รรณไม้ป่าดิบเขา พภูเขียว-น้�ำหนาว ส�ำนกั วิจยั การอนุรกั ษ์ป่าไมแ้ ละพันธุ์พืช กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ ่า และพันธพ์ุ ชื
พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-น�้ำ หนาว สำ�นักงานหกรอมพอรทุรณยาไมน้แสห�ำ ่งนชกั าวตจิ ิ สยั ัตกาวรป์ อ่านแรุ ลักะษพ์ปนั ่าธไมุ์พแ้ ชื ละพนั ธพุ์ ชื
พรรณไม้ป่าดิบเขาภูเขยี ว-น้�ำ หนาว ที่ปรกึ ษา ธัญญา เนติธรรมกลุ อธบิ ดีกรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ปา่ และพนั ธุพ์ ชื อดศิ ร นุชด�ำ รงค์ รองอธบิ ดกี รมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธพ์ุ ืช ณรงค์ มหรรณพ ผูอ้ �ำ นวยการส�ำ นักวิจัยการอนรุ ักษ์ปา่ ไม้และพันธุ์พชื วชิ ยั อ่อนนอ้ ม หวั หนา้ ส�ำ นักงานหอพรรณไม้ ผ้เู รยี บเรียง มงคล ค�ำ สขุ ออกแบบ/ประสานงาน เอกนกิ ปานสงั ข์ จัดพมิ พ์โดย ส�ำ นักงานหอพรรณไม้ ส�ำ นกั วิจัยการอนรุ ักษ์ป่าไม้และพันธุ์พชื กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธพ์ุ ชื ภายใตแ้ ผนงานวจิ ยั ความหลากหลายทางชีวภาพในกลุ่มปา่ ภูเขียว- น�ำ้ หนาว พิมพค์ รงั้ ท่ี ๑ จ�ำ นวน ๑,๕๐๐ เลม่ สำ�หรบั เผยแพร่ ห้ามจำ�หน่าย พมิ พท์ ี่ บริษทั สไตล์ ครีเอทีฟ เฮา้ ส์ จำ�กัด ๓๒/๑๕๒ ซอยถนอมมติ ร ถนน รามอินทรา แขวง จรเข้บวั เขต ลาดพร้าว กรงุ เทพมหานคร ๑๐๒๓๐ สงวนลขิ สิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๕๙ ISBN : ๙๗๘-๖๑๖-๓๑๖-๒๘๑-๖ พรรณไมป้ ่าดบิ เขาภูเขยี ว-นำ้�หนาว
คำ�น�ำ หนังสอื ”พรรณไม้ป่าดบิ เขา ภูเขียว-น�ำ้ หนาว” น้ี เป็นหนังสอื ทก่ี ล่าวถึงพรรณไม้ปา่ ดบิ เขา ในพน้ื ทก่ี ลุ่มปา่ ภูเขียว-น�ำ้ หนาว ซงึ่ กลมุ่ ป่าแหง่ นเี้ ป็น ๑ ใน ๑๙ กลุ่มป่าของประเทศไทย ครอบคลมุ พนื้ ที่ ๖ จังหวัด คอื จงั หวดั เพชรบรู ณ์ จงั หวดั เลย จังหวดั หนองบวั ล�ำ ภู จงั หวัดขอนแกน่ จังหวดั ชยั ภมู ิ และจังหวัดลพบรุ ี ประกอบดว้ ยเขตพฤกษภมู ศิ าสตรร์ วม ๒ เขต คอื เขตพฤกษภมู ศิ าสตร์ อนิ โดไชนสิ และเขตพฤกษภมู ศิ าสตรอ์ นิ โดเบอรม์ สี นอกจากนน้ั หากกลา่ วถงึ ววิ ฒั นาการของแผน่ ดนิ พน้ื ท่ี ดงั กลา่ วประกอบดว้ ยกลมุ่ ดนิ ทม่ี กี ารพฒั นาสงู มวี วิ ฒั นาการมายาวนาน ดงั จะเหน็ สภาพภมู ปิ ระเทศ แถบนเ้ี ปน็ ภเู ขารปู โตะ๊ หรอื ภเู ขาหวั ตดั เปน็ ทร่ี าบบนภเู ขาสงู (plateau) ทเ่ี หน็ ชดั เจน เชน่ ภผู าจติ (ภดู า่ นอปี อ่ ง) ในอทุ ยานแหง่ ชาตนิ �ำ้ หนาว ภหู อ ในเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ภหู ลวง และภกู ระดงึ เปน็ ตน้ สว่ นดา้ นทศิ ตะวนั ตกของพน้ื ทเ่ี ปน็ ภมู ปิ ระเทศทม่ี วี วิ ฒั นาการนอ้ ย เปน็ เทอื กเขาสงู ชนั สลบั ซบั ซอ้ น และเกดิ การพงั ทลายสงู เรยี งตวั ในแนวเหนอื ใตต้ อ่ เนอ่ื งมาจากภาคเหนอื ของไทย ซง่ึ เปน็ สะพานการ ถา่ ยทอดและแลกเปลย่ี นพนั ธกุ รรมของพชื และสตั วป์ า่ ทส่ี �ำ คญั จากลกั ษณะดงั กลา่ วกอ่ ใหเ้ กดิ สภาพ ปา่ ไมช้ นดิ ตา่ ง ๆ และถน่ิ อาศยั ของสตั วป์ า่ ทม่ี คี วามหลากหลายสงู มาก แตข่ อ้ มลู การศกึ ษาวจิ ยั เกย่ี ว กบั ทรพั ยากรของสง่ิ มชี วี ติ ในผนื ปา่ แหง่ นก้ี ลบั มนี อ้ ย ภายในหนังสือเล่มนกี้ ลา่ วถงึ พรรณไม้ป่าดบิ เขาประจำ�ถนิ่ ของไทย ในเขตรักษาพันธส์ุ ตั วป์ ่า ภเู ขียวเปน็ สว่ นใหญ่ ซ่ึงเขตรกั ษาพันธุส์ ัตวป์ ่าภเู ขียวแหง่ น้ี เปน็ สว่ นหนึง่ ของผืนป่าอีสานตะวันตก ปจั จุบนั ถกู จัดให้อย่ใู นกลุ่มปา่ ภเู ขียว-นำ้�หนาว และผนื ปา่ บรเิ วณนีม้ คี วามส�ำ คัญ คือเปน็ ปา่ รอยต่อ ผืนใหญ่ที่สุดท่ีเป็นแนวเขตระหว่างภาคอีสานและภาคเหนือตอนล่างที่ยังคงเหลืออยู่ดังนั้นจึงสามารถ ใช้ศึกษาพรรณพชื ในปา่ ดิบเขาในภาคเหนือได้ดว้ ย หวงั ว่าหนังสอื พรรณไมป้ ่าดิบเขา ภูเขียว-นำ�้ หนาว เลม่ น้ี จะเป็นประโยชน์แก่บุคลากร กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ ่า และพันธุ์พชื ตลอดจนผู้สนใจในการเรียนรเู้ กย่ี วกับความหลากหลาย ของพืชในผืนปา่ แห่งนแี้ ละสรา้ งความตระหนกั ถึงคุณค่าของทรัพยากรพืชของประเทศ (นายณรงค์ มหรรณพ) ผ้อู �ำ นวยการส�ำ นกั วจิ ัยการอนรุ กั ษป์ า่ ไมแ้ ละพนั ธ์พุ ชื กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ ่า และพันธ์พุ ชื
คำ�น�ำ ของผเู้ รียบเรียง หนงั สอื พรรณไมป้ ่าดิบเขาภูเขียว-นำ้�หนาวเลม่ นี้ เกดิ ข้นึ ไดเ้ นื่องจากมีแรงจงู ใจหลาย ประการ เช่น ขาดแคลนต�ำ ราส�ำ หรับศกึ ษาด้านพฤกษศาสตร์ (botany) หรือรกุ ขวทิ ยาป่าไม้ (forest dendrology) ในประเทศไทย ซึ่งผเู้ ขยี นเองก็เคยประสบปัญหาในสมยั ท่ียงั เรียนอย่ใู นมหาวิทยาลยั ถงึ แม้จะมตี ำ�ราหรอื วารสารวิจัยตา่ ง ๆ ก็มักจะเปน็ ภาษาอังกฤษ และใช้ศพั ทเ์ ฉพาะทางส�ำ หรับ นักพฤกษศาสตรเ์ ท่านน้ั ท�ำ ให้บคุ คลนอกวงการหรอื ทเี่ รียนสาขาวิชาอ่นื ทีม่ ีความสนใจด้าน พฤกษศาสตร์ขาดโอกาสหรอื ประสบปัญหาเกยี่ วกบั การแปลเอกสารดงั กลา่ ว ท�ำ ให้เกิดความเบ่อื หน่ายในวิชาด้านนี้ แมก้ ระทง่ั นิสิต นักศึกษาท่ีเรียนมาทางน้ีโดยเฉพาะ เชน่ วชิ าพฤกษศาสตร์ท่ีมสี อน ในทกุ มหาวทิ ยาลัย วชิ ารุกขวทิ ยาในคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ก็มกั จะเนน้ การท่อง ชื่อทางวทิ ยาศาสตร์หรือจ�ำ แนกจากกุญแจ (Key) ซ่ึงเปน็ เรอื่ งทีค่ ่อนขา้ งยุง่ ยากส�ำ หรบั คนทั่วไปท่ีไม่ ต้องการทจี่ ะศึกษาลกึ ซงึ้ มากนกั นอกจากสาเหตุดังกลา่ วแล้วประสบการณจ์ ากการท�ำ งานในพืน้ ที่ ตา่ ง ๆ ในป่าทุกประเภทที่ผเู้ ขยี นเคยผ่านมากเ็ ป็นแรงจูงใจใหศ้ กึ ษาและถา่ ยทอดแด่ผู้ทไ่ี ม่มีโอกาสได้ เข้าไปสัมผัสโดยตรง เพ่อื ใหร้ ูถ้ ึงความสำ�คัญของพรรณพืชแตล่ ะชนิด ซงึ่ มคี วามส�ำ คัญต่อปัจจัยสข่ี อง ชวี ติ มนุษย์และชว่ ยรกั ษาสมดลุ ระบบนิเวศของโลก การศึกษาพรรณไม้ใชว่ ่าจะเขา้ ไปเมอื่ ไร ฤดูไหนก็จะพบดอก ผล หรอื ใบได้ พรรณพืชแตล่ ะ ชนิดมีลักษณะวสิ ยั และชพี ลักษณ์ (phenology) ทีแ่ ตกต่างกัน ขึ้นอยกู่ บั สภาพภมู ิอากาศ ถ่นิ ท่เี กิด และลกั ษณะเฉพาะของชนิดพนั ธ์ุน้นั ๆ บางชนิดอาจคงความเขียวของใบทั้งปี บางชนิดต้องผลัดใบ เมื่อถงึ ฤดแู ลง้ บางชนดิ ออกดอกออกผลทัง้ ปี และบางชนิดออกปีละครง้ั หรืออาจใชเ้ วลาหลาย ๆ ปี จงึ จะออกดอกออกผลคร้งั หน่ึง ฉะนนั้ การศกึ ษาพรรณไม้จะตอ้ งใช้เวลายาวนานเพื่อตดิ ตามการ เปลีย่ นแปลงต่าง ๆ ซงึ่ คงจะไมเ่ หมาะสมนักสำ�หรบั ผ้ทู ม่ี ีเวลาน้อยหรอื อยู่ไกลปา่ ป่าดบิ เขาเป็นสงั คมพชื อีกประเภทหนงึ่ ทพี่ บในประเทศไทย ซงึ่ ส่วนใหญม่ กั กระจายบนพื้นที่ทเ่ี ปน็ ภเู ขาสูงชันมีภมู อิ ากาศ หนาวเย็นเกือบทง้ั ปี พบมากทางภาคเหนอื ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตก และพบไดบ้ ้าง ตามภูเขาสูงชันในภาคตะวันออกและภาคใตข้ องประเทศไทย ป่าประเภทนี้สว่ นใหญม่ ักพบในพ้ืนทสี่ งู ชนั การเขา้ ไปในปา่ ประเภทน้ีจงึ ต้องเป็นคนทม่ี สี ุขภาพดี รา่ งกายแขง็ แรง มีความทรหดอดทนและสามารถ ทนกบั ความหนาวเหนบ็ ได้ในฤดูหนาว จงึ ถือไดว้ า่ เปน็ ขอ้ จำ�กดั อกี ประการหนึง่ ของคนที่จะเขา้ ไปสมั ผสั ป่าชนิดน้ี ถงึ แมว้ า่ ในบางพ้นื ทีอ่ าจจะมีถนนหนทางและรถยนตผ์ า่ นเขา้ ออกไดส้ ะดวกกต็ าม ก็ยังเปน็ ส่วนน้อยท่จี ะไดผ้ ่านป่าชนดิ น้ี อีกท้งั ในประเทศไทยยงั ไม่มีผใู้ ดศกึ ษาพรรณไม้ในปา่ ประเภทนอี้ ยา่ ง จริงจงั มบี ้างแตก่ ็ผสมปะปนอยู่กับป่าประเภทอื่น ป่าดบิ เขาสว่ นใหญ่ตน้ ไม้มกั สงู ใหญ่ เรอื นยอด ประสานกันจนบางครง้ั แยกตน้ ไมอ่ อก พรรณไม้ปา่ ดิบเขาภูเขยี ว-นำ�้ หนาว
อย่างไรก็ตามวิชาการด้านพฤกษศาสตร์ของประเทศไทยและท่ัวโลกก็ยังเป็นสาขาที่ยังคง สับสนในเรือ่ งของการจัดอนกุ รมวธิ าน (taxonomy) ผู้เชย่ี วชาญในแตล่ ะสาขา แตล่ ะสถาบันมักจะคิด วา่ ของตวั เองถูกของคนอื่นผดิ แมก้ ระทง่ั พืชชนดิ เดยี วกันกย็ ังมีการเปลย่ี นชือ่ กลบั ไปกลบั มา ท�ำ ให้ นสิ ติ นกั ศึกษาหรอื ผ้ตู ิดตามท้งั หลายพลอยสบั สนไปด้วย ท�ำ ใหผ้ ้ใู ชห้ ลาย ๆ คนพยายามยึดคนใด คนหนึ่งหรอื สถาบนั ใดสถาบนั หนงึ่ เปน็ หลกั ซง่ึ ก็คงจะไมผ่ ดิ อะไร ส่วนผู้เขียนเองลกั ษณะทางอนุกรม วธิ านน้นั ไดย้ ึดถือตามต�ำ ราหลายเล่ม โดยเฉพาะเตม็ (๒๕๒๓, ๒๕๔๔) Forest Bulletin และ Flora of Thailand สุดทา้ ยนี้ผเู้ ขียนหวังว่าหนังสือเล่มน้ีคงจะใหป้ ระโยชน์แกน่ สิ ิต นักศึกษา ครู อาจารย์ และ ผ้สู นใจทุกทา่ นไม่มากก็น้อย ขอ้ บกพรอ่ งท่เี กดิ ข้ึนผ้เู ขยี นขอรบั ผดิ เพยี งผู้เดียว หากความดหี รือค�ำ ชมเชยจากท่านผอู้ ่าน ผ้เู ขยี นขอมอบแด่คณุ พ่อคณุ แม่เป็นลำ�ดบั แรก ผศ.สมนกึ ผอ่ งอำ�ไพ อาจารย์ คนแรกทีส่ อนวชิ ารุกขวทิ ยาป่าไม้ ดร.วิชาญ เอยี ดทอง และ ศ.ดร.ธวัชชยั สันตสิ ขุ ทีไ่ ดถ้ า่ ยทอดวชิ า ความรใู้ ห้ เพ่อื นร่วมงาน เพอื่ นฝูงและพ่ีน้องวนศาสตร์ทกุ ท่านท่ีมีสว่ นเกยี่ วขอ้ งทีท่ �ำ ให้หนังสอื เล่มน้ี สำ�เรจ็ ลงได้ด้วยดี มงคล ค�ำ สุข กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพันธพ์ุ ชื
พรรณไมป้ ่าดบิ เขาภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว
สารบัญ หน้า กลมุ่ ปา่ ภเู ขยี ว–น�ำ้ หนาว ๒ ผืนป่าอีสานตะวนั ตก ๔ เขตรกั ษาพันธุส์ ัตว์ป่าภเู ขยี ว ๑๔ ป่าดบิ เขาในเขตรักษาพนั ธ์สุ ัตวป์ ่าภเู ขียว และผืนป่าอสี านตะวันตก ๒๖ พืชไร้เมล็ด (กูด-เฟริ ์น) ๓๑ วงศ์ BLECHNACEAE (กดู ดอย) กดู ดอยซิเลยี น ๓๒ วงศ์ DICKSONIACEAE (กดู ลูกไกท่ อง) ละอองไฟฟา้ ๓๓ วงศ์ GLEICHENIACEAE (กูดโชน) กูดปดิ๊ ๓๕ วงศ์ LYCOPODIACEAE (กูดระยา้ ) ชอ้ งนางคล่ี ๓๖ ยมโดย ๓๘ วงศ์ MARATTIACEAE (ว่านกีบแรด) วา่ นกบี แรด ๓๙ วงศ์ PARKERIACEAE (กดู ก้านดำ�) เฟนิ ก้านดำ�ใบดาว ๔๐ วงศ์ PSILOTACEAE (หวายทะนอย) หวายทะนอย ๔๑ พชื เมลด็ เปลอื ย ๔๓ วงศ์ CEPHALOTAXACEAE (พญามะขามป้อม) พญามะขามปอ้ ม ๔๔ วงศ์ CUPRESSACEAE (สนแผง) แปกลม ๔๕ วงศ์ PODOCARPACEAE (พญาไม้) มะขามปอ้ มดง ๔๖ สนสามพันป ี ๔๗ ขนุ ไม ้ ๔๘ กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ า่ และพนั ธุพ์ ืช
(๒) หนา้ ๔๙ ๕๑ พญาไม้ พชื ใบเล้ยี งเดีย่ ว ๕๒ วงศ์ ARACEAE (บกุ -บอน) ๕๔ กระดาด ๕๖ ผักหนาม ตะเข็บ ๕๗ วงศ์ COMMELINACEAE (ผกั ปลาบ) ผักปลาบช้าง ๕๙ วงศ์ COSTACEAE (เอือ้ งหมายนา) เออื้ งหมายนา ๖๐ วงศ์ PALMAE (หมาก-หวาย) ๖๒ ต๋าว ๖๓ เตา่ รา้ งยักษ ์ คอ้ ๖๔ วงศ์ ZINGIBERACEAE (ขิง-ข่า) ๖๕ กากุก๊ ๖๗ ตาเหนิ ไหว พชื ใบเลยี้ งค ู่ ๖๘ วงศ์ ACANTHACEAE (เหงอื กปลาหมอ) หวา้ ชะอำ� ๖๙ วงศ์ ACERACEAE (ก่วม) กว่ ม ๗๑ วงศ์ ACTINIDIACEAE (ช้าส้าน) สา้ นเห็บ ๗๒ วงศ์ ANACARDIACEAE (มะม่วง) มะเหลี่ยมหนิ ๗๓ วงศ์ ANNONACEAE (นอ้ ยหน่า) ๗๔ นางเลว บุหรงยนู นาน พรรณไม้ปา่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-น�้ำ หนาว
(๓) หนา้ ๗๕ ๗๖ สายหยุด ๗๗ ขา้ วหลามดง ๗๘ ต�ำ หยาวเขา ๗๙ นมแมว ๘๐ มะป่วน ๘๑ กระดงั งาปา่ นมช้าง ๘๒ วงศ์ APOCYNACEAE (ตนี เปด็ ) ๘๔ ตนี เปด็ เขา ๘๕ สตั บรรณ เครือเขามวกขาว ๘๗ วงศ์ AQUIFOLIACEAE (เนา่ ใน) เม็ดทบั ทมิ ๘๘ วงศ์ ARALIACEAE (ต้าง) ๙๐ กำ�จดั ยา่ น ๙๑ นว้ิ มอื พระนารายณ ์ ตา้ งหลวง ๙๒ วงศ์ ASCLEPIADACEAE (ดอกรัก) ๙๔ นมตำ�เลยี ดา้ ง ๙๖ วงศ์ BALANOPHORACEAE (ขนุนดนิ ) ๙๙ กากหมากตาฤๅษ ี กากหมาก ๑๐๐ วงศ์ BETULACEAE (กำ�ลงั เสือโครง่ ) กอ่ สรอ้ ย ๑๐๑ วงศ์ BIGNONIACEAE (แคปา่ ) ระฆังทอง ๑๐๒ วงศ์ BURSERACEAE (มะกอกเกล้อื น) มาง กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พุ ชื
(๔) หนา้ ๑๐๓ มะแฟน ๑๐๔ ๑๐๗ วงศ์ CAESALPINIACEAE (ฝาง) ๑๐๘ ๑๐๙ สะเดาช้าง ๑๑๐ ๑๑๑ เส้ยี วเครอื ยอดแดง ๑๑๒ เสี้ยวปา่ ๑๑๓ ก�ำ จาย ๑๑๔ ราชพฤกษป์ ่า ๑๑๕ ๑๑๖ แก้วตาไว ๑๑๗ ขี้เหล็กเลอื ด ๑๑๘ วงศ์ CARDIOPTERIDACEAE (ข้าวสารค่าง) ๑๑๙ ขา้ วสารค่าง ๑๒๐ วงศ์ CECROPIACEAE (เถาขมัน) ๑๒๑ ๑๒๒ ขมนั ๑๒๓ วงศ์ CELASTRACEAE (กระทงลาย) ๑๒๔ กระทงลาย ก�ำ แพงเจ็ดชั้น วงศ์ CHLORANTHACEAE (กระดูกไก)่ กระดกู ไก ่ วงศ์ CONNARACEAE (ถอบแถบ) หงอนไก ่ วงศ์ CONVOLVULACEAE (ผักบุ้ง) บานดึก วงศ์ DILLENIACEAE (ส้าน) มะตาด แส้น รสสุคนธ ์ วงศ์ DIPTEROCARPACEAE (ยางนา) กระบาก ยางปาย พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภเู ขียว-นำ�้ หนาว
(๕) หนา้ ๑๒๕ วงศ์ EBENACEAE (มะพลับ) ๑๒๖ หางหน ู ๑๒๗ กล้วยฤๅษี มะพลับเจา้ คุณ ๑๒๘ วงศ์ ELAEAGNACEAE (สลอดเถา) มะหลอด ๑๒๙ วงศ์ ELAEOCARPACEAE (มะมุ่น) ๑๓๐ ดงี ูเขียว ๑๓๑ สะทอ้ นรอก มะมุน่ ดอย ๑๓๒ วงศ์ ERICACEAE (กุหลาบพันป)ี กหุ ลาบแดง ๑๓๓ วงศ์ EUPHORBIACEAE (เปลา้ ) ๑๓๔ เม่าสร้อย ๑๓๕ มะเมา่ ดง ๑๓๖ มะไฟ ๑๓๗ เติม ๑๓๘ ขนหนอน ๑๓๙ ขางนำ้�ผงึ้ ๑๔๐ ดีหมี ๑๔๑ เปล้าน�ำ้ โขง ๑๔๒ ไขห่ �ำ หมา ๑๔๓ ผกั ข้ีมด ๑๔๔ ตองแตบ ๑๔๕ เตา้ หลวง ๑๔๖ ปอแตบ๊ ๑๔๙ ตองเต๊า ๑๕๐ สอยดาว ระงบั พิษ กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สัตวป์ า่ และพันธ์ุพืช
(๖) หนา้ ๑๕๓ ตาตุ่มตร ี วงศ์ FAGACEAE (กอ่ ) ๑๕๔ ก่อหยมุ ๑๕๕ กอ่ เดือย ๑๕๖ ก่อล้มิ ๑๕๗ กอ่ ใบเลื่อม ๑๕๘ ก่อก้างดา้ ง ๑๖๐ ก่อผัวะ ๑๖๑ ก่อขกี้ วาง ๑๖๒ ก่อแดง ๑๖๓ กอ่ ผา ๑๖๔ กอ่ เรยี บ ๑๖๕ ก่อตลบั วงศ์ FLACOURTIACEAE (ตะขบปา่ ) ๑๖๖ สีเสอ้ื วงศ์ GENTIANACEAE (กันเกรา) ๑๖๗ โกงกางเขา ๑๖๙ กันเกรา วงศ์ GESNERIACEAE (ชาฤๅษ)ี ๑๗๐ เอ้ืองหงอนไก่ ๑๗๒ ยา่ นกระดกู ไก่ วงศ์ GUTTIFERAE (มงั คุด) ๑๗๓ พะอง ๑๗๔ สม้ ควาย ๑๗๕ ชะมวง ๑๗๖ พะวา ๑๗๗ มะดะขีห้ นอน ๑๗๘ มะดะหลวง วงศ์ HAMAMELIDACEAE (สบ) พรรณไมป้ า่ ดิบเขาภูเขยี ว-น้�ำ หนาว
(๗) หนา้ ๑๗๙ ปรก วงศ์ ICACINACEAE (มันหม)ู ๑๘๐ หมักฟกั ดง ๑๘๒ มันหม ู วงศ์ JUGLANDACEAE (ค่าหด) ๑๘๓ คา่ หด วงศ์ LABIATAE (กะเพรา) ๑๘๕ ชอ่ ทบั ทิม ๑๘๖ ช้าแปน้ ๑๘๙ ตอกใบมว่ ง ๑๙๐ ป้งิ ขาว ๑๙๒ นมสวรรค์ ๑๙๓ ตรีชะวา ๑๙๔ นางแยม้ ป่า ๑๙๖ วา่ นนกคุ่ม ๑๙๘ หญ้าหนวดแมว ๑๙๙ ตะพนุ เฒา่ ๒๐๐ ตนี นกเขา วงศ์ LAURACEAE (อบเชย) ๒๐๑ ขมิ้นตน้ ๒๐๒ สงั วาลพระอินทร์ ๒๐๓ หนว่ ยนกงุม ๒๐๔ เชยี ด ๒๐๕ หอมดง ๒๐๗ หมีโปง้ ๒๐๘ เมียดต้น ๒๐๙ เอยี น ๒๑๐ ทังใบชอ่ ๒๑๑ แหลบุก กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ า่ และพนั ธุ์พืช
(๘) หนา้ ๒๑๒ วงศ์ LEEACEAE (กะตังใบ) ๒๑๓ กะตังใบ กะตังใบแดง ๒๑๔ วงศ์ MAGNOLIACEAE (จำ�ป-ี จ�ำ ปา) ๒๑๖ จำ�ปาปา่ จ�ำ ปีศรีเมอื งไทย ๒๑๘ วงศ์ MALVACEAE (ชบา) ปอหู ๒๒๐ วงศ์ MELASTOMATACEAE (โคลงเคลง) จุกนาร ี ๒๒๒ วงศ์ MELIACEAE (เลยี่ น) ๒๒๔ ประสงค ์ ๒๒๖ จันทน์ชะมด ๒๒๗ ยมมะกอก ๒๒๘ ค้างคาวอีลิค ๒๒๙ เลี่ยนลูกใหญ่ กระทอ้ นปา่ ๒๓๐ วงศ์ MIMOSACEAE (สะตอ) ๒๓๑ เกล็ดจระเข ้ สะบา้ ๒๓๒ วงศ์ MORACEAE (ไทร-มะเดอ่ื ) ๒๓๓ หาดสา้ น ๒๓๔ กร่าง ๒๓๕ ไทรเขียว ๒๓๖ เดอ่ื หวา้ ๒๓๘ นิโครธ ๒๔๐ ไทรยอดย้อย ๒๔๒ ไทรหิน เดื่อขนดก พรรณไม้ป่าดบิ เขาภเู ขียว-น�ำ้ หนาว
(๙) หน้า ๒๔๔ มะเด่ือหอม ๒๔๖ มะเด่ือปลอ้ ง ๒๔๗ ไทรยอ้ ยใบทู ่ ๒๔๘ แกแล วงศ์ MYRISTICACEAE (เลอื ดแรด) ๒๕๑ มะพรา้ วนกกก ๒๕๒ เลอื ดควาย ๒๕๓ เลอื ดแรด วงศ์ MYRSINACEAE (ตาเปด็ -ตาไก)่ ๒๕๔ มะจ้ำ�กอ้ ง ๒๕๖ ตาไกใ่ บกวา้ ง ๒๕๗ กาลังกาสาตวั ผู้ ๒๕๘ ก้างปลาดง ๒๖๐ ก�ำ ลงั ชา้ งสาร ๒๖๒ รามยูนนาน วงศ์ MYRTACEAE (ชมพู่-หว้า) ๒๖๓ ขไ้ี ต้ ๒๖๔ หว้าอา่ งกา ๒๖๕ หว้านา ๒๖๖ มะชมพ่ปู ่า ๒๖๘ ชมพนู่ ้ำ� วงศ์ OLEACEAE (มะล)ิ ๒๖๙ ขา้ วสารสเุ ทพ ๒๗๐ มะลไิ ส้ไก ่ ๒๗๒ เครอื เขาเหล่ียม วงศ์ PAPILIONACEAE (ถัว่ ) ๒๗๔ มะหง่ิ ดง ๒๗๖ สะบา้ ลิง วงศ์ PITTOSPORACEAE (ผักไผต่ น้ ) กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พุ ืช
(๑๐) หน้า ๒๗๘ ผักไผ่ตน้ วงศ์ PROTEACEAE (เหมือดคน) ๒๗๙ เหมือดคนดง วงศ์ RAFFLESIACEAE (บวั ผดุ ) ๒๘๐ กระโถนพระฤๅษี วงศ์ RHAMNACEAE (หนามเล็บแมว) ๒๘๒ ฮ่อสะพายควาย ๒๘๔ รางแดง ๒๘๕ กำ�ลังเสอื โคร่ง ๒๘๖ มะควดั วงศ์ RHIZOPHORACEAE (โกงกาง) ๒๘๗ เฉยี งพรา้ นางแอ วงศ์ ROSACEAE (กุหลาบ) ๒๘๘ ตะเกรานำ้� ๒๙๐ นางพญาเสอื โคร่ง ๒๙๑ ปัดน้�ำ ๒๙๒ พงั ก่ี ๒๙๔ ส้มกงุ้ วงศ์ RUBIACEAE (เขม็ ) ๒๙๖ กระทุ่ม ๒๙๗ ค่างเต้น ๒๙๘ หนามมะเคด็ ๓๐๐ เคลด็ นำ�้ ๓๐๒ ล้ินงดู ง ๓๐๔ ปดั ใบร ี ๓๐๖ แกม้ ขาว ๓๐๘ สนกระ ๓๑๐ ตาเปด็ ตาไก ่ ๓๑๑ พาโหมหนิ พรรณไม้ป่าดบิ เขาภูเขยี ว-น�้ำ หนาว
(๑๑) หน้า ๓๑๒ สะแล่งหอมไก ๋ ๓๑๕ ตดหมาตน้ ๓๑๖ เหลก็ กี ๓๑๗ เขาควายไมว่ ้อง วงศ์ RUTACEAE (ส้ม) ๓๑๘ กะอวม ๓๒๐ มะนาวป่า ๓๒๑ สม้ โอผ ี ๓๒๓ สนั โสก ๓๒๔ เพีย้ กระทิง ๓๒๕ หสั คณุ ๓๒๖ เครืองเู ห่า ๓๒๘ กำ�จัดดอย วงศ์ SABIACEAE (เดอื่ หกู วาง) ๓๒๙ เด่ือหกู วาง วงศ์ SAPINDACEAE (ล�ำ ไย) ๓๓๐ ตอ่ ไส้ ๓๓๑ สม้ ลงิ แกนเกลยี้ ง ๓๓๒ หอมไกลดง ๓๓๓ หงอนไก่ดง ๓๓๔ พะบา้ ง ๓๓๕ ลำ�ไยป่า วงศ์ SCROPHULARIACEAE (มณเฑยี ร) ๓๓๖ มณเฑียรสยาม วงศ์ SIMAROUBACEAE (กอมขม) ๓๓๗ ราชดัด ๓๓๘ กอมขม วงศ์ SOLANACEAE (มะเขือ) ๓๓๙ ดับยาง กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ป่า และพันธุพ์ ชื
(๑๒) หน้า ๓๔๐ วงศ์ STAPHYLEACEAE (มะกอกพราน) มะกอกพราน ๓๔๒ วงศ์ STERCULIACEAE (ปอขาว) ๓๔๓ ทเุ รียนเถา ๓๔๔ สะเต้า ๓๔๕ ปอขนุน ๓๕๖ ปอผ่าสาม ลิ้นง่วง ๓๔๗ วงศ์ STRYCHNACEAE (แสลงใจ) ตุมกาแดง ๓๔๘ วงศ์ STYRACACEAE (กำ�ยาน) กำ�ยาน ๓๔๙ วงศ์ SYMPLOCACEAE (เหมือดหอม) ๓๕๑ เหมอื ดคนดำ� เหมือดสนั นนู ๓๕๒ วงศ์ THEACEAE (เมี่ยง-ชา) ๓๕๓ พกิ ลุ ปา่ ๓๕๔ ปลายสาน ๓๕๖ แมงเมา่ นก มังตาน ๓๕๗ วงศ์ THUNBERGIACEAE (รางจดื ) ๓๕๘ หนามแนแ่ ดง ๓๕๙ สรอ้ ยอนิ ทนลิ รางจืด ๓๖๐ วงศ์ THYMELAEACEAE (กฤษณา) กฤษณา ๓๖๒ วงศ์ TILIACEAE (พลับพลา) ลาย วงศ์ ULMACEAE (ลบู ลบี ) พรรณไม้ปา่ ดบิ เขาภูเขียว-น�้ำ หนาว
(๑๓) หนา้ ๓๖๔ หนอนขค้ี วาย วงศ์ UMBELLIFERAE (ผกั ช)ี ๓๖๕ ผกั หนอกช้าง วงศ์ URTICACEAE (ต�ำ แยช้าง) ๓๖๖ หานช้างฮอ้ ง ๓๖๗ กอมกอ้ ลอดขอน วงศ์ VITACEAE (เถาคนั ) ๓๖๘ เถากวางตุ้ง ๓๖๙ ดาดตะกวั่ เถา ๓๗๐ เถาน�้ำ แบน ๓๗๑ เครือเขาน�้ำ ๓๗๒ เอกสารอ้างอิง ๓๗๙ เกยี่ วกบั ผเู้ รยี บเรียง กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สัตวป์ า่ และพนั ธพุ์ ชื
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธพุ์ ชื 1
กลมุ่ ปา่ ภเู ขยี ว–น�ำ้ หนาว (Phukhieo Nam-Nao Forest Complex) กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตว์ป่า และพนั ธพ์ุ ชื ไดจ้ ดั พ้นื ทีค่ ุม้ ครองในประเทศไทยออก เป็น ๑๙ กลุ่ม โดยใชห้ ลกั เกณฑพ์ ้ืนฐานต่าง ๆ เช่น ลกั ษณะภูมิประเทศ สภาพป่า ล่มุ น้ำ� การกระจายของพนั ธุ์พืช พันธสุ์ ัตว์ โดยเฉพาะสตั วเ์ ลีย้ งลูกด้วยนมขนาดใหญ่ เปน็ การ จัดการพ้ืนทคี่ ้มุ ครองภายในกลุ่มปา่ อยา่ งบรู ณาการ เพือ่ มงุ่ ใหก้ ารจดั การเป็นลักษณะเชิง ระบบนิเวศให้เกิดผืนป่าขนาดใหญ่ที่สามารถอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ (คณะวนศาสตร์ ๒๕๕๕ ) โดยแบ่งเปน็ กล่มุ เป้าหมายทางบก ๑๗ แห่ง และ กล่มุ ปา่ ทางทะเล ๒ แห่ง กลมุ่ ป่าภูเขยี ว–น้ำ�หนาวเปน็ ๑ ใน ๑๙ กลุ่มปา่ ตงั้ อยรู่ ะหว่างเสน้ รุ้งท่ี ๑๕°๑๙’๑๘”– ๑๗°๓๓’๐” เหนอื เสน้ แวงท่ี ๑๐๑°๑๖’๐”–๑๐๒°๔๓’๕๐” ตะวนั ออก มีพืน้ ทป่ี ระมาณ ๔.๙๙ ล้านไร่ หรอื ประมาณ ๗๙๙,๐๕๐ เฮกตาร์ ต้งั อยู่ในเขตพน้ื ทภ่ี าคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ของ ประเทศไทย ครอบคลุมพน้ื ที่ ๖ จังหวดั คอื จังหวัดเพชรบรู ณ์ เลย หนองบวั ลำ�ภู ขอนแกน่ ชยั ภูมิ และลพบรุ ี มีหนว่ ยงานควบคมุ ดูแลพ้ืนที่ปา่ อนุรกั ษท์ ง้ั ส้ิน ๑๙ หนว่ ยงาน แบ่งเป็น อุทยานแห่งชาติ ๑๒ แหง่ และเขตรักษาพันธสุ์ ตั ว์ป่า ๗ แห่ง ได้แก่ อทุ ยานแห่งชาติภเู รอื อุทยานแห่งชาตภิ กู ระดึง อุทยานแหง่ ชาติน้ำ�หนาว อทุ ยานแห่งชาตติ าดหมอก อุทยานแหง่ ชาตภิ ผู าม่าน อุทยานแห่งชาตภิ เู วียง อทุ ยานแหง่ ชาตนิ �ำ้ พอง อุทยานแห่งชาตภิ แู ลนคา อุทยานแหง่ ชาตติ าดโตน อทุ ยานแหง่ ชาติไทรทอง อทุ ยานแหง่ ชาติปา่ หินงาม และอทุ ยาน แห่งชาตภิ เู กา้ -ภพู านคำ� ส่วนเขตรักษาพนั ธ์สุ ตั วป์ า่ ได้แก่ เขตรักษาพนั ธุ์สตั วป์ า่ ภูหลวง เขตรักษาพนั ธส์ุ ัตว์ป่าภคู ้อ-ภกู ระแต เขตรกั ษาพนั ธ์ุสัตว์ปา่ ภผู าแดง เขตรกั ษาพนั ธส์ุ ัตว์ปา่ ตะเบาะ-ห้วยใหญ่ เขตรกั ษาพันธุ์สัตว์ปา่ ผาผง้ึ เขตรักษาพันธส์ุ ัตว์ป่าภูเขียว และเขตรักษา พันธุ์สัตว์ปา่ ซับลงั กา 2 พรรณไม้ป่าดิบเขาภูเขียว-น�้ำ หนาว
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์พุ ชื 3
ผนื ปา่ อสี านตะวันตก (West E-san Forest Complex) ผืนปา่ อสี านตะวนั ตกเป็นปา่ ผืนใหญ่ ของกลมุ่ ปา่ ภูเขยี ว-น�้ำ หนาว ซึ่งเช่ือมตอ่ ระหวา่ งภาค อสี านด้านตะวันตกและภาคเหนือตอนล่าง มีพื้นที่เชอ่ื มต่อกัน ๔ จังหวัด คอื ชัยภูมิ ขอนแก่น เลย และ เพชรบูรณ์ อยู่ใน ๒ เขตพฤกษภมู ิศาสตร์ คือ เขตพฤกษภูมิศาสตร์อินโดไชนสิ และเขตพฤกษภูมิศาสตร์ อินโดเบอร์มีส สภาพทางพฤกษศาสตรแ์ ละสัตวป์ า่ จงึ ได้รับอทิ ธิพลและมีความหลากชนดิ ของพันธ์ุ พืชและสัตว์ป่าจากทั้ง ๒ เขตปรากฏอยูร่ ว่ มกัน ประกอบกบั เป็นพน้ื ทต่ี ัวแทนสว่ นหนง่ึ ของเทือก เขาเพชรบูรณ์และภาคอสี านทีเ่ หลืออยูแ่ ละถูกรักษาไว้ในรูปของพ้นื ที่อนรุ ักษ์ เพอ่ื รักษาไว้ซึ่งสภาพ ดั้งเดิมและเป็นตวั แทนของสงั คมแหง่ ชีวติ ของภมู ภิ าคน้ี พืน้ ทีป่ า่ อนุรกั ษ์ ผนื ปา่ อสี านตะวนั ตก ประกอบดว้ ยพน้ื ทป่ี า่ อนรุ กั ษ์ ๙ แหง่ จ�ำ แนกเปน็ เขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ๕ แหง่ และอทุ ยานแหง่ ชาติ ๔ แหง่ มพี น้ื ทท่ี ง้ั หมดประมาณ ๓,๐๗๐,๔๓๖ ไร่ (๔,๙๑๓ ตาราง กโิ ลเมตร) หากคดิ รวมกบั พน้ื ทท่ี เ่ี ตรยี มผนวกเพม่ิ เตมิ จะมพี น้ื ทท่ี ง้ั หมดประมาณ ๓,๑๐๕,๔๓๖ ไร่ (๔,๙๖๙ ตารางกโิ ลเมตร) พน้ื ทป่ี า่ อนรุ กั ษท์ ง้ั ๙ แหง่ นเ้ี ชอ่ื มตดิ เปน็ ผนื เดยี วกนั ครอบคลมุ ๒ ภาค ๔ จงั หวดั คอื ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ประกอบดว้ ย เขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ภเู ขยี ว เขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ผาผง้ึ พน้ื ทส่ี ว่ นใหญข่ องเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ตะเบาะ–หว้ ยใหญ่ เขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ภคู อ้ -ภกู ระแต และบางสว่ นของอทุ ยานแหง่ ชาตนิ �ำ้ หนาวอยใู่ นจงั หวดั ชยั ภมู ิ อทุ ยานแหง่ ชาตภิ ผู ามา่ น อยใู่ นจงั หวดั ขอนแกน่ จงั หวดั เลย อทุ ยานแหง่ ชาตภิ กู ระดงึ อยใู่ นทจ่ี งั หวดั เลย สว่ นภาคเหนอื ประกอบดว้ ย เขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ภผู าแดง อทุ ยานแหง่ ชาตติ าดหมอก พน้ื ทบ่ี างสว่ นของเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ตะเบาะ-หว้ ยใหญ่ และบางสว่ นของอทุ ยานแหง่ ชาตนิ �ำ้ หนาวอยใู่ นทอ้ งทจ่ี งั หวดั เพชรบรู ณ์ มรี ายละเอยี ด ดงั น้ี 4 พรรณไมป้ ่าดิบเขาภเู ขยี ว-น�ำ้ หนาว
จ.เลย เขตรักษาพนั ธ์ุสตั ว์ป่ าภหู ลวง จ.หนองบวั ลาํ ภู เขตรักษาพนั ธ์ุสตั ว์ป่ าภคู ้อ ภกู ระแต จ.เลย อทุ ยานแหง่ ชาตภิ กู ระดงึ เขตรักษาพนั ธ์ุสตั ว์ป่ าภผู าแดง อทุ ยานแหง่ ชาติภผู ามา่ น อทุ ยานแหง่ ชาตินํา หนาว จ.ขอนแก่น เขตรักษาพนั ธ์ุสตั ว์ป่ าผาผงึ จ.เพชรบูรณ์ อทุ ยานแหง่ ชาตติ าดหมอก เขตรักษาพนั ธ์ุสตั ว์ป่ าภเู ขียว จ.ชัยภมู ิ เขตรักษาพนั ธ์ุสตั ว์ป่ าตะเบาะห้วยใหญ่ อทุ ยานแหง่ ชาติไทรทอง อทุ ยานแหง่ ชาติภแู ลนคา สญั ลกั ษอณทุ ย์ านแหง่ ชาตติ าดโตน ขอบเขตจงั หวดั 20 10 0 20 กโิ ลเมตร เขตรักษาพนั ธ์สุ ตั ว์ป่ า จ.ลพบุรี อทุ ยานแหจง่.นชาคตริราชสีมา ๑. เขตรักษาพนั ธ์ุสัตวป์ ่าภเู ขยี ว ตั้งอยู่ในป่าภูเขียว ท้องที่อำ�เภอหนองบัวแดง อ�ำ เภอ เกษตรสมบรู ณ์ และอำ�เภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบบั ท่ี ๑๕๔ ลงวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ และประกาศลงในราชกิจจานเุ บกษา ฉบบั พเิ ศษ หน้า ๑๖ เล่มท่ี ๘๙ ตอนที่ ๘๒ ลงวนั ที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ครอบคลุมพืน้ ท่ี ๘๘๓,๑๒๕ ไร่ (๑,๔๑๓ ตารางกโิ ลเมตร) ตอ่ มาไดผ้ นวกพืน้ ทปี่ า่ ตอ่ เนอื่ งเพิ่มเติม ประกาศโดยพระราชกฤษฎีกาให้เปน็ เขตรกั ษาพนั ธุ์สัตวป์ ่า เมอ่ื วนั ที่ ๒๖ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ออกตามความใน พระราชบัญญัติสงวนและคมุ้ ครองสัตวป์ ่า พ.ศ. ๒๕๐๓ และประกาศลงในราชกิจจานเุ บกษา เลม่ ท่ี ๙๖ ตอนท่ี ๓๒ ลงวนั ที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ ครอบคลุมพ้นื ที่ ๙๗๕,๐๐๐ ไร่ (๑,๕๖๐ ตารางกโิ ลเมตร) และก�ำ ลงั เตรียมผนวกเพ่ิมอกี รวมครอบคลมุ พ้ืนทป่ี ระมาณ ๑,๐๑๐,๐๐๐ ไร่ (๑,๖๑๖ ตารางกโิ ลเมตร) เป็นเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่า ล�ำ ดับท่ี ๓ ของประเทศ ๒. เขตรักษาพันธสุ์ ตั วป์ า่ ตะเบาะ–หว้ ยใหญ่ ต้ังอยใู่ นพนื้ ท่ีบางสว่ นของป่าสงวนแห่งชาติ ปา่ ตะเบาะ–ปา่ ห้วยใหญ่ ป่าห้วยหิน–ป่าคลองตีบ ป่าล�ำ กง–ปา่ คลองตะโก และปา่ ฝง่ั ซา้ ยแม่น�้ำ ปา่ สกั ในท้องที่ อ�ำ เภอเมือง อำ�เภอหนองไผ่ อ�ำ เภอบงึ สามพัน จงั หวดั เพชรบูรณ์ และป่าเตรียมการประกาศ เป็นป่าสงวนแหง่ ชาติ ปา่ หมายเลข ๑๐ แปลงท่ี ๑ ในท้องที่ อำ�เภอหนองบวั แดง และอ�ำ เภอภักดีชุมพล จังหวัดชยั ภมู ิ สภาพสว่ นใหญเ่ ป็นภูเขาหินปูนสลบั ซับซอ้ น โดยคณะรัฐมนตรีไดม้ มี ตเิ ม่อื วันท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๓๔ อนมุ ตั ใิ นหลักการรา่ งพระราชกฤษฎีกา กำ�หนดให้พ้นื ทด่ี งั กลา่ วเปน็ เขตรักษาพันธ์ุ สัตว์ปา่ และไดเ้ ขา้ ด�ำ เนินการเมอ่ื วนั ท่ี ๑๔ มกราคม ๒๕๓๕ ต่อมามีพระราชกฤษฎกี าประกาศให้เป็น เขตรักษาพันธ์สุ ตั วป์ า่ เมื่อวันท่ี ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ และประกาศลงในราชกจิ จานุเบกษา เล่มท่ี ๑๑๔ ตอนที่ ๑๙ก ลงวนั ที่ ๑๐ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๔๐ มพี ืน้ ทีป่ ระมาณ ๔๐๘,๗๐๗ ไร่ (๖๕๒ ตารางกโิ ลเมตร) เปน็ เขตรักษาพนั ธุ์สตั วป์ ่าลำ�ดับที่ ๔๓ ของประเทศ กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พชื 5
๓. เขตรักษาพันธุ์สตั ว์ป่าผาผึง้ มพี ้นื ทปี่ ระมาณ ๑๑๘,๔๐๓ ไร่ (๑๘๙.๒๘ ตารางกิโลเมตร) สภาพภมู ิประเทศเป็นภูเขาหินปูนและหินทราย มปี ่าหลายประเภท และเป็นแหล่งอาศยั ที่ส�ำ คญั ของ สตั ว์ปา่ หลายชนดิ ตง้ั อย่ใู นพ้ืนท่ีบางสว่ นของป่าสงวนแห่งชาตปิ ่าภูซำ�ผักหนาม อยใู่ นท้องที่ อ�ำ เภอ คอนสาร จังหวดั ชัยภมู ิ ประกาศโดยพระราชกฤษฎีกาใหเ้ ปน็ เขตรักษาพนั ธุส์ ัตว์ปา่ เมอ่ื วนั ที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ และประกาศลงในราชกจิ จานเุ บกษา เล่มที่ ๑๑๗ ตอนที่ ๙๘ก ลงวนั ที่ ๒ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นเขตรกั ษาพันธ์สุ ัตวป์ า่ ลำ�ดบั ท่ี ๕๓ ของประเทศ ๔. เขตรกั ษาพันธ์สุ ัตว์ปา่ ภูผาแดง ตัง้ อยบู่ รเิ วณป่าสงวนแหง่ ชาตปิ า่ ลมุ่ นำ้�ป่าสกั ฝ่ังซ้าย ใน ท้องท่ีอำ�เภอหลม่ สกั จงั หวดั เพชรบรู ณ์ มีพ้นื ท่ีประมาณ ๑๔๖,๘๔๕ ไร่ (๒๓๕ ตารางกิโลเมตร) สงู จากระดบั น้ำ�ทะเลตั้งแต่ ๒๐๐–๑,๑๔๓ ม. มียอดเขาสูงสุดคือ เขาขนุ น�้ำ พาย สงู ๑,๑๔๓ ม. รอง ลงมาคือ เขาโคกเดน่ิ ฤๅษี สงู ๑,๐๘๒ ม. มลี ักษณะภมู ิประเทศเป็นเทอื กเขาสูงสลับซบั ซ้อน สลับกับ ทรี่ าบ สนั เขา และทร่ี าบเชงิ เขา เปน็ ป่าดบิ แลง้ ผสมปา่ เบญจพรรณท่สี มบูรณ์ เปน็ แหลง่ ต้นน้ำ�ล�ำ ธาร มแี หล่งน�ำ้ แหลง่ อาหารของสัตว์ป่าท่ีอุดมสมบรู ณ์ มีสัตว์ป่าสงวนและสตั วป์ า่ คมุ้ ครองหลายชนิด อาศยั อยู่อยา่ งชุกชมุ ฉะนั้น เพอื่ รกั ษาไวซ้ ่งึ พนั ธสุ์ ตั ว์ป่าและทีอ่ ยอู่ าศยั ของสตั วป์ ่าโดยปลอดภยั รวมทั้งเปน็ การรกั ษาแหลง่ ตน้ นำ้�ลำ�ธารและปา่ ไมท้ ม่ี อี ยู่ในพน้ื ทแ่ี ห่งนใ้ี หค้ งอยู่อยา่ งถาวรตลอดไป 6 พรรณไม้ป่าดบิ เขาภูเขียว-นำ�้ หนาว
จึงประกาศโดยพระราชกฤษฎกี าใหเ้ ป็นเขตรักษาพันธ์ุสตั วป์ ่า เมอื่ วนั ท่ี ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๒ และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เล่มท่ี ๑๑๖ ตอนท่ี ๑๑๙ก ลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นเขตรกั ษาพันธุส์ ัตว์ปา่ ล�ำ ดบั ที่ ๔๘ ของประเทศ ๕. เขตรกั ษาพันธุ์สตั วป์ า่ ภูคอ้ –ภูกระแต มพี ืน้ ทป่ี ระมาณ ๑๔๕,๒๘๕ ไร่ (๒๓๒.๔๕๖ ตาราง กโิ ลเมตร) อยใู่ นปา่ ภคู ้อและป่าภูกระแต ในท้องท่อี �ำ เภอภูหลวง กิ่งอ�ำ เภอหนองหนิ อ�ำ เภอภกู ระดงึ จงั หวัดเลย มีลกั ษณะภูมปิ ระเทศเปน็ ภูเขาหนิ ทรายและภเู ขาหินปูนสูงชันต่อเนอื่ งสลับกันเป็นเทือก เขายาวหลายลูก สภาพป่าเป็นป่าดิบแลง้ ปา่ เบญจพรรณ และปา่ เตง็ รัง เปน็ แหล่งตน้ น�ำ้ ล�ำ ธารของ ลำ�หว้ ยหลายสาย เปน็ แหลง่ น้ำ�แหล่งอาหารของสัตว์ป่าทอ่ี ดุ มสมบูรณ์ มีสตั ว์ป่าหลายชนดิ อาศยั อยู่ จึงประกาศโดยพระราชกฤษฎีกาให้เปน็ เขตรกั ษาพันธ์ุสตั วป์ ่า เมือ่ วันท่ี ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ และประกาศลงในราชกิจจานเุ บกษา เล่มท่ี ๑๒๔ ตอนที่ ๔๒ก ลงวนั ที่ ๑๕ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ปา่ ทงุ่ บนทรี่ าบสูงภูเขาหัวตดั ภูผาจติ _kk ผถู้ ่าย กิตติ กรีติยตุ านนท์ กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพันธ์พุ ืช 7
๖. อุทยานแห่งชาติน�ำ้ หนาว มปี ระกาศคณะปฏิวตั ฉิ บบั ท่ี ๑๔๓ ลงวนั ท่ี ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ก�ำ หนดบริเวณปา่ นำ้�หนาว ในทอ้ งท่ีตำ�บลบา้ นโคก อ�ำ เภอเมอื ง ต�ำ บลบา้ นกลาง ตำ�บลบ้านตว้ิ ตำ�บลหว้ ยไร่ อ�ำ เภอหล่มสัก ตำ�บลนำ้�หนาว อำ�เภอหลม่ เก่า จงั หวดั เพชรบรู ณ์ และตำ�บลหว้ ยยาง อำ�เภอคอนสาร จังหวัดชยั ภมู ิ ใหเ้ ป็นอุทยานแหง่ ชาติ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มท่ี ๘๙ ตอนท่ี ๗๑ ลงวันท่ี ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ตามพระราชบญั ญัตอิ ุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ ครอบคลมุ พ้ืนที่ ประมาณ ๖๐๓,๗๕๐ ไร่ (๙๖๖ ตารางกิโลเมตร) เป็นอุทยานแหง่ ชาติ ลำ�ดับที่ ๕ ของประเทศ อช.ตาดหมอก(น้ำ�ตกตาดหมอก) นำ�้ ตกตาดหมอก นำ้�ตกตาดหมอก ผูถ้ า่ ย กิตติ กรีตยิ ุตานนท์ ผถู้ ่าย พพิ ัฒน์ เกตุดี ผูถ้ า่ ย พพิ ัฒน์ เกตดุ ี ๗. อุทยานแห่งชาตติ าดหมอก อยู่ในพ้ืนทบ่ี างสว่ นของเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าตะเบาะและ ปา่ ห้วยใหญ่ ในทอ้ งทีอ่ ำ�เภอเมอื ง จังหวัดเพชรบรู ณ์ มีทรพั ยากรธรรมชาติทสี่ �ำ คัญและมีค่า ทัง้ ปา่ ไม้ สัตว์ป่า ของป่า ตลอดจนทวิ ทศั น์ และน้ำ�ตกท่สี วยงามยง่ิ ประกาศโดยพระราชกฤษฎีกาให้เปน็ อุทยาน แห่งชาติ ลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ และประกาศลงในราชกจิ จานเุ บกษา เล่มที่ ๑๑๕ ตอนที่ ๗๘ก ลงวันท่ี ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ตามพระราชบัญญตั ิอทุ ยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ ครอบคลมุ พืน้ ท่ี ประมาณ ๑๘๑,๒๕๐ ไร่ (๒๙๐ ตารางกโิ ลเมตร) เป็นอุทยานแห่งชาติ ล�ำ ดับท่ี ๘๗ ของประเทศ ภูเขายอดตดั - ตรงกลางภผู าจิต- ขวาภูกระดงึ -ซ้ายภหู อ ผูถ้ า่ ย กิตติ กรีตยิ ุตานนท์ 8 พรรณไมป้ า่ ดบิ เขาภเู ขียว-น้ำ�หนาว
๘. อุทยานแหง่ ชาตภิ ูกระดึง ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ ทางราชการไดอ้ อกเป็นพระราชกฤษฎกี า กำ�หนดปา่ ภูกระดงึ ใหเ้ ป็นปา่ สงวนแห่งชาติ กรมปา่ ไมเ้ รม่ิ ดำ�เนินการสำ�รวจเพอื่ จดั ตั้งอุทยานแห่งชาติ ขึ้นที่ภกู ระดึงเป็นแห่งแรก แต่เน่ืองจากขาดแคลนงบประมาณและเจา้ หนา้ ท่ีจงึ ใหด้ �ำ เนินการไปเพยี ง เลก็ นอ้ ยเทา่ นัน้ ต่อมาคณะรัฐมนตรีไดม้ ีมติเมอื่ วนั ท่ี ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ ให้กำ�หนดป่าภูกระดึง จังหวดั เลย และปา่ อน่ื ๆ ในท้องท่จี งั หวัดตา่ ง ๆ ท่วั ประเทศ รวม ๑๔ ปา่ เป็นอุทยานแหง่ ชาติ โดยมี พระราชกฤษฎีกาก�ำ หนดปา่ ภูกระดึง ในทอ้ งท่ตี �ำ บลศรฐี าน กิ่งอ�ำ เภอภูกระดึง อำ�เภอวงั สะพงุ จงั หวัดเลย เป็นอุทยานแหง่ ชาติ ประกาศในราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ๗๙ ตอนที่ ๑๐๔ ลงวันที่ ๒๓ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๐๕ ตามพระราชบัญญตั ิอทุ ยานแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ ครอบคลุมพื้นท่ี ๒๑๗,๕๘๑.๒๕ ไร่ (๓๔๘.๑๓ ตารางกิโลเมตร) ตอ่ มาเมื่อวนั ที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ไดป้ ระกาศเพิกถอนจ�ำ นวน ๕ ไร่ ใหก้ องทพั อากาศตงั้ สถานีโทรคมนาคม ปจั จบุ ันอทุ ยานแห่งชาติภกู ระดึง มพี นื้ ท่ี ๒๑๗,๕๗๖.๒๕ ไร่ (๓๔๘.๑๒ ตารางกโิ ลเมตร) ครอบคลมุ อ�ำ เภอภูกระดงึ จังหวดั เลย ทรี่ าบบนยอดภูกระดงึ เปน็ ที่ราบ กวา้ งใหญ่ สลับกับเนินเตี้ย ๆ ยอดสงู สุด คือ ภูกุม่ ขา้ ว สูงจากระดบั น�ำ้ ทะเลประมาณ ๑,๓๕๐ เมตร เปน็ อทุ ยานแหง่ ชาติ ลำ�ดับที่ ๒ ของประเทศ ผานกเค้า-ภูเขาหนิ ปูนในภผู ามา่ น อช.ภูผาม่าน ผ้ถู ่าย กองบรรณาธกิ าร ATG ผูถ้ า่ ย กองบรรณาธิการ ๙. อุทยานแห่งชาตภิ ผู ามา่ น เรยี กตามช่ือของหน้าผาคลา้ ยสี่เหลย่ี มผนื ผา้ ที่มองดูเหมอื น กับผ้าม่านผืนใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นเทอื กเขาหินปูนทมี่ ีความสงู ชันสลับซับซ้อนกนั เป็นแนวยาวสลบั กบั ทร่ี าบลุม่ เชงิ เขา สูงจากระดบั น้ำ�ทะเลปานกลาง ๒๐๐–๘๐๐ เมตร อยใู่ นพน้ื ทปี่ า่ สงวนแห่งชาติ ป่าภูเปอื ย จังหวัดเลย และป่าสงวนแห่งชาตปิ า่ ดงลาน จังหวดั ขอนแก่น ในท้องทกี่ ิ่งอ�ำ เภอภผู ามา่ น อ�ำ เภอชุมแพ จังหวดั ขอนแก่น และอำ�เภอภูกระดงึ จงั หวดั เลย ซึ่งมที รัพยากรธรรมชาตทิ ่ีสำ�คัญและ มีค่า ทั้งปา่ ไม้ สัตวป์ า่ ของปา่ กบั มที ิวทัศนธ์ รรมชาติอนั สวยงามยง่ิ และเปน็ ตน้ น้ำ�ลำ�ธาร จึงประกาศโดยพระราชกฤษฎกี าใหเ้ ป็นอุทยานแหง่ ชาติ ลงวันที่ ๘ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ และประกาศ ลงในราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ที่ ๑๐๘ ตอนท่ี ๒๑๕ ลงวันที่ ๘ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ มีเนอื้ ท่ีโดยประมาณ ๒๑๘,๗๕๐ ไร่ (๓๕๐ ตารางกิโลเมตร) เป็นอุทยานแห่งชาติลำ�ดับที่ ๗๑ ของประเทศ กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธพุ์ ชื 9
สภาพภูมิประเทศ ลักษณะภมู ปิ ระเทศท่วั ไปเปน็ เทือกเขาสูงชนั ทอดตัวยาวในแนวเหนือใต้ ด้านจงั หวัดชัยภูมิ และจงั หวดั เลย สว่ นใหญ่เป็นภูเขายอดราบ มีส่วนนอ้ ยทีเ่ ปน็ ภเู ขาสลับซับซ้อน สว่ นดา้ นจงั หวดั เพชรบูรณ์ เป็นภูเขาสงู ชันสลับซบั ซอ้ นแบบทางภาคเหนอื และด้านจังหวดั ขอนแกน่ และชยั ภมู ติ อนบนเปน็ ภเู ขา หินปูน ลกั ษณะดงั กลา่ วก่อให้เกิดตน้ น�้ำ สายสำ�คญั ของประเทศไทย ๒ สาย คอื ดา้ นจังหวัดเพชรบรู ณ์ เป็นตน้ ก�ำ เนิดแม่น้ำ�ป่าสกั สว่ นดา้ นจงั หวดั ชยั ภูมิ ขอนแก่น และเลยเปน็ ต้นกำ�เนิดแม่น�้ำ ซี ทงั้ นี้ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศทม่ี คี วามแตกต่างกนั มากด้านความสูง จึงก่อให้เกิดสภาพภูมิอากาศที่ แตกต่างกัน ผืนป่าทั้งหมดอยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุม ภมู อิ ากาศแบบก่งึ เขตร้อนมี ๓ ฤดกู าล เนื่องจากความผันแปรของสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศก่อให้เกิดความหลากหลายของสังคมพืช และสัตว์ปา่ ตามมาดว้ ย ลกั ษณะภมู ิประเทศ โดยท่ัวไปประกอบด้วยภเู ขาล้อมรอบพ้นื ที่ราบสูงตอนกลาง ซงึ่ เปน็ ลักษณะสว่ นใหญ่ของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือตอนบน ในเขตรกั ษาพันธสุ์ ัตว์ป่าภูเขยี วมยี อดเขา สงู สุด คือ ยอดเขาโปง่ ทองหลาง (๑,๓๓๐ ม.) สว่ นยอดเขาที่สูงตงั้ แตร่ ะดับ ๑,๐๐๐ ม. ขนึ้ ไปไดแ้ ก่ เขาเสลยี งตาถาด (๑,๒๔๒ ม.), เขาอมุ้ นาง (๑,๒๔๒ ม. และ ๑,๑๔๒ ม.), ภูเขยี ว (๑,๒๑๗ ม. และ ๑,๒๒๔ ม.), ภูคง้ิ (๑,๑๕๘ ม.), เขายอดชี (๑,๑๕๔ ม.), แหลโลกเลก (๑,๑๑๕ ม.), เขาแหลซิง (๑,๑๐๐ ม.), ภูเขยี วผาสงู (๑,๑๐๐ ม.), เขาฝอยลม (๑,๑๐๐ ม.), แหลแม่ไต๋ (๑,๐๕๕ ม.), ยอดผาเฮียน (๑,๐๕๔ ม.), เขาลาดกวาง (๑,๐๔๘ ม.), เขาโป่งดินแดง (๑,๐๓๙ ม.), เขาเทวดา (๑,๐๓๐ ม.), เขาเขียวใหญ่ (๑,๐๓๐ ม.), เขาถ�ำ้ ครอบ และแหลทับน้อย (๑,๐๑๐ ม.) ในอุทยานแหง่ ชาตนิ ำ้�หนาวมียอดเขาทสี่ ูง ทสี่ ุด คือ ภูผาจิตหรือภดู ่านอีปอ้ ง (๑,๒๗๑ ม.) ผาลอ้ มและผากอง (๑,๑๓๔ ม.) อทุ ยานแหง่ ชาติ ภกู ระดึงมยี อดภูกมุ่ ขา้ วสงู ๑,๓๕๐ ม. เขตรกั ษาพนั ธ์ุสตั ว์ปา่ ภูผาแดงมีเขาขุนน�ำ้ พายสงู ๑,๑๔๓ ม. และเขาโคกเด่ินฤๅษีสูง ๑,๐๘๒ ม. อนั เนอ่ื งจากความหา่ งไกลทะเลและความหนาวเยน็ ของลมหนาว ทพี่ ดั มาจากจีนแผน่ ดนิ ใหญ่ ยอดเขาหลายลกู จงึ มีสภาพเปน็ ลานหิน (ภาษาท้องถน่ิ เรยี กแหลหรือ พะลานหนิ ) มพี ันธ์ุไม้ขนาดเลก็ ท้งั ยนื ต้นและลม้ ลุกขึน้ ห่าง ๆ สลบั กับหญ้าและไม้พุ่ม 10 พรรณไมป้ า่ ดิบเขาภเู ขียว-นำ้�หนาว
สภาพทางธรณีและปฐพี ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือตอนบน เปน็ ส่วนทค่ี อ่ นขา้ งแหง้ แล้งของประเทศไทย การสลาย ตวั ของหนิ เป็นไปอย่างชา้ ๆ หลายบริเวณในบางพ้ืนท่ี เชน่ ในป่าภูเขียวประกอบดว้ ยภเู ขาหินหรือหนิ โผลใ่ ห้เหน็ อยู่ทว่ั ไป และบริเวณล�ำ หว้ ยต่าง ๆ จะพบโขดหนิ ขนาดใหญ่ จากแผนทท่ี างธรณีวิทยาของ ประเทศไทย ป่าผืนน้ีประกอบดว้ ยกล่มุ หินสำ�คญั ๒ กล่มุ คือ กลมุ่ หินโคราชในยุคจูแรสสกิ เป็นหินภูพาน และพระวหิ ารฟอร์เมช่ัน เป็นชุดหนิ ทรายท่ที นทาน ด้านตะวนั ตกของพน้ื ท่ที ี่เป็นภเู ขาสงู ชันสลบั ซบั ซอ้ น เป็นหินในกลุ่มหนิ ราชบรุ ี จดั อยูใ่ นยคุ คารโ์ บนิเฟอรสั ตอนบนถึงเปอร์เมยี น สว่ นใหญเ่ ปน็ หนิ ปนู สภาพทางธรณใี นผนื ปา่ อสี านตะวนั ตกแบ่งออกเปน็ ๔ กลุ่มใหญ่ ๆ ดงั นี้ กลมุ่ ท่ี ๑ ครอบคลมุ พ้นื ทีร่ าบในระดับสูงบนยอดเขาทางตะวนั ออกเฉียงใต้ (ภเู ขยี ว)ตะวนั ออกเฉียงเหนือ (ภูกระดงึ ) และบริเวณตอนกลาง (ภผู าจิต) สว่ นใหญเ่ ป็นหนิ ทรายสขี าว–ชมพู มีชั้น กรวดปนอยู่ด้านบน และมีชัน้ หินดินดานแยกสลบั อยบู่ ้าง จดั อยใู่ นหนิ หน่วยพระวิหาร กลุ่มที่ ๒ เปน็ ดินบรเิ วณผาชันลอ้ มรอบพน้ื ท่รี าบสูงไว้ พบดา้ นตะวนั ออกและตะวนั ออก เฉียงใต้ของภูเขียว รอบไหล่ภกู ระดงึ และตอนกลางบรเิ วณภผู าจติ ของน�้ำ หนาว เปน็ หนิ ดนิ ดานจัด อยใู่ นหนิ หนว่ ยภกู ระดงึ กลมุ่ ที่ ๓ เป็นกลมุ่ หินทป่ี ระกอบดว้ ยหินดินดานผสมหนิ ทรายและมหี นิ ปนู ผสมอยดู่ ้วย อยู่ ในหนิ หน่วยน้�ำ ดกุ กระจายอย่างกว้างขวางดา้ นทิศตะวันตก, ตะวันตกเฉียงใต,้ ตะวนั ตกเฉียงเหนอื และทศิ เหนือ กลมุ่ ที่ ๔ เป็นหินปนู สีเทาค่อนข้างหนามากมีหนิ เชริ ท์ สีด�ำ และหนิ ดนิ ดานแทรกสลับ จัดอยใู่ นหนิ หน่วยผานกเคา้ ครอบคลมุ มากบรเิ วณอุทยานแห่งชาติภผู าม่าน เขตรักษาพนั ธส์ุ ัตวป์ า่ ผาผ้ึง ตะวนั ออกเฉยี งใต้ของเขตรกั ษาพันธุส์ ัตว์ปา่ ตะเบาะ-ห้วยใหญ่ พบบางส่วนบรเิ วณตอนกลาง ของเขตรกั ษาพนั ธ์ุสตั วป์ ่าภูเขยี ว และตอนเหนอื ของอุทยานแห่งชาตนิ �ำ้ หนาว ชน้ั หนิ ในภูเขียวและภกู ระดงึ มีรอยเลอื่ นขนาดเล็กจำ�นวนมาก มีชน้ั หนิ โคง้ รปู ประทุนหงาย ปรากฏอยู่บริเวณใจกลางของพนื้ ท่ีราบสงู ตอนใต้ เป็นแนวยาวจากทศิ ตะวันออกเฉียงใตไ้ ปตะวนั ตกเฉยี งเหนอื และเน่อื งจากพื้นทีภ่ าคอสี านเคยเป็นที่ลมุ่ มาก่อน เป็นแหลง่ ทีอ่ ยู่อาศัยของสัตว์ ดกึ ด�ำ บรรพ์ คือ ไดโนซอร์ชนิดกินพืชเป็นอาหาร ซ่งึ พบที่อทุ ยานแหง่ ชาตภิ เู วียงและเขตรักษาพันธุ์ สัตวป์ า่ ภูหลวง ซึง่ มีสภาพภูมปิ ระเทศใกลเ้ คยี งกับภเู ขยี วและตัง้ อยู่ไม่ห่างกนั จงึ คาดว่าภเู ขียวน่าจะ เป็นแหลง่ ของไดโนซอร์เช่นกัน ภูมอิ ากาศ ป่าผืนนอี้ ย่ภู ายใตอ้ ิทธิพลของลมมรสมุ แตเ่ น่อื งจากพ้นื ทีอ่ ยู่ห่างไกลฝงั่ ทะเลมาก จงึ ทำ�ให้ ภูมิอากาศเป็นแบบกง่ึ เขตร้อนมี ๓ ฤดกู าล และเนอื่ งจากพื้นทเ่ี ปน็ ภเู ขาสงู ช่วงความหนาวเยน็ จึง ยาวนานกวา่ พ้ืนทรี่ าบของภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั่วไป ช่วงฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม– ตุลาคม (ประมาณ ๖ เดือน) ฤดูหนาวเรมิ่ จากเดือนพฤศจกิ ายน–ตน้ เดือนกุมภาพนั ธ์ (ประมาณ ๓–๔ เดือน) อุณหภูมิหนาวเยน็ มากในเดอื นพฤศจิกายน ในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ อุณหภมู ิลดลงถึง -๔ องศา เซลเซียส (อณุ หภูมยิ อดหญา้ ) ฤดูร้อนเรมิ่ จากกลางเดือนกมุ ภาพันธ–์ ปลายเมษายน ความสูงจาก กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั วป์ ่า และพนั ธุ์พืช 11
ระดับน้ำ�ทะเลมผี ลตอ่ สภาพภูมิอากาศในภูเขยี ว ภูกระดงึ และนำ้�หนาว ปรมิ าณน�้ำ ฝนจะมากกว่าพืน้ ที่ ราบของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนทว่ั ไป ช่วงฤดหู นาวมคี วามหนาวเย็นจัดและยาวนานกวา่ ความช้นื สัมพัทธส์ งู กว่า การสญู เสียนำ้�จากแหลง่ น�ำ้ และพน้ื ผวิ ดนิ เน่อื งจากการระเหยมีน้อย ย่อมท�ำ ใหส้ ังคมพชื และสตั ว์ปา่ ในพืน้ ท่สี งู มคี วามแตกตา่ งจากพนื้ ท่ีราบท่ัวไป ทรพั ยากรน้ำ� เนื่องจากพื้นทสี่ ว่ นใหญเ่ ป็นเทอื กเขาสงู และทร่ี าบสูงจงึ มีล�ำ ธารหลายสาย ในพ้ืนทลี่ ุ่ม บางสว่ นของตอนบนท่ีราบสูงจะก่อตัวเป็นบงึ และปา่ ก่ึงพรมุ ีขนาดกว้างขึ้นเมื่อถงึ ฤดูฝน แตจ่ ะกลาย เป็นแหลง่ หญา้ ท่ีสมบูรณใ์ นช่วงฤดูแล้ง โดยเฉพาะบรเิ วณขอบบงึ ทน่ี �ำ้ ลดลง ลักษณะดังกลา่ วก่อให้ เกดิ ต้นน�้ำ สายสำ�คญั ของประเทศ ๒ สาย คอื ด้านจงั หวดั ชยั ภมู ิ จงั หวดั ขอนแก่น และจงั หวดั เลย เป็นตน้ ก�ำ เนิดแม่นำ�้ ชที ไ่ี หลหลอ่ เล้ียงชาวอีสานถงึ ๘ จงั หวัด ก่อนที่จะไหลรวมกบั แมน่ �้ำ มูลทจ่ี ังหวดั อบุ ลราชธานี ส่วนดา้ นจังหวดั เพชรบูรณ์เปน็ ตน้ ก�ำ เนิดแม่นำ้�ป่าสัก ซึ่งจะไหลลงเข่ือนป่าสักชลสิทธิ์ และรวมกับแม่น�้ำ เจา้ พระยาตอ่ ไป ความหลากหลายของสงั คมพืชคลมุ ดนิ ผืนป่าอีสานตะวนั ตกมที ตี่ ง้ั หา่ งไกลจากทะเล มลี มมรสมุ ตะวันตกเฉียงใต้พดั ผา่ น แต่ถูก สกัดกั้นจากเทือกเขาถนนธงไชยและเทอื กเขาเพชรบรู ณด์ ้านตะวันตก จึงท�ำ ใหม้ ปี ริมาณน�้ำ ฝนคอ่ น ขา้ งต�ำ่ กว่าพ้ืนท่ีที่อยใู่ นเส้นร้งุ เดยี วกันทีอ่ ยู่ใกล้ฝั่งทะเล แตเ่ น่ืองจากความสงู จากระดับน�้ำ ทะเลทมี่ าก ทำ�ให้พื้นทส่ี ว่ นน้ไี ดร้ ับปรมิ าณนำ้�ฝนค่อนข้างมากกวา่ สว่ นอ่นื ๆ ของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ปริมาณ นำ้�ฝนอีกส่วนหนึง่ ในพนื้ ทไ่ี ด้รับจากหางของพายโุ ซนร้อนทเ่ี กดิ ในทะเลจีนและพดั ผ่านแหลมญวน เขา้ สปู่ ระเทศไทย สว่ นลมมรสมุ ตะวนั ออกเฉียงเหนอื พัดมาจากใจกลางของทวีปเอเชยี เป็นสาเหตุ สำ�คญั ที่น�ำ เอาความแห้งแล้งและความหนาวเยน็ เขา้ มาสพู่ ้ืนที่ เนอื่ งจากสภาพภมู อิ ากาศดังกล่าว ผนวกกับความผันแปรของสภาพภูมิประเทศ ดินและปัจจยั อน่ื ๆ ท�ำ ใหเ้ กดิ สงั คมพชื คลมุ ดินขนึ้ หลาก หลายแบบ แบบแผนการกระจายของพชื คลมุ ดนิ โดยกวา้ ง ๆ มีความสัมพนั ธก์ บั สภาพภูมิประเทศและ ดนิ เป็นส�ำ คัญ โดยในพืน้ ทท่ี ่ีเป็นภเู ขาสูงสว่ นใหญ่ปกคลมุ ด้วยป่าดิบเขาระดับต่ำ� (lower-hill evergreen forest) มสี ังคมผาหินกระจายอย่ตู ามหนา้ ผาท่สี ูงชัน บนยอดเขาท่มี ดี ินตนื้ และมีหนิ โผลม่ ากมัก ปกคลมุ ด้วยหญา้ ไม้พมุ่ หรือต้นไม้แคระแกรนท่ีมคี วามทนทานตอ่ ความแหง้ แล้งสูง เรยี กว่า ป่าละเมาะเขา บางตอนตามลาดเขาทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทศิ ใตแ้ ละทิศตะวนั ตกของพื้นที่ มีระดับ ความสูงไมม่ ากนกั ดินคอ่ นข้างลกึ และปริมาณน�้ำ ฝนคอ่ นขา้ งนอ้ ย เน่อื งจากถกู บดบังจากเทอื กเขา เพชรบูรณด์ า้ นตะวนั ตก ส่วนใหญ่ถกู ปกคลุมด้วยปา่ เบญจพรรณหรอื ปา่ ไผข่ นึ้ ผสมอยอู่ ย่างหนาแนน่ เชน่ บรเิ วณเขตรักษาพันธุ์สตั ว์ป่าตะเบาะ-ห้วยใหญ่ เขตรกั ษาพนั ธุส์ ัตว์ป่าภผู าแดง และอทุ ยานแหง่ ชาติ ตาดหมอก มปี ่าดิบแล้งแทรกบา้ งตามหุบห้วย ในบริเวณพืน้ ทีท่ ่มี ดี ินตื้นและมีชั้นลกู รังอยูใ่ ต้ชนั้ ของ ดนิ ทรายผสมดินร่วนท่ีไม่ลึกมากและบรเิ วณลาดเขาทีร่ ะดับต่ำ� ๆ สังคมพืชจะเปน็ ป่าเตง็ รัง บางตอน แคระแกรนบางตอนสมบรู ณ์ ในพนื้ ท่ที เ่ี ป็นทรายจัดและมีดินลูกรังผสมอยทู่ ีร่ ะดับค่อนข้างสูงเป็นปา่ 12 พรรณไม้ป่าดิบเขาภูเขยี ว-น�ำ้ หนาว
สนเขา และเนื่องจากบางส่วนบนทร่ี าบสงู มีลักษณะเปน็ ทล่ี ุ่มและมนี �ำ้ ขังเกอื บตลอดปี โดยเฉพาะ บรเิ วณท่ีราบล่มุ ของภูเขียว จงึ มีสังคมพชื กง่ึ พรุหรือป่าดิบช้ืนระดับสูงขน้ึ เป็นหย่อม ๆ ในพื้นทด่ี ว้ ย ในหลายพืน้ ทก่ี อ่ นจะประกาศเปน็ เขตรักษาพนั ธส์ุ ตั ว์ปา่ หรืออทุ ยานแห่งชาติ เคยมรี าษฎร เขา้ ไปบกุ รกุ จับจองพื้นที่บางสว่ นเพอ่ื ทำ�กินมากอ่ น จึงพบสังคมพชื ที่อยใู่ นข้นั ของการทดแทน บางสว่ นอยใู่ นข้นั ของทุ่งหญา้ คาและหญา้ อ่นื ๆ เช่น ในเขตรกั ษาพันธส์ุ ัตวป์ ่าตะเบาะ–ห้วยใหญ่ เขตรกั ษาพันธสุ์ ตั วป์ า่ ภผู าแดง อทุ ยานแห่งชาติตาดหมอก เขตรักษาพันธ์ุสตั ว์ป่าผาผ้งึ อทุ ยาน แห่งชาติภผู ามา่ น บางสว่ นของเขตรักษาพันธ์สุ ตั วป์ ่าภเู ขียว อุทยานแหง่ ชาตภิ ูกระดึง และอทุ ยาน แหง่ ชาติน้ำ�หนาว บางแหง่ พฒั นาถงึ เป็นขนั้ ไม้พุม่ ผสมกบั หญ้าและหลายแหง่ กำ�ลังอยใู่ นขนั้ ของปา่ ชัน้ สอง ด้วยความหลากหลายของสังคมพืชคลมุ ดิน จึงท�ำ ใหป้ ่าผืนนเ้ี ป็นแหล่งรวมของพรรณพชื และพนั ธ์ุสตั วป์ ่าท่ีสำ�คญั ควรค่าแก่การอนุรกั ษ์แห่งหน่งึ ของประเทศ สงั คมพชื จ�ำ แนกไดเ้ ปน็ ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ ปา่ ดบิ เขาและป่าผลัดใบ โดยในหนังสือเลม่ นจ้ี ะขอกลา่ วถึงเฉพาะปา่ ดบิ เขา เทา่ นั้น กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตว์ป่า และพนั ธ์ุพืช 13
เขตรกั ษาพันธุส์ ัตวป์ ่าภูเขยี ว (Phukhieo Wildlife Sanctuary) ประกาศจัดตั้งเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๕๔ ลงวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ครอบคลุมพื้นที่ ๑,๓๑๔ ตารางกิโลเมตร ต่อมาได้มีพระราช กฤษฎีกา ลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ออกตามความในพระราชบัญญัตสิ งวนและคมุ้ ครอง สัตวป์ า่ พ.ศ. ๒๕๐๓ ครอบคลมุ พื้นท่ี ๙๗๕,๐๐๐ ไร่ (๑,๕๖๐ ตารางกิโลเมตร) ที่ตง้ั และอาณาเขต ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๑๖ องศา ๕ ลิปดา ถึง ๑๖ องศา ๓๕ ลิปดา เหนือ และเส้นแวง ท่ี ๑๐๑ องศา ๒๐ ลิปดา ถึง ๑๐๑ องศา ๕๕ ลปิ ดา ตะวนั ออก มพี นื้ ท่ที ัง้ หมด ๑,๕๖๐ ตารางกิโลเมตร (๙๗๕,๐๐๐ ไร)่ (ตามประกาศแผนที่ทา้ ยพระราชกฤษฎีกา) ในปัจจบุ ันกรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ปา่ และพนั ธุ์พชื ได้ปรบั ปรงุ แนวเขตใหม่ เพอื่ เตรยี มผนวกรวมท้งั สน้ิ ประมาณ ๑,๐๑๐,๐๐๐ ไร่ (๑,๖๑๖ ตารางกิโลเมตร) อยูใ่ นทอ้ งท่ี ต�ำ บลทงุ่ ลยุ ลาย อ�ำ เภอคอนสาร, ต�ำ บลบา้ นยาง ต�ำ บลหนองขา่ ต�ำ บลบา้ นบวั ต�ำ บลกดุ เลาะ อ�ำ เภอเกษตรสมบรู ณ,์ ต�ำ บลนางแดด ต�ำ บลหนองแวง ต�ำ บลหนองบวั แดง อ�ำ เภอหนองบวั แดง จงั หวดั ชยั ภมู ิ มอี าณาเขตตดิ ตอ่ ดงั น้ี ทศิ เหนอื จดแนวเขตเข่อื นจฬุ าภรณ์ อุทยานแห่งชาตนิ �้ำ หนาว ปา่ สงวนแห่งชาติ ปา่ ภูซ�ำ -ผกั หนาม และเขตรกั ษาพันธ์ุสตั ว์ปา่ ผาผึง้ ต�ำ บลทงุ่ ลุยลาย อำ�เภอคอนสาร จังหวดั ชยั ภมู ิ ทิศใต้ จดปา่ เตรยี มการสงวน ป่าหมายเลข ๑๐ แปลงที่ ๑ ตำ�บลนางแดด ต�ำ บลหนองแวง ตำ�บลหนองบวั แดง และเขตรกั ษาพันธ์สุ ตั ว์ปา่ ตะเบาะ-หว้ ยใหญ่ อำ�เภอหนองบัวแดง จังหวดั ชยั ภูมิ ทศิ ตะวนั ออก จดปา่ สงวนแหง่ ชาตปิ า่ ภซู �ำ -ผกั หนาม และปา่ เตรยี มการสงวน ปา่ หมายเลข ๑๐ แปลง ๑ ต�ำ บลกดุ เลาะ ต�ำ บลบา้ นยาง ต�ำ บลบา้ นบวั ต�ำ บลหนองขา่ อ�ำ เภอเกษตรสมบรู ณ์ จงั หวดั ชยั ภมู ิ ทศิ ตะวนั ตก จดเขตรกั ษาพันธุส์ ัตว์ปา่ ตะเบาะ-ห้วยใหญ่ และอทุ ยานแห่งชาตติ าดหมอก อ�ำ เภอเมอื ง จังหวดั เพชรบรู ณ์ ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ ส่วนใหญเ่ ปน็ ภเู ขายอดตดั มีความสูงจากระดับน้�ำ ทะเลปานกลางต้ังแต่ ๒๕๐-๑,๓๓๐ ม. ทางดา้ นทศิ ตะวันตกและทิศเหนอื ประกอบด้วย ภเู ขาสงู ชนั สลับซบั ซ้อนจ�ำ นวนมาก ทางตอนเหนือ 14 พรรณไมป้ า่ ดิบเขาภเู ขียว-น้�ำ หนาว
ของพ้ืนทลี่ อ้ มรอบด้วยเทอื กเขาภูเขยี วน้อยและตอ่ ด้วยเทือกเขาภูเขยี วใหญ่ ทอดเป็นแนวยาวตาม ทิศตะวนั ออกและวกลงใต้กลบั ขนึ้ ไปจดกับภูเขยี วน้อยทางทศิ ตะวันตก ท�ำ ให้ลกั ษณะของพน้ื ที่คล้าย รปู เกอื กมา้ หรอื แอ่งกระทะ ยอดเขาท่สี ำ�คญั ไดแ้ ก่ ยอดเขาโปง่ ทองหลาง (๑,๓๓๐ ม.), ยอดเขา เสลยี งตาถาด (๑,๒๔๒ ม.), ยอดเขาอุ้มนาง (๑,๒๔๒ ม. และ ๑,๑๔๒ ม.), ภคู งิ้ (๑,๑๕๘ ม.), ภเู ขยี ว (๑,๒๑๗ ม. และ ๑,๒๔๔ ม.), แหลโลกเลก (๑,๑๑๕ ม.), ภูเขยี วผาสงู (๑,๑๐๐ ม.) และเขาฝอยลม (๑,๑๐๐ ม.) เป็นต้น ลกั ษณะทางธรณวี ิทยา เขตรักษาพนั ธุ์สตั วป์ ่าภูเขียวตั้งอยทู่ างภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ซึ่งจัดวา่ เปน็ ส่วน หนงึ่ ที่ค่อนข้างแห้งแล้งของประเทศ การสลายตวั ของหนิ เปน็ ไปโดยช้า ๆ ในหลายพน้ื ทีจ่ ึงประกอบด้วย ภเู ขาหินหรือมีหนิ โผลใ่ หเ้ ห็นไดท้ ั่วไป บรเิ วณล�ำ ห้วยสายต่าง ๆ มีหนิ ปรากฏทั่วไป พนื้ ทเ่ี ขตรกั ษาพนั ธ์ุ สตั ว์ปา่ ภูเขยี วประกอบดว้ ยหินส�ำ คญั ๒ กลุ่มคอื กลุ่มหินโคราชในยคุ จูแรสสกิ เปน็ หนิ ภพู าน และพระวิหาร ฟอร์เมชั่น ทางทิศตะวันตกเป็นหนิ ในกลุ่มหนิ ราชบรุ ปี รากฏอยบู่ า้ ง ลกั ษณะของหินกลุ่มน้ีเปน็ กล่มุ หินท่ี จดั อยใู่ นยุคคาร์โบนเิ ปอร์เมยี นซึ่งส่วนใหญเ่ ป็นหนิ ปนู ลกั ษณะทางปฐพวี ิทยา ดินในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวเกิดขึ้นจากหินต้นกำ�เนิดในพ้ืนที่โดยเฉพาะหินโคลน หนิ ทราย หนิ ดินดาน หนิ ปูน และหนิ เชลล์ มีการแตกสลายและตกตะกอนทบั ถมกนั ทำ�ใหเ้ กดิ พ้ืนราบ ของดินตะกอนทางตอนใต้ ดินบนทีร่ าบบนภเู ขาสงู ชันและดินผสมหินบนยอดเขาต่าง ๆ โดยรอบและ ทางตอนเหนือของพื้นท่บี างส่วนประกอบดว้ ยผาหนิ ทมี่ ดี นิ อย่ตู ามซอกผา พอที่ต้นไมจ้ ะขึ้นปกคลุมได้ ลักษณะภมู ิอากาศ จดั อยูใ่ นลักษณะกงึ่ เขตร้อนมี ๓ ฤดู บริเวณท่ีราบตอนบนของพืน้ ท่ีกับบริเวณเชงิ เขามี ความแตกตา่ งของอากาศและปรมิ าณน�ำ้ ฝนมากปรมิ าณน�้ำ ฝนเฉล่ยี ท้ังพน้ื ท่ีประมาณ๑,๑๐๐มม./ปี บรเิ วณทุ่งกะมัง ๑,๔๒๕ มม./ปี อณุ หภมู เิ ฉล่ียสงู สดุ และต�ำ่ สดุ ตลอดปี วัดทท่ี ่งุ กะมัง ๒๖.๐๖ องศา เซลเซียส และ ๑๖.๖๐ องศาเซลเซียส ตามล�ำ ดับ ความช้ืนสัมพทั ธ์ เฉล่ียร้อยละ ๙๐.๓๑ ฤดูรอ้ น อยรู่ ะหวา่ งกลางเดอื นมีนาคม–พฤษภาคม อณุ หภูมิสงู สุดประมาณ ๓๙ องศา เซลเซียส ฤดฝู น อยู่ระหวา่ งเดอื นพฤษภาคม–พฤศจิกายน ในเดือนกันยายนมีปริมาณน้ำ�ฝนมากท่ีสดุ ฤดหู นาว อยูร่ ะหว่างตน้ เดือนพฤศจิกายน–ต้นเดอื นมีนาคม อณุ หภูมิต�ำ่ สุดประมาณ -๔ องศาเซลเซยี ส กรมอุทยานแห่งชาติ สัตวป์ า่ และพันธุพ์ ืช 15
ทรัพยากรน้ำ� เน่ืองจากพน้ื ที่ส่วนใหญเ่ ปน็ เทือกเขาสูงและมที ่ีราบสูงบนภูเขาจึงมลี �ำ ธารหลายสาย ในพื้นทีล่ ุ่ม บางตอนบนที่ราบสูงเปน็ บึงกง่ึ พรุ ลักษณะดงั กลา่ วกอ่ ใหเ้ กิดตน้ น้ำ�สายส�ำ คัญ คือ เป็นตน้ ก�ำ เนิด แม่นำ้�ซี เปน็ แหล่งควบคุมปรมิ าณและคณุ ภาพของแมน่ ้ำ�ซี และรักษาสมดุลของระบบนิเวศของ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื แม่นำ้�ซีเปรียบเหมือนสายเลือดเสน้ ส�ำ คัญของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ตอนบน ซึ่งไหลผา่ น ๘ จงั หวัด ในเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ภเู ขียวมี ๓ ลมุ่ น�้ำ ย่อย คือ ลุม่ น�้ำ ซี ลมุ่ นำ้�สะพงุ และลมุ่ น�ำ้ พรม เน่ืองจากพน้ื ทีด่ ้านนีอ้ ยทู่ างตะวนั ออกของเทือกเขาเพชรบูรณ์ จึงเปน็ แหลง่ สกัดก้ัน ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ท่ีพัดผ่านภาคตะวันตกและภาคกลางของประเทศจากทะเลอันดามันที่จะเข้า ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ของประเทศ จึงท�ำ ใหม้ ปี ริมาณน�ำ้ ฝนทคี่ ่อนขา้ งสงู กว่าพื้นที่อืน่ ๆ และส่งผล ใหเ้ กิดปา่ ดิบเขาและปา่ ดิบแลง้ ผืนใหญ่ท่สี ดุ ของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื โดยเฉพาะจงั หวัดชัยภมู ิ เปน็ จังหวดั ทมี่ ีพื้นทีป่ า่ ไม้มากทีส่ ุดของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ จ�ำ นวน ๓,๐๑๑ ตารางกิโลเมตร รองลงมา คือ จังหวัดเลย จ�ำ นวน ๒,๘๘๙ ตารางกิโลเมตร (ส่วนศนู ย์ข้อมลู กลาง, ๒๕๔๑) สังคมพืชคลุมดิน เนื่องจากสภาพภมู ิอากาศท่ีมคี วามแตกต่างสงู ระหวา่ งฤดู ผนวกกับความผันแปร ของสภาพภมู ิประเทศ ดนิ และปจั จยั อ่นื ๆ ทำ�ให้เกดิ สงั คมพืชคลมุ ดินข้นึ หลายประเภท จึงท�ำ ให้ป่าผืน นเี้ ป็นแหลง่ รวมของพรรณพืชท่สี ำ�คัญ ควรคา่ แกก่ ารอนรุ ักษแ์ ห่งหนงึ่ ของประเทศ มีพืชคลมุ ดนิ ๑๕ ประเภท คอื ๑. ป่าดบิ เขา (hill evergreen forest) พบตั้งแตร่ ะดบั ๘๐๐ ม. ข้นึ ไป ครอบคลมุ พืน้ ทปี่ ระมาณ ร้อยละ ๕๔ สภาพสว่ นใหญเ่ ปน็ ท่ีราบบนภูเขาสูง เปน็ สงั คมป่าดบิ เขาระดับต�่ำ สงั คมย่อยกอ่ เดือย (Castanopsis acuminatissima Consociation) ๒. ปา่ ดบิ แลง้ (semi–evergreen forest) ครอบคลมุ พน้ื ทป่ี ระมาณรอ้ ยละ ๒๐.๕ กระจายเปน็ หยอ่ ม ๆ ตามไหลเ่ ขาตง้ั แตร่ ะดบั ความสงู ๓๐๐–๖๐๐ เมตร เปน็ สงั คมยอ่ ยตะเคยี นหนิ (Hopea ferrea Consociation) 16 พรรณไมป้ า่ ดิบเขาภูเขียว-น�ำ้ หนาว
๓. ป่าสนเขา (pine หรอื coniferous evergreen forest) พบกระจายเปน็ หย่อมขนาดเลก็ ระหว่างปา่ ดิบเขากับปา่ ดบิ แลง้ และปา่ เต็งรัง ไดแ้ ก่ บรเิ วณทีท่ �ำ การเขต (ท่งุ กะมัง) และหนว่ ยพทิ กั ษ์ ป่าพรมโซง้ ดา้ นติดกบั อุทยานแหง่ ชาตนิ �้ำ หนาว มคี วามสงู จากระดบั น้ำ�ทะเลปานกลางประมาณ ๘๕๐ เมตร มี ๒ สังคมย่อย คือ สงั คมย่อยป่าสนสามใบ (Pinus kesiya Consociation) อยู่บริเวณ ตอนเหนอื ของพื้นทใ่ี กลอ้ ุทยานแหง่ ชาตนิ ้�ำ หนาว ครอบคลุมพ้ืนท่ีคอ่ นขา้ งนอ้ ย มีไม้สนสามใบเป็น ไมเ้ ด่น และสังคมยอ่ ยป่าสนสามใบผสมกอ่ ผสมยางเหยี ง (Pinus kesiya-Oak-Dipterocarpus obtusifolius Sociation) ๔. ปา่ เบญจพรรณ (mixed deciduous forest) กระจายตามไหลเ่ ขา ดา้ นทศิ ตะวนั ออกและทศิ ใตข้ อง พน้ื ทเ่ี ปน็ สว่ นใหญ่ พบตง้ั แตร่ ะดบั ๓๐๐–๙๐๐ เมตร โดยทว่ั ไปถกู ครอบครองดว้ ยไผไ่ ร่ (Gigantochloa albociliata) พนั ธไ์ุ มช้ นดิ ทม่ี คี า่ ความส�ำ คญั สงู ในล�ำ ดบั ตน้ ๆ ไดแ้ ก่ ผา่ เสย้ี น (Vitex canescens), แดง (Xylia xylocarpa. var. kerrii ), ตะแบกแดง, ตว้ิ ขน (Cratoxylum formosum ssp. pruniflorum ) และ ขะเจา๊ ะ (Millettia leucantha) เปน็ ตน้ ๕. ปา่ เตง็ รงั (deciduous dipterocarp forest) พบปรมิ าณนอ้ ย ครอบคลมุ พน้ื ทร่ี อ้ ยละ ๑๖.๘๖ ตามไหลเ่ ขาและพน้ื ทล่ี าดชนั ตง้ั แตร่ ะดบั ความสงู ๓๐๐–๑,๐๐๐ เมตร และพน้ื ทต่ี อนกลางเขต ซง่ึ พบ กระจายเปน็ หยอ่ ม ๆ อยรู่ ะหวา่ งปา่ ดบิ แลง้ กบั ปา่ สนเขา โดยทว่ั ไปดนิ ตน้ื เปน็ ดนิ ทรายและมกั มหี นิ โผล่ มี ๒ สงั คมยอ่ ย คอื สงั คมยอ่ ยเตง็ (Shorea obtusa Consociation) พบเปน็ หยอ่ มขนาดเลก็ อยตู่ อนในของ พน้ื ท่ี สงู ประมาณ ๗๘๐ เมตร ไมม่ ไี ฟไหมม้ านานกวา่ ๑๐ ปแี ลว้ และสงั คมยอ่ ยรงั (Shorea siamensis กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธุพ์ ชื 17
Consociation) พบเปน็ หยอ่ มขนาดเลก็ กระจายตามไหลเ่ ขาดา้ นทศิ ตะวนั ออกและดา้ นทศิ ใตเ้ ปน็ สว่ นใหญ่ โดยทว่ั ไปดนิ ตน้ื เปน็ ดนิ ทรายและดนิ ลกู รงั มหี นิ ขนาดใหญโ่ ผลอ่ ยทู่ ว่ั ไป มกั เกดิ ไฟไหมท้ กุ ปี ระดบั ความสงู ประมาณ ๕๐๐ เมตร จากระดบั น�ำ้ ทะเลปานกลาง ๖. สังคมพืชเขาหินปูน (limestone forest) พบเฉพาะบริเวณเขาเทวดา เขาหมอหลวง และ เขาถ�้ำ ครอบเท่าน้ัน มีความสูงจากระดบั น�้ำ ทะเลปานกลางต้ังแต่ ๘๐๐–๑,๒๐๐ เมตร ต้นไมก้ ระจายอยู่ ห่าง ๆ ตามรอ่ งเขาท่มี ีดินตน้ื ๆ ตน้ ไมส้ ่วนใหญม่ ักแคระแกรนและมีหนามแหลม ลำ�ต้นคดงอและทน แลง้ ได้ดีเช่น จันทนผ์ า (Dracaena lourieri), สลดั ไดป่า (Euphorbia antiquorum), ขี้เหลก็ ฤาษี (Phyllanthus mirabilis) และพืชเกาะตดิ ตามโขดหนิ เช่น พลชู ้าง (Scindapsus officinalis), โกงกางเขา (Fagraea ceilanica), มอื พระนารายณ์ (Schefflera elliptica) และไทร (Ficus spp.) เปน็ ต้น ๗. สังคมพืชบรเิ วณหนองบงึ และรมิ ห้วย (stream and marsh forest community) มีพน้ื ที่ครอบคลมุ บรเิ วณแหล่งนำ�้ ท้งั หมดในพ้นื ทปี่ ระมาณรอ้ ยละ ๐.๐๖ ไดแ้ ก่ บึงต่าง ๆ และริมห้วย สายใหญ่ ๆ คือ ล�ำ พรม ล�ำ สะพุง และลำ�ชี บึงมนโครงการสร้างแหล่งน�ำ้ ใหส้ ัตวป์ า่ ตามพระราชดำ�ริ ผ้ถู า่ ย กติ ติ กรตี ยิ ุตานนท์ ๘. ปา่ ดบิ ชน้ื ระดบั สงู หรือป่าดิบกึ่งพรุ (upper–moist evergreen forest หรอื semi-peat swamp forest) เป็นสงั คมที่ปรากฏตามหบุ ห้วยหรอื ท่ีราบระหวา่ งเขาหินปนู หรือตามแอง่ ท่ีราบ 18 พรรณไม้ปา่ ดบิ เขาภเู ขยี ว-น้ำ�หนาว
บนภูเขาตามปา่ ดิบเขาระดับต่ำ� มปี จั จัยด้านปรมิ าณความชนื้ ทม่ี ีมากกว่าปกติ สภาพภูมปิ ระเทศท่ี เป็นหบุ หรอื แอง่ และความสงู จากระดบั น้ำ�ทะเล เปน็ ปัจจยั จำ�กัดท่กี ่อให้เกิดสงั คมพืชประเภทน้ี พรรณพืชท่ีพบประกอบด้วยพรรณไม้ป่าดิบเขาและพรรณพืชท่ีกระจายมาจากเขตอบอุ่นขึ้นปะปนกัน เชน่ ปรก, ก่อผา (Quercus franchetii), กอ่ สรอ้ ย (Carpinus viminea.), กอ่ เดือย, ปัดนำ้� (Photinia stenophylla) และสนสามพันปี (Dacrydium elatum) เปน็ ต้น ส่วนชนดิ พันธอุ์ นื่ ๆ จะใกลเ้ คียงกบั ป่าดิบเขาระดบั ต�ำ่ และพืน้ ปา่ มกั มหี วายในสกุล Calamus ข้ึนเกีย่ วพัน นอกจากนย้ี งั มพี ืชวงศ์หมาก (Palmae) เช่น ต๋าว (Arenga westerhoutii) และหมากลิง (Pinanga riparia) กระจายอยู่หา่ ง ๆ พน้ื ป่าดิบกงึ่ พรุ ผูถ้ ่าย วุฒินนั ท์ พวงสาย ๙. ป่ากอ่ (oak forest) เปน็ สงั คมพืชท่ีพรรณไมส้ ่วนใหญใ่ นสังคมเปน็ ไมใ้ นวงศ์ไมก้ ่อ (Fagaceae) ทีไ่ ม่ผลดั ใบ พบกระจายเป็นกลมุ่ ๆ อย่รู ะหวา่ งปา่ ดิบเขาระดบั ตำ่�กบั ป่าสนเขา โดยท่ัวไป มักมีชนดิ พนั ธ์ขุ องไมผ้ ลดั ใบของปา่ เต็งรงั ปะปนอยู่เป็นจำ�นวนมาก ลกั ษณะท่ัวไปคล้ายคลึงกับ ป่าสนเขาสังคมยอ่ ยสนสามใบผสมก่อผสมเหยี ง ท่จี �ำ แนกออกจากสงั คมปา่ สนและปา่ เต็งรังได้อยา่ ง ชัดเจนคือ ไม่มไี ม้สนและไมใ้ นวงศย์ าง (Dipterocarpaceae) เข้ามาผสมหรือมแี ตน่ ้อยมาก ชนิดไมก้ อ่ ทพี่ บส่วนใหญ่ คอื กอ่ ขี้กวาง (Quercus acutissima), ก่อดำ� (Lithocarpus truncatus) และ ก่อแดง (Quercus kingiana) เป็นต้น ๑๐. ปา่ ไผ่ (bamboo forest) พบร้อยละ ๔.๑๗ ของพ้นื ท่ี กระจายตามภเู ขาบรเิ วณดา้ น ทศิ ตะวนั ตกของพื้นท่เี ป็นสว่ นใหญ่ สว่ นบรเิ วณอ่ืนพบเปน็ สว่ นนอ้ ย เช่น บรเิ วณไหลภ่ ูเขียวน้อย และห้วยแหลปา่ เตย มีไม้ตน้ นอ้ ยมาก ส่วนใหญ่ถูกปกคลุมดว้ ยไมไ้ ผ่ ชนิดไมไ้ ผท่ ีส่ �ำ คญั ๆ ได้แก่ ไผว่ าน (Melocalamus compactiflorus), ไผไ่ ร่ (Gigantochloa albociliata), ไผ่ซอด (G. cochinchinensis) และไผซ่ าง (Dendrocalamus strictus) เปน็ ต้น ป่าไผ่เลื้อยท่ีเกิดแทนดินไหลเป็นหยอ่ ม ๆ 19 ผู้ถ่าย กติ ติ กรตี ิยุตานนท์ กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั วป์ ่า และพนั ธ์พุ ืช
๑๑. ปา่ ท่งุ (savana) สงั คมป่าทงุ่ ประกอบด้วยไม้ขนาดเล็ก ไม้ลม้ ลุกหรอื ไม้พมุ่ ผสมกับ หญ้าข้นึ ปกคลมุ พื้นทส่ี ลบั กนั มตี น้ ไมป้ รากฏอยูห่ า่ ง ๆ มักมีไฟไหมท้ ุกปี โดยเฉลี่ยพน้ื ที่ปกคลุมด้วย หญ้าจะตอ้ งแสดงออกใหเ้ ห็นเด่นชัดประมาณ ๕-๑๐ เท่า ของความสงู ตน้ ไม้ พบบรเิ วณภูคงิ้ แหลโลก เลกและบริเวณขอบภเู ขารปู เกือกมา้ อีกหลายแห่ง มีไมต้ น้ ขน้ึ กระจายอยหู่ ่าง ๆ สว่ นใหญแ่ คระแกรน และคดงอ พ้ืนป่าส่วนใหญป่ กคลุมดว้ ยหญา้ และพืชลม้ ลุก ป่าทุ่งขอบภเู ขาหัวตัดจุดสกัดภูค้งิ ผู้ถ่าย วรรณชนก สุวรรณกร ๑๒. ทุ่งหญ้าเขตรอ้ น (tropical grassland) มี ๒ ประเภท คอื ทงุ่ หญ้าธรรมชาติและทุ่ง หญา้ ท่เี กดิ จากการกระทำ�ของมนุษย์ มีพื้นที่ปกคลุมร้อยละ ๒.๙๕ ของพืน้ ที่ ท่งุ หญ้าธรรมชาติ (natural grassland) พบกระจายตามที่ราบบนเขาดา้ นทศิ ตะวนั ออกของพืน้ ทีเ่ ชอ่ื มตอ่ กับปา่ ท่งุ มปี ัจจยั ดา้ น ปรมิ าณน�ำ้ ฝน ดินและไฟป่าเป็นปจั จัยจำ�กดั ของการเกิดสังคมพชื ประเภทน้ี เน่ืองจากสภาพของดิน ตืน้ มหี ินโผล่ ความลาดชันต�ำ่ และอยขู่ อบดา้ นบนของพื้นที่ที่ยกตัวสงู ข้นึ ก่อนจะเป็นหนา้ ผาตดั ลง เชน่ บริเวณ แหลไม้ตาย และภคู ิง้ เปน็ ต้น สว่ นท่งุ หญ้าทเี่ กดิ จากการกระทำ�ของมนุษย์ (man-made grassland) พบกระจายบริเวณที่ราบตอนกลางของพ้นื ที่ ได้แก่ บริเวณทุ่งกะมัง และบึงแปน ซ่ึงเคย เป็นพ้นื ทอี่ ยู่อาศยั ของมนุษย์และพนื้ ท่กี สิกรรมมากอ่ นประกาศเปน็ เขตรักษาพันธ์ุสัตวป์ า่ ๑๓. ปา่ ละเมาะเขา (lower montane scrub forest) พบบรเิ วณขอบเขาระดับสงู ตัง้ แต่ ๑,๐๐๐ ม. ข้นึ ไป กระจายเปน็ หย่อม ๆ เชอ่ื มกับปา่ ทุง่ และท่งุ หญา้ เนือ่ งจากพนื้ ที่ส่วนใหญม่ ดี นิ ต้ืนและมีแผ่น หินหรอื โขดหินเป็นส่วนใหญ่ ตน้ ไม้ส่วนใหญ่มักแคระแกรน ล�ำ ต้นคดงอเนอ่ื งจากสภาพดินและแรง ลม เชน่ เมก็ (Syzygium gratum var. gratum), กุหลาบขาว (Rhododendron lyi), พรวด (Rhodomyrtus tomentosa), โกงกางเขา (Fagraea ceilanica) และหนวดปลาหมกึ ภูเขาใหญ่ (Schefflera pueckleri) เปน็ ตน้ 20 พรรณไม้ปา่ ดิบเขาภูเขียว-นำ้�หนาว
๑๔. สงั คมพชื ทกี่ ำ�ลังทดแทน (successioned community) เป็นสังคมทปี่ ระกอบดว้ ยพรรณพชื ท่มี คี วามหลากหลาย ปรากฏตามบรเิ วณท่ีเคยเปน็ หมูบ่ า้ นและพนื้ ทกี่ สิกรรม บางส่วนเป็นป่าปลกู บางส่วนเกดิ ไฟปา่ ไหม้ทกุ ปีและปล่อยทิ้งร้างให้เกิดการทดแทนเองตามธรรมชาติ ชนดิ พนั ธ์ทุ ่ปี รากฏ มีความแตกตา่ งกันตามสภาพภมู ปิ ระเทศและความช้ืน ๑๕. ป่าปลูก (reforestation) เปน็ ป่าท่ีปลกู ขนึ้ เพื่อฟื้นฟแู หลง่ ต้นน้ำ�ล�ำ ธารและปา่ เฉลิมพระเกยี รติ ครอบคลุมพื้นทร่ี ้อยละ ๑.๔๔ ดแู ลและบ�ำ รุงรักษาโดยหนว่ ยจัดการตน้ น�ำ้ ทุ่งลุยลาย และปา่ ไมเ้ ขตนครราชสมี า (เดิม) ทรพั ยากรพรรณพืช มพี ชื ทม่ี ที อ่ ล�ำ เลยี งทพ่ี บในพน้ื ทม่ี ที ง้ั หมด ๒๑๖ วงศ์ ๑,๐๒๑ สกลุ ๒,๒๗๓ ชนดิ จ�ำ แนกเปน็ พชื ไม่มเี มล็ด (เฟิน) จำ�นวน ๒๘ วงศ์ ๔๖ สกุล ๘๓ ชนดิ พืชเมล็ดเปลอื ย จำ�นวน ๖ วงศ์ ๙ สกลุ ๑๗ ชนดิ พืชใบเลย้ี งเดีย่ ว จำ�นวน ๓๖ วงศ์ ๒๒๙ สกลุ ๕๑๔ ชนดิ พืชใบเล้ยี งคู่ จำ�นวน ๑๔๖ วงศ์ ๗๓๗ สกุล ๑,๖๕๙ ชนดิ นอกจากน้ี ยงั พบสิง่ มีชวี ิตชนั้ ต�่ำ ในกลมุ่ ไลเคนสอ์ กี ๘ อนั ดบั ๑๙ วงศ์ ๓๐ สกุล ๓๖ ชนิด และกลุ่มมอสส์ อกี ๖ วงศ์ ๙ สกลุ ๑๐ ชนิด ทรพั ยากรสัตว์ปา่ จ�ำ แนกเปน็ สัตวป์ ่ากลุม่ มีกระดกู สันหลงั และกลมุ่ ไม่มีกระดูกสันหลัง กล่มุ มกี ระดูกสันหลงั ทีพ่ บในพืน้ ท่ีมีจ�ำ นวน ๔๐ อนั ดับ ๑๓๒ วงศ์ ๔๔๓ สกุล ๗๖๑ ชนดิ จ�ำ แนก ออก เป็นกลุ่ม ๆ ไดด้ งั นี้ สัตวเ์ ล้ยี งลกู ดว้ ยนม จำ�นวน ๑๑ อันดบั ๓๑ วงศ์ ๘๑ สกุล ๑๑๑ ชนดิ สัตวป์ ีก จำ�นวน ๑๗ อันดบั ๕๖ วงศ์ ๒๒๒ สกลุ ๔๑๙ ชนิด สตั ว์เลือ้ ยคลาน จำ�นวน ๓ อันดับ ๑๗ วงศ์ ๖๕ สกุล ๑๑๐ ชนดิ เป็นชนดิ ใหมข่ องโลก ๑ ชนิด กรมอุทยานแห่งชาติ สัตวป์ า่ และพันธุพ์ ชื 21
สตั วส์ ะเทินน�้ำ สะเทินบก จำ�นวน ๒ อันดบั ๖ วงศ์ ๒๒ สกุล ๔๕ ชนิด ปลาน�้ำ จดื จ�ำ นวน ๗ อนั ดับ ๒๒ วงศ์ ๕๓ สกลุ ๗๖ ชนิด กลมุ่ ไมม่ กี ระดกู สนั หลงั พบแมลงจ�ำ นวน ๑๑ วงศ์ ๑๐๘ สกลุ ๒๗๕ ชนดิ เปน็ ชนดิ ใหมข่ องโลก ๓ ชนดิ ทรพั ยากรสิง่ มชี วี ติ กลุ่มอน่ื ๆ เช่น กลุม่ เห็ดรา พบจ�ำ นวน ๓๐ สกุล ๖๕ ชนดิ แหล่งอารยะธรรมของมนุษย์ เขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ภเู ขยี วเปน็ แหลง่ รวมประวตั ศิ าสตรด์ า้ นสงั คมและวฒั นธรรมของมนษุ ย์ Seidenfaden (๑๙๒๐, ๑๙๒๕) รายงานไวว้ า่ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๒ ปา่ ภเู ขยี วมชี นเผา่ พน้ื เมอื งอาศยั อยู่ ชนเผา่ ทก่ี ลา่ วถงึ คอื ขา่ ตองเหลอื ง หรอื ขา่ ตามบงั (Kha Tong Lueang หรอื Kha Tam Bang) หรอื ผตี องเหลอื ง อาศยั อยใู่ นปา่ ลกึ ของปา่ ภเู ขยี วและตามทล่ี าดเชงิ เขาภเู ขยี วบรเิ วณล�ำ น�ำ้ พรมดา้ นอ�ำ เภอ เกษตรสมบรู ณ์ ไปจนถงึ อ�ำ เภอหนองบวั แดง ชนเผา่ ดงั กลา่ วมคี วามเขนิ อายและหลบหนา้ ผคู้ น ด�ำ รง ชพี โดยการเกบ็ หาของปา่ และลา่ สตั วป์ า่ เปน็ อาหาร โดยใชห้ อกไมเ้ ปน็ อาวธุ สตั วท์ ล่ี า่ ได้ เชน่ หมปู า่ กวาง กระทงิ ววั (คาดวา่ เปน็ ววั แดง) กระซู่ แรดและเนอ้ื สมนั ผตี องเหลอื งจดั เปน็ ชนเผา่ ทล่ี า้ หลงั ทส่ี ดุ ของ ประเทศไทย ในปจั จบุ นั พบชาวผตี องเหลอื งในประเทศไทยอาศยั อยใู่ นทอ้ งทจ่ี งั หวดั แพรแ่ ละนา่ น สว่ นท่ี ภเู ขยี วคาดวา่ อพยพไปอยทู่ างตอนเหนอื ของประเทศ ไมต่ �ำ่ กวา่ ๖๐ ปี มาแลว้ แหล่งโบราณคดี พบบรเิ วณพืน้ ท่ีท่เี คยถกเถียงกันว่าจะสรา้ งเขื่อนล�ำ สะพุง มแี หลง่ โบราณคดี ๓ แหลง่ คือ แหล่งโบราณคดีบ้านหนองปลอ้ ง บา้ นหนองนกออก และบ้านลาดเหนือ อยู่ในอ�ำ เภอหนองบวั แดง จงั หวดั ชัยภูมิ ชิดแนวเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ัตวป์ ่าภูเขยี ว ด้านทิศใต้พบเศษภาชนะดนิ เผาและชิน้ ส่วนโครง กระดกู มนุษย์ จัดเป็นแหลง่ โบราณคดใี นสมัยก่อนประวตั ิศาสตร–์ ประวัติศาสตร์ นอกจากนใี้ นถ�้ำ ตอนกลางของพื้นท่พี บเศษภาชนะดินเผาเนื้อดินคอ่ นขา้ งหยาบหลายรูปแบบจ�ำ นวนมาก บริเวณถ�ำ้ หินปนู ขนาดเลก็ ตามเพดานถำ้�มเี ปลือกหอยตดิ อยู่ (เปลอื กหอยน�้ำ เค็ม) ห่างจากท่ที ำ�การ เขตรกั ษาพนั ธุ์สตั วป์ า่ ไปทางทิศตะวนั ตกประมาณ ๑๐ กโิ ลเมตร สันนิษฐานจากรูปทรงวา่ เปน็ ชน้ิ ส่วนของภาชนะดินเผาประเภทหม้อและไห คาดวา่ มีอายไุ มต่ ่ำ�กวา่ ๑,๐๐๐ ปี ซงึ่ พบตามแหลง่ โบราณคดีสมัยประวตั ิศาสตรใ์ นภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ประเมนิ ไดว้ ่านา่ จะเป็นเคร่ืองใชข้ องมนษุ ย์ สมยั ประวตั ิศาสตรก์ ล่มุ หนึ่งซงึ่ เขา้ มาอาศยั อยทู่ ถี่ �ำ้ แห่งน้ีในชว่ งเวลาหนงึ่ นอกจากน้ียงั พบอารยะ ธรรมมนุษย์สมยั กอ่ นประวัตศิ าสตร์ในพื้นที่ใกลเ้ คียง ไดแ้ ก่ บรเิ วณถ�้ำ ผาเงบิ และถำ้�ผาขาม ใน เขตรกั ษาพันธส์ุ ตั วป์ ่าผาผึง้ อ�ำ เภอคอนสาร จังหวดั ชยั ภูมิ แหลง่ ซากดกึ ดำ�บรรพ์ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ Ingavat and Janvier (๑๙๘๑) ไดค้ น้ พบชิน้ สว่ นของกะโหลกสัตว์สะเทนิ นำ้� สะเทินบกชนิดหนงึ่ มลี กั ษณะคลา้ ยกบั ชนดิ Cyclotosaurus posthumus ที่พบในประเทศเยอรมัน มีอายปุ ระมาณปลายยุคไตรแอสสิค (Upper Triassic Epoch : ประมาณ ๒๒๕ ลา้ นปี) ซง่ึ เป็นยคุ สตั ว์เล้อื ยคลาน มลี ักษณะคล้ายสตั ว์เลีย้ งลูกดว้ ยนม (mammal like reptile) พบอยู่ในหมวด หินห้วยหนิ ลาดบรเิ วณเข่อื นจุฬาภรณ์ ซึง่ บริเวณดังกล่าวเป็นแหลง่ ซากดกึ ดำ�บรรพท์ เี่ กา่ แก่และ ดที สี่ ุดของประเทศไทย ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ Buffetaut and Ingavat (๑๙๘๒) ไดข้ ดุ พบขากรรไกร และฟนั ของสตั วเ์ ลื้อยคลานในกล่มุ ไฟโทซอร์ (Phytosaur) ซึ่งเปน็ สตั ว์ท่มี รี ปู รา่ งคลา้ ยจระเข้ (แต่ 22 พรรณไม้ป่าดิบเขาภูเขียว-น�ำ้ หนาว
ไม่ใช่ตน้ ตระกูลของจระเข้) ในบริเวณเดียวกนั มีอายอุ ยปู่ ระมาณปลายยคุ ไตรแอสสิค และในบรเิ วณ เดยี วกนั de Broin et al. (๑๙๘๒) ได้ขุดพบซากดึกดำ�บรรพข์ องกระดองเตา่ นำ�้ ในยุคไตรแอสสิค นอกจากน้นั ยังค้นพบซากชิ้นส่วน กระดูกและส่วนตา่ ง ๆ ของสตั ว์ดกึ ดำ�บรรพ์อกี หลายชนิด ได้แก่ ชิน้ สว่ นสตั วใ์ นกลมุ่ ปลาไมม่ ีขากรรไกร (ostracodes) กลุ่มปลากระดกู แขง็ โบราณ (actinopterygians) ปลาปอดในสกุลเซอราโตดสั (Ceratodus) สตั วส์ ะเทินน�้ำ สะเทินบกโบราณในสกุลไซโครโทซอรร์ สั (Cyclotosaurus) และสตั วเ์ ลอ้ื ยคลานในกลมุ่ ไฟโทซอร์ ความส�ำ คัญของซากดกึ ดำ�บรรพด์ งั กล่าว มีคณุ ค่ายง่ิ ตอ่ การศึกษาการวิวัฒนาการของโลกและสง่ิ มีชวี ติ ในปจั จุบนั เป็นอยา่ งมาก เนื่องจาก ซากดกึ ด�ำ บรรพแ์ ต่ละชิ้นมปี ระวตั คิ วามเป็นมายาวนาน จากขอ้ มลู ทางบรรพชีวนิ ชีใ้ หเ้ ห็นว่า บรเิ วณ เขตรักษาพนั ธ์ุสัตวป์ า่ ภเู ขยี ว และพื้นทใ่ี กล้เคียงเคยเป็นแหล่งน�ำ้ จืดขนาดใหญใ่ นช่วงยคุ ไซลเู รยี นถึง ยคุ เครตาเซยี ส (Silurian Epoch–Cretaceous Epoch : ประมาณ ๔๔๐-๑๓๕ ลา้ นป)ี โดยประมาณ ซ่ึงในอนาคตหากมกี ารขุดค้นและศกึ ษาอยา่ งจริงจงั อาจจะพบจ�ำ นวนชนดิ และการกระจายมากกวา่ น้ี แหลง่ ววิ ฒั นาการของผิวโลก บริเวณชายขอบทร่ี าบสูงภูเขยี ว (แนวเขารปู เกอื กมา้ ) มีโขดหินหรือเสาหินรปู รา่ งแปลก ประหลาดท่ีเกดิ จากการกดั เซาะของอากาศ ลม และน้ำ�ตามธรรมชาติมาหลายล้านปี กระจายเปน็ ผนื ใหญอ่ ยหู่ ลายแห่ง เชน่ บริเวณแหลรังวัด แหลหินตงั้ และภคู ้ิง เปน็ ต้น รวมถึงถ�้ำ ล�ำ ธารใตด้ ินและ หลมุ ยุบ แหลรังวดั -กิตตศิ กั ด-์ิ สมศรี ผ้ถู ่าย กิตตศิ ักด์ิ สมศรี กรมอุทยานแห่งชาติ สตั วป์ ่า และพันธ์พุ ืช 23
สระมรกตในหุบเขาหินปนู ผ้ถู ่าย กติ ติ กรีตยิ ตุ านนท์ 24 พรรณไม้ปา่ ดิบเขาภูเขยี ว-นำ�้ หนาว
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์พุ ชื 25
ป่าดบิ เขาในเขตรักษาพันธสุ์ ตั ว์ป่าภเู ขียว และผืนป่าอสี านตะวันตก (Hill Evergreen forest in Phukhieo Wildlife Sanctuary and Phukhieo Nam-Nao forest Complex) หลกั การจ�ำ แนก การจ�ำ แนกปา่ ดบิ เขาโดยทว่ั ๆ ไป จ�ำ แนกโดยใชไ้ มด้ ชั นแี ละลกั ษณะโครงสรา้ งของ สงั คมทม่ี ใี นดา้ นการผสมกนั ของชนดิ พนั ธไ์ุ มเ้ ปน็ หลกั ซง่ึ การปรากฏของไมด้ ชั นใี นปา่ ประเภทนม้ี ี ความสมั พนั ธก์ บั สภาพภมู อิ ากาศทห่ี นาวเยน็ ซง่ึ ในประเทศไทยภมู อิ ากาศแบบนข้ี น้ึ อยกู่ บั ความสงู จากระดบั น�ำ้ ทะเล โดยทว่ั ไปสงั คมปา่ ดบิ เขาเรม่ิ ปรากฏตง้ั แตร่ ะดบั ๑,๒๐๐ ม. จากระดบั น�ำ้ ทะเล แตแ่ ทจ้ รงิ แลว้ การจ�ำ แนกสงั คมปา่ ดบิ เขาใชก้ ารปรากฏของไมด้ ชั นี คอื ไมใ้ นวงศไ์ มก้ อ่ (Family Fagaceae) ในสกลุ Quercus, Lithocarpus และ Castanopsis ผสมกบั กลมุ่ พชื เมลด็ เปลอื ย (Gymnospermae) ในสกลุ Podocarpus, Dacrydium, Cephalotaxus, Gnetum และ Cycas ผสม กบั พรรณไมท้ ก่ี ระจายมาจากเขตอบอนุ่ ของโลก (temperate species) หลายชนดิ เชน่ ก�ำ ลงั เสอื โครง่ (Betula alnoides), จนั ทรท์ อง (Fraxinus floribunda), ลบู ลบี (Ulmus lancifolia) และคางคก (Nyssa javanica) เปน็ ตน้ (สมคดิ , ๒๕๓๕ ก, ข ; อทุ ศิ , ๒๕๔๒) ปจั จยั กำ�หนดการเกิดป่าดบิ เขา สงั คมปา่ ดบิ เขาถกู ก�ำ หนดโดยสภาพภมู อิ ากาศทค่ี อ่ นขา้ งหนาวเยน็ ตลอดปี ปกตมิ อี ณุ หภมู ิ สงู สดุ ไมเ่ กนิ ๒๐ องศาเซลเซยี ส และอณุ หภมู ติ �ำ่ สดุ อาจนอ้ ยกวา่ ๐ องศาเซลเซยี ส อากาศมกั มี ความชน้ื สงู โดยเฉพาะความชน้ื สมั พทั ธ์ ในชว่ งฤดฝู นอาจเกนิ รอ้ ยละ ๙๐ ตลอดเวลา สภาพดนิ มี ความลกึ พอสมควร สามารถทจ่ี ะพยงุ ไมข้ นาดใหญไ่ ด้ (อทุ ศิ , ๒๕๔๒) ลักษณะทวั่ ไป การศกึ ษาสังคมป่าดิบเขาในผืนป่าอีสานตะวนั ตกยงั มีการศกึ ษาน้อยมาก ขอ้ มลู ทใ่ี ชส้ ว่ นใหญ่จงึ ใชป้ า่ ดบิ เขาในเขตรกั ษาพนั ธ์สุ ัตวป์ า่ ภูเขยี ว เป็นตัวอย่าง ปา่ ประเภทน้ี เริ่มปรากฏต้ังแต่ระดบั ๘๐๐ ม. ขึ้นไป จึงเป็นป่าดิบเขาทพ่ี บกระจายในระดบั ตำ่�ที่สดุ ใน 26 พรรณไม้ปา่ ดิบเขาภเู ขียว-น้�ำ หนาว
ประเทศไทย สภาพสว่ นใหญ่โดยทัว่ ไปเปน็ ที่ราบสูงบนภูเขาซึ่งพบมากด้านทิศตะวันออก เฉียงใต้ของเขตรกั ษาพันธุ์สัตว์ปา่ ส่วนนอ้ ยเปน็ ภเู ขาสงู ชันสลับซบั ซ้อน พบมากดา้ นทศิ ตะวนั ตกซ่ึงติดกบั นำ�้ หนาวและตาดหมอก มีภมู อิ ากาศหนาวเย็นและความชน้ื สูงตลอดปี สภาพดนิ มีความลกึ พอสมควร จึงทำ�ให้พชื ในเขตอบอุ่นบางชนดิ ปรากฏให้เหน็ ป่าประเภท น้สี ่วนใหญพ่ บในภเู ขียว ภกู ระดงึ และน�้ำ หนาว ส่วนน้อยพบในตาดหมอกและตะเบาะ- หว้ ยใหญ่ เรือนยอดด้านบนป่าดบิ เขา ทุ่งหญ้าทา่ มกลางป่าดบิ เขา ทีร่ าบสงู ภูเขียว ผลพวงจากการท�ำ ไม้ในอดีต จากการศึกษาในเขตรักษาพันธสุ์ ัตวป์ ่าภูเขยี วของมงคลและกติ ติ (๒๕๔๒ ค) พบพชื ท่ีมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงอกตงั้ แต่ ๔.๕ ซม. ข้นึ ไปในแปลงศึกษาขนาด ๑ เฮกตาร์ (๑๐๐ x ๑๐๐ ตารางเมตร) มเี รอื นยอดปกคลุมประมาณร้อยละ ๙๕ พรรณไม้ที่มีค่าความ สำ�คัญ (Important value : IV) สูงสุด คือ ก่อเดือย (Castanopsis acuminatissima) พรรณพืชทมี่ ีคา่ ความส�ำ คญั รองลงมาในลำ�ดบั ตน้ ๆ ไดแ้ ก่ เมด็ ทับทมิ (Ilex englishii), เหมือดสันนนู (Symplocos lucida) และปรก (Altingia siamensis) ตามล�ำ ดบั ซง่ึ พันธุไ์ ม้ ดัชนขี องปา่ ประเภทน้ี ไดแ้ ก่ ไม้กอ่ ชนดิ ตา่ ง ๆ และพรรณไมท้ ี่กระจายมาจากเขตอบอุ่น ประกอบด้วยไม้ต้นจ�ำ นวน ๑๐๘ ชนิด ความหนาแนน่ ๐.๑๒ ต้น/ตารางเมตร (๑,๒๐๘ ต้น/ เฮกตาร)์ และมพี ้นื ทหี่ น้าตดั รวม ๓๘.๙๖ ตารางเมตร/เฮกตาร)์ โครงสรา้ งป่าดบิ เขา จากการศกึ ษาของมงคลและกติ ติ (๒๕๔๒ ค) ในเขตรักษาพนั ธุ์สัตว์ปา่ ภเู ขียว จ�ำ แนกโครงสร้างปา่ ออกได้ ๓ ชนั้ เรอื นยอด คือ เรือนยอดชน้ั บน สงู ตัง้ แต่ ๒๕–๔๐ ม. ปกคลุมและประสานกันอยา่ งหนาแน่น ชนิดพนั ธท์ุ พ่ี บในระดบั น้ี เชน่ ปรก, กอ่ เดอื ย, ตนี เปด็ เขา (Alstonia rostrata ), เทพธาโร (Cinnamomum porrectum) ทังใบช่อ, (Nothaphoebe umbelliflora) และมะมาง (Canarium euphyllum) เป็นต้น บางบริเวณพบค้อ (Livistona speciosa) แทรก อยู่เป็นหยอ่ ม ๆ โดยเฉพาะพน้ื ท่ที ี่เปน็ ภูเขาสูงชนั สลับซบั ซอ้ นและในหุบเขา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์พุ ชื 27
เรือนยอดชน้ั รอง สงู ต้งั แต่ ๑๕–๒๕ ม. ขึ้นแทรกตามช่องว่างของเรอื นยอดชัน้ บน ชนิดพันธ์ุไม้นอกเหนือจากทพ่ี บปกคลมุ เรอื นยอดชัน้ บนแลว้ ยังประกอบด้วยพืชอีกหลาย ชนิด เชน่ หวา้ เขา (Cleistocalyx operculatus), กอ่ ตลบั (Quercus ramsbottmii), ขา่ ตน้ (Litsea ilicioides), ไกแ๋ ดง (Ternstromia gymnanthera), กอ่ สรอ้ ย (Carpinus viminea), กฤษณา (Aquilaria crassna), อบเชย (Cinnamomum bejolghota), มะมว่ งเขา (Mangifera linearifolia), กระทอ้ น (Sandoricum koetjape), เข็มดง (Tarennoidea wallichii), หว้านา (Syzygium cinereum), พญาไม้ (Podocarpus nerriifolius) และหน่วยนกงมุ (Beilschmiedia gammicana) เปน็ ตน้ โครงสรา้ งด้านต้งั ปา่ ดบิ เขา เรอื นยอดช้นั ล่าง สูงไม่เกนิ ๑๐ เมตร หนาแนน่ ไปด้วยไมต้ ้นและไม้พุ่มขนาดเลก็ สว่ นใหญเ่ ป็นพืชทนร่มและบางสว่ นเป็นลูกไม้ของไมช้ น้ั บนและช้นั รอง พรรณพชื ทเี่ ด่นนอก เหนอื จากชนิดทีก่ ลา่ วมาแลว้ ประกอบดว้ ย เหมอื ดคนดำ� (Symplocos longifolia), กาลงั กาสาตวั ผู้ (Ardisia eglandulosa), เหมอื นคนดง (Helicia formosana var. oblanceolata), เหมอื ดคน ตวั ผู้ (H. nilagirica), หมกั ฟกั ดง (Apodytes dimidiata), ไครม้ ด (Eurya nitida var. siamensis), ไขห่ �ำ หมา (Drypetes subsessilis), เมา่ หลวง (Antidesma thwaitesianum) และกะอวม (Acronychia pedunculata) เปน็ ต้น 28 พรรณไมป้ ่าดิบเขาภูเขียว-น�ำ้ หนาว
สภาพพ้ืนล่างป่าดิบเขา พรรณพืชท่ีคลุมพ้นื ป่าหรอื ระดบั ไม้พมุ่ มคี วามหนาแน่นสงู สว่ นใหญ่เปน็ พืชทนร่ม มีความหนาแน่น ๐.๔๔ ตน้ /ตารางเมตร (๖๑๑ ต้น/ไร่) ชนิดทมี่ ีคา่ ความส�ำ คัญสูง คือ เหมือดคนด�ำ , แมก่ ลอน (Lasianthus andamanicus), ก่อเดอื ย, เหมือดคนดง, เหมอื ดสนั นูน ก่อตลับ และหวา้ เขา เป็นต้น นอกจากนัน้ ยังพบพืชในวงศข์ งิ ขา่ (Family Zingiberaceae) และวงศ์บกุ บอน (Family Araceae) อีกหลายชนดิ นอกจากน้กี ย็ งั มีพชื ทเี่ ป็นกาฝากตามรากที่ หายาก ไดแ้ ก่ กระโถนพระฤๅษี (Sapria himalayana), กากหมาก (Balanophora latisepala) และกากหมากตาฤๅษี (B. fungosa. ssp. indica) เป็นตน้ ตามพน้ื ปา่ ล�ำ ตน้ คาคบและกง่ิ กา้ นขนาดใหญม่ ไี มเ้ ถาเลอ้ื ยพนั พชื เกาะตดิ และ กลว้ ยไมห้ ลายชนดิ โดยเฉพาะไมเ้ ถาเลอ้ื ยพนั พบขน้ึ ปกคลมุ จนถงึ เรอื นยอดชน้ั บนเปน็ จ�ำ นวน มาก เพอ่ื แกง่ แยง่ แสงและชว่ ยยดึ ตรงึ เรอื นยอดไมล้ ดการหกั โคน่ จากแรงลม เชน่ เถานมควาย (Uvaria grandiflora), ตมู กาแดง (Strycnos colubrina), เครือเขามกู ขาว (Parameria laevigata), หวาย (Calamus spp.) และเครืองูเหา่ (Toddalia asiatica) ส่วนพชื เกาะตดิ หรือองิ อาศยั และกล้วยไม้ เช่น พลชู า้ ง (Scindapsus officinalis), หวายตะมอย (Pothos seemanii), พริกไทยป่า (Piper spp.), เอ้ืองสายมรกต (Dendrobium chrysanthum), หางเปยี (D. cocinum), ยมโดย (Lycopodium squarrosum), ช้องนางคล่ี (L. phlegmaria), เอือ้ งหงอนไก่ (Aeschynanthus fulgens) และย่านดง (A. lineatus) เปน็ ตน้ การกระจายของป่าดิบเขาในผืนปา่ อีสานตะวันตก พบเป็นผืนขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว ลำ�ดับรองลงมาคือ ในอทุ ยานแห่งชาตนิ �้ำ หนาวและอุทยานแหง่ ชาติภกู ระดึง นอกจากนี้ ยังพบกระจายตามยอดเขาเป็นหย่อมขนาดเล็กในพ้ืนที่บางส่วนของอุทยานแห่งชาติตาด หมอก และเขตรักษาพันธุส์ ตั วป์ า่ ตะเบาะ-หว้ ยใหญ่ที่มพี นื้ ทต่ี ิดกบั ภเู ขียวและนำ้�หนาว กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พชื 29
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401