Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Ebookหนังสือ“รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร? (เล่ม ๑)ก้าวสู่ปีที่๒๔“เราคิดอะไร”

Ebookหนังสือ“รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร? (เล่ม ๑)ก้าวสู่ปีที่๒๔“เราคิดอะไร”

Published by godofthecrash, 2018-07-09 04:58:47

Description: หนังสือออนไลน์Ebookหนังสิอชาวอโศกศูนย์รวมหนังสือต่างๆของชาวอโศก ที่เคยตีพิมพ์เป็นเล่มหนังสือ และกำลังจะตีพิมพ์ ได้จัดทำไว้เพื่อสะดวกในการค้นคว้าข้อมูลด้านสื่อสิ่งพิมพ์ ที่เปิดใช้งานได้เสมือนหนังสือจริง

Search

Read the Text Version

1 คนจะมธี รรมะไดอ้ ย่างไร?

รวมคนจะมธี รรมะไดอ้ ยา่ งไร? (เล่ม ๑)ISBN 978-616-91398-6-7พมิ พค์ รงั้ แรก : พฤศจกิ ายน ๒๕๖๐จ�านวนพมิ พ ์ : ๗,๕๐๐ เลม่แบบปก : แสงศิลป์ เดือนหงาย เพชรพนั ศิลป์ มุนีเวชจัดพิมพ์โดย : ส�านักพิมพก์ ลนั่ แก่นโทรศัพท/์ โทรสาร : ๐ ๒๗๓๓ ๖๒๔๕พิมพท์ ่ ี : บรษิ ัท ฟา้ อภยั จ�ากัด ๖๔๔ ซ.นวมินทร ์ ๔๔ ถ.นวมินทร์ คลองก่มุ บงึ กุ่ม กทม. ๑๐๒๔๐ผพู้ มิ พผ์ ู้โฆษณา : นางสาวลดั ดา ปยิ ะวงศร์ งุ่ เรอื งจัดจา� หน่ายโดย : ส�านักพิมพ์กลนั่ แก่น ๖๔๔ ซ.นวมินทร์ ๔๔ ถ.นวมินทร ์ คลองกุ่ม บึงกมุ่ กทม. ๑๐๒๔๐โทรศพั ท์/โทรสาร : ๐ ๒๗๓๓ ๖๒๔๕ราคาบุญนิยม : ๙๕ บาท 2 คนจะมีธรรมะไดอ้ ย่างไร?

v คา� นา� v “คนจะมธี รรมะไดอ้ ยา่ งไร? ” โดยสมณะโพธริ กั ษ์ เปน็ คอลมั นป์ ระจา� ในหนงั สือพมิ พ์ “เราคดิ อะไร” เรม่ิ ลงตอนแรกในฉบับท่ี ๒๘๖ เดอื นพฤษภาคม ๒๕๕๗ ต่อเนอ่ื งมาจนถงึ ปัจจุบัน ส�านักพิมพ์กลั่นแก่นได้รวบรวมเน้ือหาต้ังแต่ฉบับแรก (๒๘๖) ที่ตีพิมพ์ จนถึงฉบบั ท่ี ๓๐๑ เดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ เปน็ “รวมคนจะมีธรรมะไดอ้ ยา่ งไร?  (เลม่  ๑)” ในรูปเลม่ ทพ่ี อเหมาะแก่การอ่านศกึ ษา หนังสือตามท้องตลาดหรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ในโลกอินเทอร์เน็ต ก็ตาม จะต้องมีเน้ือหาท�านองสอนลูกให้รวย ท�าอย่างไรจะรวยแบบก้าว กระโดด อายุน้อยร้อยล้าน ฯลฯ ประชันเนื้อหาเด็ดเคล็ดลับชนิดตาลายเลือก ไมถ่ กู อ่านกันไมห่ วาดไมไ่ หว คงมีชาวพุทธจา� นวนไมม่ ากนกั ทีท่ ราบว่า การเป็น ผ้มู ี “ธรรมะ” นับเป็นทรพั ยอ์ นั ยง่ิ ใหญ่กวา่ ทรัพย์ใด ๆ เป็นเศรษฐี (รวย) แท้... เมื่อไม่ทราบคนส่วนใหญ่จึงสู่เส้นทางรวยแก่งแย่งแบบปุถุชนโลกีย์ และเบียดเบียนกนั และกันอยา่ งสาหัสสากรรจ์ เป็นดุจไฟนรกเผาไหมท้ ่ัวทง้ั โลก “รวมคนจะมธี รรมะไดอ้ ยา่ งไร? (เลม่ ๑)” สคู่ วามเปน็ เศรษฐแี ท้ อธบิ าย ธรรมะระดบั โลกตุ ระดว้ ยภาษาเขา้ ใจงา่ ย สามารถลงมอื ปฏบิ ตั ไิ ดท้ นั ที ผแู้ สวงหา บางทา่ นอาจจะสงสยั สบั สนในคา� อธบิ ายบางชว่ งบางตอนทแี่ ตกตา่ งจากทเี่ คยรบั รู้ รับทราบมา หากเปดิ ประตใู จอา่ นซ�้าทบทวนเพิม่ เติม ทา่ นอาจจะได้กุญแจไขข้อ สงสยั ที่เคยมมี านาน ประหนงึ่ พบแสงไฟสอ่ งสวา่ งทะลุอโุ มงคม์ ดื ในชวี ิตกไ็ ด้ กราบนมัสการขอบพระคุณพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ท่ีกรุณาอุตสาหะ เปิดเผยแก่นธรรมสาระใน “รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร? ” แด่ชาวพุทธ ผตู้ อ้ งการโลกตุ รธรรมเปน็ ทรพั ยป์ ระเสรฐิ ใหแ้ กช่ วี ติ และขอขอบพระคณุ ทกุ ฝา่ ย ทีเ่ สยี สละจนกระทงั่ งานส�าเร็จลลุ ่วงดว้ ยดี กา้ วสปู่ ที ี่ ๒๔ “เราคดิ อะไร” ขอนอ้ มมอบ“รวมคนจะมธี รรมะไดอ้ ยา่ งไร? (เลม่ ๑)” เป็นธรรมบรรณาการแดส่ มาชกิ และผมู้ อี ุปการคณุ ทุกท่าน ด้วยความปรารถนาดี กองบรรณาธิการ “เราคิดอะไร” ส�านักพิมพก์ ลั่นแก่น3 คนจะมีธรรมะไดอ้ ย่างไร?

ในสงั คมคนควรเปน็ สงั คมที่มธี รรมะ จงึ จะเป็นสังคมเจรญิ อยู่เยน็ เปน็ สขุ4 คนจะมีธรรมะไดอ้ ยา่ งไร?

ในสังคมคนควรเปน็ สังคมทมี่ ธี รรมะ จงึ จะเป็นสังคมเจริญอยเู่ ยน็ เป็นสุข ปกตสิ ามญั คนทกุ คนกอ็ ยากจะเปน็ คนม“ี ธรรมะ”กนั ทงั้ นนั้เปน็ ธรรมดา ยกเวน้ คนจิตวิปริต ท่ีจะไมเ่ อาธรรมะ “ธรรมะ”ของศาสนาพทุ ธนน้ั มที ฤษฎที ส่ี มั บรู ณย์ ง่ิ ผศู้ กึ ษาอยา่ งสมั มาทฏิ ฐแิ ลว้ ปฏบิ ตั ใิ หส้ มั มาปฏบิ ตั จิ นถงึ ขน้ั “ทา� ใจในใจของตน”ได้ถ่องแท้ถูกต้องตามค�าสอนของพระพุทธเจ้า คือ “โยนิโสมนสิการ” ก็จะได้“ธรรมะ”สมควรแก่ธรรม(ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ) ถามกนั มาก ว่า สมั มาทฏิ ฐคิ อื อะไร? จะเริม่ ปฏบิ ตั ิธรรมะอยา่ งไร? การปฏิบัติธรรมะน้นั จะเริ่มตน้ กนั ทต่ี รงไหน? จึงจะได้เป็นคนม“ี ธรรมะ”กบั เขาบา้ ง ตอบไดท้ นั ทกี อ่ นอ่นื ว่า ศาสนาพทุ ธน้ัน เริ่มตน้ ปฏิบัติอยู่กบั ทกุ อริ ยิ าบถของตนเองนแ้ี หละ ปฏบิ ตั ไิ ดท้ กุ เมอื่ ไมต่ อ้ งหาสถานท่ี5 คนจะมีธรรมะไดอ้ ยา่ งไร?

พิเศษ เพ่อื ปฏิบัตธิ รรมะตา่ งหากที่ไหนเลย “สมาธ”ิ แบบพทุ ธทา� ไดใ้ นทกุ ขณะ ทมี่ กี ายกรรม-วจกี รรม-มโนกรรมอยู่ ฌานแบบพุทธก็ท�าไดท้ กุ เวลา ตราบท่ียงั มลี มหายใจเข้า-ลมหายใจออกแล้วมีสติสงั วร(อานาปานสต)ิ ไมต่ อ้ งหยดุ อยนู่ ง่ิ ๆ ไมต่ อ้ งพกั การงานใดๆเลย เหมอื นอยา่ งท่ีเขาปฏิบตั ิ“ฌาน”สาธารณะแบบท่ัวไป ที่รทู้ ท่ี �ากนั แพรห่ ลาย ส่วนสมาธิตามค�าสอนของพระพุทธเจ้าน้ัน ท�าการงานไปดว้ ย ปฏิบตั ธิ รรมใหเ้ กดิ “สัมมาสมาธิ”ไปได้ ตามมรรคอันมอี งค์ ๘ แต่วิธีปฏิบัติที่เกิด“สัมมาสมาธิ”นั้น พระพุทธเจ้าปฏิบัติ“มรรค ๗ องค”์ (๗ องค์นะ) ไม่ใชว่ ิธหี ลบั ตาเขา้ ไปสู่ภวงั ค์ปฏบิ ตั ิ มรรค ๗ องค์ก็คือ ปฏิบัติ..สัมมาทิฏฐิ-สัมมาสังกัปปะ-สมั มาวาจา-สมั มากมั มนั ตะ-สมั มาอาชวี ะ-สมั มาวายามะ-สมั มาสติไปด้วยกันในขณะที่มชี ีวิตประจา� วันสามญั นี่เอง ผสู้ นใจดหู ลกั ฐานจากพระไตรปฎิ ก เลม่ ๑๔ ขอ้ ๒๕๒-๒๘๑มหาจัตตารสี กสูตร ฉะนแ้ี ล การทา� “สมาธ”ิ ทปี่ ฏบิ ตั แิ บบพทุ ธ เพอ่ื ได“้ ธรรมะ”ไปถงึ ที่สดุ นิพพาน ซ่ึงปฏิบัติในขณะมีชีวิตเคล่ือนไหวท�ากรรมกิริยาอยู่ปกติธรรมดานี่เอง ดว้ ยการสมาทานศลี ตามฐานะแตล่ ะคน แลว้ ปฏิบตั ิสติปฏั ฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔ อิทธบิ าท ๔ ดา� เนนิ มรรคกอ่ เกดิ ผลสง่ั สมตกผลกึ ลงเปน็ อนิ ทรยี ์ ๕ -พละ ๕อยูบ่ นฐานปฏิบตั ิโพชฌงค์ ๗ - มรรค ๘ นแี่ หละหลกั ปฏบิ ัติ6 คนจะมีธรรมะไดอ้ ย่างไร?

ครบองคร์ วมของโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ซ่งึ ไม่แตกตา่ งไปจากการปฏิบตั “ิ จรณะ ๑๕ วชิ ชา ๘” หรือไตรสิกขา เปน็ ตน้ แม้แต่ปฏิบัติทาน-ศีล-ภาวนา ก็การปฏิบัติเย่ียงเดียวกัน ถ้าเข้าใจการปฏบิ ัตแิ บบพุทธอยา่ งสัมมาทฏิ ฐิ อันเป็นการปฏิบัติได้ท้ังในการคิดก็คิดได้ พิจารณาให้เป็นสัมมาสังกัปปะ จะพูดก็พูดได้ แต่ต้องท�าสัมมาวาจาให้เป็นผล จะทา� งานทา� การใดๆกก็ ระทา� ไป แตต่ อ้ งทา� ใหเ้ ปน็ ผลสมั มากมั มนั ตะ จะทา�อาชพี กท็ า� ไป แตต่ อ้ งทา� ใหส้ มั มาอาชวี ะเจรญิ สผู่ ลถงึ ขนั้ สงู สดุ ใหไ้ ด้ ดว้ ยการมสี มั มาวายามะ และสมั มาสตเิ ปน็ องคร์ วมชว่ ยงานกนั ไปกบั สัมมาทิฏฐทิ ่เี ปน็ ประธานในการปฏบิ ัตมิ รรค อันมีองค์ ๘ จึงจะสะสมผลเป็น“เอกัคคตาจิต” ที่มีผลของสมาธิแบบพทุ ธ แนน่ อนวา่ ผลจติ ยอ่ มแตกตา่ งจาก“เอกคั คตาจติ ”ทม่ี ผี ลของสมาธสิ ามญั ท่ัวไป ซ่ึงแพร่หลายกนั อยทู่ ั่วโลก “สมาธ”ิ สามญั นน้ั มมี าเกา่ แกน่ านกาล และมอี ยปู่ ระจา� โลกเปน็ สมาธสิ าธารณะ “สมาธิ” หมายถึงอะไร สมาธิ หมายถึง ภาวะจิตน้ันแข็งแรงต้ังมั่น จากการปฏิบัติ“ฌาน”แล้วจิตสะอาด จากนิวรณ์ ๕ จึง“สะสมจิต”ชนิดนี้ตกผลกึ ลงเปน็ “จติ ต้ังม่ัน” ทศ่ี ัพท์เรียกว่า“สมาธิ”(มอี ธจิ ิตนน้ั อยู่เสมอ) ซง่ึ ความเปน็ “ฌาน”กม็ ี ๒ แบบ แบบสามัญแพร่หลายท่ัวไป(meditation) ที่ปฏิบัติแบบหลบั ตาเพ่งกสิณเปน็ ต้น นีก่ ็แบบหน่ึง7 คนจะมธี รรมะได้อยา่ งไร?

สว่ นของพระพทุ ธเจา้ นนั้ กป็ ฏบิ ตั อิ กี แบบหนงึ่ ซงึ่ ไมใ่ ชแ่ บบหลับตาปฏิบัติ แต่ลืมตาปฏิบัติ(Supra concentration) มีสัมผัสเปน็ ปจั จยั นเี่ อง ตามหลกั จรณะ ๑๕ วชิ ชา ๘ กด็ ี ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสัในพระไตรปฎิ ก เลม่ ๙ ทกุ สตู รเรม่ิ ตงั้ แตพ่ รหมชาลสตู ร กเ็ รม่ิ ทรงช้ีให้รู้จกั ทิฏฐิท้งั หลายในโลก ก็ม“ี มจิ ฉาทฏิ ฐ”ิ อยู่ ๖๒ เท่าน้ัน จากสูตรนีไ้ ปจนถึงสูตรสุดทา้ ยอกี ๑๒ สตู ร ล้วนคอื หลักปฏิบตั ไิ ตรสิกขา หรอื เสขปฏิปทา อนั มจี รณะ ๑๕ วิชชา ๘ หรอืโพธปิ กั ขิยธรรม ๓๗ ที่เกิด“ฌาน” แล้วเกิด “สมาธ”ิ เกิด“ปัญญา”ตามแบบพทุ ธทงั้ สิ้น “สมั มาสมาธ”ิ ของพทุ ธจงึ เปน็ ทฤษฎเี ฉพาะหนงึ่ เดยี วในโลกแบบพทุ ธศาสนาเทา่ น้นั ไมม่ ีในลัทธิอ่ืน จึงเรียกวา่ “สมั มาสมาธิ”เป็นชอ่ื เฉพาะของ“สมาธ”ิ แบบพุทธ เป็นการท�า“สัมมาสมาธิ” ท้ังในขณะคิดก็ท�าสมาธิ ท้ังในขณะพูดก็ท�าสมาธิ ท้ังขณะกระท�าการงานใดๆท้ังหลายก็ท�าสมาธิแม้ที่สดุ การท�างานอาชีพกท็ �าสมาธิอยใู่ นชวี ิตปกตินัน้ เอง จึงเป็นการท�า“สมาธิ”ท่ีปฏิบัติอยู่ทุกขณะ ทุกสถานที่ทกุ กรรมกริ ยิ าไดต้ ลอดเวลา จนกวา่ จะบรรลธุ รรม ม“ี สมั มาสมาธ”ิสูงสุด จติ เปน็ “สมาหิตจิต”(จติ ต้งั ม่นั แลว้ ) ก็จบกิจ เป็นจติ นิพพาน จติ อรหนั ต์ คนนั้นก็เป็นผู้มี“ธรรมะ”เต็ม อย่างเท่ียงแท้(นิจจัง) ยั่งยืน(ธวุ งั ) ตลอดไป(สสั สตงั )ไมแ่ ปรเปลย่ี นเปน็ อนื่ (อวปิ รณิ ามธมั มงั ) ไมม่ อี ะไรจะมาหักล้างได(้ อสังหริ ัง) ไมก่ ลบั ก�าเริบ(อสงั กปุ ปัง) จึงจบกจิ จรงิ ไม่ต้องปฏบิ ตั ิธรรมใหต้ นอกี8 คนจะมีธรรมะไดอ้ ย่างไร?

น่ีคือ มี“ธรรมะ”เต็มอย่างสัมบูรณ์แท้ ไม่มีเสื่อมอีกแล้วไม่มพี รอ่ งอีกเลย เหอะๆ..เออ..ธรรมะ มีพร่อง มีเต็มดว้ ย !!! มีซ!ี อย่างน้ันจริงๆ มีเส่ือมได้ มีเตม็ ได้ เกิดเป็นคนผู้ได้ช่ือว่า“อรหันต์” เป็นคนมีดีสูงสุด เป็นผู้ประเสรฐิ อยู่ในโลก อรหนั ตน์ นั้ มดี วี เิ ศษ ๒ อยา่ ง ชดั ๆทเ่ี ปน็ ทงั้ “แกต่ น,แกท่ า่ น”(ทจี่ รงิ มดี มี ากกวา่ น้ี) ไดแ้ ก่ ๑. ตนเองสิน้ ทกุ ข(์ สิน้ กามสุขลั ลกิ ะ) หมดความลา� บากใจ(หมด อตั ตกลิ มถะ) ๒. เปน็ คนมคี ณุ คา่ ประโยชนแ์ กค่ นทงั้ หลาย ชว่ ยเหลอื ผอู้ น่ือยดู่ ว้ ยความเมตตา เอ็นดูเสมอ(โลกานุกัมปายะ) ไมใ่ จดา� ไมด่ ูดาย เพราะคนเป็นอรหันต์ความข้ีเกียจก็หมดไปจากตัวท่านสิ้นแลว้ จงึ เป็นผทู้ ี่มปี ระโยชนแ์ ก่ชนเปน็ อันมาก(พหุชนหติ ายะ)แท้ๆ และประโยชน์ท่ีท่านท�าให้แก่มวลชนเป็นอันมากก็เป็นการท�าให้มวลหมู่ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข(พหุชนสุขายะ)อย่างประเสริฐอีกดว้ ยนะ ซง่ึ เป็นความสุขชนิดท่สี งบอบอุ่นเตม็ ไปด้วยการเกื้อกลูเอ้ืออารีกนั แม้จะไมร่ วยไปดว้ ยลาภยศสรรเสรญิ โดยเฉพาะ“สขุ ”ที่ไม่ประกอบไปดว้ ยกาม และหรอื ไมม่ ีอัตตา(ทง้ั ๒ ส่วน) อรหนั ตจ์ งึ ไมใ่ ชผ่ ปู้ ลกี หนอี ยแู่ ตผ่ เู้ ดยี ว แตเ่ ปน็ ผอู้ ยกู่ บั สงั คมช่วยสงั คมอยจู่ ริง ชวี ิตจึงมีแต่ “รับใช้ผ้อู ่นื ” อย่างบรสิ ทุ ธิ์ใจจรงิ ๆ เพราะท่านเปน็ สัตบุรุษตัวจริง ย่อมมสี ปั ปุรสิ ธรรม ๗ จงึทา� งานรับใชส้ งั คมอยดู่ ว้ ยมหาปเทส ๔ ซอ่ื สตั ย์ บริสุทธใ์ิ จจริงๆ9 คนจะมธี รรมะได้อย่างไร?

“รบั ใช”้ น้ี ไม่ใช่เรอ่ื งเสยี หาย แต่เปน็ เรื่องเหน็ แก่ผ้อู ่ืนแทๆ้ชว่ ยเหลอื เกอื้ กลู ผอู้ นื่ จรงิ ๆ แลว้ มนั ไมด่ หี รอื ไฉน มนั เปน็ เรอ่ื งทใ่ี ครๆก็ควรท�าอยา่ งยงิ่ มิใชห่ รอื ? ดังนัน้ การทา� งานอันเปน็ ประโยชน์ เป็นคณุ ค่าแก่ความมีชวี ิตของคนทจี่ ะได้อยู่เยน็ เป็นสุข ปลอดภัย ไม่มที กุ ข์ ยอ่ มดีแน่แท้ ศีลบางข้อว่า เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรบั ใช้ คา� วา่ เวน้ ขาด“การรบั ใช”้ น้ี กไ็ มไ่ ดห้ มายความวา่ ไมใ่ หช้ ว่ ยเหลือเกื้อกูลผ้คู น หรืออย่าอนุเคราะห์ผคู้ นชนทั้งหลาย แต.่ .การชว่ ยเหลือเก้ือกลู น้นั ถา้ เป็นการชว่ ยใหค้ นมีกิเลสเพม่ิ ข้นึ เออ..อย่างนี้ไมค่ วรชว่ ย อยา่ ท�า อย่ารับใช้ นั่นกถ็ กู แลว้ หรือชัดๆง่ายๆ ก็คือ ช่วยให้คนหลงหรือช่วยให้คนติดยึดอยากไดเ้ งิน ได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสขุ เพ่มิ ข้ึน กไ็ มค่ วรช่วย ถ้าอยา่ งนี้ แน่นอนวา่ ไมค่ วร “รบั ใช้”(ไม่ควรช่วย) แตถ่ า้ ชว่ ยใหค้ นลดกเิ ลส ลดหลงเงนิ หลงลาภยศสรรเสรญิสุข คือ หลงโลกธรรม ชว่ ยจนท�าใหด้ ับสน้ิ อนสุ ยั ไปจากจติ ใจ โดยท�างาน “ช่วย”ผู้คนท�าให้เขารู้เท่าทันแล้วสร้างสรรอย่างดอี ยา่ งควร และดับกิเลสได้ตามทพี่ ระพุทธเจา้ ทรงสอน ถา้ ชว่ ยคนเชน่ นี้ มใิ ช“่ การรับใช้”อันไม่ควรแนน่ อน แตค่ วร“รบั ใช”้ อย่างยิง่ ต่างหาก..ใช่มย้ั ? เพราะธรรมดาปุถุชนหรือคนสามัญ “อวิชชา”อยู่ท่ัวไปนั้นคือ ผูท้ �ากิเลสใสต่ น ผู้ลา่ โลกธรรมอยูต่ ลอดเวลา กเิ ลสจงึ “ปถุ ”ุ หมายความว่า กเิ ลสจงึ หนา กเิ ลสจึงอว้ นกิเลสจงึ มากข้ึนอยเู่ สมอ10 คนจะมธี รรมะไดอ้ ย่างไร?

ปุถุ แปลวา่ หนา อ้วน มาก ใหญ่ โต คนผู้อวิชชาไม่รู้ตัวหรอกว่า ตนเองสร้างกิเลสใส่ตนอยู่ตลอดเวลา และทา� อยา่ งไมว่ รรคเวน้ กอ่ กเิ ลสเกอื บทกุ วนิ าที คอื โง่ เพราะปุถุชนไม่รู้ว่า ปกตินั้นความรู้สึกของตน ถ้าถูกใจกเิ ลสกโ็ ตขน้ึ ไมถ่ กู ใจ กเิ ลสกโ็ ตขน้ึ ทงั้ ขนึ้ ทง้ั ลอ่ ง กเิ ลสมนั โต มนั หนามนั อ้วน มนั ใหญ่ มันมากขนึ้ ท้งั น้ัน ไม่วา่ กเิ ลสทชี่ อบหรอื ไมช่ อบ ปุถุชน ก็คือ คนโง่ ขออภัยทพ่ี ูดนไ้ี มไ่ ดด้ า่ นะ แต่พูดตรงๆซื่อๆจากความจริง ซงึ่ ต้ังใจให้หมายถงึ คนผู้ยัง“อวิชชา” ดงั นัน้ คนอวิชชาจริงจะทา� กิเลสใส่ตนไม่เคยหยดุ เพราะ“ความไมร่ ้”ู จริงๆ เขาไม่รูจ้ ริงๆ เพราะอวชิ ชา(โง,่ ไมร่ )ู้ ผู้บ�าเรอ“กาม”อยู่ ก็กิเลสโตข้ึน กิเลสหนาขึ้น ผู้บ�าเรอ“อตั ตา”อยู่ กก็ เิ ลสโตขนึ้ กเิ ลสหนาขนึ้ ลว้ นคอื คนผชู้ อ่ื วา่ “ปถุ ชุ น” พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดยิ่งในธัมมจักกัปปวัตนสูตรอนั เปน็ ค�าสอนบทแรกของศาสนาพทุ ธว่า คนท่ีไม่ใชอ่ รหนั ต์นน้ั คอื ผยู้ งั มีสขุ เทจ็ กบั “กาม”(กามสขุ ลั ลกิ ะ) และยงั ลา� บากกบั “อัตตา”(อัตตกิลมถะ) ซ่ึงภาวะ ๒ อย่าง “กาม”กับ “อัตตา”น้ีแหละคือ กิเลสท่ีต้องก�าจดั ใหห้ มดสนิ้ จึงจะเรยี กวา่ ผู้มี “โลกตุ รธรรม” พน้ ปุถุชน ขึน้ เปน็ อารยิ ชนแล้วก็ตาม หากยงั เหลอื “กาม”ก็เป็นผู้มี“ธรรมะ”ท่ียงั ไมเ่ ต็ม ยงั ไมถ่ ึงขั้นม“ี ธรรมะ”สูงสุด “กาม”หมดไปแล้วแม้จะเป็นอนาคามีบุคคลแล้ว ก็ยังมี“อัตตา”อีกท่ีเหลืออยู่ ยังจะต้องก�าจัด“อัตตา”ท่ีเหลืออยู่น้ันให้ส้ินเกลย้ี ง จงึ จะม“ี ธรรมะ”สงู สุด เป็นอรหันต์11 คนจะมธี รรมะไดอ้ ย่างไร?

ปุถุชนน้นั ปกตกิ ็เป็นผูท้ �ากเิ ลสใส่ตนให้โตขน้ึ ใหห้ นาขึน้ ให้มากข้ึนเสมอๆอยูแ่ ล้ว เพราะฉะน้ัน ภิกษุจงึ ไมค่ วรทา� ตนเปน็ ผูเ้ พม่ิกิเลสให้ปถุ ุชนเขาเข้าไปอกี มันท�ารา้ ยเขา หมายความวา่ ปถุ ชุ นนน้ั กค็ อื คนทตี่ อ้ งการกเิ ลสดว้ ยความไมร่ ้แู ท้ๆอยนู่ ัน่ เอง ตอ้ งสงสารเมตตาเขา เพราะเขายงั มกี ิเลส ถา้ ภกิ ษไุ ปทา� ใหก้ เิ ลสเขาเพมิ่ ขน้ึ อกี โดยเสรมิ ใหป้ ถุ ชุ นกเิ ลสหนาข้นึ โตข้นึ มากขึ้น ภกิ ษกุ ็เลยไมใ่ ชช่ ว่ ยเขา แตท่ �ารา้ ยเขาเพิม่หนกั ข้ึน นตี่ า่ งหาก“การรบั ใช”้ ท่คี วรเว้น “รบั ใช”้ อยา่ งนเ้ี องทผี่ ดิ ศลี เพราะไมใ่ ชช่ ว่ ยเขา รบั ใชอ้ ยา่ งนี้ที่ศีลใหเ้ วน้ ขาด อยา่ ไปช่วยท�าใหเ้ ขามีกเิ ลสเพ่มิ ขนึ้ ๆ มนั ไม่สมควร ซ่งึ กิเลส กค็ อื “กาม” และ“อัตตา” น่ีเอง รบั ใช้ ก็คือช่วยเหลือ ชว่ ยในการท�างาน เพ่ือใหป้ ระชาชนคนอน่ื ได้รบั ประโยชนค์ ณุ คา่ ถ้าแม้นช่วยท�างานให้เขาได้ส่ิงสุจริตที่สมควรแก่ชีวิตดา� เนนิ ไปด้วยดี แถมชว่ ยให้เขาลดกิเลสไปพรอ้ มด้วย หากเชน่ นีก้ ็เปน็ การชว่ ยเหลอื คนใหเ้ ปน็ อยดู่ ี โลกานุกัมปายะ จงึ ไม่ใชก่ ารรับใชท้ ผี่ ิดศีลเลย แต่ตรงกบั ธรรมค�าสอน คือโลกานกุ ัมปายะตา่ งหาก แต่ถ้าท�างานช่วยให้เขาหลงลาภ หลงยศ หลงสรรเสริญหลงโลกยี สุข อนั เป็นโลกธรรม ฉะนีแ้ ลคือ ชว่ ยผิด ก่อกเิ ลสแก่คน ซึ่งทุกวันน้ี แม้ผู้ไม่รู้สัจธรรมท่ีเป็นความจริงอันส�าคัญน้ีก็เห็นได้อยู่ท่ัวไป ว่า ภิกษุ“รับใช้”ผู้คน คือ ผู้ช่วยส่งเสริมให้ผู้คน12 คนจะมธี รรมะได้อย่างไร?

เขาหลงลาภ หลงยศ หลงสรรเสริญ หลงในโลกยี สุขที่เปน็ “กาม”ที่เป็น“อัตตา”นนั้ มีอยเู่ ต็มวงการศาสนาพุทธ นแ่ี ล “รบั ใช้” ชัดๆ เพราะแม้แต่ภิกษุเองแท้ๆ ก็“ท�าคุณอันสมควรก่อน แล้วสอนผ้อู น่ื จักไม่มวั หมอง” ตรงตามทพ่ี ระพุทธเจ้าตรัส ยังไมไ่ ด้ การเปน็ ธรรมทตู หรอื ทตู กรรมและการรบั ใชโ้ ลก แมจ้ ะเตม็ไปดว้ ยความเอน็ ดเู มตตา(โลกานกุ มั ปายะ) แตย่ งั ไม“่ ทา� คณุ อนั สมควรกอ่ น แล้วสอนผอู้ นื่ ” กไ็ มม่ ีคุณธรรมถงึ ขนั้ บรรลธุ รรม ไมม่ ีอาริย-ธรรมที่จะสอน จึงท�าใหศ้ าสนามัวหมอง ศาสนาก็เสอื่ มแนๆ่ การประกอบทตู กรรมและการรบั ใช้ ผเู้ ปน็ ภกิ ษตุ อ้ งชดั เจนกันดีๆ แล้วสงั วรกันเถิด ภาษาที่ว่า “การรบั ใช”้ จึงอยา่ พาซือ่ เป็นอันขาด ไมเ่ ชน่ นน้ัภกิ ษุจะไรค้ ุณคา่ กลายเปน็ ผ้“ู รบั ใช”้ หรอื ชว่ ยคนให้เขามกี ิเลสเพ่มิข้ึนๆ ไมม่ ปี ระโยชนอ์ ันควรต่อมวลมนุษยไ์ ปเสยี เพราะเว้นขาดไม่ตรงตามความหมายท่ีว่า “ประกอบทูตกรรมและการรับใช้”ดังที่ศีลมีเจตนารมณ์ ซึ่งการช่วยผู้คนหรอื รับใช้ชาวโลก ตอ้ งเป็นคุณคา่ ดีงาม อย่าเพ่ิมกเิ ลส ทตู กรรม คอื ผทู้ า� การงานอนั มหี นา้ ทเ่ี ชอ่ื มโยงสมั พนั ธ์ หรอืผเู้ ปน็ ตวั แทนทา� หนา้ ท่ี รบั ใชช้ าวโลก หรอื มคี วามเอน็ ดเู มตตาชว่ ยชาวโลก ทบี่ าลวี า่โลกานุกัมปายะ ตลอดที่มีชีวิตอยู่ในโลก จึงเป็นการท�างานท่ีเป็นประโยชนอ์ ันสมควรอย่างยิ่ง ชว่ ยใหช้ าวโลกเป็นอยูด่ ี มิใช่เรือ่ งเลวรา้ ยแตอ่ ย่างใด เพราะเรารจู้ กั รแู้ จง้ รจู้ รงิ ในตน วา่ เรามวี ชิ ชา ๘ วปิ สั สนา13 คนจะมีธรรมะไดอ้ ย่างไร?

ญาณหรือญาณทัสสนะ (ปัญญาท่ีสามารถหยั่งรู้จิต-เจตสิก-รูป-นิพพานของตน) เป็นตน้ และมมี โนมยทิ ธ(ิ ปญั ญาท่สี ามารถหยง่ั รู้ ฤทธิแ์ หง่ วชิ ชาของตน ก�าจัดกิเลสตนไดจ้ ริง) หรอื วชิ ชาข้ออื่นๆ เช่น มเี จโตปริยญาณ (ปัญญาท่ีสามารถหย่ังรู้ตัวตนกิเลสของตน และรู้ว่าตนท�าให้กิเลส ลดได้จริงไปตามลา� ดบั ) จงึ รชู้ ดั เจนวา่ เรามธี รรมะแลว้ จรงิ สมควรแกธ่ รรม ดว้ ยอธศิ ลี สิกขา อธิจติ สิกขา และอธปิ ัญญาสกิ ขานีแ้ ลแทๆ้ ไม่ใช่ปฏิบัติไปอย่างงมๆคล�าๆ ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ไม่เห็นความจรงิ ตามความเปน็ จริงของปรมัตถธรรมดงั กล่าวมาครา่ วๆน้ี แต่มีญาณหย่ังรู้ท้ังความเจริญของศีล-ความก้าวหน้าของจิต และความจริงของปัญญาท่ีสามารถหยั่งรู้จริงแม้แต่ความเป็นปรมตั ถข์ ั้นจิต-เจตสิก-รปู -นพิ พาน(อภิธรรม) ฉะนี้แลคือ ผู้มี“ธรรมะ”แท้ มีธรรมะจริง แล้วจึงจะเป็น“ผใู้ ห้ธรรมเป็นทาน”อยา่ งถูกต้องชอบธรรม ซ่ึงชนะการใหท้ ั้งปวงจรงิ ซง่ึ จะเปน็ ธรรมทตู หรอื ผทู้ า� ทตู กรรมทไี่ มท่ า� ใหศ้ าสนามวั หมองศาสนาจงึ จะไมเ่ ส่อื ม การเปน็ ผมู้ “ี ธรรมะ”จงึ เปน็ ทรพั ยอ์ นั ยงิ่ ใหญก่ วา่ ทรพั ยใ์ ดๆในโลก เศรษฐ(ี รวย)แท้ เมอื่ มี“ธรรมะ”แล้ว กแ็ จก“ธรรมะ” ผูม้ ี“ธรรมะ”จริง จงึ จะ“แจกธรรมะ”น้นั แก่ใครๆ หรอื “ให้ธรรมะ”แกใ่ ครๆไดจ้ รงิ ถกู ตอ้ งจรงิ เปน็ จรงิ ทา� ใหบ้ รรลตุ ามไดจ้ รงิ คนต้องมี“ธรรมะ” ต้อง“ได้ธรรมะ”เป็นทรัพย์ เป็น“สมบัติ”(ส่ิงท่ีมีอยู่ในครอบครอง, ทรัพย์สิน) เพราะ “โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้านน้ั เสถยี ร และยืนนาน14 คนจะมธี รรมะได้อย่างไร?

“โลกุตรสมบัติ”จะเร่ิมต้ังแต่มีคุณภาพเป็น“อาริยธรรม”ซึ่งจะเป็นธาตุที่ตกผลึกสั่งสมลงเป็น“สมบัติ”ที่ไร้รูปร่าง(อสรีระ)แต่มี“คณุ ”(ประโยชน,์ สว่ นที่ดี,ความดี,ผลดี)แท้จริงในจิต และสามารถยืนยงคงทนอยู่ถึงขั้นนับได้ว่า“แน่นอน”(นิยต)สง่ั สมเป็น“วบิ ากจติ ”ม่นั คงไปถึงในชาติหน้า หน้าๆๆๆตอ่ ๆไป “ธรรมะ”ที่เป็นธาตุ“โลกุตระ”น้ี คือจิต เป็น“อาริยธาตุ”ที่มี“คุณสมบัติ”(สมบัติที่เป็นส่วนดี)“จริง”ยิ่งกว่าสมบัติที่เป็นธาตุ“โลกยี ะ” เพราะคณุ สมบตั ขิ องธาต“ุ อารยิ จติ ”น้ี เมอื่ สง่ั สมตกผลกึ จนเขา้ ขีดสูงถึงขั้นสดุ ก็จะเทีย่ งแท้(นิจจงั ) ย่ังยนื (ธวุ ัง) ไมแ่ ปรเป็นอืน่(อวปิ รณิ ามธมั มงั ) ไมม่ อี ะไรหกั ลา้ งได(้ อสงั หริ งั ) ไมก่ ลบั กา� เรบิ (อสงั กปุ ปงั )ซ่ึงเปน็ “วบิ ากจิต”ท่ีย่งั ยนื ไปไดน้ านตลอดทุกชาติ ติดตัวเปน็ สมบตั ิไปจนกวา่ จะปรินิพพาน เป็นปริโยสาน จึงยิ่งกว่า“สมบัติ”ทางโลกใดๆทั้งหลายท้ังสิ้น เพราะว่า“ธรรมะ”ท่ีเป็นธาตุ“โลกุตรสมบัติ”นี้ เป็น“สมบัติ”ที่ได้อาศัยวิเศษกวา่ ประเสรฐิ กวา่ ทงั้ ดี ทงั้ มคี ณุ คา่ ประโยชน์ ทงั้ “จรงิ ”ยงิ่ กวา่ “โลกยีสมบัต”ิ และทัง้ ไม่ทกุ ข์ “โลกุตรธรรม”จึงเป็นส่ิงท่ีน่าได้น่ามีน่าเป็น น่าอุตสาหะวริ ยิ ะ ยิ่งกวา่ “โลกธรรม”ใดๆ ผู้รู้แจ้งค่าอันวิเศษน้ีของ“ธรรมะ”โดยเฉพาะท่ีเป็น“โลกุตรธรรม” ก็จะพากเพียรเต็มก�าลังให้ตนเองมี“ธรรมะ”ที่เป็นโลกุตระ เพราะโลกุตรธรรมน้ี เปน็ ทรัพย์ทส่ี งู ยง่ิ เหนือกว่า“ธรรมะ”15 คนจะมธี รรมะไดอ้ ยา่ งไร?

ทเ่ี ปน็ “กศุ ลธรรม”แมจ้ ะมากจะสงู สง่ ดว้ ยโลกธรรมปานไหนเทา่ ใด โลกุตระน้ีย่ิงกว่าได้ลาภ,ยศ,สรรเสริญ, กามสุข หรือได้อตั ตานั้น จงึ แนย่ ิ่งกวา่ แน่ ขอย�้าอย่างส�าคัญที่สุดแห่งที่สุดนะว่า สัตว์ตัวใดท่ีได้เกิดเปน็ “คน”กบั เขาแล้ว สิง่ ท่ปี ระเสรฐิ ทสี่ ดุ ท่ี“คน”น่าไดน้ ่ามี ย่ิงกว่าอ่นื ใด ในมหาเอกภพ น้นั คอื ต้องได้“ธรรมะ” โดยเฉพาะ ธรรมะข้ันโลกุตระ ถ้าได้เกิดมาเป็นคนกับเขาท้ังที แล้วอยู่ในโลกจนตายไปเปล่า ไม่ได้“ธรรมะ” แมแ้ ต่“ธรรมะ” คอื อะไร? ก็ไม่รู้ ไม่สนใจ มุ่นใช้ชีวิตอยู่แตก่ ับกิเลสให้มันปัน่ หวั เมาไปกบั มันทุกวนิ าที ก็ไดแ้ ต่กเิ ลส เพราะชวี ติ จะมแี ต“่ รวยกเิ ลส”เปน็ สมบตั ิ มนั มวั เมาเอาแต่หลงล่าโลกธรรม ไดล้ าภ กส็ ขุ หลงสขุ จมอยกู่ บั ลาภ อยา่ งนก้ี เิ ลสกโ็ ต(ปถุ )ุ ขนึ้ เส่ือมลาภ ก็ทุกข์ หลงทุกข์อยู่กับลาภ อย่างน้ีกิเลสก็โต(ปุถ)ุ ขนึ้ หลงลา่ ยศ ทกุ ขส์ ขุ อยกู่ บั ยศ กน็ ยั เดยี วกนั แมอ้ ยา่ งน้ี กเิ ลสก็อ้วน(ปุถุ)ขนึ้ ทง้ั ได้ยศ ท้ังเสือ่ มยศ กิเลสเพม่ิ ทง้ั ข้นึ ท้งั ลอ่ ง หลงล่าสรรเสริญก็คล้ายกัน ทุกข์สุขอยู่กับสรรเสริญ ไม่ตา่ งกนั จะทุกขจ์ ะสขุ กเิ ลสก็ใหญ(่ ปถุ )ุ ข้ึน เยย่ี งเดียวกนั หลงลา่ สขุ ด้วยกาม ทกุ ขส์ ขุ อยู่กบั กาม อย่างนก้ี เิ ลสกม็ าก(ปถุ ุ)ขึ้น ฉนั เดยี วกนั และหลงลา่ สุขเพราะอตั ตา ทุกขส์ ขุ กอ็ ยู่กับอัตตา อยา่ งน้ี16 คนจะมธี รรมะไดอ้ ย่างไร?

กเิ ลสจึงหนา(ปถุ ุ)ข้ึนๆๆ หลงล่ากันอยเู่ ชน่ น้ีเอง จนชีวิตตายไป “สมบตั ”ิ ก็มแี ต“่ วบิ ากจิตท่ีรวยกิเลส” เพราะแม้จะได้“สุข”ท่ีอวิชชาก็สั่งสมเป็น“กิเลส”บันทึกใส่จติ เป็นอนุสยั กิเลสก็โตขน้ึ -อ้วนขึ้น-ใหญ่ข้นึ -มากข้นึ -หนาข้นึ และแม้จะได้“ทุกข์”ที่อวิชชาก็สั่งสมเป็น“กิเลส”บันทึกใส่จติ เป็นอนุสัย กเิ ลสกโ็ ตขน้ึ -อ้วนขึ้น-ใหญ่ขน้ึ -มากขน้ึ -หนาขนึ้ เหตุใหญ่แท้ๆจริงๆ ก็เพราะในใจหม่ิน“ธรรมะ” ไม่ให้คา่ “ธรรมะ”ย่ิงกวา่ โลกยี สมบตั ิ ตลอดชีวิตไม่ได้เข้าวัดเพ่ือศึกษาและบ�าเพ็ญ“ธรรมะ”เลยจะเข้าไปก็แค่เพียงตามประเพณีในสังคมตามประสาโลกๆ ไม่ให้ค่าแมแ้ ตค่ นผทู้ ีม่ ีความเปน็ ภกิ ษุ แม้จา� จะต้องเคารพภกิ ษุ กเ็ พราะจารตี ของสงั คมเท่านั้น เมอ่ื ไมไ่ ดส้ นใจภกิ ษุ กจ็ ะเปน็ คน“ขาดการเยยี่ มเยยี นภกิ ษ”ุฉะน้ันแมจ้ ะพบภกิ ษุก็ไมใ่ ช่เยยี่ มเยยี น จึงไม่มโี อกาสจะได้“ธรรมะ” เพราะไมไ่ ดส้ นใจจะฟงั ธรรมะ จงึ เปน็ คน“ละเลยการฟงัธรรม” นแ่ี หละ เหตแุ ละปจั จยั ทเ่ี ปน็ ไปตามหลกั อทิ ปั ปจั จยตา เมอ่ืมีสิ่งนี้ จึงมสี ิง่ นี้.... เมอื่ “ละเลยการฟงั ธรรม” กแ็ นน่ อนยอ่ ม“ไมศ่ กึ ษาในอธศิ ลี ” (อาจจะพอรู้ศีลงูๆปลาๆ) เมอื่ ไมศ่ กึ ษาศลี ยอ่ มไมเ่ จรญิ ในอธศิ ลี จงึ ไมร่ คู้ ณุ คา่ ของศลีของธรรม เหน็ ภกิ ษผุ ศู้ กึ ษาปฏบิ ตั มิ ศี ลี มธี รรมะ กไ็ มใ่ หค้ า่ จงึ เปน็ คน17 คนจะมธี รรมะได้อยา่ งไร?

“ไม่มากด้วยความเลื่อมใสในภิกษุท้ังท่ีเป็นเถระ(พระผู้ใหญ่) ที่เป็นผูใ้ หม(่ พระบวชใหม)่ และปานกลาง(พระทว่ั ไป) ความเส่ือมก็หนักข้นึ เม่ือไม่ศรัทธาเล่ือมใสภิกษุ ไม่นับถือพระภิกษุบ้างเลยเอาแตเ่ จรญิ ทางโลก มวั เมาในลาภ,ยศ,สรรเสรญิ ,สขุ โลกยี ์ มแี ตเ่ กง่ในทางโลกธรรม มีสมรรถนะฉลาดเฉลียว ดีไมด่ ีหยิ่งเพราะศึกษาธรรมะเองอกี ดว้ ย รธู้ รรมะเอง กถ็ อื ดใี นตวั เอง จติ จงึ ยงิ่ ผยอง ถงึ ขนั้ฟังภิกษุผู้รู้ธรรมะแสดงธรรม ก็“ตั้งจิตติเตียน คอยเพ่งโทษฟังธรรม” ความเส่อื มจึงยง่ิ หนกั มากขน้ึ ไปอีก ยิง่ ตา่� ลงๆ ตา�่ ยิ่งๆ เมื่อเสื่อมได้ท่ี จิตใจก็ถึงขั้น“แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนาน”้ี เพราะเหน็ พทุ ธศาสนาไรค้ า่ ไรส้ าระแลว้ จงึ มที ฏิ ฐเิ ปน็ อน่ืมคี วามเขา้ ใจเปน็ อนื่ มคี วามเหน็ เปน็ อนื่ มคี วามรเู้ ปน็ อน่ื ออกไปจาก“โลกุตรธรรม” จิตใจผนู้ ้ี ขัน้ น้ี เกือบขาดเชอื้ พทุ ธแล้ว นค่ี อื ออกนอกเขตบญุ ของศาสนาน้ี ไปเปน็ ศาสนาอน่ื เปน็ความรแู้ นวอื่น อาจจะเปน็ ศาสนาเงนิ หรือเปน็ ศาสนาตวั เอง หรอืเป็นความร้ขู องศาสดาอ่นื นับถอื ศรทั ธาผ้รู อู้ น่ื คา� วา่ “บุญ” จึงเป็นแบบอื่น มใิ ช่พุทธแน่ เป็นแบบอนื่ เชน่ ไมเ่ ข้าใจค�าว่า“บญุ ” แปลวา่ “การช�าระออกจากใจ” ไพล่ไปเข้าใจว่า“บุญ”คอื “ตัง้ ใจใหต้ นได้มามากๆ” จงึกลายเปน็ “ทา� ใจเอามาให้ตน”แล้วถือวา่ “ได้บญุ ” นค่ี อื นอกขอบเขตพทุ ธไปแลว้ เปน็ ภาวะ“แสวงหาเขตบญุภายนอกศาสนาพทุ ธ” ความเสอื่ มหนกั หนาสาหสั ลงมาถงึ ความเสอ่ื มขนั้ ที่ ๖ แลว้18 คนจะมธี รรมะได้อยา่ งไร?

นีถ้ อื ว่าเส่อื มต่�าหนัก ความเสอ่ื มขนั้ ที่ ๗ คอื “ทา� สกั การะกอ่ นในเขตบญุ ภายนอกศาสนาพทุ ธ” หมายความว่า คนทม่ี คี วามเสอ่ื ม จนตกตา่� ถงึ ขัน้ น้ี ได้สิ้นความเคารพในศาสนาพทุ ธแล้ว จงึ ไม่เคารพสกั การะพุทธกอ่ น เช่น ถ้าเจอสิ่งที่เป็นพุทธ พร้อมกับเจอสิ่งท่ีคนผู้นี้ได้หันไปศรัทธาเล่ือมใสใหม่น้ันเข้า เขาก็จะสักการะสิ่งท่ีเขาได้ศรัทธาเลื่อมใสใหม่นั้นก่อนจะเคารพส่ิงท่ีเป็นพุทธ หรืออาจจะไม่เคารพสักการะพทุ ธเลยก็ได้ ดังนี้เป็นต้น ความเส่อื ม ๗ ข้อน้ี เป็นการแสดงถึงความเปน็ จริงของใจชาวพทุ ธทกุ คน ตรวจดู มันไมใ่ ช่แค่ความเสื่อมของลาภ-ยศ-สรรเสรญิ -สุข นะ แต่“ใจ”มนั เสอ่ื มจากพทุ ธ ซึ่งมันเป็นความเสื่อมที่ย่ิงใหญ่ของ“คน”ในศาสนาพุทธทีเดียว ที่ชาตินี้ได้เกิดมามีความเป็นคนกับเขาท้ังชาติ แต่แล้วก็สญู เปลา่ จรงิ ๆ ตายไปไม่ไดอ้ ะไรเลย(โมฆะ) มหิ นา� ซา้� หอบ“กเิ ลสเปน็ สมบตั ”ิ ทไ่ี ดเ้ ตม็ “วบิ ากจติ ” สะสมใส่จิตไปแน่นอนุสัย จากที่ตนได้กระท�ากรรมแสวงหาล่าโลกธรรมไปทงั้ ชาติ ไมใ่ ส่ใจ“ธรรมะ” ตลอดท่มี ชี วี ติ ในชาตทิ ไ่ี ด้เกดิ มา และตายจากไป มนั ไมไ่ ด“้ ธรรมะ”ทเี่ ปน็ “โลกตุ รธรรม” อนั เปน็ “สมบตั ”ิ ทจี่ รงิแท้กว่า เพราะวตั ถุนั้นหลงหอบมนั ยงั ไง เราก็ตายจากมนั ทิ้งมันไป ตรวจดตู นเองดีๆเถอะ คนทุกคน หากตรวจสอบดดู ีๆแลว้19 คนจะมธี รรมะไดอ้ ย่างไร?

ต้งั แต่เกิดจนป่านน้ี เราได้ไปเยีย่ มเยยี นภกิ ษุ ซึ่งต้องเป็นการตั้งใจ จะไปศกึ ษาธรรมะจรงิ ๆ กคี่ รั้ง..?20 คนจะมีธรรมะไดอ้ ยา่ งไร?

จะร้ตู นเอง ว่า ตนเองมีชีวิตเสอ่ื มตามคา� ตรสั จริงหรอื ไม.่ .?!!!!!!!! เช่น ขอ้ ๑ ในชวี ิตต้งั แตเ่ กดิ จนปา่ นนี้ เราได้ไปเยย่ี มเยียนภกิ ษุ ซึง่ ตอ้ งเปน็ การตง้ั ใจจะไปศึกษาธรรมะจรงิ ๆ กคี่ รง้ั ..? ไมเ่ อาทเ่ี ปน็ การไปเยยี่ มเยยี นภกิ ษดุ ว้ ยกจิ อน่ื อนั ไมใ่ ชต่ ง้ั ใจไปพบพระฟงั ธรรมะนะ ตรวจดดู ีๆ ตรวจไปจนหมดทุกข้อ ท้งั ข้อ ๑ ไปจนถึงขอ้ ๗กจ็ ะเห็นจริงวา่ เราคอื ผู้เสอ่ื มจากศาสนาพุทธแลว้ หรือยัง???? ๗ ขอ้ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั ไวใ้ นพระไตรปฎิ ก เลม่ ๒๓ ขอ้ ๒๗เน้ือความสรปุ มาแตห่ ัวขอ้ ส้ันๆ ๗ ข้อนน้ั คือ อบุ าสก(หรอื อุบาสิกา)ใด ๑) ขาดการเยีย่ มเยยี นภิกษุ ๒) ละเลยการฟงั ธรรม ๓) ไม่ศึกษาในอธศิ ีล ๔) ไมม่ ากดว้ ยความเลอ่ื มใสในภกิ ษทุ งั้ ทเ่ี ปน็ เถระ ทง้ั ทเี่ ปน็ผใู้ หม่ ทง้ั ปานกลาง ๕) ตัง้ จิตตเิ ตยี นคอยเพง่ โทษฟงั ธรรม ๖) แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนานี้ ๗) ท�าสกั การะก่อนในเขตบุญนอกศาสนานี้ ตง้ั ใจพจิ ารณาใหช้ ดั ๆเจนๆนะ ทว่ี า่ ดว้ ย“ความเสอ่ื ม”น้ี มนัเปน็ “ความเสอ่ื ม”ของชวี ติ คนจรงิ ๆ แตค่ นไมร่ วู้ า่ มนั จรงิ ยง่ิ จรงิ และสา� คญั ขนาดไหนเทา่ น้นั มันคอื “ธรรมะ”ไมม่ เี พ่มิ ข้ึนในคนแต่ละคน ในแต่ละชาตทิ ่ีได้เกดิ มาเป็นคน21 คนจะมีธรรมะได้อยา่ งไร?

ทวา่ มันเส่ือมไปเรื่อยๆอกี ต่างหากในคน ชาติแลว้ ชาติเลา่จนถงึ ชาตทิ เี่ รากา� ลงั มชี วี ติ เปน็ คนอยู่ ทเ่ี รากา� ลงั พดู กนั อยนู่ ี้ นแี่ หละ ถ้าใครไม่เห็นว่า ท่ีอาตมาก�าลังพูดน้ี เป็นเรื่องท่ีควรส�าเหนยี ก สา� นึก และตอ้ งตรวจตวั เองจรงิ ๆ เพ่อื รูค้ วามจริง และเพื่อแก้ไขตนเอง โดยตั้งใจขวนขวายเอา“ธรรมะ” กันให้ได้จริงๆไมเ่ ชน่ นั้น จะมแี ต่เสอื่ ม แลว้ ก็เส่อื มตอ่ ๆๆๆๆไปอีกนบั ชาติไม่ไหว “ความเสื่อม”ทว่ี ่าน้ี ไม่ใช“่ ธรรมะ”เสือ่ ม แต่คนเส่ือม(คอื คนที่เป็นพุทธศาสนิก) จงึ ท�าให้ศาสนาเสื่อม ศาสนาเส่ือม คอื อะไร? คอื ทฤษฎหี รอื หลกั การของศาสนานนั้ ทศ่ี าสนกิ ปฏบิ ตั ิ มนัไดผ้ ดิ เพีย้ นไป คนทเ่ี ปน็ ศาสนิกจึงปฏิบัตไิ มเ่ กดิ “ธรรมะ”ตรงตามท่ีเป็นของศาสดาแห่งศาสนานั้นๆ ศาสนานั้นเสื่อมเพราะคนท่ีเป็นศาสนิกเส่ือม คนไม่ได้“ธรรมะ”ของศาสนานน้ั นี่คือ ศาสนาเส่ือม เพราะ“คน”ไม่มี“ธรรมะ”น้ันๆ หรือ“ธรรมะ”น้ันๆไมม่ ีในคน ตวั ของ“ธรรมะ”เองจรงิ ๆ ไมม่ เี สอ่ื ม ไมว่ า่ เมอ่ื ใดๆ “ธรรมะ”เป็นของกลาง มีอยู่ตลอดกาลนาน จะมีศาสดาเกิดขึ้นมา แล้วค้นหา“ธรรมะ”จนเจอในตนของตนได้ แล้วตั้งศาสนาให้คนปฏิบัติคนได“้ ธรรมะ”ตามทศ่ี าสดานนั้ ๆประกาศ ซงึ่ เปน็ ของแตล่ ะพระองค์กม็ ี“ศาสนา”นั้นๆอยใู่ นสงั คมโลก เมอื่ ศาสดาสน้ิ ชวี ติ ไป “คน”หรือสาวก แต่ละศาสนา ก็เป็นผ้สู บื ทอดศาสนานน้ั ๆ22 คนจะมธี รรมะไดอ้ ย่างไร?

เมอื่ คนหรือสาวกเสือ่ มจาก“ธรรมะ” กถ็ ือวา่ ศาสนานัน้ ๆเส่ือมไปตาม สรปุ “ธรรมะ”ไมม่ เี สอ่ื ม มแี ตค่ นจะตอ้ งเอาใหไ้ ด้ “ธรรมะ”มีอยู่ในโลกตลอดกาลนาน เพียงแต่ว่า คนผู้ใดจะได้“ธรรมะ”ตรงตาม“ธรรมะ”ที่ศาสดาทรงไดท้ รงมี แล้วนา� มาประกาศไว้ในโลกหรือไม่ เท่านนั้ ไม่เช่นนั้นก็คนผู้ใดจะได้“ธรรมะ”ตรงตาม“ธรรมะ”ของสาวกผูช้ ่ือวา่ “ปัจเจกภมู ิ”ก็ดี หรอื “สยงั อภญิ ญา” ก็ดี แมจ้ ะยังไมใ่ ช“่ สยัมภู” กต็ าม แตก่ ็เปน็ ผูส้ ืบทอด“ธรรมะ” ที่ตรงตามธรรมะของพระศาสดาอย่แู ท้ จนเป็นลัทธิ หรือเป็นศาสนา แล้วมีสมาชิกหรือสาวกสบื ทอดตอ่ ไปอกี ก็ไดเ้ ทา่ ที่จะรักษาความถกู ต้องของ“ธรรมะ”แห่งศาสดา แตล่ ะทา่ นนั้นๆ ไมใ่ ห้เส่ือมไว้ได้นาน ตามทท่ี �าไดจ้ ริงเท่าใดศาสนาน้นั ก็อยู่นานเท่าน้นั แตไ่ มม่ ศี าสนาไหนทจี่ ะไมเ่ สอื่ ม ตอ้ งเสอ่ื มไปทกุ ศาสนา ตามปกตขิ องไตรลกั ษณ์ ช่ือศาสนาอาจจะอยู่ แต่เน้อื แท้เสือ่ มไป ในวาระที่ศาสนาเจริญวัย(ของศาสนา) ก็จริง และเจริญก็เพราะ“คน” แล้วก็ต้ังอยู่ได้ก็เพราะ“คน” สุดท้ายเส่ือมไปก็เพราะ“คน” ศาสนาเองเจรญิ -ตงั้ อยู-่ เสอื่ มเพราะคนทัง้ ส้ิน มแี ต่“ธรรมะ”เองเท่านน้ั ทีไ่ ม่มวี ันเสื่อม ศาสนาเสื่อมเพราะ“คน”ที่เป็นสาวกเองน่ันเองท�าให้เสื่อมก็เพราะ“คน”อีกแหละ23 คนจะมีธรรมะไดอ้ ย่างไร?

เพราะ“คน”ทง้ั นนั้ ท“่ี เสอ่ื ม”ไดเ้ สอ่ื มดคี นทา� ให“้ ศาสนา”เสอ่ื มคนทา� ให“้ คน”เสอื่ มไปจาก“ธรรมะ”เพราะ“คน”หมางเมนิธรรมะ คนไมเ่ อาธรรมะ จนคนเอาธรรมะไมไ่ ด้ จนกระทั่ง“คน”ไม่มี“ธรรมะ”(ของแต่ละศาสนา) ไม่ใช่“ธรรมะ”เส่ือม “คน”น่ีแหละตัวดี “เสื่อม”จาก“ธรรมะ” เสยี เอง จนกลายเป็นทา� ให้“ศาสนาเสอื่ ม” ความเสื่อมจึงมีแต่ตัว“คน”น่ีเองเป็นตัวการใหญ่ ส�า(มะ)คัญทสี่ ุด จึงขอเตือนพุทธศาสนกิ ชนท้งั หลาย ใครกเ็ ถอะ ท่วี ่ามชี วี ติ เจริญนักเจริญหนานน้ั ตรวจตัวเองดีๆ รตู้ ัวเองใหไ้ ด้ ผู้ท่ีได้ตรวจสอบจริงๆจากค�าตรัสของพระพุทธเจ้านี้แล้วโดยต้ังใจไม่อคติ ก็จะรู้สัจจะความจริงของตนเอง จะรู้จักรู้แจ้งรจู้ รงิ หน้าตาของ“ความเสื่อม”ตวั แท้ชดั ๆ ถ้าชีวิตเป็นไปตามพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม ๒๓ ขอ้ ๒๗ นี้จริง ตั้งแต่“ความเสื่อม”ข้อท่ี ๑ ไปเร่ือยๆ ใครมีชีวิตตรง ๗ประการนน้ั กน็ า่ เสยี ดายชวี ติ ทงั้ ชาตทิ ไ่ี ดเ้ กดิ มาเปน็ คนกบั เขาทง้ั ที แม้ผนู้ ั้นจะรวยล้นฟ้า เจริญด้วยลาภ,ยศ,สรรเสรญิ สขุ ในกาม สขุ ในอัตตา ปานใด ขนาดไหน กเ็ ถอะ แตถ่ ้าคณุ มีชวี ิตเปน็ อยู่ตรงตามหลกั แห่ง“ความเสือ่ ม ๗ ประการ”น้ี24 คนจะมีธรรมะได้อยา่ งไร?

ตอ่ ใหค้ ณุ รวยลาภ,ยศ,สรรเสรญิ สขุ ในกาม สขุ ในอตั ตภาพเปน็ อภบิ รมมหาเศรษฐี เปน็ ผมู้ อี ภบิ รมมหาอา� นาจใหญย่ ง่ิ ในโลก มีสักการะสรรเสรญิ ย่งิ ใหญ่ที่สดุ ในโลกใบนกี้ ็มใิ ช่ดรรชนชี ค้ี า่ “ความเจริญ”ที่แท้ของคนเลย หากคุณมีพฤติชีวิตตรงตามหลัก“ความเสอื่ ม ๗ ประการ”นข้ี องพระพทุ ธเจา้ แมค้ ณุ จะเปน็ เจา้ โลกยงิ่ ใหญ่สดุ ใหญ่ย่งิ ขนาดไหนก็ตาม ถา้ คณุ มพี ฤตชิ วี ติ ตรงตามคา� ตรสั ตง้ั แตข่ อ้ ๑ เทา่ นน้ั แหละแล้วชีวิตคุณก็จะมีพัฒนาการของ“ความเสื่อม”เจริญไปเรื่อยๆจากขอ้ ๑ ต่อข้อ ๒ ไปถึงข้อ ๗ โดยไมย่ าก เมื่อใดคุณมีพฤติชีวิตตรงตามค�าตรัสครบถ้วน คุณก็ช่ือวา่ คุณคอื ผ้ไู ม่ม“ี ศาสนา” แลว้ แมค้ ณุ จะนึกว่าคุณสงั กัดอยใู่ นชอ่ืศาสนาใดก็ตาม แตค่ วามจรงิ คณุ ไม่ใช่คนในศาสนานัน้ เลย เพราะคุณมี“ความเสื่อม ๗ ประการ”สมบรู ณ์แบบแล้วจากศาสนานน้ั ๆ เพราะคณุ ไมม่ “ี ธรรมะ”ของศาสนานน้ั แลว้ เต็มสจั จะแห่งความแทจ้ ริง (จบฉบบั ท่ี ๒๘๖) ใน“เราคิดอะไร”ฉบับท่ีแล้ว อาตมาได้สาธยายถึง“ความเสอ่ื ม”ของคน ทีเ่ สือ่ มจาก “พทุ ธธรรม” ชัดๆกค็ ือเสอ่ื มจากธรรมะทม่ี เี นอื้ หา“พทุ ธ”แทๆ้ ของพระพทุ ธเจา้ หรอื เตม็ ๆกค็ อื เราเสอ่ื มจากพทุ ธศาสนาไปแลว้25 คนจะมีธรรมะไดอ้ ยา่ งไร?

เรายงั มพี ทุ ธเหลอื ตดิ ตงิ่ หอู ยเู่ ทา่ ไหร?่ หรอื เรายงั มคี วามเปน็พุทธเหลอื อยู่ เท่าทีค่ นโบราณท่านว่า เหลือแคผ่ า้ นอ้ ยห้อยห?ู หรือมนั จะไมม่ ีผา้ น้อยเหลอื อยเู่ ลย?!! โดยการตรวจด“ู ความจรงิ ”ของตนๆแตล่ ะคน วา่ พฤตขิ องเรา ชวี ิตของเรา ตัง้ แตเ่ กดิ มาจนปา่ นน้นี นั้ ได้มีชีวิตดา� เนนิ ไป มนัตรงตามคา� ตรสั พระบรมศาสดา หรอื เปลา่ ? ตรวจดู พนิ จิ พิจารณาถงึ ความเป็นอยู่ เราเป็นอยา่ งท่ีท่านตรสั นน้ั จริงๆ ทุกๆคา� แต่ละความ แต่ละขอ้ แตล่ ะความหมายที่พระพทุ ธเจ้าตรสั นั้น ชีวติ ของเราเป็นไปตามทท่ี ่านว่า ประพฤตติ นเป็นไปส่คู วามเสือ่ ม ตรงตามท่ีท่านตรัสนนั้ ม้ยั ? จริงมยั้ ? ถ้าตรงตามคา� ตรัส แตล่ ะขอ้ แต่ละค�า แตล่ ะความ จรงิตามน้นั แล้วละก็ ก็น่นั แหละ เราเสื่อมแน่ เสอื่ มไปจรงิ ตามค�าตรสัของพระพทุ ธองคจ์ รงิ เลย ตรวจไปเลยแตล่ ะขอ้ เราเป็นอยู่ เป็นไปอยา่ งไร? แคไ่ หน? ตรงตามค�าตรัสก่ีขอ้ ...??? ตัง้ แต่ ข้อ ๑ ขาดการเยีย่ มเยยี นภกิ ษุ หมายความว่า ไมไ่ ด้ไปพบ ไปคารวะภกิ ษุ ชดั ๆคอื ไม่ได้ไปศกึ ษาธรรมะจากภิกษุ ถ้าแม้นว่า เร่ิมขอ้ แรกก็ตรงเขา้ ใหแ้ ลว้ นนั่ คอื เราเสอื่ มจรงิ เร่มิ ต้ังแต่ข้อตน้ เรา“เสือ่ ม” คอื อะไร? คนทช่ี อ่ื วา่ “เสอ่ื ม” นน้ั คอื สงิ่ ท“ี่ ทรงไวเ้ ปน็ แกน่ ชพี ในตวั เรา”นัน่ แล “เสอ่ื ม”ลง “เสื่อม”ค�าน้ี หมายความอยา่ งสา� คัญคือ เป็น“ความตกตา่�26 คนจะมีธรรมะได้อยา่ งไร?

ของภาวะทีท่ รงไว้เปน็ แก่นชพี ในตวั เรา”นั้นแล“เสื่อม” หรอื ต่า� ลง-ชัว่ ลง-เลวลง-ไม่เจริญขึน้ แลว้ ..สงิ่ ท“่ี ทรงไวเ้ ปน็ แกน่ ชพี ในตวั เราแทๆ้ ”ละ่ คอื อะไร? สง่ิ “ทรงไวเ้ ปน็ แก่นชีพหรือเป็นสมบัตหิ รอื เปน็ คุณค่าในตวัเราแท้ๆ”กค็ อื “ธรรม”ของผู้นน้ั ในตวั ผนู้ ้นั ๆ “ธรรม” คือ สภาวะที่ยัง“มี”ยืนยันความเป็น-ความมีอยู่ยงั มีภาวะไม่สูญสน้ิ ไป ในตัวคนแต่ละคน “ค่า”ของคนมีอยูห่ รือไม่ ถ้าผู้ใดสามารถปฏิบัติตน จนกระทั่งเป็นผู้มี“ธรรม”ถึงข้ันภาวะสูงสุดได้จริง ผู้นั้นก็มี“ค่าของความเป็นคนประจ�าตนแต่ละคน”(อตั ตภาวะ)ไปกบั ตน ที่เปน็ “ธรรม”ข้ันภาวะสูงสดุ นั้น อยู่ “ค่า”สูงสุดของความเป็น“คน”ที่ว่าน้ี ได้แก่ “ธรรม”ข้ัน“วิมุติ”เป็นต้น ซ่ึงผู้มี“วิมุติ”แล้วต่อไปก็มี“อมตะ”เป็นที่“หย่ังลง”(โอคธา) หรือ“ถึงท่ีสุด”(โอคธา) ซึ่งผู้ใดยังมี“การถือเอา”(สมาทาน)ธรรมขั้น“อมตะ”น้ีเป็นเครื่องอาศัยอยู่ ยังไม่ยอม“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”(ยังไม่ยอมตายสูญสนิทขั้นสุดท้าย) ก็ผู้มี“ธรรมภาวะสูงสุด”แล้วน้ีแหละ คือผ้เู ป็น“อรหันต”์ สว่ นผมู้ “ี ธรรม”ภาวะสงู สดุ แลว้ จะอาศยั ความเปน็ “ธรรม”อันสูงสุดนี้อยู่ยืนยาวเป็น“อรหัตตภาวะ”อันเป็นขั้น“อรหันต์”อยู่ยืนยงไป อีกนานเท่านาน ตราบที่ท่านยังไม่ท�า“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ส�าหรับตนเอง ก็เปน็ เรอ่ื งสว่ นตัวเฉพาะตวั ของทา่ น นี้คือ สิ่งที่คนทุกคน“ควรมีในตน-ควรมีในแก่นชีพของแต่ละคน”27 คนจะมีธรรมะไดอ้ ย่างไร?

ทนี .ี้ .ถ้าใชค้ �าว่า “อธรรม” กค็ อื สิง่ ไม่ควรมใี นตน ไมค่ วรมีในแก่นชีพของแตล่ ะคน ดังนั้น ค�าว่า “อธรรม” จึงหมายความแท้ๆจริงๆว่า ในความเป็นคน ไม่ควรมีส่ิงนั้นหรือภาวะนั้นในตนทั้งภาวะภายนอกโดยเฉพาะภาวะภายใน คอื ใจตน เลย ก็ต้องขออธิบายแทรกไว้ตรงน้ีหน่อยว่า ส่ิง“ทรงไว้เป็นแก่นชีพหรือเป็นสมบัติหรือเป็นคุณค่าในตัวเราแท้ๆ” ที่ภาษามีว่า“ธรรม” น้ี ยังมีนัยะที่จะก�าชับอีก คือ ต้องขอจ�ากัดความค�าว่า“ธรรม” ใหช้ ดั เจนอกี ที “ธรรม” หรือ ธัมม อันเปน็ ธรรมนิยาม ในทีน่ ้ีหมายเอาธาตทุ เี่ ปน็ องคแ์ หง่ การรู้ ฐานหรอื สง่ิ ทร่ี องรบั การรู้ เปน็ ธาตทุ มี่ ชี วี ะในตนทเ่ี ปน็ สัตว์ขนั้ “จติ นยิ าม” เราก�าลังหมายถึง สภาวะแห่งชีพในความเป็น“สัตว์”(จิตนิยาม) ซ่ึงเป็นสภาวะท่ีเหนือกว่าหรือสูงกว่าสภาวะแห่งชีพในความเป็น“พืช”(พีชนิยาม) โดยจ�าเพาะหมายเอา “สัตว์ระดับคน”ทีเดียว [ไมใ่ ชแ่ คส่ ตั ว์เดรจั ฉาน] “ธรรม”จึงคือ ธาตุท่ีเป็นองค์แห่งการรู้, ฐานหรือส่ิงท่ีรองรับการรู้ อันเป็นสภาพท่ีทรงไว้ในผู้น้ันแน่นอนแล้วเท่ียงแล้ว (นยิ ต) จึงจะช่ือว่า “ทรงไว้เป็นแก่นชีพ หรือเป็นสมบัติหรือเป็นคุณค่าในตัวเราแท้ๆ” อย่าลมื นะวา่ ขณะนี้ เราก�าลังหมายถึง“ธรรม”ที่มสี ถานะถึงขน้ั “ภาวะสูงสดุ ” ภาวะแท้ๆท่ีมี ทเี่ ป็นอยู่จริง(สจั ธรรม)ในผู้น้ัน28 คนจะมีธรรมะได้อยา่ งไร?

ดงั นน้ั ภาวะนจ้ี งึ ไดช้ อื่ วา่ “ความจรงิ ” หรอื “ตน้ เหต(ุ ประธาน)ต้นตอของชพี ผนู้ นั้ ๆ หรือของคนผนู้ ้นั ๆ” ก็เป็นภาวะเดียวกันกับท่ีพระพุทธเจ้าตรัสว่า “มโนปุพพังคมา ธมั มา” นนั่ เอง ซ่ึงหมายถึง สภาวะหนึ่งๆ ท่ีด�ารงความเป็นลักษณะของคนนั้นผูน้ ้ัน เฉพาะของตนเองอยู่ ยงั อาศยั สภาวะนัน้ อยู่ หรอื ยังไม่สูญสน้ิ สลายสภาพเดิมแท้ที่“เปน็ ตน”(ยังเปน็ อัตตาหรืออาตมัน อยู่) ถ้าแมน้ “ภาวะน”้ี ของคนผู้ใด เปน็ สิ่ง“ทรงไวเ้ ปน็ แก่นชีพหรือเป็นสมบัติ หรือเป็นคุณค่าในตัวเราแท้ๆ” หรือ“ธาตุที่เป็นองค์แห่งการรู้, ฐานหรือสิ่งที่รองรับการรู้” ท่ียังเป็นธาตุรู้ระดบั “ปุถุชน”(ยงั มิใช“่ ภาวะสูงสุด”) ปุถชุ น คือ คนมกี เิ ลสหนาขนึ้ ๆๆๆ กใ็ ช่ กิเลสโตขน้ึ ๆก็ใช่ (ปถุ ุแปลวา่ หนา,โต,ใหญ่,มาก,อว้ น,ทวีขนึ้ ๆๆๆ) ปุถุชน หมายความว่า ผู้ท่ียังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงธาตุที่เป็นองค์แหง่ การรู้ ฐานหรือสิง่ ที่รองรบั การรู้ เปน็ ธาตุที่มีชีวะในตนซ่ึงเปน็ สัตว์ขน้ั “จิตนิยาม” ท่ยี งั “อวชิ ชา” หรือยังไม่หมดส้นิ อวิชชา จึงไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“อกุศลจิต” ที่มันเป็นกิเลสหรือรู้ แต่ยังกา� จดั ไมส่ นิ้ เพราะไม่มี“ปัญญา”ข้ัน“วิปัสสนาญาณ” ที่สามารถหยั่งรู้ความเปน็ “จติ -เจตสกิ -รปู -นพิ พาน”(ปรมตั ถธรรม) จงึ ยงั มกี เิ ลสอยแู่ น่ หรือผู้นั้นยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“จิตท่ีเป็นกิเลส”แม้แต่ตัวแรก(พ้นสักกายทิฏฐิ) อย่างถ่องแท้(โยนิโส)อย่างถูกต้องตัวตนสภาวะ29 คนจะมีธรรมะไดอ้ ย่างไร?

แท้(สัมมา)ชนิดที่รู้จักตัวตนตัวแท้ จนรู้แจ้งรู้จริง ถึงขั้นไม่มีความข้องใจสงสยั (พน้ วิจิกจิ ฉาสงั โยชน์) ถา้ ผใู้ ดมภี มู ริ สู้ ามารถรจู้ กั รแู้ จง้ รจู้ รงิ “จติ ทเ่ี ปน็ กเิ ลส”แมแ้ ต่ตวั แรก(พน้ สกั กายทฏิ ฐ)ิ อยา่ งถอ่ งแท(้ โยนโิ ส)อยา่ งถกู สภาวะ(สมั มา)ชนดิทไ่ี มม่ วี จิ กิ จิ ฉา(พน้ วจิ กิ จิ ฉาสงั โยชน)์ แลว้ ปฏบิ ตั ติ ามขนั้ ของหลกั เกณฑ์(ศีล)ท่ีตนสมาทาน กระทั่งสามารถท�าให้กิเลสน้ันๆลดละจางคลายหรือดบั ลงได้ นน่ั คอื ผนู้ น้ั บรรลธุ รรม มภี มู ธิ รรมขน้ั “พน้ สลี พั พตปรามาสสังโยชน์”(พน้ สังโยชน์ ๓) ผู้ใดปฏิบัติได้ส�าเร็จตามหลักน้ี ถ้าเป็นข้ันต้น ก็เป็นอาริยบุคคล ขนั้ โสดาบัน ถา้ ปฏบิ ตั ไิ ดด้ สี ดุ ประเสรฐิ สดุ หมดสน้ิ เกลยี้ งกเิ ลสในจติ ตนถึงขั้นไม่เหลือเศษของ“อธรรม”แม้แต่อาสวะหรืออนุสัย เป็นผู้ส้ินอาสวะหรอื สน้ิ อนุสยั ผูน้ น้ั ช่ือวา่ อรหนั ต์ จึงเป็นผู้เหลือแต่“ธรรม”แท้ๆท่ีบริสุทธ์ิสะอาด เป็นผู้ที่ในจิตของท่านนั้นกิเลสหรือ“อธรรม”ไม่สามารถเกิดในจิตท่านได้อีกแลว้ ตลอดไปนิรันดร์ คนผู้น้ีแลที่ชื่อว่า เป็นผู้มี“กาย”เป็น“ธรรม” หรือเป็นผู้ม“ี ธรรมกาย” คา� วา่ “กาย” หมายถงึ องคร์ วม หรอื องคป์ ระชมุ ของรปู นาม “องค์รวมของรูปนาม”น้ัน คือ คนท่ีมี“จิตใจ”และมี“สมั ผสั ”ปกตอิ ยใู่ นสงั คมอนั เตม็ ไปดว้ ยโลกธรรมทม่ี อมเมาอยนู่ เี่ อง แตท่ า่ นผนู้ ี้ ม“ี จติ ใจสะอาดแลว้ ”จากกเิ ลส และสะอาดอยา่ ง30 คนจะมีธรรมะไดอ้ ยา่ งไร?

เท่ยี งแทย้ ง่ั ยืนแลว้ ดว้ ย จงึ ชือ่ วา่ พรหมกาย หรอื ธรรมกาย(กายคือองค์ประชุมของรูปนามท่ีสะอาดบริสุทธ์ิจากกิเลสจริง) ซ่ึงเป็นผู้มี“กายเป็นธรรม”(กายไม่มีอธรรมอีกแล้ว) ตราบที่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน “ธรรมกาย”หรือ“พรหมกาย”อันคนควรมีน้ี จะต้อง“ทรงไว้ซึง่ ธาตจุ ิต” ธาตจุ ติ หรอื สงิ่ “ทรงไวเ้ ปน็ แกน่ ชพี หรอื เปน็ สมบตั ิ หรอื เปน็คุณค่าในตัวเราแท้ๆ” หรือ“ธาตุท่ีเป็นองค์แหง่ การร้,ู ฐานหรือสิง่ ที่รองรบั การร”ู้ ของผมู้ คี วามเปน็ “สภาวะหนึง่ ”ทยี่ ่ิงใหญ(่ เอกคั คตาจติ )ดงั เช่นท่ีกลา่ วนี้ เป็นไปไดป้ านฉะนี้ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ ตรสั รู้สิง่เหล่านี้โดยชอบดว้ ยพระองคเ์ อง จงึ น�ามาประกาศให้โลกได้รูต้ าม ซง่ึ “สงิ่ ทรงไวเ้ ปน็ แกน่ ชพี หรอื เปน็ สมบตั ิ หรอื เปน็ คณุ คา่ ในตัวเราแท้ๆ” หรือ“ธาตุที่เป็นองค์แห่งการรู้, ฐานหรือส่ิงที่รองรับการรู้” ของผู้“ไม่เหลือเศษของ“อธรรม”แม้แต่อาสวะหรืออนุสัยเปน็ ผู้สิน้ อาสวะหรอื สน้ิ อนุสยั ถึงขั้น“วมิ ตุ ิ” นีค้ อื อรหันต์ ผู้ชอื่ วา่ อรหนั ตน์ ั้น เป็นผ้มู คี ณุ วิเศษ ผบู้ รรลุอรหนั ต์มวี มิ ุตเิ ปน็ “แก่น”(สาระ) แลว้ จึงเปน็ ผมู้ จี ิตหยง่ั ลง(โอคธา)สคู่ วามเปน็ “อมตะ” ซงึ่ เปน็ “ธรรม”ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสัไว้ในพระไตรปฎิ ก เล่ม ๒๔ ขอ้ ๕๘ มลู สตู ร ผู้มี“ธรรม”หรือ“ธรรมกาย”ข้ัน “อมตะ” หมายความถึงความไม่ตาย และเป็น“คุณวิเศษ”(อุตริมนุสธรรม)ตามล�าดับแห่งสจั ธรรม ซ่ึงคุณวิเศษน้ีมีความพิเศษลึกล�้าย่ิงอีกประเด็นหนึ่งว่าคนผอู้ มตะนี้ จะตายอยา่ งไมเ่ หลอื อะไรเลยเปน็ ทา้ ยสดุ (ปรนิ พิ พานเปน็31 คนจะมธี รรมะไดอ้ ยา่ งไร?

ปริโยสาน) กต็ ายได้ ฟงั แล้วกท็ า� ใหเ้ ขา้ ใจไปได้วา่ คา้ นแย้งกับ“ความไม่ตาย” ถ้าแม้นหมายเอา “ความไม่ตาย”ของอะไร“สภาวะหน่ึง”ท่ยี ิ่งใหญ่ ซึง่ สภาวะน้อี ยู่ทไี่ หนก็ไมร่ ู้ ไมเ่ คยปรากฏให้สมั ผัสไดเ้ ปน็สามัญของความเปน็ คนไดเ้ ลย แลว้ หมายเอาว่า ที่เรากา� ลงั พูดถงึน้ี คอื ความไมต่ าย ถา้ หมายเอาสภาวะน้ี กผ็ ิด เพราะขณะน้ี สภาวะทีเ่ ราหมายเอาน้ี คือสภาวะท“ี่ ทรงไว้เป็นแก่นชีพหรือเป็นสมบัติ หรือเป็นคุณค่าในตัวเราแท้ๆ(ของคน)”หรอื “ธาตทุ เี่ ปน็ องคแ์ หง่ การร,ู้ ฐานหรอื สง่ิ ทรี่ องรบั การรู้(ซงึ่ เปน็ ธาตุจติ ทที่ รงไวใ้ นคนทเ่ี รยี กวา่ “ธรรม”)” “สภาวะหนึ่ง”ที่ยิ่งใหญ่นี้จึงหมายเอา“เอกัคคตาจิต”ของอรหันต์ อนั หมายถึงสภาวะหนง่ึ ของคน ในตัวคน เพราะภาวะขั้น“อมตะ”นี้เป็น“คุณวิเศษ(อุตริมนุสธรรม)”และเปน็ “ธรรม”(สง่ิ ทท่ี รงไวอ้ ยใู่ นคน)ทพี่ ระพทุ ธเจา้ ตรสั รู้ วา่ “ทกุ สรรพ-ส่ิงล้วนไมใ่ ชต่ วั ตน”(สัพเพธัมมา อนตั ตา) “ธรรมะ”ทคี่ นจะพงึ ได้ พึงมีนี้ จึงเปน็ ความลกึ ซง้ึ สุดลึกลา�้(คัมภีรา) เห็นตามได้ยาก(ทุททสา) ตรัสรู้ตามได้ยาก(ทุรนุโพธา) สงบสนิทอย่างวิเศษเกินสามัญ(สันตา) สุขุมประณีตยิ่ง(ปณีตา) รู้ไม่ได้ดว้ ยตรรกะ(อตักกาวจรา) ละเอยี ดข้ันนิพพานทีเดยี ว(นปิ ณุ า) ร้เู ฉพาะบณั ฑติ แท(้ ปณั ฑติ เวทนยี า) ซง่ึ จรงิ ทส่ี ดุ พระพทุ ธเจา้ ตรสั ยา้� แลว้ ยา�้ อกีในพระไตรปิฎก เล่ม ๙ ขอ้ ๒๖, ๓๐, ๓๔, ๓๘, ๔๒, ๔๔, ๔๖, ๔๗,๔๘, ๔๙, ๕๐ จนกระท่ังมีศาสดานับไม่ถ้วนพระองค์ท่ีทรงจ�านนต่อ32 คนจะมธี รรมะได้อยา่ งไร?

“สภาวะหนึ่ง”ที่ย่ิงใหญ่น้ี และเช่ือว่า เป็น“ความไม่ตาย”ทนี่ ริ นั ดร เรยี กภาวะนว้ี า่ “อาตมนั (อตั ตา)” ทย่ี ง่ิ ใหญส่ งู สดุ เรยี กวา่“ปรมาตมนั ” ซงึ่ ศักด์ิสิทธิ์สดุ จะให้อะไรอยูอ่ ะไรตายกไ็ ด้ รวมทงั้ ให“้ ชวี ะ”ส�าคญั แก่คน ภาวะแห่ง“ชีวะ”น้ีคือ“จิตวิญญาณ”ของคน ท่ีพระสัมมา-สมั พทุ ธเจา้ แหง่ พทุ ธสามารถตรสั รวู้ า่ มคี ณุ สมบตั ิเปน็ แกน่ ชพี ไดถ้ งึขั้นม“ี อภุ โตภาควมิ ุติ” นั่นคอื ผสู้ มั ผสั วิโมกข์ ๘ ด้วย“กาย” ส�าเรจ็อิริยาบถอยู่ อาสวะของผู้นั้นหมดส้ินแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา (พระไตรปิฎก เล่ม ๓๖ ขอ้ ๔๐) และไดต้ รสั รอู้ กี วา่ “จติ วญิ ญาณ”นไ้ี มเ่ ทยี่ ง(อนจิ จงั ) เปน็ ทกุ ข์(ทุกขงั ) ซ่งึ แทจ้ รงิ ท่ีสุด กค็ ือ จิตวิญญาณท่ีเปน็ “สภาวะหนึง่ ”นี้ มใิ ช่ตัวตน(อนัตตา) มิใช่ภาวะนริ ันดร ผู้บรรลุอรหนั ตม์ วี ิมตุ เิ ปน็ “แกน่ ”(สาระ) แล้ว จะเป็นผู้มจี ิตหยง่ั ลง(โอคธา)สูค่ วามเปน็ “อมตะ”(พระไตรปฎิ ก เลม่ ๒๔ ขอ้ ๕๘ มลู สูตร) ผ“ู้ อมตะ”หมายความถงึ ความไมต่ าย ซง่ึ เปน็ คณุ วเิ ศษตามลา� ดับแห่งสจั ธรรม คุณวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม)อันยิ่งใหญ่คือ จิตท่ีเป็นภาวะแห่ง“ความไม่ตาย”(อมตะ)น้ีเม่ือผู้ปฏิบัติจนบรรลุธรรมได้จริงคุณวิเศษนีก้ ย็ อ่ ม“หยั่งลง”(โอคธา)ในจิตใจของผ้นู นั้ แน่ ตอ้ งแมน่ คมตรงชดั ในสภาวะธรรมใหด้ ๆี นะ วา่ สภาวธรรมนคี้ อื “ความไมต่ าย” (อมตะ)ทางจติ วญิ ญาณ อนั มอี ยใู่ นความเปน็ คนโดยเฉพาะท่ีก�าลังอยู่ในร่างของคนที่ยังไม่ได้ตายทางกายแตกตายไป(กายัสสะเภทา)33 คนจะมีธรรมะไดอ้ ยา่ งไร?

นน่ั คอื ผปู้ ฏบิ ตั ไิ ดท้ า� “ความหลดุ พน้ ”(วมิ ตุ )ิ บรรลผุ ลสา� เรจ็ ใน“ธรรม”สูงสุดแล้วจริง จิตวิญญาณจึงมีคุณวิเศษอันเป็นธรรม ที่เรียกว่า“อมตะ”หยง่ั ลง(โอคธา)สจู่ ติ ตามสัจจะ “ความไมต่ าย”(อมตะ)นม้ี ไิ ดห้ มายความถงึ “ความไมต่ าย”ของชีวิตที่เป็นร่างภายนอกอันนับเอาองค์ประกอบด้วยดินน้�าไฟลมท่ีให้จิตใจอาศัยตาย-เกิด เกิด-ตายหมุนเวียนอยู่ในโลก แต่เป็น“ความไม่ตาย”ของกิเลส กลา่ วคอื กเิ ลสของผนู้ ไี้ ด“้ ตาย”ดบั สน้ิ หมดสนทิ ถาวรยงั่ ยนืแลว้ จงึ ไมม่ กี เิ ลสเกดิ อกี แลว้ ในจติ เมอื่ ไมม่ เี กดิ อกี เลยถาวร จงึ ไมม่ ีกเิ ลสใดๆจะ“ตาย”อย่ใู นจติ อกี ต่อไป น่ีคือ ความไม่ตาย ที่หมายถงึ ในที่น้ี และความวิเศษนม้ี ีลกึ ล้�ายง่ิ อกี ว่า คนผู้อมตะน้ีจะตายทางร่างกาย(องค์ประชุมของรูปนาม)ก็ตายได้ ซึ่งตายคร้ังนี้ตายแล้วสูญไปเลย สนทิ ถาวร(ปรินิพพาน)กนั เลย ปานน้ันดว้ ย ตายอยา่ งสญู สนทิ ถาวรหรอื ทเี่ รยี กตามศพั ทว์ า่ ปรนิ พิ พานนี้ เปน็ “การตาย”ขั้นสุดทา้ ยแห่งอัตตภาวะท้ายสดุ เปน็ ปรโิ ยสาน หมายความชัดๆก็คือ ตายดับสูญสิ้นสุดหมดไม่เหลืออะไรกันอีกแล้ว แมภ้ าวะของ“อมตะ”ทเ่ี ป็นเครอ่ื งอาศัยทา้ ยสดุ แห่งตนทีเ่ รยี กว่า“อรหัตต”ขั้นทีส่ ดุ คอื อรหันต์ ผ“ู้ อมตะ”นี้ กส็ ามารถท�าได้ นนั่ กห็ มายถงึ ผมู้ “ี อมตธรรม” สามารถจะ“ตาย”เปน็ ลา� ดบัทา้ ยปลายสดุ สดุ ๆทว่ี า่ “ปรนิ พิ พานเปน็ ปรโิ ยสาน”(ดบั สดุ ทา้ ยทท่ี า้ ยสดุ )34 คนจะมธี รรมะไดอ้ ยา่ งไร?

กันเปน็ ทีส่ ุดแห่งท่ีสดุ สน้ิ รอบของอวสาน ซง่ึ ในศาสนาพทุ ธนนั้ รแู้ จง้ จรงิ ในทกุ สรรพสง่ิ ลว้ นมใิ ชต่ วั ตนไมส่ บั สนในทกุ สรรพสง่ิ “สพั เพธมั มา อนัตตา” จึงท�าตนดบั สูญสิ้นสุดภาวะแห่งตน”(ปรินิพพาน)อย่างเป็น“ปริโยสาน”(สุดท้ายท่ีท้ายสุด)ก็ได้ ยังไมด่ ับกไ็ ด้ กล่าวคือ “อมตะ”นี้ ยังไม่ตายทางร่างกาย โดยอาศัย“อัตตภาวะ”(อรหัตต)ที่ไม่มีกิเลสอีกแล้วนั้นอยู่ช่วยท�าประโยชน์ใหแ้ กโ่ ลก ตามทพ่ี ระพุทธเจา้ ตรสั ว่า “โลกานกุ ัมปายะ” อารยิ ธรรมจงึ เปน็ คณุ วเิ ศษทวี่ เิ ศษสดุ ดว้ ยประการฉะนี้ ทา่ นผบู้ รรลธุ รรมผา่ นขน้ั “วมิ ตุ ”ิ เปน็ “อมตะ”แลว้ นี้ จะไมต่ ายกไ็ ด้ จะตายสญู สนทิ ไปเลย โดยไมม่ “ี ร่างแหง่ กาย”ท่ีจะตายแล้ว จะไมเ่ วยี นวนมาเกดิ มอี งคป์ ระชมุ ของธาตดุ นิ นา�้ ไฟลมเวยี นกลบั มาอกี กไ็ ด้ ทา่ นมีความรอู้ นั ยง่ิ นแี้ ลว้ ทสี่ ามารถจะทา� “ปรนิ พิ พาน”เปน็ “ปรโิ ยสาน”ได้แลว้ ทุกทา่ น แล้วแต่ว่าแต่ละท่านจะสมัครใจอย่างไร ซึ่งผู้อ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว ก็จะเห็นความลึกล้�ามีนัยซับซอ้ น ประหนง่ึ จะท�าใหส้ ับสน หรือจะดเู ป็นกลับกลอก ดเู หมอื นวนไปวนมา จนอาจจะทา� ให้เห็นวา่ เปน็ เรือ่ งไร้ความจรงิ ไร้สาระแท้ ปานนั้นกันก็ได้ ทวา่ แทจ้ รงิ แลว้ เปน็ ความจรงิ ทเ่ี ปน็ จรงิ ทย่ี งิ่ ยอดประเสรฐิสุด มีผศู้ กึ ษาจน“สัมมาทิฏฐิ” แลว้ สามารถปฏบิ ตั ิใหเ้ กิดผลได้จรงิและมมี ายาวนานไดถ้ ึงวนั น้ีกว่า ๒,๖๐๐ ปีแล้ว ดังน้ัน ผู้สนใจก็ลองศึกษาตรวจสอบความจริงวิเศษนี้กันดเู ถิด อาตมาขอเอา“มลู สูตร”จากพระไตรปิฎก เลม่ ๒๔ ข้อ ๕๘35 คนจะมธี รรมะไดอ้ ย่างไร?

มาแจกแจงอธบิ ายกันให้ชดั ๆขน้ึ ไปกว่านี้ดบู า้ ง เรม่ิ แรก พระพทุ ธเจ้าชี้ความสา� คญั ให้เห็นวา่ ผปู้ ฏิบตั ติ ้องตั้งตน้ ด้วย“ฉนั ทะ”เปน็ มลู ฉนั ทะ นนั้ กค็ อื มคี วามยนิ ดพี อใจ เปน็ “ตน้ เคา้ ”(มลู )ทส่ี า� คญัในการปฏบิ ตั ิ เปน็ “ตน้ ทนุ จดุ แรกทแ่ี ทข้ องใจ”(มลู ) ซง่ึ ตอ้ งมกี อ่ นอนื่ น่ีคอื “มลู สูตร” ข้อ ๑ จนกระทง่ั สามารถม“ี การทา� ใจในใจ”(มนสกิ าร)เปน็ หมายความว่า ท�าใจของตนได้ถูกต้องถ่องแท้(โยนิโส)ตรงที่จิตตาย(อกุศลจิตตาย=นิโรธ) จิตเกิด(โอปปาติโยนิ=กุศลจิตเกิด) ซ่ึงเรียกว่ามี“มนสิการ”เป็น“แดนเกดิ ”(สมั ภวะ) เม่ือสามารถท�าใจของตนให้ตาย(ดับ)-ให้เกิด(อุบัติ,โยนิ)ได้โดยสามารถท�าให้“อกุศลจิต”ในตนตาย(นิพพาน) ดับสิ้นสนิทลงได้จิตตนจึงบรสิ ุทธขิ์ ้ึนจรงิ จิตนก้ี เ็ ปน็ “จิตใหม”่ นค้ี อื การเกดิ (ชาต)ิ ของจติ หรอื การเกดิ ทางจติ ใจ(โอปปาตกิ โยน)ิซงึ่ “เกดิ ”ชนดิ ทพี่ เิ ศษ(นพิ พตั ต,ิ อภนิ พิ พตั ต)ิ สามารถเกดิ เปน็ จติ ใหมอ่ ยา่ งแท้จริง จนจิตนี้ไม่มีเช้ือกิเลสเกิด-ตายอยู่ในจิตใจของเราอีกแล้วจึงเปน็ จิตอมตะ หรือท่ีท่านใช้ศัพท์ว่า โอกฺกันติ ก็ดี ซ่ึงแปลว่า ปฏิสนธิแล้ว,การหยงั่ ลง หรอื ศัพท์ที่ว่า โอคธา ก็ดี ทท่ี ่านแปลว่า หยั่งลงส่อู มตะ(อมโตคธ),หรอื หยัง่ ลงสนู่ พิ พาน(นพิ พาโนคธ) ล้วนคือ การเกิดทางจิตใจทง้ั สน้ิ กุศลจิตที่เป็นการเกิด(ชาติ)ทางจิตใจข้ันพิเศษ ซึ่งเป็น“โอปปาติกโยนิ” เรยี กวา่ โอกกันติก็ดี นพิ พัตติกด็ ี อภินพิ พัตตกิ ด็ ี36 คนจะมีธรรมะได้อยา่ งไร?

ล้วนหมายถึง โยนิโสมนสิการ น้ีแหละคือการท�าใจในใจ(มนสิการ)ถูกต้องถ่องแท้(โยนิโส) จนกระทั่งลงไปถึงที่เกิด(โยนิโส,สัมภวะ) และสามารถท�า“การตาย-การเกิด”ข้ึนในจิตใจ ได้อย่างเป็นกุศลในปรมัตถธรรมแท้จริง นีค่ ือ “มูลสตู ร” ขอ้ ๒ ส�าหรับ“มูลสูตร” ข้อ ๓ นั้นย่ิงชัดเจนยิ่ง เพราะจะมี“ สั ม ผั ส ” เ ป ็ น “ เ ห ตุ เ กิ ด ( ส มุ ทั ย ) ห รื อ เ ห ตุ ( ส มุ ทั ย ) ใ น ก า ร ป ฏิ บั ติไปสูผ่ ล-ไปเกดิ ผล”อยา่ งถกู ต้องตามทฤษฎีปฏบิ ตั ิของปฏิจจสมปุ บาทอนั เปน็ แบบพทุ ธ(ตรวจสอบไดจ้ ากพระไตรปฎิ ก เลม่ ๑๖ ตงั้ แตข่ อ้ ๑ ไปทเี ดยี ว) ซง่ึ การปฏบิ ตั มิ “ี สมั ผสั ”ของทวาร ๖ ตามหลกั ปฏจิ จสมปุ บาทน้ีแหละ ที่จะสร้าง“สัมมาสมาธิ”ได้ตรงพระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน“มหาจัตตารีสกสตู ร” พระไตรปิฎก เลม่ ๑๔ ขอ้ ๒๕๒-๒๘๑ ในมหาจัตตารีสกสูตรน้ีช้ีให้เห็นชัดว่า“สมาธิ”ของพุทธน้ันเรยี กว่า“สัมมาสมาธิ” และต้องปฏิบัตดิ ้วย“มรรคองค์ ๘” ซึ่ง“สมาธิ”เฉพาะของพุทธน้ี จะต้องปฏิบัติด้วยการปฏิบัติ“มรรค ๗ องค์” ได้แก่ “สัมมาทิฏฐิ”เป็นประธาน และม“ี สมั มาวายามะ”กับ“สมั มาสต”ิ ๒ องค์ท�างานรว่ มช่วยประธาน(สัมมาทิฏฐิ) ควบคุมสังวรปฏิบัติ“มรรค”อีก ๔ องค์ คือ “สัมมาสงั กปั ปะ-สมั มาวาจา-สมั มากมั มนั ตะ-สมั มาอาชวี ะ” รวมเปน็ มรรค๗ องค์ ในขณะลมื ตาเปิดทวารทั้ง ๖ มชี วี ติ สามญั ปกติน่เี อง แลว้จะเกิด“สมาธิ”ที่เป็น“สัมมา”(สัมมาสมาธิ) อันเป็น“สมาธิ”ท่ีเป็นคณุ วเิ ศษ(อุตตริมนุสสธรรม)ตามค�าสอนของพระพทุ ธเจ้า ซงึ่ จะไมใ่ ชก่ ารปฏบิ ตั ใิ หเ้ กดิ “สมาธ”ิ ดว้ ยวธิ หี ลบั ตาปดิ ทวาร37 คนจะมีธรรมะได้อย่างไร?

ทั้ง ๕ ขา้ งนอก แล้ว เข้าไปปฏิบัติสงั วรสา� รวมอินทรยี ค์ ือ ใจ ทวารเดยี วอยู่ในภวงั ค์ จนเกดิ “สมาธ”ิ เป็นอันขาด แตต่ อ้ งปฏบิ ตั สิ งั วรสา� รวมอนิ ทรยี ์ ๖ ในขณะทมี่ เี หต-ุ ปจั จยั(รปู นามคือกาย)ครบพร้อมไปดว้ ย“ผสั สะ ๖” ทีเ่ กิดจากการสมั ผัสกันของปสาทรูป ๕ และโคจรรูป(วิสัยรูป) ๕ แล้วเกิด“วิญญาณ ๖”ให้ผู้ศึกษารู้“วิญญาณ”แท้(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๖ ข้อ ๗๓ หรือข้อ ๑๖๑ เปน็ ตน้ ) จึงชือ่ วา่ พร้อมด้วยอายตนะ ๖ ผัสสะ ๖ เวทนา ๖ ตณั หา ๖จงึ จะรคู้ รบภพ ๓ ชาติ ๕ เปน็ การปฏบิ ตั ติ ามปฏจิ จสมปุ บาทบรบิ รู ณ์ ใน“มูลสตู ร” ขอ้ ๓ เปน็ การช้บี ่งอย่างชดั เจนวา่ การปฏบิ ตั ิแบบพุทธต้องมี“สัมผัส” (ผัสสะ) เป็น“เหตุเกิด” ท่ีท่านใช้ค�าว่า“สมุทยั ”(มีผัสสะเปน็ สมุทัย)ในการปฏบิ ัตทิ ีเดียว ซ่ึงจะไม่ใช่การปฏิบัติให้เกิด“สมาธิ”แบบหลับตาเข้าภวังค์กส็ งั วรสา� รวมอนิ ทรยี ์ ๖ ไมไ่ ด้ เพราะไมม่ ที วาร ๕ เปดิ รบั วถิ บี รบิ รู ณ์ ซง่ึ “สมาธ”ิ แบบนน้ั ไมใ่ ช“่ สมั มาสมาธ”ิ ทเี่ กดิ การเรยี นรคู้ รบกาย-วาจา-ใจ ภายนอกภายใน เรยี นรู้ครบ“รูป ๒๘” ครบ“นาม”ที่เป็นจิต ๘๙ หรือ ๑๒๑ และเจตสิก ๕๒ มีภาวะจริงโต้งๆปรากฏการณอ์ ยเู่ ปน็ อภธิ รรม ไดผ้ ลขนั้ ปรมตั ถธรรมสงู สดุ สมั บรู ณ์ จึงพูดเรื่อง“กาย”(องค์รวม,องค์ประชุม)กันไม่รู้เร่ือง เพราะ“สัญญา”ความเป็น“กาย” จะต่างกันคนละความรู้ คนละความมุง่ หมาย การประสพผลจงึ เกิด“ผล”ตา่ งกัน “ธรรมกาย”กต็ า่ งกัน “พรหมกาย”กต็ ่างกนั เชน่ พดู ถึง“กายปัสสัทธิ”ซึ่งหมายถึง ความสงบระงับแห่งนามธรรมหรือ38 คนจะมีธรรมะได้อยา่ งไร?

เจตสิก(อันได้แก่ความสงบระงับแห่งกองเวทนา-สัญญา-สังขาร ไม่ใช่“ร่าง”ท่ีเป็น“กาย”อันเป็นธาตุดินน้�าไฟลมข้างนอกเลยแท้ๆ) เห็นมั้ยว่าก�าหนดหมาย(สัญญา)ต่างกัน หรอื “กายกมั มญั ญตา” ซึง่ หมายถึง ความคล่องหรอื ความเป็นของควรแก่การงานแห่งกองเวทนา-สัญญา-สังขาร ก็ไม่ใช่“ร่าง”ที่เปน็ ดินน�้าไฟลมเลย ก็เห็นตา่ งกันอีก แมแ้ ต“่ กายมทุ ตุ า”กม็ ลี กั ษณะตา่ งกนั ซงึ่ หมายถงึ ความหวัออ่ นของ“กาย”(องคป์ ระชมุ ของเจตสกิ ๓) ความหวั ออ่ นแหง่ นามธรรมคือเจตสิก ๓ ก็เวทนา-สัญญา-สังขาร นั่นแหละ “กาย”ก็ไม่ใช่ดนิ นา้� ไฟลมอยู่ดี ดงั น้ี เป็นตน้ เพราะการศึกษา“กาย”พิจารณา“กาย”ในการปฏิบัติกับความเปน็ “กาย”ขณะทมี่ “ี วญิ ญาณ ๖”ตงั้ อยใู่ หเ้ ราไดศ้ กึ ษาพจิ ารณา(วญิ ญาณฐติ ิ ๗) กบั การศกึ ษา“กาย”พจิ ารณา“กาย”ในการปฏบิ ตั ขิ ณะทไ่ี มม่ “ี วิญญาณฐิติ ๗”น้ัน มนั ตอ้ งตา่ งกันแนน่ อน ความเป็น“สัตตาวาส ๙” หรือความเป็น“สัตว์”ทางจิตทงั้ หลาย ย่อมตา่ งกนั แน่นอน การ“พ้นสังโยชน์”(พ้นความเป็นสัตว์) จึงต่างกัน โดยเฉพาะการสมั ผสั วิโมกข์ ๘ ดว้ ย“กาย”กเ็ ป็นคนละเรอื่ งอย่างชัดเจน สว่ น“มลู สตู ร” ขอ้ ๔ ม“ี เวทนา”เปน็ “ทป่ี ระชมุ ลง”(สโมสรณา) เม่ือมี“การประชุมลง”จึงเกิดเป็น“องค์ประชุมหรือองค์รวม”(กาย)ขนึ้ มาใหศ้ กึ ษา ผู้ศึกษาจึงศึกษากันได้จากของจริงที่เป็นนามธรรม คือปรากฏการณแ์ ทๆ้ เกดิ อยใู่ หพ้ จิ ารณา“เวทนา”อนั เปน็ “ทปี่ ระชมุ ลง”39 คนจะมีธรรมะไดอ้ ย่างไร?

“กาย”คือองคร์ วม หรือองคป์ ระชุม ในการสมั ผัสอยู่ทง้ั รูปทง้ั อรูป และทั้งภายนอกทัง้ ภายใน  ท่ี“เป็นไปพรอ้ ม”(สหคต)40 คนจะมีธรรมะไดอ้ ยา่ งไร?

(สโมสรณา)นี้แหละ จะสามารถพิจารณา“เวทนาในเวทนา” ชนิดท่ีมีของจริงให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“มโนปวิจาร ๑๘”ในส่วนเป็น“เคหสิตเวทนา ๑๘”อันเกิดอยู่เป็นอยู่จรงิ ชัดๆ โต้งๆ และเมอ่ื สามารถปฏบิ ตั มิ มี รรคผลกส็ ามารถรจู้ กั รแู้ จง้ รจู้ รงิ“มโนปวจิ าร ๑๘”ทเ่ี ปน็ “เนกขมั มสติ เวทนา ๑๘”ชดั ๆทย่ี นื ยนั สภาวะจรงิ อยูโ่ ทนโท่ ผู้ปฏิบัติก็สามารถปฏิบัติกระท่ังบรรลุสูงสุดครบ“เวทนา๑๐๘”ได้ถ้วน มีญาณรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสัตว์เทวาดา-มาร-พรหม อนั เปน็ “โอปปาตกิ สัตว”์ ตวั แท้โตง้ ๆ เพราะผปู้ ฏบิ ตั ทิ “่ี เปน็ ไปพรอ้ ม,รว่ มกนั , ไปดว้ ยกนั ,กา� กบั กนั ”(สหคต)ด้วยการปรุงแต่ง(สังขต)อันมีท้ังเหตุทั้งปัจจัยท่ีอยู่ใน“กามาวจรภมู -ิ รปู าวจรภมู -ิ อรปู าวจรภมู ”ิ ทา� ใหส้ ามารถ ไดเ้ รยี นรู้สัมผัสของจริงครบองค์ประชุม(กาย) และท�าให้ก�าหนดรู้ได้ทั้งรูปภายนอก(พหิทธารูปานิ)ท้ังรูปลึกไปถึงข้ันอรูปภายใน(อัชฌัตตังอรูปสัญญี)ตาม“วิโมกข์ ๘” ท่ีพระพุทธเจา้ ตรัสไว้ในข้อ ๒ ของ“วโิ มกข์ ๘” นี้เอง ซ่ึงยืนยันความเป็น“กาย” คือ องค์รวมหรือองค์ประชุมในการสมั ผัสอยทู่ ัง้ รูปทัง้ อรปู และทงั้ ภายนอกทั้งภายใน ที่“เป็นไปพร้อม”(สหคต) จึงสามารถศึกษาพิจารณาตรวจสอบได้ทันทีต่อเน่ืองกันอยู่ในขณะปฏิบัติท่ีมีท้ัง“กามาวจรภพ-รูปาวจรภพ-อรูปาวจรภพ”ท่เี ปน็ “สหคต”ครบพรอ้ ม ผู้ปฏิบัติสามารถพิจารณา“กายในกาย-เวทนาในเวทนา-41 คนจะมธี รรมะไดอ้ ยา่ งไร?

จติ ในจติ -ธรรมในธรรม”ไดเ้ ปน็ ภาวะทปี่ รากฏอยจู่ รงิ (ปาตภุ าวะ) มขี องจรงิ (ปาตุสัจจะ)ให้ศึกษาพสิ จู นว์ า่ อะไรคือ“ตวั ตนของกเิ ลส”(อัตตา ๓)เกิดอยู่อย่างไร เป็นอย่างไร แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรทา� ใหม้ นั ลดละไดอ้ ยา่ งไร ดบั ไปไดไ้ ฉน และกา� จดั สนิ้ ไปไดแ้ ลว้ หรอืเหลืออกี ไหม แค่ไหน หมดสิ้นจนเท่ียงแท้(นิจจัง)ย่ังยืน(ธุวัง) จนแน่ใจว่านิรันดร์ตลอดกาล(สัสสตะ) ไม่แปรเปลี่ยนไปอีกแล้ว(อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไรหักล้างได้แล้ว(อสังหิรัง) ไม่กลับก�าเริบ(อสังกุปปัง) เป็นที่สุดนั้นเอาอะไรเป็นการตัดสิน พระพทุ ธเจา้ ทรงใหเ้ อา“เวทนา”นเี่ อง เปน็ ฐานปฏบิ ตั ิ และเปน็ เครือ่ งตัดสิน เม่ือมี“สมั ผสั ”เป็นปัจจยั จึงเกิด“สงั ขาร” เพราะอวชิ ชาเป็นปัจจยั จงึ เกิดสังขาร ดงั น้ัน เราจงึ ต้องศกึ ษา“สงั ขาร”กอ่ น กายสังขาร คือ องค์ประชุมหรือองคร์ วมท้งั กาย-วาจา-ใจ (นัจจะ-คีตะ-วาทิตะ ; โดยมีใจเป็นตัวเหตุหลัก ; มโนปุพพังคมา ธัมมา) วจีสังขาร คอื องคร์ วมหรอื องค์ประชุมของภาษาส้มุ เสียงส�าเนียง(คีตะ-วาทิตะ : โดยมีใจเป็นตัวเหตุหลัก ; มโนปุพพังคมาธัมมา) จิตสังขาร คือ องค์ประชุมหรือองค์รวมท่ีปรุงแต่งของจิตในจติ หรือเวทนาในเวทนา กาย คือ องค์รวมหรอื องค์ประชุม ท่ีมี“นามธรรม”ร่วมอยู่ดว้ ยเสมอ เพราะภาวะทเ่ี ปน็ กเิ ลสตวั แทค้ อื “จติ ” เปน็ นามธรรม การเกิด-การดับ หรือการเกิด-การตายของความเป็นสัตว์จึงต้องเป็น42 คนจะมธี รรมะไดอ้ ย่างไร?

เร่ืองของสตั วท์ างจิตใจ(สตั ตา โอปปาติกา) ภาวะใดเกิดย่อมมีภาวะนั้นๆจริง มีภาวะใดลดละก็รู้ก็เห็นภาวะจริงน้ัน เมอ่ื ภาวะนนั้ ดบั หรอื ตาย กเ็ หน็ อยู่โตง้ ๆว่าดบั วา่ ตาย คนจะ“พน้ อวชิ ชา”ไดเ้ พราะสมั ผสั ภาวะนน้ั ๆจงึ ไดร้ จู้ กั ภาวะนนั้ และเมอื่ ได้เรียนรู้สัมมาทฏิ ฐิจริงกร็ ู้จักรู้แจ้งรจู้ ริงของจรงิ เพราะเม่ือมีเหตุปัจจัย“เป็นไปพร้อม”(สหคต)ด้วยการปรุงแต่ง(สังขต)ท่ีมีทั้งเหตุทั้งปัจจัยที่อยู่ใน“กามาวจรภูมิ-รูปาวจรภูมิ-อรปู าวจรภมู ิ” พระพทุ ธเจ้าทรงใช้“เวทนา ๑๐๘”เปน็ เครือ่ งศกึ ษา ตัดสนิโดยยืนยันจาก ๓ กาล คือ อดตี -ปัจจบุ ัน-อนาคต กล่าวคอื เม่ือปฏบิ ตั ิทกุ ปัจจบุ นั มสี ัมผสั เปน็ ปัจจยั รจู้ กั รู้แจ้งรู้จริงของจริงทั้งรูปและนามครบครันตลอดมา และได้มรรคไดผ้ ลอยา่ งไร กม็ สี ัจจญาณ-กิจจญาณได้รู้จกั รแู้ จง้ รู้จริงความจริงตามความเป็นจริงน้นั ๆมาตลอด สงั่ สมผลลงเปน็ “สว่ นอดตี ”(ปพุ พนั ตา)ไปตามลา� ดบั ของ“ผลธรรม”ทท่ี า� ได(้ อวชิ ชาขอ้ ท่ี ๕ ตามทย่ี นื ยนั ไวใ้ นพระไตรปฎิ ก เลม่ ๓๔ ขอ้ ๗๑๒) ซง่ึ ผปู้ ฏบิ ตั ทิ กุ ปจั จบุ นั ไดร้ จู้ กั รแู้ จง้ รจู้ รงิ ดว้ ยสจั จญาณ-ดว้ ยกจิ จญาณในสจั ธรรม นานาสารพดั ทที่ า� สา� เรจ็ ไดด้ ขี นึ้ ๆ ชา� นาญขนึ้ ๆ ในขณะที่ยังไม่บริบูรณ์ก็ท�าให้ผู้ปฏิบัติสามารถเห็นจริงว่าภาวะทีย่ งั มี“ส่วนอนาคต”(อปรันตา)ยงั ไมเ่ ทยี่ ง(อวชิ ชาข้อที่ ๖ ตามพระไตรปฎิ ก เลม่ ๓๔ ข้อ ๗๑๒) ยังไม่เด็ดขาด เพราะมันยังไม่ปกั มน่ั มนั ยังไมเ่ ทย่ี ง ยงั ไมย่ งั่ ยนื ยงั มอี ะไรมาหกั ลา้ งได้ ยงั มกี ารกลบั กา� เรบิ ไดอ้ ยู่ กระท่ังมีผลตกผลึกลงในจิตมีมวลปริมาณที่มากพอ ย่ิง43 คนจะมีธรรมะไดอ้ ยา่ งไร?

คณุ ธรรมสงั่ สมคณุ ภาพ(ระดบั ของความดงี าม)-คณุ นธิ (ิ คลงั แหง่ ความดงี าม)-คณุ ราศ(ี ประกายแหง่ ความดงี ามทเี่ ปลง่ ใหร้ )ู้ กถ็ งึ ขดี บรบิ รู ณส์ มั บรู ณพ์ ออย่างแน่ใจย่งิ ม่ันใจยิ่ง วา่ คณุ ธรรมทเ่ี ปน็ ผลธรรมของตนนน้ั เปน็ “ตถตา”(ความเปน็ ความจรงิ ความแท้ ซงึ่ เปน็ แลว้ เชน่ นนั้ เปน็ ไปเองตามทใ่ี หเ้ ปน็ ไดน้ น้ั เปน็ เชน่ นน้ั เอง)แนแ่ ลว้ ถงึ ขัน้ ม่นั ใจวา่ เทีย่ งแท(้ นจิ จงั ) ย่ังยืน(ธวุ งั ) ตลอดกาล(สสั สตงั ) ไมแ่ ปรเปน็ อน่ื แลว้ (อวปิ รณิ ามธมั มงั ) ไมม่ อี ะไรหักล้างได(้ อสงั หิรงั ) ไม่กลับกา� เรบิ (อสงั กุปปัง) จึงสามารถม่ันใจได้ถึง“ส่วนอนาคต”(อปรันตา) แม้อนาคตคอื ภาวะท่ียังไมเ่ กิด ยังมาไมถ่ งึ ยงั ไม่เหน็ เลย กต็ าม ก็สามารถแน่ใจยง่ิ ปกั ใจมนั่ ไดอ้ ย่างฟนั ขาดสดุ แท้ เพราะสามารถรู้ได้จาก“ผลธรรม”ที่ได้สะสมลงเป็นส่วนอดีต(ปุพพันตา) กับ“ผล”ทุกปัจจุบันท่ีได้ปฏิบัติเป็นสัจจญาณ-กิจจญาณ ว่า กิเลสาสวะมันดับสนิทเกลี้ยงเป็น“สูญ”อย่างมี“ตถตา”(ความเป็นความจรงิ ความแท้ ซ่ึงเปน็ แล้วเช่นนั้น เปน็ ไปเองท่เี ปน็ เองนน้ั [อตั ตโนมตั ]ิ เปน็ เชน่ นนั้ เอง)ทกุ “ตถตา”ลว้ นเปน็ “สญู ”อยา่ งเทยี่ งแท-้ย่ังยืน-ตลอดกาล-ไม่แปรเปล่ียนแล้ว-ไม่มีอะไรหักล้างได้แล้ว-ไม่กลับกา� เริบอีกจริง จึงจะปฏิญญากับตนเองได้ ว่า สัจจะครบสัมบูรณ์ กิจได้ปฏบิ ตั มิ าครบบรบิ ูรณ์ ก็สามารถตัดสินได้ด้วยจิตท่ีเปน็ “กตญาณ”เป็นที่สุด ว่า กิเลสาสวะของเราน้ัน “สูญสนิท”เท่ียงแท้ ย่ังยืน-ตลอดกาล ฯลฯ (จบฉบบั ท่ี ๒๘๗)44 คนจะมธี รรมะได้อยา่ งไร?

เราไดพ้ ดู ผา่ นมาบา้ งแลว้ ทงั้ ความเปน็ “ธรรม”อนั หมายถงึ“ส่ิงทท่ี รงไว้เป็นแกน่ ชพี หรอื เปน็ สมบตั ิ หรอื เป็นคณุ คา่ ในตวั เรา” และทัง้ ที่เรียกวา่ “อธรรม”อนั หมายถึง “ความตกต่า� ของสงิ่ ซ่ึงทรงไว้เป็นแกน่ ชพี ในตัวเรา” นัน่ แลคอื “ความเสื่อมของเรา”หรอื เราตกต่า� ลง-ช่ัวลง-เลวลง-ไมเ่ จริญข้ึน ค�าวา่ “อ” ทแ่ี ปลวา่ “ไม”่ ซ่ึงจะ“ไมใ่ ช่” หรือ“ไมม่ ี” หรอื“ไมเ่ ปน็ -ไมไ่ ด”้ อะไรกต็ าม กล็ ว้ นแลว้ แตเ่ ปน็ “การลบคา่ ”ของสงิ่ นน้ั ดงั นน้ั เมอ่ื เตมิ “อ”(ไม)่ เขา้ ไปในคา� วา่ “ธรรม” จงึ ทา� ใหค้ วามเปน็ “ธรรม”ทบ่ี รบิ รู ณน์ นั้ พรอ่ งลงไปทนั ที แมจ้ ะ“ไมใ่ ช-่ ไมม่ -ี ไมเ่ ปน็ ”เลก็ นอ้ ยเทา่ ใดกต็ าม กค็ อื “ธรรม”นนั้ ไมใ่ ชค่ วามเปน็ “ธรรม” หรอืไมม่ ีความเป็น“ธรรม”ท่ีเตม็ สภาพของ“ธรรม”น้ัน ใช่ม้ัย? ความเป็น“ธรรม”แท้ๆ จึงหมายถึงความเต็มของ“ความด-ี ความมี-ความเป็น-ความควร” หรอื ความบรบิ ูรณ์ความสมบูรณ์เต็มทขี่ อง“ภาวะ”น้นั ๆ จะว่าเป็น“ความเต็มของความ“ไม่”ดี”ก็มีความ“ไม่”อยู่น่ันแหละ จงึ ไมใ่ ช่“ธรรม” ซึ่งเมื่อเป็น“กาย”ก็หมายความว่า เป็น“องค์รวมหรือองค์ประชุม” ถ้าเป็น“ธรรม”สูงสุดก็เรียกว่า“กายแห่งธรรม”หรือธรรมกาย และ“กายแห่งพรหม”หรอื พรหมกาย เป็นต้น45 คนจะมีธรรมะไดอ้ ยา่ งไร?

ธรรมกาย หรือ พรหมกายนั้นๆ เป็น“องค์รวมหรือองค์ประชมุ ”ทเี่ ปน็ “ธรรม”หรอื เปน็ “พรหม”ทรงไว้ในตัวเราทเ่ี ต็มๆ และมันจะแสดงออก โดยการปรากฏทาง“กายกรรม-วจีกรรม” ซึ่งมี“มโน”เป็นประธานตัวจริง ผู้ก่อให้เกิด“กรรม”ทุกการเคลื่อนไหวขององคป์ ระชมุ เปน็ กริ ิยาทุกอย่าง ซึ่งมีได้ทั้งท่าทางท้ังค�าพูดและทั้งสุ้มเสียงส�าเนียงรวมทุกอริ ยิ าบถอยพู่ รอ้ มๆกนั หรอื องคป์ ระชมุ แหง่ วาจาเทา่ นน้ั ไมม่ ที า่ ทางอยา่ งเปน็ ไดจ้ รงิ ตามทพี่ ระพทุ ธเจา้ ตรสั รคู้ อื มโนปพุ พงั คมา ธมั มามโนเสฏฐา มโนมยา ผมู้ ภี มู ปิ ญั ญาพอทจ่ี ะรจู้ รงิ เหน็ ไดจ้ รงิ กส็ ามารถสมั ผสั รหู้ รอืหยั่งรไู้ ด้ จรงิ อยเู่ สมอ หรือตามโอกาส ธรรมกาย หมายถึง “องค์ประชุมของธรรมในตัวเรา”ท่ีเจริญถึงขั้น“ความส�าเร็จเต็มของธรรมนั้นๆ”(ธรรมกาย) หรือพรหมกาย ก็หมายถึง “องค์ประชุมของธรรมในตัวเรา”ท่ีเจริญถงึ ข้นั “ความส�าเร็จเต็มในความเป็นพรหมน้นั ๆ”(พรหมกาย) ความเต็มแต่ละข้ัน เต็มในข้ัน“ดับนรกขั้นต่�าสุดที่เรียกว่า“อบายของตน” กค็ ือ วิมตุ ติ ไปไดแ้ ตล่ ะขนั้ ๆ ถ้าภูมิธรรมแต่ละขั้นสามารถมีอย่างแข็งแรงมั่นคงจนแน่นอน เท่ียงแท้ ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากท่ีได้ภูมิน้ันแล้ว และสามารถจะอนโุ ลมไปอมุ้ ชชู ว่ ยอนื่ ๆได้ ก็เรยี กผถู้ ึงขนั้ นว้ี า่ อมตะ และหากถึงขนั้ สูงสุดเปน็ ที่สุดก็เรยี กว่า อรหนั ต์ น่ันคือ “องค์รวมหรือองค์ประชุม”ของคุณธรรมต่างๆที่ภาษาบาลวี า่ “กาย”ของคณุ ธรรมตา่ งๆนนั้ ทฤษฎขี องพระพทุ ธเจา้46 คนจะมธี รรมะได้อยา่ งไร?

สามารถปฏบิ ตั ไิ ดถ้ ึงท่สี ุดดงั กล่าวสา� เรจ็ ผล ซึ่งเรื่องอันเกี่ยวกับค�าว่า“กาย”นี้จะต้องได้พูดกันอีกยาวและมาก เพราะ“กาย”ค�าน้ี มันกลายมาเป็นภาษาไทยจนคนไทยไดม้ ิจฉาทิฏฐิในนยิ ามเดิมทส่ี า� คญั ยงิ่ ของมันไปเสยี สนิ้ แลว้ โดยเฉพาะในขนั้ “ปรมตั ถธรรม”ทเี่ ขา้ สคู่ วามเปน็ “อารยิ ะ”หรือ“โลกุตระ”อนั หมายถงึ การไปสู่วมิ ตุ ิหรือนพิ พานกันจริง ดังน้ัน ในการศึกษาพุทธธรรมของพระพุทธเจ้าปัจจุบันนี้เมื่อมิจฉาทิฏฐิในค�าว่า“กาย”แม้ค�าเดียวนี้ แต่เป็นค�าส�าคัญยิ่งในการปฏบิ ัติธรรม จงึ ไม่สามารถบรรลุมรรคผลจริงกันได้ อาตมายืนยันกันขนาดนี้ ซ่ึงความเห็น ของอาตมาน้ี แม้จะไม่เหมือนหรือมันค้านแย้งกับความเห็นท่ีได้เชื่อถือกันมาเก่าก่อน ตามท่านผู้รู้หรือปราชญ์ท่ีสอนท่ีบอกต่อๆกันมาเนิ่นนาน ก็ต้องขออภยั อยา่ งยงิ่ จรงิ ๆ แต่มันกเ็ ป็นความจรงิ ตามท่อี าตมาม่ันใจ และจริงใจ ก็นึกเสียว่า ท่ีอาตมาสาธยายน้ี เป็นแบบอาตมาเฉพาะก็แลว้ กนั ถ้าอาตมาหลงผิด มันก็เป็นโทษเป็นโมหะบาปของอาตมาเองแน่นอน เลีย่ งไม่ได้ ท่านผู้ใดเห็นได้ เข้าใจได้ เห็นด้วย เอาด้วย ก็เป็นเร่ืองสว่ นตัวเถดิ สา� หรบั ผไู้ มเ่ หน็ ดว้ ย กน็ กึ เสยี วา่ เปน็ ทางเลอื กอกี ทางหนงึ่ในโลก อาตมากข็ ออนญุ าตแสดงความเหน็ ของอาตมาบา้ ง กแ็ ลว้ กนั ท่ีอาตมาท�าอยู่นี้ไม่ได้เบียดเบียนใครหรือแย่งลาภยศ47 คนจะมีธรรมะได้อย่างไร?

สรรเสริญท่ีเป็นกามสุขและอัตตทัตถสุขของใครเลย มีแต่อาตมาชกั ชวนและพาผคู้ นทง้ั หลายมาลดละกเิ ลสทม่ี นั ตดิ ลาภยศสรรเสรญิท่ีเป็นกามสุขและอัตตทัตถสุขอย่างแท้จริง จึงมีแต่การออกจากโลกธรรม อาตมาจงึ ไมใ่ ชท่ ง้ั คแู่ ขง่ คแู่ ยง่ ของใคร เพราะความตอ้ งการ(ตณั หา)มนั คนละอย่าง จุดประสงค์ที่อาตมาและชาวอโศกท�าอะไรต่ออะไรอยู่ในโลกจงึ คนละทางอยแู่ ทๆ้ อาตมาพาพวกเราตอ้ งการปลอ่ ยวางละลา้ งการติดยึดลาภยศสรรเสริญกามสุขอัตตทัตถสุขออกไปเสียด้วยซ�้าอาตมาจงึ ไมใ่ ชท่ งั้ ความเปน็ คแู่ ขง่ คแู่ ยง่ ทง้ั ไมไ่ ดเ้ บยี ดเบยี นลาภยศสรรเสริญกามสุขอตั ตทตั ถสขุ ใครเลยแมแ้ ต่น้อย แทท้ ีจ่ รงิ แล้วนน้ั ย่ิงกลับเป็นการลด หรือหมดคแู่ ขง่ คูแ่ ยง่แกผ่ ู้ต้องการลาภยศสรรเสริญกามสขุ อตั ตทัตถสุขอยูด่ ว้ ยซ�้าไป คนทางโลกที่ยังเป็นโลกีย์น้ันยังมีความต้องการท่ีเป็นกาม(กามตัณหา) และความต้องการที่เป็นภพ(ภวตัณหา) ซ่ึงเป็นชีวิตท่ียังแสวงหาและสร้าง“ภพ”อยูค่ รบครนั แตอ่ าตมานั้นไมต่ อ้ งการแลว้ “กาม” ไมต่ ้องการแลว้ “ภพ”จึงเป็นความต้องการ“ไม่มีภพ”(วิภวตัณหา) ที่เป็นเป้าหมายสุดยอดส�าคัญยง่ิ ของชีวติ ในการปฏิบตั ิธรรม อาตมาไมใ่ ชค่ นประหลาดวติ ถาร ทกี่ ลายเปน็ คนพาซอ่ื แบบคนอีเดียตโมรอน ที่ไม่มี“ความต้องการอะไร”(ไม่มี“มโนสัญเจตนา”ในชีวิต) โดยเข้าใจพาซื่อมะลื่อทื่อ เป็นคนท่ีท�าจิตตัวเองให้เป็นคนไม่มีความจงใจมุ่งหมายอะไร โดยตั้งใจไม่คิดเจริญก้าวหน้าอะไร48 คนจะมธี รรมะได้อยา่ งไร?

กลายเป็นคนมีชีวิตอยู่อย่างตั้งจิตจงใจ(สัญเจตนา)ท�าจิตใจตนเองไม่ให้ตอ้ งการอะไร ไม่ให้คดิ อะไร ไมพ่ ิจารณาอะไร นนั่ ..มนั เลยเถดิ เลยธงของความเปน็ จติ สามญั ของคนสามญัไปแล้ว มนั เข้าขน้ั ไม่สามัญปกตใิ นความเป็นคนไปแลว้ ที่ใครก็ตามท่ีตั้งจิตจงใจ“ไม่ให้จิตมันคิดอะไร” ก็ตั้งใจท�าจติ ใจใหม้ นั อยเู่ ฉยๆ นน่ั แหละมนั คอื “มโนสญั เจตนา”อยโู่ ทนโทแ่ ลว้ คนไม่มี“มโนสัญเจตนาหาร”ไม่ได้หรอก มันผิดความเป็นคนไปแล้ว แมแ้ ตส่ ตั ว์เดรจั ฉานทกุ ตวั มันก็ม“ี มโนสัญเจตนา” พระพุทธเจ้าจึงตรัสตายตัวยืนยันเลยว่า มนุษย์ต้องมี“มโนสญั เจตนาหาร” กลา่ วคอื ตอ้ งม“ี จติ ทตี่ งั้ ใจหรอื จงใจ” ถงึ ขนั้ เรยี กวา่ “ตณั หา”(ความต้องการ)เป็นเคร่ืองอาศัยของชีวิตในจิตอยู่เป็นธรรมดาทุกคนแม้แตอ่ รหันต์ จนถงึ ขัน้ พระพทุ ธเจา้ พระพุทธเจ้าก็ยังมี“ความตั้งใจหรือจงใจ”(สัญเจตนา)สร้างศาสนาของพระองค์ให้เปน็ ศาสนาข้ึนในโลกให้ได้ ดังนี้ เปน็ ตน้ ดังนั้น ความมี“มโนสัญเจตนา”ของคน จนถึงข้ัน“ตณั หา”จึง“ตอ้ งมี”ในคนเปน็ เรอ่ื งปกติสามญั ธรรมชาติ ถ้าใครไม่มี“ตัณหา”หรือไม่มี“ความตั้งใจหรือความจงใจ”เปน็ เครอ่ื งอาศยั ในชวี ติ กไ็ มใ่ ชค่ น หรอื เปน็ คนคดิ เขา้ ขนั้ วติ ถารแลว้ “มโนสญั เจตนาหาร”นนั้ ทา่ นตรสั วา่ มี ๓ คอื ๑.กามตณั หา(ความตอ้ งการกาม) และ ๒.ภวตัณหา(ความต้องการภพ) เป็นสามัญของคนทย่ี งั ไมค่ ิดจะดับกิเลสให้สิ้นภพจบชาติ ส่วนผู้ที่ต้องการจะ“ดับกิเลสให้สิ้นภพจบชาติ ก็ต้องมี49 คนจะมธี รรมะไดอ้ ย่างไร?