คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 74 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ โดยผูเ้ ขียนไดน้ าํ แนวความคิดดงั กล่าวมาวิเคราะห์และผสมผสานต่อยอดสําหรับบริบท แวดลอ้ มทีสาํ คญั เกียวกบั ปัจจยั ทีเกียวขอ้ งกบั การศึกษาวจิ ยั ดา้ นการสือสารสุขภาพ ไดด้ งั นีคือ 1) ปัจจยั ทางด้านสภาพแวดล้อมทางสังคม ผู้เขียนได้สังเกตและติดตามปัจจยั ต่างๆ ทีเกียวขอ้ งกบั องค์ความรู้ด้านการสือสารสุขภาพ พบว่า สภาพแวดลอ้ มทางสงั คมเป็ นอีกหนึงปัจจยั ทีสําคญั มาก เพราะมนุษยต์ อ้ งอยูอ่ าศยั ในสภาพ สังคมทีแตกต่างกนั ไป จงึ ส่งผลใหม้ ีทศั นคติและพฤติกรรมในการดูแลป้องกนั ปัญหาดา้ นสุขภาพที ไม่เหมือนกนั บางคนอยใู่ นสภาพแวดลอ้ มทีช่วยกระตุน้ ใหเ้ กิดการดูแลสุขภาพร่างกายทงั มิติภายใน ดา้ นจิตใจและมิติภายนอกดา้ นการดูแลบาํ รุงสุขภาพร่างกายอวยั วะต่างๆ ทีส่งผลให้มีคุณภาพชีวติ หรือมีความผาสุกทีมากยิงขึนในแต่ละวนั ในทางกลับกันประชาชนบางคนบางกลุ่มทีอยู่ใน สภาพแวดล้อมทางสังคมทีไม่ให้ความใส่ใจกบั การดูแลสุขภาพทงั มิติภายในและภายนอกของ ร่างกาย จึงประสบกับปัญหาสุขภาพตามมาเมือยามเข้าสู่วยั ทีสูงมากขึน การวิจยั ในประเด็น แรงจูงใจเพอื การดูแลรักษาสุขภาพ การเปลียนแปลงทศั นคตแิ ละพฤติกรรมของประชากรในกลุ่มนี ให้มีความตระหนักและเปลียนความคิดของตนเองหรือไดร้ ับความรู้เพือกระตุน้ เตือนตนเองและ สมาชิกในครอบครัวให้หนั มาใส่ใจดูแลสุขภาพก่อนทีจะสายเกินไปและมีความยงุ่ ยากในการรักษา ฟื นฟูสุขภาพใหก้ ลบั มาปกติเหมือนเดิม จึงเป็นเรืองทีตอ้ งดาํ เนินการศึกษาวจิ ยั ควบคูไ่ ปกบั กลุ่มทีใส่ ใจในการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของตนเองอยู่แล้ว แต่อาจตอ้ งเพิมเติมข้อมูลเชิงลึกเกียวกับ วธิ ีการดูแลสุขภาพในดา้ นตา่ งๆ ให้มากขึนไปและปฏิบตั ิอยา่ งสมาํ เสมอ ทงั นีการพจิ ารณาถึงปัจจยั ดา้ นสภาพแวดลอ้ มทางสงั คม จงึ เขา้ มามีบทบาททีนกั วจิ ยั และนกั วชิ าการดา้ นนีตอ้ งคาํ นึงถึงดว้ ย 2) ปัจจยั ทางด้านสุขภาพ การพฒั นาประเทศจะไม่สามารถดาํ เนินไปไดห้ ากประชาชนในประเทศยงั คงประสบ ปัญหาดา้ นสุขภาพยงั คงเกิดการเจ็บป่ วย ดงั นนั จึงมีความพยายามจากหลายส่วนในสังคมไทยเพือ การรณรงค์ในรูปแบบต่างๆ ให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพของตนใหส้ มบูรณ์แข็งแรง ปราศจาก โรคภยั ไขเ้ จบ็ โดยภาครัฐมีการพฒั นาระบบสาธารณสุขของประเทศและปัจจยั อืนๆ ทีเกียวขอ้ ง จน ทาํ ใหส้ ภาวะสุขภาพของคนไทยมีทิศทางทีดีขึนตามลาํ ดบั อยา่ งไรก็ตาม อาจมีปัจจยั บางประการที เป็ นปัญหาและอุปสรรคต่อการพฒั นาระบบสาธารณสุขของประเทศไดเ้ ช่นกนั (คณะกรรมการ อาํ นวยการจัดทาํ แผนพฒั นาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที 10 พ.ศ. 2550) เช่น กระแสโลกาภิวตั น์ ทุนนิยม บริโภคนิยม การคา้ เสรี ความเสือมโทรมทางจริยธรรม วกิ ฤติความเสือมของสังคม ปัญหา ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศ วิกฤตสิงแวดลอ้ มและความเสือมโทรมของธรรมชาติ การ เปลียนแปลงทางดา้ นการเมืองการบริหารของภาครัฐ โครงสร้างประชากรและการเคลือนยา้ ยการ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 75 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ เกิดโรคอุบตั ิใหม่และโรคอุบตั ิซาํ การแพร่ระบาดของความรุนแรงทงั ในรูปของการทาํ ร้ายตนเอง การฆ่าตวั ตายและการทาํ ร้ายผอู้ ืน ภยั พิบตั ิและภาวะฉุกเฉิน เป็ นตน้ สภาวะความเปลียนแปลงอนั เนืองมาจากปัจจยั แวดลอ้ มต่างๆ ดงั กล่าว ส่งผลใหส้ ภาวะสุขภาพของคนไทยเปลียนแปลงไปอยา่ ง รวดเร็ว ซึงอาจทาํ ให้ระบบสาธารณสุขดงั เดิมปรับตวั ไม่ทนั ต่อสถานการณ์ ดังนันการทจี ะดาํ รงให้ สุขภาพของประชาชนดําเนินไปในทิศทางทีเหมาะสม หนทางหนึงทีจะเอือต่อภารกจิ ดังกล่าว คือ การสํารวจวจิ ัยให้ทราบถึงปัญหาด้านสุขภาพอนามัยอันเนืองจากแนวโน้มการเปลียนแปลงทาง สังคมอันจะนํามาซึงแนวทางการแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพในด้านต่างๆ และระบบสุขภาพของ ประชากรชาวไทยอย่างถูกต้องเหมาะสม (จนั ทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ 2543) แมส้ ังคมจะมีการ พฒั นาไปในทุกดา้ นอยา่ งกวา้ งขวาง คุณภาพชีวิตโดยรวมของคนไทยอยู่ในเกณฑ์ดีขึน และการ ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บจาํ นวนไม่น้อยประสบผลสําเร็จจนอาจกล่าวได้ว่า การดาํ เนินการด้าน สาธารณสุขของไทยประสบความสําเร็จไปในระดับทีน่าพึงพอใจ แต่ขณะเดียวกนั ยงั มีปัญหา สุขภาพจาํ นวนไม่น้อยทียงั ไม่ไดร้ ับการแกไ้ ข รวมทงั มีปัญหาบางประการทีเพิมความรุนแรงมาก ขึนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคมและความมนั คงของประเทศ เช่น ปัญหายาเสพติด อุบตั ิเหตุ โรคเอดส์ เป็ นตน้ ทาํ ให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณจาํ นวนมากในการวางมาตรการเพือป้องกนั แกไ้ ขและบรรเทาปัญหาดงั กล่าว ในขณะเดียวกนั ยงั มีความตืนตวั ในการป้องกนั และสร้างเสริม สุขภาพทีสาธารณชนใหค้ วามสนใจ ตืนตวั และนาํ มากล่าวถึงในสังคมอยา่ งกวา้ งขวาง จนกลายเป็ น วาระสาธารณะ เช่น การบริโภคแบบชีวจิต กระแสความตืนตวั ในการใชส้ มุนไพรดูแลรักษาสุขภาพ การออกกาํ ลงั กาย การตอ่ ตา้ นอาหารทีมีการตดั ตอ่ ทางพนั ธุกรรม เป็นตน้ หนึงหทัย ขอผลกลาง (2552) ได้สรุปไวว้ ่า วาระสาธารณะดังกล่าวส่งผลต่อความสนใจ ศึกษาวจิ ัยด้านการป้องกันและสร้างเสริมสุขภาพอย่างกว้างขวางขึน ซึงยังคงพบว่า ประเด็นของ การศึกษางานวิจัยด้านการสือสารสุขภาพของไทยมีความเปลียนแปลงไปตามความกระแสสนใจ ของสาธารณชน โดยนักวิจัยมักให้ความสนใจศึกษาประเด็นใดประเด็นหนึงทีเฉพาะเจาะจง ทําให้ ยากต่อการนําผลการวิจัยไปใช้อ้างองิ หรือสร้างเป็ นข้อสรุปทวั ไปได้ 3) ปัจจยั ทางด้านการสือสารระหว่างบุคคล ผูเ้ ขียนมุ่งเน้นให้ความสําคญั กับปัจจยั ด้านการสือสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication) เป็ นกิจกรรมการสือสารทีเกียวขอ้ งกบั คนตงั แตส่ องคนขึนไป การทีบุคคลสอง คนหรือมากกว่านันติดต่อกันนัน จะทาํ ให้ทงั สองฝ่ ายมีความเข้าใจกันและรับรู้ข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะดา้ นการดูแลสุขภาพทีมีความละเอยี ดอ่อนในการสือสารเพือสร้างการยอมรับ เชือใจและ มนั ใจเป็ นอยา่ งมาก นอกจากนีการสือสารระหวา่ งบุคคลจะทาํ ใหร้ ู้จกั ตนเองดว้ ย เพราะการสือสาร เป็ นเหมือนภาพสะทอ้ นทีกลบั มาหาตวั เอง คนทีขาดการสือสารระหวา่ งบุคคลจะเป็ นคนทีขาดความ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 76 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ เขา้ ใจความตอ้ งการและความจาํ เป็ นอนั แตกตา่ งและหลากหลายของบุคคลอืน ยิงคนทีมีการสือสาร ระหวา่ งบุคคลมากเพียงใดก็จะยิงเพิมการรู้จกั ตวั เองและการรู้จกั คนอืนมากยิงขึนเพียงนนั ขอ้ มูลที เราไดม้ าจากการสือสารระหวา่ งบุคคล นอกจากจะเป็ นประโยชนใ์ นการปรับตวั เองแลว้ ยงั แสดงวา่ ตวั เองมีความสามารถในการสือสารกบั คนอืนอีกดว้ ย โดยการสือสารระหวา่ งบุคคล จะก่อใหเ้ กิดผล 3 ประการคอื 1) ลดความกลวั หรือความวติ กกงั วลให้น้อยลง 2) สร้างความสอดคล้องของทัศนคติ ความเชือและพฤติกรรมของทงั สองฝ่ าย 3) สร้างความไว้วางใจระหว่างสองฝ่ าย ทไี ด้ตดิ ต่อสือสารด้วยกนั ดงั นนั เมือการสือสารระหว่างบุคคลจึงเขา้ มาเป็ นปัจจยั สําคญั อีกหนึงตวั แปรทีจาํ เป็ นตอ้ ง ศึกษาวจิ ยั ถึงคุณลกั ษณะทางประชากรในดา้ นต่างๆ เพือใหเ้ กิดความสาํ เร็จตามทีตงั เป้าหมายไวใ้ น การสือสารสุขภาพระหวา่ งสมาชิกในครอบครัวดว้ ย นากจากนนั ปัจจยั สําคญั ในการส่งเสริมสุขภาพในรูปแบบต่างๆ (Ratzan, S. C., Payne, J. G., & Bishop, C., 1996) เช่น การให้ความรู้เรืองสุขภาพ การสือสารกบั ผูป้ ่ วย การใหข้ อ้ มูลดา้ น สุขภาพและการใช้สือใหม่ ฯลฯ ควรมีการสนบั สนุนให้เกิดการพฒั นาระบบสือเพือสุขภาพให้ ครบถว้ น ตงั แตด่ า้ นนโยบาย บุคลากร เทคนิคการสือสาร งบประมาณ การวจิ ยั และการประเมินผล (ประเวศ วะสี 2543) เพือทาํ ความเขา้ ใจต่อทิศทางการสือสารสุขภาพทีเกิดขึนในสังคมไทยและ เพือให้ระบบการสือสารเป็ นไปเพือสังคมและเพือสุขภาพให้มากทีสุดและครอบคลุมการสือสาร สุขภาพในทุกระดับ ทงั ระดับภายในตัวบุคคล ระดับระหว่างบุคคล ระดับองค์กร/เครือข่าย ระดบั มหภาค ในการสือสารสุขภาพแนวใหม่ หน่วยงานทีเกียวขอ้ งกบั การขบั เคลือนงานเกียวกบั การสือสารสุขภาพในสังคมไทย ไดแ้ ก่ สาํ นกั งานกองทุนสนบั สนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสถาบนั วจิ ยั ระบบสาธารณสุข ไดใ้ ห้ความสนใจต่อการนาํ เสนอแนวคิดการสือสารในแนวทาง ต่างๆ เช่น แนวคิดการสือสารอยา่ งมีส่วนร่วมโดยให้ชุมชน กลุ่มเป้าหมายและผมู้ ีส่วนร่วมในการ สือสาร รวมทังแนวคดิ ด้านการสือสารสุขภาพแบบ “สร้างนําซ่อม” ซึงแนวคิดการสือสารดังกล่าว ยงั ได้ถูกนําเสนอเป็ นแนวคิดหนึงเพือการจัดหลักสูตรการสือสารสุขภาพของไทยอีกด้วย (ดวงพร คาํ นูณวัฒน์ 2551) จากข้อมูลการศึกษาวิจยั ในด้านการสือสารสุขภาพทีผ่านมาในประเทศไทย สามารถ พิจารณาไดว้ า่ มีประโยชนต์ อ่ การพฒั นาสังคมใน 2 ทิศทาง ไดแ้ ก่ ทิศทางทีหนึง คือ ประโยชน์จากข้อค้นพบอันเป็ นผลจากการวิจยั ซึงทาํ ให้ได้มาซึง แนวทางในเชิงปฏิบตั ิเกียวกบั การแกไ้ ขปัญหาหรือขอ้ เสนอแนะสาํ หรับประเด็นปัญหาในการวิจยั ซึงอาจนาํ ไปสู่การกาํ หนดเป็นแนวนโยบายสาํ หรบั การดาํ เนินการตอ่ มาตรการดงั กล่าว
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 77 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ทิศทางทีสอง คือ ประโยชน์ทีไดร้ ับมาจากการศึกษาวิจยั ในลกั ษณะทีเป็ นการสร้างองค์ ความรู้ใหมห่ รือเป็ นการพฒั นาต่อยอดขยายผลองคค์ วามรู้เดิมให้ลุ่มลึกมากยิงขึน อนั เป็นประโยชน์ ต่อการพฒั นาในเชิงวิชาการของศาสตร์ทางดา้ นการสือสารสุขภาพ ทงั นีเพือทีจะนาํ ผลการศึกษาที ไดไ้ ปใชป้ ระโยชน์ในทงั สองทิศทาง ในประเทศไทยนันแม้จะตระหนักถึงความสําคญั ของการพฒั นาระบบสุขภาพ และ ความสาํ คญั ของสือกบั การพฒั นาสุขภาพ แตป่ ัญหาในเชิงวิชาการทียงั ประสบอยูแ่ ละควรไดร้ ับการ แกไ้ ขอยา่ งเร่งด่วน คือ ความสนใจในศาสตร์ทเี กยี วข้องกบั การสือสารสุขภาพและการใช้สือ เพือการพัฒนาสุขภาพยังมีน้อย ดงั นันเพือพฒั นาองคค์ วามรู้ในเชิงวิชาการดา้ นการสือสาร สุขภาพในประเทศไทย แนวคิดดงั กล่าวควรได้รับการขบั เคลือนอย่างมีทิศทางจากภาครัฐ ทงั นี สถาบนั อดุ มศึกษาควรแสดงบทบาทหลกั ตอ่ การจดั การเรียนการสอนดา้ นการสือสารสุขภาพ และมี บทบาทในฐานะพฒั นางานวิจัยด้านการสือสารสุขภาพเพือให้สามารถนําผลการวิจัยไปใช้ ประโยชน์ต่อสังคมไดอ้ ยา่ งเป็นรูปธรรม เพราะการสือสารสุขภาพนันเป็ นศาสตร์ทมี ีความเกยี วข้องสัมพันธ์กบั ศาสตร์อืนๆ มาอย่าง ยาวนานตามทไี ด้กล่าวมาแล้ว โดยต้องนําหลกั การแนวคดิ จากศาสตร์สาขาวิชาต่างๆ มาใช้บูรณาการ ซึงกนั และกนั เพอื ให้สามารถนไปใช้ในทางปฏบิ ัตไิ ด้เกดิ ประโยชน์อย่างเป็ นรูปธรรม
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 78 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ในปี พ.ศ. 2558 ผู้เขียนได้ทาํ การศึกษาเชิงสํารวจกับกลุ่มผู้ทีต้องไปปฏิบัติหน้าทีในการ สือสารสุขภาพเพือให้ข้อมูลสุขอนามัยสําหรับการป้องกันและการดูแลรักษาสุขภาพของประชาชน โดยทวั ไป รวมทังกลุ่มผู้สูงอายดุ ้วย บุคคลกลุ่มนีคือ นักศึกษาทีกาํ ลงั เรียนและจะจบการศึกษาออกไปประกอบอาชีพเป็ น “พยาบาล” โดยผูเ้ ขียนไดท้ าํ หนา้ ทีเป็ นวิทยากรอบรมนักศึกษาพยาบาล ชนั ปี ที 2 คณะพยาบาล ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สยาม จาํ นวน 174 คน จาก “โครงการพัฒนานักศึกษาด้านจิตใจ อารมณ์ และ สังคมเพือเตรียมความพร้อมต่อการดูแลผู้ป่ วย” (ณัฐนันท์ ศิริเจริญ 2558) เมือวนั ที 29 เมษายน 2558 และไดต้ งั ประเด็นคาํ ถามนกั ศึกษาพยาบาลทีเขา้ อบรมในวนั นนั 3 ขอ้ คือ คาํ ถามข้อทีหนึง “สิงใดทนี ักศึกษาพยาบาลเครียดและวติ กกงั วลมากทสี ุด ถ้าต้องออกไปปฏิบัติหน้าทีในการ ดแู ลผู้ป่ วย” โดยผูเ้ ขียนกาํ หนดให้นักศึกษาสามารถคาํ ตอบให้ได้มากทีสุดเท่าทีตนเองรู้สึกมาตลอด เพอื ใหไ้ ดข้ อ้ มูลทีครบถว้ นมากทีสุด และจากคําตอบทีได้รับมาผู้เขียนได้นํามาวิเคราะห์และจดั กลุ่มคําตอบจากนักศึกษา ออกเป็ นประเดน็ ทีอยใู่ นกลุ่มเดียวกนั ดงั นีคือ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 79 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 60.00 55.75 52.30 50.00 41.95 40.00 31.03 30.00 20.00 18.39 10.00 0.00 ไม่ชาํ นาญ สุขภาพไม่ดี คิดถึงพอ่ แม่ กลวั ถูกฟ้องร้อง ไม่มนั ใจ ภาพที 2.1 แสดงข้อมูลเกยี วกบั สิงทนี ักศึกษาพยาบาลเครียดและวติ กกงั วล ถ้าต้องออกไปปฏบิ ัตหิ น้าทใี นการดแู ลผ้ปู ่ วย ตารางที 2.1 แสดงข้อมูลเกยี วกบั สิงใดทนี ักศึกษาพยาบาลเครียดและวติ กกงั วลมากทสี ุด ถ้าต้องออกไปปฏิบัตหิ น้าทใี นการดแู ลผ้ปู ่ วย กลุ่มที สิงทเี ครียดและกงั วล เรียงลาํ ดบั จากมากไปหาน้อย ร้อยละ 1. มีความเครียดและวติ กกงั วลดา้ นความไมม่ นั ใจในการดูแลผูป้ ่ วย อยู่ 55.75 ในระดบั ร้อยละ 35 เป็ นจาํ นวนมากทีสุด เพราะนักศึกษายังไม่ค่อย เชือมันในความรู้และทักษะของตนเองทรี ําเรียนมาเท่าไรนกั 2. มีความเครียดและวติ กกงั วลดา้ นความผิดพลาดจนอาจทาํ ให้ผปู้ ่ วย 52.30 เสียชีวิต อยใู่ นระดบั ร้อยละ 30 ถือวา่ อยใู่ นระดบั มากเช่นกนั เพราะ นกั ศึกษายงั รู้สึกวา่ แมต้ นเองจะถูกฝึ กฝนการดูแลตามขนั ตอนต่างๆ กบั ผูป้ ่ วยมา แต่ยังรู้สึกไม่ชํานาญมากนัก ทําให้กลัวความผดิ พลาด ทเี กดิ ขนึ กบั ผ้ปู ่ วยถึงขันเสียชีวติ ได้
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 80 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ กลุ่มที สิงทเี ครียดและกงั วล เรียงลาํ ดบั จากมากไปหาน้อย ร้อยละ 3. มีความเครียดและวิตกกงั วลดา้ นสภาพร่างกายของตนเอง อยใู่ น 41.95 ระดบั ร้อยละ 20 เพราะคิดวา่ เมือทาํ งานเป็นพยาบาลทีตอ้ งดูแลผูอ้ ืน ซึงเป็ นงานค่อนขา้ งหนกั ดังนันคงไม่ค่อยมีเวลาดูแลตนเองหรือไม่ ค่อยมีเวลาพักผ่อนมากนัก อันจะส่งผลไปถึงสุขภาพของตนเองที อาจจะมอี าการเจ็บป่ วยตามมาได้ 4. มีความเครียดและวติ กกงั วลดา้ นการดูแลครอบครัว ดูแลพ่อแม่ อยู่ 31.03 ในระดบั ร้อยละ 10 เพราะบางคนรู้สึกคิดถึงพ่อแม่ ญาติผูใ้ หญ่ของ ตนเองทีอาจ จ ะไม่ ค่ อย ได้ มี โอกาส ได้ ไปดูแลผู้ มี พระ คุณม ากนั ก เนืองจากมีภาระงานค่อนข้างมาก 5. มีความเครียดและวติ กกงั วลดา้ นการถูกฟ้องร้องจากผูป้ ่ วยหรือญาติ 18.39 ผปู้ ่ วย อยใู่ นระดบั ร้อยละ 5 เป็นจาํ นวนนอ้ ยทีสุด เพราะนกั ศึกษาได้ ทราบข้อมูลเรืองการฟ้องร้องแพทย์ พยาบาลจากสือมวลชนต่างๆ มาพอสมควรจึงกงั วลว่าตนเองอาจจะโดนฟ้องร้องบ้างก็เป็ นไปได้ ถ้าทาํ ผดิ พลาดแม้ไม่ได้ตังใจ รายละเอยี ดของคําตอบทกี ล่มุ ผู้ให้ข้อมูล ส่งกลบั มาให้ผู้เขยี น การดูแลคนไข้ ผปู้ ่ วยหรือผูท้ ีมารับบริการต่างๆ อยา่ งไรในวธิ ีการที ถูกตอ้ ง การทีจะตอ้ งรบั ผดิ ชอบชีวิตผอู้ ืน กลวั วา่ จะแกป้ ัญหาทีเกิดขึนตรงหนา้ ไมไ่ ด้ กลวั ทาํ ไมไ่ ด้ เพราะคิดวา่ ตนเองความรู้นอ้ ย ความไมม่ นั ใจในตนเองเพราะประสบการณ์ยงั ไม่มาก ความคาดหวงั ของผูป้ ่ วยและญาติวา่ คนไขจ้ ะหายจากอาการเจบ็ ป่ วย หรือไม่ กลวั นาํ ความรู้ไปประยกุ ตใ์ ชไ้ ม่ได้ ความไม่มนั ใจในการทาํ หัตถการ (Medical Procedure) กลัวทาํ ไม่ไดท้ าํ ไมถ่ ูก เช่น การเจาะเลือด การทาํ แผล การให้นาํ เกลือ เป็ น ตน้ กลวั ทาํ ผดิ ทาํ ไม่ได้
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 81 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ รายละเอยี ดของคาํ ตอบทกี ล่มุ ผู้ให้ข้อมูล ส่งกลบั มาให้ผู้เขียน กลวั ทาํ ผดิ พลาดแลว้ ทาํ ใหผ้ ปู้ ่ วยเสียชีวติ หรือเกิดอนั ตราย รายละเอยี ดของคาํ ตอบทกี ลุ่มผู้ให้ข้อมูล ส่งกลบั มาให้ผู้เขียน กลวั เรืองสภาพจิตใจเมือเจอกบั ความตาย กลวั การห่อศพ การเผชิญหนา้ กบั หมอและคนไข้ กลวั คนไขจ้ ะปฏิเสธการดูแลจากตนเอง เรืองกลวั ความรู้ไมเ่ พยี งพอ สอบใบประกอบวชิ าชีพไม่ผา่ น การเห็นผปู้ ่ วยเจบ็ ป่ วยจากการรักษา กลวั ช่วยเหลือคนไขไ้ มส่ าํ เร็จ การเก็บปัญหาของผปู้ ่ วยมาเป็นทุกข์ คิดวา่ อาชีพนีไม่เหมาะกบั ตนเอง กลัวเข็ม กลัวเลือด ความเสียงจากการติดโรคติดเชือจากผูป้ ่ วย อุบตั ิเหตเุ ขม็ ฉีดยาโดนตนเอง ผปู้ ่ วยทีจกุ จิกจจู้ ีญาติคนไขเ้ พราะบางรายเรืองเยอะ โมโหใส่ผปู้ ่ วย เพราะเป็นคนอารมณ์ร้อน ไมม่ ีเวลาใหต้ นเองและคนในครอบครัว ไม่มีเวลาดูแลพอ่ แม่ ทาํ งานมากเกินไปไม่มีเวลาพกั ไม่มีเวลาดูแลสุขภาพตนเอง ไม่มีเวลาพกั ผอ่ น สุขภาพยาํ แยเ่ พราะ งานหนกั และเหนือย คา่ ตอบแทนนอ้ ย กลัวการปรับตัวและทํางานร่วมกับผู้อืนไม่ได้ กลัวเจอเพือน ร่วมงานทีไม่ดี เพือนร่วมงานกดดนั โดนตาํ หนิจากหวั หนา้ วอร์ด กลวั ไดห้ วั หนา้ ไม่ดี ผปู้ ่ วยไมพ่ อใจฟ้องร้อง
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 82 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ คาํ ตอบจากกล่มุ ผ้ใู ห้ข้อมูลในข้อนี ทาํ ให้ผเู้ ขียนสามารถวิเคราะห์สรุปไดว้ า่ แมผ้ ูท้ ี รําเรียนมาทางสาขาวิชาชีพทีเกียวข้องกบั การสือสารสุขภาพโดยตรงอยา่ ง “นักศึกษาพยาบาล” เหล่านี ก็ยงั คงมีความไม่มนั ใจ ไม่แน่ใจในความรู้ความสามารถของตนเองว่าจะสามารถดูแล รักษาพยาบาลผูป้ ่ วยหรือผูม้ ารับบริการได้อย่างถูกตอ้ งหรือได้รับการดูแลอย่างมีมาตรฐานทาง วิชาชีพเป็ นจาํ นวนมากทีสุด ตรงจุดนีสะท้องให้เห็นว่าบุคลากรทีมีภารกิจโดยตรงกบั การดูแล สุขภาพ โดยตอ้ งใชว้ ิธีการสือสารสุขภาพทีมีรายละเอียดมากมายและตอ้ งลงมือปฏิบตั ิสาํ หรับการ ดูแลนนั ๆ ดว้ ยตนเอง ไม่ใช่เรืองทีใครๆ ก็จะมาทาํ หนา้ ทีตรงจุดนีได้ เพราะตอ้ งไดร้ ับการฝึ กอบรม ฝึ กปฏิบตั มิ าเป็นอยา่ งดีจึงจะสามารถทาํ ใหบ้ ุคคลนนั ๆ มีความรู้และมีทกั ษะ รวมทงั มีความมนั ใจใน ตนเองทีจะดูแลรักษาพยาบาลผปู้ ่ วยใหห้ ายจากอาการเจ็บป่ วยตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งปลอดภยั เป็นอยา่ งดี ดังนันการสือสารสุขภาพของสมาชิกในครอบครัวก็เช่นเดียวกัน ต้องมีการฝึ กฝนมีการ ทดลองปฏิบตั ิในเรืองการสือสาร เพือใหข้ อ้ มูลต่างๆ เกียวกบั การดูแลรักษาสุขภาพระหวา่ งสมาชิก ภายในครอบครัวเดียวกนั คุณพอ่ คุณแม่ คุณป่ ูคุณยา่ คุณตาคุณยายกบั ลูกหลานและญาติการอืนๆ ที อาจพกั อาศยั อยใู่ นบา้ นเดียวกนั หรืออาจอยคู่ นละบา้ นแต่ก็ยงั สามารถทาํ การสือสารสุขภาพเพือคอย ตกั เตือน คอยสอบถาม คอยส่งความห่วงใยแสดงความเอาใจใส่ซึงกนั และกนั ไดผ้ ่านช่องทางการ สือสารมากมาย เช่น การใชโ้ ทรศพั ท์ การพดู คุยแบบพบปะเห็นหนา้ กนั เป็นตน้ คาํ ถามข้อทีสอง “นักศึกษาคิดว่าหลงั จากทตี นเองได้เรียนในคณะพยาบาลศาสตร์มาถึงวนั นี ตนเองมีความ เป็ นอะไรมากทสี ุดในหัวข้อ “พยาบาล 3 ผ้”ู คือ 2.1 ผู้นํา 2.2 ผู้ตาม 2.3 ผู้ให้” นกั ศึกษาพยาบาลแตล่ ะคนใหค้ าํ ตอบไดม้ ากกวา่ หนึงอยา่ ง โดยสรุปคาํ ตอบแบ่งไดด้ งั นี คือ ตอบวา่ ตนเองมีความเป็ น “ผ้ตู าม” จาํ นวนมากทสี ุด คือ ร้อยละ 93.10 ลาํ ดบั รองลงมา คือ จํานวนร้อยละ 27.01 ทตี อบว่า คิดว่าตนเองเป็ น “ผ้ใู ห้” และจํานวนน้อยทสี ุด คือ ร้อยละ 13.22 ทคี ิดว่าตนเองเป็ น “ผู้นํา”
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 83 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 100.00 13.22 93.10 27.01 90.00 80.00 ผนู้ าํ ผตู้ าม ผใู้ ห้ 70.00 60.00 50.00 40.00 30.00 20.00 10.00 0.00 ภาพที 2.2 แสดงข้อมูลความเป็ นอะไรมากทสี ุดในหัวข้อ “พยาบาล 3 ผ้”ู คือ 2.1 ผู้นํา 2.2 ผู้ตาม 2.3 ผู้ให้ ตารางที 2.2 แสดงความเป็ น “พยาบาล 3 ผ้”ู เรียงลาํ ดบั จากมากไปหาน้อย ลาํ ดับที สิงทคี ิดว่าตวั เองเป็ น ร้อยละ 93.10 1. ผู้ตาม 27.01 2. ผู้ให้ 13.22 3. ผู้นํา จากขอ้ มูลคาํ ตอบทงั หมด ไดส้ ะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงแนวคิดพนื ฐานของนกั ศึกษาพยาบาลกลุ่มนี ซึงมีสัดส่วนเป็นเพศหญิงถึงร้อยละ 95 วา่ ยงั คงมีแนวคดิ ในทางการทาํ งานดา้ นการพยาบาลและการ ดูแลผูม้ ารับบริการหรือผูป้ ่ วยตามขนั ตอนต่างๆ ทีตนเองไดฝ้ ึ กฝนและรําเรียนมามากกว่าการคิด ปฏิบตั ิงานในแนวทางอืนๆ ทีแตกต่างไปจากทีได้รับการบอกสอนมา และจากการทีผูเ้ ขียนได้ สอบถามเป็นรายบุคคล ส่วนใหญ่ทีคิดวา่ ตนเองเป็น “ผ้ตู าม” นนั ใหเ้ หตุผลวา่ ถา้ ดาํ เนินการสิงใด กบั ผูเ้ ขา้ มารักษาอาการเจ็บป่ วยหรือดูแลผปู้ ่ วยในช่วงพกั ฟื นดว้ ยขนั ตอนทีไม่เคยไดร้ ําเรียนมาจาก ครูหรือรุ่นพี จะรู้สึกไม่แน่ใจและไม่กลา้ ดงั นนั การประพฤติปฏิบตั ิในลกั ษณะเป็ นผูต้ าม จึงทาํ ให้ รู้สึกมนั ใจวา่ จะไม่มีอะไรผิดพลาด และถา้ ผิดพลาดก็ยงั สามารถช่วยเหลือกนั ไดอ้ ยา่ งไมม่ ีขอ้ สงสัย เพราะได้ทาํ ตามหลกั เกณฑ์ต่างๆ ทีปฏิบตั ิสืบทดอกนั มานานแล้ว คือ เคยปฏิบตั ิมาเช่นไร ก็ควร ปฏิบตั ิตามกนั ไปเช่นนนั
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 84 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ในทางกลบั กนั กลุ่มผใู้ หข้ อ้ มูลทีตอบวา่ คิดวา่ ตนเองเป็น “ผู้นํา” นนั เพราะมีความคิดวา่ ถา้ เคยปฏิบตั ิสิงใดแล้วไม่มีประสิทธิภาพหรือทาํ ให้เสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายเพิมมากขึน ก็น่าทีจะ ปรับปรุงเปลียนแปลงวธิ ีการปฏิบตั ใิ หม้ ีความเหมาะสมให้มีพฒั นาการมากขึน และมีความกลา้ ทีจะ ปรับเปลียนขนั ตอนต่างๆ ให้เกิดผลลพั ธ์ทีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึน ทงั นีมิใช่ว่าจะ ดาํ เนินการไปโดยพลการแต่จะต้องขอคาํ แนะนาํ หรือปรึกษาหารือกับครูอาจารยห์ รือรุ่นพีก่อน เพอื ให้เกิดความรอบคอบมากทีสุด เพราะการทาํ งานในวิชาชีพของพยาบาลนนั มีผลตอ่ สุขภาพจน ส่งผลถึงชีวิตของผูค้ นอนั เป็ นสิงทีตอ้ งระมดั ระวงั ให้มากทีสุด เพือมิให้เกิดความผิดพลาดเลยหรือ ถา้ จะตอ้ งผิดพลาด กต้ อ้ งใหม้ ีนอ้ ยทีสุดเทา่ ทีจะทาํ ได้ ส่วนกลุ่มผใู้ หข้ อ้ มูลทีตอบว่าคิดวา่ ตนเองเป็ น “ผู้ให้” นนั เพราะมีความคิดวา่ การทาํ งาน เป็ นพยาบาลวชิ าชีพในอนาคตนนั มีคุณคา่ มีเกียรตแิ ละไดท้ าํ บุญดว้ ยการช่วยเหลือผอู้ ืนทีเจ็บป่ วยได้ ดูแลปรนนิบตั ิผูท้ ีกาํ ลังทอ้ แท้ หรือบางคนอาจสินหวงั ในชีวิตเพราะการเป็ นโรคต่างๆ ทีส่งผล กระทบต่อการดาํ เนินชีวติ ในทุกๆ ดา้ น ดงั นนั การทาํ หน้าทีพยาบาลจะเขา้ มาช่วยตรงจุดนีได้ จึงมี ความรู้สึกวา่ ตนเองไดท้ าํ งานทีเป็ นผใู้ ห้กบั ผูอ้ ืนทีกาํ ลงั ตอ้ งการความช่วยเหลือ คาํ ถามข้อทีสาม “ถ้าให้บอกถึงคุณสมบัติของ “พยาบาลในดวงใจ” ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง” คาํ ตอบซึง ผเู้ ขยี นไดร้ ับ มรี ายละเอยี ดดงั นีคือ ตารางที 2.3 แสดงข้อสรุปคณุ สมบัติของ “พยาบาลในดวงใจ” ทกี ลุ่มผู้ให้ข้อมูลชืนชอบ กลุ่มที ต้องการได้รับบริการจากนางพยาบาล 1. มารยาทดี พดู จาไพเราะ ดูแลผปู้ ่ วยดว้ ยใจ 2. อธั ยาศยั ดี มีความออ่ นโยน คล่องแคล่ว นุ่มนวล น่าเชือถือ 3. เอาใจใส่บริการดี บุคลิกดี มีจริยธรรมจรรยาบรรณ 4. รับฟังและเขา้ ใจ ใจดีเอาใจใส่ ใหบ้ ริการดว้ ยความเต็มใจ ความรู้สึกของผปู้ ่ วย ดุจญาติมติ ร 5. ยมิ แยม้ แจ่มใส บริการรวดเร็วทนั ใจ มีความรู้ความสามารถ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 85 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ จากข้อมูลคาํ ตอบในข้อนี สามารถวเิ คราะหไ์ ดถ้ ึงความรู้สึกและความตอ้ งการที เหมอื นกนั ของมนุษยท์ ุกคน คือ มนุษยป์ รารถนาทีจะไดร้ ับการดูแลเอาใจใส่การใหบ้ ริการเป็นอยา่ ง ดี เมือตนเองตอ้ งไปรับบริการจากผูอ้ ืน จึงสะทอ้ นออกมาจากคาํ ตอบในขอ้ นีวา่ ตอ้ งการให้ผทู้ ีจะ มาให้ทาํ หน้าทีเป็ นพยาบาลนัน มีคุณสมบตั ิเป็ นไปในแนวทางทีดูแล้วรู้สึกอบอุ่น นุ่มนวล มี อธั ยาศยั ไมตรีในการให้บริการ รวมทงั สะทอ้ นให้เห็นถึงแนวคิดเมือตนเองจะตอ้ งไปเป็ นพยาบาล วา่ ควรมีคุณสมบตั ิทีดีตามแนวทางทีตอบคาํ ถามนีออกมาดว้ ย จากการเก็บข้อมูลเชิงสํารวจกับกลุ่มผูใ้ ห้ข้อมูลทีเป็ นนักศึกษาพยาบาลในครังนี ทาํ ให้ สามารถวิเคราะห์คาดเดาสถานการณ์ไดถ้ ึงการต้องใช้ความรู้และทกั ษะมากพอสมควรในการ สือสารสุขภาพเพือการดูแลสภาพร่างกายและสภาพจิตใจให้กับผูส้ ูงอายุหรือสมาชิกอืนๆ ใน ครอบครัว โดยควรมีการนาํ ทฤษฎีการดูแลระหวา่ งบุคคลของวตั สันมาใช้ในการสือสารสุขภาพ ระหวา่ งผูส้ ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว เพราะจะทาํ ให้เห็นองคร์ วมของการสือสารระหวา่ งกนั ของสมาชิกในบ้านทีเกิดจากการหลอมรวมกันระหว่างร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ ซึงเป็ น ลกั ษณะเฉพาะของการบาํ บดั และการเยยี วยา เป็ นการสร้างความผาสุกและพฒั นาคุณภาพชีวติ ของ ผสู้ ูงอายเุ ป็ นสาํ คญั โดยไม่อาจทดแทนไดด้ ว้ ยเครืองจกั รหรือเทคโนโลยที างการแพทย์ เพราะการประยุกต์ใช้การสือสารสุขภาพเป็ นการป้องกันและสร้างเสริมสุขภาพ กาย สุขภาพใจให้กับผู้สูงอายุรวมทังสมาชิกในครอบครัวทุกคนอกี ด้วย ซึงมีจุดสําคัญ ของความสัมพนั ธ์ทใี กล้ชิดอบอ่นุ ยอมรับในศักดศิ รีความเป็ นมนุษย์ของกนั และกนั โดยอาศัยความรัก ความเอาใจใส่ ถือเป็ นจุดสําคญั ในการประยุกต์ใช้ทฤษฎกี าร ดูแลของวตั สัน (Jean Watson’s Caring Theory) มาใช้ควบคู่ไปกบั การสือสารสุขภาพ ได้ เพือสร้างความเข้าใจซึงกันและกันอย่างเหมาะสม เป็ นการพฒั นาคุณภาพชีวิตและ ความผาสุกในครอบครัวได้อกี ทางหนึง
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 86 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ภาพที 2.3 บรรยากาศการฝึ กอบรมและเกบ็ ข้อมลู เชิงสํารวจกบั กลุ่มนักศึกษาพยาบาลของผู้เขยี น
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 87 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ภาพที 2.4 บรรยากาศการฝึ กอบรมและเกบ็ ข้อมูลเชิงสํารวจโดยแบ่งนักศึกษาออกเป็ นกลุ่ม และให้โจทย์ปัญหาด้านการสือสารสุขภาพเพือแต่ละกลุ่มช่วยกนั คดิ แก้ไข โดยแสดงออกมาเป็ นคาํ ตอบทางออกของปัญหาจากบทบาทสมมุติ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 88 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ภาพที 2.5 บรรยากาศการฝึ กอบรมและนักศึกษาจําลองเหตุการณ์ทเี กดิ ขนึ โดยใช้ วิธีการสื อสารสุ ขภาพในการแก้ปัญหา
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 89 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ นอกจากการสื อสารสุ ขภาพจะเกียวข้ องกับศาสตร์ สาขาทางด้ านการพยาบาล ศาสตร์ ซึงต้องใช้ความรู้และทักษะทางด้านการดูแลแล้ว ยังมีภารกิจ “การสร้างและ พฒั นานักสือสารสุขภาพ” และ “ระบบการสือสารสุขภาพแห่งชาติ” ซึงเป็นอีกภารกิจหนึง ทีมีความสําคญั มากเช่นกนั เพราะการทีจะทาํ การสือสารสุขภาพไดเ้ ป็ นอยา่ งดีนนั จะตอ้ งมีความรู้ และทกั ษะทีดีและตรงกบั ภารกิจทีตอ้ งออกไปปฏิบตั ิการรวมทงั มีระบบทีดีมารองรับในการทาํ งาน ดว้ ย ดงั นนั จึงมีการศึกษาวิจยั ในประเด็นนีจากการสนบั สนุนของสถาบนั วิจยั ระบบสาธารณสุข ซึง มีวตั ถุประสงคท์ ีจะคน้ หาแนวทางการสร้างและพฒั นานกั สือสารสุขภาพและสร้างขอ้ เสนอระบบ การสือสารสุขภาพแห่งชาติทีเหมาะสมกบั สังคมไทย (มาลี บุญศิริพนั ธ์และคณะ 2549) โดยใช้ วิธีการวิจยั เอกสารจากภายในและต่างประเทศ การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่มและการ ประชุมสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากผูเ้ ชียวชาญ ไดแ้ ก่ แพทย์ เจา้ หนา้ ทีสาธารณสุข ผเู้ ชียวชาญ การส่งเสริมสาธารณสุขขององคก์ รทงั ในประเทศและต่างประเทศ นกั วชิ าการดา้ นการสือสาร นกั วชิ าการสาธารณสุข สือทอ้ งถินและนกั สือสารสุขภาพทอ้ งถิน สรุปผลการศึกษาวจิ ัยได้ดงั นีคือ ตารางที 2.4 แสดงรายวชิ าในหลกั สูตรต้นแบบการพฒั นานักสือสารสุขภาพ จํานวน ชือรายวชิ า 1. การสือสารและการสือสารสุขภาพ 2. ความรู้เรืองสุขภาพและทกั ษะการสือสารสุขภาพ 3. ทกั ษะการผลิตสือเพอื การสือสารสุขภาพ 4. การวางแผนการสือสารสุขภาพ 5. กลยทุ ธ์การสือสารสุขภาพ 6. การสร้างเครือขา่ ย 7. การฝึ กงานชุมชน 8. ทกั ษะการสือสารทีปฏิบตั ิไดใ้ นสถานการณ์จริง เนน้ การฝึ กอบรมเชิงปฏิบตั กิ ารเกียวกบั สถานการณ์สุขภาพ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 90 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ สําหรับแบบจําลอง “ระบบการสื อสารสุขภาพแห่งชาติ” ทีเหมาะสมกับ สังคมไทยนัน เป็น “ระบบการสือสารสุขภาพ” ซึงประกอบดว้ ยกิจกรรมการสือสารในเรืองของ สุ ขภาพเพือการดํารงอยู่ทางชีวภาพ อันหมายถึง การมีสุขภาวะทีดี เป็ นกระบวนการทีมี องคป์ ระกอบสาํ คญั ดงั นีคือ 1) นักสือสารสุขภาพ เป็นองคป์ ระกอบสาํ คญั โดยตอ้ งเป็นผทู้ ีมีปณิธานในการทาํ งาน เพือสุขภาพทีดีของประชาชนโดยรวม จึงควรมีสํานึกสาธารณะ มีความเชียวชาญในการสือสาร สุขภาพ เป็ นนกั สือสารเชิงกลยุทธ์ทีสามารถวางแผนบริหารจดั การและดาํ เนินงานการสือสาร สุขภาพใหส้ ัมฤทธิผลตามความคาดหวงั ได้ หนา้ ทีของนกั การสือสารสุขภาพ คือ การจดั การสือสาร เชือมโยงเครือขา่ ยนกั สือสารสุขภาพทงั ระดบั ทอ้ งถินและส่วนกลาง ไดแ้ ก่ -เจา้ หนา้ ทีสาธารณสุข อาสาสมคั รสาธารณสุขหมูบ่ า้ น -สือมวลชนทอ้ งถิน -สือมวลชนส่วนกลาง -เจา้ หนา้ ทีองคก์ ารบริหารส่วนทอ้ งถิน -ประชาชนทีมีจติ อาสา -ผทู้ ีเห็นความสาํ คญั ของการสือสารสุขภาพ -นกั วชิ าการ เป็ นตน้ 2) เนือหาสุขภาพ เป็ นอีกองค์ประกอบหนึงในระบบการสือสารสุขภาพทีจาํ เป็ นตอ้ งมี คุณภาพ ในดา้ นรูปแบบทีเขา้ ใจง่าย ถูกตอ้ ง ไม่มีนยั ยะทางการคา้ มีรูปแบบการนาํ เสนอทีเขา้ ใจง่าย สําหรับคนทวั ไป และมีเนือหาสาระทีเป็ นการส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความรู้ความเขา้ ใจเรือง สุขภาพในระดบั ทีสามารถพึงพาตนเองดูแลรักษาส่งเสริม และฟื นฟูสุขภาพของตนเองและคนใกล้ ชิดไดเ้ ป็นเบืองตน้ 3) ช่องทางการสือสาร หมายถึง สือต่างๆ ทงั ในระดบั มวลชนและระดบั ทอ้ งถิน ไดแ้ ก่ สือกระจายเสียง สือสิงพมิ พ สืออินเทอรเน็ต สือบุคคล สือประเพณี สือทองถิน สือเฉพาะกิจ ฯลฯ ซึงจาํ เป็นตอ้ งเปิ ดพืนทีสาํ หรับเนือหาขา่ วสารดา้ นสุขภาพอยา่ งตอ่ เนืองและถาวร 4) ประชาชน เป็ นกลุ่มเป้าหมายของระบบการสือสารสุขภาพ ทีได้รับการคาดหวงั ให้ ปรับเปลียนทศั นคติและพฤติกรรมสุขภาพสู่การมีสุขภาวะทีดีหากไดร้ ับข่าวสารขอ้ มูลดา้ นสุขภา พอยา่ งถูกตอ้ งและเพียงพอตามความตอ้ งการได้ ซึงกระบวนการสือสารสุขภาพจะเอือใหป้ ระชาชน สามารถเขา้ ถึงและใชข้ อ้ มูลสุขภาพเพือประโยชน์ในการปกป้องสุขภาพทีดีของตนเองไดใ้ นระดบั
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 91 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ หนึง องคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ดงั กล่าวขา้ งตน้ มีความเชือมโยงกนั ใน “ลกั ษณะกระบวนการสือสารทีจะ ก่อให้เกดิ ผลสัมฤทธิ 3 ระยะ” คือ ตารางที 2.5 แสดงลกั ษณะกระบวนการสือสารทจี ะก่อให้เกดิ ผลสัมฤทธิ 3 ระยะ ระยะ ลกั ษณะกระบวนการ(สือสาร) ทจี ะก่อให้เกดิ ผลสัมฤทธิ 3 ระยะ ระยะที 1 หรือ เป็ นการสือสารและกจิ กรรมการสือสารทุกระดับ อนั เกิดจากการสือสารทีมีคุณภาพ ระยะต้น ในสือตา่ ง ๆ เช่น รายกาโทรทศั น์ รายการวทิ ยุ บทความในหนงั สือพิมพ์ สือเฉพาะ กิจ โครงการรณรงค์ด้านสุขภาพ ฯลฯและเมือประชาชนสามารถเขา้ ถึงเนือหา ระยะที 2 ข่าวสารในสือดงั กล่าได้สมาํ เสมอแล้วย่อมจะเกิดผลต่อไปในระยะกลางหรือ หรือ ระยะที 2 ระยะกลาง การปรับเปลียนทัศนคติและพฤติกรรมสุขภาพ อันเนืองมาจากการได้รับรู้เนือหา ระยะที 3 ข้อมูลสุขภาพอย่างเพียงพอ ทาํ ให้ประชาชนเริมเรียนรู้ปรับทศั นคติและเปลียน หรือ พฤติกรรมเกียวกบั สุขภาพ ทีจะนาํ ไปสู่สุขภาวะทีดีสามารถพึงพาตนเองดว้ ยการ ระยะยาว ดูแลรักษาฟื นฟูและส่งเสริมสุขภาพในส่วนทีพอทาํ ไดแ้ ละหากประชาชนต่างมี พฤติกรรมทีเหมาะสมเกียวกบั สุขภาพของตนเองอยา่ งกวา้ งขวาง ก็จะมีแนวโนม้ ไป ถึงผลลพั ธ์ในระยะยาวหรือระยะที 3 เป็ นระยะทีประชาชนจะมีสุขภาพดีในอัตราทีสูงขึน เพราะได้รับขอ้ มูลเพียงพอ และเกิดการเปลียนแปลงทศั นคตริ วมทงั พฤติกรรมสุขภาพแลว้ ซึงถือเป็นการบรรลุ เป้าหมายสูงสุดของระบบการสือสารสุขภาพ คือ ประชาชนไทยมีสุขภาวะดีนาํ ไปสู่ สงั คมสุขภาพดี โดยประเด็นสําคญั คือ การบริหารระบบการสือสารสุขภาพตอ้ งคาํ นึงถึงบริบทของ สังคมไทยในเรืองสถานการณ์ทางสุขภาพ วฒั นธรรมการสือสาร ประเพณีและความเชือ โดยมี กลไกทีเป็ นปัจจยั สนบั สนุน คือ นกั สือสารสุขภาพทงั หลาย รวมทงั เครือข่ายนกั สือสารสุขภาพทีมี ประสิทธิภาพ นโยบายและกฎหมายเกียวกบั สุขภาพ แหล่งขอ้ มูลสุขภาพ การสร้างนกั สือสาร สุขภาพ อย่างมีพลวตั ในการขบั เคลือนให้สามารถสนองตอบความต้องการของสังคมไทยได้ ตลอดเวลา โดยนักสือสารสุขภาพจะเป็ นผูเ้ ปิ ดช่องทางการสือสารในแนวนอน (Horizontal Communication) ซึงสามารถเป็ นผปู้ ระสานและตวั เชือมทีจะทาํ ให้สือดา้ นสุขภาพเขา้ ถึงประชาชน ไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง เนน้ การสือสารสองทาง (Two way communication) เพือใหก้ ารสือสารเป็ น
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 92 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ เครืองมือทีจะปฏิรูปสังคมจนเกิดการปรับเปลียนพฤติกรรมทางสุขภาพของประชาชนทวั ประเทศ ต่อไปในทีสุด นอกจากนันยังมีงานศึกษาหลักสูตรทีเกียวข้องกับความเป็ น “นักสือสาร สุขภาพ” โดย กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรือรังสํานักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (2559) ทีไดท้ าํ การศึกษาเพอื สรุปจุดเด่นของหลกั สูตร “การสร้างและพฒั นาศกั ยภาพผูใ้ ห้คาํ ปรึกษา ในการปรับเปลียนพฤตกิ รรม” โดยมีวตั ถุประสงคเ์ พอื สร้างและพฒั นาศกั ยภาพในการใหค้ าํ ปรึกษา เพอื ปรับเปลียนพฤติกรรมและสามารถจดั การความเสียงทีสาํ คญั ของโรคไม่ติดตอ่ เรือรัง ตามระยะ ความพร้อมในการปรับเปลียนพฤติกรรมของผูป้ ่ วยทีมารับบริการ เพือให้ผูป้ ่ วยได้รับบริการ ปรับเปลียนพฤติกรรม เพอื ป้องกนั หรือชะลอภาวะแทรกซอ้ น เพือแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั ในกลุ่ม ผูป้ ฏิบตั ิงานและเพือในเกิดการพฒั นาต่อเนืองได้ โดย “ผใู้ หบ้ ริการ” ในการศึกษาครังนี หมายถึง ผชู้ ่วยเหลือผูป้ ่ วยทงั ทีเป็ นทางการและไมเ่ ป็นทางการ เช่น แพทย์ พยาบาล เภสัชกร นกั วิชาการสา ธารสุข โภชนากร นกั กายภาพบาํ บดั โดยพบวา่ เป็ นหลกั สูตรทีทาํ ให้สามารถประยกุ ตใ์ ชแ้ ละการต่อยอดองคค์ วามรู้ในการดูแล สุขภาพผรู้ ับบริการไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ และสามารถจดั การความเสียงทีสําคญั ของโรคไม่ติดต่อ เรือรังไดต้ ามระยะความพร้อมในการปรับเปลียนพฤตกิ รรมของผูร้ ับบริการ รวมทงั การใชก้ ลยทุ ธ์ในการโนม้ นา้ วใจ คือ นอกจากผใู้ ห้บริการดา้ นสุขภาพดาํ เนินการให้ ผูป้ ่ วยทราบขอ้ มูลปัญหาสุขภาพของตนเองแลว้ การจดั กลุ่มสนทนาระหว่างผูป้ ่ วยดว้ ยกนั เพือให้ ผูป้ ่ วยไดพ้ บปะพุดคุยปัญหาสุขภาพร่วมกนั การแลกเปลียนประสบการณ์ของผูป้ ่ วยแต่ละคนใน เรืองปัญหาสุขภาพเป็ นอีกแนวทางหนึงทีสามารถช่วยให้ผูป้ ่ วยไดม้ องเห็นปัญหาของตนเองได้ ชดั เจนขึน ทีสําคญั คือ ผูใ้ ห้บริการดา้ นสุขภาพไม่ควรเร่งรัดจนกว่าผูป้ ่ วยจะพร้อมในการจดั การ ตนเอง ดังนี 1) การตดั สินใจร่วมกนั - โดยการสร้างประเด็นร่วมกนั 2) การให้ข้อมลู - โดยการใช้การถาม การบอก การถาม 3) การให้ข้อมูล - ปิ ดการสนทนา 4) การมสี ่วนร่วมในการตัดสินใจ - การประเมนิ ความพร้อมในการปรับเปลยี น 5) การมสี ่วนร่วมในการตัดสินใจ – การตังเป้าหมาย ซึงมีรายละเอียดในแต่ละกลยทุ ธ์ สรุปไดด้ งั นี
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 93 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ตารางที 2.6 รายละเอยี ดกลยุทธ์ในการสนับสนุนการจดั การตนเอง กลยุทธ์ รายละเอยี ดในแต่ละกลยุทธ์ กลยทุ ธ์ที 1 ปัจจุบนั การดูแลรักษาผู้ป่ วยแบบเดิม คือ เมือผปู้ ่ วยมาโรงพยาบาล การตัดสินใจร่วมกัน - พยาบาลจะประเมินอาการ โดยการซกั ประวตั ิผปู้ ่ วย วดั สญั ญาณชีพ และ โดยการสร้ างประเด็น ส่งใหแ้ พทยท์ าํ การตรวจร่างกายและใหก้ ารรักษา ผปู้ ่ วยรับการจ่ายยาจาก เภสัชกรและกลบั บา้ น ซึงการปฏิบตั ิแบบเดิม ๆ นี บุคลกรทางการแพทย์ ร่วมกนั จะเป็ นผคู้ วบคุมขนั ตอนการรักษาทงั หมด จากการศึกษาในผูป้ ่ วยทีมาพบแพทยจ์ ากจาํ นวน 264 ราย พบวา่ ขณะที ผูป้ ่ วยกาํ ลงั เล่าอาการของตนเองให้แพทยฟ์ ังนนั แพทยจ์ ะทาํ การรบกวน การเล่านนั ทุก ๆ 23 วนิ าที (Marvel et al., 1999) ขณะทกี ารสนับสนุนการจัดการตนเอง (Self-Management) นนั เนน้ การ มีส่วนร่วมระหว่างผูใ้ ห้บริการและผูป้ ่ วยในการรักษา การปรับเปลียน พฤติกรรม การวางแผนการปฏิบตั ิกิจกรรม และการวางเป้าหมายร่วมกนั (อารีย์ เสนีย์ 2557) โดยใชท้ กั ษะการให้คาํ ปรึกษา การสร้างแรงจูงใจตาม แนวคดิ ทฤษฎี Motivational interviewing (MI) คือ ใชก้ ระบวนการการ สือสาร การพูดคุยกนั การให้ขอ้ มูลข่าวสาร (ปัญหาสุขภาพ อาการแสดง ความก้าวหนา้ ของโรค ผลการตรวจเลือด การรับประทานยา) ในการ เริมตน้ การสนทนาผูใ้ ห้บริการจาํ เป็ นตอ้ งวางแผนว่าการพบกันครังนี ผใู้ หบ้ ริการจะ มีวาระหรือประเด็นอะไรทีคุยกบั ผปู้ ่ วยและเมือผูใ้ หบ้ ริการ เปิ ดประเดน็ ผปู้ ่ วยตอ้ งเป็นผตู้ ดั สินใจทีจะพูดคุยดว้ ย กลยทุ ธ์ที 2 การให้ข้อมูลในปัจจุบันพบว่า เป็ นการให้ขอ้ มูลเกียวกบั โรค แนว การให้ข้อมูล ทางการรกั ษา การรับประทานยา การปฏิบตั ิตวั การดูแลตนเอง แมก้ ระทงั -โดยการใช้การถาม การปรับเปลียนพฤติกรรมสําหรับผูป้ ่ วย ผูใ้ ห้บริการโดยเฉพาะแพทย์ พยาบาล นกั วชิ าการสาธารณสุข นกั วิชาการสุขศึกษา นกั โภชนาการ นกั การบอก การถาม กายภาพบาํ บดั หรือเภสชั กรจะเป็น ผใู้ ห้ขอ้ มูลแก่ผปู้ ่ วยโดยตรงตามบริบท ปัญหาสุขภาพทีผูป้ ่ วยเผชิญ จากการศึกษาทีผา่ นมาในต่างประเทศพบวา่ ร้อยละ 76 ของผูป้ ่ วยเบาหวานชนิดที 2 ทีไม่ตอ้ งใชย้ าฉีด หรือพึงพา อินซูลินและเข้ามาตรวจรักษาในคลินิก มักจะได้ข้อมูลความรู้เรือง เบาหวานนอ้ ยมาก หรือบางคน ไม่ไดร้ ับความรู้เรืองเบาหวานเลย
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 94 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ กลยุทธ์ รายละเอยี ดในแต่ละกลยุทธ์ และมีการศึกษาจาํ นวนมาก ทีพบวา่ ครึงหนึงของจาํ นวนผปู้ ่ วยเบาหวาน ทีไปรับบริการทีคลินิกหรือโรงพยาบาลไม่เขา้ ใจขอ้ มูลทีแพทยอ์ ธิบายให้ ฟัง ขณะทีผูป้ ่ วยทีเป็ นคนกลุ่มทีน้อยจะได้รับขอ้ มูลเกียวกับการตรวจ การรกั ษา อาการของโรค ความกา้ วหนา้ ของโรค (วลั ลา ตนั ตโยทยั 2553) ในทางกลบั กนั บางครังผูป้ ่ วยได้รับขอ้ มูลมากเกินไป เช่น เวบ็ ไซด์ของ สมาคมเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกา ไดแ้ สดงรายการความรู้และทกั ษะที ผูป้ ่ วยเบาหวานควรตอ้ งทราบไวถ้ ึง 26 รายการ ดงั นนั ผูป้ ่ วยบางคนอาจ เกิดการสับสนในขอ้ มูลต่างๆ มากกวา่ จะเป็ นประโยชน์ เนืองจากผทู้ ีเขา้ มาอ่านนนั จะเป็นวยั ผูใ้ หญ่ การเรียนรู้ในวยั ผใู้ หญ่นนั ส่วนใหญ่จะเรียนรู้ ไดด้ ว้ ยตนเอง ปัญหาทีเกิด คือ บางครังขอ้ มูลไม่ไดเ้ รียงลาํ ดบั ขนั ตอน วา่ ขนั ตอนใดมาก่อน-หลงั ดงั นนั ขอ้ มูลเหล่านนั อาจก่อปัญหาให้กบั ผูท้ ีเรียนรู้ดว้ ยตนเองอย่างมาก เทคนิคทีเหมาะสมกบั ผเู้ รียนทีเรียนรู้ดว้ ยตนเองวธิ ีการหนึง คือ “elicit-respond-elicit หรือ ถาม-ตอบ-ถาม” วิธีการนีเป็ นวิธีการให้ขอ้ มูลสําหรับผปู้ ่ วย วธิ ีการนีเป็ นวธิ ีการแกป้ ัญหา เรืองการไม่ได้รับขอ้ มูล การทีผูป้ ่ วยซักถามโดยตรงนนั เป็ นการแกไ้ ข ปัญหาเรืองการไม่เขา้ ใจเนือหาหรือวิธีการดูแลตนเอง เมือเรียนรู้จาก ขอ้ มูลข่าวสารต่างๆ ดว้ ยตนเอง ผใู้ ห้บริการสามารถจะถามคาํ ถามใหม่ๆ เกียวกบั เรืองเบาหวาน เช่น คุณรู้ อะไรบา้ งเกียวกบั โรคเบาหวาน หรือคุณอยากจะรู้อะไรเพิมเติมเกียวกบั โรคเบาหวาน เมือผปู้ ่ วยถาม ผใู้ ห้บริการตอบคาํ ถามหรือใหข้ อ้ มูลเพิมเติม และถามหรือทวนสอบวา่ ผูป้ ่ วยเขา้ ใจขอ้ มูลทีผูใ้ ห้บริการให้ไปหรือไม่ และ อาจถามเพิมเติมว่าผปู้ ่ วยวตอ้ งการทราบอะไรเพิมเติมเกียวกบั เรือง การดูแลตนเองหรือไม่ การถามของผู้ป่ วย และการตอบคําถามของผูใ้ ห้บริการโดยตรงนัน อาจจะครอบคลุมเนือหาทังหมดทีผูป้ ่ วยเขา้ ไปศึกษาด้วยตนเองซึงผู้ ใหบ้ ริการใหเ้ อกสารคูม่ ือหรืออา่ นทาง website ก็ได้
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 95 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ กลยทุ ธ์ รายละเอยี ดในแต่ละกลยทุ ธ์ กลยทุ ธ์ที 3 การให้ข้อมลู วิธีการหรือเทคนิคนีเป็ นเทคนิคทีสอดคล้องกับ เทคนิคการถาม -ปิ ดการสนทนา ตอบ ถาม ซึงเป็ นกระบวนการทีสําคัญ ในการศึกษาทีผ่านมาพบว่า มี เพียงร้อยละ 12 ของการพูดคุยเรืองการปรับเปลียนพฤติกรรม หรือการ กลยทุ ธ์ที 4 พูดคุยเรืองขอ้ มูลของยาชนิดใหม ดังนนั จึงมีคาํ ถามว่า แพทยผ์ ูท้ ีรักษา การมีส่ วนร่ วม ผปู้ ่ วยเบาหวานนนั เคยสอบถามความเขา้ ใจจากผปู้ ่ วยเกียวกบั วธิ ีการรักษา ในการตัดสินใจ – หรือขอ้ มูลทีแพทยไ์ ดใ้ หผ้ ปู้ ่ วยวา่ ผปู้ ่ วยนนั เขา้ ใจในสิงทีแพทยไ์ ดอ้ ธิบาย การประเมิน หรือไม่ หรือพยาบาลทีให้คาํ แนะนาํ เรืองการปฏิบตั ิตวั สําหรับผูป้ ่ วย ความพร้อม เบาหวานเรืองการดูแลเทา้ การลดการรับประทาน อาหารหวาน พยาบาล ในการปรับเปลยี น ไดเ้ คยทวนสอบกบั ผูป้ ่ วยหรือไม่วา่ ผูป้ ่ วยไดเ้ ขา้ ใจในสิงทีพยาบาลไดใ้ ห้ ขอ้ มูลกบั ผปู้ ่ วยหรือเขา้ ใจถูกตอ้ งหรือไม่ เทคนิคทีจะช่วยประเมินความเข้าใจของผู้ป่ วยนันเรียกว่า ปิ ด การสนทนา เมือถามผู้ป่ วยเกียวกับข้อมูลทีแพทย์หรือพยาบาลให้ผู้ป่ วย เกยี วกบั โรค การรักษา การดูแลตนเองเรืองอาหาร การออกกาํ ลังกาย ฯลฯ โดยทัวไปพบว่ามีเพยี ง ร้อยละ 47 ของผู้ป่ วยทีเข้าใจข้อมูลทีแพทย์ หรือ พยาบาลให้ในเวลานันๆ จากการศึกษาทีผา่ นมาพบว่า เมือผูป้ ่ วยทีสามารถบอกหรือให้ ข้อมูลกลับทีถูกต้องได้ ผู้ป่ วยมีแนวโน้มทีจะพัฒนาตนเอง หรื อ ปรับเปลียนตนเอง ซึงเป็ นผลดีต่อการควบคุมระดบั นาํ ตาลในกระแส เลือดได้ จะเห็นวา่ จากบทสนทนา สามบรรทดั สุดทา้ ยของการใชก้ ลยทุ ธ์ การถาม ตอบ ถาม นนั คือ การปิ ดการสนทนา ปัจจุบนั การรักษาแบบเดมิ คือ การทีผูใ้ ห้บริการโดยเฉพาะแพทย์ หรือพยาบาลทีดูแลผูป้ ่ วยโรคเรือรังจะเป็ นผูใ้ ห้คาํ แนะนําหรือบอกให้ ผูป้ ่ วยปรับเปลียนวิถีการดาํ เนินชีวิต หรือปรับเปลียนพฤติกรรม เช่น คุณ ตอ้ งเลิกสูบบุหรี ถา้ คุณตอ้ งการควบคุมให้ระดบั นาํ ตาลในเลือดของคุณ อยใู่ นระดบั ปกติคุณตอ้ งออกกาํ ลงั กายอยา่ งนอ้ ย 30 นาทีต่อวนั ดิฉันกาํ ลงั อธิบายเรืองยาตวั ใหม่ทีใช้ลดไขมนั ในเลือดทีให้คุณไปรับประทานเพิม ในวนั นี ขณะเดียวกนั การสนบั สนุนการจดั การตนเองนนั จะเป็ นรูปแบบ การดูแล/การรักษาทีเนน้ ให้ผูป้ ่ วยมีส่วนร่วมในการตดั สินใจในการดูแล สุขภาพของตนเอง หรือการปรับเปลียนพฤตกิ รรมของตนเอง
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 96 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ กลยทุ ธ์ รายละเอยี ดในแต่ละกลยทุ ธ์ กลยุทธ์ที 5 เพือให้สุขภาพของผูป้ ่ วยดีขึน ผูใ้ ห้บริการตอ้ งกระตุน้ โน้มน้าว เพือให้ การมีส่ วนร่ วม ผูป้ ่ วยเป็ นผูต้ ดั สินใจในการปรับเปลียนพฤติกรรมดว้ ยตวั ของผูป้ ่ วยเอง ในการตดั สินใจ – ถา้ ผปู้ ่ วยไมต่ อ้ งการหรือไม่อยากทีจะทาํ กิจกรรมใดๆ แลว้ ทา้ ยทีสุดผูป้ ่ วย การตังเป้าหมาย ท่านนนั ก็จะไม่กระทาํ กิจกรรมนนั ๆ แมว้ า่ ผูใ้ ห้บริการจะบอกวา่ ดีหรือมี ประโยชน์ ดงั นนั ก่อนทีดาํ เนินการโนม้ นา้ วใจหรือเสนอแนะให้ผปู้ ่ วยทาํ การปรับเปลียนพฤติกรรม ผใู้ หบ้ ริการจาํ เป็ นตอ้ งประเมินความพร้อมใน การปรับเปลียนพฤติกรรมของผูป้ ่ วยก่อนเสมอ ในปัจจุบนั การประเมิน จะใชร้ ูปแบบของทฤษฎี Transtheoretical Model of Health Behavior Change โดยแบ่งระดบั ความพร้อมการเปลียนแปลงออกเป็น 5 กลุ่ม ดงั นี (Prochaska & Velicer, 1997) 1) Pre contemplation: กลุ่มนีจะไม่สนใจปรับเปลียนพฤติกรรม ใด ๆ ภายใน 6 เดือน 2) Contemplation:กลุ่มนีมีการคดิ เรืองการปรับเปลียนพฤตกิ รรม 3) Preparation: กลุ่มนีจะดําเนินการปรับเปลียนพฤติกรรม ภายใน 1 เดือน 4) Action: ทาํ การปรบั เปลียนพฤติกรรมทีตงั เป้าหมายไว้ 5) Maintenance: กลุ่มทีสามารถดาํ รงพฤติกรรมทีดีต่อสุขภาพได้ ถึงตงั แต่ 6 เดือน จนถึง 5 ปี การตงั เป้าหมายเป็ นส่วนหนึงของการใชก้ ระบวนการสือสารใน ทฤษ ฎีของการส ร้ างแรงจู งใจ ต ามแน วคิดทฤษ ฎีMotivational interviewing (MI) หากตอ้ งการประเมินความ พร้อมของผูป้ ่ วยเพือใช้ ในการปรับเปลียนพฤติกรรมแลว้ ผูเ้ ชียวชาญทางด้านการจดั การตนเอง สนับสนุนให้ใช้แนวทางของ MI เนืองจาก MI จะสนับสนุนให้ผู้ ใหบ้ ริการประเมินระดบั ของการให้ความสาํ คญั ต่อกิจกรรมทีจะใชใ้ นการ ปรับเปลียนพฤตกิ รรมและระดบั ความมนั ใจทีจะดาํ เนินกิจกรรม หลงั จาก นนั ผใู้ หบ้ ริการจึงสนบั สนุนหรือโนม้ นา้ วหรือให้ขอ้ มูล เพือให้ผปู้ ่ วยเขา้ ไปสู่ระยะพร้อมจะปรับเปลียน เพือช่วยผู้ป่ วยตังเป้าหมายการปฏิบัติ กิจกรรม เพราะการตังเป้าหมายในการจัดการตนเองนัน คือ ผลลพั ธ์ที ผู้ป่ วยตกลงร่วมกบั ผู้ให้บริการว่าจะปฏิบตั ิ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 97 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ กลยทุ ธ์ รายละเอยี ดในแต่ละกลยทุ ธ์ ปกติจะเป็นผลลพั ธ์หรือเป้าหมายในระยะสันๆ การตังเป้าหมายจะประสบความสําเร็จได้นัน ผู้ป่ วยจะต้องเขียน แผนปฏิบตั ิการทีปฏิบตั ิไดจ้ ริงอยา่ งเป็นทางการใหก้ บั ผใู้ ห้บริการ การตงั เป้าหมายจึงเป็นกระบวนการและแผนปฏิบตั ิการ เป็ นผลลพั ธ์ทีได้ จากกระบวนการ การลงมือปฏิบตั ิเป็ นเรืองเฉพาะเจาะจง เช่น เดินรอบๆ สวนสาธารณะ ก่อนเทียง จาํ นวนสองรอบในวนั จนั ทร์วนั พุธและวนั เสาร์ หรือ การลด การรับประทานขนมคุกกีจากวนั ละสามชินเหลือวนั ละชิน ขอ้ ตกลงทีปรากฏอยใู่ นแผนปฏิบตั ิการนนั เป็นขอ้ ตกลงร่วมกนั ขนั ตอนการกาํ หนดเป้าหมายนี ผูใ้ ห้บริการใช้หลักการสือสารโดยใช้ วิธีการของ MI ในการช่วยใหผ้ ูป้ ่ วยสามารถตงั เป้าหมายในการปฏิบตั ิ กิจกรรม การวางเป้าหมายทีใช้ในการจดั การตนเองนัน มีพืนฐานมาจากทฤษฎี ความสามารถแห่งตน หรือ Self efficacy ความสามารถแห่งตนในทีนี คือ ระดับความมันใจทีผู้ป่ วยสามารถปฏิบัติ กิจกรรมทีใช้ ในการปรั บเปลียนพฤติกรรมให้ บรรลุคว ามสํ าเร็ จตาม เป้าหมายทตี ังไว้
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 98 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 2.4 งานวิจัยการสือสารสุขภาพในประเทศไทยโดยผู้เขียนและ นักวิจยั อืนๆ ประเด็นทีเกยี วข้องกบั กระบวนการสือสาร ด้าน “ผู้ส่งสาร” (Sender) ผู้เขียนได้ศึกษาวิจัยเรือง “การสือสารสุขภาพกับชุมชนคนพัทลุง” (ณัฐนันท์ ศิริเจริญ 2555) โดยมีทีมาและความสําคญั ของปัญหาเฉพาะพืนทีการทาํ วิจยั คือ การสือสารสุขภาพกับ ชาวบา้ นในจงั หวดั พทั ลุงทีเขา้ มารับการรักษาโรคภยั ไขเ้ จ็บหรือภาวะอาการของโรคตา่ งๆ ถือเป็ น อีกหนึงปัจจยั สําคญั ทีจะช่วยให้ความเขา้ ใจในการป้องกัน ดูแล รักษาสุขภาพหรือซ่อมแซมลด นอ้ ยลง เพราะประชาชนในทอ้ งถินนีมีความรู้ ความตระหนกั ในการดูแลรักษาสุขภาพเป็ นอย่างดี จากนักสือสารสุขภาพ ทีควรจัดให้มีบุคลากรในตาํ แหน่งนีขึนมารับผิดชอบโดยตรง โดยมี วตั ถุประสงคส์ าํ คญั คือ 1. เพอื ศึกษาให้ทราบถึงวธิ ีการสือสารดา้ นสุขภาพกบั ประชาชนในทอ้ งถิน เฉพาะ ซึงตอ้ งใชว้ ธิ ีการและกลยทุ ธท์ ีแตกตา่ งกนั ไปในแต่ละพืนที 2. เพือสามารถนาํ ผลการศึกษาที ได้ไปประยุกต์ใช้กบั พืนทีอืนๆ ทีมีขนบธรรมเนียมประเพณี วฒั นธรรมวิถีชีวิตความเป็ นอยู่ที ใกลเ้ คียงกนั 3. เพือใหก้ ลุ่มผสู้ ูงอายุตระหนกั เรืองการดูแลสุขอนามยั ของตน และการรักษาความ สะอาดรวมทงั การสร้างสภาพแวดล้อมทีดีของชุมชน 4. เพือให้กลุ่มผสู้ ูงอายุมีความตืนตวั ในการ เขา้ ร่วมกิจกรรมทีเกียวขอ้ งกบั การส่งเสริมสุขอนามยั และสภาพแวดลอ้ มของครอบครัวและชุมชน แนวคิดทฤษฎีการสือสารสุขภาพในกลุ่มคนวัยทาํ งาน พ่อบ้าน แม่บ้าน และผู้สูงอายุ ใน การศึกษาวจิ ัยครังนี คือ ทฤษฎกี ารดูแลของวัตสัน (Watson’s Caring Theory) เป็ นทังปรัชญาและ ทฤษฏีทางการพยาบาล มีจุดเน้นทีการดูแล (Caring) ภายใต้อิทธิพลทางด้านมานุษยวิทยา (จุฬา วิทยานุกรม 2554) ความเชือพืนฐานของทฤษฎีการดูแลของวตั สัน เพราะเขาเชือว่า การดูแลเป็ น พืนฐานของความเป็ นมนุษย์ และการพยาบาลคือศาสตร์แห่งการดูแลมนุษย์ (Human caring science) เป้าหมายของการดูแลคือการช่วยเหลือบุคคลให้คน้ พบภาวะดุลยภาพ (Harmony) ของ ร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ วตั สันให้ความสําคญั กบั ความเป็นมนุษยใ์ นแง่ของการเคารพในศกั ดิศรี ของทุกคน ให้ความสําคัญกับประสบการณ์ของบุคคล และเชือว่าการพยาบาลคือศิลปะและ สุนทรียศาสตร์ (Art & Aesthetic) ดงั คาํ กล่าวของวตั สันทีวา่ “ความงามและศิลปะเป็ นส่วนหนึงของ การนําไปสู่การพยาบาลทเี น้นรูปแบบการดูแลทีเข้าถึงจิตใจกนั ระหว่างคนสองคน (Transpersonal caring model)” ทงั นีเพราะการเขา้ ถึงจิตใจกนั ระหวา่ งคนสองคน (พยาบาลกบั ผูป้ ่ วย) ตอ้ งอาศยั การขจดั เส้นแบง่ ของคนสองคนและลดอตั ตา (Ego) ของแตล่ ะฝ่ าย ใหค้ วามสําคญั กบั ความรู้สึกของ อีกฝ่ าย มีการสร้างสร้างสมั พนั ธภาพ เพอื ให้เกิดการเชือมโยงของประสบการณ์ชีวิตของทงั สองฝ่ าย
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 99 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ จนหลอมรวมกนั เป็ นหนึงเดียว โดยใชท้ งั การพยาบาล ศิลปะและสุนทรียศาสตร์ ไดแ้ ก่ ดนตรี ภาพ ศิลปะ กาพย์ โคลง กลอน ฯลฯ ไปจนถึง ความเมตตา (Compassion) สัมมาสติ (Mindfulness) การ ทาํ สมาธิ (Meditation) เพอื ชีนาํ การปฏิบตั ิการพยาบาลจนเกิดการเยียวยา (Healing) ซึงนาํ ไปสู่ความ สมดุล (Harmony) เป็ นอนั หนึงอนั เดียวกนั ของร่างกาย จติ ใจและจิตวญิ ญาณ ไดพ้ บปัญหาพฤติกรรมของคนในท้องถินทีส่งผลกระทบต่อสุขภาพความเจ็บป่ วยของ ประชาชนในพนื ทีพทั ลุง เช่น ตารางที 2.7 แสดงปัญหาพฤตกิ รรมของคนในท้องถนิ ทสี ่งผลกระทบต่อสุขภาพ เรืองที พฤตกิ รรมของ ส่ งผลกระทบ คนในท้องถิน ต่อสุขภาพ 1. ไม่ระมัดระวังในพฤติกรรมการ เกิดปัจจยั เสียงและอาการของโรคตา่ งๆ เช่น บริ โภค เช่น ชอบกินอาหารและ เบาหวาน เครืองดืมทีมีไขมนั ขนมทีมีรสชาติ ความดนั โลหิต หวานมากๆ หวั ใจ เกา๊ ส์ ฯลฯ 2. มีประเพณี นิยมทีชาวบ้านแต่ละ ก ลัว ข อ ง เ ห ลื อ เ สี ย ด า ย ข อ ง จึ ง พ ย า ย า ม ครอบครัวจะทาํ กับขา้ วไปทาํ บุญที รับประทานอาหารทีทาํ มารวมๆ กนั ให้หมด ทาํ วดั พร้อมๆ กนั ใหเ้ กิดการสะสมของไขมนั คอเลสเตอรอล ฯลฯ 3. ไมร่ ะมดั ระวงั อุบตั ิเหตุภายในบา้ น สะดุดหกลม้ บาดเจ็บตามร่างกาย เช่น หวั แตก หวั เขา่ กระแทก บาดแผลถลอก ฯลฯ 4. ไมด่ ูแลสุขภาพในช่องปาก การเคียวอาหารไม่ละเอียด ทาํ ให้เป็นสาเหตุของ ปัจจยั เสียงเกิดทอ้ งผกู อาหารไม่ยอ่ ย เหงือกบวม อกั เสบ เกิดแผลในช่องปาก ฯลฯ จากขอ้ มูลทงั หมดผูเ้ ขียนเห็นปัญหาทีเกิดขึนและมองเห็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้ อยา่ งเหมาะสมกบั สถานการณ์และสถานที ทงั นีตอ้ งอาศยั ปัจจยั แวดลอ้ มหลายประการเขา้ มาเป็ นตวั ช่วยให้การปฏิบตั งิ าน และการปรบั ปรุงแกไ้ ขในสิงทีเป็นอุปสรรคเป็นจุดอ่อนในการใหบ้ ริการและ ใหส้ ุขศึกษากบั ชาวบา้ นทีมารับการตรวจและรักษาทีโรงพยาบาล การสร้างความเขา้ ใจ ให้ความรู้ ส่งเสริมสนบั สนุนให้ประชาชนในทอ้ งถินเกิดการสร้างจิตสํานึกดา้ นการระวงั ดูแลสุขภาพตนเอง
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 100 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ เบืองต้นด้วยตนเอง ในด้านพฤติกรรมการบริโภค การพกั ผ่อน ซึงต้องมีความสอดคล้องกับ วฒั นธรรม ประเพณีทอ้ งถิน ส่วนการดาํ เนินงานเพือสร้างความรู้ ความเข้าใจ สร้างความไวใ้ จ ระหว่างบุคลากร สาธารณสุข เช่น แพทย์ พยาบาล นกั โภชนาการ นกั สือสารสุขภาพ เป็นตน้ กบั ผเู้ ขา้ มารับการตรวจ สุขภาพและรักษาอาการเจ็บป่ วย การพฒั นาระบบการให้บริการกบั ประชาชนทีตอ้ งอาศยั ความ ร่วมมือกนั จากผมู้ ี “จิตอาสา” มาร่วมมือกนั ร่วมคิด ร่วมเรียนรู้ ร่วมปฏิบตั ิ และร่วมสนบั สนุน ทงั บุคคล ชุมชน หน่วยงาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิน เพือทาํ ให้ประชาชนทุกเพศทุกวยั สามารถเขา้ ถึงบริการตามสิทธิทีเป็ นไปตามขอ้ บญั ญตั ิตามกฎหมาย และการสร้างสุขภาวะในกลุ่ม ผสู้ ูงอายุ สําหรับข้อสรุปและข้อเสนอแนะจากงานวจิ ัยครังนีทผี ู้เขียนรวบรวมไว้ คือ คุณสมบตั ิ ของผทู้ ีเหมาะสมจะเขา้ มาทาํ หนา้ ทีนกั สือสารสุขภาพ ไดแ้ ก่ 1. มที ักษะในการสือสาร (Communication Skills) เช่น วธิ ีการพูดคุย วธิ ีการสมั ภาษณ์ วธิ ีการให้ขอ้ มูล วิธีการชีแนะบอกสอน วิธีการสือสารเพือผ่อนคลายความเครียดให้กบั ผูเ้ ขา้ มารับ การตรวจสุขภาพหรือรักษาอาการเจบ็ ป่ วย ทงั ในรูปแบบเผชิญหนา้ (Face to Face) รูปแบบกลุ่มเล็ก (Small group) กลุ่มใหญ่ (Large group) สรุปคือ มีความความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกียวกับ กระบวนการสือสาร นอกจากนนั นกั สือสารสุขภาพควรมีความรู้ความเขา้ ใจ ในวตั ถุประสงค์ของ การสือสารนนั เขา้ ใจการใชภ้ าษาทงั ภาษาพูด ภาษากาย เป็นตน้ ตอ้ งพิจารณาสภาพของสือ เพราะ สือทีดีควรมีลกั ษณะง่าย สัน ไม่ซับซ้อน ใช้ภาษาและท่าทางทีเขา้ ใจกนั บนพืนฐานทางสังคม ประเพณี วฒั นธรรมทีคลา้ ยๆ กนั มีการเรียบเรียงออกมาอย่างเป็ นระบบ เป็ นตน้ ตอ้ งพิจารณา สมั พนั ธภาพ เพราะสมั พนั ธภาพทีดีต่อกนั เป็นเรืองสาํ คญั ถา้ ผูส้ ่งสารและผูร้ ับสารมีสัมพนั ธภาพที ดีตอ่ กนั การสือสารระหวา่ งบุคคลทงั สองกจ็ ะมีประสิทธิภาพมากขึน 2. ควรมพี ืนฐานความรู้ความเข้าใจในด้านการสือสารเชิงบูรณาการ (Integrated Communication) จากสือทุกประเภท คือทังสือเก่าและสือใหม่ สือบุคคล สือเครือข่าย ได้แก่ วิธีการทงั การลงพืนทีพบปะพูดคุย การใช้กิจกรรมพิเศษเพือรณรงค์ดา้ นสุขอนามยั และอืนๆ ใน กลุ่มเล็กๆ ไปจนถึงกลุ่มขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยไม่ใช้งบประมาณซือพืนทีสือเพือการ โฆษณาหรือประชาสมั พนั ธ์ (Below the line) หรือ การคิดสร้างสรรคก์ ิจกรรมพิเศษเพือการรณรงค์ สร้างความรู้ ความเข้าใจผ่านสือมวลชนโดยใช้งบประมาณซือเวลาเพือออกอากาศขอ้ มูลผ่านสือ เช่น วิทยโุ ทรทศั น์ หนงั สือพมิ พ์ สือดิจิทลั สือออนไลน์ (Above the line)
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 101 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 3. ควรมจี ิตใจในการให้บริการ (Service Mind) เพราะการเป็นนกั สือสารสุขภาพนนั ตอ้ ง พบปะกบั ผคู้ นมากมาย และส่วนใหญ่จะเป็นผทู้ ีมีปัญหาต่างๆ เกียวกบั สุขภาพและปัญหาครอบครัว อืนๆ ตามมาดว้ ย ดงั นนั นกั สือสารสุขภาพจะตอ้ งเป็นผทู้ ีสามารถรับต่อสถานการณ์ตา่ งๆ เหล่านีได้ และตอ้ งไม่มีอารมณ์ความรู้สึกคลอ้ ยตามไปกบั เรืองราวทีไดร้ ับฟังจากผขู้ า้ มารับการรักษาไม่วา่ จะ เป็นทงั เรืองความสุข ความทุกข์ สําหรับขอ้ เสนอนแนะดา้ นการดาํ เนินงานสือสารสุขภาพกบั ชุมชนอีกดา้ นหนึง คือ การ วเิ คราะห์ถึงปัญหาสุขภาพทีเกิดขึนในชุมชน เช่น ดา้ นพฤติกรรม ดา้ นค่านิยม วถิ ีชีวิตตามแนวทาง ของศาสนา โดยวธิ ีการทีชาวบา้ นในชุมชนสามารถทาํ งานรณรงคส์ ร้างความตระหนกั สร้างความรู้ ความเขา้ ใจตามวฒั นธรรมทอ้ งถินของตนเองไดเ้ พมิ เติมดว้ ยปัจจยั อีก 4 ประการ คือ (แผนงานวิจยั และพฒั นาระบบสือสารสุขภาพสู่ประชาชน 2552) ตารางที 2.8 ข้อเสนอแนะด้านการดําเนินงานสือสารสุขภาพกบั ชุมชน ปัจจัยที บคุ ลากร/หน่วยงาน ภารกจิ 1. อบต. ดูแลบริหารจดั การในเรืองของนโยบายตา่ งๆ ในชุมชน 2. กาํ นนั ของตนเอง รวมถึงดา้ นสุขอนามยั ดว้ ย 3. ผู้ใหญ่บ้าน ดูแลในเรื องความปลอดภัยและสุ ขอนามัยของ ประชาชนในชุมชนทงั หมด 4. ผู้นําศาสนา ดูแลในเรื องความปลอดภัยและสุ ขอนามัยของ ประชาชนภายในหมูบ่ า้ น อยใู่ นฝ่ ายสังคม ทีตอ้ งดูแลทงั เด็ก-เยาวชนและกลุ่มคน สูงอายทุ ีอยใู่ นชุมชนให้มีความสุขความมนั คงทางดา้ น จิตใจทีส่งผลต่อสุขภาพกายc]tสุขภาพใจทีดีตามมา อบต. คือ องคก์ ารบริหารส่วนตาํ บล มีจาํ นวน 5,333 แห่ง ขอ้ มูล ณ วนั ที 1 ธนั วาคม 2560 กองกฎหมายและระเบียบท้องถิน กลุ่มงานกฎหมายและระเบียบท้องถิน 2 กรมส่งเสริมการ ปกครองทอ้ งถิน อบต. เป็ นองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถินระดบั ตาํ บลทีอยใู่ กลช้ ิดกบั ประชาชนมาก ทีสุด มีพืนทีเท่ากบั ตาํ บลแต่ละตาํ บล จดั ตงั มาจากสภาตาํ บลทีมีรายไดต้ ามเกณฑ์ทีกาํ หนดและมี จาํ นวนราษฎรไม่น้อยกว่า 2,000 คน โดยมีจุดมุ่งหมายสําคญั เพือดูแลทุกข์สุขและให้บริการ ประชาชนในหมู่บา้ น ตาํ บล เขต อบต. แทนรัฐบาลกลาง มีฐานะเป็ นนิติบุคคล และเป็ นราชการ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 102 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ทอ้ งถิน มีอาํ นาจหนา้ ทีในการพฒั นาตาํ บลทงั ในดา้ นเศรษฐกิจ สังคมและวฒั นธรรม และหนา้ ที อืนๆ ตามทีกฎหมายกาํ หนด รวมทงั มีงบประมาณ และพนกั งานเจา้ หน้าทีของ อบต. เอง การ ปฏิบตั ิงานตามอาํ นาจหนา้ ทีของ อบต. ตอ้ งเป็นไปเพือประโยชน์สุขของประชาชน โดยใชว้ ิธีการ บริหารกิจการบา้ นเมืองทีดี และให้คาํ นึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจดั ทาํ แผนพฒั นา อบต. การจดั ทาํ งบประมาณ การจดั ซือจดั จา้ ง การประเมินผลการปฏิบตั ิงาน และการเปิ ดเผยขอ้ มูล ข่าวสาร ทงั นีใหเ้ ป็ นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ขอ้ บงั คบั วา่ ดว้ ยการนนั และหลกั เกณฑแ์ ละวิธีการที กระทรวงมหาดไทยกาํ หนด หากนําข้อสรุปและขอ้ เสนอแนะจากการศึกษาครังนีไปปรับใช้แก้ไขปัญหาทีเกิดขึน ผูเ้ ขียนเชือมนั ว่าการบริหารจดั การกระบวนการสือสารสุขภาพโดยเฉพาะการสร้าง “นักสือสาร สุขภาพ” ในรูปแบบนีขึนมาเป็ นกาํ ลงั สาํ คญั จะช่วยดูแลป้องกนั และสร้างเสริมสุขภาพของชาวบา้ น ในชุมชนจงั หวดั พทั ลุงให้มีคุณภาพดีมากขึนได้ รวมทงั สามารถนําขอ้ คน้ พบทีเป็ นชุดความรู้ บางส่วนนีไปปรับใชใ้ นพนื ทีจงั หวดั อืนๆ ไดอ้ ีกทางหนึงดว้ ย นอกจากนัน ยังมีงานศึกษาเกียวกับการทาํ หน้าทีบทบาทของ “ผูส้ ่งสาร” (Sender) ในฐานะ “นกั สือสารสุขภาพ” หรือ นสส. โดย ชิตชยางค์ ยมาภัย (2553) เสนอ แนวคิดวา่ นกั สือสารสุขภาพ เป็ นกลไกสําคญั ส่วนหนึงของกระบวนการเคลือนไหวปฏิบตั ิการเพือ การเปลียนรูป (Transformative action) การเผยแพร่ขอ้ มูลข่าวสารดา้ นการดูแลรักษาสุขภาพใหเ้ ป็ น การสือสารสองทาง ภายใตป้ รัชญาของ นสส. ทีวา่ “การสือสารทีดีนําไปสู่สุขภาพทีดี” เพราะ นสส. เป็ นกลุ่มคนทีมีจิตอาสา และมีความปรารถนาใหป้ ระชาชนมีสุขภาพทีดีขึน มารวมตวั กนั เพือ สือสารแลกเปลียนเรียนรู้เรืองราวสารสนเทศและความรู้เกียวกบั สุขภาพ การศึกษาครังนี ชิตชยางค์ สรุปบทเรียนและประสบการณ์การพฒั นานกั สือสารสุขภาพ ภายใตโ้ ครงการพฒั นาระบบสือสาร สุขภาพสู่ประชาชนในระยะที 4 ซึงดาํ เนินการในพืนที 11 จงั หวดั ไดแ้ ก่ จงั หวดั สตูล จงั หวดั ปั ตตานี จงั หวดั นราธิวาส จงั หวดั อยุธยา จงั หวดั ชยั นาท จงั หวดั ระยอง จงั หวดั อุบลราชธานี จงั หวดั อุดรธานี จงั หวดั พิษณุโลก จงั หวดั พะเยาและจงั หวดั เชียงใหม่ โดยประยุกตใ์ ชแ้ นวทาง Dramatism ของ Kenneth Burke (1972)โดย เบิร์คกล่าววา่ ผสู้ ือสารทีประสบความสําเร็จมกั จะนาํ กลยุทธ์มาใช้ เพอื ระบุตวั ตนกบั กลุม่ ผรู้ ับสารและตอ้ งวเิ คราะห์เหตุการณ์เพอื ระบุกลยทุ ธ์ ซึงมีชือเรียกวา่ ทฤษฎี “ปัญจางค์” (Pentad) หรือ The Burke’s Pentad โดย ปัญจางค์ แปลมาจากคาํ วา่ pentad ซึงนาํ คาํ วา่ ปัญจ ทีแปลว่า หา้ สมาสกบั คาํ วา่ องค์ ทีแปลว่า ส่วน จึงแปลความหมายคาํ วา่ ปัญจางค์ รวมกนั ไดว้ า่ หมายถึง มีห้าส่วนหรือองค์ห้า โดยเกิดจากมุมมอง ของเบิร์คทีวา่ โลกนี คือละคร ทาํ ให้เขาเกิดความสนใจและคน้ หาแนวคิดในการวิเคราะห์และ อธิบายถึงมูลเหตุจูงใจทีอยู่เบืองหลงั การแสดงออกของมนุษย์ ซึงเขาไดน้ าํ เสนอ คําสําคัญ 5 คํา
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 103 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ทีรู้จกั กนั พร่หลาย คือ ปัญจางค์ (Pentad) หรือหมายถึง การศึกษาองค์ประกอบ 5 ประการของ The Dramatistic Pentad (The five elements of the dramatistic pentad) ทงั นีนอกจากตวั บ่งชีแต่ละ องคใ์ นปัญจางคแ์ ลว้ เขายงั ไดแ้ นะนาํ ใหพ้ จิ ารณาอตั ราส่วน (Ratios) ความสัมพนั ธ์ของปัญจางคแ์ ต่ ละคู่เพือจะไดม้ องเห็นองคป์ ระกอบใดองค์ประกอบหนึงเป็ นพิเศษ เพือให้เห็นวา่ ทงั หมดสัมพนั ธ์ กนั อยา่ งไร สาํ หรับเบิร์คแลว้ เขาต้องการอธิบายความสัมพนั ธ์เพือทําให้เกดิ ความเข้าใจทลี ึกซึงมาก ยิงขึนเกียวกับคําถามทีว่า “ทําไมคนจึงทําเช่นนัน” (โสรยา งามสนิท 2555) สามารถสรุป สาระสาํ คญั ไดด้ งั นีคือ ตารางที 2.9 แสดงองค์ประกอบทางการสือสาร 5 ประการ ตามทฤษฎี “ปัญจางค์” (Pentad) โดย Kenneth Burke (1972) ลาํ ดบั ที องค์ประกอบ ความหมาย 1. 2. การกระทาํ (Act) สิงทีเกิดขึนแล้วจากการกระทาํ ของคน คือ หมายรวมถึง การคิดและการปฏิบตั ิ 3. 4. ฉาก (Scene) สิงทีเป็ นภูมิหลังของความคิดหรือการกระทาํ นัน เป็ น บริบทหรือสถานทีทีการกระทาํ นันเกิดขึน ทังทางด้าน 5. กายภาพและสังคมวฒั นธรรม ผแู้ สดง (Agent) เป็ นผูแ้ สดงทีมีบทบาทในการกระทาํ หรือดาํ เนินการกบั เหตุการณ์นนั ๆ วธิ กี าร (Agency) เป็ นวิธีการทีใช้ในการดําเนินการหรื อเครื องมือทีผู้มี บทบาทใช้ในการกระทําต่างๆ วิธีทีใช้อาจรวมถึงช่อง ทางการสือสาร เครืองมือ ยุทธศาสตร์หรือขอ้ มูลข่าวสาร ทีส่งออกไป วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ ความตอ้ งการให้เป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายของการกระทาํ (Purpose) นนั ๆ บรรลุผลสาํ เร็จ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 104 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ โดยมีรายละเอียดจากผลการศึกษา ดงั นี 1. การกระทาํ (Act) ของ นสส. โดยสรุปภารกิจของนกั สือสารสุขภาพ คือ จดั การคน จดั การความรู้และจดั การใหเ้ กิดการสือสารสองทางทีเกียวขอ้ งกบั ประเด็นสุขภาพ ดงั นีคือ 1.1 ภารกิจดดา้ นพฒั นากลไกการสือสารสุขภาพ นสส. ประกอบดว้ ยคน จากหลายภาคส่วน การมาทาํ งานรวมกนั จึงจาํ เป็ นตอ้ งมีผูป้ ระสานเครือข่ายและผูเ้ อืออาํ นวย กระบวนการขบั เคลือนงานใหเ้ ขา้ มาทาํ งานแบบร่วมหวั จมทา้ ยกนั 1.2 ภารกิจดา้ นการพฒั นากลไกการสนบั สนุนระดบั ทอ้ งถิน คอื หาบุคคล กลุ่มหรือองคก์ รทีจะเขา้ มาช่วยสนบั สนุนการดาํ เนินงานของเครือขา่ ย นสส. 1.3 ภารกิจดา้ นหากลไกการสนบั สนุนทีมีอิทธิพลตอ่ การทาํ งานของ เครือข่าย นสส.ได้แก่ องค์การปกครองส่วนทอ้ งถินและสถานบนั ทางศาสนา นอกจากนันยงั มี หน่วยงานราชการต่างๆ เช่น วิทยาลยั อาชีวะ มหาวิทยาลยั สํานกั งานสาธารณสุขจงั หวดั องค์กร พฒั นาเอกชน ทีเขา้ มาเป็นกลไกการสนบั สนุนในระดบั ทอ้ งถิน 1.4 ภารกิจดา้ นการพฒั นาขีดความสามารถดา้ นการสือสารให้กบั นกั สือสารสุขภาพทุกคน ใหม้ ีคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 2 ประการ คือ เป็นผทู้ ีมีความรู้ทกั ษะในดา้ น การสือสาร และมีความรู้ความเขา้ ใจในงานดา้ นสุขภาพ ดงั นนั การเพิมขีดความสามารถของ นสส. จึงเป็นภารกิจทีสาํ คญั ยงิ 1.5 ภารกิจดา้ นปฏิบตั ิการทางการสือสารสุขภาพ เป็นหวั ใจหลกั ของนกั สือสารสุขภาพ คือ สร้างการแลกเปลียนเรียนรู้และการสือสารสองทางดา้ นสุขภาพให้เกิดขึนใน ทอ้ งถิน 2. ฉาก (Scene) หรือ บริบทการทาํ งาน จะแตกต่างกนั ไปในมิติต่างๆ เช่น บางพืนทีเป็ น สงั คมเกษตรกรรม โจทยห์ รือปัญหาดา้ นสุขภาพทีเป็ นประเด็นหลกั ของ สังคมเกษตร คือ เรือง การ บริโภคอาหารปลอดภยั และเรืองเจบ็ ป่ วยโดยทวั ไป (อายุรเวท) แต่บางพืนทีเป็นสังคมอุตสาหกรรม ปัญหาทีพบ คือ ยาเสพติด ทอ้ งก่อนวยั อนั ควร โรคอว้ น เป็ นตน้ การทาํ งานสือสารสุขภาพจึงตอ้ งมี มิติทีกวา้ งเพอื ตอบสนองตอ่ กลุ่มผรู้ ับสารซึงมีคา่ นิยมทีแตกตา่ ง หลากหลายกนั ไป 3. ผู้แสดง (Agent) คือ ผูแ้ สดงจากภาคส่วนต่างๆ ทีเขา้ มาเกียวขอ้ งในกระบวนการของ นสส. ประกอบ ดว้ ยกลุ่มต่างๆ เช่น 3.1 กลุ่มนักสุขภาพ ทงั จากพระภิกษุ ภาคราชการ เช่น โรงพยาบาล สาํ นกั งานสาธารณสุขจงั หวดั ประชาชนและองคก์ รพฒั นาเอกชน คนกลุมนีมีบทบาทหลกั ดา้ นเป็ น ฝ่ ายสนบั สนุนสารสนเทศใหแ้ ก่กลุ่มนกั สือสาร
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 105 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 3.2 กลุ่มนักสือสาร ไดแ้ ก่ ขา้ ราชการ เช่น นกั ประชาสัมพนั ธ์ นกั จดั รายการวทิ ยุ นกั พฒั นา นกั ขา่ วและประชาชนทวั ไป นกั สือสารส่วนใหญ่ยงั ขาดข่าวสารความรู้ทีเป็ นทางการเกียวกบั สุขภาวะ แต่เมือไดม้ าพบกบั นกั สุขภาพ ก็จะช่วยให้นกั สือสารมีขอ้ มูลทีถูกตอ้ ง เทียงตรงน่าเชือถือมากยงิ ขึน 3.3 กลุ่มนักวชิ าการ มีบทบาทหลกั ในการสนบั สนุนความรู้เชิงวชิ าการ เทคนิคทงั ในด้านสุขภาพและการสือสาร มีบทบาทสําคญั ในการเป็ นนักประสานเครือข่ายช่วย ทาํ งานสนบั สนุนใหเ้ ครือข่าย นสส. ทาํ งานไปไดอ้ ยา่ งราบเรียบยงิ ขึน 3.4 กลุ่มองค์กรปกครองท้องถิน เป็นกลไกสนบั สนุนการขบั เคลือนงาน นสส. เพราะมคี วามพร้อมและทรัพยากรต่างๆ ใหใ้ ชไ้ ดจ้ ากประสบการณ์การทาํ งาน 4. วธิ ีการ (Agency) คือ วธิ ีการทาํ งานของ นสส. โดยภาพรวมมีจุดรวมทีเป็ นแบบแผน และขนั ตอนคลา้ ยกนั ตามกระบวนการ 6 T ไดแ้ ก่ ขันที 1 การพดู คยุ (Talk) เริมตน้ จากการเชิญชวนภาคีต่างๆ ทีเป็นนกั สุขภาพ นกั สือสารและนกั วชิ าการเขามาพูดคุยกนั วา่ เราตอ้ งการจะสร้างสรรคอ์ ะไรในพนื ที ขันที 2 การสร้างทมี งาน (Team) เมือไดพ้ ูดคุยทาํ ความเขา้ ใจกนั แลว้ ขนั ตอ่ มา คอื การสร้างทีมงาน โดยมีการคดั สรรแกนนาํ ในการขบั เคลือน ขันที 3 การกาํ หนดภาระ (Task) คือ การวางเป้าหมายและกาํ หนดภาระ งานของตน เนน้ ทาํ งานไป ปรับปรุงไปตามความเหมาะสมของผเู้ ขา้ ร่วมขบวนการและสถานการณ์ จริงของพืนที ขันที 4 การประกาศตน (Tell) คือ แนะนาํ ตนเองให้ประชาชนทราบวา่ ตนเองเป็ นนกั สือสารสุขภาพทีสามารถเขา้ มาช่วยดูแลป้องกนั สุขภาพของประชาชนในพืนทีได้ มี ปัญหาสุขภาพใดเกิดขึน สามารถมาปรึกษาหารือกนั ได้ ขันที 5 การฝึ กฝนพฒั นาตนเอง (Train) เช่น การฝึกฝนการสือสาร ระหวา่ งบุคคล การสือสารในกลุ่ม การสือสารสาธารณะ การทาํ เครืองมือช่วยในการสือสาร เช่น สปอตวทิ ยุ สารคดีในรายการ รวมทงั ฝึ กฝนการใชเ้ ทคโนโลยกี ารสือสาร เช่น อินเทอรเน็ต การใช้ คอมพวิ เตอร์ หรือการเขา้ ไปกระจายขอ้ มูลข่าวสารสุขภาพในโซเชียลมีเดียตา่ งๆ ขันที 6 การลงมือทาํ (Trial) เป็นการเรียนรู้เชิงปฏิบตั ิการจริง นนั คือ การ ลงมือทดลองทาํ งานไป เรียนรู้จากการปฏิบตั ิจริงไปดว้ ยพร้อมๆ กนั 5. วตั ถุประสงค์ (Purpose) สาํ หรับจดุ มุ่งหมายการทาํ งานของ นสส. เช่น 5.1 สร้างนักสือสารสุขภาพ โดยมีแนวคิดของความเชือทีว่าทุกคน สามารถเป็ น นสส. ไดต้ งั แตเ่ ด็กจนถึงผสู้ ูงอายุ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 106 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 5.2 พัฒนานักสือสารสุขภาพ คุณสมบตั พิ นื ฐานคือ 1) รู้แหล่งขอ้ มูลวา่ ขอ้ มูลเกียวกับสุขภาพในพืนทีของตนอยูทีใดบา้ ง และแหล่งความรู้ทีอยู่ในตวั คน 2) มีความรู้ พืนฐานเกียวกบั เรืองสุขภาพ และ 3) รู้วธิ ีการสือสาร ทงั ทางวาจา ท่าทาง การเขียนเป็ นลายลกั ษณ์ อกั ษร รวมถึงการใช้ เทคโนโลยที างการสือสารได้ สรุปไดว้ า่ ภารกิจสําคญั ของนกั สือสารสุขภาพ คือ การเปลียนรูปการสือสารดา้ นสุขภาพจากการเผยแพร่ข่าวสารขอ้ มูลไปเป็ นการสือสารสองทาง โดยมีจดุ มุง่ หมายให้ประชาชนสามารถพงึ พาตนเองได้ นอกจากนนั ดวงพร คํานูณวัฒน์, นิยะนันท์ สําเภาเงนิ และสุนิดา ศิวปฐมชัย (2550) ได้ ทาํ การศึกษาวิจยั เพือค้นหาและศึกษาผสู้ นใจหรือผูม้ ีศกั ยภาพเป็ นนกั สือสารสุขภาพ หรือ นสส. เสริมสร้างศกั ยภาพการทาํ งานสือสารสุขภาพและศึกษาแนวทางดาํ เนินงานสือสารสุขภาพของ ทอ้ งถิน โดยดาํ เนินงานวิจยั ในจงั หวดั แพร่และกาญจนบุรี ผลการวิจยั พบว่า กลุ่มตวั อย่างส่วน ใหญ่มาจากสายประชาสังคม ทาํ งานสือสารสุขภาพเป็ นงานรอง ส่วนใหญ่สือสารผ่านสือเสียง ไดแ้ ก่ หอกระจายข่าว/เสียงตามสายและวิทยชุ ุมชน สนใจประเด็นสุขภาพทีส่งผลกระทบต่อคน จาํ นวนมาก นิยมใช้ขอ้ มูลจากหน่วยงานภาครัฐ รองลงมา คือ แหล่งขอ้ มูลทีเป็ นบุคคล ปัญหาใน การทาํ งานคือ ความไม่พร้อมดา้ นความรู้/ทกั ษะการสือสาร ขอ้ มูลและแหล่งขอ้ มูล สําหรับกลุ่ม ผูส้ นบั สนุนการสือสารสุขภาพ ประกอบดว้ ยผูบ้ ริหารและผูน้ าํ จาก 3 ภาคส่วน ไดแ้ ก่ องค์กร สุขภาพ (ทงั ภาครัฐและเอกชน) องค์กรสือมวลชนท้องถินและแกนนําประชาสังคมสุขภาพ มี จาํ นวนทงั สิน 181 คน (แพร่ 81 คน และ กาญจนบุรี 100 คน) รับรู้ ร่วมให้ขอ้ คิดเห็นและ ขอ้ เสนอแนะต่อการกาํ หนดแนวทางการดาํ เนินงานสือสารสุขภาพของจงั หวดั ดว้ ยกระบวนการมี ส่วนร่วมของนสส. ทาํ ให้ไดก้ ิจกรรมเสริมสร้างศกั ยภาพ (จงั หวดั ละ 5 กิจกรรม) ทีตรงกบั ปัญหา และความตอ้ งการ รวมทงั นสส. ยงั ไดเ้ รียนรู้วิธีการพฒั นางานร่วมกนั ตงั แต่การสํารวจ วเิ คราะห์ และกาํ หนดวิธีการแก้ปัญหา นสส. มีความตอ้ งการเสริมศกั ยภาพจาํ นวนมากและหลากหลาย สะทอ้ นถึงความกระตือรือร้นทีจะพฒั นาตนเอง โดยกิจกรรมทีไดร้ ับความสนใจอยใู่ นระดบั สูง คือ การเสริมศกั ยภาพดา้ นการพูด ซึงเป็ นการพูดผา่ นสือเสียงและการพูดในทีสาธารณะ สําหรับแนวทางดําเนินงานสือสารสุขภาพของท้องถินแบ่งออกเป็ น นสส. และกลไก สนับสนุน โดย นสส. ควรมีบทบาทร่วมสร้างเสริม เฝ้าระวงั ป้องกนั และแกป้ ัญหาสุขภาพของคน ในทอ้ งถิน เป็ นสือกลางขอ้ มูลสุขภาพทีคนทอ้ งถินสามารถเขา้ ถึงไดส้ ะดวกและหนุนเสริมงานของ ภาครัฐ นสส.ควรมีใจรัก ทศั นคติทีดีต่องานและชุมชน จิตสาธารณะ มนุษยสัมพนั ธ์ เชือมนั ใน ตนเอง ไหวพริบ ความคิดริ เริม สามารถจัดระบบความคิด ทักษะการสือสาร พัฒนาตนเอง ตลอดเวลา และปฏิบตั ิตนเป็ นตวั อย่างดา้ นสุขภาพ ทาํ งานดว้ ยการสํารวจวิเคราะห์ขอ้ มูล วางแผน และจดั กิจกรรมโดยใชน้ วตั กรรม ปฏิบตั งิ านอยา่ งสมาํ เสมอ มุง่ มนั และมีจริยธรรม
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 107 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ สาํ หรับกลไกสนบั สนุน หน่วยงานและบุคคลผูเ้ กียวขอ้ งจากหน่วยงานสุขภาพ สือมวลชน องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิน สถาบนั การศึกษา ร้านคา้ ประชาชน และแหล่งทุนจากส่วนกลาง สนบั สนุน นสส. ให้มีความรู้ทงั ในดา้ นการสือสารและสุขภาพอยา่ งจริงจงั และตอ่ เนือง สนบั สนุน ขอ้ มูลดา้ นสุขภาพรวมถึงภูมิปัญญาดา้ นสุขภาพของทอ้ งถินทีเชือถือไดแ้ ละทนั เหตุการณ์ มีระบบ การจดั เกบ็ และการใหบ้ ริการขอ้ มูล สนบั สนุนให้มีโอกาสและพนื ทีการสือสารสู่ทอ้ งถินอยเู่ สมอ มีการจดั ตงั เครือข่าย ประกอบด้วย นสส. ทีมีลกั ษณะหลากหลาย มีการจดั การเครือข่าย อยา่ งเป็ นระบบ มีคณะทาํ งาน มกี ารติดตอ่ สือสารอยา่ งต่อเนือง สร้างแรงจูงใจในการทาํ งาน จดั ให้มี การเสริมความรู้ให้แก่กนั แบบพีสอนน้อง มีแผนการขบั เคลือนงานทีชดั เจน มีการขยายเครือข่าย และแลกเปลียนเรียนรู้กบั เครือข่ายอืน รวมทงั ไดร้ ับการสนบั สนุนสถานทีทาํ งานและงบประมาณ การที นสส. มีจิตเป็นสาธารณะ มีทศั นคติทีดี เป็นคนในพนื ทีและมีความกระตือรือร้นในการพฒั นา ตนเอง ทาํ ใหพ้ นื ทีศึกษาทงั สองมีตน้ ทุนทีดีในการดาํ เนินงานสือสารสุขภาพ การรวมกลุ่มทีเขม้ แขง็ การไดร้ ับการสนบั สนุนอยา่ งเหมาะสม และการไดร้ บั การยอมรับจากคนในพืนทีจะเสริมพลงั ให้แก่ นสส. ได้ ประการสําคัญคือ นสส. ควรปฏิบัติงานโดยให้คนท้องถินเข้ามามีส่วนร่วม อีกทงั สือสาร โดยมีคนท้องถินเป็ นกลุ่มเป้าหมาย เนือหาสาระเกียวข้องกับท้องถินและรูปแบบการนําเสนอ สอดคลอ้ งกบั ความถนดั ความตอ้ งการและวถิ ีการดาํ เนินชีวติ ของคนทอ้ งถิน ขอ้ มูลเหล่านี คือ แนวทางทสี ามารถนําไปใช้เสริมสร้างศักยภาพการทาํ งานด้านการสือสาร สุขภาพของบุคลากรด้านสาธารณสุขได้เป็ นอย่างดีทังในด้านทัศนคติและพฤติกรรม ความรู้และ ทกั ษะต่างๆ ทีจะสามารถทําหน้าทีเป็ นนักสือสารสุขภาพหรือผ็ส่งสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลอย่างคาดหวงั ได้ รวมทงั งานวจิ ยั ของ ณฐั นนั ท์ ศิริเจริญ (2560) ทีไดท้ าํ การวจิ ยั ประเด็นเกียวขอ้ งกบั บทบาท ของการเป็ นผูส้ ่งสาร หรือ นักสือสารสุขภาพ เรือง การสือสารสุขภาพด้วยประสบการณ์และ ศกั ยภาพของนกั ศึกษาเพือส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผูส้ ูงอายุ โดยมีวตั ถุประสงค์เพือสํารวจ ประสบการณ์และศกั ยภาพของนกั ศึกษาสาํ หรับวิธีการสือสารสุขภาพกบั ผูส้ ูงอายุเพือช่วยส่งเสริม คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ และได้ทบทวนวรรณกรรมพบแนวคิดทฤษฎีทีเกียวข้องกับการ ปรับเปลียนพฤติกรรมสุขภาพ คือ แบบจําลองการส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion Model) โดย Pender (1987) ทีไดพ้ ฒั นารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจากทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม ซึงเนน้ ความสําคญั ของสติปัญญาในการทีจะช่วยควบคุมพฤติกรรม แนวคิดนีเชือว่าบุคคลจะลงมือ กระทาํ กิจกรรมเพอื ส่งเสริมสุขภาพ ตลอดจนปฏิบตั ิกิจกรรมอยา่ งต่อเนืองจนกลายเป็ นแบบแผนใน การดาํ เนินชีวิตนนั เป็ นผลจากการไดร้ ับอิทธิพลของปัจจยั 3 ดา้ นดว้ ยกนั คือ ปัจจยั ดา้ นความรู้-
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 108 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ การรับรู้ (Cognitive perceptual factors) ของบุคคล ปัจจยั ส่งเสริม (Modifying factors) และ ปัจจยั ดา้ นสิงชกั นาํ ในการปฏิบตั ิ (Cues to action) มีรายละเอียด ดงั นีคือ 1) ปัจจัยด้านความรู้-การรับรู้ (Cognitive Perceptual Factors) ปัจจยั นีนับเป็ น กระบวนการขนั แรกของการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบตั ิ มีอิทธิพลโดยตรงต่อการปฏิบตั ิพฤติกรรม ส่งเสริมสุขภาพ ประกอบดว้ ย 1.1 ความสาํ คญั ของสุขภาพ (The importance of health) 1.2 การรับรู้การควบคุมสุขภาพ (Perceived control of health 1.3 การรับรู้ความสามารถของตนเอง (Perceived self efficacy) 1.4 การรับรู้ต่อภาวะสุขภาพ (Perceived health status) 1.5 การรับรู้ประโยชนข์ องพฤตกิ รรมส่งเสริมสุขภาพ (Perceived benefits of health promoting behaviors) 1.6 การรบั รู้อปุ สรรคของพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ (Perceived barriers of health promoting behaviors) 2) ปัจจัยส่งเสริม (Modifying Factors) จะส่งผลต่อการปฏิบตั ิพฤติกรรมสุขภาพทางออ้ ม ประกอบดว้ ย 2.1 อิทธิพลระหวา่ งบุคคล (Interpersonal influences) 2.2 ปัจจยั สถานการณ์ (Situational factors) 2.3 ปัจจยั พฤติกรรม (Behavior factors) 3) ปัจจัยด้านสิงชักนาํ ในการปฏิบตั ิ (Cues to Action) มี 2 ลกั ษณะคือ 3.1 สิงชกั นาํ ภายใน เช่น การรบั รู้ถึงศกั ยภาพของตนเอง 3.2 สิงชกั นาํ ภายนอก เช่น การพดู คุยสนทนากบั บุคคลอนื ผลการวิจยั ครังนี พบว่า ประสบการณ์และศกั ยภาพของนักศึกษาสําหรับวิธีการสือสาร สุขภาพ ในดา้ นความสัมพนั ธ์ระหว่างคุณลกั ษณะประชากรและปัจจยั 3 ดา้ นของแบบจาํ ลองการ ส่งเสริมสุขภาพกบั ทกั ษะการสือสารระหวา่ งบุคคลกบั ผสู้ ูงอายุ โดยการใชป้ ัจจยั ดา้ นจุดประสงค์ใน การสือสาร คือ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบประจาํ วนั ทวั ๆ ไปกบั ผูส้ ูงอายุมากทีสุด (ร้อยละ 39.30) วิธีการสือสารจะใชพ้ ดู สนทนาโดยตรงมากทีสุด (ร้อยละ 31.40) ผลการทดสอบความสัมพนั ธ์ของ ตวั แปร พบว่า จุดประสงค์ในการสือสารมีความสัมพนั ธ์กับทกั ษะการสือสารด้วยการพูด และ วธิ ีการสือสารกบั สมาชิกในครอบครัวมีความสัมพนั ธ์กบั ทกั ษะการสือสารดว้ ยการอธิบายความ ที ระดบั นยั สาํ คญั ทางสถิติทีระดบั .05 ขอ้ เสนอแนะของกลุ่มตวั อยา่ ง คือ นกั ศึกษาส่วนใหญ่ตอ้ งการ ใหส้ ือสารสุขภาพกบั ผสู้ ูงอายดุ ว้ ยความอ่อนนอ้ มเคารพรัก ตอ้ งใชท้ งั ภาษาพูด ภาษาร่างกายในการ แสดงออกถึงความรู้สึกรักและห่วงใยผสู้ ูงอายอุ ยา่ งสมาํ เสมอ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 109 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ งานศึกษาประเด็นทีเกยี วข้องกบั กระบวนการสือสาร ด้าน “ผู้ส่งสาร” (Sender) รวมไปถึงด้าน “มิตทิ างวฒั ธรรม” และ “ความเชือด้านสุขภาพ” โดยสามารถนาํ ขอ้ คน้ พบและขอ้ มูลจากการทบทวนวรรณกรรมมาประยุกตใ์ ชไ้ ดอ้ ยา่ งเป็ น รูปธรรม คือ งานวิจยั ของ วภิ าวิน โมสูงเนิน (2553) ทีไดท้ าํ การศึกษาวจิ ยั เรือง การสือสารสุขภาพ ของกระทรวงสาธารณสุขกรณีการระบาดของโรค ไขห้ วดั ใหญ่สายพนั ธุ์ใหม่ 2009 สรุปผล การศึกษาพบประเด็นทีสําคัญอีกประการหนึงเกียวกับกระบวนการสื อสารสุขภาพ คือ “ตัวผู้ส่งสาร” ซึงเป็ นผูม้ ีอิทธิพลตอ่ การสร้างความน่าเชือถือแก่ตวั เนือหาสาระของสาร เพราะ ตอ้ งอาศัยคุณลักษณะของผูส้ ่งสารเองทีจะสามารถสร้างความน่าเชือถือได้ โดยต้องมีความรู้ ความสามารถ (อภสิ สรา เกดิ ชูชืน 2545, อรวรรณ ปิ ลนั ธน์โอวาท 2549) คือ 1) มีความสามารถหรือมีความเป็นผูช้ าํ นาญ (Competence of expertness) และ 2) มีความน่าไวว้ างใจ (Trustworthiness) ดงั นนั บทบาทหนา้ ทีของผสู้ ่งสารเกียวกบั การใหข้ อ้ มูลความรู้เรืองการป้องกนั โรคหรือการ ดูแลรักษาสุขภาพทีถูกตอ้ งนัน ผูส้ ่งสารตอ้ งทาํ หน้าทีกระตุน้ หรือเร้าให้ผูร้ ับสารเกิดความสนใจ ตอ้ งการการรบั รู้ความหมาย และมีปฏิกิริยาตอบสนอง ไดแ้ ก่ การฟัง การดู การสังเกต การอ่าน โดย สิงทีจะช่วยให้ผูร้ ับสารเขา้ ใจในเนือหาสาระมากน้อยเพียงใด จะมีส่วนประกอบทีตอ้ งพิจารณา 3 ประการ คือ ประการที 1 รหัสของสาร หมายถึง ภาษาหรือสญั ลกั ษณ์ ซึงรหสั ของสาร ตวั อยา่ งเช่น “กิน ร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” “ปิ ด ปากจมูก เมือไอจาม..ป้องกันการแพร่เชือโรคไข้หวดั ใหญ่” นอกจากนียงั มีการใชอ้ วจั นะภาษาในสือทีเผยแพร่แก่ประชาชน เช่น ภาพปิ ดปาก ปิ ดจมูก รวมถึง การใชส้ ีเป็ นสญั ญาณเตือนเรืองการระบาด คือ โปสเตอร์สีเขียว คือ อยูใ่ นภาวะปกติ, สีส้ม แสดงถึง ภาวะเฝ้าระวงั ตอ่ การเสียง และสีแดงแสดงถึงอนั ตรายมีความเสียงตอ่ การติดเชือสูง ประการที 2 เนือหาของสาร ประกอบดว้ ย เนือหาสาระของสาร ประเภทขอ้ เทจ็ จริง ไดแ้ ก่ สารทีรายงานใหท้ ราบถึงความจริงและสารประเภทขอ้ คิดเห็น ไดแ้ ก่ สารซึงเกียวกบั ปรากฏการณ์ที เกิดขึนในจิตใจจากการประเมินของผสู้ ่งสาร ซึงสารประเภท ขอ้ คิดเห็นยงั แบ่งเป็นเชิงประเมิน เชิง แนะนาํ เชิงตดั สินใจและขอ้ สงั เกต ประการที 3 การจัดสาร หมายถึง การจดั สารทีถูกเตรียมมาอย่างดีทงั ในเรืองการเรียบ เรียงลาํ ดับความ ระดบั ความยากง่าย รูปแบบการใช้ภาษา ซึงจะทาํ ให้สารนันมีคุณสมบตั ิทีดี เหมาะสมสาํ หรับการสือสารในกลุ่มผรู้ ับสารหรือในเรืองสุขภาพประเภทนนั ๆ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 110 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ นอกจากนันการศึกษาครังนียงั อาศยั ทฤษฎีการสือสารสุขภาพและทฤษฎีทีเกียวข้องกบั “มิติทางวฒั ธรรม” มาใชว้ เิ คราะห์ โดยนาํ เสนอขอ้ มูลทีเป็นประเด็นสาํ คญั วา่ ผลของวฒั นธรรม ต่อการรับรู้และความเขา้ ใจของมนุษย์ กระบวนการสือสารเกิดจากกระบวนการเลือกรับรู้ ซึงส่วน หนึงเป็ นผลมาจากวฒั นธรรม โดยทวั ไป ซึงวฒั นธรรมจะมีผลต่อการรับรู้และความเขา้ ใจของ มนุษยใ์ น 3 ขนั ตอน คือ ขันตอนที 1 การเลือกสนใจ ขันตอนที 2 การรวบรวม ขันตอนที 3 การตีความ ซึงในกระบวนการตีความ เป็ นการผนวกความหมายเข้ากับความรู้สึกในสถานการณ์ เดียวกนั ของคนจากต่างวฒั นธรรมกนั และสามารถตีความได้แตกต่างกนั (ประภาเพ็ญ สุวรรณ 2540, นัยนา หนูนิล 2543, เมตตา วิวฒั นานุกูล 2548) ในประเด็นเรืองผลของวฒั นธรรมตอ่ การ รับรู้ดา้ นสุขภาพนนั ได้นาํ เสนอขอ้ มูลไวว้ ่า องค์ประกอบทางดา้ นสังคมและวฒั นธรรม ได้แก่ ครอบครัว กลุ่มบุคคลในสังคม สถานภาพของสังคม วฒั นธรรมและศาสนาส่งผลต่อการปฏิบตั ิ ทางด้านสุขภาพของแต่ละบุคคลให้แตกต่างกนั ไป ขึนอยู่กบั ลกั ษณะของสังคม วฒั นธรรมของ ชุมชนหรือสงั คมนนั ๆ นอกจากนันในกรอบวฒั นธรรมทีประกอบดว้ ยค่านิยม ความเชือ ยงั เป็ นปัจจยั หนึงทีมี อิทธิพลตอ่ การรบั รู้ อนั ส่งผลตอ่ พฤติกรรมดา้ นสุขภาพของบุคคล โดย “ความเชือด้านสุขภาพ” เป็ นการรับรู้ของบุคคลทีมีต่อภาวะสุขภาพของตนเอง ก่อให้เกิดแรงจูงใจและกระตุน้ ใหบ้ ุคคลเกิด ความรับผดิ ชอบและปฏิบตั ิกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพทีดีต่อตนเอง มีองคป์ ระกอบ 4 ประการ คือ (Becker, 1974) องคป์ ระกอบที 1 การรบั รู้โอกาสเสียงของการเกิดโรค องคป์ ระกอบที 2 การรับรู้ความรุนแรงของโรค องคป์ ระกอบที 3 การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบตั พิ ฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ องคป์ ระกอบที 4 การรบั รู้อุปสรรคตอ่ การปฏิบตั พิ ฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ หากบุคคลมีการรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบตั ิพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ มากกวา่ การรับรู้ อุปสรรคต่อการปฏิบตั ิ ผลลัพธ์ทีจะตามมา คือ บุคคลจะมีพฤติกรรมการป้องกันโรคเกิดขึน ดงั นนั การนาํ เรืองมิติทางวฒั นธรรม มาศึกษาเรืองการสือสารสุขภาพ จึงจะสามารถช่วยทาํ ให้เห็น กระบวนการทีนาํ มาซึงความสาํ เร็จหรือพบวิธีการสาํ หรับแกไ้ ขอุปสรรคในการดาํ เนินงานเพือการ สือสารสุขภาพใหป้ ระชาชนเกิดความตระหนกั ในปัญหาดา้ นสุขภาพไดด้ ีมากยงิ ขึน
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 111 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ตวั อย่างเช่น งานวิจยั ของ รุจิรา อักษร (2550) ทีไดศ้ ึกษาเรือง “ความเชือด้านสุขภาพ” เกียวกบั มะเร็งตบั และพฤติกรรมการบริโภคของบุคคลในอาํ เภอบา้ นหลวง จงั หวดั น่าน โดยใช้ การศึกษาเชิงพรรณนาแบบหาความสัมพนั ธ์ระหว่างความเชือด้านสุขภาพเกียวกบั มะเร็งตบั กับ พฤติกรรมการบริโภค ผลการศึกษา พบวา่ ตวั แปรความเชือดา้ นสุขภาพในประเด็นต่างๆ ไดแ้ ก่ ดา้ นการรับรู้เรืองประโยชน์ของการปฏิบตั ิพฤติกรรมบริโภคทีลดความเสียงต่อการเกิด โรคมะเร็งตบั ดา้ นการรับรู้พฤตกิ รรมการบริโภคทีเหมาะสมในการลดภาวะเสียงตอ่ การเกิดมะเร็งตบั อยู่ ในระดบั คอ่ นขา้ งสูง โดยส่วนใหญไ่ ดร้ บั ขอ้ มูลความรู้จากหนงั สือและเอกสารแผน่ พบั มากทีสุด รองลงมา คือโทรทศั น์และวิทยุ และส่งผลไปถึงการปรับเปลียนพฤติกรรมสุขภาพในดา้ น การบริโภคของตนเองเพอื ป้องกนั การเกิดโรคมะเร็งตบั ผลจากการศึกษาครังนี ไดส้ นบั สนุนแนวคิด “ความเชือดา้ นสุขภาพ” ทีว่า การรับรู้หรือ ความเชือดา้ นสุขภาพนนั เป็ นปัจจยั ทีมีอิทธิพลตอ่ พฤติกรรมสุขภาพ เป็ นตวั กาํ หนดพฤติกรรมของ บุคคล ซึงบุคคลจะปฏิบตั ิพฤติกรรมตามความคิดและความเชือของตนเอง ถ้าบุคคลมีการรับรู้ เหตุการณ์ทีเกิดขึนกบั ตนเองถูกตอ้ ง ก็จะแสดงพฤติกรรมทีดีและเหมาะสม ในประเด็นดังกล่าว อาจกล่าวได้ว่า บริบท (Context) หรือสิงแวดล้อม ทางวฒั นธรรมนัน มีความสําคญั ต่อการสือสารด้านสุขภาพเป็ นอย่างมากอีก ประการหนึงทีต้องให้ความใส่ใจ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 112 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 2.5 งานวจิ ยั การสือสารสุขภาพในต่างประเทศโดยผ้เู ขียนและนกั วจิ ยั คนอืนๆ ประเดน็ ทีเกยี วข้องกบั กระบวนการสือสาร ด้าน“ผ้สู ่งสาร”(Sender) และ “ช่องทางการสือสาร” (Channel) ด้วยการใช้สือใหม่เพือส่งเสริมคณุ ภาพ ชีวติ ของผ้สู ูงอายุ ผู้เขียนได้รับการสนับสนุนเพือดําเนินงานโครงการวิจัยในต่างประเทศ โดยไดร้ ับทุน สนบั สนุนจากมหาวทิ ยาลยั หวั เฉียวเฉลิมพระเกียรติ ประจาํ ปี การศึกษา 2558 โดยมีวตั ถุประสงคใ์ น การวิจยั ดงั นีคือ 1) เพือสํารวจการใชส้ ือใหม่ผ่านโซเชียลมีเดียในโทรศพั ทม์ ือถือทีใช้ในการ สือสารเพือส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผูส้ ูงอายุกบั สมาชิกครอบครัวของกลุ่มผใู้ ห้ขอ้ มูลในประเทศ นิวซีแลนด์ 2) เพือศึกษาและวิเคราะห์เทคนิควิธีการสือสารเพือส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผสู้ ูงอายุ กบั สมาชิกในครอบครัวของกลุ่มผใู้ ห้ขอ้ มูลในประเทศนิวซีแลนด์ โดยกลุ่มผใู้ ห้ขอ้ มูลพกั อาศยั อยู่ ในเมืองต่างๆ ไดแ้ ก่ 1.โอค๊ แลนด์ (Auckland) 2.แฮมมิลตนั (Hamilton) 3.โรโตรัว (Rotorua) และ 4. เทาโป (Taupo) ประเทศนิวซีแลนด์ (ณัฐนันท์ ศิริเจริญ 2558) เพือนาํ ขอ้ คน้ พบทีเป็นองคค์ วามรู้ ใหมเ่ ฉพาะกรณีศกึ ษาไปใชป้ ระโยชนเ์ ป็นแนวทางสาํ หรับการวจิ ยั เรืองนีในประเทศไทยต่อไป ผลการวิจัยสรุปได้ว่า กลุ่มผู้ให้ข้อมูลใช้โซเชียลมีเดียผ่านอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือเพือเป็ น ช่องทางการสือสารโดยเลือกใช้สือใหม่ในรูปแบบต่างๆ ดงั นี ตารางที 2.10 แสดงการใช้โซเชียลมเี ดียผ่านอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือเพือเป็ นช่องทางการสือสาร โดยเลือกใช้สือใหม่ในรูปแบบต่างๆ เรียงตามลําดับจากมากไปหาน้อย ลาํ ดบั ที สือใหม่ทีใช้ 1. 2. ไวเปอร์ (Wiper) 3. เฟซบุก๊ (Facebook) 4. สไกป์ (Skype) 5. อีเมล (E-mail) 6. สแนปแชท (Snapchat) 7. อินสตาแกรม (Instagram) ไลน์ (Line)
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 113 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ โดยกลุ่มผใู้ หข้ อ้ มูลส่วนใหญ่โดยเฉพาะวยั รุ่นจะใชเ้ ทคโนโลยีเพือการสือสารโดยผา่ นช่อง ทางการสือสารจากโปรแกรมประยุกต์ชือ ไวเปอร์ ในการติดต่อสือสารทงั เรืองทวั ๆ ไปและเรือง สุขภาพกับเพือนๆ และสมาชิกในครอบครัวมากทีสุด รองลงมา ได้แก่ เฟซบุ๊ก สไกป์ อีเมล สแนปแชท อนิ สตาแกรม ไลน์ ดว้ ยเหตุผล คือ เป็ นเทคโนโลยีสําหรับการสือสารซึงใกลต้ วั เป็ นที รู้จกั กนั ในกลุ่มคนรู้จกั ซึงใชเ้ ทคโนโลยเี หล่านีเหมือนๆ กนั จึงทาํ ให้มีความคุน้ เคยและมีความถนดั ในการใชส้ ือสาร มีความสะดวกและการใชง้ านเขา้ ใจงา่ ย เหตุผลทีสาํ คญั มากอีกประการ คือ การใช้ สัญญาณเชือมต่ออินเทอร์เน็ตเพือเขา้ ใชช้ ่องทางการสือสารเหล่านี จะเสียค่าใชจ้ ่ายไม่แพงหรือใน บางกรณีสามารถใชไ้ ดฟ้ รีหรือไม่เสียคา่ ใชจ้ า่ ยเลย ส่วนกลุม่ ผใู้ หข้ อ้ มูลทีเป็นผทู้ ีมาจากประเทศอืนๆ เช่น คนไทย จีน มาเลเซีย อินเดยี อหิ ร่าน แอลจีเลีย (Algeria) จาไมกา (Jamaica) ชาวแอฟริกัน (African) ซึงมีทงั มาเรียนและทาํ งานอยใู่ นนิวซีแลนด์ ส่วนใหญจ่ ะใชเ้ ทคโนโลยเี พือการสือสารกบั เพือนๆ และสมาชิกในครอบครัวคลา้ ยๆ กบั กลุ่มชาวนิวซีแลนด์ทวั ไป ยกเว้นคนไทยซึงจะใช้ เทคโนโลยีเพือการสือสารผ่านช่องทางการสือสารจากโปรแกรมประยุกต์ชือ ไลน์ (Line) กับเพือน คนไทยและสมาชิกในครอบครัวทอี ยู่ในประเทศไทยมากทสี ุด เพราะเป็ นช่องทางการสือสารทไี ด้รับ ความนยิ มมากสําหรับคนไทยในประเทศไทย โดยสือใหม่ทงั หมดทีกลุ่มผใู้ ห้ขอ้ มูลใชน้ ี จะเป็นสําหรับการสือสารเรืองทวั ๆ ไปกบั กลุ่ม เพือนและใชว้ ิธีการสือสารสุขภาพกบั ผสู้ ูงอายใุ นครอบครัวดว้ ยการส่งขอ้ มูลจากโซเชียลมีเดียเพือ แบ่งปันข่าวสารหรือสาระต่างๆ ทีเห็นว่าเกียวขอ้ งกบั การดูแล การป้องกนั และการแก้ไขปัญหา สุขภาพทีอาจเกิดขึนกบั ผสู้ ูงอายุ เพราะส่วนใหญ่ยงั ไม่มีความมนั ใจในความรู้ความสามารถและ ขอ้ มูลด้านสุขอนามยั ของตนเองมากนัก ยงั รู้สึกไม่คุ้นเคยหรือรู้สึกกระดากอายกบั การสือสาร เพือให้ขอ้ มูลดา้ นสุขภาพ และบางส่วนยงั มีความคิดเห็นว่า “การพดู คุยเรืองดูแลสุขภาพทังสภาพ ร่ างกายและสภาพจิตใจควรพูดคุยกับผู้สูงอายุแบบใช้จิตวิทยาขันสูงควรเป็นหน้าทีของผ้เู ชียวชาญ โดยเฉพาะ เช่น แพทย์ พยาบาล” และเห็นอีกว่าถา้ จะมีการใช้สือใหม่เพือให้ขอ้ มูลเรืองการดูแล สุขภาพกบั ผูส้ ูงอายุ ตอ้ งให้ความรู้และฝึ กฝนทกั ษะจนผูส้ ูงอายุมีความเขา้ ใจในการใช้สือใหม่ที เพยี งพอ จงึ จะทาํ ใหเ้ กิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามทีตงั เป้าหมายเอาไว้ ผเู้ ขยี นไดท้ บทวนวรรณกรรมดา้ น “สือใหม่ (New Media)” ซึงเป็นสือดิจิทลั ทีมีความ หลากหลายของสือในตวั เองและมีความสามารถในการติดต่อสือสารไปยงั กลุ่มเป้าหมายทงั เฉพาะ บุคคลและเครือข่ายอืนๆ (กาญจนา แก้วเทพ และ นิคม ชัยขุมพล 2555) จึงนบั ไดว้ า่ สือใหม่เป็ น นวตั กรรม (Innovation) ซึง นิคม ชัยขนุ พล ไดอ้ ธิบายถึงคุณลกั ษณะของสือใหม่ไวด้ งั นีคือ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 114 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 1) มีความเป็ นดิจิทลั (Digitalization) สามารถทาํ งานไดร้ วดเร็วแม่นยาํ จึงตอบสนองสือ โซเชียลมีเดียต่างๆ ไดอ้ ยา่ งเทา่ ทนั ตอ่ ทุกสถานการณ์ 2) มีลกั ษณะเป็ นการหลอมรวมสือ (Media Convergence) เพอื ให้ผูใ้ ชม้ ีความสะดวกในการ ใชส้ ือเพียงสือเดียว 3) มีลกั ษณะปฏิสัมพนั ธ์ (Interactivity) ทีสามารถโตต้ อบกนั แบบทนั ทีทนั ใด สามารถทาํ ให้ผูส้ ูงอายุและสมาชิกในครอบครัวซกั ถามขอ้ สงสัยหรือเกิดการแลกเปลียนขอ้ มูลข่าวสารกนั ได้ อยา่ งมีประสิทธิภาพ 4) มีลกั ษณะเป็ นการสือสารจากหน่วยเดียวบุคคลเดียวกระจายสารไปยงั กลุ่มคนหมู่มาก (One-to-Many) ไดอ้ ยา่ งรวดเร็วจึงสะดวกตอ่ การเขา้ ถึงขอ้ มูลและแลกเปลียนขอ้ มูลความคิดเห็นกบั สมาชิกในครอบครัวไดแ้ บบทนั ทีทนั ใด 5) สามารถกระจายไปยงั กลุ่มคนอืนๆ (Many-to-Many) ซึงมองหาสิงน่าสนใจทีเหมือนกนั หรือแตกต่างกนั ไดอ้ ีกดว้ ย นอกจกานนั โรเจอร์ (Rogers, E. M., 2003) ยงั ไดน้ ิยามสือใหม่วา่ เป็นเทคโนโลยีหรือสือ ทีเอืออาํ นวยให้เกิดการแลกเปลียนขอ้ มูลข่าวสารบนฐานของคนจาํ นวนมาก จึงเรียกการสือสาร รูปแบบนีวา่ “สือเครือข่ายสังคมออนไลน์” หรือ “โซเชียลมีเดีย” (Social Media) เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยทู ูบ อินสตาร์แกรม เป็ นตน้ โดยคุณลกั ษณะสําคญั ของสือใหม่ (กาญจนา แกว้ เทพ และ นิคมชยั ขมุ พล 2555; Jenkins, Henry, 2006) มีดงั นี 1) การมีปฏิสัมพันธ์ได้ง่าย (Interactivity) เพราะเป็ นรูปแบบการสือสารแบบสองทาง (Two-way-communication) 2) มีความสามารถเคลือนทีได้สูง (Mobility) ทําให้สะดวกต่อการพกพาไปในทีต่างๆ (Compactable) 3) สามารถดดั แปลงเปลยี นรูปได้ (Convertibility) 4) สามารถเชือมต่อกนั โดยง่าย (Connectivity) 5) สามารถหาได้และใช้ประโยชน์ได้ในทกุ ที (Ubiquity) 6) มีความรวดเร็วในการสือสาร (Speed of Communication) 7) มลี กั ษณะทไี ร้พรมแดน (Absence of Boundaries) 8) มีความเป็ นดิจิทลั (Digitalization)
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 115 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ สือใหม่นันถือเป็ นเทคโนโลยีทีมนุษย์สร้างขึนมาเพืออํานวยความสะดวกและเพิม ประสิทธิภาพการทาํ งานรวมทงั การทาํ กิจกรรมตา่ งๆ ในชีวติ ประจาํ วนั ดว้ ย (บุบผา เรืองรอง 2557) ตวั อยา่ งเช่น โทรศพั ท์มือถือ (Smartphone) ทีเทคโนโลยกี า้ วหนา้ จนสามารถรวมเอากิจกรรมต่างๆ เขา้ มาอยู่ในโทรศพั ท์มือถือได้ เช่น การฟังเพลง การดูทีวี การถ่ายรูป การเล่นเกม การท่อง อินเทอร์เน็ต เป็ นตน้ (ทีปต์ นทีพฒั น์ 2555) กิจกรรมเหล่านีสือใหมอ่ ยา่ งโทรศพั ทม์ ือถือสามารถทาํ ใหเ้ ป็ นเรืองทีง่ายดายมากขึน ดงั นนั การใหข้ อ้ มูลสร้างความรู้ความเขา้ ใจเกียวกบั การใชส้ ือใหม่ผา่ น โซเชียลมีเดียในโทรศพั ท์มือถือจึงมีประโยชน์ต่อมนุษยท์ ุกเพศทุกวยั โดยไม่จาํ เป็ นตอ้ งใช้การ สือสารตามรูปแบบดงั เดิมของมนุษย์ คือ การสือสารแบบเห็นหนา้ ซึงกนั และกนั (Face to face) ทุก ครังไป ส่งผลใหเ้ กิดความสะดวกสบาย ประหยดั ค่าใชจ้ ่ายและประหยดั เวลาในการตอ้ งเดินทางไป พบหนา้ กนั มากขึน ผู้เขียนได้ทบทวนข้อมลู เกยี วกบั โซเชียลมีเดีย (Social Media) ในทีนี หมายถึง สือหรือ เครืองมือทีใช้เพือการสือสาร เช่น สืออิเล็กทรอนิกส์ทีทาํ ให้ผูใ้ ชแ้ สดงความเป็ นตวั ตนของตนเอง เพอื ทีจะมีปฏิสมั พนั ธ์กบั ผูอ้ ืนหรือแบง่ ปันขอ้ มูลกบั บุคคลอืนได้ โซเชียลมีเดียส่วนใหญ่ จะเป็ นการสือสาร 2 ทาง คือ ผรู้ ับสารสามารถแสดงความคิดเห็น หรือตอบกลบั ผูส้ ่งสารได้ เช่น การแสดงความคิดเห็น การพูดคุยผา่ นโปรแกรมสนทนาออนไลน์ การให้ขอ้ คิดเห็นและบนั ทึกวา่ ชอบ เป็ นตน้ ความหลากหลายของโซเชียลมีเดีย เช่น บล็อก, วกิ ิพี เดีย, เวบ็ รวมทีใหท้ ุกคนโพสตข์ ่าว แบ่งปันวดี ีโอ อาทิ ยูทูบซึงเป็นแหล่งรวมวดี ีโอออนไลน์ทีใหญ่ ทีสุดในโลก แบ่งปันรูปภาพ, ดนตรี, สไลด์, ลิงก์ การอภิปรายและการเสวนา, โปรแกรมสนทนา ออนไลน์ เครือข่ายสงั คมโดยทวั ไปและเครือขา่ ยสังคมเฉพาะดา้ น จา ก ข้อมู ล ดัง กล่ าว จ ะ เ ห็ น ไ ด้ถึ ง ป ระ โยช น์ ข อง โ ซ เ ชี ย ล มี เ ดี ย ที ส่ ง ผล ก ระ ท บ ไ ด้อย่า ง กวา้ งขวาง ดงั นนั การนาํ โซเชียลมีเดียมาใช้ระหวา่ งผูส้ ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัวเกียวกบั การ สือสารสุขภาพเพอื เป็นการดูแลเอาใจใส่ในดา้ นสุขภาพกายและสุขภาพใจของกนั และกนั จึงเป็นสิง ทีน่าจะทาํ ให้เกิดประโยชน์อย่างตรงประเด็นเช่นกนั เพราะกลุ่มผูส้ ูงอายุนันอาจมีความรู้สึก ตอ้ งการให้ลูกหลานพูดคุยสอบถามสารทุกขส์ ุกดิบกนั อยสู่ มาํ เสมอ ถือเป็ นความสุขความตอ้ งการ ทางดา้ นจิตใจทีทาํ ให้รู้สึกไม่โดดเดียว วา้ เหว่ ซึงตรงจุดนีโซเชียลมีเดียจะเขา้ มาเป็ นเครืองมือช่วย ในการสือสารของทงั สองฝ่ ายไดเ้ ป็ นอยา่ งดี เพราะโซเชียลมีเดียเป็ นเครืองมือออนไลน์ทีทาํ ให้ผใู้ ช้ มีปฏิสมั พนั ธก์ บั ผอู้ ืนดว้ ยการแบ่งปันขอ้ มูลหรือพดู คุยกนั ไดต้ ลอดเวลา
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 116 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ นอกจากนนั ผเู้ ขยี นยงั ไดท้ บทวนแนวคิดเกยี วกบั โทรศัพท์มือถือ (Smartphone) หรือ นกั วชิ าการบางคนเรียกว่า โทรศพั ทม์ ือถืออจั ฉริยะ (ศุภศิลป์ กุลจิตตเ์ จือวงศ์ 2556) หรือ สมาร์ท โฟน (Smartphone) เป็ นสือใหม่ทีช่วยสร้างความสะดวกสบายใหก้ บั ผใู้ ชด้ ว้ ยคุณสมบตั ิเฉพาะพิเศษ จึงไดร้ ับความนิยมจากกลุ่มผูใ้ ชเ้ พมิ ขึนอยา่ งต่อเนือง ดว้ ยการนาํ ไปใชต้ ิดต่อสือสารในกิจกรรมทุก ประเภท เช่น การพูดคุยดว้ ยเสียงอยา่ งเดียว การติดต่อสือสารดว้ ยภาพและเสียง การส่งขอ้ ความ การ ส่งสติกเกอร์ การใชเ้ ป็นกลอ้ งถ่ายรูป บนั ทึกวดิ ีโอ ใชฟ้ ังเพลง การรับส่งอีเมล การคน้ หาขอ้ มูลใน เว็บไซต์ การเข้าใช้เฟซบุ๊ก เป็ นตน้ ดังนันโทรศพั ท์มือถือในยุคปัจจุบนั นีจึงกลายเป็ นอุปกรณ์ สือสารสมยั ใหม่ทีจาํ เป็ นอกี ประเภทหนึงทีประชากรทุกกลุ่มนิยมใชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั ประเด็นเทคนิควธิ ีการสือสารเรืองสุขภาพกบั ผูส้ ูงอายุในครอบครัวของตนเองนนั กลุ่ม ผใู้ หข้ อ้ มูลส่วนใหญ่ จะไม่กลา้ ใหค้ าํ แนะนาํ ใดๆ ในเรืองการดูแลรักษาสุขภาพมากนกั เพราะคิดวา่ ตนเองยงั ไม่มีความรู้เพียงพอหรือยงั เด็กเกินไปทีจะให้คาํ ปรึกษาหรือใหค้ าํ แนะนาํ ในเรืองสุขภาพ กบั ผสู้ ูงอายทุ ีเป็ นคุณพอ่ คุณแมห่ รือป่ ูยา่ ตายายของตนเอง โดยพฤติกรรมการใชส้ ือใหม่ คือ ใชผ้ า่ น โซเชียลมีเดียในโทรศพั ทม์ ือถือเพือการสือสารในเรืองนีมกั จะใชเ้ พือการส่งข่าวสารทีเกียวขอ้ งกบั สุขภาพทีเกิดขึนทวั ๆ ไป เช่น ขอ้ มูลข่าวสารเกียวกบั โรคทีกาํ ลงั ระบาดอยใู่ นปัจจุบนั หรือการเกิด โรคและอาการเจ็บป่ วยในช่วงเวลาต่างๆ อาทิ การระวงั โรคไขห้ วดั ปอดบวมในช่วงฤดูหนาว เป็ น ตน้ โดยจะใชเ้ ทคนิควิธีการแบ่งปัน (Share) ขอ้ มูลสุขภาพเหล่านีไปให้ผูส้ ูงอายุในครอบครัวที สามารถเขา้ ถึงขอ้ มูลไดจ้ ากโทรศพั ทม์ ือถือหรือคอมพิวเตอร์ ผา่ นโปรแกรมประยกุ ต์ อาทิ ไวเปอร์ เฟซบกุ๊ เป็ นตน้ นอกจากนนั กลุ่มผใู้ หข้ อ้ มูลบางส่วนจะใชเ้ ทคนิควธิ ีการสือสารดว้ ยการใหก้ าํ ลงั ใจ แสดงความห่วงใยเพือกระตุน้ การดูแลรักษาสุขภาพของตวั ผสู้ ูงอายเุ องมากกวา่ การแนะนาํ หรือบอก ให้ผูส้ ูงอายุปฏิบัติตนเพือการดูแลสุขภาพด้วยวิธีการต่างๆ เพราะคิดว่าน่าจะเป็ นหน้าทีของ ผเู้ ชียวชาญในเรืองนีโดยเฉพาะ เช่น แพทย์ พยาบาล เป็นตน้ ประเดน็ ปัญหาและอุปสรรคทีเกิดขึนนนั ส่วนใหญ่เกียวขอ้ งกบั เรืองของทศั นคติในการใช้ สือใหมต่ ่างๆ และวิธีการสือสารสุขภาพทียงั ไม่มีความกลา้ และไม่ค่อยเห็นความสาํ คญั ทีจะสือสาร เรืองสุขภาพกับผูส้ ูงอายุและสมาชิกในครอบครัวมากนัก ทงั นีเป็ นเพราะเหตุผลหลายประการ ดงั ขอ้ มูลในตารางที 2.11
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 117 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ตารางที 2.11 แสดงเหตุผลทกี ลุ่มผู้ให้ข้อมูลยงั ไม่ค่อยสือสารสุขภาพกบั ผู้สูงอายุและสมาชิก ในครอบครัว ลาํ ดบั ที เหตุผล 1. ส่วนใหญย่ งั ไม่มีความมนั ใจในความรู้และขอ้ มูลดา้ นสุขอนามยั ของตนเองมากนกั 2. ส่วนใหญ่ยงั รู้สึกไม่คุน้ เคยหรือรู้สึกกระดากอายกบั การสือสารเพือใหข้ อ้ มูลดา้ น สุขภาพในการใหค้ าํ แนะนาํ กบั ผสู้ ูงอายเุ พอื ป้องกนั หรือแกไ้ ขอาการเจบ็ ป่ วยตา่ งๆ 3. ส่วนใหญย่ งั รู้สึกวา่ ถา้ จะพดู คุยกนั เรืองสุขภาพ น่าจะเป็นการพดู คุยกนั แบบซึงหนา้ คือ เห็นหนา้ กนั พูดคุยกนั โดยตรงไมผ่ า่ นสือใหม่ตา่ งๆ 4. ส่วนใหญ่ยงั รู้สึกวา่ ตนเองมีวยั ทีอ่อนกวา่ ยงั เป็ นเด็กไมค่ วรพดู เรืองนีในเชิงให้ คาํ แนะนาํ กบั ผสู้ ูงอายุ น่าจะเป็นผเู้ ชียวชาญโดยเฉพาะ เช่น แพทย์ พยาบาล มากกวา่ สาํ หรับความคิดเห็นของกลุ่มผใู้ ห้ขอ้ มูลเกียวกบั ขอ้ เสนอแนะในการสือสารสุขภาพกบั ผสู้ ูงอายแุ ละสมาชิกในครอบครัว สรุปไดด้ งั นี ตารางที 2.12 แสดงข้อเสนอแนะของกลุ่มผู้ให้ข้อมูลเกยี วกบั วธิ ีการสือสารสุขภาพกบั ผู้สูงอายุ ลาํ ดับที ข้อเสนอนะ 1. ส่วนใหญเ่ ห็นวา่ ถา้ จะตอ้ งพดู คุยเรืองดูแลสุขภาพทงั สภาพร่างกายและสภาพจิตใจ 2. ควรพดู คุยกบั ผสู้ ูงอายแุ บบใชจ้ ิตวิทยาขนั สูง ดว้ ยการสังเกตความตอ้ งการของ ผสู้ ูงอายทุ ีจะแสดงออกมาหรือเอย่ ปากขอร้องความช่วยเหลือออกมาเอง เพราะ ผสู้ ูงอายบุ างครังไม่ให้ความเชือมนั ในตวั ลูกหลานวา่ จะมีความรู้ความสามารถมาก พอทีจะมาแนะนาํ ตนเองใหด้ ูแลสุขภาพได้ ส่วนใหญ่เห็นวา่ ถา้ จะมีการใชส้ ือตา่ งๆ ทีเป็นสือใหม่เพอื ให้ขอ้ มูลข่าวสารเรือง สุขภาพกบั ผสู้ ูงอายุ ตอ้ งเป็นลกั ษณะการส่งตอ่ แบง่ ปันขอ้ มูลไปใหผ้ สู้ ูงอายไุ ดด้ ูได้ อ่านไดพ้ จิ ารณาดว้ ยตนเองก่อนเป็นอนั ดบั แรก จึงค่อยติดตามวา่ ผสู้ ูงอายตุ อ้ งการ ความช่วยเหลือใดๆ หรือตอ้ งการคาํ อธิบายเพมิ เติมหรือไม่เกียวกบั ขอ้ มูลดา้ นสุขภาพ ทีไดร้ บั มา คือ ส่งตอ่ ขอ้ มูลดา้ นสุขภาพตา่ งๆ เพอื ให้เกิดความอยากรู้เพมิ มากขึน
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 118 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ลาํ ดบั ที ข้อเสนอนะ 3. ส่วนใหญเ่ ห็นวา่ ถา้ จะมีการใชส้ ือตา่ งๆ ทีเป็นสือใหม่เพอื ให้ขอ้ มูลขา่ วสารเรือง สุขภาพกบั ผสู้ ูงอายุ ตอ้ งมีการบอกใหเ้ ห็นความสาํ คญั ของสือทีจะติดต่อกนั และตอ้ ง มีการแนะนาํ วธิ ีการใชก้ ่อน ทงั การรบั และการส่งขอ้ มูล การสะทอ้ นความคิดเห็น กลบั ไปยงั ลูกหลานทีส่งขอ้ มูลมา รวมทงั การคน้ หาขอ้ มูลดา้ นสุขภาพไดด้ ว้ ยตนเอง จึงจะทาํ ให้การใชส้ ือตา่ งๆ เพือการส่งเสริมคุณภาพชีวติ และความผาสุกของผสู้ ูงอายุ กบั สมาชิกในครอบครัวไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยงิ ขึน เพราะถา้ ผสู้ ูงอายยุ งั ไมม่ ีความรู้ความเขา้ ใจในการใชส้ ือเพยี งพอ จะทาํ ใหก้ ารสือสารลม้ เหลว หรือไม่มีผลดีตอ่ เนืองใดๆ เกิดขึน จากผลการวิจยั ในด้านการใช้สือใหม่ผ่านโซเชียลมีเดียในโทรศพั ท์มือถือเพือส่งเสริม คุณภาพชีวติ สาํ หรับผสู้ ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัวนนั พบวา่ ปรากฏการณ์ทางสังคมตามขอ้ มูลที ได้รับมาจากการเก็บขอ้ มูล ทาํ ให้ผูเ้ ขียนสามารถวิเคราะห์ได้ถึงความสําคญั ของการใช้สือใหม่ ไดแ้ ก่ โทรศพั ทม์ ือถือ โซเชียลมีเดียและโปรแกรมประยุกตต์ ่างๆ รวมทงั เทคนิควธิ ีการสือสารเพือ การส่งเสริมคุณภาพชีวติ ของผสู้ ูงอายุกบั บุตรหลานทีเป็นสมาชิกภายในครอบครัว เพราะจะช่วยให้ การใช้ชีวิตประจาํ วนั มีความสะดวกสบายและมีความสมาํ เสมอทงั การส่งขอ้ มูลและรับขอ้ มูลจาก กนั และกนั นอกจากนนั ยงั เป็ นการสร้างความรู้สึกผูกพนั ทีดีต่อกนั ไดอ้ ยา่ งต่อเนือง การผสมผสาน เทคโนโลยีทีเป็ นสือใหม่ต่างๆ ใหเ้ ขา้ กบั วถิ ีชีวติ ประจาํ วนั จึงถือเป็ นสิงจาํ เป็นทีตอ้ งตระหนกั ถึงให้ มากขึน โดยสามารถเลือกใชใ้ ห้สอดคลอ้ งและเหมาะสมตามประโยชนแ์ ละความพึงพอใจทีทงั สอง ฝ่ ายเห็นพอ้ งต้องกนั เพราะขอ้ มูลทีพบในการวิจยั ครังนี คือ กลุ่มผูใ้ ห้ขอ้ มูลส่วนใหญ่เกือบร้อย เปอร์เซ็นต์ จะใชโ้ ทรศพั ทม์ อื ถือในการตดิ ตอ่ สือสารกบั กลุ่มเพอื นๆ และผสู้ ูงอายรุ วมทงั สมาชิกใน ครอบครัวในทุกๆ เรือง เนืองจากมีค่าใชจ้ า่ ยในการใชเ้ พอื การสือสารไม่มากนกั หรือบางกรณีไม่เสีย คา่ ใชจ้ ่ายเลย อีกทงั การพฒั นาระบบต่างๆ ในโทรศพั ทม์ ือถือให้สามารถตอบสนองการใชง้ านของ ผใู้ ชไ้ ดเ้ กือบทกุ สถานการณ์ จึงส่งผลใหไ้ ดร้ ับความนิยมจากผคู้ นทวั โลกอยา่ งรวดเร็ว ผเู้ ขียนมีความเห็นว่า แมส้ ือใหม่อาจไมส่ ามารถทาํ หนา้ ทีในบางประการแทนสือบุคคลได้ เช่น ความใกลช้ ิดแบบเห็นหนา้ กนั จริงๆ ไดส้ ัมผสั กนั จริงๆ แต่สามารถนาํ สือใหม่มาช่วยส่งเสริม คุณภาพชีวิตดา้ นสภาพจิตใจของผสู้ ูงอายุใหม้ ีความสดชืนมากขึน เพราะสามารถติดต่อสือสารกบั ลูกหลานไดต้ ลอดเวลา โดยสามารถสรุปผลการวิจัยประเด็นด้านเทคนิควิธีการสือสารเรืองสุขภาพ กบั ผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัวได้หลายด้าน ดงั นีคือ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 119 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 1) มิติดา้ นสภาวะจิตใจ เกิดการดูแลเอาใจใส่ซึงกนั และกนั แบบสมาํ เสมอมากขึน 2) มิติดา้ นสภาวะกาย เกิดการส่งขอ้ มูลเพอื ปรึกษาหารือกนั เมือเกิดอาการผดิ ปกติดา้ น ร่างกายทีเจบ็ ป่ วยและตอ้ งการความช่วยเหลือจากสมาชิกครอบครัวก่อนไปพบแพทยม์ ากขึน 3) มิติดา้ นสงั คม เกิดการส่งขอ้ มูลขา่ วสารของสมาชิกครอบครัวเพอื ช่วยใหร้ ับรู้ความ เป็ นไปของสถานการณ์ต่างๆ ในสังคมรอบตวั มากขึน นอกจากนนั ยงั ช่วยให้การใชช้ ีวิตประจาํ วนั ระหวา่ งผสู้ ูงอายกุ บั บุตรหลานมีความใกลช้ ิดกนั มากขึน จากผลการวิจยั ทีไดร้ ับมา ทาํ ใหผ้ ูเ้ ขียนสามารถวิเคราะห์ขอ้ มูลการสือสารสุขภาพระหวา่ ง สมาชิกในครอบครัวกบั ผูส้ ูงอายุไดอ้ ย่างชดั เจนว่า สือใหม่ จะเขา้ มาเป็ นเครืองมือช่วยทีสําคญั ใน เรืองนีให้กบั ทุกครอบครัวไดอ้ ีกทางหนึง เพราะโลกในยุคดิจิทลั นีเกือบทุกสิงทุกอยา่ งของกิจวตั ร การใชช้ ีวติ ประจาํ วนั ตอ้ งพงึ พาอาศยั เทคโนโลยที ีเป็นสือใหม่ โดยเฉพาะเรืองการติดต่อสือสารนนั โทรศพั ทม์ ือถือนบั เป็ นอุปกรณ์ทีสาํ คญั และจาํ เป็นอยา่ งยงิ จากผลการศึกษาในงานวิจยั ต่างประเทศ ณ 4 เมืองของประเทศนิวซีแลนด์ครังนี ทาํ ให้ ผูเ้ ขียนได้นํามาเป็ นขอ้ มูลอ้างอิงพืนฐานส่วนหนึง สําหรับการดาํ เนินงานวิจยั เรืองนีต่อไปใน ประเทศไทย โดยผู้เขียนพยายามทีติดตามข้อมูล สังเกตุพฤติกรรมการใช้สื อใหม่ผ่าน โทรศพั ทม์ ือถือประเภทสมาร์ทโฟน เป็ นการเกาะติดกระแสความนิยมในการใช้สือใหม่รูปแบบ ต่างๆ ผ่านโทรศพั ท์มือถือประเภทสมาร์ทโฟนอย่างต่อเนืองในประเทศไทยเพือเปรียบเทียบกบั พฤติกรรมของประชากรในต่างประเทศทีใชเ้ ป็นพนื ทีวจิ ยั สาํ หรับกรณีศึกษานาํ ร่องดว้ ย รวมทังผู้เขียนได้กลับมาทําการทดลองใช้สื อใหม่ผ่านโทรศัพท์มือถือด้วยตนเองกับ ผู้สูงอายุและสมาชิกในครอบครัว อีกทงั เก็บขอ้ มูลในเรืองนีกบั ครอบครัวของญาติกาและขอ้ มูลจาก กลุ่มครอบครัวเพอื นๆ ดว้ ย เพอื ให้เกิดความเชือมนั ในคาํ ตอบทีไดร้ บั มาวา่ มีความน่าเชือถือและเป็ น คาํ ตอบทีอา้ งอิงไดใ้ นระดบั ทีมีนยั ยะสําคญั ทางการศึกษาวจิ ยั ดว้ ยวา่ พฤตกิ รรมการใชส้ ือใหม่สาํ หรับทุกครอบครัวผา่ นโทรศพั ทม์ ือถือประเภทสมาร์ทโฟนเพือ การสือสารสุขภาพระหวา่ งผูส้ ูงอายุและสมาชิกในครอบครัวนนั เป็ นสิงทีมีประโยชน์และควรที จะตอ้ งมีการรณรงค์เผยแพร่แนวคิดและวิธีการสือสารสุขภาพในรูปแบบนีให้กบั ครอบครัวใน สังคมไทยทีมีความพร้อมทงั ดา้ นความรู้และทกั ษะรวมทงั ความพร้อมทางเศรษฐกิจทีจะจดั ซือ อุปกรณ์ตา่ งๆ มีผรู้ ู้วิธีการใชแ้ ละสามารถฝึกฝนวธิ ีการใชใ้ หก้ บั ผูส้ ูงอายุและสมาชิกในครอบครัวได้ อยา่ งถูกตอ้ งใหม้ ีจาํ นวนเพิมมากขึน เพราะโทรศัพท์มือถือประเภทสมาร์ทโฟนเป็ นอุปกรณ์หลักใน การเข้าสู่สือใหม่เพอื ทาํ กจิ กรรมออนไลน์ต่างๆ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 120 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ภาพที 2.6 แสดงบรรยากาศของการเข้าปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิเพือดาํ เนินงานวจิ ัยในต่างประเทศ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 121 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ภาพที 2.7 แสดงบรรยากาศของการลงสนามวจิ ัยเพือเกบ็ ข้อมลู กบั กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ในต่างประเทศ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 122 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ภาพที 2.8 แสดงบรรยากาศของการเกบ็ ข้อมูลวจิ ัยกับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลทมี คี วามแตกต่าง หลากหลายของคุณลกั ษณะประชากรในต่างประเทศ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 123 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ภาพที 2.9 แสดงบรรยากาศของการเกบ็ ข้อมูลวจิ ยั กบั กลุ่มผู้ให้ข้อมูลซึงอยู่ในพืนทศี ึกษา และอยู่ในวยั ทแี ตกต่างกนั ในต่างประเทศ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436