272 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ๔. กิเลสหรือเจตนา มีกิเลสหรือเจตนาแรงก็มีโทษมาก มีกิเลส หรือ เจตนาออนก็มีโทษนอย เชน ฆาดวยโทสะ หรือจงใจเกลียดชัง มีโทษมากกวาฆา เพ่อื ปองกันตัว เปนตน เจตนาในการฆาดวยอํานาจโลภะ โทสะ โมหะ หากมีเจตนาแรงกลายอมมี บาปมาก หากเจตนาออ นยอ มมบี าปนอ ย เชน การฆา ดว ยการเหน็ แกอ ามสิ สนิ จา งรางวลั การฆา ดว ยความอาํ มหติ โหดเหย้ี มเคยี ดแคน พยาบาท การฆา ดว ยความเปน มจิ ฉาทฏิ ฐิ การฆาโดยไมมีเหตุผล หรือการฆาเพื่อความสนุกสนาน ยอมมีบาปมากนอยลดหล่ัน กนั ไป ในกรณที ่ีไมม ีเจตนากไ็ มบาป ดังเร่ืองพระจกั ขุบาลเถระซ่งึ จกั ษุบอดท้ังสองขา ง เดนิ จงกรมเหยยี บแมลงเมา ตายเปน จาํ นวนมาก แตไ มม เี จตนาทจ่ี ะฆา ดงั ทพี่ ระพทุ ธเจา ตรัสวา “ภิกษุท้ังหลาย ข้ึนช่ือวาเจตนาเปนเหตุใหตายของพระขีณาสพทั้งหลาย มิไดมี” ในการฆาสัตวน ้นั ผูฆ า ยอมไดร บั กรรมวิบาก ๕ สถาน คอื ๑. ยอมเกดิ ในนรก ๒. ยอ มเกิดในกําเนิดสตั วเดรจั ฉาน ๓. ยอมเกดิ ในกําเนิดเปรตวสิ ัย ๔. ยอมเปนผมู อี วยั วะพิการ ๕. โทษเบาทีส่ ดุ หากเกดิ เปน มนุษย ยอมเปน ผูมอี ายุสน้ั ตวั อยา งโทษของปาณาตบิ าต เร่อื งนายโคฆาตก มีเร่ืองเลา วา ในคร้ังพทุ ธกาล ในพระนครสาวัตถี มีชายคนหน่งึ ชอื่ โคฆาตก มีอาชีพฆาโคขายเน้ือเล้ียงชีวิต เปนเวลา ๕๕ ป ตลอดเวลาท่ีเขาทําอาชีพน้ี ไมเคย บรจิ าคทานและรกั ษาศลี เลย ถา วนั ใดขาดเนอ้ื จะไมย อมรบั ประทานอาหาร วนั หนึ่ง นายโคฆาตกข ายเนือ้ ตอนกลางวนั แลว มอบเนื้อสว นหนึง่ ใหภ รรยา ไวทํากับขาว เสร็จแลวไปอาบนํ้า ขณะน้ัน เพ่ือนของเขาคนหน่ึงมีแขกมาท่ีบาน ไมมี กับขาวตอนรับจึงมายังบานของนายโคฆาตก ขอซื้อเนื้อกับภรรยานายโคฆาตกเพ่ือนํา ไปทําอาหารตอนรับแขก ภรรยานายโคฆาตกไมยอมขายใหเพราะไมมีเนื้อสําหรับขาย 272
ÇÔªÒÇԹѠ(¡ÃÃÁº¶) 273 มีแตเนื้อท่ีเกบ็ ไวท าํ อาหารใหส ามเี ทา นั้น เพราะทราบดีวา นายโคฆาตกข าดเนอ้ื เสยี แลว จะไมย อมรบั ประทานอาหาร แตเ พอ่ื นของนายโคฆาตกก ไ็ มย อมฟง ไดห ยบิ ฉวยเอาเนอ้ื น้ันไปโดยพลการ นายโคฆาตกอาบน้ําเสร็จแลวรีบกลับมา ภรรยาจึงคดขาวมาเพ่ือใหเขากิน กับผักตมและไดเลาเหตุการณท่ีเกิดข้ึนใหเขาฟง เขาไมยอมรับประทานอาหาร ไดหยิบฉวยมีดที่คมกริบเดินเขาไปหาโคตัวหน่ึง สอดมือเขาไปในปาก ดึงล้ินออก มาแลวเอามีดตดั จนขาด นํามาใหภรรยาทาํ กบั ขา ว โคตัวนนั้ กส็ ้ินใจตายดว ยความเจบ็ ปวดทรมาน เมอ่ื กบั ขา วเสรจ็ แลว เขากเ็ รมิ่ รบั ประทานอาหาร ทนั ทที เี่ ขาใสช น้ิ เนอ้ื เขา ไป ในปาก ล้ินของเขากไ็ ดข าดตกลงไปในชามขา ว ไดรับผลกรรมทนั ตาเหน็ เพราะการทํา ปาณาตบิ าตดว ยจติ ใจทเ่ี หยี้ มโหด เลอื ดไหลออกจากปาก เขาเทย่ี วคลานไปในบา นและ รอ งครวญครางดวยความเจ็บปวดเหมือนโค ครน้ั ตายแลว กไ็ ปเกดิ ในอเวจีนรก ๒. อทินนาทาน การลกั ทรพั ย ความเสยี หายของอทนิ นาทาน ทรพั ยส มบตั ทิ ห่ี ามาไดด ว ยความชอบธรรม เปน สทิ ธขิ องบคุ คลทเ่ี ปน เจา ของ เพื่อใชเล้ียงชีพของตนและครอบครัวใหมีความสุขตามอัตภาพ กอใหเกิดความภาค ภูมิใจความรักและหวงแหน ไมตองการใหใครมาลวงละเมิดในกรรมสิทธ์ิของตนเอง การลักขโมย เปนการลวงละเมิดอยางรายแรงตอทรัพยสินอันเปนกรรมสิทธ์ิของผูอ่ืน ปญหาทุจริตคดโกงลวนแลวแตเกิดมาจากอทินนาทานท้ังส้ิน สงผลใหไมไดรับความ เชื่อถือไววางใจทั้งในระดับบุคคลและระดับนานาชาติ นอกจากนี้ ยังกอใหเกิดปญหา อาชญากรรมทางดานทรัพยสินอีกดว ย อทนิ นาทาน การลกั ทรัพย คือการกระทาํ โจรกรรมโดยตรง หมายถงึ การถอื เอาสิ่งของที่เจาของไมไดใหท้ังท่ีเปนสวิญญาณกทรัพย หมายถึง ทรัพยที่มีวิญญาณ เชน โค กระบอื เปน ตน และอวญิ ญาณกทรพั ย หมายถงึ ทรพั ยท ไ่ี มม วี ญิ ญาณ เชน แกว แหวน เงนิ ทอง เปน ตน สง่ิ ของทม่ี ใิ ชข องใครแตม ผี รู กั ษาหวงแหน ไดแ ก สง่ิ ของทอี่ ทุ ศิ บูชาปูชนยี วัตถุ สง่ิ ของท่เี ปน สมบัตขิ องสว นรวม ถือเอาดวยอาการเปน โจร นอกจากน้ี ยังรวมถึงกิรยิ าที่กาวลว งทรัพยส มบัตขิ องผูอืน่ ๓ ประการ คือ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 273
274 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ๑. โจรกรรม ๒. อนโุ ลมโจรกรรม ๓. ฉายาโจรกรรม เฉพาะอนุโลมโจรกรรมกับฉายาโจรกรรมนั้น ตองพิจารณาถึงเจตนาของ ผกู ระทําดวย ถา เจตนากระทาํ ใหเ ขาเสียกรรมสทิ ธิ์ ก็ถือวาเปน การลักทรัพย ๑.โจรกรรม หมายถงึ การลกั การขโมย การปลน หรอื กริ ิยาท่ีถอื เอาสงิ่ ของ ทเี่ จาของเขาไมไดใ หดว ยอาการเปน โจร มหี ลายประเภท ดงั นี้ ๑) ลัก ไดแก ถือเอาส่งิ ของทเ่ี ขาไมไ ดใ หดว ยการซอนเรน คือกิริยาทถ่ี ือเอา สงิ่ ของผอู ่นื ดว ยอาการเปนโจร ๒) ฉก ไดแ ก ฉวยหรอื ชงิ เอาโดยเรว็ คอื กริ ยิ าทถี่ อื เอาสง่ิ ของในเวลาทเ่ี จา ของ เผลอหรอื ชิงเอาทรัพยต อ หนา เจาของ ๓) กรรโชก ไดแก ขูเ อาดว ยกิริยาหรอื วาจาใหก ลวั คอื กริ ิยาท่ีแสดงอํานาจ ใหเ จาของตกใจกลวั แลว ยอมใหสิง่ ของของตน หรือใชอ าชญาเรง รดั เอา ๔) ปลน ไดแก ใชก ําลงั ลอบมาหกั โหมแยงชงิ เอาโดยไมรูตัว คือกริ ยิ าทีย่ ก พวกไปถือเอาสิ่งของของคนอ่ืนดวยใชอ าวธุ ๕) ตู ไดแก กลาวอางหรอื ทึกทักเอาของผอู ่นื วาเปน ของตวั คอื กิรยิ าท่ีรอ ง เอาของผูอ่ืนซ่ึงมิไดตกอยูในมือตน คือมิใหไดครอบครองดูแลอยู หรืออางหลักฐาน พยานเทจ็ หกั ลางกรรมสิทธ์ขิ องผอู ื่น ๖) ฉอ ไดแก โกง คือกิริยาท่ีถือเอาของของผูอื่นใหตกอยูในมือตน คือ ตนครอบครองดแู ลอยู หรอื โกงเอาทรัพยของผูอ ่ืน ๗) หลอก ไดแ ก ทาํ ใหเขาใจผดิ สําคัญผิด คือกริ ิยาพูดปดเพอ่ื ถอื เอาของ ผอู ่นื หรือปนเร่อื งใหเ ขาเช่อื เพอ่ื จะใหเ ขามอบทรพั ยใหแ กตน ๘) ลวง ไดแ ก ทาํ ใหหลงผดิ คือกิริยาทถ่ี อื เอาของของผูอืน่ ดวยแสดงของ อยา งใดอยา งหนง่ึ เพอื่ ใหเ ขาเขา ใจผดิ หรอื ใชเ ลห เ อาทรพั ยด ว ยเครอ่ื งมอื ลวงใหเ ขาเชอื่ เชน การใชต ราชัง่ ทไ่ี มไ ดมาตรฐาน เปนตน ๙) ปลอม ไดแก ทําใหเ หมือนคนอื่นหรือสิ่งอืน่ เพอื่ ใหหลงผิดวา เปนคนนนั้ หรือสง่ิ นน้ั คอื กริ ิยาท่ที าํ ของไมแทใ หเห็นวา เปนของแท 274
ÇªÔ ÒÇԹѠ(¡ÃÃÁº¶) 275 ๑๐) ตระบดั ไดแก ฉอ โกง คือกริ ิยาท่ยี มื ของเขาไปแลวเอาเสียไมค นื ให ๑๑) เบียดบงั ไดแก ยกั เอาไวเ ปนประโยชนของตวั คอื กริ ยิ ากินเศษกินเลย ๑๒) สบั เปลี่ยน ไดแ ก เปลี่ยนแทนทกี่ นั คอื กริ ิยาที่ถอื เอาสิ่งของของตนที่ เปนของไมดีเขาไวแทน และเอาสิ่งของของผูอื่นที่ดีกวา หรือแอบสลับเอาของผูอื่นที่มี คามากกวา ๑๓) ลักลอบ ไดแก ลอบกระทําการบางอยาง คอื กริ ยิ าท่เี อาของซึ่งผูอื่นจะ ตอ งเสียภาษซี อนเขามาโดยไมเ สยี ภาษี หรือหลบหนภี าษขี องหลวง ๑๔) ยักยอก ไดแก ถือเอาทรัพยของผูอ่ืนหรือทรัพยของตนซ่ึงผูอ่ืนเปน เจาของรว มอยูดว ยทอี่ ยูในความดแู ลรกั ษาของตนไปโดยทจุ รติ คอื ใชอ ํานาจหนา ทท่ี ่ีมี อยถู อื เอาทรพั ยโ ดยไมส จุ รติ หรอื กริ ยิ าทยี่ กั ยอกทรพั ยข องตนทจ่ี ะถกู ยดึ เอาไปเสยี ทอี่ น่ื ๒. อนุโลมโจรกรรม หมายถึง กิริยาที่แสวงหาทรัพยในทางท่ีไมบริสุทธิ์ ยังไมถงึ ข้ันเปน โจรกรรม มปี ระเภทจะพรรณนาพอเปนตัวอยา ง ดงั น้ี ๑) สมโจร ไดแก กริ ิยาที่อุดหนุนโจรกรรม เชน การรับซื้อของโจร ๒) ปอกลอก ไดแก ทาํ ใหเขาหลงเช่ือแลว ลอ ลวงเอาทรัพยเ ขาไป หรือกริ ิยาที่ คบคนดวยอาการไมซ่อื สัตย มงุ จะเอาแตทรพั ยสมบตั ิของเขาฝายเดียว เมือ่ เขาสิน้ เน้อื ประดาตัวกล็ ะทิ้งเขาเสีย ๓) รับสินบน ไดแก รับสินจางเพ่ือกระทําผิดหนาท่ี คือการถือเอาทรัพยท่ี เขาใหเพ่ือชวยทําธุระใหในทางท่ีผิด การรับสินบนนี้ หากผูรับมีเจตนารวมกับผูใหใน การทําลายกรรมสิทธิ์ของผูอ่ืน ก็ถือวาเปนการกระทําโจรกรรมรวมกันโดยตรง ถือวา เปนการลักทรพั ย ๓. ฉายาโจรกรรม หมายถึง กิริยาท่ีทําคลายคลึงกับโจรกรรม หรือกิริยา ที่ทําทรัพยของผูอ่ืนใหสูญเสียและเปนสินใชตกอยูแกตน ประกอบดวยลักษณะ ๒ อยาง คอื ๑) ผลาญ ไดแ ก ทําลายใหหมดสิ้นไป คือกิริยาท่ที ําความเสยี หายแกท รพั ย ท่ีทาํ ทรัพยของผอู ื่น ๒) หยบิ ฉวย ไดแก กิรยิ าที่ถือเอาทรัพยของผอู น่ื ดวยความมักงาย โดยมิได บอกใหเจาของรู คอื การถอื เอาดว ยวิสาสะเกนิ ขอบเขต คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 275
276 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹àÍ¡ ฉายาโจรกรรมนี้ ถามีเจตนาในทางทําลายกรรมสิทธิ์ของผูอ่ืนรวมอยูดวย กถ็ อื วา เปน การกระทําโจรกรรมโดยตรง ถือวาเปน การลักทรพั ย หลักวินจิ ฉยั การลักทรัพยที่สําเร็จเปนอทินนาทาน ถึงความเปนอกุศลกรรมบถ มีองค ๕ คอื ๑. ปรปรคิ ฺคหิตํ ของนั้นมีเจา ของ ๒. ปรปริคคฺ หติ สฺิตํ รูว าของน้ันมีเจาของ ๓. เถยฺยจติ ตฺ ํ จิตคดิ จะลัก ๔. อุปกกฺ โม พยายามลัก ๕. เตน หรณํ ไดข องมาดว ยความพยายามนัน้ โทษของอทินนาทาน ผูประพฤติอทินนาทาน ถือเอาสิ่งของที่เจาของไมไดใหดวยอาการแหงขโมย หรือลักทรัพย จะมีโทษมากหรือนอย ตามคุณคาของสิ่งของ คุณความดีของเจาของ และความพยายามในการลักขโมย นอกจากน้ี ผูลักทรัพยยอมไดรับกรรมวิบาก ๕ สถาน คอื ๑. ยอ มเกิดในนรก ๒. ยอมเกิดในกาํ เนดิ สัตวเดรจั ฉาน ๓. ยอ มเกิดในกาํ เนดิ เปรตวิสัย ๔. ยอ มเปนผยู ากจนเขญ็ ใจไรท ่พี งึ่ ๕. โทษเบาที่สุด หากเกิดเปนมนุษย ทรัพยยอ มฉิบหาย คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก 276
ÇªÔ ÒÇԹѠ(¡ÃÃÁº¶) 277 ตัวอยา งโทษของอทินนาทาน เรอื่ ง เวมานกิ เปรต เมอื่ ครงั้ พระพทุ ธเจา ทรงประกาศพระศาสนาอยู ณ กรงุ สาวตั ถี หวั หนา พอ คา ชาวสาวตั ถคี นหนงึ่ พาพอ คา ๗๐๐ คน ลอ งเรือไปคาขายในดินแดนสุวรรณภูมิ ระหวาง เดินทางเรือไดถูกลมพัดหลงไปถึงวิมานทองซึ่งอยูกลางทะเล ภายในวิมานทองนั้นมี เทพธิดาแสนสวยอาศัยอยู หัวหนาพอคาเห็นเทพธิดาจึงถามวา “นองรูปงามท่ีอยูใน วมิ านนีเ้ ปน ใครกนั หนอ ขอเชิญนองออกมาขางนอกเถดิ พ่ีจะขอชมความงามของนอง ใหเต็มตา” เทพธดิ าตอบวา “ดิฉันเปน เวมานิกเปรต เพราะทาํ บุญไวนอยมาก แมจ ะมี รูปสวย มวี มิ าน แตด ฉิ ันตอ งเปลือยกายไรอาภรณ มเี พยี งเสนผมปด บงั กายไวเ ทา นั้น ดฉิ ันอายเหลือเกินทจ่ี ะออกไปขางนอก” หัวหนาพอคา บอกวา “นองนางผรู ูปงาม พ่จี ะ ใหผาเน้ือดี นองจงนุงผาแลวออกมาเถิด” เวมานิกเปรตตอบวา “ทานไมอาจใหผานั้น แกดิฉันไดดวยมือทานไดโดยตรง แตถาในหมูพวกทานมีอุบาสกสาวกของพระสัมมา สัมพุทธเจา ขอทานจงใหทานผาน้ันแกอุบาสกแลวอุทิศสวนกุศลใหแกดิฉัน เม่ือน้ัน ดฉิ นั จะไดผ านั้นตามปรารถนา” ในเรือน้ันมีอุบาสกผูมีศีลคนหน่ึง หัวหนาพอคาจึงบอกใหเขาอาบนํ้าแลวได มอบผา นุงผา หม ให และอุทิศสวนกศุ ลไปใหเวมานกิ เปรต ทนั ใดนั้น เวมานิกเปรตก็มี อาภรณท พิ ยส วมใส เดนิ ยมิ้ ออกมาจากวมิ าน พรอ มทง้ั ไดอ าหารทพิ ยอ นั เกดิ จากการให ทานของหัวหนาพอคา เพียงครัง้ เดยี ว พวกพอ คาอศั จรรยใจ เกคิ วามเคารพในอุบาสก จึงพากันเขาไปไหวอุบาสกคนน้ัน อุบาสกน้ันจึงไดแสดงธรรมใหพวกพอคาฟงตาม สมควร พวกพอคาถามเวมานิกเปรตวา “ทําบุญกรรมอะไรไว จึงมาเกิดเปนเวมานิก เปรตอยกู ลางทะเล” เวมานิกเปรตตอบวา “ในพุทธกาลที่ลวงมาแลว ดฉิ ันเกิดในเมือง พาราณสี อาศยั รปู รา งเลย้ี งชพี ตอ มาวนั หนงึ่ มผี หู ญงิ คนหนง่ึ แกลง เอายาบาํ รงุ ผมมาให แตพอใชแลวผมกลบั รวงหมดศรี ษะ ดิฉนั อายจึงหนีออกไปอยูนอกเมือง เปลี่ยนอาชีพ ไปค้ันนํ้ามันงาขาย พรอมทั้งเปดรานขายสุรา วันหน่ึง มีลูกคามาดื่มสุราแลวเมานอน หลบั สนทิ อยทู รี่ า น ดฉิ นั ฉวยโอกาสนนั้ ลกั ผา ทล่ี กู คา คนนนั้ นงุ ไวห ลวมๆ ดว ยกรรมนนั้ ดิฉนั จงึ ไมม ีอาภรณส วมใส” คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 277
278 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªéѹàÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ตอ มาอีกวนั หนึ่ง ดฉิ ันเห็นพระขีณาสพรูปหนึ่งเทีย่ วบิณฑบาตอยู จงึ นิมนต ทานเขาไปในเรือนแลวถวายแปงเค่ียวเจือนํ้ามันงา ดวยกุศลกรรมเพียงเทานี้ ดิฉัน จึงเกิดเปนเทพธิดารูปงาม และไดวิมานทอง ดิฉันอยูในวิมานทองนี้สิ้นระยะเวลา ๑ พุทธันดร แตดิฉันก็เปนทุกขมาก เพราะอีก ๔ เดือนกุศลกรรมเหลานั้นจะหมดลง วิบากกรรมช่ัวอยางอื่นของดิฉันจะนําดิฉันไปหมกไหมอยูในนรก ไดรับทุกขทรมาน แสนสาหสั เปน เวลานาน อบุ าสกผมู ศี ลี จงึ กลา วเตอื นสตเิ ทพธดิ าวา ดกู รเทพธดิ า เธอไดเ สอื้ ผา อาภรณ และอาหารทพิ ยเพราะผลของทานท่ีพอ คา ใหแกเ รา หากเธอใหทานแกพอ คา เหลา นบี้ าง ผลทานก็จะเกิดแกเ ธอ และยงิ่ หากเธอไดถวายทานแดพระศาสดา ผลของทานก็จะยิ่ง เกิดแกเ ธอมากยิง่ ขน้ึ เวมานิกเปรตไดฟงแลวก็มีจิตยินดี นําขาวและน้ําอันเปนทิพยมาเล้ียงพวก พอคาและฝากผาทิพย คูหน่ึงใหหัวหนาพอคานําไปถวายพระศาสดาดวย พวกพอคา เหลาน้ันเดินทางตอไป คร้ังกลับมาถึงกรุงสาวัตถีแลว หัวหนาพอคาไดนําผาทิพยของ เธอไปถวายแดพระศาสดาแลว อุทิศสว นกศุ ลใหเ วมานกิ เปรต เมือ่ นางไดรบั ผลบญุ นั้น จงึ จุตไิ ปเกดิ เปน เทพธิดาในสวรรคช ั้นดาวดึงส มเี ทพธดิ า ๑,๐๐๐ นางเปนบรวิ าร เรอื่ งเวมานกิ เปรตน้ี แสดงใหเ หน็ โทษของการลกั ขโมย ทาํ ใหเ กดิ ความขดั สน หมกไหมอ ยใู นนรก ไดร บั ความทกุ ขท รมานอยา งแสนสาหสั ไมม เี สอ้ื ผา อาภรณแ ละไมม ี อาหารรับประทาน และยงั แสดงใหเ หน็ ถงึ อานิสงสของการเสยี สละใหทาน สง ผลใหพ น จากอบายไปเกดิ ในสวรรค ๓. กาเมสมุ จิ ฉาจาร การประพฤติผิดในกาม ความเสยี หายของกาเมสุมิจฉาจาร การประพฤติผิดในสามีภรรยาและบุคคลอันเปนท่ีรักที่หวงแหนของคนอ่ืน ยอ มเปน การทาํ ลายความรกั ความอบอนุ ในครอบครวั เปน การทาํ ลายสถาบนั ครอบครวั ทาํ ใหข าดความเคารพนบั ถอื จนถึงข้นั ประหัดประหารซงึ่ กันและกัน กาเมสมุ จิ ฉาจาร คอื การประพฤตผิ ดิ ในกาม หมายถงึ การลว งละเมดิ ทางเพศ ตอบคุ คลตองหา ม ๒ ประเภท คอื หญงิ ตองหา ม และชายตองหา ม หากผใู ดประพฤติ 278
ÇÔªÒÇÔ¹ÂÑ (¡ÃÃÁº¶) 279 ผิดกับหญิงหรือชายตองหาม ผูน้ันช่ือวาประพฤติกาเมสุมิจฉาจาร ถาทั้งสองประเภท เปนผูตองหามดวยกัน ประพฤติผิดรวมกัน ก็ชื่อวากระทําผิดดวยกันท้ังสองประเภท บุคคลที่เปนหญิงแตมีจิตใจเปนชายและบุคคลที่เปนชายแตจิตใจเปนหญิงก็อนุโลมใน บุคคลตองหา มตามขอกาเมสมุ จิ ฉาจารน้ี หญิงตอ งหา ม หญงิ ตอ งหาม หมายถงึ บุคคลตองหา มสําหรบั ชาย มี ๓ ประเภทใหญๆ คือ ๑. สสสฺ ามิกา หญิงมสี ามี หมายถงึ หญงิ ทอี่ ยกู นิ กบั ชายฉันทสามภี รรยา ทั้ง ท่ีแตงงานหรือไมไดแตงงาน รวมถึงหญิงที่รับสิ่งของมีทรัพยเปนตนของชายแลวยอม อยกู นิ กบั ชายนน้ั ตลอดถึงหญิงท่ีชายรับเลี้ยงดเู ปน ภรรยา จะไดจดทะเบียนสมรสกนั ตามกฎหมายหรอื ไมก ็ตาม หญิงประเภทน้ี จะหมดภาวะท่ีเปนหญิงตองหามก็ตอเม่ือหยาขาดจากสามี หรือสามีตายแลว แมห ญงิ ทส่ี ามีถกู กักขงั เชน ถกู จาํ คกุ หากยังไมไดหยา ขาดจากกนั ก็ถือวาเปนหญิงตองหาม หรือสามีตองโทษจําคุกตลอดชีวิต หญิงน้ันก็ยังอยูในฐานะ ตอ งหา มตราบเทา ทสี่ ามยี งั ตอ งโทษอยู ชายใดประพฤตผิ ดิ ตอ หญงิ มสี ามี ถอื วา ประพฤติ กาเมสมุ ิจฉาจาร ๒. าติรกฺขิตา หญิงท่ีญาติรักษา หมายถึง หญิงที่มีญาติเปนผูปกครอง ไมเ ปน อสิ ระแกต น เพราะอยใู นการปกครองดแู ลพทิ กั ษร กั ษาของบดิ ามารดา ญาตพิ นี่ อ ง หรอื วงศต ระกลู ชายใดประพฤตผิ ดิ ตอ หญงิ ทญี่ าตริ กั ษา ถอื วา ประพฤตกิ าเมสมุ จิ ฉาจาร หญิงท่ีญาติรักษาน้ัน เม่ือรับของหม้ันจากฝายชายและตกลงจะแตงงานกัน นับแตรับของหมั้นแลว หญิงน้ันช่ือวาอยูในการรักษาของญาติและของคูหม้ัน จะพน จากการรกั ษาของคหู มัน้ กต็ อเม่อื ไดคนื ของหม้นั หรอื บอกเลิกการหมัน้ นน้ั แลว ๓. ธมฺมรกฺขติ า หญงิ ทธ่ี รรมรกั ษา หมายถึง หญงิ ทม่ี ศี ีลธรรม กฎหมาย หรอื จารีตคมุ ครองรกั ษา มี ๒ ประเภท คอื หญิงผูเปน เทือกเถาเหลา กอของตน และหญิงมี ขอหา ม หญงิ ตอ งหา มโดยพิสดาร มี ๒๐ ประเภท คือ ๑. มาตุรกขฺ ิตา หญิงทม่ี ารดารักษา ๒. ปตุรกฺขติ า หญงิ ท่บี ิดารกั ษา คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 279
280 ¤Á‹Ù Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªé¹Ñ àÍ¡ ๓. มาตาปตุรกฺขติ า หญิงท่ีมารดาบดิ ารักษา ๔. ภาตรุ กขฺ ติ า หญงิ ที่พ่ีชายนอ งชายรกั ษา ๕. ภคนิ ีรกฺขิตา หญิงที่พส่ี าวนอ งสาวรักษา ๖. าติรกขฺ ติ า หญิงท่ีญาติรกั ษา ๗. โคตฺตรกฺขิตา หญิงทชี่ นมีสกุลหรอื แซร ักษา ๘. ธมฺมรกขฺ ิตา หญิงทธี่ รรมรักษา ๙. สามริ กขฺ ติ า หญิงทสี่ ามีรักษา ๑๐. สปริทณฑฺ า หญงิ ท่ีกฎหมายคุมครอง ๑๑. ธนกีตา หญิงทช่ี ายซอ้ื มาเปน ภรรยา ๑๒. ฉนทฺ วาสินี หญิงทอ่ี ยูกบั ชายดวยความรกั ใครกันเอง ๑๓. โภควาสินี หญงิ ที่อยูเปน ภรรยาชายดว ยโภคสมบัติ ๑๔. ปฏวาสินี หญงิ เขญ็ ใจไดผานุงผาหม แลว อยูเ ปน ภรรยา ๑๕. โอทปตตฺ กนิ ี หญิงที่ชายขอเปน ภรรยาดว ยพธิ แี ตงงาน ๑๖. โอภตจมุ ฺพตา หญิงทช่ี ายชว ยปลงภาระอนั หนักลงจากศีรษะแลว อยูเปน ภรรยา ๑๗. ทาสีภริยา หญิงคนใชท เ่ี ปน ภรรยา ๑๘. กมมฺ การินีภริยา หญิงรับจางทาํ การงานทเ่ี ปน ภรรยา ๑๙. ธชาหฏา หญิงเชลยท่เี ปนภรรยา ๒๐. มหุ ตุ ฺตกิ า หญิงที่ชายอยูดวยชั่วคราว ถาชายลวงละเมิดในหญิง ๒๐ จําพวกน้ี แมจําพวกใดจําพวกหนึ่งถือวา ประพฤตกิ าเมสุมิจฉาจาร หญิงผูเปนเทือกเถาเหลากอของตน เทือกเถา หมายถึง หญิงซึ่งเปนญาติ ผูใ หญน ับยอ นหลงั ขน้ึ ไปทางบรรพบุรุษ ๓ ชน้ั คอื ยา ทวด ยายทวด ๑ ยา ยาย ๑ มารดาของตน ๑ เหลากอ หมายถึง หญิงผูสืบสันดานจากตน นับลงไป ๓ ช้ัน คือ ลูก ๑ หลาน ๑ เหลน ๑ ชายใดประพฤติผิดตอหญิงผูเปนเทือกเถาเหลากอของตน ถือวาประพฤตกิ าเมสุมิจฉาจาร คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก 280
ÇÔªÒÇÔ¹ÂÑ (¡ÃÃÁº¶) 281 หญงิ มขี อหาม มี ๒ ประเภท คือ ๑. หญงิ ประพฤตพิ รหมจรรย ไดแก ภิกษณุ ี สามเณรี สิกขมานา แมช ี และ อบุ าสกิ าผูรักษาศลี ๘ หรืออุโบสถศีล ๒. หญงิ ทกี่ ฎหมายจารตี ประเพณรี กั ษา ไดแ ก หญงิ ทกี่ ฎหมายจารตี ประเพณี หา มมิใหลวงละเมิด เชน หญิงทีย่ ังไมบรรลนุ ติ ิภาวะ หญิงพิการ ทุพพลภาพ เปน ตน ชายตองหาม ชายตอ งหา ม หมายถงึ บคุ คลตองหา มสาํ หรับหญงิ มี ๒ ประเภท คอื ชายอนื่ นอกจากสามีของตนสาํ หรับหญิงท่ีมสี ามี และชายท่ีจารตี หามสาํ หรบั หญงิ ท่วั ไป ๑. ชายอนื่ นอกจากสามตี น เปน บคุ คลตองหามสําหรับหญงิ ท่มี ีสามี ๒. ชายทจ่ี ารตี หา ม ไดแ ก นกั บวชในศาสนาทหี่ า มเสพเมถนุ เชน ภกิ ษุ สามเณร เปน ตน เปน บคุ คลตอ งหา มสาํ หรบั หญงิ ทว่ั ไป ทงั้ ทมี่ สี ามแี ละไมม สี ามี หญงิ ใดประพฤติ ผดิ ตอ ชายตอ งหา ม ถอื วา ประพฤตกิ าเมสมุ จิ ฉาจาร หากมคี วามยนิ ดพี รอ มใจในการลว ง ประเวณกี ผ็ ดิ ท้ังสอง กาเมสุมิจฉาจารนี้ ผูใดประพฤติผิดตอบุคคลตองหามดังกลาวมาทั้งหมด ถอื วา กระทาํ ผดิ หากทั้งสองมคี วามยนิ ดพี รอมใจในการลวงประเวณี กถ็ อื วา กระทาํ ผดิ ทงั้ สอง อนึ่ง ในเรื่องประเวณีน้ี หามการกระทําในสถานที่อันเปนศาสนสถาน เชน โบสถ วหิ าร ลานเจดีย เปนตน แมแตการผูกสมคั รรกั ใครฉ ันชูส าว การเก่ียวพาราสี การพูดแคะ การเลนหูเลนตา การใชส่ือสารสนเทศกับบุคคลตองหามในเชิงชูสาว กไ็ มค วรทาํ เพราะเปนเหตุเบอ้ื งตน ของกาเมสมุ ิจฉาจารเชนกนั หลักวินจิ ฉัย การประพฤติผิดในกามที่สําเร็จเปนกาเมสุมิจฉาจาร ถึงความเปน อกุศลกรรมบถ มีองค ๔ คอื ๑. อคมนยี วตถฺ ุ หญงิ หรือชายน้นั เปนบคุ คลตองหา ม ๒. ตสมฺ ึ เสวนจิตตฺ ํ จติ คิดจะเสพ ๓. เสวนปปฺ โยโค พยายามเสพ ๔. มคฺเคน มคคฺ ปฺปฏปิ ตฺตอิ ธวิ าสนํ อวัยวะเพศจรดถงึ กนั คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 281
282 ¤Á‹Ù Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉҪѹé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก โทษของกาเมสมุ จิ ฉาจาร การประพฤติผิดในกาม จะมีโทษมากหรือนอย ขึ้นอยูกับคุณความดีของ คนที่ถูกลวงละเมิด ความแรงของกิเลสและความพยายาม นอกจากนั้น ผูประพฤติ ผิดในกาม ยอ มไดรับกรรมวบิ าก ๕ สถาน คอื ๑. ยอมเกิดในนรก ๒. ยอ มเกิดในกาํ เนิดสตั วเ ดรัจฉาน ๓. ยอมเกิดในกําเนิดเปรตวิสยั ๔. ยอมเปนผูม ีรางกายทพุ พลภาพ ขเ้ี หร มากไปดวยโรค ๕. โทษเบาท่สี ุด หากเกดิ เปน มนุษย ยอมเปนผมู ศี ัตรูรอบดา น ตวั อยางโทษของกาเมสุมจิ ฉาจาร เรือ่ ง นางกินนรีเทวี ในอดตี กาล มพี ระราชาพระองคห นง่ึ ทรงพระนามวา กินนร เสวยราชยอ ยู ในเมืองพาราณสี มีพระรูปโฉมงามย่ิงนัก อํามาตยหนึ่งพันนําหีบเครื่องหอมมาถวาย ทกุ ๆ วัน เมอื่ ประพรมเครือ่ งหอมใน พระราชนเิ วศนท ่วั แลว กผ็ า หบี ทําเปนไมฟนหอม หุงพระกระยาหารถวายพระเจากินนร มีปุโรหิตผูมีปญญาหลักแหลมคนหนึ่งช่ือ ปญจาลจัณฑะ มีอายุเทา กบั พระองค ก็ปราสาทของพระเจากินนรนัน้ มีตน หวา ตนหนึง่ อยูในกําแพงวัง ก่ิงหวาทอดขามกําแพงออกไป บุรุษเปล้ียคนหน่ึง รูปรางอัปลักษณ นา เกลยี ด อาศยั อยทู รี่ ม ไมห วา นน้ั อยมู าวนั หนง่ึ นางกนิ นรี มองออกไปตามชอ งหนา ตา ง เห็นบุรษุ เปลีย้ นนั้ แลวกเ็ กิดความรกั ใคร ในเวลาราตรี ทรงบําเรอพระเจา กินนรใหทรง ยินดีดวยกิเลสแลวบรรทมหลับไป จึงคอยๆ ลุกข้ึนจัดอาหารอันประณีตมีรสอรอย ใสขันทองหอไวที่ชายพกแลวไตเชือกลงทางหนาตาง ปนข้ึนบนตนไมไตลงมาตามก่ิง เชญิ บรุ ษุ เปลยี้ ใหก นิ อาหารแลว ทาํ การอนั ลามกกบั บรุ ษุ เปลยี้ สาํ เรจ็ แลว กก็ ลบั ขน้ึ ปราสาท ตามทางเดมิ ประพรมสรีระกายดว ยของหอมแลว กไ็ ปนอนกบั พระเจา กินนร ประพฤติ ลามกอยา งนี้เสมอมา พระเจา กนิ นรก็มไิ ดท รงทราบ อยมู าวนั หนง่ึ พระเจา กนิ นรเสดจ็ ประทกั ษณิ พระนคร เวลาเสดจ็ กลบั พระราช นิเวศน ไดท อดพระเนตรเห็นบรุ ุษเปลี้ยมอี าการนากรุณาอยางยิ่ง จึงตรัสถามปโุ รหติ วา 282
ÇªÔ ÒÇ¹Ô Ñ (¡ÃÃÁº¶) 283 เหน็ มนษุ ยเ ปรตนนั้ หรอื ไม ครนั้ ปโุ รหติ รบั พระรบั วา เหน็ พระเจา ขา จงึ ตรสั ถามตอ ไปวา บุรุษที่มีรูปรางนาเกลียดอยางนี้ จะมีหญิงคบหาดวยอํานาจฉันทราคะบางหรือไม บุรษุ เปลย้ี ไดฟ ง พระราชดาํ รัสดงั นน้ั กเ็ กิดมานะขน้ึ มาวา พระเจา แผนดินพูดอะไรเชน นี้ ชะรอยจะไมรูวา พระเทวีของพระองคมาหาเรา คิดแลวก็ประนมมือไหวตนหวา กลาววาจาคอยๆวา ขอเชิญเทพยดาซึ่งเปนเจาสิงอยูท่ีตนหวาฟงเราเถิด คนอื่นๆ นอกจากทา นแลว กไ็ มม ใี ครรู ปโุ รหิตเหน็ กิรยิ าของบุรุษเปล้ียจงึ คดิ วา พระอคั รมเหสขี องพระราชาคงไดไต ตน หวา มาทาํ ลามกกบั บรุ ษุ เปลย้ี นเี้ ปน แนแ ท คดิ แลว จงึ ทลู ถามวา ในเวลาราตรี พระองค ทรงสมั ผสั สรรี ะกายแหง พระเทวเี ปน เชน ไรบา ง พระเจา กนิ นรตรสั ตอบวา สงิ่ อนื่ กไ็ มแ ลเหน็ เปน แตเ วลาเทยี่ งคนื สรรี ะกายของนางเยน็ ปโุ รหติ จงึ ทลู ถามวา ถา กระนน้ั หญงิ อนื่ ยกไว กอ นเถดิ พระนางกนิ นรอี คั รมเหสขี องพระองคไ ดป ระพฤตกิ รรมอนั ลามกกบั บรุ ษุ เปลย้ี น้ี พระเจากินนรตรสั วา สหายพูดอะไรกัน นางกินนรสี มบูรณดวยรปู รางอันอุดมปาน นั้น จะมารวมอภิรมยกับบุรุษเปลี้ยอันนาเกลียดอยางนี้ไดอยางไร ปุโรหิตกราบทูลวา ถาอยางน้ัน ขอพระองคจงสะกดรอยตามคอยจับดูเถิด พระเจากินนรก็ทรงรับ ครนั้ เสวยอาหารเยน็ ก็เขา บรรทมกับนางกินนรี ต้งั พระหฤทัยคอยสะกดจับ พอถึงเวลา บรรทมหลับตามปกติก็ทรงแสรงทําเหมือนหลับไป ฝายนางกินนรีก็ลุกข้ึนตามเคย พระเจากินนรก็สะกดรอยตามไปยืนอยูท่ีเงาตนหวา วันน้ันบุรุษเปล้ียโกรธขูตะคอกวา ทาํ ไมถงึ มาชา แลว เอามอื ตบเขา ทก่ี กหนู างเทวี นางเทวกี ร็ อ งขอโทษวา นายอยา เพง่ิ โกรธ เลย ขาพเจารอใหพระราชาหลับจึงมาได วา แลวกป็ ระพฤติปฏิบตั ิกับบรุ ษุ เปลยี้ เหมอื น หญิงบําเรอในเรือน เม่ือบุรุษเปลี้ยตบหูนางกินนรีนั้น กุณฑลหนาราชสีหหลุดจากหู กระเดน็ ไปอยใู กลพ ระบาทพระเจา กนิ นร พระเจา กนิ นรจงึ เกบ็ เอาไปเปน พยาน ฝา ยนาง กนิ นรรี บี ประพฤตอิ นาจารกบั บรุ ษุ เปลย้ี นน้ั แลว กก็ ลบั ไปเรม่ิ จะนอนกบั พระราชา พระเจา กนิ นรกท็ รงหา มเสยี พอรงุ ขนึ้ รบั สง่ั ใหค นไปบอกใหน างกนิ นรเี ทวปี ระดบั เครอื่ งประดบั ที่พระองคใหท ้งั หมดเขามาเฝา นางกินนรีก็สง่ั ใหท ลู วา กณุ ฑลหนา ราชสีหส งไปไวทช่ี าง ทองเสียแลวนางก็ไมไดมาเฝา คร้ันพระเจากินนรรับสั่งใหหาอีกนางก็ประดับกุณฑล ขา งเดียวเขา ไปเฝา พระเจา กินนรีตรัสถามวา กณุ ฑลไปไหน นางก็ทลู วา สงไปท่ีชางทอง พระเจากินนรจึงรับส่ังใหหาชางทองมาแลวตรัสถามวา ทําไมเจาจึงไมใหกุณฑลแก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 283
284 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก นางกนิ นรี ชา งทองกท็ ลู วา มไิ ดร บั เอาไวเ ลย พระเจา กนิ นร กท็ รงทาํ เปน พโิ รธตรสั วา เฮย นางจณั ฑาล คนอยา งขา นแี้ หละจะเปน ชา งทองเอง ตรสั แลว กข็ วา งกณุ ฑลไปตรงหนา นาง กนิ นรแี ลว หนั มาตรสั กบั ปโุ รหติ วา สหายพดู จรงิ ทเี ดยี ว จงไปสงั่ ตดั หวั นางจณั ฑาลนเ้ี สยี ปโุ รหติ ไดพ านางกนิ นรไี ปซอ นไวใ นทแี่ หง หนง่ึ ภายในพระราชวงั นนั้ แลว กราบทลู พระเจา กินนรวา ธรรมดาหญิงท้ังหลายยอมเปนเชนนี้ การกระทําอยางนี้เปนปกติของหญิง ท้ังหลาย ขอพระองคจงงดโทษนางกินนรีเสียเถิด พระเจากินนรก็ทรงยกโทษใหรับสั่ง ใหไลไปเสียจากพระราชนิเวศน เม่ือทรงขับไลจากตําแหนงแลว ก็ทรงตั้งหญิงอื่นเปน อคั รมเหสีแลว รับสัง่ ใหไลบุรษุ เปลี้ยออกไปเสยี จากที่นั้น และทรงใหต ดั กงิ่ ตน หวา ออก เรอ่ื งนางกนิ นรเี ทวี ประพฤตกิ าเมสมุ จิ ฉาจารน้ี หากพระราชาไมท รงงดโทษให นางจะตองไดรับโทษฑัณฑถึงตาย กาเมสุมิจฉาจาร จึงถือวามีโทษรายแรงมาก ทั้งโลกนแี้ ละโลกหนา วจีกรรม ๔ วจีกรรม คือ การกระทําทางวาจา หมายถึง การพูดออกมาเปนถอยคํา ทัง้ ทางดีและทางชวั่ วจีกรรมทางช่ัวมี ๔ อยา ง คือ มสุ าวาท การพดู เทจ็ ปสุณวาจา การพดู สอเสียด ผรุสวาจา การพูดคาํ หยาบ และสมั ผปั ปลาปะ การพูดเพอเจอ ๑. มุสาวาท การพูดเทจ็ ความเสียหายของมสุ าวาท มีพระบาลี ท่ีกลาวถึงลักษณะของคนชอบพูดเท็จไววา “นตฺถิ อการิยํ ปาป มุสาวาทิสฺส ชนฺตุโน” แปลวา ไมมีความชั่วอะไรที่คนชอบพูดเท็จจะทําไมได เพราะคนชอบพดู เท็จ พูดโกหกหลอกลวง หรอื พูดมีเลศนยั ในแงม ุมตา ง ๆ นน้ั ไดชอ่ื วา ทาํ ลายคณุ ธรรมในจติ ใจของตนเอง และทาํ ลายประโยชนข องผอู น่ื ในการพดู เทจ็ นนั้ คนโกหกเปน ผเู สยี หายรา ยแรงกวา เพราะกลายเปน คนเหลาะแหละ ขาดความนา เชอื่ ถอื มสุ าวาท การพดู เทจ็ คือการพดู มงุ ใหผดิ จากความเปน จรงิ มี ๓ อยาง คือ ๑.มุสา ๒.อนุโลมมุสา ๓.ปฏิสสวะ ๑. มุสา แปลวา เท็จ ไดแก โกหก หมายถึง การทําอันเปนเท็จทุกอยาง การแสดงความเท็จเพ่อื ใหผูอนื่ เขาใจผิดนน้ั ทาํ ไดท้งั ทางวาจาและทางกาย ดังนี้ 284
ÇªÔ ÒÇ¹Ô Ñ (¡ÃÃÁº¶) 285 ทางวาจา คือ พูดออกมาเปนคําเทจ็ ตรงกับคําวา โกหก ซ่งึ เปน ท่ีเขาใจกนั อยแู ลว ทางกาย คอื การแสดงกิริยาอาการทเ่ี ปนเท็จ เชน การเขียนจดหมายโกหก การเขียนรายงานเท็จ การทําหลักฐานปลอม การตีพิมพขาวสารอันเปนเท็จ การเผย แพรขาวสารทางส่ือสารสนเทศอันเปนเท็จ การทําเครื่องหมายปลอมใหคนอื่นหลงเชื่อ รวมถึงการใบใหคนอน่ื เขา ใจผดิ เชน ส่นั ศีรษะปฏเิ สธในเร่อื งควรรับ หรอื พยักหนา รับ ในเรอ่ื งทค่ี วรปฏเิ สธ มุสา มปี ระเภททีจ่ ะพงึ พรรณนาเปนตัวอยาง ดังนี้ ปด ไดแ ก มสุ าตรงๆ โดยไมอ าศยั มลู เลย เชน ไมเ หน็ บอกวา เหน็ ไมร บู อกวา รู ไมมบี อกวา มี เปนตน สอ เสยี ด คอื พดู ยแุ ยงเพอ่ื ใหเขาแตกกนั หลอก คอื พูดเพือ่ จะโกงเขา พูดใหเขาเช่อื พูดใหผ ูอ่ืนเสียของใหตน ยอ คอื พูดเพ่อื จะยกยอ งเขา พูดใหเ ขาลืมตวั และหลงตัวผิด กลับคํา คือ พดู ไวแ ลวแตต อนหลงั ไมยอมรบั ปฏเิ สธวา ไมไ ดพดู ทนสาบาน ไดแ ก กริ ยิ าทเ่ี สย่ี งสตั ยว า จะพดู ความจรงิ หรอื จะทาํ ตามคาํ สาบาน แตไมไ ดพูดหรือทาํ ตามน้ัน เชน พยานทนสาบานแลวเบกิ คําเท็จ เปนตน ทาํ เลหกระเทห ไดแก กริ ยิ าที่อวดอางความศกั ดิ์สิทธิ์อนั ไมเ ปน จรงิ เพอ่ื ให คนหลงเชอ่ื นิยมยกยอ ง และเปนอบุ ายหาลาภแสวงหาผลประโยชนสว นตวั เชน อวดรู วิชาคงกระพันวา ฟนไมเ ขายงิ ไมอ อก เปนตน มารยาท ไดแ ก กิรยิ าทแี่ สดงอาการใหเ ขาเหน็ ผดิ จากทีเ่ ปนจรงิ เชน เปนคน ทุศีล ทําทา ทางเครงครดั ใหเ ขาเหน็ วา เปน คนมีศลี ทําเลศ ไดแก พูดมุสาเลนสํานวน พูดคลุมเครือใหผูฟงเขาใจผิด เชน เห็นคนวงิ่ หนีเขา มา เมือ่ ผไู ลตดิ ตามมาถาม จึงยายไปยืนท่ีอน่ื แลวพูดวา ตงั้ แตม ายืน ที่น้ี ไมเ ห็นใครเลย เสรมิ ความ ไดแก พดู มสุ าอาศัยมลู เดมิ แตเสริมความใหม ากกวาทเี่ ปนจรงิ เชน โฆษณาสรรพคณุ สนิ คาเกนิ ความเปน จรงิ เปน ตน อาํ ความ ไดแ ก พดู มสุ าอาศยั มลู เดมิ โดยตดั ขอ ความทไ่ี มป ระสงคจ ะใหร อู อก เสยี เพอื่ ใหผ ฟู ง เขา ใจเปน อยา งอนื่ เชน เรอื่ งมากพดู ใหเ หลอื นอ ยเพอ่ื ปด ความบกพรอ ง คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 285
286 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªé¹Ñ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก บุคคลพูดดวยวาจาหรือทํากิริยาแสดงกิริยาทาทางอยางใดอยางหน่ึง ผูอ่ืน รูแลวเขาจะเช่ือหรือไมเชื่อไมเปนประมาณ บุคคลผูพูดหรือแสดงอาการนั้นไดช่ือวา พูดมุสาในสิกขาบทน้ี ๒. อนุโลมมุสา คือการพูดเร่ืองไมเปนจริง แตมิไดมีเจตนาจะทําใหผูฟง เขา ใจผดิ หรอื หลงเชอื่ เพยี งแตพ ดู เพอื่ ใหเ จบ็ ใจ มปี ระเภททจ่ี ะพงึ พรรณนาเปน ตวั อยา ง ดงั น้ี เสียดแทง ไดแก กิริยาที่พูดใหผูอื่นเจ็บใจ ดวยอางเร่ืองท่ีไมเปนความจริง เชน ประชด คอื การกลา วแดกดนั ยกใหส งู กวา พน้ื เพเดมิ ของเขา หรอื ดา คอื การกลา ว ถอยคําหยาบชา เลวทราม กดใหตํ่ากวาพน้ื เพเดมิ ของเขา สับปลบั ไดแ ก พดู กลับกลอกเช่อื ไมได พูดดวยความคะนองปาก แตผพู ูด ไมไ ดจงใจจะใหค นอืน่ เขาใจผดิ เชน รบั ปากแลวไมท าํ ตามทร่ี ับนั้น อนุโลมมุสานี้ แมจะมิไดเปนคําเท็จโดยตรง แตก็นับเขาในมุสา ไมควรพูด พดู แลว มโี ทษ ผนู ยิ มความสภุ าพ แมจ ะวา กลา วลกู หลาน กไ็ มค วรใชค าํ ดา คาํ เสยี ดแทง ควรใชคําสุภาพ แสดงโทษผดิ ใหร สู กึ ตวั แลวหา มปรามมใิ หก ระทาํ ตอไป ๓. ปฏสิ สวะ ไดแก การรับคาํ ของคนอ่ืนดว ยความตง้ั ใจจะทาํ ตามท่ีรบั คําน้ัน ไวจ ริง แตภ ายหลังเกดิ กลับใจไมท าํ ตามท่รี บั คาํ นั้น ท้ังที่ตนพอจะทาํ ตามที่รบั คํานน้ั ได มปี ระเภททจ่ี ะพึงพรรณนาเปน ตัวอยา งดังนี้ ผดิ สัญญา หมายถึง การไมท าํ ตามที่ตกลงกันไว เชน ตกลงกันวาจะเลกิ คา สิ่งเสพตดิ แตพอไดโ อกาสก็กลับมาคาอกี คนื คํา หมายถึง การไมท ําตามท่ีรบั ปากไว เชน รบั ปากจะใหส่ิงของแลว ไมไ ด ใหตามทีไ่ ดร บั ปากไวน น้ั ถอยคาํ ท่ีไมจดั เปน มสุ าวาท ถอยคําท่ีผูพูดพูดตามความสําคัญของตน เรียกวา ยถาสัญญา หรือตาม วรรณกรรม ซึ่งเปนคําพูดไมจริง แตไมมีความประสงคจะใหผูฟงเช่ือ ไมเขาขาย มุสาวาท มีประเภทที่จะพึงพรรณนาเปนตัวอยา ง ดงั น้ี โวหาร ไดแก ถอยคําที่ใชเปนธรรมเนียม เพื่อความไพเราะของภาษา เชน การเขียนจดหมายที่ลงทายวา ดวยความเคารพยางสูง เปนโวหารการเขียนตามแบบ 286
ÇªÔ ÒÇÔ¹ÂÑ (¡ÃÃÁº¶) 287 ธรรมเนียมสารบรรณ ซ่ึงในความเปนจริงผูเขียนไมไดเคารพอยางสูง หรืออาจไมไดมี ความเคารพเชน นัน้ เลย นยิ าย ไดแ ก เรอ่ื งทแี่ ตง ขนึ้ เรอ่ื งทเี่ ลา กนั มา เรอ่ื งทนี่ าํ มาอา งเพอ่ื เปรยี บเทยี บให ไดใ จความเปน หลกั เชน นทิ าน ละคร ลเิ ก ซง่ึ ในทอ งเรอื่ งอาจมเี นอ้ื หาทไี่ มเ ปน ความจรงิ แตผ แู ตงไมไ ดต้ังใจใหคนหลงเชื่อ เพียงแตแสดงเนื้อหาไปตามทองเรือ่ ง สําคัญผดิ ไดแ ก คาํ พูดท่ผี ูพดู สาํ คัญผดิ วา เปน อยางน้นั ท้ังทีค่ วามจรงิ มไิ ด เปนเชนน้ัน คือ ผูพูดพูดไปตามความเขาใจของตนเอง เชน ผูพูดจําวันผิด จึงบอก ผูถามไปตามวันที่จาํ ผดิ นั้น เปน ตน พล้ัง ไดแ ก คําพดู ท่ีพลาดไปโดยทไ่ี มไ ดตง้ั ใจหรอื ไมทันคดิ เชน ผูพ ดู ต้ังใจ จะพูดอยา งหนงึ่ แตก ลบั พลาดไปพูดเสยี อกี อยางหน่ึง หลักวนิ ิจฉยั การพูดเท็จทีส่ ําเร็จเปน มสุ าวาท ถึงความเปน อกุศลกรรมบถ มอี งค ๔ คอื ๑. อตถํ วตถฺ ุ เร่ืองไมจ ริง ๒. วสิ ํ วาทนจติ ฺตํ จิตคดิ จะพดู ใหผ ิด ๓. ตชฺโช วายาโม พยายามพดู ออกไป ๔. ปรสฺส ตทตฺถวชิ านนํ ผูฟง เขา ใจตามเนื้อความนนั้ มีคําอธิบายองคของมุสาวาท ดังน้ี องคท ี่ ๑ เรอื่ งไมจ รงิ คอื เรอ่ื งทพ่ี ดู นน้ั ไมม คี วามจรงิ ไมเ ปน จรงิ เชน ฝนไมต ก แตก ลับพดู วา ฝนตก องคที่ ๒ จิตคิดจะพูดใหผ ดิ คอื ผูพูดจงใจจะพูดใหผิดจากความเปนจรงิ องคที่ ๓ พยายามพูดออกไป คอื ผพู ดู ไดพ ูดคําไมจ รงิ นั้นๆ ออกไป หรอื ได กระทําเท็จดว ยความจงใจ ซงึ่ มใิ ชเ ปนเพียงความคดิ ทีอ่ ยใู นใจ องคที่ ๔ ผูฟงเขาใจเนื้อความน้ัน คือผูฟงเขาใจความหมายเหมือนอยางที่ ผพู ดู พดู ออกไป สวนผูฟง จะเช่อื หรอื ไมน้นั ไมเ ปนสําคญั คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 287
288 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก โทษของมสุ าวาท ผปู ระพฤตมิ สุ าวาท จะมโี ทษมากหรอื นอ ย ขนึ้ อยกู บั ประโยชนท จี่ ะถกู ตดั รอน หมายความวา ถาการพูดเท็จน้ันทําใหเสียประโยชนมากก็มีโทษมาก เชน บุคคลที่ไม ตองการใหข องๆ ตน พดู ออกไปวา ไมมี ก็ยังมโี ทษนอย แตถาเปน พยานเท็จ กอให เกิดความเสียหายมากก็มีโทษมาก เปนตน ในอรรถกถาอัฏฐกนิบาต อังคุตตรนิกาย ไดก ลา วถึงกรรมวิบากของผปู ระพฤตมิ สุ าวาท ดังน้ี ๑. ยอมเกิดในนรก ๒. ยอมเกิดในกําเนดิ สัตวเดรัจฉาน ๓. ยอมเกดิ ในกาํ เนดิ เปรตวิสยั ๔. โทษเบาที่สดุ หากเกดิ เปน มนษุ ย จะถูกกลา วตูอยูเสมอ ตัวอยางโทษของมุสาวาท เรือ่ ง กักการชาดก ในอดีตกาล พระเจาพรหมทัตครองราชยสมบัติอยูในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตวเปนเทพบตุ รในสวรรคช้ันดาวดึงส ในสมัยนัน้ พระนครพาราณสไี ดจดั ให มมี หรสพเปนการใหญ พวกนาค ครุฑ และภมุ มฏั ฐกเทวดาเปนจาํ นวนมาก ก็พากันมา ดูมหรสพ มีเทพบุตร ๔ องคจ ากสวรรคช้ันดาวดึงสพากันมาดูการเลน มหรสพ โดยได ประดบั เทริดซงึ่ ทําดวยดอกไมท ิพยช ื่อกกั การุ ซึง่ เปน ผักจาํ พวกบวบ ฟก แฟง พน้ื ทข่ี องพระนครประมาณ ๑๒ โยชน ไดห อมตลบอบอวลไปดว ยกลนิ่ ดอกไม ทพิ ยนน้ั มหาชน จึงเทย่ี วคน หาวา ใครเปนคนประดับดอกไมเ หลา นี้ เทพบุตรเหลา นั้น รวู า มหาชนกาํ ลงั คน หาตนเองอยู จงึ เหาะขน้ึ ทพ่ี ระลานหลวง ยนื ปรากฏกายอยใู นอากาศ ดว ยเทวานภุ าพอนั ยง่ิ ใหญท ง้ั หมาชน พระราชา เศรษฐแี ละอปุ ราชเปน ตน ตา งกม็ าชมุ นมุ กันถามเทพบุตรเหลา นัน้ จงึ รูว า เปนเทพบุตรมาจากสวรรคช ้ันดาวดงึ ส เพ่อื ตองการดู มหรสพและประดบั ดวยเทรดิ ดอกไมทพิ ย จึงรองขอเทริดดอกไมท พิ ยน ัน้ เทพบุตรโพธิสัตวผูเปนหัวหนาบอกวา ดอกไมทิพยเหลาน้ีมีอานุภาพมาก เหมาะสมกับเทวดาเทาน้ัน ไมเหมาะสมกับคนเลวทราม ไรปญญา มอี ัธยาศัยนอมไป ในทางตํ่าทราม เปนคนทุศีลในมนุษยโลก แตก็เหมาะสมกับมนุษยผูประกอบดวย 288
ÇªÔ ÒÇԹѠ(¡ÃÃÁº¶) 289 คณุ ธรรมคือไมล กั ขโมย แมกระทงั้ เสน หญา ไมพดู เท็จแมจะแลกดวยชีวิต และไดยศ แลว ไมม วั เมา ผนู น้ั แลยอ มควรประดบั ดอกฟก ทพิ ย และเทพบตุ รจะใหด อกไมท พิ ยแ ก บุคคลน้นั ปุโรหติ คนหน่งึ ไดฟง ดงั น้ันจึงคดิ วา “แมเราจะไมมคี ุณสมบัตเิ ชนนน้ั แตเรา จะกลาวมุสาเพ่ือใหไดดอกไมเหลานี้มาประดับตน และมหาชนก็จะเขาใจวาเรามี คุณสมบัติเชนน้ันจริงๆ จึงไดดอกไมมาประดับ” จึงออนวอนขอดอกฟกทิพยจาก เทพบุตรองคที่ ๑ มาประดับ จากนั้นก็ไดออนวอนขอดอกไมทิพยกะเทพบุตรองคที่ ๒ เทพบตุ รองคท ี่ ๒ กลาววา ผูท ีแ่ สวงหาทรพั ยส มบตั ไิ ดม าโดยบริสุทธิ์ชอบธรรม ไม ลอลวงเอาทรัพยผ ูอ น่ื ไดโภคทรพั ยแ ลว กไ็ มม วั เมา จงึ จะเหมาะสมท่จี ะประดับดอกฟก ทพิ ย ปโุ รหิตนัน้ ก็บอกวา ตนเองมีคณุ สมบตั ิเชน นน้ั จงึ ไดดอกไมท ิพยมาประดบั และ ยังออนวอนขอดอกไมทิพยกะเทพบุตรองคท่ี ๓ เทพบุตรองคท่ี ๓ จึงบอกวา ผูท่ีมี จิตไมจืดจางเร็วเหมือนยอมดวยขมิ้นและมีศรัทธาไมคลายงายๆ ไมบริโภคของดีแต เพียงผูเดียว แตยังแบง ปน ใหยาจกและบคุ คลท่ีควรให จึงจะเหมาะสมประดับดอกฟก ทิพย ปุโรหิตก็บอกวา ตนเองมีคุณสมบัติเชนนั้น จึงไดดอกไมทิพยมาประดับ และ ยังออนวอนขอกะเทพบุตรองค ๔ อีก เทพบุตรองคท่ี ๔ จึงบอกวา ผูที่ไมบริภาษ ดาสัตวบรุ ุษคนดี ผูประกอบดว ยคุณมศี ีลเปน ตน ทัง้ ตอ หนา หรือลับหลัง พดู อยา งทาํ อยางนนั้ ผนู ั้นแลยอมควรซง่ึ ดอกฟก ทิพย ปโุ รหิตก็บอกวา ตนเองมคี ุณสมบัตเิ ชน นน้ั จึงไดดอกไมท ิพยมาประดับอกี เทพบตุ รทัง้ ๔ องค ไดใ หเ ทรดิ ดอกไมท ิพยท้ัง ๔ เทรดิ แกปุโรหิตนน้ั แลวก็ พากันกลับไปยังเทวโลก ในเวลาทเี่ ทพบุตรเหลานั้นไปแลว ทกุ ขเวทนาอนั แรงกลา เกดิ ขึ้นท่ีศีรษะของปุโรหิต ศีรษะของเขาเปนเหมือนถูกยอดเขาอันแหลมทิ่มแทง และเปน เหมอื นถกู แผนเหล็กบีบรดั ปุโรหิตนนั้ เสวยทกุ ขเวทนา นอนกลงิ้ ไปกลิ้งมา รองลัน่ เม่อื มหาชนซักถาม วาเกิดอะไรขึ้น เขาจึงไดบอกวา ตนไดโกหกเหลาเทพบุตร เพ่ือใหไดเทริดดอกไมมา ประดับ ความจริงตนไมมีคุณสมบัติเหลาน้ันเลย แลวขอรองใหมหาชนชวยดึงเทริด ออกจากศรี ษะของตน มหาชนชวยกันดงึ กไ็ มหลุดจากศีรษะ เหมอื นเอาแผนเหล็กผกู รดั ดอกไมน น้ั ไว จงึ พากนั หามเขากลับบา น เขาตอ งเจ็บปวดรอ งลน่ั อยูในบา นถงึ ๗ วัน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 289
290 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก พระราชา รับส่ังเรียกประชุมมุขอํามาตยวาจะชวยปุโรหิตผูทุศีลที่กําลังจะ ตายไดอยา งไร พวกอํามาตยจ งึ กราบทูลวา ตองจดั มหรสพข้นึ อกี ครง้ั เพือ่ ใหเ ทพบตุ ร เหลานนั้ กลับมาชม พระราชาจึงใหจดั มหรสพอกี เทพบุตรท้งั หลายก็มาชมมหรสพอีก และไดป ระดบั เทริดดอกไมท ิพยส งกล่นิ หอมฟงุ ไปท่ัว พระนคร ปรากฏตอ หนา มหาชน ณ พระลานหลวงเหมือนเดิม มหาชนไดหามปุโรหิตมาใหนอนหงายอยูขางหนาของ เทพบุตรเหลา น้นั ปุโรหิตน้ัน ออนวอนขอใหเทพบุตรชวยชีวิตเขาดวย เทพบุตรกลาวตําหนิ ติเตียนปุโรหิตในทามกลางมหาชนวา ดอกไมเหลานี้ไมเหมาะสมกับทานซึ่งเปนคน เลวทราม ไมมีศีล มีบาป แตทานไดอวดเกงวาจะหลอกลวงเทพบุตร นาอนาถใจแท ทานไดรับผลแหงมุสาวาทของตนแลว เม่ือตําหนิแลวก็ชวยปลดเทริดดอกไมออกจาก ศีรษะปโุ รหติ พรอ มทง้ั ไดใหโอวาทแกมหาชนและไดก ลับไปยังเทวโลกของตน ชาดกเรอ่ื งนี้ แสดงใหเ หน็ วา คนชวั่ ทก่ี ลา วมสุ าวาท เพราะถกู ความโลภครอบงาํ นั้นสามารถจะกระทําความช่ัวอื่นๆ เพียงเพ่ือใหไดส่ิงที่ตนตองการ โดยไมคํานึงถึงวา ตนมคี ณุ ธรรมเชน นน้ั หรอื ไม วบิ ากกรรมชว่ั นนั้ สง ผลทาํ ใหส ง่ิ ทเ่ี ปน คณุ กลบั เปน โทษได ดงั เชน ดอกไมท พิ ยก ลบั กลายเปน ของแหลมคมทมิ่ แทง และกลายเปน แผน เหลก็ บบี รดั ศีรษะของปโุ รหติ กอใหเ กดิ ทกุ ขเวทนาอยา งแสนสาหสั ๒. ปสณุ วาจา การพูดสอเสยี ด ความเสียหายของปสุณวาจา การพูดสอเสียดยุยงใหผูอื่นเกิดความแตกแยก ไมไววางใจซึ่งกันและกัน ทําใหสงั คมแตกรา วขาดความสามัคคี เปนการทําลายประโยชนสขุ ของหมูคณะ สงั คม และประเทศชาติ ยิ่งไปกวาน้ัน ผลของการพูดสอเสียดที่ทําใหสงฆแตกแยกกัน จดั เปน อนนั ตริยกรรม เปนกรรมหนกั หามสวรรค หา มนิพพาน ปสณุ วาจา การพดู สอเสียด คอื การพดู ยุยงใหผอู น่ื แตกแยกกัน โดยมีความ ประสงค ๒ ประการ คือ ๑. ใหท ัง้ สองฝา ยเกิดเขาใจผิดกนั แตกสามัคคกี ัน ๒. ใหผ อู ื่นรกั ตน และรงั เกียจอกี ฝา ยหน่ึง 290
ÇªÔ ÒÇԹѠ(¡ÃÃÁº¶) 291 หลกั วนิ ิจฉยั การพูดสอเสียดที่สําเร็จเปนปสุณวาจา ถึงความเปนอกุศลกรรมบถ มอี งค ๔ คือ ๑. ภนฺทติ พโฺ พ ปโร คนอื่นท่จี ะพึงถูกทาํ ลาย ๒. เภทปุเรกฺขารตา วา ปยกมฺยตา วา มีจิตคิดจะพูดใหแตกแยกกัน หรือพดู ประสงคจ ะใหเ ขารกั กนั ๓. ตชฺโช วายาโม พยายามพูดออกไป ๔. ตทตถฺ วชิ านนํ ผูฟ ง เขา ใจเนอื้ ความนน้ั ถาขาดองคใดองคหนึ่ง กรรมบถไมขาดและโทษจะเบาลง โทษของปส ณุ วาจา ปส ณุ วาจาจะมโี ทษมากหรือนอย ขน้ึ อยูกับเหตดุ ังตอ ไปน้ี ๑. คุณ ผูถูกทําใหแตกแยกมีคุณมากก็มีโทษมาก ผูถูกทําใหแตกแยก มคี ณุ นอยก็มีโทษนอย ๒. ความแตกแยก ถา พดู แลว เขาแตกแยกกนั กม็ โี ทษมาก ถา ไมแ ตกแยกกนั กม็ ีโทษนอย ๓. กเิ ลส ถาผูพดู มีกิเลสแรงกลา กม็ ีโทษมาก ถา มีกเิ ลสออ นกม็ ีโทษนอ ย ในอรรถกถาอฏั ฐกนิบาต อังคตุ ตรนกิ าย ไดกลาวกรรมวบิ ากของผปู ระพฤติ ปส ุณวาจา ดังน้ี ๑. ยอ มเกดิ ในนรก ๒. ยอ มเกดิ ในกําเนิดสตั วเ ดรจั ฉาน ๓. ยอมเกิดในกําเนดิ เปรตวสิ ยั ๔. โทษเบาทส่ี ดุ หากเกิดเปนมนุษย ยอมทาํ ใหเ กิดความแตกแยกจากมติ ร คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 291
292 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªé¹Ñ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ตวั อยางโทษของปสณุ วาจา เรื่อง วัสสการพราหมณ พระเจาอชาตศัตรู ทรงครองแควนมคธ มีกรุงราชคฤหเปนเมืองหลวง ตองการขยายอาณาจักรไปยังแควนวัชชีอันมีพวกกษัตริยลัจฉวีปกครอง แตพระองค ทรงทราบวา กษตั รยิ ล จิ ฉวที กุ องคล ว นทรงมนั่ อยใู นธรรมทเ่ี รยี กวา “อปรหิ านยิ ธรรม ๗” คือ ธรรมอันเปนไปเพื่อเหตุแหงความเจริญ พระองคจึงวางแผนใหวัสสการพราหมณ ท่ีเปนอํามาตยคนสนิทไปเปนไสศึก วัสสการพราหมณทําเหมือนไดรับพระราชอาญา ดวยทุกขเวทนาแสนสาหัสถึงกับสลบ แลวถูกเนรเทศออกจากแควนมคธก็เดินทาง มงุ ตรงไปเมอื งเวสาลี กษตั รยิ ล จิ ฉวที รงตงั้ ใหเ ปน ครสู อนศลิ ปวทิ ยาแกบ รรดาราชกมุ าร วัสสการพราหมณปฏิบัติหนาท่ีดวยความเต็มใจและเอาใจใส เปนท่ีไววางพระทัยใน หมกู ษตั รยิ ล ิจฉวี หลังจากนั้น วัสสการพราหมณจึงไดดําเนินอุบายเพื่อทําลายความพรอม เพรยี งและความสามคั คกี นั ของกษตั รยิ ล จิ ฉวี โดยวสั สการพราหมณค อยยแุ หยส ง เสรมิ เหตแุ หง การทะเลาะววิ าทใหบ งั เกดิ ขนึ้ ในหมรู าชกมุ ารอยเู นอื งนติ ย จนกระทง่ั ราชกมุ าร ทุกพระองคแตกสามัคคีเปนเหตุใหวิวาทกัน ความแตกราวก็ลามไปถึงบรรดาพระราช บดิ าผซู งึ่ เชอื่ ถอ ยคาํ โอรสของตน หลงั จากเวลาผา นไป ๓ ป ความสามคั คกี ถ็ กู ทาํ ลายสน้ิ วัสสการพราหมณจึงใหคนลอบไปกราบทูลพระเจา อชาตศัตรู พระเจาอชาตศัตรูก็กรีฑาทัพสูเมืองเวสาลี เมื่อพวกชาวเมืองเวสาลีตกใจ กลัวภัย มุขมนตรีจึงไดตีกลองใหบรรดากษัตริยลิจฉวีมาประชุมเพ่ือยกทัพมาตอสู ขาศึก แตเหลากษัตริยลิจฉวีไมมีผูใดเขาท่ีประชุมแมแตคนเดียว อีกทั้งประตูเมืองก็ ไมม ใี ครสงั่ ใหป ด พระเจา อชาตศตั รจู งึ สามารถยดึ ครองเมอื งเวสาลีไดโดยงาย ปสุณวาจานี้ นอกจากเปนโทษแกผูพูดแลว ยังสงผลใหผูรับฟงเกิดความ แตกแยกจนถงึ เสียบา นเสียเมอื ง ดังที่ กษตั รยิ ล ิจฉวีเสียเมอื งใหแกพ ระเจา อชาตศตั รู เปน ตน 292
ÇÔªÒÇԹѠ(¡ÃÃÁº¶) 293 ๓. ผรสุ วาจา การพดู คําหยาบ ความเสยี หายของผรุสวาจา การพูดคําหยาบหรือคําดา ยอมกอใหเกิดความเจ็บชํ้าน้ําใจแกผูฟง เปน เหตใุ หกอ เวรผกู พยาบาท ถึงข้ันประหตั ประหารชีวติ กันได ทาํ ใหผ ูฟง เกดิ ความทอแท ขาดกําลงั ใจสง ผลใหส ญู เสียประโยชนทจี่ ะพงึ ไดร บั คําวา ผรุสา หมายถึง เจตนาแผไปเผาพลาญจิตของผูฟง ผรุสวาจา จึงหมายถึง การพูดท่ีมีเจตนามุงทําลายแผไปเผาผลาญจิตใจของผูฟง เกิดจากความ พยายามทางกายและทางวาจา อันเปนเหตุทําลายไมตรีของผูอ่ืน และอีกนัยหนึ่ง ผรสุ วาจา แปลวา คาํ หยาบ หมายถึง คาํ ดา คาํ รนุ แรง คาํ กระดา ง ผรุสวาจานั้น ข้ึนอยูกับเจตนาท่ีมุงประทุษรายและพูดตอหนาจึงจัดเปน อกุศลกรรมบถ สวนคําดาที่พูดดวยเจตนาดี เหมือนบิดามารดา และครูอาจารย พดู ดดุ า บุตร ธิดา และศษิ ย เปน ตน เพอื่ คณุ ความดี ไมจัดเปน ผรุสวาจา ไมถ ึงความ เปน อกุศลกรรมบถ การพูดทีม่ จี ิตออนโยน แมจ ะเปนคาํ ดา ก็ไมชอื่ วาเปนผรสุ วาจา ดังตัวอยา ง เรื่องปากรา ยใจดี ความวา เด็กคนหนง่ึ ไมเชื่อฟง คําของมารดาเขาไปในปา มารดาเม่อื ไมส ามารถจะหามไดจ งึ พูดวา “ขอแมกระบอื ดุ จงไลต ามมนั ” คร้นั เดก็ เขา ไปในปา แม กระบือไดปรากฏตัวอยางท่ีมารดาพูดไว เด็กไดทําสัจจกิริยาวา มารดาของขาพูดเร่ือง ใดดว ยปาก ขอเรือ่ งนัน้ จงอยามี มารดาคดิ เร่อื งใดดว ยจติ ขอเร่ืองนน้ั จงม”ี แมก ระบอื ไดห ยดุ เหมอื นถูกผกู อยูก ับที่ เร่อื งนี้แสดงใหเ ห็นวา มารดาพดู อยางน้ันก็จรงิ แตไมม ี เจตนารา ย จึงไมเ ปน ผรสุ วาจา สว นการพูดทมี่ ีจติ หยาบ มีเจตนาประสงคร าย แมจะเปนคาํ พดู ท่ีออ นหวาน ก็ช่ือวาเปนผรุสวาจา เชน คําพูดท่ีประสงคจะใหฆาคนอื่นดวยคําวา “ทานท้ังหลายจง ใหคนนน้ี อนเปน สุขเถดิ ” คําพูดเชนน้ี จดั เปน ผรสุ วาจาโดยแท หลักวนิ ิจฉัย การพูดคําหยาบ ที่จะสําเร็จเปนผรุสวาจา ถึงความเปนอกุศลกรรมบถ มอี งค ๓ คอื คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 293
294 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé àÍ¡ ๑. อกฺโกสิตพโฺ พ ปโร คนอ่ืนท่ีจะตองถูกดา ๒. กุปตจิตฺตํ จิตโกรธ ๓. อกโฺ กสนา พูดดา ออกไป บรรดาองค ๓ ประการน้ี คาํ วา จติ โกรธ ทานมุงหมายถึงจิตโกรธดวยความ ประสงคใ นการดา ไมไ ดม ุงหมายถงึ จติ โกรธดวยประสงคจ ะใหตาย เพราะเมอ่ื จติ โกรธ ดวยความประสงคจ ะใหตาย ยอ มเปน พยาบาท อักโกสวัตถุ พระสุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ไดกลาวถึงเร่ืองสําหรับใชดา เรียกวา อักโกสวัตถุ มี ๑๐ อยาง คือ เจาเปนโจร เจาเปนคนพาล เจาเปนคนหลง เจาเปน อฐู เจาเปนโค เจาเปน ลา เจา เปนสตั วน รก เจาเปนสตั วเดรจั ฉาน เจา ไมม ีสคุ ติ เจา หวงั แตทุคติ ดงั เรอื่ งพระนางมาคนั ธิยาท่ใี ชใหคนไปดาบรภิ าษพระพทุ ธเจาความวา ครง้ั หนง่ึ พระผมู พี ระภาคเจา ประทบั อยู ณ โฆสติ าราม เมอื งโกสมั พี พระนางมา คนั ธิยา ผเู ปน มเหสีของพระเจาอเุ ทน ไดผ ูกโกรธพระผูมีพระภาคเจาจงึ ไดจ า งชาวเมือง ใหไปดาพระผูมีพระภาคเจา ชาวเมืองผูเปนมิจฉาทิฏฐิไมเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได ตดิ ตามพระผมู พี ระภาคเจา ผเู สดจ็ เขา ไปภายในพระนครดา บรภิ าษดว ยอกั โกสวตั ถุ ๑๐ อยา งวา “เจาเปนโจร เจาเปนคนพาล เจาเปน คนหลง เจาเปนอฐู เจาเปนโค เจาเปนลา เจาเปน สัตวนรก เจาเปนสัตวเดรัจฉาน เจา ไมม ีสคุ ติ เจา หวังแตท คุ ติไดอ ยา งเดียว” พระอานนทฟ งคาํ น้ันแลว ไดก ราบทูลพระศาสดาใหเ สดจ็ ไปเมืองอนื่ พระผูม ี พระภาคเจา ตรสั วา “อานนท การทําอยางนีไ้ มค วร อธกิ รณเ กิดขน้ึ ในทใี่ ด เมอื่ อธกิ รณ นนั้ สงบระงบั แลว ในทน่ี นั้ แล จงึ ควรไปในทอี่ น่ื ” และตรสั วา “อานนท เราเปน เชน กบั ชา ง ตวั กา วลงสสู งคราม กก็ ารอดทนตอ ลกู ศรอนั มาจาก ๔ ทศิ ยอ มเปน ภาระของชา งซงึ่ กา ว ลงสูสงคราม ฉนั ใด ชือ่ วา การอดทนตอถอ ยคาํ อันคนทุศีลเปนอันมากกลาวแลว ก็เปน ภาระของเรา ฉันน้ันเหมือนกนั ” พระผูมีพระภาคเจาตรัสวา “อานนท เธออยาคิดไปเลย พวกน้ันจักดาได ไมเกนิ ๗ วนั เร่ืองกจ็ ะสงบไปเอง เพราะวา อธิกรณท เี่ กิดข้นึ แกพ ระพุทธเจาทงั้ หลาย ยอมไมเ กนิ ๗ วนั ” คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก 294
ÇªÔ ÒÇÔ¹ÂÑ (¡ÃÃÁº¶) 295 โทษของผรุสวาจา ผรสุ วาจาจะมีโทษมากหรอื นอ ย ขนึ้ อยกู ับเหตุ ๓ ประการ คอื ๑. ผรุสวาจานัน้ ถึงความเปนกรรมบถ คือประกอบดว ยองค ๓ มีโทษมาก ไมครบองคมีโทษนอ ย ๒. คนทีถ่ ูกดา มคี ณุ ธรรมมากก็มีโทษมาก มคี ุณนอ ยกม็ ีโทษนอย ๓. ผพู ูดมกี ิเลสแรงกลามโี ทษมาก มีกเิ ลสนอยกม็ โี ทษนอย ในอรรถกถาอฏั ฐกนบิ าต อังคตุ ตรนิกาย ไดก ลาวกรรมวบิ ากของผูประพฤติ ผรสุ วาจา ดงั นี้ ๑. ยอมเกิดในนรก ๒. ยอมเกดิ ในกาํ เนิดสัตวเดรัจฉาน ๓. ยอ มเกิดในกําเนิดเปรตวสิ ยั ๔. โทษเบาที่สดุ หากเกดิ เปน มนุษย จะไดฟงเสยี งไมนาพอใจ ตัวอยางโทษของผรสุ วาจา เรื่อง โคนนั ทิวิสาล ในสมยั ของพระเจา คนั ธาระครองเมอื งตกั กศลิ า แควน คนั ธาระ พระโพธสิ ตั ว เกิดเปนโคนามวา นันทิวิสาล เปนโคมีรูปรางสวยงาม มีพละกําลังมาก มีพราหมณ คนหนง่ึ ไดเ ลย้ี งและรกั โคนนั้ เหมอื นลกู ชาย โคนน้ั คดิ จะตอบแทนบญุ คณุ การเลยี้ งดขู อง พราหมณ ในวนั หนึง่ ไดพ ูดกะพราหมณว า “พอ จงไปทาพนันกับโควินทกเศรษฐีวา โคของเราสามารถลากเกวียนหน่ึง รอยเลมทผี่ ูกตดิ กนั ใหเ คลือ่ นไหวได พนนั ดว ยเงนิ หนึ่งกหาปณะเถิด” พราหมณไดไ ปทบี่ านเศรษฐีและตกลงกนั ตามนัน้ นัดเดมิ พนั กนั ในวนั รงุ ข้ึน ในวันเดิมพัน พราหมณไดเ ทียมโคนนั ทิวสิ าลเขา ที่เกวยี นเลม แรก เพ่ือลากเกวียนหน่ึง รอ ยเลม ผกู ติดกันซง่ึ บรรทุกทราย กรวดและหินเต็มลําเกวียน แลว ขนึ้ ไปน่ังบนเกวียน เงอื้ ปฏกั ข้นึ พรอ มกบั ตวาดวา “ไอโคโกง โคโง เจา จงลากเกวียนไปเดย๋ี วน”้ี ฝายโคนันทิวิสาล เม่ือไดยินพราหมณพูดเชนนั้น ก็นอยใจวา “พราหมณ เรียกเราผไู มโ กงวาโกง ผูไมโงวาโง” จงึ ยืนน่ิงไมเ คล่ือนไหว โควินทกเศรษฐีจึงเรียกให คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 295
296 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก พราหมณนําเงินหนึ่งพันกหาปณะมาใหแลวกลับบานไป ฝายพราหมณผูแพพนันเงิน หน่ึงพันกหาปณะปลดโคแลวก็เขาไปนอนเศราโศกเสียใจอยูในบาน สวนโคนันทิวิสาล เหน็ พราหมณเศราโศกเสียใจเชนนัน้ จงึ เขา ไปปลอบและกลาววา “พอ ฉนั อยใู นเรอื นของทา นมาตลอด เคยทาํ ภาชนะอะไรแตกไหม เคยเหยยี บ ใครๆ เคยถา ยอจุ จาระ ปสสาวะในที่อนั ไมควรหรือไม เพราะเหตใุ ด ทานจึงเรยี กเราวา โคโกง โคโง ครง้ั น้ี เปนความผิดของทานเอง ไมใชค วามผดิ ของฉนั บัดนี้ ขอใหทาน ไปเดมิ พนั กบั โควินทกเศรษฐีใหมด วยเงินสองพนั กหาปณะ ขออยา งเดยี ว ทา นอยา ได เรียกฉันวา โคโกง โคโง ทา นจะไดทรัพยตามที่ทานปรารถนา ฉนั จะไมท ําใหท านตอง ผดิ หวังเสียใจ” พราหมณไ ดท าํ ตามทโี่ คนนั ทวิ สิ าลบอก ในวนั เดมิ พนั พราหมณจ งึ พดู หวานวา “นนั ทิวิสาลลกู รัก เจา จงลากเกวยี นท้งั หน่งึ รอยเลมน้ําไปเถดิ ” โคนันทิวิสาลไดลากเกวียนรอยเลมท่ีผูกติดกัน ดวยการออกแรงลากเพียง คร้งั เดยี วเทา น้นั ทําใหเ กวยี นเลมสุดทา ยไปต้งั อยทู ่เี กวียนเลม แรกอยู ทําใหพราหมณ ชนะพนนั ดว ยเงนิ สองพนั กหาปณะ พระพทุ ธองค เมอื่ นาํ อดตี นทิ านมาสาธกแลว ตรสั วา “ภิกษุท้ังหลาย ชื่อวา คําหยาบ ไมเปนที่ชอบใจของใครๆ แมกระทั้งสัตว เดรัจฉาน” แลว ไดต รัสพระคาถาวา “บุคคลควรพดู แตค ําทีน่ าพอใจเทา นนั้ ไมค วรพดู คําทไ่ี มนา พอใจในกาลใด เมื่อพราหมณพ ูดคําทีน่ า พอใจ โคนันทวิ สิ าลไดลากสัมภาระ อันหนักได ท้ังยังทําใหพราหมณผูนั้นไดทรัพยอีกดวย สวนตนเองก็เปนผูปล้ืมใจ เพราะการชวยเหลอื น้ันดว ย” ๔. สมั ผัปปลาปะ การพูดเพอ เจอ ความเสียหายของสมั ผปั ปลาปะ คาํ พดู เพอ เจอ เปน คาํ พดู ทไ่ี รส าระ ไมเ ปน ประโยชนแ กท ง้ั ๒ ฝา ย คอื ทง้ั ผพู ดู และผูฟง ทําใหเสยี เวลาไปโดยเปลา ประโยชน ผพู ูดก็ไมมีใครเชอื่ ถอื ถอยคํา ผฟู งก็ไม ไดประโยชนอ ะไร สัมผัปปลาปะ หมายถึง อกุศลกรรมบถท่ีพยายามแสดงออกทางกายและ วาจาใหผอู ื่นรูเ รื่องทม่ี ปี ระโยชน 296
ÇªÔ ÒÇÔ¹ÂÑ (¡ÃÃÁº¶) 297 สมั ผปั ปลาปะ เปน ถอ ยคาํ ทไี่ รส าระ ปราศจากอรรถ ธรรม และวนิ ยั ทาํ ใหค นอน่ื หลงเช่ือวาเปนเรื่องที่มีสาระ จัดเปนอกุศลกรรมบถ สวนถอยคําที่เปนติรัจฉานกถา ไดแ ก เรื่องราวทไี่ มควรนาํ มาถกเถียงสนทนากนั เชน เร่อื งการนาํ นางสีดามา และมหา ภารตยุทธ เปน ตน เพราะทําใหเ กดิ ความฟงุ ซานและเสียเวลา แมจ ะจัดอยูในประเภท สัมผัปปลาปะ แตกเ็ ปนเพยี งกรรมเทาน้นั ไมเ ปนอกุศลกรรมบถ สมั ผปั ปลาปะ ตา งจากมสุ าวาท คือ มสุ าวาทนนั้ ผูพูดมีเจตนามุงจะใหค นอน่ื เชอื่ ในเรือ่ งท่ีไมจ ริงวาจรงิ เรื่องจรงิ วา ไมจ ริง สวนสัมผปั ปลาปะ ผูพ ูดมีเจตนาทม่ี ุง ให คนอื่นเชอื่ ในเรือ่ งท่ีไรส าระวาเปนเรอ่ื งทมี่ ีสาระ หลกั วินิจฉัย การพูดเพอเจอ ท่ีสําเร็จเปนสัมผัปปลาปะถุงความเปนอกุศลกรรมบถ มอี งค ๒ คือ ๑.นิรตฺถกกถาปุเรกขฺ ารตา ความเปน ผมู จี ติ มงุ จะพดู เร่อื งเพอเจอ ๒.ตถารูปยกถากถนํ พูดเรือ่ งเชน นั้นออกไป การพูดเพอเจอน้ัน เมื่อผูอ่ืนเชื่อถือเรื่องนั้นเปนอกุศลกรรมบถ ถาผูอ่ืน ไมเช่อื ถือไมเปน อกุศลกรรมบถ โทษของสัมผัปปลาปะ สัมผปั ปลาปะ จะมีโทษมากหรือนอ ย ขึน้ อยกู ับเหตุ ๓ ประการ คือ ๑. ผูพูดมีอาเสวนะ คือความเสพคนุ ไดแก พูดบอยๆ จนชินปากมโี ทษมาก มีอาเสวนะนอ ยมีโทษนอย ๒. ผฟู ง เช่อื วา เปน เร่ืองจริงมโี ทษมาก ถาไมเช่อื มีโทษนอย ๓. ผูพูดมีกิเลสแรงกลา คือ พูดดวยอํานาจกิเลสมีโทษมาก มีกิเลสออนมี โทษนอ ย ในอรรถกถาอัฏฐกนบิ าต องั คตุ ตรนกิ าย ไดกลา วกรรมวิบากของผปู ระพฤติ สัมผปั ปลาปะ ดังนี้ ๑. ยอมเกดิ ในนรก ๒. ยอมเกดิ ในกาํ เนดิ สตั วเ ดรัจฉาน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 297
298 ¤Ù‹ÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ๓. ยอ มเกิดในกําเนิดเปรตวิสยั ๔. โทษเบาทสี่ ุด หากเกดิ เปน มนุษย ไมม ใี ครเช่อื ถอื ถอ ยคาํ ตวั อยางโทษของสัมผัปปลาปะ เร่อื ง บุรุษเปลย้ี ในอดีตกาล ในกรงุ พาราณสี บรุ ษุ เปลย้ี คนหน่ึงมีความชาํ นาญในศลิ ปะการ ดดี กอ นกรวด สามารถดดี กอ นกรวดใสใ บไมท าํ เปน รปู สตั วต า งๆ ได บรุ ษุ เปลย้ี นน้ั ชอบ มานงั่ ใตต น ไทรยอ ยใกลป ระตพู ระนคร เปน ประจาํ พวกเดก็ ๆ ชาวบา นพากนั มาใหบ รุ ษุ เปลยี้ ดดี กอ นกรวดไปเจาะใบไทรทาํ เปน รปู ชา ง รปู มา เปน ตน บรุ ษุ เปลย้ี กท็ าํ ตามความ ตอ งการของพวกเดก็ ๆ พวกเดก็ ๆ กต็ อบแทนดว ยของกนิ และของขบเคยี้ วเปน ตน อยมู า วนั หนง่ึ พระราชาเสดจ็ ไปสูพระราชอุทยานเสด็จไปถึงท่ีนัน้ พวกเดก็ ๆ ไดนาํ บุรษุ เปลยี้ ไปหลบซอ นไวใ นระหวา งยา นไทรแลว พากนั หนไี ป เมอื่ พระราชาเสดจ็ เขา ไปสโู คนตน ไม ในเวลาเท่ยี งตรงเงาของชอ งสอ งตอ งพระสรรี ะ พระองคฉงนพระทัย ทรงตรวจดา นบน ไดท อดพระเนตรเหน็ รปู ชา ง รปู มา เปน ตน ทใ่ี บไมท ง้ั หลาย ทรงทราบวา บรุ ษุ เปลยี้ ทาํ ไว จงึ รบั สง่ั ใหน าํ บรุ ษุ เปลย้ี นน้ั มาเฝา แลว ตรสั วา “ปโุ รหติ ของเราพดู มากนกั เมอื่ เราพดู เพยี ง นดิ หนอ ย กพ็ ดู มากเกนิ จนเราราญ เจา สามารถดดี มลู แพะประมาณทะนานหนง่ึ เขา ปาก ของปโุ รหิตนนั้ ไดห รือไมบ ุรุษเปลย้ี กราบทลู วา “ไดพระเจาขา ขอพระองคจ งใหค นนํา มลู แพะมาแลว ประทับน่งั ภายในมา นกบั ปุโรหิต ขา พระองคจ ักทาํ ตามพระประสงค” พระราชาไดทรงรับสั่งใหทําอยางนั้นแลว บุรุษเปลี้ยใหเจาะชองไวท่ีมาน เม่ือปุโรหิตพูดกับพระราชาพออาปากก็ดีดมูลแพะไปทีละกอนๆ ปุโรหิตกลืนมูล แพะท่ีเขาปากแลวก็พูดตอเม่ือมูลแพะหมดบุรุษเปล้ียจึงส่ันมาน พระราชาทรงทราบ จงึ ตรสั กบั ปโุ รหติ วา “อาจารย เราพดู กบั ทา นจาํ คาํ พดู ไมไ ดเ ลย ทา นแมก ลนื กนิ มลู แพะ ประมาณทะนานหนึ่งแลวก็ยังไมหยุดพูดเพราะทานพูดมากเกินไป” พราหมณไดเปน ผูเกอ ตั้งแตน้ันมาก็ไมกลาอาปากเจรจากับพระราชาได พระราชารับสั่งใหเรียกบุรุษ เปล้ียมาแลวตรัสวา “เราไดความสุขก็เพราะเจา” ทรงพอพระทัยจึงพระราชทานวัตถุ สิ่งของใหจํานวนมาก พรอมท้ังไดพระราชทานบานสวย ๔ ตําบลซึ่งต้ังอยูในทิศทั้ง ๔ แหง พระนครแกบรุ ษุ เปล้ยี 298
ÇÔªÒÇÔ¹ÂÑ (¡ÃÃÁº¶) 299 วจีกรรมแสดงออกได ๒ ทาง วจีกรรม ๔ อยาง คือ มุสาวาท การพูดเท็จ ปสุณวาจา การพูดสอเสียด ผรุสวาจา การพูดคาํ หยาบ และสมั ผปั ปลาปะ การพูดเพอเจอ แสดงออกได ๒ ทาง คือ ๑. ทางกาย เรียกวา กายประโยค หมายถึง การแสดงกิริยาทาทางเพื่อให อีกฝายรูความหมายของตนเปนกิริยาที่กระทําผานทางกาย เชน โบกมือ ผงกศีรษะ เขียนหนงั สอื เปนตน จดั เปน วจกี รรมท่ีเปน ไปทางกายทวาร ๒. ทางวาจา เรียกวา วจีประโยค หมายถึง การพูดออกมาเปนถอยคํา จัดเปนวจีกรรมทเ่ี ปนไปทางวจีทวาร มโนกรรม ๓ มโนกรรม หมายถึง การกระทาํ ทางใจ คือ ทํากรรมดวยการคิด ไมวา จะคิด ทําช่ัวหรอื คดิ ทาํ ดี มโนกรรมฝายอกุศล คือการคิดทําช่ัว มี ๓ อยาง ไดแก อภิชฌา การเพง เลง็ อยากไดของผูอ ่ืน พยาบาท การคิดปองรา ยผูอ่ืน และมจิ ฉาทฏิ ฐิ การเหน็ ผิดจากคลองธรรม ๑.อภิชฌา การเพงเลง็ อยากไดข องผูอ ่ืน ความเสยี หายของอภชิ ฌา การเพงเล็งอยากไดของผูอ่ืน คือ การมีเจตนาเปนเหตุใหละโมบ อยากได ของของผอู น่ื เปน สาเหตุสําคญั ท่ีนาํ ไปสูอ ทนิ นาทาน มีการลักขโมย การปลน เปนตน เปน การทาํ ลายคณุ ธรรมภายในตน เชน ทาํ ใหจ ติ ไมต ั้งม่นั ไมเปนสมาธิ เปน ตน อภชิ ฌา แปลวา การเพง เลง็ อยากไดข องผอู ่ืนมาเปนของตน ดว ยเจตนาเปน เหตลุ ะโมบคดิ อยากไดท รพั ยของผอู ื่นมาเปน ของตน โดยองคธ รรม ไดแ ก โลภเจตสิก โลภะมี ๒ อยาง คอื ๑.ธัมมิยโลภะ ความโลภอยากไดประกอบดวยธรรม เม่ือเกิดความอยาก ไดส ่งิ ตางๆ กเ็ สาะแสวงหามาโดยสุจริต ไมผ ิดศลี ธรรม เชน การซ้อื ขาย แลกเปลยี่ น หรือ การขอ เปน ตน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 299
300 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ àÍ¡ ๒. อธมั มยิ โลภะ ความอยากไดไ มป ระกอบดว ยธรรม เมอ่ื เกดิ ความอยากได กค็ ดิ หาทางทจี่ ะขโมย ฉอ โกง จ้ี ปลน หรอื ใชก ลวธิ ตี า งๆ เพอื่ ทจี่ ะใหไ ดม าซง่ึ สง่ิ เหลา นน้ั ในทางมชิ อบ หลักวนิ ิจฉัย การเพงเล็งอยากไดของผูอ่ืนท่ีจะสําเร็จเปนอภิชฌา ถึงความเปนอกุศล กรรมบถมอี งค ๒ คือ ๑. ปรภณฑฺ ํ ส่งิ ของของผูอนื่ ๒. อตฺตโน ปริฌามนํ การนอ มมาเพอ่ื เปนของตน คําวา ส่ิงของของผูอ่ืน หมายถึง อวิญญาณกทรัพย เชน ท่ีดิน บานเรือน แกว แหวน เงนิ ทอง และสวิญญาณกทรพั ย เชน สตั วเลีย้ งตาง ๆ รวมทงั้ มนุษยหญงิ ชาย ท่ีมีเจาของ หรอื คูหมั้นคูหมายทจ่ี องตวั ไวแ ลว สวนคนอืน่ นอกจากท่ีไมมเี จา ของ หรือผูจองตวั ไมจัดวาเปน สง่ิ ของของผอู น่ื คาํ วา “ การนอ มมาเพ่อื เปนของของตน” ในฎกี าสงั คีติสตู รกลาววา “การนอ ม เขามาเพอื่ เปนของของตน มีไดดวยจติ เทา น้นั ” เจตนาเปนเหตุละโมบ ในเม่ือเห็นสิ่งของของผูอื่นแลว เพงเล็งโดยนอม เขามาหาตนวาทําอยางไรหนอ ของน้ีจะพึงเปนของเรา ช่ือวา อภิชฌา ที่ถึงความ เปนอกุศลกรรมบถ แตถาเห็นสมบัติของคนอื่นแลว ไมคิดเอามาเปนของตน เพียง แตยินดีวา ผูใชสอยสมบัติเชนนี้มีบุญหนอ เราควรไดใชสอยสักชั่วคราว หรือวาเรา ควรไดรับของเชนนี้บาง การคิดอยางน้ีเปนเพียงกรรมเทาน้ัน ไมเปนอกุศลกรรมบถ ดังคําของพระอรรถกถาจารยที่วา “แมความโลภจะเกิดในสมบัติของผูอื่นก็ยังไมจัด เปนอกศุ ลกรรมบถ ตลอดเวลาทยี่ งั ไมนอ มเขามาเปน ของตนวา ไฉนหนอของนีพ้ งึ เปน ของเรา” โทษของอภชิ ฌา อภิชฌาจะมโี ทษมากหรอื นอย ขึ้นอยูกบั เหตุ ๓ ประการ คอื ๑. ส่งิ ของทเ่ี พง เลง็ มีคา มากกม็ โี ทษมาก มีคานอยกม็ โี ทษานอ ย ๒. เจา ของสง่ิ ของมคี ุณมากก็มโี ทษมาก มคี ุณนอ ยกม็ ีโทษนอ ย ๓. ผูเ พงเลง็ มกี เิ ลสแรงกลา ก็มโี ทษมาก มกี ิเลสนอ ยก็มโี ทษนอย คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก 300
ÇÔªÒÇÔ¹ÂÑ (¡ÃÃÁº¶) 301 ตัวอยา งโทษของอภชิ ฌา เรือ่ ง นายภัตตภติกะ มเี ศรษฐคี นหนงึ่ ไดร บั มรดกหลงั จากบดิ ามารดาถงึ แกก รรม ผรู กั ษาเรอื นคลงั ของเศรษฐนี นั้ ไดเ ปด หอ งสาํ หรบั เกบ็ ทรพั ยแ ลว แจง จาํ นวนทรพั ยใ หท ราบวา ทรพั ยข อง บรรพบรุ ษุ มปี ู เปน ตน มจี าํ นวนเทา น้ี ของบดิ ามจี าํ นวนเทา น้ี เศรษฐี ดทู รพั ยเ หลา นน้ั แลว ถามวา ทําไมบรรพบุรุษของเราจึงไมเอาทรัพยเหลาน้ีไปดวย ผูรักษาเรือนคลังบอกวา เจานาย ไมม ใี ครถอื เอาทรพั ยไปปรโลกไดห รอก สตั วทั้งหลาย พาเอาไปไดแ ตบุญกบั บาปที่ตนทําไวเทา น้นั เศรษฐคี ดิ วา บรรพบรุ ษุ ของเรา สะสมทรพั ยส นิ เงนิ ทองเอาไวม ากมายมหาศาล ท่ีสุดก็เอาไวใหคนอ่ืน เพราะความโงแทๆ สวนเราจะเอาทรัพยสินเงินทองเหลาน้ันไป ใหหมด จึงสั่งใหสรางคฤหาสนหรูหราราคาแพง สรางรานสําหรับรับประทานอาหาร เพื่อประกาศความร่ํารวย ใหชาวเมืองไดเห็นการรับประทานอาหารแตละม้ือที่ตองใช จายทรัพยมาก มีท้ังอาหาร หญิงสาวมาคอยปรนนิบัติขับกลอม โดยเฉพาะวันเพ็ญ ไดจ า ยทรพั ย เปน จาํ นวนมาก เพอื่ เปน คา อาหาร จา งคนไปประกาศใหช าวเมอื งมาดกู าร รบั ประทานอาหารของตน ประชาชนไดพ ากันมาดูเปน จาํ นวนมาก ในที่น้นั มีคนยากจน ๒ คนเปนเพือ่ นกนั คนหนง่ึ อยใู นเมืองคนหน่ึงอยูนอก เมอื ง มอี าชพี หาฟน ขาย พอเศรษฐเี ปด ภาชนะบรรจอุ าหาร กลนิ่ ของอาหาร หอมฟงุ ตลบ ไปทว่ั คนหาฟน เกดิ ความอยากทจี่ ะรบั ประทานอาหารนนั้ อดใจไมอ ยู เพราะตงั้ แตเ กดิ มา อยาวาแตไดรับประทานเลย แมแตกลิ่นอยางน้ี ก็ไมเคยไดรับ จึงบอกแกเพ่ือนวา เพื่อนเอย เราอยากกินอาหารนั้นเหลือเกิน เพื่อนจึงตอบวา อยาปรารถนาเลยเพ่ือน เราทาํ งานตลอดชวี ติ กไ็ มม โี อกาสไดล ม้ิ รสอาหารอยา งน้ี เขาขอรอ งวา เพอื่ นเอย ถา ไมไ ด กินอาหารน้ีตองตายแน เม่ือไมสามารถหามไดจึงตะโกนดวยเสียงอันดังวา นายครับ ผมไหวทาน ขออาหารในถาดใหเพื่อนผมกินสักคําเถิด เศรษฐีตอบวาไมได จึงหันมา ถามเพอ่ื นวา ทา นไดย นิ เศรษฐีพดู ไหม เขาตอบวา ไดย นิ แลว แตย ังยนื ยนั วา ถา ไมได รบั ประทานอาหารนตี้ อ งตายแน เพอื่ นทอ่ี ยใู นเมอื งไดพ ดู กบั เศรษฐวี า ทา นขอรบั เพอ่ื น ของผมบอกวา ถาเขาไมไดอาหาร ชีวิตเขาตองตายแนนอน จึงขอรองเศรษฐีวา ขอทา น โปรดใหช วี ติ เขาดวยเถดิ เศรษฐตี อบวา อาหารน้รี าคาแพงมาก ถาทกุ คนมาอางเหมือน คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 301
302 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก เพ่ือนของแก จะเอาที่ไหนมาให ถาเพื่อนแกอยากกินอาหารจานนี้จริง ๆ ตองทํางาน ๓ ป เพือ่ แลกขา วจานเดียวน้ี เรอ่ื งน้ี แสดงใหเ หน็ วา อภชิ ฌา ความเพง เลง็ อยากไดอ ยา งรนุ แรงเกดิ ขนึ้ จาก สิ่งลอใจภายนอกกไ็ ด ชาวบานนอกคนน้นั มีชวี ติ อยใู นโลกดวยความอดอยากยากจน มานานแลว เม่อื ไมไดเ ห็นความหรูหรา ไมไดก ล่นิ อาหารดี ก็ไมมปี ญ หาอะไร แตเมื่อได เห็นความหรหู ราและไดก ล่นิ อาหารดีๆ ของเศรษฐจี นเกดิ ความอยากไดอ ยา งรนุ แรงถึง กับเอาชีวติ เขา ไปแลก ๒. พยาบาท การคดิ ปองรายผอู นื่ ความเสียหายของพยาบาท ผคู ดิ ปองรา ยผอู น่ื ชอื่ วา ไดท าํ ลายประโยชนส ขุ ใหพ นิ าศไป เพราะมจี ติ ใจแคน เคืองเกลยี ดชงั ผกู ใจเจ็บ มองโลกในแงราย หงุดหงิด ฉนุ เฉยี ว ไมเหน็ อรรถ ไมเ ห็น ธรรม เปนเหตุนาํ ไปสกู ารทําปาณาติบาต คือการทาํ ลายชวี ติ สัตวใหต กลว งไป พยาบาท หมายถงึ ความคดิ ปองรา ยผอู น่ื ใหไ ดร บั ความพนิ าศ โดยองคธ รรม ไดแก โทสเจตสิก ความพยาบาทเกดิ เพราะความคดิ ๑๐ ประการ คอื ๑. คดิ วา เขาไดทําความพนิ าศแกเ รา ๒. คดิ วาเขากาํ ลงั ทาํ ความพนิ าศแกเรา ๓. คดิ วาเขาจะทาํ ความพนิ าศแกเ รา ๔. คดิ วาเขาไดทาํ ความพนิ าศแกคนทเี่ รารกั และพอใจ ๕. คิดวา เขากําลังทําความพนิ าศแกคนท่ีเรารักและพอใจ ๖. คิดวา เขาจะทําความพินาศแกคนทเ่ี รารักและพอใจ ๗. คดิ วา เขาไดป ระโยชนแ กคนที่ไมเ ปนท่ีรกั ไมเ ปน ทีพ่ อใจของเรา ๘. คดิ วา เขากําลงั ทาํ ประโยชนแกคนท่ีไมเ ปนที่รักไมเปน ท่พี อใจของเรา ๙. คดิ วา เขาจะทาํ ประโยชนแกค นท่ไี มเปนทีร่ กั ไมเ ปนทพ่ี อใจของเรา ๑๐. คดิ พยาบาทโดยไมมีเหตผุ ล 302
ÇÔªÒÇ¹Ô Ñ (¡ÃÃÁº¶) 303 ความคิดท่ีเปนพยาบาทนี้ นอกจากจะทําลายประโยชนสุขของผูอ่ืนแลว ยังทําลายประโยชนสุขของตนดวย ฉะน้ัน จึงควรมีเมตตากรุณา รักใคร ชวยเหลือ ซึง่ กันและกนั เพ่ือใหสงั คมมนุษยอยูรว มกันอยา งสนั ติสุข หลกั วนิ จิ ฉยั การคิดปองรายผูอ่ืน ที่จะสําเร็จเปนพยาบาท ถึงความเปนอกุศลกรรมบถ มอี งค ๒ คอื ๑. ปรสตโฺ ต สตั วอน่ื ๒. ตสฺส วินาสจนิ ตฺ า คิดจะใหส ัตวน้นั ถงึ ความพินาศ ความคิดปองรายของผูมุงจะทํารายชีวิตของสัตวอื่นวา ขอใหสัตวเหลาน้ี จงพนิ าศ จงวบิ ตั ิ ทําอยา งไร สตั วเ หลานจี้ งึ จะพนิ าศ วบิ ตั ิ ไมเ จรญิ รงุ เรอื ง มีชีวิตอยูได ไมน าน ดังนี้ จัดเปน อกุศลกรรมบถ สวนความโกรธทไี่ มคิดรา ยผอู ืน่ เปนเพยี งกรรม เทา นน้ั ดังคําพระอรรถกถาจารยวา แมความโกรธที่เกดิ ข้ึนเพราะมีสตั วอ นื่ เปน ตนเหตุ ไมจ ัดเปนอกุศลกรรมบถ ตราบใดท่ียงั ไมค ิดรายเขาวา ทําอยางไรหนอผูน ี้จะพึงพนิ าศ ตายไปเสีย โทษของพยาบาท พยาบาท จะมีโทษมากหรอื นอ ยขนึ้ อยูกับเหตุ ๒ ประการ คอื ๑. ผทู ี่ถกู ปองรายมคี ุณมากกม็ ีโทษมาก มีคณุ นอยกม็ โี ทษนอ ย ๒. ผูคิดรายมกี เิ ลสรุนแรงก็มโี ทษมาก มกี เิ ลสออ นกม็ โี ทษนอย ตวั อยางโทษของพยาบาท เรือ่ ง อชครเปรต ดังไดสดับมา ในกาลแหงพระพุทธเจาทรงพระนามวากัสสปะ เศรษฐีช่ือวา สุสมัคละ ใหสราง พระคันธกุฎี ปูพื้นดวยแผนอิฐทองคํา ในท่ีประมาณ ๒๐ อุสภะ และใหท าํ การฉลองดว ยทรพั ยป ระมาณเทา นน้ั เหมอื นกนั วนั หนงึ่ ทา นเศรษฐไี ปสสู าํ นกั พระศาสดาแตเ ชา ตรู เหน็ โจรคนหนง่ึ นอนเอาผา กาสาวะคลมุ รา งตลอดถงึ ศรี ษะ ทง้ั ทม่ี ี คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 303
304 ¤‹ÙÁ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก เทาเปอนโคลนอยูในศาลาหลงั หน่ึงใกลประตพู ระนคร จงึ กลา ววา “เจา คนน้ี มเี ทาเปอน โคลน คงจกั เปน มนษุ ยทเ่ี ทย่ี วเตรใ นเวลากลางคืนแลว มานอน” โจรเปด หนา เหน็ เศรษฐแี ลว คดิ ในใจวา เราจะทาํ กรรมใหส าสมกบั ทเ่ี ศรษฐไี ด กลาววา เรา ไดผกู อาฆาตในเศรษฐีไว ไดเ ผานาของเศรษฐี ๗ คร้ัง ตดั เทา โคทงั้ หลาย ในคอก ๗ ครงั้ เผาเรอื น ๗ ครง้ั ถงึ อยา งนน้ั กย็ งั ไมห ายแคน จงึ เขา ไปทาํ ความสนทิ ชดิ เชอ้ื กบั คนใชของเศรษฐนี ้ันแลวถามวา “อะไรเปน ที่รกั ของเศรษฐีนายของทา น” ไดทราบวา พระคันธกุฎีเปนที่รักย่ิงของเศรษฐี จึงคิดวา เราจะแกแคนใหหายแคนดวยการเผา พระคันธกุฎี เม่ือพระศาสดาเสด็จเขาไปบิณฑบาต จึงทุบหมอน้ําสําหรับดื่ม และ นํ้าสาํ หรบั ใชไดจ ุดไฟท่ี พระคนั ธกฎุ แี ลว เศรษฐีไดทราบวาพระคันธกุฎีถูกไฟไหม จึงเดินทางมาดูเห็นขณะที่ไฟกําลัง ไหมก็มิไดมีความเสียใจเลย แตไดปรบมือเปนการใหญ ขณะน้ันประชาชนยืนอยู ณ ทใี่ กลถามทานเศรษฐวี า “ทําไมทานจึงปรบมอื เมื่อเห็นพระคันธกุฎีท่ีทานสละทรัพย จํานวนมากสรางไวถกู ไฟไหม” เศรษฐีตอบวา “ขาพเจาบริจาคทรัพยประมาณเทานี้ ไดฝงทรัพยไวใน พระศาสนาทไ่ี มส าธารณะแกอ นั ตรายมไี ฟเปน ตน ขา พเจา จงึ มใี จยนิ ดปี รบมอื ดว ยคดิ วา จักไดส ละทรพั ยป ระมาณเทาน้ี สรา งพระคันธกุฎถี วายพระศาสดาใหม” เศรษฐีไดสละทรัพยประมาณเทาน้ัน สรางพระคันธกุฎีอีก ไดถวายแด พระศาสดาซึ่งมีภกิ ษุ ๒ หม่ืนรปู เปนบรวิ าร โจรเหน็ กิรยิ านนั้ แลวจงึ คิดที่จะฆาเศรษฐี ไดซ อนกฤชไวในระหวางผานุง แมเ ดนิ เตรอยูใ นวิหารถงึ ๗ วันก็ไมไ ดโอกาส ฝา ยมหาเศรษฐี ถวายทานแดภ กิ ษสุ งฆมีพระพุทธเจา เปน ประมขุ สิ้น ๗ วัน ถวายบังคมพระศาสดาแลวกราบทูลวา “ขาแตพระองคผูเจริญ บุรุษผูหนึ่งเผานาของ ขาพระองค ๗ คร้งั ตดั เทา โคในคอก ๗ ครง้ั เผาเรอื น ๗ ครง้ั บัดนี้ แมพระคันธกฎุ กี ็ จกั เปน เจาคนน้นั แหละเผา ขาพระองคข อใหสวนบญุ ในทานน้ี แกเ ขากอน” โจรไดย นิ คาํ นนั้ ระทมทกุ ขวา “ เราทํากรรมหนักหนอ ถึงอยางน้นั เศรษฐนี ี้ก็ มไิ ดม แี มเ พยี งความแคน เคอื งในตวั เราผทู าํ ผดิ กลบั ใหส ว นบญุ ในทานนแ้ี กเ รากอ น เรา คดิ ประทษุ รา ยในเศรษฐนี ี้ ไมส มควรเลยแมเ ทวทณั ฑพ งึ ตกลงบนกระหมอ มของเราผไู ม ใหบ รุ ษุ เหน็ ปานนอ้ี ดโทษให” จงึ ไปหมอบลงทใี่ กลเ ทา ของเศรษฐขี อใหเ ศรษฐยี กโทษให 304
ÇÔªÒÇ¹Ô ÂÑ (¡ÃÃÁº¶) 305 เศรษฐีระลึกถึงถอยคําท่ีตนเคยพูดปรารภโจรอดโทษใหแลว กลาวยกโทษ ใหโจรนั้น ในกาลส้ินอายุโจรนั้นไดบังเกิดในอเวจี เสวยทุกขเวทนาสิ้นกาลนาน บัดนี้ ไดเ กดิ เปนอชครเปรต ถูกไฟไหมอยทู ี่เขาคิชฌกฏู ดว ยวิบากแหง กรรมท่ียงั เหลอื พระศาสดาตรัสวา “ภิกษุท้ังหลาย ธรรมดาคนพาลทํากรรมอันลามกอยู ยอมไมรูแตภายหลังเรารอนอยู เพราะกรรมอันตนทําแลว ยอมเปนเชนกับไฟไหมปา ดว ยตนของตนเอง” ความพยาบาทปองราย เปนเหตุนําทุกขภยันตรายมาสูตนและคนอ่ืน ดังกลา วมา ฉะนน้ั จงึ ควรมเี มตตากรุณา ชวยเหลอื ซ่ึงกนั และกนั ดกี วา เพอื่ ใหโ ลกของ เราอยรู วมกันอยางสนั ติสุข และพ่ึงพาอาศยั กันไดตอไป ๓. มจิ ฉาทฏิ ฐิ การเห็นผดิ จากคลองธรรม ความเสยี หายของมิจฉาทฏิ ฐิ บคุ คลผเู ปน มจิ ฉาทฏิ ฐิ ยอ มไมเ หน็ ธรรม สามารถกระทาํ ความชวั่ ไดท กุ อยา ง ถึงข้นั ทําอนันตริยกรรม ซึ่งเปนกรรมหนกั หา มสวรรคห ามนิพพาน มิจฉาทิฏฐิ แปลวา การเห็นผิดจากคลองธรรม เชน เห็นวา ทําดีไดชั้ว ทําช่ัวไดดี บาปไมมี บุญไมมี มารดาบิดาไมมีคุณ เปนตน เจตนาเปนเหตุใหเห็นผิด เพราะไมมีการถือเอาความเปนจริง คัดคานขอประพฤติปฏิบัติของสัตบุรุษท้ังหมด โดยนยั เปนตนวาทานท่ใี หแลว ไมม ผี ล ช่อื วา มจิ ฉาทิฏฐิ มจิ ฉาทิฏฐนิ ้ี มหี ลายประเภท ๒ ประเภทบา ง ๓ ประเภทบา ง ๖๒ ประเภท บาง ดงั น้ี ทิฏฐิ ๒ ๑. สัสสตทิฏฐิ ความเห็นวาเที่ยง ความเห็นวามีอัตตาและโลกซึ่งเท่ียงแท ยงั่ ยืนคงอยตู ลอดไป ๒. อจุ เฉททฏิ ฐิ ความเหน็ วา ขาดสญู ความเหน็ วา มอี ตั ตาและโลกซง่ึ จกั พนิ าศ ขาดสญู หมดส้นิ ไป คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 305
306 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ทฏิ ฐิ ๓ ๑. อกริ ยิ ทฏิ ฐิ ความเห็นวาไมเ ปนอันทํา ๒. อเหตุกทฏิ ฐิ ความเหน็ วาไมม เี หตุ ๓. นตั ถกิ ทิฏฐิ ความเหน็ วาไมมี ทิฏฐิ ๖๒ มคี วามเห็นวา ขนั ธ ๕ คอื รปู เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ เปนตวั ตน เปน ตน ในมโนทุจริตนี้จะกลาวเฉพาะทิฏฐิ ๓ ประการ ท่ีเรียกวา นิยตมิจฉาทิฏฐิ ซง่ึ เปน ทฏิ ฐทิ มี่ โี ทษรา ยแรง เปน มจิ ฉาทฏิ ฐทิ ด่ี งิ่ ลงไปสอู บุ าย ถงึ ความเปน อกศุ ลกรรมบถ สวนมจิ ฉาทฏิ ฐอิ ยางอนื่ ไมถงึ ความเปนอกุศลกรรมบถ นิยตมิจฉาทฏิ ฐิ ๓ ๑. อกิริยาทิฏฐิ ความเห็นวาไมเปนอันทํา คือ เห็นวากรรมท่ีทําแลวไม เปนอันทําสักวาเปนเพียงกิริยาเทานั้น จะทําความดีหรือความช่ัวก็ไมเห็นอันทําทั้งส้ิน หมายความวาเม่อื คนทาํ บาปมีการฆา สตั ว ลักทรัพย เปนตน กไ็ มจ ดั วา เปน การทําบาป เมอ่ื คนใหทานรกั ษาศีล เปน ตน ก็ไมจ ัดวาเปนการทําบญุ อกริ ยิ ทฏิ ฐดิ งั กลา วมาน้ี ผดิ จากหลกั พระพทุ ธศาสนาทส่ี อนวา การกระทาํ ของ บุคคลนัน้ เมอ่ื มีเจตนาจงใจทาํ ก็จดั เปนกรรม การกระทาํ ชว่ั การกระทาํ ดีก็เปน กรรมดี ๒. อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นวาไมมีเหตุ คือ เห็นวาเหตุแหงความเศราหมอง ความบริสุทธ์ขิ องสัตวทง้ั หลายไมมี สัตวท ั้งหลายเศรา หมองเอง บริสุทธิ์ ทกุ ขเอง ไมมี อํานาจ กําลงั หรือเหตุอะไรท่จี ะทําใหสัตวท ั้งหลายเศรา หมอง และบรสิ ุทธิ์ หรอื เห็นวา สตั วท ง้ั หลายทกี่ าํ ลงั ไดร บั ความลาํ บากหรอื สบาย ไมไ ดอ าศยั อะไรเปน เหตใุ หเ กดิ ขนึ้ เลย เปน ไปเองทงั้ น้ัน ๓. นตั ถิกทิฏฐิ ความเห็นวา ไมมี คือ เห็นวาทาํ อะไรก็ตาม ผลทีพ่ งึ ไดรบั น้นั ไมมีความเห็นผิดชนิดน้ีจัดเปนอุจเฉททิฏฐิดวย คือเห็นวา สัตวท้ังหลายตายแลวสูญ ไมม ีการเกิดอกี ในสามัญผลสตู ร แสดงนัตถกิ ทฏิ ฐิไว ๑๐ ประการ คอื ๓.๑ นิตฺถิ ทินนฺ ํ ทานท่ีใหแ ลว ไมมผี ล ๓.๒ นตถฺ ิ ยิฏํ การบชู าไมมีผล 306
ÇÔªÒÇ¹Ô Ñ (¡ÃÃÁº¶) 307 ๓.๓ นตถฺ ิหตุ ํ การเชอ้ื เชญิ ตอนรับไมมีผล ๓.๔ นตฺถิ สุกตทุกฌกฏานํ กมมฺ านํ ผลํ วิปาโก ผลวิบากของกรรมดีและ กรรมชั่วไมมี ๓.๕ นตฺถิ อยํ โลโก โลกน้ไี มม ี ๓.๖ นตฺถิ ปโร โลโก โลกหนา ไมมี ๓.๗ นตถฺ ิ มาตา มารดาไมม ี ๓.๘ นตฺถิ ปต า บิดาไมมี ๓.๙ นตถฺ ิ สตฺตา โอปปาตกิ า สัตวท ่ีผดุ เกดิ ขึ้นเองไมม ี ๓.๑๐. นตถฺ ิ โลเก สมณพรฺ าหมฺ ณา สมมฺ คคฺ ตา สมมฺ าปฏปิ นนฺ า เย อมิ จฺ โลกํ ปรจฺ โลกํ สยํ อภิ ญฺ า สจฉฺ กิ ตวฺ า เวทนตฺ ิ สมณพราหมณท รี่ แู จง โลกนโ้ี ลกหนา ท่ี สามารถชแี้ จงแนะนําใหเขาใจ ท่ถี งึ พรอมดว ยความสามัคคีและปฏิบัตชิ อบไมมี นยิ ตมิจฉาทิฏฐิท้งั ๓ ประการนี้ อยา งใดอยางหนึง่ ก็ลว นปฏเิ สธกรรม และ ผลของกรรมทง้ั สนิ้ จดั เปน อกศุ ลกรรมบถ บคุ คลทตี่ กอยใู นมจิ ฉาทฏิ ฐิ ๓ ประการนแ้ี ลว พระพทุ ธองคต รสั วา เปน ดงั ตอในวฏั ฏะ คอื เปน บคุ คลทถี่ กู มจิ ฉาทฏิ ฐคิ รอบงาํ ฝง แนน ในจติ ใจ เปน เหตใุ หก ระทาํ อกศุ ลกรรมตา งๆ ขา มภพขา มชาติ เวยี นวา ยตายเกดิ ในวฏั ฏะ สงสารไมมที ี่สนิ้ สุด ไมมใี ครท่จี ะถอนความเปน มจิ ฉาทิฏฐขิ องเขาได ทงั้ ตนเองกไ็ มค ดิ ทจี่ ะละหรอื กลบั ใจ จงึ กลายเปน บคุ คลผเู ฝา แผน ดนิ ดงั ตอในวฏั ฏะไมม โี อกาสไดบ รรลุ มรรคผลนพิ พาน ในทิฏฐิ ๓ อยาง เหลาน้ี อกิริยทิฏฐิ หามกรรม คือ ปฏิเสธกรรม นัตถิกทิฏฐิ หามวิบาก คือ ปฏิเสธผลของกรรม อเหตุกทิฏฐิ หามท้ัง ๒ อยาง คือ ปฏิเสธทัง้ กรรมและผลของกรรม หลกั วนิ จิ ฉยั มจิ ฉาทฏิ ฐิ ท่ีถึงความเปน อกุศลกรรมบถ มีองค ๒ คอื ๑. วตถฺ ุโน คหติ าการวปิ รตี ตา เรื่องท่ยี ึดถือน้ันผดิ จากความเปน จริง ๒. ยถา ตํ คณฺหาติ ตถาภาเวน ตสฺสปุ ฏ านํ มคี วามเห็นยึดมัน่ ในเรือ่ งท่ีผิด จากความเปน จรงิ นนั้ วา ถูกตอง คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 307
308 ¤ÁÙ‹ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªéѹàÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ในอรรถกถาอัฏฐสาลนิ ี กลาวไวว า “ในมิจฉาทฏิ ฐินัน้ กรรมบถยอ มขาดดวย นัตถิกทฏิ ฐิ อเหตกุ ทิฏฐิ และอกิรยิ ทิฏฐเิ ทานั้น หาขาดดวยทิฏฐิเหลาอนื่ ไม” มิจฉาทิฏฐมิ โี ทษมาก เพราะเหตุ ๒ ประการคือ ๑. มีอาเสวนะมาก คือความเสพคุนมาก หมายถงึ ทาํ มากหรือทําบอ ยกม็ ี โทษมากมีอาเสวนะนอยก็มีโทษนอ ย ๒. มนี ิยตมจิ ฉาทิฏฐิ คอื มคี วามยึดม่ันความเห็นผิดแบบฝงรากลกึ ก็มีโทษ มากมมี จิ ฉาทฏิ ฐินอกจากน้กี ็มีโทษนอ ย นิยตมิจฉาทิฏฐิทั้ง ๓ นี้ เปนความเห็นผิดท่ีสงผลใหเกิดในนิรยภูมิ(นรก) หลงั จากตายแลว อยา งแนน อนบคุ คลผเู ปน นยิ ตมฉิ าทฏิ ฐิ แมพ ระพทุ ธองคจ ะทรงโปรด อยางไรก็ตาม กไ็ มอ าจใหสาํ เรจ็ คุณธรรมใดๆ ได สําหรบั มโนกรรมทงั้ ๓ มอี ภชิ ฌาเปนตน เหลานี้ เกดิ ข้ึนโดยไมเกี่ยวขอ งกบั วญิ ญตั ทิ ง้ั ๒ คอื กายทวารและวจที วารแตอ ยา งใด คงเกดิ ขนึ้ เฉพาะในมโนทวารเทา นน้ั ฉะนั้นทานพระอนุรุทธาจารย จึงแสดงวาเมื่อเวนจากกายวิญญัติ และวจีวิญญัติแลว ยอมเกิดในมโนทวารเปน สวนมาก ตวั อยา งโทษของมิจฉาทิฏฐิ เรือ่ งปรู ณกสั สปะ เจา ลัทธผิ ูถืออกริ ิยทฏิ ฐิ ดงั ไดสดบั มา ตระกูลน่งึ มีทาส ๙๙ คน ทาสคนหนึ่งเกิดมากค็ รบ ๑๐๐ คน พอดีดวยเหตุนี้ พวกเจานายจึงต้ังชื่อเขาวา “ปูรณะ” การงานที่นายปูรณะนั้น จะทําดี ทําไมไดย งั ไมท าํ หรอื ทาํ แลว พวกเจานายจะไมว ากลา วเขาเลย เพราะถือวาเขาเปนทาส ผเู ปนมงคลเม่ือเปนเชนนี้ เขาคิดวา เขาอยไู ปก็ไมมปี ระโยชนอะไร จงึ หลบหนไี ป ตอ มา พวกโจรไดชงิ เอาผา นงุ ของเขาไป เขาไมร จู ะปกปด รางกายดวยหญา และใบไม จึงเปลือยกายเขาไปสูหมูบานตําบลหนึ่ง พวกชาวบานเห็นเขาแลวเขาใจวา “บรุ ษุ นีเ้ ปนสมณะ เปนพระอรหนั ต มคี วามมักนอ ยไมมีบคุ คลอืน่ ทเ่ี ปน เหมือนบุรุษน้ี” จงึ ไดใหขนมและขาวเปนตน 308
ÇÔªÒÇ¹Ô Ñ (¡ÃÃÁº¶) 309 เขาคดิ วา “ขนมและขา วเปน ตน นี้ เกดิ ขน้ึ เพราะความทเ่ี ราไมน งุ ผา ” ตง้ั แตน น้ั มา เขาแมจะไดผา ก็ไมน ุง ไดถอื เพศเปลือยกายเชน นัน้ เปนการบวช พวกมนษุ ย ๕๐๐ คน พากันบวชในสาํ นักของเขา นายปรู ณะนน้ั ไดชอ่ื ตามโคตรวา “กสั สปะ” เขาไดตัง้ ตนเปน เจา ลัทธิ ชือ่ วา ปูรณกัสสปะ ยึดถอื อกิริยทิฏฐซิ ่งึ มคี าํ สอน วาเม่อื บคุ คลทาํ เองหรือใชใ หผอู ืน่ ทํา ตัดเอง หรือใชใ หผ อู น่ื ดดั เบยี ดเบียนเอง หรือใช ใหผอู น่ื เบยี ดเบยี น เศราโศกเอง หรือทําใหผูอ่นื ลาํ บาก ดิ้นรนเองหรอื ทําผูอ ่นื ใหด ิน้ รน ฆาสตั ว ลักทรัพย งัดแงะ ปลน สะดม ปลนบา น ดักอยทู ท่ี างเปล่ยี ว เปน ชกู บั ภรยิ าของ ผูอน่ื พูดเท็จ เมือ่ บุคคลกระทาํ อยา งน้ี บาป ชอื่ วาไมเ ปน อนั ทํา สรปุ วา เจาลทั ธปิ ูรณ กัสสปะน้ันเปน ผูมีวาทะวา ไมเปนอนั ทํา ความเปนเชน นี้ พระพทุ ธศาสนาเรียกวา มิจฉา ทิฏฐิ บุคคลผูเ ปน มจิ ฉาทฏิ ฐิ ครั้นตายแลวยอมไปสอู บาย เรือ่ ง มกั ขลิโคสาล เจา ลทั ธผิ ถู ืออเหตกุ ทิฏฐิ บุรุษอีกคนหน่ึงเปนทาส เจานายใชใหแบกหมอนํ้ามันเดินไปบนพ้ืนท่ีเปน โคลนแลวกาํ ชบั ใหเขาระวังอยา ใหล ืน่ แตเขากล็ น่ื ลงดวยความปรามาส ดวยความกลวั เจานายจึงเร่ิมจะหนีไป เจานายจึงว่ิงไปฉุดที่ชายผาเขาจึงท้ิงผาน้ันเสียแลวเปลือยกาย วิ่งหนไี ป พวกชาวบานเกดิ ความเลอ่ื มใสในการถือเพศเปลอื ยกายของเขา เชนเดยี วกับ เรือ่ งปรู ณกัสสปะ นายมกั ขลินนั้ คนท่วั ไปมักจะเรียกเขาวา “โคสาละ” เพราะเขาเกิดในคอกโค จงึ เรียกรวมวา นายมกั ขลิโคสาล เปนเจาลัทธผิ ูถ ืออเหตกุ ทิฏฐิ เจาลัทธิมักขลิโคสาล ยึดถืออเหตุกทิฏฐิ ซ่ึงไมสอนวา ความเศราหมอง ของสัตวท้งั หลายไมมเี หตุ ไมม ีปจจัย สตั วท้ังหลายเศรา หมองเอง บรสิ ทุ ธเ์ิ อง สรุปวา เจาลัทธิมักขลิโคสาลเปนผูมีวาทะวา ไมมีเหตุ คือ ปฏิเสธเหตุ หมายถึงปฏิเสธกรรม เปนมจิ ฉาทิฏฐิ ผูยึดถือเชน นีต้ ายแลวไปเกดิ ในอบาย เรือ่ ง อชิตเกสกัมพล เจา ลทั ธิผูถ ือนตั ถิกทิฏฐิ บรุ ษุ อีกคนหน่ึง มชี อ่ื วา “อชติ ะ” และคนมักจะเรยี กวา “เกสกมั พล” เพราะ เขานุงหมผากัมพลท่ีทําดวยผมมนุษย เจาลัทธิอชิตเกสกัมพลน้ัน ยึดถือนัตถิกทิฏฐิ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 309
310 ¤ÙÁ‹ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ซง่ึ มคี าํ สอนวา “ทานทใี่ หแ ลว ไมม ผี ล” สรปุ วา เจา ลทั ธอิ ชติ เกสกมั พลนนั้ เปน ผมู วี าทะวา ไมมีบา ง ขาดศูนยบ า ง โดยมีวาทะในเรื่องความขาดศูนยวา “สัตวทง้ั หลายหลงั จากตาย แลวยอ มขาดศนู ย ยอมหายไป ยอมไมมอี ีก” เจา ลทั ธทิ ง้ั ๓ นี้ นอกจากทาํ ตนใหฉ บิ หายแลว ยงั ทาํ หมชู นผกู ระทาํ ตามลทั ธิ ของตนใหฉ บิ หายไปดว ย เพราะลทั ธทิ ต่ี นยดึ ถอื นน้ั เปน นยิ ตมจิ ฉาทฏิ ฐิ สง ผลใหเ กดิ ใน นริ ยภมู ิ (นรก) หลงั จากการตายแลว อยา งแนน อน แมพ ระพทุ ธองคจ ะทรงโปรดอยา งไร กต็ าม กไ็ มอาจใหสาํ เรจ็ คุณธรรมใดๆ ไดใ นชาติน้นั มโนกรรมเปน ไปทางทวาร ๓ อภิชฌา พยาบาท และมิจฉาทิฏฐิ ทั้ง ๓ นี้เปนมโนกรรมยอมเปนไปทาง มโนทวารโดยมาก แมไ มม ีการเคลอ่ื นไหวทางกาย ทางวาจา เพียงแตค ดิ ในใจกส็ าํ เร็จ เปนอกศุ ลกรรมบถได แตบ างครั้งอกศุ ลธรรม ท้งั ๓ อยา งนี้ ยอ มเกิดข้นึ ทางกายทวาร และวจที วาร ก็ได เชน บางคนมีใจละโมบอยากไดข องคนอื่น จึงยน่ื มอื ไปหยิบของนั้น มใี จโกรธแคน หยิบมดี หยิบไม เพอ่ื ทาํ รายเขา หรอื มคี วามเห็นผดิ ไปไหวก ระบือ ๕ ขา เพ่อื ขอเลข เปนตน กรรมนนั้ ของเขาจัดเปนมโนกรรม สว นทวารจัดเปนกายทวาร ถาม วาทาํ ไม ถงึ ไมจ ดั เปนกายกรรม แกว า เพราะตรงน้ี ทา นมงุ ถึงอภชิ ฌา พยาบาท และ มิจฉาทิฏฐิเปนใหญ ไมไดมุงเจตนาเปนใหญ ถามุงเจตนาที่เปนเหตุกระทําทางกาย กจ็ ดั เปน กายกรรมได บางคนมใี จละโมบพูดออกมาวา ทาํ อยางไรหนอ ของสิง่ นัน้ จะพึงเปน ของเรา มีใจโกรธแคน พูดแชง วา ทาํ อยา งไรหนอ คนน้ีจะพึงตายเสียที มคี วามเห็นผิดพดู วา ผลของกรรมดกี รรมชัว่ ไมมี กรรมของเขา จัดเปน มโนกรรม สวนทวารจัดเปน วจีทวาร บางคนไมมีการกระทําทางกาย หรือพูดทางวาจาคิดละโมบอยากได คดิ พยาบาทปองรา ยและเหน็ ผดิ จากทาํ นองคลองธรรมอยา งเดยี ว กรรมของเขาจดั เปน มโนกรรม แมท วารกจ็ ดั เปน มโนทวาร มโนกรรมทเ่ี ปน อกศุ ลยอ มเกดิ ไดท างทวารทงั้ ๓ ดังพรรณนาฉะน้ี อยางไรก็ตามในอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการน้ี อกุศลกรรมบถท่ีเกิดทาง มโนทวารมีความสําคัญกวาทางกายทวารและวจีทวาร เนื่องจากกายและวาจาสั่งใหใจ 310
ÇªÔ ÒÇ¹Ô ÂÑ (¡ÃÃÁº¶) 311 กระทาํ บาปไมไ ด แตใ จสง่ั ใหก ายและวาจาทาํ บาปได สมดงั พระพทุ ธองคต รสั วา ธรรมทงั้ หลาย มใี จเปน ใหญ มใี จเปน หวั หนา มีใจประเสรฐิ สดุ สาํ เรจ็ มาจากใจ ถา ใจคดิ ช่วั แลว กจ็ ะ กระทําชั่ว พูดชั่วตามมาและในบรรดาอกุศลกรรมบถที่เกิดทางมโนทวาร มิจฉาทิฏฐิ ถือวารายแรงกวาอกุศลกรรมบถขออ่ืน ๆ เพราะถามีความเห็นผิดแลวก็จะเกิดอกุศล บถขออ่นื ๆ ได ดังนน้ั ควรจะระวังอกศุ ลกรรมบถขอ มิจฉาทิฏฐนิ ใ้ี หมาก โทษของอกุศลกรรมบถ บคุ คลผปู ระพฤตหิ รอื กระทาํ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ อยา งนี้ ยอ มตกนรกเหมอื น กับถกู จับเอาไปวางไว ดงั พระพุทธองคต รัสไวในปฐมนิรยสคั คสูตร ปญจมปณณาสก ทสกนิบาต อังคุตตรนิกายวา ดูกอนภิกษุท้ังหลาย บุคคลผูประกอบดวยธรรม ๑๐ ประการ ยอมตกนรก เหมือนถูกจบั เอาไปวางไว ธรรม ๑๐ ประการ คอื บคุ คล บางคนในโลกน้ี ๑. เปน ผมู กั ฆา สตั ว มมี อื เปอ นเลอื ด คดิ แตป ระหตั ประหาร ไมม คี วามเมตตา กรุณาตอสตั วท ั้งปวง ๒. เปน ผมู กั ถอื เอาสง่ิ ของทเี่ จา ของไมไ ดใ ห ไมว า ของนนั้ จะอยใู นบา นของเขา หรอื ทไ่ี หนๆ กต็ าม เปน ผูถือเอาส่ิงนั้นดว ยจิตคิดขโมย ๓. เปนผูมักประพฤติผิดในกาม ผิดเพราะการนอกใจคูครองของตน ผิดเพราะลวงละเมิดคูครองของผูอื่น หรือผิดเพราะลวงละเมิดตอบุคคลที่ตนเอง ไมมสี ทิ ธิจ์ ะทาํ เชนน้ัน ๔. เปน ผมู กั กลา วคาํ เทจ็ คอื ไมร บู อกวา รู ไมเ หน็ บอกวา เหน็ หรอื รบู อกวา ไมร ู เหน็ บอกวา ไมเ หน็ เปน ผกู ลา วเทจ็ จรงิ ๆ ทร่ี ู เพราะเหตแุ หง ตน เพราะเหตแุ หง บคุ คลนน้ั หรอื เพราะเห็นแกอ ามิสสนิ จา ง ๕. เปนผพู ูดทําลายความสามัคคี ฟงจากฝา ยน้ีไปบอกฝายโนน หรือฟง จาก ฝา ยโนน มาบอกฝา ยน้ี เพอ่ื ใหเ ขาแตกความสามคั คกี นั หรอื เพอื่ จะทาํ ตนใหเ ปน ทรี่ กั ของ ฝายใดฝายหนึ่ง ชอบความแตกแยก หรือสงเสริมใหคนแตกแยก ชอบต้ังพรรคพวก พูดแตถ อยคําทจี่ ะทาํ ใหแบง พรรคแบง พวก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 311
312 ¤Ù‹ÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ๖. เปน ผพู ดู วาจาทแ่ี ผไ ปเผาพลาญจติ ใจของผฟู ง เปน คาํ พดู บาดหหู ยาบคาย เผ็ดรอนกระทบกระเทียบเปรยี บเปรยใหผ ูฟง เกดิ ความโกรธและฟงุ ซาน ๗. เปน ผทู าํ ลายความสขุ และประโยชนท สี่ ตั บรุ ษุ ไดร บั พดู คาํ ทก่ี าํ จดั ทางแหง ประโยชนแ ละความสุขน้ัน ไมร ูกาลเทศะ พูดปราศจากอรรถ ธรรม หรอื วนิ ยั อยางใด อยางหน่ึงซ่ึงเปนเครื่องแสดงเหตุผลเพ่ือใหเขาใจประโยชนในโลกน้ีและประโยชนใน โลกหนา ๘. เปน ผูมากไปดวยความละโมบ จองหาทางเอาของคนอืน่ มาเปนของตน ๙. เปนผูมีใจพยาบาท มีความคิดประทุษรายวา ขอสัตวเหลานี้ จงถูกฆา จงถูกจองจําจงหายสาบสูญ จงพินาศ จงอยา อยใู นโลกน้ี ๑๐. เปน ผมู คี วามคดิ ผดิ มที ศั นะทว่ี ปิ รติ วา การใหท านไมม ผี ล การบชู าไมม ผี ล การเซนสรวงไมมีผล ผลวิบากของกรรมดีและกรรมชั่วไมมี โลกนี้ไมมี โลกหนา ไมมี มารดาไมมีคุณ บดิ าไมม ีคุณ โอปปาติกสตั วไมมี สมณพราหมณ ผูปฏิบตั ิชอบ รูแจงเองแลว แสดงโลกนี้ และโลกหนา ไดแ จม แจง ไมม ี ดูกอนภิกษุท้ังหลาย บุคคลผูประกอบดวยธรรม ๑๐ ประการเหลานี้ ยอมตกนรกเหมอื นถูกจบั เอาไปขังไว พฤตกิ รรมที่เปน บาป ๔ อยา ง บุคคลผูกระทําอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ยอมไดรับผลวิบากทําใหไป ตกนรกแนนอน แมผ ูชักชวน ผูย นิ ดี ผยู กยองสรรเสริญอกศุ ลหรือบคุ คลผูป ระพฤติ อกุศลกรรมเหลาน้ัน ก็ลวนทําใหไปตกนรกไดเหมือนกัน ดังน้ัน ตามหลักพระธรรม คําสอนในพระพุทธศาสนาไดกลาวถึงพฤติกรรมท่ีเปนบาปนําไปสูนรก ๔ อยาง ดังพระพทุ ธองคใ นกรรมปถวรรค อังคุตตรนกิ าย ความวา ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย บคุ คล ผูประกอบดว ยธรรม ๔ ประการ ยอมตกนรก เหมือนถกู เขาจับเอาไปวางไว ธรรม ๔ ประการ คอื ๑. เปนผทู ําเอง พูดเอง คิดเอง ในอกศุ ลกรรมบถ ๒. เปนผูชักชวนผูอ นื่ ใหท าํ ใหพ ดู ใหคิด ในอกุศลกรรมบถ ๓. เปนผูยนิ ดกี บั บคุ คลผูท ํา ผูพูด ผคู ิด ในอกศุ ลกรรมบถ ๔. เปน ผพู ดู สรรเสรญิ อกุศลกรรมบถ 312
ÇÔªÒÇÔ¹ÂÑ (¡ÃÃÁº¶) 313 กุศลกรรมบถ ๑๐ กุศลกรรมบถ หมายถึง ทางแหงกุศลกรรม ทางทําความดี หรือกรรมดีท่ี เปนเหตุนําสัตวไปสูสุคติ กุศลกรรมบถนี้สงผลใหเกิดในปฏิสนธิกาลคือในภพหนามี ๑๐ อยาง จาํ แนกเปน กายกรรม ๓ วจกี รรม และมโนกรรม ๓ ดังนี้ กายกรรม ๓ ไดแ ก ๑. ปาณาตปิ าตา เวรมณี เจตนางดเวน จากการฆา สตั ว ๒. อทินฺนาทานา เวรมณี เจตนางดเวนจากการลกั ทรพั ย ๓. กาเมสุ มิจฺฉาจารา เวรมณี เจตนางดเวน จากการประพฤตผิ ดิ ในกาม วจกี รรม ๔ ไดแ ก ๑. มสุ าวาทา เวรมณี เจตนางดเวน จากการพดู เทจ็ ๒. ปส ุณาย วาจาย เวรมณี เจตนางดเวนจากการพดู สอ เสยี ด ๓. ผรสุ าย วาจาย เวรมณี เจตนางดเวนจากการพดู คาํ หยาบ ๔. สมผฺ ปปฺ ลาปา เวรมณี เจตนางดเวน จากการพดู เพอเจอ มโนกรรม ๓ ไดแ ก ๑. อนภิชฺฌา การไมเ พงเลง็ อยากไดของคนอื่น ๒. อพฺยาปาท การไมค ิดรายผอู ืน่ ๓. สมมฺ าทิฏ ิ การเห็นชอบตามคลองธรรม ธรรมจริยสมจรยิ าทางกายกรรม ๓ ๑. เปนผูล ะปาณาตบิ าต คอื เวน จากการยงั สัตวมีชีวติ ใหตกลา งไป เปนผูมี ทอนไมและศัสตราอันวางแลว มีความละอายประกอบดวยความเอ็นดู เปนผูเก้ือกูล อนเุ คราะหสตั วทุกจําพวก ๒. เปนผูล ะอทนิ นาทาน ขนึ้ ช่ือวา ทรัพยข องผูอ ืน่ จะอยใู นบาน หรืออยใู น ปา ก็ตาม ยอมเปน ผูไมถอื เอาทรัพยน ้ันทเ่ี จา ของไมไ ดใ หด วยจติ คดิ ขโมย ๓. เปนผูละกาเมสุมิจฉาจาร เวนขาดจากกาเมสมุ ิจฉาจาร คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 313
314 ¤ÙÁ‹ ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ธรรมจรยิ สมจรยิ าทางวจกี รรม ๔ ๑. เปนผูละมุสาวาท เวนขาดจากมุสาวาท ไปในสภาก็ดี ในบริษัทก็ดี ใน ทามกลาง หมูญาติก็ดี ในทามกลางเสนาก็ดี ในทามกลางแหงราชตระกูลก็ดี ถูกอาง เปนพยาน ซักถามแนะพอชาย ทานจงมา ทานรูอยางไร จงบอกอยางน้ัน บุคคลน้ัน เมอื่ ไมร ู ก็บอกวา ขา พเจาไมร หู รือรูอยูกบ็ อกวา ขาพเจา รู เมือ่ ไมเหน็ ก็บอกวา ขา พเจา ไมเ หน็ หรือเหน็ กบ็ อกวา ขาพเจา เห็น ยอมไมก ลา วเทจ็ ท้ังท่ีรู เพราะเหตุแหง ตน เพราะ เหตแุ หงคนอ่ืน หรือเพราะเหตุแหงอามิสสินจา ง ๒. เปนผูละคําสอเสียด เวนขาดจากกลาวสอเสียด ฟงขางน้ีแลวไมไปบอก ขางโนนเพื่อทําลายคนหมนู ้ี หรือฟงจากขางโนนแลวไมมาบอกคนหมูน ้ี เพ่ือทําลายคน หมโู นน เปน ผสู มานคนทงั้ ทแ่ี ตกกนั แลว หรอื สนบั สนนุ หมคู นทส่ี ามคั คกี นั อยแู ลว เปน ผมู คี วามช่นื ชมยนิ ดีในหมูค นผูสามคั คีกัน เปน ผกู ลาววาจาทีท่ าํ ใหคนสามัคคกี นั ๓. เปนผูละคําหยาบ เวนขาดจากการกลาวคําหยาบ เปนผูกลาววาจาไมมี โทษเสนาะโสต เปน ทร่ี ักจับใจ เปน คาํ สภุ าพ เปนทีช่ อบใจ พอใจของคนจํานวนมาก ๔. เปนผูละการกลาวเพอเจอ เวนขาดจากการกลาวเพอเจอ พูดในเวลาท่ี ควรพูด พูดคําจริง พูดอิงอรรถ อิงธรรม อิงวินัย มีหลักฐาน มีที่อางอิง ไมพูดมาก พดู แตค าํ ท่มี ปี ระโยชน ธรรมจริยสมจรยิ าทางมโนกรรม ๓ ๑. เปนผูไ มเพงเล็ง ไมละโมบอยากไดทรัพยข องผอู ื่นมาเปนของตน ๒. เปน ผมู ใี จไมพ ยาบาท ไมคิดรายตอผูอ นื่ คดิ แตในทางท่ีดกี วา ขอสัตว ท้งั หลายจงมีความสุข อยูร อดปลอดภยั เถิด ๓. เปน ผมู คี วามเหน็ ชอบ มคี วามเหน็ ไมว ปิ รติ วา ทานทใ่ี หแ ลว มผี ล การบชู า มผี ลบุญคุณ โอปปาติกะมจี ริง สมณพราหมณผูรูแ จง โลกนแี้ ละโลกหนามีจริง ดูกอนพราหมณแ ละคฤหบดีทั้งหลาย สตั วบ างพวกในโลกนี้ หลังจากตายไป แลว ยอ มเขาถงึ สคุ ติโลกสวรรค เพราะประพฤติธรรมจรยิ สมจริยานี้ ดกู อ นพราหมณแ ละคฤหบดที งั้ หลาย ถา บคุ คลผปู ระพฤตธิ รรมและประพฤติ ท่ีถูกตอ ง พึงหวังไดวา หลงั จากท่ีเราตายแลว พึงไดมนษุ ยสมบัติ สวรรคส มบตั ิ และ นพิ พานสมบัติ 314
ÇÔªÒÇ¹Ô Ñ (¡ÃÃÁº¶) 315 มนษุ ยส มบตั ิ หมายถงึ เกิดเปน กษตั รยิ ม หาศาลและพราหมณมหาศาล สวรรคส มบตั ิ หมายถงึ เกดิ เปน เทวดาตงั้ แตช นั้ จาตมุ มหาราชถงึ ชน้ั เนวสญั ญา นาสญั ญายตนะ นพิ พานสมบัติ หมายถึง สมบตั คิ อื พระนพิ พาน อานิสงสของกุศลกรรมบถ กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการน้ี จัดวาเปนศีล บุคคลผูรักษาศีล ใหบริสุทธ์ิ บริบูรณยอมไดรับอานิสงส ๓ ประการคือมนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ และนิพพาน สมบัติ ดงั คําสรุปของศลี ดงั น้ี ๑. สีเลน สคุ ตึ ยนฺติ คนทง้ั หลายไปสสู ุคติไดเ พราะศีล ๒. สเี ลน โภคสมฺปทา คนทง้ั หลายถงึ พรอ มดว ยโภคทรพั ยเ พราะศีล ๓. สีเลน นพิ พฺ ุตึ ยนตฺ ิ คนทง้ั หลายบรรลุนิพพานไดเพราะศีล ศีลเปนเหตุใหไดไปสูสุคติเพราะผลของกุศลกรรมบถ ๑๐ โดยเปนอุปนิสัย ปจ จัยโดยตรง ใหไ ดเกดิ เปน มนุษย ๑ กามาวจรสวรรค ๖ ช้ัน และพรหมโลก ๒๐ ช้ัน อุปนิสยั อุปนิสัย คอื ความประพฤติทีเ่ คยชินเปนพนื้ มาในสนั ดาน หรอื ความดที ีเ่ ปน ทฐี่ านของจติ มี ๓ ประการ คอื ๑. ทานูปนิสัย อปุ นสิ ยั คือทาน การเสียสละ คนผมู ีอุปนสิ ยั เชนนี้ ยอ มกําจัด ความโลภหรอื ทําความโลภใหเ บาบางลงได ๒. สลี ปู นสิ ยั อปุ นสิ ยั คอื ศลี การเวน จากการเบยี ดเบยี นสตั วอ น่ื คนผมู อี ปุ นสิ ยั เชนน้ี ยอ มไมมกี ารเบียดเบียนสตั วอนื่ ๓. ภาวนูปนิสัย อุปนิสัยคือภาวนา การส่ังสมความดี คนผูมีอุปนิสัยเชนน้ี ยอมเพยี รพยายามเพือ่ ทําความดีใหส ูงยงิ่ ๆ ขนึ้ ไป กุศลกรรมบถ ๑๐ น้ีจัดเปน ศลี ดงั นั้น จึงเปนสลี ปู นสิ ยั ทีจ่ ะชว ยสนับสนนุ ใหไดบ รรลสุ มาธิ ปญ ญา และวมิ ตุ ติ ตามพระบาลวี า สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปผฺ โล โหติ มหานิสํโส แปลวา สมาธทิ ถี่ กู บมดวยศีล ยอมมผี ลมากมีอานสิ งสมาก อธิบายวา บุคคลผูที่มีศีลบริสุทธิ์เม่ือบําเพ็ญสมาธิ ยอมสามารถทําฌานใหเกิดไดงาย คร้ันได คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 315
316 ¤ÙÁ‹ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ฌานแลว ตายไปยอมเกดิ เปน พรหม อยางน้ชี ื่อวา กุศลกรรมบถ เปนเหตใุ หไ ดไ ปเกิด ในพรหมโลก สวนผูไดฌานบางทานทําฌานใหเปนบาทแหงการเจริญวิปสสนา ยอมรู แจงเหน็ จรงิ ไดง าย ตามพระบาลวี า สมาธปิ ริภาวิตา ปญฺ า มหปฺผลา โหติ มหนสิ ํสา แปลวา ปญญาท่ีถูกบมดวยสมาธิ ยอมมีผลมากมีอานิสงสมาก จิตของบุคคลผูมี ปญญารูแจงเห็นจริง ยอมหลุดพนจากกิเลสทั้งปวงตามพระบาลีวา ปฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ เสยฺยถีทํ กามาสวา ภวาสวา อวิชฺชาสวา แปลวา จิตท่ีถูกอบรมดวยปญญา ยอมหลุดพนโดยชอบจากกามมาสวะภวาสวะ อิชชาสวะ อยา งนชี้ ่ือวา กุศลกรรมบถ เปน เหตใุ หไดบรรลุเจโตวิมุตตแิ ละปญ ญาวมิ ตุ ติ สีลูปนิสัย คือ กุศลกรรมบถ ๑๐ ที่สนับสนุนใหไดบรรลุสมาธิ ปญญา และวิมุตติ ดังกลาวแลว เปรียบไดกับสวนของตนไม สีลูปนิสัยเปนเสมือนรากไม สมาธิเปนเสมือนลําตน ปญญาเปนเสมือนก่ิงกานและใบ วิมุตติเปนเสมือนดอกและ ผลของตนไม กศุ ลกรรมบถโดยอาการ ๕ กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการน้ี พงึ ทราบวินิจฉัยโดยอาการ ๕ คือ โดยธรรม โดยโกฏฐาสะ โดยอารมณ โดยเวทนา และโดยมลู ดงั นี้ ๑. โดยธรรม คอื โดยสภาวธรรม กุศลกรรมบถ ๗ ขอแรก คือ กายกรรม ๓ และวจีกรรม ๔ เม่ือวาโดย สภาวธรรม ไดแ ก เจตนาหรอื วิรตั ิ หมายความวา ถาไมตั้งใจจะงดเวน หรอื ไมม เี จตนา งดเวน ยอ มสําเร็จเปน กุศลกรรมบถไมได มโนกรรม ๓ คอื อนภิชฌา โดยสภาวธรรม ไดแก อโลภะ อพยาบาท โดยสภาวธรรม ไดแ ก อโทสะ สัมมาทฏิ ฐิ โดยสภาวธรรม ไดแ ก อโมหะท่ีประกอบดวยเจตนา ๒. โดยโกฏฐาสะ คือ โดยสวนแหง ธรรมตา ง ๆ กุศลกรรมบถ ๗ คือ กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ เปนกรรมบถอยางเดียว ไมเปน รากเหงาของกศุ ลเหลาอ่นื 316
ÇÔªÒÇÔ¹ÂÑ (¡ÃÃÁº¶) 317 สวนมโนกรรม ๓ อยา ง คอื อนภชิ ฌา อพยาบาท และสมั มาทฏิ ฐิ เปนท้ัง กศุ ลกรรมบถ เปนทง้ั รากเหงา ของกศุ ลอื่น เพราะทัง้ ๓ นี้ ก็คอื อโลภะ อโทสะ อโมหะ ที่เปน กศุ ลมลู นัน่ เอง ๓. โดยอารมณ คอื สงิ่ ทใ่ี จเขา ไปยดึ แลว เปน เหตใุ หง ดเวน จากอกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการ พระอรรถกถาจารย อธบิ ายวา อารมณแ หงอกศุ ลกรรมบถ ๑๐ น่นั แหละ เปนอารมณแหง กศุ ลกรรมทั้ง ๑๐ ประการ เปรียบเหมือนนา้ํ ทีส่ ามารถทําใหเรือลอยได ทาํ ใหจ มลงกไ็ ด ๔. โดยเวทนา คอื ความรสู กึ เปน สขุ และเฉยๆ พระอรรถกถาจารย อธบิ ายวา ในขณะทาํ กุศล ทกุ ขเวทนา คือ ความเสยี ใจ ความไมส บายใจ ยอ มไมมี เพราะฉะน้นั ในขณะประพฤตกิ ศุ ลกรรมบถ จงึ มเี พียงเวทนา ๒ คือ สุขเวทนา และอเุ บกขาเวทนา ๕. โดยมลู คอื โดยกศุ ลมลู ๓ อยา ง ไดแ ก อโลภมลู ๑ อโทสมลู ๑ อโมหมลู ๑ กศุ ลกรรมบถ ๗ คอื กายกรรม ๓ วจกี รรม ๔ ทีบ่ ุคคลประพฤตดิ ว ยปญญา มมี ูล ๓ คอื อโลภมูล ๑ อโทสมูล ๑ อโมหมูล ๑ ท่ีประพฤติโดยขาดปญญามมี ูล ๒ คือ อโลภมูล อโทสมูล อนภชิ ฌาทป่ี ระพฤติดวยปญ ญา มีมลู ๒ คอื อโลภมลู อโมหมูล ทปี่ ระพฤติ โดยขาดปญญามมี ลู เดยี ว คอื อโลภมูล อพยาบาทท่ีประพฤติดวยปญญา มีมูล ๒ คือ อโทสมูล ๑ อโมหมูล ๑ ท่ปี ระพฤติโดยขาดปญ ญามมี ลู เดยี ว คอื อโทสมูล สมั มาทฏิ ฐิ มีมูล ๒ คอื อโทสมลู อโมหมูล กรรมบถ ๒ อยา งนนั้ กุศลกรรมบถ เรยี กวา สุจริต อกุศลกรรมบถ เรยี กวา ทุจริต ในสุจริตและทุจรติ ทง้ั ๒ อยางน้ี ทุจริต บคุ คลไมควรทําเพราะเปน อกรณียกจิ สจุ รติ บุคคลควรทําเพราะเปนกรณียกิจ บคุ คลเม่อื ทาํ กรณียกจิ ยอมไมถึงอาทนี พ คือ ไดรับโทษ มีการติเตียนตนเอง เปนตน ดังท่ีพระผูพระภาคเจาตรัสไวในอานันทสูตร ทุกนบิ าต อังคตุ ตรนกิ ายวา อานนท เรากลา วกายทจุ รติ วจีทจุ ริต มโนทจุ รติ วาเปน อกรณยี กจิ โดยสว นเดยี ว อานนท เมอื่ บคุ คลทํากายทจุ รติ วจที ุจริต มโนทจุ รติ ทเ่ี รา กลา ววา เปนอกรณียกจิ โดยสว นเดยี ว โทษดงั ตอไปน้ีอันผูนัน้ พึงไดร บั คือ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 317
318 ¤Ù‹ÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªéѹàÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ๑. แมต นเองยอมติเตียนตนได ๒. ผรู ูใครครวญแลว ยอมตเิ ตียน ๓. ชอ่ื เสียงอันชวั่ ยอมกระฉอนไป ๔. ยอ มหลงทํากาลกิรยิ าคอื ตายโดยขาดสติ ๕. หลงั จากตายแลว ยอมเขา ถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก และตรสั อกี วา อานนท เรากลา วกายสจุ รติ วจสี จุ รติ มโนสจุ รติ วา เปน กรณยี กจิ โดยสวนเดียว อานนท เมื่อบุคคลทํากายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ท่ีเรากลาววา เปนกรณียกิจโดยสว นเดยี ว อานิสงสด ังตอ ไปนี้อันผนู ้ันพึงไดร บั คอื ๑. แมตนเองยอมติเตียนตนเองได ๒. ผูรใู ครค รวญแลว ยอ มสรรเสริญ ๓. ชือ่ เสยี งอนั ดียอ มขจรไป ๔. ยอมไมห ลงทาํ กาลกิริยาคอื ตายอยางมสี ติ ๕. หลังจากตายแลว ยอมเขา ถงึ สุคติโลกสวรรค พุทธศาสนิกชนควรละเวนอกุศลกรรมบถ ประพฤติแตกุศลกรรมบถสมกับ พระพทุ ธโอวาททที่ รงประทานไวเ ปน หลกั ปฏบิ ตั สิ าํ คญั คอื การไมก ระทาํ ความชวั่ ทง้ั ปวง การประกอบกศุ ลคอื คณุ งามความดใี หถ งึ พรอ ม และการฝก อบรมจติ ของตนใหส ะอาด ผองแผว ยอมไดชอ่ื วา เปน พุทธศาสนิกชนทีด่ ี เปน ศาสนทายาททม่ี ีคุณภาพอันจะเปน กาํ ลังสําคัญในการเผยแผพ ระศาสนาใหเ จริญรงุ เรอื งและม่ันคงสืบไป จบ วชิ าวนิ ัย (กรรมบถ) ธรรมศึกษาชน้ั เอก 318
ÇÔªÒÇ¹Ô Ñ (¡ÃÃÁº¶) 319 ¢ŒÍÊͺ¸ÃÃÁʹÒÁËÅǧ ËÅÑ¡ÊÙμøÃÃÁÈÖ¡ÉÒªéѹàÍ¡ ÇªÔ ÒÇ¹Ô Ñ (¡ÃÃÁº¶) ¾.È. òõõ÷ - òõõø คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 319
320 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªéѹàÍ¡ ปญหาและเฉลยวิชากรรมบถ (วินัย) ธรรมศกึ ษาชน้ั เอก สอบในสนามหลวง วันพธุ ที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ******************** คําส่ัง : จงเลือกคําตอบท่ีถูกท่ีสุดเพียงคําตอบเดียว แลวกากบาทลงในชอง ของขอท่ี ตองการในกระดาษคาํ ตอบใหเวลา ๕๐ นาที (๑๐๐ คะแนน) ๑. สตั วโ ลกมีทัง้ สุขและทกุ ข ดวยอาํ นาจ ๕. อกุศลกรรมบถขอใด เกดิ ทางกายทวาร อะไร ? อยา งเดียว ? ก. บญุ ข. บาป ก. ปาณาติบาต ข. อทินนาทาน ค. กรรม ง. เวร ค. กาเมสมุ จิ ฉาจาร ง. มสุ าวาท เฉลยขอ ค. เฉลยขอ . ก. ข. ค. ๒. สิง่ ใด พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ตรัสวา ๖. สุคติเปนภมู ิเกดิ ของสัตวจําพวกใด ? เปน กรรม ? ก. มนุษย ข. เดยี รัจฉาน ก. เจตนา ข. อารมณ ค. เปรต ง. อสุรกาย ค. สังขาร ง. มลู เฉลยขอ ก. เฉลยขอ ก. ๗. ส่ิงที่ใจเขาไปยดึ แลวเปน เหตุใหท ํากรรม ๓. การกระทาํ ทางใจ เรยี กวา อะไร ? เรยี กวา อะไร ? ก. กายกรรม ข. วจีกรรม ก. อารมณ ข. เวทนา ค. มโนกรรม ง. ผลกรรม ค. สญั ญา ง. เจตนา เฉลยขอ ค. เฉลยขอ ก. ๔. ทางแหง การทาํ ความดี เรยี กวา อะไร ? ๘. อะไรเปน มูลเหตใุ หก ระทํากรรมชั่ว ? ก. กศุ ลกรรมบถ ก. กุศลมลู ข. อกศุ ลมูล ข. อกศุ ลกรรมบถ ค. กุศลกรรม ง. อกศุ ลกรรม ค. กศุ ลมูล เฉลยขอ ข. ง. อกศุ ลมลู ๙. ความรูสกึ ในอารมณว าเปนสขุ ทกุ ข เฉลยขอ ก. เรยี กวา อะไร ? ก. เจตนา ข. เวทนา คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก 320
ÇªÔ ÒÇ¹Ô ÂÑ (¡ÃÃÁº¶) 321 ค. อารมณ ง. สงั ขาร ค. คนนนิ ทา ง. ถูกใสร าย เฉลยขอ ข. เฉลยขอ ก. ๑๐. ขอ ใด เปน ปาณาติบาตเกดิ ทาง ๑๕. จิตคิดจะฆา เปนองคแ หง อกศุ ลกรรมบถ วจีทวาร ? ขอ ใด ? ก. ฆาเอง ข. สั่งใหฆา ก. ปาณาติบาต ข. อทนิ นาทาน ค. คดิ จะฆา ง. พยายามฆา ค. ผรสุ วาจา ง. มีบริวาร เฉลยขอ ข. เฉลยขอ ก. ๑๑. ขอ ใดเปนอารมณแหงปาณาติบาต ? ๑๖. ขอ ใดจดั เปน การทําความดที างกายทวาร ? ก. ดินสอ ข. หนังสอื ก. ไมโ ลภ ข. ไมป องรา ย ค. ที่ดิน ง. สนุ ขั ค. ไมล กั ง. ไมเ หน็ ผดิ เฉลยขอ ง. เฉลยขอ ค. ๑๒. กุศลกรรมบถขอใดมุงสอนใหมี ๑๗. สัง่ คนอ่ืนไปลกั ทรพั ย เปน การละเมิด ไมตรีจติ ตอ กนั ? อกศุ ลกรรมบถขอใด ? ก. ไมฆาสตั ว ก. ปาณาตบิ าต ข. ไมลกั ทรัพย ข. อทินนาทาน ค. ไมพ ูดเทจ็ ค. กาเมสุมจิ ฉาจาร ง. ไมสอเสียด ง. มุสาวาท เฉลยขอ ก. เฉลยขอ ข. ๑๓. คําวา ปาณะ ในปาณาตบิ าต ๑๘. ผลกรรมของผกู ระทาํ อทินนาทาน โดยปรมัตถไดแกอ ะไร ? ตรงกับขอใด ? ก. จักขนุ ทรีย ก. พิการ ข. ขดั สน ข. โสตินทรยี ค. มที รพั ย ง. คนนบั ถอื ค. ฆานนิ ทรยี เฉลยขอ ข. ง. ชีวติ ินทรีย ๑๙. จิตคิดจะลัก เปน องคแ หงอกศุ ลกรรมบถ เฉลยขอ ง. ขอใด ? ๑๔. ขอใดเปน ผลกรรมของผกู ระทาํ ก. ปาณาตบิ าต ข. อทนิ นาทาน ปาณาติบาต ? ค. ผรสุ วาจา ง. พยาบาท ก. โรคมาก ข. ยากจน เฉลยขอ ข. คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 321
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362