Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Health Communication for taking care of Physical and Mental Health...

Health Communication for taking care of Physical and Mental Health...

Published by CCDKM, 2019-03-19 04:26:27

Description: Health Communication for taking care of Physical and Mental Health between Elderly and Family Members With New Media.
- -
การสื่อสารสุขภาพเพื่อดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตระหว่างผู้สูงอายุกับสมาชิกในครอบครัวด้วยสื่อใหม่
พิมพ์ครั้งที่ 2 (2562)
- -
โดย. ผศ. ดร.ณัญนันท์ ศิริเจริญ
คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ

Keywords: Health,Communication

Search

Read the Text Version

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 24 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ สําหรับการสือสารสุขภาพในประเทศไทยนนั ส่วนใหญ่มีหลากหลายรูปแบบ แต่มกั ต่าง คนตา่ งทาํ จึงกระจดั กระจายและขาดการประสานขอ้ มูลเชือมต่อกนั ให้การขบั เคลือนเป็ นไปเกือกูล ซึงกนั และกนั หรือช่วยกนั ทาํ งานอยา่ งเป็นระบบ ดงั นนั จึงควรมีการจดั ระบบและพฒั นาองคค์ วามรู้ เรืองการสือสารสุขภาพให้เป็ นระบบทีสอดคล้องสัมพนั ธ์กันมากยิงขึน ให้เป็ นองค์ความรู้ทีมี ประสิทธิภาพและทนั ต่อกระแสความตอ้ งการและเทคโนโลยีทีพฒั นาเจริญกา้ วหน้าไปอยา่ งมาก แลว้ รวมทงั วถิ ีชีวิตของผคู้ นในสังคมทีเปลียนแปลงไปจากเดิมอยา่ งรวดเร็ว ข้อมูลจากภาพรวมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข ในบริบทตามข้อกําหนดของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2560 ทีมีขอ้ กาํ หนดของสภาขบั เคลือนการปฏิรูป ประเทศ (สปท.) ซึงมีประเด็นและขอ้ เสนอในการปฏิรูปความรอบรู้และการสือสารสุขภาพ เพราะ ประชาชนทีมีความสามารถในการดูแลสุขภาพตนเองมีจาํ นวนนอ้ ย ในขณะทีข่าวสารดา้ นสุขภาพมี เป็ นจาํ นวนมาก แตข่ าดระบบการคดั กรองและการยืนยนั ความถูกตอ้ งของขอ้ มูล ทาํ ให้ประเทศไทยมี ค่าใชจ้ า่ ยในการรักษาพยาบาลสูง จึงมีขอ้ เสนอดงั นี คือ 1) ปฏิรูปยุทธศาสตร์และกลไกในการขบั เคลือนดา้ นความรอบรู้และการสือสารขอ้ มูลดา้ น สุขภาพ 2) ปฏิรูประบบการประเมินผลโดยเนน้ ผลลพั ธ์ทีประชาชนมีความสามารถในการดูแล สุขภาพตนเองและมีพฤติกรรมสุขภาพทีพึงประสงคใ์ นทุกกลุ่มวยั 3) จดั ตงั คณะกรรมการสร้างเสริมความรอบรู้และการสือสารสุขภาพแห่งชาติ 4) กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงมหาดไทย ควรร่วมมือกนั เพือ สนบั สนุนใหเ้ กิดโรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literate School) โรงพยาบาลรอบรู้ด้าน สุขภาพ (Health Literate Hospital) และชุมชนรอบรู้ดา้ นสุขภาพ (Health Literate Communication) ทงั นี กระทรวงสาธารณสุขไดก้ าํ หนดเรืองความรอบรู้ดา้ นสุขภาพอยูใ่ นยุทธศาสตร์ 20 ปี ของกระทรวงและอยใู่ นวาระปฏิรูปเร่งด่วน (Quick win) ของกระทรวง และไดจ้ ดั ตงั ศูนยก์ ารเรียนรู้ ดา้ นสุขภาพ ณ โรงพยาบาลอาํ เภอหลายแห่ง ขณะเดียวกนั กรมอนามยั ไดว้ างแผนการขบั เคลือน ความรอบรู้ดา้ นสุขภาพไว้ 10 ปี (พ.ศ. 2560 – 2569) โดยมีเป้าหมายให้สงั คมไทยเป็นสังคมแห่ง ความรอบรู้ดา้ นสุขภาพ (Health Literate Societies) โดยใช้ 4 กลไกในการขบั เคลือนการดาํ เนินงาน ต่างๆ ทีเกียวขอ้ ง คือ

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 25 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 1) กลไกการสือสาร (Communication) 2) การพฒั นาศกั ยภาพบุคลากร (Capacity Building) 3) การสร้างความผกู พนั (Engagement) 4) การเรียนรู้แบบเสริมพลัง (Empowerment) ควบคู่กบั การกาํ กบั ติดตามอย่างเข้มขน้ (Intensive M&E) สําหรับด้านการสือสารสุขภาพทีเกียวขอ้ งในประเทศไทย มีการพฒั นาอย่างต่อเนือง เช่นเดียวกับประเทศอืนๆ โดยรูปแบบการสือสารสุขภาพเพือการให้บริการสุขภาพด้านการ รักษาพยาบาลในประเทศไทยมี 2 รูปแบบหลกั คือ ตารางที 1.5 รูปแบบการสือสารสุขภาพเพือการให้บริการสุขภาพด้านการรักษาพยาบาล ในประเทศไทยด้วยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนปัจจุบัน รูปแบบที รายละเอยี ด 1 การสือสารสุขภาพด้วยการแพทย์แผนโบราณ โดยใชว้ ธิ ีการรักษาดว้ ยการประยุกตใ์ ชส้ มุนไพรไทย ซึงแมว้ ่าจะมีผูน้ ิยมมากขึน แต่ ความนิยมยงั อยเู่ ฉพาะในกลุ่มผบู้ ริโภคชาวไทยเทา่ นนั การยอมรับอยา่ งเป็นสากลจาก นานาประเทศยงั คงอยู่ในวงจาํ กดั ถ่ายทอดความรู้อยูใ่ นพืนทีทีไม่กวา้ งขวางนกั และ ไม่ให้ความสาํ คญั กบั การทดสอบทางวิทยาศาสตร์ เพือให้เป็ นทียอมรับจากวิชาการ แพทยแ์ ผนปัจจุบนั รวมทงั มกั ไม่ให้ความสนใจกบั การพฒั นาการรักษาใหม้ ีความเป็ น สากล โดยมีงานวจิ ยั ของ เหมือนฝัน ไม่สูญผล (2557) ทีไดศ้ ึกษาเรือง “กระบวนการสือสาร สุขภาพในบริบทการแพทยแ์ ผนไทย” ผลการวิจยั พบวา่ ผูส้ ือสารสุขภาพจะมองเห็น คุณคา่ ของการแพทยแ์ ผนไทยทีแสดงออกถึงการสืบทอดพิธีกรรมการรักษาของแพทย์ แผนไทย อนั เกิดจากการสังสมประสบการณ์ในการรักษาของแพทยแ์ ผนไทยจนทาํ ให้ เกิดทกั ษะในการสือสารสุขภาพ โดยผป็ ่ วยจะตอ้ งมีความเชือในการแพทยแ์ ผนไทยจึง ทาํ ให้เกิดการยอมรับในวิธีการรักษาด้วยการแพทย์แผนไทยเพือสร้างคุณค่าของ การแพทยแ์ ผนไทย โดยการนิยามความหมายการมีสุขภาพดีของการแพทย์แผนไทย คือ การรักษาความสมดุล หลักการมีสุขภาพดีของการแพทย์แผนไทย คือ ภูมิปัญญา สุขภาพวิถีไทย และวิธีการรักษาสุขภาพของการแพทย์แผนไทย คือ วิธีการดูแล สุขภาพแบบองค์รวมและการบูรณาการสุขภาพ

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 26 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ รูปแบบที รายละเอยี ด สําหรับแนวคิดของสุขภาพแบบองค์รวม จะตงั อยูบนกฎเกณฑ์ทีว่าส่วนรวมทงั หมด ถูกสร้างขึนมาจากส่วนยอ่ ยๆ ทีสมั พนั ธเ์ กียวเนืองและพึงพาตอ่ กนั ไมส่ ามารถแยกจาก กนั ได้ ถา้ หากส่วนใดส่วนหนึงถูกทาํ ลายไป จะทาํ ให้ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งส่วนต่างๆ เสียดุลยภาพไป ซึงจะทาํ ให้ส่วนอืนๆ ถูกทาํ ลายไปดว้ ย กล่าวคือ องค์ประกอบของ ชีวติ แตล่ ะดา้ นจะเกียวเนืองและสมั พนั ธ์กบั สรรพสิงแวดลอ้ ม โดยหมอพืนบา้ นเชือวา่ สาเหตุของความเจ็บป่ วยเกิดจากสาเหตุธรรมชาติ (Natural medical System) ความไมส่ มดุลของธาตุต่างๆ ในร่างกาย ตามทฤษฎีความสมดุลของ ธาตุ (Homoral Theory) ทีมองวา่ ร่างกายประกอบดว้ ยธาตุทงั 4 คือ ดิน นาํ ลม ไฟ เมือธาตใุ นร่างกายทงั หลายเกิดการแปรปรวนก็จะทาํ ใหเ้ กิดการเจ็บป่ วยขึน (อญั ชลี อินทนนท์ 2535) 2 การสือสารสุขภาพด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน เป็ นการสื อสารสุ ขภาพและการให้บริ การดูแลสุ ขภาพในส่ วนของวิชาชีพ (Professional sector of health care) หมายถึง การปฏิบตั ิทางการแพทยท์ ีเป็นรูปแบบ วชิ าชีพมีการจดั องคก์ รทีเป็นทางการ บุคคลทีทาํ การรักษาทางการแพทยแ์ ผนปัจจุบนั มิใช่เป็ นเพียงแต่แพทยท์ วั ไปและแพทยเ์ ฉพาะทางเท่านัน แต่ยงั รวมไปถึงบุคลากร ทางดา้ นสาธารณสุขอืนๆ ดว้ ย เช่น พยาบาล ผดุงครรภ์ นกั กายภาพบาํ บดั และบุคลากร ทีประกอบวิชาชีพและไดร้ ับการรับรองโดยกฎหมาย โดยมีรูปแบบของสถานบริการ สาธารณสุ ข คือ โรงพยาบาลของรัฐและโรงพยาบาลของเอกชน รวมทัง สถานพยาบาลเอกชน การสือสารในระบบบริการดูแลสุขภาพทีดีจะช่วยทาํ ให้ผูร้ ับบริการในสถานพยาบาล สามารถดูแลสุขภาพตนเองไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง (ดวงกมล เทวพิทกั ษ์ 2561) ผใู้ ชบ้ ริการใน ระบบบริการดูแลสุขภาพ มีความคาดหวงั ในการรับบริการทีดี ดงั นนั การสือสารจึง เป็ นเครืองมือสาํ คญั ในการสือความเขา้ ใจ ข้อมลู ต่างๆ หากสือสารได้ดี มีประสิทธิภาพ นอกจากจะสามารถประสานงานต่างๆ ทําให้ระบบริการดูแลสุขภาพมีความราบรืน ผู้ป่ วยและญาติสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องหรือเลือกรับบริการได้อย่างเหมาะสม สามารถลดความวิตกกังวล ลดความกลัว สร้างสัมพันธภาพความไว้วางใจร่วมกัน สร้างบรรยากาศทดี แี ละลดช่องว่างในระบบบริการดูแลสุขภาพ ถึงแม้คณุ ภาพการ รักษาพยาบาลในสถานพยาบาลจะดมี ากขนาดไหน

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 27 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ รูปแบบที รายละเอยี ด หากการสือสารในระบบบริการดูแลสุขภาพมีความบกพร่องก็อาจทาํ ให้เกิดความ เขา้ ใจผิด เกิดอุบตั ิการณ์ไม่พึงประสงค์ เกิดความไม่สบายใจ ไม่พึงพอใจหรือรุนแรง จนกลายเป็ นความขดั แยง้ ระหวา่ งเจา้ หนา้ ทีในระบบบริการดูแลสุขภาพกบั ผรู้ ับบริการ นาํ ไปสู่ปัญหาการร้องเรียนเรืองต่างๆ ตามมาภายหลงั ได้ หากการสือสารในระบบ บริการดูแลสุขภาพดีจะทําให้ผู้รับบริการสามารถดูแลสุขภาพของตนเองและคนใกล้ ตัวได้ ช่ วยป้ องกันการติดต่อของโรคระบาดต่างๆ ได้ เป็ นการลดภาระของ สถานพยาบาล ลดต้นทุนในการบริการดูแลสุขภาพ บางกรณจี ะป้องกนั การสูญเสียจาก การบาดเจ็บหรือเสียชีวติ ได้ด้วย ขอ้ มูลทีเกียวขอ้ งกบั เรืองนี คือ ความสอดคลอ้ งของแผนปฏิรูปประเทศดา้ นสาธารณสุข กบั แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบบั ที 12 (2560 - 2579) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไดถ้ ูก ถ่ายทอดเป็ นแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบบั ที 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) ระยะ 5 ปี โดย มีประเด็นดา้ นสาธารณสุขใน 6 ยทุ ธศาสตร์ ไดแ้ ก่ 1. ยทุ ธศาสตร์การเสริมสร้างและพฒั นาศกั ยภาพทุนมนุษยโ์ ดยส่งเสริมใหค้ นไทย มีสุขภาวะทีดีตลอดช่วงชีวติ ลดปัจจยั เสียงดา้ นสุขภาพและพฒั นาระบบดูแล/สร้างสภาพแวดลอ้ มที เหมาะสมกบั สงั คมสูงวยั 2. ยทุ ธศาสตร์การสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลือมลาํ ในสังคม โดย จดั บริการดา้ นสุขภาพให้กบั ประชากรทีอยใู่ นพืนทีห่างไกล และกระจายการใหบ้ ริการสาธารณสุข ทีมีคุณภาพใหค้ รอบคลุมและทวั ถึง 3. ยทุ ธศาสตร์การสร้างความเขม้ แขง็ ทางเศรษฐกิจและแขง่ ขนั ไดอ้ ยา่ งยงั ยนื โดย พฒั นาระบบมาตรฐานสินคา้ ทีร่วมไปถึงผลิตภณั ฑเ์ สริมสุขภาพและยา พฒั นาตลาด/อุตสาหกรรม อาหารทีเป็ นอาหารเพือสุขภาพและพฒั นาศกั ยภาพบริการสุขภาพ 4. ยุทธศาสตร์การเติบโตทีเป็นมิตรกบั สิงแวดลอ้ มเพอื การพฒั นาอยา่ งยงั ยนื โดย สร้างคุณภาพสิงแวดลอ้ มทีดี ลดมลพิษและลดผลกระทบต่อสุขภาพ 5. ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความมนั คงแห่งชาติเพอื การพฒั นาประเทศ สู่ความมงั คงั และยงั ยนื โดยสร้างความร่วมมือใน/ตา่ งประเทศ ในการวางระบบเฝ้าระวงั /ป้องกนั /ควบคุมโรค/ ภยั สุขภาพ 6. ยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหวา่ งประเทศเพอื การพฒั นา เพอื ส่งเสริมใหไ้ ทยเป็ น ฐานการบริการดา้ นสุขภาพ

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 28 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ภาพรวมการปฏิรูปประเทศดา้ นสาธารณสุข บริบทตามขอ้ กาํ หนดของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2560 สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มปี ระเด็นและขอ้ เสนอทีผเู้ขียนเห็น วา่ มีความสาํ คญั ในการปฏิรูประบบสาธารณสุข ดงั นีคือ 1. การปฏริ ูประบบบริการสุขภาพ ซึงปัจจุบันมีลกั ษณะแยกส่วน ขาดความหลากหลายมีปัญหา ความเหลือมลาํ ระหว่างกองทุน อีกทงั กลไกการบนั ทึกและใช้ข้อมูลในภาพรวมทงั ภาครัฐและ เอกชนยงั มีความอ่อนแอ ประชาชนเขา้ ถึงบริการสุขภาพไดอ้ ย่างไม่ทวั ถึง ซึงมีผลโดยตรงต่อ คุณภาพบริการสุขภาพ โดยมีขอ้ เสนอ คือ (1) เปลียนฐานของระบบบริการจาก “โรงพยาบาลเป็ น ฐาน” เป็ น “พนื ทีเป็ นฐาน” กาํ หนดให้มี “คณะกรรมการสุขภาพพืนที/อาํ เภอ (District/Local Health Board)” เนน้ ระบบการพฒั นาเครือข่ายทีมีทีมผูใ้ หบ้ ริการสหวิชาชีพ (Matrix Team) และบริการเป็ น กลไกขบั เคลือนหลกั มีกลไกการเงินทีพฒั นาชุดสิทธิประโยชน์จาํ เพาะพืนที และพฒั นาระบบขอ้ มูล ทีมีการเชือมโยงทงั ระบบ รวมถึงให้มีการปฏิรูปการแพทยฉ์ ุกเฉิน ปฏิรูปความรอบรู้และสือสาร สุขภาพ เพอื ให้ครบสมบูรณ์ของระบบบริการสุขภาพ 2. การปฏริ ูประบบการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกนั ควบคุมโรค และภัยคุกคามสุขภาพเนืองจาก มีการเปลียนแปลงพฤติกรรมการใชช้ ีวติ ของความเป็นเมืองและโรคทีเกิดจากปัจจยั กาํ หนดสุขภาพ เพิมขึนอย่างรวดเร็ว แต่ยงั ขาดระบบขอ้ มูลเพือการเฝ้าระวงั ด้านการป้องกนั โรคและภยั คุกคาม สุขภาพ ขาดกลไกการมีส่วนร่วมและการบูรณาการในการจดั การเพือพฒั นาสุขภาพในระดบั พืนที และทอ้ งถิน กฎหมายและขอ้ ระเบียบบางประการยงั ไม่เอือต่อการสร้างเสริมสุขภาพและการมี สุขภาพทีดีในระดบั ชุมชน จึงมีขอ้ เสนอ คือ ยึดหลักการ “ทุกนโยบายห่วงใยสุขภาพ” (Health in All Policies Approach: HiAP) และให้ส่วนท้องถินมีบทบาทในการปฏิบัติการ โดยให้ชุมชนมีส่วน ร่วมในทุกขันตอนเพือเสริมสร้างศักยภาพการดูแลสุขภาพตนเองของชุมชน บุคคลและครอบครัว ดงั แนวทางต่างๆ ดงั นี (1) ปรับวิธีการดาํ เนินงานในทุกขนั ตอนของหน่วยงานทุกระดบั ตอ้ งใช้ กระบวนการพฒั นานโยบายสาธารณะเพือสุขภาพแบบมีส่วนร่วม (Participatory Healthy Public Policy Process:PHPPP) (2) การพฒั นากลไก “คณะกรรมการสาธารณสุขระดบั จงั หวดั ” และ “คณะกรรมการสาธารณสุขระดบั ชุมชนหรือทอ้ งถิน” เพือให้เกิดการบูรณาการทุกภาคส่วนและ เครือข่ายพนั ธมิตร (Collective Leadership) ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน ภาค ทอ้ งถิน ภาคพลเมือง ภาคประชาสังคมและภาควิชาการหรือวิชาชีพ (3) พฒั นาขีดความสามารถ (Capacity Building) ให้องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิน รวมทงั การสร้างสิงแวดลอ้ มเพือสุขภาพทีดี (Healthy Environment) (4) การพฒั นากฎหมายเพือการปฏิรูประบบงานการสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกนั และควบคุมโรคและภยั คุกคามสุขภาพ

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 29 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ข้อมูลเกียวกับการสือสาร สุขภาพเพอื การรักษาพยาบาลในดา้ นการพฒั นาคุณภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาํ บล (รพ.สต.) ประจาํ ปี 2560 เมือวนั ที 12 กนั ยายน 2560 (สํานกั ข่าว Hfocus 2560) โดยมีประเด็นสําคญั คือ กระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาสถานีอนามัยซึงเป็ นหน่วยบริการระดับปฐมภูมิอยู่ใกล้ชิด ประชาชนจาํ นวน 9,826 แห่งทวั ประเทศ ให้เป็ น รพ.สต.เน้นพฒั นาคุณภาพระบบบริการสุขภาพ และกระบวนการบริการ ตงั เป้าให้ รพ.สต.ผา่ นเกณฑค์ ุณภาพ รพ.สต.ติดดาวทุกแห่งภายใน 5 ปี ซึง หน่วยบริการปฐมภมู ิจะเป็ นกลไกสําคญั ทีจะช่วยใหป้ ระเทศไทยบรรลุเป้าหมายประชาชนสุขภาพดี เนืองจากเนน้ การส่งเสริมป้องกนั มากกวา่ รักษา ช่วยใหเ้ กิดสงั คมสุขภาพดีอยา่ งยงั ยนื โดย รพ.สต.ที ผา่ นมาตรฐาน รพ.สต. ติดดาว 5 ดาว ตอ้ งประกอบดว้ ย 5 ดี คือ 1.บริหารดี เป็ นการนาํ องคก์ รและการจดั การดี ประกอบดว้ ย ภาวะผูน้ าํ การนาํ ธรรมาภิบาล มีแผนกลยทุ ธ์ดา้ นสุขภาพ มีระบบรายงานกระบวนการทีสาํ คญั 2.ประสานงานดี ภาคีมีส่วนร่วม ใหค้ วามสาํ คญั กบั ประชากรกลุ่มเป้าหมาย ชุมชน และผมู้ ี ส่วนไดส้ ่วนเสีย ทาํ ให้ไดม้ าถึงปัญหาของชุมชน ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ฐานขอ้ มูลการบริการ ความร่วมมือ ความพงึ พอใจ 3.บุคลากรดี มีการจดั อตั รากาํ ลังดา้ นสุขภาพ สร้างความผาสุก ความพึงพอใจ มีระบบ พฒั นาการเรียนรู้ มกี ารเสริมพลงั ประชาชนและครอบครัวในการดูแลตนเอง 4.บริการดี มีการจดั บริการครอบคลุมประเภทและประชาชนทุกกลุ่มวยั จดั บริการตาม ปัญหาชุมชน ในและนอกสถานบริการ 5.ประชาชนสุขภาพดี เป็ นการประเมินผลลพั ธ์การทาํ งาน ทงั ในบทบาทของบุคคลและ ครอบครัวในการดูแลตนเอง ดว้ ยพฤติกรรม 5 อ. 2 ส. และผลลพั ธ์ตามตวั ชีวดั รวมทงั การมี นวตั กรรม งานวจิ ยั การจดั การองคค์ วามรู้ โดยในปี งบประมาณ 2560 ไดเ้ ริมดาํ เนินการเป็นปี แรก ตงั เป้าใหม้ ี รพ.สต.ทีผา่ นเกณฑ์การ พฒั นาคุณภาพ รพ.สต.ติดดาว ร้อยละ 10 ผลการดาํ เนินงาน พบวา่ รพ.สต.มีการประเมินตนเอง จาํ นวน 9,826 แห่ง ผา่ นเกณฑ์การพฒั นาคุณภาพ รพ.สต.ติดดาว ระดบั 5 ดาว จาํ นวน 1,685 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 17 จากขอ้ มูลดงั กล่าวนี ผเู้ ขียนมีความคิดเห็นวา่ โรงพยาบาลของรัฐเริมจะมีการพฒั นาคุณภาพ การใหบ้ ริการต่างๆ มากขึน แต่เมือพิจารณาจากจาํ นวนสถิติร้อยละโดยรวมแลว้ สามารถวิเคราะห์ ไดว้ า่ ยงั มีจาํ นวนสดั ส่วนไม่เพียงพอตอ่ การรองรับจาํ นวนสดั ส่วนของประชาชนทีมีมากกวา่

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 30 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ สําหรับในส่วนของโรงพยาบาลของเอกชนนัน นายภุชพงค์ โนดไธสง ผูอ้ าํ นวยการ สํานักงานสถิติแห่งชาติ เปิ ดเผยผลการสํารวจโรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชน พ.ศ.2560 (สาํ นกั งานสถิติแห่งชาติ 2561) พบวา่ จาํ นวนโรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนทวั ประเทศมี ทงั หมดรวม 347 แห่ง แบง่ ไดด้ งั นี 1) เป็ นโรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนทีมีขนาดน้อยกว่า 31 เตียง มีจาํ นวน 83 แห่ง หรือร้อยละ 23.9 2) ขนาด 31-50 เตียง มีจาํ นวน 46 แห่ง หรือร้อยละ 13.3 3) ขนาด 51 -100 เตียง มีจาํ นวน 100 แห่ง หรือร้อยละ 28.8 4) ขนาดมากกวา่ 100 เตียง มีจาํ นวน 118 แห่ง หรือร้อยละ 34.0 ของจาํ นวน โรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนทงั หมด ผูป้ ่ วยทีเขา้ มารับการรักษาในโรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนทวั ประเทศทงั สินมี จาํ นวน 61.64 ล้านราย เป็ นผูร้ ับบริการผูป้ ่ วยนอก 58.84 ลา้ นราย หรือร้อยละ 95.5 และเป็ น ผูร้ ับบริการผูป้ ่ วยใน 2.80 ลา้ นราย หรือร้อยละ 4.5 สําหรับจาํ นวนผปู้ ่ วยโดยเฉลียต่อกิจการ มี ประมาณ 177,642 รายต่อกิจการ ในจาํ นวนนีเป็นผปู้ ่ วยนอก 169,562 รายต่อกิจการและผปู้ ่ วยใน 8,080 รายต่อกิจการ ผูป้ ่ วยชาวต่างประเทศทีเขา้ มารับบริการ มีจาํ นวนทงั สิน 4.23 ลา้ นราย ใน จาํ นวนนีเป็ นผมู้ ารับบริการทีเป็ นผูป้ ่ วยนอกชาวต่างประเทศ ร้อยละ 95.6 และผูม้ ารับบริการเป็ น ผปู้ ่ วยในชาวต่างประเทศร้อยละ 4.4 สําหรับจาํ นวนบุคลากรทีทาํ งานในโรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชนรวมทงั สิน 179,966 คน ส่วนใหญเ่ ป็ นเจา้ หนา้ ทีรักษาพยาบาล คือ 109,920 คน หรือร้อยละ 61.1 เป็ นเจา้ หนา้ ทีบริการโรงพยาบาล 41,033 คน หรือร้อยละ 22.8 เป็ นเจา้ หนา้ ทีบริการทางการแพทย์ 18,450 คน หรือร้อยละ 10.2 และเป็นเจา้ หนา้ ทีระดบั บริหาร 10,563 คน หรือร้อยละ 5.7 ในด้านผลการดําเนินกิจการในปี 2559 พบว่า การดาํ เนินกิจการในโรงพยาบาลและ สถานพยาบาลเอกชนก่อให้เกิดมูลค่าเพิมในระบบเศรษฐกิจของประเทศถึง 99,427.0 ลา้ นบาท ซึง มาจากมูลค่ารายรับจากการดาํ เนินกิจการ 234,327.2 ลา้ นบาท หกั ดว้ ยค่าใช้จ่ายขนั กลางในการ ดาํ เนินการ 134,900.2 ลา้ นบาท โดยส่วนมากโรงพยาบาลเอกชนทีมีศกั ยภาพมกั จะอยตู่ งั อยใู่ นพืนทีกรุงเทพฯ และจงั หวดั ทีมีขนาดใหญ่ของแต่ละภาค เช่น เชียงใหม่ นครราชสีมา นครศรีธรรมราช โดยพบข้อมูลว่า มากกวา่ ร้อยละ 60 ของโรงพยาบาลเอกชน ทีมีจาํ นวนเตียงมากทีสุด 10 อนั ดบั แรก จะเกาะกลุ่มอยู่ ในพืนทีกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล ส่วนโรงพยาบาลทีมีขนาดเล็ก และมีจาํ นวนเตียงผูป้ ่ วยน้อย

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 31 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ มกั จะตงั อยใู่ นเขตพืนทีจงั หวดั ซึงอยูห่ ่างไกลจากกรุงเทพฯ ดงั นนั การทีประชาชนจะได้รับบริการ ทางดา้ นสาธารณสุขหรือการดูแลป้องกนั รักษาทีมีคุณภาพตามเกณฑม์ าตรฐานตวั ชีวดั คงเป็นไปได้ ยากมาก เพราะสถานบริการสาธารณสุข อย่างเช่นโรงพยาบาลทงั ของรัฐและเอกชนต่างๆ ยงั คงมี จาํ นวนไม่เพียงพอต่อความตอ้ งการ ไม่ครอบคลุมทวั ถึงต่อจาํ นวนประชาชนส่วนใหญ่ของทงั ประเทศ ในประเดน็ นีจึงสามารถตังข้อสังเกตได้ว่าความเจริญในด้านต่างๆ รวมถึงด้านสาธารณสุข ยงั คงกระจุกตัวอยู่ในจังหวดั ทีมีความสําคัญทางเศรษฐกจิ ของแต่ละภาคและในเขตกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล เมือพจิ ารณาจาํ นวนแพทยท์ วั ราชอาณาจกั ร และอตั ราส่วนจาํ นวนประชากรต่อแพทย์ 1 คน ในช่วงหลายทศวรรษทีผ่านมาแล้ว จะพบว่าประเทศไทยมีบุคลากรทางการแพทยท์ ีเข้าถึง ประชาชนไดม้ ากขึน แต่ผลก็ยงั คงปรากฏวา่ แพทยส์ ่วนใหญ่มกั จะให้บริการในเขตกรุงเทพฯ และ จงั หวดั ทีมีความสําคญั ทางเศรษฐกิจในแต่ละภาคมากกว่าทีจะกระจายอยูใ่ นพืนทีห่างไกลซึงใน เรืองนีตอ้ งพงึ พาอาํ นาจจากภาครัฐในการบริหารทรพั ยากรสาธารณสุขต่อไป ด้วยสาเหตุสําคญั ทีส่งผลกระทบต่อการดูแลรักษาสุขภาพของประชาชน ดงั ข้อมูลทนี าํ เสนอมาดงั กล่าว จึงต้องตระหนักและมองให้เห็นถึงความจําเป็ นของการดูแลสุขภาพตนเองและสมาชิกใน ครอบครัวทังด้านการป้องกัน แก้ไข การฟื นฟูสุขภาพ ซึงต้องให้ความสําคัญกับศักยภาพของ ครอบครัว ทีจะใชเ้ ป็ นศูนยก์ ลางในการสือสารสุขภาพเพือใชเ้ ป็นเกราะป้องกนั ทีสาํ คญั ของแต่ละ บุคคล คือ ทงั วยั เด็ก วยั รุ่น วยั ผูใ้ หญ่ วยั ผูส้ ูงอายุเพราะการเอาใจใส่ซึงกนั และกนั ของสมาชิกใน ครอบครัวเดียวกนั หรือเป็นญาติกากนั ในทุกๆ วนั เป็นประจาํ และสมาํ เสมอ จะช่วยใหเ้ กิดพลงั ใจใน การดูแลรักษาสุขภาพของตนเองทีดีมากยิงขึน โดยไม่ละเลยทีจะเลือกรับประทานอาหารทีมี ประโยชน์ ลดความเสียงจากอาหารทีไม่ดีต่อสุขภาพ มีกาํ ลงั ใจในการหมนั ออกกาํ ลงั กายเป็ นประจาํ เพือช่วยให้ร่างกายแข็งแรงมากขึน เพราะเมือสุขภาพกายและสุขภาพจิตอยู่ในสภาวะทีดีแลว้ คุณภาพชีวติ หรือความผาสุกในการใชช้ ีวติ ในแต่ละวนั ก็จะดีตามไปดว้ ยทงั ผูส้ ูงอายแุ ละสมาชิกใน ครอบครวั ทุกคน

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 32 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ปัจจุบนั นีประเทศไทยไดเ้ ป็นสังคมผูส้ ูงอายแุ ลว้ ตงั แต่ปี 2550 คือ มีผสู้ ูงอายุมากกวา่ ร้อย ละ 10 ตามเกณฑ์ขององคก์ ารสหประชาชาติ โดยใช้อายตุ ามปี ปฏิทินที 60 ปี บริบูรณ์ขึนไปเป็ น นิยามทีเป็ นทางการของ “ผูส้ ูงอายุ” ตามพระราชบญั ญตั ิผูส้ ูงอายุ ฉบบั ปัจจุบัน พ.ศ. 2546 (กระทรวงพฒั นาสังคมและความมนั คงของมนุษย์ 2553) ในปี พ.ศ. 2550 ประเทศไทย มีประชากร สูงอายุ 60 ปี ขึนไป คิดเป็ นร้อยละ 10.7 และจากการฉายภาพประชากร พบวา่ สดั ส่วนของประชากร สูงอายจุ ะเพมิ ขึนอยา่ งตอ่ เนือง โดยเพมิ เป็น ร้อยละ 20.5 ในปี 2565 และ ร้อยละ 32.1 ในปี 2583 ทาํ ให้เกิดขอ้ กงั วลในเรืองการขาดแคลนแรงงาน เนืองจากในขณะทีประชากรวยั สูงอายสุ ูงขึนอย่าง ต่อเนือง ในทางกลับกนั ประชากรในวยั แรงงานก็ลดลงอย่างต่อเนือง (สํานกั งานคณะกรรมการ พฒั นาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 2556) ผสู้ ูงอายุ คือ บุคคลซึงมีอายเุ กินหกสิบปี บริบูรณ์ขึนไป ความหมายของการเป็ นผูส้ ูงอายยุ งั สามารถอธิบายโดยทฤษฎีประกอบทางสังคมภายใตม้ โนทศั น์เกียวกบั การสร้าง “ภาพแทนความ จริง” วา่ ภาพลกั ษณ์ของผสู้ ูงอายทุ ีถูกรับรู้และเขา้ ใจนนั เกิดจากการสร้างภาพขึนในแต่ละสังคม แต่ ละวฒั นธรรม และแตล่ ะช่วงเวลา ซึงเป็นเพียงความจริงบางส่วน ในสังคมสมัยใหม่ ภาพลักษณ์ของ ผู้สูงอายุทีปรากฏมักถูกนําเสนอในด้านลบ ซึงนําไปสู่การเลือกปฏิบัติอันเนืองมาจากอายุหรือ “วยาคติ” (Ageism) ซึงหมายถึง ทศั นคติเชิงลบทีมีต่อคนวัยใดวัยหนึง โดยทัวไป “วยาคติ” จะ ใชก้ บั ผสู้ ูงวยั เนืองจากสภาพร่างกายทีเสือมถอยตามวยั มีสุขภาพทีไม่เออื ตอ่ การทาํ งาน ทาํ ให้ไม่ได้ ทาํ งานเชิงเศรษฐกิจหรือถา้ ทาํ งานก็ให้ผลผลิตตาํ ยิงมีอายุสูงขึนก็ยิงมีความเสียงต่อการเป็ นโรค ต่างๆ มากขึน จึงถูกมองวา่ เป็นผทู้ ีตอ้ งการช่วยเหลือจากสังคมและภาครัฐ ซึงแนวคิดอคติต่อผู้สูงวยั นีเป็ นมุมมองแบบเหมารวม นําไปสู่การเลือกปฏิบัติด้าน อายุ ในขณะทีสถานการณ์อคติตอ่ ผสู้ ูงวยั เช่นนี ยงั คงมีปรากฏใหเ้ ห็นอยใู่ นสังคมไทย นอกจากนียงั พบวา่ ผูส้ ูงวยั ส่วนใหญ่ยงั มีอคติต่อตวั เอง เช่น มองวา่ เป็ นภาระของบุตรหลานหรือครอบครัว เป็ น คนน่าเบือ หวั ดือ ไมอ่ ดทน ขีหงุดหงิด หรือคิดชา้ เรียนรู้สิงใหม่ๆ ไดย้ าก ตามโลกไม่ทนั (กมลชนก ขาํ สุวรรณ 2555) ดงั นนั จึงควรมีการเปลียนทศั นคติของสังคมทีมีตอ่ ผูส้ ูงอายใุ ห้เป็ นเชิงบวกมาก ขึน โดยการสนบั สนุนผูส้ ูงอายุในการดูแลสุขภาพตนเอง ตลอดจนการมีส่วนร่วมในสังคม การ ปฏิบตั ิตนของผูส้ ูงอายเุ องจะเป็นประเดน็ สาํ คญั ทีทาํ ใหส้ งั คมยอมรับในคุณคา่ ของผสู้ ูงอายมุ ากขึน

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 33 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ โดยปัจจัยต่างๆ ทีเป็ นส่ วนสําคัญในการชีให้เห็นถึงความสําคัญของการสือสารสุขภาพ ระหว่างผู้สูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว สรุปขอบเขตของปัจจัยทสี ําคญั ได้ดังนี 1) ปัจจยั ทีสืบเนืองมาจากการเปลียนแปลงโครงสร้างประชากรทีเขา้ สู่สังคมผสู้ ูงอายุ 2) ปัจจยั ดา้ นการเปลียนแปลงของรูปแบบครอบครัวทีส่งผลกระทบตอ่ ผสู้ ูงอายุ 3) ปัจจยั ทีสภาวะความเปลียนแปลงดา้ นร่างกายและจิตใจของผสู้ ูงอายุ 4) ปัจจยั ด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขทีมีความจาํ เป็ นต้องเปลียนกระบวนทศั น์มาสู่ “การสร้างนาํ ซ่อม” การสือสารสุขภาพระหว่างผูส้ ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว จะเป็ นกลไกสําคญั ช่วย แกป้ ัญหาต่างๆ เหล่านีไดอ้ ยา่ งเป็ นรูปธรรมมากยงิ ขึน โดยมีประเดน็ รายละเอียดทีน่าสนใจ ดงั นี 1) ปัจจยั ทีสืบเนืองมาจากการเปลยี นแปลงโครงสร้างประชากร ทีเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ปัจจัยข้อนีสืบเนืองมาจากข้อมูลสําคัญของรายงานสถานการณ์ประชากรไทย ปี 2561 จาก กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA: The United Nations Population Fund ) ก่อตงั ขึน เมือ พ.ศ. 2510ในฐานะองค์กรหลักของสหประชาชาติทีทาํ หน้าทีส่งเสริมการดําเนินงานด้าน ประชากรและการวางแผนครอบครัว ไดด้ าํ เนินงานในกวา่ 150 ประเทศทวั ทุกภูมิภาค และเริม ดาํ เนินการในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2514 โดยมุ่งเน้นเรืองการวางแผน ครอบครัว ดาํ เนินการ ภายใตก้ รอบ International Conference of Population Development (ICPD) และแผนพฒั นา เศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติของประเทศไทยฉบบั ที 12 ทีมุ่งเนน้ เรืองการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ การแก้ปัญหาความเหลือมลาํ และการพฒั นาอย่างยงั ยืน (กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) 2560) โดย UNFPA ได้นําเสนอข้อมูลการเปลียนแปลงทางโครงสร้างประชากรไทยใน ภาพรวม ได้แก่ “พ.ศ. 2558: โฉมหน้าครอบครัวไทยยุคเกิดน้อย อายุยืน” ประเทศไทยเขา้ สู่ สถานการณ์สังคมสูงวยั เด็กเกิดน้อยและวยั แรงงานมีแนวโน้มลดลง เพราะสังคมยุคใหม่ตอ้ ง เผชิญหน้ากบั ช่วงเวลาเปลียนผ่านของประเทศจากจาํ นวนประชากรวยั เด็กลดลงและประชากร สูงอายเุ พิมมากขึน การเปลียนแปลงดงั กล่าวยอ่ มส่งผลตอ่ การเปลียนแปลงของโครงสร้างประชากร พลวตั ประชากร และลกั ษณะของประชากรตามไปดว้ ย อีกทงั ยงั ส่งผลกระทบต่อการปรับเปลียน ของสงั คมอีกดว้ ย เช่น ภาครัฐตอ้ งใชง้ บประมาณเพิมมากขึนเพือจดั สรรสิงอาํ นวยความสะดวกใน การดาํ รงชีวติ ใหแ้ ก่ผสู้ ูงอายมุ ากขึน เป็นตน้

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 34 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ เมือพิจารณาปรากฏการณ์ของสังคมโลกในยุคปัจจุบันนี จะเห็นได้ว่าทุกหน่วยงานทุก องค์กรทีมีภาระหน้าทีเกียวข้องกบั การดูแลสุขภาพผู้คน จะมุ่งเน้นให้ความสําคัญกับการสือสาร สุขภาพไปที “กลุ่มผู้สูงอายุ” มากขึน ทงั นีเนืองจากการทีทีจาํ นวนสัดส่วนประชากรเป็ นกลุ่ม ผูส้ ูงอายุเพิมจาํ นวนมากขึนและสัดส่วนของประชากรกลุ่มวยั รุ่นวยั แรงงานมีจาํ นวนลดนอ้ ยลงทวั โลก ซึงหมายรวมถึงประเทศไทยทีตกอยใู่ นภาวะนีเช่นเดียวกนั มูลนิธิสถาบนั วิจยั และพฒั นาผูส้ ูงอายุในไทย (มส.ผส.) และสถาบนั วิจยั ประชากรและ สงั คม มหาวทิ ยาลยั มหิดล (2558) ไดน้ าํ เสนอขอ้ มูลโครงสร้างอายขุ องประชากรไทยทีเปลียนแปลง ไปอยา่ งรวดเร็ว จากทีเคยเยาวว์ ยั ในอดีตไดก้ ลายเป็นประชากรสูงวยั ในปี 2557 ประชากรสูงวยั ทีมี อายุ 60 ปี ขึนไป มีจาํ นวนมากถึง 10 ลา้ นคนหรือคิดเป็นร้อยละ 15 ของประชากรทงั หมด การเพิม จาํ นวนสัดส่วนของกลุ่มผูส้ ูงอายุในสังคมไทยทีนบั วนั จะมากยิงๆ ขึนไป จากการคาดการณ์ของ สหประชาชาติ จาํ นวนผสู้ ูงอายขุ องประเทศไทยจะมีจาํ นวนมากกว่า 10 ลา้ นคน หรือประมาณร้อย ละ 16 ในปี 2558 และจะมจี าํ นวนมากกวา่ 15 ลา้ นคน หรือประมาณร้อยละ 23 ในปี 2568 (ศุภเจตน์ จนั ทร์สาส์น 14 เมษายน 2557) ซึงจะส่งผลกระทบตอ่ ระบบเศรษฐกิจสงั คมอยา่ งแน่นอน โดยเฉพาะผลกระทบเกียวกบั สุขภาพของผสู้ ูงอายทุ ีนบั วนั จะเสือมถอยลง จึงตอ้ งมีการดูแล เอาใจใส่ให้มากขึนทงั จากตัวผูส้ ูงอายุเองและจากลูกหลานทีเป็ นสมาชิกในครอบครัว ดังนัน “การสือสารสุขภาพระหว่างผู้สูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว” จงึ กลายเป็ นประเด็นสําคัญมากในยุค แห่งการค้าเสรี โลกแห่งทุนนิยมทีทุกคนตอ้ งดินรนขนขวายในการทาํ งานหามรุ่งหามคาํ ไม่ค่อยมี เวลาในการใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองและผูอ้ ืนมากนกั ในเกือบทุกวนั ของชีวติ คนในเมือง ส่วนใหญ่ จะต้องพบกับสภาพการจราจรทีหนาแน่น ส่งผลต่อการเดินทางไปมาหาสู่ซึงกนั และกันแบบ เผชิญหนา้ ไม่ค่อยสะดวก การไดร้ ับมลภาวะจากควนั พิษของท่อไปเสีย จากโรงงานอุตสาหกรรม จากฝ่ นุ ละอองตามทอ้ งถนน ขยะมลู ฝอย สิงปฏิกลู ตา่ งๆ ซึงมาจากแหล่งผลิตสารพิษรอบตวั รวมทงั จากนาํ มือมนุษยด์ ว้ ยกนั เอง ทีส่งผลกระทบตอ่ สุขภาพของทุกคน ทาํ ใหเ้ กิดอาการเจบ็ ป่ วยจากโรค ร้ายตา่ งๆ อยา่ งไม่มีทางหลีกหนีไดม้ ากนกั ขอ้ มูลจากโครงการพฒั นางานส่งเสริมสุขภาพจิตและปัญหาสุขภาพจิตวยั สูงอายุ ได้ นาํ เสนอรายงานปัญหาสุขภาพทีสําคญั ของผูส้ ูงอายุสาํ หรับประชากรไทยกลุ่มอายุ 60 ปี ขึนไป จาก สํานักงานพฒั นานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข ในบทสรุปแผนงาน ส่งเสริมสุขภาพและป้องกนั โรค กลุ่มผสู้ ูงอายุ พ.ศ. 2557 (PP Flagship-2557 กระทรวงสาธารณสุข) พบวา่ ภยั คุกคามดา้ นการดูแลผสู้ ูงอายใุ นปัจจุบนั ประกอบดว้ ย ปัญหาระบบการดูแลรักษาผสู้ ูงอายุ ยงั ไม่แตกตา่ งจากกลุ่มอายุอืน คือ มุ่งเน้นการรักษาโรค (Disease Management) มากกว่าการรักษา แบบ Case Management ปัญหามาตรฐานระบบและรูปแบบในการดูแลผูส้ ูงอายุ ปัญหาขาด

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 35 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ บุคลากรทีมีองคค์ วามรู้และทกั ษะในการดูแลรักษาผสู้ ูงอายุ ปัญหารูปแบบของบริการสาธารณสุข ในอนาคตเพอื รองรับสงั คมผสู้ ูงอายุ สาํ หรับชะลอการเสือมของร่างกายและจิตใจ โดยปัญหาสุขภาพจิตทีพบเป็ นจํานวนมากในผู้สูงอายุ 5 อนั ดับแรก มดี ังนี ตารางที 1.6 แสดงอนั ดับปัญหาสุขภาพจิตในผู้สูงอายุ อนั ดบั ที ปัญหาสุขภาพจติ ในผ้สู ูงอายุ 1. ความวติ กกงั วล 2. ความซึมเศร้า 3.. นอนไม่หลบั 4. ภาวะสมองเสือม 5. ปัญหาเรืองเพศ ดงั นันจึงถึงเวลาแล้วทเี ราทกุ คนจะให้ความใส่ใจในสุขภาพของผู้สูงอายแุ ละใส่ใจซึงกนั และ กนั ระหว่างสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะผูส้ ูงอายซุ ึงมีความเสียงในการเกิดอาการเจ็บป่ วยไดง้ ่าย กวา่ กลุ่มวยั รุ่นและวยั ผใู้ หญ่ในครอบครัว โดยแนวโนม้ สถานการณ์ผูส้ ูงอายุของประเทศไทยใน อนาคตนนั มีแต่นบั วนั จะเพิมจาํ นวนสดั ส่วนมากขึนอยา่ งแน่นอน เนืองดว้ ยจาํ นวนเด็กเกิดใหม่มี จาํ นวนลดลงอยา่ งรวดเร็วและอายุของคนไทยยืนยาวขึนจากการพฒั นาทางดา้ นสาธารณสุข การ ดูแลป้องกนั และรักษาอาการเจบ็ ป่ วยทีมีประสิทธิภาพเพิมมากขึน ส่งผลให้ประชากรไทยมีชีวิตอยู่ กบั ลูกหลานญาตกิ าไดย้ าวนานขึน ทาํ ใหป้ ระชากรสูงอายมุ ีจาํ นวนมากขึนอยา่ งรวดเร็วและต่อเนือง แตส่ ัดส่วนของประชากรวยั เด็กกลบั มีจาํ นวนลดนอ้ ยลงเรือยๆ จากการคาดประมาณดว้ ยวธิ ีการทาง ประชากรศาสตร์ไดแ้ สดงใหเ้ ห็นแนวโนม้ เป็นตวั เลขชดั เจนในเรืองการสูงวยั ของประชากรไทยใน อนาคต เมือภาวะสูงวยั ของประชากรปรากฏเป็นประเด็นทีจะมีผลกระทบต่อการพฒั นาคุณภาพชีวิต ทีดีและความผาสุกของผูส้ ูงอายุและสมาชิกในครอบครัว รวมทงั ส่งผลกระทบต่อการพฒั นา เศรษฐกิจและสังคมของประเทศอีกดว้ ย จึงเกิดความจาํ เป็ นทีจะตอ้ งมีการศึกษาวิจยั และรวบรวม ขอ้ มูลทีเป็ นองคค์ วามรู้ใหม่ในเรืองนีอยา่ งจริงจงั โดยสํานักงานคณะกรรมการวจิ ัยแห่งชาติได้กําหนดให้การสูงวัยของประชากรเป็ นหนึงใน ประเด็นการวิจัยสําคัญ เริมตังแต่ปี พ.ศ. 2550 เป็ นต้นมา และมีนโยบายชดั เจนทีส่งผลให้นกั วจิ ยั ในสาขาวชิ าต่างๆ ตืนตวั กนั มากในการวิจยั ดา้ นผสู้ ูงอายุ สิงสําคญั คือ ตอ้ งส่งเสริมใหท้ าํ การวจิ ยั

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 36 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ประเภทมุ่งเป้าเกียวกบั ผูส้ ูงอายุในหลายๆ ดา้ น ทงั ด้านการแพทย์ สาธารณสุข เศรษฐกิจสังคม ภูมิปัญญาผูส้ ูงอายุ ผลิตภณั ฑส์ าํ หรับผสู้ ูงอายุ การออกแบบอาคารสถานทีทีเอือตอ่ การใชช้ ีวิตของ ผูส้ ูงอายุ การสร้างสือรูปแบบการดูแลผูส้ ูงอายุในพืนทีต่างๆ รวมทังประเด็นทีผู้เขียนสนใจศึกษา คือ วิธีการสือสารผ่านสือใหม่ทีเป็ นนวัตกรรมการสือสารสําคัญในยุคปัจจุบันนี เพราะนับได้ว่า กลายเป็ นปัจจัยสําคัญส่ วนหนึงในการดําเนินชีวิตของผู้คนทุกเพศทุกวัยในโลกยุคดิจิทัลไปแล้ว ได้แก่ การใช้โซเชียลมีเดียหรือสือสังคมออนไลน์ เช่น โปรแกรมไลน์ เฟซบุ๊ก เว็บไซต์ ผ่าน อุปกรณ์โทรศพั ทม์ ือถือ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล คอมพิวเตอร์พกพา เป็นตน้ ดงั นนั การศึกษาวิจยั เพือให้มีขอ้ มูลความรู้และความเขา้ ใจในบริบทตา่ งๆ ในการสูงวยั ของประชากรจึงเป็ นเรืองจาํ เป็ น และเร่งด่วนอยา่ งยงิ รายงานการวจิ ยั ของสถาบันประชากรศึกษาของฝรังเศสคาดว่า ประชากรบนโลก จะเพมิ เป็ น 10,000-11,000 ล้านคน ภายในปี พ.ศ. 2643 ซึงสอดคลอ้ งกบั การคาดการณ์ของ องคก์ ารสหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลกและสถาบนั ทีสําคญั ของโลกแห่งอืนๆ โดยผลการวิจยั ของ UN ทีผ่านมาระบุวา่ ประชากรโลกจะเพิมเป็ น 9,600 ลา้ นคนในปี พ.ศ. 2593 และจาํ นวน ประชากรทีมีอายุ 60 ปี ขึนไปจะเพิมจาก 841 ลา้ นคนในปัจจุบนั เป็ น 2,000 ลา้ นคนในปี พ.ศ. 2593 และเพิมเป็ นเกือบ 3,000 ลา้ นคนในปี พ.ศ. 2643 สถาบนั ประชากรศึกษาของฝรังเศสระบุวา่ ภูมิภาคแอฟริกาจะเป็ นทีอยขู่ องประชากร 1 ใน 4 ของประชากรทงั หมดบนโลกในปี พ.ศ. 2593 โดยจะมีประชากร 2,500 ลา้ นคน เพิมขึนกวา่ 2 เท่าจากปัจจุบนั ทีมีประชากรอยู่ 1,100 ลา้ นคน เนืองจากอตั ราการเกิดของประชากรในแอฟริกาอยทู่ ีราว 4.8 คนต่อผหู้ ญิง 1 คน ซึงสูงกวา่ คา่ เฉลีย ทวั โลกซึงอยทู่ ี 2.5 คน ขณะทีภมู ิภาคอเมริกาจะมีประชากรทะลุ 1,000 ลา้ นคนในปี พ.ศ. 2593 โดย จะมีประชากรเพมิ เป็ น 1,200 ลา้ นคน จากปัจจุบนั ทีมีอยู่ 958 ลา้ นคน ส่วนประชากรในภูมิภาคเอเชียจะเพมิ ขึนจาก 4,300 ล้านคน เป็ น 5,200 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2593 ปัจจุบนั ประเทศทีมีประชากรมากทีสุดในโลกไดแ้ ก่ จีนซึงมีประชากร 1,300 ลา้ นคน อินเดียซึงมีประชากร 1,200 ลา้ นคน สหรัฐซึงมีประชากร 316.2 ลา้ นคน อินโดนีเซียซึงมี ประชากร 248.5 ลา้ นคน และบราซิล 195.5 ลา้ นคน ตามลาํ ดบั (สาํ นกั ข่าวไทย 2556) แตค่ าดวา่ ในปี พ.ศ. 2593 อินเดียจะครองตาํ แหน่งประเทศทีมีประชากรมากทีสุดในโลกด้วยจาํ นวนประชากร 1,600 ลา้ นคน ตามดว้ ยจีนทีมีประชากร 1,300 ลา้ นคน นอกจากนี ยงั คาดวา่ ไนจีเรียซึงเป็นประเทศ ทีมีประชากรมากทีสุดในภูมภิ าคแอฟริกา จะมีประชากรถึง 444 ลา้ นคน มากกวา่ สหรัฐทีคาดวา่ จะมี ประชากร 400 ลา้ นคนในปี พ.ศ. 2593 โดยในปี พ.ศ. 2556 จาํ นวนประชากรโลกทังหมดราว 7,100

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 37 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ล้านคน เป็ นประชากรทมี ีอายุ 60 ปี ขึนไป คดิ เป็ นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 12 ทําให้เรียกได้ว่า โลกของ เราได้กลายเป็ นสังคมสูงอายุไปแล้ว สําหรับประเทศไทย มีสัดส่วนประชากรผูส้ ูงอายเุ มือวดั โดยอตั ราส่วนร้อยละของประชากร อายุ 60 ปี ขึนไปต่อประชากรทงั หมด จะพบวา่ จาํ นวนผูส้ ูงอายขุ องประชากรไทยอย่ทู ี ร้อยละ 14 สูงกวา่ ค่าเฉลียของประชากรทวั โลก ซึงอยทู่ ีร้อยละ 12 และสูงกว่าของประเทศกาํ ลงั พฒั นาซึงอยทู่ ี ร้อยละ 9 ขอ้ สังเกตสําคญั คือ ประเทศไทยกาํ ลงั จะมีจาํ นวนผูท้ ีอายุสูงขึนใกลจ้ ะทนั กบั ประเทศ พฒั นาแลว้ ซึงอย่ทู ีร้อยละ 22.5 ทงั นีเพราะในช่วงเวลา 40 ปี ทีผา่ นมา ผูห้ ญิงไทยมีจาํ นวนบุตร นอ้ ยลงอยา่ งมาก อตั ราเจริญพนั ธุ์รวมหรือจาํ นวนบุตรเฉลียทีผหู้ ญิงคนหนึงจะมีตลอดวยั ของการมี บุตรของตน ไดล้ ดลงจากบตุ รเฉลียมากกวา่ 5 คน เมือ 40 ปี ก่อนเหลือเพียง 1.6 คน ในปัจจุบนั อตั รา การเกิดซึงเคยสูงกวา่ 40 ต่อประชากร 1,000 คน ลดลงเหลือเพียงประมาณ 12 ในปี 2556 ในขณะ ทีอายขุ องคนไทยไดย้ นื ยาวขึนอยา่ งมาก จากทีเคยมีอายคุ าดเฉลียตงั แต่แรกเกิดไม่ถึง 60 ปี เมือ 40 ปี ก่อน ก็ยนื ยาวขึนถึง 74 ปี ในช่วงเวลาปัจจุบนั ในปี พ.ศ. 2576 คาดว่าประเทศไทยจะมีประชากรอายุ 60 ปี ขึนไป มาก ถึง 18.7 ล้านคน หรือคดิ เป็ นร้อยละ 29 ของประชากรทังหมด ในขณะเดียวกนั นนั สัดส่วนประชากรวยั เด็กอายุตาํ กวา่ 15 ปี ก็จะลดลงเรือยๆ จากทีมีอยรู่ ้อยละ 19 ในปี พ.ศ. 2556 จะ ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 14 ของประชากรทงั หมดในปี พ.ศ. 2576 จึงกล่าวไดว้ า่ ประเทศไทยจะ กลายเป็ น “สังคมผู้สูงอายุ” ระดบั สมบูรณ์ เมือมีประชากรสูงอายุ 60 ปี ขึนไปมากถึงหนึงในสีของ ประชากรทงั หมด คือ มีแนวโนม้ เขา้ สู่ “สังคมสูงอายุ” เช่นเดียวกบั ประเทศต่างๆ ทวั โลก โดย ประชากรผูส้ ูงอายุไทยจะเพิมในอตั ราทีสูงขึนเรือยๆ เช่น ในปี พ.ศ. 2558 จะมีสัดส่วนผูส้ ูงอายุ ร้อยละ 15.6 จนถึงปี พ.ศ. 2568 จะเพิมขึนถึงร้อยละ 21.5 ประกอบกบั การสาธารณสุขทีพฒั นา กา้ วหนา้ ไปมาก ส่งผลใหผ้ คู้ นมีอายเุ ฉลียยนื ยาวขึน 8.8 ปี โดยผชู้ ายมีอายเุ ฉลียที 71.8 ปี และผูห้ ญิง มีอายุเฉลียที 80.6 ปี จึงส่งผลใหป้ ระเทศไทยกา้ วเขา้ สู่การเป็ น “สังคมผูส้ ูงอายุหรือสังคมสูงอายุ” เตม็ ตวั (เกรียงศกั ดิ เจริญวงศศ์ กั ดิ 2551) คาสปาร์ พีค, วาสนา อมิ เอม และรัตนาภรณ์ ตังธนเศรษฐ์ (2558) ได้นําเสนอข้อมูลไว้ใน “รายงานสถานการณ์ประชากรไทย พ.ศ. 2558 โฉมหน้าครอบครัวไทย ยุคเกิดน้อย อายุยืน” ดงั นี …ในดา้ นประชากร ประเทศไทยไดก้ า้ วผา่ นสถานการณ์ทีภาวะเจริญพนั ธุ์สูงและอายุขยั สันเขา้ สู่ สถานการณ์ทีมีอตั ราการเกิดตาํ และเป็ นสังคมผูส้ ูงอายุอย่างเต็มตวั การเปลียนผ่านเหล่านีล้วน สัมพนั ธ์กัน ทงั ยงั ก่อให้เกิดความตึงเครียดนานัปการและครอบครัวก็ตงั อยู่ใจกลางของความ ตึงเครียดดงั กล่าว ทุกวนั นีเราจะเห็นวา่ ครอบครัวไทยมีหลายรูปแบบมาก ทงั ยงั มีแนวโน้มทีจะมี

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 38 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ความหลากหลายมากยิงขึน แต่ครอบครัวถือเป็นหน่วยทางสังคมขนั พืนฐานทีเป็นหวั ใจหลกั ทีจะ ช่วยสนองตอบการเปลียนแปลงและความกดดนั ต่างๆ ทีมีเพิมขึนเหล่านี เพราะความผูกพนั และ สายใยทีนาํ ไปสู่ความรู้สึกมนั คงเป็ นปึ กแผน่ ของคนรุ่นต่างๆ ลว้ นสร้างขึนและคงอยไู่ ดด้ ว้ ยบทบาท หนา้ ทีของครอบครัวแทบทงั สิน โดยอตั ราส่วนพึงพิงในอนาคต จนถึงปี พ.ศ. 2573 นนั ประชากร พงึ พิงจะเป็ นผสู้ ูงอายเุ ป็ นส่วนใหญ่ โดยภาพรวมครอบครัวไทยในช่วง 25 ปี ทีผา่ นมา มีดงั นี 1) ครอบครัวสามรุ่น (ป่ ูย่า/ตายาย +ลูก+หลาน) เพิมขึนต่อเนือง และเป็ นครอบครัว ประเภทหลกั ในปัจจุบนั โดยเฉพาะในเขตชนบท 2) ครอบครัวพอ่ แม่ ลูก ซึงเคยเป็นครอบครัวประเภทหลกั ลดลงประมาณครึงหนึง 3) ครอบครัวคู่สามีภรรยาและไม่มีลูก เพิมขึน 3 เท่า โดย เพิมขึนในเขตชนบทสูงกวา่ ใน เขตเมือง 4) ครอบครัวเลียงเดียวมีสัดส่ วนลดลงเล็กน้อย แต่มีจํานวน เพิมขึนจาก 970,000 ครัวเรือน เป็ น 1.37 ล้านครัวเรือน 5) ครอบครัวข้ามรุ่น (ป่ ยู ่า/ตายาย +หลาน) เพมิ ขึน 2 เท่า ในระยะเวลา 25 ปี ทีผ่านมา 6) ครัวเรือนคนเดยี วเพมิ ขึน 2 เท่า ในระยะเวลา 25 ปี ทผี ่านมา ตารางที 1.7 แสดงสัดส่วนครอบครัวประเภทต่างๆ ในปี 2556 อนั ดับ ประเภทของครอบครัว ร้อยละ 33.6 1 ครอบครัวสามรุ่น 26.6 2 ครอบครัว พ่อ+แม่+ลกู 16.2 3 คู่สามี-ภรรยา ไม่มีบุตร 13.9 4 ครัวเรือนอยู่คนเดียว 7.1 5 ครอบครัวเลยี งเดยี ว 2.1 0.6 6 ครัวเรือนข้ามรุ่น 7 ครัวเรือนทไี ม่ใช่ญาติ จากข้อมลู จะพบว่า อันดบั 1 ครอบครัวสามรุ่น ประกอบด้วยสมาชิกในครอบครัว คือ ป่ ูย่า/ ตายาย +ลูก+หลาน มีจํานวนมากทีสุด คือ ร้อยละ 33.6 ทงั นีระหวา่ งปี พ.ศ. 2523- 2583 ประชากร

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 39 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ไทยอายุนอ้ ยกวา่ 15 ปี จะลดลงไปอย่างรวดเร็วและต่อเนืองถึงเจด็ เทา่ จากร้อยละ 38.3 เป็นร้อยละ 5.5 ในขณะทีกลุ่มประชากรทีมีอายมุ ากกวา่ 60 ปี จะเพมิ ขึนเป็นสองเท่าในช่วงเวลาดงั กล่าว การสูงอายุของประชากรย่อมมีผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ ทัง ทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ค่าใช้จ่ายทังของภาครัฐและภาคครัวเรือน ในเรือง สวสั ดิการและการดูแลคุณภาพชีวิตสุขภาพอนามยั จะเพิมสูงขึนเป็ นอยา่ งมาก ดงั นนั นอกจากเรือง การสูงอายมุ ากขึนของประชากรทีเป็ นประเด็นเร่งด่วนใหภ้ าครัฐตอ้ งกาํ หนดนโยบายให้ชดั เจนเพือ รองรับสังคมทีมีระดบั การสูอายุเพิมขึนอยา่ งรวดเร็วแลว้ ในภาคประชาชนเองก็ตอ้ งมีการปรับตวั ใฝ่ หาความรู้ ความเขา้ ใจและใชเ้ ทคนิควธิ ีการในการสือสารเพือสุขภาพทีดี ผา่ นอุปกรณ์เครืองมือ ต่างๆ ทีจะช่วยอาํ นวยความสะดวกและรวดเร็ว ประหยดั ค่าใช้จา่ ย ในการนาํ ไปใช้ดูแลตนเองและ ผสู้ ูงอายทุ ีอาศยั อยใู่ นครอบครัวเดียวกนั หรืออยตู่ ่างครอบครวั แต่เป็นเครือญาติกนั กเ็ ช่นกนั เพราะมิฉะนัน สังคมไทยในอนาคตจะกลายเป็ นสังคมทีมีแต่ผู้สูงอายุมากมายทีสุขภาพ ร่างกายไม่แข็งแรง เกิดอาการเจ็บป่ วยกนั เป็ นส่วนใหญ่ ส่งผลให้เป็ นภาระของแต่ละครอบครัวที จะตอ้ งใหก้ ารดูแลพยาบาลและตอ้ งใชง้ บประมาณค่าใชจ้ า่ ยมิใช่นอ้ ย อนั จะส่งผลกระทบต่อไปถึง คุณภาพชีวติ ของสมาชิกในครอบครัวคนอืนๆ ทงั หมด ไมว่ า่ จะเป็นลูกหลาน เพราะถือเป็นหนา้ ทีซึง ตอ้ งรับผดิ ชอบดูแลผสู้ ูงอายุในบา้ นไม่วา่ จะเป็ นป่ ูย่า ตายาย พ่อแม่หรือผูส้ ูงอายุคนอืนๆ ในบา้ นก็ ตอ้ งให้การดูแลรักษาพยาบาลกนั อย่างเต็มกาํ ลงั ตามวฒั นธรรมทีสืบทอดกันมาเนินนานของ สงั คมไทยทียงั คงไวซ้ ึงความกตญั ูกตเวทิตาตอ่ ผมู้ ีพระคุณและญาติผใู้ หญข่ องเราทุกคน

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 40 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 41 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 2) ปัจจยั ด้านการเปลยี นแปลงของรูปแบบครอบครัว ทีส่ งผลกระทบต่อผู้สู งอายุ เมือพจิ ารณาถึงปัจจัยด้านรูปแบบ “ครอบครัว” ทีส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุ นับได้ว่า ครอบครัวนันเป็ นสถาบันสังคมเริมแรกซึงมีความสําคัญทีสุด เพราะเป็ นสถาบนั พืนฐานทีมี บทบาทสัมพนั ธ์อย่างใกลช้ ิดกบั มนุษยท์ ุกคนทุกเพศทุกวยั ในสังคม เป็นสถาบนั แรกทีทาํ หนา้ ที ทางสังคมในการถ่ายทอดค่านิยม สร้างเสริมทศั นคติ กาํ หนดบุคลิกภาพ วิธีประพฤติปฏิบตั ิตน ปลูกฝังความเชือรวมทงั การสร้างบรรทดั ฐานทางสงั คมให้แก่สมาชิกรุ่นใหม่ ซึงมีผลต่อการพฒั นา สังคมและประเทศโดยรวม ครอบครัวจึงทาํ หน้าทีหล่อหลอมบุคลิกภาพของบุคคลให้เป็ นไปตามที สังคมตอ้ งการ นาํ ไปสู่การดาํ รงชีวติ อยใู่ นสังคมไดอ้ ยา่ งปกติสุข ขณะเดียวกนั ยงั เป็ นแหล่งให้ความ ช่วยเหลือดูแลเยยี วยาบาํ บดั ฟื นฟูในยามทีสมาชิกในครอบครัวตอ้ งเผชิญกบั ปัญหาวิกฤตทีมากระทบ ต่อวถิ ีการดาํ เนินชีวติ อีกดว้ ย และครอบครัวยงั ถือเป็ นหน่วยเศรษฐกิจยอ่ ยทีสุดทีมีความสําคญั สูงต่อ ระบบเศรษฐกิจส่วนร่วม ไม่วา่ จะเป็ นกระบวนการผลิต การบริโภค และการออม ทีตอ้ งเริมจาก ครอบครัวก่อนทงั สิน รวมทงั เป็ นรากฐานการสร้างชุมชนและสังคมทีเขม้ แขง็ อีกด้วย ดังนันจึง สามารถกล่าวได้ว่า “สถาบันครอบครัว” เป็ นทุนทางสังคมทีสําคัญในการพัฒนาคนและ ประเทศชาติให้เจริญมันคงอย่างยังยืน โดยเฉพาะอย่างยิงในสังคมไทยทีมีเอกลกั ษณ์โดดเด่นใน เรืองความเป็ นครอบครัวทีเขม้ แข็งมีระบบเครือญาติและมีความผูกพนั ต่อกนั มาอย่างยาวนาน ชีวิต ครอบครวั ในแตล่ ะยุคสมยั มีความเปราะบางในตวั ของมนั เอง เป็นความเปราะบาง ในรูปแบบใหม่ ความ “อยู่ดมี สี ุข” ขึนอยูก่ บั การทีสมาชิกในครอบครัวเห็นคุณค่าของสถาบนั ครอบครัว และคุณค่า ของกนั และกนั พยายามช่วยเหลือเกือกลู กนั ซึงภาครัฐและเอกชนตอ้ งมีบทบาทในการสร้างกลไกที เอือต่อการสร้าง และดูแลครอบครัว ให้ “อยดู่ ี” และ “มีสุข” (ภูเบศร์ สมุทรจกั ร, ธีรนุช กอ้ นแกว้ และริฎวนั อุเด็น 2560) สําหรับครอบครัวของคนไทยทีมีคุณภาพและอยู่ดมี ีสุขนัน ควรมีลกั ษณะ ดงั นีคือ เป็นกลุ่มบุคคลทีผกู พนั ใชช้ ีวติ ร่วมกนั ทาํ หนา้ ทีเป็นสถาบนั หลกั เป็ นฐานรากสาํ คญั ต่อการ ดาํ รงชีวิต สมาชิกในครอบครัวควรตอ้ งมีคุณธรรมจริยธรรม มีความรับผดิ ชอบ มีความสัมพนั ธ์ทีดี ต่อกนั ปฏิบตั ิหน้าทีของตนอย่างตงั ใจ มีบทบาทสําคญั ในการสร้างคนโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน รวมทงั ดาํ รงไวซ้ ึงการให้ความสําคญั กบั ผูส้ ูงอายุ การดูแลผูส้ ูงอายุอย่างสมาํ เสมอ ครอบครัวควรมี ส่วนร่วมในการสร้างชุมชนและสังคมให้มีความสุขมีคุณภาพ เพราะครอบครัวทีมีความมนั คง

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 42 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ เขม้ แขง็ จะเป็ นบอ่ เกิดแห่งความสุขมีสันติสุขทุกวนั เป็ นแหล่งสร้างเสริมพร้อมทงั ปลูกฝังความเป็ น มนุษยท์ ีมีความเห็นอกเห็นใจมีความเมตตากรุณาปราณีตอ่ ผอู้ ืน ช่วยกนั เติมเตม็ ศกั ยภาพของสมาชิก แต่ละคนในครอบครัวทงั วยั รุ่น วยั ผใู้ หญ่ ผสู้ ูงอายุ เพอื ใหเ้ ป็นพลงั ของสังคม ครอบครัวจึงถือไดว้ า่ เป็ นปัจจยั สําคญั ทีมีบทบาทมากสําหรับการดาํ เนินชีวิตให้เจริญรุ่งเรือง มีความสุขตามอตั ภาพ ดว้ ย การดูแลเอาใจใส่คุ้มครองช่วยเหลือ ส่งเสริมพฒั นาบุคลิกภาพของเด็กและเยาวชนให้มีความ รับผิดชอบต่อตนเองต่อชุมชนไดอ้ ย่างเต็มที สมาชิกในครอบครัวให้ความเคารพในสิทธิของกนั และกัน อยู่กนั ด้วยความรักความเขา้ ใจให้อภยั มีความเอืออาทร มีความหนักแน่นอดทน รู้จกั บทบาทหนา้ ทีของตน ครอบครัวตอ้ งรู้จกั รักษาและสืบทอดวฒั นธรรมอนั ดีงามของสังคมไทย รวมทงั สามารถปรับตวั ใหเ้ ทา่ ทนั ต่อการเปลียนแปลงอยา่ งรวดเร็วในทุกๆ เรืองของสงั คมโลก โดยลักษณะของครอบครัวทีมีคุณภาพและอยู่ดีมีสุขนัน แมว้ ่าจะเกิดจาก การรวมตวั ในรูปแบบทีหลากหลายของบุคคลทีมาดาํ เนินชีวติ ร่วมกนั แต่สามารถทาํ บทบาทหนา้ ที ของแตล่ ะคนไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและรักษาสัมพนั ธภาพทีดีต่อกนั พึงพาตนเองและช่วยเหลือสมาชิกใน ครอบครัวไดอ้ ย่างต่อเนือง สามารถปรับตวั ไดอ้ ย่างสร้างสรรคท์ นั ต่อการเปลียนแปลงของสิงต่างๆ รอบตวั จากแนวคิดดงั กล่าวจึงสามารถจาํ แนกองค์ประกอบของครอบครัวทีมีคุณภาพและอยดู่ ีมี สุขออกไดเ้ ป็ น 5 ดา้ น ดงั นีคือ 1) รูปแบบครอบครัว หมายถึง ลกั ษณะโครงสร้างทีมีความหลากหลายของการ รวมตวั ของสมาชิกทีมีจดุ หมายในการสร้างครอบครัวร่วมกนั 2) บทบาทหน้าทีของครอบครัว หมายถึง การทาํ หน้าทีของครอบครัวทีจะดูแล ความตอ้ งการและพฒั นาคุณภาพของสมาชิกอย่างเป็ นองค์รวม ไดแ้ ก่ ด้านเศรษฐกิจ ดา้ นความ เป็ นอยทู่ งั ร่างกายและจิตใจ ดา้ นการพฒั นาปลูกฝังความเป็นมนุษยท์ ีดี เป็ นแหล่งทีเอือตอ่ การเรียนรู้ รวมทงั การถา่ ยทอดวฒั นธรรม 3) สัมพนั ธภาพในครอบครัว หมายถึง การเกียวขอ้ งปฏิสัมพนั ธ์ของสมาชิกใน ครอบครัวทีเพิมความผกู พนั เคารพรักและเอืออาทรต่อกนั ซึงประเมินไดจ้ ากพฤติกรรม การสือ ความหมายมีส่วนร่วมปรึกษาหารือ ตดั สินใจและทาํ กิจกรรมในบรรยากาศทีสงบสุข 4) การพงึ พาตนเอง หมายถึง ความสามารถของครอบครัวทีอยรู่ อดได้ โดยสมาชิก ทงั หญิงและชายช่วยกนั ปรับตวั ในกระแสสังคมทีเปลียนแปลง ซึงประเมินไดจ้ ากการดูแลตนเองได้ ทางดา้ นเศรษฐกิจ การเขา้ ถึงขอ้ มูลข่าวสาร การจดั การชีวติ ความเป็นอยู่ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบนั นี คือ เรืองของการจดั การดา้ นสุขภาพของตนเองและผสู้ ูงอายใุ นครอบครวั

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 43 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 5) การเกือกูลสังคมอย่างมีคุณธรรม หมายถึง การมีส่วนร่วมของสมาชิกใน ครอบครัวกบั กิจกรรมทีสร้างสรรค์ การมีส่วนร่วมช่วยเหลือสังคม โดยไม่เป็ นผูก้ ่อให้เกิดความ เดือดร้อนหรือสร้างปัญหาสังคม จากสถานการณ์ของโลกในยุคนี กเ็ ปรียบเสมือนคาํ กล่าวทีว่า “เดด็ ดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” เพราะผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ ทวั โลกไดส้ ่งผล กระทบถึงนานาอารยประเทศเหมือนๆ กนั ไปหมด คือ ทุกประเทศมีลักษณะของครอบครัวที สมาชิกในครอบครัวตอ้ งดินรนขนขวายทาํ มาหาเลียงชีพ ทาํ ให้การดูแลเอาใจใส่ซึงกนั และกนั ลด นอ้ ยลง เวลาเพือการพูดคุยสือสารกนั แบบเห็นหนา้ ซึงกนั และกนั ระหวา่ งสมาชิกในครอบครัวมีไม่ มากเหมอื นเดิม ส่วนหนึงเป็ นเพราะการตอ้ งใชเ้ วลาทาํ งานเพิมมากขึน ทงั ทีทาํ งานและหลายคนนาํ งานทียงั ทาํ ไม่เสร็จกลบั มาทาํ ต่อทีบา้ น จึงทาํ ให้เวลาในการพูดคุยสนทนากบั สมาชิกในครอบครัว รวมไปถึงผสู้ ูงอายมุ ีนอ้ ยลง นอกจากนนั เทคโนโลยใี นการติดตอ่ สือสารในยคุ ดิจิทลั นี มีสือใหม่ๆ มาให้ผูค้ นไดใ้ ชเ้ ป็ น ช่องทางในการสือสารระหวา่ งกนั มากขึน จงึ ทาํ ใหม้ ีการปรบั เปลียนรูปแบบการสือสารของสมาชิก ในครอบครัวผา่ นช่องทางสือสารทีเรียกว่าเป็ น “สือใหม่” แทนการเผชิญหนา้ หรือเห็นหนา้ ซึงกนั และกนั ในขณะพูดคุย ซึงถือว่าเป็ นสถานการณ์ปกติของครอบครัวทวั โลกในยุคการสือสารผ่าน เทคโนโลยีสารสนเทศหรือจะเรียกว่าเป็ น “นวัตกรรมการสือสาร” ของคนยุคปัจจุบนั นีก็เป็ นที ยอมรับได้ ดั ง นั น จึง ถื อ ไ ด้ ว่ า ส ถา นก า ร ณ์ ค รอ บค รั ว ของ ค น ไ ทย กับค นทัว โ ลก มีค วา ม คล้ายคลงึ สอดคล้องกนั สําหรับประเทศไทยมีจาํ นวนครอบครัวประมาณ 18.3 ลา้ นครอบครัว มีรูปแบบ ของครอบครวั ไทย สรุปไดด้ งั นี

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 44 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 60.00 53.90 50.00 40.00 34.30 30.00 20.00 ครอบครัวขยาย 11.20 0.60 10.00 อยคู่ นเดียว อยกู่ บั คนทไี ม่ใช่ญาติ 0.00 ครอบครัวเดียว ภาพที 1.1 แสดงรูปแบบของครอบครัวไทย ตารางที 1.8 แสดงรูปแบบของครอบครัวไทย แบบที รูปแบบของครอบครัวไทย จํานวนร้อยละ 1. ครอบครัวเดยี ว 53.90 2. ครอบครัวขยาย 34.30 3. อยู่คนเดียว 11.20 4. อยู่กบั คนทไี ม่ใช่ญาติ 0.60 จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าครอบครัวไทยมีแนวโน้มรูปแบบครอบครัวเดียวและคนทีอยู่คน เดยี วมีจํานวนมากขึน ในขณะทีรูปแบบครอบครัวขยายมีแนวโน้มลดลง ขนาดของครอบครัวโดย เฉลียลดลงอยา่ งตอ่ เนืองจาํ นวนสมาชิกทีอาศยั อยใู่ นบา้ น โดยเฉลีย 4.3 คน (จิราพร ชมพกิ ุล, ปราณี สุทธิสุคนธ์, เกรียงศกั ดิ ซือเลือมและดุษณี ดาํ มี 2552) และคาดวาจะลดลงเหลือ 3.4 คน ต่อ ครอบครัว ในปี พ.ศ.2558 และจะลดลงไปอีกโดยเหลือ 3.09 คน ในอีก 10 ปี ขา้ งหนา้ ส่งผลให้

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 45 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ครอบครัวเริมมีขนาดเล็กลงอย่างต่อเนืองเหลือเพียงพ่อแม่ลูกหรือผูส้ ูงอายุกบั เด็ก สํานกั งานสถิติ แห่งชาติ ไดท้ าํ การเก็บขอ้ มูลและทาํ การวิเคราะห์ปัญหาครอบครัวของคนไทยในช่วงทศวรรษที ผา่ นมาจนถึงปัจจุบนั สรุปพอสังเขปไดด้ งั นีคือ 1) รูปแบบของครอบครัวเปลยี นจากครอบครัวขยายมาเป็ นครอบครัวเดยี วมากขึน โดย ครอบครัวขยายทีมีทีป่ ูย่าตายาย และ/หรือญาติอืนๆ ลดลง แต่ครอบครัวเดียวทีมีสามีและ/หรือ ภรรยาและ/หรือลูก มีจาํ นวนสถิติเพมิ มากขึน โดยครัวเรือนคนเดียวลดลง 2) จํานวนสมาชิกในครอบครัวโดยเฉลยี ลดลงอย่างต่อเนือง 3) อตั ราการจดทะเบยี นสมรสลดลง ในขณะทีอตั ราการหย่าร้างเพิมสูงขึนเรือย โดยเฉพาะ ครอบครัวในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีอตั ราการหยา่ ร้างสูงทีสุด ส่วนภาคใตม้ ีอตั ราการ หยา่ ร้างนอ้ ยทีสุด แต่มีแนวโนม้ ทีเพมิ สูงขึน (กรมการปกครอง) 4) จํานวนผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิมขึน (สํานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ) 5) ความอยู่ดีมีสุขด้านชีวิตครอบครัวมีแนวโน้มลดลงตามลําดับ สัมพนั ธภาพทีอบอุ่นใน ครอบครัวลดลงอยา่ งต่อเนือง ดา้ นการพึงพาตนเองทางเศรษฐกิจยงั คงอยู่ในระดับทีตอ้ งปรับปรุง (ตวั ชีวดั ครอบครัวอยดู่ ีมีสุข สถาบนั แห่งชาติเพอื การพฒั นาเด็กและครอบครัว มหาวทิ ยาลยั มหิดล) ด้านสํานักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนา สังคมและความมันคงของมนุษย์ ไดก้ าํ หนดนโยบายและยุทธศาสตร์การพฒั นาสถาบนั ครอบครัว พ.ศ. 2547-2556 ซึงหนึงในนนั คือ ยุทธศาสตร์การสร้างสุขภาพของครอบครัว โดยต้อง ส่งเสริมให้สมาชิกครอบครัวตระหนักในความสําคัญของการมสี ุขภาพองค์รวมตลอดช่วงชีวติ ให้มี พฤติกรรมสุขภาพทีดี มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ มีการปรับตัวตามวัยและสภาวะสังคม ซึงประเด็น เหล่านีเป็ นสิงทีมีความสาํ คญั อยา่ งมากต่อทุกครอบครัวทงั ในปัจจุบนั และในอนาคตต่อไปขา้ งหนา้ อีกยาวนาน เพราะสถานการณ์ครอบครัวของคนไทยในปัจจุบนั ตอ้ งเผชิญกบั ความเปลียนแปลง อยา่ งหลีกเลียงมิไดอ้ นั เป็ นผลมาจากปัจจยั ภายในครอบครัวและปัจจยั แวดลอ้ มในชุมชน รวมทงั ภาวะเศรษฐกิจ สังคมและสิงแวดลอ้ ม ซึงเปลียนแปลงไปตามกระแสโลกาภิวตั น์และความกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยีทีพฒั นาไปอย่างก้าวกระโดดและอย่างรวดเร็ว จึงส่งผลกระทบทาํ ให้เกิดการ เปลียนแปลงตอ่ แบบแผนการดาํ เนินชีวติ ของครอบครัวคนไทย โดยปัจจบุ นั นีครอบครัวของคนไทย มีลักษณะหลากหลายยิงขึน และสมาชิกในครอบครัวมีวิถีชีวิตทีแตกต่างไปจากเดิม การ เปลียนแปลงทีเกิดขึนอาจยงั ผลใหเ้ กิดความสันคลอนของสถาบนั ครอบครวั โดยเฉพาะอยา่ งยิงดา้ น ความสัมพนั ธ์ความผกู พนั ระหว่างสมาชิกในครอบครัวทีมีตอ่ กนั ทงั ทางเศรษฐกิจและสงั คม อนั จะ

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 46 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ นาํ พาไปสู่ผลกระทบต่อความมันคงของสังคมและประเทศชาติได้ในทีสุด ซึงปัญหาต่างๆ ที เกียวขอ้ งกบั ผสู้ ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัวของคนไทย สรุปไดด้ งั นีคือ 1) ผู้สูงอายุถูกปล่อยให้อยู่ตามลาํ พังหรือไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างทคี วรเป็ น ทงั ผูส้ ูงอายุในเมืองและในชนบท โดยเฉพาะผูส้ ูงอายุในชนบทเป็ นจาํ นวนมากถูกทอดทิงให้รับภาระ เลียงดูหลาน เนืองจากพอ่ แม่ไปประกอบอาชีพต่างถิน ทาํ ให้ผสู้ ูงอายทุ ีอยูใ่ นวยั ควรจะไดพ้ กั ผ่อนหรือ ฟื นฟูสภาพร่างกาย ต้องรับผิดชอบดูแลเด็กทียงั ช่วยตนเองไม่ได้ ทงั ทีผูส้ ูงอายุเองก็อยู่ในภาวะ ตอ้ งการใหม้ ีคนมาดูแลเอาใจใส่ตนเองเช่นเดียวกนั 2) สัมพนั ธภาพของสมาชิกในครอบครัวเสือมถอยลง เพราะพอ่ -แม่-ลูก-ผสู้ ูงอายใุ นบา้ น ไม่ไดท้ าํ บทบาทหน้าทีของตนเองเต็มที ละเลยการอบรมปลูกฝังจริยธรรม คุณธรรม ค่านิยม รวมทงั การหล่อหลอมบุคลิกภาพและพฤติกรรมทีพึงประสงค์ โดยเฉพาะในเรืองการดูแลพยาบาลเอาใจใส่ ต่อผสู้ ูงอายใุ ห้เหมาะสม ดงั นนั จงึ ควรมีการกาํ หนดยทุ ธศาสตร์แบบองคร์ วม เพอื การพฒั นาศกั ยภาพของครอบครัว เพือให้เป็ นศูนย์กลางในการดูแลซึงกันและกันระหว่างผู้สู งอายุกับสมาชิกในครอบครัว ประกอบดว้ ย 1. ยุทธศาสตร์การเรียนรู้เพือพฒั นาครอบครัว ไดแ้ ก่ 1.1 จดั การศึกษาเกียวกบั ครอบครัวทุกรูปแบบ รวมทงั การศึกษาตามอธั ยาศยั ทีเหมาะสม และอยา่ งตอ่ เนืองตลอดชีวติ ใหส้ มาชิกในครอบครัวมีความรู้ ความเขา้ ใจ สามารถถ่ายทอดค่านิยม จริยธรรมและคุณธรรม รวมทงั มีเจตคติทีดีในการดาํ เนินชีวิตครอบครัวทีมีความสุขและพึงพา ตนเองได้ ตระหนกั รู้บทบาทชายหญิง คนหนุ่มสาว คนสูงอายุ เคารพสิทธิกนั และกนั ตลอดจนการ สร้างวถิ ีชีวติ ประชาธิปไตยในครอบครัว 1.2 เตรียมความพร้อมก่อนสร้างครอบครัว โดยเฉพาะก่อนแต่งงานและสําหรับคู่สมรสให้ มีการวางแผนการดาํ เนินชีวิตครอบครัว รู้คุณค่าและรับผิดชอบปฏิบตั ิบทบาทหน้าทีของตนตาม สถานภาพของวงจรชีวติ ในครอบครัว ในฐานะสามี ภรรยา พอ่ แม่ ลูก ผปู้ กครอง ลุง ป้า นา้ อา และ ป่ ู ยา่ ตา ยาย 1.3 พฒั นาทกั ษะและศิลปะการสือสาร เพอื สร้างและรักษาสัมพนั ธภาพทีดี ดูแลเอืออาทร ตอ่ กนั และมีเวลาใหก้ บั สมาชิกแต่ละคนในครอบครัว 1.4 อบรมเลียงดูลูกหลานให้มีพฒั นาการเหมาะสมตามวยั มีวินัยในตนเอง เป็ นผูม้ ี คุณธรรม จริยธรรม มีทกั ษะชีวติ ปฏิบตั ิตนเป็นสมาชิกทีดีของครอบครัว มีความคิดสร้างสรรค์ รู้จกั สิทธิหนา้ ทีและความรบั ผดิ ชอบห่วงใยสมาชิกในครอบครัว

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 47 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 2. ยุทธศาสตร์การสร้างสุขภาพของครอบครัว ไดแ้ ก่ 2.1 ส่งเสริมใหส้ มาชิกในครอบครัวตระหนกั ถึงความสาํ คญั ของการมีสุขภาพองค์ รวมตลอดช่วงชีวิต ให้มีพฤติกรรมสุขภาพทีดี มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ มีการปรับตวั ตามวยั และ สภาวะของครอบครัว 2.2 ส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะผชู้ ายซึงมี บทบาทสําคญั ในการสร้างสุขภาพครอบครัวด้วย และการดูแลสุขภาพผูส้ ูงอายุและสมาชิกใน ครอบครัว 2.3 จดั สภาพแวดลอ้ มรวมทงั อนามยั สิงแวดลอ้ มในบา้ น ให้เอือต่อการพฒั นา ครอบครัวและคุณภาพชีวิตของสมาชิกในครอบครัว ในดา้ นทีเกียวขอ้ งกบั ยทุ ธศาสตร์การเรียนรู้เพือพฒั นาครอบครัวและการสร้างสุขภาพของ ครอบครัวนัน สมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ภายใต้การ สนบั สนุนจากสาํ นกั สนบั สนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สสส. สํานกั งานกิจการสตรีและ ความมันคงของมนุ ษย์และ ศู นย์วิทยาศาสตร์ เพือการศึกษา ท้องฟ้ าจําลองกรุ งเท พ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไดจ้ ดั เสวนาในประเด็นทีเกียวขอ้ งกบั การพฒั นาครอบครัว ของคนไทย โดยนายสมชาย เจริญอํานวยสุข ผูอ้ าํ นวยการสํานักงานกิจการสตรีและสถาบัน ครอบครัว ในฐานะผดู้ ูแลครอบครัวและสตรี ไดก้ ล่าวไวว้ ่า “ครังนีเป็ นจุดเริมต้นทีเครือข่ายให้ ความสําคญั ว่า ครอบครัวไทยต้องมีการรับมือต่อการเปลยี นแปลงสังคม ขณะนีประเทศไทยมีสังคม ของผู้สูงอายุมากขึน ดังนันจึงต้องใช้เวลาเพือสร้างความรู้ความเข้าใจ เพือให้ครอบครัวไทย เข้มแข็ง” (ทีมข่าวสาธารณสุข คมชดั ลึกออนไลน์ 3 มกราคม 2556) ด้าน แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร เลขาธิการสมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ต้องมีการเตรียมความ พร้อมของครอบครัวไทย ในดา้ นการติดตามขอ้ มูลข่าวสารและสือสารระหวา่ งกนั ภายในครอบครัว ถึงเหตุการณ์หรือสถานการณ์ทีทนั ต่อโลกมากยงิ ขึน เพอื สร้างความตระหนกั และเตรียมความพร้อม ตอ่ การเปลียนแปลง ควบคูไ่ ปกบั การพฒั นาความรู้ทกั ษะในการดาํ รงชีวติ เพราะครอบครัวไทยตอ้ ง เผชิญกบั สถานการณ์ทีเปลียนแปลงไปอยา่ งแน่นอน ภาวะเศรษฐกิจทีกระทบชีวิตครอบครัว ส่งผล ต่อการใช้ชีวิตหรือการใช้เวลาร่วมกนั ของครอบครัว เช่น พ่อแม่บางบา้ นอาจทาํ งานหนกั มากขึน บางคนในครอบครัวอาจตอ้ งไปทาํ งานต่างถิน ต่างประเทศ ฯลฯ เรืองนีอาจไม่ใช่เรืองใหม่ของบาง บ้าน แต่ก็ไม่ใช่เรื องทีจะปล่อยผ่านโดยไม่มีการจัดการ ทําอย่างไรจะทําให้ครอบครัวคง สัมพนั ธภาพอนั ดีระหว่างกนั ทาํ หนา้ ทีดูแลกนั และกนั ไดแ้ ละคงความเป็นครอบครัวอยไู่ ดเ้ ช่นเดิม ดงั นนั ครอบครัวตอ้ งพร้อมจะเรียนรู้เพอื กา้ วสู่สงั คมทีกาํ ลงั จะเปลียนไปอยา่ งแน่นอน”

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 48 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ด้านความเข้าใจเกยี วกบั “รูปแบบการสือสารของสมาชิกในครอบครัว” พบว่า จุดเริมตน้ และพฒั นาการของความสัมพนั ธ์ในทุกลกั ษณะล้วนเริมตน้ มาจากการสือสาร ระหวา่ งกนั เช่นเดียวกบั ครอบครัวทีมีความสุข คือ ครอบครัวทมี ีสัมพันธภาพทีดีระหว่างกันของ สมาชิกในครอบครัว ดังนันแต่ละครอบครัวควรมีรูปแบบการสือสารทีดี สะดวก รวดเร็วหรือ เหมาะสม เพือทําให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างกันให้มากทีสุด การสือสารของสมาชิกใน ครอบครัว เป็ นการสือสารเพือสร้างความสัมพนั ธ์ระหวา่ งพอ่ แม่ ลูก รวมทงั ป่ ู ยา่ ตา ยาย ซึงแต่ละ ครอบครัวจะมีรูปแบบการสือสารระหว่างกนั ทีเป็ นเอกลักษณ์เฉพาะ ทีไม่เหมือนครอบครัวอืน โดยมีแนวทางพืนฐานวา่ ใครควรสือสารกบั ใคร เกียวกบั ประเด็นใด ดว้ ยความตงั ใจเช่นใด สมาชิก ในครอบครวั จะมกี ารสือสารพูดคุยโตต้ อบกนั ในรูปแบบการปฏิสัมพนั ธ์แบบต่างๆ ทีกาํ หนดขึนมา โดยรู้กนั เองภายในครอบครัว สมาชิกของแต่ละครอบครัวจะสร้างขอ้ ตกลงระหว่างกนั วา่ เรืองใด ควรหรือไม่ควรจะสือสารกนั และเนือหาสาระทีนาํ มาสือสารนนั ควรจะถูกแปลความหมายไดว้ า่ อยา่ งไร ครอบครวั ยงั กาํ หนดวา่ ใครเป็นผพู้ ูดและใครเป็นผฟู้ ัง ขอ้ ความใดสามารถสือสารกนั ไดแ้ ละ สือสารกนั อยา่ งไร ซึงรูปแบบของการสือสารเหล่านีสามารถเปลียนแปลงไดต้ ลอดเวลา งานวิจยั ทีเกียวขอ้ งกบั เรืองนีของ เพลินพิศ จันทรศักดิ (2541) นงลักษณ์ เทพสวัสดิ (2542) สุรพล พยอมแย้ม (2548) ไดท้ าํ การศึกษาวจิ ยั และสรุปผลการวจิ ยั ไปในแนวทางเดียวกนั คือ พฤติกรรมการสือสารในครอบครัวมีความสัมพนั ธ์กับสุขภาพจิตของสมาชิกภายในครอบครัว ทงั พ่อแม่ลกู และป่ ยู ่าตายาย โดยรูปแบบพฤติกรรมการสือสารระหวา่ งสมาชิกในครอบครัว รูปแบบ พฤติกรรมทีแสดงออกในชีวิตประจาํ วนั ไม่ว่าจะเป็ นทางบวกหรือทางลบ ลว้ นมีพืนฐานมาจาก ความสัมพนั ธ์ของบุคคลในครอบครัวทงั สิน ประกอบดว้ ยความห่วงใย การให้อภยั การเสียสละ การเอืออาทรต่อกนั ความสุขใจทีเห็นสมาชิกในครอบครัวประสบความสาํ เร็จ และความรู้สึกอืนๆ ทงั หมดนีจะขึนอยกู่ บั สมั พนั ธภาพของสมาชิกในครอบครัวเป็นหลกั หากสมาชิกในครอบครัวมีสัมพนั ธภาพทีดีต่อกนั มีการถ่ายทอดความรู้ความสามารถใน การดาํ รงชีวิตอย่างเหมาะสม ชีวติ ครอบครัวก็จะมีความสุข และเมือสมาชิกในครอบครัวสามารถ พูดคุยกนั ไดท้ ุกเรือง เวลาเกิดปัญหาหรือสิงทีตอ้ งใชก้ ารตดั สินใจใดๆ ความสัมพนั ธ์ทีดีต่อกนั ของ สมาชิกในครอบครัวจะเขา้ มาช่วยป้องกนั หรือแกไ้ ขหรือหรือลดความเสียหายทีอาจจะรุนแรงลงได้ จงึ ทาํ ใหป้ ัญหาต่างๆ คลีคลายลงไดแ้ ละความสุขในครอบครัวยอ่ มกลบั คืนมา โดยใช้แนวทางปฏิบัติทีสําคัญ คือ การเปิ ดโอกาสให้สมาชิกในครอบครัวทุกคนมีโอกาสได้ สือสารพดู คุยกันได้ในทุกเรือง

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 49 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ เพราะแนวคิดเกียวกับครอบครัวและรูปแบบการสือสารภายในครอบครัว (Family Communication Patterns) นาํ เสนอไวว้ ่า (จุฬาลกั ษณ์ ประจะเนย์ 2556) “ครอบครัวเป็ นสถาบัน แรกทีมีหน้าทีหล่อหลอมบุคคลให้มีชีวิตความเป็ นอยู่ตามวัฒนธรรม และในขณะเดียวกันก็ทํา หน้าทีสร้างอุปนิสัย ความรู้สึกนึกคิด บุคลกิ ภาพของแต่ละบุคคลให้เกิดขึน ถ้าครอบครัวอบอุ่น สมาชิ กในครอบครัวจะสามารถพัฒนาตนเองในด้ านร่ างกายและจิตใจไปในทิศทางทีถูกต้ องดีงาม และส่งผลก่อให้เกดิ ความสุขภายในครอบครัวได้” 3) ปัจจยั ทสี ภาวะความเปลยี นแปลง ด้านร่างกายและจิตใจของผู้สูงอายุ ปัจจยั ทีเกียวข้องกบั ความเปลียนแปลงด้านร่างกายและจิตใจของผูส้ ูงอายุซึงสมาชิกใน ครอบครัวตอ้ งใหค้ วามใส่ใจ จากการสังเกตการณ์ของผเู้ ขียนและงานวจิ ยั ตา่ งๆ จะพบขอ้ มูลวา่ ผู้สูงอายุไทยในปัจจุบนั ใช้ชีวติ หลงั เกษยี ณ ด้วยการหนั มาศึกษาและเรียนรู้การใช้นวตั กรรม การสือสารมากขึน เช่น ฝึ กฝนทกั ษะการใช้คอมพวิ เตอร์ ฝึ กทกั ษะการเข้าถึงอนิ เทอร์เน็ต เพือสังซือ สินค้าด้วยตนเองทางเว็บไซต์ ไม่ต้องรอคอยลูกหลานไปซือมาให้ ได้ค้นหาข้อมูลต่างๆ ทีอยากรู้ ด้วยตนเอง ฝึ กใช้สมาร์ทโฟน เพือเข้าโปรแกรมประยุกต์ไลน์เพือใช้ในการสือสารกับลูกหลานในทุกๆ เรือง ทังเรืองสถานการณ์บ้านเมืองทัวไป เรืองสุขภาพ เรืองข่าวสารต่างๆ ทีน่าสนใจและต้องการ นําไปบอกลกู หลานให้ได้รับทราบด้วยความห่วงใย ทําให้ผู้สูงอายไุ ม่เหงา นอกจากนนั ยงั เป็ นการป้องกนั เรืองโรคภยั ตา่ งๆ ของผสู้ ูงอายไุ ดอ้ ีกดว้ ย เช่น ฝึ กสมองป้องกนั โรคความจาํ เสือม การหลงลืม รวมทงั การตดิ ต่อพูดคุยกบั ผสู้ ูงอายเุ ป็นระยะๆ กบั ลูกหลาน เพือให้ทราบถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตในบา้ นของผูส้ ูงอายุว่ามีความเสียงเรืองอุบตั ิเหตุ ภายในบา้ นมากนอ้ ยเพียงใด เช่น การลม้ การลืน การเป็ นลมและอืนๆ เพือจะไดใ้ ห้ความช่วยเหลือ ไดอ้ ยา่ งทนั ท่วงที นอกจากนนั ยงั สามารถใชน้ วตั กรรมการสือสารแกไ้ ขปัญหาต่างๆ ทีผสู้ ูงอายุตอ้ งการความ ช่วยเหลือแมล้ ูกหลานจะออกไปทาํ งานนอกบา้ นแต่ก็สามารถติดต่อสือสารกนั ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว เห็น ภาพและไดย้ นิ เสียงอยา่ งทนั เวลา เป็นตน้

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 50 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ในกรณีทีบางครอบครัวมีผู้สูงอายุทีมีปัญหาเรือง “การได้ยิน” ทาํ ให้การสือสารดว้ ยการ พูดคุยปกติไม่สามารถสือความหมายไดค้ รบถว้ นตามทีผูส้ ่งสารตอ้ งการ จึงสามารถใช้อุปกรณ์ เครืองมือต่างๆ ทีเป็ นนวตั กรรมการสือสาร เช่น ไอแพด เขา้ มาช่วยในการสือสารกบั ลูกหลานได้ ง่ายมากขึน เข้าใจกันมากขึน เพราะมีการพิมพ์เป็ นตัวอักษรและส่งเป็ นรูปสติกเกอร์ทีสือ ความหมายต่างๆ ไดแ้ ทนคาํ พดู ทีมาจากปากของผสู้ ่งสารหรือผสู้ ูงอายุ ส่วนกรณีทีบางครอบครัวมีผู้สูงอายุทีมีปัญหา “ด้านการเห็น” เพราะสายตามองเห็นไม่ ชดั เจน การใชอ้ ุปกรณ์เครืองมือต่างๆ ทีเป็นนวตั กรรมการสือสาร เช่น โทรศพั ทม์ ือถือ ไลน์ เฟซบุ๊ก ซึงมีโปรแกรมเสียงทีสามารถสือสารเนือหาสาระต่างๆ ทีตอ้ งการส่งถึงกนั ระหว่างผสู้ ูงอายุและ ลูกหลานในบา้ นไดอ้ ย่างง่ายดาย เป็ นอีกหนึงวิธีการในการช่วยสือสารเพือสร้างความผาสุกให้กบั สมาชิกในครอบครัว และเมือพิจารณาสิงทีเป็นประโยชน์ทางตรง คือ เป็ นการพฒั นาคุณภาพชีวิต ใหก้ บั ทุกคนในครอบครัวใหม้ ีความสบายใจและคล่องตวั ในการติดตอ่ สือสารถึงกนั และกนั เป็นตน้ ในกรณตี ัวอย่างข้างต้น ถือเป็ นสิงจําเป็ นทีต้องนํามาพิจารณาในการค้นหาแนวทางเพือการ สือสารสุขภาพระหว่างผู้สูงอายุกับสมาชิกในครอบครัวด้วย เพราะผู้สูงอายุจะมีการเปลียนแปลง แบบเสือมถอยของการทาํ หน้าทที ุกส่วนของร่างกาย โดยอวยั วะทีสําคัญทีเกียวข้องกับการสือสาร ได้แก่ อวัยวะทีเกียวข้องกับการได้ยิน การ มองเห็น การพดู ซึงมรี ายละเอยี ดดังนี (1) อวยั วะทีเกยี วข้องกบั การสือสารด้านการได้ยนิ คือ หู เรามกั พบวา่ มีผสู้ ูงอายไุ ม่นอ้ ยทีมี อาการหูตึง เนืองจากการเปลียนแปลงของอวยั วะทีเป็นตวั รับคลืนเสียง (ปารยะ อาศนะเสน 2557) โดยเฉพาะในช่วงแรก การรบั เสียงทีมีความถีสูงๆ หรือเสียงแหลมจะเสียไปก่อน ต่อมาก็เป็นเสียงที มีความถีปานกลางและเสียงตาํ นอกจากนนั ยงั พบเยอื บุแกว้ หูซึงมีลกั ษณะแขง็ และเหียวลีบหรืออาจ มีการอุดตนั ของขีหู หากผูส้ ูงอายุมีปัญหาเกียวกบั หู ยอ่ มทาํ ให้การรับฟังไม่ดีเท่าทีควร หรือไม่ได้ ยินเสียงทีลูกหลานพูดหรือสือภาษาดว้ ย เพราะปัญหาเรืองการเจ็บป่ วยใดๆ ของผสู้ ูงอายุ ถือไดว้ า่ เป็ นปัญหาของลูกหลานในครอบครัวดว้ ยเหมือนกนั เช่น การทีผูส้ ูงอายมุ ีความสามารถในการรับ เสียงแย่ลงหรือพูดง่ายๆ คือ หูอือหรือหูตึงเนืองจากเป็ นภาวะทีค่อยเป็ นค่อยไป ทาํ ให้ผูส้ ูงอายุมี คุณภาพชีวิตในการสือสารกบั ผอู้ ืนนอ้ ยลงโดยไม่รู้ตวั ลูกหลานในครอบครัวของผสู้ ูงอายเุ องอาจมี ปัญหาอืนตามมาได้ จากการทีตอ้ งตะโกนสือสารกนั เป็นเวลานาน ไดแ้ ก่ เสียงแหบ เจ็บคอ ไอและ ระคายคอเรือรัง เป็ นตน้ ภาวะเช่นนี คือ อาการหูอือหรือหูตึง หมายถึง ภาวะทีความสามารถในการรับเสียงถดถอย ลง ประสิทธิภาพน้อยลง โดยมกี ารแบ่งระดบั ความรุนแรงของการเสียการได้ยนิ ดังนี

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 51 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ตารางที 1.9 แสดงการแบ่งระดับความรุนแรงของการเสียการได้ยนิ ทีมา: ปารยะ อาศนะเสน (2557) ระดับการได้ยนิ ระดับความพกิ าร ความสามารถในการเข้าใจคาํ พดู 0-25 dB ปกติ ไมล่ าํ บากในการรับฟังคาํ พดู 26-40 dB หูตงึ นอ้ ย ไม่ไดย้ นิ เสียงกระซิบ 41-55 dB หูตึงปานกลาง ไมไ่ ดย้ นิ เสียงพดู ปกติ 56-70 dB หูตงึ มาก ไม่ไดย้ นิ เสียงพูดทีดงั มาก 71-90 dB หูตงึ รุนแรง ไดย้ นิ ไมช่ ดั แมต้ อ้ งตะโกน >90 dB หูหนวก ตะโกนหรือใชเ้ ครืองขยายเสียงกไ็ ม่ไดย้ นิ ปัญหาการไดย้ นิ ในผสู้ ูงอายุ อาจเกิดจากความผดิ ปกติของกลไก 2 ส่วน คือ 1. ส่วนนําเสียงและขยายเสียง ไดแ้ ก่ หูชนั นอกและหูชนั กลาง เมือคลืนเสียงจากภายนอก ผา่ นเขา้ ไปในช่องหูจะไปกระทบแกว้ หู และมีการส่งต่อ และขยายเสียงโดยกระดูกหู 3 ชินในหูชนั กลาง ไปยงั ส่วนของหูชันในต่อไป ถ้ามีความผิดปกติเกิดขึนในหูชันนอกและหูชันกลางของ ผสู้ ูงอายจุ ะทาํ ให้เกิดภาวะหูอือหรือหูตึงได้ สาเหตุมกั เกิดจากความผดิ ปกติ ดงั นีคือ - หูชันนอก เช่น ขีหูอุดตนั , เยอื แกว้ หูทะลุ, หูชนั นอกอกั เสบ, เนืองอกของหูชนั นอก - หูชันกลาง เช่น หูชนั กลางอกั เสบ, นาํ ขงั อยใู่ นหูชนั กลาง, ท่อยสู เตเซียน (ท่อทีเชือมตอ่ ระหวา่ งหูชนั กลางและโพรงหลงั จมูก) ทาํ งานผดิ ปกติ, โรคหินปูนในหูชนั กลาง 2. ส่วนประสาทรับเสียง ไดแ้ ก่ ส่วนของหูชนั ในไปจนถึงสมอง ซึงเป็นส่วนทีเรารับรู้และ เขา้ ใจเสียงต่างๆ ความผิดปกติบริเวณนีของผูส้ ูงอายุ ส่วนใหญ่ทาํ ให้เกิดภาวะหูตึง หรือหูหนวก ถาวรได้ และบางโรคทาํ ใหเ้ กิดอนั ตรายถึงชีวติ ได้ สาเหตุมกั เกิดจากความผดิ ปกติ ดงั นีคือ - หูชันใน สาเหตุทีพบไดบ้ ่อยสุด คือ ประสาทหูเสือมจากอายุ นอกจากนนั การเสือมของ เส้นประสาทหู อาจเกิดจากความผิดปกติแต่กาํ เนิดหรือเกิดจากพนั ธุกรรม พฒั นาการผิดปกติ หรือ การเป็ นโรคระหว่างตงั ครรภ์ของมารดาเอง เช่น โรคหัดเยอรมนั การไดร้ ับเสียงทีดงั มากๆ ใน ระยะเวลาสันๆ ทาํ ให้เส้นประสาทหูเสือมเฉียบพลนั เช่นไดย้ ินเสียงปื น เสียงระเบิด หรือเสียง ประทดั การไดร้ ับเสียงทีดงั ปานกลางในระยะเวลานานๆ ทาํ ให้ประสาทหูเสือมแบบค่อยเป็ นค่อย ไป เช่นอยู่ในโรงงาน หรืออยู่ในงานแสดงดนตรีทีมีเสียงดงั มากๆ การใช้ยาทีมีพิษต่อประสาทหู เป็ นระยะเวลานาน เช่น ยาปฏิชีวนะกลุ่มอะมิโนไกลโคไซด์ ยาขบั ปัสสาวะทีใชร้ ักษาความดนั

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 52 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ โลหิตสูง ยาแอสไพริน ยาควนิ ีน การบาดเจ็บของกะโหลกศีรษะ แลว้ มีผลกระทบกระเทือนตอ่ หู ชนั ใน การติดเชือของหูชนั ใน เช่น จากเยือหุ้มสมองอกั เสบ จากเชือซิฟิ ลิส หรือไวรัสเอดส์ การ ผา่ ตดั หูแลว้ มีการกระทบกระเทอื นตอ่ หูชนั ในมีรูรัวติดต่อระหว่างหูชนั กลางและหูชนั ใน โรคมีเนีย หรือนาํ ในหูไมเ่ ทา่ กนั - สมอง โรคของเส้นเลือด เช่น เส้นเลือดในสมองตีบ, เลือดออกในสมอง จากไขมนั ใน เลือดสูง, ความดนั โลหิตสูง เนืองอกในสมอง เช่น เนืองอกของเส้นประสาทหู และ/หรือ ประสาท การทรงตวั - สาเหตุอืนๆ เช่น โรคโลหิตจาง โรคแพภ้ ูมิตวั เอง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคเกล็ดเลือด สูงผดิ ปกติ โรคทีมีระดบั ยูริกในเลือดสูง โรคไต โรคเบาหวาน ความดนั โลหิตตาํ หรือสูง ไขมนั ใน เลือดสูง โรคเหล่านีสามารถทาํ ใหห้ ูอือหรือหูตึงได้ จะเห็นไดว้ า่ โรคทีทาํ ให้เกิดปัญหาการไดย้ ินใน ผสู้ ูงอายุ มีสาเหตุไดท้ งั จากหูชนั นอก หูชนั กลางและหูชนั ใน แต่โดยทวั ไป หากพดู ถึงภาวะหูตึงใน ผูส้ ูงอายุมกั จะหมายความถึง การเสียการได้ยินจากประสาทรับเสียงเสือมตามวยั (Age-related hearing loss หรือ Presbycusis) ปัญหาการได้ยนิ ในผู้สูงอายุ เป็ นปัญหาทพี บได้บ่อยเป็ นอันดับ 3 ของโรคเรือรังต่างๆ ทีเกดิ กับผู้สูงอายุ โดยพบไดถ้ ึงร้อยละ 25-40 ของผูท้ ีมีอายุมากกวา่ 65 ปี และมีอุบตั ิการณ์เพิมขึนตาม วยั กล่าวคือ อุบตั ิการณ์ของผสู้ ูงอายทุ ีมีประสาทรับเสียงเสือมตามวยั พบไดต้ งั แต่ร้อยละ 40-60 ใน ผูท้ ีมีอายมุ ากกวา่ 75 ปี และเพิมสูงขึนมากกวา่ ร้อยละ 80 ในผูท้ ีมีอายุมากกวา่ 85 ปี โดยธรรมชาติ แลว้ การไดย้ นิ จะค่อยๆ เสือมลงตามวยั การไดย้ ินบกพร่องของผสู้ ูงอายุ จะมีลกั ษณะแบบค่อยเป็ น ค่อยไปและเสือมเท่ากนั ทงั 2 ขา้ งในช่วงความถีสูง ซึงจะวินิจฉยั ในผูท้ ีมีอายุเกิน 50 ปี และไม่มี สาเหตุอืนทีทาํ ใหก้ ารไดย้ ินบกพร่อง ผูป้ ่ วยอาจมาพบแพทยเ์ นืองจากมีเสียงรบกวนในหูและมกั มี ปัญหาฟังไม่รู้เรืองหรือไดย้ นิ เสียงแตจ่ บั ใจความไม่ไดร้ ่วมดว้ ย ซึงเป็นผลจากความเสือมของระบบ ประสาทส่วนกลางตามวยั นอกเหนือไปจากหูชนั ในเสือมทาํ ให้มีปัญหาในการไดย้ ินมากกวา่ ผทู้ ีมี การไดย้ นิ บกพร่องในระดบั เดียวกนั ทีมีอายนุ อ้ ยกวา่ การวนิ ิจฉยั ของแพทยถ์ ึงปัญหาการไดย้ นิ ในผสู้ ูงอายุ อาศยั การซกั ประวตั ิถึงสาเหตุต่างๆ ที เป็ นไปได้ การตรวจหูชนั นอก ช่องหู แกว้ หู หูชนั กลาง และบริเวณรอบหู การตรวจเลือด เพือหา ความผดิ ปกติของเคมีในเลือด การตรวจปัสสาวะ การตรวจการไดย้ ิน เพือยืนยนั และประเมินระดบั ความรุนแรงของการเสียการไดย้ ิน การตรวจคลืนสมองระดบั กา้ นสมองและการถ่ายภาพรังสี เช่น เอก็ ซ์เรยค์ อมพิวเตอร์สมองหรือกระดูกหลงั หูหรือตรวจคลืนแม่เหล็กไฟฟ้า และการฉีดสารรังสีเขา้ หลอดเลือด ถา้ มีขอ้ บง่ ชี

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 53 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ การรักษาปัญหาการได้ยินในผู้สูงอายุนันรักษาตามสาเหตุ อยา่ งไรก็ตามปัญหาการไดย้ นิ ทีเกิด จากพยาธิสภาพของหูชนั ใน เส้นประสาทหูและระบบประสาทส่วนกลาง โดยเฉพาะประสาทรับ เสียงเสือมตามวยั มกั จะรักษาไม่หายขาด นอกจากนันถ้าเกิดจากประสาทรับเสียงเสือม ควรหา สาเหตุ หรือปัจจยั ทีจะทาํ ใหป้ ระสาทรับเสียงเสือมเร็วกวา่ ผดิ ปกติ เพือหาทางชะลอความเสือมนนั ดว้ ย ส่วนประสาทหูเสือม บางรายไม่ทราบสาเหตุหรือทราบสาเหตุ แต่เป็นสาเหตุทีรักษาไม่ได้ อาจ หายเองก็ได้ หรือจะเป็ นอยู่ตลอดชีวิตก็ได้ แต่ถา้ มีปัญหาการได้ยินไม่มาก ยงั พอไดย้ นิ เสียง ไม่ รบกวนคุณภาพชีวติ ประจาํ วนั มากนกั คือยงั พอสือสารกบั ลูกหลานสมาชิกในครอบครัวหรือผอู้ ืน ได้ หรือเป็ นเพียงหูขา้ งเดียว อีกขา้ งยงั ดีอยู่ ก็อาจไม่จาํ เป็นตอ้ งรักษา เพยี งแต่ทาํ ใจยอมรับ แต่ควร หาสาเหตุดงั กล่าวดว้ ย แตถ่ า้ มีปัญหาการไดย้ นิ มาก ไมค่ ่อยไดย้ นิ เสียง โดยเฉพาะถา้ เป็ น 2 ขา้ ง และ รบกวนคุณภาพชีวติ ประจาํ วนั มาก คือไม่สามารถสือสารลูกหลานสมาชิกในครอบครัวหรือผอู้ ืนได้ และเกิดจากสาเหตุทีไม่สามารถแกไ้ ขไดแ้ ลว้ ควรฟื นฟูสมรรถภาพการไดย้ นิ ดว้ ยการใชเ้ ครืองช่วย ฟัง ซึงจะช่วยบรรเทาปัญหาไดใ้ นระดับหนึง แต่ตอ้ งร่วมกบั การจดั สิงแวดลอ้ มให้เหมาะแก่การ แยกแยะเสียงไดช้ ดั เจนขึน เช่น ลดเสียงรบกวนและให้ลูกหลานคู่สนทนาอยู่ตรงหน้า ไม่พดู เร็วหรือ พูดประโยคยาวเกนิ ไป เพือผู้สูงอายจุ ะได้จับใจความได้ชัดเจนขึน ซึงจะทาํ ให้คุณภาพชีวิตของตัว ผู้ป่ วยเองและของสมาชิกดีขึนไปด้วย และถา้ ปัญหาการไดย้ ิน เกิดจากประสาทรับเสียงเสือม ควร ป้องกันไม่ให้ประสาทรับเสียงเสือมมากขึน โดยการหลีกเลียงเสียงดัง แต่ถ้าผู้สูงอายุเป็ น โรคเบาหวาน ความดนั โลหิตสูง ไขมนั ในเลือดสูง โรคไต โรคกรดยรู ิกในเลือดสูง โรคซีด โรค เลือด ตอ้ งควบคุมโรคใหด้ ี เพราะโรคเหล่านีจะทาํ ใหเ้ ลือดไปเลียงประสาทหูนอ้ ยลง ทาํ ให้ประสาท รับเสียงเสือมมากหรือเร็วขึนกว่าทีควรจะเป็ น ตอ้ งหลีกเลียงการใช้ยาทีมีพิษต่อประสาทหู ตอ้ ง หลีกเลียงอุบตั ิเหตุหรือการกระทบกระเทือนบริเวณหู พยายามหลีกเลียงการติดเชือของหูหรือการ ติดเชือในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ตอ้ งลดอาหารเคม็ หรือเครืองดืมบางประเภททีมีสารกระตุน้ ประสาท เช่น กาแฟ ชา เครืองดืมนาํ อดั ลม เพราะมีสารคาเฟอีน งดการสูบบุหรี เพราะมีสารนิโคติน เนืองจากสารคาเฟอีนและนิโคตินทาํ ใหเ้ ลือดไปเลียงประสาทหูนอ้ ยลง ทาํ ให้ประสาทรับเสียงเสือม มากหรือเร็วขึนกวา่ ทีควรจะเป็น ผู้สูงอายตุ ้องพยายามออกกาํ ลงั กายสมําเสมอ ลดความเครียด วติ ก กงั วลและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะปัญหาการได้ยนิ อาจหายได้หรืออยู่กบั ผู้สูงอายหุ รือ ผู้ป่ วยตลอดชีวิตก็ได้ ดังนันเมือผู้สูงอายุในครอบครัวมีปัญหาการได้ยิน ควรปรึกษาแพทย์ หู คอ จมูกเพือหาสาเหตุตงั แต่เนินๆ จะได้สามารถแก้ไขได้ทนั เวลา

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 54 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ โดยสรุปความเสือมถอยของระบบอวัยวะทีเกยี วข้องกับการสือสารด้าน การได้ยิน คือ หู กับการเกิดภาวะหูหนวก หูตึง พบไดบ้ ่อยมาก ประมาณร้อยละ 25–35 ใน ผสู้ ูงอายุ และพบมากขึนตามอายทุ ีเพมิ ขึน สาเหตุทีพบบ่อยทีสุด ไดแ้ ก่ - ภาวะประสาทหูเสือมจากอายุ - หูชนั นอกอดุ ตนั จากขีหูทีมีปริมาณมากและตดิ แน่น - ภาวะประสาทหูเสือมจากการไดย้ นิ เสียงดงั มากๆ ในอดีต โดยความผดิ ปกติจากสาเหตุทีหนึงและสาม จาํ เป็นตอ้ งไดร้ ับการตรวจดว้ ยเครืองมือพเิ ศษ ของแพทยเ์ ฉพาะทางดา้ นหู จึงจะสามารถยืนยนั ไดแ้ น่นอน การรักษาทงั สองกลุ่มนีจาํ เป็ นตอ้ งใช้ เครืองช่วยการไดย้ นิ ติดตวั ไปกบั ผสู้ ูงอายุ ส่วนภาวะหูตึงจากสาเหตุทีสองคือ หูชนั นอกอุดตนั จากขี หู สามารถวินิจฉยั ไดง้ ่ายจากการตรวจในหูชนั นอกดว้ ยเครืองมือทีส่องเขา้ ไปดูคลา้ ยไฟฉาย และให้ การรักษาไดเ้ ลย จงึ เป็นสิงทีผสู้ ูงอายคุ วรไดร้ ับการตรวจเสมอ (2) อวัยวะทีเกียวข้องกับการสือสารด้านการมองเห็น คือ ตา การมองเห็นของผสู้ ูงอายุจะ เสียไป ซึงมกั พบว่ามีอาการตาฝ้า มวั มองเห็นไม่ชดั ทงั นีอาจเนืองจากแกว้ ตา มีความหนาขึน มี ความโคง้ นอ้ ยลง การหกั เหของแสงไม่ดี รวมทงั เลนส์ตาจะข่นุ หนาและแข็ง รูม่านตาลดลง มีการ ตอบสนองต่อแสงช้า จึงทาํ ให้ผูส้ ูงอายุมีโอกาสเกิดอาการตอ้ เนือ ต้อหินได้ง่าย ทาํ ให้มีความ บกพร่องของการมองเห็นมากขึน ซึงการมองเห็นจะทาํ ให้ทงั ผูพ้ ูดและผูฟ้ ัง มีการสือภาษาทาง สายตา ส่งผลทาํ ใหก้ ารสือแสดงความหมายของเนือหาสาระทีส่งออกไปมีความเขา้ ใจระหวา่ งกนั ได้ มากขึน หรือสามารถมองเห็นวตั ถุสิงของทีตอ้ งการจะสือใหเ้ ขา้ ใจไดด้ ีขึน โรคตาทีพบบ่อยในผู้สูงอายุ (พิทยา ภมรเวชวรรณ 2555) มีรายละเอียดทีลูกหลานของ ผสู้ ูงอายคุ วรใหค้ วามใส่ใจ ดงั นี 1. ต้อกระจก พบไดท้ ุกคนเมือมีอายมุ ากขึน เกิดจากเลนส์แกว้ ตาภายในดวงตาข่นุ ทาํ ให้ แสงผ่านเขา้ ไปในตาได้น้อยลง ปัจจยั เสียง ไดแ้ ก่ อายุ การไดร้ ับแสงอลั ตราไวโอเลตบ่อยๆ หรือ แสงแดดจา้ โรคเบาหวาน ความดนั โลหิตสูง ยาหยอดตากลุ่มสเตียรอยด์ เป็ นตน้ อาการทีเกิดขึนคือ ตามวั ลงอาจเริมจากการทีตอ้ งเปลียนแวน่ ตาบ่อยๆ ต่อมามวั ลงมากปรับแวน่ อยา่ งไรก็ไม่ดีขึน อาจ มองเห็นภาพเป็ นสีเหลือง บางคนอาจมองเห็นแสงกระจายในทีสวา่ งจา้ การรักษาและป้องกนั ตอ้ กระจกบางส่วนสามารถป้องกนั หรือชะลอการเกิดได้ แต่เมือเป็ นตอ้ กระจกแลว้ ไม่มียาหยอดตา หรือยารับประทานทีจะช่วยสลายตอ้ กระจกได้ การรักษาตอ้ งทาํ การผา่ ตดั เอาเลนส์ทีข่นุ ออกและใส่ เลนส์แกว้ ตาเทียม ซึงปัจจุบนั ใชค้ ลืนเสียงความถีสูงหรืออลั ตราซาวนด์สลายตอ้ กระจก ทาํ ให้แผล

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 55 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ผา่ ตดั มขี นาดเล็ก ไม่จาํ เป็ นตอ้ งเยบ็ แผล ผปู้ ่ วยมกั จะกลบั มามองเห็นเป็ นปกติถา้ ไม่มีโรคอืนๆ ทีทาํ ใหต้ ามวั 2. ต้อหิน เป็นสาเหตุตาบอดถาวรทีสาํ คญั เมืออายมุ ากขึนมีโอกาสเกิดตอ้ หินเพมิ ขึน ตามวยั ตอ้ หินเป็ นโรคของเส้นประสาทตา ซึงเป็นตวั นาํ กระแสประสาทจากลูกตาไปยงั สมอง ทาํ ใหส้ ามารถมองเห็นภาพต่างๆ ได้ โดยมีปัจจยั เสียงหลกั คือ ความดนั ตาสูง กดทาํ ลายเส้นประสาท ตา ส่วนปัจจยั อืนๆ เช่น มีคนในครอบครัวเป็นตอ้ หิน อายุ 40 ปี ขึนไป การใช้ยาสเตียรอยด์ ไดร้ ับ อุบตั ิเหตุหรือผา่ ตดั ตามาก่อน อาการของโรคโดยทวั ไปช่วงแรกของโรคมกั ไม่มีอาการ ต่อมาจะ สูญเสียการมองเห็นจากดา้ นขา้ งเขา้ มาตรงกลางเรือยๆ และตาบอดในทีสุด อาจมีตอ้ หินบางประเภท เช่นตอ้ หินมุมปิ ดเฉียบพลนั ทีมีอาการปวดมาก เห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ มวั ลงมากและตาแดง ซึงเป็ น อาการเร่งด่วนทีตอ้ งรีบมาพบแพทย์ ในดา้ นการรักษาตอ้ หินนนั ส่วนใหญ่เริมตน้ ดว้ ยยาลดความ ดนั ตาหรือการยิงเลเซอร์ โดยผูป้ ่ วยจะตอ้ งมาตรวจติดตามอย่างสมาํ เสมอ ถา้ รักษาดว้ ยยาไม่ไดผ้ ล แพทยจ์ ะใชว้ ธิ ีผา่ ตดั ต่อไป ปัจจุบนั ไม่มีการรักษาทีสามารถทาํ ใหก้ ารมองเห็นกลบั คืนมาเท่าคน ปกติ แตส่ ามารถชะลอไมใ่ หโ้ รคแยล่ งได้ 3. จุดภาพชัดทจี อตาเสือม เกิดจากภาวะเสือมของบริเวณจดุ ภาพชดั ทีอยบู่ ริเวณ ส่วนกลางของจอตา ซึงจุดนีใชร้ ับรู้รายละเอียดและสีของภาพ ทาํ ให้การมองเห็นส่วนกลางของภาพ มวั ลง โดยทียงั เห็นบริเวณรอบขา้ งของภาพไดเ้ ป็ นปกติ สาเหตุเชือวา่ เกิดจากการสะสมของอนุมูล อิสระและของเสียจากการทาํ งานทีไมส่ มบูรณ์ของเซลลร์ ับแสง เซลล์เมด็ สีใตจ้ อตาและหลอดเลือด ในบริเวณจุดรับภาพชดั ทาํ ให้เกิดการทาํ ลายเซลล์ทีจุดภาพชดั ปัจจยั เสียง คือ ปัจจยั ทางพนั ธุกรรม มีส่วนร่วมในการเกิดโรค ปัจจยั เสียงทีสัมพนั ธ์กบั การเกิดโรคอีกประการคือ ภาวะสูงอายุ แสง อลั ตราไวโอเลตหรือแสงอาทิตย์ การสูบบุหรีและความดนั โลหิตสูง อาการของโรคในระยะเริมตน้ อาจไม่มีอาการ ต่อมาเมือเสือมมากขึนจะมีอาการตามวั เห็นภาพบิดเบียว เห็นจุดดาํ อยกู่ ลางภาพและ สูญเสียการมองเห็นตรงกลางภาพโดยไม่มีอาการปวด ในด้านการรักษาและป้องกนั ผปู้ ่ วยตอ้ งมี ความรู้และเขา้ ใจในโรคนี รับประทานยาตา้ นอนุมูลอิสระตามขอ้ บ่งชีเพือชะลอการดาํ เนินโรคและ ลดโอกาสเกิดหลอดเลือดผดิ ปกติ ในกรณีทีมีหลอดเลือดผดิ ปกติเกิดขึนแลว้ จะมีการรักษาหลายวธิ ี ได้แก่ ฉีดยาทีมีฤทธิยบั ยงั การเกิดหลอดเลือดเขา้ ในวุน้ ตา การใช้แสงเลเซอร์พลังงานตาํ และ สารไวแสง การใช้แสงเลเซอร์พลงั งานสูง บางกรณีอาจพิจารณาใช้การผา่ ตดั วุน้ ตาและจอตาร่วม ดว้ ย การรักษาและติดตามผลตอ้ งกระทาํ อยา่ งต่อเนือง ในดา้ นการป้องกนั ผสู้ ูงอายุควรตรวจตาเป็ น ประจาํ ทุกปี เมือมีการมองเห็นภาพทีเปลียนแปลงไปดงั กล่าวควรรีบมาพบจกั ษุแพทย์ ควรทดสอบ การมองเห็นเป็ นประจาํ ด้วยตารางตรวจจุดภาพชดั หรือมองสิงทีเป็ นเส้นตรง เช่น กรอบประตู หนา้ ตา่ ง ถา้ พบความผดิ ปกติควรรีบมาพบจกั ษแุ พทย์ หยดุ สูบบุหรีและสวมแวน่ กนั แดด

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 56 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 4. ภาวะเบาหวานขนึ จอตา เกิดจากการทีระดบั นาํ ตาลในเลือดสูงผดิ ปกติ ส่งผลให้ ผนงั หลอดเลือดฝอยเสือมทวั ร่างกายรวมทงั หลอดเลือดทีจอตา ทาํ ให้เลือดและสารตา่ งๆ รัวซึมออก จากหลอดเลือดทีผิดปกติ ปัจจยั เสียง ได้แก่ การควบคุมระดบั นาํ ตาลในเลือด ระยะเวลาทีเป็ น เบาหวาน และโรคประจาํ ตวั อืน ๆ เช่น ความดนั โลหิตสูง โรคไต ภาวะซีด อาการของโรคใน ระยะแรกมกั ไม่มีอาการผิดปกติ แต่ตรวจตาอาจพบจุดเลือดออกทีจอตา หากมีอาการตามวั แสดงวา่ เบาหวานขึนจอตาเป็ นมากแลว้ ดงั นนั ผูป้ ่ วยเบาหวานทุกคนควรไดร้ ับการตรวจตาโดยจกั ษุแพทย์ หากพบวา่ มีเบาหวานขึนจอตาแพทยจ์ ะพจิ ารณาให้การรักษาต่อไป การรักษาและป้องกนั โดยการ รักษามุ่งหวงั ไมใ่ ห้โรคลุกลามไปจากระยะทีเป็นอยู่ การควบคุมระดบั นาํ ตาลในเลือดใหอ้ ยใู่ นเกณฑ์ ปกติรวมทงั ดูแลโรคประจาํ ตวั อืน ๆ เช่น โรคความดนั โลหิตสูงและโรคไตอยา่ งเหมาะสม สามารถ ชะลอความรุนแรงของโรคได้ ในปัจจุบันการรักษาภาวะเบาหวานขึนจอตามี 3 วธิ ี คือ การรักษา ด้วยเลเซอร์ การรักษาด้วยยา และการรักษาด้วยการผ่าตัด ซึงจะเลือกใชว้ ธิ ีใดขึนกบั ระยะและความ รุนแรงของโรค ภาวะนีสามารถวินิจฉยั และรักษาไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพมากขึนดว้ ยเครืองมือการ ตรวจและรักษาทีมีในปัจจุบนั ดงั นนั ผปู้ ่ วยเบาหวานทุกคนควรไดร้ ับการตรวจตาโดยจกั ษุแพทย์ อย่างน้อยปี ละครัง หากแพทยต์ รวจพบเบาหวานขึนจอตา แพทยจ์ ะนดั ตรวจติดตามต่อเนืองหรือ พจิ ารณาใหก้ ารรักษาทีเหมาะสมตามระยะโรคทีตรวจพบ นอกจากนนั ผูป้ ่ วยเบาหวานทีตงั ครรภ์ ควรไดร้ ับการตรวจตาในช่วง 3 เดือนแรกของการตงั ครรภเ์ นืองจากระดบั ฮอร์โมนเปลียนแปลงใน ระหวา่ งตงั ครรภ์ ส่งผลใหภ้ าวะเบาหวานขึนตารุนแรงขึนได้ โดยสรุปความเสือมถอยของระบบอวัยวะทีเกยี วข้องกบั การสือสารด้าน การมองเห็น คือ ตา ผูส้ ูงอายุ ประมาณร้อยละ 10 จะมีโรคทางตาหรือความสามารถในการ มองเห็นลดลงซ่อนเร้นอยู่ สาเหตุทีพบบอ่ ย ไดแ้ ก่ -โรคตอ้ กระจก ทาํ ใหผ้ สู้ ูงอายมุ ีอาการตามวั ลงอยา่ งชา้ ๆ - โรคตอ้ หิน ผสู้ ูงอายทุ ีมีตอ้ หิน ส่วนหนึงจะค่อยเป็นค่อยไป มกั จะมาพบ แพทยต์ ่อเมือสายตามวั ลงมากจนไม่สามารถแกไ้ ขกลบั คืนมาได้ ถา้ ไดร้ ับการรักษาตงั แต่เริมแรก อาจป้องกนั ภาวะตาบอดได้ - ภาวะประสาทจอรับภาพเสือม (Macular Degeneration) โดยเฉพาะในคนทีมีอายสุ ูงมากๆ -ภาวะสายตาสันหรือยาวผดิ ปกติ

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 57 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ในการตรวจวินิจฉยั โรคตอ้ กระจก ตอ้ หิน ภาวะสายตาสัน หรือภาวะสายตายาวผิดปกติ นนั อาจทาํ การตรวจคดั กรองดว้ ยการวดั สายตา โดยให้ผสู้ ูงอายุอ่านภาพตวั อกั ษรหรือดูภาพทีห่าง ออกไป 6 เมตร ถา้ พบวา่ มีความผดิ ปกติ แพทยจ์ ะส่งตวั ผปู้ ่ วยไปพบจกั ษุแพทยต์ อ่ ไป (3) อวยั วะทเี กียวข้องกับการสือสารด้านการพูด คือ ปาก เพือใชใ้ นการพูด การเปล่งเสียง มีองคป์ ระกอบทีสาํ คญั คือ กลา้ มเนือบริเวณช่องปาก กล่องเสียงและการสังการของระบบประสาท จากสมอง ทีมีผลต่อการรับรู้ การคิด การตอบสนองและความจาํ ในผูส้ ูงอายุปกติอาจไม่มี ผลกระทบมากนกั แต่ในผสู้ ูงอายทุ ีมีการเจบ็ ป่ วยทีอวยั วะส่วนนี เช่น เป็นมะเร็งกล่องเสียง หรือช่อง ปาก หรือไดร้ ับการเจาะคอ รวมทงั ผูท้ ีมีปัญหาความจาํ เสือม ในทีสุดแลว้ ผสู้ ูงอายุจะมีปัญหาในการ สือภาษาตามมา เพราะไมส่ ามารถเขา้ ใจไดว้ า่ สิงทีสมาชิกในครอบครัวพูดนนั หมายถึงอะไรรวมทงั อาจไมส่ ามารถทีจะพดู หรือสือความหมายใหล้ ูกหลานทราบความตอ้ งการของตนเองได้ โดยสรุปความเสือมถอยของระบบอวยั วะทีเกยี วข้องกับการสือสารด้าน การพูด คือ ปาก เพราะผสู้ ูงอายมุ ากกวา่ ร้อยละ50 มีโรคเกียวกบั เหงือกและฟันทีซ่อนเร้นอยู่ โดยเฉพาะผสู้ ูงอายุทีไม่สามารถช่วยเหลือตนเองไดห้ รือมีฐานะยากจน โรคทีพบบ่อย ไดแ้ ก่ ฟันผุ เหงือกอกั เสบ หรือมะเร็งในช่องปาก วิธีตรวจเพือคน้ หาภาวะดงั กล่าวทีดีคือ การให้ทนั ตแพทย์ ตรวจสุขภาพในช่องปากเป็ นระยะๆ นอกจากนัน สิงทีสมาชิกในครอบครัว ควรต้องดูแลเอาใจใส่และสังเกตอาการ ต่างๆ ของผู้สูงอายใุ นครอบครัว เพมิ เติมอกี เช่น -สุขภาพจิต เพราะโรคทางจิตเวชทีพบบอ่ ยในผสู้ ูงอายุ ทีอาจซ่อนเร้นอยมู่ ี 2 ภาวะ คือ 1) ภาวะซึมเศร้า และ 2) ภาวะสมองเสือม การตรวจเพือคน้ หาภาวะดงั กล่าว ตอ้ งให้แพทยเ์ ป็ นผู้ ซกั ประวตั อิ ยา่ งละเอียดทงั จากตวั ผูส้ ูงอายเุ อง ลูกหลาน ญาติและผดู้ ูแลใกลช้ ิด ซึงการตรวจเช่นนีจะ ใชเ้ วลาพอสมควร และควรไดร้ ับการตรวจโดยแพทยผ์ ชู้ าํ นาญเฉพาะทาง การตรวจชนิดนีลูกหลาน ญาติหรือตวั ผสู้ ูงอายจุ าํ เป็ นตอ้ งเล่าถึงอาการทางจิตเวชดว้ ย -อวยั วะสืบพนั ธ์ุในสตรี เพราะเพศหญิงมีความเสียงสูงมาก ลูกหลานจึงควรใหผ้ สู้ ูงอายใุ น ครอบครัวมีการตรวจค้นหาก้อนเนืองอกผิดปกติทีอาจพบได้ในระบบอวยั วะสืบพนั ธุ์ ซึง อุบตั ิการณ์ของโรคมะเร็งพบสูงขึนตามอายุ ขณะเดียวกนั หญิงชราทีไม่เคยไดร้ ับการตรวจเซลล์ที ปากมดลูกก็ควรไดร้ ับการตรวจอย่างน้อยปี ละ1 ครัง ถ้าปกติติดต่อกนั เป็ นเวลา 3 ปี สามารถลด ความถีของการตรวจเป็นทกุ 3 ปี ต่อครัง จากขอ้ มูลเรืองความผิดปกติทีพบบ่อยในผูส้ ูงอายทุ งั กลุ่มโรคและภาวะความเสียงต่างๆ ลูกหลานจึงควรเอาใจใส่ดูแลช่วยเหลือผูส้ ูงอายุในบา้ นดว้ ยการพาผูส้ ูงอายุไปรับการตรวจเลือด

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 58 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ตรวจปัสสาวะและอุจจาระ เพือตรวจโรคทีซ่อนเร้นอยู่ได้ โดยเป็ นการตรวจทางห้องปฏิบตั ิการ ควบคู่ไปกบั การซกั ประวตั ิและตรวจร่างกาย เพราะจะช่วยให้แพทยส์ ามารถตรวจยืนยนั หาโรคที ซ่อนเร้นอยูไ่ ดด้ ีขึน เช่น โรคเบาหวาน ภาวะไขมนั ในเลือดผิดปกติ โรคติดเชือทางเดินปัสสาวะ ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร เช่น มะเร็งลาํ ไสใ้ หญ่ โดยการตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระ ภาวะ ตอ่ มไทรอยดท์ าํ งานลดลง เป็ นตน้ โดยปกติตามธรรมชาตินนั เมือมนุษยม์ ีอายุมากขึนสุขภาพร่างกายและจิตใจยอ่ มมีโอกาส เสือมลงตามอายุทีมากขึน และมีความเสียงต่อความเจ็บป่ วยทีจะเกิดขึนตามมา โรคภยั ต่างๆ สาํ หรับผูส้ ูงอายุทีลูกหลานควรสังเกตุและดูแลอยา่ งใกลช้ ิด เพราะเป็ นความผดิ ปกติทีพบบ่อยใน ผสู้ ูงอายุ (ประเสริฐ อสั สันตชยั 2552) ไดแ้ ก่ 1) โรคความดนั โลหิตสูง จากการวดั ความดนั โลหิตทีตน้ แขนหลงั จากนงั พกั อยา่ งนอ้ ยครึง ชวั โมง 2) กลุ่มโรคเฉพาะในผูส้ ูงอายุ (Geriatric Syndrome) เช่น ภาวะหกลม้ ซาํ ซ้อน ภาวะสูญเสีย ความสามารถในการเดิน ภาวะกลันปัสสาวะไม่อยู่ ความบกพร่องทางสติปัญญา ภาวะทุพ โภชนาการ การเกิดผลขา้ งเคียงเนืองจากการใชย้ า 3) โรคในระบบไหลเวียนโลหิต เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรค หลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตนั 4) โรคมะเร็งชนิดต่างๆ เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเตา้ นม มะเร็งปอด มะเร็งลาํ ไส้ใหญ่ มะเร็งตบั 5) ตรวจผิวหนงั เช่น การติดเชือราทีผิวหนงั โดยเฉพาะถา้ เป็ นโรคเบาหวานอยดู่ ว้ ย ผืนแพ้ ยา ภาวะผวิ แหง้ มะเร็งผวิ หนงั 6) ปัจจยั เสียงดา้ นสังคม เช่น การทีผูส้ ูงอายุขาดผูด้ ูแลหรือลูกหลานอย่างใกลช้ ิด การไม่ สามารถทีจะออกไปพบปะสังคมกบั ผอู้ ืน เป็นตน้ โดยทงั หมดนีเป็ นเพียงการชีให้เห็นถึงขอ้ ควรระวงั โดยการตรวจเพือป้องกนั เป็ นประจาํ เพราะในแนวทางทีดีมากกว่า คือ ผูส้ ูงอายุควรใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเองทงั กายและใจให้เป็ น ประจาํ สมาํ เสมอ ทงั นีลูกหลานและสมาชิกในครอบครัวก็ควรทีจะดูแลเอาใจใส่คอยสอบถาม สารทุกข์สุกดิบกบั ผูส้ ูงอายุอยา่ งใกลช้ ิดดว้ ย และตอ้ งสือสารสุขภาพอย่างนุ่มนวลและตอ้ งเขา้ ใจ เขา้ ถึงสภาพจิตใจของผูส้ ูงอายุในแต่ละสถานการณ์ดว้ ย เพือเป็ นการพฒั นาคุณภาพชีวติ และความ ผาสุกของทงั ผูส้ ูงอายแุ ละสมาชิกในครอบครัวไปพร้อมๆ กนั

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 59 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ปัจจัยต่ างๆทีเกียวข้ องกับสภาวะความเปลียนแปลงด้ านร่ างกายและจิตใจของ ผู้สูงอายุ นัน หากลกู หลานมคี วามเข้าใจและใส่ใจป้องกันรวมทังช่วยแก้ไข จะส่งผลให้ การสือสารสุขภาพเกดิ ประโยชน์สูงสุดระหว่างลกู หลานกบั ผู้สูงอายุในครอบครัว เพราะ จะเป็ นการสือสารทีก่อให้เกิดความสบายใจ เกิดความอิมเอมใจ เพลิดเพลินใจและได้ เนือหาสาระความรู้เรืองสุขภาพในแง่มุมต่างๆ แก่ผู้สูงอายดุ ้วย ดงั นนั ลูกลานทีเป็ นสมาชิกในครอบครัวทีจะตอ้ งมีการสือสารหรือสือภาษาระหวา่ งกนั กบั ผสู้ ูงอายเุ ป็ นประจาํ จงึ ควรไดต้ ระหนกั หรือมีความเขา้ ใจตอ่ การเปลียนแปลงตามวยั ของผูส้ ูงอายุ ไม่ ว่าจะเป็ นเรืองหู หรือการได้ยิน การมองเห็น การพูด การรับรู้และการตอบสนอง ซึงจะมีความ บกพร่องหรือล่าช้าไปบา้ งก็ควรจะอดทน ใจเยน็ รอคอยไดใ้ ห้เวลาแก่ผูส้ ูงอายุดว้ ยความเขา้ ใจใน ความรู้สึกของผสู้ ูงอายอุ ยา่ งแทจ้ ริง เพราะเมือใดก็ตามทลี ูกหลานผู้ดูแลขาดความเข้าใจในธรรมซาติของผู้สูงอายุ โอกาสทีจะ เกิดการทาํ ร้ายจิตใจผสู้ ูงอายจุ ะดว้ ยตงั ใจหรือไม่ตงั ใจยอ่ มเกิดขึนไดเ้ สมอ ดงั นนั ลูกหลาน ควรให้ ความเขา้ ใจและให้ความสําคญั ต่อปัจจยั ดงั กล่าว เพือให้การสือสารหรือสือภาษามีความเข้าใจ ตรงกนั ทงั ผพู้ ูดและผูฟ้ ัง ผูส้ ูงอายเุ องก็สามารถรบั รู้ไดถ้ ูกตอ้ งวา่ ลูกหลานตอ้ งการจะพดู คุยเรืองอะไร เป้าหมายจริงๆ ของการสือภาษาคืออะไร และลูกหลานเองก็เรียนรู้ธรรมชาติของกนั และกนั เขา้ ใจ ในความตอ้ งการของผสู้ ูงอายมุ ากขึน ไมเ่ กิดการทะเลาะกล่าวโทษกนั ไปมา ทาํ ใหเ้ กิดความลม้ เหลว ของการสือสารได้ ดังนันเพือให้ การสื อสา รสุ ขภา พระหว่ างลูกหลา นกับผู้สู งอา ยุในครอบครั ว เป็ นไปด้วยความสุขความสบายใจได้ประโยชน์อย่างแท้จริง จึงควรคํานึงถึงสิงต่างๆ ดงั ต่อไปนีคือ 1) เขา้ ใจในความเสือมถอยทางประสาทหู การไดย้ นิ การมองเห็น และการพดู โตต้ อบของ ผสู้ ูงอายุ 2) เพมิ เวลาในการพูดคุยกบั ผสู้ ูงอายมุ ากกวา่ เดิม เมือเปรียบเทียบกบั คนวยั หนุ่มสาว 3) มีความอดทนใหเ้ วลาและสามารถรอได้ อยา่ เร่งรีบ เช่น เมือถามก็รีบอยากไดร้ ับฟัง คาํ ตอบจากผสู้ ูงอายทุ นั ที ตอ้ งใหเ้ วลาท่านคิดแลว้ ค่อยๆ พดู และเปิ ดเผยบอกออกมา 4) มีทศั นคติดา้ นบวกต่อผสู้ ูงอายอุ ยา่ งเขา้ ใจในชีวติ และความเป็นจริงของผสู้ ูงอายุ 5) ควรพูดจาดว้ ยภาษาทีเขา้ ใจง่าย เสียงดงั ฟังชดั และมีทา่ ทีทีสุภาพออ่ นนอ้ ม 6) ควรพดู คุยในเนือหาสาระทีผสู้ ูงอายมุ ีความรู้สึกร่วมกนั และพึงพอใจจะพูดคุย เช่น การ พดู คุยเกียวกบั เรืองราวของผูส้ ูงอายใุ นอดีตทีผา่ นมา เช่น ความสาํ เร็จในชีวติ การทาํ งาน เป็นตน้

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 60 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ 4) ปัจจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข หรือ (Health Economics) ทีมีความจาํ เป็ น ต้องเปลยี นกระบวนทศั น์มาสู่ “การสร้างนาํ ซ่อม” แนวคิดด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข (Health Economics) คือ การศึกษาเกียวกบั การ ประยุกตห์ ลกั เศรษฐศาสตร์ในการกาํ หนดนโยบาย การวางแผนและการจดั บริการสุขภาพ เพือให้ ทรัพยากรทีใช้ในการจัดบริการสุขภาพเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอนามยั ของประชาชน (ศูนยว์ จิ ยั เศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการประเมินผล 2556) นกั เศรษฐศาสตร์ให้ความสาํ คญั ของ วิชาเศรษฐศาสตร์กบั การจดั สรรทรัพยากรทีมีอยู่อย่างจาํ กดั ในแนวทางทีจะนาํ มาซึงประโยชน์ สูงสุดแก่สังคม จึงต้องมีการตัดสินใจเลือกใช้ทรัพยากรทีมีอยู่อย่างจํากัด ในแนวทางทีเป็ น ประโยชน์ต่อส่วนรวมให้มากทีสุด โดยพยายามตอบคาํ ถาม 4 ขอ้ คือ 1) ผลติ เพอื อะไร (What to produce) 2) ผลติ อย่างไร (How to produce) 3) ใครควรจะได้รับผลผลติ (For whom) 4) เวลาทจี ะผลติ (When to produce) ปัจจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขนัน เป็ นแนวทางการจัดสรรทรัพยากรด้านสุขภาพ (Health resources) และการกระจายบริการสุขภาพ (Health services) ในสังคมหนึงๆ โดยมี จุดประสงค์ทจี ะส่งเสริมความเข้าใจประเด็นทางสุขภาพในทางเศรษฐศาสตร์ รวมทงั การนาํ แนวคิดดา้ นเศรษฐศาสตร์มาใชป้ ระโยชน์ในดา้ นสุขภาพ ไดแ้ ก่ -บริการสุขภาพไม่ได้เป็ นปัจจัยเดยี วทสี ร้างสุขภาพ -ระบบบริการสุขภาพไม่ได้เป็ นระบบปิ ดทตี ดั ขาดจากระบบอืน -ระบบบริการสุขภาพมีความเชือมโยงกบั สาขาเศรษฐกจิ อืน โดยสามารถพิจารณาปัจจยั ดา้ นนีไดว้ ่า คา่ ใชจ้ ่ายต่างๆ ทีตอ้ งนาํ มาใชด้ ูแลป้องกนั และการ รักษาพยาบาลผสู้ ูงอายทุ ีเกิดเจ็บป่ วยตามสภาพของร่างกายทีเสือมโทรมไปตามกาลเวลานนั มีมูลค่า ทางเศรษฐศาสตร์ทีเป็ นจาํ นวนมากตอ้ งใชเ้ งินเพอื นาํ มาจ่ายค่ารักษาพยาบาลต่างๆ ทงั ของครอบครัว ผูส้ ูงอายุเองและงบประมาณของภาครัฐทีช่วยสนบั สนุนภาระค่าใช้จ่ายในดา้ นส่วนลดราคาหรือ ยกเวน้ คา่ ใชจ้ ่ายในบางบริการทางดา้ นสาธารณสุข

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 61 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ “การสร้ างนําซ่ อม” เป็ นกระบวนการวิธีคิดทีสอดคล้องกับคํากล่าวทีว่า “การเปลยี นแปลงทยี งิ ใหญ่เริมจากจุดเลก็ ๆ เสมอ หรือทีสํานวนฝรังบอกว่า From little things , big things grow ” และถือเป็ นกระบวนทศั น์ทีเกียวขอ้ งกบั การสร้างเสริมสุขภาพทีมีความจาํ เป็นอยา่ ง ยงิ ในการดูแลผูส้ ูงอายอุ ยา่ งเป็นองค์รวม (Holistic) ผสมผสาน (Integrate) และมีความต่อเนืองของ การดูแลสุขภาพ (Continuum of care) เพราะสุขภาพ คือ ภาวะความเป็ นอยู่ทีมีความสมบูรณ์ ทางดา้ นกาย จติ ใจและสงั คม มิใช่พียงปราศจากโรคหรือความพกิ ารเทา่ นนั สุขภาพเป็นสิงทีโอนให้ ผอู้ ืนไม่ได้ ทุกคนตอ้ งมีสถานะทางสุขภาพอยา่ งใดอยา่ งหนึงแมจ้ ะจนทีสุดกต็ าม กระบวนทัศน์ในการสร้ างสุขภาพนําการซ่อมสุขภาพ ให้ความสําคัญกับการส่ งเสริม สุขภาพ การป้องกันโรค การให้ความรู้เพือการปรับเปลียนพฤติกรรมเสียงของผู้สูงอายุ ซึงนัน แปลว่า ทุกองคาพยพในระบบสาธารณสุขต้องสนับสนุนกระบวนทัศน์นีเท่าทีทาํ ได้ไม่ว่าจะอยู่ใน บทบาทใด โดยเฉพาะสมาชิกในครอบครัวทอี ยู่ใกล้ชิดกับผู้สูงอายุมากทสี ุด จากข้อมูลทีกล่าวมาทังหมด สามารถพิจารณาได้ถึงความสาํ คญั ของปัจจยั ต่างๆ ที เกียวขอ้ งกบั การสือสารสุขภาพระหวา่ งผสู้ ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว รวมทงั การเติบโตขององค์ ความรู้ดา้ นการสือสารสุขภาพทงั ในประเทศไทยและตา่ งประเทศจากแนวคิดและผลการศึกษาวจิ ยั ในแง่มุมทีเกียวขอ้ งต่างๆ จนสามารถทาํ ใหป้ ัจจุบนั นีนกั วชิ าการ นกั สือสารสุขภาพ สือสารมวลชน ต่างๆ มีแนวทางในการต่อยอดขยายผลองคค์ วามรู้ทางดา้ นนีไปไดอ้ ยา่ งถูกทิศทางและตอบสนอง ต่อความตอ้ งการของประชาชนหน่วยงานองคก์ รต่างๆ ทงั ภาครัฐ ภาคเอกชนซึงทาํ งานเกียวขอ้ งกบั ภารกิจดา้ นสือสารสุขภาพ โดยเฉพาะความสําคญั ของการสือสารสุขภาพระหว่างผูส้ ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว เพราะสาํ หรับคาํ วา่ “การสือสาร” โดยทวั ๆ ไปนนั ก็ถือเป็นสิงจาํ เป็นทีมนุษยท์ ุกคนตอ้ งพบเจอและ ตอ้ งใช้ในชีวิตประจาํ วนั อยู่แลว้ ทงั ในฐานะของการเป็ นผู้ส่งสาร (Sender) และในฐานะของเป็ น ผู้รับสาร (Receiver) โดยแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมการสือสารในรูปแบบต่างๆ มากมาย เช่น ใน ฐานะการเป็ นผสู้ ่งสาร ไดแ้ ก่ การพดู บรรยายใหข้ ้อมูลเนือหาสาระ (Message) ในประเด็นทีตงั ใจไว้ การพูด การเขียนสะท้อนกลับความคิดเห็นต่อเหตุการณ์ทีพบเจอ การพูดแสดงความรู้สึกให้ ขอ้ สังเกตในเรืองทีใดเรืองหนึง การเขียนการพูดชีแจงขอ้ สงสัยขอ้ ซักถาม การพูดการบรรยายเพือ

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 62 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ สอนหนงั สือ การนาํ เสนอขอ้ มูลในการเป็นวิทยากร เป็ นตน้ และในฐานะการเป็ นผูร้ ับสาร ไดแ้ ก่ การฟังวทิ ยุ การดูโทรทศั น์ การอา่ นหนงั สือ การคน้ หาขอ้ มูลในอนิ เทอร์เน็ต เป็นตน้ โดยมีองค์ประกอบทีสําคัญซึงเป็ นหนึงในกระบวนการของการสือสารเพือให้เกิด ประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากทีสุด คือ ผสู้ ่งสารและผรู้ ับสารจะตอ้ งรับส่งเนือหาสาระของสาร ผา่ น “ช่องทางการสือสาร” (Channel) ประเภทใดประเภทหนึง เช่น การส่งข่าวสารให้เพือนดว้ ย การโทรศัพท์พูดคุยกนั การส่งข้อมูลสุขภาพจากลูกให้พ่อแม่และผูส้ ูงอายุทีเป็ นสมาชิกใน ครอบครัวดว้ ยการใชโ้ ปรแกรมประยกุ ต์ “ไลน์”ทีอยใู่ นโทรศพั ทม์ ือถือหรือส่งขอ้ มูลเขา้ ไปให้ทีสือ สงั คมออนไลน์ “เฟซบุก๊ ” หรือส่งเขา้ ไปใหท้ างจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือ “อีเมล” เป็นตน้ แต่พอมาถึงยคุ ปัจจุบันนีความจําเป็ นในการสือสารโดยเฉพาะ “การสือสารสุขภาพระหว่าง ผู้สูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว” ยงิ ถือว่ามคี วามสําคัญมากขึนกว่าในอดีตมากมาย จึงมี “คาํ ถาม” ตามมาวา่ ทาํ ไมจึงต้องให้ความสําคญั กับการสือสารสุขภาพระหว่าง ผู้สูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว คาํ ตอบทีสมเหตุผล คือ ดว้ ยวิถีชีวติ ของคนในยุคนีมีความเสียงภยั จากสิงแวดลอ้ มต่างๆ รอบตวั จนส่งผลใหเ้ กิดภาวะอาการเจบ็ ป่ วยไดม้ ากขึน สิงทีจะตามมาคือ ปัญหาต่างๆ มากมาย อาทิ ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจิปาถะ ตอ้ งหยุดงาน ตอ้ งเคร่งเครียดกบั การดูแลผูป้ ่ วยในบา้ น เป็ น ตน้ ดงั นนั มาตรการป้องกนั มิใหร้ ่างกายเกิดอาการเจ็บป่ วยหรือแกไ้ ขอาการเจบ็ ป่ วยไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว จึงน่าจะเป็ นทางออกทีดีอีกประการหนึง แต่ในบางรายจาํ เป็ นตอ้ งไปรักษาทีโรงพยาบาลหรือ สถานพยาบาลอนื ๆ ซึงก็ตอ้ งมีคา่ ใชจ้ ่ายตามมาอีกพอสมควร ดังนันการใช้มาตรการทําบ้านให้เป็ น “สถานพยาบาล” ทาํ บา้ นให้เป็ น “สถานทีให้ข้อมูล ข่าวสารในการดูแลรักษาสุขภาพกายใจตังแต่เบืองต้น” จึงน่าจะเป็ นทางแกไ้ ขปัญหาทีดีมากกว่า เพราะบา้ นหรือครอบครัวถือเป็ นสถาบนั ทีเล็กทีสุดแต่ก็มีความสําคญั ทีสุดเช่นเดียวกนั สําหรับคน ทุกคน ถา้ เราสามารถใช้ครอบครัวเป็ นแหล่งเรียนรู้เป็ นแหล่งฝึ กฝนทกั ษะต่างๆ เพือใช้ปกป้อง ตนเองจากโรคภยั ไขเ้ จ็บได้ ก็จะเป็ นการช่วยลดภาระและลดความเสียงในดา้ นสุขภาพทีจะชาํ รุด ทรุดโทรมไดม้ ากขึน เพราะวถิ ีชีวติ ของผูค้ นสมยั ใหม่เปลียนแปลงไปตามสภาพแวดลอ้ มของระบบ เศรษฐกิจ สงั คม ประกอบกบั จาํ นวนประชากรทีเพิมขึนอยา่ งรวดเร็วโดยเฉพาะสัดส่วนของจาํ นวน ผสู้ ูงอายทุ ีเพมิ ขึนมากอยา่ งมีนยั สําคญั แมก้ ารเปลียนแปลงและพฒั นาเทคโนโลยีต่างๆ จะเจริญกา้ วหนา้ ไปแบบกา้ วกระโดด มี วทิ ยาการทางการแพทยท์ ีทนั สมยั สามารถรักษาสุขภาพของผคู้ นให้มีอายทุ ียนื ยาวมากขึน แต่ปัญหา เรืองอาการเจบ็ ป่ วยของผสู้ ูงอายกุ ย็ งั คงเกิดขึนอยา่ งมากมายคลา้ ยๆ กนั ในแต่ละครอบครัว

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 63 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ดังนันการใช้ วิธีการสื อสารสุขภาพระหว่างผู้สูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว จึงมี ความสําคัญในการเข้ามาทําหน้าทีตรงจุดนีได้เป็ นอย่างดี เพือการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที เกียวข้องกับสุขภาพ โดยเฉพาะปัจจุบนั นีทีจะเรียกว่าเป็ นยุคสือสารไร้พรมแดน ยุคดิจิทลั ยุค เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือสารก็ไดท้ งั สิน เพราะมีการนาํ เครืองมืออุปกรณ์ต่างๆ เพือช่วยให้ การสือสารสุขภาพมีความสะดวกรวดเร็วและประหยดั ค่าใชจ้ า่ ยมากขึนมาใช้ โดยประเด็นทีผเู้ ขยี นมองเห็นประโยชน์มากทีสุดและสาํ คญั มากสาํ หรับการสือสารสุขภาพ ในจุดนี คือ การเลือกใช้ “สือใหม่” และนาํ มาประยกุ ตใ์ ชเ้ พือใหไ้ ดป้ ระสิทธิภาพและประสิทธิผล อยา่ งเต็มทีมากขึน เพราะวตั ถุประสงค์สําคญั ในการสือสารสุขภาพของสมาชิกในครอบครัวนนั เป็ นการสร้างความรู้ความเขา้ ใจและพฒั นาศกั ยภาพของผูส้ ูงอายุในเรืองทีเกียวขอ้ งกบั การดูแล รักษาสุขภาพและพฒั นาคุณภาพชีวิตให้มีความผาสุกอย่กู บั ลูกหลานและสังคมแบบมีคุณค่าหรือ กล่าวไดว้ า่ “แก่อย่างมคี ณุ ค่า ชราอย่างมีพลงั เข้มแขง็ ” สาํ หรับชีวิตของผูค้ นในศตวรรษที 21 กบั การเกิดขึนของสือใหม่ตา่ งๆ จะเปิ ดโอกาสให้ ผูส้ ูงอายุไดพ้ ฒั นาศกั ยภาพของตนเองตามความเหมาะสมและตามความสนใจ โดยไม่มีขอ้ จาํ กดั ดา้ นเวลาและสถานที อีกทงั ยงั ส่งเสริมใหผ้ สู้ ูงอายสุ ามารถคิดวเิ คราะห์และสังเคราะห์องคค์ วามรู้ได้ ดว้ ยตนเอง อาจมาจากความรู้โดยนัย (Tacit Knowledge) คือ เป็ นความรู้ทีฝังลึกอยู่ในตวั ของ ผสู้ ูงอายเุ อง เช่น ทกั ษะตา่ งๆ ในการสือสารติดต่อกบั ลูกหลานทีเป็นไปตามธรรมชาติของแต่ละคน ซึงตอ้ งอาศยั ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคต์ า่ งๆ ของผูส้ ่งสารและผูร้ บั สาร ดงั นีคือ 1) เป็ นนักคิดวเิ คราะห์ 2) เป็ นนกั แกป้ ัญหา 3) เป็ นนักสร้างสรรค์ 4) เป็ นนกั ประสานความร่วมมือ 5) เป็ นผู้ทรี ู้จักการใช้ข้อมูลและข่าวสารให้เหมาะสม 6) เป็ นผทู้ ีมีความสามารถเรียนรู้ไดด้ ว้ ยตนเอง 7) เป็ นผู้ทมี ีความตระหนักและรับรู้ความเปลียนแปลงของโลกทงั ด้านบวกและด้านลบ 8) เป็ นผทู้ ีมีพนื ฐานความรู้ในหลากหลายสาขา อาทิ ดา้ นสาธารณสุข ดา้ นสงั คม ดา้ น เศรษฐกิจ ดา้ นการเมอื ง ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ ดา้ นภูมิศาสตร์และดา้ นประวตั ิศาสตร์ เป็นตน้

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 64 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ เพราะการสือสารสุขภาพระหว่างผู้สูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัวในยุคนี มีความมุ่งหวงั วา่ จะสามารถพฒั นาผูส้ ูงอายุให้เป็ นผูท้ ีมีความรู้ความเขา้ ใจดา้ นการดูแลรักษาสุขภาพดว้ ยตนเองได้ เป็ นเบืองตน้ โดยการใช้วิธีการสือสารสุขภาพเพือสร้างความรู้และทกั ษะในเชิงบูรณาการ คือ นาํ เอาศาสตร์ความรู้จากหลากหลายสาขามารวมเขา้ ดว้ ยกนั ในจงั หวะทีเหมาะสม ในปริมาณทีพอดี เพือใชใ้ นการโนม้ น้าวชกั จูงใจผสู้ ูงอายุให้สามารถเกิดความกระตือรือร้นทีจะลุกขึนมาดูแลใส่ใจ สุขภาพของตนเองและสามารถเขา้ ใจสภาวะทางจิต สภาวะทางร่างกายวา่ มีความเปลียนแปลงไป มากนอ้ ยเพยี งใด นอกจากนันยังต้องสามารถกระตุ้นให้ผู้สูงอายุเกิดมีความตระหนักและมีจิตสํานึกในการ ค้นหาความรู้พืนฐานด้านสุขภาพอนามัยทเี กียวข้องกับตนเอง เพือนาํ มาใช้ประโยชน์เกิดการรู้จกั พึงพาตนเองก่อน โดยใชอ้ ุปกรณ์เครืองมือทีเป็นเทคโนโลยีหรือเป็ นนวตั กรรมการสือสารสุขภาพ เช่น สือใหม่ต่างๆ เขา้ มาช่วยคน้ หาขอ้ มูลข่าวสารทีตนเองตอ้ งการไดอ้ ย่างถูกตอ้ งและเหมาะสมต่อ สถานการณ์ขององค์ความรู้ด้านการสือสารสุขภาพทีเกิดขึนในชีวติ ประจาํ วนั เพือการแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั ในการสร้างความเขา้ ใจ จดจาํ ได้และสามารถนําไป ประยุกตใ์ ช้ได้อย่างเป็ นรูปธรรม ก่อเกิดประโยชน์อยา่ งแทจ้ ริงในบทนีเกียวกบั สถานการณ์ของ องคค์ วามรู้ดา้ นการสือสารสุขภาพ 1. ผอู้ า่ นคดิ วา่ สถานการณ์ขององคค์ วามรู้ดา้ นการสือสารสุขภาพในปัจจุบนั ของประเทศไทย เป็ นเช่นไร ถูกตอ้ งเหมาะสมหรือไม่ หรือควรจะตอ้ งปรับปรุงเปลียนแปลงอยา่ งไร 2. ผูอ้ ่านคิดวา่ จากข้อมูลในบทนีการสือสารสุขภาพจะส่งผลต่อกลุ่มเป้าหมายใดเป็ นหลกั รวมทงั กลุม่ เป้าหมายรองและควรดาํ เนินการเช่นไร 3. ผอู้ ่านคดิ วา่ การสือสารสุขภาพในมมุ มองของ “สามเหลียมสุขภาพ” นนั สังคมไทยสามารถ ดาํ เนินการไดด้ ีเพยี งใด เพราะเหตใุ ด 4. ผอู้ า่ นคดิ วา่ การสือสารสุขภาพในมมุ มองของ “จตั ุรัสสุขภาวะ” หรือ “สุขภาวะ 4 มิติ” ใน ประเทศไทยเป็ นเช่นไร 5. การใหค้ วามสาํ คญั สาํ หรับการสือสารสุขภาพระหว่างผูส้ ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัวของ ประเทศไทย มีเพียงพอแลว้ หรือไม่ มีความเหมาะสมกบั วฒั นธรรมไทยหรือไม่ 6. ผูอ้ ่านคิดว่าองค์ประกอบของครอบครัวทีมีคุณภาพและอยู่ดีมีสุข ซึงแบ่งออกได้เป็ น 5 ดา้ น เป็ นเช่นไรเห็นดว้ ยหรือไม่ เพราะเหตุใด

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 65 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 66 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ จุดมุ่งหมายของเนือหาสาระในบทนี เมือไดอ้ ่านหนงั สือในบทนีแลว้ จะทาํ ใหผ้ อู้ า่ นไดร้ ับรู้ถึงขอ้ มูลต่างๆ ดงั นีคือ 2.1 ปัจจยั แวดลอ้ มทีเกียวขอ้ งกบั การศึกษาวจิ ยั ดา้ นการสือสารสุขภาพ 2.2 งานศึกษาเชิงสาํ รวจในกลุ่มนกั ศึกษาพยาบาล ซึงตอ้ งเรียนจบออกไปปฏิบตั ิ หนา้ ทีอนั เกียวขอ้ งกบั การสือสารสุขภาพกบั ประชาชนโดยทวั ไปและกบั กลุม่ ผสู้ ูงอายดุ ว้ ย เป็ นการทาํ งานในฐานะเป็ น “นกั สือสารสุขภาพ” หรือใน กระบวนการสือสาร คือ การทาํ หนา้ ทีบทบาทของ “ผสู้ ่งสาร” (Sender) 2.3 ผลการศึกษาวจิ ยั หลกั สูตรตน้ แบบการพฒั นานกั สือสารสุขภาพ 2.4 งานวจิ ยั การสือสารสุขภาพในประเทศไทยโดยผเู้ ขียนและนกั วจิ ยั อืนๆ ประเด็นทีเกียวขอ้ งกบั กระบวนการสือสาร ดา้ น “ผสู้ ่งสาร” (Sender) 2.5 งานวิจยั การสือสารสุขภาพในต่างประเทศโดยผูเ้ ขียนและนกั วิจยั คนอืนๆ ประเด็นที เกียวขอ้ งกบั กระบวนการสือสาร ดา้ น“ผูส้ ่งสาร”(Sender) และ “ช่องทางการสือสาร” (Channel) ดว้ ยการใชส้ ือใหมเ่ พอื ส่งเสริมคุณภาพชีวติ ของผสู้ ูงอายุ 2.6 งานวจิ ยั การสือสารสุขภาพประเด็นทีเกียวขอ้ งกบั กระบวนการสือสาร ดา้ น “เนือหาสาร” (Message) “ช่องทางการสือสาร” (Channel) และ “ผรู้ ับสาร” (Receiver)

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 67 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ การศึกษาวิจัยเกียวกับสถานการณ์และผลกระทบของผูส้ ูงอายุและสังคมสูงอายุของ ประชากรในประเทศไทย ไดม้ ีการเริมดาํ เนินการจาก “การสาํ รวจผสู้ ูงอายใุ นประเทศไทย” โดย สํานักงานสถิติแห่งชาติได้จดั ทาํ ครังแรกเมือปี พ.ศ. 2537 จากนนั ได้มีการสาํ รวจผูส้ ูงอายุใน ประเทศไทยทุกๆ 5 ปี เป็ นการสาํ รวจระดบั ชาติ โดยมีตวั อยา่ งเป็นประชากรอายุ 55 ปี ขึนไป จาก การสุ่มครัวเรือนตวั อยา่ งทุกภาคของประเทศ ประมาณ 83,880 ครัวเรือน ในทุกจงั หวดั ทวั ประเทศ ทงั ในเขตเทศบาํ ลและนอกเขตเทศบาล ในเดือนมิถุนายน-สิงหาคม พ.ศ. 2557 เป็นการสาํ รวจครังที 5 (สํานักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือสาร 2557) โดยพบว่า ผสู้ ูงอายุ หมายถึง ผทู้ ีมีอายุ 60 ปี บริบูรณ์ขึนไป จากผลสาํ รวจของสาํ นกั งานสถิติแห่งชาติ 4 ครัง ที ผา่ นมา พบวา่ ประเทศไทยมีจาํ นวนและสัดส่วนของผสู้ ูงอายเุ พิมขึน อยา่ งรวดเร็วและต่อเนือง โดย ในปี พ.ศ. 2537 มีจาํ นวนผสู้ ูงอายุ คิดเป็นร้อยละ 6.8 ของประชากรทงั ประเทศ และเพิมขึนเป็ น ร้อย ละ 9.4 ร้อยละ 10.7 ร้อยละ 12.2 ในปี พ.ศ. 2545, 2550 และ 2554 ตามลาํ ดบั ผลการสํารวจครังที 5 นีพบวา่ มีจาํ นวนผสู้ ูงอายคุ ิดเป็นร้อยละ 14.9 ของประชากรทงั หมด (เพศชายร้อยละ 13.8 และเพศ หญิง ร้อยละ 16.1) หรืออาจกล่าวไดว้ า่ ประเทศไทยเป็ น ประเทศหนึงในอาเซียนทีเขา้ สู่สังคมของผู้ สูงวยั (Aging Society) การเป็ นสังคมสูงวยั คือ การทีมีจาํ นวน ผูส้ ูงอายุเพิมมากขึน (ประชากรอายุ 60 ปี ขึนไป มากกวา่ ร้อยละ 10 ของประชากรทงั หมด) ในขณะทีวยั เดก็ และวยั แรงงานลดนอ้ ยลง โดยเป็ นแหล่งข้อมูลสําคัญแหล่งหนึงทีช่วยให้ทราบสถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มของ สังคมสูงอายุในประเทศไทยเท่านัน เพราะยังมีข้อมูลทีจะต้องนํามาวิเคราะห์รายละเอียดเรือง ผู้สูงอายใุ นหลายๆ ด้าน นอกจากนันยงั มกี ารศึกษาวจิ ัยเกยี วกบั ผ้สู ูงอายุในด้านอืนๆ อกี อาทิ -สาํ นกั ส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามยั ไดท้ าํ การศึกษาเพือหารูปแบบการดาํ เนินงานเกียวกบั การส่งเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายุ -สถาบนั วจิ ยั ระบบสาธารณสุข (สวรส.) มีงานวิจยั เกียวกบั ปัญหาสุขภาพของผสู้ ูงอายไุ ทย “แผนยทุ ธศาสตร์ทศวรรษกาํ ลงั คนดา้ นสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 – 2559” สภาวะสุขภาพและ แนวโนม้ ของประชากรสูงอายุ -กรมสุขภาพจิต มีงานวจิ ยั เกียวกบั คุณภาพชีวติ ของผสู้ ูงอายุ -สํานกั นโยบายและแผนสาธารณสุข มีการศึกษาวิเคราะห์ความตอ้ งการผูด้ ูแลผูส้ ูงอายุที ช่วยเหลือตนเองไมไ่ ด้ -สถาบนั วจิ ยั โภชนาการ มหาวทิ ยาลยั มหิดล มีการศึกษาวจิ ยั เรืองโภชนาการกบั สุขภาพของ ผสู้ ูงอายุ

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 68 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ -สาํ นกั งานส่งเสริมและพิทกั ษผ์ สู้ ูงอายุ (มส.ผส.) มีการศึกษางานผูส้ ูงอายใุ นประเทศไทย อยู่หลายดา้ นทีเกียวขอ้ งกบั เรืองสุขภาพ เช่น ศึกษาวิจยั เรืองรูปแบบการดาํ เนินงานผูส้ ูงอายุที เหมาะสม แผนงานวิจยั เพือพฒั นาคุณภาพชีวิตของผูส้ ูงอายุ โครงการศึกษาสถานการณ์ ความสามารถในการปฏิบตั ิกิจวตั รประจาํ วนั ความตอ้ งการและคุณภาพชีวิตของผสู้ ูงอายุ รวมทงั การศึกษาวจิ ยั เรืองความตอ้ งการมีส่วนร่วมในการพฒั นาสังคมของผูส้ ูงอาย:ุ ศึกษาเฉพาะกรณีศูนย์ อเนกประสงคส์ าํ หรับผสู้ ูงอายใุ นชุมชน เป็นตน้ -สํานักงานสถิติแห่งชาติ ทาํ การศึกษาเพือทบทวนสถานการณ์ทางด้านสุขภาพและ พฤตกิ รรมสุขภาพผสู้ ูงอายุ -สํานกั งานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ไดม้ ีการศึกษาการพฒั นา รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายุ -สถาบนั เวชศาสตร์ผูส้ ูงอายุ กรมการแพทย์ ไดม้ ีโครงการวจิ ยั การสํารวจและศึกษาภาวะ สุขภาพของผูส้ ูงอายุ 4 ภาคของไทย และมีการศึกษาเรืองปัญหาสุขภาพและการปฏิบตั ิตนสําหรับ ผสู้ ูงอายุ รวมถึงการดูแลรักษาโรคผสู้ ูงอายตุ า่ งๆ และการดูแลผปู้ ่ วยระยะสุดทา้ ย -สถาบนั วิจยั ประชากรและสังคม ไดท้ าํ การศึกษาวิจยั โครงการเรืองความเป็ นธรรมและ อุปสรรคในการเขา้ ถึงบริการสุขภาพและสวสั ดิการสาธารณะของผสู้ ูงอายทุ ีมีภาวะโรคเรือรังในเขต ภาคกลางและกรุงเทพมหานคร โครงการวิจยั และพฒั นาเพือส่งเสริมสุขภาพผูส้ ูงอายุ และการหา รูปแบบทีเหมาะสมในการส่งเสริมสุขภาพผูส้ ูงอายุในจงั หวดั กาญจนบุรี ธุรกิจใหบ้ ริการสุขภาพ และดูแลสุขภาพผสู้ ูงอายใุ นประเทศไทย เป็นตน้ จากขอ้ มูลดงั กล่าว จงึ พจิ ารณาไดว้ า่ มีการศึกษาวจิ ยั เกียวกบั การส่งเสริมสุขภาพผูส้ ูงอายุใน สังคมสูงอายุอยู่มากพอสมควรแล้ว แต่ยังขาดประเด็นเรืองการใช้นวัตกรรมการสือสารกับการ สือสารสุขภาพเพือคุณภาพชีวติ ทดี ขี องผู้สูงอายุและสมาชิกในครอบครัว ซึงเป็ นประเด็นทีน่าสนใจและใกลต้ วั คนทุกคน เพราะส่วนใหญ่ในทุกๆ ครอบครัวตอ้ งมี สมาชิกทีประกอบไปดว้ ยพอ่ แมล่ ูก โดยบางครอบครัวจะมีป่ ูยา่ ตายายพกั อาศยั อยใู่ นบา้ นดว้ ย

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 69 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ หากพจิ ารณาแนวทางการศึกษาวจิ ัยเรือง “การสือสารสุขภาพ” ทีผา่ นมาทงั ในสถาบนั การศึกษาและนอกสถาบนั การศึกษา พบขอ้ มูลว่า มีการศึกษาดว้ ยระเบียบวิธีวิจยั เชิง ปริมาณ (Quantitative Research) เป็นส่วนใหญ่ โดยใชก้ ารวจิ ยั เชิงสาํ รวจ (Survey Research) ดว้ ย แบบสอบถามเพอื วดั ประสิทธิผลของการสือสารเรืองสุขภาพหรือวดั ความรู้ ทศั นคติและพฤติกรรม สุขภาพของกลุ่มเป้าหมาย มีเพยี งส่วนนอ้ ยทีใชร้ ะเบียบวิธีวจิ ยั เชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ซึงใชก้ ารสรุปความโดยการวิเคราะห์เนือหา (Content analysis) เรืองสุขภาพในสือมวลชน เป็ นตน้ (พฒั นพงส์ จาติเกตุ และ จิณณ์นภสั แสงมา 2547) มีการระดมความคิดเห็นเพือแสวงหาแนวทาง พฒั นางานวจิ ยั การสือสารสุขภาพในอนาคต มีผเู้ สนอวา่ แนวโนม้ การศึกษาวิจยั เรืองดงั กล่าวควรใช้ การวจิ ยั เชิงคุณภาพ เช่น การใชร้ ะเบียบวธิ ีวิจยั เชิงทดลอง อนั จะทาํ ให้นิสิตนกั ศึกษาไดท้ ดลองนาํ แบบจาํ ลองต่างๆ ทีไดเ้ รียนรู้ไปแปลงเป็ นโปรแกรมทีสามารถกระตุน้ ให้เกิดการเคลือนไหวใน ชุมชนไดม้ ากขึน ไดอ้ งค์ความรู้ทีสามารถนาํ ไปประยุกตใ์ ช้ไดจ้ ริง บางขอ้ เสนอแนะเห็นวา่ การ สือสารเพือสุขภาพในศตวรรษใหมค่ วรเน้นเรืองความหลากหลายและทางเลือก จึงควรเปิ ดโอกาส ใหน้ กั ศึกษาไดแ้ สวงหาวธิ ีการดว้ ยตนเอง เพราะการสือสารสุขภาพเป็ นเรืองทีมีหลากหลายศาสตร์ เขา้ มาผสมผสาน และมีการนาํ แนวคิดทฤษฎีมาจากหลากหลายสาขา โดยพบข้อมูลว่า แนวคิดทฤษฎีทีใช้เป็ นกรอบในการศึกษาวิจยั ในยุคแรกๆ มีการให้ ความสาํ คญั กบั สือ ดว้ ยความเชือในอิทธิพลอนั มหาศาลของสือ จึงมีการศึกษาดว้ ยทฤษฎีผลกระทบ ของสือ (Impact Theory) และทฤษฎีบทบาทหนา้ ทีของสือ (Functional Theory) ในประเด็นการใช้ สือเพือให้การความรู้ดา้ นสุขภาพ เป็ นตน้ ต่อมาพบวา่ สือยงั ไม่สามารถทาํ หน้าทีในการโนม้ น้าว ชกั จูง กระตุน้ เตือนใหผ้ ูร้ ับสารเกิดความรู้ ทศั นคติ และการปฏิบตั ิตนในทางสร้างเสริมสุขภาพได้ มากนกั จึงเริมมีการศึกษาการทาํ หนา้ ทีของสือในแนวคิดเชิงสังคม (Social Approach) เพราะหาก มองวา่ การสือสารเป็ นตวั เชือมสังคม ดงั นนั การสือสารสุขภาพยอ่ มตอ้ งใชแ้ นวคิดเชิงสังคมเขา้ มา เกียวขอ้ ง เพราะการสือสารสุขภาพเป็ นเรืองเกียวกบั โครงสร้างระบบบริการสุขภาพและกลุ่มการ สือสารต่างๆ แนวคิดทีเกียวขอ้ งจึงเป็ นเรืองวฒั นธรรมองคก์ ร (Cultural Approach) แนวคิดเชิง ระบบ (System Approach) หรือแนวคิดเชิงวพิ ากษ์ (Critical Approach) เป็นตน้ นอกจากนนั ยงั มีผูเ้ สนอแนะว่า การสือสารสุขภาพในศตวรรษใหม่ ควรเน้นในเรือง แนวคิดเชิงวัฒนธรรม (Cultural Approach) ความหลากหลาย เพราะจะทําให้เข้าใจเรืองความ หลากหลายทางวัฒนธรรมกบั การนิยามสุขภาพทีจะส่งผลต่อการประพฤติปฏิบัติในเรืองสุขภาพ มากยงิ ขึน

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 70 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายุกบั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ ส่วนรูปแบบการศึกษาวิจยั ทีผา่ นมา นกั วจิ ยั จะเป็ นผกู้ าํ หนดประเด็นคาํ ถามทีตนเองสนใจ ศึกษา ซึงมีผลทาํ ให้งานวิจยั นนั ๆ ไม่สามารถตอบปัญหาของผูใ้ ช้งานวจิ ยั ได้ จึงควรมีการปรับ รูปแบบแนวทางการตงั คาํ ถามวิจยั ใหม่ ดว้ ยการมุ่งไปทีประชาชนซึงเป็ นผูใ้ ช้งานวิจยั ให้เขา้ มามี ส่วนร่วมในการวจิ ยั และมีส่วนร่วมในการผลกั ดนั ให้เกิดสังคมใหม่ทีดีกวา่ หรือทีเรียกวา่ “การวจิ ัย ทมี ุ่งจากภายในสู่ภายนอก” คือจากปัญหานําไปสู่ทฤษฎี เพราะการวิจัยทผี ่านมาในอดีตมุ่งใช้ทฤษฎี เพือตอบสนองต่อปัญหาหรืออุปสรรคในเรืองการสือสารสุขภาพ โดยมกี ารเปลยี นแปลงแนวคิดไปสู่ แนวทางใหม่ทเี น้นมองปัญหาทเี กดิ ขนึ ในชุมชนในสังคมหาองค์ความรู้เพือนํามาใช้แก้ไขปัญหาด้วย การใช้ทฤษฎเี ป็ นตวั สนับสนุน เพือจัดการให้เกดิ การเปลยี นแปลงทีดีขึน ทงั นี ผูท้ ีเกียวขอ้ งกบั การ ใชป้ ระโยชน์งานวจิ ยั จึงกลายเป็นส่วนสาํ คญั ในการร่วมกาํ หนดประเด็นปัญหาหรือขอ้ มูลสําคญั เทา่ ทนั สถานการณ์ดา้ นการสือสารสุขภาพทียงั ขาดองค์ความรู้ใหม่ทีเหมาะสม ในประเด็นนีผู้เขียนมี คว ามคิ ด เห็ นว่ าการพัฒ น าของเทค โน โลยี สา รสน เทศและ การ สื อสา รไ ด้ เข้ า มามี บ ทบ าทใ น ชีวิตประจําวันของผู้คนเป็ นอย่างมาก จึงควรทีจะต้องหันมาให้ความใส่ใจกบั “ตัวแปร” ตัวนีด้วย เป็ นอย่างยงิ ขอ้ เสนอของนกั วิชาการทางดา้ นสือสารสุขภาพหลายท่าน มีการเสนอให้ควรดาํ เนินงาน งานวิจัยทีมาจากฐานรากของภูมิปัญญาไทย ซึงเป็ นสภาพแวดล้อมภายใตบ้ ริบททีมีอยู่จริงใน สังคมไทยและสามารถนํามาใชเ้ พือแกป้ ัญหาได้จริง เพราะปัญหาการจดั การระบบสุขภาพของ สังคมไทย มีเหตุมาจากการขาดการสือสารเพือสร้างความรู้ ความเขา้ ใจเกียวกบั ความจาํ เป็ นและ ความตอ้ งการของประชาชนกลุ่มตา่ งๆ ในชุมชนสู่ระดบั นโยบาย จึงไม่สามารถสือสารเพือสร้าง รูปแบบระบบสุขภาพทีเหมาะสมกบั ชุมชนได้ (กมลรัฐ อนิ ทรทศั น์ และ จิณณ์นภัส แสงมา 2547) ทางเลือกทีจะสามารถทาํ ให้เกิดระบบสุขภาพทีเหมาะสมในแต่ชุมชนแต่ละพืนที จึงควรมีการ สนบั สนุนใหท้ าํ การวจิ ยั มาจากคนในทอ้ งถิน และอาจร่วมกบั กลุ่มนกั วิชาชีพทางสุขภาพ เพือให้ได้ ความรู้ทีมาจากชุมชนอยา่ งแทจ้ ริง โดยงานวิจัยทีควรดําเนินการต่อไปในยคุ ดิจิทลั นี คือ งานวจิ ัยที มองไปข้างหน้า (Future Research) เห็นปัญหาทีอาจจะเกดิ ขึนและชีนําให้สังคมได้รับรู้ประเด็น ปัญหา เพือแสวงหาแนวทางป้องกันและแก้ไข ซึงจะทําให้งานวิจัยได้นําใช้ประโยชน์มากกว่าการ วิจัยไปตามกระแสสังคม ซึงมักล่าช้ากว่าความเป็ นจริงทีเกิดขึนเสมอ ดงั นนั กรศึกษาวิจยั ใหไ้ ดม้ า ซึงองค์ความรู้ใหม่ทียืดหยุ่นและสามารถปรับใช้ไดก้ บั บริบททีเปลียนแปลงไปอย่างค่อนข้าง รวดเร็วในปัจจุบนั จึงเป็นสิงสาํ คญั เพอื ให้เกิดการสือสารสุขภาพทีนาํ ไปพฒั นาคุณภาพชีวติ ของทุก คนไดใ้ นครอบครัวไทยอยา่ งยงั ยนื เพราะสูตรเฉพาะของแต่ละวฒั นธรรมไม่จาํ เป็ นตอ้ งเหมือนกนั เช่นเดียวกับการสือสารสุขภาพซึงเป็ นวิชาทีเกิดจากงานด้านการสือสารประยุกต์ (Applied Communication) โดยถูกมองวา่ เป็ นสาขาวชิ าทีไมม่ ีทฤษฎีเป็นของตนเอง และตอ้ งขอยืมองคค์ วามรู้

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 71 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ ับสมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ จากสาขาวชิ าดา้ นนิเทศศาสตร์และสาขาอืนๆ เขา้ มาเป็ นกรอบในการศึกษาวิจยั (พฒั นพงส์ จาติเกตุ 2547) ดงั นนั หากมีผูส้ นใจใชแ้ นวคิดทฤษฎีอืนๆ มาศึกษาเรืองนี กจ็ ะทาํ ให้ไดอ้ งคค์ วามรู้ใหม่ๆ เพือ การพฒั นาองคค์ วามรู้เรืองนีตอ่ ไปในอนาคต โดยมปี ระเด็นทคี วรคาํ นึงถงึ คือ งานวิจัยทางด้านการ สือสารสุขภาพไม่เคยถูกนําไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสิงทีอยากให้มันเป็ นหรือเกิดขึนเป็ นรูปธรรม เพราะพบอุปสรรคทีทําให้ งานวิจัยการสื อสารสุ ขภาพไม่ สามารถนําไปใช้ ประโยชน์ ได้ อย่างเต็ม ประสิทธิภาพ มีดงั นีคือ 1) ภาษาทีใชใ้ นการนาํ เสนอขอ้ มูลนนั ยากเกินไปสําหรับผรู้ ับสารซึงเป็นชาวบา้ นธรรมดา ทวั ไปจะเขา้ ใจไดอ้ ยา่ งถ่องแท้ หรือบางครังกลายเป็ นความเขา้ ใจทีไม่ถูกตอ้ งผิดเพียนหรือบางทีก็ ผดิ พลาดไปทงั หมด ดงั นนั ทาํ อยา่ งไรให้มีการแปลงความรู้ (Knowledge Translation) เชิงวชิ าการที เขา้ ใจยาก ให้เป็ นความรู้ทีเขา้ ใจง่ายและนาํ ไปใชไ้ ดท้ นั ที ในความคิดเห็นของผูเ้ ขียนกบั ประเด็นนี นนั เป็ นเรืองทีแกไ้ ขไดไ้ ม่ยาก เพราะนกั วิจยั ทีสนใจมาทาํ การศึกษาในเรืองนี ส่วนใหญ่ตอ้ งลงไป สมั ผสั กบั กลุ่มตวั อยา่ งหรือกลุ่มผใู้ หข้ อ้ มูลหรือชาวบา้ นในพืนทีวจิ ยั นนั ๆ เป็นระยะเวลาพอสมควร อยแู่ ลว้ จึงน่าทาํ ใหส้ ามารถปรับสาํ นวนภาษาใหล้ ดระดบั ความยากในการอ่านตีความหมายลงมาได้ อยา่ งไมย่ งุ่ ยากมากนกั 2) เนือหางานวจิ ยั ทีไดย้ งั ขาดความมีชีวติ ชีวา (Message Vividness) หรือขาดการสร้างพลงั ชีวิตทีจะทําให้ผูร้ ับสารเกิดความกระตือรือร้นทีจะลุกขึนมาเปลียนแปลงทัศนคติหรือปรับ พฤติกรรมทางสุขภาพได้ ความคิดเห็นของผเู้ ขียนคือน่าจะมาจากการคาํ นึงถึงรูปแบบการนาํ เสนอ ทีเป็ นเชิงวิชาการมาก เพราะเกรงว่าจะขาดความน่าเชือถือถ้าเขียนนําเสนอรูปแบบอืนๆ เช่น เชิงสารคดี เชิงพรรณนาหรือเชิงบรรยาย เป็นตน้ ดงั นนั จึงควรมีการหาช่องทางสือสารอืนๆ ในการ นาํ ผลการวิจยั ไปนาํ เสนอหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนเพือกระตุน้ ต่อมจิตสํานึกของผรู้ ับสารใหเ้ กิด ความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการลุกขึนมาปรับเปลียนตนเองในทุกด้านอย่างรวดเร็ว อาทิ การ จดั เป็ นละครเวที การจดั กิจกรรมพิเศษในวนั เทศกาลทีเกียวขอ้ ง การนาํ ไปให้รณรงคด์ ้วยการเปิ ด เวทีชาวบา้ นในชุมชนในวดั ในสถาบนั การศึกษาต่างๆ ในชมรมต่างๆ เป็นตน้ 3) วฒั นธรรมเชิงอาํ นาจ สังคมไทยเป็ นสังคมทีเชือผมู้ ีความรู้และวาทกรรมหนึงทีถูกสร้าง ขึนมาคือ “เชือคุณหมอดีทีสุด” ดงั นนั ขอ้ มูลความรู้ทีมาจากหมอจึงมกั ไดร้ ับการยอมรับวา่ ถูกตอ้ ง เหมาะสมโดยไม่มีขอ้ โตแ้ ยง้ บางครังอาจทาํ ใหค้ วามรู้ทีอยูต่ รงขา้ มหรือไมส่ อดคลอ้ งกบั ความรู้ของ หมอกลายเป็ นสิงทีไม่ถูกตอ้ ง นอกจากขอ้ มูลความรู้นนั จะไดร้ ับการพิสูจน์ด้วยการปฏิบตั ิให้เห็น จริง ซึงทาํ ให้การพฒั นาความรู้เรืองการสือสารสุขภาพจากคนกลุ่มอืนๆ ไม่สามารถนาํ เสนอในเวที ความรู้เรืองสุขภาพของสงั คมไทยไดอ้ ยา่ งเท่าเทียม ในประเด็นนีผู้เขียนมีความคิดเห็นวา่ การแกไ้ ข จึงตอ้ งใชเ้ ครืองมือช่วยอืนๆ เขา้ มาเป็ นสือกลางในกระบวนการทาํ งานนี เช่น การใชโ้ ซเชียลมีเดีย

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 72 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ การบอกสอนขอ้ มูลกบั เด็ก เยาวชนอยา่ งชดั เจน เพือใหเ้ ด็กๆ เป็ นผเู้ ชือมตอ่ ขอ้ มูลดา้ นสุขภาพหรือ เป็ นผู้นําพาข่าวสารทีมีประโยชน์ในมุมมองอืนๆ ทีไม่จาํ เป็ นต้องเป็ นหมอบอกก็ได้ แต่เป็ น ลูกหลานในบา้ นไปเล่าไปพดู บอกใหค้ ุณพอ่ คุณแม่คุณป่ ูคุณยา่ คุณตาคุณยายไดร้ ับรู้อยา่ งไม่ต่อตา้ น เพราะความรักในลูกหลานของตนเองจึงยอมรับฟังอยา่ งตงั ใจ เป็ นตน้ ดงั นนั ลูกหลานและสมาชิก ในครอบครัวจึงเป็ นตวั แปรทีสําคญั มากทีจะเขา้ มาช่วยในการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตของ ทุกๆ คนในบา้ นทีจะมองขา้ มความสาํ คญั ไปมิไดเ้ ลย จากความรู้ทีผูเ้ ขียนได้ทาํ การทบทวนวรรณกรรมตงั แต่ในอดีตจนถึงปัจจุบนั สามารถ พิจารณาได้ว่า “ศาสตร์แห่งการสือสารสุขภาพ” นันมีการดาํ เนินงานมีประวตั ิความเป็ นมาที ยาวนานแลว้ ทงั นีเพราะมนุษยท์ ุกคนตอ้ งการดาํ รงชีวติ อยอู่ ยา่ งสบายกายและสบายใจ โดยมีปัจจยั สาํ คญั ทีทุกคนปรารถนา คือ การมีชีวิตอยบู่ นโลกนีอยา่ งแขง็ แรง มีความสุขกายสุขใจนนั เอง แมว้ า่ วถิ ีชีวติ มนุษยย์ งั คงดาํ เนินไปคลา้ ยๆ กนั กบั ในอดีต แตเ่ นืองจากมีจาํ นวนประชากรเพิมมากขึน จึง ส่งผลกระทบใหค้ ุณภาพชีวติ ของประชาชนทวั โลกลดตาํ ลง ตอ้ งแยง่ กนั กิน แยง่ กนั อยู่ แยง่ กนั ใชจ้ น ทาํ ใหเ้ สียสุขภาพทงั กายและใจ การไมใ่ ส่ใจในสุขภาพของตนเองเท่าทีควรจึงนาํ ไปสู่โรคภยั ไขเ้ จบ็ ทีรวดเร็วมากขึน การทาํ งานเพอื หารายไดแ้ ละเก็บหอมรอมริบมาตงั แตเ่ ป็นหนุ่มเป็นสาวจะหมดไป ในช่วงเวลาทีเร็วมาก เพราะตอ้ งนาํ มาใชด้ ูแลรักษาและฟื นฟูสุขภาพหรือโรคต่างๆ ทีเกิดขึนกบั คน นนั ๆ ตรงจุดนีทาํ ให้การสือสารสุขภาพสามารถเขา้ มาช่วยในการป้องกนั และดูแลสุขภาพมิให้เสือม สมรรถภาพหรือชาํ รุดเร็วเกินไป หรือเขา้ มาช่วยให้สภาพจิตใจ จิตวิญญาณสดชืนขึน ส่งผลให้การ ใชช้ ีวติ มีความผาสุกมีคุณภาพชีวติ ทีดีต่อไปอีกตามสมควรแก่สุขภาพของแตล่ ะคน หนึงหทยั ขอผลกลาง และกติ ติ กนั ภัย (2553) ไดน้ าํ เสนอแนวคิดการศึกษาวจิ ยั เกียวกบั การ สือสารสุขภาพไว้ ในบทความวิจยั ดา้ นการสือสารสุขภาพ: กลไกในการพฒั นาสังคม จากวารสาร เทคโนโลยีสุรนารี ฉบบั สังคมศาสตร์ Suranaree Journal of Social Science (SJSS) Vol. 4 No. 1; June 2010 หนา้ 75 ดงั นีคือ ขอ้ เสนอแนะต่อการพฒั นางานวิจยั ดา้ นการสือสารสุขภาพในประเทศ ไทย ดา้ นกระบวนการศึกษาวิจยั ดา้ นการสือสารสุขภาพ ควรให้ความสําคญั กบั การแกป้ ัญหาสังคม ดว้ ยกระบวนการและระเบียบวธิ ีวจิ ยั ทีหลากหลายและลึกซึง ให้ความสําคญั ตอ่ ตวั แปรใหม่ ๆ ทีเขา้ มามีบทบาทตอ่ การเปลียนแปลงความคิด ความรู้ และพฤติกรรมดา้ นสุขภาพอนามยั ตามเทคโนโลยี และสถานการณ์ทางสังคมทีเปลียนแปลงไป เพือให้สามารถแกไ้ ขปัญหาด้านสุขภาพอนามยั ทีมี ลกั ษณะซบั ซอ้ น และตอ้ งอาศยั มิติการวเิ คราะหแ์ ละแกป้ ัญหาทีหลากหลายซบั ซ้อนยิงขึน ทงั นีเป็ น เพราะการสือสารสุขภาพไดข้ ยายกรอบไปยงั สาขาวิชาอืนๆ มานานแลว้ ในลกั ษณะเกือกูลพึงพา อาศยั ซึงกันและกนั เพราะนอกเหนือจากการพิจารณาการสือสารสุขภาพทีอยู่ในขอบเขตของ สาขาวิชานิเทศศาสตร์แลว้ ยงั ตอ้ งพิจารณาความเกียวขอ้ งกบั สาขาวิชาอืนๆ อีก เช่น ความสัมพนั ธ์

คณะนิเทศศาสตร์ มฉก. 73 การสือสารสุขภาพเพือดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจติ ระหว่างผ้สู ูงอายกุ บั สมาชิกในครอบครัว ด้วยสือใหม่ กบั สาขาสาธารณสุขศาสตร์และสาขาพยาบาลศาสตร์ เป็นตน้ จากการสืบคน้ วรรณกรรมในอดีตที ผา่ นมานนั พบขอ้ มูลวา่ การวจิ ยั ดา้ นการสือสารสุขภาพทีดาํ เนินการโดยนกั วจิ ยั จากสาขาวิชาต่างๆ ทีมกั สนใจศึกษาในประเด็นซึงกาํ ลงั เป็ นปัญหาหรืออยู่ในกระแสความสนใจของสาธารณชน ดงั นนั ภาพรวมของงานวจิ ยั ดา้ นการสือสารสุขภาพของประเทศไทยในช่วงเวลาต่างๆ จึงสะทอ้ นถึง ความสําคญั ของประเด็นด้านสุขภาพอนามยั ในสังคมแต่ละช่วงเวลาด้วยเช่นกนั จะเห็นไดว้ ่า งานวิจยั ดา้ นการสือสารสุขภาพ มีความสําคญั ต่อการสร้างองคค์ วามรู้หรือแสวงหาขอ้ คน้ พบทีจะ เป็ นประโยชน์ทงั ในเชิงวิชาการและเป็ นประโยชน์ต่อการนาํ ผลการวิจยั ทีคน้ พบขอ้ มูลใหม่ๆ ไป ประยุกตใ์ ชใ้ นทางปฏิบตั ิจริงอยา่ งเป็นรูปธรรมเพอื ช่วยป้องกนั หรือแกไ้ ขปัญหาต่างๆ ทีเกิดขึนหรือ กาํ ลงั จะเกิดขึนในอนาคต เพราะงานวจิ ัยด้านการสือสารสุขภาพในประเทศไทย อาจดาํ เนินการโดย นกั วชิ าการจากสาขาวชิ าตา่ งๆ ในสถาบนั อุดมศึกษา จากนกั วจิ ยั ทีสนใจประเดน็ สุขภาพอนามยั จาก บุคลากรดา้ นสาธารณสุขหรือจากนิสิตนักศึกษาเพือการทาํ วิทยานิพนธ์หรือดุษฎีนิพนธ์ในการ สาํ เร็จการศึกษา งานวจิ ยั ดงั กล่าวส่วนใหญ่จึงศึกษาประเดน็ ทีกาํ ลงั เป็ นทีสนใจของสาธารณชนหรือ มีความสําคญั ในขณะนนั ซึงสามารถนาํ มาประยุกตใ์ ชไ้ ดอ้ ยา่ งเท่าทนั ต่อสถานการณ์ในระดบั หนึง เช่นกนั แต่อาจยงั ไม่สามารถตอบโจทยข์ องปัญหาดา้ นสุขภาพหรือสุขอนามยั ไดท้ งั หมด จึงตอ้ งมี การดาํ เนินงานวจิ ยั ตอ่ เนืองหรือตอ่ ยอดหรือขยายขอบเขตของตวั แปรต่างๆ ทีเกียวขอ้ งกนั สืบต่อไป อย่างไม่มีทีสินสุดจนกว่าจะไม่มีมนุษยอ์ ยู่บนโลกใบนีแล้ว เพราะตราบเท่าทียงั คงมีสิงมีชีวิตที เรียกว่ามนุษยเ์ กิดขึนมาบนโลกอยู่ตลอดทุกวนั การสือสารสุขภาพ จึงยงั คงมีความสําคญั และ จาํ เป็ นตอ้ งใหข้ อ้ มูลขา่ สารหรือความรู้ทกั ษะทีเกียวขอ้ งกบั ประชากรทีเกิดขึนมาใหม่อยูต่ ลอดไป นอกจากนนั หนึงหทยั ขอผลกลาง และกิตติ กันภัย (2553) ยงั ไดส้ รุปไวใ้ นบทความวิจยั หนา้ 68 วา่ “การศึกษาวิจัยด้านการสือสารสุขภาพในประเทศไทย ส่วนใหญ่มีจุดเริมต้นมาจาก ความสนใจศึกษาปัญหาสุขภาพในลักษณะเกยี วข้องสัมพนั ธ์กับปัจจัยทางสังคม อนั เป็ นหนึงในตัว แปรสําคญั ทสี ่งผลต่อสภาวะสุขภาพของคนไทย นําไปสู่การเกดิ วาระสาธารณะ (Public Agenda) ที เกียวเนืองกับสุขภาพ โดยมีกระบวนการการสือสารในรูปแบบต่างๆ เขา้ มามีบทบาทเป็ นกลไก เกียวขอ้ งต่อกระบวนการแสวงหาคาํ ตอบหรือแนวทางแกไ้ ขเพือนาํ ไปสู่บทสรุป คือ ขอ้ คน้ พบที เป็ นขอ้ เสนอแนะหรือองคค์ วามรู้ทีอาจเป็ นองค์ความรู้ใหม่หรือองค์ความรู้ทีขยายฐานจากความรู้ เดิม”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook