นักบรหิ ารงานทว่ั ไป รนุ่ ที ๘๔ 4. บุคลากร หรือการจัดการบุคคลเข้าทางาน (Staff) หมายถึง การคัดเลือกบุคลากรที่มี หนา้ ความสามารถการพัฒนาบุคคลกรอย่างต่อเนื่อง ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยท่ีมีความสาคัญต่อการ 45 ดาเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสาเร็จหรือไม่ ส่วนหนึ่งจะข้ึนอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนษุ ย์ (Human Resource Management) การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการ ทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพ้ืนฐานของกล ยุทธ์องค์กรทเ่ี ป็นสิ่งกาหนดทิศทางท่ีองค์กรจะดาเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเปน็ ผลให้กระบวนการกาหนดคุณลักษณะ และการคดั เลอื กและจัดวางบคุ ลากรได้อย่างเหมาะสมยงิ่ ขึ้น 5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill) หมายถึง ความโดดเด่น ความเช่ียวชาญในการผลิตการ ขาย การใหบ้ รกิ าร ทักษะ ในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์กรสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ดา้ น หลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทาให้บุคลากรสามารถปฏิบัติงานใน ตาแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงินด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บน พื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and Special Talents) น้ันอาจเป็นความสามารถที่ทาให้พนักงานนั้น ๆ โดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงาน ท่ีดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าท่ีการงานได้รวดเร็ว ซ่ึงองค์กรคงต้องมุ่งเน้นในท้ัง 2 ความสามารถไปควบคู่ กนั 6. รูปแบบ (Style) หมายถึง การจดั การที่มีรปู แบบวิธที ่ีเหมาะสมกบั ลักษณะองค์กร เช่น การส่ัง การ การควบคุม การจูงใจ ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมองค์กร ทั้งน้ี แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของ ผู้บริหารเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร โดยพบว่าความเป็นผู้นาของ ผู้บริหารองค์กรจะมีบทบาทท่ีสาคัญต่อความสาเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นาที่ประสบความสาเร็จจะต้อง วางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้ เกดิ ขน้ึ 7. ค่านิยมร่วม (Shared values) หมายถึง ค่านิยมร่วมกันระหว่างคนในองค์กร ความเป็น อันหน่ึงอันเดียวกัน โดยค่านิยมและบรรทัดฐานท่ียึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรท่ีได้กลายเป็นรากฐาน ของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรม องคก์ ร รากฐานของวฒั นธรรมองคก์ รก็คือ ความเชือ่ ค่านยิ มทีส่ ร้างรากฐานทางปรัชญาเพือ่ ทิศทางขององค์กร โดยท่ัวไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมา ความเช่ือเหล่านั้นจะกาหนดบรรทัดฐานเป็นพฤติกรรมประจาวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความ เชอื่ ได้ถูกยอมรับท่วั ทัง้ องคก์ รและบคุ ลากรกระทาตามคา่ นยิ มเหลา่ นน้ั แลว้ องค์กรกจ็ ะมีวฒั นธรรมท่เี ข้มแข็ง สรุปได้ว่า ในการประเมินสมรรถนะขององค์กรถือว่าเป็นความจาเป็นอย่างย่ิงในการสร้างความ ยงั่ ยนื ในการพัฒนาองคก์ ร เนอ่ื งจากทาใหส้ ามารถรบั รู้ถึงสราพความเป็นจริงขององค์กรว่ามีสมรรถนะในแต่ละ
นกั บริหารงานทว่ั ไป รนุ่ ที ๘๔ ด้านทสี่ าคัญอย่างไร และมีความพรอ้ มทจ่ี ะดารงอยู่อย่างมัน่ คงและมุ่งไปสเู่ ปา้ หมายที่ตั้งไว้หรือไม่ (Mckinsey, 2016; Mind tool Ltd, 2016) 5. แนวคิดเกีย่ วกับปัจจยั ภายนอกองค์กร (PEST Analysis) PEST Analysis เป็นหลักการวิเคราะห์สภ าพ แว ดล้ อ มภ ายน อ กท่ัว ไป ข อง อ ง ค์ ก ร (General Environment) ซ่ึงสามารถนามาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์องค์กรในระบบการบริหารจัดการ ของภาครัฐได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีความละเอียดแจกแจงเป็นประเต็น 4 ด้าน ทาให้ผู้วิเคราะห์สามารถ พจิ ารณาประเด็นในแตล่ ะดา้ นได้งา่ ยและตรงประเด็น ซงึ่ Aguilar (1967) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์ วารด์ (Harvard) ไดเ้ ปน็ ผนู้ าเสนอหลักการ PEST Analysis โดยอาศยั การวเิ คราะห์ปัจจัยภายนอกขององค์กร 4 ด้าน รายละเอยี ดมดี งั ต่อไปนี้ 1. การเมือง (Political Component = P) เป็นการวิเคราะห์นโยบายและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของ ภาครัฐบาล ท่ีน่าจะมีผลทั้งในเชิงบวกและเชิงลบต่อการดาเนินงานขององค์กร เช่น นโยบายรัฐบาล ความ มน่ั คงของรฐั บาล และพฤติกรรมทางการเมือง 2. เศรษฐกิจ (Economic Component = E) เป็นการวิเคราะห์สภาวะทางการเงินและ เศรษฐกิจซ่ึงเก่ียวข้องกับการดาเนินงานขององค์กร เช่น การค้าระหว่างประเทศและดุลการ ชาระเงิน อัตรา หนา้ ดอกเบ้ียและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ อัตราการว่างงาน ภาวะการจ้างงานและค่าแรงการลงทุน 46 ภาคเอกชน อัตราเพ่ิมของระดับราคาและดัชนีราคา ราคาน้ามันดิบ ภาษีอากรและการใช้จ่ายของรัฐบาล หน้ี สาธารณสุขเงนิ คงคลัง การเงินการธนาคาร เปน็ ต้น 3. สงั คมและวัฒนธรรม (Sociocultural Component = S) เปน็ การวิเคราะหส์ ภาวะทางสังคม และวัฒนธรรม ซ่ึงหมายถึงโครงสร้างทางสังคมท่ีเกี่ยวข้องกับการดาเนินงานขององค์กร อาทิเช่น ระดับ การศึกษา อัตราการรู้หนังสือของประชากร จานวนประชากร โครงสร้างของประชากรขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเช่ือ ค่านิยมและวัฒนธรรม แบบแผนการดาเนินชีวิตและพฤติกรรมการประกอบอาชีพ คุณภาพชีวิต ลักษณะของชุมชนและการตั้งถ่ินฐาน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม การ กระจายรายได้และความเป็นธรรมในสังคม สภาพของบ้านเมืองและลักษณะทางภูมิศาสตร์โครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณปู โภค สาธารณปู การ การคมนาคมและการตดิ ต่อส่อื สาร เป็นต้น 4. เทคโนโลยี (Technological Component = T) เป็นการวิเคราะห์สภาพการเปล่ียนแปลง ทางด้านเทคโนโลยีท่ีจะมีผลต่อการดาเนินงาน เช่น การผลิตคิดค้นเทคโนโลยีต่าง ๆ เคร่ืองจักรกลทาง อุตสาหกรรม ความรู้และวิทยาการแขนงต่าง ๆ การใช้เทคโนโลยีเพ่ือการสื่อสาร การแลกเปล่ียนความรู้ ระหว่างองค์กร ความก้าวหน้าด้านวิจัยและพัฒนาในสาขาที่เก่ียวข้อง รวมถึงการเสริมสร้างประสิทธิภาพการ ผลิตและการใหบ้ ริการ โดยใชอ้ ุปกรณ์อัตโนมตั ติ ่าง ๆ เป็นตน้ (Aguilar, 1967; Mind tool Ltd, 2016) 6. แนวคดิ เกยี่ วกับธรรมาภบิ าล (Good Governance) และบริบทในประเทศไทย
นกั บรหิ ารงานท่ัวไป รนุ่ ที ๘๔ การกากับดูแลองคการภาครัฐตามหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Good หนา้ Governance) เปนหลักการสากลที่ได้ถูกอางถึงครั้งแรกในรายงานของธนาคารโลก (World Bank) เมื่อปี 47 ค.ศ. 1989 เรื่อง \"Sub-Sahara Africa from Crisis to Sustainable Growth\" กล่าวถึง ความสาคัญของการ มี Governance และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมท้ังได้อธิบายเกี่ยวกับการกากับดูแลที่ดีหรือธรรมาภิบาล ว่าเป็น \"ลักษณะและวิถีทางของการใชอานาจในการใช้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจและทางสังคมของประเทศเพื่อการ พัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งครอบคลุมการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ การบริหารจัดการภาครัฐ ภาระรับผิดชอบ กรอบตัวบทกฎหมายเกยี่ วกับการพัฒนาความโปร่งใสและข้อมูลข่าวสาร\" ตามกองทนุ การเงนิ ระหวา่ งประเทศ (International Monetary Fund) ทาการศึกษาและวิเคราะห์การให้ประเทศตางๆ กู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พบว่า ปัจจัยสาคัญประการหน่ึงท่ีนาไปสู่ความสาเร็จในการฟ้ืนฟูระบบเศรษฐกิจของประเทศ คือ การท่ี ประเทศน้ันมี Good Governance ต่อจากนั้น แนวความคิดเก่ียวกับ Good Governance ได้รับการ ถ่ายทอดผ่านหน่วยงานต่าง ๆ เช่น คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสาหรับเอเชียและแปซิฟิกแห่ง สหประชาชาติ (The United Nations Economic and Social Commission for Asia and the Pacific : UNESCAP) สานักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Program : UNDP) และองค์การเพ่ือความรวมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co- operation and Development : OECD) เป็นตน้ สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) (2552) ได้กล่าวถึงแนวคิดและความของ หลักธรรมาภบิ าลหรอื การบริหารกจิ การบา้ นเมอื งท่ีดี ไว้ดงั ตอ่ ไปนี้ จากวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดข้ึนในประเทศไทย ในปี พ.ศ.2540 สงผลกระทบตอทุกภาคสวนของ สังคม ซึ่งสาเหตุสาคัญสวนหน่ึงเกิดจากการบริหารจัดการในระดับชาติและระดับองคกรท้ังในภาครัฐและ เอกชนมีความบกพร่องและขาดประสิทธิภาพ รวมถึง การกระทาผิด ทุจริต และขาดจรยิ ธรรม ส่งผลให้ประเทศไทยมีการบังคับใช้และปรับแกกฎหมายต่าง ๆ เพื่อก่อให้เกิดและเสริมสรางธรร มาภิบาลในการบริหารจัดการทุกภาคส่วนภายในประเทศ ตังปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. 2542 (ยกเลกิ เม่ือเดือนสงิ หาคม 2547) พระราชบญั ญตั ิระเบียบบริหารราชการแผ่นดนิ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 3/1 พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑและวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และ รฐั ธรรมนญู แหงราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550 สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ในฐานะท่ีเป็นหน่วยงานหลักในการ ส่งเสริมให้การพัฒนาระบบราชการดาเนินไปอย่างต่อเน่ืองและยั่งยืน จึงได้กาหนดยุทธศาสตร์และนโยบายที่ ชัดเจนไว้ในแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย พ.ศ. 2551 - 2555 เพื่อมุ่งเน้นและส่งเสริมให้ หน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ได้แก่ ส่วนราชการ จังหวัด องค์การมหาชนและสถาบันอุดมศึกษา มีความรู้ความ
นกั บรหิ ารงานทั่วไป รุ่นที ๘๔ เข้าใจ เก่ียวกับการมีการกากับดูแลองค์การภาครัฐตามหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Good Governance Rating) และนาไปปฏิบัติอย่างเปนรูปธรรมสู่มาตรฐานสากล เพื่อบรรลุเป้าประสงค์ ประโยชนส์ ุขของประชาชนและรกั ษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ภารกจิ หลกั ประการหน่ึงของสานักงาน ก.พ.ร. คอื การส่งเสริมให้ระบบราชการไทยนา หลกั การ บริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี มาใช้ในการบริหารราชฯการแผ่นดิน เพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและ ประชาชน ตามเจตนารมณ์ของมาตรา 3/1 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2545 และพระราชกฤษฎกี าว่าด้วยหลักเกณฑแ์ ละวธิ กี ารบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี พ.ศ. 2546 หลักธรรมาภิบาลหรือการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี ประกอบไปด้วย 10 หลัก ได้แก่ หลักการ ต อ บ ส น อ ง ( Responsiveness) ห ลั ก ป ร ะ สิ ท ธิ ผ ล ( Effectiveness) ห ลั ก ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ / คุ้ ม ค่ า (Efficiency/Value for money) หลักความเสมอภาค (Equity) หลักมุ่งเน้นฉันทามติ (Consensus Oriented) หลักการตรว จสอบได้/มีภ าระรับผิดช อบ ( Accountability) หลักเปิดเผย/โ ปร่งใส (Transparency) หลกั การกระจายอานาจ (Decentralization) หลักการมีส่วนร่วม (Participation) และหลัก นิติธรรม (Rule of Law) อย่างไรก็ตาม อ.ก.พ.ร. เกี่ยวกับการส่งเสริมการบรหิ ารกิจการบ้านเมืองท่ดี ี ในการประชุมครงั้ ท่ี หน้า 3/2554 เม่ือวันที่ 13 กันยายน 2554 ได้มีข้อสังเกตว่าหลักธรรมาภิบาลหรือการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี 48 10 หลักดังกล่าว เป็นหลักที่จายาก จึงควรจัดกลุ่มใหม่ (Regroup) โดยรวมเรื่องที่เก่ียวข้องไว้ด้วยกันเป็น หมวดหมู่ เพื่อให้เป็นหลักการที่ง่ายต่อความเข้าใจและการนาไปปฏิบัติ และให้นาเสนอต่อ ก.พ.ร. และ คณะรัฐมนตรี เพ่อื ประกาศใชต้ ่อไป สานกั งาน ก.พ.ร. จึงได้ศกึ ษาข้อมูลเพ่ิมเติม และหารือในเบื้องตน้ กับประธาน อ.ก.พ.ร. เกยี่ วกับ การสง่ เสรมิ การบรหิ ารกจิ การบ้านเมืองท่ีดี (ศาสตราจารย์ ตร.วิษณุ เครอื งาม) เพื่อนามาประกอบการปรับปรุง หลักธรรมาภบิ าลหรือการบริหารกิจการบ้านเมืองทดี่ ีใหม่ ใหเ้ ขา้ ใจได้ง่ายขึ้นสะดวกตอ่ การจดจาและการนาไป ปฏิบัติ รวมทั้งมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพบริบทของประเทศไทย โดยได้นาเอาประเด็นที่มี ความสัมพันธ์เก่ียวข้องรวมไว้ด้วยกันเป็นหมวดหมู่ นอกจากนี้ยังได้ให้ความสาคัญในเรื่องความรับผิดชอบ ทางการบริหาร โดยเพ่ิมเติมในเร่ืองการสร้างจิตสานึกด้านคุณธรรมและจริยธรรม อันเป็นไปตามบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2550 มาตรา 279 ซ่ึงได้กาหนดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม สาหรับผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมืองข้าราชการ หรอื เจา้ หน้าที่ของรัฐแต่ละประเภทไว้ด้วย จากผลการศึกษาดังกล่าว ทาให้ได้หลักธรรมาภิบาลหรือการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (GG Framework) ซึ่งประกอบดว้ ย 4 หลักการสาคญั และ 10 หลกั การยอ่ ย ดงั น้ี 1. การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ประกอบด้วยหลัก ประสทิ ธภิ าพ (Efficiency) หลกั ประสทิ ธิผล (Effective) และหลกั การตอบสนอง (Responsive)
นักบรหิ ารงานทัว่ ไป รุ่นที ๘๔ 2. ค่านิยมประชาธิปไตย (Democratic Value) ประกอบ ด้วยหลักภาระรับผิดชอบ/สามารถ หน้า ตรวจสอบได้ (Accountability) หลักความเปิดเผย/โปร่งใส (Transparency) หลักนิติธรรม (Rule of Law) 49 และหลักความเสมอภาค (Equity) 3. ประชารัฐ (Participatory State) ประกอบด้วยหลกั การกระจายอานาจ (Decentralization) และหลกั การมีส่วนรว่ ม/การม่งุ เนน้ ฉนั ทามติ (Participation/Consensus Oriented) 4. ความรับผิดชอบทางการบริหาร (Administrative Responsibility) ประกอบด้วยหลัก คุณธรรม/จริยธรรม (Morality/Ethics) ต่อมา อ.ก.พ.ร. เก่ียวกับการส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ในการประชุมครั้งท่ี 4/2554 เม่ือวันท่ี 17 พฤศจกิ ายน 2554 ได้พจิ ารณาเห็นชอบกับข้อเสนอแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิ บาลในภาคราชการเพ่ือการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดีอย่างยั่งยืน และเห็นชอบหลักธรรมาภิบาลหรือการ บริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (GG Framework) ซ่ึงประกอบด้วย 4 หลักการสาคัญ และ 10 หลักการย่อย ดังกล่าวข้างต้นและโดยท่ีในบริบทของประเทศไทยอาจไม่สามารถใช้แนวทางฉันทามติกับทุกเรื่องได้ จึงเป็น ควรรวมหลักนี้ไว้กับหลักการมีส่วนร่วม และปรับถ้อยคาเป็นหลักการมีส่วนร่วม/การพยายามแสวงหาฉันทา มติ (Participation/Consensus Oriented) และ ก.พ.ร. ในการประชุมครั้งท่ี 7/2554 เม่ือวันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 ได้มีมติเห็นชอบ ข้อเสนอแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อ การบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดีอย่าง ยั่งยืน และให้นาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป โดยหลักธรรมาภิบาลหรือการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (GG Framework) เปน็ สว่ นหนึ่งในข้อเสนอแผนการสง่ เสรมิ ฯ ดังกล่าว ซง่ึ คณะรฐั มนตรี ในการประชุมเมื่อวันท่ี 24 เมษายน 2555 ได้มีมติเห็นชอบกับข้อเสนอแผนการส่งเสริมและ พัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการ เพ่ือการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน ตามท่ี สานักงาน ก พ.ร. โดยท่ีหลกั ธรรมาภิบาลของการบรหิ ารกิจการบ้านเมืองที่ดี (GG Framework) เปน็ ในขอ้ เสนอแผนการสง่ เสริม ฯ ท่คี ณะรฐั มนตรีได้มีมตเิ หน็ ชอบแล้ว สาหรับความหมายของหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (GG Framework) ทงั้ 4 หลักการสาคัญ และ 10 หลักการยอ่ ย มีดังน้ี 1. การบริหารจดั การภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ประกอบดว้ ย 1.1 ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด เกิดผลิตภาพท่ีคุ้มค่าต่อการลงทุนและบังเกิดประโยซน์สูงสุดต่อส่วนรวม ท้ังนี้ ต้องมีการลดขั้นตอนและ ระยะเวลาในการปฏิบัติงานเพ่ืออานวยความสะดวก และลดภาระค่าใช้จ่ายตลอดจนยกเลิกภารกิจท่ีล้าสมัย และไม่มคี วามจาเป็น
นกั บริหารงานทั่วไป รนุ่ ที ๘๔ 1.2 ประสิทธิผล (Effectiveness) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องมีวิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ปฏิบัติหน้าที่ตามพันธกิจให้บรรจุ วตั ถุประสงค์ขององค์การ มีการวางเป้าหมายการปฏิบตั ิงานทช่ี ดั เจนและอยู่ในระดับที่ตอบสนองต่อความคาด หวังของประชาชน สร้างกระบวนการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐาน มีการจัดการความเสี่ยงแล ะ มุ่งเน้นผลการปฏิบัติงานเป็นเลิศ รวมถึงมีการติดตามประเมินผลและพัฒนาปรับปรุงการปฏิบัติงานให้ดีข้ึน อยา่ งต่อเนื่อง 1.3 การตอบสนอง (Responsiveness) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องสามารถบริการได้ อยา่ งมคี ุณภาพ สามารถดาเนินการแล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กาหนด สรา้ งความไว้วางใจ รวมถงึ ตอบสนอง ตามความคาดหวัง/ความต้องการของประชาชนผูร้ ับบริการ และผูม้ ีสว่ นไดส้ ่วนเสียที่มีความหลากหลายและมี ความแตกตา่ งกนั ได้อย่างเหมาะสม 2. คา่ นยิ มประชาธปิ ไตย (Democratic Value) ประกอบด้วย 2.1 ภาระรับผิดชอบ/สามารถตรวจสอบได้ (Accountability) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการ ต้องสามารถตอบคาถามและชี้แจงได้เม่ือมีข้อสงสัย รวมท้ังต้องมีการจัดวางระบบการรายงานความก้าวหน้า และผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ต่อสาธารณะเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบและการให้คุณให้โทษ หน้า ตลอดจนมีการจดั เตรียมระบบการแก้ไขหรอื บรรเทาปญั หาและผลกระทบใดๆ ทอ่ี าจจะเกิดขน้ึ 50 2.2 เปิดเผย/โปร่งใส (Transparency) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องปฏิบัติงานด้วยความ ซื่อสัตย์สุจริต ตรงไปตรงมา รวมท้ังต้องมีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่จาเป็นและเช่ือถือได้ให้ประชาชนได้รับ ทราบอย่างสม่าเสมอ ตลอดจนวางระบบให้การเข้าถงึ ข้อมลู ขา่ วสารดังกล่าวเปน็ ไปโดยง่าย 2.3 หลักนิติธรรม (Rule of Law) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องใช้อานาจของกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับในการปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด ด้วยความเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และคานึงถึงสิทธิ เสรีภาพของประชาชนและผูม้ ีสว่ นไดส้ ่วนเสียฝ่ายต่างๆ 2.4 ความเสมอภาค (Equity) หมายถึง ในการปฏิบตั ิราชการต้องให้บริการอยา่ งเท่าเทยี มกัน ไม่ มกี ารแบ่งแยกตา้ นชายหญงิ ถ่นิ กาเนดิ เช้อื ชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม และอื่นๆ อีกทั้งยังต้องคานึงถึงโอกาส ความเทา่ เทียมกันของการเข้าถึงบริการสาธารณะของ กลุ่มบคุ คล ผูด้ ้อยโอกาสในสงั คมดว้ ย 3. ประชารฐั (Participatory State) ประกอบด้วย 3.1 การมีส่วนร่วม/การพยายามแสวงหาฉันทามติ (Participation/Consensus Oriented) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องรับฟังความต้องการของประชาชน รวมทั้งเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมใน การรับรู้ เรียนรู้ ทาความเข้าใจ ร่วมแสดงทัศนะ ร่วมเสนอปัญหา/ประเด็นที่สาคัญท่ีเกี่ยวข้องร่วมคิดแก้ไข ปัญหา ร่วมในกระบวนการตัดสนิ ใจและการดาเนนิ งานและร่วมตรวจสอบผลการปฏบิ ัตงิ าน ทั้งน้ี ต้องมีความ
นักบริหารงานทั่วไป ร่นุ ที ๘๔ พยายามในการแสวงหาฉันทามติหรือข้อตกลงร่วมกันระหว่างกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เก่ียวข้อง โดยเฉพาะ หนา้ กลมุ่ ท่ีไดร้ บั ผลกระทบโดยตรงจะต้องไม่มีขอ้ คัดค้านที่หาข้อยตุ ไิ ม่ได้ในประเดน็ ทีส่ าคญั 51 3.2 การกระจายอานาจ (Decentralization) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการควรมีการมอบ อานาจและกระจายความรับผิดชอบในการตัดสินใจและ การดาเนินการให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในระดับต่าง ๆ ได้ อย่างเหมาะสม รวมท้ังมีการโอนถ่ายบทบาทและภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือภาคส่วนอื่น ๆ ในสงั คม 4. ความรับผิดชอบทางการบรหิ าร (Administrative Responsibility) ประกอบด้วย คุณธรรม/ จริยธรรม (Morality/Ethics) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องมีจิตสานึกความรับผิดชอบในการปฏิบัติ หน้าท่ีให้เป็นไปอย่างมีศีลธรรม คุณธรรม และตรงตามความคาดหวังของสังคม รวมท้ังยึดม่ันในค่านิยมหลัก ของมาตรฐานจริยธรรมสาหรบั ผู้ดารงตาแหนง่ ทางการเมืองและเจ้าหน้าท่ีของรฐั ประมวลจริยธรรมขา้ ราชการ พลเรอื น และจรรยาบรรณวชิ าชีพตลอดจน คณุ ลักษณะที่พึงประสงค์ของระบบราซการไทย 8 ประการ (I AM READY) อนั ไดแ้ ก่ I - Integrity ซื่อสตั ย์และกล้ายืนหยดั ในส่งิ ท่ีถกู ตอ้ ง A - Activeness ทางานเชิงรกุ คิดเชิงบวกและมจี ติ บริการ M - Morality มศี ลี ธรรม คุณธรรมและจรยิ ธรรม R - Responsiveness คานงึ ถงึ ประโยชนส์ ขุ ของประชาชนเปน็ ทตี่ ัง้ E - Efficiency มงุ่ เนน้ ประสิทธิภาพ A - Accountability ตรวจสอบได้ D - Democracy ยดึ ม่นั ในหลกั ประซาธปิ ไตย Y - Yield มุ่งผลสัมฤทธิ์ 7. แนวคดิ เกย่ี วกบั การกีฬา การกีฬานับเปน็ เคร่ืองมือในการส่งเสรมิ สขุ ภาพและคุณภาพชีวิตท่ีดีให้กับมนุษย์ ซ่ึงแต่ละบุคคล มบี รบิ ทในการใช้การกีฬาทม่ี ีความแตกต่างกนั ออกไปตามวตั ถุประสงค์ท่ีมีความแตกตา่ งกนั โดยท่ี Mull et al. (2005) ได้กล่าวถึง กีฬาเพื่อนันทนาการ (Leisure Sport) เอาไว้ว่า ไม่ว่าการจัดการกีฬาหรือองค์กรกีฬาใน สาขาใด ที่มีการนาส่งเกี่ยวกับด้านการกีฬาในฐานะเป็นผลิตภัณฑ์หน่ึงมักจะมีรูปแบบในการจัดการกีฬาเพ่ือ นันทนาการ ในลักษณะของวัตถุประสงคท์ ่ีสาคญั อยู่ 4 ประการ ได้แก่ 1. เพอื่ ความสนกุ สนาน (Fun) 2. เพ่อื สมรรถภาพทางกาย (Fitness) 3. เพื่อความเพลิดเพลิน (Enjoyment) 4. เพือ่ ความบันเทิง (Diversion)
นกั บรหิ ารงานทัว่ ไป รนุ่ ที ๘๔ โดยท่ีวัตถุประสงค์ของการกีฬาเพ่ือนันทนาการนั้น ก็มีความเก่ียวข้องในบริบทของการมีส่วน ร่วม(Participation) ของผู้เข้าร่วม (Participants) และการเข้าชม (Spectation) ของผู้ชม (Spectators) กับ ประเภทของกฬี าแต่ละระดับ อนั ได้แก่ 1. กีฬาเชิงการศกึ ษา (Educational Sport) 2. กฬี าเชงิ นันทนาการ (Recreational Sport) 3. กฬี าเชิงการแข่งขัน เน้นความสามารถ (Athletic Sport) 4. กีฬาเชงิ การอาชีพ (Professional Sport) ซึ่งกีฬาเชิงการศึกษา จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมมากที่สุด รองลงมาคือกีฬาเชิง นันทนาการกีฬาเชิงการแข่งขัน และกฬี าเชิงการอาชีพ ตามลาดบั ในทางกลบั กัน กฬี าเชิงการอาชีพ จะมีสว่ น เกี่ยวข้องกับการเข้าชมและผู้ชม มากท่ีสุด รองลงมาคือกีฬาเชิงการแข่งขัน กีฬาเชิงนันทนาการ และกีฬาเชิง การศึกษา ตามลาดับ นอกจากน้ี การมีส่วนร่วมและผู้เข้าร่วม ก็จะมีความเก่ียวข้องกับวัตถุประสงค์ของการ จัดการกีฬาเพื่อนันทนาการ (Leisure Sport) เพ่ือความสนุกสนานและเพ่ือสมรรถภาพทางกายมากกว่าใน สว่ นของการเข้าชมและผชู้ ม ซึ่งจะมคี วามเกยี่ วขอ้ งกับวตั ถุประสงค์ ของการจดั การกีฬาเพ่ือนันทนาการ (Leisure sport) เพ่อื ความเพลิดเพลนิ และเพ่ือความบันเทิง หนา้ เสยี มากกว่าในระดบั นานาชาตินนั้ กระบวนการที่สาคัญท่ีสุดในการส่งเสรมิ ดา้ นการกีฬาให้กับมวลมนษุ ยชาติก็ 52 คอื กระบวนการโอลมิ ปกี (Olympic Movement ซ่ึงหมายถงึ กระบวนการอนั เกิดขึน้ จากการดาเนินงานของ ผู้ที่มีความเห็นด้วยกับแนวทางของกฎบัตรโอลิมปิก (Olympic Charter) และผู้ท่ีรับรองอานาจของ คณะกรรมการโอลิมปีกสากล (International Olympic Committee หรือ IOC) รวมไปถึง สหพันธ์กีฬา ระหว่างประเทศ (International Federations หรือ IF) ของกีฬาที่มีการแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก คณะกรรมการโอลิมปีกแห่งชาติ (National Olympic Committees หรือ NOCs) คณะกรรมการจัดการ แขง่ ขันกฬี าโอลมิ ปกิ (Organizing Committees of the Olympic Games หรอื OCOGs) นักกีฬา กรรมการ ผู้ตดั สนิ และผูต้ ดั สิน สมาคม ชมรม รวมไปถึงองคก์ รและสถาบนั ท่ไี ด้รับการรับรองจากคณะกรรมการโอลิมปีก สากล โดยมีคณะกรรมการโอลิมปีกสากล (International Olympic Committee หรือ I0C) ซ่ึงเป็นองค์การ ทม่ี ีอานาจสูงสุดในการปกครองของกระบวนการโอลิมปีกคอยทาหน้าทีส่ รา้ งแรงกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือกัน ระหว่างสมาชิกทุกกลุ่มในครอบครัวโอลิมปิก (Olympic Family) ทั้งนี้ กระบวนการโอลิมปีก (Olympic Movement) กาหนดให้แนวคิดด้านการส่งเสริมการกีฬาเพื่อมวลชน (Sport For All) เป็นหนึ่งในแนวทาง เผยแพร่ความเปน็ โอลิมปีกนยิ ม (Olympism) ให้กับกระบวนการโอลิมปีก (Olympic Movement) ในระดับ นานาชาติ ดังปรากฎให้เห็นในส่ือการเผยแพร่กิจกรรมด้านการกีฬาเพ่ือมวลชน (Sport For All) ของ กระบวนการโอลมิ ปิก (Olympic Movement) ความวา่ \"ความสาเรจ็ ของการส่งเสรมิ ด้านการกีฬาเพ่ือมวลชน
นกั บริหารงานทั่วไป รนุ่ ที ๘๔ จะสามารถนาไปส่สู ุขภาพสว่ นบุคคลที่ดีขึ้น สังคมที่แขง็ แรงข้ึน และความย่ังยืนของกระบวนการด้านการกีฬา\" หน้า (International Olympic Committee, 2014) 53 กีฬาเพ่ือมวลชน (Sport for All) เป็นหน่ึงในแนวคิดท่ีแสดงถึงความเป็นโอลิมปีกนิยม (Olympism) ของกระบวนการโอลิมปิก (Olympic Movement) มีวัตถุประสงค์เพื่อนากิจกรรมทางกายและ การกฬี ามาเป็นเคร่ืองมือในการเสรมิ สร้างและพฒั นาด้านสุขภาพและประโยชน์ของสงั คมให้กับมวลมนุษยชาติ กระบวนการ โอลิมปิก ได้ดาเนินการส่งเสรมิ การกีพาเพื่อมวลชนโดยการจัดให้มีคณะกรรมการกีฬาเพือ่ มวลซน (Sport for All Commission) ซึ่งอยู่ภายใต้การกากับ ดูแล ของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (International Olympic Committee) ซึ่งมีอานาจสูงสุดในการบริหารกระบวนการโอลิมปิก (Olympic Movement) การขับเคลื่อนนโยบายดา้ นการกีฬาเพื่อมวลชน ท่ีดาเนินการโดยคณะกรรมการกีฬาเพ่ือมวลชน (Sport for All Commission) น้ัน กระทาโดยการจัดให้มีการประชุมสัมมนาใหญ่ (World Sport for All Congress) ขนึ้ โดยอาศัยความรว่ มมอื ระหวา่ ง The International Olympic Committee (IOC), The United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization (UNESCO), The World Health Organization (WHO) แ ล ะ The General Association of International Sports Federations (GAISF) สาระสาคญั ที่แสดงถงึ ความสาคญั ของนโยบายการกีฬาเพ่ือมวลชนในระดบั นานาชาติ ในฐานะที่ การกีฬาเพื่อมวลซนนับเป็นสิทธิพึงได้รับของมนุษยชนในโลก (Sport for all commission, 2010) มี ดังต่อไปนี้ 1. ความต้องการด้านโอกาสในการมีกิจกรรมทางกายที่มีความเหมาะสมและเท่าเทียมผ่านการ เข้าถึงสถานที่ อุปกรณ์และส่ิงอานวยความสะดวก และแหล่งต่าง ๆ เป็นสิ่งจาเป็นที่ควรจัดสรรกับชุมชนทุก แห่ง เพอ่ื สง่ เสริมใหเ้ กิดการมีส่วนร่วมผ่านการจัดหาของชุมชนทัง้ ในด้านกจิ กรรมสร้างความสนกุ สนาน เกมส์พน้ื บา้ น และการเล่นกีฬา 2. ภัยคุกคามและค่าใช้จ่ายท่ีเกิดขึ้นกับสังคม มาจากการลดระดับลงของกิจกรรมทางกาย โดยเฉพาะในวยั หนมุ่ สาว และมีกจิ กรรมทางกายในทท่ี างานอยู่ในระดบั ท่ตี ่ากว่าซึ่งนบั เปน็ ปญั หาระดบั โลก 3. ความต้องการอาหารและพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ จะช่วยลด อบุ ตั กิ ารณข์ องโรคอว้ นและโรคเรือ้ รงั
นกั บริหารงานท่วั ไป รุ่นที ๘๔ 4. ประโยชน์ทางสังคมและสุขภาพ มาจากการลดพฤติกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหว โดยฉพาะ กิจกรรมหน้าจอทุกชนิด เช่น การเล่นคอมพิวเตอร์เกมส์ การเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค การดูโทรทัศน์ เปน็ ต้น 5. คุณค่า และการเพิ่มประชากรของกิจกรรมทางกายที่ไม่มีรูปแบบและมีความหนักปานกลาง อย่างกิจกรรมนันทนาการท่ีไมใ่ ช่การแข่งขนั เชน่ การว่ิงเหยาะ การเดนิ การปน่ั จักรยาน เปน็ ตน้ และการเล่น เกมสป์ ระยกุ ตก์ ติกา นั้น กาลังเปน็ สิง่ ทผ่ี สมผสานอย่ใู นชีวติ ประจาวนั 6. ความสาคัญของการกาหนดเป้าหมายและสรา้ งแรงจูงใจให้กับคนหนุ่มสาวเป็นการบูรณาการ ในช่วงเร่ิมต้นของกิจกรรมทางกาย รวมไปถึงกิจกรรมกีฬาและนันทนาการที่ไม่มีรูปแบบและการพลศึกษาที่ โรงเรยี นไปสูก่ ิจกรรมในชีวติ ประจาวัน จะสร้างพฤติกรรมจนเป็นลกั ษณะนสิ ัยไปตลอดชว่ งชวี ิต นอกจากน้ี แผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับท่ี 5 (พ.ศ. 2555 - 2559) ยังได้ให้ความหมายของ คาว่า กฬี าเพื่อมวลชน เอาไว้ว่า หมายถงึ การออกกาลังกายหรือการเล่นกีฬา รวมทง้ั การออกกาลงั กายในการ ประกอบอาชีพหรือการออกกาลังกายในชีวิตประจาวัน ท่ีประชาชนทุกกลุ่มรวมทั้งบุคคลกลุ่มพิเศษ และ ผู้ดอ้ ยโอกาสได้ออกกาลงั กายและเล่นกีฬาให้เหมาะสมกบั สภาพร่างกายของตน เพ่อื มีสขุ ภาพดี และมีคุณภาพ ชวี ิต (กระทรวงการทอ่ งเที่ยวและกีฬา, 2555) หน้า 8. แนวคิดเกยี่ วกบั การนันทนาการ 54 8.1 ความหมายและประเภทของนนั ทนาการ นนั ทนาการเป็นศาสตรท์ ีว่ ่าด้วยการพัฒนาคุณภาพชวี ิตของบุคคลและสังคม โดยใชเ้ วลาวา่ งหรือ เวลาอิสระเข้าร่วมกิจกรรม ในรูปแบบที่หลากหลายตามความสมัครใจและความสนใจ ซึ่งสมบัติ กาญจนกิจ (2557) ได้กล่าวถึงความหมายในลักษณะท่ีแตกต่างกันของนันทนาการเอาไว้ในหลากหลายมุมมอง อัน ไดแ้ ก่ นันทนาการ หมายถึง การทาให้สุดชื่นหรือการสร้างพลังข้ึนมาใหม่ (Re+Fresh, Re+Creation) เป็นความหมายเริ่มแรกท่ีได้มีการอธิบายว่า การท่ีบุคคลได้รับประทานอาหารเข้าไปแล้วเปล่ียนเป็นพลังงาน โดยแรงขับภายใน จะทาให้เขาต้องใช้พลังงานในรูปแบบของการเคลื่อนไหวหรือทากิจกรรมต่าง ๆ แล้ว ก่อให้เกิดการเหน่ือย เม่ือยล้า ดังน้ันบุคคลจึงต้องการนันทนาการเพื่อสร้างพลังข้ึนมาใหม่หรือสร้างความสด ช่ืนขึ้นมาอีกครั้งหน่ึง หรือการที่บุคคลมีความต้องการเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการเพื่อสร้างความสดชื่นและ สร้างพลังงานขน้ึ มาใหม่ในรูปแบบของการเล่น การแสดงออกในด้านกีฬาดนตรี ศลิ ปะ งานอดเิ รก หรือไปท่อง ปา่ เปน็ ต้น นันทนาการ หมายถึง กิจกรรม (Activities) ซึ่งมีรูปแบบกิจกรรมท่ีหลากหลาย การที่บุคคลหรอื ชมุ ชนไดม้ ีสว่ นร่วมในกิจกรรมตามความสนใจของตน แล้วกอ่ ใหเ้ กดิ ผลการพัฒนาอารมณ์สุข สนุกสนาน และ/
นักบรหิ ารงานทัว่ ไป รุ่นที ๘๔ หรือสุขสงบ กิจกรรมในที่นี้หมายถึง กิจกรรมประเภทเกม กีฬา ศิลปะ ดนตรีการแสดงละคร การเดินทาง ทอ่ งเท่ียว การอย่คู ่ายพักแรม งานอาสาสมัคร งานอดิเรก กฬี าทา้ ทาย เปน็ ตน้ นันทนาการ หมายถึง กระบวนการ (Process) กล่าวคือ นันทนาการเป็นกระบวนการในการ พัฒนาประสบการณ์ หรือพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลหรือสังคม โดยอาศัยกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ เป็น ส่ือ ในช่วงเวลาว่าง เวลาอิสระ โดยท่ีบุคคลเข้าร่วมโดยความสมัครใจ หรือมีแรงจูงใจแล้วส่งผลให้เกิดการ พฒั นาอารมณส์ ขุ สนกุ สนาน และสงบสุข นันทนาการ หมายถึง สวัสดิการสังคม (Social Welfare) นันทนาการ คือ สถาบันทางสังคม สวัสดิการทางสังคม ซ่ึงรัฐบาลและฝ่ายบริหารท้องถ่ินจะต้องมีหน้าท่ีจัดการให้บริการแก่ชมชนเพื่อสร้าง บรรยากาศของเมืองและของประเทศให้น่าอยู่มีความอบอุ่นใจ เช่น จัดอุทยานแห่งชาติ วนอุทยานแห่งชาติ ศนู ย์เยาวชน สวนสาธารณะ เปน็ ต้น นอกจากน้ี เทพประสิทธิ์ กุลธวัชวิชัย (2556) ยังได้กล่าวถึงนันทนาการไว้ว่า นันทนาการ (Recreation) หมายถึง กิจกรรมเวลาว่างที่สร้างสรรค์เป็นประโยชน์ มีคุณค่าสาหรับบุคคลที่เข้าร่วมกิจกรรม ด้วยความสมัครใจและสง่ ผลโดยตรงต่อผูเ้ ขา้ รว่ ม ช่วยพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ของบุคคล ซ่งึ เป็น เป้าหมายของนันทนาการ คือ การกระทาให้ชีวิตมีคุณภาพ หมายถึงการมีคุณภาพชีวิตท่ีดีกวา่ ที่ เป็นอยนู่ ัน่ คือมคี วามสุขท่ีสมบรู ณ์ประกอบดว้ ยสองสว่ น ได้แก่ สุขภาพทางกายและสขุ ภาพจิตใจ หนา้ 55 กล่าวโดยสรุปได้ว่า นันทนาการ หมายถึง การประกอบกิจกรรมที่ทาให้เกิดคุณคา่ ทางจติ ใจ และ อาจส่งผลใหเ้ กิดประโยชน์ทางกาย ซ่ึงผู้ประกอบกิจกรรมกระทาดว้ ยความเต็มใจ ในเวลาท่ีผปู้ ระกอบกจิ กรรม มีความสะดวกท่ีจะประกอบกิจกรรม และก่อให้เกิดผลในการพั ฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ประกอบกิจกรรม นนั ทนาการตอ่ ไป กิจกรรมนันทนาการมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เป็นการพักผ่อน หย่อนใจ และเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ อีกท้ังยังเป็นการเพ่ิมทักษะความสามารถของผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม นันทนาการ ซ่งึ สมบัติ กาญจนกิจ (2557) ได้แบง่ ประเภทของกิจกรรมนันทนาการออกเป็น 15 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. กิจกรรมนันทนาการศลิ ปะหัตถกรรม 2. กิจกรรมนนั ทนาการเกมสก์ ฬี า 3. กิจกรรมนนั ทนาการการเตน้ รา 4. กิจกรรมนันทนาการท่องเทยี่ วทศั นศึกษา 5. กิจกรรมนันทนาการพฒั นาจิตใจและความสงบสขุ 6. กจิ กรรมนนั ทนาการการละคร 7. กจิ กรรมนันทนาการงานอดิเรก
นกั บริหารงานทวั่ ไป รุน่ ที ๘๔ 8. กจิ กรรมนนั ทนาการการดนตรีและร้องเพลง 9. กิจกรรมนนั ทนาการกลางแจ้ง/นอกเมอื ง 10. กิจกรรมนันทนาการสงั คม 11. กจิ กรรมนันทนาการในโอกาสเทศกาลพเิ ศษ 12. กิจกรรมนนั ทนาการวรรณกรรม (อ่าน พดู เขยี น) 13. กิจกรรมนันทนาการบริการอาสาสมัคร 14. กิจกรรมนันทนาการพฒั นาสุขภาพและสมรรถภาพ 15. กิจกรรมนนั ทนาการกล่มุ สมั พนั ธแ์ ละมนุษสมั พันธ์ นอกจากน้ี เทพประสิทธิ์ กลุ ธวชั วิชยั (2556) ยงั ได้จาแนกประเภทย่อยของกิจกรรมนันทนาการ ที่มีอยู่หลายลักษณะ แล้วแต่กรณีว่าจะอาศัยจุดมุ่งหมายหรือใช้สิ่งใดเป็นตัวกาหนดประเภทของกิจกรรม นนั ทนาการ รายละเอียดดงั ต่อไปนี้ 1. การแบ่งตามหนว่ ยงานหรือผูท้ ีร่ ับผิดชอบ ได้แก่ 1.1 นันทนาการของรัฐ 1.2 นนั ทนาการเอกชน หนา้ 1.3 นันทนาการทงั้ รฐั และเอกชน หรอื องคก์ ร สมาคม สโมสร มลู นิธิ 56 1.4 นันทนาการครอบครัวและบุคคล 2. การแบ่งตามจุดหมาย ได้แก่ 2.1 นันทนาการอาสา 2.2 นันทนาการสาธารณะ 2.3 นนั ทนาการธุรกจิ 2.4 นันทนาการชุมชน 2.5 นันทนาการอาชีพ 2.6 นันทนาการสาหรบั ผ้สู ูงอายุ 2.7 นันทนาการทางสังคม 2.8 นนั ทนาการสาหรบั เยาวชน 2.9 นันทนาการประเภทอนรุ กั ษ์ 3. การแบง่ ตามสถานท่ที ่จี ดั ไดแ้ ก่ 3.1 นันทนาการในบา้ น 3.2 นันทนาการในโรงเรยี นหรือสถานศกึ ษา 3.3 นันทนาการในโรงงาน
นักบริหารงานทว่ั ไป รุ่นที ๘๔ 3.4 นนั ทนาการในโรงพยาบาล หน้า 3.5 นันทนาการในกองทพั 57 3.6 นันทนาการในวัด 3.7 นนั ทนาการในชนบท 3.8 นนั ทนาการในเมืองหรือเขตเทศบาล 3.9 นันทนาการในอทุ ยานหรือวนอุทยาน 4. การแบ่งตามลักษณะของกิจกรรมทีจ่ ัด ได้แก่ 4.1 นันทนาการเพอ่ื สขุ ภาพ 4.2 นนั ทนาการเพ่ือบาบดั 4.3 นันทนาการทางสงั คม 4.4 นนั ทนาการอาชีพ 4.5 นนั ทนาการประเภทอนรุ ักษ์ 4.6 นนั ทนาการประเภทศลิ ปะ หตั กรรม กล่าวโดยสรุปได้ว่า นันทนาการ มีความสาคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนท่ัวไป สามารถสร้างคุณค่าและพัฒนาสภาพจิตใจและร่างกายให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้ ซึ่งกิจกรรมนันทนาการมีอยู่ หลากหลายประเภาโดยผดู้ าเนนิ กจิ กรรมนนั ทนาการสามารถเลือกสรรแตล่ ะกจิ กรรมตามความถนดั และความ สนใจ นอกจากนี้นันทนาการยังเป็นเครื่องมือสาคัญทางสังคม ที่หน่วยงานภาครัฐจาเป็นต้องจัดให้มีไว้ เพ่ือ ให้บริการประชาชนในสงั คม ทัง้ ยังใชเ้ ปน็ เครื่องมือในการพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนภายในประเทศ ใน ฐานะทน่ี ันทนาการนับเป็นสวสั ดิการทีส่ าคัญประเภทหน่งึ ของรฐั อกี ด้วย 8.2 การจดั โปรแกรมนนั ทนาการ Edginton et al. (1989) ได้กล่าวถึงรูปแบบของกิจกรรมนันทนาการเอาไว้ว่ามีหลากหลาย หนทางทีป่ ระสบการณเ์ กยี่ วกับการใชเ้ วลาว่างใหเ้ กดิ คณุ คา่ จะสามารถเกิดข้นึ ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ องค์ความรู้ เก่ียวกับรูปแบบของกิจกรรมนันทนาการจะทาให้ผู้ให้บริการมีข้อมูลในการให้บริการได้อย่างตรงกับความ ต้องการของลกู คา้ ซ่ึงโปรแกรมนันทนาการสามารถแบง่ ออกได้ 8 ประเภท ได้แก่ 1. การจดั การแข่งขนั (Competitive) 2. การมาเย่ยี มชมหรือการเปิดให้เยย่ี มชม (Drop - in or Open) 3. หอ้ งเรียนรู้ (Class) 4. สโมสร (Club) 5. กจิ กรรมพเิ ศษ (Special Event) 6. การประชุมเชิงปฏิบัติการ/การประชุม (Work Shop/Conference)
นกั บรหิ ารงานทว่ั ไป รุ่นที ๘๔ 7. กลุม่ ตามความสนใจ (Interest Group) 8. กิจกรรมนอกสถานท่ี (Outreach) นอกจากนี้ Edginton et al. (1989) ยังได้อธิบายว่า ผู้ให้หรือผู้จัดบริการด้านนันทนาการจะ สามารถสร้างประสบการณ์ด้านนันทนาการให้กับผู้รับบริการหรือลูกค้าได้ โดยอาศัยความเข้าใจเก่ียวกับการ พัฒนาของมนุษย์แต่ละระดับอายุในช่วงชีวิต ซึ่งในแต่ละกลุ่มอายุก็จะมีคุณลักษณะนิสัยและพฤติกรรมท่ีมี ความแตกต่างกันออกไป ซ่ึงสามารถแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอายุกับพฤติกรรมของมนุษย์ ตามที่ Patterson (1987) ไดร้ ะบุไว้ ดงั ตารางท่ี 1 กลมุ่ อายุ (ปี) คณุ ลกั ษณะนิสยั เดก็ อ่ นวัยเรียน ตา่ กวา่ 4 พึ่งพาผ้อู ื่น ความสนใจส้ัน ตนเองเป็นศนู ย์กลาง มีพฒั นาการ ดา้ นการเคลื่อนไหวหลัก ต้องการรางวลั ในทันทีทันใด เดก็ ปฐมวยั 5-7 กาลังพัฒนาความสัมพันธ์ทางสังคม กาลงั พฒั นาทักษะการ เคล่อื นไหว มีจินตนาการและรา่ เริง พฒั นาการควบคุมตนเอง มีความขยนั พากเพยี ร เดก็ ประถมวัย 8-12 พัฒนาความขยนั ความอตุ สาหะ และความสามารถ เล่นเป็นหลัก 13 -15 เติบโตทางกายภาพรวดเรว็ เร่มิ เปน็ หนุ่มสาว ง่มุ ง่าม ระมดั ระวัง หน้า เด็กวยั แรกร่นุ 58 ตนเอง เยาวชน 16-19 พฒั นาความเปน็ ตัวตน ค้นหาสามารถพิเศษ ชอบมากและ ไม่ชอบมาก มสี มาชกิ กลุ่ม ตั้งเป้าหมาย พยายามเพื่อความ เป็นอิสระ ผ้ใู หญช่ ่วงต้น 20-29 คน้ หาความสมั พันธ์ท่ีแท้จริง มีคามน่ั สัญญา เลอื กสายอาชีพ ใช้กิจกรรมหลากหลายในพธิ กี รรมเกยี้ วพาราสี ชอบกิจกรรม กลางแจง้ และเสี่ยงเพื่อทดสอบความสามารถ ผู้ใหญ่ 30 -49 ชว่ งหลักในการมีครอบครวั รับภาระเลี้ยงดเู ด็กและภาระหน้าท่ี ทางสังคมอื่นๆ มองหานันทนาการเพ่ือใหม้ ีกิจกรรม เพ่ือความ บนั เทงิ เพ่ือสถานภาพ และเพ่ือความเปน็ อสิ ระ ผใู้ หญ่วยั 50 -64 ลดความตอ้ งการลง ชอบความปลอดภยั สนุกกับการออกงาน ก่อนเกษยี ณ สังคม จดั หาภาวะผนู้ าในสถานท่ีทางศาสนาและในองค์กร อาสาสมัคร ผ้ใู หญ่วัยเกษียณ 65 -79 นนั ทนาการมักจะมาทดแทนงานเพอื่ การดารงชวี ิต กระทา ชว่ งตน้ หรือถูกกระทาก็ไดข้ ึน้ อยู่กับสขุ ภาพ สมรรถภาพทางกายภาพ
นักบริหารงานท่ัวไป ร่นุ ที ๘๔ วยั ผ้ใู หญ่ มากกวา่ 80 ทัว่ ไปลดลง ยากที่จะกระตนุ้ ช่วงหลงั ใช้ชวี ติ ขน้ึ อยู่กบั สุขภาพ ชีวติ อาจมคี ุณค่าแต่ไม่ดน้ิ รน จากงานวจิ ัยพบว่าผ้ทู ี่อยใู่ นวัยเกษียณและวยั ผ้ใู หญ่ช่วงหลงั สามารถป้องกนั ความโดดเดยี่ วสิน้ หวังไดโ้ ดยไมอ่ ยู่อย่างอสิ ระ แยกตัวคนเดียว และรอคอยความตายอย่างเดียวดาย ตารางท่ี 1 แสดงความสัมพนั ธ์ระหว่างอายุกับพฤตกิ รรมของมนุษย์ (Patterson, 1987) 8.3 หน้าที่ทางสังคมของนันทนาการชุมชน ( Social Functions of Community หน้า Recreation) 59 McLean et al.(2005) ได้กลา่ วไว้ว่า นันทนาการเป็นส่ิงสาคญั ในการสร้างประสบการณ์ของ มนุษย์ และเป็นส่วนสาคัญท่ีทาให้มนุษย์ในชุมชนมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ท่ีดี กล่าวได้ว่า ชุมชน คือ กลุ่มคนที่มี ความสัมพันธ์ร่วมกัน ยกตัวอย่างเช่น ผู้ท่ีอาศัยอยู่ในเมืองร่วมกัน หรือเพื่อนบ้าน และชุมชน อาจหมายถึง การรวมกล่มุ กนั ของคน เช่น พนักงานบรษิ ทั หรอื คนที่อาศัยและทางานอยู่ในฐานทัพทหารซึ่งหน้าทส่ี าคัญของ นันทนาการ ที่นามาซ่ึงวิถีชีวิตในชุมชน รวมท้ังเป็นความต้องการและเป็นประโยชน์ของชุมชนน้ัน ประกอบไป ดว้ ย 10 ประการ ดังต่อไปน้ี 1. ทาให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น (Enriching Quality of Life) โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือคุณภาพชีวิตดี ขึ้นในส่ิงแวดล้อมของชุมชน โดยจัดให้มีความเพลิดเพลินและช่วยพัฒนาโอกาสในการเข้าถึงการใช้เวลาว่าง พัฒนาคุณคา่ ของชวี ิตสาหรับผู้ท่อี ย่อู าศัยทกุ กล่มุ อายุ ทกุ สถานภาพ และทุกชนชน้ั ทางสงั คม 2. ทาให้บุคคลเกิดการพัฒนาตนเอง (Contributing to Personal Development) โดยมี วัตถุประสงค์ เพ่ือทาให้บุคคลมีการพัฒนาท่ีดีทั้งด้านร่างกาย ด้านสังคม ด้านอารมณ์ ด้านสติปัญญาและด้าน จิตวิญญาณ รวมทง้ั ความสนทิ สนมกลมเกลียวกันภายในครอบครัวและความเป็นอยู่ทดี่ ี 3. ทาให้ชุมซนเป็นสถานที่ท่ีตึงดูดใจมีความน่าอยู่มากข้ึน (Making The Community a More Attractive Place to Live) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางกายภาพและทาให้ขุมซนเป็น สถานท่ีดึงดดู ใจ น่าอยูข่ ้นึ โดยจดั ให้มเี ครอื ขา่ ยสวนสาธารณะและพื้นท่เี ปดิ รวมถงึ การรว่ มมือกนั ออกแบบและ ฟื้นฟสู ภาพของพ้ืนทีใ่ นเมืองที่ทรุดโทรม และส่งเสริมทศั นคตแิ ละนโยบายดา้ นส่งิ แวดล้อมในเชิงบวก 4. ป้องกันการใช้เวลาว่างเพื่อการต่อต้านทางสังคม (Preventing Antisocial Uses of Free Time) โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือป้องกันและลดการใช้เวลาวา่ งในการต่อต้านทางสังคมและการทาลายส่ิงต่าง ๆ ในสังคม เช่น การทาผิดกฎหมายหรือการทาลายส่ิงของ โดยจัดให้มีรายการแข่งขันท่ีเสนอให้เด็กวัยรุ่นใช้
นกั บริหารงานทว่ั ไป รุน่ ที ๘๔ ความคิดสร้างสรรค์และความสนุกสนานเกี่ยวกับโอกาสด้านนันทนาการเชื่อมโยงกับการให้บริการความ ตอ้ งการอน่ื ๆ 5. ปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มและระหว่างวัยให้ดีข้ึน (Improving Intergroup and Intergenerational Relations) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อช่วยปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนผู้อยู่อาศัย ในชุมชน ท่ีมีความแตกต่างกันที่ภูมิหลังทั้งในด้านสีผิว ชาติพันธุ์ หรือศาสนา รวมทั้งความแตกต่างระหว่าง กล่มุ วยั ผ่านการบางปน่ั ประสบการณด์ า้ นนันทนาการและวัฒนธรรม 6. สรา้ งความสัมพนั ธ์กับเพ่ือนบ้านและความใกล้ชดิ ในชุมชน (Strengthening Neighborhood and Community Ties) โดยมวี ัตถุประสงค์ เพอ่ื สรา้ งความแข็งแรงให้กับชีวิตเพื่อนบ้านและชุมชน โดยทาให้ ผู้อาศัยในชุมชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมจิตอาสา หรือกิจกรรมการให้บริการเพ่ือให้เกิดจิตสานึกความเป็น พลเมอื งและสรา้ งขวญั กาลังใจ 7. ตอบสนองความต้องการของประชากรพิเศษ ( Meeting the Needs of Special Populations โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือบริการประซากรกลุ่มพิเศษ เช่น ผู้พิการทางกายภาพหรือทางจิตผ่าน บริการด้านนันทนาการเพ่ือการบาบัดในสถานท่ีบาบัดรักษา และผ่านกิจกรรมอิงชุมชน เพื่อบริการให้กับผู้ พกิ ารแต่ละบุคคลอย่างไมจ่ ากดั ความพิการ หน้า 8. รักษาความมน่ั คงทางเศรษฐกิจและความม่ันคงของชมุ ชน (Maintaining Economic Health 60 and Community Stability) โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์ เพื่อรกั ษาความมน่ั คงทางเศรษฐกจิ และ ความม่ันคงของชุมชน โดยเปน็ ตวั เร่งการพฒั นาธุรกจิ และแหล่งรายไดแ้ ละการจ้างงานของชุมชน ของประเทศ รวมทัง้ ทาใหผ้ ูอ้ ยู่อาศยั โดยรอบปรารถนาทจ่ี ะอยู่อาศยั 9. เสริมสร้างวิถีชีวิตต้านวัฒนธรรมให้ชุมซน (Enriching Community Cultural Life) โดยมี วัตถุประสงค์ เพื่อเสริมสร้างวิถีชีวิตด้านวัฒนธรรมให้ชุมชน โดยการส่งเสริมวิจิตรศิลปะและศิลปะการแสดง กิจกรรมพิเศษ และโปรแกรมเชิงวัฒนธรรม รวมทั้งสนับสนุนการจัดแสดงเชิงประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียม มรดกพืน้ บา้ น และสถาบันศลิ ปะของชมุ ชน 10. ส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัย (Promoting Health and Safety) โดยมีประสงค์ เพอ่ื ส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภยั ของชุมชน โดยนาเสนอบริการและโปรแกรมตามความต้องการ รวมทั้ง การอบรมภาวะผู้นาและหลักสูตรที่มีการรับรอง รวมท้ังการควบคุมดูแลและการกากับกิจกรรมที่มีความเสี่ยง สูง 9. สาระสาคัญของแผนแม่บทของประเทศดา้ นการพัฒนาชาติ กีฬา และนันทนาการ 9.1 ร่างยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2560 - 2579) (สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ, 2560)
นักบรหิ ารงานทว่ั ไป รนุ่ ที ๘๔ ยุทธศาสตร์ชาติ มีวิสัยทศั น์ คอื \"ประเทศไทยมีความมั่นคง ม่ังคัง่ ย่ังยืน เปน็ ประเทศพฒั นาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง\" หรือเป็นคติพจน์ประจาชาติว่า \"ม่ันคง มั่งคั่ง ยั่งยืน\" ท้ังนี้ วิสัยทัศน์ดังกล่าวจะต้องสนองตอบต่อผลประโยชน์แห่งชาติ อันได้แก่ การมีเอกราช อธิปไตย และบูรณ ภาพแห่งเขตอานาจรัฐ การดารงอยู่อย่างม่ันคง ย่ังยืนของสถาบันหลักของชาติ การดารงอยู่อย่างม่ันคงของ ชาตแิ ละประชาชนจากภัยคุกคามทุกรูปแบบ การอยู่รว่ มกนั ในชาติอยา่ งสนั ตสิ ุขเป็นปีกแผน่ มีความมนั่ คงทาง สังคมท่ามกลางพหุสังคมและการมีเกียรติและศักด์ิศรีของความเป็นมนุษย์ ความเจริญเติบโตของชาติ ความ เป็นธรรมและความอยู่ดีมีสุขของประชาชน ความย่ังยืนของฐานทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ความมั่นคง ทางพลังงานและอาหารความสามารถในการรักษาผลประโยชน์ของชาติภายใต้การเปล่ียนแปลงของสภาวะ แวดล้อมระหว่างประเทศและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติประสานสอดคล้องกันด้านความมั่นคงในประชาคม อาเซียนและประชาคมโลกอย่างมีเกียรติและศักด์ิศรี โดยท่ีความมั่นคงเป็นรากฐานของทั้ง 3 ประการที่จะทา ให้เกดิ ความมั่งค่งั และยง่ั ยนื ได้ ความมั่นคง หมายถึง การมีความมั่นคงปลอดภัยจากภยั และการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในประเทศ และภายนอกประเทศในทุกระดับ ท้ังระดับประเทศ สังคม ชุมชน ครัวเรือน และปัจเจกบุคคล และมีความ มน่ั คงใน ทกุ มติ ิ ท้งั มติ ิทางการทหาร เศรษฐกจิ สงั คม สิ่งแวดล้อม และการเมือง ความม่งั ค่งั หมายถงึ ประเทศไทยมีการขยายตวั ของเศรษฐกจิ อย่างต่อเนื่องและมีความยง่ั ยืนจน หน้า 61 เขา้ สู่กลุ่มประเทศรายได้สูง ความเหล่อื มล้าของการพฒั นาลดลง ประชากรมคี วามอยดู่ ีมสี ุขได้รับผลประโยชน์ จากการพัฒนาอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น และมีการพัฒนาอย่างทั่วถึงทุกภาคส่วน(Inclusive Growth) มี คุณภาพชีวิตตามมาตรฐานขององค์การสหประชาชาติ ไม่มีประชาชนท่ีอยู่ใต้เส้นความยากจน เศรษฐกิจใน ประเทศมีความเข้มแข็ง ตลอดจนมีการสร้างฐานเศรษฐกิจและสังคมแห่งอนาคตเพื่อให้สอดรับกับบริบทการ พฒั นาท่ีเปลย่ี นแปลงไป นอกจากน้ันยังมีความสมบรู ณ์ในทุนท่ีจะสามารถสรา้ งการพฒั นาต่อเน่ืองไปได้ ได้แก่ ทุนมนุษย์ ทุนทางปัญญา ทุนทางการเงิน ทุนท่ีเป็นเคร่ืองมือเคร่ืองจักร ทุนทางสังคม และทุน ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม ความยั่งยืน หมายถึง การพัฒนาที่สามารถสร้างความเจริญ รายได้ และคุณภาพชีวิตของ ประชาชน ใหเ้ พ่มิ ข้ึนอยา่ งต่อเน่ือง การผลติ และการบรโิ ภคเป็นมิตรกบั ส่งิ แวดล้อม และสอดคลอ้ งกับ เป้าหมายการพัฒนาท่ียั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) คนมีความรับผดิ ชอบต่อสงั คม มีความเออ้ื อาทร เสียสละเพ่อื ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ซ่ึงยุทธศาสตร์ชาติท่ีจะใช้เป็นกรอบแนวทางการพัฒนาในระยะ 20 ปีต่อจากนี้ไปจะ ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) ยุทธศาสตร์ด้านความม่ันคง 2) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถ ในการแข่งขัน 3) ยุทธศาสตร์การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน 4) ยุทธศาสตร์ด้านการ
นกั บรหิ ารงานทวั่ ไป รุน่ ที ๘๔ สร้างโอกาสความเสมอภาคและเทา่ เทียมกันทางสังคม 5) ยทุ ธศาสตรด์ า้ นการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิต ทีเ่ ป็นมติ รกบั ส่ิงแวดลอ้ มและ6) ยุทธศาสตรด์ ้านการปรบั สมดลุ และพัฒนาระบบการบริหารจดั การภาครฐั 9.1 แผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับท่ี 6 (พ.ศ.2560 - 2564) (กระทรวงการท่องเที่ยวและ กฬี า, 2560) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะหนว่ ยงานภาครฐั ส่วนกลางระดับนโยบายไดด้ าเนินการ จัดทาแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับท่ี 6 (พ.ศ. 2560 - 2564) ขึ้น เพ่ือให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและ เอกชนใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดทาแผนปฏิบัติการประจาปี โดยหวังว่าจะเป็นแผนที่ช่วยผลักดันและ ขับเคลื่อนการพัฒนาด้านการกีฬาตามแผนไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพ่ือให้การกีฬาเป็นส่วนสาคัญ ของวิถีชีวิตประชาชนทุกภาคส่วน และเป็นกลไกสาคัญในการสรา้ งคุณค่าทางสังคมและคุณภาพชวี ิตท่ีดีใหก้ ับ คนไทย รวมถึงการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศในระดับสากลและต่อยอดไปสู่ระดับอาชีพเพื่อสร้างอาชีพและรายได้ ให้กับบุคลากรทางการกีฬา โดยเช่ือมโยงไปถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมการกีฬาเพื่อสร้างมูลค่าเพ่ิมให้กับ เศรษฐกิจของประเทศ การจัดทาวิสัยทัศน์การพัฒนาการกีฬาไทย พ.ศ. 2579 เป็นการดาเนินการในช่วงเวลาที่สาคัญ ของประเทศ กล่าวคือ ช่วงเวลาแห่งการปฏิรูปประเทศไทยให้ก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่มีความม่ันคง ม่ังค่ัง หนา้ และย่ังยืน โดยประชาชนและทุกภาคสว่ นของสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏริ ูป เพ่ือประสานประโยชน์และ 62 สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขจึงนับเป็นโอกาสที่ดีท่ีประเทศไทยใหค้ วามสาคัญกับการกาหนดยุทธศาสตร์ การพัฒนาประเทศในระยะยาวในอีก 20 ปีข้างหน้า ในท่ีน้ีได้มีการกาหนดกรอบแนวคิดและปัจจัยแห่ง ความสาเร็จให้ตอบสนองกับเจตนารมณ์ตามหลักการและวิสัยทัศน์ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) กล่าวคือ ประเทศไทยมีความ \"มน่ั คง มงั่ ค่งั ย่งั ยืน\" การกาหนดวิสัยทัศน์การพัฒนาการกีฬาไทย พ.ศ. 2579 จึงพิจารณาองค์ประกอบที่สาคัญ 3 ประการ คอื หลกั การพัฒนา วัตถปุ ระสงคห์ ลกั และคณุ ค่าของการกีฬา เพอ่ื ให้การดาเนินงานของหนว่ ยงานที่ เกีย่ วขอ้ งเป็นไปในทิศทางท่ีสอดคล้องและเกื้อกูลกนั โดยมีเปา้ ประสงค์ร่วมกนั และเห็นถึงความสาคญั ของการ กฬี าในฐานะกลไกสาคัญในการขับเคล่ือนและพัฒนาประเทศในระยะยาว จึงได้ กาหนดวิสัยทัศน์การพัฒนาการก็พาไทย พ.ศ. 2579 ความว่า \"การกีฬาเป็นส่วนสาคัญของ ประชาชนทกุ ภาคส่วน และเป็นกลไกสาคญั ในการสร้างคุณคา่ ทางสงั คมและสง่ เสรมิ เศรษฐกิจของประเทศ\" 9.1.1 เปา้ หมายการพัฒนาของแผนฯ 1. เด็กและเยาวชน ทุกกลุ่มและทุกพื้นท่ี มีความตระหนัก มีความรู้และทักษะในกิจกรรมทาง กายการออกกาลังกาย และการเลน่ กฬี าได้อยา่ งน้อย 1 ชนิดกีฬา ซึ่งจะทาให้มีสุขภาพร่างกายท่แี ขง็ แรงควบคู่ ไปกบั มีความสานึกในระเบยี บวนิ ัยและนา้ ใจนกั กีฬา
นักบรหิ ารงานทั่วไป รุน่ ที ๘๔ 2. ประชาชนทุกภาคส่วนมีสุขภาพที่ดีขึ้นจากการออกกาลังกายและเล่นกีฬาโดยมีส่วนร่วมใน หนา้ การกาหนดและมีโอกาสเข้าถึงโครงสร้างพ้ืนฐานด้านการกีฬาของชุมชนท้องถิ่นอย่างเสมอภาค รวมทั้งมี 63 อาสาสมคั รทเ่ี ป็นผูน้ าในการออกกาลังกายและเลน่ กีฬาอย่างทั่วถึง 3. ระบบการเฟ้นหาและพัฒนานักกีฬาเพ่ือพัฒนาสู่ความเป็นเลิศในทุกระดับควบคู่ไปกับการมี ศูนย์ฝึกซ้อมกีฬาและระบบการจัดการแข่งขันท่ีได้มาตรฐาน ซึ่งจะทาให้นักกีฬามีพัฒนาการท่ีดีและมีความ คาดหวงั ในการแขง่ ขนั ระดบั นานาชาติ ตลอดจนมีการเชิดชูเกยี รติ ดแู ลสวสั ดกิ ารและสวัสดิภาพทีเ่ หมาะสม 4. อุตสาหกรรมการกีฬาและการกฬี าเพือ่ การท่องเทย่ี วและนันทนาการ (Sport Tourism) ไดร้ ับ การส่งเสริมอย่างจริงจัง รวมทั้งมีเมืองกีฬา (Sport City) และระบบฐานข้อมูล เพ่ือสนับสนุนการพัฒนาอย่าง ต่อเนื่อง ซึง่ จะนาไปสูก่ ารขยายตวั ของจา้ งงานและสรา้ งมูลค่าเพ่ิมทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีเสถยี รภาพ 5. โครงสร้างพ้ืนฐาน บุคลากร และหน่วยงานหลักสามารถบูรณาการงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมการกีฬา เพ่ือพัฒนาสุขภาพของประชาชนควบคู่ไปกับการพัฒนาขีดความสามารถ ของนักกีฬาอย่างเป็นระบบรวมทั้งพัฒนาความร่วมมือกับทุกภ าคส่วนในการวิจัยและพัฒนาองค์คว ามรู้ ทางการกีฬา 6. บูรณาการความร่วมมือของส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนในการพัฒนาต่อ ยอดแผนพฒั นาการกีฬาแห่งชาติฉบับที่ผา่ นมา ขบั เคลื่อนการบรหิ ารจัดการกีฬาและพัฒนาระบบฐานข้อมูลที่ เก่ยี วขอ้ งกับการกีฬาให้เป็นมาตรฐานเดยี วกนั ภายใต้ระบบธรรมาภบิ าลและการสร้างความโปรง่ ใส จากเป้าหมายการพัฒนาของแผนฯ ดังกล่าว พบว่า เข้าหมายการพัฒนาของแผนฯ ท่ีมีความ สอดคล้องและเก่ียวข้องกับ การพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารสว่ นตาบล ไดแ้ ก่ เปา้ หมายการพฒั นาของแผนฯ ในขอ้ ที่ 2 ขอ้ ท่ี 5 และข้อที่ 6 9.1.2 ยทุ ธศาสตรก์ ารพัฒนาของแผนฯ เพ่ือให้บรรลุวิสัยทัศน์ตามที่กาหนดไว้ว่า \"การกีฬาเป็นส่วนสาคัญของวิถีชีวิตประชาชนทุกภาค ส่วน และเป็นกลไกสาคัญในการสร้างคุณค่าทางสงั คมและสง่ เสริมเศรษฐกิจของประเทศ \" จึงได้มีการกาหนด ยุทธศาสตร์การพัฒนาระยะเวลา 5 ปี ข้างหน้า เพื่อการขับเคลื่อนและพัฒนาการกีฬาไทยไปในทิศทางที่ เหมาะสม บรรลุตามวัตถปุ ระสงคแ์ ละเปา้ หมาย ดังน้ี ยุทธศาสตร์ที่ 1 การส่งเสริมให้เกิดความรู้และความตระหนักด้านการออกกาลังกายและ การกีฬาขนั้ พ้นื ฐาน ยุทธศาสตร์ท่ี 2 การส่งเสริมให้มวลชนมีการออกกาลังกายและมีส่วนร่วมในกิจกรรมการ กฬี า ยุทธศาสตร์ท่ี 3 การพัฒนากีฬาเพื่อความเป็นเลิศและต่อยอดเพื่อความสาเร็จในระดับ อาชีพ
นกั บรหิ ารงานทว่ั ไป รนุ่ ที ๘๔ ยุทธศาสตร์ท่ี 4 การพัฒนาอตุ สาหกรรมการกฬี าเพ่ือเป็นส่วนสาคัญในการสร้างมลู ค่าเพ่ิม ทางเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์ที่ 5 การพัฒนาองคค์ วามรแู้ ละนวตั กรรมทีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั การกฬี า ยทุ ธศาสตร์ที่ 6 การยกระดบั กำรบรหิ ำรจดั กำรดำ้ นกำรกีฬำใหม้ ีประสิทธิภำพ ท้ังนี้ ประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาในข้อที่ 1 - 3 จะเป็นเป้าหมายสาคัญในการพัฒนาการกีฬา ของประเทศ ต้ังแตร่ ะดับพ้ืนฐาน มวลชน จนตอ่ ยอดไปสู่ความเปน็ เลิศและอาชีพซ่ึงจะเป็นการสร้างรากฐานที่ มั่นคงทางสุขภาวะและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ในส่วนประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 4 จะเป็นการ ขับเคล่ือนการสร้างมูลค่าเพ่ิมทางเศรษฐกิจจากท้ังสามประเด็นแรก อันจะเป็นนาไปสู่ความม่ังคั่งของประเทศ อกี ทัง้ จะช่วยให้เกดิ การหมนุ เวยี นดา้ นเงนิ ทนุ ในการพฒั นาการกีฬาอย่างต่อเน่ือง สาหรับยทุ ธศาสตรป์ ระเด็นท่ี 5 และ 6 จะเป็นการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาการกีฬาในองค์รวมซ่ึงจะทาให้การขับเคลื่อนประเด็น ยุทธศาสตรท์ ้ังสบี่ รรลตุ ามวัตถุประสงคแ์ ละเปา้ หมายอยา่ งมีประสิทธิภาพและย่ังยนื จากประเดน็ 6 ยทุ ธศาสตรก์ ารพัฒนาของแผนฯ ดงั กล่าว พบว่า ยทุ ธศาสตร์ทีม่ ีความสอดคล้อง และเก่ียวข้องกับการพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล ได้แก่ ยุทธศาสตร์ท่ี 1 การส่งเสริมให้เกิดความรู้และความตระหนักด้านการออกกาลังกาย และการกีฬาขั้นพื้นฐาน หน้า ยุทธศาสตร์ที่ 2 การส่งเสริมให้มวลชนมีการออกกาลังกายและมีส่วนร่วมในกิจกรรมการกีฬา และ 64 ยุทธศาสตร์ท่ี 6 การยกระดับการบริหารจัดการด้านการกีฬาให้มีประสิทธิภาพโดยแต่ละยุทธศาสตร์มีแนว ทางการพัฒนาท่ีปรากฎให้เห็นความสอดคล้องและเกยี่ วข้องกับการวจิ ัย มีรายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปนี้ แนวทางการพัฒนาของยุทธศาสตร์ท่ี 1 การส่งเสริมให้เกิดความรู้และความตระหนักด้านการ ออกกาลงั กายและการกีฬาช้ันพ้นื ฐาน ท่มี ีความสอดคล้องและเกย่ี วข้องกบั การวจิ ัย ได้แก่ - จัดให้มีอุปกรณแ์ ละสถานทีเ่ พอื่ การออกกาลังกายข้นั พนื้ ฐานตามสถานศึกษาต้ังแต่ ระดบั ท้องถ่ิน - ส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมการออกกาลังกายและการกีฬาข้ันพื้นฐาน นอก หลักสูตรสาหรบั เดก็ และเยาวชน เพ่ือเพิม่ ความตระหนักถงึ ความสาคญั ของการออกกาลังกาย - พัฒนาและส่งเสริมให้มีอาสาสมัครและผู้นาในระดับเยาวชน เพ่ือเสริมสร้างการ เรยี นรดู้ ้านการออกกาลังกายและการกีฬา - จดั ตงั้ เครือข่ายการกีฬาระหว่างชุมชนและสถานศึกษา พร้อมทัง้ เพิ่มบทบาทการมี ส่วนร่วมของสถาบันครอบครวั - ส่งเสริมความร่วมมือและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษาของท้ังในและ ตา่ งประเทศ
นกั บรหิ ารงานทั่วไป รุน่ ที ๘๔ 2. แนวทางการพัฒนาของยุทธศาสตร์ท่ี 2 การส่งเสริมให้มวลชนมีการออกกาลังกายและมีส่วน หนา้ รว่ มในกิจกรรมการกีฬา ท่ีมีความสอดคล้องและเกยี่ วข้องกบั การวิจัย ได้แก่ 65 - พัฒนาและบารุงรักษาโครงสร้างพ้ืนฐานดา้ นการออกกาลังกายและการกีฬาตั้งแต่ ระดับท้องถนิ่ - พัฒนามาตรการด้านความปลอดภัยสาหรับการออกกาลังกายและเล่นกีฬาตาม ความเหมาะสม - ส่งเสริมการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาโครงสร้าง พนื้ ฐาน ด้านการกฬี า - ส่งเสริมใหส้ ถานศึกษาให้ความร่วมมืนกใชส้ ถานกีฬาเพ่ือสาธ - สง่ เสริมใหส้ ถานกฬี าขยายเวลาการใหบ้ รกิ ารแกป่ ระชาชน - สรา้ งความรสู้ ึกเป็นเจา้ ของและสง่ เสริมการดแู ลรกั ษาสถานที่ออกกาลังกายและสิ่ง อานวยความสะดวก - เผยแพร่ความรู้เพื่อเพิ่มความตระหนักด้านการออกกาลังกาย การเล่นกีฬา และ การดแู ลสขุ ภาพใหก้ ับประชาชนท้ังสว่ นกลางและท้องถิน่ - จัดให้มีและส่งเสริมกิจกรรมการออกกาลังกายและเล่นกีฬาอย่างต่อเนื่องสาหรับ ประชาชนท่ัวไป - จัดกิจกรรมและสิ่งอานวยความสะดวกท่ีมีความเหมาะสมกับกลุ่มประชาชน ผูส้ ูงอายุ - จัดกิจกรรมและสิ่งอานวยความสะดวกที่มีความเหมาะสมกับกลุ่มประซาชนคน พกิ าร และผู้ด้อยโอกาส - รวมใจคนไทยรกั ชาติดว้ ยกจิ กรรมกฬี าเพ่ือเสริมสรา้ งความสามัคคี - สร้างจติ สาธารณะพรอ้ มท้ังจัดใหม้ ีอาสาสมัครทางการกีฬา และผูน้ าการออกกาลัง กายเพื่อมวลชนอยา่ งเปน็ ระบบ - พัฒนาบุคลากรการกีฬาสาหรับกิจกรรมการออกกาลังกายและเล่นกีฬาในระดับ ทอ้ งถิ่น 3. แนวทางการพัฒนาของยุทธศาสตร์ที่ 6 การยกระตับการบริหารจัดการด้านการกีฬาให้มี ประสิทธภิ าพ ท่ีมีความสอดคล้องและเกยี่ วข้องกบั การวิจยั ไดแ้ ก่ - ผลกั ดนั ใหก้ ารพฒั นาการกฬี าเปน็ หนึง่ ในเป้าหมายหลักในระดับจงั หวัด - พัฒนาระบบการลงทะเบียนนักกีฬาและชมรมกีฬาในทุกท้องถิ่นทั่วประเทศต้ังแต่ ระดบั ปฐมวัย
นกั บรหิ ารงานทัว่ ไป รุ่นที ๘๔ - ส่งเสริมให้มีธรรมาภิบาลในการบริหารจดั การกีฬาในทกุ ระดบั 9.2 ร่างแผนพฒั นานันทนาการแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 3 (พ.ศ.2560 - 2564) (กรมพลศกึ ษา, 2560) กรมพลศกึ ษา กระทรวงการทอ่ งเท่ียวและกีฬา มภี ารกจิ หลกั ในการสง่ เสริมกีฬาและนนั ทนาการ แกเ่ ดก็ เยาวชน และประชาชนในซาติให้มีความสุขทง้ั ทางร่างกาย จิตใจ อารมณแ์ ละสังคม เพื่อเป็นรากฐานท่ี สาคัญย่ิงในการเสรมิ สร้างสังคมไทยให้เข้มแข็ง ตั้งแต่ระดับครอบครวั ชุมชน และสังคม จึงได้จัดทาแผนพัฒนา นันทนาการแห่งชาติ ฉบับท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ขึ้น เพื่อใช้เป็นกรอบในการกาหนดแนวทางพัฒนา นนั ทนาการของชาตใิ ห้ดาเนินเปน็ ไปในทิศทางเดยี วกนั ทง้ั ประเทศ เพื่อให้หน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ งนาแผนไปสู่การ ปฏบิ ัติอย่างมีประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผลสงู สดุ 9.2.1 วสิ ยั ทัศน์ของแผนฯ \"คนไทยมีนันทนาการเป็นวถิ ีชีวิต\" 9.2.2 พันธกิจของแผนฯ 1. ส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ เห็นคุณค่าและเข้าร่วมกิจกรรม นนั ทนาการจนเป็นวิถีชีวติ 2. พัฒนาการจัดการทรัพยากรนันทนาการ ได้แก่ บุคลากร แหล่งนันทนาการ สถานท่ี สิ่งอานวยความสะดวก เกี่ยวกับนันทนาการ ระบบการบริหารจัดการ ให้มีคุณภาพและ หน้า มาตรฐานสากล 66 3. ส่งเสริม สนับสนุน การจัดการ และให้บริการองค์ความรู้ นวัตกรรม และ เทคโนโลยีนันทนาการ แกส่ งั คม 4. พัฒนาระบบบริหารจัดการนันทนาการใหท้ นั สมยั และมปี ระสทิ ธิภาพ 5. ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมด้วยนันทนาการ 9.2.3 วตั ถุประสงคข์ องแผนฯ 1. เพ่ือให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ เห็นคุณค่าของการใช้เวลาว่างให้เป็น ประโยชน์ ด้วยนนั ทนาการ และเขา้ รว่ มกจิ กรรมนนั ทนาการจนเปน็ วถิ ชี วี ิต 2. เพ่ือพัฒนาทรัพยากรนันทนาการ ได้แก่ บุคลากร แหล่งนันทนาการ สถานท่ี สงิ่ อานวยความสะดวกเกี่ยวกบั นันทนาการ ระบบการบริหารจดั การ ใหม้ ีคุณภาพและมาตรฐานสากล 3. เพื่อส่งเสริมการสร้างและพัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรมด้านนันทนาการตลอดจน นาไปใช้ อย่างแพรห่ ลาย นาไปสู่การพัฒนานันทนาการอยา่ งย่งั ยืน 4. เพ่ือพัฒนาการบริหารจัดการนันทนาการให้มีความทันสมัย มีประสิทธิภาพ สอดคลอ้ ง กับสถานการณป์ ัจจบุ ัน 5. เพ่ือส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมด้วยนันทนาการเชิงพาณิชย์ เป็นการสร้างความ ม่ันคง ใหก้ บั ประเทศชาติ
นักบรหิ ารงานทั่วไป รนุ่ ที ๘๔ 9.2.4 เปา้ หมายของแผนฯ หนา้ 1. ประชาชน มีความรู้ ความเข้าใจ เห็นคุณค่า และเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการ 67 เปน็ ประจา จนเป็นวถิ ชี ีวิต 2. บุคลากรนันทนาการ ได้แก่ ผู้นานันทนาการและนักนันทนาการอาชีพ ไดร้ ับการพฒั นา อย่างตอ่ เนื่อง และมกี ารผลิตบณั ฑิตนันทนาการในสาขาตา่ ง ๆ เพ่ิมมากขึ้น 3. แหล่งนันทนาการ สถานท่ี และสิ่งอานวยความสะดวกเก่ียวกับนันทนาการ ได้รบั การพฒั นา ใหไ้ ด้มาตรฐานสากล และมีการตรวจสอบรับรองมาตรฐานอย่างเป็นระบบ 4. มีการสร้างและพัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรมนันทนาการ และมีการนาไปใช้อย่าง แพรห่ ลาย 5. การบริหารจัดการนันทนาการมีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ 5.1 มีการขับเคลื่อนนโยบายนันทนาการเป็นวาระแห่งชาติ มี คณะกรรมการกากับนโยบาย และติดตามงานอยา่ งต่อเนื่อง มีองค์กรหลกั ทาหน้าท่รี ับผดิ ชอบ กากบั ดแู ลและ ประสานงานการดาเนินงานนันทนาการของประเทศ 5.2 มีการสร้างและพัฒนาเครือข่ายการดาเนินงานนันทนาการ ตั้งแตร่ ะดับ พ้ืนที่ ทอ้ งถ่ิน ประเทศ และนานาชาติ 5.3 มีความร่วมมือในการบริหารจัดการนันทนาการ เชื่อมโยงทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน มีการจัดนันทนาการในสถานท่ีต่าง ๆ เช่น นันทนาการในชุมชน นันทนาการในโรงเรียน นันทนาการในโรงพยาบาลและสถานสงเคราะห์ และนันทนาการในโร งงาน อตุ สาหกรรม เป็นต้น 6. นนั ทนาการเชิงพาณชิ ย์ สามารถสร้างเศรษฐกจิ และสังคมของชาติได้ 9.2.5 ยทุ ธศาสตร์ของแผนฯ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การส่งเสริมประชาชนให้เห็นคุณค่าของการใช้เวลาว่างให้เป็น ประโยชนด์ ้วยการเข้ารว่ มกจิ กรรมนนั ทนาการจนเป็นวถิ ีชวี ิต ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 2 การพฒั นาการจดั การทรพั ยากรนนั ทนาการ ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาการจัดการความรู้ นวัตกรรมนันทนาการ การเผยแพร่ และการนาไปใช้อย่างแพรห่ ลาย ยุทธศาสตรท์ ี่ 4 การพัฒนาการบริหารจดั การนันทนาการ ยุทธศาสตรท์ ี่ 5 การพฒั นานนั ทนาการเชงิ พาณิชย์ เพอ่ื ส่งเสรมิ เศรษฐกิจและสงั คม จากประเด็น 5 ยุทธศาสตร์ของแผนฯ ดังกล่าว พบว่า ยุทธศาสตร์ท่ีมีความสอดคล้องและ เกี่ยวข้องกับ การพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล ได้แก่
นกั บริหารงานทัว่ ไป รุ่นที ๘๔ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การส่งเสริมประชาชนให้เห็นคุณค่าของการใช้เวลาว่างให้เ ป็นประโยชน์ด้วย การเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการจนเป็นวิถีชีวิต ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาการจัดการทรัพยากรนันทนาการ และยุทธศาสตร์ท่ี 4 การพัฒนาการบริหารจัดการนันทนาการ โดยแต่ละยุทธศาสตร์มีกลยุทธ์ท่ีปรากฎใหเ้ หน็ ความสอดคลอ้ งและเก่ยี วขอ้ งกับการวจิ ัย มรี ายละเอียดดงั ตอ่ ไปน้ี 1. กลยุทธ์ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 1 การส่งเสริมประชาชนให้เห็นคุณค่าของการใช้เวลาว่างให้เปน็ ประโยชน์ด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการจนเป็นวิถีชีวิต ที่มีความสอดคล้องและเกี่ยวข้องกับการวิจัย ไดแ้ ก่ - เผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ เรื่องการใช้เวลาวา่ งให้เป็นประโยชน์ด้วยนันทนาการ ให้ประ ชาชนตระหนกั ถงึ คณุ คา่ ของนันทนาการ - ส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่ม ได้แก่ เด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ รวมทั้งบุคคล กลมุ่ พเิ ศษ ผูด้ ้อยโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการ ตามความถนัดและสนใจ จนเป็นวิถชี ีวติ - สร้างกระแสความนิยมนันทนาการ โดยใช้ส่ือและเทคโนโลยีหลากหลายเพ่ือให้ ประชาชน เข้าถงึ ข้อมลู ไดโ้ ดยง่าย 2. กลยุทธ์ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาการจัดการทรัพยากรนันทนาการ ที่มีความ หน้า สอดคลอ้ งและเกี่ยวขอ้ งกบั การวจิ ัย ไดแ้ ก่ 68 - พัฒนาแหล่งนันทนาการสู่มาตรฐานสากล - พัฒนาระบบการบรหิ ารจดั การสมู่ าตรฐานสากล - จัดหาแหลง่ เงนิ ทนุ เพอ่ื สนบั สนุนกจิ การนนั ทนาการ 3. กลยุทธ์ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนาการบริหารจัดการนันทนาการ ท่ีมีความสอดคล้อง และเก่ยี วขอ้ งกับการวจิ ยั ไดแ้ ก่ - สร้างและพัฒนาเครือข่ายการดาเนินงานนันทนาการ ตั้งแต่ระดับพื้นท่ีท้องถิ่น ประเทศ และนานาชาติ ใหม้ ีความทันสมัย ประสิทธิภาพ และธรรมาภิบาล - สร้างและพัฒนากระบวนการ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ท้ังภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน 10. สาระสาคัญของพระราชบัญญัติสภาตาบลและองค์การบริหารส่วนตาบล พ .ศ.2537 ที่ เก่ียวกบั การกฬี าและนนั ทนาการ จากข้อมูลของ สานกั งานคณะกรรมการกฤษฎีกา (2557) สามารถแสดงใหเ้ หน็ ถงึ สาระสาคัญ ของพระราชบัญญัติสภาตาบลและองค์การบริหารส่วนตาบล พ.ศ. 2537 ทีเ่ ก่ยี วข้องกบั การพฒั นารูปแบบการ จดั การศนู ยก์ ฬี าและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล ได้ดงั ต่อไปน้ี องค์การบรหิ ารส่วนตาบล
นักบรหิ ารงานทวั่ ไป รุ่นที ๘๔ มาตรา 40 สภาตาบลที่มีรายได้โดยไม่รวมเงินอุดหนุนในปีงบประมาณท่ีล่วงมาติดต่อกันสามปี หนา้ เฉล่ียไม่ต่ากว่าปีละหนึ่งแสนหา้ หมื่นบาท หรือตามเกณฑ์รายได้เฉยในวรรคสอง อาจจัดตั้งเป็นองค์การบริหาร 69 ส่วนตาบลได้ โดยทาเป็นประกาศของกระทรวงมหาดไทยและให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ในประกาศนั้น ให้ระบุชื่อและเขตขององค์การบริหารส่วนตาบลไว้ด้วยการเปล่ียนแปลงเกณฑ์รายได้เฉลี่ยของสภาตาบลตา มรรคหนึ่งให้ทาเปน็ ประกาศของกระทรวงมหาดไทยและใหป้ ระกาศในราชกิจจานุเบกษา มาตรา 43 องค์การบรหิ ารส่วนตาบลมฐี านะเปน็ นติ บิ ุคคลและเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิน่ มาตรา 44 องค์การบริหารส่วนตาบลประกอบด้วยสภาองค์การบริหารส่วนตาบลและนายก องคก์ ารบริหารส่วนตาบล สภาองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล มาตรา 46 สภาองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลมอี านาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (1) ให้ความเหน็ ชอบแผนพฒั นาองค์การบริหารส่วนตาบล เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารกิจการ ขององคก์ ารบริหารสว่ นตาบล นายกองค์การบริหารส่วนตาบล มาตรา 59 นายกองค์การบรหิ ารสว่ นตาบลมีอานาจหน้าที่ ดงั ต่อไปนี้ (1 )กาหนดนโยบายโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย และรับผิดชอบในการบริหารราชการบริหารส่วน ตาบลใหเ้ ป็นไปตามกฎหมาย นโยบาย แผนพัฒนาบรหิ ารสว่ นตาบลข้อบัญญัติ ระเบียบ และข้อบังคับของทาง ราชการ อานาจหน้าท่ีขององคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบล มาตรา 66 องค์การบริหารส่วนตาบลมีอานาจหน้าที่ในการพัฒนาตาบลทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม มาตรา 67 ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย องค์การบริหารส่วนตาบล มีหน้าท่ีต้องทาในเขตองค์การ บรหิ ารส่วนตาบล ดังต่อไปน้ี (1) จดั ใหม้ แี ละบารงุ รกั ษาทางน้าและทางบก (2) รักษาความสะอาดของถนน ทางน้า ทางเดิน และที่สาธารณะ รวมทั้งกาจัดมูลฝอยและสิ่ง ปฏิกูล (3) ปอ้ งกนั โรคและระงับโรคติดตอ่ (4) ป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั (5) สง่ เสริมการศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม (6) สง่ เสริมการพฒั นาสตรี เดก็ เยาวชน ผู้สงู อายุ และผ้พู ิการ (7) คมุ้ ครอง ดูแล และบารงุ รกั ษาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม
นกั บรหิ ารงานท่วั ไป รุ่นที ๘๔ (8) บารุงรกั ษาศิลปะ จารตี ประเพณี ภูมปิ ัญญาท้องถนิ่ และวฒั นธรรมอันดขี องท้องถ่นิ (9) ปฏิบัติหน้าท่ีอ่ืนตามท่ีทางราชการมอบหมายโดยจัดสรรงบประมาณหรือบุคลากรให้ตาม ความจาเปน็ และสมควร มาตรา 68 ภายใตบ้ ังคบั แห่งกฎหมาย องค์การบริหารสว่ นตาบลอาจจัดทากจิ การในเขตองค์การ บริหารสว่ นตาบล ดังตอ่ ไปน้ี (1) ใหม้ ีนา้ เพื่อการอุปโภค บรโิ ภค และการเกษตร (2 ให้มแี ละบารุงไฟฟ้าหรือแสงสวา่ งโดยวิธอี น่ื (3) ใหม้ ีและบารงุ รักษาทางระบายน้า (4) ให้มีและบารงุ สถานที่ประชุม การกีฬา การพกั ผอ่ นหย่อนใจและสวนสาธารณะ (5) ใหม้ แี ละส่งเสรมิ กลุม่ เกษตรกรและกิจการสหกรณ์ (6) ส่งเสรมิ ใหม้ อี ตุ สาหกรรมในครอบครัว (7) บารุงและส่งเสริมการประกอบอาชพี ของราษฎร (8) การคมุ้ ครองดูแลและรกั ษาทรัพย์สนิ อันเปน็ สาธารณสมบัตขิ องแผ่นดิน (9) หาผลประโยชน์จากทรัพย์สินขององคก์ ารบริหารสว่ นตาบล หนา้ (10) ให้มตี ลาด ทา่ เทียบเรอื และทา่ ขา้ ม 70 (11) กิจการเก่ยี วกับการพาณชิ ย์ (12) การท่องเท่ยี ว (13) การผงั เมอื ง รายไดแ้ ละรายจ่ายขององค์การบริหารสว่ นตาบล มาตรา 82 องคก์ ารบริหารสว่ นตาบลอาจมรี ายได้ ดงั ตอ่ ไปนี้ (1) รายได้จากทรพั ย์สนิ ขององคก์ ารบริหารสว่ นตาบล (2) รา้ ยไดจ้ ากสาธารณูปโภคขององคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบล (3) ร้ายไดจ้ ากกจิ การเกี่ยวกับการพาณิชย์ขององค์การบริหารส่วนตาบล (4) คา่ ธรรมเนยี ม ค่าใบอนญุ าต และคา่ ปรบั ตามที่จะมีกฎหมายกาหนดไว้ (5) เงนิ และทรัพย์สนิ อืน่ ที่มผี ู้อทุ ศิ ให้ (6) รายได้อื่นตามท่รี ัฐบาลหรอื หน่วยงานของรฐั จัดสรรให้ (7) เงนิ อดุ หนุนจากรฐั บาล (8) รายไดอ้ น่ื ตามทีจ่ ะมฎี หมายกาหนดให้เปน็ ขององค์การบรหิ ารสว่ นตาบล มาตรา 84 รายได้ขององค์การบริหารส่วนตาบล ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีโดยการตราเป็น พระราชกฤษฎีกาตามประมวลรัษฎากร
นกั บริหารงานทั่วไป รุ่นที ๘๔ มาตรา 85 องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบลอาจมีรายจา่ ย ดังตอ่ ไปนี้ หนา้ (1) เงินเดือน 71 (2) คา่ จา้ ง (3) เงนิ ค่าตอบแทนอ่ืน ๆ (4) คา่ ใชส้ อย (5) คา่ วสั ดุ (6) คา่ ครภุ ัณฑ์ (7) ค่าที่ดิน สิ่งก่อสร้าง และทรัพย์สินอนื่ ๆ (8) ค่าสาธารณปู โภค (9) เงินอุดหนนุ หน่วยงานอืน่ (10) รายจ่ายอื่นใดตามข้อผูกพัน หรือตามท่ีมีกฎหมายหรือระเบียบของกระทรวงมหาดไทย กาหนดไว้ การกากับดูแลองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล มาตรา 92 หากปรากฏจาานายกองค์การบริหารส่วนตาบล รองนายกองค์การบริหารส่วน ตาบล ประสานสภาองค์การบริหารส่วนตาบล หรือรองประสานสภาองค์การบริหารส่วนตาบล กระทาการผ่าฝันต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวสั ดภิ าพของประชาชน หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการ ไม่ขอบด้วยอานาจหน้าที่ ให้นายอาเภอดาเนินการสอบสวนโดยเร็วในกรณีที่ผลการสอบสวมปรากฏว่านายก องค์การบริหารสว่ นตาบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตาบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตาบล หรือรองประชานสภาองค์การบริหารส่วนตาบล มีพฤติการณ์ตามวรรคหน่ึงจริง ให้นายอาเภอเสนอให้ผู้ว่า ราชการจังหวัดส่ังให้บุคคลดังกล่าวพันจากตาแหน่ง ท้ังน้ี ผู้ว่าราชการจังหวัดอางดาเนินการสอบสวนเพ่ิมเติม ด้วยกไ็ ด้คาสิง่ ของผ้วู ่าราชการจงั หวัดให้เปน็ ที่สดุ 11. งานวจิ ัยที่เก่ียวขอ้ ง งานวิจัยภายในประเทศ จกั รพนั ธ์ ซุบไธสง (2552) ได้ทาการวจิ ัย เพือ่ ศึกษาสภาพและปัญหาการดาเนนิ งานด้านกีฬา ของเทศบาลในประเทศไทย และเปรียบเทียบปญั หาการดาเนนิ งานด้านกีฬาของเทศบาลในประเทศไทย กลุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ในการวจิ ัย คือ นายกเทศมนตรีและ พนักงานผู้รับผิดชอบด้านกีฬาของเทศบาล ใช้แบบสอบถาม เป็นเคร่ืองมือ จานวน 456 คน และใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเคร่ืองมือ จานวน 9 คน ผล การศึกษาพบว่า เทศบาลมีสภาพการดาเนินงานด้านกีฬาอยู่ในเกณฑ์ดีและมีปัญหาการดาเนินงานด้านกีฬาของเทศบาลอยู่ใน ระดับน้อย ทงั้ นี้ ยังมีปญั หาการดาเนนิ งานดา้ นกีฬาในทุกด้านท่ีแตกตา่ งกันระหวา่ งเทศบาลนคร เทศบาลเมือง
นกั บริหารงานทั่วไป รุ่นที ๘๔ และเทศบาลตาบลแต่อย่างไรก็ตาม เทศบาลยังมีปัญหาในด้านสถานที่วัสดุ อุปกรณ์ และสิ่งอานวยความ สะดวกดา้ นกีฬาและการออกกาลงั กายท่ีเทศบาลจะต้องปรับปรงุ และพฒั นาต่อไป นุชรา แสวงสุข (2552) ได้ทาการวิจัยแนวทางการจัดกิจกรรมนันทนาการในศูนย์พัฒนา เด็กเล็กขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินในเขตปริมณฑลกรุงเทพมหานคร ผู้วิจัยทาการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ จานวน 9 แห่งในเขตปริมณฑลกรุงเทพมหานคร โดยใช้แบบสอบถามความคิดเห็น ผู้ปกครองของเด็กเล็ก จานวน 450 คน ใช้แบบสัมภาษณ์หัวหน้าศูนย์พัฒนาเดก็ เล็กฯจานวน 9 คน และแบบ สารวจสถานท่ีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ฯ และนาข้อมูลทั้งหมดมาร่วมวิพากษ์หาแนวทางการจัดกิจกรรม นันทนาการในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญ จานวน 3 คนผลการวิจัยพบว่า ผู้ปกครองมีความเห็น เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการเด็กเล็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ โดยรวมอยู่ในระดับ มากท่ีสุด เม่ือ เปรียบเทยี บความแตกต่างของความคิดเห็นของผูป้ กครอง จาแนกตามเพศและอายุ พบว่าไม่แตกต่างกันอย่าง มีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ทุกด้าน เมื่อจาแนกตามระดับการศึกษา พบว่า มีความคิดเห็นแตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ในด้านการจัดกิจกรรมที่พัฒนาด้านร่างกาย ท้ังน้ีแนวทางการจัด กิจกรรมนันทนาการในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ ประกอบด้วย การจัดกิจกรรมนันทนาการเพื่อส่งเสริมพัฒนาการ เด็กเล็กตามความคิดเห็นของผปู้ กครอง การดาเนนิ งานศนู ย์พฒั นาเด็กเล็กฯ ในลักษณะของอาคารสถานท่ีและ หนา้ การจัดกิจกรรมนันทนาการในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ โดยแบ่งออกเป็น ด้านเวลา ด้านสถานท่ีด้านอุปกรณ์ 72 ด้านผู้นา ดา้ นผเู้ ขา้ รว่ ม และด้านความปลอดภัยในการจัดกิจกรรมนันทนาการ ฤตกัญญา คชรนิ ทร์ (2557) ไดท้ าการวิจยั เพือ่ ศกึ ษาแนวทางการจัดการกิจกรรมนนั ทนาการ สาหรับประชาชนภายในบรเิ วณสนามกีฬาระดับอาเภอ โดยเก็บรวบรวมข้อมลู กบั กลุ่มตวั อยา่ งทีเ่ ปน็ ประชาชน ทเ่ี ข้ามาใชบ้ รกิ ารภายในสนามกฬี าระดับอาเภอดว้ ยแบบสอบถาม และใชแ้ บบสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้างกับ เจ้าหน้าท่ีผู้ปฏิบัติงานภายในสนามกีฬาระดับอาเภอ และจัดประชุมกลุ่มย่อยเพ่ือหาข้อสรุปแนว ทางการ จัดการกิจกรรมนันทนาการสาหรับประชาชนภายในบริเวณสนามกีฬาระดับอาเภอ ผลการวิจัยพบว่า แนว ทางการจัดการกิจกรรมนันทนาการภายในสนามกีฬาระดับอาเภอใช้หลัก 5M's ได้แก่ บุคลากร การเงินและ งบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ และส่ิงอานวยความสะดวกบริหารการจัดการ และการดัดแปลงให้เหมาะสมกับ สภาพพ้ืนที่ ทั้งนี้ความต้องการประกอบกิจกรรมนันทนาการในสนามกีฬาระดับอาเภอสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กิจกรรมพัฒนาสุขภาพและสมรรถภาพทางกาย เกมกีฬา และกีฬาเพื่อการแข่งขัน และความต้องการ เขา้ รว่ ม 2-3 ครัง้ ตอ่ สัปดาห์ มรกต สมบัติศิลป์ (2557 ได้ทาการวิจัย เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความต้องการกิจกรรม นันทนาการ การออกกาลังกายและกีฬาเพื่อสุขภาพของผู้ใช้บริการในลานกีฬา กรุงเทพมหานครระหว่างเพศ และช่วงอายุ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลกับกลุ่มผู้ใช้บริการลานกีฬา จานวน 400 คน โดยแบ่งเป็นเพศชาย จานวน 200 คนและเพศหญิง จานวน 200 คนผลการวิจัย พบว่า ความต้องการด้าน
นักบริหารงานทั่วไป ร่นุ ที ๘๔ อุปกรณ์ อยู่ในระดับ มากท่ีสุดทุกประเด็น ความต้องการด้านกิจกรรม อยู่ในระดับ มากที่สุด ยกเว้นราย หน้า ข้อการจดั การแขง่ ขันกฬี าแตล่ ะชนดิ ท่ผี ้ใู ชบ้ ริการสนใจและความสม่าเสมอของการจัดกจิ กรรมภายในลานกีฬา 73 อยู่ในระดับมาก ความต้องการด้านสิ่งอานวยความสะดวก อยู่ในระดับ มาก ยกเว้นรายข้อ จานวนส่ิงอานวย ความสะดวก อยู่ในระดับ มากท่ีสุดความต้องการด้านสถานที่ ด้านการบริหารจัดการ และด้านบุคลากร อยู่ ในระดับ มากทุกประเด็นโดยที่เพศชายและเพศหญิงมีความต้องการกิจกรรมนันทนาการ การออกกาลังกาย และกีฬาเพ่ือสขุ ภาพไม่แตกตา่ งกัน อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิที่ระดบั 0.05 ผู้ใช้บริการทีม่ ีชว่ งอายแุ ตกต่างกันมี ความตอ้ งการกิจกรรมนันทนาการ การออกกาลังกายและกีฬาเพือ่ สขุ ภาพ แตกตา่ งกนั ในด้านสถานทกี่ จิ กรรม การบริหารจัดการและสิ่งอานวยความสะดวก อย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั 0.05 งานวจิ ัยตา่ งประเทศ Finch et al. (2009) ได้ศึกษาถึงนโยบายความปลอดภัยและแนวปฏิบัติของสิ่งอานวย ความสะดวกอเนกประสงค์ด้านนันทนาการในชุมชน โดยศึกษาในพ้ืนท่ีนอกการสารวจความปลอดภัยของส่ิง อานวยความสะดวกด้านนันทนาการอเนกประสงค์ ผู้จัดการและเจ้าหน้าท่ีจากสี่พ้ืนที่ในรัฐวิคตอเรีย ประเทศ ออสเตรเลีย เป็นผู้มีส่วนร่วมในการสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่ามาตรการป้องกันการ บาดเจ็บส่วนใหญ่จาเป็นต้องใช้กับเจ้าหน้าท่ีหรือผู้ใช้โรงยิมและสระว่ายน้าเพื่ อเปล่ียนพฤติกรรมของพวกเขา ความตระหนกั ถึงมาตรฐานความปลอดภยั จะสูงขนึ้ สาหรบั บางพ้ืนท่ี เช่น กฬี าทางนา้ สถานดูแลเด็ก และจะสูง กวา่ เช่น ห้องยิม ห้องกิจกรรมออกกาลังกายแบบกลุ่ม กลมุ่ ผูใ้ หข้ ้อมูลหลกั เชื่อในการโฆษณาและแหล่งข้อมูล ของผู้ผลิตมากกว่าการฝึกปฏิบัติท่ีดีปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อการรายงานความปลอดภัยในพื้นท่ีนอกการสารวจ แบ่งออกเปน็ สามประเภท คือ 1.ปัจจัยภายใน เช่นการฝึกอบรม วัฒนธรรม 2.ปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศ การเปล่ียนแปลงทางด้านประชากรศาสตร์ และ3.ปัจจัยด้านการกากับดูแล เช่น ประกันภัย มาตรฐาน อุตสาหกรรมสรุปได้ว่า ความสามารถในการเข้าถึงมาตรฐานความปลอดภัยอุตสาหกรรมน้ัน เท่าเทียมกันบน พื้นฐานของหลักการส่งเสริมสุขภาพและมุมมองด้านสุขภาพของประชาชนท่ีเช่ือมโยงกับการป้องกันการ บาดเจ็บ การได้รับการฝึกอบรมเป็นสิ่งจาเป็นท่ีสะท้อนให้เห็นถึงความสาคัญของสุขภาพ/การบาดเจ็บ สมรรถภาพกาย/นันทนาการ และการเชื่อมโยงระบบการประกันภัยควรมีการปรับปรุงเพื่อให้แน่ใจว่า สอดคลอ้ งแนวทางการพฒั นาความปลอดภยั อยา่ งย่ังยนื Grieve and sherry (2012) ได้ศึกษาถึงผลประโยชน์ชุมชนจากสิ่งอานวยความสะดวกหลัก ทางด้านกีฬา กรณีศึกษาศูนย์กีฬานานาชาติดาเรบิน โดยมีวัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ การตรวจสอบ ผลประโยชน์ที่ชุมชนได้รับจากการพัฒนาส่ิงอานวยความสะดวกทางการกีฬาแห่งใหม่ กรณีศึกษาศูนย์กีฬา นานาชาตดิ าเรบนิ เมลเบริ ์น ออสเตรเลยี และตรวจสอบการรบั รขู้ องชมุ ชนเพือ่ แสดงให้เห็นว่าสถานท่เี หล่าน้ัน นาผลประโยชน์มาให้ชุมชน โดยการสัมภาษณ์ ท้ังผู้ใช้และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จากการสร้างศูนย์กีฬา ข้อมูลท่ี
นกั บรหิ ารงานท่ัวไป ร่นุ ที ๘๔ ได้นามาวิเคราะห์ในเชิงคุณภาพ ระบุเหตุการณ์ท่ีเฉพาะเจาะจงและเขียนเป็นแนวคิดเพื่อระบุรูปแบบท่ีได้รับ อิทธพิ ล อย่างผลกระทบทางสังคมและจิตใจ ผลกระทบต่อทัศนวิสัยและภาพลกั ษณ์ของชมุ ชน และผลกระทบ ต่อการพัฒนาและการเมืองในชุมชน ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าจากมุมมองของผู้ใช้บริการนั้น ศูนย์กีฬาให้ ผลประโยชน์ที่ไม่เน้นทางด้านเศรษฐกิจอยู่หลายประการ เช่น สามารถเข้าถึงได้ สร้างการมีส่วนร่วมและ ประสบความสาเร็จ ผู้ใช้ส่วนใหญ่ยังระบุว่าการพัฒนาข้ึนของศูนย์กีฬาได้ส่งผลในเชิงบวกเก่ียวกับ ความสามารถทางกีฬาของพวกเขารวมทั้งการกีฬาในชุมชน และประสบการณก์ ารเลน่ กฬี าด้วย Misener and Doherty (2013) ไดท้ าการศึกษาถงึ ความเข้าใจเก่ียวกบั ปริมาณทีส่ ามารถรับ ได้ผา่ นกระบวนการและผลลัพธ์ของความสัมพนั ธร์ ะหว่างองคก์ รในองค์กรกฬี าชมุ ชนทไ่ี ม่แสวงหาผลกาไร การ มีสว่ นร่วมในความสัมพันธ์กับองค์กรอน่ื ๆ เป็นวธิ หี น่งึ ของชมุ ชนท่ีไม่แสวงหากาไร ซ่ึงในการสรา้ งความสัมพันธ์ ระหว่างองค์กรน้ันเป็นหนทางหนึ่งในการท่ีจะได้รับทรัพยากรที่จาเป็น องค์ความรู้และประโยชน์ในเชิงสังคม อ่ืน 1 ในขณะทีก่ าลงั ดาเนินการเพ่อื บรรลวุ ตั ถุประสงคส์ าธารณะที่สาคญั รวมทั้งการสรา้ งความแน่นแฟน้ ต่อกัน ขององค์กรกีฬาชุมชนท่ีไม่แสวงหาผลกาไร โดยการศึกษาครั้งน้ีจกระบวนการและผลลัพธ์ ของความสัมพันธ์ ต่อกันระหว่างองค์กร ภายในองค์กรกีฬาชุมชนที่ไม่แสวงหาผลกาไร โดยอาศัยการสัมภาษณ์แบบก่ึงมี โครงสร้างกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์กร จานวน 20 คน ผลการวิจัย พบว่า ความสัมพันธ์ หนา้ ของกระบวนการท่ีสาคัญอันรวมถึงความไว้วางใจ ความสอดคล้อง ความสมดุล และการมีส่วนร่วม ซึ่งนับว่า 74 เป็นทักษะในการบริหารจัดการที่มีความเฉพาะเจาะจง นอกจากนี้ยังพบว่า ความสัมพันธ์นั้นส่งผลกระทบต่อ องค์กรกีฬาชุมชนท่ีไม่แสวงหาผลกาไรผ่านการอนุมัติให้มีการปรับปรุงโปรแกรม คุณภาพการให้บริการ และ การดาเนนิ งาน รวมท้ังเสริมสรา้ งสถานภาพของชมุ ชนอกี ดว้ ย Carmichael and Mccole (2014) ได้ทาการศึกษาถึงความเข้าใจเก่ียวกับแรงจูงใจของ พันธมิตรท่ีมีศักยภาพในการพัฒนาศูนย์นันทนาการสาธารณะกลางแจ้ง ในเขตชุมชนเมือง โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อทาความเข้าใจมากข้ึนเร่ืองแรงจูงใจขององค์กรต่างๆ ในการสร้างความร่วมมือในเรื่องของการพัฒนาและ การปฏิบัติงานของศูนย์นันทนาการกลางแจ้งของสานักงานว่าการรัฐมิชิแกนผ่านการศึกษาทฤษฎีความ คาดหวังและทฤษฎีการแลกเปลีย่ นทางสังคม โดยอาศัยการสัมภาษณ์แบบก่ึงมีโครงสร้างกับผ้สู นบั สนุนหลกั ที่ มีศักยภาพหลายแห่ง ผลการศึกษาพบว่า ผลประโยชน์ที่คาดหวังกันอย่างแพร่หลายของการให้ความร่วมมือ คือ การปรากฏของสถานทท่ี ี่อยใู่ นบริเวณใกลเ้ คียงอย่างมีความหลากหลาย โดยประชากรในเมืองเปน็ ผคู้ วบคุม รายการกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ นอกจากนี้รูปแบบท่ีเกิดขึ้นจากผลประโยชน์ที่คาดหวังไวม้ าจาก (รวมท้ังเงิน สมทบ) ความร่วมมือตามประเภทของแต่ละองค์กรท่ีให้สัมภาษณ์ข้อมูลเชิงลึก ด้านแรงจูงใจในองค์กรที่จะมี การทางานร่วมกันบนพ้ืนฐานของทั้งสองกรอบทฤษฎีนั้น ช่วยให้ผู้ให้บริการด้านการพักผ่อนหย่อนใจสามารถ สร้างเกณฑ์การคัดเลือกที่เหมาะสมกับพันธมิตรและสร้างกลยุทธ์ในการมีส่วนร่วมของพวกเขาในโครงการ ความร่วมมอื เพอ่ื เสรมิ สร้างการมสี ว่ นรว่ มกบั กจิ กรรมกลางแจ้ง
นกั บรหิ ารงานท่ัวไป รนุ่ ที ๘๔ จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า ในการศึกษาวิจัยเพ่ือให้เกิดการ พัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยรวมของประเทศ ที่กาลังประสบกับปัญหาด้านสุขภาพทางร่างกายและจิตใจด้วยสภาวการณ์ของโลกยุค ปัจจุบันที่มีความเจริญก้าวหน้า ส่งผลให้ประชาชนก้าวตามอย่างไม่มีความระมัดระวังเท่าท่ีควร จึงจาเป็นท่ี จะต้องอาศัยกระบวนการและเครอ่ื งมือด้านการบริหารจดั การร่วมกับเน้อื หาทางดา้ นการกีฬาเพ่ือมวลชนและ นันทนาการ ประกอบกับการดาเนินการให้บริการสาธารณะของหนว่ ยงานภาครัฐส่วนท้องถ่ิน ที่มคี วามใกล้ชิด กับประชาชนในชุมชน เพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพของประชาชนให้ดีขึ้นทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ จน สามารถดารงสุขภาพทางจิตใจอย่างแจ่มใส ภายใต้สภาพร่างกายอย่างสมบูรณ์ แข็งแรง ก่อให้เกิดการพัฒนา บุคลากรของประเทศชาติต่อไป กรอบแนวคิดในการวิจัย หนา้ การศึกษาวิจัยเพื่อให้เกิดการพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วน 75 ตาบลนั้น ผวู้ จิ ยั ทาการศกึ ษาหลักการ แนวคิด และทฤษฎที ่ีเกยี่ วขอ้ ง โดยมีรายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้ 1. แนวคิดเก่ียวกับการพัฒนารูปแบบของ Willer (1986) และการตรวจสอบรูปแบบของEisner (1976) 2. แนวคดิ เก่ียวกับการจัดการ อนั ประกอบไปด้วย 2.1 แนวคิดเกีย่ วกบั การจัดการองค์กร ในสว่ นของทฤษฎเี ชิงระบบ (Systems Theory) ของ (Chelladurai, 2009; Daft, 2010) และแนวคิดการจัดการสโมสรกีฬา (Sports Club Management) ของ Robinson (2010) 2.2 แนวคดิ เก่ียวกับทรัพยากรในการจัดการ ในสว่ นของ Human, Financial, Material, Information, Technology and Contexts (Chelladurai, 2009; Daft, 20 10; สมคดิ บางโม, 2552) 2.3 แนวคิดเก่ียวกับกระบวนการจัดการ ในส่วนของ Planning, Organizing, Leading, Controlling and Evaluating) (Chelladurai, 2009; Daft, 2010; Deming, 2000; Fayol, 1949; Gulick & Urwick, 1937) 3. แนวคดิ เก่ียวกบั สว่ นประสมทางการตลาด ในส่วนของแนวคดิ (4C) ของ Lauterborn (1990) และ แนวคดิ เก่ยี วกับความพึงพอใจ ของ Maslow (1970) และ Kotler (1997) 4. แนวคดิ เกี่ยวกบั ปัจจัยภายในองคก์ ร (The 7-S Framework) ของ Mckinsey (2016) และแนวคิด เกี่ยวกับปจั จัยภายนอกองค์กร (PEST Analysis) ของ Aguilar (1967) 5. แนวคิดเกี่ยวกับธรรมาภิบาล (Good Governance) ของ สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบ ราชการ (ก.พ.ร.) (2552)
นกั บรหิ ารงานท่วั ไป รุน่ ที ๘๔ 6. แนวคิดเกี่ยวกับการกีฬา ในส่วนของการกีฬาเพื่อมวลชน (Sport for all ของInternational Olympic Committee (2014) และแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับท่ี 6 (พ.ศ.2560 - 2564) (กระทรวง การท่องเทยี่ วและกฬี า, 2560) 7. แนวคิดเก่ียวกับการนันทนาการ ของ สมบัติ กาญจนกิจ (2557) และ เทพประสิทธ์ิ กุลธวัชวชิ ยั (2556) รวมถึงการจัดโปรแกรมนันทนาการ (Leisure Programming) ของ Edginton et al. (1989) และร่าง แผนพฒั นานนั ทนาการแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 3 (พ.ศ.2560 - 2564) (กรมพลศกึ ษา, 2560) จากแนวคิดและทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษาวิจัยดังกล่าวข้างต้น สามารถนามาประยุกต์ให้เป็น กรอบแนวคิดในศึกษาวิจัย เพ่ือให้เกิดการพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหาร ส่วนตาบล ซึ่งแสดงให้เห็นในรูปแบบของแผนภูมิภาพกรอบแนวคิดในการวิจัย เร่ือง การพัฒนารูปแบบการ จดั การศนู ยก์ ฬี าและนันทนาการองค์การบรหิ ารส่วนตาบล ไดด้ ังรูปภาพท่ี 3 หน้า 76 แนวคดิ เกี่ยวกับการพฒั นารปู แบบ แนวคิดเก่ียวกับปัจจัยภายในองคก์ ร รปู แบบ 1.การพฒั นารูปแบบ (Willer,1986 กีฬาและนันทนาการ 2.การตรวจสอบรปู แบบ (Eisner,1976) (The -75 Framework) (Mckinsey, 2016) แนวคดิ เก่ยี วกับองคก์ รและการจดั การ แนวคิดเกยี่ วกับปัจจัยภายนอกองค์กร 1.การจดั การองค์กรการกฬี าและ กีฬาและนนั ทนาการ นันทนาการ (PEST Analysis) (Aguilar, 1967) (Systems Theory) (Chelladurai, 2009; Daft, 2010) แนวคิดเกยี่ วกบั ธรรมาภบิ าลเพ่ือการ (Sports Club Management) จัดการองคก์ รกฬี าและนันทนาการ (Robinson, 2010) (Good Governance) 2. ทรพั ยากรในการจัดการองค์กรการ (สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบ กฬี าและนนั ทนาการ ราชการ (ก.พ.ร.), 2552)
นักบริหารงานทวั่ ไป รุ่นที ๘๔ หน้า 77 บทท่ี 3 รูปภาพที่ 3 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั เรวื่อธิ งดี ากเานรนิพกฒั านราวริจูปัยแบบการจดั การศูนยก์ ีฬาและ นนั ทนาการองกคา์กราศรึกบษราหิ วาิจรัยสเ่วรนื่อตงากบาลรพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วน ตาบล ใช้วิธีดาเนินการวิจัยแบบผสม (Mixed Methods) ซึ่งประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยมีรายละเอียดแบ่งเป็น 4 ข้ันตอน ตามลาดบั ดงั ต่อไปน้ี
นกั บรหิ ารงานทวั่ ไป รนุ่ ที ๘๔ ข้ันตอนท่ี 1 วิเคราะห์ สังเคราะห์ แนวคิดและทฤษฎี เพื่อให้ได้มาซึ่งองค์ประกอบและปัจจยั ในการพฒั นารูปแบบการจดั การศนู ยก์ ฬี าและนันทนาการองค์การบริหารสว่ นตาบล ในข้ันตอนที่ 1 ผู้วิจัยทาการ ศึกษา ค้นคว้า วิเคราะห์ และสังเคราะห์ แนวคิด ทฤษฎีข้อเท็จจริง และข้อมลู ท่ีเกี่ยวข้อง จากแหลง่ ขอ้ มูลที่เปน็ สือ่ สงิ่ พิมพ์ ท้ังเอกสารและงานวิจัย และจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ท้ัง ของประเทศไทยและของต่างประเทศ เพ่ือเพื่อให้ได้มาซึ่งองค์ประกอบและปัจจัยในการพัฒนารูปแบบการ จดั การศูนย์กีฬาและนนั ทนาการองค์การบรหิ ารสว่ นตาบล ผวู้ จิ ัยทาการตรวจสอบความนา่ เชื่อถือของผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ด้วยวิธกี ารตรวจสอบแบบสาม เส้า (Triangulation) โดยทาการตรวจสอบข้อมูลตามหลักการของ (Denzin, 2006; ชาย โพธิสิตา, 2556) ซ่ึง ในการวิเคราะหข์ ้อมูลทเ่ี กบ็ รวบรวมมาจากกระบวนการวจิ ัยในขนั้ ตอนท่ี 1 นน้ั ผวู้ ิจัยไดท้ าการตรวจสอบความนา่ เชื่อถือของข้อมูล ดว้ ยวธิ กี ารตรวจสอบแบบสามเสา้ ดา้ นข้อมูล (Data Triangulation) กล่าวคือ ขอ้ มูลประเภทเดยี วกัน ท่ีเก็บรวบรวมได้จากแหล่งท่มี ีความแตกตา่ งกนั นั้น มี ผลสรุปที่มคี วามเหมือนหรอื แตกต่าง หรอื ยนื ยันหรอื ขดั แยง้ กนั หรือไม่ อยา่ งไร จากนั้น ผู้วิจัยนาองค์ประกอบและปัจจัยที่ได้จากการสังเคราะห์ ไปร่างกรอบแนวคิดในการวจิ ยั หน้า และนาร่างกรอบแนวคิดในการวิจัย ไปปรึกษาอาจารย์ท่ีปรึกษาหลักและอาจารย์ที่ปรึกษาร่วม เพ่ือปรับปรุง 78 พัฒนาให้เปน็ กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั (Conceptual Framework) ท่ีสมบูรณเ์ พอื่ ใชใ้ นการศึกษาวิจัยครัง้ น้ี เม่ือผู้วิจยั มกี รอบแนวคดิ ในการวิจัยแล้ว จงึ ดาเนนิ การศึกษาในข้นั ตอนต่อไป โดยใหค้ วามสาคัญ กับการศึกษาสภาพ ปัญหา พฤติกรรมการใช้บริการและความต้องการท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนารูปแบบการ จัดการศนู ย์กฬี าและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาสภาพ ปัญหา พฤติกรรมการใช้บริการและความต้องการท่ีเก่ียวข้องกับ การพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนนั ทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล เพื่อกาหนดร่างรูปแบบ การจดั การศูนยก์ ีฬาและนนั ทนาการองคก์ ารบริหารส่วนตาบล ในขั้นตอนท่ี 2 ผู้วิจัยทาการศึกษาวิจัยในส่วนของสภาพ ปัญหา พฤติกรรมการใช้บริการและ ความต้องการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการจัดการศูนยก์ ีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และทาการศึกษาวิจัยในพ้ืนท่ี 4 ภูมิภาคของประเทศไทย เพ่ือนาข้อมูลท่ีได้จากการศึกษาในข้ันตอนน้ี มา กาหนดเป็นร่างรูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล ซึ่งมีรายละเอียดการ ดาเนินการวจิ ัย ดังตอ่ ไปน้ี 2.1 การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาในการ ดาเนินงานขององค์การบริหารส่วนตาบลเก่ียวกับการบริหารจัดการด้านการกีฬาและนันทนาการในชุมชน ท้องถิ่น โดยมีรายละเอยี ด ดังต่อไปนี้
นักบรหิ ารงานท่ัวไป รนุ่ ที ๘๔ 2.1.1 ผู้ให้ข้อมูลหลัก (Key Informants) ในการศึกษาสภาพและปัญหาในการดาเนินงาน หนา้ ขององค์การบริหารส่วนตาบล เกี่ยวกับการบริหารจัดการดา้ นการกีฬาและนันทนาการในชุมชนท้องถ่ิน คือ ผู้ 79 มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ที่เก่ียวข้องกับการพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการ องค์การบริหารส่วนตาบล (อบต.) และอยู่ในพ้ืนที่การดาเนินงานของ อบต. จานวน 5 ประเภท ซ่ึงมี คณุ ลกั ษณะและคณุ สมบัติ ดังตอ่ ไปน้ี 2.1.1.1 ผบู้ รหิ าร อบต. อนั ได้แก่ ปลด้ อบต. หรือ นายก อบต. ที่มีประสบการณ์ใน การดาเนินงานด้านการส่งเสริมการกีฬาและนันทนาการในชุมชนท้องถิ่น และดารงตาแหน่งหรือเคยดารง ตาแหน่งมาแลว้ ไม่น้อยกวา่ 2 ปี'N UNIVERSITY 2.1.1.2 เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานใน อบต. ที่มีประสบการณ์ในการดาเนนิ งานด้านการ ส่งเสรมิ การกฬี าและนนั ทนาการในชุมชนท้องถนิ่ และปฏิบัตหิ นา้ ที่ใน อบต. มาแล้ว ไม่น้อยกวา่ 2 ปี 2.1.1.3 ประชาชนผู้อาศัยอยู่ในเขต อบต. ซ่ึงเป็นผู้ท่ีออกกาลังกาย เล่นกีฬา หรือ ประกอบกิจกรรมนันทนาการภายในบริเวณพื้นที่ของ อบต. และมีภูมิลาเนาอยู่ในบริเวณพ้ืนที่ ของ อบต.ไม่ นอ้ ยกว่า 2 ปี 2.1.1.4 เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่าง ๆ ภายในพ้ืนท่ี อบต. ทเี่ ก่ียวขอ้ งกับกีฬาและนันทนาการ เช่น โรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตาบล โรงเรยี น และผ้ปู ระกอบการเอกชน ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง ซ่งึ เป็นผทู้ ีด่ าเนินงานตามภารกิจของหนว่ ยงานเป็นหลกั แต่มกี ารดาเนนิ งานสนับสนุน ส่งเสรมิ ด้าน การกฬี าและนันทนาการในชมุ ชนท้องถ่นิ ตามวาระโอกาสและปฏิบตั ิหน้าท่ีในหน่วยงานท่ตี ั้งอยู่ในบรเิ วณพ้ืนที่ อบต. มาแลว้ ไม่นอ้ ยกวา่ 2 ปี 2.1.1.5 ผ้เู ปน็ สมาชกิ เครือข่ายภาคประชาชนในพน้ื ที่ อบต. ทเี่ กี่ยวขอ้ งกับกีฬาและ นันทนาการ เช่น ชมรมออกกาลังกาย และขมรมผู้สูงอายุ เป็นต้น ซึ่งเป็นสมาชิกท่ีเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวขอ้ ง กับการกฬี าและนันทนาการของเคร่อื ข่ายเป็นประจา และมสี ถานะของสมาชิกภาพมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี 2.1.2 ผูว้ จิ ัยเลอื กพ้ืนทีใ่ นการเกบ็ ขอ้ มลู โดยอาศยั หลักเกณฑ์ ดงั ตอ่ ไปน้ี 2.1.2.1 เลือกจาก อบต. ที่เป็นตัวอย่างท่ีดีในการดาเนินงานด้านการส่งเสริมการ กีฬาและนันทนาการในชุมชน จานวน 2 แห่ง จาก 4 ภูมิภาคของประเทศไทย โดย อบต. ที่เป็นตัวอย่างท่ีดี หมายถึง อบต. ท่มี ผี ลการดาเนินงานดา้ นกฬี าและนนั ทนาการในเชิงประจักษ์ หรอื ได้รบั การรบั รองหรือรางวัล จากกิจกรรมหรือโครงการด้านการส่งเสริมกีฬาและนันทนาการ ขององค์กรภาครัฐระดับประเทศ เช่น การ จัดการประกวด การจัดการแข่งขัน การยกย่องเชิดชูเกียรติ ฯลฯ (ในที่น้ีเรียกแทน อบต. ประเภทน้ีว่า อบต. ประเภท ก.) 2.1.2.2 เลือกจาก อบต. ที่ไม่มีศักยภาพเพียงพอในการดาเนินงานด้านการส่งเสริม การกฬี าและนนั ทนาการในชุมชน จานวน 2 แหง่ จากอีก 2 ภมู ภิ าคท่ีเหลือ โดย อบต. ท่ีไม่มศี กั ยภาพเพียงพอ
นกั บรหิ ารงานทว่ั ไป รุน่ ที ๘๔ หมายถึง อบต. ที่ไม่มีผลการดาเนินงานด้านกีฬาและนันทนาการในเชิงประจักษ์และไม่เคยส่งผลงานเข้าร่วม เพ่ือให้ได้มาซึ่งการรับรองหรือรางวัล จากกิจกรรมหรือโครงการด้านการส่งเสริมกีฬาและนันทนาการ ของ องคก์ รภาครฐั ระดับประเทศ เช่น การจัดการประกวด การจดั การแข่งขัน การยกยอ่ งเชิดชูเกียรติ ฯลฯ (ในท่ีน้ี เรยี กแทน อบต. ประเภทนีว้ ่า อบต. ประเภท ข.) โดยในแตล่ ะพื้นท่ี อบต. จานวนทง้ั หมด 4 แหง่ น้ัน ผู้วจิ ยั ทา การเลือกผู้ให้ข้อมูลหลักด้วยการเร่ิมต้นเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลหลักประเภท ผู้บริหาร อบต. ก่อน ซ่ึงผู้วิจัย สามารถระบุตัวบุคคลได้ด้วยตาแหน่งของโครงสร้างองค์กรของ อบต. จากนั้นจึงสอบถามผู้บริหาร อบต. ที่ได้ ทาการเก็บขอ้ มลู โดยข้แี จงคณุ ลกั ษณะและคุณสมบัติของผูใ้ หข้ ้อมูลหลักประเภทอนื่ ที่ไดก้ าหนดไวแ้ ลว้ เพื่อให้ ได้มาซ่ึงการแนะนาและเช่ือมโยงไปสู่การระบุตัวบุคคลผู้ให้ข้อมูลหลักในประเภทอื่นที่เหลือ ดังนั้น ทาให้ได้ จานวน อบต. รวมทั้งหมด 4 แห่ง แต่ละแห่งผู้วิจัยเลือกผู้ให้ข้อมูลหลักท่ีมีคุณลักษณะและคุณสมบัติดังที่ระบุ ไว้ข้างต้น 5 ประเภท จานวนประเภทละ 1 คน ทาให้ได้จานวนผู้ให้ข้อมูลหลักจากทั้ง 4 ภูมิภาค รวมทั้งสิ้น เท่ากับ 20 คน 2.1.3 ผู้วิจัยใช้วิธีการเก็บข้อมูล ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In - depth Interview) กับผู้ให้ ข้อมลู หลกั ท่ีผู้วิจัยได้ทาการเลือกดว้ ยคุณลกั ษณะและคณุ สมบัติดังกล่าวข้างตัน รวมทงั้ ส้ิน จานวน20 คน 2.1.4 การเก็บรวบรวมขอ้ มลู หนา้ 2.1.4.1 ผู้วิจัยทาการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานของผู้ให้ข้อมูลหลักหรือผู้ให้ 80 ข้อมูลหลักโดยตรง โดยมีหนังสือราชการขอความอนุเคราะห์เป็นผู้ให้ข้อมูลหลักในการวิจัย จากคณะ วทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬา จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั เพอ่ื ขออนุญาตสมั ภาษณเ์ ชิงลึก (In - depth Interview) 2.1.4.2 ผู้วจิ ัยดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมลู จากการสัมภาษณด์ ว้ ยตนเอง รวมทั้งทา การบันทกึ เสียงการสัมภาษณ์ และจดบนั ทึกประเดน็ หลักท่ไี ดจ้ ากการสัมภาษณ์ โดยอาศยั กรอบแนวคิดในการ วิจัย ซึ่งมรี ายละเอียดการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ดงั น้ี 2.1.4.2.1 อบต. ประเภท ก. แห่งที่ 1 เก็บรวบรวมข้อมูล ณ ที่ทาการองค์การ บรหิ ารสว่ นตาบลนาตาล อาเภอนาตาล จงั หวัดอุบลราชธานี (ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ)เมื่อวนั ที่ 16 มกราคม 2560 เวลาระหวา่ ง 09.00 - 12.00 น. 2.1.4.2.2 อบต. ที่ประเภท ก. แห่งท่ี 2 เก็บรวบรวมข้อมูล ณ ที่ทาการองค์การ บรหิ ารส่วนตาบลบ้านหลุม อาเภอเมอื ง จงั หวัดสโุ ขทยั (ภาคเหนือ) เมอ่ื วนั ท่ี 11 มกราคม 2560 เวลาระหว่าง 09.00 - 12.00 น. 2 1.4.2.3 อบต. ประเภท ข. แห่งท่ี 1 เก็บรวบรวมข้อมูล ณ ที่ทาการองค์การ บริหารส่วนตาบลกาแพงแสน อาเภอกาแพงแสน จังหวัดนครปฐม (ภาคกลาง) เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2560 เวลาระหว่าง 09.00 - 12.00 น.
นกั บรหิ ารงานทั่วไป ร่นุ ที ๘๔ 2.1.4.2.4 อบต. ประเภท ข. แหง่ ท่ี 2 เกบ็ รวบรวมข้อมลู ณ ที่ทาการองคก์ ารบริหาร หน้า ส่วนตาบลศรีวิชัย อาเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ภาคใต้) เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2560 เวลาระหว่าง 81 09.00 - 12.00 น. 2.1.5 การวเิ คราะหข์ ้อมลู และการตรวจสอบความน่าเชือ่ ถอื ของผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 2.1.5.1 ขอ้ มลู ทไ่ี ด้จากการสมั ภาษณเ์ ชิงลึก (In - depth Interview) ผวู้ ิจยั ทาการถอดความ จากเคร่ืองบันทึกเสียงให้เป็นข้อความ และทาการวิเคราะห์และตีความข้อมูลเชิงคุณภาพตามหลักการของ (เบญจา ยอดดาเนิน-แอต็ ตกิ จ์ และ กาญจนา ตัง้ ชลทพิ ย์, 2552) ดงั น้ี 2.1.5.1.1 อ่านและจบั ประเด็น คือ อา่ นขอ้ มลู ดบิ อยา่ งละเอียด จนกระทง่ั เขา้ ใจและ จับประเดน็ หลักๆ ได้ 2.1.5.1.2 เปล่ียนประเด็นเป็นรหัส คอื เปลี่ยนประเด็นหลักเท่าน้นั ให้เปน็ รหัส (หรือ สาระโดยสรุปของแตล่ ะขอ้ ความ) ไวท้ า้ ยขอ้ ความ 2.1.5.1.3 จดั กลมุ่ ข้อมลู คือ แยกแยะจัดกลุ่มข้อมลู รวมท้ังเช่อื มโยงขอ้ มลู ท่ีสามารถ จับกล่มุ สาระ (ความหมาย) หรือแนวคิด (Concept) ได้ 2.1.5.1.4 เช่ือมโยงแนวคิด คือ เช่ือมโยงแนวคิดต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพ่ือหาแบบแผน ความสมั พนั ธ/์ แนวเรื่อง (Theme) หรือปรากฏการณท์ ่ีเกิดขนึ้ 2.1.5.1.5 ขยายความเช่ือมโยง คือ ขยายขอบข่ายของความเช่ือมโยงเพ่ือให้เห็น ภาพรวมของเรื่องหรือปรากฏการณท์ ศ่ี กึ ษา 2.1.5.1.6 หาความหมาย คือ ตีความและหาความหมาย หรือคาอธิบายของแบบ แผนความสัมพันธ/์ ปรากฏการณ์เหลา่ นัน้ 2.1.5.1.7 หาข้อสรุป คือ หาข้อสรุปที่เป็นสาระหลักของผลการวิเคราะห์ตีความ และการหาความหมาย 2.1.5.2 ผู้วิจัยทาการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เน้ือหา (Content Analysis) ตาม หลักการของ Crabtree and Miller (1999) โดยทาการอ่านจับประเด็น จับใจความเพ่ือให้ได้เน้ือหา (ความหมาย) จัดกลุ่มความหมาย หาแบบแผน เชื่อมโยงแบบแผนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เก็บข้อมูลและวิเคราะห์ เพม่ิ เติม จนแสดงความสัมพันธ์ และตอบคาถามวจิ ัยไดช้ ดั เจน และทาการนาเสนอข้อมลู ในรปู แบบความเรยี ง 2.1.5.3 ผู้วจิ ยั ทาการตรวจสอบความนา่ เชอ่ื ถือของผลการวเิ คราะห์ข้อมูลด้วยวธิ ีการตรวจสอบ แบบสามเส้า(Triangulation)โดยทาการตรวจสอบข้อมูลตามหลักการของ (Denzin, 2006; ชายโพธิสิตา ,2556)ซ่ึงในการวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาจากกระบวนการวิจัยในขั้นตอนที่ 2 การวิจัยเชิงคุณภาพนั้น ผู้วิจัยได้ทาการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยวิธีการตรวจสอบแบบสามเส้าด้า นข้อมูล(Data
นกั บริหารงานทัว่ ไป รนุ่ ที ๘๔ Triangulation)กล่าวคือข้อมูลประเภทเดียวกันที่เก็บรวบรวมได้จากบุคคล สถานท่ีและเวลาที่แตกต่างกันนั้น มีผลสรปุ ท่ีมีความเหมอื นหรือแตกต่างหรอื ยืนยนั หรือขดั แย้งกันหรอื ไม่ อยา่ งไร 2.2 การวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณ (Quantitative Research) เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการใช้บรกิ ารและ ความต้องการของประชาชนในการได้รับบริการเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านการกีฬาและนันทนาการใน ชมุ ชนท้องถิน่ จากองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบล โดยมรี ายละเอียด ดังต่อไปน้ี 2.2.1 นาขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากการศึกษาสภาพและปัญหา ด้วยวธิ ีการสมั ภาษณ์เชงิ ลึก (In - depth Interview) มาวเิ คราะหร์ ว่ มกับการปรึกษาอาจารย์ทีป่ รึกษา เพอื่ จดั กลุ่มข้อมูลที่ไดจ้ ากการศึกษาตาม กรอบแนวคิดในการวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับทฤษฎีด้านทรัพยากรในการบริหารจัดการส่วนประสมทางกา รตลาด กระบวนการบริหารจดั การ และธรรมาภบิ าล จากนน้ั นาข้อมูลที่ได้จากการสังเคราะห์ไปใช้ในการพัฒนาสรา้ งเคร่ืองมือเปน็ แบบสอบถามความ ต้องการของประชาชนในการได้รับบริการเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านการกีฬาและนันทนาการในขุมชน ท้องถิ่น ให้มีความสอดคล้องกับสภาพและปัญหาที่เกิดขึ้นจริงตามข้อมูลที่ได้ทาการเก็บรวบรวมมาจากการ วจิ ยั เชงิ คุณภาพในเบื้องต้น 2.2.2 ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง หนา้ 2.2.2.1 ประชากร (Population)ประชากรที่ใช้ในการศึกษาความต้องการ คือ 82 ประชาชนที่อาศัยในเขตพ้ืนท่ี อบต. ท่ัวประเทศไทย ซ่ึงนับว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ท่ี เก่ียวข้องกับการพัฒนารปู แบบการจดั การศูนยก์ ีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล (อบต) โดยตรง จาก อบต. ทัว่ ประเทศไทย จานวน 5,334 แห่ง รวมทั้งส้นิ จานวน 34,427,300 คน (กรมส่งเสรมิ การปกครองท้องถ่ินและ องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ , 2560) 2.2.2.2 กลุ่มตัวอย่าง (Sample)จากประชากรที่อาศัยในเขต อบต. ทั่วประเทศไทย จานวน 5,335 แห่ง รวมทั้งส้ินจานวน 34,427,300 คน ผู้วิจัยกาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง เพ่ือทาการเก็บ ข้อมลู เชิงปรมิ าณ ดงั น้ี 2.2.2.2.1 ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง (Sample Size) การได้มาซึ่งขนาดของกลุ่ม ตัวอย่างท่ีเหมาะสมกับการวิจัย ผู้วิจัยอาศัยการได้มาซ่ึงกลุ่มตัวอย่างตามตารางสาเร็จรูป กาหนดขนาด ตัวอย่าง ของ Yamane (1973) ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 99 ซึ่งพบว่า จานวนกลุ่มตัวอย่างอย่างน้อยท่ีสุด ตามตารางสาเรจ็ รูปกาหนดขนาดตัวอย่าง เท่ากบั 900 คน ท้งั นี้ ผวู้ ิจัยต้องการ ให้การศกึ ษาวจิ ัยครั้งน้ีมีความ สมบูรณ์และน่าเชื่อถือย่ิงขึ้น จึงกาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างให้มีจานวนมากข้ึนและมีความใกล้เคียงกับ จานวนตัวอย่างที่ได้จากตารางสาเร็จรูปกาหนดขนาดตัวอย่างดังนั้น ผู้วิจัยจึงกาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง สาหรับการวิจยั คร้งั น้ี เปน็ จานวนอยา่ งนอ้ ยทสี่ ดุ 1,000 คน
นักบรหิ ารงานทว่ั ไป ร่นุ ที ๘๔ 2.2.2.2.2 การได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่าง (Sampling) ผู้วิจัยกาหนดการได้มาซ่ึงกลุ่ม หนา้ ตวั อย่าง ดว้ ยวิธีการสมุ่ แบบหลายข้นั ตอน (Multi - Stage Sampling) ดังต่อไปน้ี 83 2.2.2.2.2.1 ผู้วิจัยกาหนดพื้นท่ีในการดาเนินการวิจัยโดยวิธีการสุ่มแบบ แบ่งช้ัน (Stratified Random Sampling) โดยผู้วิจัยเป็นผู้กาหนดจานวนตัวอย่างในแต่ละช้ัน ทาให้การวิจัย คร้ังนี้ ผู้วิจัยกาหนดตัวอย่างในช้ันภูมิภาคเป็น 4 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ จากน้ันทาการกาหนดตัวอย่างในชั้นจังหวัดเป็น 5 จังหวัดในแต่ละภูมิภาค จากน้ันทา การกาหนดตวั อย่างในช้นั อาเภอเป็น 2 อาเภอในแตล่ ะจังหวดั และกาหนดตวั อย่างในชัน้ ของ อบต. ออกเป็น 2 แห่งในแต่ละอาเภอ ดังนั้น จะทาให้ได้กลุ่มตัวอย่าง อบตจากท้ัง 4 ภูมิภาคของประเทศไทย จานวนท้ังส้ิน (4 ภาค x 5 จงั หวดั x 2 อาเภอ x อบต. 2 แหง่ )เท่ากบั 80 แหง่ 2.2.2.2.2.2 ผู้วิจัยทาการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง อบต. ในแต่ละ ภูมิภาค ด้วย วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ด้วยการจับฉลาก โดยเริ่มจากทาการสุ่มจังหวัดให้ครบ 5 จงั หวัดในแต่ละภาค จากนัน้ ทาการสุ่มอาเภอให้ครบ 2 อาเภอในแตล่ ะจังหวัด แลว้ จงึ ทาการส่มุ อบต. ใหค้ รบ 2 แห่งในแต่ละอาเภอ ดังน้ัน จะทาให้ได้กลุ่มตัวอย่าง อบต.จากทั้ง 4 ภูมิภาคของประเทศไทย จานวนทั้งสิ้น (4 ภาค x 5 จังหวดั x 2 อาเภอ x อบต. 2 แหง่ ) เท่ากบั 80 แหง่ 2.2.2.2.2.3. ผู้ วิ จั ย ท า ก า ร สุ่ ม แ บ บ มี ร ะ บ บ ( Systematic Random Sampling) เพ่ือเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ จากกลุ่มตัวอย่างท่ีเปน็ ประชาชนผู้รบั บริการด้านกีฬาและ นันทนาการ ในพ้ืนท่ี อบต. โดยใช้วิธีการเก็บข้อมูลกับตัวอย่างทุก ๆ คนท่ี 5 ท่ีผู้วิจัยได้พบ กล่าวคือ ทาการเก็บข้อมูลจาก ตัวอย่าง 1 คน เว้น 4 คน แล้วจึงทาการเก็บข้อมูลอีกครั้งกับตัวอย่างคนที่ 5 จนสามารถเก็บข้อมูลจากกลุ่ม ตวั อย่างจาก อบต. ท้งั 80 แหง่ อยา่ งน้อยที่สดุ 1,000 คน 2.2.2.3 เครอื่ งมือ ผู้วิจัยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) ที่พัฒนาจากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิง คุณภาพ มาเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ ซ่ึงแบบสอบถามในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเก่ียวกับ พฤติกรรมการใช้บริการและความต้องการในการได้รับบริการของประชาชนท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนารูปแบบ การจัดการศนู ย์กฬี าและนนั ทนาการองคก์ ารบริหารส่วนตาบลท้ังนี้ มาตรประมาณค่าท่ีใชใ้ นแบบสอบถามของ การวิจยั คร้ังน้ี มีลักษณะเปน็ มาตรประมาณค่าแบบลเิ คริ ท์ (Likert Rating Scale) 5 ระดับ โดยมีเกณฑใ์ นการ พจิ ารณา ดงั นี้ หมายเลข 5 หมายถงึ ลกั ษณะประเด็นที่ข้อคาถามแสดงอยู่ในระดบั มากที่สุด หมายเลข 4 หมายถึง ลักษณะประเดน็ ท่ขี อ้ คาถามแสดงอยู่ในระดบั มาก หมายเลข 3 หมายถึง ลักษณะประเด็นที่ข้อคาถามแสดงอยู่ในระดับ ปานกลาง หมายเลข 2 หมายถึง ลักษณะประเดน็ ทขี่ ้อคาถามแสดงอยู่ในระดบั น้อย
นกั บรหิ ารงานทัว่ ไป รุน่ ที ๘๔ หมายเลข 1 หมายถงึ ลกั ษณะประเดน็ ทข่ี อ้ คาถามแสดงอยู่ในระดับ น้อยท่สี ดุ 2.2.2.4 การหาคุณภาพของเคร่อื งมอื ผู้วิจัยหาคณุ ภาพของเคร่ืองมอื โดยมีข้นั ตอน ดงั นี้ 2.2.2.4.1 ผู้วิจัยนาแบบสอบถาม ไปพิจารณาหาความตรงตามเน้ือหา (Content Validity) โดย นาไปให้ผู้ทรงคณุ วฒุ ิจานวน 5 ทา่ น พจิ ารณาความตรงตาม Congruence: IOC) โดยกาหนดคะแนนของผลการพิจารณา ดังที่ บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธ์ิ (2542) เสนอไว้ และทาการระบใุ นแบบพจิ ารณา เพื่อให้ผทู้ รงคณุ วฒุ ิทราบและพิจารณา ดงั น้ี (+1) ถา้ แน่ใจวา่ ข้อคาถามน้ันสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์ของการวิจยั (0 ) ถ้าไมแ่ น่ใจว่าขอ้ คาถามนั้นสอดคลอ้ งหรือไมก่ บั วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั (-1) ถ้าแน่ใจวา่ ข้อคาถามน้นั ไมส่ อดคล้องกบั วตั ถุประสงค์ของการวิจัย จากผลการพจิ ารณาใหค้ ะแนนในแตล่ ะขอ้ คาถามของผู้ทรงคณุ วุฒิ ทีไ่ ดร้ ับกลับคืนมา นาไปหาค่าดัชนีความสอดคลอ้ งของขอ้ คาถามกับวัตถุประสงค์ของการวิจัยได้ หน้า สูตร 84 IOC = ΣR N IOC = ดัชนคี วามสอดคล้องขอข้อคาถามตามความเห็นของผทู้ รงคุณวฒุ ิ ΣR = คะแนนรวมจากการพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิ N = จานวนผู้ทรงคณุ วุฒิ คาถามใด มีค่า IOC ใกล้ 1.0 แสดงว่ามีความตรงตามเนื้อหามากถ้ามีคา ใกล้ 0 แสดงว่ามีความตรงตามเน้อื หาน้อย และถ้ามคี า่ IOC ตดิ ลบแสดงว่าเปน็ ข้อที่ไม่มคี วามตรงตามเนื้อหา ท้ังนี้ ผู้วิจัยกาหนดค่าดัชนีความสอดคล้องต้ังแต่ 0.6 ข้ึนไป โดยข้อคาถาม ทีไ่ ดค้ ะแนน 0.6 ขน้ึ ไป แสดงว่า ขอ้ คาถามในแบบสอบถามมคี วามสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวจิ ัย ห ลั ง จ า ก ที่ ผู้ ท ร ง คุ ณ วุ ฒิ ท า ก า ร พิ จ า ร ณ า ค ว า ม ต ร ง ต า ม เ น้ื อ ห า ข อ ง แบบสอบถามแล้ว นามาคานวณได้ค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อคาถามกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย(Index of Item - Objective Congruence: IOC) ของข้อคาถามแต่ละรายการเป็นรายข้อ ตั้งแต่ 0.4 - 1.0 และได้ คา่ ดัชนฯี ของแบบสอบถามทงั้ ฉบบั มคี ่าเทา่ กับ 0.86 จากน้ันผู้วิจัยจึงตัดรายการข้อคาถามท่ีมีคะแนนต่ากว่า 0.6 ออกไปและ ปรับปรุงข้อคาถามที่ได้รับการเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิ โดยปรึกษาอาจารย์ท่ีปรึกษาแสะอาจารย์ท่ีปรึกษา รว่ ม เพอ่ื ให้ไดเ้ คร่อื งมอื ที่ใช้ในการวจิ ัยทม่ี ีคณุ ภาพ
นักบริหารงานท่ัวไป รุ่นที ๘๔ 2.2.2.4.2 นาแบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try Out) กับประชาชนที่มี หน้า คุณสมบัตใิ กล้เคียงกบั กลุ่มตัวอย่างจริง จานวน 30 คน อันไดแ้ ก่ ประชาชนผเู้ ดินทางมาออกกาลังกายในสนาม 85 กีฬาฟตุ บอล ภายในบริเวณพน้ื ที่องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบลทุ่งสมอ อาเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี และนา แบบสอบถามทที่ ดลองใช้แล้วมาหาความเท่ียง (Reliability) ของแบบสอบถาม ดว้ ยวธิ กี ารวิเคราะหค์ า่ สัมประสิทธ์อิ ลั ฟาของครอนบาค (Cronbach's Alpha Coefficient) โดย ผู้วิจัยได้กาหนดเกณฑ์ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาตั้งแต่ 0.7 ขึ้นไป เพราะถือว่าเป็นค่าที่เพียงพอและเป็นท่ียอมรับ ทางสถิติ ซงึ่ ผลจากการวิเคราะหค์ ่าสัมประสทิ ธ์ิอลั ฟาของครอนบาค ได้เท่ากับ 0.95 2.2.2.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล 2.2.2.5.1 ผู้วิจัยนาหนังสือราชการขอความอนุเคราะห์ขอเก็บข้อมูลโดย การใช้แบบสอบถาม จากคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปดาเนินการเก็บข้อมูลกับ ประชาชนผู้รับบริการด้วยตนเองและผู้ช่วยวิจัย ภายใน อบต. ท่ีได้ทาการสุ่มไว้ในเบื้องต้นโดยเก็บข้อมูลจาก กลุ่มตัวอย่างซ่ึงเป็นคนที่เข้ามาออกกาลังกาย เล่นกีฬา หรือพักผ่อนหย่อนใจตามสถานที่ออกกาลังกาย เล่น กฬี า หรือพักผ่อนหยอ่ นใจภายในพนื้ ทขี่ อง อบต. 2.2.2.5.2 ผู้วิจัยทาการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยจัดเตรียมแบบสอบถามรวม จานวน 1,000 ฉบับ ให้กับประชาชนผู้รับบริการด้านการกีฬาและนันทนาการในพื้นท่ี อบต.จาก อบต. ใน 4 ภูมิภาค รวมจานวน 80 แห่ง ตามท่ีได้ทาการสุ่มไว้แล้วในเบื้องต้น โดยผู้วิจัยสามารถดาเนินการเก็บรวบรวม ข้อมูลในพ้ืนที่ อบต. ได้จริง จาก อบต. รวมท้ังสิ้นจานวน 70 แห่ง และมีประชาชนผู้รับบริการด้านกีฬาและ นนั ทนาการในพนื้ ที่ อบต. ตอบแบบสอบถามและส่งคนื กลับมาให้ผู้วิจยั รวมทั้งสน้ิ จานวน 906 คน คิดเป็นร้อย ละ 87.12 ของจานวนแบบสอบถามทั้งหมด 2.2.2.6 การวิเคราะหข์ ้อมลู ผู้วิจัยนาข้อมูลที่ได้ มาตรวจสอบความสมบูรณ์ของการตอบแล้วนามา วเิ คราะหผ์ ลโดยใช้โปรแกรมสาเร็จรปู สาหรับการวิจัยทางสังคมศาสตร์ เพ่อื แจกแจงหาค่าความถคี่ ่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย (x̅ ) และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) แลว้ นาเสนอในรปู แบบตารางประกอบความเรยี ง ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจยั กาหนดการแปลความหมายคา่ เฉลี่ยของระดบั ความต้องการตามเกณฑ์ (ประคอง กรรณสูต, 2542) ดังน้ี คา่ เฉลีย่ 4.50 - 5.00 หมายถึง ความตอ้ งการ อยู่ในระดับ \"มากทส่ี ุด\" คา่ เฉลย่ี 3.50 - 4.49 หมายถึง ความต้องการ อยู่ในระดับ \"มาก\" คา่ เฉลย่ี 2.50 - 3.49 หมายถึง ความต้องการ อยู่ในระดบั \"ปานกลาง\" ค่าเฉลีย่ 1.50 - 249 หมายถงึ ความตอ้ งการ อยู่ในระดบั \"น้อย\" คา่ เฉลีย่ 1.00 - 1.49 หมายถึง ความตอ้ งการ อยู่ในระดบั \"นอ้ ยท่สี ุด\"
นกั บริหารงานทั่วไป ร่นุ ที ๘๔ เมื่อดาเนินการวิจัยในขั้นตอนท่ี 2 สาเร็จแล้ว รวมท้ังแปลผลของข้อมูลสภาพและ ปัญหาในการดาเนนิ งานขององค์การบริหารส่วนตาบลเก่ียวกบั การบรหิ ารจัดการดา้ นการกีฬาและนันทนาการ ในชุมชนท้องถ่ิน และข้อมูลพฤติกรรมการใช้บริการและความต้องการของประชาชนในการได้รับบริการ เกีย่ วกับการบรหิ ารจดั การดา้ นการกฬี าและนนั ทนาการในชมุ ชนท้องถิ่นจากองคก์ ารบรหิ าร ส่วนตาบล เรียบร้อยแลว้ จงึ นาผลของข้อมูลทไี่ ด้ ไปปรึกษาอาจารย์ท่ีปรึกษาหลักและอาจารย์ที่ ปรึกษาร่วม เพ่ือสังเคราะห์ให้เกิดร่างรูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล ตอ่ จากนน้ั จึงนาร่างรปู แบบที่ได้ ไปเตรยี มการจดั การสนทนากลุ่มในขน้ั ตอนที่ 3 ตอ่ ไป ขน้ั ตอนท่ี 3 พัฒนารา่ งรูปแบบการจดั การศูนย์กีฬาและนนั ทนาการองค์การบรหิ ารสว่ น ตาบล ในข้ันตอนที่ 3 ผู้วิจัยนาร่างรูปแบบการจัดการศูนยก์ ีฬาและนันทนาการองค์การบริหารสว่ น ตาบลซึ่งเกิดจากการสังเคราะหข์ ้อมูลทีไ่ ดจ้ ากการดาเนินการวิจัยในขน้ั ตอนท่ี 2 รว่ มกนั ระหว่างผวู้ จิ ยั อาจารย์ ท่ีปรกึ ษาหลกั และอาจารยท์ ี่ปรกึ ษาร่วม มานาเสนอกบั ผมู้ สี ่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) หน้า โดยการจัดการสนทนากลมุ่ (Focus Group Discussion) ซง่ึ มรี ายละเอยี ด ดังต่อไปน้ี 86 3.1 ผู้วจิ ยั กาหนดจานวนกลุ่มผูเ้ ข้ารว่ มการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) ใหม้ คี วาม เหมาะสม โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลมุ่ ละ 8 คน รวมทัง้ สิ้น 16 คน ประกอบไปดว้ ย 3.1.1 กลุ่มท่ี 1 ได้แก่ 3.1.1.1 ผู้บริหาร อบต. อันได้แก่ ปลัด อบต. หรือ นายก อบต. ท่ีมีประสบการณ์ ในการดาเนินงานด้านการส่งสริมการกีฬาและนันทนาการในชุมชนท้องถ่ิน และดารงตาแหน่ง หรือเคยดารง ตาแหน่งมาแล้ว ไมน่ ้อยกว่า 2 ปี จานวน 4 คน 3.1.1.2 เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานใน อบต. ท่ีมีประสบการณ์ในการดาเนินงานด้าน การสง่ เรมิ การกีพาและนันทนาการในชุมชนท้องถ่ิน และปฏบิ ัติหน้าที่ใน อบต.มาแลว้ ไม่น้อยกว่า 2 ปี จานวน 4 คน ดงั น้ัน มีผูร้ ่วมการสนทนากล่มุ ที่ 1 รวมจานวน 8 คน 3.1.2 กล่มุ ท่ี 2 ไดแ้ ก่ 3.1.2.1 เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่าง ๆ ภายในพ้ืนท่ี อบต. ที่เกี่ยวข้องกับกีฬาและนันทนาการ เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล และโรงเรียน เป็นต้นซึ่งเป็นผู้ที่ ดาเนินงานตามภารกิจของหน่วยงานเป็นหลัก แต่มีการดาเนินงานสนับสนุน ส่งเสริมด้านการกีฬาและ นันทนาการในชุมชนท้องถ่ินตามวาระโอกาส และปฏิบัติหน้าท่ีในหน่วยงานที่ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ อบต. มาแล้ว ไมน่ ้อยกว่า 2 ปี จานวน 4 คน
นกั บริหารงานทวั่ ไป รนุ่ ที ๘๔ 3.1.2.2 ประชาชนผู้อาศัยอยู่ในเขต อบต. ซ่ึงเป็นผู้ท่ีออกกาลังกาย เล่นกีฬาหรือ หน้า ประกอบกิจกรรมนันทนาการภายในบริเวณพื้นที่ของ อบต. และมีภูมิลาเนาอยู่ในบริเวณพ้ืนที่ของอบต. ไม่ 87 น้อยกวา่ 2 ปี จานวน 4 คน ดังนนั้ มีผ้รู ่วมการสนทนากลุ่มท่ี 2 รวมจานวน 8 คน สรุปได้ว่า ในข้ันตอนที่ 3 มีผู้ร่วมการจัดการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) เพื่อทาการพัฒนาร่างรูปแบบการจัดการศูนย์กีพาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล ท้งั หมด จานวน 2 กลุ่ม รวมทั้งสิน้ 16 คน 3.2 การเก็บรวบรวมข้อมูลผวู้ ิจัยดาเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ดังนี้ 3.2.1 ผู้วิจัยทาการติดต่อประสานงานกับผู้ร่วมการสนทนากลุ่ม โดยใช้หนังสือราชการ ขอความอนุเคราะห์เป็นผู้เข้าร่วมการสนทนากลุ่ม จากคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพ่ือขออนุญาตเชิญมาเข้าร่วมการจัดการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) ซ่ึงผู้วิจัยเก็บข้อมูลจาก ผู้เข้าร่วมการสนทนากลุ่ม โดยการเลือกจากพ้ืนท่ีของผู้เข้าร่วมการสนทนากลุ่มให้มีความแตกต่างไปจากพ้ืนที่ ของผใู้ หข้ อ้ มลู หลักตามข้นั ตอนท่ี 2 ของการวิจยั มีหลกั เกณฑ์ ดังต่อไปน้ี 3.2.1.1 เลือกจาก อบต. ท่ีเป็นตัวอย่างท่ีดีในการดาเนินงานด้านการส่งเสริมการ กีฬาและนันทนาการในชุมชน จานวน 1 แห่ง จาก 4 ภูมิภาคของประเทศไทย โดย อบต. ที่เป็นอย่างท่ีดี หมายถึง อบต. ท่ีมีผลกาดาเนินงานด้านกีฬาและนันทนาการในเชิงประจักษ์ หรือได้รับการรับรองหรือ รางวัล จากกิจกรรมหรือโครงการด้านการส่งเสริมกีฬาและนันทนาการ ขององค์กรภาครัฐระดับประเทศ เช่น การจัดการประกวดการจัดการแข่งขัน การยกย่องเชิดชูเกียรติ ฯลฯ (ในท่ีน้ี เรียกแทน อบต. ประเภทน้ีว่า อบต. ประเภท ก.) 3.2.1.2 เลือกจาก อบต. ท่ีไม่มีศักยภาพเพียงพอในการดาเนินงานด้านการส่งเสริม การกฬี าและนันทนาการในชมุ ชน จานวน 1 แหง่ จากอีก 3 ภูมภิ าคทเ่ี หลือ โดย อบต. ทไี่ ม่มีศักยภาพเพียงพอ หมายถึง อบต. ท่ีไม่มีผลการดาเนินงานด้านกีฬาและนันทนาการในเชิงประจักษ์และไม่เคยส่งผลงานเข้าร่วม เพื่อให้ได้มาซ่ึงการรับรองหรือรางวัล จากกิจกรรมหรือโครงการด้านการส่งเสริมกีฬาและนันทนาการ ของ องคก์ รภาครัฐระดับประเทศ เชน่ การจดั การประกวด การจัดการแข่งขัน การยกย่องเชิดซูเกียรติ ฯลฯ (ในท่ีนี้ เรยี กแทน อบต. ประเภทน้ีวา่ อบต. ประเภท ข.) โดยในแต่ละพ้ืนท่ี อบต. จานวนทง้ั หมด 2 แห่งน้ัน ผวู้ ิจัยทา การเลือกผู้เข้าร่วมการสนทนากลุ่ม ด้วยการเร่ิมต้นขอความอนุเคราะห์เข้าร่วมการสนทนากลุ่มจาก ผู้บริหาร อบต. ก่อน ซึ่งผู้วิจัยสามารถระบุตัวบุคคลได้ด้วยตาแหน่งในโครงสร้างองค์กรของ อบต. จากนั้นจึงสอบถาม ผู้บรหิ าร อบต. ทใ่ี หค้ วามรว่ มมือ โดยชีแ้ จงคณุ ลักษณะและคณุ สมบัติของเขา้ รว่ มการสนทนากลุม่ ประเภทอ่ืน ท่ีได้กาหนดไว้แล้ว เพื่อให้ได้มาซ่ึงการแนะนาเช่ือมโยงไปสู่การระบุตัวบุคคลผู้เข้าร่วมการสนทนากลุ่มใน ประเภทอื่นท่เี หลอื มรี ายละเอยี ดของ อบต. ในพ้นื ท่ีทั้ง 2 ภูมิภาค ดงั นี้
นกั บรหิ ารงานทวั่ ไป รุ่นที ๘๔ 1) อบต. ประเภท ก. ไดแ้ ก่ องคก์ ารบริหารส่วนตาบลบางบวั ทอง อาเภอบางบัวทอง จงั หวัด นนทบุรี (ภาคกลาง) 2) อบต. ประเภท ข. ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตาบลนครสวรรค์ตก อาเภอเมือง จังหวัด นครสวรรค์ (ภาคเหนือ) 3.2.2 ผู้วิจัยดาเนินการสนทนากลุ่ม โดยผู้วิจัยเป็นผู้ดาเนินรายการหลัก (Moderator)และมี ผ้ชู ว่ ยวจิ ัยเป็นผู้จดบันทกึ ประเด็นในการสนทนาและจดั ให้มกี ารบันทกึ เสยี งดว้ ยเครือ่ งบันทึกเสียง 3.2.3 ผู้วิจัยบริหารจัดการการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) โดยประยุกต์ตามแนว ทางการดาเนนิ การสนทนากลุ่มของ ชาย โพธสิ ติ า (2556) ดงั น้ี 3.2.3.1 ผู้วิจัยในฐานะผู้ดาเนินรายการหลัก ทาการแนะนาตนเองและทีมงานผู้จัดการสนทนา กล่มุ ทุกคนทอ่ี ย่ใู นห้องจัดการสนทนากลุ่ม 3.2.3.2 ผูว้ ิจยั อธบิ ายถึงวตั ถุประสงค์และจดุ มุ่งหมายของการจัดสนทนากลุ่ม 3.2.3.3 เปิดโอกาสใหผ้ เู้ ข้าร่วมสนทนากลุ่มทกุ คน ไดแ้ นะนาขอ้ มูลสว่ นบุคคลของตนเอง 3.2.3.4 เมอื่ ผู้เขา้ ร่วมสนทนากลุ่มทุกคนเริ่มมีความคุ้นเคยตอ่ กนั ผ้วู ิจยั จงึ เรม่ิ เกริน่ นาดว้ ยคาถาม อ่นุ เครอ่ื ง เพื่อสร้างบรรยากาศความเปน็ กนั เอง และเปน็ การนาเข้าสบู่ รรยากาศของหัวขอ้ ในการสนทนากลุ่ม หน้า 3.2.3.5 ผู้วิจัยเริ่มถามแนวคาถามการสนทนากลุ่มที่ได้จัดเตรียมไว้ โดยมีการทิ้งช่วงให้ทุกคนใน 88 กลุ่มได้มีการถกประเด็นและโต้แย้งกันให้พอสมควร เพื่อสร้างบรรยากาศการ แลกเปล่ียนความคิดเห็นต่อ กัน 3.2.3.6 ผู้วิจัยควบคุมการถกประเด็นภายในกลุ่มไม่ให้หยุดนิ่ง โดยไม่ถามคาถามเจาะไปท่ีคนใด คนหนึ่งมากเกินไป พยายามไม่ให้เกิดการข่มทางความคิดหรือชักนาผู้อ่ืนให้เห็นคล้อยตามผู้ท่ีมีบทบาทในการ แสดงความคิดเหน็ มาก 3.2.4 ผู้วิจัยจัดการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) ครั้งท่ี 1 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2560 ระหว่างเวลา 09.00 - 12.00 น. ณ ห้องประชุมช้ัน 2 อบต.บางบัวทอง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี และ คร้ังที่ 2 เมื่อวันท่ี 4 ตุลาคม 2560 ระหว่างเวลา 09.00 - 12.00 น . ณ ห้องประชุมอบต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ 3.3 การวเิ คราะหข์ อ้ มูลและการตรวจสอบความนา่ เชอ่ื ถือของผลการวเิ คราะห์ข้อมลู 3.3.1 ขอ้ มูลท่ีได้จากการจัดการสนทนากลมุ่ (Focus Group Discussion) ผู้วิจยั ทา การถอดความจากเคร่ืองบันทึกเสียงให้เป็นข้อความ และทาการวิเคราะห์และตีความข้อมูลเชิงคุณภาพตาม หลกั การของ (เบญจา ยอดดาเนนิ -แอต็ ตกิ จ์ และ กาญจนา ตง้ั ชลทพิ ย์, 2552) ดังนี้ 3.3.1.1 อ่านและจับประเด็น คือ อ่านข้อมูลดิบอย่างละเอียด จนกระท่ัง เข้าใจและจบั ประเด็นหลักๆ ได้
นักบรหิ ารงานท่ัวไป รุน่ ที ๘๔ 3.3.1.2 เปล่ียนประเด็นเป็นรหัส คือ เปล่ียนประเด็นหลักเท่าน้ันให้เป็น หนา้ รหัส(หรือสาระโดยสรุปของแต่ละขอ้ ความ) ไวท้ า้ ยขอ้ ความ 89 3.3.1.3 จัดกลุ่มข้อมูล คือ แยกแยะจัดกลุ่มข้อมูล รวมทั้งเช่ือมโยงข้อมูลท่ี สามารถจบั กลมุ่ สาระ (ความหมาย) หรือแนวคดิ (Concept) ได้ 3.3.1.4 เช่ือมโยงแนวคิด คือ เชื่อมโยงแนวคิดต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อหา แบบแผน ความสัมพนั ธ์/แนวเรือ่ ง (Theme) หรือปรากฎการณท์ ี่เกดิ ข้นึ 3.3.1.5 ขยายความเชื่อมโยง คือ ขยายขอบข่ายของความเช่ือมโยงเพื่อให้ เห็นภาพรวมของเร่ืองหรือปรากฏการณ์ท่ศี กึ ษา 3.3.1.6 หาความหมาย คือ ตีความและหาความหมาย หรือคาอธิบายของ แบบแผนความสัมพนั ธ์/ปรากฏการณ์เหลา่ นน้ั 3.3.1.7 หาข้อสรุป คือ หาข้อสรุปที่เป็นสาระหลักของผลการวิเคราะห์ ตคี วามและการหาความหมาย 3.3.2 ผู้วิจัยทาการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เน้ือหา (Content Analysis) ตามหลักการ ของ Crabtree and Miller (1999) ทาการอ่านจับประเด็น จับใจความ เพื่อให้ได้เนื้อหา (ความหมาย) จัด กลุม่ ความหมาย หาแบบแผน เชื่อมโยงแบบแผนตา่ ง ๆ เข้าด้วยกัน เก็บข้อมูลและวิเคราะหเ์ พมิ่ เติม จนแสดง ความสมั พันธ์ และตอบคาถามวจิ ัยไดช้ ดั เจน และทาการนาเสนอขอ้ มูลในรปู แบบความเรยี ง 3.3.3 ผวู้ จิ ัยทาการตรวจสอบความน่าเช่ือถือของผลการวิเคราะห์ข้อมลู ดว้ ยวิธีการตรวจสอบแบบ สามเส้า (Triangulation) โดยทาการตรวจสอบข้อมูลตามหลักการของ (Denzin, 2006;ชาย โพธิสิตา, 2556) ซึ่ง ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาจากกระบวนการวิจัยในข้ันตอนที่ 3ผู้วิจัยได้ทาการตรวจสอบความ น่าเชื่อถือของข้อมลู ดว้ ยวิธีการตรวจสอบแบบสามเส้าด้านข้อมูล (Data Triangulation) กล่าวคอื ขอ้ มูลประเภท เดียวกัน ท่ีเก็บรวบรวมได้จากบุคคล สถานท่ี และเวลาท่ีแตกต่างกันนั้น มีผลสรุปที่มีความเหมือนหรือแตกต่าง หรอื ยนื ยันหรอื ขดั แยง้ กันหรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้ ผู้วิจัยทาการวิเคราะห์ข้อมูล โดยการนาร่างรูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการ องค์การบริหารส่วนตาบล จากการดาเนนิ การวจิ ยั ในขัน้ ตอนที่ 3 ไปเปน็ สว่ นประกอบใน การจัดสนทนากลุ่มโดยอาศัยกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ที่เก่ียวข้อง จึงทาให้ได้ข้อมูลที่สาคัญต่อการนาไปสรุปวิเคราะห์เน้ือหา (Content Analysis) และสังเคราะห์ โดย ผู้วิจัย อาจารย์ท่ีปรึกษาหลัก และอาจารย์ท่ีปรึกษาร่วม เพ่ือให้เกิดรูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและ นันทนาการองคก์ ารบริหารสว่ นตาบลทีม่ ีความสมบูรณ์ย่งิ ข้ึน ซง่ึ ผูว้ ิจัยสามารถนารปู แบบท่ีมคี วามสมบรู ณ์มาก ขนึ้ ไปทาการตรวจสอบเพ่ือหาคณุ ภาพของรูปแบบในกระบวนการวิจัยขั้นตอ่ ไป
นกั บริหารงานทว่ั ไป รุ่นที ๘๔ ข้ันตอนท่ี 4 ตรวจสอบรูปแบบและนาเสนอการพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและ นันทนาการองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล ในขั้นตอนท่ี 4 ผู้วิจัยทาการตรวจสอบรูปแบบและนาเสนอการพัฒนารูปแบบการจัดการ ศูนย์ กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล โดยการจัดสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวุฒิ (Connoisseurship) ซ่งึ ผูว้ จิ ยั กาหนดใหม้ ีกลุ่มผูท้ รงคุณวุฒแิ ละผ้เู ชยี่ วชาญในข้ันตอนน้ี จานวน 2 กลมุ่ รายละเอียดดงั ต่อไปนี้ 4.1 ผ้ทู รงคณุ วุฒแิ ละผเู้ ช่ยี วชาญจานวน 2 กลุ่ม ประกอบไปดว้ ย 4.1.1 กลุ่มท่ี 1 คือ ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญ ในเชิงวิชาการ ด้านการบริหารจัดการกีฬา และนันทนาการ ซ่ึงมีประสบการณ์ในวิซาชีพไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือมีตาแหน่งทางวิชาการอย่างน้อยในระดับ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ 4.12 กลุ่มที่ 2 คือ ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐท่ีเก่ียวข้องกับการส่งเสริมและบริหารจัดการ กฬี าและนันทนาการ ซึ่งมปี ระสบการณใ์ นวิชาชีพไมน่ ้อยกว่า 5 ปี ดังน้ัน ทาให้มีผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมการจัดสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวุฒิ(Connoisseurship) จานวนกลุม่ ละ 5 คน รวมทั้งสน้ิ จานวน 10 คน 4.2 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู หน้า ผู้วิจัยดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการจัดสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวุฒิ (Connoisseurship) 90 มุ่งให้เกิดการวิพากษ์ระหว่างกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เช่ียวชาญ เพื่อการตรวจสอบความเหมาะสม และความ เป็นไปได้ของการพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วนตาบล โดยมี รายละเอยี ดการดาเนินการ ดงั ต่อไปนี้ 4.2.1 ผู้วิจัยทาการติดต่อประสานงานกับกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ โดยใช้หนังสือราชการขอความ อนุคราะห์เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในการวิจัย จากคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยเพื่อขอ อนุญาตเชญิ มาเข้ารว่ มการจดั สมั มนาองิ ผทู้ รงคุณวฒุ ิ (Connoisseurship) 4.2.2 ผู้วจิ ยั ทาการตดิ ต่อวทิ ยากรผ้นู าการอภิปราย ซึ่งเป็นผมู้ คี ณุ สมบัติ คือ เป็นผูท้ รงคณุ วฒุ ิ หรอื ผู้เชย่ี วชาญ เชิงวิชาการ ทมี่ ีความร้เู กยี่ วกับการดาเนินการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ 4.2.3 ผู้วิจัยจัดให้มีการจัดสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวุฒิ (Connoisseurship) โดยท่ีผู้วิจัยทาการ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการเป็นผู้ดาเนินการอภิปรายร่วม พร้อมกับการจดบันทึก และบันทึกเสียงด้วยเคร่ือง บนั ทกึ เสยี ง 4.2.4 ผู้วิจัยจัดสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวุฒิ (Connoisseurship) เม่ือวันท่ี 17 ตุลาคม 2560 ระหว่างเวลา 09.00 - 12.00 น. ณ ห้องประชุม 1 คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผล ปรากฏว่า มีผู้ทรงคุณวุฒิเดินทางมาเข้าร่วมการสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวุฒิ (Connoisseurship)รวมท้ังส้ิน จานวน 6 คน
นกั บรหิ ารงานทวั่ ไป รุ่นที ๘๔ 4.3 การวเิ คราะหข์ ้อมูลและการตรวจสอบความนา่ เช่ือถือของผลการวเิ คราะห์ข้อมูล หน้า 4.3.1 ข้อมูลที่ได้จากการจัดสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวุฒิ (Connoisseurship) ผู้วิจัยทาการถอด 91 ความจากเครื่องบันทึกเสียงให้เป็นข้อความ และทาการวิเคราะห์และตีความข้อมูลเชิงคุณภาพตามหลักการ ของ (เบญจา ยอดดาเนิน-แอต็ ตกิ จ์ และ กาญจนา ตั้งชลทพิ ย์, 2552) ดงั นี้ 4.3.1.1 อ่านและจับประเด็น คือ อ่านข้อมูลดิบอย่างละเอียด จนกระท่ังเข้าใจและ จบั ประเด็นหลักๆ ได้ 4.3.1.2 เปลี่ยนประเด็นเป็นรหัส คือ เปลี่ยนประเด็นหลักเท่าน้ันให้เป็นรหัส(หรือ สาระโดยสรุปของแตล่ ะข้อความ) ไว้ทา้ ยขอ้ ความ 4.3.1.3 จัดกลุ่มข้อมูล คือ แยกแยะจัดกลุ่มข้อมูล รวมทั้งเช่ือมโยงข้อมูลที่สามารถ จับกลมุ่ สาระ (ความหมาย) หรือแนวคิด (Concept) ได้ 4.3.1.4 เช่ือมโยงแนวคิด คือ เช่ือมโยงแนวคิดต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพ่ือหาแบบแผน ความสมั พันธ์/แนวเร่ือง (Theme) หรือปรากฎการณ์ท่เี กิดขน้ึ 4.3.1.5 ขยายความเชื่อมโยง คือ ขยายขอบข่ายของความเช่ือมโยงเพ่ือให้เห็น ภาพรวมของเร่ืองหรอื ปรากฏการณ์ทีศ่ ึกษา 4.3.1.6 หาความหมาย คือ ตีความและหาความหมาย หรือคาอธิบายของแบบแผน ความสมั พันธ์/ปรากฏการณเ์ หลา่ นนั้ 4.3.1.7 หาข้อสรุป คือ หาข้อสรุปที่เป็นสาระหลักของผลการวิเคราะห์ ตีความและ การหาความหมาย 4.3.2 ผู้วิจัยทาการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ตามหลักการ ของ Crabtree and Miller (1999) ทาการอ่านจบั ประเดน็ จับใจความ เพ่อื ใหไ้ ด้เนือ้ หา(ความหมาย) จัดกลุ่ม ความหมาย หาแบบแผน เชื่อมโยงแบบแผนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เก็บข้อมูลและวิเคราะห์เพิ่มเติม จนแสดง ความสมั พนั ธ์ และตอบคาถามวิจัยได้ชดั เจน และทาการนาเสนอขอ้ มลู ในรูปแบบความเรยี ง 4.3.3 ผู้วิจัยทาการตรวจสอบความน่าเช่ือถือของผลการวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยวิธีการตรวจสอบ แบบสามเสา้ (Triangulation) โดยทาการตรวจสอบขอ้ มลู ตามหลกั การของ (Denzin, 2006: ชาย โพธิสติ า , 2556) ซ่ึงในการวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาจากกระบวนการวิจัยในขั้นตอนที่ 4 ผู้วิจัยได้ทาการ ตรวจสอบความน่าเช่ือถือของข้อมูล ด้วยวิธีการตรวจลอบแบบสามเส้าด้านข้อมูล (Data Triangulation) กล่าวคือ ข้อมูลประเภทเดียวกัน ที่เก็บรวบรวมได้จากบุคคลที่แตกต่างกันนั้น มีผลสรุปท่ีมีความเหมือนหรือ แตกต่าง หรอื ยืนยันหรอื ขัดแยง้ กนั หรอื ไม่ อยา่ งไร
นกั บรหิ ารงานท่ัวไป รุน่ ที ๘๔ 4.3.4 ผู้วิจัยนาข้อมูลเชิงคุณภาพที่เป็นเสียงจากเครื่องบันทึกเสียง มาถอดความเป็นข้อความ แล้วทาการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ตามประเด็นของกรอบแนวคิดใน การวิจัย เพ่อื วเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะหใ์ หเ้ กดิ ขอ้ สรุปจากการสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวฒุ ิ (Connoisseurship) ในการวิเคราะห์ข้อมูลท่ีผู้วิจัยเก็บรวบรวมมาจากกระบวนการวิจัยในข้ันตอนท่ี 1 – 4 ผู้วิจัยได้ ทาการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล ด้วยวิธีการตรวจสอบแบบสามเส้าด้านกระบวนการวิจัย (Methodological Triangulation) กล่าวคือ ตรวจสอบการวิเคราะห์ข้อมูลจากวิธีการรวบรวมข้อมูลที่ แตกต่างกัน ซึ่งในกระบวนการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ การค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์เชิง ลึก การสนทนากลุ่ม และการสมั มนาอิงผ้ทู รงคณุ วุฒิ แลว้ วิเคราะห์วา่ ผลสรุปที่ได้จากการวจิ ัยแต่ละขน้ั ตอน มี ความเหมอื นหรอื แตกต่าง หรอื ยนื ยนั หรือขัดแย้งกนั หรือไม่ อย่างไร เม่ือดาเนินการวิจัยในขั้นตอนท่ี 4 เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงทาการสรุปผลของการตรวจสอบ รูปแบบจากการจัดสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวุฒิ จากน้ันวิเคราะห์และสังเคราะห์ให้เกิดข้อสรุปร่วมกับการปรึกษา อาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์ท่ีปรึกษาร่วม เพ่ือปรับปรุงรูปแบบให้มีความสมบูรณ์และนาเสนอรูปแบบโดย การเขยี นรายงานการวจิ ัยฉบับสมบรู ณต์ ่อไป หน้า 92
นกั บริหารงานทวั่ ไป รนุ่ ที ๘๔ ขน้ั ตอน กระบวนการ ผลท่ีได้ ข้ันตอนที่ 1 1. ศึกษา ค้นคว้า วเิ คราะห์ และสงั เคราะห์ หลกั การ 1. องคป์ ระกอบและปจั จัยในการพัฒนา วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ แนวคิด แนวคิด ทฤษฎี ข้อเท็จจรงิ และขอ้ มูลทเี่ ก่ียวข้อง รปู แบบ เพอ่ื ใหไ้ ด้มาซึ่งองค์ประกอบและปัจจัยในการพัฒนา และทฤษฎี เพอ่ื ใหไ้ ด้มาซง่ึ รปู แบบ 2. กรอบแนวคิดในการวิจยั (Conceptual องคป์ ระกอบและปัจจัยในการ Framework) พัฒนารูปแบบการจัดการศนู ย์กีฬา 2. ปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาหลกั และอาจารยท์ ่ี และนันทนาการองคก์ ารบรหิ าร ปรกึ ษาร่วม เพื่อพัฒนากรอบแนวคดิ ในการวิจัย 1. ขอ้ มูลสภาพและปญั หาในการดาเนินงาน สว่ นตาบล ขององคก์ ารบริหารสว่ นตาบลเกี่ยวกับการ ข้ันตอนที่ 2 1. สมั ภาษณเ์ ชิงลกึ (In-depth Interview) กับผู้มีส่วน บริหารจดั การด้านการกีฬาและนันทนาการ ศกึ ษาสภาพ ปัญหา พฤตกิ รรมการ ไดส้ ่วนเสยี 5 ประเภท ในแตล่ ะองค์การบรหิ ารสว่ น ในชมุ ชนท้องถ่ิน ใชบ้ ริการและความตอ้ งการที่ ตาบล จากทั้ง 4 ภูมภิ าค รวมทง้ั สนิ้ 20 คน เกี่ยวขอ้ งกบั การพัฒนารปู แบบการ 2. ข้อมูลพฤติกรรมการใช้บรกิ ารและความ จดั การศนู ยก์ ีฬาและนนั ทนาการ 2. สารวจพฤตกิ รรมการใชบ้ ริการและความต้องการใน องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลเพื่อ การไดร้ ับบรกิ ารดา้ นการกฬี าและนนั ทนาการจาก ต้องการของประชาชนในการได้รับบรกิ าร กาหนดร่างรูปแบบการจัดการศูนย์ องคก์ ารบริหารสว่ นตาบล กับประชาชนผ้รู ับบริการ กีฬาและนันทนาการองคก์ าร ด้านการกีฬาและนันทนาการในพ้ืนท่ีองค์การบริหาร เก่ยี วกบั การบริหารจดั การดา้ นการกฬี าและ บริหารส่วนตาบล ส่วนตาบล ใน 4 ภมู ภิ าค รวม 1,000 คน 3. วเิ คราะห์ขอ้ มูลจากการสมั ภาษณเ์ ชิงลกึ และการ นนั ทนาการในชุมชนทอ้ งถิ่น ขัน้ ตอนท่ี 3 สารวจ โดยอาศยั กรอบแนวคิดในการวิจยั และ พัฒนารา่ งรปู แบบการจัดการศูนย์ สังเคราะหร์ ่วมกับอาจารย์ท่ีปรึกษาเพ่อื รา่ งรูปแบบ 3. ร่างรูปแบบการจดั การศนู ยก์ ีฬาและ หน้า กฬี าและนนั ทนาการองคก์ าร การจัดการศนู ย์กฬี าและนันทนาการองค์การบริหาร นนั ทนาการองค์การบรหิ ารส่วนตาบล บริหารสว่ นตาบล ส่วนตาบล 93 ขัน้ ตอนท่ี 4 จัดการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) กับ ตรวจสอบรปู แบบและนาเสนอการ ผมู้ สี ว่ นได้ส่วนเสีย จานวน 2 กลุ่ม กลมุ่ ละ 8 คน รวม รปู แบบการจัดการศูนยก์ ฬี าและนันทนาการ พฒั นารปู แบบการจดั การศนู ยก์ ฬี า ท้ังส้ิน 16 คน องค์การบริหารสว่ นตาบลที่มีคณุ ภาพมากข้นึ และนันทนาการองค์การบริหาร ส่วนตาบล 1. จัดสัมมนาองิ ผู้ทรงคุณวุฒิ (Connoisseurship) กับ 1. รปู แบบการจดั การศูนยก์ ีฬาและ ผูท้ รงคุณวุฒิ จานวน 2 กลมุ่ รวมทั้งสน้ิ 10 คน นนั ทนาการองค์การบรหิ ารส่วนตาบลทีม่ ี คณุ ภาพเหมาะสม 2. วิเคราะห์ขอ้ มูลจากการจัดสมั มนาผทู้ รงคุณวุฒิ กับการศึกษาวจิ ยั เพือ่ ใหเ้ กดิ ขอ้ สรปุ ปรึกษาอาจารยท์ ่ีปรึกษาเพอื่ 2. รายงานการวิจัยฉบบั สมบูรณน์ าเสนอการ ปรบั ปรงุ รปู แบบ และนาเสนอการพัฒนารูปแบบการ พฒั นารปู แบบศูนยก์ ีฬาและนนั ทนาการ จดั การศูนยก์ ีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วน องค์การบรหิ าร ตาบล สว่ นตาบลท่มี ีความสมบรู ณ์
นกั บรหิ ารงานท่วั ไป รุ่นที ๘๔ บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู การศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การบริหารส่วน ตาบล (อบต.) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและตรวจสอบรูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการองค์การ บริหารส่วนตาบล ใช้วิธีดาเนินการวิจัยแบบผสม (Mixed Methods) ประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยผู้วิจัยได้นาเสนอการ วิเคราะห์ข้อมูลแบ่งออกตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย 2 ข้อ และวิธีดาเนินการวิจัย 4 ข้ันตอน รายละเอียด เปน็ ไปตามลาดบั ดังต่อไปน้ี วัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั ข้อที่ 1 เพื่อพัฒนารปู แบบการจดั การศูนย์กีฬาและนนั ทนาการ อบต. ตอนที่ 1 ผลการวเิ คราะห์ สังเคราะห์ แนวคิด และทฤษฎี เพื่อใหไ้ ดม้ าซง่ึ องค์ประกอบและปัจจัย ในการพัฒนารูปแบบการจดั การศูนยก์ ีฬาและนนั ทนาการ อบต. ตอนท่ี 2 ผลการศึกษาสภาพ ปัญหา พฤติกรรมการใช้บริการและความต้องการท่ีเก่ียวข้องกับ การพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการ อบต. ซึ่งแบ่งออกตามกระบวนการวิจัย 2 กระบวนการ ดังนี้ หน้า ตอนที่ 2.1 ผลการวิจัยเชิงคุณภาพ (Quantitative Research) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาใน 94 การดาเนินงานของ อบต. เก่ียวกับการบริหารจัดการด้านการกีฬาและนันทนาการในชุมชนท้องถ่ิน โดยการ สัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 5 ประเภท ในแต่ละ อบต. จากท้ัง 4 ภูมิภาค ของประเทศ ตอนท่ี 2.2 ผลการวิจัยเชิงปรมิ าณ (Qualitative Research) เพอ่ื สารวจพฤติกรรมการใช้บริการ และความต้องการในการได้รับบริการด้านการกีฬาและนันทนาการจาก อบต. กับประซาชนผู้รับบริการด้าน การกฬี าและนนั ทนาการในพ้นื ท่ี อบต. ใน 4 ภูมภิ าค โดยใชแ้ บบสอบถามเป็นเครอ่ื งมอื ตอนที่ 3 ผลการพัฒนาร่างรูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและนันทนาการ อบต. โดยจัดการ สนทนากลุม่ (Focus Group Discussion) กบั ผมู้ สี ว่ นได้สว่ นเสีย จานวน 3 กลุ่ม วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ัยขอ้ ท่ี 2 เพื่อตรวจสอบรปู แบบการจดั การศูนย์กฬี าและนนั ทนาการ อบต. ตอนที่ 4 ผลการตรวจสอบรูปแบบและนาเสนอการพัฒนารูปแบบการจัดการศูนย์กีฬาและ นันทนาการ อบต. โดยการจดั สัมมนาอิงผ้ทู รงคุณวฒุ ิ (Connoisseurship) กับผู้ทรงคณุ วุฒิจานวน 2 กลุ่ม ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลดังกล่าวข้างตนั มรี ายละเอียด ดังต่อไปน้ี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 464
Pages: