําตอบ : ข ๔๗. อุโบสถประเภทใด มีอานสิ งสม าก เพราะตง้ั ใจรกั ษา ? ก. โคปาลกอโุ บสถ ข. อรยิ อโุ บสถ ค. นิคคัณฐอโุ บสถ ง. ถกู ทกุ ขอ คําตอบ : ข ๔๘. อุโบสถประเภทใด เปรยี บผูรกั ษา เหมอื นคนรบั จา งเลยี้ งโค ? ก. โคปาลกอุโบสถ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นโท 329


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook