72 ¤ÙÁ‹ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªéѹàÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ๓) จําพวกเกิดตายในท่ีมืด ไดแก ตั๊กแตน บุง มอด ไสเดือน หรือ แมจ ําพวกสัตวอ่นื ๆ ทเ่ี กิดตายในท่มี ืด ๔) จําพวกเกิดแกตายในน้ํา ไดแก ปลา เตา หรือแมจําพวกสัตวอ่ืนๆ ท่เี กิดแกต ายในนา้ํ ๕) จําพวกเกดิ แกต ายในของโสโครก ไดแ ก สตั วจาํ พวกท่ีเกดิ แกตายในปลา เนาในศพเนา ในขนมบดู ในแอง น้ําครํา่ ในหลมุ โสโครก หรอื แมจ าํ พวกสตั วอ ่นื ๆ ที่เกดิ ตายในของโสโครก ๓) ปตตวิ ิสัย แดนแหงเปรต ปตติวิสัย เปรตวิสัย ในศาสนาพราหมณ มีธรรมเนียมเซนและ ทําทักษิณาเพื่ออุทิศใหบุรพชนท่ีลวงลับไป เรียกพิธีน้ีวา ศราทธะ ในพระพุทธศาสนา พระพทุ ธองคท รงอนญุ าตการกระทาํ เชน น้ี และตรสั เรยี กวา ปพุ เพเปตพลี ดงั มปี รากฏ ในอาทติ ตสูตร อังคตุ ตรนกิ าย ปญจกนิบาติ (พระไตรปฎก เลมที่ ๒๒) โดยทรงแสดง วาเปนหนาท่ขี องพทุ ธบริษัทพึงกระทํา อน่ึง คาํ วา เปต หรอื เปรต มคี วามหมาย ๒ ประการ คือ (๑) ความหมายทั่วไป หมายถึง สตั วผูละโลกนไี้ ปแลว คอื ผตู ายจากโลกน้ี ไปแลว เชน การทําบญุ อทุ ศิ สวนกศุ ลใหเปตชน ท่ีเรียกวาเปตพลี ดงั น้ัน แมพวกที่ตาย ไปเกดิ เปนเทวดา กเ็ รยี กวาเปตะหรือเปรตไดในความหมายน้ี (๒) ความหมายโดยเฉพาะ หมายถงึ สตั วจ าํ พวกหนง่ึ ซ่ึงเกดิ อยูใ นอบายชน้ั ท่ีเรยี กวา ปตตวิ ิสัย หรือเปรตวสิ ัย ซงึ่ แปลวา แดนเปรต เปนสตั วทีไ่ ดรบั ทุกขเวทนา ตา งๆ ตามผลแหง กรรมช่วั ทไี่ ดท ําไว เชน อดอยาก ผอมโซเพราะไมม อี าหารจะกิน แม เม่อื มี กก็ นิ ไมไ ด หรือกินได กก็ ินอยา งลําบาก เพราะปากเทารูเข็ม หรอื กินเขาไปไดแต ก็กลายเปนเลอื ดเปนหนอง เปน มูตร เปน คูถ และยังหมายถึงเปรตจําพวกหน่งึ ซึ่งเสวย ผลแหงกรรมดีและกรรมชัว่ ในอัตภาพเดยี วสลับกนั ไป โดยเรียกวา เวมานกิ เปรต คอื เปรตท่ีมมิ านอยเู ปนของตนเอง มีความสขุ เหมือนพวกเทวดา ในเวลาหน่งึ แตอีกเวลา หน่ึงก็ไดรับทุกขเวทนาแสนสาหัสเหมอื นเปรตพวกอืน่ และสัตวน รกทว่ั ไป 72
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 73 รปู ลกั ษณะของสตั วผ ูเ กิดในปตตวิ สิ ยะ สตั วที่เกดิ เปนเปรตมีรปู รา งตางกัน ๔ ชนิด ดังน้ี (๑) ชนดิ มรี ูปรา งไมสมประกอบ ซบู ผอม อดโซ (๒) ชนิดมีรูปรางวิการ คือกายเปนอยางมนุษย แตศีรษะเปนอยางสัตว เดรจั ฉาน เชน เปน กา เปน สุกร หรอื เปนงู (๓) ชนิดมีรูปรางพิกล ไดรบั การลงโทษอยูตามลาํ พงั ดวยอํานาจบาปกรรม (๔) ชนิดมีรูปรางอยางมนุษยปกติ ที่สวยงามก็มี โดยมีวิมานเปนท่ีอยู เรยี กวาเวมานิกเปรต ๔) อสูรกาย พวกอสรู อสูรกาย มี ๒ ประเภท คอื (๑) สัตวท่ีเกิดในอบายจําพวกหน่ึงซ่ึงสะดุงหวาดหวั่น ไรความสุข เชน หมอู สรู ชอ่ื กาลกญั ชกิ า คอื อสูรหมหู น่ึงซ่งึ มอี ตั ภาพยาว ๓ คาวตุ (เกอื บ ๑ โยชน ๔ คาวตุ เทา กับ ๑ โยชน) มเี ลอื ดเน้ือนอย คลา ยใบไมเห่ียว มนี ัยนตาทะลกั ออกมาอยูบ น หัวคลา ยตาปู ปากเทา รูเขม็ อยูบนหัวเหมอื นกัน ตองกม กลืนกินอาหารอยางยากลําบาก ในอรรถกถาทีฆนกิ ยาย ปาฏกิ วรรค จัดพวกอสรู ในอบายภูมิ เปรยี บกับคนในโลกน้กี ็ เหมอื นคนอดอยาก เทยี่ วกอ โจรกรรมในเวลาคา่ํ คนื หลอกหลวงฉกชงิ เอาทรพั ยข องผอู น่ื (๒) เทพชนั้ ตาํ่ พวกหนง่ึ ซงึ่ ทท่ี า วเวปจติ ตแิ ละทา วปหาราทะเปน ตน เปน หวั หนา ปกครอง มภี พอยภู ายใตเ ขาพระสเุ มรุ ชอื่ วา อสรู เพราะไมม คี วามอาจหาญ ไมเ ปน อสิ ระ และไมร ุงเรืองเหมอื นพวกเทพท่วั ไป ๒. สคุ ติ สุคติ คอื ภมู อิ ันเปนที่เกิดของผูป ระกอบกศุ ลกรรม มี ๒ อยาง คอื ๑) มนุษยโลก โลกของมนุษย หมายถึง ภูมิที่อยูของสัตวท่ีจิตใจสูง เปน ผูร ูจักใชเ หตผุ ล ๒) เทวโลก โลกของเทวดา และพรหม หมายถงึ ภมู ทิ อ่ี ยขู องเทวดาในสวรรค ชั้นกามาพจร ๖ และพรหมผสู ถิตอยใู นพรหมโลก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 73
74 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªéѹàÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก สวรรคชั้นกามาพจร ไดแก โลกสวรรคอันเปนท่ีอยูของเทวดาที่ยังของ อยูในกามคุณ ๕ เปนภูมิท่ีมีแตความสุขสบาย สมบูรณดวยโภคสมบัติ หรือเรียกวา สคุ ตโิ ลกสวรรค มี ๖ ชน้ั คอื (๑) จาตุมมหาราชิกา สวรรคท ีท่ า วมหาราชทงั้ ๔ คือ ทา วธตรฐ ทาววิรุฬหก ทาววิรูปก ษ ทาวกุเวร เปนผปู กครอง (๒) ดาวดึงส สวรรคเปน ท่อี ยูของเทวดาสหาย ๓๓ องค มีทา วสกั กเทวราช เปน ผูปกครอง (๓) ยามา สวรรคเ ปน ทีอ่ ยขู องเทวดาผูปราศจากทุกข (๔) ดุสิต สวรรคเปนท่ีอยูของเทวดาผูเอิบอิ่มดวยทิพยสมบัติอันเปนของ เฉพาะตน (๕) นิมมานรดี สวรรคเปนท่ีอยูของเทวดาผูยินดีในกามสุขที่ตนเนรมิตข้ึน (๖) ปรนมิ มติ สวตั ดี สวรรคเ ปน ทอี่ ยขู องเทวดาผยู นิ ดใี นกามสขุ ทผ่ี อู นื่ เนรมติ ให พรหมโลก ไดแก ภูมิอันเปนท่ีอยูของพรหมผูประเสริฐและบริสุทธ์ิ คือ ผบู าํ เพญ็ สมาธจิ ติ แนว แนจ นไดบ รรลฌุ านสมาบตั หิ รอื สาํ เรจ็ เปน อรยิ บคุ คลชน้ั อนาคามี ในโลกมนษุ ย เมอ่ื สน้ิ ชวี ติ จงึ ไปบงั เกดิ ในพรหมโลกตามลาํ ดบั ชนั้ แหง คณุ ธรรมทไี่ ดบ รรลุ พรหมโลก มี ๒๐ ชน้ั จดั เปน ๒ อยา ง คอื ๑. รูปพรหม หรือ รูปภูมิ ไดแก พรหมที่มีรูปขันธหรือพรหมผูไดรูปฌาน แบง เปน ๑๖ ชน้ั คอื ปฐมฌานภมู ิ ๓ ชนั้ ทตุ ยิ ฌานภมู มิ ี ๓ ชน้ั และจตตุ ถฌานภมู ิ ๗ ชนั้ มีดงั น้ี ๑) ปฐมฌานภูมิ ผูไดบรรลุปฐมฌานแลวส้ินชีวิตไปเกิดในพรหมโลก ๓ ช้ัน คอื (๑) พรหมปาริสชั ชา (๒) พรหมปโุ รหติ า (๓) มหาพรหมา ๒) ทุติยฌานภูมิ ผูไดบรรลุทุติยฌานแลวส้ินชีวิตไปเกิดในพรหมโลก ๓ ชั้น คือ (๔) ปรติ รตาภา (๕) อปั ปมาณาภา (๖) อภัสสรา ๓) ตตยิ ฌานภมู ิ ไดแ ก ผไู ดบ รรลตุ ตยิ ฌานแลว สน้ิ ชวี ติ ไปเกดิ ในพรหมโลก ๓ ช้ัน คือ (๗) ปรติ ตสุภา (๘) อปั ปมาณสภุ า (๙) สุภกิณหกา 74
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 75 ๔) จตุตถฌาน ผูไดบรรลุจตุตถฌานแลวสิ้นชีวิตไปเกิดในพรหมโลก ๗ ช้ัน คือ (๑๐) เวหัปผลา (๑๑) อสัญญีสัตตา (๑๒) อวิหา (๑๓) อตัปปา (๑๔) สทุ ัสสา (๑๕) สุทสั สี (๑๖) อกนิฏฐกา พรหมโลก ๕ ชั้น ต้ังแตช้ันอวิหาถึงช้ันอกนิฏฐกา เรียกวา ชั้นสุทธาวาส หมายถึง ภูมเิ ปนทีอ่ ยูหรอื ทีเ่ กดิ ของทา นผบู รสิ ุทธคิ์ ือพระอนาคามี ซงึ่ เปนผูไมกลบั มา เกิดในโลกมนุษยอีก แตจ ะนิพพานในพรหมโลกชั้นสทุ ธาวาสนี้ ๒. อรูปพรหม หรืออรูปภูมิ ไดแ ก พรหมทีไ่ มมีรปู ขันธ หรอื พรหมผูไดอ รูป ฌานแบงเปน ๔ ชนั้ คอื ๑) อากาสานัญจายตนภมู ิ ช้นั ทเ่ี ขา ถงึ ภาวะมอี ากาศไมมที ่ีสุด ๒) วิญญาณัญจายตนภูมิ ชัน้ ทเ่ี ขาถึงภาวะมีวิญญาณไมม ีทีส่ ุด ๓) อากิญจัญายตนภมู ิ ชน้ั ท่เี ขา ถงึ ภาวะไมมีอะไร ๔) เนวสญั ญานาสญั ญายตนภมู ิ ชน้ั ทเ่ี ขา ภาวะทกี่ ลา วไมไ ดว า มสี ญั ญาหรอื ไมม ี สรุปความ สงั สารวัฏ คือการเวยี นวา ยตายเกดิ ในภพภูมิกาํ เนิดตา งๆ ท้ังทคุ ตแิ ละสุคติ ในเทวทูตสูตรพระพุทธองคทรงแสดงกรรมที่เปนเหตุใหไปเกิดในสุคติและทุคติไววา “ภกิ ษทุ งั้ หลายเรายอ มมองเหน็ หมสู ตั วผ กู าํ ลงั จตุ ิ กาํ ลงั อบุ ตั ิ เลว ประณตี มผี วิ พรรณดี มีผวิ พรรณทราม ไดดี ตกยาก ดว ยทิพยจักษุอนั บรสิ ุทธลิ์ ว งจักษุวสิ ัยของมนษุ ยไ ดวา หมสู ัตวเหลา นี้ประกอบดวยกายสจุ ริต วจีสจุ รติ มโนสจุ รติ ไมว ารา ยพระอรยิ เจา เปน สัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทําดวยอํานาจสัมมาทิฏฐิ หมูสัตวเหลาน้ันหลังจากตายไป จึงเขาถึงสคุ ติโลกสวรรค. ...หมูสตั วเ หลาน้ปี ระกอบดว ยกายทุจรติ วจีทุจริต มโนทจุ ริต วา รา ยพระอรยิ เจา เปน มจิ ฉาทฏิ ฐิ ยดึ ถอื การกระทาํ ดว ยอาํ นาจมจิ ฉาทฏิ ฐิ หมสู ตั วเ หลา นน้ั หลังจากตายไปจึงเขา ถึงเปรตวิสยั ....กําเนดิ สัตวเ ดรจั ฉาน อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก” จบ ธรรมวจิ ารณ สวนสงั สารวฏั คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 75
76 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹àÍ¡ กรรม ๑๒ อุทเทส หมวดที่ ๑ ใหผ ลตามคราว ๑. ทฏิ ฐธิ รรมเวทนยี กรรม กรรมใหผ ลในภพน้ี ๒. อปุ ปชชเวทนยี กรรม กรรมใหผ ลเม่ือเกิดแลวในภพหนา ๓. อปราปรเวทนียกรรม กรรมใหผลในภพสืบๆ ๔. อโหสกิ รรม กรรมใหผ ลสาํ เร็จแลว หมวดท่ี ๒ ใหผ ลตามกจิ ๕. ชนกกรรม กรรมแตง ใหเ กดิ ๖. อปุ ต ถัมภกกรรม กรรมสนบั สนุน ๗. อุปปฬ กกรรม กรรมบีบค้นั ๘. อุปฆาตกกรรม กรรมตดั รอน หมวดท่ี ๓ ใหผลตามลาํ ดับ ๙. ครุกรรม กรรมหนัก ๑๐. พหุลกรรม กรรมชิน ๑๑. อาสันนกกรรม กรรมเม่อื จวนเจยี น ๑๒. กตัตตากรรม กรรมสกั วาทาํ อธบิ าย กรรม แปลวา การกระทาํ คําวา กรรม เปนคํากลางๆ ถา เปน สวนดี เรยี กวา กุศลกรรม สวนไมดี เรียกวา อกุศลกรรม เมื่อจําแนกตามใหผลทั้งฝายกุศลและ อกุศล พระอรรถกถาจารยไดแสดงไวเปน ๓ หมวด หมวดละ ๔ ประเภท รวมเรยี กวา กรรม ๑๒ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก 76
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 77 หมวดที่ ๑ จาํ แนกโดยใหผ ลตามคราว (เวลาทใี่ หผ ล) ๔ อยาง คือ ๑. ทฏิ ฐธิ รรมเวทนียกรรม กรรมใหผลในภพนี้ หมายถงึ กรรมใหผลในชาติ ปจจบุ ันนี้ เปนกรรมแรง ใหผ ลทนั ตาเห็น คือใหผ ลกอ นกรรมอืน่ ทั้งหมด โดยผูทาํ ยอ ม เสวยผลกรรมท่ตี นทําใหในชาติน้นี ่ันเอง ๒. อุปปชชเวทนียกรรม กรรมใหผลเมื่อเกิดแลวในภพหนา หมายถึง กรรมใหผลในภพตอไป หรือเสวยผลกรรมในชาติหนา กรรมน้ีจัดวาเปนกรรมที่เบา กวา กรรมท่ี ๑ คือผูน้นั ไมไดร บั ผลของกรรมนี้ในทนั ทที ันใด ตอเมื่อลวงลับไปแลว เกดิ ในภพใหม กรรมนจี้ ึงจะใหผ ล ๓. อปราปรเวทนียกรรม กรรมใหผลในเมื่อพนภพหนาไปแลว หมายถึง กรรมใหผลในภพตอๆ ไป ไดโ อกาสเมอื่ ใด ใหผลเมือ่ น้นั จนกวาจะเลิกใหผ ล กรรมนี้ เปน กรรมทเี่ บากวา กรรมท่ี ๒ จะใหผ ลกต็ อ เมอ่ื พน ภพหนา ไปแลว จะเปน ภพใดภพหนงึ่ น้ันกาํ หนดแนไ มไ ด เปรียบเหมือนสนุ ัขลา สตั ว ตามทันสตั วใ นที่ใด ก็กดั เอาไดในท่นี น้ั ๔. อโหสิกรรม กรรมใหผ ลสาํ เรจ็ แลว หมายถงึ กรรมเลกิ ใหผ ล ไมม ผี ลอกี หมดโอกาสทีจ่ ะใหผ ลตอ ไป เปรยี บเหมอื นพชื สิ้นยางแลว เพาะปลูกไมข ึ้น หมวดที่ ๒ จาํ แนกโดยใหผลตามกิจ (หนาท่)ี มี ๔ อยาง คือ ๕. ชนกกรรม กรรมแตง ใหเกิด หมายถึง กรรมทีเ่ ปนตัวนําไปเกิด ทําหนาท่ี ใหผลแกผูทํากรรมท่ีตายจากภาพหน่ึงแลวไปถือปฏิสนธิในภพหน่ึง กรรมดีก็จะนําไป เกิดในสคุ ติ ถาเปนกรรมชวั่ ก็นาํ ไปเกดิ ในทุคติ ตามความหนักเบาของกรรมทท่ี ํา กรรม น้ีในทีอ่ น่ื เรยี กวา กมฺมโยนิ (กรรมเปน กาํ เนดิ ) ทําหนา ที่เพยี งใหป ฏสิ นธิ ตอ จากนนั้ ก็ เปน อนั หมดทนั ที เปรียบเหมอื นบิดามารดาเพยี งเปน ผกู ําเนดิ บุตร ๖. อุปต ถัมภกกรรม กรรมสนับสนุน หมายถงึ กรรมไมส ามารถใหป ฏิสนธิ ไดเ อง ตอ เม่อื ชนกกรรมใหป ฏสิ นธแิ ลว จงึ เขา สนับสนนุ สงเสริมใหด ีขน้ึ บา ง ใหเลวบา ง ตามอํานาจของกรรมดีหรือกรรมช่ัว เปรียบเหมือนแมนมผูเล้ียงทารกที่คนอ่ืนให กาํ เนิดแลว กรรมน้ีสอดคลองกับชนกกรรม ถาชนกกรรมเปนกุศลใหปฏิสนธิฝายดี ยอ มเขา สนบั สนนุ ทารกผูเกิดแลวใหไดร ับความสขุ ความเจริญรงุ เรืองตลอดไป ตรงกบั คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 77
78 ¤Ù‹ÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªé¹Ñ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก บาลที ่วี า โชติ โชตปิ รายโน รงุ เรอื งมาแลว รงุ เรืองไปภายหนา ถาชนกรรมเปนอกศุ ลให ปฏสิ นธฝิ า ยเลว กรรมนยี้ อ มกระหนาํ่ ซา้ํ เตมิ ทารกผกู าํ เนดิ แลว ใหช วี ติ ตกตา่ํ ลง ตรงกบั บาลวี า ตโม ตมปรายโน มืดมาแลว มดื ไปภายหนา ๗. อปุ ปฬ กกรรม กรรมบบี คน้ั กรรมนข้ี ดั แยง หรอื ตรงกนั ขา มกบั ชนกกรรม คอยเขาบีบคั้นเบียดเบียนชนกกรรมไมใหเผล็ดผลเต็มที่ ถาชนกกรรมเปนกุศลให ปฏิสนธฝิ ายดี ยอ มเขาขดั ขวางใหเ ส่ือมลง ตรงกบั บาลี โชติ ตมปรายโน รุงเรอื งมาแลว มดื ไปภายหนา ถา ชนกกรรมเปน อกศุ ลใหป ฏสิ นธฝิ า ยเลว คอื ใหเ กดิ ในทคุ ตภิ มู ิ เกดิ ใน ตระกลู หรือในถ่ินท่ไี มเจรญิ ยอ มเขา บ่นั ทอนวบิ ากของอกศุ ลกรรมใหทเุ ลาลง ตรงกับ บาลวี า ตโม โชตปิ รายโน มดื มาแลว รุงเรืองไปภายหนา ๘. อปุ ฆาตกกรรม กรรมตดั รอน กรรมน้ีเหมือนกับอุปปฬกกรรม แตใหผ ล ท่ีรุนแรงกวาสามารถที่จะตัดรอนผลแหงชนกกรรมและอุปตถัมภกกรรมท้ังฝายดี และไมดีใหขาดลงแลวเขาไปใหผลแทนท่ี กรรมนี้จึงตรงกันขามกับชนกกรรมและ อปุ ตถัมภกกรรม หมวดท่ี ๓ จาํ แนกโดยการใหผ ลตามลาํ ดบั มี ๔ อยา ง คอื ๙. ครกุ รรม กรรมหนกั หมายถึง กรรมหนกั ทีส่ ดุ กวากรรมอ่นื ในลาํ ดับแหง การใหผ ล ในฝายอกศุ ล ไดแก อนันตรยิ กรรม ๕ สวนในฝายกศุ ล ไดแ ก สมาบตั ิ ๘ ครุกรรมน้ียอมใหผลกอนกวากรรมอื่นๆ เปรียบเหมือนบุคคลทิ้งส่ิงของตางๆ เชน เหลก็ ศิลา หญา ขนนก เปน ตน จากทีส่ งู ลงพรอ มกนั สิ่งใดหนกั กวา สง่ิ น้ันยอ มตกถึง พน้ื ดนิ กอ น ส่ิงอ่ืนๆ ยอมตกถึงพ้ืนตามลําดบั หนักเบาฉะนั้น ๑๐. พหุลกรรม กรรมชิน หรือเรียกวา อาจิณณกรรม หมายถึง กรรมท่ี ทําบอยๆ เปนอาจิณ ใหผลรองจากครุกรรม เม่ือครุกรรมไมมี กรรมนี้ยอมใหผล กอนกรรมประเภทอน่ื ๆ เปรยี บเหมือนนักมวยปลา้ํ คนทีม่ ีแรงมากกวา หรอื วอ งไวกวา ยอมชนะไดเปนธรรมดา หรือเปรียบเหมือนเกิดจากท่ีทําการปลนฆาเปนอาจิณ แตไม ไดทําอนนั ตริยกรรมอยา งใดอยา งหนึ่ง กรรมท่เี กดิ จากการปลน ฆา ยอ มใหผ ลในทนั ที ที่เขาตาย ๑๑. อาสันนกรรม กรรมเม่ือจวนเจียน หมายถึง กรรมท่ีทําในขณะใกล จะส้ินใจตาย กรรมน้ีแมจะมีกําลังออน ถาไมมีครุกรรมและพหุลกรรม ยอมให 78
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 79 กอนกรรมอื่น เปรียบเหมือนโคท่ีถูกขังแออัดในคอก พอคนเลี้ยงโคเปดประตูคอก ยอมใหผลกอนกรรมอ่ืนๆ เปรียบเหมือนโคท่ีถูกขังแออัดในคอก พอคนเลี้ยงโคเปด ประตคู อก โคตวั ใดทอี่ ยรู มิ ประตถู งึ จะเปน โคแกม กี าํ ลงั นอ ย โคตวั นน้ั ยอ มออกไดก อ น โคตวั อืน่ ทีม่ กี าํ ลงั มากกวา ๑๒. กตตั ตากรรม กรรมสกั วา ทํา หมายถึง กรรมที่ทําโดยไมม เี จตนา เชน คนเดนิ เหยียบมดตายโดยไมม ีเจตนา โดยไมร วู าเปนบญุ หรอื เปนบาป ตอเมื่อกรรมอืน่ ไมม ี กรรมนจี้ งึ ถงึ คราวใหผ ล เปรยี บเหมอื นลกู ศรทค่ี นยงิ ไปโดยไมม เี ปา หมายแนน อน ถูกบาง ผดิ บาง หนักบา ง เบาบา ง เพราะคนยิงไมม คี วามต้ังใจ สรุปความ กรรม ๑๒ นี้ แสดงใหรูวา คนบางคนทํากรรมชั่ว แตยังคงไดรับความสุข ความเจริญอยูในปจจุบัน ก็เพราะกรรมดีท่ีเคยทําไวในอดีตกําลังใหผล หรือ เพราะกรรมชั่วที่ทําในปจจุบันยังไมไดใหโอกาสใหผล อน่ึง พึงทราบวากรรม ๑๒ นี้ ไมม ปี รากฏในพระไตรปฎ ก แตพ ระอรรถกถาจารย มพี ระพทุ ธโฆสาจารยเ ปน ตน ไดจ ดั รวบรวมไวในภายหลัง ดังทป่ี รากฏในคมั ภรี ว สิ ทุ ธิมรรค และคัมภีรอ ภิธัมมตั ถสังคหะ ปรเิ ฉทท่ี ๕ จบ กรรม ๑๒ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 79
80 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªéѹàÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก หวั ใจสมถกัมมฏั ฐาน อทุ เทส สมาธึ ภกิ ขฺ เว ภาเวถ, สมาหโิ ต ยถาภูตํ ปชานาติ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พวกเธอจงยงั สมาธิใหเ กดิ ชนผมู ีจติ เปน สมาธิแลว ยอ มรูตาม ความเปนจรงิ . สังยตุ ตนกิ าย สฬายตนวรรค อธบิ าย อาการของกายและวาจาจะเปนอยางไร ยอมสําเร็จมาจากใจเปนผูบัญชา ถาใจไดร บั การอบรมดี ก็บังคับบัญชากายและวาจาใหดไี ปดว ย (ดังคาํ วาใจเปน “นาย” กายเปน “บาว”) ถา ใจชั่ว กบ็ งั คับบญั ชาใหกายและวาจาช่ัวไปดว ย ดังนั้น พระพทุ ธองค จงึ ทรงสอนภกิ ษทุ ําใจใหเ ปนสมาธิ เมอื่ ใจเปน สมาธิแมจ ะนาํ ไปใชน ึกคดิ อะไรกล็ ะเอยี ด สุขุม ยอมรจู กั ความเปนจริงไดดีกวา ผูม ีใจไมเ ปน สมาธิ ใจทีไ่ มเปนสมาธิ บางคราวอาจ ทาํ ใหเปน คนเสยี สติ เพราะไมมอี ะไรเปนเครื่องควบคมุ กมั มัฏฐาน คาํ วา กมั มฏั ฐาน แปลวา ที่ตัง้ แหง การกระทํา หมายถึงอารมณอ ันเปน ทต่ี ั้ง แหง การงาน หรือเรยี กวา ภาวนา แปลวา ทาํ ใหมใี หเ ปน ข้นึ แบง เปน ๒ อยา งคอื ๑. สมถกัมมัฏฐาน กัมมัฏฐานเปนอุบายสงบใจ หมายถึง กัมมัฏฐานที่ เนอื่ งดว ยบรกิ รรมอยา งเดยี ว เปน การบาํ เพญ็ เพยี รทางจติ โดยใชส ตเิ ปน หลกั เปน อบุ าย ทําใหน ิวรณธรรมระงับไป ไมเ กี่ยวกบั การใชปญญา ๒. วปิ ส สนากมั มฏั ฐาน กมั มฏั ฐานเปน อบุ ายเรอื งปญ ญา หมายถงึ กมั มฏั ฐาน ท่ีใชปญญาพิจารณาอยางเดียว โดยปรารภสภาวธรรม คือ ขันธ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย ๒๒ แยกออกพิจารณาใหรูตามสภาพความเปนจริง ตามหลักไตรลกั ษณ หรือสามญั ญลักษณะวา เปนอนิจจัง ทุกขัง และอนตั ตา 80
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 81 หัวใจสมถกมั มฏั ฐาน หัวใจสมถกัมมัฏฐานนี้ หมายถึง กัมมัฏฐานหลักสําคัญ ท่ีเปนอุบาย เคร่ืองอบรมจิตใหเ ปน สมาธิ มี ๕ อยาง คือ ๑. กายคตาสติ ๒. เมตตา ๓. พุทธานสุ ติ ๔. กสณิ ๕. จตธุ าตวุ วตั ถาน ๑. กายคตาสติ กายคตาสติ หมายถงึ การใชส ตกิ าํ หนดพจิ ารณากายวา เปน ของไมส วยงาม คอื กาํ หนดพิจารณาแตป ลายผมลงมาถงึ ปลายเทา อันประกอบดวยผม ขน เลบ็ ฟน หนงั เปน ตน กําหนดพิจารณาสี สัณฐาน กลนิ่ ท่เี กิด ทีอ่ ยูของสวนตางๆ เหลา น้ัน จึงเรียกวา “อาการ ๓๒” จนเห็นวา แตละอยางลวนเปนสิ่งปฏิกูลนาเกลียด เหมือนหมอน้ํา ใสอ จุ จาระและสง่ิ ปฏกิ ลู ตา ง ๆ ภายนอกอาจดสู วยงาม แตภ ายในเตม็ ไปดว ยสงิ่ สกปรก โสโครกนานปั การ ๒. เมตตา เมตตา ความปรารถนาจะใหผูอื่นเปนสุข คือความมีจิตอันแผไมตรีและ คิดทําประโยชนแกมนุษยและสัตวท่ัวหนา ผูเจริญเมตตากัมมัฏฐานนี้ เบื้องตนควร นึกถึงคนอ่ืนเทียบกับตนวา “เรารักสุข เกลียดทุกขฉันใด คนอื่นก็รักสุข เกลียดทุกข ฉนั นน้ั สงิ่ ทช่ี อบใจของเรา ยอ มเปน ของทชี่ อบใจของคนอนื่ สง่ิ ทไี่ มเ ปน ทชี่ อบใจของเรา ยอ มไมเ ปน ที่ชอบใจของคนอนื่ ดวยเหมือนกัน” ผูเจริญเมตตา พึงแผโดยเจาะจงกอน เริ่มแตคนท่ีใกลชิดสนิทกัน เชน มารดาบิดา สามภี รรยา บุตรธดิ า ครูอาจารยเ ปนตน หลงั จากนัน้ พงึ แผโ ดยไมเ จาะจง คือ สรางความปรารถนาดีในคนทั่วไป หรือเพื่อนมนุษยท่ัวโลก ตลอดถึงสรรพสัตว คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 81
82 ¤ÁÙ‹ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªéѹàÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก การแผเ มตตาโดยเจาะจง ทาํ ใหจ ติ มพี ลงั แรง แตข อบเขตแหง ความไมม ภี ยั ไมม เี วรและ ความสาํ เรจ็ ประโยชนแ กผูอ่นื เปนไปในวงแคบ สว นการแผเมตตาโดยไมเจาะจง แมว า จติ จะมีพลงั ออน แตเ ปน ไปในวงกวา ง ผูเจริญเมตตา พึงแผโดยเจาะจงกอน เร่ิมตนแกคนท่ีใกลชิดสนิทกัน เชน มารดาบดิ า สามภี รรยา บุตรธดิ า ครอู าจารยเปน ตน หลังจากนั้น พึงแผโดยไมเจาะจง คือ สรางความปรารถนาดีในคนทั่วไป หรือเพื่อนมนุษยท่ัวโลก ตลอดถึงสรรพสัตว การแผเมตตาโดยเจาะจง ทําใหจิตมีพลังแรง แตขอบเขตแหงความไมมีภัยไมมีเวร และความสําเร็จประโยชนแกผูอื่นเปนไปในวงแคบ สวนการแผเมตตาโดยไมเจาะจง แมวาจิตจะมีพลังออน แตเปนไปในวงกวาง สามารถทําใหคนในสังคมมีความรักใคร ปรองดองชวยเหลือกัน และไดสุขโดยทั่วถึงกัน ในการเจริญเมตตากัมมัฏฐานนิยม บรกิ รรมตามบทบาลวี า “สพเฺ พ สตตฺ า อเวรา อพยฺ าปชฌฺ า อนฆี า สขุ ี อตตฺ านํ ปรหิ รนตฺ ”ุ แปลวา “ขอสัตวท ้ังหลายทัง้ ปวง เปนผไู มม ีเวร ไมม ีความลําบาก ไมม ที กุ ข จงมีทกุ ข จงมสี ขุ รักษาตนเถดิ ” บุคคลผูเจริญเมตตายอมไดรับอานิสงส ๑๑ อยาง คือ (๑) หลับเปนสุข (๒) ตื่นเปนสุข (๓) ไมฝนราย (๔) เปนท่ีรักของมนุษย (๕) เปนท่ีรักของอมนุษย (๖) เทวดารักษา (๗) ไฟ ยาพษิ ศัตราวุธ ไมกล้าํ กราย (๘) จติ สงบเปนสมาธิไดเรว็ (๙) สหี นาผองใส (๑๐) ตายอยางมีสติ (๑๑) เมอ่ื ยงั ไมบรรลธุ รรมชนั้ สูง ยอ มเขา ถึง พรหมโลก ๓. พทุ ธานสุ สติ พุทธานุสสติ ระลึกถึงพระพุทธเจา หมายถึง การระลึกถึงพระพุทธเจา โดยปรารภถึงพระคุณความดีของพระองค ไมใชระลึกถึงเพราะตองการจะกลาวโทษ โดยประการตา งๆ ผูเจริญพุทธานุสสติ พึงบริกรรมระลึกถึงพระพุทธคุณ ๙ บท คือ อรหํ, สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโร, ปริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสานํ, พุทฺโธ, ภควา โดยลําดับ หรือจะกําหนดเฉพาะพระคุณบทใด บทหน่งึ กไ็ ด เชน บทท่นี ิยมกันมากคือบทวา อรหํ หรือ พุทฺโธ 82
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 83 ๔. กสณิ กสิณ แปลวา วัตถอุ ันจูงใจ หมายถงึ วัตถอุ นั จงู ใจใหเขา ไปผูกอยสู ําหรบั เพง เพื่อใหจิตเปนสมาธิ โดยกําหนดเอาวัตถุจูงใจ ๑๐ อยางมาเพงเปนอารมณ คือ (๑) ปฐวี ดนิ (๒) อาโป น้าํ (๓) เตโช ไฟ (๔) วาโย ลม (๕) นลี ํ สีเขียว (๖) ปตํ เหลือง (๗) โลหติ ํ สีแดง (๘) โอทานํ สขี าว (๙) อาโลโก แสงสวาง (๑๐) โอกาโส ทวี่ า ง ขอ ๑-๔ เรยี กรวมกนั วา ภตู กสณิ กสณิ มหาภตู ริ ปู ๔ คือ ดิน น้าํ ไฟ ลม สว นขอท่ี ๕-๘ เรียกรวมกันวา วัณณกสิณ กสิณสี ๔ คือ สเี ขยี ว เหลอื ง แดง และขาว ๕. จตธุ าตวุ วัตถาน จตุธาตวุ วัตถาน แปลวา การกําหนดธาตุ ๔ หมายถึง กมั มัฏฐานท่ีกาํ หนด พจิ ารณาใหเ หน็ วา รา งกายของคนเรา เปน เพยี งธาตุ ๔ คอื ดนิ ไฟ ลม มาประชมุ รวมกนั เทา นน้ั ท้งั น้เี พือ่ ถายถอนความรูสึกวา เปน สัตว บคุ คล ตวั ตน เรา เขาออกไปจากจิตใจ เสยี ได เรยี กอีกอยา งวา ธาตมุ นสกิ าร หรือ ธาตกุ มั มฏั ฐาน ทานจัดหัวใจสมถกัมมัฏฐานไว ๕ อยาง เพื่อเปนคูปรับกับนิวรณ ๕ โดยตรง คอื ๑. กายคตาสติ เปนคูปรับกบั กามฉันทะ ๒. เมตตา เปนคูปรับกับ พยาบาท ๓. พทุ ธานุสสติ เปน คปู รับกับ ถีนมทิ ธะ ๔. กสณิ เปนคูป รับกับ อุทธจั จกกุ กุจจะ ๕. จตธุ าตวุ วตั ถาน เปน คปู รบั กบั วิจิกจิ ฉา นวิ รณ ๕ นิวรณ แปลวา เครื่องกีดกั้น เคร่ืองขัดขวาง หมายความวา สิ่งท่ีกีดก้ัน การทํางานของจิต สิ่งที่ขัดขวางความดีความงามของจิต ส่ิงท่ีทอนกําลังปญญา หรือ ส่งิ ท่กี ัน้ จิตไมใหก าวหนาในกุศลธรรม อนั เปนสนิมกัดกรอนใจของคน มี ๕ อยา ง คือ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 83
84 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉҪѹé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ๑. กามฉันธทะ ความพอใจรักใครในกาม หมายถึง ความท่ีจิตยินดี ลมุ หลงในกามคุณ ๕ อยา ง คอื รปู เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐัพพะ ที่นา ปรารถนานา พอใจ กามฉนั ทะมีเหตุเกดิ มาจาก สุภสัญญา คอื ความกําหนดหมายวา สวยงาม ๒. พยาบาท ความคิดปองรายผูอื่น หมายถึง ความท่ีจิตพยาบาทคิดแคน ผอู ่นื ไดแก ความขัดใจ แคนเคอื ง เกลียดชงั ผูกใจเจ็บ มองในแงร ายคดิ ราย เปน ตน พยาบาทนม้ี สี าเหตมุ าจาก ปฏฆิ ะ คอื ความกระทบกระทงั่ แหง จติ หรอื ความหงดุ หงดิ ใจ ๓. ถีนมิทธะ ความทอแทงวงเหงา หมายถึง ความที่จิตทอแทเซื่องซึม แยกอธิบายเปน ๒ คาํ คือ ถนี ะ แปลวา ความทอแท ไดแก ความหดหหู อเหี่ยว ซบเซา เหงาหงอยแหง จติ และ มทิ ธะ แปลวา ความงวงเหงา ไดแ ก ความงวงเหงาหาวนอน หรืออาการซึมเซาแหงกาย ถีนมิทธะนี้มีสาเหตุมาจาก อรติ คือความไมเพลิดเพลิน หรอื ความไมย นิ ดี ๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุงซานรําคาญ หมายถึง ความที่จิตกลัดกลุม เดือดรอนแยกอธิบายเปน ๒ คํา อทุ ธัจจะ แปลวา ความฟุงซาน ไดแ ก ความที่จิตคดิ พลา นไปไมส งบ กระสบั กระสา ยไปในอารมณต า ง ๆ และ กกุ กจุ จะ แปลวา ความราํ คาญ ไดแ ก ความวุน วายใจ ความเดอื ดรอนใจ ความกลดั กลมุ ใจ อทุ ธัจจกกุ กจุ จะนีม้ สี าเหตุ มาจาก เจตโสอวูปมะ คือความไมส งบแหงจิต ๕. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย หมายถึง ความท่ีจิตเคลือบแคลง ไมแนใจ เชน มคี วามสงสยั เกยี่ วกบั พระรัตนตรัย ไมเ ชอื่ ผมของบญุ และบาป เปนตน วจิ กิ จิ ฉา นม้ี ีสาเหตุเกิดมาจาก อโยนิโสมนสกิ าร ความทาํ ไวใ นใจโดยไมแ ยบคาย คือ ความคิด ทไ่ี มฉ ลาดรอบคอบ ความคิดท่ีไมถกู ทาง องคฌานท่ีเปน คูป รบั กบั นวิ รณ ฌาน แปลวา ความเพง หรือ คณุ ธรรมเครื่องเผากเิ ลส เปนชื่อของคุณวิเศษ ทีเ่ กิดจากการฝกอบรมจิตใหเ ปนสมาธิ มี ๒ ประเภท คอื รูปฌานและอรูปฌาน ๑. รูปฌาน ฌานท่ีมอี ารมณกัมมฏั ฐานเปนรูปธรรม มี ๔ ขั้น คอื ๑) ปฐมฌาน ฌานข้ันท่ี ๑ มอี งคธรรม ๕ คอื วิตก วจิ าร ปติ สุข และ เอกคั คตา 84
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 85 ๒) ทุติยฌาน ฌานขน้ั ท่ี ๒ มอี งคธ รรม ๓ คือ ปติ สุข เอกัคคตา ๓) ตตยิ ฌาน ฌานข้นั ที่ ๓ มอี งคธ รรม ๒ คอื สุข เอกัคคตา ๔) จตตุ ถฌาน ฌานข้ันที่ ๔ มอี งคธรรม ๒ คอื เอกัคคตา และอเุ บกขา ๒. อรูปฌาน ฌานที่มีอารมณกัมมัฏฐานเปนอรูปฌานหรือนามธรรม ซงึ่ ผสู าํ เรจ็ ฌานประเภทนี้ เมอ่ื สนิ้ ชวี ติ แลว จะมคี ตทิ แ่ี นน อน คอื ไปบงั เกดิ เปน พรหมอยู ในอรูปภพ หรอื อรปู พรหม ๔ ชั้น ชน้ั ใดชน้ั หนึง่ องคฌานท่ีเปนคูปรบั กับนวิ รณ ๕ ๑) เอกัคคตา เปนคปู รบั กับ กามฉันทะ ๒) ปต ิ เปนคปู รับกบั พยาบาท ๓) วติ ก เปน คูป รบั กบั ถีนมิทธะ ๔) สขุ เปนคูปรับกบั อุทธจั จกกุ กจุ จะ ๕) วจิ าร เปน คูปรับกับ วิจิกิจฉา อเุ บกขานนั้ ประกอบรว มในทกุ ขอ งคฌ าน ทา นจงึ ไมน าํ มาจบั คปู รบั กบั นวิ รณ ๕ สรุปความ การฝกจิตใหเปนสมาธิน้ัน ทานกําหนดสมถกัมมัฏฐานท่ีเปนหัวใจ เพ่ือเปน พ้ืนฐานแหงการศกึ ษาในเบ้อื งตน ๕ อยา ง กายคตาสติ เมตตา พุทธานสุ สติ กสณิ และ จตธุ าตุววัตถาน และกําหนดนิวรณทเ่ี ปน คูปรบั กันไว ๕ อยา ง คอื กามฉนั ทะ พยาบาท ถนี มทิ ธะ อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ และวจิ ิกจิ ฉา การเจรญิ สมถกมั มฏั ฐาน เพอื่ ฝก จนจติ เปน สมาธแิ นว แนแ ละสามารถขม กเิ ลส คือ นิวรณ ๕ ได เรยี กวา บรรลฌุ าน อันจัดเปน ผลสงู สุดของการเจริญสมถกมั มัฏฐาน ฌานมี ๒ ประเภท คือ รูปฌานกับอรูปฌาน รูปฌานมี ๔ ขั้น แตละขั้นมี องคธ รรมทเ่ี ปนคูป รบั กบั นวิ รณ ๕ เรยี กวา องคฌ าน ๕ คือ (๑) เอกคั คตา ภาวะทจี่ ติ มอี ารมณเ ปน หนง่ึ หรอื ตวั สมาธิ เปน คปู รบั กบั กามฉนั ทะ (๒) ปต ิ ความอมิ่ ใจ เปน คปู รบั กับพยาบาท (๓) วติ ก ความตรึกอารมณ เปนคูป รับกบั ถนี มิทธะ (๔) สุข ความสงบใจ เปนคูปรับกับอุทธัทจกุกกุจจะ (๕) วิจาร ความตรองอารมณ เปนคูปรับกับวิจิกิจฉา โดยมีองคธ รรม คือ อุเบกขา ความวางเฉย ประกอบรว มในทุกองคฌ าน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 85
86 ¤ÁÙ‹ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก สมถกมั มัฏฐาน อุทเทส ๑. กลุ บตุ รมศี รทั ธามาเจรญิ สมถะ ทาํ ใหเ กดิ ขน้ึ ดว ยเจตนาอนั ใด เจตนาอนั นน้ั ชื่อวา สมถภาวนา ๒. กลุ บตุ รผมู ศี รทั ธายงั สมถะอนั เปน อบุ ายเครอ่ื งสงบระงบั ของจติ ใหเ กดิ มขี นึ้ ชื่อวา สมถภาวนา ๓. เจตนาอนั เปนไปในสมถกัมมฏั ฐานท้งั หมดทัง้ สนิ้ ชือ่ วา สมถภาวนา อธิบาย สมถกมั มฏั ฐาน หมายถงึ หลกั การเจรญิ สมถะ เปน อบุ ายเครอ่ื งปด กนั้ นวิ รณ กเิ ลสมิใหครอบงาํ จิตสันดานได เปรียบเหมอื นบุคคลสรางทํานบกั้นน้าํ มใิ หไหลไป ทง้ั ยังเปนอุบายขมจิตมิใหฟุงซาน เปรียบเหมือนนายสารถีฝกมาใหพรอมใชงานเปนราช พาหนะได ธรรมท่ีเปนอารมณของสมถกัมมัฏฐานตามนยั พระบาลี ธรรมท่ีนิยมนํามากําหนดเพ่ือใหจิตสงบเปนสมาธิ กลาวตามพระบาลี (พระไตรปฎก) มี ๒ คอื อภณิ หปจเวกขณะ ๕ และ สติปฏ ฐาน ๔ มอี ธิบายดังนี้ ๑. อภิณหปจเวกขณะ หมายถึง หลักธรรมสําหรับกําหนดพิจารณาใน ชวี ติ ประจาํ วัน หรอื หัวขอธรรมทค่ี วรพจิ ารณาทุกๆ วัน มี ๕ อยา ง คือ ๑) ชราธัมมตา การพิจารณาถึงความแกเนืองๆ เปนอุบายบรรเทา ความประมาทในวัย ๒) พยาธธิ มั มตา การพจิ ารณาถงึ ความเจบ็ ปว ยเนอื ง ๆ เปน อบุ ายบรรเทา ความประมาทในความไมมโี รค ๓) มรณธัมมตา การพิจารณาถึงความตายเนืองๆ เปนอุบายบรรเทา ความประมาทในชีวิต 86
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 87 ๔) ปยวินาภาวตา การพิจารณาถึงความพลัดพรากจากส่ิงท่ีรักเนืองๆ เปนอบุ ายบรรเทาความเศรา โศกเสยี ใจ ความคบั แคนใจ ๕) กัมมสั สกตา การพจิ ารณาวาตนมีกรรมเปน ของตนเนืองๆ เปนอบุ าย เตือนใจใหรูว า ทุกคนมกี รรมเปน ของตน ทาํ ดไี ดด ี ทําช่ัวไดช วั่ ๒. สตปิ ฏฐาน หมายถงึ การตั้งสติกาํ หนดพจิ ารณาส่ิงท้งั หลายใหร ูเห็นตาม ความเปนจรงิ โดยกําหนดพิจารณาสิง่ สําคัญในชวี ิต มี ๔ อยา ง คอื ๑) กายานุปสสนาสติปฏฐาน หมายถึง การตั้งสติกําหนดพิจารณากาย ใหร เู ห็นตามความจริง ซึง่ แบง เปน ๖ บรรพ (หมวด) คือ (๑) อานาปานบรรพ หมวดกําหนดรูล มหายใจเขา-ออก สัน้ หยาบ ละเอยี ดเปน ตน (๒) อิริยาปถบรรพ หมวดกําหนดรูอิริยาบถใหญของคนเรา ๔ อริ ิยาบถ คือ เดิน ยนื น่งั นอน วาสําเร็จเปนไปไดเพราะลมและจิตทคี่ ดิ (๓) สัมปชัญญบรรพ หมวดกําหนดรูรอบคอบในการเคลื่อนไหว ของรา งกายมกี าวไปขางหนาและถอยกลับมาขางหลังเปน ตน มใิ หหลงลืมพล้งั เผลอสติ ทุกขณะของการเคลอื่ นไหวไปมาใดๆ (๔) ปฏิกูลบรรพ หมวดกําหนดพิจารณาอวัยวะหรือสวนตางๆ ภายในกายตนมีผม ขน เล็บ ฟน หนัง เปนตน และเปรียบเทยี บกบั กายผูอ่นื ใหเปน ของปฏิกลู คอื ไมง าม ไมส ะอาด เต็มไปดว ยสงิ่ ปฏิกูลโสโครกนา เกลยี ด (๕) ธาตุบรรพ หมวดกําหนดพิจารณากายตนและกายผูอ่ืน โดยเปนสักแตวาธาตุ ๔ มารวมกัน คือ สิ่งที่แข็งที่กระดาง กําหนดวาเปนธาตุดิน ส่ิงที่ออ นท่เี หลวซึมซาบไปในดนิ ทําดนิ ใหเ หนียวเปนกอนอยไู ด กาํ หนดวา เปนธาตนุ า้ํ ส่ิงที่ทําดินและนํ้าใหอุนใหรอนใหแหงเกรียมไป กําหนดวาเปนธาตุไฟ ส่ิงท่ีอุปถัมภ พยุงดินและนํ้าไวและทําใหไหวติงไปมาและรักษาไฟไวมิใหดับไปได กําหนดวาเปน ธาตลุ ม (๖) นวสวี ถกิ าบรรพ หมวดกาํ หนดพจิ ารณากายทเี่ ปน ซากศพซงึ่ เขา ท้ิงไวในปาชาเปนตนอันนากลายเปนอสุภะเปล่ียนสภาพไปตามระยะกาลท่ีถูกท้ิงไว ๙ ระยะกาล เริม่ ตงั้ แตซากศพทีเ่ ขาท้ิงไวห น่งึ วัน สองวนั หรอื สามวัน จนกลายเปน อสุภะ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 87
88 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ขึน้ อดื พองมสี ีเขยี ว มหี นองไหลเยม้ิ ออก เปน ตน จนถึงซากศพท่ีเขาทง้ิ ไวนานจนกลาย เปน กระดกู ผุยยอยปนละเอียดเปนจณุ ไป เมื่อต้ังสติกําหนดพิจารณากาย ๖ หมวด หมวดใดหมวดหน่ึงดังกลาวมานี้ จนภาวะจิตสงบแนวแนเ ปนสมาธิสามารถละนวิ รณก ิเลสได เรยี กวา สมถกมั มัฏฐาน ๒) เวทนานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน หมายถงึ การตงั้ สตกิ าํ หนดพจิ ารณาเวทนาคอื ความรูสึกเปน สุข เปนทุกข หรือไมส ขุ ไมทุกข (เปน กลางๆ) เมอ่ื เสวยสขุ เวทนา กม็ สี ติ กาํ หนดรูวา เสวยสขุ เวทนาเปน จนกระท่ังจติ สงบเปนสมาธสิ ามารถละนิวรณก ิเลสได ๓) จิตตานุปสสนาสติปฏฐาน หมายถึง การต้ังสติกําหนดพิจารณาจิตของ ตนตามเปนจริง คือ จิตมีราคะ จิตปราศจากราคะ ก็รูวาจิตปราศจากราคะ เปนตน จนกระทงั่ จิตสงบเปนสมาธิสามารถละนวิ รณกเิ ลสได ๔) ธมั มานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน หมายถงึ การตงั้ สตกิ าํ หนดพจิ ารณาสภาวธรรม ตา ง ๆ ทง้ั ทเี่ ปน กศุ ล อกศุ ล อพั ยากฤต ทมี่ อี ยใู นจติ สนั ดาน เชน กามฉนั ทะมอี ยภู ายใน จติ ก็รวู ามอี ยู หรอื กามฉนั ทะไมม ีอยภู ายในจิต ก็รวู าไมมอี ยู เปนตน จนกระทั่งจติ สงบ เปนสมาธสิ ามารถละนวิ รณกเิ ลสได แมธรรมที่เปนอารมณของสมถกัมมัฏฐานจะมีหลายประการ ถึงกระน้ัน ก็ควรกําหนดวา ธรรมที่เปนอารมณ ซึ่งสามารถทําใหจิตสงบระงับนิวรณกิเลสได จดั เปน อารมณของสมถกัมมัฏฐานไดท ้งั สิ้น ธรรมท่ีเปน อารมณข องสมถกมั มฏั ฐานตามนัยอรรถกถา ในคัมภีรอรรถกถาและคัมภีรวิสุทธิมรรค ทานไดประมวลหมวดธรรมอัน เปน อารมณก มั มฏั ฐานไว ๔๐ อยาง จัดเปนหมวดธรรมได ๗ หมวด ดงั น้ี หมวดท่ี ๑ กสิณ ๑๐ ๑. ปฐวกี สิณ กสิณมีดินเปนอารมณ ๒. อโปกสิณ กสิณมนี ํา้ เปน อารมณ ๓. เตโชกสิณ กสณิ มีไฟเปน อารมณ ๔. วาโยกสิณ กสิณมลี มเปนอารมณ ๕. นีลกสิณ กสิณมีสเี ขยี วเปน อารมณ 88
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 89 ๖. ปต กสิณ กสณิ มสี เี หลอื งเปน อารมณ ๗. โลหติ กสณิ กสิณมสี แี ดงเปน อารมณ ๘. โอทาตกสิณ กสิณมสี ีขาวเปนอารมณ ๙. อาโลกกสิณ กสณิ มีแสงสวา งเปนอารมณ ๑๐. ปริจฉินนากาสกสณิ กสณิ มอี ากาศคือชองวางเปนอารมณ กสิณ แปลวา วัตถอุ นั จูงใจ หมายถึง วตั ถุสําหรบั เพงเพือ่ จงู ใจใหเ ปน สมาธิ ๔ ขอ แรก เรียกวา ภูตกสณิ (มหาภูตรปู ๔ คือ ดนิ น้ํา ไฟ ลม) ๔ ขอหลงั (ขอ ๕-๘) เรยี กวา วณั ณกสิณ (เขียว เหลือง แดง ขาว) การเจริญกสิณ มีปฐวีกสิณเปนตน ควรทําดวงกสิณตามประเภทของกสิณ นั้นๆ ใหกวางประมาณ ๑ คืบกับ ๔ น้ิวเปนอยางใหญ แตไมควรเล็กกวาขันนํ้า พึง กําหนดจิตบริกรรมวา “ปฐวี ปฐวี ปฐว”ี หรอื “ดนิ ดนิ ดิน” ดว ยการหลับตาบา ง ลืมตา บาง ความสงบแหงจิตจะดําเนินไปตามลําดับ เรียกวานิมิต ในขณะที่เพงดูดวงกสิณ พรอ มกับบริกรรมไปน้ัน ทานเรียกวา บรกิ รรมกสณิ หรือ บริกรรมภาวนา เมอ่ื บรกิ รรม ไปจนเกิดนิมิตติดตา เรียกวา อุคคหนิมิต ถึงจุดแลวนิวรณธรรม จะเริ่มสงบลงตาม ลําดบั จิตจะเปนอุปจารสมาธิ (สมาธเิ ฉยี ดใกลความสงบเขา ไปทุกที) จนปฏคิ ภาคนิมติ (นิมิตเทียบเคยี งสามารถยอหรอื ขยายนิมิตได) ปรากฏข้ึน ดวงนมิ ิตจะปรากฏสวยงาม ผองใส จิตจะเขาสูความสงบประณีตข้ึนไปถึงขั้นอัปปนาสมาธิ (สมาธิอันแนวแน) ไดบ รรลฌุ านในท่สี ดุ หมวดท่ี ๒ อสภุ ะ ๑๐ ๑. อทุ ธุมาตกะ ซากศพท่เี นาพองอืดข้ึน ๒. วนิ ลี กะ ซากศพทีม่ สี เี ขยี วคล้าํ คละดว ยสตี า งๆ ๓. วปิ ุพพกะ ซากศพทม่ี ีนํา้ เหลอื งไหลเย้ิมอยตู ามทแ่ี ตกปริออก ๔. วจิ ฉทิ ทกะ ซากศพที่ขาดจากกันเปนสองทอน ๕. วิกขายิตกะ ซากศพทถ่ี กู สตั ว เชน แรง กา สุนัขจกิ กัดกนิ แลว ๖. วิกขิตตกะ ซากศพท่ีกระจุยกระจาย มีอวยั วะหลดุ ออกไปขางๆ ๗. หตวิกขติ ตกะ ซากศพทถ่ี กู สับฟนบนั่ เปนทอนๆ กระจายออกไป ๘. โลหิตกะ ซากศพทม่ี ีโลหติ ไหลอาบเร่ียราดอยู คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 89
90 ¤‹ÙÁ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ๙. ปุฬวุ กะ ซากศพทม่ี ีหนอนคลานคล่ําเตม็ ไปหมด ๑๐.อัฏฐิกะ ซากศพทีย่ งั เหลอื อยแู ตรา งกระดกู หรือกระดูกทา น อสุภะ แปลวา สภาพอนั ไมง าม หมายถึง ซากศพในสภาพตาง ๆ ซ่ึงใชเ ปน อารมณของสมถกัมมัฏฐาน โดยการพิจารณาซากศพในระยะเวลาตาง ๆ กัน รวม ๑๐ ระยะ เริม่ ตงั้ แตซากศพขึน้ อดื ไปจนถงึ ซากศพท่เี หลือแตโ ครงกระดูก การเจรญิ อสภุ ะ การเจรญิ อสภุ กมั มฏั ฐานจาํ เปน ตอ งอาศยั ซากศพในลกั ษณะ ตาง ๆ เม่ือจะพิจารณา อยายืนเหนือลม ใตลม หรือใกล-ไกลเกินไป แตใหยืนในที่ ซึ่งอาจเห็นซากศพที่ยังคงรูปรางสมบูรณอยู ไมพึงพิจารณาซากศพของเพศตรงขาม กบั ตน (เพราะจะทําใหเกดิ ราคะได) โดยกาํ หนดพิจารณา ๖ สวน คือ ๑) สขี องซากศพ พจิ ารณาดวู า เปนมีดําหรือขาว เปน ตน ๒) เพศหรืออวัยวะของซากศพ พิจารณาใหรูวาอยูในปฐมวันหรือมัชฌิมวัย แตหา มกาํ หนดวาเปนเพศหญงิ หรอื เพศชาย ๓) สณั ฐานของซากศพ พิจารณาดวู า เปน สวนใดของซากศพ ๔) ทิศที่อยูข องซากศพ พจิ ารณาดูอวัยวะตา ง ๆ ของซากศพอยูในทิศใดบาง ๕) โอกาสทต่ี ัง้ ของซากศพ พิจารณาดวู า อวัยวะตาง ๆ ของซากศพตง้ั อยใู น ทศิ ทางใดบาง ๖) ภาพรวมของซากศพ พจิ ารณาดูโดยรวม ตง้ั แตปลายผมถึงปลายเทา ของ ซากศพนนั้ วา ประกอบดว ยอาการ ๓๒ มี ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั เนอ้ื เอน็ กระดกู เปน ตน จนถึงมันสมองเปน ทสี่ ุด เปน ของปฏิกลู นาเกลียดทง้ั โดยสี กล่ินเปนตน เมื่อกําหนดพิจารณาอสุภะดังกลาวแลว นิมิตท้ัง ๓ คือ บริกรรมนิมิต อุคคนิมิต และปฏิภาคนิมิต ยอมปรากฏข้ึนตามลําดับจนถึงบรรลุฌาน เชนเดียวกับ การเจริญกสิณ หมวดที่ ๓ อนสุ สติ ๑๐ ๑. พทุ ธานุสสติ ระลึกถึงพระพุทธเจา คือนอมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณ ของพระองค ๒. ธมั มานสุ สติ ระลึกถึงพระธรรม คือนอมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณ ของพระธรรม 90
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 91 ๓. สงั ฆานสุ สติ ระลึกถึงพระสงฆ คือนอมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณ ของพระสงฆ ๔. สลี านสุ สติ ระลึกถึงศีล คือนอมจิตพิจารณาศีลของตนที่บริสุทธิ์ ไมดางพรอย ๕. จาคานสุ สติ ระลึกถึงการบริจาค คือนอมจติ ระลึกถงึ ทานท่ตี นไดบรจิ าค แลว และพจิ ารณาคณุ ธรรมคอื ความเผอ่ื แผเ สยี สละทม่ี ใี นตน ๖. เทวตานุสสติ ระลึกถึงเทวดา คือนอมจิตระลึกถึงเทวดาทั้งหลายท่ีตน เคยรู และพิจารณาคุณธรรมอันทําบุคคลใหเปนเทวดา ๗. อุปสมานุสสติ* ระลึกถึงธรรมเปนท่ีสงบ คือระลึกถึงและพิจารณาคุณ ของนพิ านอนั เปนท่ีดบั กิเลสและกองทุกข (*ในคมั ภรี วิสุทธิมรรค จดั เรียง อปุ สมานสุ สติ ไวใ นลาํ ดับท่ี ๑๐) ๘. มรณัสสติ ระลึกถึงความตาย คือระลึกถึงและพิจารณาถึงความตาย อนั จะตอ งมมี าถงึ ตนเปน ธรรมดา เพอื่ ไมใ หเ กดิ ความประมาท ๙. กายคตาสติ สตอิ นั ไปในกาย คอื กาํ หนดพิจารณากายนีใ้ หเหน็ วา ประกอบดวยสวนตา งๆ อันไมสะอาด ไมง าม นา รังเกยี จ ๑๐. อานาปานสั สติ สติกาํ หนดลมหายใจเขา -ออก อนุสสติ แปลวา ความตามระลึก นอมจิตระลึกนึกถึงอารมณกัมมัฏฐาน อยเู นอื งๆ ๑.-๓. ใหกําหนดระลึกพจิ ารณาถึงความสําคัญของพระรัตนตรยั ตามคุณบท ท่ีวา อิติปโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ...สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม...สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ... โดยมีวธิ กี ารเจริญ ๓ อยาง คือ (๑) สาธยาย คือการสวดสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยตามที่นิยมกัน จนจติ สงบไมซ ัดสายไปในอารมณอ ่นื ๆ (๒) นอมรําลึก คือการนอมนําเอาคุณของพระรัตนตรัยบทใดบทหน่ึงมา กาํ หนดบริกรรมวา พุทโธ, ธัมโม, สงั โฆ โดยตั้งสตริ ะลกึ ตามบทนน้ั ๆ ใหส ัมพันธกับ การหายใจเขา-ออก เชน หายใจเขาวา พุท หายใจออกวา โธ เปน ตน (๓) พิจารณา คือการยกคุณของพระรัตนตรัยแตละบทข้ึนพิจารณา เมอื่ พจิ ารณาเหน็ ชัดในบทใด กพ็ จิ ารณาอยทู บี่ ทนนั้ จนจติ สงบ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 91
92 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ๔. การเจริญสีลานุสสติ ผูเจริญสีลานุสสติ พึงชําระศีลของตนใหบริสุทธิ์ อยา ใหเปน ทอน คอื อยาใหข าด อยาใหดา ง อยา ใหพรอย เมือ่ ทําศลี ของตนใหบ ริสุทธิ์ ดวยดแี ลวพึงเขาไปสูที่สงดั พจิ ารณาศีลของตนวา ศลี ของเรานี้ไมข าด ไมด าง ไมพรอย เปน ศลี ทพ่ี ระอรยิ ะชอบในนกั ปราชญส รรเสรญิ เมอ่ื ระลกึ ถงึ ศลี ของตนอยอู ยา งนี้ นวิ รณ กจ็ ะสงบระงบั จิตยอ มต้ังม่ันเปน ขณกิ สมาธิและอปุ จารสมาธโิ ดยลําดับ ๕. การเจริญจาคานสุ สติ ผูเ จริญจาคานุสสติ พึงทาํ จิตใหยินดีในการบรจิ าค ทาน โดยตง้ั ใจวา “ตอ แตน ไ้ี ป เมอ่ื มผี รู บั ทานอยู หากเรายงั ไมไ ดใ หท าน เราจะไมบ รโิ ภค เลยเปน อนั ขาด” จากนน้ั พงึ กาํ หนดอาการทตี่ นบรจิ าคทานดว ยเจตนาอนั บรสิ ทุ ธใิ์ หเ ปน นิมิตอารมณ แลวเขาไปสูที่อันสงัดพิจารณาวา “เปนลาภของเราแลวหนอ เราไดเกิด มาเปน มนษุ ยพบพระพทุ ธศาสนา” เมอ่ื ระลึกถึงทานท่ตี นบริจาค นวิ รณก จ็ ะสงบระงบั จิตยอมตง้ั ม่นั เปนขณิกสมาธแิ ละอุปจารสมาธิโดยลาํ ดับ ๖. การเจรญิ เทวตานุสสติ ผูเจรญิ เทวตานุสสติ พงึ ระลกึ ถึงคุณธรรมทที่ าํ บุคคลใหเปนเทวดา จากนั้นแลวพึงพิจารณาวา “เหลาเทวดาท่ีเกิดในสุคติ บริบูรณ ดวยสุขสมบัติอันเปนทิพย เพราะเม่ือชาติกอน เทวดาเหลาน้ันประกอบดวยคุณธรรม คือ ศรทั ธา ศลี สุตะ จาคะ ปญ ญา แมเ ราก็มคี ุณธรรมเชนนนั้ เหมอื นกัน” เม่ือระลึกถงึ อยา งนแี้ ลว ยอมเกดิ ปตปิ ราโมทย นิวรณก ็จะสงบระงบั จิตยอมตง้ั มัน่ เปนขณกิ สมาธิ และอุปจาสมาธโิ ดยลาํ ดบั ๗. การเจรญิ อปุ สมานสุ สติ ผเู จรญิ อปุ สมานสุ สติ พงึ เขา ไปสอู นั ทสี่ งดั ระลกึ ถึงไดคุณของนิพพานเปนอารมณวา “พระนิพพานน้ี เปนที่ส้ินตัณหา เปนท่ีปราศจาก กเิ ลสเครื่องยอมใจ เปนทีด่ บั ราคะ โทสะ โมหะโดยไมเหลือ เปน ทีด่ บั เพลิงกิเลสและ กองทุกขโ ดยสน้ิ เชิงเปนสขุ อยา งยง่ิ ” เมือ่ ระลึกอยูอยา งน้ี นวิ รณก ็จะสงบระงบั จติ ยอ ม ตั้งม่นั เปน ขณกิ สมาธิและอปุ จารสมาธิโดยลําดบั ๘. การเจริญมรณัสสติ ผูเจริญมรณัสสติ พึงไปยังที่สงัดแลวบริกรรมวา “ความตายจักมีแกเรา เราจักตองตาย ชีวิตของเราจะตองขาดสิ้นลงแนนอน เรามคี วามตายเปน ธรรมดา ลว งพน ความตายไปไมไ ด” การระลกึ ถงึ ความตายโดยอบุ าย ทชี่ อบ พึงประกอบดว ยองค ๓ คือ (๑) สติ ระลึกถงึ ความตายอยู (๒) ญาณ รูวาความ ตายจะมเี ปน แน ตวั จะตอ งตายเปน แท (๓) เกดิ สงั เวชสลดใจ เมอ่ื ระลกึ อยอู ยา งนี้ นวิ รณ ก็จะสงบระงับ จติ ยอมตงั้ มั่นเปน ขณิกสมาธิและอุปจารสมาธิโดยลําดับ 92
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 93 ๙. การเจรญิ กายคตาสติ ผูเจริญกายคตาสติ พงึ ตั้งสตกิ ําหนดพิจารณากาย อนั เปนที่ประชุมแหง สว นปฏกิ ลู นาเกลียด ต้ังแตปลายผมมาถึงปลายเทา มีหนังหุมอยู โดยรอบใหเห็นวา เต็มไปดวยของไมสะอาดมปี ระการตางๆ ซึง่ นบั ไดจํานวน ๓๒ สว น คือ ผม ขน เล็บ ฟน หนงั , เน้อื เอ็น กระดกู เยื่อในกระดกู มาม, หวั ใจ ตับ พงั ผดื ไต ปอด, ไสใหญ ไสนอย อาหารใหม อาหารเกา ด,ี เสลด หนอง (นํา้ เหลือง) เลอื ด เหง่ือ มันขน, นํ้าตา มนั เหลว นา้ํ ลาย นา้ํ มกู ไขขอ , นา้ํ มูตร (น้ําปส สาวะ) มันสมอง พึงพิจารณาโดยสี สัณฐาน กล่ิน ท่ีเกิดท่ีอยูของสวนตางๆ เหลานั้น จนเห็นวา เปน ของไมส วยไมงาม เปน ของปฏกิ ลู นาเกลยี ด นิวรณ ก็จะสงบระงบั จิตยอมตั้งม่นั เปน ขณกิ สมาธิ อุปจารสมาธิ และอปั ปนาสมาธโิ ดยลาํ ดับ ๑๐. การเจริญอานาปานสั สติ ผูเ จรญิ อานาปานัสสติ พงึ เขา ไปสทู ส่ี งดั เชน ปาไม เรือนวาง โรงศาล เปนตน ซึ่งเหมาะแกการเจริญจิตตภาวนา แลวน่ังขัดสมาธิ เทา ขวาทบั เทา ซา ย มอื ขวาทบั มอื ซา ย ตงั้ กายใหต รง ดาํ รงสตใิ หม น่ั กาํ หนดรลู มหายใจเขา ลมหายใจออกอยาใหหลงลืม เม่ือหายใจเขาพึงกําหนดรูวาหายใจเขา เม่ือหายใจ ออกพึงกําหนดรูวาหายใจออกเม่ือหายใจเขาและออกยาวหรือส้ัน ก็พึงมีสติกําหนดรู โดยประจกั ษชัดทุกขณะไปโดยมิใหห ลงลืมเพ่อื ใหจติ ตั้งม่นั เปนสมาธโิ ดยเรว็ หมวดที่ ๔ พรหมวหิ าร ๔ ๑. เมตตา ความรักใครปรารถนาดอี ยากใหผูอนื่ มคี วามสุข ๒. กรุณา ความสงสาร คิดชวยใหพนทุกข ไดแก ความใฝใจในอันจะ ปลดเปล้อื งความทกุ ขย ากเดือดรอ นของปวงสตั ว ๓. มุทิตา ความพลอยยินดี ไดแก ความเปนผูมีจิตแชมช่ืนเบิกบาน ในเมอื่ เหน็ ผอู นื่ อยดู ีมีสุขเจริญรุงเรอื ง และประสบความสําเร็จยิ่งข้นึ ไป ๔. อเุ บกขา ความวางใจเปน กลางในสตั วท งั้ หลาย ไดแ ก ความไมเ อนเอยี งไป ดวยความชอบหรือความชัง เท่ียงตรงดุจตราช่ัง โดยพิจารณาเห็นวา สัตวท้ังหลายมี กรรมเปน ของตน ทํากรรมใดไว ยอมไดรบั ผลกรรมน้ัน พรหมวหิ าร หมายถงึ หลกั ความประพฤตอิ นั ประเสรฐิ หรอื หลกั การดาํ เนนิ ชวี ติ อนั บรสิ ทุ ธห์ิ มดจด และหลกั การปฏบิ ตั ติ อ มนษุ ยแ ละสตั วท ง้ั หลายโดยชอบ พรหมวหิ ารน้ี คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 93
94 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก เรียกอีกอยางวา อัปปมัญญา เพราะเปนธรรมท่ีแผไปในมนุษยหรือสัตวท้ังหลาย โดยไมเ จาะจงไมป ระมาณ ไมม ขี อบเขต มวี ธิ เี จรญิ ดังน้ี เมตตา เมื่อเห็นโทษของโทสะและอานิสงสของขันติ พึงแผเมตตาจิตไป ในตนกอนวา “ขอเราจงเปนสุข อยาไดมีทุกข มีเวรมีภัยแกใครๆ เลย อยาไดมี ความทุกขกายทุกขใจจงเปนสุขๆ รักษาตนใหพนจากทุกขภัยท้ังสิ้นเถิด” โดยเปรียบ เทียบวา เรารักสุข เกลียดทุกขฉันใด ผูอื่นหรือสัตวอ่ืนก็รักสุข เกลียดทุกข ฉันนั้น จากนั้น พึงแผไปในสรรพสัตวไมมีประมาณ ไมมีขอบเขต โดยทํานองเดียวกันวา “ขอสัตวท ้ังปวง อยา มเี วร อยามคี วามพยาบาทตอกันและกันเลย อยามคี วามทุกขก าย ทุกขใ จ จงเปน สุขๆ รกั ษาตนใหพนจากทุกขภ ัยทง้ั สิ้นเถดิ ” เมตตานเี้ ปน ขา ศกึ แกโ ทสะและพยาบาทโดยตรง เมอื่ บคุ คลเจรญิ เมตตายอ ม ละโทสะและพยาบาทได จิตก็ตั้งม่ันเปนขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ โดยลาํ ดบั บคุ คลทเี่ จริญเมตตายอ มไดรบั อานสิ งส ๑๑ อยาง คือ (๑) หลับเปนสขุ (๒) ตน่ื เปน สขุ (๓) ไมฝ น รา ย (๔) เปน ทรี่ กั ของมนษุ ย (๖) เทวดารกั ษา (๗) ไฟ ยาพษิ ศสั ตราวธุ ไมก ล้ํากราย (๘) จติ สงบเปนสมาธไิ ดเ รว็ (๙) สีหนาผองใส (๑๐) ตายอยา งมีสติ (๑๑) เมือ่ ยังไมบรรลุธรรมข้นั สูง ยอ มเขา ถึงพรหมโลก กรุณา เมื่อเห็นสรรพสตั วผไู ดรบั ความทกุ ขย ากลําบากแลวทําใหเ ปน อารมณ แผกรุณาจติ ไปวา “ขอสัตวผูประสบทุกข จงพน จากทกุ ขเ ถดิ ” เมือ่ แผไ ปอยา งนี้บอ ยๆ จะกาํ จดั วหิ งิ สาความเบยี ดเบยี น และนวิ รณก จ็ ะสงบระงบั จติ กจ็ ะตงั้ มน่ั เปน ขณกิ สมาธิ อปุ จารสมาธแิ ละอปั ปนาสมาธิโดยลาํ ดบั สาํ เร็จเปนกามาวจรกุศลและรูปาวจรกุศล มุทิตา เม่ือไดเห็นหรือไดยินมนุษยหรือสัตวอ่ืนๆ ที่อยูสุขสบาย ก็พึงทําจิต ใหช่ืนชมยินดี แผมุทิตาจิตไปวา “ขอสัตวท้ังหลาย อยาไดเส่ือมจากสมบัติที่ตนได แลว เลย” หรอื “ขอสตั วเหลาน้นั ยงั่ ยนื อยใู นสุขสมบัติของตนๆ เถิด” เมอ่ื บรกิ รรมนกึ อยอู ยา งนยี้ อ มละอรติ คอื ความไมย นิ ดใี นความสขุ และสมบตั ขิ องผอู นื่ ลงไปได จติ กจ็ ะ ตง้ั ม่นั เปนขณิกสมาธิ อปุ จารสมาธิ และอปั ปนาสมาธโิ ดยลําดับ อุเบกขา พึงแผไปในสรรพสัตว โดยทําจิตใหเปนกลางๆ อยาดีใจเสียใจใน เหตุสุขทุกข ของสรรพสัตวแลวบริกรรมนึกไปวา “สัตวทั้งหลายทั้งปวง มีกรรมเปน ของของตน เปนอยูเชนใด ก็จงเปนอยูเชนน้ันเถิด” เม่ือนึกบริกรรมอยางนี้เร่ือยไป 94
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 95 จิตก็จะละราคะและปฏิฆะ คือความกําหนดขัดเคืองในสุขทุกขของผูอื่นลงไปได อเุ บกขานีม้ ีอานุภาพสามารถทาํ ใหผเู จริญไดบ รรลุฌานขนั้ สงู สดุ หมวดท่ี ๕ อาหาเรปฏิกลู สัญญา ๑ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ความสําคัญวาเปนของปฏิกูลในอาหาร หมายถึง การพิจารณาอาหารใหเห็นเปนของนารังเกียจ เพ่ือไมใหเกิดความติดใจในรสอาหาร มีวิธีการพิจารณาความปฏิกูลในอาหารโดยอาการ ๑๐ อยาง คือ ๑) โดยการไป ๒) โดยการแสวงหา ๓)โดยการบรโิ ภค ๔)โดยท่อี ยู ๕)โดยการหมกั หมม ๖)โดยยังไมยอย ๗)โดยยอ ยแลว ๘)โดยผลจากการยอย ๙)โดยการหล่ังไหลขับถายออก ๑๐) โดยทาํ ให แปดเปอน แตพระมตขิ องสมเดจ็ พระมหาสมณเจา ฯ มี ๘ อยา ง ตัดขอ ๑ ขอ ๒ ออก เม่ือผูเจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญาพิจารณาโดยอาการอยางนี้ นิวรณยอมสงบ ระงับจิตก็จะต้ังมั่นเปนอุปจารสมาธิ ใหสําเร็จกิจเปนกามาวจรกุศล และเปนอุปนิสัย ปจจัยแหงมรรคผลนพิ พานตอ ไป หมวดที่ ๖ จตุธาตุววัตถาน ๑ จตุธาตุววัตถาน การกําหนดธาตุ ๔ หมายถึง การกําหนดพิจารณาใหเห็น วารา งกายเราน้ันเปน แตเ พยี งธาตุ ๔ คือ ดนิ นํา้ ไฟ ลม มาประชุมกนั เทาน้นั ท้ังนี้ เพ่ือใหเกิดความเบื่อหนาย ถอนความรูสึกวาเปนสัตว บุคคล ตัวตน เราเขา ออกไป จากจิต เรียกอีกอยางวา ธาตุมนสกิ าร หรอื ธาตกุ ัมมัฏฐาน ในการกําหนดนั้น ผูจะเจริญจตุธาตุววัตถานน้ี พึงตัดความกังวลหวงใย ท้ังหมด เขาไปสูสถานท่ีสงัด แลวต้ังสติพิจารณารางกายน้ี โดยแยกสวนตางๆ ออกเปนธาตุ ๔ คือ ดนิ นํ้า ไฟ ลม ดงั น้ี สงิ่ ที่แขง็ กระดาง มีอยูในกาย เชน ผม ขน เล็บ ฟน หนัง เนือ้ เอ็น กระดูก เปน ตน จัดเปน ปฐวีธาตุ ธาตดุ ิน ส่ิงท่ีเหลวเอบิ อาบซาบซมึ ไป มอี ยูในกาย เชน นํา้ ลาย น้ํามกู น้าํ ตา มนั เปลว เหง่ือ เลือด เปนตน จัดเปน อาโปธาตุ ธาตนุ ํ้า คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 95
96 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก สง่ิ ทท่ี าํ ใหก ายอบอนุ ทาํ ใหก ายทรดุ โทรมเหย่ี วแหง ปราศจากความงาม ทาํ ให กายเรา รอ นกระวนกระวายจนทนไมไ ด และทาํ อาหารในกายใหย อ ยแปรปรวนไป จดั เปน เตโชธาตุ ธาตุไฟ สิ่งท่ีอุปถมั ภค้ําชกู ายใหส าํ เร็จกจิ มีสั่นไหว ลุก เดิน ยนื นง่ั นอนได เปน ตน จดั เปน วาโยธาตุ ธาตลุ ม ธาตุลมนี้ มอี าการ ๖ อยาง คอื (๑) ลมพดั ข้ึนเบือ้ งบน (๒) ลมพัดลงเบ้อื งต่ํา (๓) ลมในทอ งนอกไส (๔) ลมในไสใหญ (๕) ลมซา นไปท่วั อวัยวะใน รา งกาย และ (๖) ลมหายใจเขา -ออก เม่ือกําหนดพิจารณาธาตุ ๔ เชนนีเ้ ร่อื ยไป จิตก็จะตัง้ มนั่ เปน ขณิกสมาธิและ อุปจารสมาธิโดยลําดับ นิวรณก็จะสงบระงับไป จิตยอมหย่ังลงสูสุญญตารมณ คือ เหน็ วา รา งกายนว้ี า งเปลา จากสตั ว บคุ คล ตวั ตน เราเขา จากนน้ั จติ จะเพกิ เฉยเปน กลางๆ ไมย ินดยี นิ รายในอิฏฐารมณอ นฏิ ฐารมณ และอาจสําเรจ็ มรรคผลนพิ พานไดใ นทีส่ ุด หมวดที่ ๗ อรปู ๔ ๑. อากาสานัญจายตนะ ฌานทกี่ าํ หนดอากาศอนั ไมม ที สี่ นิ้ สดุ เปน อารมณ ๒. วญิ ญาณัญจายตนะ ฌานทก่ี าํ หนดวญิ ญาณอนั ไมม ที ส่ี น้ิ สดุ เปน อารมณ ๓. อากญิ จัญญายตนะ ฌานท่กี ําหนดภาวะไมมีอะไรๆ เปน อารมณ ๔. เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ ฌานท่ีกาํ หนดภาวะมีสญั ญากไ็ มใ ช ไมมีสญั ญาก็ไมใ ชเปน อารมณ อรปู หมายถึง ฌานทมี่ ีอรูปธรรมเปน อารมณ ภพของสัตวผูเขา ถงึ อรูปฌาน มีดงั น้ี ๑. อากาสานญั จายตนะ หมายถึง ฌานท่เี ลิกเพง กสณิ แลว มากาํ หนดอากาศ คือที่วาง เปนอารมณ โดยพิจารณาใหเห็นวา อากาศไมมีท่ีสุดแลวทําบริกรรมวา อนนฺโต อากาโส อากาศไมมีท่ีสุดๆ ดังนี้เนืองๆ จิตยอมต้ังม่ันเปนอุปจารสมาธิ ตลอด จนถึงอปั ปนาสมาธโิ ดยลําดบั ๒. วญิ ญาณญั จายตนะ หมายถึง ฌานท่เี ลกิ เพง อากาศหรอื ทว่ี า งน้ันแลวมา กําหนดเพงดวู ญิ ญาณ ความรับรเู ปน อารมณ โดยพจิ ารณาใหเห็นวาวิญญาณไมมีทสี่ ิ้น สุดแลว ทาํ บริกรรมวา อนนฺตํ วิ ฺาณํ วญิ ญาณไมมที ีส่ ุดๆ ดังนี้เนอื งๆ จิตยอ มตั้งมั่น เปน อปั ปนาสมาธิ 96
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 97 ๓. อากิญจัญญายตนะ หมายถึง ท่ีเลิกกําหนดเพงวิญญาณเปนอารมณ ของอรูปฌานที่ ๒ แลวมายึดหนวงเอาความไมมีของอรูปฌานท่ี ๑ เปนอารมณแลว ทําบรกิ รรมวา นตฺถิ กิจฺ ิ อรูปวิญญาณที่ ๑ นิดหนึง่ ไมม ี มไิ ดเ หลอื ติดอยูในอากาศ ดังนเี้ นอื งๆ จิตยอมตง้ั มั่นเปนอปั ปนาสมาธิ ๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ หมายถึง ฌานที่เลิกกําหนดคือปลอยวาง อารมณข องอรปู ฌานท่ี ๓ แลว กาํ หนดเอาแตภาวะทีล่ ะเอียดประณตี ของอรปู ฌานท่ี ๔ เปนอารมณแลว ทาํ บรกิ รรมวา สนฺตเมตํ ปณีตเมตํ อรปู ฌานนี้ละเอยี ดนกั ประณตี นกั จะมีสญั ญาก็ไมใช ไมมสี ญั ญากไ็ มใช ดังนเี้ นอื งๆ จิตยอมตง้ั มน่ั เปนอปั ปนาสมาธิ จรติ ๖ การที่ทานจัดอารมณกัมมัฏฐานไวถึง ๔๐ อยาง เพราะกําหนดตาม ความเหมาะสมแก จรติ ของบคุ คล เพอ่ื ใหผ ปู ฏบิ ตั สิ ามารถเลอื กใชต ามทเี่ หมาะแกจ รติ ของตน ถา เลือกอารมณก ัมมฏั ฐานไดเ หมาะสมกบั จริต การปฏบิ ัติก็จะไดผ ลดี คําวา จริต แปลวา ความประพฤติ หมายถึง พื้นเพของจิต หรืออุปนิสัย ท่ีหนักไปทางใดทางหนึ่ง อันเปนปกติประจําอยูในสันดาน เรียกอีกอยางวา จริยา จรติ ของบคุ คลในโลก มี ๖ ประเภท คือ ๑. ราคจติ หมายถงึ ผมู รี าคะเปน ความประพฤตปิ กติ หรอื มรี าคะเปน เจา เรอื น คือมีลักษณะนิสัยรักสวยรักงาม ชอบเร่ืองบันเทิงเจริญใจ เรียบรอย ทํางานละเอียด ประณีตเปนคนเจาเลห โออวด ถือตัว มีความตองการทางกามและเกียรติมาก และ นยิ มรสอาหารท่กี ลมกลอม เปน ตน ๒. โทสจริต หมายถึง ผูท่มี โี ทสะเปนความประพฤติปกติ หรือ มีโทสะเปน เจา บา นเจา เรอื น คอื มลี กั ษณะนสิ ยั ใจรอ น หงดุ หงดิ รนุ แรง ฉนุ เฉยี ว โกรธงา ย ชอบการ ตอ สู เอาชนะผอู น่ื พรวดพราด รบี รอ น กระดา ง ทาํ การงานรวดเรว็ แตไ มค อ ยเรยี บรอ ย ลบหลูคุณทาน ตตี นเสมอ มักรษิ ยา และชอบบริโภคอาหารรสจดั เปนตน ๓. โมหจริต หมายถึง ผูมีโมหะเปนความประพฤติปกติ หรือ มีโมหะเปน เจาเรอื น คอื มลี ักษณะนสิ ัยโงเ ขลา ข้ีหลงข้ีลมื เล่อื นลอย ขาดเหตุผล ชอบเรื่องไรส าระ ทาํ การงานหยาบขาดความเรยี บรอ ย มกั มคี วามเหน็ คลอ ยตามคนอน่ื งา ย ใครวา อยา งไร กว็ า ตามเขา ข้เี กยี จ ขส้ี งสยั เขา ใจอะไรยาก เปนตน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 97
98 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ๔. สัทธาจริต หมายถึง ผูมีศรัทธาเปนความประพฤติปกติ หรือ มีศรัทธา เปนเจาเรือน คือมีลักษณะนิสัยเช่ืองาย ทุมเทใจใหผูอื่นไดงาย เช่ือเร่ืองไสยศาสตร ทําการงานเรียบรอ ย ชอบสวยงามแบบเรียบๆ ไมฉ ูดฉาดโลดโผน มจี ิตใจเบิกบานใน เรื่องบุญกศุ ลไมช อบโออวด เปนตน ๕. พุทธจิ ริต หมายถงึ ผมู ีความรูเปน ความประพฤติ หรือ มีพทุ ธิปญ ญาเปน เจา เรอื น คอื มลี กั ษณะนสิ ยั ชอบคดิ พจิ ารณาตามความจรงิ มปี ญ ญาเฉยี บแหลมวอ งไว ไดยนิ ไดฟงอะไรมามักจดจาํ ไดเ รว็ มักทํากจิ กรรมทเ่ี ปน ประโยชน เรยี บรอย สวยงาม มีระเบียบชอบพินิจพิเคราะห เปน ตน ๖. วติ กจรติ หมายถงึ ผมู คี วามวติ กเปน ความประพฤตปิ กติ หรอื มคี วามวติ ก เปนเจาเรอื น คือมีลกั ษณะนสิ ัยคดิ วกวน ฟงุ ซา น ขาดความม่นั ใจ วติ กกังวลในเรื่องไม เปนเรื่องทาํ งานจับจด มกั เห็นคลอ ยตามคนหมูมาก ประเภทพวกมากลากไป เปนตน อารมณก มั มัฏฐานที่เหมาะกบั จริต ๖ กัมมัฏฐาน ๑๑ อยาง คือ อสุภะ ๑๐ และกายคตาสติ ๑ เหมาะกับ คนราคจรติ กมั มฏั ฐาน ๘ อยาง คอื วณั ณกสณิ ๔ ไดแก นลี กสณิ ปตกสิณ โลหิตกสณิ และโอทาตกสิณ และพรหมวิหาร ๔ ไดแก เมตตา กรณุ า มทุ ติ า และอเุ บกขา เหมาะกับ คนโทสจริต อานาปานัสสตกิ มั มฏั ฐาน เหมาะกับคนโมหจริตและคนวิตกจรติ กัมมัฏฐาน ๖ อยาง คือ อนุสสติ ๖ ไดแก พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานสุ สติ สีลานสุ สติ จาคานสุ สติ และเทวดตานสุ สติ เหมาะกบั คนศรัทธาจรติ กมั มัฏฐาน ๔ อยา ง คือ มรณสั สติ อปุ สมานุสสติ อาหาเรปฏกิ ลู สัญญา และ จตุธาตวุ วัตถาน เหมาะกับคนพุทธจิ ริต ภูตกสิณ ๔ และอรูป ๔ เหมาะกับคนทุกจริต 98
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 99 นมิ ติ ๓ นิมิต หมายถึง เครื่องหมายสําหรับใหจิตกําหนดในการเจริญกัมมัฏฐาน มี ๓ อยาง คอื ๑. บริกรรมนิมิต นิมิตขั้นเริ่มตน ไดแก ส่ิงกําหนดเปนอารมณใน การเจริญกัมมัฏฐาน เชน ดวงกสิณที่เพงดู ลมหายใจที่กําหนด หรือพระพุทธคุณ ทีก่ าํ หนดนกึ เปนอารมณ เปน ตน ๒. อคุ คหนมิ ติ นมิ ติ ตดิ ตา ไดแ ก บรกิ รรมนมิ ติ ทเ่ี พง หรอื กาํ หนดจนเหน็ เปน ภาพติดตาตดิ ใจ เชน ดวงกสิณท่เี พงจนตดิ ตา หลับตาแลว ยังเห็น เปน ตน ๓. ปฏภิ าคนมิ ติ นมิ ติ เทยี บเคยี ง ไดแ ก นมิ ติ ทเี่ ปน ภาพเหมอื นของอคุ คหนมิ ติ แตต ดิ ลกึ เขา ไปอกี จนเปน ภาพทเ่ี กดิ จากสญั ญาของผทู ไี่ ดส มาธิ จงึ บรสิ ทุ ธจ์ิ นปราศจากสี เปนตน และไมม ีมลทนิ ใดๆ ทั้งสามารถนึกขยายหรือยอ สว นไดตามปรารถนา ภาวนา ภาวนา หมายถึง การเจริญกัมมฏั ฐานหรอื ฝก สมาธติ ามลาํ ดบั ขัน้ มี ๓ คอื ๑. บรกิ รรมภาวนา การเจรญิ สมาธขิ นั้ เรม่ิ ตน ไดแ ก การกาํ หนดเอานมิ ติ ในสงิ่ ทก่ี าํ หนดเปน อารมณก มั มฏั ฐาน เชน เพง ดวงกสณิ กาํ หนดลมหายใจเขา -ออกทก่ี ระทบ ปลายจมูก หรอื นึกถึงพทุ ธคุณเปนอารมณเ ปน ตน คือการกําหนดบริกรรมนิมิตนน่ั เอง ๒. อปุ จารภาวนา การเจรญิ สมาธขิ นั้ อปุ จาร ไดแ ก การเจรญิ กมั มฏั ฐานทอ่ี าศยั บริกรรมภาวนาโดยกาํ หนดอุคคหนมิ ติ เรอื่ ยไปจนแนบสนทิ ในใจ เกิดเปน ปฏิภาคนมิ ติ ขนึ้ และนิวรณสงบระงับ จิตกต็ ้ังมนั่ เปนอุปจารสมาธิ ๓. อปั ปนาภาวนา การเจริญสมาธิขั้นอปั ปนา ไดแก การเจริญกัมมัฏฐานที่ อาศยั ปฏภิ าคนิมติ ซึง่ เกิดขนึ้ สม่าํ เสมอดวยอปุ จารสมาธิ ในทส่ี ุดก็เกิดอปั ปนาสมาธิ คอื สมาธทิ ่แี นว แนถงึ ข้ันทเ่ี รียกวา บรรลุปฐมฌาน ฌานสมาบตั ิ : คุณวเิ ศษของสมถกมั มัฏฐาน สมาบัติ หมายถึง คุณวิเศษที่ผูปฏิบัติพึงเขาถึงบรรลุถึง ไดแก รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ เรียกบุคคลผูบรรลุวา ฌานลาภีบุคคล (ผูไดบรรลุฌาน) ผูไดฌานตอง คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 99
100 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªéѹàÍ¡ มีความชํานาญคลองแคลวในฌานสมาบัติที่ไดบรรลุ เรียกวา วสี จึงจะสามารถทําให ฌานสมาบัติดาํ รงอยูอ ยางม่ันคง มี ๕ อยาง คือ ๑. อาวชั ชนวสี ความชํานาญในการนึกตรกึ ถึงองคฌ าน ๒. สมาปช ชนวสี ความชาํ นาญในการเขา ฌาน ๓. อธษิ ฐานวสี ความชาํ นาญในการรักษาฌานไวต ามทีก่ าํ หนด ๔. วุฏฐานวสี ความชาํ นาญในการออกจากฌานตามที่กําหนด ๕. ปจ จเวกขณวสี ความชาํ นาญในการพิจารณาองคฌานท่ไี ดบรรลุ นักบวชนอกพระพุทธศาสนาสามารถบรรลุสมาบัติ ๘ ได แตไมสามารถละ กเิ ลสบรรลพุ ระนพิ พานได เพยี งสง ผลใหบ งั เกดิ ในพรหมโลกเทา นนั้ ดงั เชน อาฬารดาบส และอทุ กดาบส เปน ตน ในพระพทุ ธศาสนา สมาบัติ ๘ จัดเปนทฏิ ฐธรรมสุขวหิ าร คือธรรมเครื่องอยู เปนสุขในปจจุบันของพระอริยบุคคล ยอมเปนไปเพ่ือดับกิเลสทําใหแจงพระนิพพาน มี ๒ ประเภท คอื (๑) ผลสมาบตั ิ การเขา ถึงผล ยอมมีท่ัวไปแกพ ระอริยบุคคลท่ีได สมาบตั เิ ทา นน้ั (๒) นโิ รธสมาบตั ิ มไี ดเ ฉพาะพระอรยิ บคุ คล ๒ จาํ พวก คอื พระอนาคามี และพระอรหนั ต ที่ไดสมาบัติ ๘ เทา นั้น รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ และ สัญญาเวทยิตนิโรธ ๑ เรียกวา อนปุ พุ พวิหาร ๙ คอื ๑) ปฐมฌาน ๒) ทตุ ยิ ฌาน ๓) ตติยฌาน ๔) จตุตถฌาน ๕) อากาสานัญจายตนฌาน ๖) วญิ ญาณัญจายตนฌาน ๗) อากิญจัญญายตนฌาน ๘) เนวสญั ญานาสญั ญายตนฌาน ๙) สัญญาเวทยิตนโิ รธ การท่ีทานกําหนดอารมณสมถกัมมัฏฐานไวหลายวิธี ก็เพ่ือเหมาะแก จรติ บคุ คลเพือ่ เปน อุบายระงับนวิ รณ ๕ และเพ่อื ใหบรรลุฌานสมาบัตติ ามลําดับ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก 100
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 101 พุทธคุณกถา อทุ เทส พทุ ธคุณ ๙ ๑. อรหํ ผเู ปน พระอรหันต ๒. สมมฺ าสมฺพทุ โฺ ธ ผูตรสั รเู องโดยชอบ ๓. วิชชฺ าจรณสมปฺ นฺโน ผถู ึงพรอ มดว ยวชิ ชาและจรณะ ๔. สุคโต ผเู สด็จไปดแี ลว ๕. โลกวทิ ู ผูรูแจงโลก ๖. อนตุ ตฺ โร ปุรสิ ทมฺมสารถิ ผูเ ปน สารถฝี ก คนที่ฝก ได ไมม ีผูอน่ื ยิง่ กวา ๗. สตถฺ า เทวมนสุ สฺ านํ ผเู ปน พระศาสดาของเทวดาและมนษุ ยท ้ังหลาย ๘. พทุ โฺ ธ ผรู ู ผูตน่ื ผูเบกิ บานแลว ๙. ภควา ผูทรงจาํ แนกพระธรรม ผมู ีโชค อธิบาย พุทธคณุ คือ พระคุณของพระพุทธเจา ท้งั ทเี่ ปนพระคณุ สมบัติสวนพระองค และพระคุณท่ีทรงบาํ เพญ็ เพ่ือประโยชนเ ก้ือกูลแกผอู ืน่ มี ๙ ประการ ดงั นี้ ๑. อรหํ ผูเปนพระอรหันต หมายถึง ผูบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง ในอรรถกถาและคมั ภีรวสิ ุทธมิ รรค ไดนิยามความหมายของคําวา อรหํ ไว ๕ ประการ ๑) เปนผูไกลกิเลส คือ ทรงดํารงอยูไกลแสนไกลจากกิเลสท้ังหลาย เพราะทรงกําจัดกเิ ลสทัง้ หลายพรอ มท้ังวาสนาดวยอริยมรรคจนหมดส้นิ ๒) เปนผูกําจัดอริท้ังหลาย คือ ทรงกําจัดขาศึกคือกิเลสท้ังหลาย ดว ยอริยมรรค ๓) เปน ผูหักกําแหง สังสารจกั ร คือ ทรงหักกงลอแหง การเวยี นวา ยตาย เกดิ ในภพภูมิตา งๆ ๔) เปนผูควรแกปจจัย ๔ เปนตน คือทรงเปนผูควรแกการบูชาพิเศษ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 101
102 ¤ÙÁ‹ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªéѹàÍ¡ เพราะวาพระองคทรงเปนทักขิไณยบุคคลช้ันยอด เทวดาและมนุษยทั้งหลายตางบูชา พระองคดวยการบูชาอยางยิง่ ๕) เปนผูไมมที ี่ลบั ในการทาํ บาป คอื ไมท รงทาํ บาปทจุ ริตท้งั ในท่ีลบั และ ในที่แจง ๒. สมมฺ าสมพฺ ทุ โฺ ธ ผตู รสั รเู องโดยชอบ หมายถงึ เปน ผตู รสั รสู รรพสง่ิ ทคี่ วรรยู ง่ิ ที่ควรกําหนดรู ท่ีควรละ ท่ีควรทําใหแจง และท่ีควรเจริญใหเกิดมีไดอยางถูกตอง โดยชอบดว ยพระองคเ อง โดยไมมีผูใดแนะนําสั่งสอน ๓. วิชชฺ าจรณสมฺปนโฺ น ผูถึงพรอ มดว ยวชิ ชาและจรณะ หมายถงึ ทรงเพียบ พรอ มดว ยวิชชา ๓ วชิ ชา ๘ และจรณะ ๑๕ วชิ ชา ๓ คือ ๑) ปพุ เพนวิ าสานสุ สตญิ าณ ญาณหย่ังรูร ะลกึ ชาติหนหลังได ๒) จตุ ปู ปาตญาณ ญาณหยงั่ รจู ตุ แิ ละอบุ ตั ขิ องสตั วท ง้ั หลาย ๓) อาสาวักขยญาณ ญาณหยงั่ รคู วามสนิ้ ไปแหงอาสวกเิ ลส วิชชา ๘ คอื ๑) วิปสสนาญาณ ปญญาทพ่ี ิจารณาเห็นรูปนาม คือขนั ธ ๕ เปน สวนๆ ตา งอาศยั กนั ๒) มโนมยิทธิ ฤทธ์ิทางใจ เชน เนรมติ กายไดหลากหลายอยา ง เปน ตน ๓) อิทธิวธิ ิ แสดงฤทธ์ิได เชน เหาะเหินเดินอากาศได เดนิ บนนาํ้ ดําลงไป ในนํา้ แผน ดินได เปน ตน ๔) ทพิ พโสต หูทพิ ย คอื ฟง เสียงท่ีอยไู กลแสนไกลไดย นิ ๕) เจโตปรยิ ญาณ กาํ หนดรใู จผอู นื่ ได เชน รคู วามคดิ คนอน่ื วา คดิ อยา งไร ๖) ปพุ เพนวิ าสานสุ สติญาณ ญาณระลึกชาติหนหลงั ของตนได ๗) ทพิ พจักขุ ตาทพิ ย เห็นการเกิดการตายของเหลา สัตว ๘) อาสวักขยญาณ รูจกั ทําอาสวะใหส นิ้ ไปไมมเี หลอื จรณะ ๑๕ คอื ๑) สีลสงั วร ความสํารวมในศลี ๒) อนิ ทรยี สังวร ความสาํ รวมอินทรีย คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก 102
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 103 ๓) โภชเน มัตตัญตุ า ความเปน ผรู จู ักประมาณในการบรโิ ภค ๔) ชาครยิ านโุ ยค ความหม่นั ประกอบความเพยี ร ๕) สทั ธา ความเชือ่ กรรมและผลของกรรม ๖) หริ ิ ความละอายตอ บาปทจุ ริต ๗) โอตตัปปะ ความสะดงุ กลวั ตอบาปทจุ รติ ๘) พาหสุ ัจจะ ความเปนผไู ดส ดับมาก ๙) วริ ยิ ารมั ภะ การปรารภความเพียร ๑๐) สติ ความระลกึ ได ๑๑) ปญ ญา ความรอบรูต ามเปนจริง ๑๒) ปฐมฌาน ฌานท่ี ๑ ๑๓) ทุตยิ ฌาน ฌานท่ี ๒ ๑๔) ตตฌิ าน ฌานท่ี ๓ ๑๕) จตตุ ถฌาน ฌานท่ี ๔ ๔. สคุ โต ผเู สดจ็ ไปดแี ลว หรือผูก ลา วดีแลว ในอรรถกถานยิ ามความหมาย ไว ๔ ประการ ๑) ทรงพระนามวา สคุ โต เพราะมกี ารเสดจ็ ดาํ เนนิ ไปอยา งบรสิ ทุ ธ์ิ หาโทษ มิไดด วยอรยิ มรรค ๒) ทรงพระนามวา สคุ โต เพราะเสดจ็ ไปสูอมตสถานคือพระนพิ พาน ๓) ทรงพระนามวา สุคโต เพราะเสด็จไปโดยชอบ ไมทรงหวนกลับมา สกู ิเลสทีล่ ะไดแลว ๔) ทรงพระนามวา สคุ โต เพราะตรัสวาจาชอบ ตรสั คําจริง ประกอบดว ย ประโยชน ๕. โลกวิทู ผทู รงรแู จง โลก มีความหมาย ๒ ประการ ดังน้ี ๑) ทรงพระนามวา โลกวิทู เพราะทรงรูแจงโลกภายในคือรางกาย คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 103
104 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªé¹Ñ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ซ่งึ มีสัญญามใี จครองน้ี โดยทรงรูถึงสภาวะ เหตุเกิดข้ึน ความดับ และวธิ ีปฏิบัตใิ หล ุถึง ความดบั อยางถอ งแท ๒) ทรงพระนามวา โลกวิทู เพราะทรงรูแจงโลกภายนอก ๓ คือ (๑) สงั ขารโลก โลกคอื สงั ขารทม่ี กี ารปรงุ แตง ตามเหตปุ จ จยั เชน สรรพสตั วด าํ รงอยไู ดเ พราะ อาหาร (๒) สตั วโ ลก โลกคอื หมูสตั วซ ึ่งแยกเปนมนษุ ย เทวดา พรหม (๓) โอกาสโลก โลกคือแผนดินหรือโลกตา งๆ ทม่ี ีในจกั รวาล ๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ ผูเปน สารถีฝกคนที่ฝก ได ไมม ผี ูอ่นื ย่ิงกวา คือ ทรงทําหนาท่ีดุจสารถี ฝกเทวดา มนุษย อมนุษย และสัตวเดรัจฉานท่ีสมควรฝกได ดวยอบุ ายวธิ ีตางๆ ตามสมควรแกอัธยาศยั ของแตละบคุ คลไดอ ยางไมมผี ูอ ่ืนยิง่ กวา ๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ ผูเปน พระศาสดาของเทวดาและมนษุ ยทงั้ หลาย คือ ทรงเปน บรมครสู ่ังสอนบคุ คลทุกระดบั ชัน้ ดว ยพระมหากรุณา โดยมุง ประโยชนส ูงสุด คือพระนพิ พาน ๘. พุทฺโธ ผูรู ผูตื่น ผูเบิกบานแลว คือทรงเปนพระพุทธเจาอยางสมบูรณ เพราะตรสั รสู รรพสง่ิ ทค่ี วรรแู ละทรงสอนผอู นื่ ใหร ตู าม พระองคท รงตน่ื จากความเชอื่ ถอื และขอปฏิบัติหลายท่ีนับถือกันมาผิดๆ และทรงปลุกผูอ่ืนใหตื่นจากความหลงงมงาย ทรงมีพระหฤทัยเบิกบานบาํ เพ็ญพทุ ธกิจ ไดบ ริสทุ ธบ์ิ รบิ ูรณ ๙. ภควา ผทู รงจาํ แนกพระธรรม ผมู โี ชค ในอรรถกถาและคมั ภรี ว สิ ทุ ธมิ รรค ใหน ิยามหมายไว ๖ ประการดงั น้ี ๑) ทรงเปนผูมีโชค คือทรงหวังพระโพธิญาณกไ็ ดสมหวัง ซ่ึงเปน ผลจาก พระบารมที ่ที รงบําเพญ็ มานานถงึ ๔ อสงไขย ๑ แสนกปั ๒) ทรงเปนผูทําลายกิเลสและหมูมารท้ังมวลไดอยางราบคาบ คือ ทรงชนะกเิ ลสทัง้ ปวงและหมมู ารไดหมดส้นิ ๓) ทรงมีภคธรรม ๖ ประการ คือ (๑) ความมีอํานาจเหนือจิต (๒) โลกุตตรธรรม (๓) พระเกียรติยศที่ปรากฏทั่วในโลก ๓ (๔) พระสิริรูปสงางามครบ ทกุ สว น (๕) ความสาํ เร็จประโยชนตามที่ทรงมุง หวัง (๖) ความเพยี รชอบเปน เหตุใหได รับความเคารพจากชาวโลก 104
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 105 ๔) ทรงจําแนกแจกธรรม คือ ทรงเปน วิภัชชวาที ในการแสดงธรรม โดยทรงแยกแยะจาํ แนกแจกแจงประเภทแหงธรรมออกไปอยางละเอยี ดวิจิตรพิสดาร ๕) ทรงเสพอริยธรรม คือ ทรงยินดีในอริยวิหารธรรม (ธรรมเปน เคร่ืองอยูของพระอริยเจา) วิเวก (ความสงัดกายและจิต) วิโมกข (ความหลุดพนจาก กเิ ลส) และอตุ ตริมนุสสธรรม (ธรรมของมนษุ ยอันยวดย่ิง มฌี านสมบตั ิ เปน ตน) ๖) ทรงสลัดตัณหาในภพ ๓ ไดแลว คือทรงปราศจากกิเลสตัณหา อันทาํ ใหเ วยี นวายตายเกดิ ในภพ ๓ คอื กามภพ รูปภพ และอรปู ภพ สรปุ พระพทุ ธคณุ พระพทุ ธคุณ ๙ ตงั้ แต อรหํ ถึง ภควา เปน เนมิตกนาม เกดิ โดยนมิ ิตคือ อรหัตตคุณ และ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ไมมีผูใดในมนุษยโลกและเทวดาโลก แตงต้ังถวาย พระมติของสมเด็จพระมหาสมณเจาฯ ทรงจัดพระพุทธคุณ ๙ ไว โดยยอ ๒ ประการ คอื พระปญ ญาคณุ กบั พระกรณุ าคณุ พระฎกี าจารยท งั้ หลาย จดั ไว ๓ ประการ คือ พระปญญาคุณ พระวิสุทธคิ ุณ และพระกรุณาคณุ ในพระคุณท้งั ๓ น้ี ขอ ที่เปน หลักและกลา วถงึ ทว่ั ไปในคัมภรี ตาง ๆ มี ๓ คอื ปญญา และ กรณุ า สว นวิสุทธิ เปน พระคุณเน่อื งอยูในพระปญญาอยแู ลวเพราะเปนผลเกิดเองจากการตรสั รู จงึ ไมแยกไว เปน ขอหนึ่งตางหาก พระพทุ ธคณุ บทวา อรห,ํ สมมฺ าสมพฺ ทุ โฺ ธ, วธิ ชฺ าจรณสมปฺ นโฺ น, สคุ โต, โลกวทิ ู จัดเขาในพระปญญาคุณ, บทวา อนุตฺตโร ปริสทมฺมสารถิ และสตฺถา เทวมนุสฺสานํ จดั เขาในพระกรุณาคุณ, บทวา พุทฺโธ และ ภควา จดั เขา ไดทั้งใน พระปญ ญาคณุ และ พระกรณุ าคณุ อีกอยางหนึ่ง บทวา อรหํ, สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู แสดงคุณสมบัติสวนพระองค เรียกวา อัตตหาตคุณ, บทวา อนุตฺตโร ปริสทมฺมสารถิ และ สตฺถาเทวมสุสฺสานํ แสดงคุณสมบัติเปนประโยชนแกผูอ่ืน เรียกวา ปรหิตคุณ, บทวา พุทฺโธ และภควา แสดงคุณสมบัติสวนพระองคและ เปน ประโยชนแกผ อู ื่นเรยี กวา อตั ตปรหติ คุณ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 105
106 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก วิปส สนากัมมัฏฐาน อทุ เทส สาธุชนมาทาํ วปิ สสนาปญ ญาที่เหน็ แจงชดั ในอารมณใ หเ กิดมขี ึ้นในจิต ดวยเจตนาอันใด เจตนาอันน้นั ชื่อวา วปิ สสนาภาวนา อธิบาย วิปสสนากัมมัฏฐาน (วิปสสนาภาวนา) หมายถึง กัมมัฏฐานอันเปนอุบายท่ี ทําใหเกิดปญญารูเห็นสภาวธรรมตามเปนจริง โดยความเปนไตรลักษณ คือ ไมเท่ียง เปน ทกุ ข เปนอนัตตา ธรรมเปนอารมณเ ปนภูมขิ องวิปส สนา ในการเจรญิ วิปสสนากัมมัฏฐาน ตองรจู ักอารมณของวิปส สนา อปุ มาเหมอื น การปลูกพืชพันธุ ธัญญาหารตองมีพ้ืนที่ ถาไมมีพ้ืนที่สําหรับปลูกแลว พืชก็เกิดไมได ธรรมอันเปนอารมณเปนภูมิของวิปสสนา คือส่ิงท่ียึดหนวงจิตใหเกิดวิปสสนาปญญา ท่อี ยู ๖ หมวด คอื ขันธ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรยี ๒๒ อริยสัจ ๔ และ ปฏจิ จสมุปบาท ๑๒ ธรรมท้งั หมวดนี้ ยอ เปน รูปและนาม ๑. ขนั ๕ คือ รูป เวทนา สญั ญา สังขาร และ วิญญาณ อธบิ ายดังน้ี ๑) รปู คือ รางกายอนั สงเคราะหด วยธาตุ ๔ คอื ดนิ นํา้ ไฟ ลม ๒) เวทนา คือ ความเสวยอารมณส ขุ ทุกข อุเบกขา ๓) สัญญา คอื ความจําไดหมายรอู ารมณหรอื ส่งิ ท่มี ากระทบกับอายตนะ ภายในคอื ตา หู จมกู ลิน้ กาย และใจ ๔) สงั ขาร คือ อารมณอนั เกิดกบั จติ เจตนาความคดิ อานทีป่ รงุ แตงจติ ใหด ีหรือช่ัวหรอื เปนกลางๆ ๕) วิญญาณ คอื ความรูแ จง อารมณท างทวาร ๖ คอื ตา หู จมูก ลน้ิ กาย และใจ 106
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 107 ๒. อายตนะ ๑๒ คําวา อายตนะ แปลวา ที่ตอ เคร่ืองตอ หมายถึง เคร่ืองรับรูอารมณของจิต แบงเปนอายตนะภายใน ๖ และอายตนะภายนอก ๖ คือ อายตนะภายใน ๖ คือ อายตนะภายใน ๖ ไดแก ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ อายตนะ ภายนอก ๖ ไดแก รปู เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ ๓. ธาตุ ๑๘ คาํ วา ธาตุ แปลวา สภาพทรงไว หมายถงึ ส่ิงทีท่ รงสภาวะของ ตนอยูเองตามท่ีเหตุปจจัยปรุงแตงขึ้น เปนไปตามธรรมดา ไมมีผูสราง ไมมีผูบันดาล มี ๑๘ อยาง คอื ๑) จักขธุ าตู ธาตุคือจักขปุ ระสาท (ตา) ๒) รปู ธาตุ ธาตุคอื รปู ๓) จกั ขวุ ิญญาณธาตุ ธาตคุ ือสภาวะทีร่ บั รรู ูปทางตา ๔) โสตธาตุ ธาตุคอื โสตประสาท (หู) ๕) สัททธาตุ ธาตุคอื เสียง ๖) โสตวญิ ญาณธาตุ ธาตคุ อื สภาวะทร่ี ับรูเสยี งทางหู ๗) ฆานธาตุ ธาตคุ อื ฆานประสาท (จมูก) ๘) คนั ธธาตุ ธาตคุ อื กลนิ่ ๙) ฆานวิญญาณธาตุ ธาตคุ ือสภาวะท่ีรบั รกู ลนิ่ ทางจมูก ๑๐) ชวิ หาธาตุ ธาตคุ อื ชวิ หาประสาท (ลิ้น) ๑๑) รสธาตุ ธาตุคอื รส ๑๒) ชวิ หาวญิ ญาณธาตุ ธาตุคอื สภาวะทรี่ บั รรู สทางลน้ิ ๑๓) กายธาตุ ธาตคุ ือกายประสาท ๑๔) โผฏฐพั พธาตุ ธาตคุ อื โผฏฐัพพะ (สง่ิ สมั ผัส) ๑๕) กายวิญญาณธาตุ ธาตุคือสภาวะทรี่ บั รสู มั ผัสทางกาย ๑๖) มโนธาตุ ธาตุคือมโน (จติ ) ๑๗) ธัมมธาตุ ธาตคุ อื ธมั มะ (ส่งิ ที่ใจนกึ คิด,อารมณ) ๑๘) มโนวญิ ญาณธาตุ ธาตคุ อื สภาวะท่ีรบั รูอ ารมณท างจติ ๔. อินทรีย ๒๒ คาํ วา อนิ ทรยี แปลวา สิง่ ท่เี ปน ใหญ หมายถึง อายตนะที่ เปน ใหญใ นการทาํ กิจของตน เชน ตาเปนใหญใ นการเหน็ เปนตน มี ๒๒ อยา ง คือ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 107
108 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªé¹Ñ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ๑) จกั ขนุ ทรยี อินทรยี คอื จกั ษุประสาท (ตา) ๒) โสติทรีย อนิ ทรยี คือโสตประสาท (หู) ๓) ฆานนิ ทรีย อินทรยี คือฆานประสาท (จมกู ) ๔) ชวิ หินทรยี อนิ ทรียคอื ชิวหาประสาท (ล้นิ ) ๕) กายนิ ทรยี อินทรยี ค ือกายประสาท (กาย) ๖) มนนิ ทรีย อนิ ทรียค ือมโน (จิต ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวง) ๗) อิตถนิ ทรีย อนิ ทรียอิตถีภาวะ (ความเปน หญงิ ) ๘) ปุริสนิ ทรยี อินทรยี ค ือปรุ ิสภาวะ (ความเปน ชาย) ๙) ชีวิตินทรีย อินทรยี คือชีวติ ๑๐) สุขินทรีย อินทรยี ค ือสุขเวทนา (ความรสู ึกเปนสุข) ๑๑) ทกุ ขนิ ทรีย อินทรยี คอื ทกุ ขเวทนา (ความรสู ึกเปน ทกุ ข) ๑๒) โสมนสั สินทรยี อนิ ทรียคือโสมนัสสเวทนา (ความรูสกึ ดใี จ) ๑๓) โทมนสั สินทรยี อนิ ทรยี คอื โทมนัสสเวทนา (ความรสู กึ เสียใจ) ๑๔) อเุ ปกขินทรยี อนิ ทรยี คืออเุ บกขาเวทนา (ความรสู กึ เปน กลาง) ๑๕) สัทธินทรีย อินทรียค ือศรัทธา มหี นา ทเ่ี ดน ดา นความเชอื่ ๑๖) วริ ยิ นิ ทรีย อนิ ทรยี คือวริ ยิ ะ มีหนา ทีเ่ ดน ดา นความเพยี ร ๑๗) สตินทรีย อินทรียค ือสติ มีหนาทเี่ ดน ดา นความระลกึ ชอบ ๑๘) สมาธนิ ทรยี อนิ ทรยี คอื สมาธิ มหี นา ทเ่ี ดนดานความตัง้ ใจม่ัน ๑๙) ปญญนิ ทรยี อนิ ทรียคือปญญา มหี นาทเ่ี ดน ดา นความรชู ดั ๒๐) อนัญญตัญญัสสามีตินทรีย อินทรียของผูปฏิบัติดวยมุงโสดาปตติ มคั คญาณ ๒๑) อญั ญนิ ทรยี คือปญญาอันรูทั่วถึงโสดาปตติผลญาณถึงอรหันต- มคั คญาณ ๒๒) อัญญาตาวินทรีย อนิ ทรียแหงทา นผรู ทู ั่วถึงอรหนั ตผลญาณ ๕. อรยิ สจั ๔ คําวา อริยสจั แปลวา ความจรงิ อันประเสรฐิ ความจริงท่ที ําให เขา ถงึ ความเปน พระอริยะ คอื ทกุ ข สมุทยั นิโรธ มรรค 108
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 109 ๖. ปฏจิ จสมปุ บาท ๑๒ คําวา ปฏิจจสมปุ บาท แปลวา ธรรมทอี่ าศยั กันและ กันเกดิ ขน้ึ พรอ มกนั เรียกอกี อยางวา ปจ จยาการ คืออาการทเี่ ปน ปจ จัยแกก ันและกัน ไดแก อวิชชา สงั ขาร วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา ตณั หา อปุ าทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ ธรรมทเี่ ปนเหตุเกิดข้นึ ตง้ั อยแู หง วิปสสนา ในวสิ ุทธิ ๗ ธรรมที่เปน เหตุเกิดขน้ึ ต้งั อยขู องวปิ ส สนา ไดแก วสิ ทุ ธิ ๒ ขอ ขางตน คอื ๑) สีลวสิ ุทธิ ความหมดจดแหงศีล ๒) จิตตวสิ ุทธิ ความหมดจดแหง จิต ผทู เ่ี จรญิ วปิ ส สนาเบอ้ื งตน ตอ งปฏบิ ตั ติ นใหม ศี ลี บรสิ ทุ ธแ์ิ ละมจี ติ บรสิ ทุ ธกิ์ อ น จงึ จะเจรญิ วปิ ส สนาตอ ไปได ถาเปน ผมู ศี ลี ไมบริสุทธ์ิ ยังมีจิตฟุง ซา น ไมเ ปน สมาธิ กไ็ ม ควรท่จี ะเจรญิ วิปส สนา ธรรมท่เี ปนตัววปิ ส สนา ในวิสุทธิ ๗ ธรรมท่ีเปน ตัววิปส สนา ไดแก วสิ ทุ ธิ ๕ ขอขา งทา ย คอื ๑) ทิฏฐิวิสทุ ธิ ความหมดจดแหงทฏิ ฐิ ๒) กงั ขาวิตรณวิสทุ ธิ ความหมดจดแหง ญาณเปน เคร่ืองขามพน ความสงสัย ๓) มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแหงญาณเปนเครื่องเห็นวา ทางหรอื มใิ ชทาง ๔) ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ความหมดจดแหง ญาณเปน เครอื่ งเหน็ ทางปฏบิ ตั ิ ๕) ญาณทัสสนวิสทุ ธิ ความหมดจดแหง ญาณทัสสนะ คืออริยมรรค ๔ อกี นยั หนึ่ง ธรรมทเ่ี ปน ตัววิปสสนา ไดแ ก ไตรลักษณ หรอื สามัญญลักษณะ ๓ คือ ๑) อนจิ จฺ ตา ความเปน ของไมเที่ยง ๒) ทุกขฺ ตา ความเปนทุกข ๓) อนตตฺ ตา ความเปนของมใิ ชตวั ตน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 109
110 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ลักษณะ กจิ ผล และเหตขุ องวปิ สสนา ลกั ษณะ คือ เครอ่ื งหมายของวิปสสนา ไดแก ความรูความเห็นวาสงั ขารเปน ของไมเทย่ี ง เปน ทุกข เปน อนตั ตา อยางแจง ชัดตามความเปนจริง กิจ คอื หนาท่ีของวปิ สสนา ไดแ ก ความขจัดมืดคือโมหะอนั ปด บงั ปญ ญาไว ไมใ หเหน็ ตามความเปนจริงของสงั ขารวา เปน ของไมเ ทย่ี ง เปน ทกุ ข เปน อนัตตา ผล คอื ประโยชนที่ไดรับจากการเจริญวิปสสนา ไดแก ความรูแจง เหน็ จรงิ ในสงั ขารวา เปน ของไมเ ที่ยง เปนทกุ ข เปน อนตั ตา ปรากฏเฉพาะหนา ดุจประทีปสอ ง สวา งอยูฉะน้ัน เหตุ คอื สง่ิ ท่สี นบั สนนุ ใหว ปิ สสนาเกดิ ขึน้ และดาํ รงอยู ไดแก ความท่จี ติ ไม ฟุง ซา น ต้ังมนั่ เปน สมาธิ วภิ าคของวปิ สสนา วภิ าค หมายถงึ การแยกสว นพจิ ารณาอารมณว ิปส สนา ๖ สวน คอื ๑) อนจิ จฺ ํ สว นท่ีไมเ ทีย่ ง คือสังขารท่ปี จ จัยปรงุ แตงสรา งข้ึน เปน ของไมเ ทีย่ ง เพราะเกดิ ข้ึนแลว แปรปรวนเปน อยางอืน่ ไป ไมค งอยอู ยางเดมิ ๒) อนจิ จฺ ลกขฺ ณํ สว นทเ่ี ปน ลกั ษณะของความไมเ ทย่ี ง คอื เครอ่ื งหมายกาํ หนด ใหรูวา สงั ขารเปน ของไมเ ท่ียง มีความเกดิ ขึน้ แลว แปรปรวนเปนอยางอ่ืนไป ไมค งอยู อยา งเดิม ๓) ทกุ ขฺ ํ สวนทเี่ ปน ทุกข คือสังขารที่เปน ตัวทุกข เพราะมีความเกดิ -ดับ และ มีความเปล่ียนแปลงเปน อยา งอื่นดวยทกุ ขท ่ีเกดิ จากชรา พยาธิ มรณะอยเู ปนนติ ย ๔) ทุกฺขลกฺขณํ สวนท่ีเปนลักษณะของความทุกข คือเคร่ืองหมายกําหนด ใหร วู า สังขารเปนทกุ ข เพราะถูกชรา พยาธิ มรณะ บบี ค้นั เบยี ดเบียนเผาผลาญทําลาย ใหเ ปน ทกุ ขอ ยูเปน นิตย ๕) อนตฺตา สวนทเ่ี ปนอนตั ตา คอื ความท่สี งั ขารและวิสงั ขารเปน อนัตตา เปน สภาพวา งจากตวั ตน มิใชส ัตว บุคคล ตวั ตน เราเขา ๖) อนตฺตลกขฺ ณํ สว นทีเ่ ปน ลกั ษณะของอนัตตา คอื เคร่อื งหมายกําหนดใหร ู วา สังขารและวสิ ังขารเปนสภาพทีไ่ มม ตี วั ตน มิใชสัตว บคุ คล ตัวตน เราเขา 110
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 111 ผูเ จริญวปิ ส สนามี ๒ ประเภท ๑) สมถยานิก ผูมีสมถะเปนยาน หมายถึง ผูเจริญสมถะจนไดบรรลุฌาน สมาบตั แิ ลว จงึ อาศยั สมถะนน้ั เปน พน้ื ฐานเจรญิ วปิ ส สนาตอ ไป เมอ่ื บรรลเุ ปน พระอรหนั ต แลว เปน ผมู คี ณุ วิเศษตางๆ เชน สามเณรแสดงฤทธ์ไิ ด เปน ตน ๒) วิปส สนายานิก ผมู ีวปิ ส สนายาน หมายถงึ ผูเ จรญิ วิปสสนาอยา งเดียวไป จนบรรลุเปนพระอรหันต โดยมิไดเจริญสมถะ ไมไดฌานสมาบัติมากอน เม่ือเจริญวิปสสนาก็กําหนดนามรูปเปนอารมณ ยกข้ึนสูไตรลักษณ เม่ือบรรลุเปน พระอรหนั ตแ ลวไมสามารถแสดงฤทธไ์ิ ด เรียกวา สกุ ขวิปส สกะ (ผเู จริญวิปส สนาลวน) วปิ ส สนปู กเิ ลส ๑๐ อยา ง ผูเจริญวิปสสนา อาจมีส่ิงท่ีมาทําใหจิตเศราหมองในระหวางเจริญวิปสสนา เรียกวา วปิ ส สนปู กเิ ลส เครือ่ งเศราหมองแหง วิปสสนา คอื ธรรมารมณท ่เี กิดแกผ ไู ด วปิ ส สนาออ นๆ จนทาํ ใหส าํ คญั วา ตนบรรลมุ รรคผลแลว เปน เหตขุ ดั ขวางใหไ มก า วหนา ตอ ไปในวปิ ส สนาญาณ มี ๑๐ อยา ง คอื ๑) โอภาส แสงสวา งเกดิ แตว ปิ ส สนาจติ ซานออกจากสรีระ ๒) ญาณ ความหยั่งรู หรอื วิปสสนาญาณทเี่ ห็นนามรูปแจง ชดั ๓) ปติ ความอ่ิมใจทแ่ี ผซานไปทั่วรา งกาย ๔) ปส สัทธิ ความสงบกายและจติ ระงับความกระวนกระวายได ๕) สขุ ความสุขกายและจติ ทเี่ ย็นประณตี ๖) อธโิ มกข ความนอ มใจเชอ่ื มศี รทั ธากลา เปน ทผ่ี อ งใสของจติ และเจตสกิ ๗) ปค คาหะ ความเพียรสมํา่ เสมอประคองจติ ไวด วยดีในอารมณ ๘) อุปฏ ฐาน ความท่สี ตติ ้งั มัน่ ปรากฏชัด ความมสี ติแกกลา ๙) อุเบกขา ความมีจิตเปน กลางในสงั ขารทัง้ ส้ินอยางแรงกลา ๑๐) นิกนั ติ ความพอใจอาลยั ในวปิ ส สนาทสี่ ขุ มุ ละเอยี ด ผเู จรญิ วปิ ส สนา เมอ่ื วปิ ส สนปู กเิ ลส ๑๐ อยา งใดอยา งหนง่ึ เกดิ ขนึ้ พงึ พจิ ารณา รูเทาทันวา “ธรรมดังกลาวไมใชวิปสสนา หากแตเปนอุปกิเลสแหงวิปสสนา ไมใชทาง มรรคผล” แลวไมยินดี ไมหลงในธรรมท่ีเปนอุปกิเลสนั้น โดยไมหยุดความเพียรใน การเจริญวิปสสนากจ็ ะสามารถยกจติ ขนึ้ สูว ปิ ส สนาญาณขนั้ สงู ได คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 111
112 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก สรุปความ ผเู จรญิ วปิ ส สนาจนไดว ปิ ส สนาญาณ ยอ มเหน็ นามรปู โดยความเปน ไตรลกั ษณ คือ ไมเท่ียง เปนทุกข เปนอนัตตา ตามความเปนจริง จะไดรับอานิสงสมากกวา การบําเพ็ญทาน และการรักษาศีล โดยมอี านสิ งส ๔ อยา ง คอื (๑) มสี ตมิ ัน่ คง ไมห ลงตาย (ตายอยางมสี ต)ิ (๒) เกิดในสุคตภิ พ คือ โลกมนษุ ยและโลกสวรรค (๓) เปนอปุ นสิ ยั แหง มรรค ผล นพิ พาน ตอ ไปในเบอ้ื งหนา (๔) ถา มอี ุปนิสยั แหง มรรค ผล นิพพาน ก็สามารถบรรลไุ ดในชาติน้ี การเจริญวิปสสนา จัดเปนปฏิบัติบูชาอันเลิศ อันประเสริฐที่สุดใน พระพุทธศาสนา เพราะสามารถทําใหพนจากกิเลสและกองทุกข ปดประตูอบายภูมิได ฉะนัน้ พุทธศาสนกิ ชนไมพ งึ ประมาท ควรหาโอกาสบาํ เพ็ญวิปส สนาโดยทวั่ กันเถิด จบ วชิ าธรรม ธรรมศึกษาชน้ั เอก 112
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 113 ¢ŒÍÊͺ¸ÃÃÁʹÒÁËÅǧ ËÅ¡Ñ Êμ٠øÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé àÍ¡ ÇªÔ Ò ¸ÃÃÁÇÔ¨Òó ¾.È. òõõ÷ - òõõø คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 113
114 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªéѹàÍ¡ ปญ หาและเฉลยวิชาธรรม ธรรมศกึ ษาชัน้ เอก สอบในสนามหลวง วันพุธที่ ๑๒ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ******************** คําส่ัง : จงเลือกคําตอบท่ีถูกที่สุดเพียงคําตอบเดียว แลวกากบาทลงในชอง ของขอที่ ตอ งการในกระดาษคําตอบใหเวลา ๕๐ นาที (๑๐๐ คะแนน) ๑. นพิ พทิ า มคี วามหมายตรงกบั ขอ ใด ? เฉลยขอ ก. ก. ความดบั ทกุ ข ๕. รปู เสียง กลนิ่ รส ที่นาปรารถนา ข. ความหนายในทกุ ข จดั เปนอะไร ? ค. ความหนายอตั ภาพ ก. กเิ ลสกาม ข. วตั ถุกาม ง. ความหนา ยในอาหาร ค. มาร ง. กิเลสตัณหา เฉลยขอ ข. เฉลยขอ ข. ๒. สทู ง้ั หลายจงมาดโู ลกนี้ คาํ วา สทู งั้ หลาย ๖. เสยี งประเภทใด จดั เปนบว งแหง มาร ? หมายถงึ ใคร ? ก. เสียงสรรเสริญ ข. เสยี งผรุสวาท ก. หมูสตั ว ข. หมูพุทธบริษทั ค. เสยี งนนิ ทา ง. เสยี งมสุ าวาท ค. หมูฆราวาส ง. หมูพระภกิ ษุ เฉลยขอ ก. เฉลยขอ ข. ๗. การสาํ รวมอนิ ทรีย ตองเริ่มท่ีใคร ? ๓. พวกผูร ูหาขอ งอยไู ม คาํ วา ผรู ู ก. พระสงฆ ข. ครอู าจารย หมายถึงใคร ? ค. ตนเอง ง. นกั เรยี น ก. คนมกี ารศึกษา เฉลยขอ ค. ข. คนมีวสิ ยั ทศั น ๘. เหน็ สงั ขารอยา งไร จึงหนายในทุกข ? ค. คนมีสติ ก. เห็นดว ยตา ข. เหน็ ดว ยสมาธิ ง. คนเห็นโลกตามจรงิ ค. เห็นดว ยปญญา ง. เหน็ ดวยฌาน เฉลยขอ ง. เฉลยขอ ค. ๔. ผขู องอยใู นโลก มีอาการเชน ใด ? ๙. อนิจฺจตา กําหนดรูไดดว ยอาการอยา งไร ? ก. ติดสิ่งลอใจ ข. ติดขาวสาร ก. เกิดข้ึนแลวดบั ไป ค. ตดิ ส่ิงเสพติด ง. ติดเพอ่ื น ข. ไมอ ยูในอํานาจ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก 114
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 115 ค. ทนไดย าก ง. เปนสภาพคงที่ ค. สหคตทกุ ข ง. ววิ าทมูลกทุกข เฉลยขอ ก. เฉลยขอ ค. ๑๐. ทุกขฺ ตา มลี กั ษณะเชนไร ? ๑๗. อนตั ตลักขณะ ตรงกบั ขอ ใด ? ก. หาเจาของมไิ ด ข. ไมใชต ัวตน ก. ไมอ ยใู นอํานาจ ค. ไมเ ท่ยี ง ง. ทนไดยาก ข. หาเจา ของมไิ ด เฉลยขอ ง. ค. แยง ตอ อตั ตา ๑๑. ขอใดจดั เปน ทุกขประจาํ สงั ขาร ? ง. ถูกทกุ ขอ ก. เกดิ แกตาย ข. โศกเศรา เฉลยขอ ง. ค. หิวกระหาย ง. เจบ็ ไข ๑๘. การไมเ ห็นสังขารเปน อนตั ตา เฉลยขอ ก. เพราะอะไรปด บงั ไว ? ๑๒. ปกณิ ณกทกุ ข ไดแกขอใด ? ก. นจิ จสัญญา ข. ฆนสัญญา ก. เกิดแกต าย ข. เสยี ใจ ค. สันตติ ง. อิรยิ าบถ ค. หนาวรอน ง. เจบ็ ไข เฉลยขอ ข. เฉลยขอ ข. ๑๙. เหน็ สังขารเปนอนตั ตามปี ระโยชนอ ยา งไร ? ๑๓. ขอ ใด จดั เปน นพิ ทั ธทุกข ? ก. ละความอยาก ข. ละความถอื ม่ัน ก. กังวลใจ ข. กลวั แพคดี ค. ละความโกรธ ง. ละความโลภ ค. คบั แคนใจ ง. ปวดปส สาวะ เฉลยขอ ข. เฉลยขอ ง. ๒๐. วิราคะตรงกบั ขอ ใด ? ๑๔. ขอใด จัดเปน สนั ตาปทุกข ? ก. สน้ิ กิเลส ข. สน้ิ วฏั ฏะ ก. ถูกแดดเผา ข. ถกู กเิ ลสเผา ค. สิ้นอาลัย ง. สิน้ กาํ หนัด ค. ถูกไฟเผา ง. ถกู ความหิวเผา เฉลยขอ ง. เฉลยขอ ข. ๒๑. คาํ วา ธรรมยงั ความเมาใหส รางนัน้ ๑๕. ขอ ใด จัดเปนวิปากทกุ ข ? หมายถงึ เมาในอะไร ? ก. คาความ ข. แจง ความ ก. ลาภยศสรรเสริญ ค. กลัวแพคดี ง. ถูกจองจาํ ข. สรุ าเมรยั เฉลยขอ ง. ค. ความรกั ๑๖. เสอ่ื มยศ จัดเขา ในทกุ ขประเภทใด ? ง. ส่งิ เสพติดใหโทษ ก. สันตาปทกุ ข ข. นิพัทธทุกข เฉลยขอ ก. คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 115
116 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé àÍ¡ ๒๒. ขอใด ไมใ ชไ วพจนแหงวิราคะ ? ๒๗. พจิ ารณาเห็นสังขารเปน ทกุ ข ก. นพิ พาน ข. นโิ รธ จดั เปนญาณใด? ค. อโลภะ ง. ตัณหกั ขยะ ก. อาทีนวญาณ เฉลยขอ ค. ข. อุทยพั พยญาณ ค. ภยตปู ฏ ฐานญาณ ๒๓. เพราะส้นิ กําหนดั จติ ยอมหลดุ พน ง. นพิ พิทาญาณ จากอะไร ? เฉลยขอ ก. ก. ตณั หา ข. อาสวะ ค. ราคะ ง. นวิ รณ ๒๘. พจิ ารณาเห็นสงั ขารอยางไร เฉลยขอ ข. จดั เปน ภยตูปฏฐานญาณ ? ก. เห็นเปนทกุ ข ๒๔. วิมตุ ตขิ อใดจัดเปนโลกิยะ ? ข. เหน็ เปนของยอยยบั ก. ตทงั ควมิ ตุ ติ ค. เหน็ ความเกดิ ดบั ข. สมุจเฉทวิมตุ ติ ง. เห็นเปนของนา กลัว ค. ปฏปิ ส สัทธิวมิ ุตติ เฉลยขอ ง. ง. นสิ สรณวมิ ตุ ติ เฉลยขอ ก. ๒๙. อรยิ มรรคขอ ใด จดั เขาในสลี วสิ ุทธิ ? ก. สัมมาวาจา ข. สมั มาวายามะ ๒๕. วมิ ตุ ตขิ อ ใด จัดเปน โลกตุ ตระ ? ค. สมั มาสติ ง. สัมมาสมาธิ ก. สมุจเฉทวิมตุ ติ เฉลยขอ ก. ข. ปฏิปส สทั ธิวิมตุ ติ ค. นิสสรณวมิ ตุ ติ ง. ถกู ทกุ ขอ ๓๐. อรยิ มรรคขอ ใด จดั เขาในจิตตวิสทุ ธิ ? เฉลยขอ ง. ก. สมั มาวาจา ข. สัมมากมั มนั ตะ ค. สัมมาอาชวี ะ ง. สมั มาวายามะ ๒๖. หลุดพน ดว ยอรยิ มรรค จัดเปน เฉลยขอ ง. วมิ ตุ ตใิ ด ? ก. ตทังควมิ ตุ ติ ๓๑. พิจารณาเหน็ สงั ขารเปนไตรลกั ษณ ข. สมุจเฉทวิมุตติ จดั เปนวสิ ทุ ธิใด ? ค. ปฏิปสสัทธวิ ิมตุ ติ ก. สลี วสิ ุทธิ ง. นิสสรณวิมุตติ ข. จติ ตวิสทุ ธิ เฉลยขอ ข. ค. ทิฏฐิวสิ ทุ ธิ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก 116
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 117 ง. กงั ขาวติ รณวสิ ุทธิ ค. เขาถงึ นพิ พาน เฉลยขอ ค. ง. เขาเฝาพระพุทธเจา ๓๒. ความหมดจดแหงญาณเปน เคร่ืองขาม เฉลยขอ ค. ความสงสัย จดั เปนวสิ ทุ ธิใด ? ๓๗. บาลวี า สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ าติ ก. สลี วสิ ทุ ธิ ยนื ยัน นพิ พานวา...? ข. จติ ตวิสุทธิ ก. เปนอนัตตา ค. ทฏิ ฐิวสิ ุทธิ ข. เปนอตั ตา ง. กงั ขาวติ รณวิสทุ ธิ ค. เปนสภาวะสญู เฉลยขอ ง. ง. เปน สภาวะเที่ยง ๓๓. สุขอ่ืนย่ิงกวา ความสงบยอมไมม ี เฉลยขอ ก. หมายถงึ สงบจากอะไร ? ๓๘. ปฏิบตั ิอยางไร ช่อื วา เขาใกลนพิ พาน ? ก. เวรภยั ข. กิเลส ก. รกั ษาศลี ประจาํ ค. ความวุนวาย ง. สงคราม ข. ฟง ธรรมเปนนิตย เฉลยขอ ข. ค. ฝกจติ สมํ่าเสมอ ๓๔. ผูเ พงความสงบพงึ ละโลกามสิ เสีย ง. เหน็ ภยั ในความประมาท คําวา โลกามิส หมายถึงอะไร ? เฉลยขอ ง. ก. กามคณุ ข. กามกเิ ลส ๓๙. คําวา นพิ พานมิใชโลกนี้หรอื โลกอนื่ นั้น ค. กามฉันทะ ง. กามราคะ สองความวา นพิ พานเปน... ? เฉลยขอ ก. ก. โลกทพิ ย ข. โลกพเิ ศษ ๓๕. ขอใด ทําใหเกดิ สนั ตภิ ายนอก ? ค. โลกสมมติ ง. ไมม ีขอถูก ก. ใหท าน ข. รกั ษาศลี เฉลยขอ ง. ค. เจรญิ ภาวนา ง. เจริญเมตตา ๔๐. ขอใด กลาวถึงสอปุ าทิเสสนิพพาน เฉลยขอ ข. ไดถูกตอง ? ๓๖. จุดมุงหมายสงู สดุ ของพระพุทธศาสนา ก. ปฏบิ ัติเพอื่ ละกเิ ลส คอื อะไร ? ข. สิ้นกเิ ลส ส้ินชีวติ ก. เกิดในสวรรค ค. สน้ิ กิเลส มีชีวิตอยู ข. เกดิ ในพรหมโลก ง. มีกเิ ลส มีชวี ติ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 117
118 ¤Á‹Ù ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé àÍ¡ เฉลยขอ ค. ง. อานาปานัสสติ ๔๑. การบรรลุนพิ พานมีผลอยางไร ? เฉลยขอ ค. ก. เพลิดเพลนิ อยางยิ่ง ๔๖. คนรกั งายหนายเรว็ ควรเจริญกัมมฏั ฐาน ข. เปนสขุ อยา งย่ิง ขอใด ? ค. ยนิ ดอี ยางยง่ิ ก. สลี านสุ สติ ง. ร่นื รมยอ ยา งยิ่ง ข. อสุภกมั มฏั ฐาน เฉลยขอ ข. ค. เมตตาพรหมวหิ าร ง. กสิณ ๔๒. สมถกมั มฏั ฐาน มคี วามหมาย เฉลยขอ ข. ตรงกบั ขอ ใด ? ๔๗. การเจริญมรณสั สติ มปี ระโยชนอ ยางไร ? ก. การกําจัดกเิ ลส ก. เกดิ ความไมประมาท ข. การละสงั โยชน ข. เกดิ ความทกุ ข ค. การรแู จง เหน็ จริง ค. เกดิ ความวางเฉย ง. การทาํ ใจใหส งบ ง. เกดิ ความสลดใจ เฉลยขอ ง. เฉลยขอ ก. ๔๓. ขอ ใด เปนมลู กัมมฏั ฐาน ? ๔๘. เหน็ แจง อะไร จัดเปน วปิ ส สนา ? ก. ดนิ นํา้ ลม ไฟ ก. รปู ข. นาม ข. รูป เสียง กลน่ิ รส ค. เวทนา ง. นามรปู ค. ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั เฉลยขอ ง. ง. ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ๔๙. ขอ ใด เปน อารมณข องวปิ สสนา ? เฉลยขอ ค. ก. พรหมวหิ าร ข. นามรูป ๔๔. การเจริญมูลกัมมัฏฐาน กาํ จดั นิวรณใ ด ? ค. อสภุ ะ ง. กสณิ ก. กามฉันทะ ข. พยาบาท เฉลยขอ ข. ค. ถนี มทิ ธะ ง. วิจกิ ิจฉา ๕๐. พจิ ารณากายอยางไร จงึ จัดเปน เฉลยขอ ก. วิปสสนา ? ๔๕. คนโกรธงาย ควรเจรญิ กัมมัฏฐานขอใด ? ก. ปฏกิ ูล ข. ไมสะอาด ก. กายคตาสติ ค. นา เกลียด ง. ไมเทีย่ ง ข. อสภุ กัมมฏั ฐาน เฉลยขอ ง. ค. เมตตาพรหมวหิ าร คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก 118
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 119 ปญ หาและเฉลยวชิ าธรรม ธรรมศึกษาชั้นเอก สอบในสนามหลวง วนั องั คารที่ ๑ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ******************** คําสั่ง : จงเลือกคําตอบที่ถูกท่ีสุดเพียงคําตอบเดียว แลวกากบาทลงในชอง ของขอท่ี ตองการในกระดาษคาํ ตอบใหเวลา ๕๐ นาที (๑๐๐ คะแนน) ๑. ความหนายในทุกข ตรงกบั ขอ ใด ? ๕. ผใู ดระวังจติ ผนู นั้ จกั พนจากบว งแหงมาร ก. วริ าคะ ข. นพิ พทิ า คาํ วา มาร ไดแกอ ะไร ? ค. วิมตุ ติ ง. วสิ ุทธิ ก. กเิ ลสกาม ข. วัตถกุ าม เฉลยขอ ข. ค. รปู เสียง ง. กล่ินรส ๒. สูทัง้ หลายจงมาดูโลกน้ี คําวา โลก เฉลยขอ ก. หมายถึงอะไร ? ๖. วตั ถกุ าม ไดช่อื วาเปน บว งแหง มาร ก. หมสู ตั ว ข. แผนดิน เพราะเหตุใด ? ค. น้าํ ง. อากาศ ก. ผกู ใจใหห ลงตดิ ข. ใหร อนใจ เฉลยขอ ก. ค. ใหห มองใจ ง. ใหเ ศรา ใจ ๓. คนเขลา ในคาํ วา พวกคนเขลาหมกอยู เฉลยขอ ก. หมายถึงใคร ? ๗. ปฏบิ ตั ิอยางไร จงึ จกั พน จากบว งแหง มาร ? ก. คนเหน็ ผิด ก. ใหท าน ข. รักษาศลี ข. คนดอื้ ค. ฟงธรรม ง. สาํ รวมจติ ค. คนเสียสติ เฉลยขอ ง. ง. คนไรค วามสามารถ ๘. อารมณท ม่ี ากระทบทางกาย เรยี กวา อะไร ? เฉลยขอ ก. ก. รูป ข. เสียง ๔. ผรู ู ในคาํ วา ผรู หู าขอ งอยไู ม หมายถงึ ค. รส ง. โผฏฐัพพะ รูอะไร ? เฉลยขอ ง. ก. ขาวสาร ข. สถานการณ ๙. รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ค. จักรวาล ง. โลกตามเปน จรงิ รวมเรียกวา อะไร ? เฉลยขอ ง. ก. อินทรยี ๕ ข. กามคุณ ๕ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 119
120 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé àÍ¡ ค. ขันธ ๕ ง. พละ ๕ ๑๖. การสคู ดีความเพราะทะเลาะกนั เฉลยขอ ค. จดั เขาในทกุ ขใ ด ? ๑๐. ความเกิดขน้ึ ในเบื้องตนและดบั ไป ก. สนั ตาปทุกข ข. วิปากทกุ ข ในทีส่ ดุ เปนลกั ษณะของอะไร ? ค. สหคตทุกข ง. ววิ าทมลู กทุกข ก. อนิจจฺ ตา ข. ทกุ ขตา เฉลยขอ ง. ค. อนัตตตา ง. สญุ ญตา ๑๗. ความไมอ ยูในอาํ นาจ เปนอาการ เฉลยขอ ก. ของอะไร ? ๑๑. ความทนไดย าก เปนลักษณะของอะไร ? ก. อนิจจตา ข. ทุกขตา ก. อนิจจฺ ตา ข. ทกุ ขตา ค. อนตั ตตา ง. ถกู ทุกขอ ค. อนัตตตา ง. สุญญตา เฉลยขอ ค. เฉลยขอ ข. ๑๘. ความหนายในขันธ ๕ ทเ่ี กดิ ดว ยปญ ญา ๑๒. ความเกดิ แกต าย จัดเปน ทกุ ขป ระเภทใด ? จดั เปน อะไร ? ก. สภาวทุกข ข. ปกิณณกทุกข ก. นพิ พิทาญาณ ข. วริ าคะ ค. นิพทั ธทกุ ข ง. พยาธิทกุ ข ค. วิมุตติ ง. วสิ ุทธิ เฉลยขอ ก. เฉลยขอ ก. ๑๓. หวิ ขา วหวิ นํ้า จัดเปนทุกขอ ะไร ? ๑๙. ธรรมเปนยอดแหงธรรมทั้งปวง ก. นพิ ัทธทุกข ข. พยาธทิ กุ ข ไดแกข อใด ? ค. สนั ตาปทุกข ง. วปิ ากทุกข ก. วริ าคะ ข. วมิ ุตติ เฉลยขอ ก. ค. วสิ ุทธิ ง. สนั ติ ๑๔. กระวนกระวายใจเพราะถกู ไฟกิเลส เฉลยขอ ก. แผดเผาจดั เปนทกุ ขอะไร ? ๒๐. ความนาํ เสยี ซงึ่ ความระหาย ก. นพิ ทั ธทกุ ข ข. พยาธิทุกข ตรงกบั ไวพจนของวริ าคะขอใด ? ค. สันตาปทุกข ง. วิปากทุกข ก. มทนิมมทโน ข. ปป าสวินโย เฉลยขอ ค. ค. วฏั ฏป จเฉโท ง. ตณั หกั ขโย ๑๕. ขอ ใด จดั เปน สหคตทกุ ข ? เฉลยขอ ข. ก. ถูกจองจํา ข. หิวกระหาย ๒๑. การตัดขาดกเิ ลสกรรมวบิ ากตรงกบั ค. เสือ่ มยศ ง. เจ็บปวย ไวพจนของวิราคะขอ ใด ? เฉลยขอ ค. ก. มทนิมมทโน ข. ปป าสวินโย คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก 120
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 121 ค. อาลยสมุคฆาโต ง. วัฏฏป จ เฉโท ๒๖. ความบริสทุ ธ์หิ มดจดจากกิเลส เฉลยขอ ง. โดยสิน้ เชิงยอมมีไดด ว ยอะไร ? ๒๒. การออ นวอนบวงสรวง สงเคราะห ก. ทาน ข. ศีล เขา ในอาสวะใด ? ค. สมาธิ ง. ปญญา ก. กามาสวะ ข. ภวาสวะ เฉลยขอ ง. ค. ทิฏฐาสวะ ง. อวชิ ชาสวะ ๒๗. สทุ ธฺ ิอสุทธฺ ปิ จจฺ ตฺตํ มคี วามหมาย เฉลยขอ ง. ตรงกับขอใด ? ๒๓. การระงับอกุศลเจตสกิ ไดเปน ครง้ั คราว ก. ดีช่วั อยทู ี่ตัวทํา ข. บญุ บาปไมมี จดั เปน วิมุตติใด ? ค. เทพบันดาล ง. พรหมลขิ ิต ก. ตทังควมิ ตุ ติ เฉลยขอ ก. ข. สมุจเฉทวิมตุ ติ ๒๘. พิจารณาเหน็ สงั ขารวา ไมเ ทีย่ ง ค. วกิ ขมั ภนวิมตุ ติ จดั เปนญาณใด ? ง. นิสสรณวมิ ุตติ ก. อุทยพั พยญาณ ข. ภังคญาณ เฉลยขอ ก. ข. อาทีนวญาณ ง. นพิ พทาญาณ ๒๔. ความหลุดพนเพราะขมไวดว ยกาํ ลงั ฌาน เฉลยขอ ก. จัดเปนวิมตุ ติใด ? ๒๙. พิจารณาเห็นสงั ขารอยา งไร ก. ตทงั ควมิ ุตติ จดั เปนภังคญาณ ? ข. สมจุ เฉทวมิ ุตติ ก. เห็นวาเปน ทุกข ข. เห็นวายอยยบั ค. วิกขมั ภนวิมตุ ติ ค. เห็นวา เกดิ ดับ ง. เหน็ วา นากลวั ง. นสิ สรณวิมุตติ เฉลยขอ ข. เฉลยขอ ค. ๓๐. พิจารณาเห็นสงั ขารอยา งไร ๒๕. ความหลุดพน ดวยความสงบราบ จดั เปน อาทีนวญาณ ? จัดเปน วิมุตตใิ ด ? ก. เหน็ วาเปนทกุ ข ข. เหน็ วา ยอ ยยบั ก. ตทงั ควิมุตติ ค. เห็นวาเกดิ ดับ ง. เห็นวา นา กลัว ข. สมุจเฉทวิมตุ ติ เฉลยขอ ก. ค. วกิ ขัมภนวมิ ตุ ติ ๓๑. สมั มาสติ ในอริยมรรคมีองค ๘ ง. ปฏปิ ส สทั ธวิ มิ ุตติ จดั เขาในอริยมรรคขอใด ? เฉลยขอ ง. ก. สีลวิสุทธิ ข. จิตตวิสทุ ธิ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 121
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362