คมู อื ครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท ี่ 5 เลม 2 241    4)         z1  +  1      =   1+ 1                    z2        2 − i 3 − 2i                             =     2  1  i        2  +  i      +     3  1            3  +   2i                                     −         2  +  i             − 2i       3  +   2i                               = 2 + i + 3 + 2i                                5 13                             = 41 + 23 i                               65 65                                       1    5)    z1    (1  −  i)  =  2 + i (1− i)        z2                              3 − 2i                             =  (   2  +  i   1         −  2i  )  (1  −   i  )                                             )(3                             = 1−i                              8−i                             =  1−i 8+i                                8 − i  8 + i                              = 9−7i                               65 65    6) z1 − z2 = z1 − z2                        z1 z1 z1                                       1                             =      2 − i − 3 − 2i                                   11                                    2+i 2+i                             = 2 + i − (3 − 2i)(2 + i)                                 2−i                             =     2  +     i        2  +  i      −  (3  −  2i  )  (  2  +  i  )                                2  −     i      2  +  i                                = 3 + 4i − (8 − i)                                    5                             = − 37 + 9 i                                 55                                                                                    สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
242 คูมอื ครรู ายวชิ าเพิม่ เติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 5 เลม 2    7)  ( z1 + z2 ) z1−1  =                       z1 + z2                                                  z1                                1                        = 2 − i + 3 − 2i                                11                                                  2+i 2+i                          = 2 + i + (3 − 2i)(2 + i)                              2−i                          =                          2   +  i         2       +   i     +  (3     −   2i ) (  2  +  i)                                                  2   −  i       2       +   i                            = 3 + 4i + (8 − i)                                 5                                 = 43 − 1 i                                    55    ( )( ) ( )8) z1 − 2 z2 − i = z1 − 2 ( z2 − i )                  3i 3i                                                     2   1  i  −     2    ( ( 3        +   2i  )  +   i  )                                                      −                        =                                                                               3i                                                         1    i       2      +      i     −  2      (3  +  3i )                                                    2−          2      +      i                                   =                                                                                   3i                                                     2   +  i  −     2    ( 3       +   3i  )                                                      5                        =                                                                  3i                                                     −   8  +     1  i         (3  +      3i )                                                      5        5                              =                                                                  3i                             − 27 − 21i                        = 55                                   3i                                                     −   27    −     21 i             ( −3i     )                                                      5           5                                  =                                                           ( 3i ) ( −3i )                          = −7 +9i                              55    สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวิชาเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท ี่ 5 เลม 2 243    5. 1) iz =i ⋅ z =−i z    2) ให z= x + yi       จะได iz =i( x + yi) =− y + xi    นัน่ คอื Im(iz) =Im( y − xi) =x =Re( x + yi) =Re( z)  3) ให z= x + yi       จะได iz =i( x + yi) =− y + xi  นน่ั คือ Re(iz) =Re(− y + xi) =− y =− Im( z)    6. 1) เนื่องจาก (1+ i)a + 2(1− 2i)b = (a + 2b) + (a − 4b)i  จะได a + 2b = 3  และ a − 4b = 0                                              ---------- (1)                                                              ---------- (2)    (1) − (2) จะได        6b = 3                           b =1                                 2    แทน b ใน (1) ดว ย 1 จะได                             2                           a +1 = 3                           a =2        ดังน้ัน a = 2 และ b = 1                                      2    2) เนื่องจาก (1+ 2i)a + (2 − 3i)b = (a + 2b) + (2a − 3b)i  จะได a + 2b = 10                                                              ---------- (1)    และ 2a − 3b = 0                                             ---------- (2)    (1)× 2 จะได 2a + 4b = 20                                   ---------- (3)    (3) − (2) จะได 7b = 20                                b = 20                                        7    แทน b ใน (1) ดวย 20 จะได                              7                        a + 40 = 10                                7                               a = 30                                        7    ดังนน้ั a = 30 และ b = 20                  77                                                  สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
244 คมู ือครูรายวิชาเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปที่ 5 เลม 2           7. 1) 3z =3(3 − 4i) =9 −12i                   เขยี นกราฟแสดงไดด ังรปู                   2) z =3 − 4i =3 + 4i                   เขยี นกราฟแสดงไดดังรูป             สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 5 เลม 2 245    3)  =1    1=       3  1           3  +  44ii=  3+ 4i      z   3 − 4i       − 4i      3  +            25 25        เขียนกราฟแสดงไดด ังรปู    4) iz =i (3 − 4i) =4 + 3i        เขียนกราฟแสดงไดด ังรูป                                                                สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
246 คมู อื ครรู ายวิชาเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 5 เลม 2                5) z3 =(3 − 4i)3 =(3 − 4i)2 (3 − 4i) =(−7 − 24i)(3 − 4i) =−117 − 44i                   เขียนกราฟแสดงไดด ังรูป    6) จาก a = 3, b = −4 และ =r 32 + (−4)=2 2=5 5    เนอื่ งจาก b < 0 จะได รากทสี่ องของ 3 − 4i คือ          5+3 −  5  −  3i                               8−  2i      =  ±(2 − i)  ±     2       2                         = ±   2   2       ดังนนั้ รากทสี่ องของ 3 − 4i คือ 2 − i และ −2 + i  เขียนกราฟแสดงไดดังรูป    สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูม อื ครรู ายวชิ าเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 5 เลม 2 247    8. 1) คา สัมบรู ณของ 2 − 3i คือ 2 − 3i = 22 + (−3)2 = 13            คา สัมบรู ณของ 3 + 4i คอื 3 + 4i = 32 + 42 = 5          คาสมั บูรณของ 6 + 4i คือ 6 + 4i = 62 + 42 = 2 13    คาสมั บรู ณของ 15 − 8i คอื 15 − 8i = 152 + (−8)2 = 17    ดังนั้น คา สมั บูรณของ    (2 − 3i)(3 + 4i)       คือ     (2 − 3i)(3 + 4i)                              (6 + 4i)(15 − 8i)              (6 + 4i)(15 − 8i)                                                                      2 − 3i 3 + 4i                                                                =                                                                     6 + 4i 15 − 8i                                                                  = 13 ⋅ 5                                                                    2 13 ⋅17                                                                  =5                                                                    34    2) คา สัมบูรณข อง 3 คอื 3 = 32 + 02 = 3    คา สมั บรู ณข อง 1− 3i คือ 1− 3i = 12 + (−3)2 = 10    คาสัมบูรณข อง 1+ i คือ 1+ i = 12 +12 = 2    ดงั น้ัน คา สัมบรู ณของ   3(1− 3i)2  คอื     3 1 − 3i 2        =    3⋅(     )2  = 15  2                                                                                 10                                1+i 1+i                                          2    9. 1) พิจารณา 2 + 2i         =ให z r (cosθ + isinθ ) เปนรปู เชิงขั้วของ 2 + 2i    จะได  r=  (  2)2 + (        )2        2                                2=    เนอ่ื งจาก tan=θ =2 1 และ ( 2, 2) เปน จุดในจตภุ าคท่ี 1                         2    จะไดว า θ คาหน่งึ ทที่ ําให tanθ =1 คือ π                                                     4    รปู เชงิ ข้ัวรปู หนึง่ ของ  2+  2i     คือ  2     cos  π  +  i  sin  π                                                          4             4      พิจารณา 2 − 2 3i  =ให z r (cosθ + isinθ ) เปน รปู เชิงขวั้ ของ 2 − 2 3i                                                                     สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
248 คมู ือครูรายวชิ าเพ่มิ เติมคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ี่ 5 เลม 2        ( )จะได =r                            2                       22 + −2                         4                                         3=        เนือ่ งจาก tanθ = −2 3 = − 3 และ (2,−2 3) เปนจุดในจตภุ าคท่ี 4                              2        จะไดวา θ คา หนึ่ง ทีท่ าํ ให tanθ = − 3 คือ 5π                                                              3        รปู เชิงข้วั รูปหนงึ่ ของ          2−2           3i          คอื      4      cos  5π     +  i sin  5π                                                                                          3                3          จะได ( 2 + 2i)( 2 − 2 3i)                      =    2   cos  π   +  i     sin  π          ⋅  4 cos      5π   +   i  sin   5π                                       4                 4                           3                 3                        =    8             π  +     5π          +   i sin        π  +    5π                                 cos      4         3                         4        3                           =    8 cos    23π          +  i sin     23π                                               12                        12                   ดังนนั้ รปู เชิงขั้วท่วั ไปของ ( 2 + 2i)( 2 − 2 3i) คอื            cos     23π  +      2kπ     +  i     sin     23π           +   2kπ           เม่อื    k ∈      8         12                                 12                              2)  รูปเชิงขั้วรูปหนงึ่ ของ            −2i         คือ       2   cos       3π  + i sin 3π                                                                                        2           2                 พจิ ารณา 5 + 5i      =ให z r (cosθ + isinθ ) เปน รูปเชิงขั้วของ 5 + 5i        จะได r = 52 + 52 = 5 2        เน่อื งจาก tanθ= 5= 1 และ (5, 5) เปน จดุ ในจตภุ าคท่ี 1                             5        จะไดว า θ คาหนงึ่ ทท่ี าํ ให tanθ =1 คอื π                                                         4        รปู เชิงขว้ั รูปหนึ่งของ           5 + 5i        คือ            5  2         cos  π   +  i sin  π                                                                                         4             4      สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม ือครูรายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท่ี 5 เลม 2 249    จะได    2i       2     cos     3π   + i sin    3π                5 + 5i                   2               2                        =                                       π               π                          5      2     cos  4   +  i   sin  4                         =  2         cos     3π     −   π       +  i   sin     3π      −   π                       5                2          4                    2           4                                                                                                                       =  2         cos  5π      +  i sin       5π                          5              4                      4          ดังน้นั รูปเชิงขว้ั ท่ัวไปของ 2i คือ                      2         cos     5π      +   2kπ       +  i  sin     5π  +       2kπ                                                              5                 4                                 4                                                  5 + 5i                                                                                                       เมอื่ k ∈    3) =ให z r (cosθ + isinθ ) เปนรูปเชงิ ขวั้ ของ −3 + 3i    จะได  r=   ((−3)2 +         )2           12                                3=    เนอื่ งจาก tanθ = − 3 และ (−3, 3) เปน จุดในจตภุ าคที่ 2                          3    จะไดว า θ คา หน่งึ ทท่ี ําให tanθ = − 3 คอื 5π                                                36    รูปเชิงขวั้ รปู หนงึ่ ของ −3 +    3i คือ              12        cos  5π          + i sin 5π                                                                              6                   6                                     4                 4              20π        + i sin 20π                                                                     6                  6                    −3 + 3i =  ( ) ( )จะได                      12             cos                             =       144   cos    10π      + i sin 10π                                                                 3                3                                           =       144   cos    4π      + i sin 4π                                                              3               3                ดงั น้ัน รูปเชิงขั้วทัว่ ไปของ (−3 +             )3i  4   คือ        144     cos        4π     +   2kπ      +    i  sin     4π  +    2kπ                                                                                              3                                 3                                                                                                                                                                      เมื่อ k ∈  4) =ให z r (cosθ + isinθ ) เปนรูปเชิงข้ัวของ −1+ 3i    จะได  r=   ((−1)2 +      )2                             3 =2                                                                                      สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
250 คมู ือครรู ายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 5 เลม 2            เนื่องจาก tanθ = 3 = − 3 และ (−1, 3) เปน จุดในจตุภาคท่ี 2                               −1            จะไดวา θ คา หนึง่ ที่ทําให tanθ = − 3 คอื 2π                                                                   3            รูปเชิงข้วั รปู หนงึ่ ของ −1+             3i  คือ       2             cos  2π  +    i   sin  2π                                                                                                3                 3                     จะได รปู เชงิ ข้วั รูปหน่งึ ของ −1−                 3i               คือ        cos     −  2π         +   i  sin     −  2π                                                                                       2               3                          3                                                                                                                                                                                                                                                      ดงั นน้ั  ( ) ( )5 −4                       −1 + 3i −1 − 3i                      =  25        cos  10π       + i sin 10π                   ⋅  2−4     cos  8π     + i sin 8π                                               3                 3                                   3             3                                =  2   cos  18π           +  i sin 18π                                         3                     3                             = 2(cos 6π + i sin 6π )                      = 2(cos 0 + i sin 0)            ดังน้ัน รูปเชงิ ขั้วทัว่ ไปของ (−1+                   ) (5                        )3i −4 คอื 2(cos 2kπ + i sin 2kπ )                                                                 3i −1 −    10. 1)  เม่ือ k ∈          ให r (cosθ + isinθ ) เปน รปู เชิงขวั้ ของ 3 − 3i            จะ=ได r     (       ) ( )2 2                        6                                3 + −=3            เนอ่ื งจาก tanθ = − 3 = −1 และ ( 3, − 3) เปน จดุ ในจตภุ าคท่ี 4                                   3            จะไดวา θ คาหน่งึ ที่ทําให tanθ = −1 คอื 7π                                                                4            รูปเชงิ ข้ัวของ     3 − 3i คือ                6     cos              7π      + i sin  7π                                                                                    4                4                                          8                    8                      56π     + i sin 56π                                                                                        4               4                              3 − 3i =          ( ) ( )ดังนั้น                            6          cos                                         = 64 (cos14π + i sin14π )                                         = 64 (1+ i (0))                                         = 64 + 0i    สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ี่ 5 เลม 2 251    2) ให r (cosθ + isinθ ) เปนรูปเชิงขว้ั ของ −1+ 3i    จะได     r=  ((−1)2 +        )2                                 3 =2    เนอื่ งจาก    tanθ =     3= −     3 และ (−1,                      3) เปนจดุ ในจตภุ าคท่ี 2                          −1    จะไดว า θ คา หนึง่ ทที่ าํ ให tanθ = − 3 คอื 2π                                                           3    รูปเชงิ ขว้ั ของ −1+     3i  คอื  2    cos      2π      +   i sin        2π                                                           3                        3           ( )ดังนน้ั           10      210               20π        + i sin          20π                     −1 +           =              cos    3                           3                            3i                             =   210         cos   2π    + i sin          2π                                                       3                      3                                     =   210         −  1  +  i      3                                                      2          2                                     ( )= 29 −1+ 3i                                   = −29 + 29 3i    3) ให r (cosθ + isinθ ) เปน รปู เชงิ ขวั้ ของ −1− i      จะได r = (−1)2 + (−1)2 = 2    เนือ่ งจาก tan=θ −=1 1 และ (−1, −1) เปน จุดในจตุภาคที่ 3                          −1    จะไดวา θ คา หนงึ่ ที่ทําให tanθ =1 คอื 5π                                                      4    รูปเชงิ ขวั้ ของ −1− i คอื        2      cos   5π         + i sin          5π                                                   4                           4      ดงั น้ัน        1        = (−1 − i)−10                (−1 − i)10                             ( )=     2       −10     cos        −  50π          +       i   sin     −  50π                                                                    4                                 4                                                                                                                                                                                                                                                                =   2−5         cos   50π        − i sin          50π                                                          4                           4                                                                                                      สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
252 คูม ือครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปที่ 5 เลม 2                                    =                   1         cos         π  −  i  sin      π                                                           32                   2                 2                                         = 1 (0 − i(1))                                       32                                    = −1i                                        32    4) ให r (cosθ + isinθ ) เปน รปู เชงิ ขวั้ ของ − 3 − i                                                            33    จะได r=              3  2    +                  −   1  2     =        2                   −  3                           3                3    เนอ่ื งจาก t=anθ          −1                               1      และ                  3       ,  −      1        เปนจุดในจตภุ าคที่  3                            =3                               3                      −  3                 3                                −3                                  3    จะไดวา θ คา หนึ่ง ที่ทําให tanθ = 1 คือ 7π                                               36    รูปเชิงขว้ั ของ    −   3−i                          คือ        2     cos     7π        +    i sin     7π                                    33                                      3             6                        6               ดังนนั้        3  −   i  100  =                      2  100           cos   700π           + i sin             700π                −  3      3                           3                      6                                  6                                         =                      2  100           cos   2π     + i sin           2π                                                                    3                    3                        3                                                 =                      2  100           −  1  +  i       3                                                                   3                2           2                                             =                      2  100           −  1  +      3    i                                                          3                2         2                                           = 299 + 299 3 i                                       33    สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปที่ 5 เลม 2 253    5)      เน่อื งจาก รปู เชิงข้ัวของ −1+ i คือ                             2         cos      3π     + i sin       3π                                                                                                   4                    4                   ( )จะได                                              6           18π         + i sin 18π                                       (−1+ i)6 =                      2             cos    4                   4                                                          =     23        cos        π      +  i   sin     π                                                                      2                     2                 เนื่องจาก รูปเชงิ ข้ัวของ             3−i             คอื       2   cos     11π          + i sin 11π                                                                                                     6                    6                                                  8                             88π       + i sin 88π                                                                                    6                 6                                             3−i          ( )จะได                     =     28         cos                                         =     28        cos        2π      + i sin            2π                                                                       3                          3                   เนอื่ งจาก รปู เชิงข้ัวของ 1+                 3i      คือ        2   cos       π      +  i   sin    π                                                                                              3                    3              ( )จะได     1+          5         25        cos        5π      + i sin            5π                                                                     3                          3                                 3i =                                               8                                     3−i          ดงั นัน้  ( )(−1+ i)6                         ( )5                         1+ 3i                      =     23 ⋅ 28     cos     π   +      2π          −   5π           +  i  sin       π      +  2π      −   5π                              25              2          3                3                         2         3            3                         =  26    cos     −  π        +   i  sin        −   π                                                2                            2                                                                                                                   = 26 (0 + i (−1))                      = 0 − 64i    11. 1)  ( )เนอื่ งจาก − 3 + 3i = − 3 2 + 32 = 12 = 2 3            และ          −  3 + 3i       =     2      3          −  1   +         3    i                                                                  2             2                                                =     2      3          cos    2π         + i sin          2π                                                                          3                           3                                               =        2   3          cos       2π         +  2kπ             +   i  sin       2π  +   2kπ         เมือ่ k ∈                                                                        3                                            3                                                                                                                                                                                                                                                                              สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
254 คมู อื ครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ี่ 5 เลม 2        ดังนน้ั =θ 2π + 2kπ เมอื่ k ∈                         3        เนอ่ื งจากตองการหา θ ท่ี 6π ≤ 3θ ≤ 9π หรือ 2π ≤θ ≤ 3π เทานนั้      ดงั น้ัน คา k ทีเ่ ปนไปได คือ 1 ซึง่ ทาํ ใหไดวา r = 2 3 และ θ = 8π                                                                                    3    2) เน่อื งจาก −1− i = (−1)2 + (−1)2 = 2    และ  −1− i =                                       2−            2  i                        2  −                               2             2                       =     2                                 cos  5π  + i sin 5π                                                                              4          4                                    =     2                                 cos     5π  +   2kπ                     +   i  sin        5π   +   2kπ         เม่ือ k ∈                                                         4                                               4                   ดงั นั้น 3=θ 5π + 2kπ เมื่อ k ∈ นัน่ คือ =θ 5π + 2kπ เมื่อ k ∈                    4 12 3    เนื่องจากตองการหา θ ท่ี −2π ≤θ ≤ π เทา นนั้ จะได คา k ทเี่ ปนไปได คือ  −3, − 2, −1 และ 0  ซึง่ ทาํ ใหไดว า r = 6 2 และ =θ 5π + 2kπ เมื่อ k ∈{−3, − 2, −1, 0}                                         12 3    ดังน้ัน r = 6 2 และ θ คอื −19π ,−11π ,− 3π และ 5π                                                            12 12 12                                                     12    ( )3) เน่อื งจาก − 3 − i = − 3 2 + (−1)2 = 3 +1= 2    และ  −  3−i      =                                       3       −   1            i                                                     2 −   2           2                                    =                               2     cos   7π     + i sin 7π                                                                                      6             6                                             =                               2     cos      7π          +       2kπ            +   i   sin     7π  +  2kπ          เมอื่ k ∈                                                                 6                                                6                  ดงั นน้ั 4=θ 7π + 2kπ เม่อื k ∈ นน่ั คือ =θ 7π + kπ เม่ือ k ∈                    6 24 2    เนอ่ื งจากตอ งการหา θ ที่ −4π ≤θ < 0 เทาน้นั จะได คา k ท่ีเปน ไปได คือ     −1, − 2, − 3,, − 8    ซง่ึ ทําใหไดวา r = 4 2 และ=θ 7π + kπ เมอ่ื k ∈{−1, − 2, − 3,, − 8}                                         24 2    สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูม อื ครูรายวชิ าเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 5 เลม 2 255    12. จาก                            zk  =    k  k          cos kπ           +   i  sin  kπ                                                      +   1         180                      180        จะได                              z1 =     1     cos      π         +  i  sin     π                                                   2            180                     180                                           z2 =     2     cos     2π         +  i  sin    2π                                                   3            180                     180                                           z3 =     3     cos     3π         +  i  sin    3π                                                   4            180                     180                                                                                               z180 =      180           cos    180π          + i sin 180π                                                     181                 180                   180            ดงั น้นั z1 ⋅ z2 ⋅ z3 ⋅⋅ z180    =        1     cos     π       +  i   sin   π        ⋅   2     cos 2π        +   i  sin    2π      ⋅  3     cos  3π   +   i  sin  3π               2           180                  180          3        180                     180       4         180              180                ⋅     ⋅  180         cos    180π    +   i sin 180π                                 181               180               180                 =        1  ⋅   2  ⋅   3  ⋅    ⋅  180     cos        π         +   2π     +        +  180π        +  i  sin      π   +   2π      +    +   180π                2      3      4           181              180            180                 180                     180      180               180                                                                                                                                                                     =         1           cos  (1  +  2   +      +   180) π             +     i  sin  (1  +   2  +      +  180)     π                  181                                                                                                    180                                                                180    =         1           cos  16290π          +  i sin 16290π                            181                180                     180                       =         1           cos  181π       +    i sin 181π                       181                2                    2                  =         1       cos    π     +  i   sin  π             181            2                 2      = 1 (0 + i(1))       181           = 1i                                                                               2 + 2i              181    13. จาก z5 − 2 − 2i = 0      จะได z5 = 2 + 2i     =ให z r (cosθ + isinθ ) เปน รากท่ี 5 ของ                                                                                                              สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
256 คูม ือครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท ่ี 5 เลม 2    เน่ืองจาก           2+       2i  =    2   cos    π  +      i  sin  π                                                          4                 4        จากทฤษฎบี ทเดอมัวฟวร จะได                            r5 (cos5θ + i sin 5θ )                         =      2   cos  π  +  i  sin  π                                                                                                                             4             4      ดังนนั้ r5 = 2                               และ 5θ − π = 2kπ เมอื่ k ∈                                                                   4    นั่นคอื r = 5 2 และ                                                                       π + 2kπ                   เมือ่ k ∈                                                                               θ= 4                                                                                                        5    ดงั นัน้ z =        5  2    cos     π      +  2kπ          +  i  sin       π     +  2kπ                เม่อื k ∈                                     20         5                         20        5                                                                                                                     เมอ่ื k = 0 จะได                     z1     =      5  2     cos     π      +    i  sin  π                                                                         20                  20      เมือ่ k = 1 จะได                     z2     =      5  2     cos     9π       +  i  sin  9π                                                                        20                  20      เมื่อ k = 2 จะได                     z3     =      5  2     cos   17π         + i sin 17π                                                                                20                 20                เมือ่ k = 3 จะได                     z4     =      5  2     cos     25π       + i sin   25π                                                                                  20                  20                 เมื่อ k = 4 จะได                     z5     =      5  2     cos     33π       + i sin   33π                                                                               20                  20              เนอื่ งจาก      cos 17π      และ         cos 25π              เปนจํานวนลบ จงึ พิจารณาเฉพาะ                                     π         , cos 9π                                                                                                                              cos                          20 20                                                                                                     20 20    และ cos 33π ซ่ึงเปนจาํ นวนบวก                20    เนอื่ งจากฟงกชันโคไซนเ ปน ฟงกช ันลดบนชวง (0,π ) และ cos 33π = cos 7π                                                                             20 20    จะได cos π > cos 33π > cos 9π                20 20 20    น่ันคอื          π        มีคามากสดุ               cos                      20    ดงั น้ัน  5  2     cos  π   +   i  sin   π        เปนจํานวนเชิงซอนท่ี                         Re( z)     มคี า มากที่สุด          และ                         20               20        สอดคลอ งกับสมการ z5 − 2 − 2i =0    สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 5 เลม 2 257    14. 1) =ให z r (cosθ + isinθ ) เปนรากท่ี 3 ของ −27i    เน่ืองจาก   −27i   =  27       cos    3π  + i sin 3π                                                    2           2                  จากทฤษฎบี ทเดอมัวฟวร จะได                    r3 (cos3θ + i sin 3θ )                       =      27     cos     3π  + i sin    3π                                                                                                                     2              2       ดังนัน้        r3 = 27                 และ 3θ − 3π = 2kπ เมอ่ื k ∈                                                                        2    นั่นคือ r = 3 และ                                                                3π + 2kπ                          เม่ือ k ∈                                                                           θ= 2                                                                                                  3    ดังนนั้  z  =     cos   π   +  2kπ        +  i sin        π     +  2kπ              เม่ือ k ∈                 3           2       3                       2         3                                                                                                                   เม่อื k = 0        จะได           z1  =       3  cos    π     +   i sin  π             = 3i                                                              2                2      เม่อื k = 1        จะได           z2  =       3  cos    7π        + i sin   7π         =      −   3 −1i                                                               6                   6                   22    เม่ือ k = 2        จะได           z3  =       3  cos    11π       + i sin 11π              =      3 −1i                                                               6                6                      22    2) =ให z r (cosθ + isinθ ) เปน รากที่ 4 ของ −2 − 2 3i    เนื่องจาก   −2 − 2    3i    =   4     cos  4π       +   i  sin    4π                                                3                      3         จากทฤษฎบี ทเดอมวั ฟวร จะได                    r4 (cos 4θ + i sin 4θ )                         =  4 cos        4π  + i sin    4π                                                                                                                       3              3       ดงั น้ัน r4 = 4                                      และ 4θ − 4π = 2kπ เมอ่ื k ∈                                                                          3    นัน่ คือ r = 4 4 = 2                                 และ                                     4π + 2kπ                        เมอ่ื k ∈                                                                                      θ= 3                                                                                                      4    ดงั นั้น z =   2     cos      π  +   kπ      +    i   sin     π   +  kπ               เมอ่ื k ∈                               3      2                      3      2                                                                                                 เม่อื k = 0        จะได           z1 =         2       cos    π     +  i sin  π          =         2        1  +   3  i                                                                  3               3                          2      2                                                                                             สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
258 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปที่ 5 เลม 2    เมื่อ k = 1         จะได                     z2 =     2     cos           5π  + i sin  5π         =                  3    +  1  i                                                                              6            6                   2  −   2       2         เมอ่ื k = 2         จะได                     z3 =     2               cos  4π   +  i  sin  4π         =     2       −  1  −  3     i                                                                                 3               3                        2     2              เมอ่ื k = 3         จะได                     z4 =     2               cos  11π  +     i sin 11π          =             3  −  1     i                                                                                  6               6                 2     2     2              3) =ให z r (cosθ + isinθ ) เปนรากที่ 5 ของ 1  เน่ืองจาก 1 = 1(cos0 + isin 0)  จากทฤษฎีบทเดอมวั ฟวร จะได r5 (cos5θ + isin 5θ ) = 1(cos0 + isin 0)  ดงั นั้น r5 = 1                                   และ 5θ − 0 = 0 + 2kπ เม่อื k ∈                                                                                  θ = 2kπ เม่อื k ∈  นนั่ คือ r = 1 และ                                                                                              5    ดงั น้นั  z  =   1 cos  2kπ                + i sin  2kπ                 เม่อื k ∈                              5                           5         เม่อื k = 0 จะได z1 = cos0 + isin 0 = 1    เมือ่ k = 1         จะได                     z2  =    cos 2π + i sin 2π                                                              55    เม่อื k = 2         จะได                     z3  =    cos 4π + i sin 4π                                                              55    เมอ่ื k = 3         จะได                     z4  =    cos 6π + i sin 6π                                                              55    เมอ่ื k = 4         จะได                     z5  =    cos 8π + i sin 8π                                                              55    4) =ให z r (cosθ + isinθ ) เปนรากท่ี 8 ของ −i    เนื่องจาก    −i  =  1   cos  3π            + i sin 3π                                                  2                     2                     จากทฤษฎีบทเดอมวั ฟวร จะได                            r8 (cos8θ + i sin 8θ )                    =       1  cos  3π     + i sin 3π                                                                                                                                  2              2                 ดังน้ัน r8 = 1                                    และ 8θ − 3π = 2kπ เม่ือ k ∈                                                                      2    นั่นคือ r = 1 และ                                                                         3π + 2kπ                      เม่ือ k ∈                                                                                   θ= 2                                                                                                       8    สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูม อื ครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท ี่ 5 เลม 2 259            ดงั น้ัน  z  =  1  cos     3π     +  kπ        +   i sin      3π     +  kπ                 เมื่อ k ∈                                     16        4                      16        4                                                                                                                    เมื่อ k = 0          จะได           z1     =      cos 3π + i sin 3π                                                                 16 16            เม่ือ k = 1          จะได           z2     =      cos 7π + i sin 7π                                                                 16 16            เม่ือ k = 2          จะได           z3     =      cos11π + i sin 11π                                                                  16 16            เมอ่ื k = 3          จะได           z4     =      cos15π + i sin 15π                                                                  16 16            เมื่อ k = 4          จะได           z5     =      cos19π + i sin 19π                                                                  16 16            เมื่อ k = 5          จะได           z6     =      cos 23π + i sin 23π                                                                  16 16            เมอ่ื k = 6          จะได           z7     =      cos 27π + i sin 27π                                                                  16 16            เมื่อ k = 7          จะได           z8     =      cos 31π + i sin 31π                                                                  16 16    15. 1)  ให z = r (cosθ + isinθ ) เปนรากท่ี 3 ของ −8i            จะได z3 = −8i            เนอ่ื งจาก   −8i =        8    cos   3π  + i sin 3π                                                               2           2                          จากทฤษฎบี ทของเดอมวั ฟวร จะได                               r3 (cos3θ + i sin 3θ )                     =  8 cos  3π  +  i sin  3π                                                                                                                                  2             2               ดังนนั้ r3 = 8 และ 3θ − 3π = 2kπ                                                                            เม่อื k ∈                                                        2            นัน่ คือ r = 2 และ                                            θ = π + 2kπ                                   เมอ่ื k ∈                                                                                   23            ดงั นน้ั  z  =  2   cos        π  +  2kπ           +   i  sin     π  +  2kπ                เมือ่     k ∈                                         2      3                         2      3                                                                                                                           เม่อื k = 0 จะได                    z1     =      2    cos  π      +  i  sin  π          =   2i                                                                          2                 2                เม่ือ k = 1 จะได                    z2     =      2      cos  7π        + i sin  7π            =      −  3−i                                                                         6                  6                                                                                                            สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
260 คูม ือครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 5 เลม 2    เม่ือ k = 2 จะได                                z3  =      2   cos 11π            + i sin 11π          =      3−i                                                                           6                     6            เวกเตอรท่ีแสดงรากท่ี 3 ของ −8i มีขนาด 2 หนวย และเวกเตอรแตล ะคทู ี่อยใู นลาํ ดับ  ทตี่ ดิ กนั ทาํ มุม 2π หรือ 120° เทากันทุกคู ซึ่งแสดงไดดังนี้                       3    2) ให      z = r (cosθ + isinθ ) เปนรากท่ี 3 ของ −2 3 + 2i  จะได z3 = −2 3 + 2i    เน่อื งจาก  −2     3 + 2i                        =   4   cos  5π           +  i sin    5π                                                                     6                        6       จากทฤษฎีบทของเดอมวั ฟวร จะได                                                r3 (cos3θ + i sin 3θ )            =  4     cos  5π  + i sin 5π                                                                                                                                 6           6       ดังนน้ั r3 = 4                                       และ 3θ − 5π = 2kπ เมอ่ื k ∈                                                                         6    นั่นคอื r = 3 4 และ                                                                     θ = 5π + 2kπ เมอื่ k ∈                                                                                                     18 3    ดงั น้นั  z=    3  4     cos                 5π  +      2kπ       +      i  sin     5π  +   2kπ            เมื่อ k ∈                                                 18          3                        18       3         เมื่อ k = 0 จะได                                z1  =      3    4           cos  5π     +  i sin  5π                                                                                     18               18      เม่ือ k = 1 จะได                                z2  =      3    4           cos  17π    + i sin 17π                                                                                           18            18            สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม อื ครูรายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท่ี 5 เลม 2 261    เมื่อ k = 2 จะได           z3     =    3  4      cos  29π        + i sin  29π                                                                18                  18             เวกเตอรท่ีแสดงรากท่ี 3 ของ −2 3 + 2i มีขนาด 3 4 หนวย และเวกเตอรแตละคูท่ี  อยูในลาํ ดบั ทีต่ ิดกัน ทาํ มุม 2π หรือ 120° เทา กนั ทุกคู ซึ่งแสดงไดดังน้ี                                    3    3) ให     z = r (cosθ + isinθ ) เปนรากที่ 4 ของ 2 − 2 3i  จะได z4 = 2 − 2 3i    เนื่องจาก  2−2  3i  =       4   cos  5π     +      i sin    5π                                             3                      3      จากทฤษฎบี ทของเดอมัวฟวร จะได                     r4 (cos 4θ + i sin 4θ )                 =  4   cos  5π  +  i sin  5π                                                                                                               3             3      ดงั น้นั r4 = 4                                และ 4θ − 5π = 2kπ                                          เม่ือ k ∈                                                                    3    นั่นคอื r = 4 4 = 2 และ                                                   θ = 5π + kπ เม่อื k ∈                                                                                      12 2    ดังนนั้ z =  2    cos     5π  +  kπ         +   i  sin     5π  +   kπ                เมอื่ k ∈                           12     2                       12      2                                                                                           เม่ือ k = 0 จะได           z1 =           2      cos  5π     +   i sin  5π                                                               12                12                                                                                  สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
262 คูมือครรู ายวิชาเพมิ่ เตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ่ี 5 เลม 2    เม่อื k = 1 จะได                              z2 =       2                 cos  11π    +   i sin 11π                                                                                       12              12           เม่ือ k = 2 จะได                              z3 =       2                 cos  17π    +   i sin 17π                                                                                        12              12          เมื่อ k = 3 จะได                              z4 =       2                 cos  23π    +   i sin  23π                                                                                      12                12         เวกเตอรท่ีแสดงรากที่ 4 ของ 2 − 2 3i มขี นาด 2 หนวย และเวกเตอรแตล ะคูท่อี ยู  ในลําดับทต่ี ิดกัน ทาํ มุม π หรือ 90° เทา กนั ทุกคู ซึง่ แสดงไดด ังน้ี                                2    4) ให      z     =  r (cosθ + isinθ ) เปน รากท่ี 2 ของ                                                   27     cos  5π    +  i sin  5π                                                                                                                           3               3      จะได       z2    =  27     cos               5π     +  i sin               5π                                                   3                             3       จากทฤษฎบี ทของเดอมัวฟวร จะได                                r2 (cos 2θ + i sin 2θ )                              =  27     cos  5π   +   i sin  5π                                                                                                                                      3               3      ดงั นัน้ r2 = 27                                              และ 2θ − 5π = 2kπ เมอ่ื k ∈                                                                                   3    นน่ั คอื r = 27 = 3 3 และ θ = 5π + kπ เมื่อ k ∈                                                                 6    ดังน้นั  z  =  3  3    cos                   5π  +  kπ     +              i  sin     5π  +  kπ       เมื่อ      k ∈                                              6                                     6                                                                                                                         สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม อื ครรู ายวิชาเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปที่ 5 เลม 2 263    เม่อื k = 0 จะได  z1         =  3    3     cos  5π   + i sin     5π       =      −9+3 3i                                                  6                6                22    เม่ือ k = 1 จะได  z2         =  3    3     cos  11π  +     i sin 11π          =  9−3 3i                                                   6               6              22    เวกเตอรท ่ีแสดงรากท่ี 2 ของ  27     cos    5π   +  i sin  5π     มขี นาด         3  3  หนว ย และ                                              3              3      เวกเตอรท ั้งสองทํามมุ π หรอื 180° ซง่ึ แสดงไดดงั นี้    16. 1) เน่ืองจาก b2 − 4ac =22 − 4(5)(2) =−36 ซึ่ง −36 < 0    จะไดว า คาํ ตอบขอ=งสมการน้ี คือ x          −b ± b2 − 4ac i                     −2 ± −36 i                                               =                                                                                      2(5)                                                       2a                                                                            = −2 ± 6i = −1± 3i                                                                               10 5    ดังน้นั  เซตคาํ ตอบของสมการน้ี   คือ  −    1   +   3 i, −  1  −   3  i                                               5       5       5      5       2) จาก (2x − 3)2 + 9 = 0  จะได (2x − 3)2 = −9             2x − 3 = ±3i             x = 3 ± 3i                       2                                                                    สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
264 คูม อื ครูรายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 5 เลม 2            ดงั นน้ั  เซตคาํ ตอบของสมการนี้             คอื                       3  +  3  i,  3−  3  i                                                                                  2     2      2   2                                                                                                                3) จาก ( )( x + 2) x2 + 4x + 5 = 0            จะได x = −2 หรอื x2 + 4x + 5 =0          ถา x2 + 4x + 5 =0 แลว พบวา b2 − 4ac =42 − 4(1)(5) =− 4 ซ่งึ − 4 < 0            ดังนัน้ x = −b ±    b2 − 4ac i − 4 ±                                         16 − 4(1)(5) i                                           =                                            2(1) =−2 ± i                                2a            ดงั นั้น เซตคําตอบของสมการน้ี คือ {−2, − 2 + i, − 2 − i}  4) จาก                    2x3 + x2 +1 = 0            จะได ( )( x +1) 2x2 − x +1 = 0            นน่ั คอื x = −1 หรอื 2x2 − x +1 =0            ถา  2x2 − x +1 =0  แลว                x=  − ( −1)                    ±   1− 4(2)(1) i          =  1±     7i                                                                                    2(2)                         4            ดังนน้ั เซตคําตอบของสมการน้ี คือ                 −1,                      1  +   7 i, 1 −     7  i                                                                                      4      44           4       17. 1)  เน่ืองจาก −i และ 2 + 3i เปน คาํ ตอบของสมการ และจากทฤษฎีบท 13            จะไดวา i และ 2 − 3i เปน คาํ ตอบของสมการดว ย ตามลําดบั          จะได ( x − 2)( x + i)( x − i)( x − (2 + 3i))( x − (2 − 3i)) = 0                                                    ( )( )( x − 2) x2 +1 x2 − 4x +13 = 0                                     x5 − 6x4 + 22x3 − 32x2 + 21x − 26 = 0        ดงั นน้ั x5 − 6x4 + 22x3 − 32x2 + 21x − 26 =0 เปน สมการพหนุ ามดีกรีต่ําสุดท่มี ี      สัมประสทิ ธิเ์ ปนจาํ นวนจรงิ มี 2, − i และ 2 + 3i เปน คาํ ตอบ และมี 1 เปน สมั ประสิทธน์ิ ํา  2) เนอ่ื งจาก 3i และ 1− i เปนคําตอบของสมการ และจากทฤษฎีบท 13      จะไดวา −3i และ 1+ i เปนคาํ ตอบของสมการดว ย ตามลาํ ดับ     จะได x( x − 3i)( x + 3i)( x − (1− i))( x − (1+ i)) = 0                          ( )( )x x2 + 9 x2 − 2x + 2 = 0                                       x5 − 2x4 + 11x3 −18x2 + 18x = 0            ดังนน้ั x5 − 2x4 +11x3 −18x2 +18x =0 เปน สมการพหนุ ามดีกรีตํ่าสุดที่มี          สัมประสทิ ธ์ิเปนจํานวนจริง มี 0, 3i และ 1− i เปน คําตอบ และมี 1 เปนสัมประสิทธิ์นาํ    สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปที่ 5 เลม 2 265    18. 1) เนอื่ งจาก −2 + i เปน คาํ ตอบของสมการ และจากทฤษฎีบท 13 จะไดวา −2 − i          เปนคําตอบของสมการดวย         จะได ( x − 6)( x − (−2 + i))( x − (−2 − i)) = 0                               ( )( x − 6) x2 + 4x + 5 = 0                                                    x3 − 2x2 −19x − 30 = 0            ดังนั้น x3 − 2x2 −19x − 30 =0 เปน สมการพหนุ ามดีกรีต่าํ สุดทม่ี ีสัมประสิทธิ์เปน          จํานวนจริง มี 6 และ −2 + i เปนคาํ ตอบ และมี 1 เปน สมั ประสิทธิ์นาํ      2) เนอ่ื งจาก 1+ 2i เปนคาํ ตอบของสมการ และจากทฤษฎีบท 13 จะไดวา 1− 2i เปน          คําตอบของสมการดวย และจาก 1+ 2i เปน คําตอบซาํ้ 2 คําตอบ ดงั น้นั 1− 2i กเ็ ปน          คําตอบซ้าํ 2 คาํ ตอบ         จะได ( x + 3)2 ( x − (1+ 2i))2 ( x − (1− 2i))2 = 0                               ( )( x + 3)2 x2 − 2x + 5 2 = 0            ( )( )x2 + 6x + 9 x4 − 4x3 +14x2 − 20x + 25 = 0                          x6 + 2x5 − x4 + 28x3 + 31x2 − 30x + 225 = 0            ดังนัน้ x6 + 2x5 − x4 + 28x3 + 31x2 − 30x + 225 =0 เปน สมการพหนุ ามดีกรตี ่าํ สุด          ทีม่ ีสัมประสิทธเิ์ ปน จํานวนจรงิ มี −3 และ 1+ 2i เปนคําตอบซ้าํ 2 คาํ ตอบ ทัง้ สอง          คาํ ตอบ และมี 1 เปน สมั ประสทิ ธ์ินาํ  19. เนือ่ งจาก −1+ i และ 3 + 3i เปน คําตอบของสมการ และจากทฤษฎบี ท 13      จะไดว า −1− i และ 3 − 3i เปนคาํ ตอบของสมการดว ย ตามลาํ ดบั      ( )( )( ) ( )จะได (3x + 2)( x − (−1+ i))( x − (−1− i)) x − 3 + 3i x − 3 − 3i = 0                               ( )( )(3x + 2) x2 + 2x + 2 x2 − 6x +12 = 0                                                   3x5 −10x4 − 2x3 + 40x2 + 96x + 48 = 0        ดังน้นั 3x5 −10x4 − 2x3 + 40x2 + 96x + 48 =0 เปนสมการพหุนามดีกรี 5 ท่ีมสี มั ประสิทธ์ิ      เปน จํานวนเตม็ มี − 2 , −1+ i และ 3 + 3i เปน คาํ ตอบ และมี 3 เปนสัมประสิทธ์ินํา                                 3    20. เนือ่ งจาก 1+ 2i เปน คําตอบของสมการ และจากทฤษฎบี ท 13 จะไดวา 1− 2i เปนคาํ ตอบ      ของสมการดวย      นั่นคอื สมการ z3 + az + b =0 มีคาํ ตอบ คือ 1+ 2i,1− 2i และจาํ นวนจริง c     จะได ( z − c)( z − (1+ 2i))( z − (1− 2i)) = 0                                                                         สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
266 คมู อื ครรู ายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 5 เลม 2                  ( )( z − c) z2 − 2z + 5 = 0            z3 + (−c − 2) z2 + (2c + 5) z − 5c = 0    เนอ่ื งจากสมการพหนุ ามที่กาํ หนดให มสี ัมประสิทธขิ์ องพจน z2 เทากบั 0  ดงั น้นั −c − 2 = 0                      c = −2    จะได สมการพหุนามท่ีตองการคือ z3 + z +10 =0  ดังนน้ั a = 1 และ b = 10  21. 1) จาก x2 − x −12 = 0          จะได ( x − 4)( x + 3) = 0  นั่นคือ x = 4 หรือ x = −3  ดังน้นั เซตคําตอบของสมการนี้ คือ {−3, 4}  2) จาก                x4 + 4x3 + 4x2 = 0    จะได ( )x2 x2 + 4x + 4 = 0                  x2 ( x + 2)2 = 0    นนั่ คอื x = 0 หรอื x = −2  ดงั นนั้ เซตคาํ ตอบของสมการน้ี คอื {−2, 0}  3) เนื่องจาก                x6 + x4 + x2 +1 = 0    จะได ( ) ( )x6 + x4 + x2 +1 = 0                  ( ) ( )x4 x2 +1 + x2 +1 = 0                  ( x2 +1)( x4 +1) = 0    นน่ั คอื x2 +1 =0 หรือ x4 +1 =0  ถา x2 +1 =0 แลว x = ±i  ถา x4 +1 =0 แลว x4 = −1 นั่นคือ x เปน รากที่ 4 ของ −1  =ให x r (cosθ + isinθ ) เปนรากท่ี 4 ของ −1    เนื่องจาก −1 = 1(cosπ + isinπ )  จากทฤษฎบี ทเดอมัวฟวร จะได r4 (cos 4θ + isin 4θ ) = 1(cosπ + isinπ )  ดงั น้นั r4 = 1                                และ 4θ − π = 2kπ เม่ือ k ∈                                                                                 θ = π + 2kπ เมือ่ k ∈  นน่ั คอื r = 1                                 และ                                                                                              4    สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวิชาเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท ี่ 5 เลม 2 267    ดังนั้น     x  =  1  cos     π  +  kπ     +  i  sin     π  +   kπ         เมือ่ k ∈                               4     2                  4      2                                                                                           เมื่อ k = 0            จะได          x1 =       cos π + i sin π =                  2+ 2i                                                       44                             22    เม่อื k = 1            จะได          x2  =   cos 3π + i sin 3π                  =  −  2+     2i                                                     44                                  2      2    เม่ือ k = 2            จะได          x3  =   cos 5π + i sin 5π                  =  − 2−      2i                                                     44                                  2      2    เมอ่ื k = 3            จะได          x4  =   cos 7π + i sin 7π                  =     2 − 2i                                                     44                                  22    ดังน้ัน เซตคําตอบของสมการน้ี คือ    i, − i,     2+  2 i,         2−    2 i, −        2+          2 i, −        2−    2  i                 2   2            2     2             2           2             2     2                                                                                                     4) ให p ( x) = 2x4 − 2x3 − x2 +1  เนื่องจากจาํ นวนเต็มทีห่ าร 1 ลงตัว คือ ±1  และจํานวนเต็มทห่ี าร 2 ลงตัว คอื ±1, ± 2    ดงั นัน้ จํานวนตรรกยะ              k  ทท่ี าํ ให   p       k     =  0  จะอยูในกลุม ของจาํ นวนตอไปนี้                                     m                       m      คือ ±1, ± 1               2    พจิ ารณา p(1) = 2(1)4 − 2(1)3 − (1)2 +1                     = 2 − 2 −1+1                     =0    แสดงวา x −1 เปน ตัวประกอบของ p(x)    ( )ดังนั้น 2x4 − 2x3 − x2 +1 = ( x −1) 2x3 − x −1    ให q( x)= 2x3 − x −1  เน่ืองจากจาํ นวนเต็มท่ีหาร −1 ลงตัว คอื ±1  และจาํ นวนเตม็ ทหี่ าร 2 ลงตวั คือ ±1, ± 2    ดังนน้ั จํานวนตรรกยะ               k  ที่ทาํ ให    q       k     =  0  จะอยูในกลมุ ของจาํ นวนตอไปนี้ คือ  ±1, ± 1                                     m                       m                                                      2                                                                                     สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
268 คูม ือครูรายวิชาเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 5 เลม 2    พิจารณา q(1) = 2(1)3 −1−1                     = 2 −1−1                     =0    แสดงวา x −1 เปน ตวั ประกอบของ q(x)    ดังนนั้ ( )2x3 − x −1= ( x −1) 2x2 + 2x +1    ( )นั่นคือ 2x4 − 2x3 − x2 +1 = ( x −1)2 2x2 + 2x +1    ดังน้นั ( )( x −1)2 2x2 + 2x +1 = 0    จะได x =1 หรอื 2x2 + 2x +1 =0    ถา  2x2  + 2x +1 =0  แลว                          −2 ±                    4 − 4(2)(1)          i  =−    1  ±  1  i                                                  x=                          2(2)                          2     2    ดงั นั้น  เซตคําตอบของสมการนี้                  คือ  1,                   −  1  +  1  i  ,  −  1  −  1  i                                                                                 2     2           2     2       5) ให p ( x) = x4 + x3 − 5x2 + x − 6  เนอื่ งจากจาํ นวนเต็มท่ีหาร −6 ลงตวั คือ ±1, ± 2, ± 3, ± 6  พจิ ารณา p(2) = (2)4 + (2)3 − 5(2)2 + (2) − 6              = 16 + 8 − 20 + 2 − 6                       =0    และ p(−3) = (−3)4 + (−3)3 − 5(−3)2 + (−3) − 6              = 81− 27 − 45 − 3 − 6                       =0    แสดงวา x − 2 และ x + 3 เปนตวั ประกอบของ p(x)    ( )ดังน้นั x4 + x3 − 5x2 + x − 6 = ( x − 2)( x + 3) x2 +1       นัน่ คอื ( )( x − 2)( x + 3) x2 +1 = 0        จะได x = 2 หรอื x = −3 หรอื x2 +1 =0      ถา x2 +1 =0 แลว x = ±i      ดังนั้น เซตคาํ ตอบของสมการน้ี คือ {−3, 2, i, − i}  6) ให p ( x) = 2x4 + x3 + 2x2 −19x −10      เน่ืองจากจํานวนเต็มท่ีหาร −10 ลงตัว คอื ±1, ± 2, ± 5, ±10      และจาํ นวนเตม็ ที่หาร 2 ลงตวั คือ ±1, ± 2    สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวิชาเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 5 เลม 2 269    ดังนนั้ จาํ นวนตรรกยะ                         k      ทท่ี าํ ให         p     k      =   0     จะอยใู นกลมุ ของจาํ นวนตอไปนี้                                                m                               m       คอื ±1, ± 2, ± 5, ±10, ± 1 , ± 5                                22    พจิ ารณา p(2) = 2(2)4 + (2)3 + 2(2)2 −19(2) −10                                     = 32 + 8 + 8 − 38 −10                                     =0    และ             p     −  1     =   2     −  1     4     +     −  1  3     +  2      −   1  2    −  19   −  1      − 10                          2                2                  2                    2                    2                                        = 1 − 1 + 1 + 19 −10                                      882 2                                     =0    แสดงวา x − 2 และ x + 1 เปนตัวประกอบของ p(x)                                  2    ดังนั้น         ( )p(x)              (        2)               1                                     =      x  −           x  +   2      2x2 + 4x +10                                     ( )= ( x − 2)(2x +1) x2 + 2x + 5    นั่นคือ ( )( x − 2)(2x +1) x2 + 2x + 5 = 0    จะได x = 2 หรือ x = − 1 หรือ x2 + 2x + 5 =0                                    2    ถา         x2  + 2x + 5 =0 แลว                      −2 ±                  4 − 4(1)(5) i                                                    x=                        2(1) =−1± 2i    ดงั น้ัน เซตคําตอบของสมการนี้ คอื                                        −    1   ,   2,     −  1  +  2i,   −1   −  2i                                                                                       2                                                                                                                                                                                 22. =ให z  r (cosθ + isinθ ) เปน รปู เชิงขว้ั ของ −1+                                           3i จะได         r=            ((−1)2 +   )2                                                                                                                                               3 =2    เน่ืองจาก tanθ = 3 = − 3 และ (−1, 3) เปนจดุ ในจตุภาคท่ี 2                       −1    จะไดวา θ คา หนึ่ง ทีท่ ําให tanθ = − 3 คอื 2π                                                           3    รปู เชิงขวั้ ของ −1+             3i  คือ      2   cos    2π        + i sin 2π                                                                         3                 3                และ รปู เชิงขัว้ ของ −1−                3i     คือ       2   cos   −      2π        +   i  sin     −  2π                                                                                     3                         3                                                                                                                 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
270 คมู ือครรู ายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท่ี 5 เลม 2    ดังนน้ั  ( −1 +       ) (n                      )n                         3i + −1 −                 3i             =  2n      cos  2nπ  + i sin         2nπ     +  2n                      cos     −   2nπ       +   i  sin     −   2nπ                              3                    3                                            3                          3                                                                                                                                                              =  2n      cos  2nπ  + i sin         2nπ  +   cos                     −  2nπ         +  i  sin     −  2nπ                                  3                    3                                  3                          3                                                                                                                                                       =  2n      cos  2nπ  + i sin         2nπ  + cos 2nπ                       − i sin         2nπ                                3                    3           3                                        3                   =  2n      2 cos  2nπ                               3                = 2n+1 cos 2nπ                           3    ดงั นั้น (−1+         ) (n                      )n  เปน จํานวนจริง                          ทุกจาํ นวนเต็มบวก                     n                         3i + −1 −                 3i    23. ให z เปนจํานวนเชงิ ซอ น โดยท่ี z= x + yi เมือ่ x และ y เปน จํานวนจริง  จะได z= x − yi  และพิจารณา z + z = ( x + yi) + ( x − yi) = 2x  เนื่องจาก x เปน จาํ นวนจรงิ จะได 2x เปนจาํ นวนจริง  ดงั นัน้ z + z เปน จาํ นวนจรงิ  และพจิ ารณา zz = ( x + yi)( x − yi) = x2 + y2  เนื่องจาก x และ y เปน จํานวนจรงิ จะได x2 + y2 เปนจํานวนจริง  ดงั น้นั zz เปนจํานวนจริง  24. จาก              (z − a)(z − a) = k2    จะได ( )( z − a) z − a = k2                          z −a 2 = k2                         z−a = k    เนือ่ งจาก z − a คอื ระยะทางระหวางจุด a และจดุ z  ดงั น้นั เซตของจาํ นวนเชงิ ซอน z ที่สอดคลอ งกบั สมการ z − a = k คือ เซตของจุด  ทงั้ หมดในระนาบที่มรี ะยะหา งจากจุด a เทากับ k หนวย หรอื เซตของจุดในระนาบที่  อยบู นวงกลมท่ีมจี ุดศูนยกลางอยทู ่จี ดุ a และมีรศั มยี าว k หนว ย น่ันเอง    สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท ี่ 5 เลม 2 271    25. 1) เน่อื งจาก z + 3 − 2i = z − (−3 + 2i) คอื ระยะทางจากจดุ (−3, 2) ถงึ จุด z          ดังนน้ั เซตของจดุ ในระนาบเชิงซอนซง่ึ สอดคลองกับอสมการ z + 3 − 2i >1 คือ          เซตของจุดท่ีอยภู ายนอกวงกลม (ไมรวมจุดบนเสน รอบวง) ทมี่ จี ุดศูนยกลางอยูที่          จุด (−3, 2) และมีรศั มียาว 1 หนวย          จะได กราฟของจดุ ทงั้ หมดซึง่ สอดคลองกับอสมการ z + 3 − 2i >1 แสดงเปน สว น          แรเงาไดดังรูป                                                                         สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
272 คูมอื ครูรายวชิ าเพ่มิ เติมคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท่ี 5 เลม 2               2) ให z= x + yi                 จะได z − i = ( x + yi) − i = x + ( y −1)i                 นนั่ คอื Re( z − i) = x =Re( z)                 จาก Re( z − i) > −5 จะได Re( z) > −5                 จะได กราฟของจุดทงั้ หมดซึ่งสอดคลอ งกบั อสมการ Re(z − i) > −5 แสดงเปน                 สว นแรเงา ดงั รูป             สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท ่ี 5 เลม 2 273    3) กราฟของจุดทง้ั หมดในระนาบเชงิ ซอ นซึง่ สอดคลองกับอสมการ z − 3 ≥ z คอื กราฟ      ของจุดท้ังหมดในระนาบเชงิ ซอนทีม่ ีระยะหางจากจุด (3,0) มากกวา ระยะหางจากจดุ (0,0)      จะได กราฟของจุดท้งั หมดซึ่งสอดคลอ งกับอสมการ z − 3 ≥ z แสดงเปน สว นแรเงา ดงั รูป                                                                   สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
274 คมู ือครรู ายวิชาเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ่ี 5 เลม 2               4) ให z= x + yi                 จะได z − 2 + i = ( x + yi) − 2 + i = ( x − 2) + ( y +1)i                 น่นั คอื Re( z − 2 + i) = x − 2 = Re( z) − 2                 จาก Re( z − 2 + i) < −2 จะได Re( z) − 2 < −2                 ดงั นั้น Re( z) < 0                 จะได กราฟของจุดทั้งหมดซง่ึ สอดคลองกับอสมการ Re(z − 2 + i) < −2 แสดงเปน                 สว นแรเงา ดงั รูป             สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูม ือครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 5 เลม 2 275    5) กราฟของจุดท้งั หมดในระนายเชงิ ซอนซึ่งสอดคลองกับสมการ z + 6 = z − 2 คือ      กราฟของจดุ ทง้ั หมดในระนาบเชิงซอ นท่ีมีระยะหา งจากจุด (−6,0) เทา กบั ระยะหา ง      จากจุด (2,0) ซึ่งก็คือ เสนตรง x = −2 ดงั รูป    6) กราฟของจดุ ทง้ั หมดในระนาบเชิงซอนซง่ึ สอดคลองกับสมการ z − i = z + 4i คอื      กราฟของจุดทั้งหมดในระนาบเชงิ ซอนท่ีมรี ะยะหางจากจุด (0,1) เทากับระยะหาง      จากจดุ (0,−4) ซึ่งก็คือ เสน ตรง y = − 3 ดงั รปู                                                       2                                                                   สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
276 คูม อื ครรู ายวิชาเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ่ี 5 เลม 2    7) ใหจํานวนเชิงซอน z แทนดวยจดุ (a,b)      จาก z − 3i = z − 3    นัน่ คือ  a + bi − 3i = a + bi − 3              a − bi + 3i = a + bi − 3              a + (3 − b)i = (a − 3) + bi    จะได a2 + (3 − b)2 = (a − 3)2 + b2               a2 + 9 − 6b + b2 = a2 − 6a + 9 + b2                                 a=b    เขียนกราฟของจุดในระนาบ ไดเ สนตรง y = x ดงั รปู    สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปที่ 5 เลม 2 277    8) ใหจาํ นวนเชงิ ซอน z แทนดว ยจุด (a,b)      จาก z − 2 + i = z − (6 + 3i)    นัน่ คือ  a + bi − 2 + i = a + bi − 6 + 3i              (a − 2) + (b +1)i = (a − 6) + (b + 3)i    จะได (a − 2)2 + (b +1)2 = (a − 6)2 + (b + 3)2            a2 − 4a + 4 + b2 + 2b +1 = a2 −12a + 36 + b2 + 6b + 9                           2a − b −10 = 0    เขียนกราฟของจุดในระนาบ ไดเ สนตรง 2x − y −10 =0 ดงั รปู    26. จากสมการ z − i =2      แสดงวา z จะอยบู นวงกลมท่ีมีจดุ ศูนยกลางท่ีจุด (0,1) และรัศมียาว 2 หนว ย      กราฟจะตดั แกน Y ทจ่ี ุด (0, 3) ซ่งึ ทําให z = 3 มีคามากทีส่ ดุ      ดงั นน้ั z = 3i สอดคลอ งกบั สมการ z − i =2 ซึ่ง z มากท่ีสดุ                                                                         สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
278 คูมือครรู ายวิชาเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปที่ 5 เลม 2          27. ให p ( x) = x5 + 2x4 − 4x3 − 8x2 − 9x +18             จะได (p −1− 2i)                                                                    5 432                  ( ) ( ) ( ) ( ) ( )= −1− 2i + 2 −1− 2i − 4 −1− 2i − 8 −1− 2i − 9 −1− 2i +18                ( ) ( ) ( ) ( ) ( )= −1+11 2i + 2 −7 − 4 2i − 4 5 − 2i − 8 −1+ 2 2i − 9 −1− 2i +18                            = −1+11 2i −14 − 8 2i − 20 + 4 2i + 8 −16 2i + 9 + 9 2i +18                          =0               ดังนัน้ −1− 2i เปน คําตอบของสมการพหนุ าม x5 + 2x4 − 4x3 − 8x2 − 9x +18 =0             จากทฤษฎีบท 13 จะไดวา −1+ 2i เปน คาํ ตอบของสมการดวย           ( )( )เนอื่ งจาก ( ) ( )x − −1− 2i x − −1+ 2i = x2 + 2x + 3               และเม่ือนํา x2 + 2x + 3 ไปหาร p( x) ไดผลหารเปน x3 − 7x + 6             ( )( )ดังนนั้ x5 + 2x4 − 4x3 − 8x2 − 9x +18 = x2 + 2x + 3 x3 − 7x + 6               ให q( x) = x3 − 7x + 6             เน่ืองจากจํานวนเต็มทหี่ าร 6 ลงตัว คือ ±1, ± 2, ± 3, ± 6             พจิ ารณา q(1) = (1)3 − 7(1) + 6                                          = 1−7+6                                         =0               แสดงวา x −1 เปนตัวประกอบของ q(x)             ดังนั้น ( )x3 − 7x + 6 = ( x −1) x2 + x − 6           ( ) ( )นน่ั คอื x5 + 2x4 − 4x3 − 8x2 − 9x +18 = x2 + 2x + 3 ( x −1) x2 + x − 6           จะได ( ) ( )x2 + 2x + 3 ( x −1) x2 + x − 6 = 0                    ( )x2 + 2x + 3 ( x −1)( x − 2)( x + 3) = 0               น่ันคอื x =1 หรือ x = 2 หรอื x = −3            ดังน้ัน เซตคําตอบของสมการนี้ คือ {−3, 1, 2, −1+ 2i, −1− 2i}             สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ี่ 5 เลม 2 279    28. ให p ( x) = x5 + 9x4 + 33x3 + 55x2 + 42x +12      เนอื่ งจาก ( x +1)3 = x3 + 3x2 + 3x +1       ( )( )และ x5 + 9x4 + 33x3 + 55x2 + 42x +12 = x3 + 3x2 + 3x +1 x2 + 6x +12    ( )จะไดว า x5 + 9x4 + 33x3 + 55x2 + 42x +12 = ( x +1)3 x2 + 6x +12    นนั่ คอื −1 เปนคําตอบซํ้า 3 คาํ ตอบของสมการพหนุ าม p(x) = 0    และจะได ( )( x +1)3 x2 + 6x +12 = 0    น่นั คือ ( x +1)3 =0 หรือ x2 + 6x +12 =0    ถา  x2 + 6x +12 =0 แลว      −6 ±  36 − 4(1)(12) i         3i                            x=         2(1) =−3 ±    ดังนั้น เซตคาํ ตอบของสมการนี้ คือ {−1, − 3 + 3i, − 3 − 3i}    29. เนื่องจาก 3 + i เปน คําตอบของสมการ และจากทฤษฎีบท 13 จะไดวา 3 − i เปนคําตอบ      ของสมการดวย     เน่ืองจาก ( x − (3 + i))( x − (3 − i)) = x2 − 6x +10      และเมื่อนํา x2 − 6x +10 ไปหาร x5 − 9x4 + 24x3 + 6x2 −112x +120 ไดผลหารเปน          x3 − 3x2 − 4x + 12       ( )( )ดังนน้ั x5 − 9x4 + 24x3 + 6x2 −112x +120 = x2 − 6x +10 x3 − 3x2 − 4x +12                                        ( )( )= x2 − 6x +10 x2 ( x − 3) − 4( x − 3)                                        ( ) ( )= x2 − 6x +10 ( x − 3) x2 − 4                                        ( )= x2 − 6x +10 ( x − 3)( x − 2)( x + 2)    นัน่ คือ ( )x2 − 6x +10 ( x − 3)( x − 2)( x + 2) = 0    จะได x = 3 หรือ x = 2 หรอื x = −2  ดงั นั้น เซตคาํ ตอบทงั้ หมดของสมการพหุนามนี้ คือ {−2, 2, 3, 3 + i, 3 − i}                                        สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
280 คมู อื ครรู ายวชิ าเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 5 เลม 2                                      บทท่ี 2 หลักการนับเบื้องตน          แบบฝก หดั 2.1        1. จากหลักการบวก จะมีวิธีเลอื กสั่งอาหารได 12 + 8 + 5 =25 แบบ        2. รูปสามเหลี่ยมดานเทา ทีเ่ กดิ จากการจดั เรียงกระเบื้องมี 3 ขนาด ไดแก               ขนาดท่ี 1 รูปสามเหลี่ยมดานเทา ทีแ่ ตละดา นยาว 1 หนว ย มี 9 รปู             ขนาดที่ 2 รปู สามเหลย่ี มดา นเทา ทแ่ี ตละดา นยาว 2 หนว ย มี 3 รปู             ขนาดที่ 3 รปู สามเหลี่ยมดา นเทา ทีแ่ ตละดานยาว 3 หนว ย มี 1 รปู             จากหลักการบวก จะไดวา มรี ูปสามเหล่ยี มดานเทา ทั้งหมด 9 + 3 +1=13 รปู        3. การเขาออกประตูหางสรรพสินคาของนอยหนา ประกอบดวย 2 ขัน้ ตอน ดังนี้             ขั้นตอนท่ี 1 นอ ยหนาสามารถเลอื กเขาประตไู ด 10 วิธี             ขน้ั ตอนที่ 2 นอยหนาสามารถเลอื กออกประตู โดยไมใ หซ ํ้ากบั ประตทู ่เี ขา ได 9 วิธี             จากหลกั การคูณ นอยหนาสามารถเลอื กเขา ออกประตู โดยไมใชประตูซํา้ กนั ได             10 × 9 =90 วิธี        4. การสรา งรูปสามเหลยี่ มจากจุด a1, a2, b1, b2, b3, c1, c2 และ c3 พจิ ารณาไดดงั น้ี             กรณีท่ี 1 รปู สามเหลี่ยมที่มจี ุดยอดอยูบนดาน AB, BC และ AC ดานละจดุ                       มี 3× 2× 3 =18 รปู             กรณีที่ 2 รูปสามเหลย่ี มทมี่ ีจุดยอด 2 จุด อยบู นดาน AB มี 3×5 =15 รูป             กรณที ่ี 3 รปู สามเหลี่ยมทมี่ ีจุดยอด 2 จดุ อยูบนดา น AC มี 3×5 =15 รปู             กรณีท่ี 4 รปู สามเหลี่ยมทม่ี ีจดุ ยอด 2 จดุ อยูบ นดา น BC มี 1× 6 =6 รูป             จากหลกั การบวก จะสรางรูปสามเหล่ยี มที่มจี ดุ ดังกลา วเปนจุดยอดได 18 +15 +15 + 6 =54 รปู        5. 1) การสรา งรปู สามเหลีย่ มจากจุด A, B, C, D, E หรือ F มี 2 กรณี ไดแ ก                   กรณที ี่ 1 รูปสามเหลี่ยมทม่ี ีจดุ ยอด 2 จดุ อยบู นสว นของเสน ตรง AD                         ขนั้ ตอนท่ี 1 เลือกจุด 2 จดุ จากจุด A, B, C, D ได 6 วิธี                         ขั้นตอนท่ี 2 เลือกจดุ 1 จดุ จากจดุ E,F ได 2 วธิ ี                         จากหลกั การคูณ จะสรา งรปู สามเหลย่ี มได 6× 2 =12 รปู                   กรณที ี่ 2 รูปสามเหลีย่ มทมี่ จี ุดยอด 2 จุด ท่ไี มใชจ ุด C อยบู นสว นของเสน ตรง CF                         ข้นั ตอนที่ 1 เลือกจุด 2 จุด จากจดุ E,F ได 1 วธิ ี                         ขั้นตอนท่ี 2 เลอื กจุด 1 จดุ จากจุด A, B, D ได 3 วิธี             สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวชิ าเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท ่ี 5 เลม 2 281                    จากหลกั การคูณ จะสรางรูปสามเหลย่ี มได 1×3 =3 รูป          จากหลักการบวก จะสรางรปู สามเหล่ยี มทม่ี ีจุด A, B, C, D, E หรอื F เปน จดุ ยอด          ไดท้ังหมด 12 + 3 =15 รูป      2) สังเกตวา ในการสรา งรูปสามเหล่ยี มมุมฉาก จะตองมี C เปนจุดยอด          น่ันคือ การสรางรูปสามเหล่ียมมุมฉาก ประกอบดว ย 2 ขั้นตอน ดงั นี้          ข้นั ตอนท่ี 1 เลอื กจดุ 1 จุด จากจดุ A, B, D ได 3 วิธี          ขน้ั ตอนที่ 2 เลือกจุด 1 จุด จากจุด E,F ได 2 วธิ ี          จากหลักการคูณ จะสรา งรูปสามเหล่ยี มมุมฉากทมี่ จี ุด A, B, C, D, E หรือ F เปน จุดยอด          ไดทง้ั หมด 3× 2 =6 รูป      3) การสรางรูปสามเหลย่ี มที่มี A เปน จุดยอด และมจี ดุ ยอดอีกสองจดุ จากจุด B, C, D, E          หรือ F มี 2 กรณี ไดแก          กรณที ี่ 1 จดุ ยอดอีกสองจุดไมอยูบนสวนของเสนตรง AD จะเลือกจุดได 1 วธิ ี คอื                    เลอื กจดุ E และ F                  ดังนน้ั จะสรา งรูปสามเหล่ยี มได1 รูป          กรณีท่ี 2 จุดยอดอีกสองจดุ มี 1 จดุ อยูบนสว นของเสนตรง AD                  ข้ันตอนท่ี 1 เลอื กจุด 1 จุด จากจุด B, C, D ได 3 วิธี                  ขั้นตอนท่ี 2 เลอื กจุด 1 จุด จากจดุ E,F ได 2 วธิ ี                  จากหลักการคณู จะสรางรปู สามเหลีย่ มได 3× 2 =6 รูป         ดงั นน้ั จะสรางรูปสามเหลยี่ มที่มี A เปนจดุ ยอด และมีจุดยอดอีกสองจุดจากจุด B, C,          D, E หรอื F ไดท้งั หมด 1+ 6 =7 รูป  6. การวางกระดาษรูปส่ีเหล่ยี มมุมฉากขนาด 2×1 ตารางหนวย ลงในรูป ประกอบดว ย 3 ขน้ั ตอน      ดงั น้ี      ขน้ั ตอนท่ี 1 วางลงในรปู สีเ่ หลย่ี มมุมฉากขนาด 2×3 ตารางหนวย ได 3 วธิ ี ดงั รูป      ขั้นตอนที่ 2 วางลงในรูปส่ีเหล่ียมมุมฉากขนาด 2× 2 ตารางหนวย ได 2 วธิ ี ดงั รปู                                                                         สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
282 คมู ือครรู ายวชิ าเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท ่ี 5 เลม 2               ขน้ั ตอนที่ 3 วางลงในรปู สี่เหลีย่ มมุมฉากขนาด 2× 4 ตารางหนวย ได 5 วิธี ดงั รูป             จากหลักการคูณ จํานวนวิธที แ่ี ตกตา งกนั ในการวางกระดาษรูปสี่เหล่ยี มมมุ ฉากขนาด 2×1             จํานวน 9 ช้นิ ลงในรปู ดังกลาว เทา กับ 3× 2×5 =30 วิธี        7. การสรา งรหัสบตั รเอทีเอม็ จํานวน 4 ตัว โดยใหสอดคลองกับเงือ่ นไขดังกลาว ประกอบดวย             4 ขัน้ ตอน ดังน้ี             ขน้ั ตอนที่ 1 เลือกเลขโดด 1 ตัว จากเลขโดด 0, 2, 4, 6 หรือ 8 เปนหลกั สุดทาย ได 5 วิธี             ขน้ั ตอนท่ี 2 เลอื กเลขโดด 1 ตวั จากเลขโดดทไ่ี มใช 9 และเลขโดดที่ไมซํ้ากบั เลขโดดหลัก                           สดุ ทาย เปน หลกั แรก ได 8 วธิ ี             ขน้ั ตอนท่ี 3 เลือกเลขโดด 1 ตวั จากเลขโดดทเี่ หลอื เปนหลักทส่ี อง ได 8 วิธี             ขนั้ ตอนท่ี 4 เลือกเลขโดด 1 ตัว จากเลขโดดทเี่ หลือเปน หลกั ทส่ี าม ได 7 วธิ ี             จากหลักการคูณ จํานวนรหัสบัตรเอทีเอ็มที่เลขโดดในแตละหลกั ไมซ้ํากัน เลขโดดในหลกั แรก             ไมใ ช 9 และเลขโดดในหลักสดุ ทา ยเปนจํานวนคู มที ั้งหมด 5×8×8× 7 =2,240 รหสั        8. การสรางคําโดยไมคํานึงถึงความหมาย ทป่ี ระกอบดวยตวั อักษรภาษาอังกฤษ 5 ตวั ประกอบดว ย             5 ขัน้ ตอน ดงั น้ี             ขั้นตอนท่ี 1 เลือกตวั อักษร 1 ตวั เปนตวั อกั ษรตัวแรก ได 26 วิธี             ขนั้ ตอนท่ี 2 เลือกตวั อักษร 1 ตวั ที่ไมซ ้ํากับตัวอักษรตวั แรก เปนตัวอักษรตัวทีส่ อง                           ได 25 วธิ ี             ข้ันตอนท่ี 3 เลอื กตัวอักษร 1 ตวั ทไ่ี มซ ํา้ กับตวั อกั ษรตวั ท่ีสอง เปน ตวั อักษรตัวท่สี าม                           ได 25 วธิ ี             ขั้นตอนท่ี 4 เลอื กตัวอักษร 1 ตัว ทไี่ มซ ํา้ กับตัวอกั ษรตวั ที่สาม เปนตัวอักษรตวั ทสี่ ่ี                           ได 25 วิธี             ขน้ั ตอนท่ี 5 เลอื กตวั อักษร 1 ตัว ที่ไมซํา้ กับตวั อักษรตัวทสี่ ่ี เปน ตัวอักษรตัวทห่ี า                           ได 25 วธิ ี             จากหลกั การคณู จํานวนวิธีสรา งคาํ ท่ีไมคํานงึ ถึงความหมาย ซง่ึ ประกอบดว ยตัวอักษร             ภาษาองั กฤษ 5 ตวั โดยที่ตวั อกั ษร 2 ตัวท่ีตดิ กนั ตองแตกตา งกัน มที ้งั หมด             26 × 25× 25× 25× 25 =10,156, 250 วธิ ี        9. 1) การสรางจาํ นวนเต็มบวกสามหลักทม่ี ากกวา หรอื เทา กบั 300 ประกอบดวย 3 ขน้ั ตอน                   ดังนี้             สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปที่ 5 เลม 2 283            ข้ันตอนที่ 1 เลือกเลขโดด 1 ตวั จากเลขโดด 3, 4, 5 เปนหลกั รอย ได 3 วธิ ี          ขน้ั ตอนที่ 2 เลอื กเลขโดด 1 ตัว จากเลขโดด 0,1, 2, 3, 4, 5 เปนหลักสบิ ได 6 วธิ ี          ขน้ั ตอนท่ี 3 เลือกเลขโดด 1 ตวั จากเลขโดด 0,1, 2, 3, 4, 5 เปน หลกั หนวย ได 6 วธิ ี          จากหลักการคณู จะไดจํานวนเต็มบวกท่ีมากกวาหรือเทา กับ 300 ทส่ี รา งจากเลขโดด          0,1, 2, 3, 4 และ 5 มีทั้งหมด 3× 6× 6 =108 จํานวน          ดังน้ัน จํานวนเตม็ บวกทีม่ ากกวา 300 มที ้ังหมด 108 −1=107 จํานวน      2) การสรา งจํานวนเตม็ บวกสามหลักที่มากกวา 300 โดยเลขโดดในแตละหลักไมซาํ้ กัน          ประกอบดวย 3 ข้นั ตอน ดังน้ี          ขนั้ ตอนที่ 1 เลอื กเลขโดด 1 ตัว จากเลขโดด 3, 4, 5 เปนหลกั รอ ย ได 3 วธิ ี          ขน้ั ตอนท่ี 2 เลอื กเลขโดด 1 ตวั จากเลขโดด 0,1, 2, 3, 4, 5 และไมซา้ํ กับหลกั รอย                        เปนหลักสบิ ได 5 วิธี          ข้ันตอนที่ 3 เลือกเลขโดด 1 ตัว จากเลขโดดทเ่ี หลือ เปนหลักหนว ย ได 4 วิธี          จากหลกั การคูณ จะไดจ ํานวนเตม็ บวกท่มี ากกวา 300 ทส่ี รางจากเลขโดด 0,1, 2, 3, 4          และ 5 โดยเลขโดดในแตละหลักไมซ าํ้ กนั มีทั้งหมด 3×5× 4 =60 จาํ นวน  10. รหัสหนงั สือของหองสมดุ แหงนี้ มอี งคป ระกอบ 4 สว น ไดแ ก      สว นที่ 1 ตวั อกั ษรภาษาองั กฤษ 2 ตวั มีได 26× 26 =676 วธิ ี      สว นท่ี 2 เลขโดด 3 ตัว ทไี่ มเ ปน ศูนยพรอ มกนั มีได 999 วิธี      สว นที่ 3 ตวั อักษรภาษาองั กฤษ 1 ตัว มไี ด 26 วธิ ี      สว นท่ี 4 เลขโดด 2 ตัว ทีไ่ มเปนศูนยพรอมกัน มีได 99 วธิ ี      จากหลักการคูณ จะไดวา รหัสหนงั สือท่ีเปนไปไดทั้งหมดมี 676×999× 26×99 =1,738,283,976 รหัส  11. เขียนตารางแสดงแตม ที่ไดจ ากการทอดลูกเตาหนึ่งลูกสองคร้ัง ไดดงั นี้        คร้ังที่ 1  1  2  3  4  5  6  ครง้ั ที่ 2  1 (1, 1) (1, 2) (1, 3) (1, 4) (1, 5) (1, 6)    2 (2, 1) (2, 2) (2, 3) (2, 4) (2, 5) (2, 6)  3 (3, 1) (3, 2) (3, 3) (3, 4) (3, 5) (3, 6)    4 (4, 1) (4, 2) (4, 3) (4, 4) (4, 5) (4, 6)  5 (5, 1) (5, 2) (5, 3) (5, 4) (5, 5) (5, 6)    6 (6, 1) (6, 2) (6, 3) (6, 4) (6, 5) (6, 6)                             สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
284 คูมือครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 5 เลม 2               1) วิธที ่ี 1 จากตารางจะไดว า จํานวนวธิ ที แ่ี ตมทไี่ ดจากการทอดลกู เตา ท้ังสองครั้งเทากนั                         เปน 6 วธิ ี                   วิธีที่ 2 ขั้นตอนท่ี 1 แตม ที่ไดจากการทอดลูกเตาครงั้ ที่ 1 มไี ด 6 วิธี                         ขั้นตอนท่ี 2 แตมท่ีไดจากการทอดลูกเตาครงั้ ที่ 2 โดยใหแตม เทา กบั การ                                     ทอดลกู เตา คร้ังท่ี 1 มีได 1 วธิ ี                         จากหลักการคูณ จะไดวา จํานวนวธิ ที ีแ่ ตมที่ไดจากการทอดลูกเตาท้ังสองครัง้                         เทา กัน เปน 6×1 =6 วิธี               2) วธิ ีที่ 1 จากตารางจะไดวา จํานวนวิธีที่แตมท่ีไดจากการทอดลูกเตาท้งั สองครั้งตา งกัน                         เปน 30 วธิ ี                   วธิ ีท่ี 2 เนอื่ งจาก จํานวนวธิ ีท่ไี ดแตม จากการทอดลกู เตา สองครง้ั เปน 36 วิธี                         และจํานวนวิธที แี่ ตม ท่ีไดจากการทอดลูกเตาท้ังสองครง้ั เทากนั เปน 6 วิธี                         ดังน้ัน จาํ นวนวิธีท่ีแตมทไ่ี ดจากการทอดลูกเตา ท้ังสองครงั้ ตางกนั เปน                         36 − 6 =30 วิธี                   วิธีที่ 3 ขน้ั ตอนที่ 1 แตมท่ีไดจากการทอดลกู เตาครง้ั ที่ 1 มไี ด 6 วธิ ี                         ขั้นตอนที่ 2 แตมที่ไดจากการทอดลูกเตาครั้งท่ี 2 โดยใหแ ตมตางกบั การ                                     ทอดลูกเตาครงั้ ที่ 1 มีได 5 วิธี                         จากหลักการคูณ จะได จาํ นวนวธิ ที ่ีแตมท่ีไดจ ากการทอดลูกเตาทง้ั สองครัง้                         ตางกัน เปน 6×5 =30 วิธี               3) จากตารางจะไดว า จํานวนวธิ ีทีผ่ ลรวมของแตมท่ีไดจากการทอดลูกเตา ทงั้ สองครั้ง                 นอยกวา 10 เปน 30 วธิ ี          12. 1) การสรา งจํานวนเต็มบวกสามหลกั มี 3 ขน้ั ตอน ดังนี้                 ขนั้ ตอนที่ 1 เลอื กเลขโดด 1 ตวั ท่ีไมใ ช 0 เปน หลักรอย ได 9 วธิ ี                 ข้ันตอนท่ี 2 เลอื กเลขโดด 1 ตัว เปน หลักสบิ ได 10 วธิ ี                 ขั้นตอนที่ 3 เลอื กเลขโดด 1 ตวั เปนหลกั หนว ย ได 10 วธิ ี                 จากหลกั การคูณ จะได จํานวนเต็มบวกที่มีสามหลัก มที ้ังหมด 9×10×10 =900 จํานวน               2) การสรา งจาํ นวนเต็มบวกสามหลัก ทเี่ ลขโดดในหลกั แรกและหลักสดุ ทา ยไมซ าํ้ กัน                 มี 3 ข้นั ตอน ดงั น้ี                 ขัน้ ตอนท่ี 1 เลือกเลขโดด 1 ตวั ท่ีไมใ ช 0 เปน หลกั รอย ได 9 วธิ ี                 ขั้นตอนท่ี 2 เลือกเลขโดด 1 ตวั ท่ีไมซ าํ้ กับหลกั รอ ย เปน หลกั หนวย ได 9 วิธี                 ขน้ั ตอนท่ี 3 เลอื กเลขโดด 1 ตัว เปน หลักสบิ ได 10 วิธี             สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวิชาเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปที่ 5 เลม 2 285            จากหลักการคูณ จะได จาํ นวนเต็มบวกทีม่ ีสามหลัก ทีเ่ ลขโดดในหลักแรกและหลักสุดทาย          ไมซํา้ กันมีท้ังหมด 9×9×10 =810 จํานวน      3) การสรา งจํานวนเต็มบวกสามหลกั ทเี่ ลขโดดในหลกั แรกและหลกั สุดทา ยรวมกนั ได 10          มี 3 ขั้นตอน ดงั น้ี          ขั้นตอนที่ 1 เลอื กเลขโดด 1 ตัว ท่ีไมใช 0 เปน หลักรอ ย ได 9 วธิ ี          ข้นั ตอนที่ 2 เลอื กเลขโดด 1 ตวั ทีร่ วมกับหลกั รอ ยแลว ได 10 เปน หลักหนว ย ได 1 วธิ ี          ขั้นตอนที่ 3 เลอื กเลขโดด 1 ตัว เปนหลกั สบิ ได 10 วิธี          จากหลักการคูณ จะได จํานวนเตม็ บวกที่มสี ามหลัก ทีเ่ ลขโดดในหลักแรกและหลักสุดทาย          รวมกันได 10 มีท้งั หมด 9×1×10 =90 จํานวน  13. การสรางพาลนิ โดรมท่ีประกอบดว ยตัวอักษรภาษาอังกฤษ 4 ตวั มี 4 ขน้ั ตอน ดังนี้      ขั้นตอนท่ี 1 เลือกตัวอักษรภาษาองั กฤษ 1 ตัว เปนตัวทีห่ นงึ่ ได 26 วิธี      ขัน้ ตอนที่ 2 เลอื กตัวอักษรภาษาองั กฤษ 1 ตวั เปนตัวทีส่ อง ได 26 วธิ ี      ข้นั ตอนที่ 3 เลือกตวั อักษรภาษาองั กฤษ 1 ตัว ซึง่ ตองเปนตัวอักษรเดียวกบั ตัวทส่ี องเปน                    ตัวท่สี าม ได 1 วิธี      ขั้นตอนที่ 4 เลอื กตัวอักษรภาษาองั กฤษ 1 ตัว ซง่ึ ตองเปน ตัวอักษรเดียวกบั ตวั ทหี่ นง่ึ เปน                    ตัวท่ีสี่ ได 1 วธิ ี      จากหลักการคูณ จะได พาลนิ โดรมทปี่ ระกอบดว ยตวั อักษรภาษาองั กฤษ 4 ตัว โดยทจี่ ะมี      ความหมายหรอื ไมก็ได มที ง้ั หมด 26× 26×1×1 =676 คาํ  14. 1) การนาํ ผลไมใสต ะกราโดยไมมีเงอ่ื นไข มี 4 ขั้นตอน ดังน้ี            ขั้นตอนที่ 1 นําผลไมช นิดที่ 1 ใสใ นตะกรา ใดตะกรา หน่งึ ทําได 6 วธิ ี          ขั้นตอนที่ 2 นําผลไมช นดิ ท่ี 2 ใสในตะกรา ใดตะกราหน่งึ ทําได 6 วธิ ี          ขน้ั ตอนที่ 3 นาํ ผลไมช นิดท่ี 3 ใสในตะกราใดตะกราหนึ่ง ทําได 6 วิธี          ขน้ั ตอนที่ 4 นําผลไมช นดิ ท่ี 4 ใสในตะกราใดตะกราหนง่ึ ทาํ ได 6 วิธี          จากหลักการคูณ จะไดจํานวนวิธใี นการนาํ ผลไมใ สต ะกราโดยไมมเี ง่ือนไข มีท้ังหมด          6 × 6 × 6 × 6 =1, 296 วิธี      2) การนําผลไมใสตะกราโดยตะกราแตละใบมีผลไมไมเ กิน 1 ผล มี 4 ขั้นตอน ดังนี้          ขั้นตอนท่ี 1 นาํ ผลไมช นดิ ที่ 1 ใสในตะกราใดตะกรา หนงึ่ ทาํ ได 6 วธิ ี          ข้ันตอนท่ี 2 นําผลไมช นิดที่ 2 ใสใ นตะกราใบหนงึ่ ทวี่ า งอยู ทําได 5 วธิ ี          ขน้ั ตอนท่ี 3 นําผลไมช นดิ ที่ 3 ใสในตะกราใบหนึง่ ท่ีวา งอยู ทําได 4 วิธี          ขน้ั ตอนที่ 4 นาํ ผลไมชนดิ ที่ 4 ใสใ นตะกรา ใบหนึง่ ทว่ี า งอยู ทาํ ได 3 วธิ ี                                                                         สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
286 คมู อื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที่ 5 เลม 2           จากหลักการคูณ จะไดจํานวนวธิ ใี นการนาํ ผลไมใสตะกราโดยตะกราแตละใบมผี ลไม         ไมเกิน 1 ผล มีทั้งหมด 6×5× 4×3 =360 วธิ ี    แบบฝกหัด 2.2    1. เนอ่ื งจากมีหนงั สอื ท่ีแตกตา งกันทง้ั หมด 9 เลม      สามารถนาํ หนังสอื ทง้ั หมดนี้มาวางเรยี งบนชัน้ วางหนังสือ ทําไดท ั้งหมด 9!= 362,880 วิธี    2. 1)                 8!           P8,4 = (8 − 4)!                    = 8!                      4!                    = 8×7×6×5                  = 1,680                            10!    2) P10,2 = (10 − 2)!                   = 10!                     8!                   = 10 × 9                   = 90    3)     P7,3    =     7!                      (7 − 3)!                    = 7!                      4!                    = 7×6×5                  = 210                            20!    4) P20,2 = (20 − 2)!                    = 20!                      18!                    = 20 ×19                  = 380                            5!    5) P5,5 = (5 − 5)!                   = 5!                    0!                   = 5× 4×3× 2×1                 = 120    สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม อื ครูรายวิชาเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที่ 5 เลม 2 287                                7!        6) P7,0 = (7 − 0)!                     = 7!                      7!                     =1    3. จาก                               Pn,4 = 18 × Pn−1,2      จะได                                          n!     =  18  ×  (n    − 1)!                                                           (n    − 3)!                                       (n − 4)!               n(n −1)(n − 2)(n − 3)(n − 4)!       =  18  ×  (  n  − 1)  (n  −  2)(  n  −  3)!                       (n − 4)!                                        (n  −  3)!                     n(n −1)(n − 2)(n − 3) = 18(n −1)(n − 2)        จาก Pn, 4 จงึ ไดว า n ≥ 4 จะได (n −1)(n − 2) ≠ 0      นั่นคอื n(n − 3) = 18                                   n2 − 3n −18 = 0                            (n − 6)(n + 3) = 0        จะได n − 6 =0 หรอื n + 3 =0      นน่ั คือ n = 6 หรือ n = −3      เนือ่ งจาก n เปน จํานวนเต็มบวก      ดังนนั้ n = 6    4.  Pn,1 + Pm,1  =  (n  n!     +     m!                            − 1)!     (m −1)!                     =  n(n −1)!      +  m(m −1)!                      (n −1)!          (m −1)!                     = n+m                        (n + m)(n + m −1)!                   = (n + m −1)!                         (n + m)!                   = (n + m −1)!                     = Pn+m,1                                                                         สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
288 คูม อื ครรู ายวิชาเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 5 เลม 2    5. ในทน่ี ้ี n = 11 และ r = 5    จะได               11!           P11,5 = (11 − 5)!           = 11!             6!           = 11×10 × 9 × 8 × 7                    = 55,440    ดงั นนั้ จาํ นวนวิธใี นการจัดทมี ผูเลน มีทงั้ หมด 55,440 วธิ ี  6. วิธที ี่ 1 ในท่นี ้ี n = 4 และ r = 3           จะได   P4,3            =                  4!                                                   (4 − 3)!                                         = 4!                                            1!                                         = 4×3× 2×1                                         = 24                ดังนน้ั สรา งจาํ นวน 3 หลกั จากเลขโดด 2, 3, 5 และ 9 โดยทีแ่ ตล ะหลกั มีเลขโดด              ไมซาํ้ กนั ไดท ้ังหมด 24 จํานวน      วิธีท่ี 2 การสรา งจาํ นวน 3 หลกั จากเลขโดด 2, 3, 5 และ 9 โดยท่แี ตล ะหลักมเี ลขโดด              ไมซํ้ากัน มี 3 ข้ันตอน ดงั นี้              ข้ันตอนที่ 1 เลือกเลขโดด 1 ตัว เปน หลกั รอ ย ได 4 วิธี              ขนั้ ตอนท่ี 2 เลือกเลขโดด 1 ตัว เปน หลกั สบิ ได 3 วธิ ี              ขั้นตอนท่ี 3 เลอื กเลขโดด 1 ตวั เปน หลักหนว ย ได 2 วิธี              จากหลักการคูณ สรางจํานวน 3 หลัก จากเลขโดด 2, 3, 5 และ 9 โดยท่ีแตละหลักมี              เลขโดดไมซ ํ้ากนั ไดทง้ั หมด 4×3× 2 =24 จาํ นวน  7. รูปแบบการนั่งให 3 คน ไมมีใครนัง่ ตดิ กนั มี 4 รูปแบบ คือ ใหทงั้ 3 คน นงั่ บนเกา อ้ีในตําแหนง      ท่ี (1, 3, 5), (1, 3, 6), (1, 4, 6) และ (2, 4, 6)      และในแตละรปู แบบ ท้ัง 3 คน สามารถนัง่ สลบั ตําแหนง กันได 3! วธิ ี      โดยหลักการคูณ มวี ธิ ีที่จัดใหคน 3 คน นง่ั เกา อ้ี 6 ตัว โดยทีไ่ มมีใครนง่ั ติดกัน ได 4×3!=24 วธิ ี    สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 5 เลม 2 289    8. 1) เนอ่ื งจากมีหนังสอื รวมกัน 9 เลม          นาํ มาเรียงสับเปล่ยี น ไดท ้ังหมด 9! = 362,880 วธิ ี        2) เนอ่ื งจากตองการใหหนังสือเลมแรกและเลม สดุ ทายเปนหนังสอื คณิตศาสตร          จะจดั หนงั สอื เลม แรกและเลม สดุ ทายเปนหนังสอื คณติ ศาสตรได P2,2 วธิ ี    จากนัน้ จดั หนงั สือทีเ่ หลือท้ังหมดไวระหวา งหนงั สือคณิตศาสตร 2 เลม ได 7! วธิ ี  ดงั นัน้ จาํ นวนวิธีจดั เรียงหนังสือโดยใหหนังสอื เลม แรกและเลม สุดทา ยเปน หนงั สอื  คณติ ศาสตรไดทั้งหมด P2,2 × 7!=10,080 วธิ ี        3) เน่อื งจากตอ งการใหหนงั สือวิชาเดียวกนั อยตู ิดกนั          จะพิจารณาวาหนังสือวชิ าเดียวกันมัดตดิ กนั โดยคิดเปนสิง่ ของ 1 ชิ้น          ดงั นน้ั จะมหี นังสืออยู 3 มัด จดั เรียงได 3! วิธี          แตละวธิ ีใน 3! วิธนี ้ี มดั ทเ่ี ปน หนงั สอื เคมีท่ตี า งกนั 3 เลม จัดเรียงได 3! วิธี          มัดทเ่ี ปนหนงั สือคณติ ศาสตรทตี่ างกัน 2 เลม จัดเรียงได 2! วธิ ี          และมัดท่ีเปนหนงั สือภาษาองั กฤษที่ตา งกนั 4 เลม จดั เรียงได 4! วธิ ี          ดงั นนั้ จาํ นวนวธิ ีจัดเรียงใหหนังสอื วชิ าเดยี วกันอยตู ิดกนั ไดท้ังหมด 3!3!2!4!=1,728 วธิ ี    9. 1) การจัดคนท่ีมาสมัครเขาทํางาน มี 2 ขัน้ ตอน ดังน้ี          ข้ันตอนท่ี 1 จดั ผูสมคั รที่เปนผชู าย ได P6,3 วธิ ี          ข้นั ตอนท่ี 2 จดั ผสู มัครที่เปนผหู ญิง ได P5,2 วธิ ี    ดังน้ัน  จํานวนวิธจี ัดคนท่ีมาสมัครเขา ทาํ งาน  มีทง้ั หมด  P6,3  × P5,2  =  6! ×  5! =  2, 400           วิธี                                                                                3!    3!    2) การจดั คนท่ีมาสมคั รเขา ทํางาน โดยมีชาติเปน หนงึ่ ในผสู มัครงาน และชาตไิ ดเ ขา  ทาํ งาน ทําไดโ ดยเลอื กตาํ แหนงงานท่ีวา งสาํ หรับผชู ายใหชาตทิ ําได 3 วิธี  นน่ั คือ จะเหลือผสู มคั รที่เปนผูชาย 5 คน และตําแหนงวา ง 2 ตาํ แหนง ซ่ึงจัดได P5,2 วิธี    และจัดผูส มคั รท่ีเปนผหู ญิงเขาทํางานได P5,2 วธิ ี  ดังนัน้ จํานวนวธิ ีจัดคนที่มาสมัครเขาทาํ งาน โดยชาติเปน หนึ่งในผสู มัครงานและชาติได  เขาทาํ งาน มที ัง้ หมด 3× P5,2 × P5,2 =1,200 วธิ ี    3) การจดั คนท่ีมาสมคั รเขา ทํางาน จะจดั ผูมาสมัครท่เี ปน ผูช ายได P6,3 วิธี      เน่อื งจากรุงไดเขา ทํางาน จัดตําแหนง ท่ีวา งงานสาํ หรับผูหญิงใหร ุงทาํ ได 2 วิธี      จะเหลือผสู มคั รงานทีเ่ ปน ผูหญงิ 4 คน      แตห ญงิ ไมไ ดเขา ทํางาน จะเหลอื ผูส มคั รงานท่เี ปน ผูห ญงิ เพียง 3 คน ซ่งึ จดั ได P3,1 วธิ ี                                                     สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
290 คูมือครูรายวชิ าเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ่ี 5 เลม 2                   ดังนั้น จาํ นวนวิธีจดั คนท่ีมาสมคั รเขา ทํางาน โดยรุงและหญิงเปนสองคนในผสู มคั รงาน                 และรงุ ไดเขาทํางานแตหญิงไมไดเ ขาทํางาน มีทง้ั หมด P6,3 × 2× P3,1 =720 วธิ ี        10. เน่ืองจากตองการใหไมม ผี หู ญิง 2 คนใดยนื ตดิ กนั จะแบง เปน 2 ขนั้ ตอน ดงั นี้             ขน้ั ตอนที่ 1 จัดผูช าย 6 คน ยืนเรยี งแถวได 6! วิธี             ขั้นตอนท่ี 2 จดั ผูหญิง 3 คน ยืนแทรกระหวางผชู ายได 7 ตาํ แหนง จดั ได P7,3 วธิ ี             ดังนนั้ จํานวนวิธีทจ่ี ะจดั ผชู าย 6 คน และผหู ญงิ 3 คน ยืนเรียงแถวหนา กระดาน โดยทีไ่ มมี             ผูหญงิ 2 คนใดยนื ตดิ กัน มีทงั้ หมด 6!× P7,3 =151,200 วธิ ี        11. 1) เนอื่ งจากมีหนังสือที่แตกตา งกัน 8 เลม จะนาํ หนงั สือทงั้ หมดมาวางเรียงเปนแถว ได 8! วิธี             2) เนอ่ื งจากตอ งการใหห นงั สือภูมิศาสตรไ มอ ยตู ิดกัน จะแบงเปน 2 ขนั้ ตอน ดังน้ี                 ขั้นตอนที่ 1 จดั หนังสือทไี่ มใชหนงั สือภมู ิศาสตรก อน ได 5! วธิ ี                 ขน้ั ตอนท่ี 2 จดั หนังสือภูมิศาสตรแ ทรกได 6 ตําแหนง ได P6,3 วิธี                 ดงั น้นั จะนาํ หนงั สือทั้งหมดมาวางเรยี งเปน แถว โดยท่ีหนงั สอื ภูมิศาสตรไ มอ ยูติดกนั                 ได 5!× P6,3 =14,400 วิธี        12. 1) เนือ่ งจากตอ งการให เทยี นหอม อิงฟา มะตมู และปน จ่นั เขาเสนชัย 4 อนั ดบั แรก จะมี                 ได 4! รปู แบบ                เหลือผูเขา แขงขันอีก 96 คน ซึง่ จะเขา เสนชัยเปน อนั ดับใดก็ไดใน 96 อันดบั ทเ่ี หลือ                 มไี ด 96! รูปแบบ                 ดงั นัน้ จาํ นวนรูปแบบการเขา เสนชยั ของผูเขา แขงขนั ทัง้ หมด โดยท่ี เทียนหอม อิงฟา                 มะตูม และปน จน่ั เขาเสน ชัย 4 อันดับแรก คือ 4!×96! รปู แบบ             2) เทยี นหอม เขา เสนชนั อันดับท่ี 5 มีได 1 รปู แบบ                 อิงฟา มะตูม ปน จั่น เขาเสน ชัยในอันดบั ทน่ี อยกวา อันดบั ที่ 5 มไี ด P4,3 รปู แบบ                 เหลือผูเขา แขงขนั อกี 96 คน ซ่ึงจะเขาเสนชัยเปน อันดับใดกไ็ ดใ น 96 อันดับท่เี หลือ                 มีได 96! รปู แบบ                 ดงั นัน้ จํานวนรูปแบบการเขา เสน ชัยของผเู ขาแขง ขนั ท้ังหมด โดยทเี่ ทยี นหอมเขา เสน ชัย                 อนั ดบั ที่ 5 และ องิ ฟา มะตมู ปนจัน่ เขา เสน ชยั ในอันดับทนี่ อยกวาอันดบั ท่ี 5 คอื                 P4,3 × 96! =24 × 96! รูปแบบ             สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
                                
                                
                                Search
                            
                            Read the Text Version
- 1
 - 2
 - 3
 - 4
 - 5
 - 6
 - 7
 - 8
 - 9
 - 10
 - 11
 - 12
 - 13
 - 14
 - 15
 - 16
 - 17
 - 18
 - 19
 - 20
 - 21
 - 22
 - 23
 - 24
 - 25
 - 26
 - 27
 - 28
 - 29
 - 30
 - 31
 - 32
 - 33
 - 34
 - 35
 - 36
 - 37
 - 38
 - 39
 - 40
 - 41
 - 42
 - 43
 - 44
 - 45
 - 46
 - 47
 - 48
 - 49
 - 50
 - 51
 - 52
 - 53
 - 54
 - 55
 - 56
 - 57
 - 58
 - 59
 - 60
 - 61
 - 62
 - 63
 - 64
 - 65
 - 66
 - 67
 - 68
 - 69
 - 70
 - 71
 - 72
 - 73
 - 74
 - 75
 - 76
 - 77
 - 78
 - 79
 - 80
 - 81
 - 82
 - 83
 - 84
 - 85
 - 86
 - 87
 - 88
 - 89
 - 90
 - 91
 - 92
 - 93
 - 94
 - 95
 - 96
 - 97
 - 98
 - 99
 - 100
 - 101
 - 102
 - 103
 - 104
 - 105
 - 106
 - 107
 - 108
 - 109
 - 110
 - 111
 - 112
 - 113
 - 114
 - 115
 - 116
 - 117
 - 118
 - 119
 - 120
 - 121
 - 122
 - 123
 - 124
 - 125
 - 126
 - 127
 - 128
 - 129
 - 130
 - 131
 - 132
 - 133
 - 134
 - 135
 - 136
 - 137
 - 138
 - 139
 - 140
 - 141
 - 142
 - 143
 - 144
 - 145
 - 146
 - 147
 - 148
 - 149
 - 150
 - 151
 - 152
 - 153
 - 154
 - 155
 - 156
 - 157
 - 158
 - 159
 - 160
 - 161
 - 162
 - 163
 - 164
 - 165
 - 166
 - 167
 - 168
 - 169
 - 170
 - 171
 - 172
 - 173
 - 174
 - 175
 - 176
 - 177
 - 178
 - 179
 - 180
 - 181
 - 182
 - 183
 - 184
 - 185
 - 186
 - 187
 - 188
 - 189
 - 190
 - 191
 - 192
 - 193
 - 194
 - 195
 - 196
 - 197
 - 198
 - 199
 - 200
 - 201
 - 202
 - 203
 - 204
 - 205
 - 206
 - 207
 - 208
 - 209
 - 210
 - 211
 - 212
 - 213
 - 214
 - 215
 - 216
 - 217
 - 218
 - 219
 - 220
 - 221
 - 222
 - 223
 - 224
 - 225
 - 226
 - 227
 - 228
 - 229
 - 230
 - 231
 - 232
 - 233
 - 234
 - 235
 - 236
 - 237
 - 238
 - 239
 - 240
 - 241
 - 242
 - 243
 - 244
 - 245
 - 246
 - 247
 - 248
 - 249
 - 250
 - 251
 - 252
 - 253
 - 254
 - 255
 - 256
 - 257
 - 258
 - 259
 - 260
 - 261
 - 262
 - 263
 - 264
 - 265
 - 266
 - 267
 - 268
 - 269
 - 270
 - 271
 - 272
 - 273
 - 274
 - 275
 - 276
 - 277
 - 278
 - 279
 - 280
 - 281
 - 282
 - 283
 - 284
 - 285
 - 286
 - 287
 - 288
 - 289
 - 290
 - 291
 - 292
 - 293
 - 294
 - 295
 - 296
 - 297
 - 298
 - 299
 - 300
 - 301
 - 302
 - 303
 - 304
 - 305
 - 306
 - 307
 - 308
 - 309
 - 310
 - 311
 - 312
 - 313
 - 314
 - 315
 - 316
 - 317
 - 318
 - 319
 - 320
 - 321
 - 322
 - 323
 - 324
 - 325
 - 326
 - 327
 - 328
 - 329
 - 330
 - 331
 - 332
 - 333
 - 334
 - 335
 - 336
 - 337
 - 338
 - 339
 - 340
 - 341
 - 342
 - 343
 - 344
 - 345
 - 346
 - 347
 - 348
 - 349
 - 350
 - 351
 - 352
 - 353
 - 354
 - 355
 - 356
 - 357
 - 358
 - 359
 - 360
 - 361
 - 362
 - 363
 - 364
 - 365
 - 366
 - 367
 - 368
 - 369
 - 370
 - 371
 - 372
 - 373
 - 374
 - 375
 - 376
 - 377
 - 378
 - 379
 - 380
 - 381
 - 382
 - 383
 - 384
 - 385
 - 386
 - 387
 - 388
 - 389
 - 390
 - 391
 - 392
 - 393
 - 394
 - 395
 - 396
 - 397
 - 398
 - 399
 - 400
 - 401
 - 402
 - 403
 - 404
 - 405
 - 406
 - 407
 - 408
 - 409
 - 410
 - 411
 - 412
 - 413
 - 414