คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 174 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ - โลหิตจาง เนืองจากจาํ นวนเมด็ เลือดแดงและฮีโมโกลบินลดลง - สมองเสือม เนืองจากการเปลียนแปลงของสมองและระบบประสาท 13) การตอบสนองต่อยาผดิ ไปและเกิดผลไม่พงึ ประสงคข์ องยาไดง้ ่าย เนืองจาก การดูดซึมยาทางระบบทางเดินอาหารลดลง ตบั สังเคราะห์โปรตีนและเอน็ ไซมท์ ีใชใ้ นการ เปลียนแปลงยาลดลง การขบั สารออกจากร่างกายทางไตลดลง การขบั สารออกจากร่างกายทางไต ลดลง ทาํ ใหร้ ะดบั ยาคงอยใู่ นกระแสเลือดนานและเกิดพิษไดง้ ่าย ดงั นนั การใหย้ าแก่ผสู้ ูงอายตุ อ้ ง ระมดั ระวงั อยา่ งยงิ ควรปรึกษาแพทยก์ อ่ นใหย้ าทุกชนิด 14) เกิดอุบตั ิเหตุไดง้ ่าย เนืองจากอวยั วะรับความรู้สึกสมั ผสั ลดลง หูตึง การรับ กลินลดลง ตามวั การทรงตวั ดี และกลา้ มเนืออ่อนแรง 1) ตอ้ งทาํ การประเมินภาวะบกพร่องในการทาํ หนา้ ทีของอวยั วะตา่ งๆ โดย ประเมินเกียวกบั - การไดย้ นิ ลดลง ทาํ ใหก้ ารสือสารขอ้ มูลต่างๆ ผิดพลาด - การไดก้ ลินลดลง - การมองเห็นลดลง - การรับรู้สมั ผสั ลดลง - ปัญหาเรืองฟันและเหงือก - ปัญหาเรืองความจาํ เสือม อาจลืมรบั ประทานยาหรืออาหาร 2) การส่งเสริมให้ผสู้ ูงอายุดูแลตนเองให้มากทีสุด ควรอธิบายใหเ้ ขา้ ใจเพอื ความ ร่วมมือทีดี 3) การส่งเสริมคุณภาพชีวติ แก่ผสู้ ูงอายุ โดยกระตุน้ ใหท้ าํ กิจกรรมให้นานทีสุด เทา่ ทีจะทาํ ไดแ้ ละใหม้ ีอิสระในการปรับรูปแบบการดาํ รงชีวติ ของตนเองตามความพอใจ มีส่วนร่วม ในสงั คม 4) การจดั กิจกรรมเพอื ส่งเสริมความรู้แก่ผสู้ ูงอายุ เช่น การดูแลตนเองในวยั สูงอายุ การจดั การสิงแวดลอ้ มเพอื ป้องกนั อุบตั ิเหตุ การรบั ประทานอาหารเหมาะสม ออกกาํ ลงั กายอยา่ ง สมาํ เสมอ การพกั ผอ่ นนอนหลบั หลีกเลียงการดืมชา กาแฟ แอลกอฮอล์ สูบบุหรี หลีกเลียงสถานที แออดั และหมนั สงั เกตอาหารผดิ ปกติของตนเองเพือแจง้ ใหล้ ูกหลานทราบทนั ที
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 175 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ จิตใจของผสู้ ูงอายมุ กั จะเปลียนแปลงไป เนืองจากการเปลียนแปลงดา้ นร่างกายและสังคม ผสู้ ูงอายสุ ่วนใหญ่จะพฒั นาจิตใจตวั เองไปในทางทีดีงามมากขึน สามารถควบคุมจิตใจไดด้ ีขึน มี ความสุขมุ เยอื กเยน็ เพมิ ขึน แต่ผสู้ ูงอายบุ างคนไม่สามารถปรับตวั ตอ่ การเปลียนแปลงทีเกิดขึนได้ ลกั ษณะการเปลียนแปลงดา้ นสุขภาพจิตทีพบในผสู้ ูงอายุ มีดงั นี 1) การรบั รู้ ผสู้ ูงอายมุ กั ยดึ ติดความคิดและเหตุผลของตนจึงรับรู้สิงใหมๆ่ ไดย้ าก 2) การแสดงออกทางอารมณ์ ผสู้ ูงอายมุ กั ทอ้ แทแ้ ละนอ้ ยใจ โดยรู้สึกวา่ สงั คมให้ ความสาํ คญั ต่อตนเองนอ้ ยลง ทาํ ใหม้ ีอารมณ์ไมม่ นั คง กระทบกระเทือนใจงา่ ย หงุดหงิด 3) การยอบรับภาวะผสู้ ูงอายุ การยอมรบั วา่ การมีอายมุ ากขึน คือ การเขา้ ใกลค้ วาม ตาย ความสินสุด ทาํ ใหบ้ างคนมุง่ สร้างความดี บางคนชอบอยคู่ นเดียว ทาํ ใหร้ ู้สึกอสิ ระและไดใ้ ช้ ชีวติ ทีตนเองชอบก่อนตาย 4) ความสนใจสิงแวดลอ้ ม ผูส้ ูงอายสุ นใจสิงแวดลอ้ มเฉพาะทีตนเองสนใจ ความ สนใจส่วนใหญม่ ่งุ ทีตนเอง สนใจเฉพาะสิงทีตนเองคุน้ เคย ไม่ชอบงานแปลกๆ ใหมๆ่ ความมุ่งหวงั ในชีวติ ลดลง นอกจากนีผสู้ ูงอายุอาจตอ้ งเผชิญกบั ปัญหาดา้ นเศรษฐกิจ ปัญหาเสียงตอ่ การเปลียนแปลง บทบาททางสังคม การสูญเสียและความเศร้าโศก และการถอยหนีจากสงั คม ทาํ ให้ผสู้ ูงอายมุ ีความ วา้ เหว่ โดดเดียวและแยกตวั ออกจากสังคม 1) ส่งเสริมใหผ้ สู้ ูงอายทุ าํ กิจกรรมดว้ ยตนเองใหม้ ากทีสุด เพอื คงไวซ้ ึงศกั ยภาพ และความภาคภูมิใจแห่งตน ควรประเมินสภาวะของผสู้ ูงอายแุ ละใหก้ ารช่วยเหลืออยา่ งเหมาะสม 2) ตระหนกั ในความแตกตา่ งของผสู้ ูงอายแุ ตล่ ะคน ใชก้ ิจกรรมทีเหมาะสมเพอื โดยใหเ้ กิดการดูแลฟื นฟูสภาพจิตใจ 3) ป้องกนั ไม่ใหผ้ สู้ ูงอายกุ ลายเป็นผไู้ ร้ประโยชน์ สูญเสียลกั ษณะเฉพาะตวั เรณกุ าร์ ทองคํารอด (2553) ไดน้ าํ เสนอปัญหาสุขภาพจิต ซีงเป็นปัญหาทีสาํ คญั และพบได้ มากในผูส้ ูงอายุ เนืองจากผูส้ ูงอายุเป็นวยั ทีตอ้ งเผชิญกบั ความเปลียนแปลงตา่ งๆ มากมาย ทงั การ เปลียนแปลงด้านร่างกาย เช่นมี ความเจ็บป่ วย หรือมีความเสือมของระบบต่างๆ ในร่างกาย และมี การเปลียนแปลงทางดา้ นบทบาททางสงั คม เช่น การเกษียณอายไุ มไ่ ดท้ าํ งาน การสูญเสียบทบาทใน
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 176 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ การเป็ นหวั หนา้ ครอบครัว การสูญเสียคู่ชีวิต ญาติ คนใกลช้ ิดหรือเพือนฝงู เป็นตน้ หากผูส้ ูงอายุไม่ สามารถปรับตวั ต่อความเปลียนแปลงต่างๆ เหล่านีได้อยา่ งเหมาะสม จะก่อให้เกิดปัญหาทางด้าน สุขภาพจิตหลายประการ จากการรายงานของกรมสุขภาพจิตในปี พ.ศ. 2552 พบว่าในรอบ 5 ปี ระหวา่ งปี พ.ศ. 2547- พ.ศ. 2551 มีผสู้ ูงอายตุ งั แตอ่ ายุ 60 ปี ขึนไปเขา้ มารับการรักษาในหน่วยงานที ให้บริการทางดา้ นสุขภาพจิต แผนกผูป้ ่ วยนอกจาํ นวน 141,566 รายต่อปี และรับไวร้ ักษาในแผนก ผูป้ ่ วยในจาํ นวน 2,663 รายต่อปี โดยปัญหาสุขภาพจิตทีพบบ่อยในผูส้ ูงอายุซึงเป็ นผูป้ ่ วยนอก 5 อนั ดบั แรกไดแ้ ก่ ตารางที 3.1 แสดงถงึ ปัญหาสุขภาพจิตทพี บบ่อยในผู้สูงอายุ อนั ดับที ปัญหาสุขภาพจิตทพี บบ่อย ร้อยละ 1. โรควติ กกงั วลและความเครียด 26.42 2. โรคจิต เช่น โรคจิตเภท 25.73 3. โรคทีมีสาเหตจุ ากทางสมองและทางกาย เช่น โรคสมองเสือม 18.47 4. โรคทางอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า 18.24 5. โรคทีมีสาเหตุจากสารเสพติด เช่น จากสุรา 3.45 จะเห็นได้ว่าปัญหาสุขภาพจิตต่างๆ เหล่านี เมือเกิดขึนแล้วจะมีผลกระทบต่อสุขภาพ ร่างกายของผู้สู งอายุ สัมพันธภาพกับสมาชิกในครอบครัวและสังคม รวมทังเป็ นปัญหา ระดบั ประเทศชาติในการดูแลรักษาผูส้ ูงอายทุ ีป่ วยเป็นโรคทางจิตเวชดงั กล่าวดว้ ย นอกจากนีสังคม ส่วนใหญ่ยงั มิไดต้ ระหนกั ถึงความสาํ คญั ของปัญหาสุขภาพจิตในผูส้ ูงอายุ มกั จะมองขา้ มไปดว้ ย เขา้ ใจวา่ เป็ นเรืองปกติทีพบไดใ้ นผสู้ ูงอายโุ ดยทวั ไป หรือเขา้ ใจวา่ เป็นอาการแสดงของโรคทางกาย ทีเป็ นอยู่ ดงั นนั การเรียนรู้วธิ ีการต่างๆ ในการส่งเสริมภาวะสุขภาพจิตทีดีในผสู้ ูงอายุ จะสามารถช่วย ป้องกนั การเกิดปัญหาสุขภาพจิตต่างๆ ดงั กล่าว เป็ นผลให้ผูส้ ูงอายุสามารถดํารงชีวิตได้อย่างมี ความสุข และมีคุณภาพชีวติ ทีดีต่อไป ปัญหาทีเกิดขึนคือ การปรับตวั ต่อความเปลียนแปลงต่างๆใน ผูส้ ูงอายุ และปัญหาสุขภาพจิตต่างๆ ทีพบบ่อยในผูส้ ูงอายุ เช่น ความเครียด ความวติ กกงั วล ความ ซึมเศร้า การนอนไมห่ ลบั และภาวะสมองเสือม การเกิดปัญหาสุขภาพจิตในผูส้ ูงอายุเป็ นผลมาจากการเปลียนแปลงของร่างกายจิตใจและ สงั คม ซึงลว้ นแต่มีผลกระทบต่อทางจิตใจทงั สิน ดงั นี
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 177 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 1. การเปลียนแปลงทางด้านร่างกาย เช่น ความเจบ็ ป่ วยการเสือมของระบบต่างๆ ในร่างกาย ทาํ ใหม้ ีปัญหา เช่น ประสิทธิภาพของประสาทการรับรู้และความทรงจาํ ตา่ งๆ ลดลง ทาํ ใหไ้ ดย้ นิ นอ้ ยลง ฟังไมช่ ดั เจน เริมจาํ อะไรไมค่ ่อยได้ ความสามารถในการแยกแยะขอ้ เทจ็ จริงตา่ งๆ ลด นอ้ ยลง ทาํ ให้เกิดความหงุดหงิด วติ กกงั วล คบั ขอ้ งใจ เป็นตน้ 2. การเปลยี นแปลงทางด้านจิตใจ ทีเห็นไดช้ ดั ไดแ้ ก่ หมกมุ่นกบั เรืองของตวั เองมากขึน ความสามารถในการอดทนต่อปัญหาหรือความคบั ขอ้ งใจต่างๆ ลดลง ดงั นนั เมือเผชิญปัญหาความ เปลียนแปลงต่างๆ ก็มีแนวโน้มทีจะเกิดความเครียดและความวิตกกงั วลอยา่ งมาก นอกจากนี ผูส้ ูงอายุทีมีความรู้สึกว่าชีวิตทีผ่านมาของตนนันล้มเหลว ไม่ประสบความสําเร็จ มกั จะเกิด ความรู้สึกทอ้ แทส้ ินหวงั และมีความรู้สึกกลวั ตายมากกวา่ ผูส้ ูงอายทุ ีมีความรู้สึกภาคภูมิใจในชีวิต ของตนทีผา่ นมา 3. การเปลียนแปลงทางดา้ นบทบาททางสงั คม เช่น การเกษียณอายุ การสูญเสียบทบาทใน การเป็ นหวั หนา้ ครอบครัว การเสียชีวติ ของคู่สมรส ญาติ คนใกลช้ ิดหรือเพือนฝูง รวมทงั ไม่สามารถ ปรับตวั ต่อบทบาททีเปลียนแปลงไป เช่น การตอ้ งพึงพาอาศยั ผอู้ ืนในดา้ นความมนั คงปลอดภยั ทาง จิตใจ หรือทรัพยส์ ินเงินทอง เป็ นตน้ 1. ปัญหาความเครียด ปัญหาความเครียดทีเกดิ ขนึ ในผู้สูงอายุมักเกดิ ขึนจากปัญหาสุขภาพร่างกาย ปัญหาทางด้าน จติ ใจ เช่น ความสูญเสีย ความผดิ หวงั ความไม่เขา้ ใจกนั ของบุคคลในครอบครัว หรือปัญหาทางดา้ น สังคม เศรษฐกิจตา่ งๆ นนั อาการเริมแรกทีเป็ นสญั ญาณว่าผสู้ ูงอายกุ าํ ลงั เกิดความเครียด เช่น สีหนา้ เคร่งเครียด หนา้ นิวคิวขมวด วติ กกงั วล ซึมเศร้า หงุดหงิด โมโหง่าย เบืออาหาร นอนไม่หลบั บ่น ปวดศีรษะ เก็บตวั ไม่พูดจากบั ใคร เป็นตน้ หากปล่อยทิงไวน้ านๆ จนทาํ ใหค้ วามเครียดนนั สะสม รุนแรงหรือยาวนานมากขึน จะส่งผลเสียตอ่ สุขภาพร่างกายและจิตใจจนอาจถึงขนั เจบ็ ป่ วยเป็นโรค ทางกายทีรุนแรง เช่น เป็ นโรคหวั ใจ โรคหลอดเลือด โรคทางเดินอาหาร หรือโรคทีเกียวขอ้ งกบั ภมู ิคุม้ กนั ตา่ งๆ รวมทงั อาจเป็ นโรคทางจิตเวช เช่นโรคจิตเภท โรคซึมเศร้า หรืออาจร้ายแรงถึงขนั ฆา่ ตวั ตายเพือหลีกหนีปัญหา
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 178 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ แนวทางการป้องกนั แก้ไข 1.1 การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงทงั ในภาวะปกติและภาวะทีมี ความเครียด เนืองจากผูส้ ูงอายุทีมีความเครียดมกั จะมีปัญหาเบืออาหารหรือนอนไม่หลบั ควรเลือก รับประทานอาหารทีมีประโยชน์ต่อสุขภาพในปริมาณทีเพียงพอ อาหารทีช่วยลดความเครียดเช่น ผกั ใบเขียว ผลไมท้ ีให้รสเปรียว กลว้ ย ขนมปังโฮลวีท หรือขา้ วโอ๊ต ควรรับประทานอาหารทีมี ไขมนั นอ้ ย เช่น ปลา และงดเครืองดืมทีมีคาเฟอีน ควรนอนหลบั พกั ผอ่ นให้เพียงพอโดยเขา้ นอน และตืนให้เป็ นเวลา นอกจากนีควรออกกาํ ลงั กายอย่างสมาํ เสมอ เนืองจากเวลาทีมีความเครียด กลา้ มเนือต่างๆจะมีการตึงตวั ทาํ ใหร้ ู้สึกปวดเมือย อ่อนลา้ การออกกาํ ลงั กายจะช่วยให้กลา้ มเนือมี ความยดื หยนุ่ ดีขึน เมือร่างกายสบายกจ็ ะพลอยทาํ ใหจ้ ติ ใจผอ่ นคลายความเครียดลงได้ 1.2 การคน้ หาวิธีแกไ้ ขปัญหาทีเหมาะสม โดยการระบายความรู้สึกใหค้ น ใกลช้ ิดฟัง พยายามให้มีสติอยู่กับตวั ให้มากทีสุด ไม่คิดฟุ้งซ่านหรือคิดในทางทีร้ายแรงเกินจริง ค่อยๆ ไล่เรียงลาํ ดบั ความคิดของตนว่าปัญหาทีแทจ้ ริงคืออะไร อะไรเป็ นปัญหาหลกั ปัญหารอง อะไรเป็ นสาเหตขุ องปัญหา มีแนวทางอะไรบา้ งในการแกไ้ ขปัญหานนั แต่ละแนวทางมีขอ้ ดี ขอ้ เสีย อย่างไรแลว้ จึงค่อยตดั สินใจเลือกวิธีแกไ้ ขปัญหา ไม่ควรใช้ความวู่วาม ขาดสติ ประชดประชัน ตาํ หนิตนเอง โทษคนอืนหรือหนีปัญหา 1.3 การปรับเปลียนวิธีการคิดของตนเอง เช่น การคิดว่าทุกปัญหามี ทางออกเสมอ การเปลียนวิกฤตให้เป็นโอกาส หรือคิดในแง่ทียดื หยนุ่ มากขึน รู้จกั ผอ่ นหนกั ผอ่ น เบา ลดทิฐิมานะ ลดการคาดหวงั ผอู้ ืน ยอมรับวา่ คนเรายอ่ มทาํ ผดิ พลาดกนั ได้ รู้จกั การละวาง ไม่ถือ โทษโกรธเคือง ให้อภยั ตนเองและผูอ้ ืนได้ เป็ นตน้ นอกจากนีควรพยายามคิดแต่เรืองดีๆ คิดใน ทางบวก อยา่ เอาแต่ตนเองเป็ นทีตงั อยา่ หมกมุ่นอยแู่ ต่ปัญหาของตนเอง ให้มองบุคคลรอบขา้ งบา้ ง การเห็นคนอืนทีเดือดร้อนหรือลาํ บากมากกวา่ และหากเราสามารถช่วยเหลือผอู้ ืนได้ ก็อาจช่วยให้ ตนเองรู้สึกสบายใจมากขึน 1.4 การเปลียนบรรยากาศโดยการหลบไปจากสิงแวดลอ้ มทีทาํ ให้เกิด ความเครียด เช่น การไปวดั ไปท่องเทียวในสถานทีต่างๆ หรือทาํ กิจกรรมทีชอบเพือให้เกิดความ เพลิดเพลินเช่น เล่นกีฬาเบาๆ เล่นดนตรี เลียงสัตว์ ปลูกตน้ ไม้ เป็นตน้ 1.5 การฝึ กฝนเทคนิควธิ ีการผอ่ นคลายความเครียดต่างๆ เช่น การฝึ กการ หายใจ ฝึ กการทาํ สมาธิ การฝึ กเกร็งและคลายกลา้ มเนือ การจินตนาการ การนวดและการกดจุด ตา่ งๆ เป็ นตน้ 1.6 การไปพบแพทยท์ ีมีความเชียวชาญเฉพาะทางดา้ นสุขภาพจิตและจิต เวช เพอื ขอรบั คาํ แนะนาํ ในการดูแลรกั ษาทีถูกตอ้ งต่อไปหากปฏิบตั ิดงั ทีกล่าวมาแลว้ ไมไ่ ดผ้ ล
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 179 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 2. ปัญหาความวติ กกงั วล ผสู้ ูงอายมุ กั จะมีความวติ กกงั วลทีตอ้ งพงึ พาลูกหลาน มกั แสดงออกเด่นชดั เป็นความกลวั ขาดความเชือมนั ในตนเอง เช่น กลวั วา่ จะไมม่ ีใครให้ความเคารพยกยอ่ งนบั ถือ กลวั วา่ ตนเองไร้คา่ กลวั ถูกลูกหลานทอดทิง กลวั เป็นคนเชืองชา้ กลวั ถูกทาํ ร้าย กลวั นอนไม่หลบั หรือกลวั ตาย เป็นตน้ หรือมีความวติ กกงั วลเนืองจากเป็ นห่วงลูกหลาน ซึงความวติ กกงั วลต่างๆ เหล่านีจะแสดงออกมา เป็ นอาการทางดา้ นร่างกาย เช่น หนา้ มืด เป็นลม แน่นหนา้ อก อาหารไม่ยอ่ ย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง นอนไมห่ ลบั กระสบั กระส่าย เป็ นตน้ แนวทางการป้องกนั แก้ไข 2.1 แก้ไขความคิดของตนเอง ปัญหาบางอย่างเป็ นปัญหาทีเกิดขึน เนืองจากผูส้ ูงอายุคิดมากไปเองหรือคิดในทางทีรุนแรงหรือร้ายแรงเกินจริง เช่น ความเป็ นห่วง ลูกหลาน จึงควรมองโลกในแง่ดี เชือมนั ในความสามารถของลูกหลาน เปิ ดโอกาสให้เขาแกไ้ ข ปัญหาตา่ งๆ ดว้ ยตนเอง 2.2 ใหค้ นอืนช่วยแก้ปัญหาหรือให้ทาํ ใจยอมรับความเป็ นจริงทีเกิดขึน หากมีความวติ กกงั วลในเรืองทีตนเองไมส่ ามารถแกไ้ ขไดด้ ว้ ยตนเอง 2.3 ฝึ กฝนการทาํ จิตใจใหส้ งบอยา่ งสมาํ เสมอ เช่น นงั สมาธิ สวดมนต์ ฟัง คาํ สอนของผทู้ ีตนเองชืนชอบ ทาํ บุญตา่ งๆ ตามทีตนเองพึงพอใจทีไดช้ ่วยเหลือผอู้ ืน เป็นตน้ 3. ปัญหาความซึมเศร้า ภาวะซึมเศร้าทีเกิดขึนในผูส้ ูงอายุมักเกิดขึนเมือผู้สูงอายุต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที ก่อใหเ้ กิดความสูญเสียตา่ งๆ เช่น การเสียชีวติ ของคู่ชีวติ หรือเพือนสนิท การสูญเสียตาํ แหน่งหนา้ ที การงานภายหลงั การเกษียณ หรือการสูญเสียภาวะสุขภาพทีดีจากการเจบ็ ป่ วยดว้ ยโรคทางกายต่างๆ เช่น เบาหวาน ความดนั โลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไขขอ้ อกั เสบ เป็ นตน้ ลกั ษณะอาการของความ ซึมเศร้า ไดแ้ ก่ การเปลียนแปลงของอารมณ์ในลกั ษณะทีไม่สดชืน หดหู่ เบือหน่าย เศร้าใจ รู้สึกว่า ตนเองไร้ค่า ไม่อยากทาํ กิจกรรมใดๆ อยากนงั หรือนอนอยเู่ ฉยๆ เก็บตวั ไมส่ นใจดูแลตนเอง ไม่มี สมาธิหรือวติ กกงั วลกบั เรืองใดเรืองหนึงจนหยุดความความคิดตนเองไม่ได้ อาจมีอาการทางกาย ร่วมดว้ ย เช่น นอนไม่หลบั ออ่ นเพลีย เบืออาหาร บางรายอาจมีความคิดจะทาํ ร้ายตนเองได้ อย่างไรก็ตามผูส้ ูงอายุส่วนใหญ่สามารถกลับสู่การดาํ เนินชีวิตตามปกติได้หลังจาก ช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศกผา่ นไประยะหนึง แต่สาํ หรับผูส้ ูงอายุทีเป็นโรคซึมเศร้านนั จะยงั คงมี ความเศร้าโศกอยตู่ อ่ ไปโดยไม่สามารถแกป้ ัญหาทงั ทางร่างกายและจติ ใจ หากรุนแรงหรือเรือรังอาจ นาํ ไปสู่การฆ่าตวั ตายได้ ดงั นนั ผูส้ ูงอายทุ ีมีอาการซึมเศร้าในลกั ษณะดงั กล่าวตอ้ งรีบไปพบแพทย์ โดยเร็ว
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 180 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ แนวทางการป้องกนั แก้ไข 3.1 เตรียมตวั ใหพ้ ร้อมรับการเปลียนแปลงครังสาํ คญั ในชีวติ เช่น การ เกษยี ณอายหุ รือการเสียชีวติ ของบุคคลในครอบครัวหรือเพือนฝูง ดว้ ยการฝึกฝนการทาํ ใจใหย้ อรับ การเปลียนแปลงต่างๆ ของชีวติ การไมย่ ดึ มนั ถือมนั ในสิงต่างๆ วา่ จะอยเู่ ช่นเดิมตลอดไป 3.2 ดูแลรักษาสุขภาพให้แขง็ แรง ดว้ ยการรับประทานอาหารทีมี ประโยชนแ์ ละพอเพียง ไดแ้ ก่ การบริโภคอาหารทีมีไขมนั นอ้ ย เช่น ปลา ผกั ผลไมส้ ด ดืมนาํ สะอาด อยา่ งพอเพยี ง พยายามออกกาํ ลงั กายทีเหมาะสมกบั สภาพร่างกายอยา่ งสมาํ เสมอ 3.3 ทาํ จิตใจให้ร่าเริง แจ่มใส มองโลกในแง่ดี ไมค่ ิดเรืองต่างๆ ในทางที ร้ายแรงเกินความเป็ นจริง เพราะจะทาํ ใหจ้ ิตใจข่นุ มวั พยายามดาํ เนินชีวติ ใหเ้ รียบง่าย ลดการ คาดหวงั สิงตา่ งๆ ลง เพราะความคดิ ทีดี อารมณ์ทีดีและการกระทาํ แต่สิงทีดี จะทาํ ใหบ้ งั เกิดความสุข แก่ตนเองและส่งผลไปยงั คนรอบขา้ งดว้ ย 3.4 แสวงหาความสุขสงบใหก้ บั จิตใจดว้ ยการฝึกฝนการทาํ สมาธิงา่ ยๆ ดว้ ยตนเอง เช่น การหายใจเขา้ -ออกชา้ ๆ การเอาใจจดจอ่ อยกู่ บั สิงทีตนเองเคารพนบั ถือ เป็นตน้ 3.5 มองเห็นคุณค่าของตนเอง ชืนชมตนเอง รักตนเองและบุคคลรอบขา้ ง ไมเ่ ป็นคนเห็นแก่ตวั หรือใจแคบแตต่ อ้ งรบั ฟังผูอ้ ืนดว้ ยการเปิ ดใจแบบไม่มีอคติดว้ ย 3.6 หาโอกาสทาํ ตนใหเ้ ป็นประโยชนด์ ว้ ยการช่วยเหลือผูอ้ ืนเท่าทีจะ กระทาํ ได้ เช่น การใหค้ าํ ปรึกษา คาํ แนะนาํ ใหก้ าํ ลงั ใจหรือแสดงความรัก ความห่วงใย ความเอือ อาทรแก่ลูกหลานหรือบุคคลใกลช้ ิด รวมทงั การใหค้ วามช่วยเหลือทางดา้ นวตั ถุสิงของตา่ งๆ 3.7 หลีกเลียงการอยคู่ นเดียวเมือมีอารมณ์เศร้าเกิดขึน หากมีการสูญเสีย คูช่ ีวติ ควรจะมีเพอื นอยดู่ ว้ ยตลอดเวลา เพราะเพอื นสามารถช่วยคลายความอา้ งวา้ งจากการสูญเสีย คู่ชีวติ หากิจกรรมหรืองานอดิเรกทีใหค้ วามเพลิดเพลินมาทาํ เพอื ไม่ใหร้ ่างกายและจติ ใจอยวู่ า่ งๆ เช่น การเลียงสตั ว์ หรือการหมนั ติดตอ่ กบั ครอบครัวทียงั เหลืออยเู่ พือหลีกเลียงโอกาสเกิดภาวะ ซึมเศร้า ในจุดนีสมาชิกในครอบครัวลูก หลานจะเขา้ มาช่วยไดเ้ ป็นอยา่ งดี โดยสามารถใชส้ ือใหม่ เป็ นเครือมือช่วยในการติดต่อสือสารไดท้ ุกวนั และวนั ละหลายๆ ครังไดต้ ลอดเวลาทีตอ้ งการสือสาร ใหก้ าํ ลงั ใจกนั เพราะลูกหลานก็มีภาระหน้าทีตอ้ งรับผิดชอบตอ้ งทาํ งานประจาํ กนั เป็ นส่วนใหญ่ ดงั นนั สือใหม่ จงึ เป็ นทางเลือกทีเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมาก
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 181 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 4. ปัญหาการนอนไม่หลบั โดยปกติผูส้ ูงอายุมีความตอ้ งการการนอนหลบั ทีปกติเช่นเดียวกบั บุคคลวยั อืนๆ คือ นอน หลบั ยาวต่อเนืองประมาณ 6 - 7 ชวั โมงต่อคืน แต่ส่วนใหญ่จะพบวา่ ผสู้ ูงอายุมกั มีปัญหาเรืองการ นอนไดม้ ากกวา่ วยั อืนๆ เนืองจากนาฬิกาชีวภาพทีเคยทาํ งานตามปกติ จะเริมลดประสิทธิภาพลง ทาํ ให้มีผลกระทบต่อคุณภาพของการนอนหลบั เช่น ช่วงเวลาของการนอนหลบั จะเลือนขึนมาเร็ว ขึน ทาํ ใหร้ ู้สึกง่วงหวั คาํ ขึนกวา่ แต่ก่อน หลบั ยากและหลบั ๆ ตืนๆ บอ่ ยมากจนเหมือนไม่ไดห้ ลบั เลย ตืนขึนมากลางดึกแลว้ หลบั ต่อไม่ได้ ตืนมาแล้วรู้สึกไม่สดชืน นอนได้ไม่เต็มอิม ทาํ ให้มีอาการ ออ่ นเพลียมากหรือง่วงมากในตอนกลางวนั การนอนไม่หลบั จะทาํ ให้เกิดผลเสียตอ่ สุขภาพร่างกายและจิตใจ อาจทาํ ให้เกิดโรคทางกาย หรือทาํ ใหโ้ รคทางกายทีเป็ นอยรู่ ุนแรงมากขึน นอกจากนีการนอนไม่หลบั มกั พบร่วมกบั อาการของ ความเครียด ความไม่สบายใจ เมือเริมนอนไม่หลบั ผูส้ ูงอายุมกั จะเริมรู้สึกกลวั การนอนไม่หลบั หรือหมกมุ่นเกียวกบั อาการนอนไม่หลบั โดยจะพยายามบงั คบั ให้ตนเองนอนให้หลบั ซึงมกั จะไม่ ประสบความสาํ เร็จ อยา่ งไรก็ตามปัญหาเรืองการนอนไม่หลบั มีขอ้ สังเกตง่ายๆ คือ เมือรู้สึกวา่ นอน ไม่หลบั หลบั ไม่สนิทหรือหลบั ไม่พอเป็นเวลา 3 วนั ในหนึงสปั ดาห์ติดต่อกนั เป็ นเวลาไมน่ อ้ ยกว่า หนึงเดือน และรู้สึกวติ กกงั วลต่ออาการทีเกิดขึนตอ้ งรีบไปพบแพทยเ์ พอื รับการรักษาทีถูกตอ้ ง สาเหตุของการนอนไม่หลบั เกดิ จากปัจจัยทางกาย ทางจิตใจและ สภาพแวดล้อมของการนอน ดังนี 4.1 ปัจจยั ทางกาย ไดแ้ ก่ อาการปวดจากโรคทางร่างกายต่างๆ เช่น ปวด กระดูก ปวดขอ้ ปวดกลา้ มเนือ หรือเป็ นโรคทีทาํ ใหห้ ายใจไมส่ ะดวก เช่นโรคหวั ใจ หลอดเลือด และโรคระบบทางเดินหายใจ และอาจเป็นผลจากยาหรือสารกระตุน้ บางอยา่ ง เช่น กาแฟ เป็นตน้ 4.2 ปัจจยั ทางจิตใจ ไดแ้ ก่ เหตุการณ์ในชีวติ ทีเกิดขึน อาจเป็นเรืองทีทาํ ให้ เสียใจ ไม่สบายใจ บางคนนอนไม่หลบั เนืองจากใจไมส่ งบ หรือจิตไมม่ ีสมาธิ เนืองจากผสู้ ูงอายมุ กั มีความสามารถในการปรับตวั ตอ่ เรืองเครียด หรือไมส่ บายใจตา่ งๆ ลดนอ้ ยลง มีผลทาํ ใหก้ ารนอน หลบั อาจไม่คอ่ ยดีไดใ้ นขณะทีมีเรืองไม่สบายใจ 4.3 ปัจจยั ทางสงั คม ในปัจจุบนั สภาพสังคมมีการเปลียนแปลงอยา่ งมาก เช่น สภาพถนนหนทางเปลียนแปลงไป มีการใชเ้ ทคโนโลยขี นั สูง มีปัญหาความไม่แน่นอนทาง เศรษฐกิจ การเมือง หรือแมแ้ ต่มลพษิ จากสิงแวดลอ้ มทีเพิมมากขึน ก็มีผลทาํ ให้ผสู้ ูงอายมุ ภี าวะ เครียดจนส่งผลกระทบตอ่ การนอนหลบั ได้ 4.4 สภาพแวดลอ้ มของการนอน ไดแ้ ก่ สภาพห้องนอน หรือการไมค่ ุน้ เคย กบั สถานที เป็ นตน้
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 182 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ แนวทางการป้องกนั แก้ไข 1) ควรฝึ กนิสยั ใหเ้ ขา้ นอนและตืนเป็นเวลา การเขา้ นอนไม่เป็นเวลา อาจจะทาํ ให้เกิด การนอนไมห่ ลบั 2) พยายามอยา่ นอนหลบั ตอนกลางวนั ถา้ หากรู้สึกเพลียและง่วง ก็สามารถนอนหลบั ระยะสันประมาณ 10-20 นาที 3) ออกกาํ ลงั กายใหส้ มาํ เสมอ การออกกาํ ลงั กายทีดีทีสุดของผสู้ ูงอายุ คือ การเดิน เร็วๆ วนั ละ 20-30 นาที แตอ่ ยา่ ออกกาํ ลงั กายในช่วง 2-3 ชวั โมงก่อนเขา้ นอน เพราะอาจทาํ ใหน้ อนไม่หลบั ได้ 4) งดอาหารและเครืองดืมทุกชนิดทีมีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ นาํ อดั ลม เป็นตน้ 5) งดดืมสุรา เบียร์และเครืองดืมทีมีแอลกอฮอลท์ ุกชนิด เพราะอาจจะทาํ ใหง้ ่วงและ หลบั ไดง้ า่ ยก็จริง แต่มกั จะทาํ ให้ตืนกลางดึก แลว้ นอนไม่หลบั อีก 6) งดสูบบุหรี เนืองจากสารนิโคตินทีได้จากการสูบบุหรีจะไปออกฤทธิในการ กระตุน้ สมอง ทาํ ให้นอนไม่หลบั หรือนอนหลบั ยาก 7) ไม่ควรรับประทานอาหารหนกั ก่อนเขา้ นอนประมาณ 2-3 ชวั โมง หากรู้สึกหิวอาจ ดืมนมร้อนหรือกินกลว้ ย เช่น กลว้ ยหอม เนืองจากเป็นอาหารทีมีสารทริปโตแฟน ทีออกฤทธิช่วยให้นอนหลบั ไดด้ ี 8) ควรทาํ กิจกรรมทีช่วยให้ร่างกายสุขสบายและจิตใจสงบ เช่น อาบนาํ อุ่น อา่ น หนงั สือธรรมะหรือการนงั สมาธิก่อนนอนจดั สถานทีนอนใหส้ ะอาด อากาศถ่ายเท สะดวก 9) ควรปรึกษาแพทยเ์ พือให้การบาํ บดั รักษาด้วย หากอาการนอนไม่หลบั ยงั คงเกิด ขึนอยเู่ ป็ นประจาํ 5. ปัญหาภาวะสมองเสือมทพี บในผู้สูงอายุ ภาวะสมองเสือมทีพบไดบ้ ่อยในผูส้ ูงอายเุ กิดจากการเสือมสลายของเซลล์สมองทีเรียกว่า โรคอลั ไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) จากขอ้ มูลสถิติระบาดวทิ ยาขององคก์ ารอนามยั โลก (World Health Organization: WHO) พบว่า (สํานกั งานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ 2557) อุบตั ิการณ์และความชุกของโรคอลั ไซเมอร์มากขึนตามอายพุ บวา่ 1 ใน 4 ของผสู้ ูงอายุ 85 ปี เป็ น โรคอลั ไซเมอร์เมืออายุ 95 ปี อตั ราการเกิดโรคมากถึงครึงหนึง ประเทศแถบตะวนั ตกเช่น ประเทศ สหรัฐอเมริกา อตั ราการเกิดโรคอลั ไซเมอร์เมืออายุ 75 ปี ขึนไปในปัจจุบนั คิดเป็ นร้อยละ 20 อายุ มากกวา่ 65 ปี ขึนไป ในประเทศสหรัฐอเมริกาคิดเป็ นร้อยละ 10 ในประเทศจีนคิดเป็นร้อยละ 4.2
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 183 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ และในประเทศไทยคิดเป็ นร้อยละ 3.4 โดยโรคนีสามารถเกิดขึนไดก้ บั ทุกคนไม่ว่าใครก็สามารถ ป่ วยได้ โดยอาการแสดงเบืองตน้ ทีพบไดบ้ อ่ ยทีสุดของโรคอลั ไซเมอร์ คือ “ความสามารถในการจําลดลง” เพราะโรคอลั ไซเมอร์เป็นโรคชนิดหนึงของระบบประสาท ทีถดถอยมีการดาํ เนินโรคอยา่ งต่อเนืองแต่ยงั ไม่ทราบสาเหตุทีแน่ชดั เคยมีการศึกษาวิจยั มาแลว้ พบวา่ อาการสมองเสือมค่อนขา้ งมีความเกียวขอ้ งทางพนั ธุกรรม นกั วทิ ยาศาสตร์ใหค้ วามเห็นว่า การถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม การไดร้ ับบาดเจ็บทีศีรษะและความดนั โลหิตสูง เป็ นตน้ ลว้ นแต่เป็ น ปัจจยั ให้เกิดโรค แต่ปัจจัยคุกคามทีสุดคือ ความชราภาพ โดยโอกาสเสียงต่อการเป็ นโรคสมองเสือมจะ สูงขึนตามอายทุ ีเพิมมากขึน โดยเฉพาะผูส้ ูงอายุทีมีประวตั ิพนั ธุกรรมโรคนีในครอบครัวหรือเป็ น โรคทางกายบางอย่าง เช่น ความดนั โลหิตสูง เบาหวาน จะเพิมความเสียงขึนประมาณ 3 เท่า เป็ นตน้ (สลิล ศิริอุดมภาส 2555) เฉลียผูป้ ่ วยโรคอลั ไซเมอร์สามารถดาํ รงชีวติ ต่อไดค้ ิดเป็ น 5.5 ปี ผทู้ ีมีโอกาสเป็ นโรคนีไดม้ ากทีสุดจากสถิติในปัจจุบนั คือ กลุ่มผสู้ ูงอายุ เพศหญิงเป็นม่าย รายไดต้ าํ การศึกษาไมส่ ูง อาการแรกเริมทีสามารถสังเกตได้และพบบ่อยทีสุดคือ อาการหลงลืม โดยเฉพาะ เหตุการณ์ในชีวติ ประจําวันทเี พงิ เกดิ ขนึ ได้ไม่นาน เช่น รับประทานอาหารไปแลว้ แต่บอกวา่ ยงั ไมไ่ ดร้ ับประทาน ลืมรับประทานยา ลืมชือคน ลืมวา่ วางของไวท้ ีไหน อ่านหนงั สือไมอ่ อก คิดคาํ ศพั ทบ์ างคาํ ไมอ่ อก หลงทิศทางกลบั บา้ นไม่ถูก มกั จะพูดซาํ ๆ ยาํ คาํ ถามคาํ ตอบเพือใหต้ นเองแน่ใจ เมืออาการรุนแรงขึนอาจจาํ บุคคลในครอบครัวไมไ่ ด้ อาบนาํ แตง่ ตวั เองไม่ได้ หรือใชข้ องผดิ ประเภท เช่น ใชโ้ ทรศพั ทไ์ ปตอกตะปู นาํ หวไี ปหนั ของ เป็นตน้ รวมทงั มีบุคลิกภาพเปลียนแปลงไป เช่น กลายเป็นคนกา้ วร้าว หงุดหงิดฉุนเฉียว แยกตวั ไม่ เขา้ สังคม เป็ นตน้ จนทา้ ยทีสุดจะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองในการปฏิบตั ิกิจวตั รประจาํ วนั ต่างๆ ไดเ้ ลย อาจนอนนิงๆ อยู่บนเตียง ไม่เคลือนไหวและอาจเสียชีวิตไดจ้ ากภาวะแทรกซ้อนจากการ นอนนานๆ เช่น ติดเชือทีปอด เป็ นตน้ อยา่ งไรก็ตาม แมว้ า่ โรคอลั ไซเมอร์จะรักษาไม่หาย แต่ก็มี วธิ ีการการป้องกนั โดยการชะลอความเสือมของเซลลส์ มองอนั เป็ นสาเหตุสาํ คญั ของโรคอลั ไซเมอร์ ได้ ดงั นี
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 184 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ แนวทางการป้องกนั แก้ไข 5.1 รับประทานอาหารทีช่วยลดและชะลอความเสือมของเซลลส์ มอง และ ช่วยบาํ รุงการทาํ งานของสมอง ไดแ้ ก่ ธัญพืชต่างๆ จมูกขา้ วสาลี ถวั ลิสง ขา้ วกลอ้ ง มนั ฝรัง กลว้ ย กะหลาํ ปลี นมสด ควรรับประทานผกั และผลไมม้ ากๆ เพือเพิมสารตา้ นอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ รับประทานปลาทะเลสัปดาห์ละ 2-3 ครัง เพือเพิมกรดโอเมกา 3 และดืมนาํ อย่างนอ้ ยวนั ละ 8 แกว้ หลีกเลียงการรับประทานอาหารทีมีไขมนั สูงจากสัตว์บก กะทิ นาํ มนั มะพร้าว อาหารรสเค็มจดั หวานจดั ของหมกั ดอง อาหารทีใส่ผงชูรส เครืองดืมชา กาแฟ นาํ อดั ลมและควบคุมนาํ หนักตวั ไมใ่ หม้ ากหรือนอ้ ยเกินไป 5.2 อาศยั อยใู่ นแหล่งทีมีอากาศบริสุทธิ ถ่ายเทสะดวก สะอาด ไมแ่ ออดั ไมม่ ีมลภาวะ ฝ่ นุ ละออง สารเคมี หรือเสียงดงั เกินไป 5.3 ออกกาํ ลงั กายในสถานทีทีมีอากาศบริสุทธิอยา่ งสมาํ เสมอ อยา่ ง นอ้ ย 3 วนั /สัปดาห์ โดยเลือกกิจกรรมทีเหมาะกบั สภาพร่างกาย เช่น เดินเล่นนอกบา้ นในเวลาเชา้ หรือเยน็ วงิ อยูก่ บั ที ปันจกั รยาน เตน้ แอโรบิก เล่นโยคะ ราํ มวยจีนหรือไทเก๊ก เป็ นตน้ 5.4 นอนหลบั พกั ผอ่ นอยา่ งเพยี งพอ เพอื มิให้สมองทาํ งานหนกั เกินไป 5.5 หลีกเลียงการเกิดภาวะเครียดหรือรู้จกั วธิ ีการผอ่ นคลายความเครียด เนืองจากความเครียดทีรุนแรงหรือยาวนานเกินไปจะส่งผลให้สมองมีการทาํ งานผดิ ปกติและควรงด การสูบบุหรีและแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด 5.6 เขา้ ร่วมกิจกรรมทางสังคมเพอื กระตุน้ ความตืนตวั ของสมอง โดยการ ทดลองประสบการณ์ใหมๆ่ เช่น ร้องเพลง เล่นเกม เตน้ รํา ฯลฯ 5.7 ฝึ กฝนการใชค้ วามคิด หรือฝึ กความจาํ อยา่ งสมาํ เสมอ เพือกระตุน้ การ ทาํ งานของเซลลส์ มอง เช่น การอา่ นหนงั สือ การเล่นดนตรี การเรียนรู้สิงใหม่ ฝึกการทดสอบ ความจาํ การคดิ คาํ นวณ รวมทงั การเล่นเกมตา่ งๆ เช่น ปริศนาอกั ษรไขว้ ทายสาํ นวนสุภาษิตจาก ภาพ เป็ นตน้ 5.8 เขียนวธิ ีการใชง้ านเครืองมือเครืองใชต้ ่างๆ ในบา้ นเอาไว้ เขียนโนต้ ช่วยจาํ กิจกรรมตา่ งๆ ทีตอ้ งทาํ และไมเ่ ปลียนแปลงสถานทีจดั วางสิงของบ่อยๆ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 185 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ สิงทีสมาชิกในครอบครัวตอ้ งทาํ ความเขา้ ใจอีกประการหนึง คือ ขอ้ มูลเกียวกบั สุขภาพกาย และสุขภาพจิต เพราะเป็ นปัจจยั สําคญั อีกประการหนึงทีตอ้ งนาํ เขา้ มาประกอบในการพิจารณาเพือ ใช้ศิลปะการสือสารสุขภาพในการดูแลผูส้ ูงอายุและสมาชิกในครอบครัวทุกคน โดยสามารถนํา ขอ้ มูลเหล่านีไปใช้ประโยชน์ไดอ้ ยา่ งเป็นสอดคลอ้ งกบั ความจาํ เป็ นและความตอ้ งการตามวยั ของ ผสู้ ูงอายแุ ต่ละคน ซึงมกั จะมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตคลา้ ยๆ กนั เป็นส่วนใหญ่ สําหรับความหมายของ สุขภาพกาย โดยสรุป หมายถึง สภาวะของร่างกายทีมีความ สมบูรณ์ แขง็ แรง เจริญเติบโตอยา่ งปกติ ระบบต่างๆ ของร่างกายสามารถทาํ งานไดเ้ ป็ นปกติและมี ประสิทธิภาพ ร่างกายมีความตา้ นทานโรคไดด้ ี ปราศจากโรคภยั ไขเ้ จบ็ และความทุพพลภาพ ส่วนความหมายของ สุขภาพจิต โดยสรุป หมายถึง สภาวะของจิตใจทีมีความสดชืน แจ่มใส สามารถควบคุมอารมณ์ให้มนั คงเป็ นปกติ สามารถปรับตวั ให้เขา้ กบั การเปลียนแปลงของ สังคมและสิงแวดลอ้ มต่างๆไดด้ ี สามารถเผชิญกบั ปัญหาต่างๆไดเ้ ป็ นอย่างดี และปราศจากความ ขดั แยง้ หรือความสบั สน ภายในจติ ใจ (กาํ ธร พราหมณ์โสภี 2559) ในด้านความสําคัญของสุขภาพกายและสุขภาพจิต คือ การทาํ ให้ร่างกาย แข็งแรง สมบูรณ์ จิตใจมีความสุข ความพอใจ ความสมหวงั ทงั ตนเองและผอู้ ืน ผูท้ ีมีสุขภาพกาย และสุขภาพจิตทีดีจะปฏิบตั ิหน้าทีประจาํ วนั ไม่ว่าเป็ นการเรียนหรือการทาํ งานเป็ นไปด้วยดี มี ประสิทธิภาพ การทีเรารู้สึกวา่ ทงั สุขภาพกายและสุขภาพจิตของเรามีความปกติและสมบูรณ์ดี เราก็ จะมีความสุข ในทางตรงขา้ ม ถา้ สุขภาพกายและสุขภาพจิตของเราผดิ ปกติหรือไมสมบูรณ์ เราก็จะมี ความทุกข์ การรู้จกั บาํ รุงรักษา และส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิตเป็นสิงทีจาํ เป็นสําหรับชีวิต ของทุกคน ในปัจจุบนั เป็ นทียอมรับวา่ การรู้จกั ดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตนนั เป็ นสิงสําคญั มาก ทีจะช่วยใหช้ ีวติ อยไู่ ดด้ ว้ ยความสุขสมบูรณ์และมีคุณภาพทีดี การพจิ ารณาลกั ษณะของผ้มู ภี าวะสุขภาพกายทีดี ประกอบดว้ ยสิงตา่ งๆ ดงั นี 1) สภาพร่างกายมีความสมบรู ณ์แขง็ แรง 2) อวยั วะต่างๆทงั ภายในและภายนอกร่างกายสามารถทาํ งานไดต้ ามปกติ 3) ร่างกาย ไมท่ ุพพลภาพ 4) ความเจริญทางดา้ นร่างกายเป็ นไปตามปกติ 5) ร่างกายไดร้ บั การพกั ผอ่ นอยา่ งเพียงพอ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 186 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ การพจิ ารณาลกั ษณะของผ้มู ภี าวะสุขภาพจติ ทดี ี ประกอบดว้ ยสิงต่างๆ ดงั นี 1) มีอารมณ์มนั คง และสามารถควบคุมอารมณ์ไดด้ ี 2) มีความตงั ใจและกระตือรือร้นในการทาํ งาน ไม่ยอ่ ทอ้ หรือหมดหวงั ในชีวติ 3) มีความสดชืน เบกิ บาน แจ่มใส ไม่เครียด ไมม่ ีความวติ กกงั วลใจจนเกินไป 4) มีความรู้สึกตอ่ ผูอ้ ืนในแงด่ ี มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขนั บา้ งตามสมควร 5) รู้จกั ตนเองดีและมีความเขา้ ใจผอู้ ืนดีเสมอ 6) มีความเป็ นตวั ของตวั เอง และมีความเชือมนั ในตนเองอยา่ งมีเหตุผล 7) สามารถปรับตวั เขา้ กบั สงั คมและสิงแวดลอ้ มไดด้ ี 8) กลา้ เผชิญกบั ปัญหา และสามารถตดั สินใจแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งรวดเร็วและถูกตอ้ ง 9) มีการแสดงออกอยา่ งเหมาะสม เมือมีความสะเทือนใจ 10) สามารถแสดงความยนิ ดีตอ่ ผูอ้ ืนอยา่ งจริงใจเมือบุคคลเหล่านนั ประสบความสุข ความสมหวงั หรือความสาํ เร็จ เมือพิจารณาทังสุ ขภาพกายและสุ ขภาพจิตควบคู่กันไป จะพบว่าทังสองอย่างมี ความสัมพันธ์เกียวข้องกัน พรพิมล ศิริกุล (2557) ได้นําเสนอข้อมูลจากการศึกษาวิจัยของ นกั จิตวิทยาเกียวกบั เรืองนีพบวา่ “จิตใจนันมีอํานาจสามารถสังให้กายกระทําตามทีจิตสังได้ และ เมือจิตใจมีความเข้มแข็ง ก็จะสามารถช่วยให้กายมีกําลังทีแข็งแกร่งขึนมาได้ดีขึน” ตวั อย่างการ ทดลองทีผา่ นมา กรณีผปู้ ่ วยทีเป็ นโรคหวั ใจทงั คู่ ท่านหนึงอาศยั อยใู่ นครอบครัวทีเอืออาทรห่วงใย กนั อีกท่านอยเู่ พียงลาํ พงั โดดเดียว ผูป้ ่ วยคนแรกสามารถอยรู่ ักษาตวั ทีบา้ นได้ เพราะไดร้ ับกาํ ลงั ใจ จากครอบครัวเพือให้ต่อสู้กบั โรคร้ายจนอาการโรคหวั ใจไม่กาํ เริบ ส่วนผูป้ ่ วยทีอาศยั อยโู่ ดดเดียว ตอ้ งมานอนพกั รักษาตวั อยู่ทีโรงพยาบาลเพราะมีความเสียงทีจะเกิดอาการหวั ใจวาย ตวั อย่างที กล่าวมานีชีใหเ้ ห็นวา่ จิตใจสามารถทาํ ใหส้ ุขภาพร่างกายแขง็ แรงได้ หลกั การวิทยาศาสตร์ไดอ้ ธิบาย ไวอ้ ยา่ งง่ายๆ คือ ร่างกายสามารถเคลือนไหวไดอ้ นั เนืองมาจากสมองควบคุมระบบประสาทและ ระบบประสาทนีสังการไปยงั อวยั วะในส่วนตา่ งๆ จึงเรียกวา่ “จิตควบคุมกาย” นนั เอง เมือพิจารณา ถึงคาํ ว่า สุขภาพจิตทีดี จะหมายถึง สภาวะจิตทีเป็ นปกติสุข มีความคิดในทางบวก สามารถปรับ ตนเองใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มและสังคมไดด้ ี สามารถดูแลจดั การอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกและ การแสดงออกไดอ้ ยา่ งเหมาะสม รวมถึงมีความสามารถในการแกไ้ ขปัญหาตา่ งๆ เพือคุณภาพทีดีต่อ ชีวติ ของตนเองและส่วนรวม คือ สมาชิกในครอบครัวทุกคน ผูท้ ีมีสุขภาพจิตดีเป็นผูท้ ีสามารถใช้ ชีวิตประจาํ วนั ไดอ้ ยา่ งปกติสุข มีความรู้สึกนึกคิดทีดี สามารถปรับตวั เขา้ กบั สังคมและสิงแวดลอ้ ม ไดด้ ี และปราศจากโรคทางจิต
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 187 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ เดเนียล โกลแมน (Daniel Goleman, 2006) นกั จิตวิทยาผูพ้ ฒั นาความฉลาดทางสติปัญญา ไดก้ ล่าวถึงลกั ษณะของผทู้ ีมีสุขภาพจติ ไวด้ งั นี 1) รู้และเขา้ ใจอารมณ์ของตนเอง มีความรู้สึกถึงอารมณ์ของตนเองทีกาํ ลงั เกิดขึน เช่น รู้สึกวา่ ตนเองโกรธ กลวั เสียใจ แต่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ รู้จกั จุดดีและจุดดอ้ ยของตน ยอมรับนบั ถือ ตนเอง ไม่ปล่อยใหผ้ อู้ ืนมีอาํ นาจเหนือตน สามารถแกไ้ ขปัญหาต่างๆ ไดด้ ี 2) จดั การกับอารมณ์ของตนเองได้ มีความสามารถควบคุมพฤติกรรมการแสดงออกของ ตนเองไดอ้ ยา่ งเหมาะสม มคี ุณธรรมและมีพฤติกรรมไปในทางทีดี 3) เขา้ ใจผอู้ ืน ใหค้ วามช่วยเหลือผอู้ ืนทีเดือดร้อน หรือขอความช่วยเหลือ มีนาํ ใจตอ่ ผอู้ ืน 4) สร้างแรงจูงใจ สามารถสร้างแรงจูงใจ สร้างทศั นคติทีดีและกาํ ลงั ใจให้แก่ตนเอง ส่งผลให้ ทาํ งานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพและสามารถพฒั นาตนเองได้ 5) สร้างความสัมพนั ธท์ ีดี เป็ นผทู้ ีสามารถปรับตวั เขา้ หาผอู้ ืน คบคา้ สมาคมกบั คนในสังคม ไว้ เนือเชือใจ ยอมรับความคิดเห็นของผอู้ ืน มีความรับผดิ ชอบต่อตนเองและสังคม วธิ ีการพฒั นาสุขภาพจติ ทีดี คือ ให้เป็ นผ้ทู ีคดิ ดี ทําดี ดูแลสุขภาพจติ ให้ แข็งแรง สามารถใช้ชิวติ ในสังคมได้อย่างปกตสิ ุข วธิ ีการพฒั นาสุขภาพจติ ทีดี สามารถทาํ ได้ดงั นี 1) คิดในเชิงบวกการฝึ กตนเองใหเ้ ป็นคนมองโลกในแง่ดี มีความคิดเชิงบวก มีอารมณ์ขนั มี จติ ใจแจ่มใส ช่วยใหส้ ุขภาพจติ ดีมีทศั นคติทีดีไมค่ ิดจบั ผดิ คิดดว้ ยเหตุผล มีความคิดหลายๆ แงม่ มุ 2) เรียนรู้การจดั การอารมณ์ของตนเองเริมจากการเขา้ ใจอารมณ์ของตน ควบคุมอารมณ์ให้ เป็นและรู้จกั ระบายออกอยา่ งเหมาะสม 3) การรู้จกั ความเป็นตวั ตนของตนเองรู้ถึงความตอ้ งการและเป้าหมาย เพอื พฒั นาตนเอง อยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม สามารถปรับตวั เขา้ กบั สิงแวดลอ้ มและสังคม แกไ้ ขปัญหาดว้ ยตนเองได้ 4) รู้จกั รับฟังความคิดเห็นของผูอ้ ืนทาํ ใหม้ องเห็นทศั นคติทีกวา้ งขึน เห็นมุมมองใหม่ และ สามารถนาํ มาปรับปรุงพฒั นาใหเ้ ขา้ กบั ตนเอง และแกไ้ ขขอ้ ผิดพลาดของตน 5) รู้จกั ฝึ กสมาธิเพอื ช่วยใหจ้ ิตใจสงบ ทาํ ใหเ้ ป็นคนรู้จกั ปล่อยวาง และทาํ ใหเ้ ขา้ ใจตนเอง และผอู้ ืนอยา่ งมีเหตุผล
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 188 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 6) ฝึ กใหม้ ีความเชือมนั ในตนเอง คนทีมีความเชือมนั ในตนเอง เป็นคนทีกลา้ คิด กลา้ แสดงออก คนเหล่านีประสบความสาํ เร็จไดเ้ ร็วกวา่ ผทู้ ีขาดความมนั ใจในตนเอง เพราะเขารู้ ความตอ้ งการของตนเอง วธิ ีการทีช่วยใหต้ นเองมีความมนั ใจคือ ส่องกระจกและพูดคุยกบั ตนเอง โดยพยายามบอกกบั กระจกวา่ ตวั เรามีความมนั ใจ สามารถทาํ ทุกอยา่ งทีตอ้ งการได้ พูด กบั ตนเองวนั ละ 50 ครังทุกวนั วิธีนีเป็นการปลูกจิตใตส้ าํ นึกใหเ้ รียนรู้และกระตุน้ ใหเ้ กิดความ เชือมนั ตามมา 7) ใหก้ าํ ลงั ใจปลอบโยนเมือรู้สึกทอ้ แท้ ผทู้ ีจะมีสุขภาพจติ ดีนนั สามารถปรับอารมณ์ใหเ้ ขา้ กบั สถานการณ์ตา่ งๆ ไดด้ ี เวลาทุกขเ์ ราตอ้ งการกาํ ลงั ใจมากทีสุด ลองปลอบประโลมตนเองดว้ ย การพูดกบั ตนเองวา่ ทุกอยา่ งจะดีขึนเอง พยายามสร้างกาํ ลงั ใจใหต้ นเองมากทีสุด จากความรู้พืนฐานเกยี วกับผ้สู ูงอายุ ข้อมูลด้านสุขภาพกาย สุขภาพจติ ของผู้สูงอายุ รวมทังงานวิจัยเกยี วกบั การสือสารสุขภาพทังหมดทีนําเสนอมา ผู้เขียนคิดว่าสามารถใช้เป็ นฐานคิดในการเตรียมการป้องกนั สร้างเสริม ดูแลและรักษาสุขภาพ กายและสุขภาพจิตให้ผูส้ ูงอายุในครอบครัว โดยใช้ศิลปะการสือสารสุขภาพและความรักความ ห่วงใยของสมาชิกทุกคนในครอบครัว ช่วยในการสือสารสุขภาพเพือให้เกิดความสําเร็จอย่างมี ประสิทธิภาพตามทีตงั ใจไว้ โดยแนวทางของการใช้ศิลปะการสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและ สุขภาพจติ ให้ผู้สูงอายุ ประกอบดว้ ยการจาํ แนก “ความสุข” ของผูส้ ูงอายุออกเป็ น 5 ดา้ น (สุจริต สุวรรณชีพ และ สาํ นกั พฒั นาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต 2555) ดงั นี ด้านที 1 คือ สุขสบาย (Health) หมายถึง ความสามารถของผสู้ ูงอายุในการดูแลสุขภาพ ร่างกายให้มีสมรรถภาพร่างกายทีแข็งแรงคล่องแคล่ว มีกาํ ลงั สามารถตอบสนองต่อความตอ้ งการ ทางกายภาพไดต้ ามสภาพทีเป็ นอยู่ มีเศรษฐกิจหรือปัจจยั ทีจาํ เป็ นพอเพียง ไม่มีอุบตั ิภยั หรือ อนั ตราย มีสภาพแวดลอ้ มทีส่งเสริมสุขภาพ ไม่ติดสิงเสพติด ด้านที 2 คือ สุขสนุก (Recreation) หมายถึง ความสามารถของผสู้ ูงอายใุ นการเลือกวถิ ีชีวติ ทีรื นรมย์ สนุกสนาน ด้วยการทํากิจกรรมทีก่อให้เกิดอารมณ์เป็ นสุข จิตใจสดชืนแจ่มใส กระปรีกระเปร่า มีคุณภาพชีวติ ทีดีซึงกิจกรรมทีเหล่านีสามารถลด ความซึมเศร้า ความเครียดและ ความวติ กกงั วลได้ ด้านที 3 คือ สุขสง่า (Integrity) หมายถึง ความรู้สึกพึงพอใจในชีวติ ความภาคภูมิใจใน ตนเอง ความเชือมนั ในตนเอง เห็นคุณค่าในตนเอง การยอมรับนบั ถือตนเอง ใหก้ าํ ลงั ใจตนเองได้ เห็นอกเห็นใจผอู้ ืน มีลกั ษณะเอือเฟื อแบง่ ปันและมีส่วนร่วมในการ ช่วยเหลือผอู้ ืนในสังคม
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 189 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ด้านที 4 คือ สุขสว่าง (Cognition) หมายถึง ความสามารถของผูส้ ูงอายุดา้ นความจาํ ความคิดอยา่ งมีเหตุมผี ล การสือสาร การวางแผนและการแกไ้ ขปัญหาความสามารถในการคิดแบบ นามธรรมรวมทงั ความสามารถในการจดั การสิงตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ด้านที 5 คือ สุขสงบ (Peacefulness) หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการรับรู้ เขา้ ใจ ความรู้สึกของตนเอง รู้จกั ควบคุมอารมณ์และสามารถจดั การกบั สภาวะอารมณ์ทีเกิดขึนไดอ้ ยา่ งมี ประสิทธิภาพ สามารถผ่อนคลายให้เกิดความสุขสงบกบั ตนเองได้ รวมทงั ความสามารถในการ ปรับตวั ยอมรับสภาพสิงทีเกิดขึนตามความเป็นจริง โดยหลกั การใชศ้ ิลปะเพือการสือสารสุขภาพนนั คือ ตอ้ งพยายามส่งเสริมให้ผสู้ ูงอายุไดท้ าํ กิจกรรมต่างๆ ทีต้องใช้แรงกาย ใช้ความคิด ประสบการณ์ทีผ่านมาและได้ทาํ งานอดิเรกใน ชีวิตประจาํ วนั เพือให้เกิดความสุขทงั 5 ด้านผสมผสานไปพร้อมๆ กนั โดยตอ้ งพยายามจดั หา กิจกรรมให้เหมาะสมพอดีๆ เพือให้เกิดความสุขสบาย สุขสนุก สุขสง่า สุขสวา่ งและสุขสงบ รวมทงั กิจกรรมทีเตรียมการไวต้ อ้ งให้เป็นการฝึกฝนร่างกายของผสู้ ูงอายเุ พือเพิมความแข็งแรงของ ร่างกายให้มากยงิ ขึน งานอดิเรกหลายอยา่ งทีนอกจากให้ประโยชน์ทางสุขภาพกายและสุขภาพจิต แก่ผูส้ ูงอายแุ ล้ว ยงั ให้ผลประโยชน์ดา้ นการครองชีพอีกดว้ ย เช่น การซ่อมแซมอุปกรณ์เครืองใช้ ต่างๆ ในบา้ น การปลูกพืชผกั ผลไม้ การเลียงเด็ก ฯลฯ แต่ทงั นีจะตอ้ งจดั หรือปรับให้เขา้ กบั หลกั ของการฝึ กฝน ร่างกาย ทงั ในแงป่ ริมาณและส่วนประกอบอืนๆ ไดแ้ ก่ ปัจจยั ในตวั เอง ปัจจยั นอกตวั และการพกั ผ่อน รวมทงั การสือสารเพือสนบั สนุนให้ผูส้ ูงอายไุ ดอ้ อกกาํ ลงั กายฟื นฟูสมรรถภาพ ของร่างกายของตนเองให้มีความคล่องแคล่วและยดื หย่นุ ใหร้ ่างกายมีเสถียรภาพทีดีไม่ลม้ ง่าย จึง ตอ้ งใชศ้ ิลปะการสือสารโนม้ นา้ วใจ ชกั จูงใจผูส้ ูงอายใุ ห้รู้สึกอยากฝึ กความแข็งแรงของกลา้ มเนือ ส่วนต่างๆ ของร่างกายเป็นประจาํ ลูกหลานสมาชิกในครอบครัวต้องร่วมกนั คดิ เพือหากจิ กรรมทจี ะสร้างความเพลดิ เพลนิ ลด ความเครียดความฟุ้งซ่านของความคิดขณะอยู่คนเดียวของผู้สูงอายเุ ป็ นระยะๆ ด้วย เพราะอารมณ์ ถือเป็ นพลงั ชีวติ เป็ นสีสันของชีวิต และยงั เป็ นพลงั มหาศาลในการดาํ รงชีวิต ผูส้ ูงอายทุ ีมีอารมณ์ดี มกั จะเป็ นผูท้ ีมีชีวิตชีวา จึงมกั มีเพือนไม่เหงา ห่างไกลจากภาวะซึมเศร้า โดยการจะเป็ นผูม้ ีอารมณ์ สดใสร่าเริงมีความพึงพอใจในชีวิตตอ้ งมีการพฒั นาอารมณ์ให้เกิดความสุขสนุกจากลูกหลานดว้ ย ซึงกิจกรรมทีประหยดั และสามารถใหป้ ระโยชน์ไดม้ าก อาทิ การออกกาํ ลงั กาย การร้องเพลง การ เล่นดนตรี การรําวงหรือเตน้ รําเบาๆ สบายๆ พอให้กลา้ มเนือไดอ้ อกแรง เป็ นตน้ และควรเลือก กิจกรรมทีทาํ ใหเ้ กิด ความรัก ความพอใจและความสมคั รสมานสามคั คีกนั ในกลุ่มสมาชิกภายใน ครอบครัวมากยงิ ขึนดว้ ย
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 190 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ในเรืองศิลปะการสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผูส้ ูงอายุนัน รองศาสตราจารย์ ดร.สายฤดี วรกิจโภคาทร ผู้อาํ นวยการสถาบันแห่งชาติเพือการพัฒนาเด็กและ ครอบครัว ไดใ้ หแ้ นวทางไว้ (มูลนิธิเครือขา่ ยครอบครัว 2558) ดงั นีคือ 1) การใชศ้ ิลปะการสือสารสุขภาพกบั ผสู้ ูงอายตุ อ้ งเป็นการสือสารสองทาง (Two-way Communication) ในบางครังการสือสารพูดคุยกนั ของสมาชิกในครอบครัวอาจตอ้ งเจอกบั ปัญหาไม่ สบอารมณ์กนั ระหวา่ งการสนทนาประจาํ วนั เพราะเขา้ ใจกนั ไปคนละเรืองคนละเหตุผลหรือคนละ อารมณ์คนละประสบการณ์ ดว้ ยวยั ทีแตกต่างกนั ยอ่ มทาํ ใหเ้ กิดช่องวา่ งของอายทุ ีส่งผลให้มีมุมมอง คนละดา้ นในเรืองเดียวกนั ซึงจะก่อใหเ้ กิดปัญหาความไม่เขา้ ใจกนั ระหวา่ งผสู้ ูงอายุในบา้ น คือ คุณ ป่ ูคุณย่าคุณตาคุณยาย คุณพ่อคุณแม่กบั ลูกหลานได้ จนสุดทา้ ยอาจทาํ ให้ไม่ค่อยอยากคุยกนั หรือ ห่างเหินกนั ไปในทีสุด ดงั นนั นอกจากฝ่ ายลูกหลานจะตอ้ งพยายามสือสารให้ไดค้ วามเพลิดเพลิน และสาระกบั ผูส้ ูงอายุแลว้ ตวั ผูส้ ูงอายุเอง ก็จาํ เป็ นตอ้ งเรียนรู้การอยกู่ บั ลูกหลานของตนเองให้ได้ อยา่ งเหมาะสมดว้ ย คือ ตอ้ งถอ้ ยทีถอ้ ยอาศยั กนั โดยฝ่ ายลูกหลานทีเป็ นวยั รุ่นก็ตอ้ งพยายามเรียนรู้ สังเกต จดจาํ เพือให้เกิดเขา้ ใจวา่ ผูส้ ูงอายใุ นบา้ นของเรามีบุคลิกลกั ษณะนิสัยประจาํ ตวั เช่นไร จะได้ เตรียมตวั เตรียมใจรับรูปแบบการสือสารทีบางครังเหมือนพูดไปบ่นไปจูจ้ ีจุกจิก วยั รุ่นในบา้ นจึง ตอ้ งใช้ความอดทนมากขึนเข้าใจผูส้ ูงอายุให้มากขึน จะได้ไม่หมดกาํ ลงั ไปก่อนในการสือสาร สุขภาพกบั ญาติผใู้ หญห่ รือผสู้ ูงอายใุ นบา้ น 2) ลูกหลานตอ้ งสังเกตเพอื ใหร้ ู้วา่ ผสู้ ูงอายใุ นบา้ นมีความสามารถในการไดย้ นิ เสียงมาก นอ้ ยแค่ไหน มีความสามารถในการมองเห็นแค่ไหน พูดคล่องแค่ไหน ถา้ ลูกหลานเขา้ ใจอย่างถ่อง แทก้ ็จะทนไดว้ า่ ผสู้ ูงอายุเป็ นคนพูดเสียงเบา พูดไม่ค่อยคล่องติดๆ ขดั ๆ หรือบางคนอาจจะพูดเสียง ดงั คลา้ ยๆ ตะโกน เหมือนพูดจากระแทกกระทนั เพราะผูส้ ูงอายเุ องก็ไมไ่ ดย้ นิ เสียงตวั เองเช่นกนั ทาํ ให้บางครังลูกหลานอาจจะอายเพราะเวลาพูดกนั ขึนมาทีไร ผูส้ ูงอายุในบา้ นก็จะพูดเสียงดงั มาก เวลาจะพูดดว้ ยก็ตอ้ งใช้เสียงทีดงั มาก เพราะท่านอาจจะไม่ไดย้ ินหรือไดย้ ินไม่ชดั รวมทงั สายตาก็ อาจจะมวั จึงมองเห็นไม่ชดั เจน เพราะฉะนนั ถา้ เขา้ ใจถึงปัญหาสุขภาพร่างกายพืนฐานของผูส้ ูงอายุ ดงั นีแล้ว เวลาจะพูดจาสือสารกบั ผูส้ ูงอายุจะตอ้ งหนั หนา้ ไปมอง แลว้ ก็ตอ้ งพูดให้ชา้ ลง พูดดว้ ย ความรัก เพราะการพดู ดว้ ยความรักกบั พูดดว้ ยความราํ คาญนนั “นาํ เสียง”จะต่างกนั ซึงผูส้ ูงอายจุ ะ สามารถรับความรู้สึกไดไ้ วมากจากนาํ เสียงของลูกหลาน เมือไดร้ ับฟังนาํ เสียงจะทาํ ใหผ้ สู้ ูงอายรุ ับรู้ ไดท้ นั ทีเลยวา่ เสียงแบบนีเบือแลว้ รําคาญแลว้ ไม่อยากคุยดว้ ย ตอ้ งเขา้ ใจดว้ ยวา่ ผูส้ ูงอายุจะขีน้อยใจ ง่ายมาก
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 191 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 3) เรียนรู้ซึงกนั และกนั เพอื ใหเ้ กิดความพงึ พอใจในการสือสารทงั สองฝ่ าย คือ ลูกหลานรู้ วา่ ผูส้ ูงอายุอยากฟังอะไร ผูส้ ูงอายกุ ็รู้ว่าลูกหลานอยากฟังอะไรเช่นกนั เช่น ผูส้ ูงอายุอยากรู้สึกว่า ลูกหลานยงั เคารพรัก ยงั สนใจในตนเองอยู่ อาจชอบให้ลูกหลานเอ่ยชมว่าท่านเก่ง ท่านดี ท่านมี เมตตา ท่านใจกวา้ ง เป็ นตน้ แต่ตอ้ งไม่ให้ซาํ บ่ายๆ จนมากเกินไปกลายเป็ นรู้สึกว่าพูดไม่จริงใจ นอกจากเอ่ยปากชืนชมผูส้ ูงอายุตามความเป็ นจริงและอยูใ่ นความเหมาะสมแลว้ ยงั ตอ้ งคอยชวน พดู คุยหรือหากิจกรรมอืนๆ ให้ผูส้ ูงอายไุ ดท้ าํ จะไดไ้ ม่คิดวนเวียนอยกู่ บั เรืองสุขภาพตนเองไม่ดี จึง ไปไหนมาไหนไม่ค่อยได้ ตาไม่ดีเลยอา่ นหนงั สือไมค่ อ่ ยคล่อง เป็นตน้ โดยลูกหลานอาจพาผสู้ ูงอายุ ไปรับประทานอาหารขา้ งนอกบา้ นบา้ ง หรือไปเดินดูของดูร้านคา้ ต่างๆ ในห้างสรรพสินคา้ บา้ งก็ได้ เพือให้ผูส้ ูงอายุไดเ้ ปลียนบรรยากาศเปลียนอารมณ์ไปบา้ งจากบรรยากาศภายในบา้ นทีใช้ชีวติ อยู่ เป็ นเวลานานๆ หรือฝึ กสอนให้ผูส้ ูงอายไุ ดล้ องใชอ้ ุปกรณ์เทคโนโลยใี หม่ๆ ทีไม่ยงุ่ ยากมากนกั คือ เรียนรู้การใช้งานง่ายๆ เช่น ฝึ กให้ใช้โทรศพั ทม์ ือถือประเภทสมาร์ทโฟนใหเ้ ป็ นเพือเล่นโซเชียล มีเดีย เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก กบั ลูกหลานหรือฝึ กให้ใช้คอมพิวเตอร์พกพาหรือโน้ตบุ๊กให้เป็ น เพราะ ผูส้ ูงอายุบางคนก็ชอบใชอ้ ุปกรณ์เทคโนโลยสี มยั ใหม่เช่นกนั แต่อาจไม่กลา้ ลองเล่นลองใชเ้ องตอ้ ง ให้ลูกหลานเป็ นผูช้ ักชวนและบอกสอนวิธีใช้ให้ กิจกรรมเหล่านีก็ถือว่าเป็ นศิลปะการสือสาร สุขภาพอีกวิธีการหนึง คือ การหากิจกรรมในการใชเ้ วลาว่างให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพกายและ สุขภาพจติ ของผสู้ ูงอายุ 4) รู้เทา่ ทนั คาํ พูดของผสู้ ูงอายทุ ีอาจทาํ ใหล้ ูกหลานเสียกาํ ลงั ใจหรือทอ้ ใจในการสือสาร เพอื ดูแลผูส้ ูงอายุ เช่น “ไม่ต้องเสียเวลามาดูแลหรอก ไม่อยากจะเป็ นภาระลูกหลาน” ทงั นีเนืองจาก ผสู้ ูงอายเุ คยเป็ นคนดูแลทุกอยา่ งใหล้ ูกหลาน พอมาวนั หนึงตอ้ งมาให้ลูกหลานดูแล ผสู้ ูงอายุจะรู้สึก เป็ นห่วง กลวั วา่ ลูกหลานจะลาํ บาก นนั เพราะความตอ้ งการลึกๆ คือ อยากให้ตนเองยงั สาํ คญั ไม่ใช่ เป็ นภาระ ท่านแค่อยากจะรู้ว่าถ้าบอกลูกหลานจะมาช่วยหรือขออะไรแล้วลูกหลานก็จะฟัง เพราะฉะนนั เมือจะคาํ พูดบนั ทอนกาํ ลงั ใจแบบนีใหล้ ูกหลานตอ้ งเตรียมคาํ ตอบใหน้ ุ่มนวลและยงั คง แสดงถึงความห่วงใยทีมีตอ่ ผสู้ ูงอายุ รวมทงั ยงั ตอ้ งแสดงใหเ้ ห็นถึงการใหค้ วามสําคญั กบั ผสู้ ูงอายุอยู่ เสมอ หรือบางกรณีผสู้ ูงอายอุ าจจะสือสารอีกแบบหนึง เช่น “ทาํ เองได้น่า มันไม่ได้หนกั หนาอะไรนักหรอก” ถา้ เจอประโยคแบบนีในทางจิตวทิ ยาให้ พิจารณาไดเ้ ลยว่า ผูส้ ูงอายุเริมรู้สึกแย่ขึนมาเล็กน้อยแล้ว เพราะฉะนันลูกหลานตอ้ งเริมเขา้ ไป ประเมินรายละเอียดกิจวตั รประจาํ วนั บางอยา่ งแลว้ วา่ มีสิงไหนทีผสู้ ูงอายยุ งั ทาํ ได้ สิงไหนทีเริมจะ ทาํ ไมไ่ ดแ้ ลว้ และลูกหลานควรตอ้ งเขา้ ไปช่วยเหลือแลว้
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 192 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ คาํ พูดอีกประเภทหนึง เช่น “อย่ามาทาํ เหมือนฉันเป็ นเด็กอมมือนะ” หรือ “อย่ามาเตือนนัน เตือนนี เตือนให้กินข้าว กินยา มาหวีผมให้ อย่ามาทาํ กับฉันเหมือนเป็ นเดก็ นะ” ถา้ เจอคาํ พูดแบบนี ใหพ้ ูดกบั ผูส้ ูงอายุไปทาํ นองวา่ “ทีเข้ามาช่วยดูเพราะอยากมันใจว่าคุณพ่อกับคุณแม่….คุณป่ ูคุณย่า คุณตาคุณยาย…จะดูแลตวั เองได้ แต่ถ้าเกิดไม่ได้ตรงไหนหรือหนกั แรงมากกจ็ ะได้เข้ามาช่วยให้เบา แรงขึนยังไงล่ะ” สถานการณ์แบบนีลูกหลานจะตอ้ งรู้ลงไปในใจลึกๆ ของผูส้ ูงอายุว่า แค่ไหนที ท่านตอ้ งการ บางทีเราอาจจะเผลอดูแลมากเกินไป จดั การใหไ้ ปเสียทุกเรือง ทงั ทีจริงๆ ผูส้ ูงอายุแค่ อยากใหถ้ ามไถ่เทา่ นนั หรือเพยี งแสดงออกดว้ ยทา่ ทีกพ็ อแลว้ เช่น อยา่ ลืมทานยา ก็แคเ่ อายามาวางไว้ ให้ ไม่ใช่แค่พูดวา่ “แม่อย่าลืมกินยานะ” ทงั ทียาควรจะจดั ไวใ้ ห้เป็ นชุดๆ เลย หรือใส่กล่องทีสีสัน สดใสสบายตา ใหเ้ ปิ ดใชง้ ่ายๆ แบ่งยาอนั ไหนทานเชา้ ทานเยน็ อนั ไหนก่อนอาหารหลงั อาหาร ครึง เมด็ สองเมด็ จดั ไวใ้ ห้เลย ผสู้ ูงอายุก็จะรู้สึกวา่ เป็นความรับผดิ ชอบของตนเองแลว้ ทีจะหยบิ ยาขึนมา กินให้ตรงเวลาดว้ ยตวั เอง 5) เรียนรู้วา่ ผสู้ ูงอายใุ นบา้ นชอบบน่ วา่ ป่ วยนนั ป่ วยนี เมือลูกหลานพาไปพบแพทยท์ ี โรงพยาบาลพบวา่ ไม่ไดเ้ ป็ นโรคอะไร ปัญหาแบบนีลูกหลานไม่สามารถตดั สินไดว้ า่ ท่านป่ วยจริง หรือเพียงคิดไปเอง เพราะจะมีแต่ตวั ผูส้ ูงอายุเองเท่านนั ทีรู้ ดงั นนั จึงตอ้ งใช้จิตวิทยาในการชีแจง อธิบายกบั ผูส้ ูงอายุ เช่น ลูกหลานอาจพูดแสดงความคิดเห็นไปประมาณวา่ “อาการแบบนีบางครัง มันอาจเกิดขึน แต่ไม่เป็ นอะไรนะ คุณป่ ูคุณย่าไม่ต้องเป็ นห่วง แค่ขยับแขนขาในตอนเช้ากับตอน เยน็ บ้างวนั ละ 10 -20 นาที สัก 2- 3 สัปดาห์ อาการกจ็ ะดีขึนครับ” นีคือตวั อยา่ งส่วนหนึงของการใช้ ศิลปะการสือสารสุขภาพทีตอ้ งอาศยั จิตวทิ ยาเขา้ มาร่วมดว้ ย เพราะในบางครังการดูแลทางจิตใจจะดี และไดผ้ ลกวา่ ทางกาย เพราะถา้ ใจสบายแลว้ ป่ วยเล็กๆ นอ้ ยๆ ก็จะไม่ใช่เรืองใหญ่เลย นอกจากนี การบ่นวา่ ป่ วยของผสู้ ูงอายบุ างครังอาจจะจริง เพราะวา่ อาการเครียดของผสู้ ูงอายจุ ะนาํ ไปสู่การนอน ไมห่ ลบั พอนอนไมห่ ลบั จะเริมยาํ คิดยาํ ทาํ เป็นผลร้ายตอ่ สุขภาพร่างกายไดเ้ หมือนกนั เพราะฉะนนั การทีไดย้ นิ ผสู้ ูงอายุพูดออกมาแบบนี น่าจะเป็ นสัญญาณบอกเหตุแลว้ ว่า ตอ้ งดูแลเอาใจใส่ท่านให้ มากขึน บางทีการจบั ไมจ้ บั มือ นวดไมน้ วดมือกนั บา้ งก็ทาํ ให้ผสู้ ูงอายผุ อ่ นคลายสบายใจแลว้ หรือถา้ มีเวลาวา่ งก็พากนั ไปนวดทีร้าน นวดไปพร้อมๆ กนั ทงั ผสู้ ูงอายุและลูกหลาน หรือซือหาอาหารดีๆ มาพบปะสงั สรรคร์ ับประทานดว้ ยกนั ระหวา่ งสมาชิกในครอบครัว โดยมีผสู้ ูงอายเุ ป็นศูนยก์ ลางก็ทาํ ใหผ้ สู้ ูงอายไุ ดม้ คี วามสดชืนใจรู้สึกเพลิดเพลินใจส่งผลใหร้ ่ายกายกระฉบั กระเฉงขึนมาไดด้ ีขึน
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 193 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ บทสรุ ปสํ าหรับแนวทางการใช้ ศิลปะการสื อสารเพือดูแลสุ ขภาพกายและ สุขภาพจิตของผู้สูงอายุ คือ ภารกิจต่างๆ ทีตอ้ งเรียนรู้และดาํ เนินการนนั ไม่ใช่เรืองยากเกินไป สาํ หรับลูกหลานทีจะนาํ ไปปฏิบตั ิกบั ผูส้ ูงอายใุ นครอบครัวจริงๆ เพียงตอ้ งอาศยั ปัจจยั ต่างๆ เหล่านี เป็นองคป์ ระกอบสาํ หรับการปฏิบตั ิภารกิจนี ไดแ้ ก่ -ใช้วธิ ีการสังเกต -ใช้ความอดทน -ใช้การวเิ คราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล -ใช้การดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตทมี าจากความรัก ความเข้าใจว่า ผู้สูงอายใุ นบ้านเริมมสี ิงใดเสือมถอยลงแล้ว อะไรบ้างทตี ้องดูแลกนั เป็ นพเิ ศษ ต้องพดู สือสารกนั อย่างไร ผ่านอปุ กรณ์หรือเครืองมือช่วยใดทจี ะทาํ ให้ผ้สู ูงอายสุ บายใจในการสือสารซึงกนั และกนั เพียงเท่านีกส็ ามารถสร้างสัมพนั ธ์ทดี รี ะหว่างกนั ได้ในทุกวนั รวมทังสามารถช่วยพฒั นาคณุ ภาพชีวติ และความผาสุกให้กบั ผู้สูงอายแุ ละสมาชิก ในครอบครัวได้เป็ นอย่างดี
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 194 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 195 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 1) แบบจาํ ลององค์ประกอบสําหรับการใช้ศิลปะการสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกาย และสุขภาพจิตระหว่างผู้สูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัวให้มปี ระสิทธภิ าพ มีความรู้และความเข้าใจเรืองข้อมูลสุขภาพ ผ้สู ่งสาร มีทศั นคตแิ ละพฤติกรรมเชิงบวก ด้านการสือสารสุขภาพ ได้แก่ มที กั ษะและประสบการณ์ด้านการสือสารสุขภาพ ลกู หลาน ด้วยวธิ ีการต่างๆ และบริบท มคี วามใกล้ชิดผกู พนั กบั ผู้สูงอายุและสมาชิกในครอบครัว แวดล้อม มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าทจี ะดูแลสุขภาพกายและ สุขภาพจติ ของผ้สู ูงอายแุ ละสมาชิกในครอบครัวให้ดขี นึ ศิลปะการสือสารสุขภาพ ในรูปแบบต่างๆ ทจี ะนาํ มาใช้ ได้แก่ การพูด การเขียน การใช้กริ ิยา ท่าทางประกอบ การใช้อปุ กรณ์ ช่วย ฯลฯ ผู้รับสาร ไดแ้ ก่ คุณพ่อ คุณแม่ คุณป่ ู คุณ ความรู้ ความเข้าใจ ความเชือ ยา่ คุณตา คุณยาย หรือบุคคลอืนๆ ทีเป็น และประสบการณ์ชีวติ ทเี กยี วข้อง สมาชิกในครอบครัวและบริบทแวดลอ้ ม ประโยชน์และความพงึ พอใจ ทีต้องการรวมทังสิงทีคิดว่าจะได้รับ ภาพที 3.8 แบบจําลององค์ประกอบสําหรับการใช้ศิลปะการสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกาย และสุขภาพจิตระหว่างผู้สูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว โดย: ณัฐนนั ท์ ศิริเจริญ (2559)
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 196 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ขอ้ มูลจากภาพที 3.8 แบบจาํ ลององคป์ ระกอบสาํ หรับการใชศ้ ิลปะการสือสารสุขภาพเพอื ดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตระหวา่ งผสู้ ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครวั สามารถอธิบายรายละเอยี ด ไดด้ งั นีคือ 1. ผู้ส่งสาร ในทีนี คือ ลูก หลาน ทีอาศยั อยใู่ นบา้ นเดียวกนั กบั ผสู้ ูงอายุ ซึงเป็นคุณพ่อ คุณแม่ คุณป่ ู คุณยา่ คุณตา คุณยาย ฯลฯ และบริบทแวดลอ้ ม อนั หมายถึง 1.1 การมคี วามรู้และความเข้าใจเรืองข้อมูลสุขภาพ โดยสามารถนาํ ไปบอกเล่า หรือส่งต่อขอ้ มูลให้กบั ผสู้ ูงอายแุ ละสมาชิกในครอบครัวไดอ้ ยา่ งเชือมนั ว่าขอ้ มูลทีไดร้ ับมาถูกตอ้ ง เหมาะสม จึงส่งตอ่ ไปยงั สมาชิกในครอบครัวไดอ้ ยา่ งไมม่ ีพษิ มีภยั 1.2 การมีทศั นคติและพฤตกิ รรมเชิงบวกด้านการสือสารสุขภาพ เพราะทงั สอง ปัจจยั นีมีความเกียวขอ้ งสมั พนั ธก์ นั คือ ถา้ มีทศั นคติทีดีเป็นไปในทางสร้างสรรคท์ ีเป็นเชิงบวก จะมี ผลใหม้ ีการแสดงพฤติกรรมออกมาในเชิงบวกทีเป็นการสร้างสรรคเ์ ช่นเดียวกนั ดงั ที โฮเวิล์ด เอช เคนด์เลอร์ (Howard H. Kendler, 1963) นาํ เสนอไวว้ า่ ทศั นคติ หมายถึง สภาวะความพร้อมของ บุคคลทีจะแสดงพฤติกรรมใดๆ ออกมาทงั ในทางบวกและทางลบ ทงั สนบั สนุนหรือต่อตา้ นบุคคล สถานการณ์หรือแนวความคิด คาร์เตอร์ วี กูด (Carter V. Good, 1966) นาํ เสนอไวว้ า่ ทศั นคติ หมายถึง ความพร้อมทีจะแสดงออกในลกั ษณะใดลกั ษณะหนึงเพือเป็ นการสนบั สนุนหรือต่อตา้ น สถานการณ์บางสิงบางอยา่ งหรือบุคคลหรือสิงใดๆ ทีไม่ตรงกบั ทศั นคติของตนเอง นอร์แมน แอล มุนน์ (Norman L. Munn, 1971) นาํ เสนอไวว้ า่ ทศั นคติเป็ นความคิดเห็นและความรู้สึกทีบุคคลมีต่อ บุคคล สิงของ สถานการณ์และขอ้ เสนอใดๆ ในทางทีจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ซึงมีผลทาํ ให้ บุคคลพร้อมทีจะแสดงปฏิกิริ ยาตอบสนองด้วยพฤติกรรมทีเป็ นไปในแนวทางเดียวกัน การ แสดงออกทางทศั นคตสิ ามารถแสดงออกมาใหเ้ ห็นเป็นพฤติกรรม ดงั นี -ทศั นคติเชิงบวก (Positive Attitude) คือ ความรู้สึกต่อสิงแวดลอ้ มในทางทีดี หรือยอมรับหรือมีความพึงพอใจ เช่น ผูส้ ูงอายุมีทัศนคติทีดีต่อการสือสารกับลูกหลานทาง โทรศพั ทม์ ือถือ เพราะรู้สึกสะดวกรวดเร็ว จึงมีพฤตกิ รรมการใชโ้ ทรศพั ทม์ ือถืออยเู่ ป็นประจาํ -ทศั นคติเชิงลบ (Negative Attitude) คือ ความรู้สึกต่อสิงแวดลอ้ มในทางทีไม่ พอใจหรือไม่ยอมรับหรือไม่เห็นดว้ ย เช่น ผูส้ ูงอายุมีทศั นคติไมด่ ีทีลูกหลานบอกให้ตนเองไม่ตอ้ ง ทาํ อะไรในบา้ นทงั สิน เพราะรู้สึกเหมือนวา่ ตนเองแก่แลว้ ไม่มีประโยชน์อะไรเลยในบา้ น จึงมกั จะ แสดงอาการหงุดหงิดบอ่ ยๆ ทีโดนลูกหลานหา้ มทาํ โน่นทาํ นีในบา้ น สาํ หรับ “พฤติกรรม” (Behavior) นนั ครอนแบช แอล.เจ.(Cronbach, L. J., 1970) ได้ นาํ เสนอไวว้ า่ พฤติกรรมของมนุษยม์ ีองคป์ ระกอบ 7 ประการ คือ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 197 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 1) เป้าหมายหรือความมุ่งหมาย (Goal) เป็นวตั ถุประสงคห์ รือความตอ้ งการซึงกอ่ ให้เกิด พฤติกรรม เช่น ความตอ้ งการมีหนา้ มีตาในสังคม 2) ความพร้อม (Readiness) เป็นระดบั วุฒิภาวะและความสามารถทีจาํ เป็นในการทาํ กิจกรรมเพอื สนองความตอ้ งการ 3) สถานการณ์ (Situation) เป็นช่องทางหรือโอกาสใหเ้ ลือกทาํ กิจกรรมเพือสนองความ ตอ้ งการ 4) การแปลความหมาย (Interpretation) เป็นการพจิ ารณาช่องทางหรือสถานการณ์เพอื เลือก หาวธิ ีการทีคิดวา่ จะสนองความตอ้ งการให้เป็นทีพอใจมากทีสุด 5) การตอบสนอง (Response) เป็นการดาํ เนินกิจกรรมตามทีตดั สินใจเลือกสรรแลว้ 6) ผลลพั ธ์ทีตามมา (Consequence) เป็นผลทีเกิดขึนจากการกระทาํ กิจกรรมนนั ซึงอาจ ไดผ้ ลตรงกบั ทีคาดไวห้ รือตรงขา้ มกบั ทีคาดหวงั ไวก้ ็ได้ 7) ปฏิกิริยาตอ่ ความผิดหวงั (Reaction to Thwarting) เป็นปฏิกิริยาทีเกิดขึนเมือสิงทีเกิดขึน ไม่สามารถตอบสนองตามความตอ้ งการ จึงตอ้ งกลบั ไปเลือกหาวธิ ีทีจะตอบสนองความตอ้ งการ ใหมไ่ ด้ แต่ถา้ เห็นวา่ เป้าประสงคน์ นั เกินความสามารถก็จาํ เป็นตอ้ งยอมละเลิกความตอ้ งการนนั เสีย โดยพฤติกรรมจะสมบูรณ์และสินสุดลงกต็ อ่ เมือผลทีตามมาตรงกบั ความคาดหวงั หากไมส่ มหวงั มนุษยเ์ รากจ็ ะมีปฏิกิริยาต่อไปอีก พฤติกรรมจึงเป็ นอาการทีแสดงออกหรือปฏิกิริยาโต้ตอบเมือเผชิญกับสิงเร้า (Stimulus) หรือสถานการณ์ต่างๆ อาการแสดงออกเหล่านนั อาจเป็ นการเคลือนไหวทีสังเกตไดห้ รือวดั ได้ เช่น การเดิน การพูด การเขียน การคิด การเตน้ ของหวั ใจ เป็ นตน้ ส่วนสิงเร้าทีมากระทบแลว้ ก่อใหเ้ กิด พฤติกรรมนนั อาจจะเป็ นสิงเร้าภายใน (Internal Stimulus) และสิงเร้าภายนอก (External Stimulus) โดยสิงเร้าภายในเกิดจากความตอ้ งการทางกายภาพ เช่น ความหิว ความกระหาย สิงเร้าภายในจะมี อิทธิพลสูงสุดในการกระตุน้ มนุษยใ์ หแ้ สดงพฤติกรรม ส่วนสิงเร้าภายนอกทางสังคมจะมีอิทธิพล ในการกาํ หนดวา่ บุคคลควรจะแสดงพฤติกรรมอยา่ งใดต่อผอู้ ืน โดยสิงเร้าทีมีอิทธิพลจูงใจให้บุคคล แสดงพฤติกรรมออกมา ส่วนหนึงมาจากการเสริมแรง (Reinforcement) ซึงแบ่งออกได้ดังนีคือ -การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) เป็นสิงเร้าทีพอใจทาํ ใหบ้ ุคคล มีการแสดงพฤติกรรมเพิมขึน เช่น คาํ ชมเชย การยอมรับของลูกหลานต่อผูส้ ูงอายุว่ายงั มี ความสามารถในการเรียนรู้เทคโนโลยใี หม่ๆ จะส่งผลให้ผสู้ ูงอายุมีพฤติกรรมแสดงออกมาทางสี หนา้ ท่าทางทีสดชืน
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 198 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ -การเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) เป็นสิงเร้าทีไมพ่ อใจหรือไม่พงึ ปรารถนานาํ มาใชเ้ พอื ลดพฤตกิ รรมทีไมพ่ ึงปรารถนาให้นอ้ ยลง เช่น การตกั เตอื นลูกหลานเมือเกิด การใชจ้ า่ ยเงินทองในทางทีไมเ่ หมาะสม ใหม้ ีพฤติกรรมใชจ้ ่ายนอ้ ยลง เป็นตน้ จะเห็นได้ว่าทัศนคติทีสะสมไว้เป็ นความคิดและความรู้สึก จะแสดงออกมาเป็ น พฤตกิ รรมตา่ งๆ ตามทศั นคติตอ่ สิงนนั จึงพิจารณาไดถ้ ึงความสําคญั ของทศั นคติและพฤติกรรมเชิง บวกทีเป็ นปัจจยั สาํ คญั อีกประการหนึงในภารกิจนี ดงั นนั ทงั ผูส้ ูงอายุและลูกหลานทีเป็รสมาชิกใน ครอบครวั จึงตอ้ งมีการฝึ กตนเองใหม้ ีทศั นคติและพฤตกิ รรมเชิงบวกติดตวั ไปตลอดเวลา ดว้ ยวธิ ีการ ตา่ งๆ ดงั นี -อ่านงานเขียนหรือขอ้ คดิ ทีใหก้ าํ ลงั ใจ ฝึกทศั นคติและพฤติกรรมเชิงบวกกบั เรือง ตา่ งๆ ในชีวติ ของตนเองอยเู่ ป็ นประจาํ จากนนั ค่อยนาํ ขอ้ คิดเหล่านนั มาใชก้ บั การสือสารสุขภาพกบั ผูส้ ูงอายแุ ละสมาชิกในครอบครัว เมือเจอกบั อุปสรรคในการทาํ งาน หากเราคิดบวกและคาดหวงั ผลลพั ธ์เชิงบวก เราก็จะพยายามหาทางออกใหก้ บั ปัญหานนั จนผา่ นพน้ ไปได้ -ผทู้ ีมีทศั นคติและพฤติกรรมเชิงบวก จะใหค้ วามสาํ คญั กบั การหาทางแกป้ ัญหา ไม่ใช่ทีตวั ปัญหาและจะไม่ มวั เสียเวลาตามหาวา่ ใครเป็ นคนผิดหรือคอยแต่จอ้ งตาํ หนิผอู้ ืน ซึงไม่ ช่วยให้เกิดประโยชน์หรือไม่สามารถช่วยหาทางแกป้ ัญหาได้ ในทางกลบั กนั อาจยิงทาํ ให้ปัญหา ลุกลามใหญ่โตขึนไปอกี -คนทมี ีทศั นคติและพฤตกิ รรมเชิงบวกจะกระตือรือร้นทจี ะเรียนรู้หาข้อมูลจําเป็ น ทีช่วยให้สามารถทํางานทีได้ตังใจไว้จนสําเร็จได้และไม่ยอมใหท้ ศั นคติและพฤติกรรมเชิงลบมา ทาํ ลายกาํ ลงั ใจในการทาํ หน้าทีของตนโดยอาจมีคาํ พูดเพือให้กาํ ลงั ใจตนเองไวต้ ลอด เช่น “เราทาํ ได”้ “เราจะทาํ ” “เราพร้อมเรียนรู้ อดทน” การฝึกทศั นคติและพฤติกรรมเชิงบวกนนั หากจะมองว่า ทาํ ยาก ก็ได้ แต่จะมองว่าทําง่ายก็จะง่ายเช่นกัน อยู่ทีจิตใจใครจะคิดเช่นไร เมือไรทีเราเกิด ความรู้สึกเชิงลบขึนมา ให้รีบมองหาแง่มุมอืนๆ ในเชิงบวกขึนมาแทนทีโดยเร็ว แลว้ เราจะรู้สึกมี พลงั ในการช่วยเหลือผสู้ ูงอายแุ ละสมาชิกในครอบครัวมากขึน 1.3 มที ักษะและประสบการณ์ด้านการสือสารสุขภาพด้วยวธิ ีการต่างๆ การใชท้ กั ษะและประสบการณ์เกียวกบั การสือสารสุขภาพนนั ตอ้ งมีการฝึกฝน เช่นเดียวกนั เพราะจะทาํ ให้เกิดการพฒั นาทีคล่องตวั มากยงิ ขึนในการปฏิบตั ิการ 1.4 มคี วามใกล้ชิดผูกพนั กับผู้สูงอายุและสมาชิกในครอบครัว ประเดน็ นีจะช่วยใหล้ ูก หลานสามารถพดู คุยหรือส่งขอ้ ความทีเป็นขอ้ มูลขา่ วสาร เกียวกบั สุขภาพไปให้ผูส้ ูงอายุและสมาชิกในครอบครัวคนอืนๆ ไดอ้ ย่างสบายใจไร้กงั วล เพราะมี ความคุน้ เคยและเสมือนการทาํ หนา้ ทีตอบแทนผมู้ ีพระคุณของตนเองอยแู่ ลว้
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 199 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 1.5 มคี วามปรารถนาอย่างแรงกล้า ทีจะดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตของ ผสู้ ูงอายแุ ละสมาชิกในครอบครัวให้ดีขึน ในประเด็นนีเป็ นคุณลกั ษณะเฉพาะบุคคลทีตอ้ งอาศยั เวลาและจิตสาํ นึกส่วนบุคคล ในการไตร่ตรองดว้ ยตนเองวา่ มีความพร้อมความสะดวก มีความสบายใจเตม็ ใจทีจะทาํ หรือไม่ใน การสือสารสุขภาพกบั ผูส้ ูงอายุและสมาชิกในครอบครัวอย่เู ป็ นประจาํ สมาํ เสมอเพือให้เป็ นเกราะ คุม้ ครองสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตใจของตนเองพร้อมสมาชิกทุกคนในบา้ น หากใครมีความ มุง่ มนั และเชือมนั ในตนเองวา่ สามารถทาํ ได้ ก็จะเป็นการช่วยให้เกิดความผาสุกขึนในครอบครัวได้ อยา่ งแน่นอน 2. ศิลปะการสือสารสุขภาพในรูปแบบต่างๆ ทีจะนาํ มาใช้ ไดแ้ ก่ 2.1 การพูดดว้ ยเทคนิควิธีการตา่ งๆ ทีมีศิลปะในการนาํ เสนอ 2.2 การเขียน มีช่องทางการสือสารสมยั ใหม่ใหไ้ ดเ้ ขียนและส่งถึงผรู้ ับสารอยา่ ง สะดวกรวดเร็ว 2.3 การใชก้ ิริยาท่าทางประกอบ ตอ้ งพยายามฝึกฝนพฒั นาใหด้ ียงิ ๆ ขึนไป 2.4 การใชอ้ ุปกรณ์ช่วยในการสือสารสุขภาพ ตอ้ งฝึกใชส้ ือใหม่ตา่ งๆ 3. ผู้รับสาร ไดแ้ ก่ คุณพ่อ คุณแม่ คุณป่ ู คุณยา่ คุณตา คุณยาย หรือบุคคลอืนๆ ทีเป็นสมาชิก ในครอบครัวและบริบทแวดลอ้ ม ไดแ้ ก่ 3.1 ความรู้ ความเขา้ ใจ ความเชือและประสบการณ์ชีวติ ทีเกียวขอ้ ง เพราะผรู้ ับสารทีเป็นผสู้ ูงอายนุ นั ตา่ งก็มีความเชือมาตงั แตว่ ยั เดก็ จนฝังรากลึก รวมทงั บางคนมีประสบการณ์ทีแตกต่างไปจากลูกหลาน จึงอาจทาํ ให้ตอ้ งพยายามสือสารอธิบาย ความกนั ใหม้ ากขึนและเป็ นประจาํ เพือให้เกิดการเปลียนแปลงในกรณีทีความรู้ ความเขา้ ใจ ความ เชือและประสบการณ์ทีมีมาแตด่ งั เดิมนนั ยงั ไมถ่ ูกตอ้ งเหมาะสมเทา่ ใดนกั 3.2 ประโยชนแ์ ละความพงึ พอใจทีตอ้ งการรวมทงั สิงทีคิดวา่ จะไดร้ ับ เป็นประเด็น ทีสามารถนาํ มาใชป้ ระกอบศิลปะการสือสารสุขภาพไดเ้ ป็ นอยา่ งดี เพราะเมือผูส้ ูงอายุและสมาชิก ในครอบครัวมองเห็นว่าสิงทีกาํ ลงั จะตอ้ งรับฟังรับรู้จากลูกหลานนนั เป็ นสิงมทีมีประโยชน์ต่อ ตนเองและตรงตามความตอ้ งการ จะช่วยทาํ ให้การเปิ ดใจรับสารทาํ ไดง้ ่ายมากขึน และจะส่งผลทาํ ใหเ้ กิดทศั นคติและพฤติกรรมเปลียนแปลงไปในทางทีดีขึนแน่นอน
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 200 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ แนวคดิ การสือสารเพือโน้มน้าวใจ (Persuasion Communication) การสือสารเพือโนม้ นา้ วใจเป็ นรูปแบบหนึงของการสือสารของมนุษย์ โดยพยายามทีจะ สือสารเพอื ให้มีอิทธิพลต่อการตดั สินใจของผอู้ ืน ดงั นนั การโนม้ นา้ วใจจึงเขา้ มามีส่วนสาํ คญั ต่อการ ดาํ รงชีวติ ของมนุษย์ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ การสือสารสุขภาพในยคุ สมยั นี มีผใู้ หค้ วามหมายของการ สือสารเพอื โนม้ นา้ วใจไวด้ งั นี Herbert W. Simons (1976) ไดก้ ล่าววา่ การโนม้ นา้ วใจ (Persuasion) หมายถึง การสือสาร ทีมนุษยส์ ร้างขึนมาเพอื ใหม้ ีอิทธิพลเหนือผอู้ ืนโดยการเปลียนแปลงความเชือ คา่ นิยมหรือทศั นคติ Stanton, W. J., & Futrell (1987) กล่าววา่ การโนม้ นา้ วใจนนั คือ แรงจูงใจ (Motivation) หรือ พลงั สิงกระตุน้ (Drive) ทีอยภู่ ายในตวั บุคคลซึงกระตุน้ ให้บุคคลอืนปฏิบตั ิตาม เป็ นปัจจยั ภายในตวั แรกทีมีผลตอ่ พฤติกรรม เพือกระตุน้ ใหเ้ กิดความตอ้ งการ Newsom, D., Turk, J.V., & Kruckeberg, D. (2013) ไดก้ ล่าวโดยสรุปถึงการโนม้ นา้ วใจ วา่ เป็นกระบวนการสือสารทีผสู้ ่งสารสร้างขึน โดยการส่งสารทีมีเนือหาสาระในการช่วยใหเ้ กิดการ คลอ้ ยตาม มจี ดุ มุง่ หมายทีจะให้สารต่างๆ เหล่านนั เขา้ ไปมีอิทธิพลเพอื กระตุน้ เตือนให้ผรู้ ับสารให้ ความสนใจ คลอ้ ยตามหรืออาจเกิดการเปลียนแปลงในส่วนของทศั นคติ ความเชือและพฤติกรรม โดยมีขนั ตอนตา่ งๆ เพอื การโนม้ นา้ วใจ ดงั นี 1) การนาํ เสนอ (Presenting) ขอ้ มูลต่อผรู้ ับสารเพือใหผ้ รู้ ับสารเขา้ ถึงตวั สารและเกิดความ สนใจ 2) การสร้างความตอ้ งการ (Need) เป็นการกระตุน้ ให้ผรู้ ับสารเกิดความรู้สึกวา่ สิงทีผสู้ ่ง สารโนม้ นา้ วใจเป็ นสิงทีเขาตอ้ งการและรับฟังอยา่ งตงั ใจถึงแมว้ า่ เขาจะไมเ่ ห็นดว้ ยก็ตาม 3) การตอบสนองความตอ้ งการ (Satisfaction) เป็นขนั ตอนทีผรู้ ับสารรู้สึกวา่ จะตอ้ งทาํ ตามทีผสู้ ่งสารโนม้ นา้ วใจเพอื ตอบสนองความตอ้ งการและพยายามทาํ ใหผ้ รู้ ับสารเขา้ ใจอยา่ งลึกซึง 4) การบรรยายใหผ้ รู้ ับสารเห็นภาพชดั เจน (Visualization) เป็ นขนั ตอนทีผสู้ ่งสารใชเ้ นือ สารหรือสญั ลกั ษณ์ในการสร้างจินตนาการใหผ้ รู้ ับสารเห็นภาพเป็นการกระตุน้ ให้ผรู้ ับสารเกิดการ คลอ้ ยตาม ยนิ ยอมหรือเห็นดว้ ยเกียวกบั ประเด็นทีผสู้ ่งสารนาํ เสนอมาให้ดู 5) การทาํ ใหผ้ รู้ ับสารสามารถจดจาํ ได้ (Retaining and Repetition) เป็นการนาํ เสนอ ขอ้ มูลข่าวสารโดยพยายามส่งใหด้ ูให้อา่ นใหเ้ ห็นซาํ ๆ หรือบ่อยๆ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 201 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 6) การก่อใหเ้ กิดพฤติกรรม (Action) ขนั ตอนนีเป็ นขนั ตอนสุดทา้ ยทีผรู้ ับสารจะลงมือ ปฏิบตั ิตามทีผสู้ ่งสารนา้ วนา้ วใจ (Acting) เป็นระยะรอดูผลซึงเราจะนาํ กลบั มาใชว้ ดั วา่ ผูร้ ับสารมี ปฏิกิริยาตอบสนองตอ่ สิงทีผสู้ ่งสารนาํ เสนอไปแคไ่ หนอยา่ งไร สําหรับการสร้างสรรค์เนือหาในสือใหม่เพอื ดแู ลสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้สูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัวนัน ตอ้ งพิจารณาวิธีการสือสารให้เหมาะสมกบั การสือความหมายหรือการ ถ่ายทอดแลกเปลียนความรู้ ความคิดเห็นระหว่างบุคคล เพือใหเ้ กิดความเขา้ ใจเรืองราวระหวา่ งกนั ซึงเป็ นพฤติกรรมทีมีอยใู่ นสังคมมนุษย์ ดงั นนั การเลือกรูปแบบการสือสารจึงเป็ นปัจจยั สําคญั อีก ส่วนหนึงทีต้องให้ความใส่ใจ แนวคิดและหลกั การทางทฤษฎีด้านการสือสารจะช่วยทาํ ให้ ลูกหลานในครอบครวั สามารถวางแผนการสือสาร ปฏิบตั ิการสือสารและประเมินผลการสือสารได้ อย่างเป็ นระบบและครบวงจร เนืองจากทฤษฎีจะประกอบไปด้วยตวั แปรหรือกลุ่มตวั แปรที เกียวขอ้ งสัมพนั ธ์กนั ทงั ผสู้ ่งสาร เนือหาสาร ช่องทางการส่งสาร ผูร้ ับสารและอืนๆ ทีเกียวขอ้ ง ตอ้ ง ให้ความสําคัญในประเด็นผลพลอยได้ทีผูส้ ูงอายุจะได้รับจากการสือสารสุขภาพกบั สมาชิกใน ครอบครัว โดยสอดคลอ้ งกบั การสร้างแรงจูงใจดา้ นอารมณ์ (Emotional Appeals) ในประเด็นต่างๆ ดงั นี (Bovee, C., Thill, J., Dovel, G., and Wood, M., 1995) 1) ส่งขอ้ มูลข่าวสารทีสร้างแรงจูงใจดา้ นความกลวั (Fear Appeal) คือ การนาํ เสนอขอ้ มูลใน ดา้ นลบ (Negative Appeal) สามารถแบ่งออกเป็นความกลวั อนั ตรายต่อร่างกายและความกลวั ดา้ น จิตวทิ ยา ซึงเป็ นการสร้างสถานการณ์ทีไม่พงึ ปรารถนาเพอื ให้เกิดความกลวั แรงจูงใจดา้ นความกลวั นนั สามารถทาํ ได้ 2 ลกั ษณะ คือ จงู ใจดา้ นความกลวั ทีแสดงถึงผลเชิงลบทีจะไดร้ ับ ถา้ ไม่ปฏิบตั ิตวั หรือเขา้ ร่วมกิจกรรมทีส่งมาให้ดูหรือไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพกายและจิตใจของตนเองให้เพียงพอ อาจจะเกิดผลลบ คือ ความเจบ็ ป่ วยทีจะตามมาอยา่ งแน่นอน 2) ส่งขอ้ มูลข่าวสารทีสร้างแรงจูงใจดา้ นความอบอุ่น (Warmth Appeal) คือ การนาํ เสนอ ความอบอุ่นในขอ้ มูลข่าวสารทีส่งไปใหด้ ู เป็นอารมณ์ออ่ นโยนรวมถึงการตอบสนองทางกายภาพ เป็ นอารมณ์ทีเกิดขึนอย่างรวดเร็ว เมือมีความรักความผูกพนั กับสมาชิกในครอบครัว ซึง ความสัมพนั ธ์ต่างๆก่อใหเ้ กิดอารมณ์ดา้ นความรัก ความสุข ความภูมิใจ การยอมรับ หรือความ สนุกสนาน เช่น การส่งคลิปโฆษณาทีใชข้ อ้ ความวา่ “ใหค้ นทีคุณรักไดอ้ อกไปใชช้ ีวิตอยา่ งเตม็ ทีอีก ครัง” เป็ นการแสดงความรักทีลูกหลานมีต่อคุณพอ่ คุณแมท่ ีอยใู่ นวยั สูงอายุ 3) ส่งขอ้ มูลข่าวสารทีสร้างแรงจูงใจดา้ นการยอมรับจากสังคม (Social-Approved Appeal) คือ การส่งขอ้ มูลให้เห็นถึงความนิยม เห็นคุณค่าหรือคุณภาพอนั เป็นทียอมรับของคนส่วนใหญ่ใน สงั คมเพือจูงใจให้ผสู้ ูงอายยุ นิ ดีเปิ ดใจรับพิจารณาเลือกใชผ้ ลิตภณั ฑ์ต่างๆ เพือดูแลสุขภาพหรือยอม ไปใชบ้ ริการของหน่วยงานทีทาํ งานดา้ นการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตของประชาชน
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 202 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 4) ส่งขอ้ มูลขา่ วสารทีสร้างแรงจูงใจดา้ นความละอาย (Shame Appeal) คือ การส่งขอ้ มูล เพอื ใหเ้ กิดความละอายใจเพือชกั จูงใจไม่ใหท้ าํ เช่นนนั เพอื เป็นการกระตุน้ เตือนผสู้ ูงอายใุ หด้ ูแล สุขภาพตนเองใหม้ ากยงิ ขึน เพราะถา้ เกิดเจบ็ ป่ วยไมส่ บาย จะส่งผลใหล้ ูกหลานพลอยไดร้ ับ ผลกระทบไปดว้ ยเช่นกนั การใช้สือใหม่เพือการสือสารสุขภาพนัน ผู้เขียนยังหมายรวมถึง “การพูด” ด้วย เพราะ สามารถใช้ ศิลปะการพูดผ่านโทรศัพท์มือถือประเภทสมาร์ทโฟนหรือใช้การพูดผ่านโปรแกรม ประยุกต์ไลน์ทาง Free Call และ Video Call เป็ นต้น โดยไม่จาํ เป็ นตอ้ งพูดกนั เมือพบหนา้ เท่านนั (face to face) เพราะในบางเรืองบางกรณีการพดู ผา่ นสือใหม่ทีเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ จะ ช่วยลดการเผชิญหน้าหรือลดความกดดนั หรือการพูดโต้กลบั อย่างไม่ไดไ้ ตร่ตรองให้ดีหรือการ แสดงทา่ ทีทีไมเ่ หมาะสมโดยไมร่ ู้ตวั ในขณะพดู ทีเห็นหนา้ กนั ลงได้ รองศาสตราจารย์ ดร.เรมวล นันท์ศุภวัฒน์ ศูนยบ์ ริการพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ได้นาํ เสนอไวว้ ่า “การพูดแม้จะรู้หลักการมากเพยี งใด หากไม่ลงมือฝึ กพูด ย่อมสําเร็จได้ยากเพราะการพูดเป็ น “ศาสตร์” ทีศึกษาได้ และเป็ น “ศิลป์ ” ฝึ กฝนได้” (ธณภณ สุภา โชติองั คณา 2559) การพูดทีมีประสิทธิภาพ ประกอบดว้ ย -การใช้ถ้อยคาํ -การใช้ นําเสี ยง -การใช้กริ ิยาท่าทาง เพอื ถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก ความรู้ ประสบการณ์ ตลอดจนความตอ้ งการของผพู้ ูด ใน ทีนีคือ ลูกหลาน ใหผ้ ฟู้ ังในทีนี คือ ผสู้ ูงอายใุ นบา้ นไดร้ ับรู้และเกิดการตอบสนอง การพดู โนม้ น้าว ใจทีดีจึงตอ้ งฝึ กฝนการใชถ้ อ้ ยคาํ นาํ เสียงผสมผสานกิริยาท่าทางให้สอดคลอ้ งกนั เพือใหก้ ารสือสาร มีประสิทธิภาพในการถ่ายทอดอารมณ์และความตอ้ งการทีเป็นประโยชนต์ ่อผฟู้ ัง เพือใหเ้ กิดการ รับรู้และเกิดผลการตอบสนองอย่างได้ผลตามความมุ่งหมายของผูพ้ ูดคือการแสดงหรือเสนอ ขอ้ คิดเห็นต่อผูฟ้ ัง โดยผูฟ้ ังสามารถรับรู้เรืองราวและเขา้ ใจได้ตรงกบั ความตอ้ งการของผูพ้ ูด ตลอดจนสามารถนาํ ไปปฏิบตั ิไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม ซึงวตั ถุประสงคข์ องการพูดแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 2.1 วตั ถุประสงคข์ องการพดู ทวั ไปเพือให้ผสู้ ูงอายเุ กิดความรู้สึกตอบรับตามพืนฐาน ไดแ้ ก่ 2.1.1 เพือให้ผู้สูงอายุเกดิ ความสนใจ 2.1.2 เพือให้ผู้สูงอายเุ กดิ ความเข้าใจ 2.1.3 เพือให้ผู้สูงอายุเกดิ ความประทบั ใจ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 203 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 2.2 วตั ถุประสงคข์ องการพูดเฉพาะเพอื ให้ ผสู้ ูงอายเุ กิดปฏิกิริยาตอบรับเฉพาะ ไดแ้ ก่ 2.2.1 เพอื ใหผ้ สู้ ูงอายเุ กิดการเปลียนทศั นคติของผฟู้ ังซึงเพมิ เติมมากขึน ไปกวา่ การใหค้ วามรู้และความเขา้ ใจแก่ผฟู้ ังเท่านนั 2.2.2 เพอื ให้ผสู้ ูงอายเุ กิดความสนุกสนานเพลิดเพลินลืมความทุกขโ์ ศก โรคภยั ไปชวั ขณะหนึง กย็ งั ถือเป็ นการผอ่ นคลายความเจบ็ ป่ วยทางกายและทางจิตใจ 2.2.3 เพอื ให้ ผสู้ ูงอายเุ กิดการเปลียนใจและเห็นคลอ้ ยตามผพู้ ดู โดยใชก้ าร เร้าอารมณ์เป็ นทีตงั การพดู เพือโน้มน้าวใจหรือจูงใจผ้รู ับสารหรือในทนี ี คือ ผสู้ ูงอายหุ รือสมาชิกคนอืนๆ ใน ครอบครัว เป็ นการพดู เพอื ให้ผฟู้ ังไดร้ ู้ เพอื ให้ผฟู้ ังเชือและเพือใหผ้ ูฟ้ ังเห็นดว้ ยทงั ทางความคิดและ การกระทาํ ตามความมุ่งหมายของผพู้ ูด เป็นการพูดใหผ้ ฟู้ ังมีความเห็นคลอ้ ยตามและเตม็ ใจปฏิบตั ิ ตาม จึงตอ้ งอาศยั การพูดอยา่ งมีเหตุผลเชือน่าเชือถือ ซึงจะสามารถโนม้ นา้ วจิตใจเกลียกล่อมชกั จูง ใหผ้ ฟู้ ังใหร้ ู้สึกคลอ้ ยตามได้ ดงั นนั จุดมุ่งหมายของการพูดจูงใจ เพือใหผ้ ูฟ้ ังเห็นดว้ ยในขอ้ เรียกร้อง หรือขอ้ วิงวอน โดยตอ้ งการให้เปลียนความเชือเปลียนความคิด กระตุน้ อารมณ์ให้ทาํ หรือปฏิบตั ิ อยา่ งใดอยา่ งหนึง สิงทีผพู้ ดู ควรปฏิบตั ิ คือ พูดใหเ้ สียงดงั ฟังชดั จงั หวะการพูดไม่ช้าหรือเร็วเกินไป อย่าพูดติดๆ ขดั ๆ เออ้ -อา้ เพราะจะทาํ ให้ผูฟ้ ังรู้สึกไม่น่าเชือถือ อย่าพูดเหมือนอ่านหนงั สือหรือ ท่องจาํ ตอ้ งพูดดว้ ยความรู้สึกทีจริงใจ เมือเกิดปัญหาเฉพาะหน้า เช่นผูฟ้ ังแสดงความไม่พอใจใน สาระทีพูดออกมา ผพู้ ูดตอ้ งรู้เท่าทนั อารมณ์นีตอ้ งสงบยิมแยม้ เพราะการยิมแสดงถึงความรัก ความ เขา้ ใจและความเป็ นมิตร ถา้ ผฟู้ ังโตเ้ ถียง จงหลีกเลียงการตอบโตต้ อ้ งรู้จกั ผ่อนสันผอ่ นยาว ใช้ความ สุขมุ รอบคอบ ประนีประนอมรวมทงั ความเห็นอกเห็นใจ ถา้ ผฟู้ ังตาํ หนิติเตียนหรือต่อวา่ ผูพ้ ูด จง ใชว้ ธิ ีสุภาพออ่ นโยน นุ่มนวล แสดงความนอบนอ้ มไมแ่ สดงสีหนา้ ไม่พอใจหรือมีนงงหรือเหนือน หน่าย เมือพูดกบั ผูฟ้ ังทีกาํ ลงั ไม่พอใจโมโห จงหลีกเลียงการให้เหตุผลเมือแรกพบ วธิ ีทีดีทีสุดคือ พยายามพูดให้ผูฟ้ ังรู้สึกวา่ เราเห็นใจเขาและเป็ นฝ่ ายเดียวกบั เขา พร้อมกบั พยายามพูดชกั จูงเพือ เบียงเบนความสนใจหรือประวิงเวลาให้ผูฟ้ ังไดค้ ิดไดไ้ ตร่ตรองก่อน จากนันจึงเสนอแนะให้ผู้ฟัง หาทางออกด้วยวิธีอืนต่อไป เมือพูดกับผู้ฟังทีบีบคันให้ผู้พูดตอบคําถามทีไม่มีทางเลือก เช่น “ช่วยจดั การเดียวนีไดห้ รือไม่” “จะทาํ ใหห้ รือไม่” “จะเพิมเติมใหไ้ ดเ้ มือไร” หรือ “จะแกไ้ ขใหม่ ไดท้ นั ทีหรือไม่” ผู้พูดควรตอบว่า เรายังไม่ทราบข้อเท็จจริงรอบด้าน จะต้องขอใช้เวลาเพือปรึกษา ผู้รู้ข้อมูลผู้ชํานาญในการค้นหาคําตอบสืบหาข้อเทจ็ จริงเสียก่อนจึงจะตอบให้ทราบได้ โดยพยายาม ใชค้ าํ พดู แสดงความตงั ใจทีจะช่วยเหลือและใหค้ วามร่วมมือ เช่น พดู ใหร้ ู้สึกว่าเราเขา้ ใจและเห็นใจ ทุกคนในปัญหาทีเกิดขึน และจะพยายามหาหนทางแกไ้ ขโดยเร็วทีสุด จะพิจารณาให้คาํ ตอบโดยเร็ว ทีสุด เป็ นตน้
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 204 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ โดยมีปัจจัยทเี ป็ นองค์ประกอบ ดงั นีคือ (สุวิชา ปานไทย, เด็จฤดี มีชยั , เยาวว์ ภิ า อนิ ทะแสง และอรอมุ า อิศรางกลู ณ อยธุ ยา 2559) 1.1 การพูดทอี ยู่ในสถานการณ์และสภาพแวดล้อมทเี กยี วข้องจะช่วยใหผ้ สู้ ูงอายเุ ขา้ ใจ เนือหาสาระทีเกียวขอ้ งไดด้ ียิงขึนวา่ ลูกหลานตอ้ งการบอกอะไร สิงใดเป็นสิงจาํ เป้นทีควรทาํ ในขณะเจบ็ ป่ วยหรือเริมกาํ ลงั มีสัญญาณบง่ บอกวา่ ตอ้ งลดพฤติกรรม บางอยา่ งลงเพอื ความปลอดภยั ของสุขภาพร่างกาย เป็นตน้ 1.2 การพูดเป็ นการสือสารเฉพาะเรืองจึงสามารถทําความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ โดยทงั ผพู้ ูดและผฟู้ ังจะไม่สับสนกบั เนือหาทีสือสารถึงกนั เพราะไดพ้ ูดบอกกนั แลว้ วา่ จะ ปรึกษาหารือกนั ในเรืองใดทีเฉพาะเจาะจง 1.3 การพูดอาจใช้ภาษาเฉพาะกล่มุ ซึงเข้าใจกันได้อย่างลกึ ซึงในกลุ่มสมาชิกของตนเอง เพราะแตล่ ะครอบครัวจะมีรากเหงา้ วฒั นธรรมของครอบครัวทีแตกตา่ งกนั ไป ดงั นนั การใชภ้ าษา การใชว้ ลี การใชศ้ พั ทแ์ สลง การใชส้ ุภาษิตเปรียบเปรย ฯลฯ จงึ สามารถเขา้ ใจกนั ไดอ้ ยา่ งซาบซึงถึงกน้ บึงของหวั ใจสาํ หรับกลุ่มสมาชิกใน ครอบครัวของตนเองเท่านนั ซึงจะทาํ ใหก้ ารสือสารสุขภาพประสพความสาํ เร็จได้ ดียงิ ขึน 1.4 การพูดเป็ นพฤติกรรมทที ําให้ผู้ส่งสารและผู้รับสารมคี วามใกล้ชิดผกู พนั กนั มาก ยงิ ขึน เพราะการสือสารดว้ ยการพูดกนั บอ่ ยๆ เป็นประจาํ สมาํ เสมอนนั ช่วยสร้าง ความสมั พนั ธ์ทีดีต่อกนั ไดม้ ากยงิ ขึนแน่นอน 1.5 การพดู สามารถพูดซําได้เพือทบทวนเรืองทยี ากให้เข้าใจได้ดีมากขึน เพราะเนือหา สาระเกียวกบั สุขภาพในบางเรืองมีความซบั ซอ้ นและเขา้ ใจยาก จึงไม่สามารถพดู บอกเพียงครังเดียวแลว้ เขา้ ใจไดอ้ ยา่ งแจ่มแจง้ ชดั เจน ตอ้ งอาศยั การบอกกล่าว อธิบายรายละเอยี ดหลายๆ ครังเพอื ให้เกิดความเขา้ ใจอยา่ งถ่องแทท้ ลี ะเล็กทีละ นอ้ ยจนครบถว้ นสมบูรณ์ตามทีตงั ใจไว้
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 205 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ คือ ลูกหลานใชว้ ธิ ีการสือสารสุขภาพดว้ ยรูปแบบการเล่าเรืองหรือบรรยายเรืองอยา่ งเป็นขนั เป็น ตอนเนน้ การดาํ เนินเรืองไปตามลาํ ดบั ก่อนหลงั เพอื ให้ผสู้ ูงอายเุ ขา้ ใจนึกภาพออกอยา่ งละเอียด คือ ลูกหลานใชว้ ธิ ีการชีแจงความหรือขยายความเพอื ใหผ้ สู้ ูงอายเุ กิดความเขา้ ใจในรายละเอียดต่างๆ อยา่ งกระจ่างชดั เจนลึกซึง คือ ลูกหลานใชว้ ธิ ีการสือสารแบบแยกแยะส่วนประกอบตา่ งๆ ของเรืองราว สิงของหรือเหตุการณ์ ในแงม่ ุมตา่ งๆ เพอื แสดงใหผ้ สู้ ูงอายเุ ห็นขอ้ ดี ขอ้ ดอ้ ย ความสาํ คญั และคุณค่าของสิงทีตอ้ งการ วจิ ารณ์ คือ ลูกหลานใช้วิธีการสือสารเพือแสดงความรู้สึกนึกคิดหรือภาพในอนาคตอยา่ งละเอียดมุ่งให้ ผูส้ ูงอายุเกิดจินตนาการคลอ้ ยตามใหไ้ ด้ สิงทีนาํ มาสือสารนนั มกั เป็ นเนือหาทีกล่าวยกยอ่ งความดี ของบุคคลหรือสิงอืนใดทีเกียวขอ้ งกบั เรืองราวทีตอ้ งการสือสารให้เห็นคุณค่า เช่น การเป็ นบุคคล ตน้ แบบในการดูแลสุขภาพด้วยการออกกําลงั กายเป็ นประจาํ กินอาหารทีถูกหลกั โภชนาการ สมาํ เสมอ หรือเป็ นบุคคลทีมีหนา้ ตายมิ แยม้ แจม่ ใสอารมณ์ดีอยเู่ สมอไม่เคร่งเครียดจนทาํ ให้คนรอบ ขา้ งลาํ บากใจ เป็ นต้น ตวั อยา่ งบุคคลเหล่านีจะช่วยกระตุ้นให้สมาชิกในครอบครัวต้องการเป็ น บุคคลเช่นนนั บา้ ง เพราะตอ้ งการให้ลูกหลานในครอบครัวยกยอ่ งตนเองวา่ เป็นผูม้ ีความสามารถใน การดูแลตนเองไดด้ ีเช่นเดียวกนั การสือสารสุขภาพโดยใช้สือใหม่นัน มิใช่เพียงการใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สือสารกบั ตวั เนือหาสาระทีเป็ นลกั ษณะของสือมลั ติมีเดียเท่านนั เช่น รูปภาพ สติกเกอร์ คลิปวีดิโอ การพมิ พข์ อ้ ความ การใชเ้ สียงพูด ฯลฯ เท่านนั แต่ยงั รวมถึง “การฟัง” อีกดว้ ย ซึงการฟังอยา่ งนีอาจ รับฟังผ่านทางการพูดคุยทางโทรศพั ทม์ ือถือประเภทสมาร์ทโฟนก็ได้ ฟังผา่ นตวั อกั ษรทีผูส้ ูงอายุ พมิ พส์ ่งมาก็ได้ หรือฟังผา่ นคาํ คมสุภิตตา่ งๆ ทีผสู้ ูงอายตุ งั ใจส่งมาให้ทราบเป็นนยั ๆ วา่ ตอนนีตนเอง กาํ ลังรู้สึกเช่นไรแต่ไม่อยากบอกลูกหลานตรงๆ จึงใช้สือต่างๆ ช่วยส่งสัญญาณ การฟังจึงไม่ จาํ เป็ นตอ้ งฟังต่อหนา้ หรือ face to face เสมอไป และการฟังอยา่ งมีศิลปะนีไม่ไดห้ มายถึง การไม่
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 206 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ พูดอะไรเลยหรือเงียบอยา่ งสุภาพ แต่หมายถึงการจบั ใจความสําคญั ทีกน้ บึงของหวั ใจผูส้ ูงอายุถึง ความตอ้ งการ ความปรารรถนา ความคบั ขอ้ งใจทีกาํ ลงั เกิดขึนกบั คุณป่ ูคุณยา่ คุณตาคุณยาย คุณพ่อ และคุณแม่ ซึงถา้ ลูกหลานไดพ้ ยายามฟังอยา่ งตงั ใจทีมีประสิทธิภาพแลว้ จะช่วยทาํ ให้การสือสาร สุขภาพเพือแกไ้ ขปัญหาบางสิงบางอย่างกับผูส้ ูงอายุคลีคลายไปได้ดีในระดับหนึงคือ สามารถ ตอบสนองความพงึ พอใจไดจ้ นเกิดความสุขสงบ ลูกหลานจึงตอ้ งคิดหาคาํ พูดอธิบาย การใหเ้ หตุผล ชีแจงเมือมีจงั หวะและโอกาสตอบกลบั ในช่วงเวลาทีเหมาะสม แตอ่ ย่าไปขดั จงั หวะทีผูส้ ูงอายุกาํ ลงั พดู ระบายความในใจหรือเล่าเรืองราวใดทีตอ้ งการใหล้ ูกหลานรับรู้ ดงั นนั การฟังไม่ไดห้ มายถึงการคอยจอ้ งจบั ผดิ คาํ พูดของผสู้ ูงอายุเพือจะเอามาใชเ้ ป็ นขอ้ โตแ้ ยง้ ภายหลงั แต่การฟังทีมีประสิทธิภาพ คือ การพยายามมองปัญหาในแนวเดียวกบั ผูส้ ูงอายุที กาํ ลงั พดู ใหเ้ ราฟัง การฟังจาํ เป็ นตอ้ งเอาใจเขามาใส่ใจเราและเพียรทาํ ความเขา้ ใจแง่คิดมุมมองของ ผสู้ ูงอายทุ ีแตกต่างจากของตวั เรา มีลกั ษณะการฟังทมี ีประสิทธภิ าพ ประกอบด้วย 1.1 มีมารยาทในการฟัง เช่น แสดงความสนใจ กระตือรือร้นทีจะฟัง ไม่คุยซุบซิบหรือทํา เสียงเอะอะหรือแสดงกริ ิยาไม่สุภาพเพราะถือเป็ นการไม่ให้เกยี รติผู้พดู 1.2 ฟังในสิงทคี วรฟัง มสี ารประโยชน์ 1.3 ฟังโดยไม่ตกเป็ นทาสของอารมณ์ รู้จักใช้เหตุผล ไม่เชืออะไรง่าย 1.4 ฟังอย่างมวี จิ ารณญาณ มีความคดิ เพือหาข้อเทจ็ จริง 1.5 รู้จักใช้ไหวพริบในบางโอกาส เพือช่วยให้ผู้พูดนําเสนอสาระได้ตรงตามจุดประสงค์ที ผู้ฟังต้องการ เช่น การใช้คําถามนําไปสู่จุดประสงค์ 1.6 ตคี วามจากเรืองทฟี ังได้ถูกต้องและสามารถถ่ายทอดให้ผ้อู ืนฟังได้อย่างเข้าใจ 1.7 นําคุณค่าของสิงทีได้ฟังมาใช้ในชีวิตประจําวัน เช่น การใช้ชีวิตแบบดูแลสุขภาพอย่าง รอบคอบและถูกวิธีรวมทังเหมาะสมกบั วัย การรับประทานอาหารทีมีประโยชน์ช่วย สร้างเสริมสุขภาพ เป็ นต้น
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 207 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ เพราะการสือสารทีมีประสิทธิภาพมีหลากหลายวิธีการและจะเกิดขึนไม่ไดถ้ ้าไม่มีการ พฒั นาทกั ษะอยอู่ ยา่ งสมาํ เสมอ โดยรูปแบบหลกั ๆ ทีตอ้ งใชส้ ือสาร ไดแ้ ก่ การพูด คือ พูดใหน้ ่าฟัง น่าติดตาม น่าสนใจ น่าเชือถือ ส่วนการฟัง คือ ฟังอยา่ งตงั ใจและทาํ ความเขา้ ใจอยา่ งลึกซึง เพือตอบสนองไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง เหมาะสม นอกจากนัน ยงั มีรูปแบบการสือสารอืนๆ ทีจาํ เป็ นตอ้ งใช้ในยุคปัจจุบนั อีกหลายวิธีการ ดงั นี 9.1 การเขียนหรือพิมพข์ อ้ ความ เป็นการใชส้ ือสารเพอื ให้เกิดการทบทวนซาํ ไดห้ ลายๆ ครัง ตามทีผูส้ ูงอายุตอ้ งการหรืออาจหลงลืมก็ยงั สามารถกลบั มาทบทวนอา่ นใหม่เพือทาํ ความเขา้ ใจได้ ตลอดเวลา ทีสาํ คญั คือ การใชถ้ อ้ ยคาํ ในประโยคตา่ งๆ ตอ้ งระมดั ระวงั เป็นอยา่ งดีก่อนทีจะพมิ พแ์ ละ ส่งขอ้ มูลข่าวสารหรือแสดงความรู้สึกความคิดเห็นใดๆ ออกไป ตอ้ งให้แน่ใจวา่ ไม่มีขอ้ ความไหน กาํ กวมไม่ชดั เจนคลุมเครือ จนอาจทาํ ให้ผูอ้ ่านเขา้ ใจความหมายผดิ เพียนไปเพราะอาจเกิดปัญหา ความนอ้ ยใจความไม่เขา้ ใจไม่ยอมรับในข่าวสารทีลูกหลานส่งมาได้ 9.2 การเลือกใชร้ ูปภาพ/สติกเกอร์/คลิปวีดิโอเพือสือสารขอ้ มูลด้านสุขภาพทีสามารถ อธิบายความหมายไดด้ ีกวา่ คาํ พดู หรือเขียนขอ้ ความ ดงั นี -พฒั นาทกั ษะทางดา้ นการสร้างความคิดให้ชดั เจนก่อนทาํ การสือสารโดยเฉพาะเรืองของ สุขภาพทีตอ้ งมีขอ้ มูลชดั เจนถูกตอ้ งเหมาะสมกบั ผสู้ ูงอายดุ ว้ ย -พฒั นาทกั ษะทางดา้ นการกาํ หนดเป้าหมายในการสือสารทุกครัง เพอื ให้การสือสารมี เนือหาสาระทีเป็ นความจาํ เพาะเจาะจง แม่นตรงในประเดน็ ทีตอ้ งการนาํ เสนอ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 208 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ -พฒั นาทกั ษะทางด้านการพจิ ารณาสภาพแวดล้อมของการสือสารว่า ผู้สูงอายอุ ยู่ในภาวะ อารมณ์อย่างไร เช่น กาํ ลงั อยใู่ นบรรยากาศทีสบายๆ หรือกาํ ลงั ครุ่นคิดกบั เรืองอืนๆ ทีไม่ควรเขา้ ไป พดู เรืองการดูแลรักษาสุขภาพหรือไปพูดเหมือนสอบถามหรือสังการให้ทาํ สิงใดๆ ทงั สิน ลูกหลาน จะไดป้ ฏิบตั ติ วั ให้ถูกกาละเทศะดว้ ย -พฒั นาทกั ษะทางด้านทกั ษะการจัดลาํ ดับขันตอนความสําคญั ก่อนหลงั ของเรืองทตี ้องการ สือสารและนาํ เสนอ เพอื ให้เกิดความลงตวั น่าสนใจรับฟังและติดตามตงั แตต่ น้ จนจบ -พัฒนาทักษะทางด้านการสือสารผ่านทางสีหน้า ท่าทางและนําเสียง เพราะจะส่งผลต่อ การรับสารของผู้สูงอายมุ าก เช่น ถา้ ในขณะกาํ ลงั พดู แตล่ ูกหลานทีเป็นผพู้ ูดไม่มีแววตาแห่งความใส่ ใจมุ่งมนั ในเรืองทีกาํ ลงั พูดอยา่ งจริงจงั แต่พูดไปตาเหม่อลอยไป ท่าทางเหล่านีจะทาํ ให้ผูส้ ูงอายทุ ี เป็นผฟู้ ังไมอ่ ยากรับสารใดๆ ทงั สินเช่นกนั -พฒั นาทักษะทางด้านการติดตามประเมนิ ผลลพั ธ์ของการสือสารอยู่เสมอ วา่ ภายหลงั จากทีผพู้ ูด คือ ลูกหลานไดส้ ือสารเรืองสุขภาพออกไป ผูฟ้ ังหรือผูส้ ูงอายุไดเ้ กิดความตระหนกั มาก ขึนหรือมีการเปลียนแปลงพฤติกรรมใดๆ บา้ งหรือไม่ โดยตอ้ งใชก้ ารเจรจาสอบถามเพือสรุปผล การประเมินกบั สิงทีไดส้ ือสารออกไป -พัฒนาทกั ษะทางด้านการสือสารอย่างมันใจ โดยลูกหลานทีเป็นผพู้ ดู ตอ้ งปฏิบตั ิตามในสิง ทีตนเองไดพ้ ดู ไวด้ ว้ ย มิเช่นนนั จะทาํ ให้ผสู้ ูงอายทุ ีเป็นผฟู้ ังหมดความเชือถือในสิงทีจะมาพูดในครัง ต่อๆ ไป เช่น พูดนาํ เสนอถึงผลร้ายของการสูบบุหรีทีมีต่อสุขภาพ แต่พอหลงั พกั เทียงรับประทาน อาหารผพู้ ูดกลบั ไปยนื สูบบุหรีใหผ้ ฟู้ ังเห็น -พฒั นาทกั ษะทางด้านการปฏิบัติตัวเป็ นทงั ผู้พูดทดี ีและยงั ต้องทาํ ตวั เป็ นผู้ฟังทดี ดี ้วย คือ เมือเวลาตอ้ งพูดก็พดู ไดด้ ี น่าสนใจน่าติดตามและน่าเชือถือ พอผูส้ ูงอายุอยากสอบถามขอ้ สงสัย ขอ้ ข้องใจ ก็ต้องปฏิบตั ิตนเป็ นผูฟ้ ังทีดี จบั ใจความสําคญั ให้ได้และสามารถให้คาํ ตอบไดอ้ ยา่ ง รวดเร็วและน่าเชือถือหรือน่าสนใจ
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 209 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ แนวคิดนีพฒั นาขึนโดย แม็คคลาวด์และแชฟฟี (Chaffee, S. H., McLeod, J. M., & Wackman, D. B., 1973) ทีจาํ แนกแนวทางรูปแบบการสือสารภายในครอบครัวออกเป็น 2 มิติ ไดแ้ ก่ 1) การสือสารภายในครอบครัวแบบเน้นสัมพันธภาพ (Socio Orientation) เป็นรูปแบบที เนน้ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งบิดามารดาหรือผปู้ กครองกบั บุตรตามลาํ ดบั ชนั เป็นครอบครัวทียึดมนั แบบแผนหรือประเพณี ซึงทุกคนจะตอ้ งคลอ้ ยตามกนั และจะพยายามหลีกเลียงความขดั แยง้ จะ สอนให้เด็กเคารพผใู้ หญ่ ลกั ษณะของเด็กทีพบในครอบครัวรูปแบบนี คือ เด็กจะมีลกั ษณะไม่ตอบ โตห้ รือโตเ้ ถียงผูใ้ หญแ่ ละถูกสอนใหห้ ลีกเลียงความขดั แยง้ 2) การสือสารภายในครอบครัวแบบเน้นแสดงความคิดเห็น (Concept - Orientation) เป็ น รูปแบบทีเน้นการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ หรือเน้นการสนทนาระหว่างบิดามารดาหรือ ผปู้ กครองกบั บุตร เด็กจะไดร้ ับการสนบั สนุนให้รู้จกั โตแ้ ยง้ ผูอ้ ืนในขณะเดียวกนั ก็รู้จกั ยอมรับฟัง ความคิดเห็นของผูอ้ ืนดว้ ย แมค้ วามคิดเห็นไม่ตรงกนั กต็ ามและรู้จกั ประเมินปัญหาอยา่ งรอบคอบ โดยครอบครัวทมี ลี กั ษณะรูปแบบการสือสารทีเน้นสัมพนั ธภาพแบบสนับสนุนการสนทนา จะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการพูดคุยกันอย่างเปิ ดเผยกบั แต่ละคน ดงั นนั ความสุขของชีวิตครอบครัวจะ วดั ได้จากผลรวมของเวลาทีใช้ในการพูดคุยกันและจาํ นวนเรืองราวทีถูกนาํ มาพูดคุยระหว่างมี ปฏิสมั พนั ธ์กนั ครอบครวั ในลกั ษณะนีจงึ เป็นครอบครัวทีสือสารกนั อยา่ งเปิ ดเผย ซึงในครอบครัวที มีลกั ษณะสนบั สนุนการสนทนาสูง เดก็ จะถูกสอนใหเ้ ผชิญหนา้ กบั ความขดั แยง้ และหาวธิ ีการแกไ้ ข ปัญหา ในทางกลบั กนั ครอบครัวทีมีลกั ษณะสนบั สนุนการสนทนาในระดบั ตาํ เด็กจะถูกสอนให้ หลีกเลียงความขดั แยง้ หรืออดทนตอ่ ความขดั แยง้ ทีเกิดขึนเพราะถูกมองวา่ เป็นสิงทีไมด่ ี ส่วนครอบครัวทีมีลกั ษณะรูปแบบการสือสารทีเน้นความสําคัญของการเชือฟังผู้มีอานาจ และส่งเสริมสถานภาพปัจจุบันในระบบครอบครัว (Sillars, A., Koerner, A. F., & Fitzpatrick, M. A., 2005) ครอบครัวในมิตินีจะมีกฎเกณฑ์ทีเขม้ งวด ใชก้ ลยุทธ์การสือสารทีเน้นสถานภาพ และ สนบั สนุนการอยรู่ ่วมกนั ของครอบครัว มีลกั ษณะคลา้ ยกบั โครงสร้างครอบครัวแบบดงั เดิม คือ ให้ ความสาคญั กบั ความสนใจของครอบครัวมากกวา่ ความสนใจของแตล่ ะบุคคล และคาดหวงั วา่ ลูกจะ อยใู่ นโอวาทของพ่อแม่ตงั แต่วยั เด็กจนถึงวยั ผใู้ หญ่ เด็กในครอบครัวลกั ษณะนีจะถูกคาดหวงั วา่ จะ ยอมทาํ ตามในสิงทีพ่อแมต่ อ้ งการ ส่วนครอบครัวทีมีลกั ษณะแบบคลอ้ ยตามกนั นอ้ ยจะเนน้ รูปแบบ การสือสารทีส่งเสริมความแตกต่างของสมาชิกในครอบครัว และสนบั สนุนให้แสดงความคิดเห็น และความรู้สึกออกมา
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 210 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ จากแนวคิดรูปแบบการสือสารในครอบครวั ทงั สองมิติดงั กล่าว ริชชีและฟิทซ์แพทริค (Ritchie, L. D., & Fitzpatrick, M. A., 1990) ไดน้ าํ มาสร้างกรอบแนวคิดเพือการจดั กลุ่มของ รูปแบบการสือสารในครอบครัว ออกเป็น 4 รูปแบบ ดงั นี ตารางที 3.2 แสดงรูปแบบการสือสารในครอบครัว รูปแบบที ลกั ษณะของรูปแบบการสือสาร 1. รูปแบบการสือสารภายในครอบครัวแบบปล่อยปละ (Laissez - Faire Family Communication Pattern) เป็นรูปแบบของพฤติกรรมการสือสารภายใน ครอบครัว ทีมีแนวทางการสือสารแบบสร้างการปรองดองตามกนั บิดามารดาหรือ ผปู้ กครองเป็ นผูต้ ดั สินใจเรืองทีสาํ คญั ของครอบครัว ครอบครัวลกั ษณะนีมองการ สนทนาหรือการสือสารภายในครอบครัวว่าเป็ นสิงทีไม่จาํ เป็ น จึงไม่เนน้ การทาํ กิจกรรมร่วมกนั อีกทงั ไม่มีรูปแบบการสือสารภายในครอบครัวทีมีแบบแผนการ ปฏิบตั ิใหบ้ ุตรตอ้ งยดึ ถือ บุตรจึงมีอิสระเสรี แต่ยงั ถูกห้ามไม่ให้โตเ้ ถียงหรือขดั แยง้ กบั ผูใ้ หญ่ และไมไ่ ดร้ ับการส่งเสริมใหแ้ สดงความคิดเห็นต่างๆ ขอ้ เสียคือ อาจทาํ ให้บุตรทีรู้สึกขาดความรัก มองโลกในแง่ร้าย ไม่ไวใ้ จผูอ้ ืน ไม่เชือมนั ในความ ยตุ ธิ รรม ขาดระเบียบวนิ ยั ไมม่ ีความขยนั และไมส่ ามารถทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ืนได้ 2. รูปแบบการสือสารภายในครอบครัวแบบปกป้อง (Protective Family Communication Pattern) เป็นรูปแบบของพฤติกรรมการสือสารภายใน ครอบครัว ทีมีแนวทางการสือสารแบบสร้างการปรองดองระดบั สูง พบการสือสาร ระหวา่ งบิดามารดาหรือผปู้ กครองกบั บุตรเพยี งเล็กนอ้ ยเท่านนั บิดามารดาหรือ ผปู้ กครองมีอาํ นาจเบด็ เสร็จภายในครอบครัว ผปู้ กครองเป็ นผตู้ ดั สินใจเรืองที สาคญั ของครอบครัวโดยไมจ่ าํ เป็นตอ้ งชีแจงเหตุผล และยงั เป็นผคู้ วบคุม กฎระเบียบตา่ งๆ ภายในครอบครัว แต่ครอบครัวแบบปกป้องมกั ใหค้ วามสาคญั และยดึ มนั ต่อประเพณีทีปลูกฝังกนั มา สงั เกตไดจ้ ากบตุ รจะถูกสอนใหเ้ ชือฟังและ คลอ้ ยตามผใู้ หญ่ เพอื รักษาสัมพนั ธภาพกบั ทุกคนในครอบครัว บุตรถูกหา้ มไม่ให้ แสดงความคิดเห็นทีขดั แยง้ และห้ามโตเ้ ถียงผใู้ หญ่ แมว้ า่ จะความคิดเหล่านนั จะไม่ ตรงกบั ผูใ้ หญก่ ต็ าม ขอ้ เสียคืออาจทาํ ใหบ้ ุตรทีเติบโตมาจากครอบครวั แบบนี มี ความรู้สึกห่างเหิน ขาดความอบอุน่ การปฏิบตั ติ ามคาํ สงั เป็นประจาํ ส่งผลใหบ้ ุตร ขาดความคิดริเริมสิงใหม่ ขาดความเชือมนั ในตนเอง ไมเ่ ป็นตวั ของตวั เองและไม่ กลา้ แสดงความคิดเห็น
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 211 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ รูปแบบที ลกั ษณะของรูปแบบการสือสาร 3. รูปแบบการสือสารภายในครอบครัวแบบเปิ ดเสรีทางความคิด (Pluralistic 4. Family Communication Pattern) เป็นรูปแบบของพฤติกรรมการสือสารภายใน ครอบครัว ทีบิดามารดาหรือผูป้ กครองจะเปิ ดกวา้ งให้บุตรแสดงความคิดเห็นได้ ทุกเรืองแมแ้ ต่เรืองส่วนตวั ครอบครวั แบบนีจะยึดถือคุณคา่ ของการแลกเปลียนทาง ความคิด เชือวา่ การสนทนากบั บุตรบ่อยครังจะช่วยให้บุตรไดร้ ับความรู้และรู้จกั เขา้ สังคม ผูป้ กครองยงั เปิ ดโอกาสให้บุตรมีส่วนร่วมในการตดั สินใจเรืองทีสาํ คญั ของครอบครัว มกั ใหค้ วามสําคญั กบั การส่งเสริมให้บุตรรู้จกั พฒั นาความคิดเห็น ของตนเอง และกลา้ แสดงออก แมว้ ่าความคิดเห็นเหล่านนั จะแตกตา่ งกบั ผูใ้ หญ่ก็ ตาม บุตรจะไดร้ ับการอบรมสงั สอนใหร้ ู้จกั มีความคิดริเริมสิงใหม่ๆ กลา้ แสดงออก กลา้ อภิปรายหรือถกเถียงในประเด็นเรืองราวต่างๆ กบั บุคคลอืน จึงกลา้ ตดั สินใจ ดว้ ยตนเอง ไม่ยึดติดอยกู่ บั สังคม ความเชือ ค่านิยม และประเพณีมากนกั ขอ้ ดีคือ ทาํ ให้บุตรทีเติบโตจากครอบครัวทีมีรูปแบบการสือสารแบบนี มีโอกาสคิดริเริม สร้างสรรค์ และกลา้ ตดั สินใจตงั แตเ่ รืองเล็กไปจนถึงเรืองใหญ่ อีกทงั จะสร้างนิสยั ใหเ้ ด็กกลา้ แสดงความคิดเห็น เชือมนั ในตนเอง พึงพาตนเองได้ ขอ้ เสียคือ อาจทาํ ใหไ้ มม่ ีสมั มาคารวะตอ่ ผใู้ หญแ่ ละขาดการประนีประนอม รูปแบบการสือสารภายในครอบครัวแบบเหน็ พ้องต้องกนั (Consensual Family Communication Pattern) เป็นรูปแบบของพฤติกรรมการสือสารภายใน ครอบครัว ทีผปู้ กครองส่งเสริมใหบ้ ุตรแสดงความคิดเห็นไดท้ ุกเรือง แมแ้ ตเ่ รือง ส่วนตวั และสนบั สนุนใหบ้ ุตรมีความคิดเห็นเป็นของตนเองสูง แมก้ ระนนั ผปู้ กครองยงั คงเป็ นผตู้ ดั สินใจในเรืองทีสาคญั ของครอบครวั แตจ่ ะสนทนากบั บุตร ถึงเหตุผลของการตดั สินใจในเรืองนนั ๆ เพอื รักษาความสมั พนั ธภ์ ายในครอบครวั มกั ใหค้ วามสาคญั ของเรืองสงั คม ความเชือ ค่านิยม ประเพณี และยดึ มนั ในแบบ แผนการปฏิบตั ิทีปลูกฝังกนั มา แตใ่ นขณะเดียวกนั ผปู้ กครองก็สอนใหบ้ ุตรรู้จกั พฒั นาความคิดเห็นของตนเองและกลา้ แสดงออก แมว้ า่ ความคิดเหล่านนั จะ แตกตา่ งกนั ก็ตาม ขอ้ ดี คือ ทาํ ใหบ้ ุตรทีเติบโตจากครอบครัวทีมีรูปแบบการสือสาร แบบนี ไดร้ ู้จกั แสดงความคิดเห็นของตนอยา่ งเปิ ดเผย และรู้จกั รับฟังความคิดเห็น ของผอู้ ืนดว้ ย อีกทงั ยงั รู้จกั พิจารณาไตร่ตรองดว้ ยวจิ ารณญาณเกียวกบั เรืองราว ต่างๆ ทงั 2 ดา้ น นอกจากนีบุตรรู้จกั แสดงความคิดเห็นร่วมกบั ผอู้ ืนอยา่ งเปิ ดเผย แต่กม็ ีสมั มาคารวะต่อผใู้ หญ่ และรู้จกั การประนีประนอม
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 212 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ จากแนวคิดรูปแบบการสือสารภายในครอบครัวทัง 4 รูปแบบ จะเห็นได้ว่ามีข้อดีข้อด้อยที แตกต่างกนั แต่ไม่สามารถชีชัดลงไปได้ว่า การสือสารภายในครอบครัวรูปแบบใดดีทสี ุดหรือดีกว่า รูปแบบอืนๆ เพราะทุกครอบครัวมีความแตกต่างกัน ดงั นนั การสือสารภายในครอบครัวแต่ละ รูปแบบยอ่ มส่งผลต่อสมาชิกในครอบครัวทีแตกต่างกนั เพราะแตล่ ะครอบครัวยอ่ มมีวฒั นธรรมของ แต่ละครอบครัวทีแตกตา่ งกนั และมีบรรทดั ฐานของการสือสารทีแตกต่างกนั ไป และเมือเอ่ยถึงคาํ ว่า “วฒั นธรรมของแต่ละครอบครัว” ทีแตกต่างกนั นนั สามารถนาํ มาพิจารณาเพือการสร้างองค์ ความรู้เกียวกบั เรืองการสือสารสุขภาพระหว่างผูส้ ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัวไดอ้ ีกประการหนึง เพราะวฒั นธรรมคือวิถีชีวิตของผูค้ นในสังคมทีได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกนั มาตงั แต่อดีตจนถึง ปัจจุบนั โดยมีการสือสารเป็นเครืองมือช่วยในการถ่ายทอดวฒั นธรรมจากรุ่นสู่รุ่น เพราะวฒั นธรรม จะไมส่ ามารถดาํ รงอยไู่ ดถ้ า้ ปราศจากการสือสาร เนืองจากคนในสังคมใชก้ ารสือสารในการส่งผา่ น ความคิด การกระทาํ การตีความหมายสัญลกั ษณ์หรือปรากฏการณ์ทีเกิดขึนในสังคมใหค้ นรุ่นหลงั ไดร้ ับรู้ดว้ ยวธิ ีการทีหลากหลาย (สุกญั ญา บูรณเดชาชยั และปริญญา สิริอตั ตะกุล 2554) อาทิ การพูดคุยแบบเผชิญหน้า การพดู คยุ ทางโทรศัพท์มือถือ การพูดคุยกันผ่านอนิ เทอร์เน็ตด้วยช่องทางการสือสารโซเชียลมีเดีย (Social Media) ต่างๆ เช่น โปรแกรมประยุกต์ไลน์ (Line) เฟซบุ๊ก (Facebook) การศึกษาดา้ นสังคมวิทยา ให้ความหมายเกียวกบั “วัฒนธรรม” ว่า (ราชบณั ฑิตยสถาน 2546) เป็ นทุกสิงทุกอย่างทีสามารถถ่ายทอดทางสังคมและสามารถเปลียนแปลงได้ เช่น วิถีชีวิต สญั ลกั ษณ์ ความเชือทีเรียนรู้ได้ รวมถึงวฒั นธรรมทางวตั ถุทีเป็นรูปธรรมและทีไม่ใช่วตั ถุทีถ่ายทอด ผา่ นการเรียนรู้ เป็ นสิงทีถูกสร้างขึนอยา่ งจงใจ เมือนําวฒั นธรรมในมุมนีมาประกอบการค้นหาแนวทางเพือการสือสารสุขภาพทีมี ประสิทธิภาพในยุคปัจจุบนั ทีเทคโนโลยีการสือสารถูกพฒั นาขึนเป็ นนวตั กรรมการสือสารใน รูปแบบสือใหม่มากมาย ทงั นีเพือเป็ นการตอบสนองความรวดเร็วฉบั ไวในการติดต่อสือสารของ มนุษยจ์ นกลายเป็ นวฒั นธรรมของสังคมยุคใหม่และเป็ นวฒั นธรรมของแต่ละครอบครัวไปดว้ ย เพราะการเขา้ ถึงขอ้ มูลข่าวสารจะนาํ ไปสู่การเปลียนแปลงศั นคติ ค่านิยม พฤติกรรมในการดาํ เนิน ชีวติ ของผคู้ นในสงั คม โดยเฉพาะสือใหม่ คือ สือดิจทลั สืออินเทอร์เน็ต จึงกลายเป็นสือทีถูกมองว่า เป็ นสือทีมีคุณประโยชน์อย่างมหาศาล แต่ในทางกลบั กนั อาจนาํ ผลเสียหลายดา้ นมาสู่การดาํ เนิน ชีวิตของคนในสังคมได้ จึงตอ้ งใช้ทกั ษะการคิดวิเคราะห์ สงั เคราะห์ก่อนนาํ มาใชใ้ นทางทีถูกตอ้ ง เหมาะสมอยา่ งรู้เท่าทนั ดงั จะเห็นไดจ้ ากการศึกษาวจิ ยั ของนกั วชิ าการตา่ งๆ ดงั เช่น
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 213 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ สุวิมล องั ควานิช และนภสมน นิจรันดร์ (2554) สรุปวา่ สืออินเทอร์เน็ตเป็ นสถาบนั ทาง สังคมสถาบนั หนึงทีมีบทบาทการขดั เกลาทางสังคม เป็นช่องทางการสือสารทีมีการเผยแพร่ขอ้ มูล ข่าวสารไดม้ ากขึนและรวดเร็วขึนทงั ในปัจจุบนั และในอนาคต ในการเผยแพร่ขอ้ มูลข่าวสารนนั ถือ ไดว้ า่ ผสู้ ่งสารไดแ้ ฝงอุดมการณ์บางประการเพอื ใชช้ ีนาํ จงู ใจ โนม้ นา้ วใจผูค้ นในสังคมใหม้ ีทศั นคติ ค่านิยมและมีพฤติกรรมเป็นไปตามทิศทางทีผสู้ ่งสารตอ้ งการ ซึงสอดรับกับแนวคิดจากทฤษฎีดา้ นการสือสารของนกั คิดจากสํานักคิดทฤษฎีวิพากษ์ (Critical Theory) คือ “ทฤษฎีเทคโนโลยเี ป็ นตัวกําหนด (Technology Determinism Theory)” โดยมีแนวคิดหลักว่าการเปลียนแปลงของเทคโนโลยีการสือสารเป็ นตวั กาํ หนด พฤติกรรมของคนในสงั คม เมือรูปแบบการสือสารเปลียนแปลงตลอดเวลาตามเทคโนโลยสี มยั ใหม่ วิถีชีวิตของผูค้ นในสังคมย่อมเปลียนแปลงตามไปดว้ ย มาร์เชล แมคลูฮนั (Marshall McLuhan, 1964) ชาวแคนาดา เป็ นนกั คิดในสาํ นกั โตรอนโต ไดอ้ ธิบายแนวคิดและยกตวั อยา่ งเกียวกบั อิทธิพล ของสือ หรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือสารทีตอ้ งเชือมโยงกบั วิวฒั นาการของสังคมในแต่ ละยคุ สมยั โดยกล่าววา่ ความเจริญของสังคมมนุษยเ์ กิดจากอิทธิพลของการพฒั นาการของสือใน แต่ละยคุ อิทธิพลของสือในแตล่ ะยคุ จะเป็ นตวั ทีกาํ หนด หรือเป็นตวั ทีส่งผลตอ่ การดาํ เนินชีวติ ของ มนุษย์ ตลอดจนการจดั กระบวนทศั น์ต่าง ๆ ของสังคมดว้ ย แมคลูฮนั มีความเชือวา่ เทคโนโลยี สารสนเทศและการสือสารสามารถทีจะส่งผลทาํ ให้สังคมเปลียนได้ โดยสรุปเขามีแนวคิดหลกั ๆ ดงั นี 1. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือสารช่วยทาํ ให้ประสบการณ์ของมนุษย์สามารถแผ่ ขยายกว้างออกไป สือทุกชนิดคือ การขยายประสบการณ์ด้านผัสสะของมนุษย์ (Extension of Experience) โดยเฉพาะสืออิเล็กทรอนิกส์ไดส้ ร้างปรากฏการณ์ใหม่ทีเรียกว่า “หมู่บา้ นโลก” (Global Village) ทาํ ใหค้ นจาํ นวนมากสามารถรู้เรืองราวทีไหนก็ได้ ภายในระยะเวลาทีรวดเร็วหรือ เวลาเดียวกนั แมจ้ ะทีอยู่ทางกายภาพทีอยู่กนั คนละซีกโลกก็สามารถทราบเรืองราวในเวลาจริงได้ ผา่ นสือ เช่น เวบ็ และอินเทอร์เน็ต ดงั นนั อุปสรรคในประเด็นทีเกียวกบั ระยะทาง หรือ กาลเวลา กลายเป็ นเรืองไร้ความหมายและไม่สามารถปิ ดกนั ประสบการณ์ของมนุษย์ 2. ตัวสือคือสาร (Medium is the message) แมคลูฮนั ไม่สนใจหรือไม่ใหค้ วามสําคญั เกียวกบั เนือหาทีถูกถ่ายทอดผ่านสือ แต่เขาให้ความสําคญั กับประเภทหรือรูปแบบของสือ กล่าวคือ การส่งขอ้ ความใดไม่สําคญั เท่าการส่งขอ้ ความผ่านสือชนิดใด แมคลูเฮน เชือวา่ การ เปลียนตวั สือเท่านนั ก็จะสามารถสร้างผลกระทบตอ่ การเปลียนแปลงประสบการณ์ต่าง ๆ ให้เกิดขึน ในสงั คมมนุษยไ์ ด้
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 214 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 3. นวตั กรรมของสือหรือของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือสาร (Media innovation) สามารถขบั เคลือนใหส้ งั คมเปลียนแปลงไดต้ ลอดเวลา ไมจ่ าํ กดั ระยะทาง และเวลา แนวคิดของแมคลูฮนั ทีว่า ตัวสือ คือ ตัวสารทตี ้องการส่งนันเอง (Medium is the message) เป็ นแนวคิดทีทาํ ให้แมคลูฮนั มีชือเสียงมากทีสุด สําหรับแมคลูฮนั แลว้ แนวคิดนีมี ความหมายและคาํ อธิบายทีหลากหลาย เช่น ประเด็นแรก คือ สือหรือช่องทางในการสือสารเป็ น ส่วนทีสาํ คญั ทีสุดของการสือสาร เขามีความเชือวา่ สือมีความสาํ คญั กวา่ สาร เขากล่าววา่ สือทีเด่น ในแตล่ ะยคุ สมยั จะสามารถส่งผลและมีอิทธิพลตอ่ วถิ ีชีวติ ของผคู้ นมากกวา่ สิงทีสือนนั ส่งสาร หรือ ส่งเนือหาไป ประเดน็ ทสี อง คือ \"สือ คือกระบวนการ หรือ สือ คือ ทกั ษะกระบวนการ\" แมคลูฮนั กล่าววา่ แมว้ า่ จะมีการเปลียนตวั อกั ษรออกหนึงตวั เช่น จาก message เป็ น massage แต่โครงสร้าง เดิมของสือก็ยงั คงสามารถทีจะส่งสารหรือยงั คงสามารถทีจะสือสารตามทีผูส้ ่งตอ้ งการได้ สือ สามารถทีจะปรับเปลียนและส่งต่อเนือหาทีตอ้ งการใหเ้ กิดผลตอ่ จิตสํานึก (conscious) อนั สามารถ ส่งผลตอ่ การรับรู้ (perception) ของมนุษยใ์ นแตล่ ะระดบั ของสงั คมไดใ้ นทีสุด จากแนวคดิ ดงั กล่าวได้ส่งผลสู่ประเดน็ สําคญั ของทฤษฎีฯ ทีเชือว่า เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือสารทีเชือว่า สือ (Media) เป็ นกลไกทีสําคัญทีสุดในการ ทจี ะเป็ นผู้กาํ หนดการสือสาร และท้ายสุด คือ การชีนําระบบสังคม วฒั นธรรม และวถิ ีชีวิตของผู้คน ในสังคม ไม่ว่าจะเป็ นการชีนําในระดับของปัจเจกบุคคลทีเกียวเนืองกับการคิด อารมณ์ และการ แสดงออกต่าง ๆ จนกระทังการขยายผลการชีนําสู่ระดับกลุ่ม ระดับองค์กรต่าง ๆ ในสังคม ดงั เช่น จดั ระบบกลไกตา่ ง ๆ ภายในตนเอง หรือภายในองคก์ รตนเองเขา้ สู่สงั คมแห่งความทนั สมยั และเท่า ทนั กบั กระแสการเปลียนแปลงต่างๆ แนวคิดของแมคลูฮัน จะมีหลักวิธีการคิดทีคล้ายกับทฤษฎีแนวคิดของมาร์ กซิสต์ (Marxist Theory) ทีกล่าววา่ “เศรษฐกจิ คือตวั กําหนดกลไกทุกอย่างของสังคม” (Cohen, G.A., 1978) ในขณะทีแมคลูฮนั กล่าววา่ “เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือสาร คือตวั กําหนดกลไกทุก อย่างของสังคม”
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 215 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ดังนันผู้เขียนจึงมองเห็นความสําคัญของวฒั นธรรมและเทคโนโลยีในการสือสารที เปลียนแปลงไปจนกลายเป็ น “นวตั กรรมการสือสารของคนในยุคศตวรรษที 21” นี จึงต้องหา วธิ ีการทีจะทาํ ให้การสือสารสุขภาพระหว่างผสู้ ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัวสามารถติดต่อสือสาร พดู คุยกนั ไดต้ ลอดเวลา โดยควรจะตอ้ งมีองคป์ ระกอบ ตา่ งๆ เหล่านีคือ 1) มคี วามสะดวกสบาย 2) รวดเร็ว 3) ประหยดั 4) พร้อมทงั ยงั คงสามารถรักษาความสัมพนั ธ์ความผูกพนั ทดี ีต่อกนั ไว้ได้ 5) สามารถช่วยเหลือเกือกูลกนั ได้ในยามเกิดปัญหาใดๆ ทังสุขภาวะทางกายและสุขภาวะ ทางจิตใจของคนทกุ รุ่นในครอบครัวเดียวกนั 6) รวมทังการใช้รูปแบบการสือสารทเี ข้ากบั วฒั นธรรมของแต่ละครอบครัวทจี ะมีลักษณะ แตกต่างกนั เพราะผลลพั ธ์สุดทา้ ยทีทุกคนตอ้ งการ คือ การพฒั นาคุณภาพชีวิตและความผาสุกให้กบั ผูส้ ูงอายุ ซึงถือเป็ นปูชนียบุคคลของลูกหลาน รวมทงั ความสุขทงั กายใจจะเกิดขึนกบั สมาชิกใน ครอบครวั ทุกคนตามไปดว้ ย จากข้อมูลทีนําเสนอมาทังหมด ผู้เขียนปรารถนาเป็ นอย่างยิงให้หนังสือ เล่มนี เป็ นเข็มทิศเป็ นคู่มือสําหรับการใช้ศิลปะการสือสารสุขภาพระหวา่ งผูส้ ูงอายุกบั สมาชิกใน ครอบครวั ไดอ้ ยา่ งเป็ นรูปธรรมนาํ ไปใชไ้ ดจ้ ริง โดยในบทต่อไปจึงจะชีให้เห็นถึงประโยชน์ของการใช้สือใหม่ทีเหมาะสม รวมทงั บท สุดทา้ ยทีจะมีขอ้ เสนอแนะการสร้างสรรคเ์ นือหาในสือใหม่เพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตของ ผสู้ ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว โดยสมาชิกของแต่ละครอบครัวสามารถนาํ ขอ้ มูลจากหนงั สือเล่ม นีไปประยุกตใ์ ช้ไดจ้ ริงตามสภาพแวดลอ้ มและวฒั นธรรมของแต่ละครอบครัวทีแตกต่างกนั แต่ ยงั คงใชห้ ลกั การและแนวทางจากหนงั สือเล่มนีไดเ้ ป็นอยา่ งดี
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 216 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ เพอื การแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั ในการสร้างความเขา้ ใจ จดจาํ ไดแ้ ละสามารถนาํ ไป ประยุกตใ์ ชไ้ ดอ้ ยา่ งเป็ นรูปธรรม ก่อเกิดประโยชน์อยา่ งแทจ้ ริงในบทนีเกียวกบั การใชศ้ ิลปะการ สือสารสุขภาพระหวา่ งผสู้ ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว 1) ความรู้พนื ฐานเกียวกบั ผูส้ ูงอายแุ ละการใหค้ วามสาํ คญั ของสุขภาพกายและสุขภาพจิต ผอู้ า่ นคดิ วา่ มผี ลอยา่ งไรตอ่ การใชศ้ ิลปะการสือสารสุขภาพระหวา่ งผสู้ ูงอายุกบั สมาชิก ในครอบครวั 2) ศิลปะการสือสารสุขภาพระหวา่ งผสู้ ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครวั ในศตวรรษที 21 นนั มีสาระสาํ คญั ทีสอดคลอ้ งสัมพนั ธ์กบั ผลจากการปฏิรูปการศึกษาในระดบั โลก ซึง ตอ้ งใชป้ ัจจยั ตา่ งๆ บูรณาการเขา้ ดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ ปัจจยั ที 1 ทกั ษะสาํ คญั (Important Skills) 3 ดา้ น ปัจจยั ที 2 ดา้ นความรู้เกียวกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือสาร หรือ ไอซีที (ICT: Information and Communications Technology Literacy) และปัจจยั ที 3 ดา้ นความเขา้ ใจและความสามารถในการดาํ เนินชีวิตให้เป็ นผูม้ ีสุขภาพดี มีความ รู้เท่าทนั สุขภาพ (Health Literacy) ในประเด็นเหล่านีผอู้ ่านมีความคิดเห็นเช่นไร 3) จากแบบจาํ ลององคป์ ระกอบสาํ หรับการใชศ้ ิลปะการสือสารสุขภาพเพอื ดูแลสุขภาพ กายและสุขภาพจิตระหวา่ งผสู้ ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัวใหม้ ีประสิทธิภาพทีผูเ้ ขียน นาํ เสนอในบทนี ผอู้ ่านมีความคิดเห็นเช่นไร 4) จากขอ้ เสนอของผเู้ ขียนเรืองแนวคิดและวธิ ีการใชศ้ ิลปะการสือสารสุขภาพเพอื ดูแล สุขภาพกายและสุขภาพจิตระหวา่ งผูส้ ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัวให้มีประสิทธิภาพ ในแต่ละประเดน็ ผอู้ ่านมีความคิดเห็นเช่นไร 5) ผอู้ า่ นมีความคิดเห็นเช่นไรกบั การใชศ้ ิลปะการสือสารสุขภาพตามแนวคิดทฤษฎีการ ดูแล ของ จีน วตั สัน (Jean Watson’s Caring Theory) 6) ผอู้ า่ นมีความคิดเห็นเช่นไรกบั การใชศ้ ิลปะการสือสารสุขภาพ ตามแนวทางของเดวดิ โบม (David Bohm) คือการใชส้ ุนทรียสนทนา (dialogue) 7) จากเนือหาในบทนี ทีนาํ เสนอวา่ “การฟังใหไ้ ดย้ นิ ” (Deep Listening) ผอู้ ่านมีความ คิดเห็นเช่นไร และควรทาํ เช่นไรในการใชศ้ ิลปะการสือสารสุขภาพในประเด็นนีกบั ผสู้ ูงอายใุ นครอบครวั
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 217 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 218 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ จุดมุ่งหมายของเนือหาสาระในบทนี เมือไดอ้ ่านหนงั สือในบทนีแลว้ จะทาํ ใหผ้ อู้ ่านไดร้ ับรู้ถึงขอ้ มูลต่างๆ ดงั นีคือ 4.1 ทีมาของสือใหม่ 4.2 ความหมายของสือใหม่ 4.3 ตวั อยา่ งของสือใหมท่ ีสาํ คญั และผใู้ ชส้ ่วนใหญ่มกั ใชง้ านเป็นประจาํ 4.4 การศึกษานาํ ร่องของผูเ้ ขียนเพือทดสอบแนวคิดการนาํ สือใหม่มาใช้เพือการสือสาร สุขภาพสาํ หรับการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ของสมาชิกในครอบครัว 4.5 ประเดน็ ความตอ้ งการของผสู้ ูงอายเุ กียวกบั ขอ้ มูลดา้ นสุขภาพต่างๆ 4.6 แนวคิดจากปรากฏการณ์ทางสงั คมและผลการวจิ ยั เกียวกบั การใชส้ ือใหม่ 4.7 การนาํ สือใหม่มาใชป้ ระโยชน์สาํ หรับการสือสารสุขภาพระหวา่ ง ผสู้ ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 219 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ในยุคศตวรรษที 21 นี “สือใหม่” หรือ “New Media” นบั เป็ นสิงจาํ เป็นทีผคู้ นทวั ๆ ไปในยุคดิจิทัลนีต้องให้ความใส่ใจศึกษาและเรียนรู้วิธีการใช้และการเขา้ ถึงและการใช้ให้เกิด ประโยชนใ์ นการสือสารระหวา่ งตนเองกบั ผอู้ ืน จากขอ้ มูลข่าวสารเกียวกบั สํานกั สารนิเทศ สํานกั งานปลดั กระทรวงสาธารณสุข (2559) ที เปิ ดอบรมเครือขา่ ยนกั ประชาสมั พนั ธ์เขตบริการสุขภาพ สํานกั งานสาธารณสุขจงั หวดั โรงพยาบาล ศูนย์ โรงพยาบาลทวั ไปกวา่ 200 คนจากทวั ประเทศ เพือพฒั นาศกั ยภาพ เพิมพูนทกั ษะการสือสาร การประชาสัมพนั ธ์ การผลิตและทีสําคญั คือ “การใช้สือใหม่” เพือบรรลุเป้าหมายทวี ่า “ประชาชน สุขภาพดี เจ้าหน้าทมี ีความสุข ระบบสุขภาพยงั ยืน” โดยนายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลดั กระทรวงสาธารณสุข กล่าววา่ “กระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างการปฏิรูปและพฒั นาระบบบริการสุขภาพ เพือ ประโยชน์สูงสุดของประชาชน ใหไ้ ดร้ ับการดูแลสุขภาพและพฒั นาตลอดช่วงชีวติ อยา่ งมีมาตรฐาน เป็ นธรรมและทวั ถึง เจา้ หน้าทีผูป้ ฏิบตั ิงานมีความสุข เกิดระบบสุขภาพทียงั ยืน จาํ เป็นตอ้ งใชก้ าร สือสารประชาสัมพนั ธ์ในการสร้างความรับรู้ ความเขา้ ใจทีถูกตอ้ งกบั ประชาชน เพือให้เกิดความ ร่วมมือ ความตระหนกั ใส่ใจสุขภาพ จนนาํ ไปสู่การปรับเปลียนพฤติกรรมสุขภาพทีดี….กระทรวง สาธารณสุ ขเห็นความสําคัญของการสื อสารประชาสัมพันธ์ จึงได้จัดอบรมเครื อข่ายนัก ประชาสัมพนั ธ์เขตบริการสุขภาพ โดยมีบุคลากรสาธารณสุขทุกวิชาชีพจากทวั ประเทศ เขา้ ร่วม อบรมเพือเพิมพูนความรู้ เทคนิค ทกั ษะการสือสารประชาสัมพนั ธ์ และนโยบายสําคญั ของ กระทรวงสาธารณสุข เพือให้การประชาสัมพนั ธ์ไปในทิศทางเดียวกนั ขณะเดียวกนั ตอ้ งทาํ หนา้ ที เป็ นสือกลางในการสือสารกบั ประชาชนในพืนทีให้รับรู้ข่าวสารทีถูกตอ้ ง รวดเร็ว และแกไ้ ขความ เขา้ ใจผดิ โดยใชช้ ่องทางการสือสารทีหลากหลาย……..
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 220 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ โดยเฉพาะ “สือใหม่” เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ ทวิตเตอร์ เป็ นต้น ทมี ีความรวดเร็ว ทันเหตุการณ์ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างกว้างขวาง ประหยัดงบประมาณ ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที “รวดเร็ว ทัวถึง” สอดคลอ้ งกบั นโยบายของรัฐบาลทีให้ความสําคญั ในการสือสาร สร้างการรับรู้ ความเขา้ ใจทีถูกตอ้ งกบั ประชาชน ใหค้ รอบคลุมทวั ถึง กระทรวงสาธารณสุขจึงคาดหวงั ให้บุคลากรสาธารณสุขทีรับผดิ ชอบงานประชาสัมพนั ธ์ ได้ใช้การสือสารประชาสัมพนั ธ์เป็ นเครืองมือในการสร้างความรู้ความเขา้ ใจและความร่วมมือ เพือให้ประชาชนตระหนักและใส่ใจการดูแลสุขภาพ และสร้างความร่วมมืออนั ดีระหว่างผู้ ใหบ้ ริการและผรู้ ับบริการ” จากข่าวนีแสดงให้เห็นถึงการให้ความสําคญั กับสือใหม่ต่างๆ ในการนํามาใช้สําหรับ ภารกิจเพอื การสือสารสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ซึงเป็นหน่วยงานทีดูแลรับผดิ ชอบเกียวกบั สุขภาพของประชาชนทงั ประเทศ โดยการใช้สือใหม่นนั ต้องเป็ นพฤติกรรมการใช้ของทงั เด็ก เยาวชน วยั รุ่น ผูใ้ หญ่และผูส้ ูงอายุ ทงั นีเพือให้สามารถติดต่อสือสารกนั ไดท้ งั สองทางเป็ น Two way communication จึงจะสามารถทาํ ใหก้ ระบวนการสือสารประสบความสาํ เร็จไดต้ ามทีตงั ใจไว้ เมือมองยอ้ นอดีตกลบั ไปยงั ปี ค.ศ.1939 ณ เวลาช่วงนนั โลกตอ้ งเผชิญกบั ภาวะสงครามที ปะทุขึนในยุโรป ผูค้ นตกอยภู่ ายใตค้ วามกลวั และความหวาดผวาจากภยั สงคราม สือดงั เดิมในสมยั นนั อยา่ ง “วิทยุ” กลายเป็ นเครืองมือสือสารทีสําคญั ในการทาํ โฆษณาชวนเชือให้มวลชนพร้อมใจ กนั เขา้ ร่วมสงครามทงั ยุโรป ก่อนทีจะขยายขอบเขตของสงครามลุกลามมาสู่สหรัฐอเมริกาซึงเขา้ ร่วมสงครามโลกครังที 2 (World War II หรือ Second World War) ในปี ค.ศ. 1942 โดยสงครามโลกครังที 2 ไดย้ ตุ ิลงในปี ค.ศ. 1945 แต่ไมค่ ่อยมีใครทราบถึงหนึงในกลยทุ ธ์ สําคญั ทีฝ่ ายสัมพนั ธมิตรใชใ้ นการเอาชนะคู่ต่อสู้ขณะนนั คือ การประดิษฐค์ อมพิวเตอร์ฐานดิจิทลั เครืองแรกของโลกทีชือ “โคลอสซสั ” (Colossus) ในการเจาะรหสั ลบั ในการรบของเยอรมนั และใช้ สือสารกนั ระหวา่ งภาวะสงครามและนนั คือวาระหนา้ ทีแรกของ “สือใหม่” บนโลกใบนี (เมธาสิทธิ โลกุตรพล และพิมพชิ า อุตสาหจติ 2555) โดยมีประวตั ิความเป็ นมา คือ ในระหวา่ งทศวรรษ 1920 ชาวเยอรมนั สร้างเครืองอีนิกม่า (Enigma) ซึงเชือถือกนั วา่ รหสั เขา้ สู่ขอ้ ความของพวกตนเกียวกบั การทหารและปฏิบตั ิการลบั สุด ยอดไม่สามารถถูกถอดได้ เครืองนีมีลกั ษณะคลา้ ยเครืองพิมพด์ ีด สามารถคาํ นวณนบั ลา้ นครังได้ ภายในเศษเสียววนิ าที รหสั ลบั ควบคุมเครืองนีจะถูกเปลียนทุกวนั (ญาณิณี พจน์วบิ ูลยศ์ ิริ, ศริ ิ ลกั ษณ์ มานะวงศเ์ จริญ, พิมใจ สวาย และสมอนงค์ เฉลิมกิจ ผแู้ ปล ทอม พลิ บนิ ผแู้ ตง่ 2552)
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 221 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ภาพที 4.1 เครืองถอดรหัสอนี ิกม่า (Enigma) ทีมา: https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Enigma_(crittografia)_- _Museo_scienza_e_tecnologia_Milano.jpg หมายเหตุ: ตรวจสอบลิขสิทธิในการนาํ มาใชถ้ ูกตอ้ งเรียบร้อยแลว้ จนกระทังในช่วงต้นทศวรรษ 1930 นักคณติ ศาสตร์ชาวโปแลนด์ได้เครืองอนี ิกม่าเครืองนีมา เพือทําการถอดรหัส เพราะเขาคิดว่ามันจะมีประโยชน์ในยามถูกเยอรมนีรุกราน เขาจึงไปหาทีม นกั วทิ ยาศาสตร์และพอ่ มดทางคณิตศาสตร์ทีรวมตวั กนั ใน “เบลท็ ซ์ลียพ์ าร์ค” (Bletchley Park) นอก กรุงลอนดอน ประเทศองั กฤษ ซึงทุกคนมีเป้าหมายสําคญั คือ พยายามแกะรหัสอีนิกม่าให้ได้ จน สุดทา้ ยทีมงานนีไดพ้ ฒั นาสิงประดิษฐ์ซึงอาจถือไดว้ า่ เป็ น “คอมพิวเตอร์เครืองแรก”ของโลกชือวา่ “โคลอสซสั ” (Colossus) ทีทาํ งานดว้ ยท่อสุญญากาศ 1,500 ตวั ตลอด 24 ชวั โมง (Tom Philbin, 2005) ผูเ้ ชียวชาญเชือว่ามีการสร้างโคลอสซัสขึนมาทงั หมด 10 เครือง โดยเครืองโคลอสซัสนี กลายเป็ นความลบั สุดยอดของสงครามโลกครังทีสอง เพราะฝ่ ายสัมพนั ธมิตรสามารถทราบได้ ล่วงหนา้ ถึงการวางแผนของฝ่ ายเยอรมนั ก่อนทีจะลงมือทาํ ถือเป็ นขอ้ ไดเ้ ปรียบทางการทหารอยา่ ง ประเมินค่ามิได้ ซึงสาํ คญั ตรงทีช่วยให้ฝ่ ายสัมพนั ธมิตรตดั สินใจจะบุกขึนจุดไหนใน วนั ดีเดย์ (D- day หรือวนั ที 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944) ทงั ช่วยวางแผนเพือลวงผูน้ าํ เยอรมนั อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler ค.ศ. 1889-1945) อีกดว้ ย
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 222 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ภาพที 4.2 สิงประดษิ ฐ์ซึงถือได้ว่าเป็ น “คอมพิวเตอร์เครืองแรก” ของโลก “โคลอสซัส” (Colossus) ทีมา: https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Colossus.jpg หมายเหตุ: ตรวจสอบลิขสิทธิในการนาํ มาใชถ้ ูกตอ้ งเรียบร้อยแลว้ เมือกาลเวลาเปลียนผ่านไปตามยุคสมัย เทคโนโลยีการสือสารทีเคยใช้เฉพาะในสนามรบ ได้รับการพฒั นาเพอื นํามาใช้สําหรับการสือสารของคนในสังคมอนั เป็ นทีรู้จักกันอย่างกว้างขวางใน รูปแบบของ “สือใหม่” ทีนอกจากจะเอืออาํ นวยให้ชีวิตของคนในสังคมสะดวกสบายมากยิงขึนแลว้ ยงั เขา้ มาตอบสนองความตอ้ งการของสังคมในดา้ นการแสดงออกทางความคิดเห็นไดอ้ ีกดว้ ย สือ ใหม่จึงเขา้ มาเปลียนแปลงกระบวนการสือสารและการไหลเวียนขอ้ มูลของสังคม หักลา้ งแนวคิด ทฤษฎีการสือสารแบบเก่าทีมีลกั ษณะการไหลเวยี นของขา่ วสารในลกั ษณะบนลงล่าง ดงั เช่น ทฤษฎี เขม็ ฉีดยา (Hypodermic Needle Theory) หรือทีเรียกวา่ เป็ นทฤษฎีกระสุนวิเศษหรือกระสุนเวทมนต์ (Magic Bullet Theory) ไดถ้ ูกนาํ เสนอแนวคิดนีในช่วงปี ค.ศ. 1927 โดยฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) นักวิชาการดา้ นทฤษฎษีการสือสารชาวอเมริกนั โดยเขาได้เขียนหนังสือ “เทคนิคการ โฆษณาชวนเชือ” (Propaganda Technique in the World War) ในช่วงสงครามโลกครังที 1 เพือ พยายามเปรียบเปรยในลกั ษณะทีบอกถึงการโฆษณาชวนเชือทีดูคลา้ ยกบั การใชเ้ ข็มฉีดยาหรือใช้ กระสุนทีฉีดเขา้ เส้นเลือดหรือยงิ ลูกปื นทีเป็นขอ้ มูลข่าวสารไปยงั ผูร้ ับสารโดยตรงแต่เพียงฝ่ ายเดียว เป็ นตน้
คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 223 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ โดย “สือใหม่” ไดเ้ ขา้ มาเปลียนแปลงโครงสร้างทางการสือสารจากแนวตงั มาเป็ นแนวนอน คือ ทาํ ให้คนในสังคมจากทีเคยเป็ นเพียงแค่ผูร้ ับสาร กลบั สามารถมีโอกาสสะทอ้ นความตอ้ งการ และสามารถแสดงออกทางความคิดเห็นไดอ้ ยา่ งเทา่ เทียม รวมทงั สามารถเขา้ ไปมีส่วนร่วมในวงจร ไหลเวยี นของขอ้ มูลข่าวสารไดอ้ ยา่ งอิสระอีกดว้ ย สือใหม่ทีเขา้ มามีบทบาทต่อการเปลียนแปลงใน สังคมนันเกิดจากพฒั นาการดา้ นเทคโนโลยีการสือสาร ดังนันศกั ยภาพของสือใหม่ล้วนเป็ นผล ตามมากบั เทคโนโลยีทางการสือสารทงั สิน ซึงมีความสัมพนั ธ์ระหว่างเทคโนโลยีการสือสารกบั การเปลียนแปลงทางสังคม ตามแนวคิดเรืองเทคโนโลยีการสือสารเป็ นตัวกําหนด (Technology Determinism) มองว่าเทคโนโลยกี ารสือสารทําหน้าทีเปลียนแปลงสังคม โดยอธิบายวา่ สือทุกชนิด คือ การขยายประสบการณ์ดา้ นผสั สะของมนุษย์ (Extension of Experience) โดยเฉพาะอุปกรณ์ เครืองมือสือสารทีทนั สมยั (Gadget) ทาํ ใหอ้ ุปสรรคดา้ นเวลา รวมถึงระยะทางและสถานทีหมดลง ไป อยา่ งไรกด็ ียงั มอี ีกแนวคดิ หนึงทีมองวา่ สังคมทีเปลียนแปลงจะเป็นผเู้ ลือกเทคโนโลยกี ารสือสาร ทีเหมาะสมมาใช้ และหากเทคโนโลยที ีแพร่กระจายนนั ยากเกินกวา่ ทีคนในสังคมจะเขา้ ใจก็อาจจะ ไม่เกิดการเปลียนแปลงขึนในทนั ที แต่หากเป็ นเทคโนโลยีทีรับและแปลความหมายไดง้ ่าย ก็จะทาํ ใหก้ ารไหลของขอ้ มูลข่าวสารเป็ นไปไดอ้ ยา่ งง่ายดายทวั ถึงและสะทอ้ นวถิ ีชีวติ ของผูค้ นในยุคสมยั นนั ๆ ไดม้ ากยงิ ขึน “สือใหม่” ช่วยให้มนุษยเ์ ราเขา้ ถึงขอ้ มูลข่าวสารทีตอ้ งการไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว หลากหลายจาก ทุกสถานทีและทุกเวลา ความสนใจร่วมกนั ก่อให้เกิดการเชือมโยงกนั เป็ นชุมชน ความห่างไกล ความแตกต่างกนั ดา้ นเวลาไม่เป็ นขอ้ จาํ กดั ในการสือสารระหวา่ งกนั สือใหม่ทีหลายคนรู้จกั กนั เป็ น อยา่ งดีในยคุ นี คือ “โซเซียลมีเดีย” (Social Media) หรือ “สือสังคมออนไลน์” ซึงเป็ นเครืองมือทีนาํ ผูใ้ ชท้ ีอาศยั อยทู่ วั โลกและสนใจเรืองเดียวกนั รวมกลุ่มกนั ก่อให้เกิด “ชุมชนเสมือน” (Virtual Community) ขนาดใหญ่ โซเซียลมีเดียทีประชาชนใชก้ นั มากในสงั คมไทย ไดแ้ ก่ เฟซบุก๊ (Facebook) ไลน์ (Line) ทวิตเตอร์ (Twitter) และสือใหม่ประเภทอืน อาทิ เวบ็ ไซต์ (Website) และแอปพลิเคชนั (Application) ตา่ งๆ ซึงมีอยเู่ ป็ นจาํ นวนมากมาย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436