22 ¤Á‹Ù Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªéѹàÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ปญหาวชิ ากระทธู รรม ธรรมศึกษาช้นั เอก สอบในสนามหลวง วันพุธท่ี ๑๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๗ ววิ าทํ ภยโต ทิสฺวา อววิ าทฺจเขมโต สมคคฺ า สขิลา โหถ เอสา พุทธฺ านุสาสนี. ทานท้ังหลาย จงเห็นความวิวาทโดยความเปนภัย และความไมวิวาท โดยความปลอดภัยแลว เปนผพู รอ มเพียง มีความประนีประนอมกนั เถดิ นเี้ ปน พระพทุ ธานศุ าสนี. (พุทธ) ข.ุ จริยา. -------------------- แตง อธบิ ายใหส มเหตสุ มผล อางสภุ าษิตอืน่ มาประกอบดว ย ๓ ขอ และ บอกชื่อคัมภีรท่ีมาแหงสุภาษิตน้ันดวย สุภาษิตที่อางมานั้น ตองเรียงเช่ือมความ ใหติดตอ สมเรือ่ งกับกระทตู งั้ ชน้ั นี้ กาํ หนดใหเขียนลงในใบตอบตัง้ แต ๔ หนา (เวน บรรทัด) ขน้ึ ไป -------------------- ใหเ วลา ๓ ชวั่ โมง 22
ÇªÔ Ò àÃÂÕ §¤ÇÒÁá¡Œ¡Ãзٌ¸ÃÃÁ 23 ปญหาวชิ ากระทธู รรม ธรรมศกึ ษาชน้ั เอก สอบในสนามหลวง วันองั คารท่ี ๑ ธนั วาคม ๒๕๕๘ โอวเทยฺยานสุ าเสยฺย อสพฺภา จ นิวารเย สตํ หิ โส ปโ ย โหติ อสตํ โหติ อปปฺ โ ย. บคุ คลควรเตอื นกนั ควรสอนกนั และควรปอ งกนั จากคนไมด ี เพราะเขา ยอมเปนทร่ี กั ของคนดี แตไ มเปน ทร่ี ักของคนไมด ี. (พทุ ธ) ข.ุ ธ. -------------------- แตง อธิบายใหส มเหตสุ มผล อา งสุภาษติ อืน่ มาประกอบดว ย ๓ ขอ และ บอกชื่อคัมภีรท่มี า แหงสุภาษติ นั้นดว ย สุภาษิตทอี่ า งมาน้นั ตองเรยี งเชอื่ มความ ใหต ิดตอสมเรอื่ งกบั กระทตู ้ัง ชน้ั นี้ กาํ หนดใหเขียนลงในใบตอบตงั้ แต ๔ หนา (เวน บรรทดั ) ขึน้ ไป -------------------- ใหเวลา ๓ ช่ัวโมง คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 23
24 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉҪѹé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก 24
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 25 ÇÔªÒ ¸ÃÃÁ ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªéѹàÍ¡ (©ºÑº»ÃѺ»Ã§Ø ¾.È. òõõù) คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 25
26 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ÇÔªÒ¸ÃÃÁ ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ àÍ¡ ความรเู บอ้ื งตน ธรรมวิจารณ เปนช่ือหนังสือพระนิพนธของสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส พระองคทรงประสทิ ธปิ ระสาทความเจริญแหง วิชาการทาง พระพทุ ธศาสนาของคณะสงฆไทยอยางใหญห ลวง กลาวคอื ทรงนพิ นธหนังสอื ที่ใชเปน หลกั สตู รและแบบเรยี นการศกึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรม แผนกธรรมไวห ลายเลม อาทิ หนงั สอื นวโกวาท พทุ ธประวตั ิ พทุ ธศาสนสภุ าษติ และวนิ ยั มขุ กลา วเฉพาะหนงั สอื ธรรมวจิ ารณน ้ี พระองคท รงนพิ นธข นึ้ เปน คกู บั หนงั สอื วนิ ยั มขุ ทรงมงุ เปน เครอ่ื งประดบั สตปิ ญ ญาของ ผสู นใจใฝศ กึ ษาธรรมะ ทรงหวงั จะใหเ ปน เหตผุ ลสนบั สนนุ ในการสนทนาธรรม โดยทรง ใหค วามหมายไววา “ธรรมวิจารณ” คือการเลือกเฟนธรรม การสอดสองพิจารณาธรรม โดยใชโยนิโสมนสิการพิจารณาสอดสองใหถองแทวา ธรรมประเภทไหนเปนสัทธรรม แท ประเภทไหนเปน สทั ธรรมเทยี ม (สทั ธรรมปฏริ ปู ) โดยหาหลกั ฐานมาประกอบอา งองิ ผูปฏิบัติจําตองอาศัยการวิจารณสอดสองธรรมเปนสําคัญกอนจะลงมือปฏิบัติ เพอ่ื ใหร ปู ระโยชนท ม่ี งุ หมายหรอื อธบิ ายทถ่ี กู ตอ งตามพทุ ธประสงคแ ลว ปฏบิ ตั ไิ ดถ กู ทาง สมดังพระบาลีที่วา “อตฺถมฺาย ธมฺมมฺาย ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺโน โหติ : รอู รรถทว่ั ถงึ แลว รธู รรมทว่ั ถงึ แลว ยอ มเปน ผปู ฏบิ ตั สิ มควรแกธ รรม ดงั นน้ั การพจิ ารณา ธรรมสอดสอ งธรรมจึงเปน กจิ จําเปน ” สนามหลวงแผนกธรรม ไดกําหนดเปนหลักสูตรวิชาธรรมชั้นเอก สําหรับ พระภกิ ษสุ ามเณรศกึ ษา เรยี กวา นกั ธรรม และสาํ หรบั คฤหสั ถศ กึ ษา เรยี กวา ธรรมศกึ ษา แบงเนอื้ หาเปนสองสว น คือ สว นปรมตั ถปฏปิ ทา กบั สว นสังสารวฏั สว นปรมตั ถปฏปิ ทา วา ดว ยขอ ปฏบิ ตั มิ ปี ระโยชนอ ยา งยง่ิ หมายถงึ ขอ ปฏบิ ตั ิ ใหถึงประโยชนสูงสดุ ในพระพุทธศาสนา คือการบรรลพุ ระนิพพาน แบง เปน ๖ หวั ขอ ดงั น้ี 26
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 27 ๑. นพิ พิทา ความหนาย วาดวยขอปฏิบัติเพื่อใหเกิดความเบ่ือหนาย ในสงั ขารตามหลักไตรลกั ษณ ๒. วิราคะ ความสนิ้ กาํ หนัด วา ดวยไวพจนค อื คาํ ใชแทนวริ าคะ ๓. วิมตุ ติ ความหลดุ พน วาดวยลกั ษณะของความหลุดพน ๔. วิสุทธิ ความหมดจด วาดว ยหลกั ความหมดจด ตามหลักพระพทุ ธ ศาสนา ๕. สันติ ความสงบ วา ดว ยทางแหง สันติ ๖. นิพพาน ความดบั ทุกข วา ดว ยจุดหมายสูงสุดในพระพทุ ธศาสนา สวนสังสารวัฏ วาดวยการเวียนตายเกิด หมายถึง การเวียนวายตายเกิด อยูในภพกาํ เนดิ ตางๆ โดยแสดงเปน บุคลาธิษฐานดว ยหัวขอเดียว คือ คติ ภพภูมทิ ไ่ี ป เกิดของเหลาสตั วท้งั ฝายทคุ ติและฝา ยสคุ ติ พระองคทรงวางโครงในการวิจารณธรรมแตละหัวขอ ยกพระบาลีจาก พระสูตรตางๆ มาต้ังเปนกระทูธรรม ซ่ึงเรียกวา อุทเทส แปลวา การยกข้ึนแสดง แลวทรงตีความหมาย ตั้งเกณฑอธิบาย ขยายความใหแจมแจงชัดเจน ซ่ึงเรียกวา นิทเทส แปลวา การอธบิ ายขยายความ โดยทรงใชค ําวา พรรณนาความ เมือ่ พรรณนา ความสอดคลองรับลงสมกันกับขอความในพระบาลีไตรปฎกหรือคัมภีรอรรถกถาใดๆ กท็ รงยกมารบั รองพรอ มทง้ั บอกทม่ี าแหง ขอ ความพระบาลไี ตรปฎ กหรอื อรรถกถานน้ั ๆ กํากับไวดวย และทรงสรุปความเพื่อเนนสาระสําคัญจากหัวขอธรรมนั้นๆ ซึ่งเรียกวา ปฏินทิ เทส แปลวา การสรุปความ วิชาธรรม สําหรับธรรมศึกษาช้ันเอกน้ี นอกจากกําหนดใหศึกษาหลักธรรม ตามหนังสือธรรมวิจารณท้ังสวนปรมัตถปฏิปทาและสวนสังสารวัฏ อันเปนแบบเรียน สําคัญแลว ยังกําหนดใหศึกษากรรม ๑๒ หัวใจสมถกัมมัฏฐาน สมถกัมมัฏฐาน พทุ ธคุณกถา และ วปิ สสนากมั มฏั ฐาน อกี ดวย คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 27
28 ¤Ù‹ÁÍ× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ¸ÃÃÁÇ¨Ô Òó ÊÇ‹ ¹»ÃÁÑ춻¯Ô»·Ò ๑. นพิ พทิ า ความหนาย อุทเทส ๑. เอถ ปสฺสถมิ ํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถูปมํ ยตถฺ พาลา วิสที นตฺ ิ นตฺถิ สงโฺ ค วิชานต.ํ สูท้งั หลายจงมาดูโลกน้เี ถิด อันตระการดจุ ราชรถ ท่ีพวกคนเขลาท้ังหลายหมกอยู แตพวกผูร ูหาของอยไู ม โลกวรรค : ขุททกนิกาย ธรรมบท ๒. เย จิตฺตํ สฺเมสสฺ นฺติ โมกขฺ นตฺ ิ พารพนฺธนา. ผูใดจกั ระวังจิต ผนู น้ั จักพนจากบวงแหงมาร จติ ตวรรค ขุททกนิกาย ธรรมบท อธิบายความ นพิ พทิ า ความหนา ย หมายถงึ ความเบอ่ื หนา ยทเี่ กดิ จากการใชป ญ ญาพจิ ารณา เหน็ ความจรงิ ไดแ ก ความเบอ่ื หนา ยในกองทกุ ข ความเบอื่ หนา ยในขนั ธท งั้ ๕ ซงึ่ เกดิ จาก ปญ ญาทพี่ จิ ารณาเหน็ วา สงั ขาร ทงั้ ปวงไมเ ทยี่ ง สงั ขารทงั้ ปวงเปน ทกุ ข ธรรมทงั้ ปวงเปน อนตั ตา เม่อื พจิ ารณาไดด งั นี้ ยอมเกดิ ความเบื่อหนา ยในทุกขขันธ (กองทกุ ข) ไมมัวเมา เพลดิ เพลนิ ยดึ มน่ั ในสงั ขารอนั ยวั่ ยวนชวนเสนห า เปน ความเบอื่ หนา ยทเี่ กดิ จากปญ ญา พิจารณาเขาใจสภาพความเปนจริงของสังขาร ไมใชความเบื่อหนายเพราะแรงผลักดัน แหงกามตัณหา เชน กรณีที่หญิงกับชายรักกันจนถึงขั้นอยูกินเปนสามีภรรยากันแลว เบ่ือหนายจนเลิกรางกันไป เชนน้ีไมจัดเปนนิพพิทา คําวา โลก ในทนี่ ี้จาํ แนกความหมายเปน ๒ อยา ง คอื ๑. โลกโดยตรง ไดแ ก แผน ดินเปน ท่ีอาศยั ๒. โลกโดยออม ไดแ ก หมสู ตั วผ อู าศยั 28
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 29 โลกท้งั โดยตรงและโดยออ มน้ี มีลกั ษณะ ๓ อยา ง คอื ๑. สงิ่ อนั ใหโทษโดยสวนเดียว เปรยี บดว ยยาพิษ ๒. สิง่ อันใหโ ทษในเม่ือเกนิ พอดี เปรยี บดว ยของมึนเมา ๓. สงิ่ อนั เปน อปุ การะเปรยี บดว ยอาหารและเภสชั (ยารกั ษาโรค) ทใ่ี หค วามสบาย คําวา ผูหมกอยูในโลก หมายถึง คนเขลาไรปญญาพิจารณาจึงไมสามารถ หยั่งรูเห็นโลกไดโ ดยถอ งแท ตามความเปนจริงได อาการทีห่ มกอยใู นโลก มี ๓ อยาง คือ ๑. เพลดิ เพลินในส่ิงท่ีเปนโทษ ๒. ระเรงิ หลงเกนิ พอดีในสิ่งอนั อาจใหโทษ ๓. ติดอยใู นสงิ่ ทเี่ ปนอปุ การะลอใจ เมื่อเปนเชนนี้ ยอมไดรับสุขบาง ทุกขบาง คละเคลากันไปตามแตส่ิงนั้นๆ จะอาํ นวยให แมสุขทไ่ี ดรับนน้ั กเ็ ปน อามสิ สขุ สขุ องิ อามสิ คือสขุ ทค่ี ลา ยเหย่อื ลอ ให ลุมหลงติดของไมใชความสุขท่ีแทจริง ซึ่งมีอาการดุจเหยื่อที่เบ็ดเกี่ยวไว อาจถูกชักจูง ไปไดต ามปรารถนา ผไู มข อ งอยูในโลก หมายถงึ ทา นผรู ู มีปญญาฉลาด สามารถพจิ ารณาเห็น ความเปน จรงิ ของสง่ิ สมมตเิ ปน โลกนนั้ ๆ วา จะตอ งเปลย่ี นแปลงไปตามเหตปุ จ จยั อยา ง แนน อนแลว ไมต ดิ ขอ งพวั พนั ในสงิ่ อนั เปน อปุ การะลอ ใจ โดยทไ่ี มม ผี ใู ดหรอื สง่ิ ใดยว่ั ให ตดิ อยูได ยอมเปนอิสระดว ยตนเอง เมือ่ เปนเชน นี้ ยอ มไดร ับ นริ ามสิ สขุ สขุ ปราศจาก อามิส คือความสขุ ทห่ี าเหย่ือลอ มไิ ด อนั เปน ความสุขท่ีแทจ รงิ พุทธประสงคในการตรัสใหดโู ลก พระพุทธองคตรัสชักชวนเหลาพุทธบริษัทมาดูโลกอันวิจิตรตระการตา เปรียบดวยราชรถคร้ังโบราณที่ประดับดวยเคร่ืองอลังการอยางงดงาม มิใชเพ่ือให หลงเพลิดเพลนิ ดุจดหู นงั ดลู ะครท่ีมุง ความบันเทงิ แตอ ยา งใดไม แตท รงประสงคให ใชป ญญาพจิ ารณาเหน็ คณุ โทษ ประโยชน และมิใชป ระโยชนของสิง่ นัน้ ๆ ทรี่ วมกัน เขาเปนโลก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 29
30 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก อาการสาํ รวมจติ ผูสํารวมจิต ไมปลอยจิตใหเพลิดเพลินระเริงหลงในโลกอันมีส่ิงลอใจตางๆ ช่ือวา พน จากบว งแหง มาร ดว ยอาการสาํ รวมจติ ๓ อยาง คอื ๑. สาํ รวมอินทรยี (อนิ ทรยี สังวร) หมายถงึ ความสาํ รวมระวังตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจ มใิ หอ าํ นาจความกาํ หนดั ยนิ ดคี รอบงาํ ไดใ นเมอ่ื ตาไดเ หน็ รปู หไู ดฟ ง เสยี ง จมกู ได ดมกลน่ิ ลน้ิ ไดล ม้ิ รส กายถกู ตอ งโผฏฐพั พะ (สมั ผสั ทางกาย) อนั นา ปรารถนา ชกั ใหใ คร พาใจใหกําหนัด ๒. มนสิการกัมมัฏฐาน (สมถกัมมัฏฐาน) หมายถึง ความใฝใจในอุบาย ฝก อบรมจติ เพ่ือลดละบรรเทากามฉนั ทะ ความพอใจรักใครใ นกาม ไดแก ความใฝใจ ในอสภุ กกมั มฏั ฐาน คอื กมั มฏั ฐานทพ่ี จิ ารณาดคู วามไมง ามของรา งกายตอนเปน ซากศพ แปรสภาพเปอยเนาไปตามลําดับ ความใฝใจในกายคตาสติกัมมัฏฐาน คือกัมมัฏฐาน ที่ใชสติกําหนดพิจารณากายใหเห็นเปนของไมงามเปนอารมณ หรือ ความใฝใจใน มรณสั สตกิ ัมมฏั ฐาน คอื กัมมฏั ฐานท่รี ะลึกพจิ ารณาถงึ ความตายเนือง ๆ เปน อารมณ ๓. เจรญิ วปิ ส สนา (วิปสสนากัมมัฏฐาน) หมายถงึ ความหมั่นฝก จิตใหเกดิ ปญญาพิจารณาสังขารโดยแยกออกเปนขันธ ๕ หรือนามรูปใหเห็นไตรลักษณคือเปน สภาพไมเที่ยง เปนทุกข เปน อนัตตา ทัง้ ๓ อยา งนีเ้ ปนอาการสาํ รวจจติ เพ่ือใหห ลดุ พน จากบวงแหงมาร คอื ไมต ก ไปตามกระแสกิเลส จติ จะหลุดพนจากบว งแหงมาร ตอ งดาํ เนินการควบคุมตามอาการ ครบทั้ง ๓ อยางน้ี โดยเฉพาะการเจรญิ วปิ ส สนา นบั วาสําคญั ทสี่ ดุ เพราะบว งแหง มาร นั้นมีฤทธานุภาพสามารถคลองสรรพสัตวไดอยางแนนหนา เหนือกําลังจะตานทาน เหลอื วสิ ยั ทจ่ี ะปลดเปลอื้ งใหห ลดุ พน ไดโ ดยงา ย ดงั นน้ั ตอ งใชก ารเจรญิ วปิ ส สนาเทา นน้ั จงึ จะสามารถเอาชนะมารและบว งแหง มารไดเ ดด็ ขาด ดังจะกลาวตอ ไป มารและบวงแหง มาร มาร แปลวา ผูฆ า ผทู ําลาย ในที่นหี้ มายถึง โทษลา งผลาญคุณความดแี ละ ทาํ ใหเ สยี คน โดยเปน สง่ิ ทฆี่ า บคุ คลใหต ายจากคณุ ความดี และจดั เปน ตวั การทกี่ าํ จดั หรอื ขดั ขวางจิตคนเราไมใ หบ รรลุคณุ ธรรม ความดี ไดแ ก กเิ ลสกาม กิเลสเปนเหตใุ คร คอื 30
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 31 กเิ ลสทมี่ อี ยูภายในจติ ใจของคนเรา โดยคอยรมุ เราจิต ใหค ิดโลภ โกรธ หลง มชี ่อื เรียก ตา งๆ เชน ตณั หา ความทะยานอยาก ราคะ ความกาํ หนดั อรติ ความขง้ึ เคยี ด อิสสา ความริษยา หรือหึงหวง เปนตน กิเลสเหลานี้เม่ือมีในจิตสันดานของบุคคลใด ยอม ทําใหจ ติ ของบคุ คลน้ันมคี วามยินดี รกั ใคร ปรารถนา ไขวควาเพื่อใหไ ดม าซ่ึงสิ่งตา งๆ และเศราหมองเปนไปตามอํานาจ ของกิเลสนั้น ๆ เพราะฉะนั้น ทานจึงเรียกวา กเิ ลสเปน เหตใุ คร บวงแหงมาร หมายถึง อารมณเคร่ืองผูกจิตใจใหติดแหงมาร เหมือนเน้ือ เหย่ือลอท่ีถูกเบ็ดเกี่ยวไว ไดแก วัตถุกาม วัตถุอันนาใคร คือสิ่งอันเปนที่ตั้งแหง ความใคร ซ่ึงเรียกวา กามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ (สัมผัส) อนั เปนอิฏฐารมณ (อารมณท ่ีนา ปรารถนา) บวงแหงมารน้ีไมอ าจคลองบคุ คล ผูไมตดิ ขอ งอยใู นโลกดงั กลา วได สรุปความ โลก คือ แผนดินเปนท่ีอาศัยและหมูสัตวผูอาศัย เปนศูนยรวมไวทั้งส่ิง ทม่ี โี ทษ สงิ่ ทอ่ี าจใหโ ทษในเมอื่ ลมุ หลงเกนิ พอดี และสงิ่ ทเ่ี ปน อปุ การะลอ ใจ พวกคนเขลา ไรปญญาไมสามารถพิจารณาเห็นโลกไดตามสภาพเปนจริง ยอมเพลิดเพลินในสิ่งท่ี เปนโทษ ระเริงหลงเกินพอดีในส่ิงอันอาจใหโทษ และติดอยูในส่ิงที่เปนอุปการะลอใจ ชอ่ื วา หมกอยใู นโลก จงึ ไมไ ดร บั ความสขุ ทแ่ี ทจ รงิ ตรงกนั ขา มกบั ทา นผรู คู อื บณั ฑติ ผไู ม ขอ งอยใู นโลก ยอ มพจิ ารณาเหน็ ความเปน จรงิ ในสง่ิ สมมตวิ า โลกนนั้ มคี วามเปลย่ี นแปลง ไปตามเหตปุ จ จยั แลว ไมพ วั พนั ในสงิ่ อนั เปน อปุ การะลอ ใจ ยอ มไดร บั ความสขุ ทแ่ี ทจ รงิ พระพุทธองคตรัสชักชวนพุทธบริษัทมาดูโลกอันตระการตาดุจราชรถนี้ มิใชให เพลิดเพลินเหมือนดูละครท่ีมุงการบันเทิง แตทรงมีพระประสงคใหพิจารณาหยั่งซึ้ง ถึงสภาพความเปนจริงของสรรพส่ิงในโลกเพื่อสามารถควบคุมจิตใหพนจากมาร คือ กเิ ลสกาม และจากบวงแหง มาร คอื วัตถกุ าม ซงึ่ เรียกวา กามคณุ ๕ โดยทรงแนะนาํ วธิ ี การสาํ รวมจิต ๓ วธิ ี คือ (๑) การควบคมุ อนิ ทรยี ๖ มิใหยนิ ดีในอารมณทนี่ าปรารถนา (๒) การเจรญิ สมถกมั มฏั ฐาน คือการพจิ ารณาดคู วามไมงามของรางกายเปน ตน และ (๓) การเจรญิ วปิ ส สนากมั มฏั ฐาน คอื การฝก จติ ใหเ กดิ ปญ ญา พจิ ารณาโลกคอื เบญจขนั ธ โดยความเปนไตรลักษณ ซ่ึงนับเปน วิธีที่ดที ี่สุด ฉะนแ้ี ล คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 31
32 ¤‹ÙÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªéѹàÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ปฏิปทาแหง นพิ พิทา อุทเทส สพฺเพ สงฺขารา อนจิ ฺจาติ ...... ...... ....... สพฺเพ สงขฺ ารา ทุกขฺ าติ ...... ...... ....... สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ ยทา ปฺ าย ปสสฺ ติ อถ นิพฺพนิ ฺทติ ทกุ เฺ ข เอส มคฺโค วิสทุ ฺธิยา. เมอ่ื ใด เห็นดวยปญญาวา สังขารทัง้ หลายทง้ั ปวงไมเ ทย่ี ง ... สงั ขารท้ังหลายท้ังปวงเปน ทุกข ... ธรรมทงั้ หลายทง้ั ปวงเปน อนตั ตา เมอ่ื นั้น ยอมหนายในทุกข น่นั ทางแหง วสิ ุทธ.์ิ มัคควรรค : ขุททกนกิ าย ธรรมบท อธบิ ายความ คําวา ปฏปิ ทาแหง นิพพิทา หมายถงึ ขอปฏิบัติใหเกิดความเบื่อหนายคลาย ความยึดตดิ ในโลก โดยใชป ญ ญาพจิ ารณาเห็นสามัญลักษณะหรือไตรลักษณในสงั ขาร เม่ือพิจารณาเห็นเชนน้ี ยอมเบ่ือหนายในทุกข และเปนเหตุใหเขาถึงวิสุทธิ คือภาวะท่ี จติ บรสิ ทุ ธห์ิ มดจดจากกเิ ลส ความหมายของสังขาร สังขาร แปลวา สภาพปรงุ แตง หรอื สิ่งทป่ี จ จัยปรงุ แตง มี ๒ ประเภท คอื ๑) อปุ าทินนกสังขาร สงั ขารทีม่ จี ิตใจครอง เชน มนษุ ยแ ละสัตว เปนตน ๒) อนุปาทินนกสังขาร สังขารที่ไมมีจิตใจครอง เชน แผนดิน ภูเขา โตะ เกาอ้ี เปน ตน ในอทุ เทสแสดงไวว า สงั ขารทงั้ หลายทง้ั ปวงไมเ ทย่ี ง เปน ทกุ ข ไดแ ก ขนั ธ ๕ คอื ๑) รูป คือ รางกายอันประกอบดวยธาตุ ๔ คือ ดนิ น้ํา ไฟ ลม ๒) เวทนา คือ ความรูสึกเปน สุข เปน ทกุ ข หรอื ไมส ขุ ไมท ุกข ๓) สัญญา คอื ความจาํ ไดหมายรู ๔) สังขาร คือ อารมณท ่เี กดิ กบั จติ หรือเจตนาความคิดอานตา งๆ ๕) วญิ ญาณ คือ ความรแู จงอารมณท างทวาร ๖ คือ ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ 32
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 33 สามญั ญลกั ษณะของสงั ขาร สังขารทง้ั ปวง มลี กั ษณะเสมอกัน ๓ ประการ เรยี กวา ไตรลักษณ คือ ๑) อนจิ จตา ความไมเ ทย่ี ง ๒) ทุกขตา ความเปน ทุกข ๓) อนตั ตตา ความเปน อนัตตา ๑. อนจิ จตา ความไมเ ที่ยงแหง สงั ขาร กาํ หนดรูไดใน ๓ ทาง คือ ๑) ในทางที่เห็นไดงาย สังขารน้ันมีความเกิดขึ้นในเบ้ืองตนและ ความสิน้ ไปในเบ้อื งปลาย เปน ธรรมดา ดงั พระบาลใี นทฆี นิกาย มหาวรรค วา อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมมฺ โิ น อุปปฺ ชชฺ ิตวฺ า นริ ุชฺฌนตฺ ิ เตสํ วปู สโม สโุ ข. สงั ขารทง้ั หลายไมเ ท่ียงหนอ มคี วามเกิดข้นึ และเสอ่ื มไปเปนธรรมดา (ไมเลือกวาเปนสังขารชนิดไร ประณีตก็ตาม ทรามก็ตาม) เกิดข้ึนแลว ยอมดับไป. สงั ขารทงั้ หลาย จงึ เกดิ ดบั อยตู ลอดเวลา เกดิ ขนึ้ ในกาลใดกด็ บั ในกาลนนั้ ระยะกาลระหวางเกิดและดบั แหงสังขารมนษุ ยน้ัน ทา นกาํ หนดวา ๑๐๐ ป หรอื เกินกวา ๑๐๐ ป ไปบางก็มี แตมจี ํานวนนอ ย ๒) ในทางที่ละเอียดกวาน้ัน สังขารทั้งปวงนั้นมีความแปรเปลี่ยนไป ในระหวางการเกิดและดบั ดงั พระบาลใี นสังยุตตนิกาย สคาถวรรค วา อจเฺ จนตฺ ิ กาลา ตรยนตฺ ิ รตฺติโย วโยคุณา อนุปพุ ฺพํ ชหนฺต.ิ กาลยอมลวงไป ราตรียอมผานไป ชัน้ แหงวยั ยอมละไปตามลาํ ดับ ระยะกาลระหวางการเกิดและการดับแหงสังขารของคนเรานั้น ทานกําหนด เปน ๓ วัย คอื (๑) ปฐมวยั วัยตน อยูในระยะเวลาไมเ กนิ ๒๕ ป (๒) มชั ฌิมวัย วัยกลาง ตัง้ แต ๒๕ ปขึน้ ไปจนถงึ ๕๐ ป (๓) ปจ ฉิมวยั วัยทาย ตงั้ แต ๕๐ ปข นึ้ ไปจนถึงสิ้นอายุ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 33
34 ¤Á‹Ù ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ในคัมภรี วิสุทธิมรรค ทา นกําหนดวยั โดยใชอ ายุ ๑๐๐ ปเ ปนเกณฑไว ดังน้ี (๑) ปฐมวัย วยั แรก กําหนดอายุ ๑-๓๓ ป (๒) มชั ฌมิ วัย วยั กลาง กาํ หนดอายุตง้ั แต ๓๔-๖๗ ป (๓) ปจ ฉมิ วัย วัยทาย กําหนดอายุตั้งแต ๖๘-๑๐๐ ป ความแปรเปล่ยี นในระหวา งแหง สงั ขารผานวัยท้ัง ๓ ดังกลาวน้ี ทานเปรยี บ ไวก ับการเดนิ ทางขา มสะพานที่สูงขึน้ ๆ แลว ราบ แลวตาํ่ ลงๆ ซ่งึ การท่ีคนเราจะผานไป ไดตลอดใหครบทั้ง ๓ วัยนั้นเปนเรื่องยาก เหตุท่ีเปนเชนนั้น เพราะอายุของคนเรา แตล ะคนนั้นมวี ิบากกรรมไมเทากนั ๓) ในทางท่ีละเอียดท่ีสุด สังขารทั้งปวงน้ันมีความแปรเปล่ียนไปช่ัวขณะ หนึ่งๆ คือไมคงที่อยูนาน เพียงระยะกาลนิดเดียวก็แปรปรวนเปล่ียนแปลงไปแลว ดังทีท่ านกลาวในคมั ภีรว ิสทุ ธมิ รรค วา ชวี ติ ํ อตตฺ ภาโว จ สขุ ทุกขฺ า จ เกวลา เอกจิตตฺ สมา ยุตตฺ า ลหุโส วตฺตเต ขโณ. ชีวิต อัตภาพ และสุขทุกข ท้ังมวล ลวนประกอบกันเปนธรรมเสมอดวย จติ ดวงเดยี วขณะยอมเปนไปพลัน. อนจิ จลักขณะ ประการที่ ๓ น้ี ตองใชป ญญาพิจารณาจงึ จะกําหนดเหน็ ชดั ใน นามกาย เชน จิตบางขณะกข็ ุนมัว บางขณะกเ็ บกิ บาน หรือบางขณะรับอารมณนีแ้ ลว ก็ พลันเปล่ียนไปรับอารมณอ ื่น เปนตน แมในรปู กายก็เหมือนกัน เชน เซลลผ ิวหนงั เกา หลดุ รว งไปเซลลใ หมเ กดิ ขน้ึ แทนที่ เปน ตน คนเราไมร คู วามแปรเปลย่ี นแหง สงั ขารเชน น้ี เพราะมีภาวะสืบตอที่เรียกวา สันตติ (ความสืบตอ หรือความตอเนื่องกัน) ซึ่งเปนไป อยางตอเน่ืองรวดเร็วจนไมสามารถกําหนดได เม่ือจิตดวงแรกดับไป จิตดวงใหมก็ เกิดสืบตอมา เกิด-ดับ เกิด-ดับ อยูอ ยางนี้ สภาวะที่เรียกวา สันตติ นจี้ ะคอยบดบงั มิ ใหคนเรารับรูอนิจจ-ลักษณะในขั้นที่ละเอียด เมื่อสันตติขาดลง ความดับส้ินแหงชีวิต นทรียห รอื ความตายยอ มปรากฏ ความเกิดแลวดับและความแปรเปลี่ยนในระหวางแหงสังขารดังกลาวมาน้ี ทา นสรปุ เขา ในบาลีทวี่ า “อปุ ฺปชชฺ ติ เจว เวติ จ อฺถา จ ภวติ. : ยอ มเกดิ ข้ึนดวยเทยี ว ยอมเส่ือมสิ้นดวย ยอมเปนอยางอื่นดวย” นี้เปนอนิจจลักษณะ คือเคร่ืองกําหนดวา ไมเ ทย่ี งแหง สังขาร 34
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 35 ความไมเที่ยงแหงสังขารที่กําหนดรูไดใน ๓ ทางดังกลาวมานี้ ยอมปรากฏ ท้ังใน อุปาทินนกสังขาร สังขารท่ีมีใจครอง และ อนุปาทินนกสังขาร สังขารที่ไมมี จติ ใจครอง ๒. ทกุ ขฺ ตา ความเปน ทกุ ขแ หง สงั ขาร กาํ หนดเหน็ ไดด ว ยทกุ ข ๑๐ อยา ง คอื ๑) สภาวทุกข ทกุ ขตามสภาพ ไดแก ทกุ ขประจําสงั ขาร คอื ชาติ ความเกดิ ชรา ความแก มรณะ ความตาย อนั เปน คตธิ รรมดาประจาํ สงั ขาร ขณะทคี่ ลอดจากครรภ มารดา ทารกยอมไดรบั ความลําบาก ความเจบ็ ปวดจากอนั ตรายตา งๆ จดั เปนชาติทกุ ข ทกุ ขเ พราะการเกดิ , ความทรดุ โทรมเสอ่ื มลงแหง สงั ขารทาํ ความเปน ไปแหง ชวี ติ ใหล าํ บาก จดั เปน ชราทุกข ทกุ ขเพราะความแก, ความสิ้นชวี ติ ไดรับทกุ ขเวทนาแรงกลา เปนภยั ท่ี นากลัว จดั เปนมรณทุกข ทุกขเพราะความตาย ๒) ปกิณณกทุกข ทุกขเบ็ดเตล็ด ไดแก ทุกขท่ีจรมาในชีวิต คือ โสกะ ความเศรา โศก ปริเทวะ ความร่าํ ไรรําพัน ทุกขะ ความทกุ ขก าย โทมนัส ความทุกขใจ อุปายาสะ ความคับแคนใจ รวมถึง อัปป-เยหิสัมปโยคทุกข ทุกขท่ีเกิดจากประสพ พบสัตว บุคคล ส่ิงที่ไมรักไมชอบใจ และ ปเยหิวิปปโยคทุกข ทุกขท่ีเกิดจาก ความพลดั พรากจากสัตว บคุ คล สิง่ ของท่ีรกั ท่ีชอบ ๓) นพิ ทั ธทกุ ข ทุกขเ นืองนิตย หรือทุกขประจาํ ไดแก ทกุ ขทเ่ี ปน เจา เรือน เชน ทกุ ขเพราะความหนาว รอน หวิ กระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปสสาวะ ทุกขใ นขอนี้ คนเรามักจะไมคํานึงถึงนกั ถือเปนเรื่องธรรมดาท่ีจะสามารถระงับบรรเทาไดงาย ๔) พยาธทิ กุ ข ทกุ ขเ จบ็ ปวด ทกุ ขเ พราะความเจบ็ ไขไ ดป ว ย ไดแ ก ทกุ ขเวทนา ตาง ๆ ท่ีสรางความเจ็บปวดทรมานใหแกคนเรา ที่มีสมุฏฐานเกิดจากโรคภัยไขเจ็บ เขามารุมเรารางกายอันเปนดุจรังแหงโรค เชน ปวดศีรษะ ปวดทอง ปวดฟน หรือ ปวดเมื่อยทัว่ รางกาย เปน ตน ทุกขประการที่ ๓ และท่ี ๔ นี้ พระพุทธองคทรงแสดงไวในคิรมิ านนทสตู ร ตอนอาทนี วสัญญา โดยความเปนโทษแหงรา งกาย ๕) สันตาปทุกข ทุกขคือความรอนรุม หรือทุกขรอน ไดแก ความกระวน กระวายใจเพราะถกู ไฟกิเลสคือราคะ โทสะ โมหะ หรอื รัก โลภ โกรธ หลง แผดเผา ดจุ ความแสบรอ นทเ่ี กดิ จากไปลวก ทกุ ขป ระการนต้ี รงกบั ทต่ี รสั ไวใ นอาทติ ตปรยิ ายสตู ร คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 35
36 ¤‹ÙÁ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉҪѹé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ๖) วปิ ากทกุ ข ทุกขท เี่ ปน ผลของกรรมชัว่ ไดแ ก การเกิดความเดอื ดรอนใจ การถูกลงอาญา ไดรับความทุกขเดือดรอนทางกายและใจตางๆ การตกทุกขไดยาก หรือการตายไปเกิดในอบายภมู ิ ทกุ ขประการน้ปี รากฏในพระบาลไี ตรปฎกหลายแหง ๗) สหคตทกุ ข ทกุ ขไปดวยกัน คอื ทุกขกาํ กับกัน ไดแ ก ทกุ ขท ่ีมาพรอมกับ โลกธรรมฝา ยอฏิ ฐารมณ (สงิ่ ทน่ี า ปรารถนานา ชอบใจ) คือ มลี าภ มยี ศ ไดร บั สรรเสริญ มีความสุข ซึ่งลวนเจือปานดวยทุกขที่จรมาเสมอ เชน เมื่อมีทรัพยสมบัติแลว ก็ตอง คอยเฝารักษาไมใหสูญหาย บางคร้ังถึงกับกินไมไดนอนไมหลับ บางคนตองเสียชีวิต ในการปองกันรักษาทรัพยก็มี เม่ือไดรับยศถาบรรดาศักดิ์แลว ตองทําตัวใหดีกวาคน ทว่ั ไป มีภารกิจรบั ผิดชอบมาก เปนที่หวงั พ่ึงพาของบรวิ าร ตองพลอยรว มทกุ ขรวมสุข ไปกบั คนอ่ืน ดงั นั้น จึงตอ งขวนขวายหาทรพั ยไ วใ หม ากเพ่ือเปนกาํ ลงั จบั จา ยใหสะดวก ทําใหเกิดทุกขตามมา เม่ือไดรับสรรเสริญ ก็ทําใหเพลิดเพลินหลงเคลิ้มไปวาตนเปน คนเกง คนดกี วา คนอนื่ หากปราศจากสตริ ทู ัน กจ็ ะหลงมวั เมาประมาท ทําใหเ กิดทุกข เมอื่ ไดร บั สขุ กป็ รารถนาอยากจะไดส ขุ ยงิ่ ๆ ขน้ึ ไป ไมร จู กั อม่ิ จงึ ไมไ ดร บั ความสขุ ทแี่ ทจ รงิ ดังนั้น โลกธรรมฝายอฏิ ฐารมณจึงมกั มีทุกขก าํ กบั ซอ นอยูดว ยเสมอ ๘) อาหารปริเยฏฐิทุกข ทุกขเพราะการแสวงหาอาหาร ไดแก อาชีวทุกข ทุกขในการหาเลี้ยงชีพ โดยเหตุที่สรรพสัตวดํารงชีพอยูไดเพราะอาหาร จึงตองดิ้นรน แสวงหาอาหารมาประทงั ชีวิต เมื่อประกอบอาชีพการงาน ก็ยอ มเกดิ การแขงขนั ชว งชิง ผลประโยชนจนถึงขน้ั ทํารา ยรา งกายลา งผลาญชวี ติ กนั จงึ อยไู มเปนสุข ดงั น้ัน คนเรา ไมว าจะประกอบอาชพี ใดๆ เพอื่ ใหไ ดอ าหารมาเลย้ี งชีวติ ยอ มเปนทุกขด วยกันทงั้ นั้น ๙) ววิ าทมูลทกุ ข ทุกขม ีวิวาทเปนมลู หรอื ทุกขเ พราะการทะเลาะกนั เปนเหตุ ไดแก ความไมปลอด โปรงใจ ความไมสบายใจ ความกลัวแพ หรือความหวาดหว่ัน อนั มีสาเหตมุ าจากการทะเลาะแกงแยง กนั การสคู ดีกนั การทาํ สงครามสรู บกนั เปน ตน ซึง่ ลว นแตเปนเหตใุ หเกดิ ทกุ ข กอเวรภยั แกกันอยา งไมรูจบ ๑๐) ทุกขขันธ ทุกขรวบยอด หรือศนู ยร วมความทุกข ไดแก อุปาทานขนั ธ ๕ ที่บุคคลเขาไปยึดมั่นถือมั่นวาเปนตัวเราของเรา จัดเปนตัวทุกข ซึ่งตรงกับพระบาลี ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่วา “สงฺขิตฺเตน ปฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา : โดยยอ อุปาทานขันธ ๕ เปนทุกข” และตรงกับพระบาลีแสดงหลักปฏิจจสมุปบาทท่ีวา 36
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 37 “เอวเมตสสฺ เกวลสสฺ ทกุ ขฺ กขฺ นธฺ สสฺ สมทุ โย โหติ : ความเกดิ ขน้ึ แหง กองทกุ ขท งั้ มวลนนั่ จงึ มดี ว ยประการดังกลาวมาน”ี้ การพิจารณาเห็นสังขารท้ังปวงวาเปนทุกขเต็มท่ี โดยใชญาณปญญากําหนด เหน็ ทกุ ขท ช่ี าวโลกเหน็ เปน สขุ มสี หคตทกุ ขเ ปน ตน ดงั กลา วมานอี้ ยา งละเอยี ดประจกั ษช ดั ตรงกับพระบาลใี นสงั ยุตตนิกาย สคาถวรรค วา ทุกขฺ เมว หิ สมฺโภติ ทุกฺขํ ติฏ ติ เวติ จ นาฺ ตฺร ทกุ ขฺ า สมโฺ ภติ นาฺตรฺ ทุกฺขา นิรชุ ฌฺ ต.ิ ก็ ทุกขน ั่นแล ยอ มเกดิ ขึ้น ทกุ ขย อ มตัง้ อยู ยอ มเส่ือมไปดวย นอกจากทกุ ข หาอะไรเกิดมไิ ด นอกจากทกุ ข หาอะไรดบั มไิ ด. ทุกขลักขณะดังกลาวมาน้ี ยอมเกิดเฉพาะอุปาทินนกสังขาร สังขารที่มีใจ ครองเทา นนั้ แตอ าจารยบ างทา นวนิ จิ ฉยั วา แมอ นปุ าทนิ นกสงั ขาร สงั ขารทไี่ มม ใี จครอง ทบี่ คุ คลเขา ไปยดึ ถอื มนั่ ดว ยอปุ าทาน กส็ ามารถมที กุ ขลกั ขณะนไี้ ดเ ชน กนั หรอื บางทา น เหน็ ความเฉาความซดี แหง ตน ไมใ บหญา วา เปน การเสวยทกุ ขข องมนั ทง้ั สองประเดน็ น้ี สมเด็จพระมหาสมณเจาฯ ทรงเห็นวาไมสมเหตุสมผล อุปาทินนกสังขารเทานั้นเปน ทุกขและทุกขเปนเจตสิกธรรม (ส่ิงที่เกิด-ดับพรอมกับจิต) การท่ีคนเราไมเห็นสังขาร คือเบญจขันธวาเปนทุกข ก็เพราะมีการผลัดเปล่ียนเคลื่อนไหวอิริยาบถอยูเสมอ ดังนนั้ อริ ยิ าบถ จึงช่ือวา ปดบังทกุ ขลักขณะไว ๓. อนัตตตา ความเปนอนตั ตาแหง สงั ขาร กาํ หนดรูไดด ว ยอาการ ๕ คือ ๑) ดวยไมอยูในอํานาจ หรือดวยฝนปรารถนา หมายความวา สังขารคือ เบญจขันธ สังขารน้ีไมเปนไปตามความปรารถนา ไมขึ้นตอการบังคับบัญชาของใครๆ ไมมีใครสามารถบังคับสังขารใหเปนไปตามท่ีใจตองการได เพราะสังขารไมใชอัตตา ดังขอความในอนัตตลักขณสูตรวา “ถาเบญจขันธจักเปนอัตตาแลวไซร เบญจขันธ ไมพึงเปนไปเพ่ืออาพาธ และจะพึงไดในเบญจขันธตามปรารถนาวา “ขอเชิญขันธของ เราเปนอยางนี้เถิด อยาไดเปนอยางน้ันเลย” แตเพราะเหตุที่เบญจขันธเปนอนัตตา จึงเปน ไปเพือ่ อาพาธ และไมไ ดเปน เบญจขนั ธต ามปรารถนาอยางน้ัน” ๒) ดวยแยงตออตั ตา หมายความวา โดยสภาวะของสงั ขารเองคานตออตั ตา คือตรงกนั ขามกบั ความเปน อัตตาอยางประจกั ษช ัด ดังขอความในอนตั ตลกั ขณสตู รวา คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 37
38 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªéѹàÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก “สงิ่ ใดไมเ ทยี่ ง เปน ทกุ ข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดา ควรหรอื ไมท จี่ ะตามเหน็ สง่ิ นน้ั วา น่ันของเรา น่ันเปนเรา นั่นตัวของเรา” และท่ีตรัสไวในยทนิจจสูตร สังยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค วา “ยทนิจฺจํ, ตํ ทกุ ขฺ ํ . ยํ ทกุ ขฺ ํ ตทนตตฺ า : สิง่ ใดไมเท่ียง สิ่งนน้ั เปน ทกุ ข สง่ิ ใดเปน ทุกข สิ่งนัน้ เปนอนตั ตา” ๓) ดวยความเปนสภาพหาเจาของมิได หมายความวา สังขารนี้ไมเปน ของใครไดจริง ไมมีใครเปนเจาของครอบครองได ดังขอความในสูตรทั้งหลายมี อนตั ตลกั ขณสตู รเปน ตน วา “เนตํ มม, เนโสหมสมฺ ิ, น เมโส อตฺตา : นั่นมใิ ชข องเรา น่ันมิใชเรา น่นั มใิ ชตัวของเรา” ๔) ดวยความเปนสภาพสูญ คือวางหรือหายไป หมายความวา สังขารน้ี เปนเพียงการประชุมรวมกันเขาขององคประกอบท่ีเปนสวนยอยๆ โดยวางเปลาจาก ความเปนสัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา หรือการสมมติเปนตางๆ ดังที่พระพุทธดํารัส ตรัสแกปญหาของโมฆราชมาณพ ในปารายนวรรค ขุททกนิกาย สุตตนิบาต วา “โมฆราช เธอจงมีสติทกุ เม่ือ เลง็ เห็นโลกโดยความเปน สภาพสญู ถอนอัตตานทุ ิฏฐิ คอื ความคดิ เห็นเปนอตั ตาเสีย เชนน้ี เธอจะพงึ เปนผขู ามพันพญามจั จรุ าชได. ..” คนเราไมสามารถเห็นสังขารโดยความเปนสภาพวา ง กเ็ พราะมี ฆนสญั ญา ความสําคัญวาเปนกลุมกอน คือการกําหนดวา เปนเรา เปนเขา คอยปดบังไว ทําให เห็นแตองครวม เหมือนอยางการท่ีเราจะเรียกวารถได ก็เพราะมีช้ินสวนอะไหลตางๆ ประกอบกนั ฉนั ใดกฉ็ นั นนั้ เมอ่ื ขนั ธ ๕ คอื รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ มารวมกนั ยอ มมีการสมมตบิ ญั ญัตเิ รียกวา เปนสตั ว เปน บคุ คลขน้ึ มา ดังท่ีวชริ าภกิ ษณุ กี ลา วไว ในสงั ยุตตนิกาย สคาถวรรค วา “ข้ึนช่อื วา สตั วยอ มหาไมไดในกองแหงสังขารลว นๆ น้ี เปรยี บใหเ หน็ วา เพราะคมุ สว นทงั้ หลายไวด ว ยกนั เสยี งเรยี กวา รถยอ มมี ฉนั ใด เมอื่ ขนั ธ ท้ังหลายยังมีอยู การสมมติวาสัตวก็ยอมมี ฉันนั้น” เมื่อกําหนดพิจารณาเห็นสังขาร โดยกระจายเปนสว นยอยตา งๆ ไดแลว กจ็ ะสามารถถอนฆนสญั ญาในสังขารน้นั ได สวนอนัตตลักขณะท่ีวา สังขารเปนสภาพหายไป น้ัน พึงกําหนดรูไดดวย ความเสื่อมสิ้นไปแหงสังขารน้ัน ๆ ทานเปรียบเหมือนกับการที่คนเรานอนหลับฝน แลวตื่นข้ึนมาก็ไมพบกับความฝนนั้นเสียแลว ดังขอความในชราสูตร ขุททกนิกาย สุตตนบิ าตวา “คนผูต ่ืนข้นึ แลว ยอมไมเห็นอารมณอ ันประจวบดว ยความฝน (สง่ิ ที่ฝน ) ฉนั ใด คนผมู ชี วี ติ อยู กย็ อมไมเ หน็ คนท่ีตนรักตายจากไป ฉนั นนั้ ” 38
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 39 ๕) ดวยความเปนสภาวธรรมเปนไปตามเหตุปจจัย หมายความวา สังขาร เปนภาวะท่ีข้ึนอยูกับเหตุปจจัย ไมมีอยูโดยลําพังแตเปนไปโดยอิงอาศัยกับสิ่งอ่ืนๆ ขอ นเ้ี ปนลกั ษณะรวบยอดแหงอาการทั้ง ๔ ท่กี ลาวมา ดงั ขอ ความในคัมภีรข ุททกนิกาย อุทาน วา “ในกาลใดแล ธรรมท้ังหลาย ยอมปรากฏแกพราหมณผูมีความเพียรเพง พจิ ารณาอยู ในกาลนน้ั ความสงสยั ทง้ั ปวงของพราหมณน น้ั ยอ มสน้ิ ไป เพราะมารธู รรม เปน ไปกับเหต.ุ .. และเพราะมารคู วามส้นิ ไปแหง ปจ จยั ” ความเปนอนตั ตาแหงสังขารนแ้ี มจะเกดิ มปี ระจําสาํ หรับชาวโลก แตเ ปนเร่อื ง ที่เขา ใจยาก เห็นไดย าก เพราะมี ฆนสัญญา คอื ความสาํ คญั เหน็ เปนกลมุ กอนปดบังไว ตองอาศัย ภาวนามยปญญา คือการฝกสติปญญาใหมีกําลังแรงกลาจึงจะสามารถ พจิ ารณาเหน็ ไดโ ดยประจกั ษ เพราะไตรลกั ษณข อ อนตั ตานี้ นอกจากพระพทุ ธศาสนาแลว ไมม สี อนในลัทธิศาสนาอื่น มติลัทธศิ าสนาอนื่ : ยอมรบั การมอี ัตตา ความเปนอนัตตาแหงสังขารและสภาวธรรมท้ังหลายน้ัน เมื่อพิจารณา ตามพยัญชนะคือตัวหนังสือดูเหมือนเปนมติท่ีขัดแยงคัดคานความเปนอัตตาของ ลัทธิพราหมณหรือศาสนาฮินดู และลัทธิท่ีเช่ือเก่ียวกับการเวียนวายตายเกิด ซ่ึงถือวา ในรปู กายน้ีมอี ตั ตาสิงอยู เปน ผูคดิ เปน ผูเ สวยเวทนา และสาํ เร็จอาการอยางอืน่ ๆ อกี เมื่อคราวมรณะคือความตาย อตั ตากจ็ ุติ (เคลื่อนหรือตาย) จากสรีระรางเดิมไปสงิ ใน สรีระรา งอ่นื ซ่ึงจะเปน สรีระรา งดีหรอื ไมดนี ั่นยอ มสดุ แลว แตกรรมท่ไี ดทาํ ไว สว นสรรี ะ รา งเดมิ ยอ มแตกสลายไป เปรยี บเหมอื นบา นเรอื นทอ่ี ยอู าศยั เมอื่ คนผอู ยอู าศยั ไมช อบใจ กย็ า ยไปอยูบา นเรือนหลังใหม สวนบานเรือนหลังเดิมก็ยอมผพุ ังสลายไปตามกาลเวลา ฉะน้นั อตั ตาดังกลา วมานใี้ นหนังสือ หนังสือมลิ นิ ทปญ หา เรียกวา ชโี ว ผูเปน หรือ เรยี กตามความนยิ มของคนไทยวา เจตภตู ผนู ึก มตทิ างพระพุทธศาสนา : ปฏิเสธอัตตา มติทางพระพุทธศาสนากลาวแยงวา ความจริง ไมมีอัตตาอยางน้ัน เปนแต สภาวธรรมเกิดข้ึนเพราะเหตุ ดับหรือสิ้นไปก็เพราะเหตุ ดังท่ีทานพระอัสสชิเถระ แสดงแกอุปติสสปริพาชก (พระสารีบตุ รเถระ) ในพระวนิ ัยปฎ ก มหาวรรค ปฐมภาค วา คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 39
40 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก เย ธมมฺ า เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต (อาห) เตสฺจ โย นโิ รโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ. ธรรมเหลา ใดมเี หตเุ ปนแดนเกิด พระตถาคตตรัสเหตแุ หง ธรรมเหลานัน้ และตรสั ความดบั แหง ธรรมเหลานั้น พระมหาสมณะมีปกตติ รสั อยา งนี้. ในหลกั พระพทุ ธศาสนา มกี ารแสดงความเกดิ แหง สภาวธรรมทเ่ี นอื่ งสมั พนั ธ กันเปนสายๆ ดังที่แสดงความเกิดแหงวิถีจิตวา “อาศัยอายตนะภายในมีจักษุเปนตน อายตนะภายนอกมีรูปเปนตนประจวบกันเขา เกิดวิญญาณ มีจักขุวิญญาณเปนตน จากนัน้ จงึ เกิดผัสสะ เวทนา สัญญา สญั เจตนา ตัณหา วิตก วจิ าร โดยลาํ ดับ” หรอื ดงั ที่ตรัสไวในธัมมจักกัปปวตั ตนสตู รวา “ยงกฺ ิฺจิ สมุทยธมมฺ ํ สพพฺ นตฺ ํ นิโรธธมฺมํ : สิ่งใดมีความเกิดข้ึนเปนธรรมดา ส่ิงน้ันลวนมีความดับไปเปนธรรมดา” ความคิดอาน จนิ ตนาการตางๆ ความเสวยเวทนารสู ึกสขุ รสู ึกทกุ ขใดๆ และอาการทางจิตอยา งอื่นๆ เปน หนาท่ีของจติ และเจตสกิ ไมม อี ัตตาสิง่ ท่เี ปน ตวั ตนใดๆ มาทาํ หนาที่ดังกลาวนัน้ อนึ่ง หลักพระพุทธศาสนายอมรับวามี จุติจิต คือจิตที่ทําหนาท่ีเคล่ือน จากภพหน่ึงไปอีกภพหน่ึง หรือจิตขณะสุดทายกอนตาย ดังท่ีตรัสไวในมัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก วา “จิตฺเต สงกฺ ิลิฏเ ทคุ ฺคติ ปาฏิกงฺขา : เม่อื จติ เศราหมองแลว ทุคติ เปน อันหวงั ได (ตายไปเกิดในทุคตภิ มู )ิ ” จิตเฺ ต อสงกฺ ลิ ิฏเ สุคติ ปาฏกิ งขฺ า : เม่อื จิตไม เศราหมอง สุคตเิ ปนอนั หวังได (ตายไปเกิดในสคุ ติภมู )ิ คําวา จิต ในพระพทุ ธพจนน ี้ หมายถึง จติ ขณะสุดทายกอ นตาย หรอื จตุ ิจติ น่นั เอง นอกจากน้ี หลักพระพุทธศาสนายงั รับรอง ปฏสิ นธิจิต คอื จติ ที่ทําหนาท่เี กดิ หรือจิตดวงแรกขณะเกิด ดงั แสดงไวในปฏจิ จสมปุ บาทวา “วิฺาณปจจฺ ยา นามรูป : เพราะวญิ ญาณเปน ปจ จยั จงึ มนี ามรปู ” ทง้ั ยงั รบั รอง สงั สารวฏั คอื การเวยี นวา ยตายเกดิ ในภพภูมติ า งๆ แตไ มบ ัญญตั ิหรอื รับรองเร่อื งพระเจาท่บี นั ดาลชวี ติ เหมอื นลทั ธิศาสนา อนื่ ๆ โดยรบั รองหลกั การเกยี่ วกบั การเวยี นวา ยตายเกดิ หรอื ความดาํ รงอยแู ละเสอ่ื มสนิ้ แหง สภาวธรรมทง้ั หลายบนพนื้ ฐานแหง หลกั อทิ ปั ปจ จยตา คอื ความเปน เหตผุ ลของกนั และกันวา เพราะสงิ่ นีม้ ี จึงมสี งิ่ น้ี หรอื หลกั ปฏจิ จสมุปบาท คือความองิ อาศัยกนั เกดิ - ดับแหงสภาวธรรมท้ังหลายวา “เพราะอวิชชาเปนปจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขาร เปนปจจัย จึงมีวิญญาณ...ความเกิดข้ึนแหงกองทุกขท้ังมวล จึงมีดวยประการดังน้ี เพราะอวิชชาดับ สงั ขารจึงดับ...ความดบั แหงกองทุกขท ัง้ มวลน้ี จงึ มีดวยประการดงั นี้” 40
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 41 อธิบายพระบาลอี ุทเทสวา “ธรรมท้งั หลายทั้งปวงเปนอนตั ตา” อนิจจลักขณะและทุกขลักขณะ ยอมมีไดเฉพาะในสังขาร ดังนั้น พระบาลี อุทเทสจึงแสดง ๒ ลักษณะนั้นวา “สังขารทั้งหลายทั้งปวงไมเที่ยง สังขารท้ังหลาย ท้ังปวงเปนทุกข” สวนอนัตตลักขณะ ยอมมีไดท้ังในสังขาร ท้ังในวิสังขาร คือธรรม อนั มใิ ชสงั ขาร (นิพพาน) ดงั นั้น พระบาลอี ุทเทสจึงแสดงลกั ษณะนี้วา “ธรรมท้งั หลาย ทั้งปวงเปนอนัตตา” เพ่ือประมวลสภาวธรรมเหลาน้ันมาแสดง เพราะบทวา “ธรรม” หมายเอาสงั ขารก็ได วสิ ังขารกไ็ ด การพิจารณาอนัตตลกั ขณะจาํ เปนตองมโี ยนิโสมนสิการ การพิจารณาเห็นสังขารเปนอนัตตาน้ัน จําเปนตองมี โยนิโสมนสิการ คือ การพจิ ารณาโดยอบุ ายอนั แยบคาย มฉิ ะนนั้ อาจทาํ ใหเ หน็ ผดิ วา ผลบญุ หรอื ผลบาปไมม ี มารดาบดิ าไมม บี ญุ คณุ จรงิ เปน แตเ รอ่ื งสมมตทิ ง้ั นนั้ เมอื่ เกดิ ความเหน็ ผดิ เชน น้ี กย็ อ ม ไมไ ดร บั ประโยชนใ ดๆ ในทางธรรม มแี ตจ ะไดร บั ทกุ ขแ ละโทษนานปั การ ดงั นนั้ จาํ ตอ ง มีโยนโิ สมนสกิ ารกํากบั เพื่อจะไดก ําหนดรู สัจจะ ๒ ประการ คอื ๑) สมมติสจั จะ จริงโดยสมมติ หมายถึง ความจริงทมี่ นุษยใ นโลกนีห้ มายรู รว มกัน หรอื ส่อื สารระหวางกนั เปนเพียงคาํ บัญญัตสิ มมติเรียกกนั ตางๆ เชน สมมติ เรยี กชายผูใ หก ําเนิดวา บดิ า หญงิ ใหก าํ เนดิ วา มารดา หรือสมมติเรียกวา ครูอาจารย สามีภรรยา ชา ง มา ววั ควาย รถ เรือน เปน ตน ๒) ปรมัตถสัจจะ จรงิ โดยปรมตั ถ หมายถงึ ความจริงโดยความหมายสงู สุด ความจริงท่มี อี ยูจรงิ โดยสภาวะ เชน ขันธ ธาตุ อายตนะ สสาร พลงั งานตางๆ หรอื กลาว ตามหลักพระอภิธรรม ไดแ ก จติ เจตสกิ รปู นิพพาน เมื่อโยนิโสมนสิการกําหนดรูสัจจะ ๒ ระดับน้ีแลว ก็จะไดไมไขวเขวนํามา คัดคานกัน เพราะการท่ีจะเขาถึงความจริงโดยปรมัตถได จําตองยอมรับความจริง โดยสมมตเิ สียกอน การกาํ หนดรูความจริง ขัน้ สมมตเิ ปน ความรขู นั้ พืน้ ฐาน สว นการใช ปญญากําหนดรูความจริงขั้นปรมัตถเปนความรูข้ันละเอียด ดุจการรูจักสวนประกอบ แตล ะช้นิ ของรถหรอื เรอื น ฉะน้ัน เมอ่ื กาํ หนดรคู วามจรงิ ถงึ ขน้ั ปรมตั ถ ยอ มเหน็ วา สงั ขารทง้ั หลายเปน ไปตา งๆ กนั ดบี า ง เลวบา ง เปน ไปตามกฎแหง กรรมทอี่ าํ นวยผลใหเ ปน เชน นนั้ เมอื่ กาํ หนดรไู ดอ ยา งนี้ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 41
42 ¤ÁÙ‹ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹Ñé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก กจ็ ะเขา ใจเรอ่ื งอนตั ตาไดป ระจกั ษแ จง สามารถละทฏิ ฐมิ านะ คอื ความเหน็ ผดิ และความ ถือตวั รวมทั้งกเิ ลสอนื่ ๆ อนั เนอื่ งมาจากการถอื เราถอื เขา ถอื พรรคถือพวก การกาํ หนด รอู นตั ตาโดยอาศยั โยนโิ สมนสกิ ารเชน น้ี จงึ จะสาํ เรจ็ ประโยชนไ ด ดงั นน้ั ทา นจงึ กลา ววา “อนตั ตลักขณะยอมปรากฏแกผูพจิ ารณาเห็นโดยแยบคาย หรือยอ มเหน็ ดวยปญญา” สรปุ ความวา อนิจจลักขณะ ยอมปรากฏไดทั้งใน อุปาทินนกสังขาร สังขารที่มีใจครอง และอนุปาทินนกสังขาร สังขารท่ีไมมีใจครอง ทุกขลักขณะ ยอมปรากฏไดเฉพาะ อปุ าทนิ นกสงั ขารสงั ขารทมี่ ใี จครองอยา งเดยี วเพราะเปน เจตสกิ ธรรมสว นอนตั ตลกั ขณะ ยอมปรากฏไดท ง้ั ในสงั ขารทง้ั สอง และวิสังขาร คอื สภาวธรรมอันมิใชส ังขาร (นิพพาน) ผูพิจารณาเหน็ ดวยปญ ญาวา “สังขารท้ังปวงไมเที่ยง สงั ขารท้ังปวงเปนทกุ ข ธรรมท้ังปวงเปนอนัตตา” ยอมเบื่อหนายในทุกขขันธ ไมเพลิดเพลินหมกมุนในสังขาร สงิ่ ปรงุ แตง อนั ยวั่ ยวนชวนใหเ สนห า ทน่ี า รกั ใคร พาใจใหก าํ หนดั ยอ มเบอื่ หนา ยในสงั ขาร ทั้งหลายได ดังขอความในอนัตตลักขณสูตรวา “อริยสาวกผูสดับแลว เห็นอยูอยางน้ี ยอมหนายแมในรูป ยอมหนายแมในเวทนา ยอมหนายแมในสัญญา ยอมหนายแม ในสังขารท้งั หลาย ยอมหนายแมในวิญญาณ” ความเบือ่ หนา ยเชนน้ี เรยี กวา นิพพทิ า ที่เกิดขึ้นดวยปญญาจัดเปน นิพพิทาญาณ เปนปฏิปทาใหถึงวิสุทธิคือความบริสุทธ์ิ หมดจดจากกเิ ลสได 42
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 43 ๓. วริ าคะ ความสน้ิ กําหนัด อุทเทส ๑. นิพฺพนิ ทฺ ํ วริ ชชฺ ต.ิ เมอ่ื เบ่ือหนาย ยอ มสนิ้ กําหนัด อนัตตลักขณสูตร ในวนิ ัยปฎ ก มหาวรรค ๒. วริ าโค เสฏโ ธมมฺ านํ วริ าคะ เปน ประเสริฐ แหง ธรรมทั้งหลาย มัคควรรค ในขุททกนิกาย ธรรมบท ๓. สุขา วริ าคตา โลเก กามานํ สมติกกฺ โม. วิราคะ คอื ความกา วลว งดวยดี ซึ่งกามทั้งหลาย เปนสขุ ในโลก พุทธอุทาน ในวนิ ัยปฎก มหาวรรค อธิบาย วิราคะ ความสิ้นกําหนัด หมายถึง ภาวะท่ีจิตปราศจากความกําหนัดยินดี ในกาม ความสํารอกจิตจากกิเลสกาม หรือสภาวธรรมใดๆ ท่ีเปนไปเพ่ือความส้ิน กําหนัด หายรัก หายอยากในกามสุขท้ังปวง ไวพจนแหงวิราคะ ๘ อยาง ในอัคคัปปสาทสูตร อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต พระพุทธองคทรงแสดง วริ าคะวา เปน ยอดแหงธรรมทงั้ ปวง ทง้ั เปน สังขตธรรมและอสังขตธรรม แลวทรงแจก ไวพจนและวริ าคะ คํากําหนดใชเ รียกแทนวิราคะ เปน ๘ อยาง คือ ๑. มทนิมมฺ ทโน ธรรมยงั ความเมาใหส รา ง ๒. ปป าสวินโย ธรรมนําเสยี ซึง่ ความระหาย ๓. อาลยสมคุ ฆฺ าโต ความถอนข้นึ ดว ยดซี ึง่ อาลยั ๔. วฏฏ ป จเฺ ฉโท ความเขา ไปตดั เสยี ซึง่ วฏั ฏะ ๕. ตณฺหกฺขโย ความสน้ิ ตัณหา ๖. วริ าโค ความสิ้นกําหนัด ๗. นิโรโธ ความดับ ๘. นพิ ฺพานํ ธรรมชาตหิ าเครือ่ งเสยี บแทงมไิ ด คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 43
44 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ๑. มทนิมฺมทโน ธรรมยังความเมาใหสราง คําวา ความเมา หมายถึง ความเมาในอารมณอ ันยวั่ ยวนใหเ กดิ ความเมา เชน ความเมาในชาติกําเนิดสงู อาํ นาจ บริวาร ลาภ ยศ ตําแหนง หนาท่ีการงาน ความสุข สรรเสริญ วัย ความไมมีโรค ชวี ติ เปน ตน ธรรมทีท่ าํ ใหจิตสรางคือคลายจากความเมาดงั กลาว จดั เปนวริ าคะ ๒. ปป าสวนิ โย ธรรมนาํ เสยี ซงึ่ ความระหาย คาํ วา ความระหาย หรอื กระหาย หมายถึง ความกระวนกระวายใจอันมีสาเหตุมาจากตัณหาคือความทะยานอยาก ซึ่งเปรียบเหมือนอาการกระหายน้ํา ธรรมท่ีนําออกคือระงับความกระวนกระวายใจ จดั เปนวิราคะ ๓. อาลยสมุคฺฆาโต ความถอนขึ้นดวยดีซึ่งอาลัย คําวา อาลัย หมายถึง ความตดิ พนั ความหว งใยในกามคณุ ๕ คอื รปู เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ อนั เปน อารมณ ทน่ี า ปรารถนา นา พอใจ ธรรมทถ่ี อนอาลยั คอื พรากจติ ออกจากกามคณุ ๕ จดั เปน วริ าคะ ๔. วฏฏป จฺเฉโท ความเขาไปตัดเสียซ่ึงวัฏฏะ คําวา วัฏฏะ หมายถึง ความเวียนตายเวียนเกิดในภูมิท้ัง ๓ คือ กามวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ อยา งไมร จู กั จบสนิ้ ดวยอาํ นาจกิเลส กรรม วิบาก ทีเ่ รียกวา วัฏฏะ ๓ กเิ ลส กรรม และวิบากทง้ั ๓ น้ี จดั เปนวงจรแหง ทุกข กลาวถอื เมือ่ เกิดกิเลสก็เปนเหตุใหท าํ กรรม เม่ือทํากรรมก็ไดรับวิบากคือผลของกรรมนั้น เม่ือไดรับวิบากก็เปนเหตุเกิดกิเลส แลวทํากรรมไดรับวิบากหมุนเวียนตอไปเชนน้ีไมรูจักจบส้ิน ธรรมที่ตัดวัฏฏะใหขาด จดั เปนวิราคะ ๕. ตณฺหกขฺ โย ความส้ินตณั หา คาํ วา ตัณหา หมายถงึ ความทะยานอยาก ความดนิ้ รนอยากได มี ๓ อยาง คอื (๑) กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม ไดแก อาการที่จติ แสหาอยากไดกามคุณ ๕ (๒) ภวตณั หา ความทะยานอยากในภพ ไดแ ก อาการท่ีจิตดิ้นรนอยากเปนน่ัน เปนนี่ หรืออยากเกิด อยากมีอยูคงอยูตลอดไป (๓) วิภวตัณหา ความทะยานอยากในวิภพ ไดแก อาการที่จิตขัดของคับแคน ยากพนไป จากภาวะที่ตนไมปรารถนา อยากตายไปเสีย อยากขาดสูญ ธรรมท่ีขจัดตัณหาให สน้ิ ไป จดั เปน วิราคะ ๖. วริ าโค ความสน้ิ กาํ หนดั หมายถงึ ภาวะทจ่ี ติ ปราศจากความกาํ หนดั รกั ใคร หรือภาวะท่ีฟอกจิตจากน้ํายอมคือกิเลสกามไดอยางเด็ดขาด ธรรมที่ทําใหส้ินกําหนัด จดั เปน วริ าคะ 44
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 45 ๗. นโิ รโธ ความดบั หมายถงึ ความดับตณั หา หรือความดับทุกข ธรรมท่ีดับ ตณั หา จัดเปน วิราคะ ๘. นพิ พฺ านํ ธรรมชาติหาเครอื่ งเสียบแทงไมได หมายถึง ภาวะจติ ทด่ี บั กเิ ลส และกองทุกขไดส้ินเชิง อันเปนจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ในที่นี้เพียงแตนํา คํามาเปน ไวพจนของวริ าคะเทา นัน้ รายละเอียดจะกลาวในหัวขอ วา ดวยนิพพาน สรปุ ความวา วิราคะ ท่ีมาในลําดับแหงนิพพิทา ตามอุทเทสวา นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ เมื่อเบ่ือหนาย ยอมส้ินกําหนัด จัดเปนอริยมรรค คือญาณอันใหสําเร็จความเปน พระอรยิ ะมี๔อยา งคอื โสดาปต ตมิ รรคสกทาคามมิ รรคอนาคามมิ รรคและอรหตั ตมรรค วริ าคะในอุทเทสวา วริ าโค เสฏโ ธมฺมานํ วริ าคะ เปน ประเสรฐิ แหง ธรรม ทง้ั หลาย เปน ไวพจนข องนพิ พาน สว นวริ าคะ ทแี่ ปลวา สน้ิ กาํ หนดั ในอทุ เทสแหง วมิ ตุ ติ ทีว่ า วิราคา วิมจุ จฺ ติ เพราะส้นิ กาํ หนัด ยอ มหลุดพน เปนชอื่ ของอริยมรรค วิราคะ เปนไดท้ังอริยมรรคและอริยผล คือ ถามาหรือปรากฏในลําดับ แหง นพิ พทิ า หรือมาคกู บั วมิ ุตติ จดั เปน อรยิ มรรค ถา มาตามลําพัง จดั เปนอริยผล คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 45
46 ¤Ù‹Á×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ๔. วมิ ุตติ ความหลุดพน อทุ เทส ๑. วิราคา วมิ ุจฺจติ. เพราะสน้ิ กาํ หนดั ยอ มหลดุ พน. อนัตตลักขณสตู ร ในวนิ ัยปฎก มหาวรรค ๒. กามาสวาป จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ, ภวาสวาป จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ, อวิชฺชาสวาป จติ ตฺ ํ วมิ จุ จฺ ิตถฺ . จติ หลดุ พนแลว แมจ ากอาสวะเน่ืองดว ยกาม จิตหลุดพน แลว แมจากอาสวะ เนื่องดวยภพ จิตหลุดพนแลว แมจากอาสวะเนอ่ื งดวยอวิชชา เวรัญชภณั ฑ ในวินัยปฎ ก มหาวภิ ังค ๓. วิมุตฺตสมฺ ึ วิมุตตฺ มิติ าณํ โหต.ิ เม่ือหลุดพนแลว ญาณวา หลุดพนแลว ยอ มมี อนตั ตลักขณสูตร ในวนิ ยั ปฎก มหาวรรค อธิบาย วิมตุ ติ ความหลดุ พน หมายถึง ความท่จี ติ หลดุ พนจากอาสวะท้ังหลาย อาสวะ แปลวา สภาวะอันหมกั ดอง เปนชือ่ ของเมรยั กม็ ี เชน คาํ วา ผลาสโว (ผลาสวะ) นํ้าดองผลไม เปนชือ่ ของกิเลสก็มี เชน คาํ วา กามาสโว (กามาสวะ) กิเลส เปน เหตใุ คร หรอื กเิ ลสเนอื่ งดว ยกาม ในทนี่ ี้ เปน ชอื่ ของกเิ ลส หมายถงึ กเิ ลสทห่ี มกั ดอง นอนเน่ืองอยใู นจติ สันดาน มี ๓ อยา ง คือ (๑) กามาสวะ ไดแ ก กเิ ลสทีห่ มักดองอยู ในจติ สันดาน อันเนือ่ งดวยกามคณุ ๕ ตรงกบั กามตณั หา (๒) ภวาสวะ ไดแ ก กิเลสที่ หมักดองอยใู นจิตสันดานดว ยอาํ นาจความพอใจติดใจอยใู นภพ ตรงกับภวตณั หา (๓) อวชิ ชาสวะ ไดแ ก กเิ ลสทห่ี มกั ดองอยใู นจติ สนั ดานอนั เนอื่ งมาจากอวชิ ชา ความไมร แู จง ในอรยิ สจั ๔ ตรงกบั โมหะ วิมุตติ ในอุทเทสท่ี ๑ ไดแก อริยผล เพราะสืบเนื่องมาจากวิราคะ วิมุตติ ในอุทเทสที่ ๒ ไดแก อริยมรรค เพราะไดแสดงไวในลําดับแหงการรูแจงอริยสัจ ๔ 46
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 47 วิมตุ ติ ในอุทเทสที่ ๓ ไดแก อริยผล เพราะแสดงญาณท่สี บื เน่ืองมาจากวมิ ตุ ติ ซ่งึ เรียก อกี อยางวา วิมุตตญิ าณทัสสนะ วิมุตติ ในพระไตรปฎกไมไดกําหนดชัดวา หลุดพนในขณะแหงมรรคหรือ ในขณะแหงผล แตจําแนกไวเปน ๒ คําโดยชัดเจน คือคําวา วิมุตติ กับคําวา วิมุตติญาณทัสสนะ เชนที่ปรากฏในพระบาลีแสดงอเสขธรรมขันธ ๕ คือ สีลขันธ สมาธิขันธ ปญญาขนั ธ วิมตุ ตขิ ันธ และ วมิ ตุ ติญาณทสั สนขนั ธ สีลขันธ สมาธิขันธ ปญญาขันธ หมายถึง กองหรือหมวดหมูธรรมคือ ศีล สมาธิ และปญญา ทั้งท่ีเปน โลกิยะและโลกุตตระ วิมตุ ตขิ นั ธ หมายถึง กองหรอื หมวดหมูธรรมคือวิมุตติ เปนโลกุตตระอยางเดียว สวน วิมุตติญาณทัสสนขันธ หมายถึงกองหรือหมวดหมูธรรม คือ ปจจเวกขณญาณ เปนญาณที่พิจารณาทบทวน มรรค ผล และนิพพาน ซ่ึงเกิดข้ึนแกพระอรหันตเทานั้น จัดเปนโลกิยะอยางเดียว เพราะไมไดทําหนาท่ีละกิเลส เพียงแตตรวจดูกิเลสที่ละไดหรือยังละไมได (กลาวตาม นัยอรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวรรค) ในทนี่ ี้ วมิ ุตติ ไดตรงกบั อทุ เทสท่ี ๑ วา วริ าคา วิมุจฺจติ เพราะสิน้ กําหนัด ยอมหลุดพน เปนกิจของจิตอันเปนสวนเบื้องตน สวน วิมุตติญาณทัสสนะ ตรงกับ อุทเทสท่ี ๓ วา วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ าณํ โหติ เม่ือหลุดพนแลว ญาณวา หลดุ พนแลว ยอ มมี เปน กจิ แหง ปญ ญา วิมุตติ ๒ ตามนัยพระบาลี ๑) เจโตวิมุตติ ความหลุดพนดวยอํานาจแหงใจ หมายถึง ความหลุดพน จากกิเลสาสวะเคร่ืองรอยรัดผูกพันทั้งปวงดวยการฝกจิต เปนปฏิปทาขอปฏิบัติของ ผูบําเพญ็ เพียรทเี่ จรญิ สมถะและวปิ ส สนามาโดยลําดบั จนสําเรจ็ เปน พระอรหนั ต ๒) ปญ ญาวมิ ตุ ติ ความหลดุ พน ดว ยอาํ นาจแหง ปญ ญา หมายถงึ ความหลดุ พน ดว ยอํานาจปญญาท่รี เู หน็ ตามเปนจรงิ หรือภาวะทีจ่ ติ ใชปญ ญาพจิ ารณาอนั เปน เหตใุ ห หลุดพนจากเครอ่ื งรอยรดั ผกู พันคือกเิ ลสอวชิ ชาไดอ ยางเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปนปฏปิ ทา ขอ ปฏบิ ตั ขิ องผบู าํ เพญ็ เพยี รทม่ี งุ มน่ั เจรญิ วปิ ส สนาอยา งเดยี วจนสาํ เรจ็ เปน พระอรหนั ต วิมุตติทั้ง ๒ อยางน้ีเปนเครื่องแสดงปฏิปทาที่ใหสําเร็จความหลุดพนของ พระอรหนั ต ในพระบาลจี ะมีคําวา อนาสวํ อันหาอาสวะมไิ ด กํากับเปนคุณบทใหรูว า คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 47
48 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹éÑ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก เปนโลกตุ ตรธรรม เชน พระบาลวี า อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺ าวิมุตตฺ .ึ .. กระทําใหแจง ซ่ึงเจโตวมิ ุตติ ปญ ญาวิมตุ ติอันหาอาสวะมไิ ดเพราะอาสวะท้ังหลายสิน้ ไป ไวเสมอ จึงเปนเหตุใหวินิจฉัยวา วิมุตติท่ีเปนสาสวะหรืออาสวะหรือเปนโลกิยะก็มี เม่ือกําหนดความในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่วา อกุปฺปา เม วิมุตฺติ วิมุตติของเรา ไมกําเริบ ก็เปน เหตใุ หวินิจฉยั วา วิมุตติมที ง้ั เปน อกปุ ปธรรม ธรรมที่กาํ เริบไมไ ด คอื เปน โลกตุ ตระ และเปน กปุ ปธรรม ธรรมทกี่ าํ เรบิ ได คอื เปน โลกยิ ะ ดว ยเหตนุ ี้ ในคมั ภรี อรรถกถา ทา นจงึ แบงวมิ ตุ ติเปน ๕ อยาง วมิ ตุ ติ ๕ ตามนัยอรรถกถา ๑) ตทังควิมุตติ ความหลุดพนดวยองคน้ันๆ หมายถึง ภาวะจิตที่จิตพน จากกิเลสดวยอาศัยธรรมตรงกันขามที่เปนคูปรับกัน เชน เกิดเมตตา หายโกรธ เกิดสังเวช หายกําหนัด เปนตน เปนการหลุดพนช่ัวคราวโดยระงับอกุศลเจตสิกได เปน คราวๆ จดั เปนโลกยิ วิมุตติ ๒) วกิ ขมั ภนวมิ ตุ ติ ความหลดุ พน ดว ยขม ไว หมายถงึ ความหลดุ พน จากกเิ ลส กามและอกุศลธรรมทั้งหลายไดดวยกําลังฌาน อาจสะกดไวไดนานกวาตทังควิมุตติ แตเ มอ่ื ฌานเสอื่ มแลว กเิ ลสอาจเกิดขนึ้ อีก จดั เปน โลกยิ วิมุตติ ๓) สมุจเฉทวิมุตติ ความหลุดพนดวยตัดขาด หมายถึง ความหลุดพน จากกิเลสดวยอริยมรรค โดยที่กิเลสไมสามารถเกิดข้ึนในจิตสันดานไดอีก จัดเปน โลกุตตรวมิ ุตติ ๔) ปฏิปสสัทธิวิมุตติ ความหลุดพนดวยสงบราบ หมายถึง ความหลุดพน จากกิเลสดวยอรยิ ผล จดั เปน โลกุตตรวมิ ตุ ติ ๕) นสิ สรณวมิ ตุ ติ ความหลดุ พน ดว ยสลดั ออกได หมายถงึ ภาวะทจ่ี ติ หลดุ พน จากกเิ ลสเสรจ็ สนิ้ แลวดํารงอยใู นภาวะทีห่ ลดุ พน จากกิเลสนนั้ ตลอดไป ไดแก นพิ พาน จดั เปนโลกุตตรวมิ ตุ ติ การบัญญัติตทังควิมุตติ เปนเกณฑกําหนดวา วิมุตติท่ีเปนของปุถุชนก็มี การบญั ญัติวิกขัมภนวิมตุ ติ เปน เกณฑก าํ หนดวา เจโตวิมุตตทิ เ่ี ปน สาสวะ คอื มีอาสวะ ก็มี การบญั ญตั สิ มจุ เฉทวิมุตติและปฏิปส สัทธิวมิ ตุ ติ เปน เกณฑกาํ หนดวา วมิ ตุ ตเิ ปน 48
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 49 ไดทัง้ อริยมรรคอรยิ ผล การบัญญัตนิ ิสสรณวิมตุ ติ เปนเกณฑกําหนดวา วิมตุ ตทิ ่ีเปน ปรมตั ถสจั จะนนั้ ไดแก พระนพิ พาน หรอื เปน เกณฑก ําหนดใหครบ โลกุตตรธรรม ๙ (มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑) สรุปความ วมิ ุตติ หมายถึง ความท่ีจติ หลดุ พน จากอาสวะท้งั หลาย ในพระบาลีจาํ แนก เปน ๒ คือ เจโตวิมุตติ และ ปญญาวิมุตติ สวนในอรรถกถาจําแนกเปน ๕ คือ ตทงั ควมิ ุตติ วกิ ขัมภนวมิ ุตติ สมุจเฉทวิมตุ ติ ปฏิปส สทั ธิวิมุตติ โดย ๒ ขอแรกจดั เปน โลกยิ ะ สว น ๓ ขอหลงั จดั เปนโลกตุ ตระ วิมุตติของพระอรหันต มีไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปญญาที่สมบูรณ สว นผแู รกปฏิบตั ิธรรม การหดั ทําจิตใหป ลอดจากกิเลสกามและอกศุ ลวิตกอยางอื่นได กน็ ับวา ไดร บั ประโยชนจากการศกึ ษาเร่อื งวมิ ตุ ติ ในเบอื้ งตน แลว คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 49
50 ¤Ù‹ÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ๔. วิสทุ ธิ ความหมดจด อทุ เทส ๑. ปฺาย ปรสิ ุชฺฌต.ิ ยอมหมดจดดวยปญญา. ยกั ขสังยตุ ในสังยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค ๒. เอส มคโฺ ค วิสทุ ฺธิยา. นั่น (คือนพิ พทิ า) เปนทางแหง วสิ ุทธิ. มคั ควรรค ในขทุ ทกนิกาย สคาถวรรค อธิบาย วสิ ทุ ธิ ความหมดจด หมายถงึ ความบรสิ ทุ ธ์ิ คอื การชาํ ระจติ ของตนใหห มดจด บริสุทธผ์ิ องแผวจากกเิ ลสาสวะทงั้ ปวง ความหมดจดนยี้ อมเกดิ ไดดวยปญญา หลกั ความหมดจดในลทั ธศิ าสนาอนื่ : ลทั ธศิ าสนาพราหมณถ อื วา ความหมดจด จะมีไดดวยการชําระบาป โดยทําพิธีลอยบาปทิ้งเสียในแมน้ําคงคา ลัทธิศาสนาอ่ืนๆ เชน คริสตศาสนา ถือวา ความหมดจดจะมีไดดวยการสวดมนตออนวอนพระผูเปน เจาเพอ่ื ทรงยกโทษให หลักความหมดจดในพระพทุ ธศาสนา : พระพทุ ธศาสนาถือวา ความหมดจด จะมีไดด วยปญญาเทานั้น หมายความวาบุญบาปจะมีไดเ พราะตนเองเปน ผูกระทําไมมี ใครมาทําใหบริสุทธ์หิ รือไมบ ริสทุ ธไ์ิ ด ดงั ปรากฎในขทุ ทกนิกายธรรมบท มีความวา “ทาํ บาปเอง ยอ มเศรา หมองเอง ไมท าํ บาปเอง ยอ มหมดจดเอง ความหมดจด และความเศรา หมอง เปน ของเฉพาะตน คนอน่ื ทาํ คนอ่ืนใหบริสุทธ์ิหาไดไ ม” อธบิ ายความวา : บุคคลที่ทําบาปอกศุ ลหรือความชั่วใดๆ ยอ มไดชื่อวาเปน คนช่ัว บาปอกุศลท่ีเขาทําก็อํานวยผลกรรมใหเศราหมอง เปรียบเหมือนเขมาหรือของ โสโครกทบ่ี คุ คลจบั ตอ งกพ็ ลอยเปอ นไปดว ย สว นผไู มก ระทาํ บาปอกศุ ล ทาํ แตบ ญุ กศุ ล ยอ มบรสิ ทุ ธห์ิ มดจด เปรยี บเหมอื นผา ขาวทส่ี ะอาดฉะนนั้ เพราะในโลกนไี้ มม ใี ครสามารถ ทําใหผูอ่ืนบริสุทธิ์หมดจดหรือเศราหมองได ขอนี้พึงเห็นไดในบท พระธรรมคุณวา “ปจฺจตตฺ ํ เวทติ พโฺ พ วิ ฺหู ิ พระธรรมอนั วิญูชนท้ังหลายพงึ รูไดเฉพาะตน จึงสรปุ ความไดว า ความเศราหมองเกิดจากการทําบาป ความหมดจดเกิดจากการไมทําบาป 50
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 51 ความบรสิ ทุ ธภ์ิ ายในยอ มมดี ว ยปญ ญา กลา วคอื ความหมดจดจากกเิ ลสาสวะ อันนอนเนื่องอยูภายในขันธสันดาน จะตองอาศัยปญญาพิจารณาตามความเปนจริง เรียกวา วปิ สสนาญาณ ๙ ซ่ึงจัดเปนข้นั ๆ สูงขน้ึ ไปตามลําดับ ๙ ขนั้ ดงั นี้ ๑. อทุ ยพั พยญาณ หรอื อทุ ยพั พยานปุ ส สนาญาณ ญาณหยงั่ เหน็ ความเกดิ และความดับ คือ ปญญาพิจารณาความเกิดขึ้นและความดับไปแหงสังขารหรือ เบญจขนั ธ จนเหน็ ประจกั ษว าสงั ขารท้งั หลายท้ังปวงเกดิ ขึ้นแลวกต็ องดบั ไป ๒. ภงั คญาณ หรอื ภงั คานปุ ส สนาญาณ ญาณหยง่ั เหน็ ความเสอ่ื มสลาย คอื ปญญาพิจารณาเห็นวา สงั ขารทั้งหลายท้งั ปวงมกี ารแตกสลายยอยยบั ไป ๓. อาทนี วญาณ หรอื อาทนี วานปุ ส สนาญาณ ญาณหยง่ั เหน็ โทษ คอื ปญ ญา พจิ ารณาเห็นสังขารทั้งหลายท้งั ปวงวาเปนโทษ มีความบกพรอ ง เจอื ปนดว ยทกุ ข ๔. ภยตูปฏฐานญาณ ญาณหยั่งเห็นสังขารปรากฏโดยเปนของนากลัว คือ ปญญาพิจารณาเห็นสังขารท้ังหลายท้ังปวง ทั้งที่เปนไปในอดีต ปจจุบัน และอนาคต ลวนปรากฏเปนของนาสะพรึงกลัว ๕. นพิ พทิ าญาณ หรอื นพิ พิทานปุ ส สนาญาณ ญาณหยงั่ เหน็ ความหนา ย คอื ปญ ญาพจิ ารณาเหน็ สงั ขารวา เปน โทษนา กลวั เชน นน้ั แลว จงึ เกดิ ความหนา ยในสงั ขาร ๖. มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณหยั่งเห็นดวยใครจะพนไปเสีย คือปญญา พิจารณาจนเกิดความหนายสังขารท้ังหลายแลวเกิดความปรารถนาที่จะพนไปเสียจาก สังขารเหลาน้นั ๗. ปฏิสังขาญาณ ญาณพิจารณาหาทาง คือปญญาพจิ ารณาสงั ขารทัง้ หลาย โดยยกขนึ้ สูไตรลักษณ เพื่อหาอบุ ายทีจ่ ะปลดเปลอื้ งจติ ออกไปจากความหนายนน้ั ๘. สงั ขารเุ ปกขาญาณ ญาณวางเฉยในสงั ขาร คอื ปญ ญาพจิ ารณารเู หน็ สงั ขาร ตามความเปน จรงิ วา มคี วามเปน อยู เปน ไปอยา งนนั้ เปน ธรรมดา จงึ วางจติ เปน กลางใน สงั ขารทัง้ หลาย จากนน้ั จึงละความเกย่ี วเกาะในสงั ขารเสียได ๙. สัจจานุโลมิกญาณ หรือ อนุโลมญาณ ญาณอันเปนไปโดยอนุโลมแก การหยั่งรูอริยสัจ คือเม่ือเกิดสังขารุเปกขาญาณ จิตก็เปนกลางตอสังขารท้ังหลาย และญาณนั้นมุงตรงตอนิพพาน จึงเกิดปญญาที่สูงขึ้นอีกข้ันหนึ่ง เปนขั้นสุดทายของ วิปสสนาญาณ คือญาณอันคลอยตอการตรัสรูอริยสัจ ยอมเกิดข้ึนเปนลําดับถัดมา จากนนั้ กจ็ ะเกดิ โคตรภญู าณ ญาณครอบโคตร คอื ปญ ญาทอี่ ยใู นลาํ ดบั กอ นถงึ อรยิ มรรค ซง่ึ ขา มพน ความเปน ปถุ ชุ นสคู วามเปน อรยิ บคุ คล แลว เกดิ มรรคญาณใหส าํ เรจ็ ความเปน พระอรยิ บคุ คลตอไป คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 51
52 ¤‹ÙÁ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªéѹàÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก วสิ ทุ ธิ ความหมดจด (อีกบรรยายหนึง่ ) อทุ เทส ๓. มคฺคานฏงฺคโิ ก เสฏโ ................ เอเสว มคฺโค นตฺถโฺ ทสฺสนสฺส วสิ ุทฺธยิ า. ทางมอี งค ๘ เปน ประเสริฐสดุ แหงทางท้ังหลาย.... ทางน้นั แลไมม ที างอน่ื เพี่อความหมดจดแหง ทสั สนะ มัคควรรค ในขทุ ทกนิกาย ธรรมบท อธบิ าย ทางมีองค ๘ เรียกวา อริยมรรค แปลวา ทางอันประเสริฐ หมายถึง ทางอันทําบุคคลใหเปนอริยะ ทางอันทําใหผูปฏิบัติ หางไกลจากกิเลสได เรียกเต็มวา อริยอัฏฐังคิกมรรค แปลวา ทางประกอบดวยองค ๘ อันประเสริฐ หมายความวา ทางน้ีมีสวนประกอบ ๘ อยางโดยเปนขอสุดทายของอริยสัจ ๔ เรียกวา ทุกขนิโรธ- คามินีปฏิปทาอริยสัจ อริยสัจคือขอปฏิบัติใหถึงความดับทุกข หรือ มัคคสัจ เรยี กอกี อยา งวา มชั ฌมิ าปฏปิ ทา แปลวา ขอ ปฏบิ ตั อิ นั มใี นทางกลาง หรอื ทางสายกลาง หมายถงึ ขอ ปฏบิ ตั ิ วธิ กี าร หรอื ทางดาํ เนนิ ชวี ติ ทเี่ ปน กลาง ๆ สอดคลอ งกบั กฎธรรมชาติ ไมเอียงเขาไปหาทางสุดโตงทั้งสองทาง คือ กามสุขัลลิกานุโยค การประกอบตนให หมกมุนอยูในกามสุข และ อัตตกิลมถานุโยค การประกอบตนใหลําบากเดือดรอน โดยคดิ วา เปนหนทางพน ทกุ ข ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พระพุทธองคทรงแสดงอริยมรรคมีองค ๘ ไว มอี ธิบาย ดงั นี้ ๑) สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ หมายถงึ ความเหน็ ถกู ตองใน ๒ ระดบั คือ (๑) ความเหน็ ชอบระดบั โลกยิ ะ ไดแ ก ความเหน็ ถกู ตอ งตามคลองธรรม คือเห็นวาบุญบาปมีจริง ผลแหงทานที่ใหแลวมีจริง มารดาบิดามีบุญคุณจริง เปนตน ความเห็นชอบในระดับนี้เปนการเตรียมจิตใหพรอมท่ีจะพัฒนาตนเขาสูการฝกอบรม ตามหลกั ศีลธรรม และ (๒) ความเห็นชอบระดับโลกุตตระ ไดแก ความเห็นถูกตองตามความ เปนจรงิ ตามสภาวะ ตามเหตปุ จจยั คือ ปญญาอันเห็นชอบในอรยิ สจั ๔ คือ เหน็ ทกุ ข 52
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 53 สมทุ ยั นโิ รธ มรรค เหน็ ไตรลกั ษณ หรอื เหน็ ปฏจิ จสมปุ บาท คอื เหน็ วา สภาวธรรมทง้ั ปวง อาศยั กนั และกนั เกดิ ขน้ึ สรรพสง่ิ เปน เหตเุ ปน ผลกนั เกดิ ขนึ้ ตงั้ อยู และดบั ไป เมอ่ื มสี งิ่ น้ี เปน เหตุ จึงมีสิ่งนเี้ ปน ผลตามมา ดงั น้ีเปน ตน ๒) สมั มาสงั กปั ปะ ความดาํ รชิ อบ หมายถงึ ความนกึ ตรกึ ตรองในทางทถ่ี กู ตอ ง เปน กุศล ประกอบดว ยมโนสจุ ริต หรอื ความคดิ นกึ ท่ีเปนไปใน กุศลวิตก ๓ อยา ง คอื (๑) ความคดิ นกึ ทปี่ ลอดจากกาม หรอื ความคดิ ในทางเสยี สละ (๒) ความคดิ นกึ ทป่ี ลอด จากพยาบาท หรือความคิดท่ีประกอบดวยเมตตา (๓) ความคิดนึกที่ปลอดจากการ เบียดเบยี น หรือความคดิ ท่ีประกอบดวยกรณุ า ๓) สัมมาวาจา เจรจาชอบ หมายถึง การใชวาจาติดตอส่ือสารเก่ียวกับ ผอู น่ื อยา งถกู ตอ ง หรอื การใชค าํ พดู ตามหลกั วจสี จุ รติ ๔ คอื (๑) ละเวน จากการพดู เทจ็ (๒) ละเวนจากการพูดสอเสียด (๓) ละเวนจากการพูดคําหยาบ (๔) ละเวนจากการ พดู เพอเจอ ๔) สมั มากัมมนั ตะ การงานชอบ หมายถงึ การมีพฤตกิ รรมท่แี สดงออกทาง กายอยางถูกตอ ง หรอื การปฏบิ ัติตามหลัก กายสจุ รติ ๓ คอื (๑) ละเวนจากการผลาญ ชวี ติ สตั ว (๒) ละเวน จากการลักทรัพย (๓) ละเวนจากการประพฤตผิ ดิ ในกาม ๕) สัมมาอาชีวะ เล้ียงชีวิตชอบ หมายถึง การประกอบอาชีพสุจริต โดย เวนวิธีเลี้ยงชีพท่ีผิด เชน การหลอกลวง การใชเลหเหล่ียม การใชกลโกง การขูดรีด การฉอ ฉล หรอื การคากําไรเกินควร เปน ตน รวมถึงการเวน จากการคาขายท่ผี ิดธรรม กอ ใหเกดิ โทษ ๕ อยา ง ไดแก การคา เคร่อื งประหาร การคา มนษุ ย การคา สัตวมีชีวิต การคา ส่ิงเสพติดมึนเมาใหโ ทษ และการคา ยาพษิ ๖) สมั มาวายามะ พยายามชอบ หมายถงึ การมคี วามเพยี รพยายามทถี่ กู ตอ ง โดยเพยี รละความชวั่ สรา งและรกั ษาความดี ตามหลกั การสรา งความเพยี รชอบทเ่ี รยี กวา สมั มปั ปธาน ๔ คือ (๑) เพียรระวงั ไมใหค วามชั่วเกดิ ขึ้น (๒) เพียรละกาํ จัดความช่ัวท่ี เกิดขึ้นแลว (๓) เพียรบาํ เพญ็ กศุ ลทย่ี งั ไมเ กิดใหเ กดิ มขี น้ึ (๔) เพียรรักษากศุ ลที่เกิดข้ึน แลว ไมใ หเสอื่ มและใหเจริญยงิ่ ขึน้ ไป ๗) สัมมาสติ ระลึกชอบ หมายถงึ การตง้ั สตกิ าํ หนดพิจารณาสง่ิ ทงั้ หลายใหร ู เหน็ ตามความเปน จรงิ ซงึ่ เรยี กวา การเจรญิ สตปิ ฏ ฐาน ๔ คอื การตงั้ สตกิ าํ หนดพจิ ารณา คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 53
54 ¤‹ÁÙ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ในเรื่องภายในตวั ของเราทส่ี ําคัญ ๔ เรอื่ ง อนั ไดแก กาย เวทนา จิต ธรรม วา เปนแต เพียงกาย เวทนา จติ ธรรม ไมใ ชส ัตว บุคคล ตวั ตน เรา เขา ๘) สัมมาสมาธิ ตง้ั จติ มนั่ ชอบ หมายถงึ การทําจติ ใหแนวแนอ ยูในอารมณ เดียวที่แสดงออกมาในทางกุศลโดยสวนเดียวและสามารถขมระงับกิเลสเครื่องกั้นจิต มิใหบรรลุคุณธรรมความดีไวได ดวยหลักการฝกจิตใหเปนสมาธิที่จัดลําดับเปนขั้นๆ ตงั้ แตข นั้ หยาบไปจนถงึ ขนั้ ละเอยี ด ทเี่ รยี กวา ฌาน ๔ คอื ปฐมฌาน ทตุ ยิ ฌาน ตตยิ ฌาน จตตุ ถฌาน อริยมรรคเปนยอดทางปฏบิ ัติ ในอัคคัปปสาทสูตร อังคตุ ตรนิกาย จตกุ กนิบาต พระพุทธองคต รสั ยกยอง มรรคมีองค ๘ วา เปนยอดแหงสงั ขตธรรม คือธรรมทเ่ี ปนปจ จัยปรุงแตงหรอื เกดิ จาก เหตปุ จ จยั เชน เดยี วกบั ทต่ี รสั ยกยอ งวา เปน ทางประเสรฐิ สดุ แหง ทางทง้ั หลายตามอทุ เทส ท่ียกมาแสดงนั้น ทั้งน้ีเพราะองคธรรมทั้ง ๘ แหงอริยมรรคนั้นนับเปนสัทธรรมอันดี จดั เปนกุศลธรรมเม่อื รวมกนั เขาทั้ง ๘ ประการ ยอมเปน องคธ รรมทีด่ ีเยยี่ ม อริยมรรคมอี งค ๘ สัมพันธกบั วสิ ทุ ธิ ๗ อรยิ มรรคมอี งค ๘ เปน เหตุใหถ ึงความหมดจดแหง ทัสสนะคอื ปญ ญา โดยมี ความสัมพนั ธก บั วสิ ทุ ธิ คอื ทางแหง ความหมดจดดวยปญญาทอี่ ุดหนนุ สงเสริมกนั ให สูงขึ้นไปเปน ข้ัน ๆ ตามลาํ ดบั ๗ ขน้ั ดังน้ี ๑) สีลวิสทุ ธิ ความหมดจดแหง ศลี หมายถงึ การรกั ษาศีลตามภูมชิ นั้ ของตน ใหบ รสิ ทุ ธิ์ และใหเ ปน ไปเพอื่ สมาธิ สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชวี ะ สงเคราะห เขา ในขอน้ี ๒) จิตตวิสุทธิ ความหมดจดแหงจิต หมายถึง ความหมดจดแหงจิตท่ีเกิด จากการบําเพ็ญสมาธิจนไดบรรลุฌานสมาบัติ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สงเคราะหเขา ในขอ นี้ ๓) ทฏิ ฐิวิสุทธิ ความหมดจดแหงทิฏฐิ หมายถงึ ความหมดจดแหงความคิด เห็นทีเ่ กดิ จากความรูความเขา ใจ สามารถมองเหน็ นามรปู หรอื เบญจขนั ธต ามทเี่ ปน จริง 54
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 55 ๔) กังขาวิตรณวิสุทธิ ความหมดจดแหงญาณเปนเหตุขามพนความสงสัย หมายถงึ ความหมดจดแหง ปญ ญาทพ่ี จิ ารณาเหน็ ความเปน ไปแหง สงั ขารอนั เนอ่ื งมาจาก เหตุปจจยั ปรงุ แตง ดงั พระพทุ ธพจนในพระไตรปฎกวา “พชื อยา งใดอยางหนงึ่ ทีบ่ คุ คล หวา นในนายอ มงอกขึน้ ได เพราะอาศยั เหตุ ๒ อยาง คือ รสในแผนดนิ และยางในพชื ฉันใด ขนั ธ ธาตุ และอายตนะ ๖ เหลาน้ี กเ็ กิดข้ึนเพราะอาศยั เหตปุ จจยั ดบั ไปกเ็ พราะ เหตุปจ จยั ดับ ฉันน้นั ” แลว กําจดั ความสงสยั ท้ังปวงในนามรปู เสียได ๕) มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแหงญาณท่ีรูเห็นวาเปนทาง หรือมิใชทาง หมายถึง ความหมดจดดวยการเริ่มเจริญวิปสสนาพิจารณาสิ่งที่รวมกัน อยูเปนกลุมกอน จนเห็นความเกิดข้ึนและความเสื่อมไปแหงสังขารทั้งหลาย แลวเกิด วิปสสนูปกิเลส (สิ่งท่ีเปนอุปสรรคขัดขวางมิใหการเจริญวิปสสนารุดหนาไป) ๑๐ อยา ง คอื โอภาส แสงสวาง, ญาณ ความร,ู ปติ ความอิ่มใจ, ปสสทั ธิ ความสงบ, สุข ความสบาย, อธิโมกข ความนอมใจเช่ือ, ปคคาหะ ความเพียรประคองจิต, อุปฏฐาน ความปรากฏชัดแหงสติ, อุเบกขา ความวางจิตเปนกลาง, และนิกันติ ความพอใจในวิปสสนา เมื่อวิปสสนูปกิเลส ๑๐ อยางนี้เกิดขึ้น ก็ใชโยนิโสมนสิการ กําหนดไดวามิใชทาง สวนวิปสสนาที่เร่ิมดําเนินเขาสูวิถีนั่นแหละเปนทางถูกตอง แลว เตรียมท่จี ะประคองจติ ไวใ นวปิ สสนาญาณนนั้ ตอ ไป ๖) ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแหงญาณอันรูเห็นทางดําเนิน หมายถึง ความหมดจดแหงความรูเห็นชัดในขอปฏิบัติดวยการประกอบความเพียรใน วิปสสนาญาณ ๙ ดงั กลา ว โดยเริ่มต้ังแต อทุ ยัพพยานุปส สนาญาณ ที่พน จากอุปกิเลส ดาํ เนนิ เขา สวู ถิ ที างนน้ั เปน ตน ไปจนถงึ สจั จานโุ ลมกิ ญาณ อนั เปน ทส่ี ดุ แหง วปิ ส สนา ตอ จากนนั้ กจ็ ะเกดิ โคตรภญู าณ คน่ั ระหวา งวสิ ทุ ธขิ อ นก้ี บั ขอ สดุ ทา ย เปน รอยตอ แหง ความ เปนปุถุชนกบั ความเปน อริยบคุ คล ๗) ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ความหมดจดแหง ญาณทสั สนะ หมายถงึ ความหมดจด ทเ่ี กิดจากความรเู ห็นดว ยปญญาในอรยิ มรรค ๔ มโี สดาปต ตมิ รรคเปน ตน อนั เกดิ ถัด จากโคตรภญู าณเปนตน ไป เมอ่ื มรรคจิตเกิดขึ้นแลว ผลจิตยอมเกดิ ขึ้น เปน อันบรรลุ จุดหมายสูงสดุ ในพระพุทธศาสนา คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 55
56 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สงเคราะหเขาในวิสุทธิ ท้ัง ๕ ขอดังกลาวมานี้ คือขอ ๓ ถึง ขอ ๗ โดยสัมมาสังกัปปะทํากิจพิจารณา สัมมาทิฏฐิทํากิจสันนิษฐาน คือความตกลงใจ สรุปความ สมัยท่ีพระพุทธเจาทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปญจวัคคีย ทรงยกทาง สดุ โตง สองทาง คอื กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยคและอตั ตกลิ มถานโุ ยค ขน้ึ แสดงกอ นวา เปน ทาง ทบี่ รรพชติ ไมค วรประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เพราะไมท าํ ใหถ งึ ความดบั ทกุ ข ทางมอี งค ๘ นเี้ ทา นน้ั เปนทางประเสริฐ เปนทางสายกลางท่ีจะนําผูปฏิบัติไปสูความดับทุกขไดอยางแทจริง ดังน้ัน มรรคมีองค ๘ จึงเปนยอดทางปฏบิ ัตใิ นพระพุทธศาสนา สงผลใหมกี ารดําเนิน ชีวิตท่ีพอเหมาะพอดี โดยสรางเสริมหลักไตรสิกขาคือศีล สมาธิ ปญญา ท่ีสามารถ ทําใหผูปฏิบัติเขาถึงความบริสุทธิ์หมดจดและบรรลุนิพพานอันเปนจุดหมายสูงสุดของ พระพทุ ธศาสนา วิสุทธิ ๗ เปนหลักความบริสุทธ์ิหมดจดที่สูงขึ้นไปตามลําดับ สงเสริม ไตรสกิ ขาใหบ รบิ รู ณเ ปน ขน้ั ๆ ไปจนบรรลจุ ดุ หมายสงู สดุ คอื พระนพิ พาน เปรยี บเหมอื น รถเจ็ดคนั ผลดั สง ตอ กันใหบุคคลถึงทหี่ มายปลายทางฉะน้ัน อรยิ มรรคมีองค ๘ และวสิ ทุ ธิ ๗ เปน หมวดธรรมท่ีรวบรวมหลักการศกึ ษา ปฏบิ ตั ใิ นพระพทุ ธศาสนาทเี่ รยี กวา ไตรสกิ ขา ไวอ ยา งครบถว น กลา วไดว า หมวดธรรม ทั้งสองหมวดนม้ี คี ุณลกั ษณะคลา ยกนั ดังนน้ั จงึ สามารถสงเคราะหเขา กนั ได อนง่ึ ในวสิ ทุ ธิ ๗ นี้ มวี สิ ทุ ธิทจี่ ดั เปน โลกตุ ตระ เพราะภาวะท่ีเปนอรยิ มรรค และอริยผลอยู ๒ ขอ คอื ปฏิปทาญาณทัสสนวิสทุ ธิ และญาณทสั สนวิสุทธิ 56
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 57 ๕. สนั ติ ความสงบ อุทเทส ๑. สนฺติมคคฺ เมว พรฺ ูหย. สจู งพนู ทางแหงความสงบน้ัน มัคควรรค ขุททกนิกาย ธรรมบท ๒. นตฺถิ สนฺตปิ รํ สุข.ํ สขุ (อื่น) ยิ่งกวา ความสงบ ยอ มไมมี สขุ วรรค ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท ๓. โลกามสิ ํ ปชเห สนตฺ ิเปกฺโข. ผูเพง ความสงบ พึงละอามสิ ในโลกเสีย. สังยุตตนกิ าย สคาถวรรค อธบิ าย สันติ ความสงบ หมายถงึ ความสงบกาย วาจา และใจ ในทน่ี ้ี จําแนกเปน ๒ คือ ความสงบภายนอก ไดแ ก สงบกาย วาจา และความสงบภายใน ไดแก สงบใจ ในอทุ เทสที่ ๑ พระพทุ ธองคท รงสอนใหพ อกพนู ทางแหง สนั ติ อนั เปน ไปทาง ไตรทวาร คอื กายทวาร วจีทวาร มโนทวาร ท่ีเปน ไปโดยสุจริต คือเวนจากพฤติกรรม ท่เี บยี ดเบียนตนและผูอน่ื ใหเดือดรอน โดยการไมป ระทุษรา ย การไมก ลาวรา ย และ การไมค ดิ รา ย เปน ตน ดังทไ่ี ดตรัสไวใ น สหัสสวรรค ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบทวา “ผหู ลุด พน แลว เพราะรูช อบ รสู งบระงับแลว ผูค งท่นี นั้ มใี จสงบแลว วาจาและการกระทาํ ก็ สงบแลว” จติ ทปี่ ระกอบดว ยมโนสจุ รติ ๓ คอื ไมค ดิ โลภอยากได ไมค ดิ พยาบาทปองรา ย มคี วามเหน็ ชอบตามคลองธรรม จดั เปน ความสงบภายใน การประกอบดว ยกายสจุ รติ ๓ วจีสจุ ริต ๔ จัดเปนความสงบภายนอก คําวา พูน ในอุทเทสที่ ๑ หมายถึงทําใหมากขนึ้ ทําใหเ จริญขึ้น ในทีน่ ีม้ ุงถงึ พนู ทางทที่ าํ ใหถ งึ ความดบั ทกุ ข อนั เปน ทางแหง สนั ตทิ แี่ ทจ รงิ ไดแ ก อรยิ มรรคมอี งค ๘ คาํ วา ความสงบ ในอทุ เทสท่ี ๒ ไดแ ก พระนพิ พาน มอี ธบิ ายวา ความสขุ อยา งอนื่ แมจะเปน ความสขุ เหมือนกนั แตกไ็ มใ ชความสขุ ทแี่ ทจริง สวนความสขุ ทีเ่ กิดจากการ ละกิเลสได จดั เปนความสขุ ทแ่ี ทจริง คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 57
58 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒª¹éÑ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก คาํ วา อามสิ ในอุทเทสท่ี ๓ คอื รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ ทนี่ าปรารถนา นารกั ใคร นา พอใจ การทําจิตมิใหติดอยูในกามคุณ ๕ จัดเปนปฏิปทาของผูรู ผูสงบดีแลว ดังทต่ี รสั ไวในชราสูตร ขุททกนิกาย สตุ ตนบิ าต วา “หยาดแหง น้ํายอมไมตดิ ในใบบวั แมฉันใด วารี ยอมไมกําซาบในดอกบัว ฉันใด มุนียอมไมเขาไปติดในอารมณ อันเห็นแลว ก็ดี อันฟงแลวก็ดี อนั ทราบแลวก็ดี ฉนั น้นั ” ดังน้นั ผูมงุ สนั ตอิ นั เปน สขุ อยา งแทจ ริง พึงละโลกามิสเสยี สรุปความ สนั ติ ความสงบ เปนไดทั้งโลกยิ ะและโลกตุ ตระ ทีเ่ ปน โลกิยะ ตรงกบั พระบาลีวา น หิ รณุ ฺเณน โสเกน สนตฺ ึ ปปฺโปติ เจตโส. บคุ คลยอ มถึงความสงบแหง จติ ดว ยรองไห ดวยเศรา โศก ก็หาไม. ท่ีเปนโลกุตตระ ตรงกับพระบาลวี า โลกามิสํ ปชเห สนฺตเิ ปกฺโข. ผเู พง สันติ พึงละโลกามิสเสีย. พระพุทธองคตรัสสอนใหพูนทางแหงสันติ คือการปฏิบัติตามอริยมรรค มีองค ๘ และวิสุทธิ ๗ เมื่อปฏิบัติไดเชนน้ี ยอมเปนการพอกพูนทางแหงสันติ อยางถกู ตอง ทําใหบ รรลุถงึ ความสงบสุขอยางแทจรงิ 58
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 59 ๖. นิพพาน ความดับทกุ ข อทุ เทส ๑. นิพฺพานํ ปรมํ วทนตฺ ิ พทุ ธฺ า. พระพุทธเจาท้ังหลาย ยอ มกลา วนพิ พานวา ยวดย่งิ มหาปรนิ ิพพานสตู ร ทีฆนิกาย มหาวรรค ๒. นิพฺพานคมนํ มคคฺ ขํ ปิ ปฺ เมว วโิ สธเย. พงึ เรง รัดชาํ ระทางไปนิพพาน มัคควรรค ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท ๓. นพิ ฺพานํ ปรมํ สุขํ. นพิ พานเปนสุขอยางยง่ิ . สุขวรรค ขุททกนกิ าย ธรรมบท อธิบาย นิพพาน มคี วามหมาย ๒ นยั นยั ที่ ๑ นพิ พาน แปลวา ธรรมหาเครอ่ื งเสยี บแทงมไิ ด หมายถงึ ภาวะทจ่ี ติ ปราศ จากตณั หาเครอ่ื งเสยี บแทง นพิ พานตามความหมายนี้ ตรงกบั คาํ วา สอปุ าทเิ สสนพิ พาน คือภาวะท่ีจิตดับกิเลสตัณหาได แตยังมีเบญจขันธอยู หรือภาวะจิตของบุคคลท่ีส้ิน กิเลสแลวแตย งั มีชวี ิตอยู นยั ท่ี ๒ นพิ พาน แปลวา ความดบั หมายถงึ ภาวะทดี่ บั กเิ ลส คอื ราคะ โทสะ และโมหะไดอ ยา งเดด็ ขาด หรอื สภาพทด่ี บั กองทกุ ขใ นวฏั ฏะทงั้ มวลอนั มี ชาติ ความเกดิ ชรา ความแก มรณะ ความตาย เปนตนไดอยางส้ินเชิง นิพพานตามความหมายน้ี ตรงกับคําวา อนปุ าทเิ สสนพิ พาน คือภาวะทดี่ ับกิเลสไมม ีเบญจขันธเ หลอื หรอื ภาวะท่ี สิ้นทง้ั กเิ ลสส้นิ ทงั้ ชวี ติ ดจุ ประทปี สิ้นเชอ้ื ดบั ไปฉะนั้น จุดประสงคข องการแสดงอุทเทสแหง นพิ พาน สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวิชรญาณวโรส ทรงประมวลพระพุทธ ภาษติ เปนอุทเทสแหงนิพพานไว ดวยพระประสงค ๓ ประการ คือ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 59
60 ¤Á‹Ù ×͸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªé¹Ñ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ๑) เพื่อทรงแสดงอุดมการณ หรือจุดหมายสูงสุดแหงพระพุทธศาสนาคือ นิพพาน ๒) เพอ่ื ทรงแสดงเหตโุ ดยชักชวนพุทธบรษิ ัทใหแผว ถางทางไปนพิ พาน ๓) เพือ่ ทรงพรรณนาผลวา นิพพานเปนสุขอยางยิง่ หลกั การสนิ้ สดุ การเวยี นวายตายเกิดในศาสนาตา งๆ สมเด็จพระมหาสมณเจาฯ ทรงประมวลมตเิ ก่ียวกบั หลักการสิ้นสุดแหงการ เวียนวายตายเกิดอนั เปนจุดหมายสงู สดุ ของศาสนาพราหมณและศาสนาคริสต ไวดังน้ี ๑) ศาสนาพราหมณ หรอื ฮนิ ดู ถือวา มีตน เดมิ อยางหน่งึ เรียกวา ปรมาตมัน แบงภาคออกไปเขาสิงรูปกายท่ีเรียกวา อาตมัน ซ่ึงตกอยูในคติแหงกรรม ถาทําบาป หนกั ยอ มตกนรกไมมกี ําหนด ถา ทําบาปไมห นกั ยอมตกนรกชว่ั คราวบาง เกดิ เปน สัตว เดรัจฉานบา ง ปศ าจ ยกั ษ และมนุษยช นั้ เลวบาง สว นทีท่ ําดพี อประมาณ ยอ มเกิดใน สวรรคชน้ั ต่ํา หรอื เกดิ ในมนษุ ยโลกเปนคนช้นั ดี ทําดีมากขน้ึ คติยอ มดีมากขึน้ ความดี ยอ มผลดั เปลยี่ นคตใิ หดีข้ึน เม่ือทองเทีย่ วไปอยางน้แี ลว ในท่สี ุดยอ มถึงความบริสทุ ธ์ิ จากบาปทั้งปวง ไดช่ือวา มหาตมัน มหาตมันน้ันจุติจากรางท่ีสุดแลว ยอมกลับเขาสู ปรมาตมนั ตามเดมิ แลวเปนอยคู งที่ ไมจ ุตอิ กี ตามทีก่ ลา วมานเ้ี ปนท่สี ดุ แหง สงั สารวฏั หรอื การเวยี นวา ยตายเกิดของศาสนาพราหมณ เรยี กวา นิรวาณมฺ ๒) ศาสนาคริสต มีการบัญญัติที่สุดการเวียนวายตายเกิดเชนเดียวกันกับ ศาสนาพราหมณ แตเ นน บคุ ลาธษิ ฐาน กลา วคอื นกั บญุ หลงั จากตายยอ มขน้ึ สวรรคไ ปอยู กบั พระเจา เปน นริ นั ดร ปฏเิ สธการกลบั มาเกดิ เปน มนษุ ยแ ละเปน สตั วเ ดรจั ฉานสลบั กนั ในหนงั สือศาสนาเปรียบเทยี บ ทานอาจารยสุชีพ ปุญญานภุ าพ ไดประมวล หลกั จุดหมายปลายทางแหงสงั สารวฏั ของศาสนาเดนๆ ของโลกไว โดยสรุปความดังน้ี ๑) ศาสนาพราหมณ มจี ดุ หมายปลายทาง คอื ความเปน พรหม โดยกลมกลนื เปน อนั หนง่ึ เดยี วกบั พระพรหม (ปรมาตมนั ) มวี ธิ ปี ฏบิ ตั โิ ดยบาํ เพญ็ โยคะ ปลกู ฝง ใหเ กดิ ความรูเ ก่ยี วกับพระพรหม ถอื วา ชีวิตในโลกน้มี ีหลายครัง้ มีการเวียนวา ยตายเกดิ ๒) ศาสนาคริสต มีจุดหมายปลายทาง คือสวรรค โดยคนเราเมื่อตายแลว ไดไ ปอยกู บั พระเจา ในสวรรค มวี ธิ ปี ฏบิ ตั โิ ดยทาํ ตามบญั ญตั ขิ องพระเจา และถอื วา ชวี ติ ในโลกนมี้ ีเพียงครง้ั เดยี ว 60
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 61 ๓) ศาสนาอิสลาม มีจุดหมายปลายทาง คือสวรรค แตไมไปอยูกับพระเจา มวี ธิ ปี ฏบิ ตั ิ คอื (๑) มคี วามเชอ่ื ในพระอลั เลาะหแ ละทตู ของพระองค คอื พระนะบมี ฮู มั หมดั (๒) ทําละหมาด คอื สวดมนตห นั หนาไปทางเมอื งเมกกะ ประเทศซาอดุ อิ าระเบีย (๓) ใหท าน (๔) อดอาหารกลางวนั ในเดือนรอมฎอน กลางคืนไมห า ม ๔) พระพุทธศาสนา มีจุดหมายปลายทาง คือพระนิพพาน โดยดับกิเลส ทเี่ ปน ตน เหตแุ หง ทกุ ขค วามเดอื ดรอ นไดส นิ้ เชงิ มวี ธิ ปี ฏบิ ตั เิ พอื่ ดบั กเิ ลส คอื ดาํ เนนิ ตาม หลักมัชฌิมาปฏิปทา อันไดแก อริยมรรคมีองค ๘ ถือวาชีวิตในโลกน้ีมีหลายครั้ง มกี ารเวยี นวา ยตายเกดิ จนกวาจะสิ้นกิเลส นพิ พาน : จดุ หมายสงู สุดในพระพุทธศาสนา พระพทุ ธศาสนาถอื เหตปุ จ จยั อนั ปรงุ แตง สงั ขารคอื อวชิ ชาเปน ตน สาย นพิ พาน เปน ปลายสาย และปฏิเสธอัตตา แตย อมรับความเช่อื มถงึ กนั แหงจตุ ิจิตกับปฏสิ นธิจิต ในภพหนา ยอมรับการเวยี นวายตายเกิดในภพภูมติ างๆ เชน ตกนรก เปน เปรต เปน อสูรกาย เปนสัตวเดรจั ฉาน เกิดเปน มนษุ ย เปน เทวดาในสวรรคช นั้ ตางๆ ดวยอํานาจ กรรม แตการตกนรกนั้นมีระยะเวลาส้ินสุด เมื่อชดใชกรรมจนหมด พระพุทธศาสนา ปฏิเสธความบริสุทธ์ิแหงจิตดวยการรอคอยโชคชะตาวาสนา หรือเกิดจากส่ิงอ่ืน ดลบนั ดาล แตร บั รองความบรสิ ทุ ธแิ์ หง จติ ดว ยการบาํ เพญ็ วปิ ส สนากมั มฏั ฐานจนบรรลุ พระอรหัตตผล พระพทุ ธศาสนายกยอ งนพิ พานวา เปน อมตธรรม คอื ธรรมทไ่ี มต าย ดงั บาลวี า อปปฺ มาโท อมตํ ปท.ํ ความไมประมาท เปน ทางไมต าย และวา เปน สถานทีอ่ นั ไมมีจตุ ิ ไมมีความเศรา โศก ดงั พระบาลวี า เต ยนตฺ ิ อจุ จฺ ุตํ ฐานํ ยตฺถ คนฺตฺวา นโสจเร. มนุ ีเหลา น้ี ยอ มไปสสู ถานไมจตุ ิ ที่ไปแลวไมเ ศราโศก โดยนัยน้ี นิพพานอนั เปนปลายสาย จัดเปน วสิ งั ขาร คือภาวะท่ีตรงขา มกบั สังขารเปน อสังขตะ คือส่ิงท่ีปจจัยมิไดปรุงแตง เพราะพนจากความเปนสังขาร และ อนั ปจจยั มไิ ดป รุงแตง ใหเกดิ อีก คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 61
62 ¤ÙÁ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªÑé¹àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก นพิ พานธาตุ ๒ ในขทุ ทกนิกาย อติ ิวตุ ตกะ พระพุทธองคตรสั นพิ พานธาตไุ ว ๒ ประเภท คือ ๑) สอปุ าทเิ สสนิพพานธาตุ นิพพานธาตยุ ังมอี ุปาทเิ หลอื ไดแก ภาวะท่ีดบั กเิ ลสมเี บญจขันธเหลอื คอื สิ้นกิเลสแตยังมชี วี ิตอยู เรยี กวา กเิ ลสปรินพิ พาน ๒) อนปุ าทาทเิ สสนพิ พานธาตุ นพิ พานธาตุไมม อี ปุ าทิเหลอื ไดแ ก ภาวะท่ี ดบั กเิ ลสไมมเี บญจขันธเ หลือ คือส้นิ ทั้งกเิ ลสและชวี ติ เรียกวา ขนั ธปรนิ ิพพาน คาํ วา อุปาทิ ในนิพพานธาตุทัง้ สองน้ัน ไดแ ก เบญจขนั ธ คือ รปู เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ทถ่ี กู กรรมกิเลสเขา ถือมนั่ หรอื ยดึ ครองไวน ้นั บาลีแสดงปฏิปทาแหง นพิ พาน พระพุทธพจนทีแ่ สดงปฏปิ ทาแหง นพิ พาน มนี ยั ดังน้ี ภิกษยุ นิ ดีในความไมป ระมาทแลว หรอื เห็นภัยในความประมาทโดยปกติ ยอ มเปนผไู มค วรเพ่อื เส่อื มรอบ ยอ มปฏบิ ัตใิ กลน พิ พานแลว . อปั ปมาทวรรค ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท ความไมประมาท ในท่ีน้ี คือการอยูไมปราศจากสติ เจริญสติปฏฐาน ๔ อยูเ สมอซง่ึ เปน หลกั ธรรมสําคัญท่ีทําผูปฏบิ ัตใิ หบ รรลุนิพพานได ภกิ ษหุ นกั ในพระศาสดา หนกั ในพระธรรม มีความเคารพกลา ในพระสงฆ มีความเพียร หนักในสมาธิ มีความเคารพกลา ในสกิ ขา หนักในความไมป ระมาท และเคารพในปฏสิ นั ถาร ยอ มเปน ผไู มควร เพอื่ เสื่อมรอบ ยอมปฏบิ ตั ใิ กลนพิ พานเทยี ว คารวสุตร อังคุตตรนิกาย สัตตนบิ าต ความเคารพ ในทนี่ ี้ คอื ความเออื้ เฟอ ตระหนกั ในพระรตั นตรยั ในการบาํ เพญ็ สมาธใิ นการปฏบิ ตั ติ ามหลกั ไตรสกิ ขา ในความไมป ระมาทตอ การเจรญิ สตปิ ฏ ฐาน ๔ และ ในธรรมปฏิสันถาร เม่อื ผูใดมีความเคารพดังกลาวมานี้ ช่ือวาปฏิบัตติ นเพื่อความเจรญิ มงุ ตรงตอการบรรลนุ ิพพานอยา งแนแ ท ฌานและปญ ญามีในผูใด ผนู ั้นปฏิบตั ใิ กลนพิ พาน. ภิกขุวรรค ขุททกนิกาย ธรรมบท 62
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 63 ฌานและปญญา ในท่ีนี้ คือ ฌาน ไดแก จิตท่ีเปนสมาธิแนวแน สงบจาก นวิ รณธ รรมในภาคปฏบิ ตั ิ ไดแ ก การเจรญิ สมถกมั มฏั ฐาน สว นปญ ญา ไดแ ก จติ ทร่ี เู ทา ทนั ความเปน ไปของสรรพสง่ิ ตามเปน จรงิ ในภาคปฏบิ ตั ิ ไดแ ก การเจรญิ วปิ ส สนากมั มฏั ฐาน ภิกษุ เธอจงวดิ เรอื นี้ เรืออันเธอวดิ แลว จักพลันถงึ เธอตัดราคะและโทสะแลว แตน ้นั จกั ถงึ นพิ พาน ภกิ ขวุ รรค ขุททกนิกาย ธรรมบท คาํ วา เรอื หมายถงึ อตั ภาพรา งกายของคนเรา อนั ลอยอยใู นแมน าํ้ คอื สงั สารวฏั เรอื อนั เธอวดิ แลว หมายถงึ การบรรเทากเิ ลสและบาปใหเ บาบางลงจนตดั ไดเ ดด็ ขาด เมอื่ ตัดกเิ ลสและบาปไดแลว เรอื คอื อัตภาพน้กี จ็ ักแลนไปถงึ ทาคือพระนิพพานไดในที่สดุ บาลแี สดงอปุ าทิเสสนพิ พาน พระพุทธพจนน ีแ้ สดงสอุปาทเิ สสนพิ พาน มีดังนี้ เพราะละตณั หาเสีย ทานกลา ววา นพิ พาน. อุทยมาณวกปญ หา ปารายวรรค ขุททกนิกาย สตุ ตนบิ าต ความดับดว ยสํารอกโดยไมเหลอื เพราะส้นิ แหง ตณั หาท้ังหลาย ดว ยประการทัง้ ปวง เปนนิพพาน. นันทวรรค ขุททกนิกาย อทุ าน ธาตอุ นั หนงึ่ แลเปน ไปในธรรมอนั แลเหน็ แลว ในโลกนี้ เปน นพิ พานธาตุ มีอปุ าทยิ ังเหลือ เพราะสิ้นธรรมชาติผนู ําไปสภู พ (คือตัณหา). ขทุ ทกนิกาย อิตวิ ุตตกะ ไวพจนแ หงวิราคะมคี าํ วา “มทนิมฺมทโน ธรรมยงั ความเมาใหสรา ง” เปน ตน ดังท่กี ลาวแลวในหัวขอ แหง วริ าคะ พึงทราบวา หมายถึงสอุปาทเิ สสนิพพาน บาลแี สดงอนุปาทิเสสนพิ พาน พระพุทธพจนท แ่ี สดงอนุปาทิเสสนพิ พาน มดี ังนี้ เรากลา วทวีปนั่นมใิ ชอน่ื หาหวงมิได หาเคร่ืองยึดมิได เปนท่สี น้ิ รอบแหง ชราและมัจจุวา นพิ พาน. กัปปมาณวกปญ หา ปรารายนวรรค ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 63
64 ¤Á‹Ù Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒªé¹Ñ àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก สว นธาตุเปน ไปในธรรมอันจะพึงถึงขางหนา ท่ภี พท้ังปวงดบั ดวยประการทัง้ ปวง เปน นพิ พานธาตุหาอปุ าทเิ หลือมิได. ขุททกนกิ าย อิตวิ ตุ ตกะ ความเขาไปสงบแหงสังขารเหลา นน้ั ยอ มเปน สุข. สังยตุ ตนิกาย นทิ านวรรค ภิกษุท้ังหลาย อายตนะนั่น (นิพพาน) มีอยู ท่ีดิน น้ํา ไฟ ลมไมมีเลย อากาสานญั จายตนะ วญิ ญานญั จายตนะ อากญิ จญั ญายตนะ เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ กม็ ใิ ช โลกนกี้ ม็ ใิ ช โลกอนื่ กม็ ใิ ช ดวงจนั ทร ดวงอาทติ ยท ง้ั สองกม็ ใิ ช อนงึ่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราไมก ลา วเลยซงึ่ อายตนะนน้ั วา เปน การมาเปน การไปเปน การยนื เปน การจตุ ิเปน การเกดิ อายตนะนน้ั หาทีต่ ้ังอาศัยมิได มไิ ดเ ปน ไป หาอารมณม ิได นัน่ แลที่สดุ แหง ทกุ ข. ปาฏลคิ ามิวรรค ขทุ ทกนิกาย อทุ าน ในพระสูตรนี้ พระพุทธองคตรัสเรียกนิพพานวา อายตนะ ซ่ึงสมเด็จ- พระมหาสมณเจาฯ ทรงตั้งขอสังเกตวา นาจะไดแกธัมมายตนะ และทรงอาศัยใจ ความแหง พระสตู รนสี้ รปุ ลกั ษณะของนพิ พานไว ๖ ประเดน็ (๑) การทต่ี รสั วา ดนิ นา้ํ ไฟ ลมไมม ใี นอายตนะนนั้ แสดงวา นพิ พานมใิ ชร ปู ขนั ธ (๒) การทต่ี รสั วา อากาสานญั จายตนะ เปนตนไมใชอายตนะน้ันแสดงวานิพพานมิใชนามขันธ (๓) การที่ตรัสวาโลกน้ีก็มิใช โลกอื่นก็มิใชเปนตน แสดงวานิพพานมิใชโลกอยางใดอยางหน่ึงในทางโหราศาสตร (๔) การที่ไมตรัสวาอายตนะน้ันเปนการมาเปนการไป เปนตน แสดงวานิพพานไมมี การติดตอสัมพันธกับโลกอื่น (๕) การที่ตรัสวาอายตนะน้ันหาท่ีตั้งอาศัยมิไดเปนตน แสดงวา นพิ พานมใิ ชเ ปน โลกเองพรอ มทง้ั สตั วโ ลก (๖) การทตี่ รสั วา นน้ั แลทสี่ ดุ แหง ทกุ ข แสดงวา นิพพานเปนปลายแหงกองทกุ ขท ่ีสนิ้ สุดลง ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อายตนะอนั ไมเ กดิ แลว ไมเ ปน แลว อันปจจัยไมก ระทําแลว ไมแ ตงแลว มอี ยู. ปาฏลคิ ามิวรรค ขทุ ทกนิกาย อทุ าน บาลแี สดงนิพพานธาตุท้ัง ๒ พระพทุ ธพจนท่แี สดงนพิ พานธาตทุ ง้ั ๒ มีดงั นี้ 64
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 65 ธรรมชาตนิ นั่ สงบแลว ธรรมชาตนิ น่ั ประณตี ธรรมชาตไิ รเลา เปน ทส่ี งบแหง สังขารทง้ั ปวง เปน ที่สละคืนอปุ ธทิ ัง้ ปวง เปน ท่ีสน้ิ แหง ตัณหา เปน ท่สี ้ินกําหนดั เปน ที่ ดบั คือนพิ พาน. องั คุตตรนิกาย นวกนิบาต คําวา อุปธิ เปนช่ือของกิเลสก็มี โดยมีความหมายวาเขาไปทรงคือเขาครอง ตรงกับคําวา อุปธิวิเวโก เปนช่ือของปญจขันธก็มี โดยมีความหมายวา เขาไปทรงคือ หอบไวซ ่งึ ทุกข ตรงกบั ขอ ความวา “ยัญท้งั หลายยอมกลา วยกยอ งรูป เสยี ง รส กาม และสตรีทงั้ หลาย ขา พเจารวู า น่ันมลทินในอุปธทิ ้งั หลายแลว เหตุนั้น จึงไมยนิ ดแี ลว ในการเซน ไมยินดีแลวในการบวงสรวง” อุปธิ ในท่นี ี้ ไดแ ก ปญจขันธหรือขนั ธ ๕ คําวา เปนทสี่ งบแหงสงั ขารทง้ั ปวง และคาํ วา เปน ท่ีสละคนื อุปธทิ ง้ั ปวง หมายถึง อนปุ าทิเสสนิพพาน สวน ๓ คําหลังมี คาํ วา เปน ทส่ี ิ้นตัณหา เปน ตน หมายถึงสอุปาทิเสสนพิ พาน สรุปความ พระพุทธองคตรัสสอนใหรีบเรงชําระทางไปพระนิพพาน เพราะทางไป พระนพิ พานนน้ั ยอ มเปนไปเพ่อื ความเขาไปสงบ เพอื่ ความรูยิ่ง เพอื่ นิพพาน ทต่ี รสั วา นพิ พานเปน สขุ อยา งยวดยงิ่ เพราะนพิ พานเปน ความสงบสขุ เยน็ เชน นา้ํ ระงบั ดบั กระหาย ผูปฏิบัติดวยฝกอบรมจิตไปตามทางแหงนิพพาน ยอมดําเนินใกลนิพพานไปทุกขณะ ดงั ในพระบาลีวา นพิ พฺ านสฺเสว สนฺตเิ ก ยอ มปฏบิ ัตใิ กลน ิพพานเทียว จิตอันเคยกําหนัดในอารมณอันชวนใหกําหนัด มัวเมาในอารมณอันชวน ใหมัวเมา ภายหลังมาหนายโดยโยนิโสมนสิการแลว ยอมส้ินกําหนัด ยอมหลุดพน ยอ มถงึ ความหมดจดผอ งใส ยอ มสงบ ยอ มเปน จรมิ กจติ (จติ สดุ ทา ย) ดบั สนทิ ในอวสาน นพิ พิทา วิราคะ วมิ ุตติ วสิ ุทธิ สนั ติ และนิพพาน เปนธรรมเนอ่ื งกนั ดวยประการฉะนี้ จบ ธรรมวจิ ารณ สวนปรมตั ถปฏปิ ทา คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 65
66 ¤ÁÙ‹ Í× ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒª¹Ñé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ธรรมวจิ ารณ สวนสงั สารวัฏ โดยบุคลาธษิ ฐาน คติ อทุ เทส ๑. จิตฺเต สงกฺ ลิ ิฏเ ทคุ คฺ ติ ปาฏิกงขฺ า. เม่อื จติ เศราหมองแลว ทุคตเิ ปนอันหวังได. ๒. จติ เฺ ต อสงฺกิลิฏเ สคุ ติ ปาฏิกงฺขา. เมอื่ จติ ไมเ ศรา หมองแลว สคุ ตเิ ปนอันหวังได. วตั ถูปมสตู ร มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก อธบิ าย สังสารวฏั หมายถึง การเวยี นวา ยตายเกิด ไดแ ก ลาํ ดบั การสืบตอ ทเ่ี ปน ไป ไมขาดสายแหงขันธ ธาตุ และอายตนะทั้งหลาย หรือการเวียนวายตายเกิดอยู ในภพภูมกิ าํ เนดิ ตางๆ คติ คอื ภมู เิ ปน ท่ีไป หรือเปนทถี่ ึงเบื้องหนา แตตาย มี ๒ อยา ง คอื (๑) ทุคติ ภมู ิเปนท่ไี ปขา งชว่ั ไดแก สถานท่ีไปเกดิ ทมี่ ีแตค วามทุกขร อน (๒) สุคติ ภูมเิ ปน ทีไ่ ป ขางหนา ดี ไดแ ก สถานที่ไปเกดิ ทีม่ คี วามสุขสบาย คติท้งั ๒ นนั้ มที ่ีมาในพระสูตรตางๆ แหงพระไตรปฎกดงั นี้ ๑. ทุคติ ทคุ ติ ในบางพระสตู รแจกเปน ๒ คอื (๑) นริ ยะ นรก คอื โลกอนั หาความเจรญิ มิได (๒) ติรัจฉานโยนิ กําเนิดสัตวเดรัจฉาน (สัตวเจริญโดยขวางหรือไปตามยาว) บางพระสูตรเพ่ิม ปตติวิสยะ แดนแหงเปรต เขาไปเปน ๓ ดวยกัน อีกอยางหน่ึงวา 66
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 67 อบาย โลกอันปราศจากความเจรญิ ทคุ ติ ภูมเิ ปน ท่ีไปขา งช่ัว วนิ บิ าต โลกทีท่ าํ ใหสัตว ผูต กอยไู รอํานาจ ในพระสูตรโดยมากเพมิ่ นิรยะ ไวตอนทาย จงึ รวมเปน ๔ ในคัมภีรอรรถกถาพระวินัยปฎกและพระสุตตันตปฎก ไดใหคําจํากัด ความทคุ ติไว ๔ อยา ง ดงั น้ี อบาย หมายถงึ ภมู อิ นั ปราศจากความสขุ ไรค วามเจรญิ หรอื สถานทปี่ ราศจาก บุญทีเ่ ปนสาเหตใุ หไ ดส มบัติ ๓ คือ มนษุ ย สวรรค นพิ พาน ทคุ ติ หมายถงึ ภมู ิอันมแี ตความทกุ ข หรอื สถานท่สี ัตวไ ปเกดิ เพราะผลกรรม ชวั่ อนั เน่ืองมาจากความเปน คนเจา โทสะ วินิตบาต หมายถึง ภูมิเปนท่ีตกแหงสัตวผูไรอํานาจ หรือตกไปมีแตความ พินาศมีอวัยวะแตกกระจดั กระจาย นิรยะ หรือ นรก หมายถึง ภูมิอันไมมีความเจริญ มีแตความเรารอน กระวนกระวาย ในคัมภีรสุมังคลวิลาสินี คําวา วินิบาต หมายถึง สัตวจําพวกที่ไมนับ เขาในสัตวผ ูบ งั เกิดในอบายภูมิ ๔ ไดแ ก พวกเวมานิกเปรต คือเปรตท่แี มจ ะมวี ิมานอยู แตไมรุงเรืองเหมือนเทพอื่นๆ ไดเสวยสุขเพียงช่ัวครูแลวเสวยทุกขทรมานตางๆ เปน ชวงๆ สลับกนั ไป ๑) นริ ยะ นรก นรกในลัทธิศาสนาอ่ืนตามพระมติสมเด็จพระมหาสมณเจาฯ ทรงประทาน ความรูเชิงวิเคราะหวิจารณ เก่ียวกับนรกในลัทธิศาสนาอื่นไววา “นรกนั้นมิใชมีเฉพาะ ของเรา ลัทธิศาสนาอ่ืนท่ียอมรับการเวียนวายตายเกิด ก็มีนรกดวยกันท้ังน้ัน เชน ของศาสนาพราหมณซึ่งคลายกับนรกในพระพุทธศาสนาของเรา นิรยะน้ันเปนศัพท ภาษาบาลี พวกพราหมณเขาเรียกวา นรกะ ตามศพั ทสันสกฤต ในภาษาของเราเรยี กวา นรก ตามอยางเขา อีกอยางเขาเรียกวา ปาตาละ เราเรียกตามเขาวา บาดาล แตเราเขาใจไปวา นาคภพ นรกของเขานั้นเปนที่ลงโทษอาตมัน ผูทําบาปในเมื่อยัง อยูในโลกน้ี แบงเปนสวนใหญ ๗ สวน ในหนังสือท่ีอานไมไดระบุใครควรตกนรก ขุมอะไรตามบาปท่ีทําทูตของพระยมคอยตรวจดูอยูตลอดโลก พอมีคนตายลงก็นํา คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 67
68 ¤‹ÁÙ ×͸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒªÑé¹àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก ตัวไปแสดงแกพระยม ทูตเหลาน้ีไมมีคําเรียกในภาษาสันสกฤต แตของเราเรียกวา นิรยบาล ทางไปนรกนั้นตองผานแมเพลิงจึงมีธรรมเนียมวา เมื่อคนเจ็บหนักจวนตาย ทายาทยอ มจดั ทาํ โคทาน คอื ใหโ คแกพ ราหมณต วั หนงึ่ เพอื่ จะไดใ ชเ ปน พาหนะขา มแมน า้ํ เพลงิ น้นั เม่ือไปถงึ แลว ไมป รากฏวา พระยมไดซ กั ถามเอาคาํ ใหการของผนู นั้ มรี ายงาน ไวเสร็จแลววา ผนู น้ั เม่ือยังอยู ณ โลกน้ี ไดท าํ กรรมอยางไรไวบ า ง เปน แตเ ปด รายงาน นั้นสอบดูแลวพิพากษาทีเดียว ถาเปนผูไมไดทําบาปหรือทําบาง แตไดทําบุญไว อาจ กลบลบกนั ยอ มถกู ปลอ ยตวั สงไปข้นึ สวรรคหรือไปเกดิ ใหมในมนุษยโ ลก ถาเปน ผูได ทาํ บาปไวม ากหรอื ทาํ บาปหนกั ยอ มลงโทษสมแกค วามผดิ การลงโทษทผ่ี นู น้ั จะไดร บั ใน คราวตกนรก คอื ถกู ขงั ในทม่ี ดื ตอื้ หรอื จมอยใู นบอ เตม็ ดว ยปส สาวะของสนุ ขั และนาํ้ มกู ของคน ถูกลงโทษดวยไฟ เหล็กแดง ใหสตั วมพี ษิ กัด ใหน กและสัตวร ายท่กี นิ เนื้อเปน อาหารจกิ บา งกดั บา ง ถกู สนตะพายทจี่ มกู ลากไปบนมดี อนั คมกรบิ ถกู บงั คบั ใหล อดรเู ขม็ ถูกใหแรงควักลูกตา ถูกภูเขาสองขางกระแทกกันบด แมอยางนั้นก็ยังไมตายทนไป ไดก วาจะสน้ิ กรรม คร้ันสน้ิ กรรมแลวยอมพน ไมตองติดเสมอไปเหมือนสัตวน รกบาง ลทั ธิ แตน ัน้ ยอมไปเกิดในกาํ เนดิ สัตวเ ดรจั ฉานเลวๆ กวาจะพบชองทาํ ความดี จึงจะได คติที่ดี เรอื่ งทเ่ี ลา มาน้ีผแู ตง อา งวาปกรณช อ่ื ปท มปรุ าณะ ชะรอยนรกน้ีจกั ชื่อปท มนรก ตรงกบั ของเราวา ปทมุ นริ ยะ” นรกในคัมภรี พ ระไตรปฎ ก ในเทวทูตสูตร (พระไตรปฎก เลม ๑๔) พระพุทธองคทรงแสดงไววา มนุษยผูทําบาปไวในโลกน้ี เม่ือตายไปเกิดในนรก จะถูกพวกนายนิรยบาล คือผูคุม กฎนรกหรือผูท าํ หนาทล่ี งโทษสตั วนรก จับนาํ ไปพบพญายามราช ผูทาํ หนา ท่พี ิพากษา ตดั สนิ โทษสตั วน รก โดยพญายมราชจะถามสตั วน รกนน้ั วา เมอ่ื อยใู นโลกมนษุ ยเ คยเหน็ เทวทูตทง้ั ๕ นห้ี รอื ไม เมอื่ เห็นแลวทําไมถึงยงั ประมาทอยู เปนตน คําวา เทวทูต หมายถึง ทูตของพญายมราชที่สงสัญญาณตักเตือนมนุษย ในโลกใหรูธรรมดาของชีวิต เพื่อมิใหประมาทมัวเมาในชีวิต มี ๕ อยาง คือ (๑) เด็กแรกเกิด (๒) คนแก (๓) คนเจ็บ (๔) คนถูกลงราชทัณฑ (๕) คนตาย มีอธบิ ายดังนี้ 68
ÇÔªÒ¸ÃÃÁ 69 นายนิรยบาลจะจับสัตวนรกน้ันท่ีแขนทั้งสองขางแสดงแกพญายมราชวา คนผนู ไี้ มป รนนบิ ตั บิ ดิ ามารดา ไมบ าํ รงุ สมณพราหมณ ไมอ อ นนอ มตอ ผใู หญใ นตระกลู ขอจงลงอาญาแกผ นู เี้ ถดิ กอ นจะลงอาญาโทษ พญายมราชกจ็ ะสอบสวนซกั ไซรไ ตถ ามถงึ เทวทูตตาง ๆ วา เจา ไมเคยเหน็ เด็กแดงๆ ที่ยงั ออนนอนหงาย เปอ นมตู รคูถของตนเอง อยใู นแดนมนุษยบา งหรอื ....ไมเ คยเห็นหญิงหรือชายทม่ี อี ายุ ๘๐ ป ๙๐ ป หรือ ๑๐๐ ป ผูแกหงอม มีซี่โครงคด หลังงอ ถือไมเทา เดินงกๆ เง่ินๆ โซเซ ฟนหัก ผมหงอก หนังเหี่ยวยน ตัวตกกะ ศีรษะลาน ในแดนมนุษยบางหรือ....ไมเคยเห็นหญิงหรือ ชายผูปว ยเปน ไขห นักทกุ ขท รมาน นอนเปอ นมูตร(นํา้ ปส สาวะ) คถู (อุจจาระ) ของตน ตองมีคนอื่นพยุงเดิน ในแดนมนุษยบางหรือ....ไมเคยเห็นพระราชาท้ังหลายในแดน มนุษยจับโจรผูประพฤติผิดมาแลว ส่ังลงราชทัณฑดวยวิธีตางๆ เปนตนวาลงโทษ แบบโบยดว ยแส โบยดวยหวาย ตีดว ยตะบองสั้น ตัดมอื ตดั เทา ตดั ท้งั มือทงั้ เทาบาง หรอื ...ไมเ คยเหน็ หญงิ หรอื ชายทตี่ ายแลว หนง่ึ วนั สองวนั หรอื สามวนั ขนึ้ พองอดึ เขยี วชาํ้ มนี ํ้าเหลืองไหลเย้ิม ในแดนมนุษยบา งหรือ เมอื่ สตั วน รกนน้ั ตอบวา เคยเหน็ พญายมราชจงึ สาํ ทบั วา เมอื่ เจอรเู ดยี งสาเปน ผูใหญข้ึน มิไดมีความคิดบางหรือวา แมเราเองก็มีความเกิดเปนธรรมดา ไมลวงพน ความเกิดไปได...แมเราเองก็มีความแกเปนธรรมดา ไมลวงพนความแกไปได....แม เราเองก็มีความเจ็บปวยเปนธรรมดา ไมลวงพนความเจ็บปวยไปได สัตวทั้งหลาย ท่ีทําบาปกรรมไวน้ันๆ ยอมถูกลงโทษดวยวิธีตางๆ ในปจจุบัน จะปวยกลาวไปไยถึง ชาติหนา เลา ...แมเ ราเองก็มีความตายเปนธรรมดา ไมลวงพนความตายไปได ควรทีจ่ ะ ทําความดที างกาย ทางวาจา และทางใจไว สัตวน รกนนั้ ตอบกลับวา ขา พเจา ไมอ าจคิดเชน นัน้ ไดเพราะมวั ประมาท พญายมราชจึงตัดสินลงโทษโดยกลาววา “เจาไมไดทําความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจไวเพราะมัวประมาทเสีย ดงั น้นั นายนิรยบาลจกั ลงโทษเจา ในฐาน เปน ผปู ระมาท บาปกรรมนไี้ มใ ชม ารดาบดิ า ไมใ ชพ นี่ อ งหรอื พนี่ อ งหญงิ ไมใ ชม ติ รสหาย ไมใ ชญ าตสิ ายโลหติ ไมใ ชส มณะและพราหมณ ไมใ ชเ ทวดาทาํ ใหเ จา ตวั เจา เองนนั่ แหละ ทําเขาไว เจาเทานนั้ จักเสวยวบิ ากกรรมนี้ คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 69
70 ¤Ù‹ÁÍ× ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉҪѹé àÍ¡ คมู ือธรรมศึกษา=ชน้ั เอก วิธกี ารลงโทษในนรก โดยนายนิรยบาลจะลงโทษสัตวนรกดวยเคร่ืองพันธนาการ ๕ แหง (ปญจพธิ พนั ธนะ) คือ ตรงึ ตะปเู หล็กแดงทม่ี ือ ๒ ขาง ที่เทา ๒ ขา ง และทีก่ ลางอก ถากดวยผึ่งจับตัวเอาหัวหอยเทาช้ีฟา ถากดวยพรา จับตัวเทียมรถแลวใหว่ิงกลับไป กลบั มาบนพน้ื อนั รอ นโชน บงั คบั ใหป น ขน้ึ ลงภเู ขาถา นเพลงิ ใหญท ร่ี อ นโชน ผลกั พงุ ลงไป ในหมอทองแดงที่รอนโชน เขาถูกเคี่ยวจนเดือดผุดเปนฟอง บางคร้ังผุดขึ้นขางบน บางครั้งจมลงขา งลาง บางคร้งั แลนขวาง สตั วน รกนั้นยอ มเสวยทุกขเวทนาอนั แรงกลา แตก ็ไมต าย แลวนายนริ ยบาลนาํ สตั วนรกไปขงั ไวในมหานรก ลกั ษณะมหานรกและนรกขมุ ตางๆ มหานรกนั้นมีสัณฐานเปนส่ีเหล่ียม มีประตูดานละหนึ่ง (สี่มุมส่ีประตู) มกี ําแพงเหลก็ ลอม มแี ผนเหลก็ ครอบไวข า งบน พนื้ แหง นรกน้ันเปน เหลก็ รอ นโชนเปน เปลวแผไ ปตลอด ๑๐๐ โยชนโดยรอบ ตัง้ อยูทุกเม่ือ บางคราว ประตแู ตล ะดา นของ มหานรกเปด ออก เขาจะวงิ่ ไปทปี่ ระตโู ดยเรว็ ถกู ไฟไหมผ วิ หนงั เนอ้ื เอน็ หรอื แมก ระดกู กม็ อดไหมเ ปน ควนั ตลบ แตอ วยั วะทถ่ี กู ไหมไ ปแลว จะกลบั เปน รปู เดมิ และในขณะทเี่ ขา ใกลจ ะถงึ ประตู ประตนู นั้ กจ็ ะพลนั ปด สนทิ สตั วน รกนนั้ ยอ มเสวยทกุ ขเวทนาอยา งแสน สาหสั อยใู นมหานรกน้นั และไมต าย ตราบเทา กับท่ีบาปกรรมยังไมสิ้นสุด ในทา ยพระสตู ร แมพ ญายมราชกม็ คี วามรสู กึ วา สตั วท ที่ าํ บาปกรรมไวใ นโลก ยอ มถกู นายนริ ยบาลลงโทษแบบตา ง ๆ เหน็ ปานน้ี โอหนอ ขอเราพงึ ไดค วามเปน มนษุ ย ขอพระสมั มาสมั พทุ ธเจา พงึ เสดจ็ อบุ ตั ขิ นึ้ ในโลก ขอเราพงึ ไดน งั่ ใกลพ ระองค ขอพระองค พงึ ทรงแสดงธรรมแกเรา และขอเราพงึ รทู ่วั ถงึ ธรรมของพระองคน้ันเถิด เรื่องนรกนี้ พระพุทธองคมิไดทรงสดับมาจากสมณะหรือพราหมณอื่นๆ แตเ ปนเร่อื งจริงที่ทรงรเู ห็นประจกั ษต ามกรรมของสัตวท ่ปี รากฏเองทั้งนน้ั ในเทวทูตสูตรนี้ พระพทุ ธองคท รงระบุช่อื นรกรอบๆ มหานรกไว ๕ ช่ือ คือ (๑) คถู นรก นรกทเ่ี ตม็ ดว ยคถู (๒) กกุ กลุ นรก นรกทเี่ ตม็ ดว ยเถา รงึ (๓) สมิ พลวี นั นรก นรกปา งว้ิ (๔) อสปิ ต ตวนั นรก นรกปา ไมใ บเปน ดาบ (๕) ขาโรทกนทนี รก นรกแมน าํ้ ดา ง ชื่อนรกในพระไตรปฎกเลมอื่นๆ ในสังกิจจชาดก ขุททกนิกาย ชาดก สัฏฐินิบาต (พระไตรปฎก เลมท่ี ๒๘) ไดระบุถึงช่ือของมหานรก นรกขนาดใหญไว ๘ ขมุ คอื 70
ÇªÔ Ò¸ÃÃÁ 71 ๑) สญั ชีวนรก ๒) กาฬสตุ ตนรก ๓) สงั ฆาฏนรก ๔) โรรวุ นรก ๕) มหาโรรวุ นรก ๖) อเวจมี หานรก ๗) ตาปนนรก ๘) มหาตาปนนรก พระอรรถกถาจารยก ลา ววา มหานรกทงั้ ๘ ขมุ นลี้ ว นพน ไดย าก แออดั ไปดว ย สัตวน รกผทู าํ กรรมหยาบชา แตล ะขุมมี อสุ สทนรก ซ่ึงเปนนรกเลก็ ๆ ต้ังอยมู มุ ประตู ทง้ั สี่ดาน ดา นละสี่ขมุ ดงั นัน้ มหานรก ๘ ขมุ จึงมอี สุ สทนรกเปนบรวิ าร ๑๖ ขมุ และ เม่ือนับจํานวนทงั้ หมด จงึ มอี สุ สทนรก ๘ x ๑๖ = ๑๒๘ ขมุ เมอ่ื รวมเขากับมหานรก ๘ ขมุ จึงไดจ าํ นวนนรกทั้งหมด ๑๓๖ ขมุ ๒) ตริ จั ฉานโยนิ กําเนิดสตั วเดรัจฉาน ตริ จั ฉานโยนิ กาํ เนดิ สตั วเ ดรจั ฉาน หมายถงึ ภพภมู ทิ ไี่ ปเกดิ ของเหลา สตั วท ม่ี ี การเคลอ่ื นไหวอริ ยิ าบถในลกั ษณะขวางหรอื กระเสอื กกระสนคลานไป ดงั ทพี่ ระพทุ ธองค ทรงแสดงผลกรรมของผูตายจากโลกมนุษยแลวไปเกิดในกําเนิดสัตวเดรัจฉานไวใน สังสัปปตปิ ริยายสูตร องั คตุ ตรนิกาย ทสกนบิ าต (พระไตรปฎก เลมท่ี ๒๔) วา “บางคนในโลกน้ีมักฆาสัตว คือ เปนคนหยาบชา มีฝามือเปอนเลือด ชอบทุบตีและฆาผูอื่น ไมมีความกรุณาในสัตวทั้งหลาย เขากระเสือกระสนเพื่อทําช่ัว ดว ยกาย วาจา ใจ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมของเขายอมคด คติของเขากค็ ด เรากลาวคติของเขาวา มี ๒ อยาง คือ นรกซ่ึงมีทุกขโดยสวนเดียว และกําเนิดสัตว เดรจั ฉานซง่ึ มปี กตกิ ระเสอื กกระสน เชน งู แมงปอ ง ตะขาบ พงั พอน แมว หนู นกเคา แมว หรอื สตั วเดรัจฉานประเภทเลือ้ ยคลานไว ๗ ชนดิ คือ (๑) งู (๒) แมงปอ ง (๓) ตะขาบ (๔) พงั พอน (๕) แมว (๖) หนู (๗) นกเคาแมว ในพาลปณฑติ สูตร มชั ฌิมนิกาย อปุ ริปณณาสก (พระไตรปฎ ก เลม ท่ี ๑๔) แสดงสัตวเ ดรัจฉานไว ๕ ประเภท ดังนี้ ๑) จาํ พวกกนิ หญา เปน อาหาร (ตณิ ภกั ขา) ไดแ ก มา โค กระบอื ลา แพะ มฤค หรือแมจ าํ พวกสัตวอ ื่นๆ ทม่ี หี ญาเปนอาหาร ๒) จําพวกมคี ูถเปนภักษา (คูถภกั ขา) ไดแก สุกร สนุ ขั บาน สนุ ขั ปา หรือแม จาํ พวกสตั วอ่นื ๆ ทีม่ ีคถู เปน ภกั ษา คมู ือธรรมศึกษา=ชั้นเอก 71
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362