Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้รายภาค ม.ต้น 1-65

แผนการจัดการเรียนรู้รายภาค ม.ต้น 1-65

Published by suckseedeua_20325, 2022-08-22 19:29:29

Description: แผนการจัดการเรียนรู้รายภาค ม.ต้น 1-65

Search

Read the Text Version

1 แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 1 เรอื่ ง อาชญากรรมบนโลกออนไลน์ เวลาเรียน 6 ชวั่ โมง แนวคดิ อาชญากรรมออนไลน์ ความหมาย ประเภทของอาชญากรรมออนไลน์อาชญากรรมไซเบอร์(Hacker) สาเหตุของปัญหา อาชญากรรมออนไลน์และแนวทางการป้องกัน วิธีการเจาะหรือทำลายระบบคอมพิวเตอร์และการป้องกัน บทลงโทษการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และรูปแบบ การเกดิ การคกุ คามทางเพศออนไลน์ (Cyber Sexual Harassment) การป้องกันตนเองจากอาชญากรรมบนโลกออนไลน์การป้องกันอาชญากรรมออนไลน์ความแตกตา่ งของ สอ่ื ออนไลน์ทจี่ ริงและปลอม และวธิ กี ารป้องกันการถูกหลอกจากช่องทางต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ กรณีศกึ ษา : อาชญากรรมบนโลกออนไลน์ศกึ ษาวเิ คราะห์กรณีศกึ ษา : อาชญากรรม บนโลกออนไลน์ ตวั ช้ีวดั 1. บอกความหมายของอาชญากรรม ออนไลนไ์ ด้ 2. ระบุประเภทต่าง ๆ ของ อาชญากรรมออนไลน์ได้ 3. บอกความหมายและ ประเภท แรงจูงใจของอาชญากรรมไซเบอร์ (Hacker) ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ และ บอกวิธกี ารป้องกันการโจรกรรม ข้อมลู จากอาชญากรรมไซเบอร์ (Hacker) 4. บอกบทลงโทษการกระทำ ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพวิ เตอร์ พ.ศ.2560 ได้ 5. บอกความหมาย ลักษณะ รูปแบบ ของการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา การละเมิดทรัพย์สินทาง ปัญญาบน เครือข่ายออนไลน์ท้ังในประเทศไทย และต่างประเทศ และบทลงโทษการ ละเมิดทรัพย์สินทาง ปัญญาบน เครือขา่ ยออนไลน์ได้ เน้ือหา 1. ความหมายของ อาชญากรรมออนไลน์ 2. ประเภทของ อาชญากรรมออนไลน์ 3. อาชญากรรมไซเบอร์ (Hacker) 3.1 ความหมายของ อาชญากรรมไซเบอร์ (Hacker) 3.2 ประเภทแรงจงู ใจ ของอาชญากรรมไซเบอร์ (Hacker) 3.3 วธิ ีป้องกนั การ โจรกรรมข้อมลู จาก อาชญากรรมไซเบอร์ (Hacker) 4. บทลงโทษการกระทำ ความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพวิ เตอร์ พ.ศ.2560 4.1 พ.ร.บ.คอมพวิ เตอร์ พ.ศ.2560

2 4.2 บทลงโทษจากการ กระทำความผิด 5. การละเมดิ ทรัพย์สินทาง ปัญญา 5.1 ความหมายการ ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา 5.2 ลักษณะการละเมดิ ทรัพยส์ ินทางปญั ญา 5.3 รูปแบบการละเมิด ทรัพย์สินทางปญั ญา 5.4 การละเมิดทรพั ย์สนิ ทางปัญญาบนเครือขา่ ย ออนไลน์ในประเทศไทย 5.5 การละเมิดทรัพย์สิน ทางปญั ญาบนเครือข่าย ออนไลน์ในต่างประเทศ 5.6 บทลงโทษการ ละเมดิ ทรัพย์สินทางปัญญา บนเครือข่ายออนไลน์ ข้นั ตอนการจดั กระบวนการเรยี นรู้ ขั้นตอนท่ี 1 การสรา้ งแรงบันดาลใจ ( Passion : P ) 1. ครูทักทายผู้เรียน พร้อมท้ังแนะนำตนเองและแผนการจัดการเรียนรู้ซึ่งการจัดการเรียนรู้ท่ีผู้เรียน จะต้องเรียนรู้ร่วมกันในครั้งน้ี คือ เรื่อง “การป้องกันตนเองจากอาชญากรรมบนโลกออนไลน์” และชวนคิดชวน คุยเกี่ยวกับเร่อื งทจ่ี ะเรียนรู้เพอ่ื กระตุ้นใหผ้ ู้เรยี นเกิดความสนใจและมคี วามกระตือรอื ร้นในการเช่ือมโยงและสร้าง ความพรอ้ มที่จะเรียนรหู้ รือทำกิจกรรมการเรยี นรตู้ ามแผนการจดั การเรยี นรู้ครัง้ น้ี 2. ให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียนเรื่อง “การป้องกันตนเองจากอาชญากรรมบนโลกออนไลน์” โดย ใชเ้ วลา 10 นาที 3. ครูช้ีแจงวัตถุประสงค์ เน้ือหา กิจกรรม การวัดและประเมินผลของการเรียนรู้ในคร้ังนี้ ท่ี สอดคล้องกับตัวชี้วัดตามแผนการจัดการเรยี นรู้คร้ังนี้ เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ผู้เรยี นจะต้องเรียนรู้ให้ บรรลุตัวชี้วัด ท่ีกำหนดตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง “การป้องกันตนเองจากอาชญากรรมบนโลก ออนไลน์”ในครั้งนี้ โดยให้นักศึกษาทำใบงานท่ี 1 จำนวน 2 ข้อ อธิบายความสำคัญ ความหมายและประเภท ของอาชญากรรมบนโลกออนไลน์ 4. ครูให้ผู้เรียนศึกษา เรื่อง “การป้องกันตนเองจากอาชญากรรมบนโลกออนไลน์” พร้อมทั้งแนะนำ แหล่งศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งผู้เรียนสามารถไปเรียนรู้ได้ด้วยตนเองและทำกิจกรรมตามท่ี ได้รับมอบหมายด้วย ทั้งน้ีครูควรจะชี้แจงให้ผู้เรียนทราบว่าในการพบกลุ่มตามแผนการจัดการเรียนรู้คร้ังน้ี ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้และทำกิจกรรมท่ีสอดคล้องกับเน้ือหาท่ีเรียน โดยปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การศึกษา คลปิ วิดีโอใน Youtube หรือ สอ่ื ออนไลน์อื่นๆ ข้นั ตอนท่ี 2 การนำไปใช้ประโยชน์ (Utilization : U) 1. ครูให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ 4 – 5 คน ดำเนินกิจกรรม เป็นรายกลุ่ม ศึกษาเนื้อหา เร่ือง “การป้องกันตนเองจากอาชญากรรมบนโลกออนไลน์” โดยค้นหาจากสื่อ ออนไลน์ต่าง ๆ 1) เร่อื งความหมายประเภทและอาชญากรรมออนไลน์

3 2) เร่อื งพ.ร.บ.คอมพวิ เตอร์ พ.ศ.2560 3) เร่ืองการละเมดิ ทรัพย์สินทางปญั ญา ให้แต่ละกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และส่งผู้แทนนำเสนอต่อกลุ่มใหญ่ครูและผู้เรียนสรุปผลการเรียนรู้ รว่ มกัน และให้ผเู้ รยี นสรปุ สิง่ ทไี่ ด้เรยี นร้ลู งในสมุดบันทึกผลการเรยี นร้ขู องตน 2. ครูแนะนำแหล่งเรียนรู้ให้กับผู้เรียนเพ่ือใช้เป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง อาทิ ห้องสมุดแหล่งเรียนรู้ในชุมชน หน่วยงาน สถานศึกษาต่าง ๆ รวมทั้งการใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อการเรียนรู้ด้วย ตนเอง เป็นต้น 3. ครูดำเนินการทำหน้าท่ีนำการอภิปราย โดยให้ผู้เรียนกลุ่มใหญ่ร่วมกันแสดงความคิดเห็น คิด วิเคราะห์ อภิปราย และวิเคราะห์ให้ข้อมูลเพ่ิมเติมในเนื้อหาหรือประเด็นท่ียังไม่ชัดเจน ตามรายละเอียดที่ ผู้เรียนได้แลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน หากผู้เรียนกลุ่มใหญ่หรือครูเห็นว่ายังไม่สมบูรณ์ มีความต้องการในการ เรียนรู้เพิ่มเติม ครูจะช่วยเติมเต็มความรู้ให้กับผู้เรียน หลังจากนั้นครูและผู้เรียนสรุปสิ่งท่ีได้เรียนรู้ในภาพรวม ท้ังหมดแลว้ ใหผ้ ู้เรยี นสรปุ สิง่ ที่ได้เรยี นรลู้ งในสมดุ บันทึกการเรียนรขู้ องตน หมายเหตุ : ในการดำเนนิ กิจกรรมกลุ่ม ครูชี้แจงบทบาทหน้าที่ในการทำงานให้ผู้เรียนได้มีความรับผิดชอบรว่ มกัน ในการทำงาน ซ่ึงมอบหมายให้ผู้เรียนดำเนินการแต่งตั้งประธานหรือผู้นำในการอภิปรายแลกเปล่ียนเรียนรู้ และการมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบในภารกิจต่างๆ รวมถึงการแต่งตั้งเลขานุการของกลุ่มเป็นผู้จดบันทึกและ ผู้รักษาเวลา เพื่อปฏิบัติงานของกลุ่มใหญ่ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้ และพิจารณาว่าสมาชิกลุ่มทุกคน ควรมีความเข้าใจตรงกันว่า ตนมีบทบาทหน้าท่ีท่ีจะต้องช่วยให้กลุ่มทำงานได้สำเร็จ ครูควรให้คำแนะนำถึง ความสำคัญของการให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่วมในการอภิปรายอย่างท่ัวถึง ไม่ให้มีการผูกขาดการ อภิปรายโดยผู้ใดผู้หน่ึง และควรมีการจำกัดเวลาของการอภิปรายแต่ละประเดน็ ในระหว่างการทำกิจกรรมของผู้เรียน ครูมีบทบาทในการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน คอย กระตุ้นผู้เรียนให้เกิดความกระตือรือร้นในการเรียนรู้โดยบันทึกลงในแบบบันทึกพฤติกรรมการเรียนรู้ของ ผเู้ รยี น และเครอื่ งมือประเมินการสงั เกตแบบประมาณค่า ขน้ั ตอนที่ 3 การสะท้อนความคิดจากการเรยี นรู้ ( Reflection : R ) 1. ใหผ้ ูเ้ รียนแตล่ ะกลุ่มนำเสนอ 1) เรื่องความหมายประเภทและอาชญากรรมออนไลน์ 2) เรอ่ื งพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 3) เร่อื งการละเมดิ ทรพั ย์สินทางปญั ญา 2. ครูเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทั้งกลุ่มร่วมกันสนทนา เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในการฟัง พูด คิดวิเคราะห์ การทำงานร่วมกบั ผู้อน่ื การคิดสร้างสรรค์ ความรับผดิ ชอบ และการนำความรใู้ นเนอื้ หามาใช้ โดยครบู ูรณาการ เนอื้ หาการเรยี นรู้ มีการใชส้ ่ือเทคโนโลยีที่เป็นคลปิ วิดีโอจาก youtube และ TikTok ที่สัมพันธ์กับเน้ือหา ท้งั นี้ ครูเชื่อมโยงสิ่งที่ได้เรียนรู้ตามขั้นตอนที่ 1 ในการนำความรู้ไปสู่การปฏิบัติและประยุกต์ใช้ผ่านคลิปวิดีโอ โดย

4 ค รู เปิ ด ค ลิ ป วิ ดี โ อ “เรื่ อ ง ค ว า ม ห ม า ย ป ร ะ เภ ท แ ล ะ อ า ช ญ า ก ร ร ม อ อ น ไ ล น์ ” จ า ก https://www.youtube.com/watch?v=mWJaQAvMkio เว ล า 6 .5 8 น าที “เรื่อ งพ .ร.บ . คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560” https://www.youtube.com/watch?v=-E8dPqCKa94 เวลา 4.34 นาที และ “เรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา” https://www.youtube.com/watch?v=fXtkCDe1ui4 เวลา 4.34 นาที หลังจากน้นั ครู ดำเนินการ ดังนี้ (1) ครูบรรยายเนื้อหาตามใบความรู้สำหรับครู “เร่ืองความหมายประเภทและอาชญากรรม ออนไลน์” เพ่ือใช้สำหรับประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ “เร่ืองความหมายประเภทและอาชญากรรม ออนไลน์” ในส่วนของผู้เรียนให้ศึกษาใบความรู้สำหรับผู้เรียน ประกอบการบรรยายของครูตามใบความรู้ สำหรับผู้เรียน “เร่ืองความหมายประเภทและอาชญากรรมออนไลน์” (2) ครูอธิบาย “เรอื่ งพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560” พร้อมท้งั ให้ผู้เรียนไดแ้ ลกเปลย่ี นเรียนรู้ โดยให้ผู้เรียนตั้งประเด็นข้อสงสัย หรือสิ่งท่ีต้องการเรียนรู้ และเชื่อมโยงสู่การนำไปใช้ในชีวิตจริงของผู้เรียน ตอ่ ไป (3) ครูอธิบาย “เรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา” พร้อมท้ังให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยให้ผู้เรียนต้ังประเด็นข้อสงสัย หรือสิ่งท่ีต้องการเรียนรู้ และเช่ือมโยงสู่การนำไปใช้ในชีวิตจริงของผู้เรียน ตอ่ ไป 3. ครูใหผ้ ู้เรยี นสะทอ้ นความคดิ ในการเรียนรู้ทไ่ี ดจ้ ากการเรยี นรู้ จากขน้ั ตอนที่ 1 ถึง ข้ันตอนที่ 3 นี้ ข้นั ตอนท่ี 4 การติดตามประเมนิ และแก้ไข (Action : A) 1. ใหผ้ ู้เรยี นทำแบบทดสอบหลังเรยี น จำนวน 10 ข้อ โดยใชเ้ วลา 15 นาที 1) เรอ่ื งความหมายประเภทและอาชญากรรมออนไลน์ 2) เร่อื งพ.ร.บ.คอมพวิ เตอร์ พ.ศ.2560 3) เรื่องการละเมดิ ทรัพย์สนิ ทางปญั ญา 2. ครูและผ้เู รียนสรปุ ภาพรวมส่งิ ที่ไดเ้ รียนรรู้ ่วมกนั นอกจากน้ี ในตอนท้ายของการพบกลุ่ม หลังจากเสร็จส้ินขั้นตอนที่ 3 ครูการมอบหมายงานให้ เรยี นรดู้ ้วยตนเอง รายละเอียดดงั นี้ การมอบหมายงานใหเ้ รยี นรดู้ ้วยตนเอง 1. ครชู ้ีแจงให้ผู้เรียนทราบวา่ ในการพบกลุ่มแต่ละคร้ังผู้เรียนจะได้รับมอบหมายงานให้ไปเรียนรู้ด้วยวธิ ีเรียนรู้ ด้วยตนเองในลักษณะที่ครูจะมอบหมายงานให้ผู้เรียนไปศึกษาจากสื่อต่าง ๆ “เร่ืองสาเหตุของปัญหา อาชญากรรมออนไลน์ และแนวทางการป้องกัน” “เรื่องวิธีการเจาะหรือทำลาย ระบบคอมพิวเตอร์และการ ปอ้ งกนั ” “เรื่องรูปแบบการเกิดการ คุกคามทางเพศออนไลน์ (Cyber Sexual Harassment)” หมายเหตุ : ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง ซึ่งการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วย ตนเองนนั้ อาจมีความแตกต่างกันบ้างในข้นั ตอน โดยพิจารณาจากพ้ืนฐานของผู้เรียน ในกรณีท่ีผู้เรียนมพี ื้นฐาน น้อยหรอื ไม่มีพ้ืนฐานมาก่อนกค็ วรจัดการเรยี นรพู้ น้ื ฐานท่จี ำเป็นและพอเพยี งกับผู้เรยี น หลงั จากน้นั ให้ผู้เรียนได้

5 ปฏิบัติด้วยตนเองในช่วงระยะหน่ึงแล้วจึงค่อยให้ผู้เรียนคิดหัวข้อที่อยากจะทำ หรือถ้าผู้เรียนมีพื้นความรู้มา กอ่ นแลว้ ให้คิดหวั ข้อที่สนใจจะทำและใหล้ งมือปฏบิ ัตไิ ด้ ส่อื วสั ดุอุปกรณ์ และแหล่งการเรยี นรู้ 1. แบบทดสอบก่อนเรียน 1) เรือ่ งความหมายประเภทและอาชญากรรมออนไลน์ 2) เรื่องพ.ร.บ.คอมพวิ เตอร์ พ.ศ.2560 3) เรื่องการละเมิดทรพั ย์สนิ ทางปัญญา 2. คลปิ วดิ ีโอ “เรือ่ งความหมายประเภทและอาชญากรรมออนไลน์” https://www.youtube.com/watch?v=mWJaQAvMkio เวลา 6.58 นาที “เรือ่ งพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560” https://www.youtube.com/watch?v=-E8dPqCKa94 เวลา 4.34 นาที “เรื่องการละเมิดทรพั ยส์ ินทางปญั ญา” https://www.youtube.com/watch?v=fXtkCDe1ui4 เวลา 4.05 นาที 3. ใบความรสู้ ำหรับผูเ้ รยี น 1) เรอื่ งความหมายประเภทและอาชญากรรมออนไลน์ 2) เรือ่ งพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 3) เรอื่ งการละเมิดทรัพยส์ นิ ทางปัญญา 4. PowerPoint สำหรบั ครู 1) เรือ่ งความหมายประเภทและอาชญากรรมออนไลน์ 2) เรอื่ งพ.ร.บ.คอมพวิ เตอร์ พ.ศ.2560 3) เรอ่ื งการละเมดิ ทรพั ยส์ ินทางปญั ญา 5. แบบทดสอบหลังเรียน 1) เรอื่ งความหมายประเภทและอาชญากรรมออนไลน์ 2) เรอ่ื งพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 3) เร่อื งการละเมิดทรพั ย์สนิ ทางปญั ญา 6. แบบประเมนิ ความพงึ พอใจของนักเรยี นต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การวดั และประเมนิ ผล 1. สังเกตพฤตกิ รรมการมีสว่ นร่วม ความตง้ั ใจ และความสนใจของผูเ้ รยี น 2. ผลการทดสอบก่อนและหลังเรยี น 3. ผลการประเมนิ ความพงึ พอใจของผูเ้ รียน

6 รายละเอยี ดสื่อ วัสดุ อปุ กรณ์ และแหล่งการเรยี นรู้ 1. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น 1) เร่อื งความหมายประเภทและอาชญากรรมออนไลน์ 2) เรือ่ งพ.ร.บ.คอมพวิ เตอร์ พ.ศ.2560 3) เร่ืองการละเมิดทรัพยส์ นิ ทางปญั ญา 2. คลปิ วิดโี อ “เรอ่ื งความหมายประเภทและอาชญากรรมออนไลน์” https://www.youtube.com/watch?v=mWJaQAvMkio เวลา 6.58 นาที “เรอื่ งพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560” https://www.youtube.com/watch?v=-E8dPqCKa94 เวลา 4.34 นาที “เรื่องการละเมดิ ทรัพยส์ ินทางปัญญา” https://www.youtube.com/watch?v=fXtkCDe1ui4 เวลา 4.05 นาที 3. ใบความรสู้ ำหรับผเู้ รยี น 1) เรื่องความหมายประเภทและอาชญากรรมออนไลน์ 2) เรื่องพ.ร.บ.คอมพวิ เตอร์ พ.ศ.2560 3) เรื่องการละเมิดทรพั ยส์ ินทางปัญญา 4. PowerPoint สำหรบั ครู 1) เรือ่ งความหมายประเภทและอาชญากรรมออนไลน์ 2) เรอ่ื งพ.ร.บ.คอมพวิ เตอร์ พ.ศ.2560 3) เรื่องการละเมดิ ทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา 5. แบบทดสอบหลังเรียน 1) เรื่องความหมายประเภทและอาชญากรรมออนไลน์ 2) เร่อื งพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 3) เรอื่ งการละเมดิ ทรัพยส์ นิ ทางปญั ญา 6. แบบประเมินความพงึ พอใจของนักเรียนตอ่ การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน

7 ใบความรู้ เรอื่ ง อาชญากรรมบนโลกออนไลน์ อาชญากรรมออนไลน์ ความหมาย การกระทำผิดทางอาญาในระบบคอมพิวเตอร์ หรือการใช้ คอมพิวเตอร์เพื่อกระทำผิดทางอาญา เช่น ทำลาย เปลี่ยนแปลง หรือขโมยข้อมูลต่าง ๆ เป็นต้น ระบบ คอมพวิ เตอรใ์ นท่ีน้ี หมายรวมถึงระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์และอุปกรณ์ที่เชอ่ื มกบั ระบบดงั กลา่ วดว้ ย อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ คือ 1.การกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ อันทำให้เหยื่อได้รับความเสียหาย และผู้กระทำ ได้รบั ผลประโยชน์ตอบแทน 2.การกระทำผิดกฎหมายใด ๆ ซงึ่ ใชเ้ ทคโนโลยี คอมพิวเตอรเ์ ป็นเครอื่ งมอื และในการสืบสวนสอบสวน ของเจา้ หนา้ ทเี่ พ่อื นำผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี ตอ้ งใช้ความรู้ทางเทคโนโลยเี ชน่ เดยี วกัน การประกอบอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ได้ก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อเศรษฐกิจของประเทศจำนวน มหาศาล อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ จึงจัดเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ อาชญากรรมทางธุรกิจ รปู แบบ หน่ึงทมี่ คี วามสำคัญ ประเภทของอาชญากรรมคอมพวิ เตอร์ อาชญากรคอมพิวเตอร์จะก่ออาชญากรรมหลายรูปแบบ ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกจัดออกเป็น 9 ประเภท (ตามข้อมลู คณะอนุกรรมการเฉพาะกจิ รา่ งกฎหมายอาชญากรรมคอมพวิ เตอร์) 1. การขโมยขอ้ มลู ทางอินเตอร์เนต็ ซึง่ รวมถงึ การขโมยประโยชน์ในการลักลอบใชบ้ ริการ 2. อาชญากรนำเอาระบบการสื่อสารมาปกปิดความผิดของตนเอง 3. การละเมิดสทิ ธ์ปิ ลอมแปรงรูปแบบ เลยี นแบบระบบซอพตแ์ วร์โดยมิชอบ 4. ใช้คอมพิวเตอรแ์ พรภ่ าพ เสียง ลามก อนาจาร และข้อมูลท่ีไมเ่ หมาะสม 5. ใช้คอมพวิ เตอร์ฟอกเงนิ 6. อันธพาลทางคอมพิวเตอร์ที่เช้าไปก่อกวน ทำลายระบบสาราณูปโภค เช่น ระบบจ่ายน้ำจ่ายไฟ ระบบการจราจร 7. หลอกลวงใหร้ ว่ มค้าขายหรือลงทุนปลอม 8. แทรกแซงข้อมลู แล้วนำข้อมลู นั้นมาเปน็ )ระโยชนต์ ่อตนโดยมิชอบ เช่น ลักรอบค้นหารหสั บัตร เครดิตคนอื่นมาใช้ ดกั ขอ้ มลู ทางการค้าเพ่ือเอาผลประโยชนน์ ั้นเป็นของตน 9. ใชค้ อมพวิ เตอรแ์ อบโอนเงนิ บัญชผี ูอ้ ่นื เข้าบญั ชีตัวเอง อาชญากรคอมพิวเตอร์

8 อาชญากรคอมพิวเตอร์ คือ ผู้กระทำผิดกฎหมายโดยใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เป็นส่วนสำคัญ มีการ จำแนกไวด้ งั น้ี 1. พวกมือใหม่ (Novices) หรือมือสมัครเล่น อยากทดลองความรู้และส่วนใหญ่จะมิใช่ผู้ ที่เป็นอาชญากร โดยนิสัย มิได้ดำรงชีพโดยการกระทำผิด อาจหมายถึงพวกท่ีเพ่ิงได้รับความไว้วางใจให้เข้าสู่ระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์ 2. Darnged person คือ พวกจิตวิปริต ผิดปกติ มีลักษณะเป็นพวกชอบความรุนแรง และอันตราย มัก เปน็ พวกท่ีชอบทำลายทกุ สิ่งท่ีขวางหนา้ ไมว่ ่าจะเป็นบคุ คล สง่ิ ของ หรอื สภาพแวดล้อม 3. Organized Crime พวกนี้เป็นกลุ่มอาชญากรที่ร่วมมือกันทำผิดในลักษณะขององค์กรใหญ่ๆ ที่มีระบบ พวกเขาจะใช้คอมพิวเตอร์ที่ต่างกัน โดยส่วนหน่ึงอาจใช้เป็นเคร่ืองหาข่าวสาร เหมือนองค์กรธุรกิจท่ัวไป อีก ส่วนหนึ่งก็จะใช้เทคโนโลยเี พ่ือเป็นตวั ประกอบสำคัญในการก่ออาชญากรรม หรอื ใชเ้ ทคโนโลยีกลบเกลือ่ นร่อง ร่อย ให้รอดพ้นจากเจ้าหน้าท่ี 4. Career Criminal พวกอาชญากรมืออาชีพ เป็นกลุ่มอาชญากรคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่มาก กลุ่มนี้น่าเป็น หว่ งมากท่ีสุด เนือ่ งจากนบั วนั จะทวีจำนวนมากขึน้ เรือ่ ยๆ โดยจับผิดแล้วจบั ผดิ เล่า บอ่ ยครั้ง 5. Com Artist คือพวกหัวพัฒนา เป็นพวกท่ีชอบความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์ เพ่ือให้ได้มาซึ่ง ผลประโยชน์ส่วนตน อาชญากรประเภทน้ีจะใช้ความก้าวหน้า เก่ียวกับระบบคอมพิวเตอร์ และความรู้ของตน เพื่อหาเงินมชิ อบทางกฎหมาย 6. Dreamer พวกบา้ ลัทธิ เปน็ พวกทค่ี อยทำผดิ เนือ่ งจากมคี วามเช่อื ถือส่ิงหนง่ึ สิ่งใดอย่างรนุ่ แรง 7. Cracker หมายถึง ผู้ที่มีความรแู้ ละทักษะทางคอมพิวเตอรเ์ ป็นอย่างดี จนสามารถลักลอบเข้าสู่ระบบได้ โดยมีวัตถุประสงค์เข้าไปหาผลประโยชน์อย่างใดอย่างหน่ึง มักเข้าไปทำลายหรือลบไฟล์ หรือทำให้ คอมพิวเตอร์ใชก้ ารไม่ได้ รวมถึงทำลายระบบปฏบิ ัติการ 8. นักเจาะข้อมูล (Hacker) ผู้ที่ชอบเจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อ่ืน พยายามหาความท้าทายทาง เทคโนโลยีเข้าไปในเครือข่ายของผอู้ ่ืนโดยทต่ี นเองไม่มีอำนาจ 9. อาชญากรในรูปแบบเดิมท่ีใช้เทคโนโลยีเป็นเคร่ืองมือ เช่นพวกลักเล็กขโมยน้อยท่ี พยายามขโมยบัตร ATM ของผอู้ ่ืน 10. อาชญากรมืออาชีพ คนพวกนี้จะดำรงชีพจากการกระทำความผิด เช่นพวกที่มักจะใช้ ความรู้ทาง เทคโนโลยฉี ้อโกงสถาบันการเงิน หรือการจารกรรมขอ้ มูลไปขาย เปน็ ต้น 11. พวกหัวรุนแรงคลั่งอุดมการณ์หรือลัทธิ มักก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ เพื่อ อุดมการณ์ทาง การเมอื ง เศรษฐกิจ ศาสนา หรอื สทิ ธมิ นษุ ย์ชน เป็นต้น แหลง่ ท่ีมาจาก : บทเรยี นบนเครอื ขา่ ยอนิ เตอร์เนต็ รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี 5 ผพู้ ฒั นาเวบ็ :: นายรศั มี พดุ สเี สน โรงเรียนจตรุ พกั ตรพิมานรัชดาภิเษก อำเภอจตุรพักตรพิมาน จงั หวัดรอ้ ยเอ็ด email :: [email protected] / http://www.cpr.ac.th/krunuii/01mal.html

9 ใบความรู้ เร่ือง พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 สรุป 13 ขอ้ สาระสำคัญจำง่ายๆ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2560 ถ้ายังจำกันได้ถึงการผลักด้น พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบเมื่อเดือนธันวาคม เม่ือปี 2559 และได้ ประกาศลงราชกิจจานเุ บกษาเมื่อวนั ที่ 24 มกราคม 2560 มผี ลบังคบั ใช้แลว้ ในวนั ท่ี 24 พ.ค.2560 เพ่ือการใช้ออนไลน์อย่างถูกกฎหมาย สำหรับสาระสำคัญที่หลายคนควรพึงระวังใน พ.ร.บ. ว่าด้วย กระทำความผิดเกย่ี วกบั คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 หรอื พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบบั 2 มสี าระสำคัญจำงา่ ยๆ ดงั น้ี 1. การฝากร้านใน Facebook, IG ถอื เป็นสแปม ปรบั 200,000 บาท 2. ส่ง SMS โฆษณา โดยไม่รับความยินยอม ให้ผู้รับสามารถปฏิเสธข้อมูลนั้นได้ ไม่เช่นนั้นถือเป็นส แปม ปรับ 200,000 บาท 3. สง่ Email ขายของ ถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท 4. กด Like ได้ไม่ผิด พ.ร.บ.คอมพ์ฯ ยกเว้นการกดไลค์ เป็นเร่ืองเก่ียวกับสถาบัน เสี่ยงเข้าข่าย ความผดิ มาตรา 112 หรอื มีความผิดร่วม 5. กด Share ถือเป็นการเผยแพร่ หากข้อมูลที่แชร์มีผลกระทบต่อผู้อ่ืน อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ฯ โดยเฉพาะทีก่ ระทบตอ่ บุคคลที่ 3 6. พบข้อมูลผิดกฎหมายอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของเรา แต่ไมใ่ ช่สิ่งที่เจ้าของคอมพิวเตอร์กระทำเอง สามารถแจ้งไปยังหน่วยงานท่ีรับผิดชอบได้ หากแจ้งแล้วลบข้อมูลออกเจ้าของก็จะไม่มีความผิดตามกฎหมาย เช่น ความเห็นในเว็บไซต์ต่าง ๆ รวมไปถึงเฟซบุ๊ก ที่ให้แสดงความคิดเห็น หากพบว่าการแสดงความเห็นผิด กฎหมาย เม่อื แจ้งไปทหี่ นว่ ยงานที่รบั ผดิ ชอบเพ่ือลบไดท้ ันที เจา้ ของระบบเวบ็ ไซต์จะไม่มีความผิด 7.สำหรับ แอดมินเพจ ท่เี ปิดใหม้ ีการแสดงความเห็น เมือ่ พบข้อความที่ผิด พ.ร.บ.คอมพฯ์ เม่ือลบออก จากพ้ืนทที่ ่ตี นดแู ลแล้ว จะถอื เป็นผู้พน้ ผดิ 8. ไมโ่ พสตส์ งิ่ ลามกอนาจาร ที่ทำให้เกิดการเผยแพรส่ ่ปู ระชาชนได้ 9. การโพสเกย่ี วกบั เดก็ เยาวชน ต้องปิดบังใบหน้า ยกเว้นเม่ือเปน็ การเชดิ ชู ช่ืนชม อย่างให้เกียรติ 10. การให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เสียชีวิต ต้องไม่ทำให้เกิดความเส่ือมเสียเชื่อเสียง หรือถูกดหู มิ่น เกลียดชัง ญาตสิ ามารถฟอ้ งร้องได้ตามกฎหมาย 11. การโพสต์ด่าวา่ ผอู้ ่ืน มีกฏหมายอาญาอยู่แลว้ ไม่มีข้อมลู จริง หรือถกู ตัดต่อ ผถู้ ูกกล่าวหา เอาผิดผู้ โพสต์ได้ และมีโทษจำคุกไมเ่ กนิ 3 ปี ปรับไมเ่ กิน 200,000 บาท 12. ไมท่ ำการละเมดิ ลิขสทิ ธิ์ผู้ใด ไม่วา่ ขอ้ ความ เพลง รปู ภาพ หรอื วิดีโอ 13. ส่งรูปภาพแชรข์ องผอู้ ื่น เช่น สวสั ดี อวยพร ไม่ผิด ถา้ ไม่เอาภาพไปใชใ้ นเชิงพาณิชย์ หารายได้

10 นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งยังมีอีกหลายประเด็นที่ส่งผล กระทบต่อการใช้งานส่อื สังคมออนไลน์ ดงั น้ันจึงควรรกู้ ฎกติกาการใชง้ านไว้ก่อน กจ็ ะช่วยป้องกนั ไม่ให้เราเสี่ยง ตอ่ การทำผดิ กฎหมายได้ สามารถคลิกดาวนโ์ หลด และอา่ น พ.ร.บ. ฉบับเตม็ ได้ ทีน่ ่ี ท่มี า : https://www.marketingoops.com/news/viral-update/computer-law/ เขียนโดย ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ บก.อก.บช.ส.

11 ใบความรู้ เร่อื ง การละเมดิ ทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา การละเมิดลิขสิทธ์ิ หมายถึงการนําผลงานของผู้อ่ืนมาใช้ เผยแพร่ ดัดแปลง ทําซ้ำ โดยผู้เป็นเจ้าของ ผลงานไมอ่ นุญาตหรอื ไม่ไดร้ บั ทราบ ปกติแล้วกรรมสทิ ธิ์ และลขิ สทิ ธิ์ของผสู้ ร้างสรรคโ์ ดยปริยาย โดยหลัก ๆ ทรัพย์สินทางปัญญาจะเกี่ยวข้องเพียง 3 เร่ือง เท่านั้น ได้แก่ ลิขสิทธิ์สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า ส่วนพระราชบัญญัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแผนผงั ภูมิวงจรรวม ความลบั ทางการค้า ส่ิงบ่งชี้ ภูมิศาสตร์ การคุ้มครองพันธุ์พืช จะไม่ได้สอนในวิชากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา แต่มีพระราชบัญญัติการ ค้มุ ครองกฎหมายทรพั ยส์ นิ ทางปัญญาจะเกยี่ วข้องกบั กฎหมายทรพั ย์สินทางปญั ญาคือ 1. พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (Trade Marks) เป็นเรื่องเกี่ยวกับเคร่ืองหมายการค้า 2. พระราชบัญญัติสิทธิบัตร (Patent) พระราชบัญญัติสิทธิบัตรของไทยจะครอบคลุมถึง สิ ท ธิ บั ต ร แ ล ะ ก า ร อ อ ก แ บ บ ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ Design) ท า ง WIPO ได้ แ ย ก Design อ อ ก ต่ า ง ห า ก และมบี างประเทศท่ีแยกกฎหมาย Design ออกตา่ งหากจากสิทธิบัตร แนวคิดการให้ความคมุ้ ครองทรัพยสนิ ทางปญั ญา 1. เพอ่ื ตอบแทนความคิดสรา้ งสรรคข์ องบคุ คล 2. เพอ่ื สง่ เสริมและจูงใจใหส้ รา้ งสรรคผ์ ลงาน 3. เพ่ือส่งเสริมใหส้ ง่ เสรมิ ให้มกี ารเปดิ เผยความร้สู ่สู งั คม 4. เพอ่ื ปอ้ งกันการแข่งขอั ันไมเ่ ปน็ ะรรม 5. กระตนุ้ การแข่งขนั โดยเสรี 6. เพ่ือคุม้ ครองผูบ้ รโิ ภค 7. เพื่อรกั ษาผลประโยชน์ทางการคา้ ระหวา่ งประเทศ สทิ ธิของเจา้ ของทรัพย์สินทางปญั ญา ผู้ทรงสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญามีสิทธิท่ีจะหวงกันไม่ให้ผู้อ่ืนมาใช้ผลงานทางปัญญาท่ีตนได้ สร้างสรรค์หรือพัฒนาขนึ้ เรยี กว่า สทิ ธิเด็ดขาด หรือ สทิ ธิแตเ่ พยี งผเู้ ดียว (Exclusive rights) มสี ทิ ธิจาํ หนา่ ยจ่ายโอนหรือทาํ ให้เกิดภาระตดิ พนั ใด ๆ แก่ทรพั ย์สนิ ทางปัญญาของตน มีสทิ ธิที่จะฟ้องคดแี พง่ หรือระงับการละเมิดและเรียกค่าสนิ ไหมทดแทน มสี ทิ ธใิ นการดําเนนิ คดีอาญาตามพระราชบัญญัติและประมวลกฎหมายอาญา 1. การกระทาํ อย่างใดอยา่ งหนง่ึ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1.1 ทาํ ซาํ้ หรือดดั แปลง ซึง่ งานอันมลี ิขสทิ ธิ์ 1.2 เผยแพรต่ ่อสาธารณชน ซึ่งงานอันมีลิขสทิ ธิ์ 2. แก่งานอนั มีลขิ สทิ ธิ์ 3. โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธ์ิตามมาตรา 15 (5) ต้องระวางโทษปรับต้ังแต่20,000 ถึง 200,000 บาท (มาตรา 69)

12 บทลงโทษ มคี วามผิดทงั้ ทางแพง่ และทางอาญา ผลกระทบของการละเมดิ ทรัพย์สนิ ทางปัญญา - ทาํ ให้เกิดการฟ้องรอ้ งดําเนนิ คดเี พ่ือโตแ้ ย้งสิทธ์ิในความเป็นเจ้าของทรัพยส์ นิ ทางปัญญาระหวา่ งกันข้ึน - ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจการส่งออกไทย ก่อให้เกิดความไม่น่าเช่ือถือแก่นานาชาติ เป็นเหตุให้ผู้ ส่งออกชาวไทยไม่สามารถส่งสินค้าไปจําหน่ายท่ีต่างประเทศได้ ทําให้สูญเสียรายได้และลดการขยายตัวของ ตลาดสง่ ออก - ถูกกดดันจากต่างประเทศท่ีเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา ก่อให้เกิดความไม่ม่ันใจแก่นักลงทุนในการ ลงทนุ ภายในประเทศ - ผู้สร้างสรรค์ขาดแรงจูงใจในการสร้างสรรค์งานใหม่เน่ืองจากการถูกลอกเลียนแบบ ส่งผลให้ขาดการ พัฒนานวัตกรรม ต้องนําเข้าความรู้และเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ทําให้การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นไปอย่าง ลา่ ชา้ วิธกี ารป้องกันสิทธใิ นทรพั ย์สนิ ทางปญั ญา - หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องหมั่นลงสํารวจพ้ืนท่ีเข้าข่ายที่จะมีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และ ดําเนินการปราบปรามการละเมิดหรือการกระทําที่ผิดกฎหมายเก่ียวกับทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจัง- จัด มาตรการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ณ จุดนําเข้า – ส่งออก ตัวอย่างเช่น สินค้าปลอมหรือเลียน เครอื่ งหมายการค้า หรือ สนิ ค้าทีท่ ําซ้ําหรอื ดดั แปลงงานอนั มีลิขสิทธ์ิ เป็นตน้ - จัดอบรมให้ความรู้แก่เจ้าพนักงานตํารวจและเจ้าหน้าที่ กรมศุลกากรให้เข้าใจถึงสิทธิในทรัพย์สิน ทางปญั ญา - ประชาสัมพันธ์ให้สาธารณชนทราบถึงการกระทําที่ถือเป็นการละเมิดซ่ึงสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา และโทษท่ีได้รับ เช่น จัดพิธีทําลายของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อมิให้เกิดการกระทําอันเป็น เย่ยี งอย่าง เป็นตน้ - รณรงคใ์ ห้ประชาชนไม่สนับสนุนสินค้าหรือผลิตภณั ฑ์ทเ่ี กิดจากการละเมดิ ทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา

13 แบบทดสอบ ครงั้ ท่ี 1 คำชแ้ี จง ใหผ้ ้เู รยี นเลือกคำตอบที่ถูกทีส่ ดุ เพยี งขอ้ เดยี วแล้วทำเครอ่ื งหมาย x ลงใน กระดาษคำตอบ 1. ขอ้ ใดคือความหมายของอาชญากรรมออนไลน์ ก.การกระทำผดิ ทางอาญาในระบบคอมพวิ เตอร์ ข.การกระทำผดิ ทางอาญา ค.การนำผลงานของผู้อ่ืนมาใช้ เผยแพร่ ดัดแปลง ทำซ้ำ โดยผู้เป็นเจ้าของผลงานไม่อนุญาต ง. การละเมิดผลงานทรพั ย์สนิ ทางปัญญา 2. อาชญากรรมออนไลน์ มกี ี่ประเภท ก. 2 ประเภท ข. 4 ประเภท ค. 6 ประเภท ง. 8 ประเภท 3. พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผดิ เกย่ี วกบั คอมพวิ เตอร์ ฉบบั ที่ 2 พ.ศ.2560 ให้ไว้ ณ วันทเ่ี ทา่ ไร่ ก. วนั ท2่ี 3 มกราคม 2560 ข. วนั ท2่ี 4 มกราคม 2560 ค. วนั ท2ี่ 5 มกราคม 2560 ง. วันท2ี่ 6 มกราคม 2560 4.พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกบั คอมพิวเตอร์ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2560 บงั คบั ใช้เม่ือพ้นกำหนดกว่ี ัน ก. 60วนั ข. 120 วัน ค. 180 วัน ง. 200วนั 5.ผทู้ ก่ี ระทำผดิ กฎหมายโดยใช้เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์พวกใดคือผู้ท่ีมีความรู้และทักษะทางคอมพิวเตอร์เป็น อยา่ งดี ก. Darnged Person ข. Com Artist ค. Cracker ง. Dreamer 6. ขอ้ ใดจัดเป็น การละเมิดทรัพย์สินทางปญั ญา ก. แตงกวาฟังเพลงจากคลืน่ FM 95 ข. ใบเตย ชมภาพยนตร์เร่อื ง เฮนร่ี พอรต์ เตอร์ ในโรงภาพยนตร์ ค. แสนดี ซื้อหนงั สอื คูม่ ือเตรียมสอบจากรา้ นดวงกมล ง. ข้าวฟา่ ง ดาวนโ์ หลดภาพยนตร์จากอินเตอร์เน็ต 7. “เทปผี ซดี ีเถื่อน” เป็นการละเมิดทรัพยส์ นิ ทางปัญญาประเภทใด ก. เคร่อื งหมายการค้า ข. สิทธิบตั ร ค. อนสุ ทิ ธบิ ตั ร ง. ลขิ สทิ ธ์ิ

14 8.การยื่นจดลขิ สิทธอิ์ อนไลนส์ ามารถดำเนินการได้ท่ีเวบ็ ไซต์ใด ก.https://www.ipthailand.go.th ข.https://www.treasury.go.th ค.http://www.cgd.go.th ง.https://www.dopa.go.th 9. Cyber Bully คอื อะไร ก.การกล่ันแกล้ง การใหร้ ้าย การด่าว่า การข่มเหง หรือการรังแกผู้อืน่ ทางสอ่ื สงั คมต่าง ๆ ข. การกระทำตามรอยคนอื่นในเมือ่ คนๆ นนั้ ไม่อยู่ โดยใหอ้ ีกฝา่ ยเขา้ ใจผิดว่าเปน็ คนๆ น้ัน. ค.การคดั ลอกผลงาน หรอื ขโมยผลงาน/ความคดิ ของคนอื่นโดยไมม่ ีการอา้ งองิ ทถ่ี ูกตอ้ ง ง.การกระทำใส่ความผู้อ่นื ต่อบคุ คลท่สี าม โดยประการท่ีน่าจะทำให้ผู้อืน่ นั้นเสยี ชอ่ื เสียง ถูกดหู มนิ่ หรือถูกเกลียดชงั 10. ผทู้ ่ีกระทำความผิดคกุ คามทางเพศออนไลนจ์ ะได้รับโทษตามข้อใด(Cyber Sexual Harassment ) ก. ตอ้ งรับโทษจำคุกไม่เกนิ 1 ปี ปรับไมเ่ กิน 10,000 บาท หรอื ทัง้ จำทั้งปรับ ข. ต้องรบั โทษจำคกุ ไมเ่ กนิ 2 ปี ปรบั ไมเ่ กนิ 20,000 บาท หรอื ทงั้ จำทั้งปรบั ค. ต้องรับโทษจำคุกไม่เกนิ 3 ปี ปรบั ไมเ่ กนิ 30,000 บาท หรือทง้ั จำท้ังปรบั ง. ต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรบั ไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำท้ังปรบั เฉลย 1.ก 2.ง 3.ก 4.ค 5.ค 6.ง 7.ง 8.ก 9.ก 10.ง

15 บันทกึ ผลหลงั การจดั กระบวนการเรียนรู้ คร้ังที.่ ....... วันท.่ี ......เดอื น............................พ.ศ............... ผลการใชแ้ ผนการจดั กระบวนการเรยี นรู้ 1. จำนวนเนื้อหากบั จำนวนเวลา  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตุผล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การเรยี งลำดับเนือ้ หากับความเข้าใจของผเู้ รยี น  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบุเหตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การนำเขา้ สูบ่ ทเรียนกบั เน้ือหาแตล่ ะหัวข้อ  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตุผล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. วิธีการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูก้ บั เน้ือหาในแตล่ ะขอ้  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบเุ หตุผล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. การประเมินผลกบั ตัวช้ีวดั ในแตล่ ะเน้ือหา  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

16 ผลการเรียนรู้ของผ้เู รยี น ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการจดั กระบวนการเรียนรู้ของครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ขอ้ เสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ................................................ ผ้บู ันทกึ () ครู กศน.ตำบล ความเหน็ ของผู้อำนวยการสถานศกึ ษา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ................................................................................................. ............................................................................. ลงชอ่ื .................................................. (นางมาลี เพง็ ด)ี ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอหนองไผ่

17 แบบสังเกตพฤตกิ รรมการเรียนรู้ของผู้เรียน ชอื่ โครงการ/กิจกรรม........................................................................................................................ ชอ่ื โรงเรียน/สถานศกึ ษา …………………………………………………………………………………………………….. ชื่อหัวหนา้ โครงการ/กจิ กรรม............................................................................................................. คำช้ีแจง ให้ผู้ประเมินทำเครื่องหมายถูก () ลงในช่องระดับพฤติกรรมของผู้เรียน โดยมีเกณฑ์ระดับคุณภาพการ ประเมินดงั นี้ 5 มพี ฤตกิ รรมการเรียนรู้ มากท่สี ดุ 4 มีพฤตกิ รรมการเรียนรู้ มาก 3 มีพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ ปานกลาง 2 มีพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ น้อย 1 มีพฤติกรรมการเรียนรู้ นอ้ ยที่สุด เกณฑ์การพจิ ารณาระดับคณุ ภาพ คะแนนเฉลีย่ รอ้ ยละ 0 - 50 ระดับคุณภาพ ปรบั ปรุง คะแนนเฉล่ยี รอ้ ยละ 50 - 69 ระดบั คุณภาพ พอใช้ คะแนนเฉลีย่ รอ้ ยละ 70 – 79 ระดับคณุ ภาพ ดี คะแนนเฉลีย่ ร้อยละ 80 – 89 ระดับคุณภาพ ดีมาก คะแนนเฉลย่ี ร้อยละ 90 - 100 ระดบั คุณภาพ ดีเย่ยี ม พฤตกิ รรมการเรยี นรู้ ระดับพฤตกิ รรม 54321 1. ความตง้ั ใจในการทำงาน 2. ความรับผดิ ชอบ 3. ความกระตือรือรน้ 4. การตรงต่อเวลา 5. ผลสำเรจ็ ของงาน 6. การทำงานรว่ มกับผอู้ ืน่ 7. มคี วามคดิ ริเร่มิ สรา้ งสรรค์ 8. มกี ารวางแผนในการทำงาน 9. การมีสว่ นรว่ มในการแสดงความคิดเหน็ ในกลุ่ม 10. การมีส่วนร่วมในการแกไ้ ขปญั หาในกลมุ่ ลงช่อื ......................................................................ผู้ประเมนิ ............../.............................../.....................

18 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 2 เรอื่ ง ข่าวและ ข่าวปลอม (Fake News) เวลาเรียน 6 ชั่วโมง แนวคิด ในปัจจบุ ันพฤตกิ รรมการบรโิ ภคขา่ วสารของผู้อ่านได้เปลี่ยนไปอย่างมาก เนอ่ื งจากสื่อและเทคโนโลยี ได้ พฒั นาอย่างรวดเร็ว มีการบริโภคข่าวสารผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือ ไลน์ มากขึ้น และในสื่อโซเชียลผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตท่ัวไปยังสามารถแสดงบทบาทเป็นผู้นำเสนอข่าว เองได้ โดยมีผู้อ่าน จำนวนไม่น้อยให้ความสนใจและคอยติดตาม เน่ืองจากนำเสนอข่าวท่ีรวดเร็ว แปลกใหม่ หวือหวาและเร้า อารมณ์ ถึงแม้ว่าความรวดเร็วในการรายงานข่าวทางออนไลน์จะช่วยทำให้ผู้อ่านรับข้อมูลข่าวสารอย่าง ทันท่วงที แต่ปญั หาทเ่ี กดิ ขึ้นคอื ขา่ วออนไลน์บางส่วนไม่ได้รบั การกลั่นกรองคณุ ภาพและความถูกต้อง เนื่องจาก เป็นสื่อท่ีเปิดกว้าง และไม่ได้ถูกจำกัดว่าเป็นข่าวนำเสนอจากสื่อมวลชนกระแสหลักแต่เพียง อย่างเดียวอีก ตอ่ ไป นอกจากนี้ ขา่ วท่ีนำเสนอผ่านทางหน้านวิ สฟ์ ีดของโซเชียลมเี ดยี ยังสามารถ ถูกส่งต่อหรือแบ่งปันให้ผู้อ่ืน อ่านตอ่ ได้ในวงกว้าง ซึ่งส่งผลทำให้เกิดการแพร่กระจายของข่าวสาร อย่างรวดเร็วและสรา้ งอิทธพิ ลตอ่ ความคิด ของคนในสังคมเปน็ อย่างมาก ด้วยเหตุนจี้ ึงเปน็ การเปดิ โอกาสใหผ้ ู้ไม่หวงั ดสี รา้ งขา่ วปลอมเข้ามาปะปนกับข่าว อน่ื ๆ บนโลกออนไลน์ จนทำให้ผู้อ่านหลงเชอ่ื ข่าวปลอม ข่าวลอื หรอื ขา่ วบดิ เบอื นเพราะไม่ร้เู ทา่ ทันส่อื เหลา่ นี้ ตัวช้ีวดั 1. บอกความหมาย ความสำคัญ คณุ ลักษณะ องค์ประกอบ และ ประเภทของข่าวได้ 2. ตระหนักถงึ ความสำคญั ของข่าว 3. บอกความหมาย ลักษณะและ ประเภทของข่าวปลอม (Fake News) ได้ 4. อธบิ ายกระบวนการเกิดข่าว ปลอม (Fake News) ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ 5. สามารถเปรยี บเทียบความ แตกตา่ งระหวา่ ง ข่าวจรงิ กบั ข่าวปลอม (Fake News) ได้ 6. บอกผลกระทบของ ขา่ วปลอม (Fake News) 7. ตระหนักถงึ ผลกระทบ ทเ่ี กิดข้นึ จากข่าวปลอม (Fake News) ทเี่ กิดขนึ้ ในปัจจุบัน 8. สามารถวเิ คราะห์ขา่ ว ที่เกิดข้ึนไดว้ ่าเปน็ ข่าวจรงิ หรอื ข่าว ปลอม (Fake News) เน้ือหา 1. ความรเู้ บอื้ งต้นเกยี่ วกับข่าว 1.1 ความหมาย ความสำคัญ ของขา่ ว 1.2 คุณลกั ษณะของขา่ ว 1.3 องค์ประกอบของข่าว 1.4 ประเภทของข่าว 2. ขา่ วปลอม (Fake News)

19 2.1 ความหมายของขา่ วปลอม (Fake News) 2.2 ลักษณะของข่าวปลอม (Fake News) 2.3 ประเภทของข่าวปลอม (Fake News) 3. กระบวนการเกิดขา่ วปลอม (Fake News 4. ความแตกตา่ งระหวา่ งข่าวจริงและข่าว ปลอม (Fake News) 4.1 ลกั ษณะข่าวจริงและ ข่าวปลอม (Fake News) 4.2 วิธสี งั เกตขา่ วจรงิ และ ข่าวปลอม (Fake News) ในโลกออนไลน์ 5. ผลกระทบของขา่ วปลอม (Fake News) 6. การตรวจสอบกอ่ นการแชร์ ขั้นตอนการจัดกระบวนการเรยี นรู้ ขัน้ ตอนท่ี 1 การสร้างแรงบันดาล (Passion : P) 1. ครูทักทายผู้เรียน พร้อมท้ังแนะนำตนเอง และแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียน จะตอ้ งเรียนรู้รว่ มกันในครง้ั น้ี คอื เร่ือง “ข่าวและ ข่าวปลอม (Fake News)” และชวนคิดชวนคยุ เก่ยี วกับเร่อื ง ท่ีจะเรียนรู้เพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและมีความกระตือรือร้นในการเช่ือมโยงและสร้างความพร้อมท่ีจะ เรียนรหู้ รอื ทำกิจกรรมการเรียนรตู้ ามแผนการจัดการเรยี นรู้ ครั้งนี้ 2. ครูช้ีแจงวัตถุประสงค์ เนื้อหา กิจกรรม การวัดและประเมินผลของการเรียนรู้ในคร้ังน้ี ที่สอดคล้อง กับตัวช้ีวัดตามแผนการจัดการเรียนรู้ครั้งนี้ เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้ให้บรรลุ ตวั ชว้ี ดั ท่ีกำหนดตามแผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 3. ใหผ้ ้เู รยี นทำแบบทดสอบก่อนเรียน จำนวน 10 ขอ้ โดยใชเ้ วลา 10 นาที 4. ครูให้ผ้เู รยี นศึกษา ใบความรู้ นอกจากนี้ ในการพบกลุ่มแต่ละครั้งน้ัน ครูจะมอบหมายงานให้ผู้เรียนไปเรียนรู้ด้วยวิธีการเรียนรู้ด้วย ตนเอง ซ่ึงวิธีการเรียนรู้ด้วยตนเองจะต้องเกิดข้ึนในทุก ๆ ตัวช้ีวัดและเน้ือหาท่ีกำหนดโดยผู้เรียนจะต้องปฏิบัติ กิจกรรมที่กำหนดให้ด้วยวิธีเรียนรู้ออนไลน์ และศึกษาจากเอกสารประกอบการเรียน ดังน้ัน ครูจะต้องเชื่อมโยง รายละเอียดดังกล่าวข้างต้นให้ผู้เรียนได้เกิดความเข้าใจและเกิดแรงบันดาลใจในการเรยี นรู้ที่จะเกิดขึ้น เพราะ การมอบหมายงานให้ผู้เรียนไปเรียนรู้ด้วยวิธีเรียนรู้ด้วยตนเองน้ัน ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้ออนไลน์ผ่าน อินเทอร์เนต็ และศึกษาเอกสารประกอบการเรียน 5. ครูชวนคิดชวนคุยเกี่ยวกับประสบการณ์เดิมของครูในเร่ืองท่ีจะเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้น้ี โดยครูสมุ่ ผ้เู รียนตามความสมัครใจ จำนวน 4-5 คน ใหย้ กตวั อย่างข่าวทีเ่ ป็นปจั จุบนั ขั้นตอนที่ 2 การนำไปใช้ประโยชน์ (Utilization : U)

20 1. ครูให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ 3-4 คน ดำเนินกิจกรรมตามใบ งานเป็นรายกลุ่ม ศึกษาเน้ือหาในอินเตอร์เน็ต เร่ืองข่าว และข่าวปลอม พร้อมให้ยกตัวอย่าง ระหว่างข่าวจริง และข่าวปลอม 2. ครูแนะนำแหล่งเรียนรู้ให้กับผู้เรียนเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง อาทิ ห้องสมุด แหล่งเรียนรู้ในชุมชน หน่วยงาน สถานศึกษาต่าง ๆ รวมทั้งการใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อการเรียนรู้ด้วย ตนเอง เป็นต้น 3. ครูดำเนินการทำหน้าท่ีนำการอภิปราย โดยให้ผู้เรียนกลุ่มใหญ่ร่วมกันแสดงความคิดเห็น คิด วิเคราะห์ อภิปราย และวิเคราะห์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในเนื้อหาหรือประเด็นที่ยังไม่ชัดเจนตามรายละเอียดที่ ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน หากผู้เรียนกลุ่มใหญ่หรือครูเห็นว่ายังไม่สมบูรณ์ มคี วามต้องการในการ เรียนรู้เพ่ิมเติม ครูจะช่วยเติมเต็มความรู้ให้กับผู้เรียน หลังจากนั้นครูและผู้เรียนสรุปส่ิงที่ได้เรียนรู้ในภาพรวม ท้ังหมดแลว้ ให้ผู้เรียนสรปุ สง่ิ ท่ีได้เรียนรูล้ งในสมุดบันทึกการเรียนรขู้ องตน หมายเหตุ : ในการดำเนินกิจกรรมกล่มุ ครูชแี้ จงบทบาทหน้าทใ่ี นการทำงานให้ผู้เรียนได้มีความรับผิดชอบร่วมกันใน การทำงาน ซึ่งมอบหมายให้ผู้เรียนดำเนินการแต่งตั้งประธานหรือผู้นำในการอภิปรายแลกเปล่ียนเรียนรู้ และการมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบในภารกิจตา่ ง ๆ รวมถึงการแต่งตั้งเลขานุการของกลุ่มเป็นผูจ้ ดบันทึกและ ผู้รักษาเวลา เพ่ือปฏิบัติงานของกลุ่มใหญ่ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ท่ีตั้งไว้ และพิจารณาว่าสมาชิกลุ่มทุกคน ควรมีความเข้าใจตรงกันว่า ตนมีบทบาทหน้าท่ีท่ีจะต้องช่วยให้กลุ่มทำงานได้สำเร็จ ครูควรให้คำแนะนำถึง ความสำคัญของการให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่วมในการอภิปรายอย่างท่ัวถึง ไม่ให้มีการผูกขาดการ อภิปรายโดยผใู้ ดผูห้ นง่ึ และควรมกี ารจำกัดเวลาของการอภปิ รายแต่ละประเดน็ ในระหว่างการทำกิจกรรมของผู้เรียน ครูมีบทบาทในการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนคอย กระตุ้นผู้เรียนให้เกิดความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ โดยบันทึกลงในแบบบันทึกพฤติกรรมการเรียนรขู้ อง ผูเ้ รยี น และเครือ่ งมือประเมนิ การสงั เกตแบบประมาณค่า 4. ครูเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทั้งกลุ่มร่วมกันสนทนา เพ่ือให้ผู้เรียนมีทักษะในการฟัง พูด คิดวิเคราะห์ การทำงานร่วมกับผู้อ่ืน การคิดสร้างสรรค์ ความรับผิดชอบ และการนำความรู้ในเน้ือหามาใชโ้ ดยครบู ูรณาการ เนื้อหาการเรียนรู้ มีการใช้สื่อเทคโนโลยีที่เป็นคลิปวิดีโอจาก youtube ที่สัมพันธ์กับเน้ือหา ท้ังน้ีครูเชอ่ื มโยงสิ่ง ทไ่ี ดเ้ รยี นรตู้ ามข้ันตอนที่ 1 ในการนำความรู้ไปส่กู ารปฏิบัติและประยุกต์ใช้ หลังจากนั้น ครูดำเนินการ ดังนี้ (1) ครบู รรยายเน้อื หาตามใบความรู้ เพื่อใชส้ ำหรบั ประกอบกจิ กรรมการเรียนรู้ (2) ครูเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แลกเปล่ียนเรียนรู้ โดยให้ผู้เรียนต้ังประเด็นข้อสงสัยหรือสิ่งท่ีต้องการ เรยี นรู้ในกระบวนการของการสาธิต และเชือ่ มโยงส่กู ารนำไปใช้ในชวี ิตจรงิ ของผเู้ รียนต่อไป 5. ครูและผู้เรียนอภปิ รายและสรุปผลการเรยี นรู้รว่ มกัน

21 ขนั้ ตอนที่ 3 การสะทอ้ นความคดิ จากการเรียนรู้ (Reflection : R) 1. แบ่งผู้เรยี นออกเปน็ กลุ่ม ๆ ละ 3-4 คน ให้ผูเ้ รยี นแต่ละกลุ่มลงมือปฏบิ ัติจรงิ โดยผเู้ รยี นแต่ละกลุ่ม วางแผนและดำเนินการ 2. ใหผ้ ้เู รียนแต่ละกลมุ่ ปฏิบัติกิจกรรมตามใบงาน 3. ใหผ้ ู้เรยี นแตล่ ะกลมุ่ นำเสนอผลการทำกิจกรรมกลุ่ม 4. ครูให้ผู้เรียนสะท้อนความคิดในการเรียนรู้ที่ได้จากการเรียนรู้และการปฏิบัติการ 5. ครูและผเู้ รยี นอภปิ รายและสรุปผลการเรยี นรู้ร่วมกัน ขั้นตอนท่ี 4 การการตดิ ตามประเมินและแกไ้ ข (Action : A) 1. ครแู ละผ้เู รียนอภปิ รายและสรปุ ผลการเรยี นรู้ 3. ให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบหลงั เรยี น จำนวน 10 ข้อ โดยใชเ้ วลา 10 นาที 4. ครแู ละผเู้ รยี นสรุปภาพรวมส่งิ ทีไ่ ด้เรยี นร้รู ว่ มกนั นอกจากน้ี ในตอนท้ายของการพบกลมุ่ หลังจากเสรจ็ ส้นิ ข้ันตอนที่ 3 ครูมอบหมายงานให้ผู้เรยี น เรียนรู้ด้วยตนเอง สือ่ วัสดุ อุปกรณ์ และแหลง่ การเรยี นรู้ 1. แบบทดสอบก่อนเรยี น 2. ใบความรู้สำหรบั ผู้เรียน 3. .ใบงาน การวดั และประเมนิ ผล 1. สงั เกตพฤติกรรมการมสี ว่ นร่วม ความตงั้ ใจ และความสนใจของผู้เรยี น 2. ผลการทดสอบก่อนและหลังเรียน 3. ผลการออกแบบและสร้างสรรคน์ วตั กรรมและส่งิ ท่ีต้องการพัฒนา/ชิน้ งาน/ผลงาน 4. ผลการประเมินความพงึ พอใจของผูเ้ รียน

22 ใบความรู้ ครง้ั ท่ี 2 รายวชิ า สค 0200036 รทู้ ันข่าวและ Fake News เร่ือง ขา่ วและ ขา่ วปลอม (Fake News) ความรู้เบ้อื งต้นเก่ียวกับข่าว ความหมายของข่าว (Definition of news) ข่าวมีความหมายท่ีแตกตา่ งกนั ไปตามทรรศนะและความเขา้ ใจของแต่ละบุคคลและแตล่ ะสังคม เพราะเหตุการณ์ท่ีควรจะเป็นข่าวในสังคมหนึ่ง อาจจะไม่เป็นข่าวในอีกสังคมหน่ึงก็ได้ ทั้งน้ีได้มีผู้ให้ทรรศนะ เกย่ี วกบั ความหมายของคำวา่ ข่าวไวด้ ังนี้ บรูซ ดี ไอทิวส์ และดักลาส เอ แอนเดอร์สัน กล่าวว่า ข่าว คือ เร่ืองคนกัดหมา ข่าว คือ สิ่งท่ีผู้อ่าน ไมเ่ คยรมู้ ากอ่ น โจเซฟ พูลิซเซอร์ (บิดาแห่งวงการหนังสือพิมพ์) ข่าว เป็นเรื่องราวที่เพ่ิงเกิดข้ึนใหม่ๆ เป็นเรื่องท่ี แตกต่างจากเรื่องอ่ืนๆ เรื่องเร้าอารมณ์ เรื่องรกๆใคร่ๆ เร่ืองน่าตื่นเต้น เร่ืองประหลาด และเร่ืองทีมักเป็นท่ี โจษจนั ถึง สุภา ศริ ิมานนท์ได้อธิบายวา่ ข่าว คือ 1. เร่ืองราวอะไรอย่างหน่ึงท่ีประชาชนพูดถึงถ้าเป็นเร่ืองท่ีชวนให้ผู้คนอยากแสดงความเห็นมาก เท่าไหร่ยิ่งมคี ุณคา่ 2. เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นสดๆใหม่ๆถูกถ้วน และใช้ภูมิปัญญา เช่น การค้นพบส่ิงต่างๆเรืองราวที่ กระทบถงึ ผู้อา่ น 3. ข้อเท็จจริง สาระสำคัญเก่ียวกับการเกิดข้นของเหตุการณ์บางอย่างหรือของสิงใดส่ิงหนึ่งท่ีคนให้ ความสนใจ เนือ่ งจากมีผลกระทบหรือมีอิทธพิ ลต่อผูค้ น นอกจากน้ยี ังมีผูใ้ ห้คำนิยามเพ่อื อธบิ ายความหมายของขา่ วอีกมากมาย อาทิ ขา่ ว คือ เรื่องราวของเหตกุ ารณ์ ข้อเทจ็ จรงิ หรือความคดิ เห็นซึ่งเปน็ ท่ีสนใจของบุคคลท่วั ไป ข่าว คือ รายงานอันสุจริตและสมบูรณ์ของเหตุการณ์ท่ีเป็นผลประโยชน์และมีส่วนเก่ียวข้องกับ สาธารณชน ข่าว คอื เหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขึน้ สดๆใหม่ๆ ข่าว คอื การแจ้งส่ิงท่ีเกิดขึ้นอนั จะทำใหบ้ ุคคลได้ร้เู กิดความตื่นเต้น จากแนวคิดดังกล่าวพอสรุปได้ว่า ข่าว คือ รายงานข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ตลอดจนความคิดเห็นจากบุคคลระดับต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญ และเป็นท่ีน่าสนใจอันมีผลกระทบต่อคนหมู่มาก ในชมุ ชนหรือสงั คม

23 คุณลักษณะของข่าว (Qualification of News) การพิจารณาว่าเหตกุ ารณ์ใดควรจะรายงานเป็นขา่ วนั้นต้องคำนึงถงึ คุณลักษณะของข่าวเป็น สำคัญ ซึง่ คุณลักษณะของข่าวมอี งค์ประกอบดังนี้ ความนา่ สนใจ ผ้อู า่ นหรือผู้รบั ข่าวสาร Interest Reader of Receive เหตกุ ารณห์ รอื ขอ้ เทจ็ จรงิ (Fact) - ความน่าสนใจของข่าวย่งิ มมี ากเท่าใด คุณค่าข่าวยิ่งมสี ูงมากเท่านนั้ - ผู้อ่านหรือผ้รู บั ข่าวสาร หมายความวา่ ข่าวต้องเป็นทน่ี ่าสนใจของประชาชนในวงกว้าง - เหตุการณ์ หรือขอ้ เทจ็ จรงิ หมายความว่า ข่าวตอ้ งมาจากเหตกุ ารณ์ สถาณการณ์ท่ีเกดิ ข้ึนจริง แต่ไมส่ ามารถนำมาเสนอเป็นข่าวไดท้ ง้ั หมด ตอ้ งดูประเด็นทนี่ า่ สนใจมานำเสนอเทา่ นนั้ ทั้งนี้ องคป์ ระกอบทงั้ 3ประการน้จี ะต้องมีความสมั พนั ธก์ ัน โดยเหตุการณห์ รือขอ้ เท็จจรงิ น้นั จะต้องเป็นสงิ่ ทีน่ ่าสนใจต่อผอู้ ่านหรือผู้รับข่าวสารมากท่สี ดุ จึงนำมาซง่ึ การรายงานขา่ วได้ สำหรับเหตุการณ์หรือข้อเท็จจรงิ ใดเป็นส่ิงท่ีน่าสนใจสำหรบั ผู้อา่ นหรอื ผรู้ บั สารน้นั สภุ า ศิรมิ านนท์ อดีตนักหนังสือพิมพ์อาวุโส ไดส้ รุปความนา่ สนใจของขา่ วมี 9 ประเภท คือ 1. การต่อสู้ (Struggle) 2.ชวี ติ ซง่ึ ราวกับนยิ าย (Romance) 3. ความลกึ ลับ (Mystery) 4. การผจญภัย (Adventure) 5. ความผดิ ปกติ (Unusualness) 6. ความเปน็ มนุษย์ (Human being) 7. เรือ่ งเกย่ี วกบั สัตว์ (Animals) 8. เร่ืองเกย่ี วกับเด็ก (Children) 9. ความบนั เทิง / งานอดิเรก (Amusement and Hobbies) องคป์ ระกอบของข่าว (Elements of News)

24 จากเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นมากมายในแต่ละวัน และแต่ละเหตุการณ์มีความน่าสนใจที่แตกต่างกัน การท่ีสอ่ื มวลชนจะนำมาเสนอเปน็ ข่าวทุกขา่ วน้ันไม่สามารถทำได้ เนอื่ งจากจำนวนพ้ืนบนหน้าหนังสือพิมพท์ ่ีมี จำกัด และส่ือมวลชนประเภทอ่ืน อย่าง วิทยุ หนังสือพิมพ์ ก็มีเวลาจำกัดเช่นกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการ คัดเลือกข่าวจากเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริงท่ีเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงองค์ประกอบของข่าวว่ามีเหตุการณ์หรือ ขอ้ เทจ็ จริงใดมคี ณุ ค่าทางข่าวสูง จะได้พจิ ารณานำมารายงานเป็นขา่ วต่อไป คณุ คา่ ของขา่ วขึ้นอย่กู บั องคป์ ระกอบทสี่ ำคญั ดังนี้ 1. ความสดตอ่ สมัย (Timeliness) นับว่าเป็นหัวใจสำคัญของการนำเสนอข่าว เพราะผู้อ่านมักให้ความสนใจกับเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น สดๆ รอ้ นๆ หรือเร่อื งราวท่ีทนั สมยั ดังคำกล่าวทวี่ ่า \"ข่าวตอ้ งสดเหมือนปลา\" 2. ความใกลช้ ิด (Proximity/nearness) หมายถงึ ความสัมพันธ์ใกลช้ ิดตอ่ เหตุการณท์ ่เี กดิ ข้ึนทงั้ ทางด้านร่างกายและจิตใจ 3. ความเดน่ (Prominence) หมายถึงบุคคลสำคัญทีเ่ ปน็ ท่ีรูจ้ กั กนั ดี ซงึ่ อาจรวมถงึ สถานทีส่ ำคัญ วตั ถุอนั ลำ้ ค่า ฯลฯ 4. ความแปลกประหลาด (Oddity / Unusualness) เมอ่ื มเี หตุการณ์เกิดขึน้ อย่างผิดปกตหิ รอื ผดิ วิสัยในสังคม เหตกุ ารณ์น้ันย่อมก่อให้เกิดความสนใจ และมีคณุ คา่ ทางข่าวสงู หนังสือพิมพ์ใหค้ วามสำคัญแก่องค์ประกอบนี้มาก โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงเม่ือมีสถานการณ์ ท่ีไม่เอื้ออำนวยในการเสนอข่าว เพราะถูกปิดก้ันเสรีภาพของหนังสือพิมพ์จึงมักใช้ความแปลกประหลาดมา เสนอเป็นข่าว เพอ่ื เปลยี่ นบรรยากาศท่ีตงึ เครียดให้ผอ่ นคลายลงได้ชั่วระยะหน่งึ 5. ผลกระทบกระเทอื น (Consequence) ข่าวที่มีผลกระทบต่อประชาชนเป็นจำนวนมากมกั ได้รับการพิจารณาทจ่ี ะเสนอเป็นข่าวมากกว่า ข่าวทวี่ ่านอ้ี าจเปน็ ผลกระทบกระเทือนทาง เศรษฐกจิ สังคม ฯลฯ 6. ความขดั แย้ง (Conflict) ความขัดแย้งย่อมเป็นท่ีสนใจของคนทั่วไป อาจเป็นความขัดแย้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสงั คม 7. ความมเี ง่ือนงำ (Suspense/Mystery) บางครง้ั เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นอาจมีเบ้ืองหลงั ลกึ ลบั ซับซ้อน หนังสือพมิ พ์จึงมกั ให้ความสนใจขดุ คุ้ย และนำมาตแี ผ่เสนอเปน็ ข่าวตดิ ต่อกนั เป็นเวลาหลายวนั เพราะผู้อ่านใหค้ วามสนใจ 8. ปถุ ุชนสนใจ (Human Interest) ขา่ วทกี่ ่อให้เกดิ ความรู้สกึ สะเทือนอารมณส์ ่วนใหญม่ ักเปน็ ขา่ วอาชญากรรมทีผ่ ้อู า่ นสนใจอยากรู้ สาเหตุทแ่ี ทจ้ ริงเนอ่ื งมาจากอะไร 9. เพศ (Sex)

25 ธรรมชาติของมนุษย์มักให้ความสนใจเก่ียวกับเพศ ท้ังเพศเดียวกันและต่างเพศ หรือความ ผิดปกติทางเพศ 10. ความขบขัน (Amusement) ข่าวขบขันอาจจะเกิดจากการกระทำของตลกเองหรือ จากเหตุการณ์อ่ืนๆท่ีผู้อ่านเห็นแล้วเกิด อารมณผ์ ่อนคลาย 11. ความเปล่ยี นแปลง (Change) สังคมมนุษย์ย่อมมีการเปล่ียนแปลงอยู่เสมอ อาจเป็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ และมผี ลกระทบตอ่ ประชาชนทงั้ ทางตรงและทางอ้อม 12. ความกา้ วหนา้ (Progress) เกิดข้นึ จากการค้นควา้ ทดลองทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี นอกจากองค์ประกอบต่างๆที่กล่าวมาแล้วยังมีความแตกต่างของการนำเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์ แต่ละฉบบั ท่ขี ึน้ อยกู่ บั ปัจจัยต่อไปน้ี 1. นโยบายของหนังสอื พมิ พ์ หนงั สือพิมพ์แต่ละฉบับจะมแี นวนโยบายท่ีแตกตา่ งกนั หนังสือพิมพ์ บางฉบับอาจมีนโยบายหรือจุดยืนที่จะเป็นแนวร่วมกับกลุ่มการเมืองหรือกลุ่มพลังบางกลุ่ม บางฉบับมีจุดยืน หรือนโยบายท่ีอาจจะเปล่ียนไปตามลักษณะของปัญหาสาธารณะโดยเลือกที่จะสนับสนุนคู่กรณีแต่ละ ฝ่ายใน การแกไ้ ขปัญหาสาธารณะนนั้ ๆ ในขณะทบ่ี างฉบบั อาจจะวางเฉย ไม่เป็นแนวร่วมกบั กลุ่มใดกลมุ่ หน่งึ เลย 2. ประเภทของหนังสือพิมพ์ อาจแบ่งหนังสือพิมพ์ออกได้เป็นสองประเภทโดยใช้เนื้อหาเป็น เครื่องวัด ได้แก่ หนังสือพิมพ์ประเภทเน้นคุณภาพ ได้แก่ หนังสือพิมพ์ท่ีเสนอข่าวประเภทท่ีผู้อ่านได้รับความ พอใจจากการอ่านช้า หรือเน้นหนักไปในไปในทางให้ความรู้และประสบการณ์แก่ผู้อ่าน เช่น การเมือง เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี เป็นต้น หนังสือพิมพ์ประเภทประชานิยม ได้แก่ หนังสือพิมพ์ท่ีเสนอข่าวที่ ผู้อ่านได้รับความพอใจจาการอ่านอย่างรวดเร็ว ได้แก่ ข่าวประเภทอาชญากรรม ข่าวบันเทิง ข่าวกีฬา เป็นต้น ตัวอย่างเช่น หนังสือพิมพ์มติชน สยามรัฐ และไทยโพสต์ ใช้เน้ือท่ีส่วนใหญ่เสนอขา่ วการเมืองหรือข่าวราชการ สว่ นหนังสอื พิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ ขา่ วสด เน้นข่าวชาวบ้าน ขา่ วการเมือง ส่วนข่าวต่างประเทศก็มีแต่น้อย ทั้งน้ี ยกเว้นข่าวสำคัญบางข่าวเท่านั้น หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ประชาชาติธุรกิจ เน้นข่าวสารด้านธุรกิจ การเงิน การคลงั เป็นต้น 3. เน้ือท่ีของหนังสือพิมพ์ ความจำกัดในเร่ืองเนื้อท่ีของหนังสอื พิมพ์อาจส่งผลให้ข่าวบางขา่ วถูก ตัดออกไป ไม่ได้รับการคัดเลือกให้มาตีพิมพ์ เพราะข่าวอื่นมีคุณค่าข่าวท่ีสูงกว่า ทำให้ต้องเลือกข่าวที่มีคุณค่า ขา่ วสูงกว่าและลดหลน่ั กนั ไปในการนำไปตีพมิ พ์ 4. ทัศนคติของเจ้าของและกองบรรณาธิการ เน่ืองจากเจ้าของหนังสือพิมพ์และกอง บรรณาธิการท่ีมีทัศนคติดีต่อเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริงต่อข่าวใด ข่าวน้ันอาจได้รับการสนับสนุนให้เป็นข่าว เด่น โดยการวางตำแหน่งข่าว การพาดหัวขา่ วใหญ่เพ่ือเพมิ่ สสี ัน 5. กฎหมายท่ีเก่ียวกับหนังสือพิมพ์ ในประเทศเสรีประชาธิปไตยน้ัน มักจะใช้กฎหมายเป็น เครื่องมือควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของหนังสือพิมพ์ ให้อยู่ในขอบเขต มิให้ไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น

26 รวมทั้งปกป้องมิให้ผลประโยชน์ของประเทศชาติต้องกระทบกระเทือนจากการกระทำหน้าที่ของหนังสือพิมพ์ ด้วย แต่กฏหมายบางประเทศก็ได้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สั่งปิดหนังสือพิมพ์ได้ ดังนั้น หนังสือพิมพ์จึงพยายาม หลีกเลี่ยงการละเมิดต่อกฎหมายโดยเลี่ยงถ้อยคำท่ีหมิ่นเหม่ต่อการถูกฟ้อง ไปใช้ถ้อยคำอื่นท่ีมีความหมายไม่ รนุ แรงนักแต่เนื้อหาของข่าวยังครบถว้ นสมบูรณ์ หรือบางฉบับไม่กล้าเสี่ยงจึงอาจพิจารณาไม่เสนอข่าวน้ันเลยก็ มี กฎหมายทเี่ ก่ยี วกบั หนังสือพิมพ์ เช่น พรบ. การพมิ พ์ 2484 6. โฆษณา นับว่าเป็นรายไดห้ ลักของธุรกิจหนังสือพิมพ์ เป็นรายได้มาจากการขายเน้ือที่โฆษณา ดังนั้นการคัดเลือกข่าวจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงเน้ือที่โฆษณา ซึ่งอาจจะลดเน้ือท่ีของข่าวลง ทำให้ข่าวบางข่าว ไม่ไดร้ ับการคดั เลือกมาตพี ิมพ์ในหนังสอื พมิ พ์ 7. ระดับความสนใจของผอู้ ่าน นอกจากรายได้จากการขายเน้อื ทโ่ี ฆษณาแล้ว การซือ้ ของผอู้ ่านก็ มีผลกับการกำหนดเน้ือหาและข่าวหนังสือพิมพ์ ซ่ึงสอดคล้องกับรสนิยมหรือระดับการอ่านท่ีแตกต่างไปตาม สภาพแวดล้อม การศึกษา สังคม เศรษฐกิจ ดังนั้น การคัดเลือกข่าว และการจัดลำดับความสำคัญจึงต้อง คำนงึ ถงึ ระดับความสนใจของผูอ้ า่ นด้วย เพราะผู้อ่านเป็นผู้สนับสนุนหนังสอื พิมพด์ ้วยการซอ้ื ยิ่งจำนวนเพ่ิมมาก ขึ้นเทา่ ใดรายไดก้ เ็ พ่มิ มากขึน้ เทา่ นั้น 8. เวลา หากมีเหตุการณ์ใดที่เกิดข้ึนกะทนั หันและเปน็ สิ่งท่ีได้รับความสนใจจากผู้อ่านก็จะมกี าร ตัดขา่ วอื่นทิ้งเพื่อนำเนอื้ ทีม่ าเสนอขา่ วดังกล่าวแทน เพื่อทนั ต่อเหตกุ ารณ์ 9. ระบบการเมือง การปกครอง เศรษฐกจิ และสังคม เป็นปัจจัยท่ีทำให้การคัดเลือกข่าวและการ จัดลับความสำคัญของข่าวแตกต่างกัน จะเห็นได้ว่าการเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์ในประเทศท่ีมีการปกครอง การเมือง เศรษฐกิจและสังคมแบบเสรีประชาธิปไตยย่อมมีอิสระและเน้นความเป็นจริงมากกว่าประเทศสังคม นิยมท่ไี ม่มอี ิสระเพยี งพอในการเสนอขา่ วและมักเน้นการโฆษณาชวนเช่ือมากกว่าความเป็นจรงิ 10. การตรวจต้นฉบับล่วงหน้า ย่อมมีผลกระทบต่อการคัดเลือกข่าวและการจัดลำดับ ความสำคัญของข่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าการตรวจต้นฉบับล่วงหน้าจะกระทำได้หลายรูปแบบซึ่งข้ึนอยู่ กับสถานการณ์ของการปกครองและสภาพสังคมในขณะน้ัน เช่นภาวะท่ีมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซ่ึงจะ เป็นลักษณะของการเอ้ืออำนวยต่อสถานการณ์ของการปกครองและสภาพสังคมในขณะนั้นเท่าน้ัน จะไม่ คำนงึ ถงึ ความตอ้ งการหรือความสนใจของผ้อู า่ นหรอื ประชาชนแต่อย่างใด ประเภทของข่าว 1. การแบ่งตามระดบั ของขา่ ว 1.1 ข่าวหนัก (Hard News) หมายถึง ข่าวท่ีมักจะมีความ ซับซ้อนยากต่อการทำความ เข้าใจ เช่น ขา่ วการเมอื ง เศรษฐกจิ ธุรกิจ 1.2 ข่าวเบา (Soft News) เรื่องราวที่เน้นให้เกิดความ บันเทิงสบายใจ เป็นข่าวที่คน ท่ัวไปให้ ความ สนใจ เช่น ข่าว อาชญากรรม ข่าวสงั คม ขา่ ว บนั เทิง ขา่ วตลกขบขนั

27 2. แบง่ ตามระดบั ความร้สู ึกตอบสนองของผู้อา่ น 2.1 ข่าวที่ผรู้ ับสารมีปฏกิ ริ ยิ าตอบสนองทันที (Immediate Reward News) ขา่ วทท่ี ำให้ผ้อู า่ น เกิดปฏิกิริยาตอบสนองทันที หลังจากการอ่าน ไม่ว่าเป็นความรู้สึกพึงพอใจ ดีใจ เศร้า เสียใจ ต่ืนเต้น หวาดเสียว เป็น ข่าวที่ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ง่ายโดยไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ ความคิดมาก ไม่จำเป็นต้องมีภูมิ หลังของขา่ ว 2.2 ข่าวท่ีผู้รับสารมีอารมณ์ตอบสนองช้า (Delayed Reward News) ข่าวท่ีผู้อ่านต้องใช้ความรู้ ความคิด เพื่อทำความเข้าใจกับเร่ืองราวท่ีปรากฏในข่าว ทำผู้อ่านเกิดการตอบสนองทางความรู้สึกช้าได้แก่ ขา่ วการเมอื ง เศรษฐกิจ การศึกษา ปัญหา สาธารณะ เทยี บไดก้ บั ข่าวหนัก (Hard News) 3. แบ่งตามวธิ ีการรวบรวมขา่ ว 3.1 ข่าวท่ีต้องส่ือข่าว (Active News) ข่าวท่ีผู้สื่อข่าวต้องออกไป แสวงหาหรือรวบรวมมา ด้วย ตนเอง 3.2 ข่าวท่ีไม่ต้องสื่อข่าว (Passive News) ข่าวที่มีผู้ส่งมายังผู้สื่อข่าว กอง บรรณาธิการ หรือ องคก์ ร สอื่ มวลชน โดยผู้สื่อข่าวไม่ต้องออกไปแสวงหา หรอื รวบรวมด้วยตนเอง ข่าวประเภท นไ้ี ด้แก่ ข่าวแจก (News Release) 4. แบ่งตามประเภทของเน้อื หาขา่ ว 1. ข่าวอาชญากรรม 2. ขา่ วการเมอื ง 3. ข่าวศาล 4. ข่าวอุบตั เิ หตุ เพลงิ ไหม้ และภัยพิบตั ิ

28 5. ข่าการประชมุ 6. ขา่ วปาฐกถา และสุนทรพจน์ 7. ข่าวเศรษฐกจิ ธุรกิจ อุตสาหกรรม เกษตรกรรม ตลาดห้นุ การเงนิ การ ธนาคาร และแรงงาน 8. ขา่ วการศกึ ษา วจิ ยั วิทยาศาสตร์ และส่งิ แวดลอ้ ม 9. ขา่ วสงั คม 10. ขา่ วสตรี 11. ขา่ วบนั เทิง 12. ขา่ วกฬี า 13. ทางด้านไอที ยานยนต์ ฯลฯ 5. การแบ่งประเภทของขา่ วตามพื้นท่ี 5.1 ข่าวในประเทศ ข่าวที่เกิดข้ึนภายในประเทศ ทุกภูมิภาคและ ทุกจังหวัด หรือกล่าวได้ว่าเป็น ขา่ วท่ี เกิดข้ึนทุก พ้ืนท่ีของประเทศ ท้ังน้ีข่าวในประเทศสามารถ แบ่งออกตามพื้นที่ได้เป็น 2 ส่วน คือข่าว ส่วนกลาง และข่าวสว่ นภูมภิ าค 5.2 ข่าวต่างประเทศ ข่าวทเี่ กิดขึน้ ในประเทศตา่ งๆ ทว่ั โลกปกติข่าว ประเภทนีเ้ ป็นข่าวทีอ่ าศยั แหล่งข่าวจากสำนกั ข่าวต่างๆ มากกว่าจะสง่ ผู้ส่อื ขา่ วออกไปทำข่าวเอง ยกเว้นในกรณีท่ีเป็นเหตุการณ์สำคัญ ๆ เชน่ การแขง่ ขันกฬี าระดับภมู ิภาคหรือระดับโลก ขา่ วปลอม (Fake News) 1. ความหมายขา่ วปลอม หมายถงึ ข่าวทม่ี เี น้อื หาอันไม่เปน็ ข้อเท็จจริง หลอกหลวง หรอื ข่าวสร้าง สถานการณ์ รวมถึงการเขียนข่าวท่ีได้รับการสนับสนุนอย่างปิดบังหรือแอบแฝง ซึ่งนำเสนอในส่ือสังคมและ แพลตฟอร์มออนไลน์อน่ื ๆ 2. ลักษณะของขา่ วปลอม ขา่ วปลอมมากมาย ท่ีเผยแพรอ่ อกไปสร้างความบิดเบือน ความเขา้ ใจผิด และความตื่นตระหนักให้แก่ประชาชนท่ัวไปน้ัน เราสามารถจำแนกกว้างๆได้ถึง 10 ประเภทด้วยกันเลยนะ คะ แล้วแต่ละประเภททำขึน้ มาเพื่ออะไร? มีเจตนาแอบแฝงร้ายแรงแคไ่ หน? มาทำความรู้จักและรู้เท่าทันข่าว ปลอมไปพรอ้ ม ๆ กนั ได้ทน่ี เ่ี ลยคา่

29 2.1.ข่าวพาดหัวยั่วให้คลิก (Clickbait) : เป็นข่าวที่ใช้คำหรือรูปภาพพาดหัวที่ทำให้ดูชวน สงสัยใคร่รู้ หรือดึงดูดใจให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตท่ัวไปคลิกเข้าไปอ่าน. ผู้สร้างข่าวอาศัยประโยชน์จากความ สงสัย โดยให้ข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ พอชวนให้ผู้อ่านสงสัย แต่ไม่พอจะขจัดความสงสัยน้ัน จนต้องคลิกเข้าไปดู เนื้อหาน้ัน ๆ ท้ังท่ีเนื้อข่าวอาจไม่คำนึงถึงคุณภาพหรือ ความถูกต้องของข้อมูล แต่การพาดหัวทำให้คนหลง กลดลึกเข้าไปเพอ่ื เรียกยอดวิวในเวบ็ ไซต์นน่ั เอง 2.2.โฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) : เป็นการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่มุ่งชักจูงทัศนคติของ ผู้รับสารต่ออุดมการณ์หรือมุมมองบางอย่างโดยการนำเสนอการให้เหตุผลเพียงข้างเดียว การโมษณาชวนเช่ือ มักทำซ้ำและกระจายในสื่อหลายชนิด เพ่ือหวังผลให้ผู้รับสารเชื่อและคล้อยตามอุดมการณ์ที่ผู้ส่งสารต้องการ สื่อ 2.3.ข่าวแฝงการโมษณา (Sponsored content , Native Advertsing) : รูปแบบโฆษณาท่ี ใช้รูปแบบเนื้อหาแนบเนียนกับเน้ือหาปกติในเว็บไชต์น้ัน ๆ พร้อมทำหน้าท่ีให้เน้ือหาท่ีคนต้องการรับรู้ หรือ รับชม โดยไมท่ ราบว่าเป็นโฆษณาจนกว่าจะไดอ้ า่ น/ดูจบ ข่าวแฝงการโฆษณานจ้ี ะทำการแฝง (Tie-in) เร่ืองราว ของแบรนดแ์ ละสนิ คา้ ไมม่ ากเกินไป ทำใหค้ นอ่านหรอื คนเสพสอื่ นนั้ รู้สึกว่าไม่ไตอ้ า่ นโฆษณาอยู่ 2.4.ข่าวล้อเลียนและเสียดสี (Satire and Hoax) : ข่าวที่ดัดแปลงข้อมูลเพ่ือมุ่งสร้างอารมณ์ ขันให้กับผู้อ่าน ใช้เนื้อหาที่ตลกขบขัน เพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ข่าวในโลกแห่งความเป็นจริง ผ่านการล้อเลยี นหรือเสียดสี 2.5.ข่าวที่ผิดพลาด (Error) : บางครั้งแม้แต่ข่าวท่ีเผยแพร่จากสำนักข่าวออนไลน์ที่เช่ือถือได้ ก็อาจมคี วามผดิ พลาดได้เชน่ กนั เชน่ การเขียนข้อความท่ผี ิด ชื่อบุคคลหรอื รูปภาพผดิ จากเนื้อข่าวจรงิ ๆ ซึ่งทำ ให้ผูร้ บั สารเขา้ ใจไปในทศิ ทางอ่ืน หรือไมเ่ ข้าใจในข่าวนัน้ 2.6.ข่าวเอนเอียงเลือกข้าง (Partisan) : เป็นข่าวบิดเบือนข่าวสาร มักจะเลือกข้างโดย นำเสนอข่าววิพากษ์วิจารณ์ในทางลบต่อฝ่ายที่ตนเองไม่ชอบ ในขณะท่ีฝ่ายท่ีตนเองสนับสนุน จะเสนอข่าวช่ืน ชมเกินจริง โดยเฉพาะดา้ นการเมอื ง 2.7.ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy theory) : เป็นเร่ืองเล่าหรือบทความท่ีสร้างข้ึนมาจาก ความคิดของคน หรือกลุ่มคนท่ีนำเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนมาปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน. โดยอาศัยข้อมูลที่ไม่มี ความเชื่อมโยงกัน และอาจมีวัตถุประสงค์ซ่อนเร้น เพื่อให้ประโยชน์ ให้โทษต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลหนึ่งใด เชน่ เคร่ืองบนิ ท่ีหายไปน้ันโดน CIA ยดึ ไว้ เพราะตอ้ งการของสำคัญท่ีอยู่ในเครื่องบนิ เป็นต้น 2.8.วทิ ยาศาสตรล์ วงโลก (Pseudoscience) : คือ ข้อเขียนทอ่ี า้ งว่าเป็นท้งั วทิ ยาศาสตร์และ ข้อเทจ็ จริง แตจ่ รงิ ๆ แล้วขดั แย้งหรอื เข้ากันไม่ไดก้ ับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรอื ไม่มีหลกั ฐานหรอื ความ เป็นไปได้ใด ๆมาสนับสนุน มักจะมาในรูปแบบของบทความทางการแพทย์หรือบทความสุขภาพท่ีแฝงโฆษณา ยารักษาหรือ อุปกรณ์เพ่ือสุขภาพ โดยแอบอ้างว่าได้ผ่านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แล้ว มีการสร้างภาพ ผเู้ ช่ยี วชาญขน้ึ มา เพอื่ ให้ดนู ่าเชือ่ ถือ

30 2.9.ข่าวท่ีให้ข้อมูลผิด ๆ (Misinformation) : คือ ข่าวท่ีไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัดเสียก่อน ขอ้ มลู อาจมีท้ังจรงิ และเทจ็ ผสมกนั ผู้ส่งสารตั้งใจจะส่งขา่ วออกไป แตอ่ าจจะไม่ได้ตระหนักวา่ ข่าวนน้ั มีข้อมูลท่ี ผดิ พลาดอยู่ เชน่ ขา่ วลือต่างๆ 2.10.ข่าวหลอกลวง (Bogus) : คือ ข่าวปลอมท่ีเจตนาในการสร้างข้ึนมาและจงใจให้ แพร่กระจาย มีวัตถุประสงค์เพื่อหลอกลวง อาจมีเน้ือเรื่อง ภาพ หรือข้อมูลต่าง ๆ ท่ีเป็นเท็จมาประกอบกัน อาจรวมถงึ การแอบอ้างเป็นแหล่งข่าวหรือบุคคลท่ีอยใู่ นเหตกุ ารณท์ ุกวิธีการท่ีจะทำใหข้ ่าวนนั้ ดเู ปน็ ขา่ วปลอมที่ สมบูรณ์มากข้นึ 3. ประเภทของข่าวปลอม 1.Satire or Parody เสยี ดสหี รอื ตลก ยกตัวอย่างเช่น เพจตลก เพจล้อเลียน พระนพดล, ข่าวปด, The Doubble Standard ต่าง ๆ ที่ทกุ คนกจ็ ะดูรวู้ ่าเป็นเพจทท่ี ำขึ้นมาเพ่ือล้อเลียน ทำให้มีพิษมีภัยนอ้ ยท่ีสุดเนื่องจากทางผู้จดั ทำเองก็ ไมไ่ ด้มี เจตนาในการสรา้ งความเขา้ ใจผดิ หรอื มวี ตั ถปุ ระสงค์ตอ้ งการให้คนมาเชอื่ 2.False connection เช่ือมโยงเนอื้ หาไมถ่ กู ตอ้ ง คือการท่ีสองส่ิงไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยแต่ถูกนำมากล่าวถึงในข่าวเดียวกันหรือทำให้มา เช่ือมโยงกัน ส่ิงนี้เกิดจากความไม่รู้ ไม่เข้าใจของคนเขียนข่าวหรือทำคอนเทนต์ หรือเกิดจาก การพยายามหา รายได้ ตัวอย่างของคอนเทนต์ท่ีเป็น False Connection ก็เช่น “น้ำมะนาวรักษาโรคมะเร็ง” หรือบทความท่ี ชอบขนึ้ ว่า “งานวจิ ัยเผย …” แลว้ กลายเปน็ ว่าโยงไปขายของ หรอื ข่าวโลกแตกทง้ั หลาย 3.Misleading ทำใหเ้ ข้าใจผิด คือการเขียนข่าวหรือทำคอนเทนต์โดย จงใจให้เข้าใจผิด หรือการใช้คำอยา่ งนงึ เพื่ออธบิ ายอีก อย่างนึง พอโดนจับได้ก็จะแถว่าก็เข้าใจผิดเองทั้ง ๆ ท่ีตอนแรกคือหวังให้เขาเข้าใจผิดอยู่แล้ว โดยส่วนใหญ่ วัตถุประสงค์คือ ชวนเช่ือ หรือหวังผลทางการเมือง ตัวอย่างของคอนเทนต์ Misleading เราจะพบเห็นได้บ่อย กับพวกขา่ วการเมอื ง

31 4.False Context ผิดที่ผดิ ทาง คือการที่เอาสง่ิ ที่เกิดขน้ึ จรงิ เช่น รปู , ขอ้ ความ, คำพูด แตเ่ อามาใช้แล้วพูดถึงอกี เรอื่ งนึง เช่น การเอารูปภัยธรรมชาติในตา่ งประเทศมาแล้วเขยี นบอกว่าเกิดข้นึ ทปี่ ระเทศไทย 5.Impostor แหลง่ ท่ีเปน็ เทจ็ คือการรายงานข่าวแบบปกติ แล้วถ้าไม่ตรวจสอบดี ๆ ก็จะไม่รู้เลยว่าเป็น Fake News รูปแบบของมันคือการอ้างไปยังบุคคลหรือแหล่งข่าวเช่น คนนี้กล่าวไว้ว่า, นายกกล่าวไว้ว่า หรือ คนนู้นคนน้ี เคยกล่าวไว้ว่า แต่จริง ๆ แล้วเป็นการท่ีคนทำคอนเทนต์หรือคนเขียนข่าวคิดหรือมโนข้ึนมาเอง โดยจัดให้ Imposter เป็นความรุนแรงระดบั ที่ 5 คอื สรา้ งความเขา้ ใจผิดและความขดั แย้งในระดับวงกว้างได้ 6.Manipulated ปลอม ตัดต่อ คือการปลอมหรือตัดต่อ ความรุนแรงของมันคือถ้าไม่สังเกตเราจะดูไม่ออก การตัดต่อน้ีรวมถึงการตัดต่อภาพ, เสียง, วิดีโอ หรือแม้กระทั่งการเอา logo ของสำนักข่าวท่ีน่าเชื่อถือมาใส่ ตัวอย่างของ Manipulated Content ก็เชน่ การตดั ตอ่ สรา้ งเรื่อง ตดั แปะ 7.Fabricated ปลอมทกุ อย่าง 100% คือขั้นที่รุนแรงที่สุดของ Fake News ตัวอย่างของมันเช่นการปลอมมันทั้งเว็บ เช่น การปลอมเป็น ข่าวสด ปลอมเป็นไทยรัฐ หรือการปลอมเป็นบุคคล แล้วรายงานข่าว อันนี้ร้ายแรงมาก เน่ืองจากคนก็จะเข้าใจว่าเป็น สำนักข่าวน้ันจริง ๆ ถ้าคนที่ไม่รู้ก็จะดูไม่ออกเลยว่าเป็นเว็บข่าวปลอม ในไทยก็เคยมีกรณีนี้เกิดข้ึนหลายครั้ง แลว้ ตรงนีก้ ็ต้องอาศยั ทุกคนช่วยกันตรวจสอบ 4. กระบวนการเกิดขา่ วปลอม 1. ล้อเลียน เสียดสี ผู้สร้างข่าวปลอมต้องการให้เกิดความขบขัน โดยการล้อเลียนหรือเสียดสี ผู้มีอำนาจ คนที่มีชื่อเสียง หรือเหตุการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการง่าย กว่าท่ีทำให้ผู้อ่าน สนใจที่ตัวบุคคล แทนท่ีจะเป็นการเสนอความเห็นหรือ อภิปรายเร่ืองนโยบายที่ซับซ้อน เช่น ข่าวลอ้ เลียนในหนังสือพมิ พผ์ ้จู ดั กวน 2. สร้างอิทธิพลต่อความคิด ความเชื่อ ผู้สร้างข่าวปลอมอาจมีอคติ หรือ มีทัศนคติที่เอนเอียง เลอื กข้าง จึง ต้องการชนี้ ำผูอ้ า่ นใหค้ ลอ้ ยตามโดน การบิดเบอื นข้อมลู เนอื้ หาข่าวอาจ จะเป็น การชน่ื ชมบุคคลหรือฝ่ายท่ี ตนเองชอบเกินจริง หรือใส่ร้ายฝ่าย ตรงข้าม เช่น การพาดหัวข่าวที่ใส่ “ความเห็น ส่วนตัว” ลงไปในลักษณะ ชนี้ ำผอู้ า่ น ถงึ แมเ้ นอื้ หาของขา่ วนั้น จะมคี วามจรงิ อยบู่ ้าง 3. สร้างรายได้ ท่ีสำคัญข่าวปลอมสามารถสร้าง รายไดใ้ ห้คนทำได้ ในการแข่งขนั ทางการเมือง หรอื ทางธุรกิจ อาจมี ผู้ว่าจ้างให้คนทำข่าวปลอมเพื่อ ใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามด้วยการบิดเบือน ข้อมูลและเผยแพร่ใน โลกออนไลน์ ในโลกอินเทอร์เน็ต ข่าวที่มีคนเข้าไป อ่านมากจะทำรายได้จากโฆษณา ย่ิงคนเข้าไปอ่านข่าวมาก เท่าไหร่ ก็ยิ่ง เพ่ิมโอกาสที่โฆษณาในหน้านั้นจะถูกเห็น และทำให้ผู้ดูแลเว็บไซต์น้ันๆ มีรายได้ ผู้ดูแลจึงมักใช้ พาดหัวข่าวในลักษณะคลิกเบท ในบางกรณี ผู้สร้าง ข่าวปลอมหลอกให้ผู้อ่านชมคลิปข่าวปลอมเป็นจำนวน

32 หลักหม่ืน แล้วเว็บไซต์ เหล่าน้ีได้ควบคุมบัญชีเฟซบุ๊กของผู้หลงเข้าไปเพื่อไปใช้ประโยชน์ทางการค้า พอกดดู คลิป ก็จะต้องลงช่ือเข้าใช้ เฟซบุ๊ก พอกดอนุญาตในเฟซบุ๊ก คนสร้าง เว็บปลอมนั้นก็จะใช้เฟซบุ๊ก ของเหยอื่ เปน็ บอท (หนุ่ ยนต)์ และนำไปเปน็ ใชเ้ ปน็ ส่วนหนง่ึ ของกองทัพไลคข์ องเขา เพ่ือขายไลคอ์ กี ตอ่ หน่ึง 5. ความแตกตา่ งระหว่างขา่ วจรงิ กับขา่ วปลอม ขา่ วจริง ข่าวปลอม • มาจากแหลง่ ขา่ วที่น่าเชือ่ ถือ • มาจากเว็บไซต์ที่ไมค่ ุ้นชอ่ื • พาดหวั มที ิศทางเดยี วกับเนื้อขา่ ว • พาดหวั เรา้ อารมณ์หรอื ไม่ไป ทางเดยี วกับเนื้อขา่ ว • มีชอ่ื ผ้รู ับผิดชอบหรือผู้เขียนข่าว • ไม่มีชือ่ ผูเ้ ขยี นข่าว • URL เขา้ กนั ไดก้ บั แหลง่ ข่าว • URL ดแู ปลก ๆ หรือเข้ากนั ไมไ่ ด้ กับแหลง่ ข่าว • บอกวันท่ที ่ีลงข่าว • อาจลงวนั ทีเ่ ก่า ๆ หรือไม่ได้ บอกเลย • เม่ือกดเข้าไปดูลิงค์อนื่ ๆ สามารถ ยอ้ นไป • ไมส่ ามารถกดลง้ิ ค์ย้อนไปหา แหลง่ ข่าวต้นสงั กดั ได้ ที่แหลง่ ข่าวตน้ สังกัดได้ 6. ผลกระทบของขา่ วปลอม 1. ผลกระทบต่อความคิดและความเช่ือ เป็น ผลกระทบท่ีชัดเจนและสำคัญท่ีสุด เพราะว่า ข้อมูล ข่าวสารมีอิทธิพลต่อโลกทัศน์ต่อผู้อ่าน และผู้รับสาร ตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลท่ีได้รับ พวกเขาจะมี ทศั นคติต่อผู้คนและตอ่ เหตุการณ์อยา่ งไรกข็ ้ึนกับ วา่ เขาได้รับขอ้ มลู แบบไหน ถา้ ขอ้ มูลทพี่ วกเขาได้รับ เปน็ ข่าว ปลอม ข่าวบิดเบือน หรือข่าวที่กุข้ึนมา พวกเขาก็ไม่สามารถใช้การวิจารณญาณได้ถูกต้อง เนื่องจากข าด ข้อเท็จจริง และส่งผลต่อการตัดสินใจ ของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจระดับชาติ เช่น การเลือกตั้ง หรือ ระดบั สว่ นตัว เช่น การเลอื ก ใช้ยาสมุนไพรรกั ษามะเรง็ 2. ผลกระทบดา้ นการเงินและสุขภาพ ข่าวปลอม ที่ถูกสร้างข้ึนโดยมีรายไดเ้ ป็นแรงจูงใจจะ ชกั จูงให้ ผู้รับสารจ่ายเงนิ เพื่อสินค้าและบริการ และหาก สินค้าและบริการน้ันไม่ได้คณุ ภาพก็อาจส่งผลเสยี ต่อ รา่ งกายและสขุ ภาพของผู้หลงเชือ่ ดว้ ย เชน่ ข่าวปลอมที่ชกั ชวนให้คนอา่ นมาลงทนุ เพอ่ื จะได้ รับผลตอบแทนท่ี ฟังดูเกินจริง หรือโฆษณาผลิตภัณฑ์ ลดความอ้วนที่นำเสนอในรูปแบบของวิทยาศาสตร์ ลวงโลกให้คนคล้อย ตาม ก็อาจทำใหผ้ ูห้ ลงเชอ่ื ไมเ่ พียง เสยี เงินแต่ยงั สง่ ผลเสยี ต่อรา่ งกายอกี ดว้ ย 3. ผลกระทบด้านอารมณ์ความรู้สึก ข่าวคลิกเบท อาจสร้างความหงุดหงิดให้ผู้อ่าน เมื่อ พบวา่ เน้ือข่าว ไม่ได้มอี ะไรน่าสนใจอย่างท่ีรปู ภาพหรือพาดหัวดึงดูด ให้เข้ามาอ่าน ขา่ วปลอมท่ีสรา้ งข้ึนมาด้วย ความคึก คะนองก็อาจทำให้ผู้อ่านเกิดความกลัวและวิตก กังวล เช่น ข่าว พยากรณ์อากาศ ภัยพิบัติที่ไม่มีมูล ความจริง หรือข่าวแกล้งกนั เล่นว่ามฆี าตกรโรคจิต กำลังออกอาละวาดในละแวกบา้ น

33 4. ผลกระทบด้านทัศนคติ ข่าวปลอมที่เอนเอียง เลือกข้าง หรือข่าวชี้นำอาจสร้างอคติและ ทัศนคติ เชิงลบแก่บุคคลหรือกลุ่มคนท่ีถูกใส่ร้ายอย่างไม่เป็น ธรรม เช่น โฆษณาชวนเช่ือทางการเมือง ข่าว ต่อต้าน รัฐบาล หรือข่าวที่สร้างความเกลียดชังต่อคนท่ีมี อัตลักษณ์ทางสังคมที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ เช่น กล่มุ เกย์ ชาวมสุ ลิม หรือคนต่างดา้ ว 5. ผลกระทบด้านความรุนแรง ข่าวลือที่เร้า อารมณ์และโจมตีใส่ร้ายบุคคลอาจก่อให้เกิด ความรุนแรง ผู้ที่ถูกกล่าวหาอาจจะถูกกล่ันแกล้ง ทางออนไลน์เพราะความเข้าใจผิด หรอื อาจถูก ข่มขู่ คุกคาม และทำรา้ ยในชวี ิตจริงได้ เช่น ใน อินเดีย เมือ่ ปี 2018 มีรายงานผู้เสียชีวิต อยา่ งน้อย 29 คน จากการถูกฝูงชน รุมทำร้าย ผู้เสียชีวิต ส่วนใหญ่มักถูกลือว่าเป็นพวกลักพาตัวเด็ก โดย ผู้ทำร้ายได้รับข่าวปลอมที่ส่งต่อกันทาง อินเทอรเ์ น็ต และเขา้ ใจผิด 6. ผลกระทบต่อส่ือวิชาชีพ ข่าวปลอมสร้าง ความเสียหายต่อชื่อเสียงเว็บไซต์ท่ีถูกเลียนแบบ นับตั้งแต่ช่วงปี 2016 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ข่าวสด และมติชน ต่างเข้าแจ้งความกับเว็บไซต์เลียนแบบ เพ่ือ หลอกลวงผู้อ่าน โดยปัญหาหนึ่งในการรับมือ กับเว็บปลอมคือ องค์กรส่ือมักจะรู้ตัวก็ต่อเม่ือ เว็บปลอมเหล่านี้ ได้ถกู สง่ ต่อและสรา้ งความสบั สน กับผูอ้ า่ นเรยี บร้อยแล้ว 7. ผลกระทบด้านสังคม เมือ่ ข่าวปลอมที่เก่ยี วข้องกับประเด็น สำคัญในสงั คมแพรร่ ะบาด คน ในสังคมจะขาด “ข้อเท็จจริง” ท่ี ต้องใช้ในการวิเคราะห์ อภิปรายและตัดสินใจในเร่ืองนั้น ๆ ส่งผล ทำให้เกิด ความสับสน การแบ่งฝ่ายและสร้างความขัดแย้งในสังคม เพราะแต่ละฝ่ายรับรู้ชุดของข้อมูลท่ีต่างกัน ข่าว ปลอมยังส่งผล ต่อการตัดสินเลือกต้ังของผูม้ ีสิทธ์ิโหวต เมื่อข้อมูลผิด ๆ ได้ถกู เผยแพร่ ดังเช่นในสหรัฐอเมริกา ข่าวปลอมแพร่ออกมาว่า สันตะปาปาสนับสนุนผู้สมัครประธานาธิบดีคนหนึ่ง ข่าวปลอม อีกแหล่งก็เสนอว่าผู้ ทา้ ชิงอกี คนมีปัญหาดา้ นสุขภาพอย่างร้ายแรง ทำให้คนอเมริกันสับสนในข้อเท็จจริง ข่าวปลอมที่ปล่อยออกมา เช่นนี้อาจเปล่ียนใจผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในทิศทางต่าง ๆ ได้ ข่าวโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลเองก็มี ผลกระทบต่อความคิด ของสังคมเช่นกัน เช่น ข่าวช้ีนำชักชวนให้ลงประชามติรับร่าง รัฐธรรมนูญไปก่อนหาก ต้องการให้ประเทศมีการเลือกต้ังโดยเร็ว และทำให้ประชาชนลดความสนใจท่ีจะอ่านเนื้อหาของร่าง รฐั ธรรมนญู และสนใจการเลือกต้งั มากกว่า 7. การตรวจสอบกอ่ นการแชร์ 1 . ดคู วามน่าเช่ือถือของเน้ือหาและการอ้างอิง ควรอ้างอิงท่ีมา ข้อมูลที่กล่าวถึงอย่างชัดเจน เช่น สถานที่ เวลา บุคคลท่ีสามท่ีกล่าวถึง หากไม่ระบุข้อมูลใด ๆ อาจะเป็นไปได้ว่าต้ังใจเผยแพร่ข่าว ปลอม 2 . ตัง้ ขอ้ สังเกตเบ้อื งตน้ ว่ามเี วบ็ ไซตห์ รอื แหลง่ ข่าวอน่ื ทมี่ ขี ่าวในลกั ษณะเดยี วกนั หรอื ไม่ แหลง่ ข่าวไดม้ ีการตรวจสอบความถูกตอ้ งก่อนนำเสนอข่าวหรือไม่ 3.เช็กภาพจากข่าวเก่า ข่าวปลอมอาจใส่ภาพจากข่าวเก่าให้ดูน่าเชื่อถือ สามารถนำ \"ภาพ\" มาค้นหาข้อมูลจาก TinEye หรือ Google โหมดค้นรูป อย่างไรก็ตามอาจตรวจสอบได้ในบางกรณี เทา่ น้ัน

34 4.ตรวจสอบช่ือข่าวหรือเนื้อความในข่าวมาค้นหาใน Search Engine อาจพบเว็บไซต์แจ้ง เตือนว่า ข่าวดังกล่าวเป็นข่าวปลอม หรอื เม่ือพิจารณาดวู ันที่เผยแพร่ข่าว อาจพบว่าเป็นข่าว จรงิ แต่เผยแพร่แลว้ เมอ่ื อดีต 5. สอบถามหน่วยงานหรือสำนักข่าวที่น่าเชื่อถือ เช่น ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย หรอื ศูนย์ข่าวชัวร์กอ่ นแแชร์ สำนักขา่ วไทย ให้ชว่ ยตรวจสอบแหล่งทีม่ าเพอ่ื ความมั่นใจ

35 แบบทดสอบ ครง้ั ท่ี 2 รายวชิ า สค 0200036 รทู้ ันขา่ วและ Fake News เรอื่ ง ข่าวและ ข่าวปลอม (Fake News) คำชแ้ี จง แบบทดสอบแบบปรนยั มจี ำนวนทัง้ หมด 10 ข้อ คำสัง่ จงทำเคร่ืองหมายกากบาท (X) หนา้ ข้อท่ถี ูกต้องทสี่ ุด เพยี งข้อเดยี ว ขอ้ 1. ข้อใดคือความหมายของขา่ ว ก. เหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ข้ึนสดๆใหมๆ่ ข. เรอื่ งราวอะไรอยา่ งหน่ึงที่ประชาชนพูดถงึ ค. รายงานขอ้ เทจ็ จรงิ หรอื เหตุการณ์ต่างๆท่ีเกดิ ขึ้น ง. ถูกทุกข้อ ขอ้ 2. ขอ้ ใดไม่ใช่คุณลกั ษณะของขา่ ว (Qualification of News) ก. ความน่าสนใจ ข. ผูอ้ า่ นหรือผูร้ ับข่าวสาร ค. เร่อื งราวท่ีถูกสรา้ งขน้ึ ง. เหตุการณห์ รือข้อเทจ็ จรงิ ข้อ 3. ข้อใดหมายถงึ เหตกุ ารณ์ หรอื ข้อเท็จจริง ก. สถาณการณ์ทเ่ี กดิ ข้นึ จรงิ ข. เร่ืองราวทเ่ี ป็นมาหรือเป็นอยู่ตามความเป็นจริง ค. ขอ้ ความที่แสดงเรื่องราวเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ ข้อมูล และสงิ่ ต่าง ๆ ทเ่ี ปน็ จรงิ ตามธรรมชาติ ง. ถูกทุกข้อ ข้อ 4. ขอ้ ใดไมใ่ ช่องค์ประกอบของข่าว (Elements of News) ก. ความงมงาย ข. ความเปล่ียนแปลง ค. ความมเี งื่อนงำ ง. ความขัดแย้ง ขอ้ 5. ส่ิงท่ีเปน็ หวั ใจสำคัญของการนำเสนอขา่ วคือข้อใด ก. ความเด่น ข. ความสดตอ่ สมยั ค. ความประหลาดใจ ง. ความเปลี่ยนแปลง

36 ขอ้ 6. เหตุการณท์ ี่เกิดขึน้ จากการคน้ คว้าทดลองทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปน็ องค์ประกอบของขา่ ว ด้านใด ก. ความมีเงื่อนงำ (Suspense/Mystery) ข. ความเปลีย่ นแปลง (Change) ค. ความก้าวหนา้ (Progress) ง. ความสดต่อสมยั (Timeliness) ขอ้ 7. ข้อใดคือความหมายข่าวปลอม(Fake News) ก. เร่ืองราวอะไรอยา่ งหน่งึ ที่ประชาชนพดู ข. เหตกุ ารณ์ต่างๆท่ีเกดิ ขึ้นสดๆใหมๆ่ ค. ข่าวที่มีเนื้อหาอนั ไมเ่ ป็นขอ้ เท็จจรงิ ง. ถกู ทุกข้อ ขอ้ 8. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ลักษณะของขา่ วปลอม ก. ข่าวสดใหม่ ข. โฆษณาชวนเชอื่ ค. ขา่ วล้อเลียนและเสียดสี ง. ขา่ วหลอกลวง ข้อ 9. การไดร้ บั ข่าวปลอมทำให้เกิดผลกระทบด้านใด ก. ผลกระทบดา้ นการเงนิ และสขุ ภาพ ข. ผลกระทบด้านอารมณ์ความรู้สกึ ค. ผลกระทบดา้ นความรุนแรง ง. ทุกข้อท่ีกล่าวมา ข้อ 10. ข้อใดคอื ส่งิ แรกที่ควรคำนึงถึงในการแชรข์ ่าว ก. สอบถามหนว่ ยงานหรือสำนักขา่ วทีน่ า่ เช่ือถือ ข. ดคู วามนา่ เชอ่ื ถือของเน้ือหาและการอ้างอิง ค. ต้งั ข้อสังเกตเบื้องต้น ง. ตรวจสอบชอ่ื ข่าวหรือเนื้อความในข่าว เฉลย 1. ง. 2. ค. 3. ง. 4. ก. 5. ข. 6. ค. 7. ค. 8 ก. 9. ง. 10. ข.

37 บันทกึ ผลหลงั การจดั กระบวนการเรียนรู้ ครงั้ ที.่ ....... วันท.่ี ......เดอื น............................พ.ศ............... ผลการใช้แผนการจดั กระบวนการเรยี นรู้ 1. จำนวนเนอื้ หากบั จำนวนเวลา  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบเุ หตุผล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การเรยี งลำดับเนือ้ หากับความเข้าใจของผเู้ รียน  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบุเหตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การนำเข้าสูบ่ ทเรียนกบั เน้ือหาแตล่ ะหัวขอ้  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตุผล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. วธิ กี ารจดั กจิ กรรมการเรยี นรูก้ บั เน้ือหาในแต่ละข้อ  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบเุ หตุผล………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. การประเมนิ ผลกบั ตัวช้ีวัดในแตล่ ะเน้ือหา  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบเุ หตผุ ล………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

38 ผลการเรียนร้ขู องผเู้ รยี น ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการจัดกระบวนการเรยี นรู้ของครู ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ขอ้ เสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ................................................ ผู้บนั ทกึ () ครู กศน.ตำบล ความเห็นของผู้อำนวยการสถานศึกษา ............................................................................................................................................ .................................. ................................................................................................. ............................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงช่ือ .................................................. (นางมาลี เพง็ ด)ี ผอู้ ำนวยการ กศน.อำเภอหนองไผ่

39 แบบสังเกตพฤตกิ รรมการเรียนรขู้ องผู้เรยี น ชอื่ โครงการ/กิจกรรม........................................................................................................................ ช่อื โรงเรียน/สถานศึกษา …………………………………………………………………………………………………….. ชอ่ื หวั หนา้ โครงการ/กิจกรรม............................................................................................................. คำชี้แจง ให้ผู้ประเมินทำเครื่องหมายถูก () ลงในช่องระดับพฤติกรรมของผู้เรียน โดยมีเกณฑ์ระดับคุณภาพการ ประเมนิ ดังนี้ 5 มีพฤติกรรมการเรยี นรู้ มากที่สดุ 4 มพี ฤตกิ รรมการเรียนรู้ มาก 3 มพี ฤติกรรมการเรยี นรู้ ปานกลาง 2 มีพฤติกรรมการเรยี นรู้ น้อย 1 มพี ฤติกรรมการเรยี นรู้ นอ้ ยที่สุด เกณฑ์การพจิ ารณาระดับคณุ ภาพ คะแนนเฉลีย่ ร้อยละ 0 - 50 ระดับคณุ ภาพ ปรับปรงุ คะแนนเฉลย่ี รอ้ ยละ 50 - 69 ระดบั คุณภาพ พอใช้ คะแนนเฉล่ียร้อยละ 70 – 79 ระดับคณุ ภาพ ดี คะแนนเฉลีย่ ร้อยละ 80 – 89 ระดบั คณุ ภาพ ดมี าก คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 90 - 100 ระดบั คุณภาพ ดเี ยี่ยม พฤตกิ รรมการเรยี นรู้ ระดับพฤตกิ รรม 54321 1. ความตั้งใจในการทำงาน 2. ความรับผิดชอบ 3. ความกระตือรือร้น 4. การตรงต่อเวลา 5. ผลสำเรจ็ ของงาน 6. การทำงานรว่ มกบั ผู้อื่น 7. มคี วามคดิ ริเรม่ิ สร้างสรรค์ 8. มกี ารวางแผนในการทำงาน 9. การมีสว่ นร่วมในการแสดงความคดิ เห็นในกลุ่ม 10. การมสี ว่ นรว่ มในการแก้ไขปัญหาในกลุ่ม ลงชอ่ื ......................................................................ผูป้ ระเมนิ ............../.............................../.....................

40 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 3 เรอื่ ง การส่อื สารในยุคดจิ ทิ ลั เวลาเรียน 6 ชว่ั โมง แนวคิด การสื่อสารในยุคดิจิทลั หมายถึง กระบวนการทีใ่ ช้ทักษะในการวิเคราะหผ์ รู้ บั สารและสง่ สารใหม้ ี ความเหมาะสมกกบ ระดบั ของการส่ือสารของแต่ละบุคคล ผ่านช่องทางในการส่ือสารตา่ ง ๆ ในทน่ี ค้ี ือ สอื่ ดิจิทลั ทำให้เกดิ การแลกเปล่ยี นสาร เช่น ข้อความ ภาพ เสียง เปน็ ตน้ เพือ่ ใหผ้ ู้รับ สารเข้าใจสาร ทต่ี าม จุดประสงคข์ องผู้ส่งสารต้ังใจ บคุ คลมสี มรรถนะในการเข้าถงึ ค้นหาคัดกรอง วิเคราะห์ สังเคราะห์ จัดการ ประยุกต์ใช้ ส่ือสาร สรา้ ง แบ่งปัน และติดตามข้อมูล (Data) สารสนเทศ (Information) และสาร (Content Media) ได้อย่างเหมาะสม ไม่ละเมดิ สิทธิผ้อู นื่ มคี วามรบั ผดิ สอบ ปลอดภยั มมี ารยาท ไมล่ ะเมิดกฎหมาย ตวั ช้วี ดั 1.บอกความหมาย องคป์ ระกอบและวตั ถุประสงคข์ องการส่ือสารได้ 2.บอกความหมายและรปู แบบของการสอ่ื สารในยุคดิจิทัลได้ 3.บอกความหมายและความสำคัญของเครือข่ายตอ่ สงั คมออนไลนไ์ ด้ 4.ตระหนกั ถึงความสำคัญของเครอื ข่ายสังคมออนไลน์ 5.ระบปุ ระเภทของเครือข่ายสังคมออนไลนท์ น่ี ยิ มใช้ปัจจบุ ัน เช่น FACEBOOK INSTARGRAM TWITTER เป็นตน้ 6.บอกประโยชน์และข้อจำกัดของเครอื ข่ายสังคมออนไลน์ได้ 7.ตระหนักถึงประโยชนแ์ ละข้อจำกดั ของเครือข่ายสงั คมออนไลน์และสามารถปรับใชไ้ ด้อย่าง เหมาะสม 8.มีมารยาทและการส่ือสารในยคุ ดจิ ิทัลและประยุกตใ์ ช้ได้ 9.วิเคราะหแ์ ละอธิบายแนวโน้มสอ่ื ดิจทิ ัลในอนาคตได้ 10.วิเคราะห์กรณีศึกษา : การใชป้ ระโยชนก์ ารส่อื สารในยคุ ดจิ ทิ ัลได้ เนื้อหา 1.ความหมายองคป์ ระกอบและวตั ถปุ ระสงคข์ องการส่ือสาร

41 2.ความหมายและรูปแบบของการสือ่ สารในยุคดิจิทลั 3.เครือข่ายสังคมออนไลน์(Social Network) 3.1ความหมายและความสำคัญของเครอื ข่ายสังคมออนไลน์ 3.2ประเภทของเครอื ข่ายสังคมออนไลนท์ นี่ ยิ มใช้ในปจั จบุ ัน 3.3ประโยชน์และข้อจำกัดของเครอื ข่ายสังคมออนไลน์ 4.มารยาทการส่ือสารในยุคดิจทิ ลั 5.แนวโน้มส่ือดจิ ิทัลในอนาคต 6.กรณศี ึกษา : การใชป้ ระโยชนก์ ารสอ่ื ในยุคดจิ ทิ ลั ขน้ั ตอนการจดั กระบวนการเรยี นรู้ ข้ันตอนที่ 1 การสร้างแรงบันดาลใจ ( Passion : P ) 1. ครูทักทายผู้เรียน พร้อมทั้งแนะนำตนเองและแผนการจัดการเรียนรู้ซ่ึงการจัดการเรียนรู้ที่ ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้ร่วมกันในครั้งนี้ คือ เรื่อง “การส่ือสารในยุคดิจิทัล ” และชวนคิดชวนคุยเกี่ยวกับเรื่องท่ีจะ เรียนรู้เพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและมีความกระตือรือร้นในการเชื่อมโยง และสร้างความพร้อมท่ีจะ เรยี นรหู้ รือทำกจิ กรรมการเรยี นรูต้ ามแผนการจัดการเรียนรคู้ ร้งั น้ี 2. ใหผ้ ูเ้ รยี นทำแบบทดสอบก่อนเรยี นเร่ือง “การสื่อสารในยคุ ดจิ ทิ ลั ” โดยใชเ้ วลา 10 นาที 3. ครชู ีแ้ จงวัตถุประสงค์ เน้ือหา กิจกรรม การวดั และประเมนิ ผลของการเรียนรู้ในครง้ั น้ี ทสี่ อดคลอ้ งกับ ตัวช้ีวัดตามแผนการจัดการเรียนรู้คร้ังนี้ เพ่ือให้ผู้เรยี นเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ผู้เรียนจะต้องเรียนรูใ้ ห้บรรลุตัวช้ีวัด ทก่ี ำหนดตามแผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 1 เร่ือง “การส่ือสารในยุคดิจิทัล ”ในครง้ั น้ี โดยให้นักศึกษาทำใบงานที่ 1 จำนวน 2 ขอ้ อธิบายความสำคญั ความหมายและประเภท ของการสือ่ สารในยคุ ดิจทิ ลั 4. ครูให้ผู้เรียนศึกษา เรื่อง “การส่ือสารในยุคดิจิทัล” พร้อมท้ังแนะนำแหล่งศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจาก อินเทอร์เน็ต ซ่ึงผู้เรียนสามารถไปเรียนรู้ได้ด้วยตนเองและทำกิจกรรมตามที่ได้รับมอบหมายด้วย ท้ังน้ีครูควรจะ ช้ีแจงให้ผู้เรียนทราบว่าในการพบกลุ่มตามแผนการจัดการเรียนรู้ครั้งนี้ ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้และทำกิจกรรมท่ี สอดคล้องกับเนื้อหาทีเ่ รยี น โดยปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การศึกษาคลปิ วิดีโอใน Youtube หรือ ส่ือออนไลน์ อน่ื ๆ ขน้ั ตอนท่ี 2 การนำไปใชป้ ระโยชน์ (Utilization : U) 1. ครูให้ผู้เรยี นแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ โดยแบ่งผูเ้ รียนออกเปน็ กลมุ่ ๆ กล่มุ ละ 4 – 5 คน ดำเนนิ กิจกรรมเป็น รายกลมุ่ ศกึ ษาเนือ้ หา เร่ือง “การสือ่ สารในยุคดจิ ิทลั ” โดยค้นหาจากส่อื ออนไลนต์ ่าง ๆ 1) เรือ่ งความหมายประเภทและการสอ่ื สารในยุคดจิ ทิ ลั 2) เรื่องพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560

42 3) เรอ่ื งการละเมดิ ทรพั ย์สนิ ทางปญั ญา ให้แต่ละกลุ่มแลกเปล่ียนเรียนรู้ และส่งผู้แทนนำเสนอต่อกลุ่มใหญ่ครูและผู้เรียนสรุปผลการเรียนรู้ รว่ มกัน และให้ผเู้ รยี นสรุปสิ่งทีไ่ ด้เรียนรลู้ งในสมุดบนั ทกึ ผลการเรยี นรูข้ องตน 2. ครูแนะนำแหล่งเรียนรู้ให้กับผู้เรียนเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง อาทิ ห้องสมุด แหล่งเรียนรู้ในชุมชน หน่วยงาน สถานศึกษาต่าง ๆ รวมท้ังการใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อการเรียนรู้ด้วย ตนเอง เป็นต้น 3. ครูดำเนินการทำหน้าที่นำการอภิปราย โดยให้ผู้เรียนกลุ่มใหญ่ร่วมกันแสดงความคิดเห็น คิดวิเคราะห์ อภิปราย และวิเคราะห์ให้ข้อมูลเพ่ิมเติมในเน้ือหาหรือประเด็นท่ียังไม่ชัดเจน ตาม รายละเอียดท่ีผู้เรียนได้แลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน หากผู้เรียนกลุ่มใหญ่หรือครูเห็นว่ายังไม่สมบูรณ์ มีความ ต้องการในการเรียนรู้เพิ่มเติม ครูจะช่วยเติมเต็มความรู้ให้กับผู้เรียน หลังจากนั้นครูและผู้เรียนสรุปสิ่งที่ได้ เรียนร้ใู นภาพรวมทัง้ หมดแล้วใหผ้ เู้ รยี นสรุปส่ิงที่ไดเ้ รยี นรู้ลงในสมดุ บันทึกการเรยี นรู้ของตน หมายเหตุ : ในการดำเนินกิจกรรมกลุ่ม ครชู ี้แจงบทบาทหน้าท่ีในการทำงานให้ผู้เรียนได้มีความรับผิดชอบรว่ มกัน ในการทำงาน ซ่ึงมอบหมายให้ผู้เรียนดำเนินการแต่งต้ังประธานหรือผู้นำในการอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบในภารกิจต่างๆ รวมถึงการแต่งตั้งเลขานุการของกลุ่มเป็นผู้จดบันทึกและ ผู้รักษาเวลา เพื่อปฏิบัติงานของกลุ่มใหญ่ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และพิจารณาว่าสมาชิกลุ่มทุกคน ควรมีความเข้าใจตรงกันว่า ตนมีบทบาทหน้าที่ที่จะต้องช่วยให้กลุ่มทำงานได้สำเร็จ ครูควรให้คำแนะนำถึง ความสำคัญของการให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่วมในการอภิปรายอย่างท่ัวถึง ไม่ให้มีการผูกขาดการ อภิปรายโดยผใู้ ดผูห้ นึง่ และควรมกี ารจำกดั เวลาของการอภิปรายแตล่ ะประเด็น ในระหว่างการทำกิจกรรมของผู้เรียน ครูมีบทบาทในการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน คอย กระตุ้นผู้เรียนให้เกิดความกระตือรือร้นในการเรียนรู้โดยบันทึกลงในแบบบันทึกพฤติกรรมการเรียนรู้ของ ผเู้ รยี น และเคร่อื งมือประเมินการสงั เกตแบบประมาณค่า ขัน้ ตอนท่ี 3 การสะท้อนความคิดจากการเรียนรู้ ( Reflection : R ) 1. ใหผ้ เู้ รยี นแตล่ ะกล่มุ นำเสนอ 1) เรือ่ งความหมายประเภทและการสอื่ สารในยุคดิจิทัล 2) เรือ่ งพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 3) เร่ืองการละเมิดทรพั ย์สนิ ทางปัญญา 2. ครูเปิดโอกาสให้ผู้เรียนท้ังกลุ่มร่วมกันสนทนา เพ่ือให้ผู้เรียนมีทักษะในการฟัง พูด คิดวิเคราะห์ การ ทำงานร่วมกับผู้อ่ืน การคิดสร้างสรรค์ ความรับผิดชอบ และการนำความรู้ในเน้ือหามาใช้ โดยครูบูรณาการ เนื้อหาการเรยี นรู้ มกี ารใชส้ ่ือเทคโนโลยีที่เป็นคลิปวิดโี อจาก youtube และ TikTok ท่ีสัมพนั ธ์กับเน้ือหา ท้ังน้ีครู เชอื่ มโยงสง่ิ ที่ได้เรียนรตู้ ามขนั้ ตอนที่ 1 ในการนำความรู้ไปส่กู ารปฏิบัติและประยกุ ตใ์ ชผ้ ่านคลิปวิดโี อ โดยครูเปิด คลปิ วิดีโอ “เร่ืองความหมายประเภทของสื่อสารในยุคดิจิทัล ” จาก https://youtu.be/Dat-vSofNVQ เวลา 1

43 นาที “เรื่องพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560” https://www.youtube.com/watch?v=-E8dPqCKa94 เวลา 4.34 นาที และ “เรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา” https://www.youtube.com/watch?v=fXtkCDe1ui เวลา 4.34 นาที หลังจากนน้ั ครู ดำเนินการ ดงั น้ี (1) ครูบรรยายเนื้อหาตามใบความรู้สำหรับครู “เรื่องความหมายประเภทของส่ือสารในยุค ดิจิทัล” เพ่ือใช้สำหรับประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ “เร่ืองความหมายประเภทความหมายประเภทของสื่อสาร ในยุคดิจิทัล” ในส่วนของผู้เรียนให้ศึกษาใบความรู้สำหรับผู้เรียน ประกอบการบรรยายของครูตามใบความรู้ สำหรบั ผเู้ รียน “เรอ่ื งความหมายประเภทความหมายประเภทของสอ่ื สารในยุคดิจิทลั ” (2) ครูอธิบาย “เร่อื งพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560” พร้อมท้งั ให้ผู้เรียนไดแ้ ลกเปล่ยี นเรียนรู้ โดยให้ผู้เรียนต้ังประเด็นข้อสงสัย หรือสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ และเชื่อมโยงสู่การนำไปใช้ในชีวิตจริงของผู้เรียน ต่อไป (3) ครูอธิบาย “เรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา” พร้อมทั้งให้ผู้เรียนได้แลกเปล่ียนเรียนรู้ โดยให้ผู้เรียนตั้งประเด็นข้อสงสัย หรือส่ิงท่ีต้องการเรียนรู้ และเช่ือมโยงสู่การนำไปใช้ในชีวิตจริงของผู้เรียน ตอ่ ไป 3.ครูใหผ้ ูเ้ รียนสะทอ้ นความคดิ ในการเรยี นรูท้ ่ีไดจ้ ากการเรยี นรู้ จากขั้นตอนที่ 1 ถึงข้นั ตอนที่ 3 นี้ ขัน้ ตอนท่ี 4 การตดิ ตามประเมนิ และแกไ้ ข (Action : A) 1. ให้ผู้เรยี นทำแบบทดสอบหลงั เรยี น จำนวน 10 ข้อ โดยใชเ้ วลา 15 นาที 1) เรือ่ งความหมายประเภทของสื่อสารในยุคดจิ ทิ ัล 2) เรื่องพ.ร.บ.คอมพวิ เตอร์ พ.ศ.2560 3) เร่ืองการละเมดิ ทรัพยส์ นิ ทางปัญญา 2. ครแู ละผู้เรียนสรุปภาพรวมสง่ิ ที่ได้เรยี นรู้รว่ มกนั นอกจากนี้ ในตอนท้ายของการพบกลุ่ม หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนท่ี 3 ครูการมอบหมายงานให้ เรียนรู้ด้วยตนเอง รายละเอียดดังน้ี การมอบหมายงานใหเ้ รยี นรู้ด้วยตนเอง 1. ครูช้ีแจงให้ผู้เรียนทราบว่า ในการพบกลุ่มแต่ละครั้งผู้เรียนจะได้รับมอบหมายงานให้ไปเรียนรูด้ ้วยวธิ ีเรียนรู้ ด้วยตนเองในลักษณะทีค่ รูจะมอบหมายงานให้ผู้เรียนไปศึกษาจากสื่อต่าง ๆ “เร่ืองประโยชน์และข้อจำกัดของ เครือข่ายสงั คมออนไลน์ ” “เรือ่ งมารยาทการส่อื สารในยคุ ดจิ ิทลั ” “เรอ่ื งแนวโน้มสอื่ ดิจิทัลในอนาคต” หมายเหตุ : ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง ซึ่งการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วย ตนเองน้ันอาจมีความแตกต่างกันบ้างในข้ันตอน โดยพิจารณาจากพ้ืนฐานของผู้เรียน ในกรณีที่ผเู้ รียนมีพื้นฐาน นอ้ ยหรือไม่มพี ื้นฐานมาก่อนก็ควรจัดการเรยี นรู้พืน้ ฐานทจ่ี ำเป็นและพอเพียงกับผู้เรยี น หลังจากนนั้ ให้ผเู้ รยี นได้ ปฏิบัติด้วยตนเองในช่วงระยะหนึ่งแล้วจึงค่อยให้ผู้เรียนคิดหัวข้อท่ีอยากจะทำ หรือถ้าผู้เรียนมีพ้ืนความรู้มา กอ่ นแลว้ ใหค้ ิดหัวข้อที่สนใจจะทำและใหล้ งมอื ปฏิบัตไิ ด้

44 สือ่ วสั ดอุ ปุ กรณ์ และแหลง่ การเรยี นรู้ 1. แบบทดสอบกอ่ นเรียน 1) เรอ่ื งความหมายประเภทของส่ือสารในยุคดิจทิ ลั 2) เรื่องพ.ร.บ.คอมพวิ เตอร์ พ.ศ.2560 3) เร่ืองการละเมดิ ทรัพย์สินทางปัญญา 2. คลิปวดิ โี อ “เรือ่ งความหมายประเภทของสอื่ สารในยุคดจิ ิทลั ” จาก https://youtu.be/Dat-vSofNVQ เวลา 1 นาที “เร่อื งพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560” https://www.youtube.com/watch?v=-E8dPqCKa94 เวลา 4.34 นาที “เรอื่ งการละเมิดทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา” https://www.youtube.com/watch?v=fXtkCDe1ui เวลา 4.05 นาที 3. ใบความรู้สำหรับผเู้ รียน 1) เร่ืองความหมายประเภทของสอ่ื สารในยคุ ดจิ ทิ ลั 2) เรือ่ งพ.ร.บ.คอมพวิ เตอร์ พ.ศ.2560 3) เร่ืองการละเมดิ ทรัพย์สนิ ทางปัญญา 4. PowerPoint สำหรบั ครู 1) เรอ่ื งความหมายประเภทของส่อื สารในยุคดจิ ิทลั 2) เรื่องพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 3) เร่ืองการละเมดิ ทรัพยส์ นิ ทางปัญญา 5. แบบทดสอบหลงั เรียน 1) เรอ่ื งความหมายประเภทของสื่อสารในยุคดิจิทัล 2) เรอื่ งพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 3) เรื่องการละเมดิ ทรัพยส์ นิ ทางปัญญา 6. แบบประเมินความพงึ พอใจของนักเรยี นต่อการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน การวัดและประเมินผล 1. สงั เกตพฤตกิ รรมการมสี ว่ นรว่ ม ความตั้งใจ และความสนใจของผู้เรียน 2. ผลการทดสอบก่อนและหลังเรยี น 3. ผลการประเมนิ ความพงึ พอใจของผูเ้ รยี น

45 ใบความรู้ คร้งั ที่ 3 รายวชิ า สค 0200035 คณุ ธรรมในการใช้สือ่ สังคมออนไลน์ เร่อื ง การส่ือสารในยุคดจิ ิทัล การสอื่ สารในยุคดจิ ทิ ลั หมายถึง กระบวนการทใ่ี ชท้ กั ษะในการวเิ คราะห์ผรู้ บั สารและส่งสารให้มี ความเหมาะสมกกบ ระดบั ของการส่ือสารของแต่ละบุคคล ผา่ นช่องทางในการส่ือสารต่าง ๆ ในทนี่ ค้ี ือ สือ่ ดิจทิ ัล ทำใหเ้ กิดการแลกเปลี่ยนสาร เชน่ ขอ้ ความ ภาพ เสียง เป็นตน้ เพ่ือใหผ้ รู้ ับ สารเข้าใจสาร ทต่ี าม จดุ ประสงคข์ องผสู้ ่งสารตง้ั ใจ บุคคลมสี มรรถนะในการเข้าถึง คน้ หาคดั กรอง วเิ คราะห์ สังเคราะห์ จัดการ ประยกุ ตใ์ ช้ สือ่ สาร สรา้ ง แบ่งปัน และตดิ ตามขอ้ มูล (Data) สารสนเทศ (Information) และสาร (Content Media) ไดอ้ ย่างเหมาะสม ไม่ละเมิดสทิ ธผิ อู้ นื่ มคี วามรบั ผดิ สอบ ปลอดภัย มีมารยาท ไม่ละเมิดกฎหมาย ด้วย เครื่องมือและเทคโนโลยีที่เหมาะสมและหลากหลายประกอบดว้ ย9หนว่ ยสมรรถนะ 1.สทิ ธิความรบั ผิดชอบยุคดจิ ิทัล(DigitalRight) 2. ความปลอดภยั ยุคดจิ ิทัล (Digital Safety) 3. สขุ ภาพดียุคดจิ ิทลั (Digital Health) 4. การเข้าถึงดจิ ิทลั (Digital Access) 5.การรเู้ ท่าทันสื่อและ สารสนเทศ (Media and Information Literacy) 6. ดิจทิ ัลคอมเมริ ซ์ (Digital Commerce) 7.การส่ือสารยุคดจิ ทิ ัล (Digital Communication ) 8.มารยาทในสงั คมดิจิทัล (Digital Etiquette) 9. กฎหมายดิจทิ ลั (Digital Law) องค์ประกอบหลกั ของกระบวนการส่ือสาร ประกอบดว้ ย 5 สว่ น 1. ผู้ส่งสาร ผเู้ ป็นเจา้ ของสาร สารสนเทศ หรอื ข้อความ ทจี่ ะตอ้ งการสง่ สาร ของ ตัวเองไปยงั ผรู้ ับสาร 2.สาร ผู้เป็นเจา้ ของสาร สารสนเทศ หรือข้อความ ทจ่ี ะต้องการสง่ สาร ของ ตัวเองไปยังผู้รับสาร 3.ช่องทางการส่ือสาร ช่องทางที่นำสารไปยังผู้รับ สาร ช่องทางสื่อสารดั้งเดิม เช่น สื่อบุคคล สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโทรศัพท์สื่อวิทยุเป็นต้น ช่องทางสื่อดิจิทัล เช่น ส่ืออินเทอร์เนต สื่อ สังคมออนไลน์สื่อชุมชน ออนไลน์เป็น ต้น 4. ผรู้ ับสาร เปา้ หมายท่ผี ูส้ ง่ สารตอ้ ง ส่อื สารความหมายให้ไปถงึ ซ่ึงเปน็ บคุ คลหรือกล่มุ คน 5. ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ ปฏิกิริยาต่อสารที่ผู้ส่งสาร ส่งมา โดยผู้รับสารสามารถ มีปฏิกิริยาทางบวก หรือทาง ลบ ได้หลงั จากได้รบั สารไป แลว้

46 เร่ือง พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 สรุป 13 ขอ้ สาระสำคญั จำง่ายๆ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2560 ถ้ายังจำกันได้ถึงการผลักด้น พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 ท่ีสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบเมื่อเดือนธันวาคม เมื่อปี 2559 และได้ ประกาศลงราชกจิ จานุเบกษาเม่อื วนั ที่ 24 มกราคม 2560 มผี ลบังคับใช้แลว้ ในวนั ท่ี 24 พ.ค.2560 เพ่ือการใช้ออนไลน์อย่างถูกกฎหมาย สำหรับสาระสำคัญท่ีหลายคนควรพึงระวังใน พ.ร.บ. ว่าด้วย กระทำความผิดเกี่ยวกบั คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 หรอื พ.ร.บ.คอมพวิ เตอร์ ฉบบั 2 มสี าระสำคญั จำง่ายๆ ดงั นี้ 1. การฝากร้านใน Facebook, IG ถอื เป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท 2. ส่ง SMS โฆษณา โดยไม่รับความยินยอม ให้ผู้รับสามารถปฏิเสธข้อมูลนั้นได้ ไม่เช่นน้ันถือเป็นส แปม ปรับ 200,000 บาท 3. ส่ง Email ขายของ ถือเป็นสแปม ปรบั 200,000 บาท 4. กด Like ได้ไม่ผิด พ.ร.บ.คอมพ์ฯ ยกเว้นการกดไลค์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสถาบัน เส่ียงเข้าข่าย ความผดิ มาตรา 112 หรือมคี วามผดิ ร่วม 5. กด Share ถือเป็นการเผยแพร่ หากข้อมูลท่ีแชร์มีผลกระทบต่อผู้อื่น อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพฯ์ โดยเฉพาะท่กี ระทบตอ่ บุคคลที่ 3 6. พบข้อมูลผิดกฎหมายอยู่ในระบบคอมพิวเตอรข์ องเรา แต่ไมใ่ ช่ส่ิงที่เจ้าของคอมพิวเตอร์กระทำเอง สามารถแจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ หากแจ้งแล้วลบข้อมูลออกเจ้าของก็จะไม่มีความผิดตามกฎหมาย เช่น ความเห็นในเว็บไซต์ต่าง ๆ รวมไปถึงเฟซบุ๊ก ที่ให้แสดงความคิดเห็น หากพบว่าการแสดงความเห็นผิด กฎหมาย เมอ่ื แจง้ ไปท่หี นว่ ยงานทีร่ ับผดิ ชอบเพ่อื ลบไดท้ ันที เจ้าของระบบเวบ็ ไซต์จะไม่มคี วามผิด 7.สำหรับ แอดมนิ เพจ ทเ่ี ปิดใหม้ ีการแสดงความเห็น เมอื่ พบข้อความท่ีผิด พ.ร.บ.คอมพ์ฯ เมื่อลบออก จากพนื้ ทีท่ ต่ี นดแู ลแล้ว จะถอื เป็นผ้พู น้ ผิด 8. ไม่โพสต์สิ่งลามกอนาจาร ทท่ี ำให้เกดิ การเผยแพร่สู่ประชาชนได้ 9. การโพสเกย่ี วกบั เดก็ เยาวชน ตอ้ งปิดบงั ใบหนา้ ยกเวน้ เมือ่ เป็นการเชดิ ชู ช่ืนชม อย่างให้เกยี รติ 10. การให้ข้อมลู เกี่ยวกับผู้เสียชีวิต ต้องไม่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียเช่ือเสียง หรือถูกดหู ม่ิน เกลียดชัง ญาติสามารถฟอ้ งรอ้ งได้ตามกฎหมาย 11. การโพสต์ดา่ ว่าผอู้ ื่น มีกฏหมายอาญาอยู่แลว้ ไม่มีข้อมลู จริง หรือถกู ตัดต่อ ผูถ้ ูกกล่าวหา เอาผดิ ผู้ โพสตไ์ ด้ และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไมเ่ กิน 200,000 บาท 12. ไมท่ ำการละเมิดลิขสิทธผ์ิ ูใ้ ด ไมว่ า่ ขอ้ ความ เพลง รูปภาพ หรอื วดิ โี อ 13. ส่งรปู ภาพแชร์ของผ้อู นื่ เชน่ สวสั ดี อวยพร ไมผ่ ดิ ถา้ ไมเ่ อาภาพไปใชใ้ นเชงิ พาณชิ ย์ หารายได้ นี่เป็นเพียงส่วนหน่ึงของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ท่ีมีผลบังคับใช้แล้ว ซ่ึงยังมีอีกหลายประเด็นที่ส่งผล กระทบต่อการใช้งานสอ่ื สังคมออนไลน์ ดงั นน้ั จึงควรรกู้ ฎกติกาการใชง้ านไวก้ ่อน กจ็ ะช่วยปอ้ งกันไม่ให้เราเสยี่ ง ตอ่ การทำผิดกฎหมายได้

47 เร่ือง การละเมิดทรัพย์สินทางปญั ญา การละเมิดลิขสิทธ์ิ หมายถึงการนําผลงานของผู้อื่นมาใช้ เผยแพร่ ดัดแปลง ทําซ้ำ โดยผู้เป็นเจ้าของ ผลงานไม่อนุญาตหรือไมไ่ ดร้ ับทราบ ปกติแล้วกรรมสทิ ธ์ิ และลขิ สิทธขิ์ องผ้สู รา้ งสรรคโ์ ดยปรยิ าย โดยหลัก ๆ ทรัพย์สินทางปัญญาจะเกี่ยวข้องเพียง 3 เร่ือง เท่าน้ัน ได้แก่ ลิขสิทธ์ิสิทธิบัตร เคร่ืองหมายการค้า ส่วนพระราชบัญญัติต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งกับแผนผังภมู ิวงจรรวม ความลบั ทางการค้า สงิ่ บง่ ชี้ ภูมิศาสตร์ การคุ้มครองพันธุ์พืช จะไม่ได้สอนในวิชากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา แต่มีพระราชบัญญัติการ คมุ้ ครองกฎหมายทรพั ยส์ นิ ทางปัญญาจะเกีย่ วข้องกบั กฎหมายทรัพย์สนิ ทางปญั ญาคอื 1. พระราชบัญญตั เิ ครือ่ งหมายการค้า (Trade Marks) เปน็ เรื่องเกีย่ วกับเคร่ืองหมายการค้า 2. พระราชบัญญัตสิ ิทธบิ ตั ร (Patent) พระราชบัญญัติสทิ ธบิ ตั รของไทยจะครอบคลุมถึงสทิ ธิบตั รและ การออกแบบผลติ ภณั ฑ์ Design) ทาง WIPO ได้แยก Design ออกต่างหากและมบี างประเทศทแ่ี ยกกฎหมาย Design ออกตา่ งหากจากสทิ ธบิ ตั ร แนวคิดการใหค้ วามคุม้ ครองทรัพย์สนิ ทางปัญญา 1. เพอ่ื ตอบแทนความคิดสรา้ งสรรค์ของบคุ คล 2. เพื่อสง่ เสริมและจงู ใจใหส้ รา้ งสรรคผ์ ลงาน 3. เพื่อสง่ เสรมิ ใหส้ ง่ เสรมิ ให้มกี ารเปิดเผยความรู้สู่สงั คม 4. เพื่อป้องกนั การแข่งขนั ไม่เป็นธรรม 5. กระตุ้นการแข่งขนั โดยเสรี 6. เพอ่ื คมุ้ ครองผบู้ ริโภค 7. เพือ่ รกั ษาผลประโยชนท์ างการคา้ ระหวา่ งประเทศ สทิ ธิของเจ้าของทรัพยส์ นิ ทางปญั ญา ผู้ทรงสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญามีสิทธิท่ีจะหวงกันไม่ให้ผู้อ่ืนมาใช้ผลงานทางปัญญาที่ตนได้ สร้างสรรคห์ รือพฒั นาขนึ้ เรียกวา่ สิทธเิ ดด็ ขาด หรือ สทิ ธิแตเ่ พียงผู้เดียว (Exclusive rights) มีสิทธจิ าํ หน่ายจ่ายโอนหรอื ทําให้เกดิ ภาระติดพันใด ๆ แก่ทรพั ย์สนิ ทางปัญญาของตน มีสิทธิทีจ่ ะฟ้องคดีแพ่งหรอื ระงับการละเมิดและเรียกคา่ สินไหมทดแทน มีสิทธใิ นการดาํ เนนิ คดอี าญาตามพระราชบญั ญตั แิ ละประมวลกฎหมายอาญา 1. การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปน้ี 1.1 ทําซาํ้ หรอื ดัดแปลง ซึง่ งานอันมลี ขิ สิทธ์ิ 1.2 เผยแพร่ต่อสาธารณชน ซงึ่ งานอันมลี ขิ สิทธ์ิ 2. แก่งานอนั มลี ขิ สทิ ธิ์ 3. โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธ์ิตามมาตรา 15 (5) ต้องระวางโทษปรับต้ังแต่20,000 ถึง 200,000 บาท (มาตรา 69)

48 บทลงโทษ มคี วามผิดทงั้ ทางแพง่ และทางอาญา ผลกระทบของการละเมดิ ทรัพย์สนิ ทางปัญญา - ทาํ ให้เกิดการฟ้องรอ้ งดําเนนิ คดเี พ่ือโตแ้ ยง้ สทิ ธ์ิในความเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาระหวา่ งกนั ขึ้น - ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจการส่งออกไทย ก่อให้เกิดความไม่น่าเช่ือถือแก่นานาชาติ เป็นเหตุให้ผู้ ส่งออกชาวไทยไม่สามารถส่งสินค้าไปจําหน่ายที่ต่างประเทศได้ ทําให้สูญเสียรายได้และลดการขยายตัวของ ตลาดสง่ ออก - ถูกกดดันจากต่างประเทศท่ีเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา ก่อให้เกิดความไม่ม่ันใจแก่นักลงทุนในการ ลงทนุ ภายในประเทศ - ผู้สร้างสรรค์ขาดแรงจูงใจในการสร้างสรรค์งานใหม่เน่ืองจากการถูกลอกเลียนแบบ ส่งผลให้ขาดการ พัฒนานวัตกรรม ต้องนําเข้าความรู้และเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ทําให้การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นไปอย่าง ลา่ ชา้ วิธกี ารป้องกนั สิทธใิ นทรพั ย์สนิ ทางปญั ญา - หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องหมั่นลงสํารวจพื้นท่ีเข้าข่ายที่จะมีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และ ดําเนินการปราบปรามการละเมิดหรือการกระทําท่ีผิดกฎหมายเก่ียวกับทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจัง- จัด มาตรการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ณ จุดนําเข้า – ส่งออก ตัวอย่างเช่น สินค้าปลอมหรือเลียน เครอื่ งหมายการค้า หรือ สนิ ค้าทีท่ ําซ้ําหรือดัดแปลงงานอนั มีลิขสทิ ธิ์ เปน็ ต้น - จัดอบรมให้ความรู้แก่เจ้าพนักงานตํารวจและเจ้าหน้าที่ กรมศุลกากรให้เข้าใจถึงสิทธิในทรัพย์สิน ทางปญั ญา - ประชาสัมพันธ์ให้สาธารณชนทราบถึงการกระทําที่ถือเป็นการละเมิดซึ่งสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา และโทษท่ีได้รับ เช่น จัดพิธีทําลายของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพ่ือมิให้เกิดการกระทําอันเป็น เย่ยี งอย่าง เป็นตน้ - รณรงคใ์ ห้ประชาชนไม่สนับสนุนสินค้าหรอื ผลติ ภัณฑท์ เี่ กดิ จากการละเมิดทรพั ย์สนิ ทางปญั ญา

49 แบบทดสอบ คร้งั ท่ี 3 รายวิชา สค 0200035 คณุ ธรรมในการใช้สือ่ สงั คมออนไลน์ 1.ขอ้ ใดคือคำทป่ี ระกอบกันแลว้ มคี วามหมายเหมือนคำว่า “ไอที” ก.ขอ้ มูล สารสนเทศ ข. เทคโนโลยี สารสนเทศ ค. การประมวลผล เทคโนโลยี ง. ขอ้ มลู การประมวลผล สารสนเทศ 2. ขอ้ ใดคือ เทคโนโลยีสารสนเทศ ข. System technology ก. Technology System ง. Technology information ค. Information technology 3. พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกบั คอมพวิ เตอร์ ฉบับท่ี 2 พ.ศ.2560 ใหไ้ ว้ ณ วันที่เทา่ ไร่ ก. วันที่ 24 มกราคม 2560 ข. วันท่ี 24 มกราคม 2560 ค. วันที่ 25 มกราคม 2560 ง. วันท่ี 26 มกราคม 2560 4.พรบ.วา่ ดว้ ยการกระทำความผดิ เก่ียวกบั คอมพวิ เตอร์ ฉบับท่ี 2 พ.ศ.2560 บังคับใช้เมื่อพ้นกำหนดกว่ี นั ก. 60 วนั ข. 120 วัน ค. 180 วัน ง. 200วัน 5. ผู้ทกี่ ระทำผดิ กฎหมายโดยใชเ้ ทคโนโลยีคอมพิวเตอร์พวกใด คอื ผทู้ ี่มีความรู้และทักษะทางคอมพวิ เตอรเ์ ปน็ อยา่ งดี ก. Darnged Person ข. Com Artist ค. Cracker ง. Dreamer 6. ขอ้ ใดจดั เป็น การละเมิดทรัพย์สนิ ทางปัญญา ก. แตงกวาฟังเพลงจากคล่นื FM 95 ข. ใบเตย ชมภาพยนตร์เรอ่ื ง เฮนรี่ พอร์ตเตอร์ ในโรงภาพยนตร์ ค. แสนดี ซื้อหนงั สอื ค่มู ือเตรียมสอบจากร้านดวงกมล ง. ขา้ วฟ่าง ดาวนโ์ หลดภาพยนตรจ์ ากอินเตอร์เนต็ 7.ข้อใดไม่ถือเปน็ การละเมิดจรรยาบรรณในการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ ก.ทำสำเนาซอฟต์แวรเ์ พื่อจำหนา่ ย

50 ข.แอบเข้าไปอา่ นอเี มลผ์ ูอ้ น่ื ค.ตดิ ตัง้ โปรแกรมไวรัสใหก้ ับเคร่อื งผู้อืน่ ง.สนทนาออนไลนกบั ชาวต่างชาติเป็นเวลานาน 8.การยืน่ จดลิขสทิ ธอ์ิ อนไลนส์ ามารถดำเนนิ การไดท้ ี่เว็บไซต์ใด ก.https://www.ipthailand.go.th ข.https://www.treasury.go.th ค.http://www.cgd.go.th ง.https://www.dopa.go.th 9.โพสตข์ อ้ ความวา่ ร้ายเปดิ เผยความลบั ของผู้อน่ื ลงใน Facebook ถือวา่ ผดิ มารยาทในการใช้อนิ เทอรเ์ นต็ หรือไม่ เพราะเหตใุ ด ก.ผิด เพราะเป็นการใช้คอมพิวเตอรท์ ำร้าย หรอื ละเมดิ สิทธิผ้อู ื่น ข.ผดิ เพราะเปน็ การสรา้ งหลักฐานทีเ่ ป็นเท็จ ค.ไม่ผดิ เพราะไม่ได้เป็นการทำร้ายใคร ง.ไม่ผดิ เพราะถือเป็นสทิ ธิสว่ นบคุ คล 10. ผทู้ ีก่ ระทำความผดิ คุกคามทางเพศออนไลนจ์ ะได้รบั โทษตามข้อใด(Cyber Sexual Harassment ) ก. ต้องรับโทษจำคกุ ไมเ่ กิน 1 ปี ปรบั ไมเ่ กนิ 10,000 บาท หรอื ทัง้ จำท้ังปรบั ข. ต้องรบั โทษจำคกุ ไมเ่ กนิ 2 ปี ปรับไมเ่ กนิ 20,000 บาท หรอื ทัง้ จำทั้งปรับ ค. ตอ้ งรบั โทษจำคุกไมเ่ กนิ 3 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทัง้ จำท้ังปรบั ง. ตอ้ งรับโทษจำคุกไมเ่ กนิ 5 ปี ปรบั ไมเ่ กนิ 100,000 บาท หรอื ทัง้ จำท้ังปรบั เฉลย 1.ข 2.ค 3.ก 4.ค 5.ค 6.ง 7.ง 8.ก 9.ก 10.ง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook