99 จานวนที่หายไปหรือรปู ที่หายไป จานวนท่หี ายไปหรือรปู ทห่ี ายไปเป็นจานวนหรอื รปู ที่เม่อื นามาเติมส่วนทวี่ ่างในแบบรปู แลว้ ทาให้ ความสมั พนั ธ์ในแบบรปู นน้ั ไม่เปล่ยี นแปลง เชน่ ๑ ๓ ๕ ๗ ๙ ....... จานวนที่หายไปคอื ๑๑ ∆ ∆ ........ ∆ รูปท่ีหายไปคือ ตัวไม่ทราบคา่ ตวั ไมท่ ราบคา่ เป็นสญั ลักษณ์ท่ใี ชแ้ ทนจานวนทยี่ งั ไม่ทราบค่าในประโยคสญั ลักษณ์ ซึง่ ตัวไมท่ ราบค่าจะ อยู่ส่วนใดของประโยคสัญลักษณก์ ็ได้ ในระดับประถมศึกษา การหาคา่ ของตวั ไม่ทราบคา่ อาจหาได้โดยใช้ ความสมั พันธ์ของการบวกและการลบ หรอื การคูณและการหาร เช่น + ๓๓๓ = ๙๙๙ ๑๘ × ก = ๕๔ ๑๒๐ = A ÷ ๙ ๗๘๙ - ๑๕๖ = ตัวเลข (numeral) ตวั เลขเป็นสญั ลกั ษณ์ทีใ่ ชแ้ สดงจานวน ตัวอย่าง เขยี นตวั เลข แสดงจานวนมงั คุดได้หลายแบบ เช่น ตวั เลขไทย : ๗ ตวั เลขฮนิ ดูอารบิก : ๗ ตัวเลขโรมัน : VII ตัวเลขท้ังหมดแสดงจานวนเดียวกัน แมว้ า่ สญั ลกั ษณ์ที่ใชจ้ ะแตกตา่ งกัน ตารางทางเดยี ว (one-way table) ตารางทางเดียวเป็นตารางทมี่ ีการจาแนกรายการตามหวั เร่ืองเพียงลักษณะเดยี วเทา่ นั้น เช่น จานวน นกั เรียนของโรงเรยี นแหง่ หนึ่งจาแนกตามชนั้ ปี จานวนนกั เรียนของโรงเรียนแห่งหนึ่งจาแนกตามชน้ั ปี ชน้ั จานวน(คน) ประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ ๖๕ ประถมศึกษาปที ี่ ๒ ๗๐ ประถมศกึ ษาปีที่ ๓ ๖๙ ประถมศึกษาปที ่ี ๔ ๖๒ ประถมศึกษาปีที่ ๕ ๗๒ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๖ ๖๐ รวม ๓๙๘ ตารางสองทาง (two-way table)
100 ตารางสองทางเปน็ ตารางทม่ี ีการจาแนกรายการตามหัวเรื่องสองลักษณะ เชน่ จานวนนกั เรยี นของ โรงเรยี นแห่งหนงึ่ จาแนกตามช้นั และเพศ จานวนนกั เรียนของโรงเรียนแหง่ หนงึ่ จาแนกตามช้นั ปี และเพศ ชั้นปี ชาย(คน) เพศ รวม (คน) ประถมศึกษาปีท่ี ๑ ๓๘ หญิง (คน) ๖๕ ประถมศึกษาปที ่ี ๒ ๓๓ ๗๐ ประถมศึกษาปีท่ี ๓ ๓๒ ๒๗ ๖๙ ประถมศกึ ษาปีที่ ๔ ๒๘ ๓๗ ๖๒ ประถมศึกษาปที ี่ ๕ ๓๒ ๓๗ ๗๒ ประถมศึกษาปที ่ี ๖ ๒๕ ๓๔ ๖๐ ๔๐ ๓๙๘ รวม ๑๘๘ ๓๕ ๒๑๐ แถวลาดบั (array) แถวลาดบั เป็นการจัดเรียงจานวนหรอื ส่ิงตา่ ง ๆ ในรปู แถวและสดมภ์ อาจใชแ้ ถวลาดบั เพอื่ อธบิ าย เกยี่ วกบั การคณู และการหาร เชน่ ทศนิยมซา้ การคูณ จานวนท่ีมี การหาร ทศนยิ มซา้ เป็น ๒ × ๕ = ๑๐ ๑๐ ÷ ๒ = ๕ ตวั เลขหรอื กล่มุ ของตวั เลขทอ่ี ยู่ หลังจุดทศนยิ มซ้ากัน ๕ × ๒ = ๑๐ ไปเรอ่ื ย ๆ ไม่ ๑๐ ÷ ๕ = ๒ มีทสี่ น้ิ สุด เชน่ ๐.๓๓๓๓… ๐.๔๑๖๖๖... ๒๓.๐๒๑๘๑๘๑๘... ๐.๒๔๓๒๔๓๒๔๓… สาหรบั ทศนิยม เช่น ๐.๒๕ ถือวา่ เป็นทศนิยมซา้ เช่นเดียวกัน เรยี กวา่ ทศนิยมซ้าศนู ย์ เพราะ ๐.๒๕ = ๐.๒๕๐๐๐... ในการเขียนตัวเลขแสดงทศนิยมซ้า อาจเขยี นไดโ้ ดยการเติม • ไว้เหนือตัวเลขทซ่ี า้ กนั เช่น ๐.๓๓๓๓… เขยี นเป็น ๐ ๓̇ อ่านว่า ศูนย์จุดสาม สามซ้า ๐.๔๑๖๖๖... เขยี นเปน็ ๐ ๔๑๖̇ อ่านวา่ ศนู ย์จดุ สีห่ นึ่งหก หกซ้า หรอื เติม • ไว้เหนือกลมุ่ ตัวเลขที่ซา้ กัน ในตาแหนง่ แรกและตาแหน่งสดุ ทา้ ย เชน่ ๒๓.๐๒๑๘๑๘๑๘... เขียนเป็น ๒๓ ๐๒๑̇๘̇ อ่านวา่ ย่สี บิ สามจุดศนู ย์สองหนง่ึ แปด หนง่ึ แปดซ้า ๐.๒๔๓๒๔๓๒๔๓… เขียนเปน็ ๐ ๒̇๔๓̇ อา่ นว่า ศนู ยจ์ ดุ สองส่ีสาม สองสส่ี ามซ้า ทักษะและกระบวนการทางคณติ ศาสตร์
101 ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตรเ์ ปน็ ความสามารถท่ีจะนาความร้ไู ปประยุกต์ใชใ้ นการเรยี นรสู้ ่งิ ตา่ ง ๆ เพือ่ ให้ได้มาซ่ึงความรู้และประยุกตใ์ ช้ในชีวติ ประจาวนั ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ การแก้ปัญหา การแกป้ ญั หา เป็นกระบวนการทผ่ี เู้ รียนควรจะเรยี นรู้ ฝกึ ฝน และพัฒนาให้เกดิ ทกั ษะขึ้นในตนเอง เพื่อ สร้างองค์ความรู้ใหม่ เพ่ือให้ผู้เรียนมีแนวทางในการคิดที่หลากหลาย รู้จักประยุกต์และปรับเปล่ียนวิธีการ แก้ปัญหาให้เหมาะสม รู้จักตรวจสอบและสะท้อนกระบวนการแก้ปัญหา มีนิสัยกระตือรือร้น ไม่ย่อท้อ รวมถึง มีความม่ันใจในการแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ท้ังภายในและภายนอกห้องเรียน นอกจากน้ี การแก้ปัญหายังเป็น ทกั ษะพืน้ ฐานท่ผี เู้ รยี นสามารถนาไปใชใ้ นชีวิตจริงได้ การส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับการแก้ปัญหาอย่าง มีประสิทธิผล ควรใช้สถานการณ์หรือปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่กระตุ้น ดึงดูดความสนใจ ส่งเสริมให้ มีการ ประยุกตค์ วามร้ทู างคณติ ศาสตร์ ขนั้ ตอน/กระบวนการแกป้ ญั หา และยุทธวิธีแกป้ ญั หาที่หลากหลาย การสือ่ สารและสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์ การส่ือสาร เป็นวิธีการแลกเปล่ียนความคิดและสร้างความเข้าใจระหว่างบุคคล ผ่านช่องทางการ สื่อสารตา่ งๆ ได้แก่ การฟัง การพดู การอ่าน การเขยี น การสงั เกต และการแสดงทา่ ทาง การส่ือความหมายทางคณิตศาสตร์ เป็นกระบวนการส่ือสารที่นอกจากนาเสนอผ่านช่องทางการ ส่ือสาร การฟงั การพูด การอ่าน การเขียน การสังเกตและการแสดงท่าทางตามปกติแล้ว ยังเป็นการสื่อสารท่ีมี ลักษณะพิเศษ โดยมีการใชส้ ญั ลกั ษณ์ ตวั แปร ตาราง กราฟ สมการ อสมการ ฟังก์ชัน หรือแบบจาลอง เป็นต้น มาช่วยในการสื่อความหมายด้วย การส่ือสารและสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์ เป็นทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่จะช่วย ใหผ้ ้เู รยี นสามารถถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ แนวคิดทางคณิตศาสตร์ หรือกระบวนการคิดของตนให้ผู้อื่นรับรู้ ได้อยา่ งถูกตอ้ งชดั เจนและมปี ระสิทธิภาพ การท่ีผู้เรียนมีส่วนร่วมในการอภิปรายหรือการเขียนเพ่ือแลกเปลี่ยน ความรูแ้ ละความคดิ เหน็ ถ่ายทอดประสบการณ์ซึง่ กันและกัน ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น จะช่วยให้ผู้เรียน เรยี นรู้คณิตศาสตร์ได้อย่างมคี วามหมาย เข้าใจไดอ้ ย่างกวา้ งขวางลกึ ซ้งึ และจดจาได้นานมากขึน้ การเช่อื มโยง การเช่ือมโยงทางคณิตศาสตร์ เป็นกระบวนการท่ีต้องอาศัยการคิด วิเคราะห์ และความคิดริเร่ิม สร้างสรรค์ ในการนาความรู้ เน้ือหา และหลักการทางคณิตศาสตร์ มาสร้างความสัมพันธ์อย่างเป็นเหตุเป็นผล ระหว่างความรู้และทักษะและกระบวนการที่มีในเนื้อหาคณิตศาสตร์กับงานท่ีเกี่ยวข้อง เพื่อนาไปสู่การ แกป้ ัญหาและการเรียนรู้แนวคดิ ใหมท่ ีซ่ ับซอ้ นหรอื สมบรู ณข์ ้ึน การเชอ่ื มโยงความรูต้ ่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์ เป็นการนาความรู้และทักษะและกระบวนการต่าง ๆ ทาง คณติ ศาสตร์ไปสมั พนั ธก์ ันอย่างเปน็ เหตเุ ปน็ ผล ทาใหส้ ามารถแก้ปัญหาได้หลากหลายวิธีและกะทัดรัดข้ึน ทาให้ การเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์มีความหมายสาหรบั ผู้เรยี นมากยิง่ ขน้ึ การเชื่อมโยงคณิตศาสตร์กับศาสตร์อ่ืน ๆ เป็นการนาความรู้ ทักษะและกระบวนการต่าง ๆ ทาง คณิตศาสตร์ ไปสัมพันธ์กันอย่างเป็นเหตุเป็นผลกับเนื้อหาและความรู้ของศาสตร์อ่ืน ๆ เช่น วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ พันธุกรรมศาสตร์ จิตวิทยา และเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น ทาให้การเรียนคณิตศาสตร์น่าสนใจ มีความหมาย และผเู้ รยี นมองเห็นความสาคญั ของการเรยี นคณติ ศาสตร์ การทผ่ี ้เู รียนเห็นการเชอื่ มโยงทางคณิตศาสตร์ จะส่งเสริมให้ผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์ของเนื้อหาต่าง ๆ ในคณิตศาสตร์ และความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดทางคณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่น ๆ ทาให้ผู้เรียนเข้าใจเน้ือหา ทางคณิตศาสตร์ได้ลึกซ้ึงและมีความคงทนในการเรียนรู้ ตลอดจนช่วยให้ผู้เรียนเห็นว่าคณิตศาสตร์มีคุณค่า น่าสนใจ และสามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ในชีวติ จริงได้ การให้เหตุผล
102 การให้เหตุผล เป็นกระบวนการคิดทางคณิตศาสตร์ท่ีต้องอาศัยการคิดวิเคราะห์และความคิดริเร่ิม สร้างสรรค์ ในการรวบรวมข้อเท็จจริง ข้อความ แนวคิด สถานการณ์ทางคณิตศาสตร์ต่าง ๆ แจกแจง ความสัมพนั ธ์ หรือการเช่ือมโยง เพือ่ ให้เกดิ ข้อเทจ็ จริงหรือสถานการณ์ใหม่ การใหเ้ หตุผลเป็นทักษะและกระบวนการที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักคิดอย่างมีเหตุผล คิดอย่างเป็นระบบ สามารถคิดวเิ คราะห์ปญั หาและสถานการณ์ได้อย่างถ่ีถ้วนรอบคอบ สามารถคาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ และ แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม การคิดอย่างมีเหตุผลเป็นเครื่องมือสาคัญที่ผู้เรียนจะนาไปใช้พัฒนา ตนเองในการเรียนร้สู งิ่ ใหม่ เพ่ือนาไปประยกุ ต์ใช้ในการทางานและการดารงชีวติ การคิดสรา้ งสรรค์ การคิดสร้างสรรค์ เป็นกระบวนการคิดที่อาศัยความรู้พ้ืนฐาน จินตนาการและวิจารณญาณ ในการ พัฒนาหรือคิดคน้ องค์ความรู้ หรอื ส่ิงประดษิ ฐใ์ หม่ ๆ ท่ีมีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม ความคิด สร้างสรรค์มหี ลายระดับ ต้ังแต่ระดับพื้นฐานท่ีสูงกว่าความคิดพื้น ๆ เพียงเล็กน้อย ไปจนกระท่ังเป็นความคิดท่ี อยใู่ นระดับสงู มาก การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคจ์ ะชว่ ยให้ผ้เู รยี นมแี นวทางการคดิ ท่ีหลากหลาย มีกระบวนการคดิ จินตนาการในการประยุกต์ ที่จะนาไปสู่การคดิ ค้นสง่ิ ประดิษฐ์ที่แปลกใหม่และมคี ณุ คา่ ท่ีคนส่วนใหญ่คาดคิด ไมถ่ งึ หรือมองข้าม ตลอดจนส่งเสริมใหผ้ ้เู รยี นมีนสิ ัยกระตือรอื ร้น ไม่ย่อท้อ อยากรู้อยากเห็น อยากค้นควา้ และ ทดลองสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ แบบรูป (pattern) แบบรปู เปน็ ความสัมพันธท์ แ่ี สดงลักษณะสาคัญรว่ มกนั ของชุดของจานวน รูปเรขาคณิต หรอื อื่นๆ ตวั อยา่ ง (๑) ๑ ๓ ๕ ๗ ๙ ๑๑ (๒) ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๑ ๒ ๔ ๘ ๒ ๔ ๘ ๒ ๔ ๘ (๓) รปู เรขาคณิต (geometric figure) รูปเรขาคณิตเป็นรูปท่ปี ระกอบด้วย จุด เสน้ ตรง เส้นโคง้ ระนาบ ฯลฯ อยา่ งน้อยหน่ึงอย่าง ตวั อยา่ งของรปู เรขาคณิตหนึ่งมิติ เช่น เสน้ ตรง ส่วนของเส้นตรง รงั สี ตวั อย่างของรปู เรขาคณติ สองมิติ เชน่ วงกลม รูปสามเหล่ียม รูปสีเ่ หล่ียม ตวั อย่างของรูปเรขาคณิตสามมติ ิ เชน่ ทรงกลม ลกู บาศก์ ปรซิ ึม พีระมิด เลขโดด (digit) เลขโดดเป็นสญั ลักษณ์พ้ืนฐานทใี่ ชเ้ ขียนตวั เลขแสดงจานวน จานวนท่ีนิยมใช้ในปัจจุบันเป็นระบบฐาน สบิ ในการเขยี นตัวเลขแสดงจานวนใด ๆ ใน ระบบฐานสิบ ใชเ้ ลขโดดสบิ ตัว เลขโดดทใ่ี ช้เขียนตวั เลขฮนิ ดอู ารบิก ไดแ้ ก่ ๐, ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘ และ ๙ เลขโดดทใ่ี ช้เขียนตัวเลขไทย ไดแ้ ก่ ๐, ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘ และ ๙ สนั ตรง (straightedge)
103 สันตรงเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณท์ ใ่ี ชใ้ นการเขยี นเสน้ ในแนวตรง เชน่ ใช้เขียนส่วนของเส้นตรงและ รังสี ปกตบิ นสนั ตรงจะไมม่ ีขีดสเกลสาหรบั การวัดระยะกากบั ไว้ อยา่ งไรกต็ ามในการเรียนการสอนอนโุ ลมให้ใช้ ไมบ้ รรทัดแทนสนั ตรงได้โดยถือเสมือนว่าไม่มีขีดสเกลสาหรับการวดั ระยะกากบั หน่วยเด่ียว (single unit) และหน่วยผสม (compound unit) การบอกปริมาณทไี่ ด้จากการวัดอาจใช้หน่วยเด่ยี ว เช่น สม้ หนกั ๑๒ กโิ ลกรัม หรือใช้หนว่ ยผสม เชน่ ปลาหนกั ๑ กิโลกรัม ๒๐๐ กรมั หนว่ ยมาตรฐาน (standard unit) หน่วยมาตรฐานเป็นหนว่ ยการวดั ท่ีเป็นทย่ี อมรับกันท่ัวไป เชน่ กโิ ลเมตร เมตร เซนตเิ มตรเปน็ หน่วยมาตรฐานของการวัดความยาว กโิ ลกรัม กรัม มิลลกิ รมั เปน็ หนว่ ยมาตรฐานของการวดั น้าหนัก อตั ราส่วน (ratio) อตั ราสว่ นเป็นความสมั พันธ์ท่ีแสดงการเปรียบเทยี บปริมาณสองปรมิ าณซึ่งอาจมีหนว่ ยเดียวกนั หรือ ตา่ งกันก็ได้ อัตราสว่ นของปริมาณ a ต่อ ปริมาณ b เขยี นแทนดว้ ย a : b
๑๐๔ กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ทาไมตอ้ งเรียนวิทยาศาสตร์ ตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู๎แกนกลาง กลํุมสาระการเรียนร๎ูวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพุทธศักราช ๒๕๖๑ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ นี้ได๎กาหนดสาระการเรียนรู๎ออกเป็น ๔ สาระ ได๎แกํ สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ สาระท่ี ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพสาระท่ี ๓ วิทยาศาสตร์โลกและ อวกาศ และสาระที่ ๔ เทคโนโลยีมีสาระเพ่ิมเติม ๔ สาระ ได๎แกํสาระชีววิทยา สาระเคมีสาระฟิสิกส์สาระโลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ ซึ่งองค์ประกอบของหลักสูตรท้ังในด๎านของเน้ือหา การจัดการเรียนการสอน และการ วัดและประเมินผลการเรียนร๎ูน้ันมีความสาคัญอยํางย่ิงในการวางรากฐานการเรียนรู๎วิทยาศาสตร์ของผู๎เรียนใน แตลํ ะระดบั ชัน้ ให๎มคี วามตอํ เนือ่ งเชอื่ มโยงกัน ตง้ั แตํช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๑ จนถึงช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ สาหรับ กลํุมสาระการเรยี นรู๎วิทยาศาสตร์ได๎กาหนดตวั ชวี้ ดั และสาระการเรียนร๎ูแกนกลาง ที่ผู๎เรียนจาเป็นต๎องเรียนเป็น พ้ืนฐาน เพ่ือให๎สามารถนาความรูน๎ ้ไี ปใชใ๎ นการดารงชีวิตหรือศึกษาตํอในวิชาชีพที่ต๎องใช๎วิทยาศาสตร์ได๎โดยจัด เรียงลาดับความยากงํายของเนือ้ หาแตลํ ะสาระในแตํละระดบั ชั้นให๎มีการเช่ือมโยงความร๎ูกับกระบวนการเรียนรู๎ และการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ทสี่ งํ เสริมให๎ผ๎ูเรียนพัฒนาความคิดทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร๎างสรรค์ คิด วิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะท่ีสาคัญท้ังทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ในการ ค๎นคว๎าและสร๎างองค์ความร๎ูด๎วยกระบวนการสืบเสาะหาความร๎ูสามารถแก๎ปัญหาอยํางเป็นระบบ สามารถ ตัดสินใจ โดยใช๎ข๎อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานท่ีตรวจสอบได๎สถาบันสํงเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ (สสวท.) ตระหนักถึงความสาคัญของการจัดการเรียนรู๎วิทยาศาสตร์ที่มํุงหวังให๎เกิดผลสัมฤทธ์ิตํอผู๎เรียนมาก ที่สุด จึงได๎จัดทาตัวช้ีวัดและสาระการเรียนร๎ูแกนกลาง กลุํมสาระการเรียนรู๎วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐานพทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ขึ้น เพ่อื ใหส๎ ถานศกึ ษา ครผู ๎สู อน ตลอดจนหนํวยงานตําง ๆ ได๎ใช๎เป็นแนวทางในการพัฒนาหนังสือเรียน คํูมือครู สื่อประกอบการเรียน การสอน ตลอดจนการวัดและประเมินผล โดยตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู๎แกนกลาง กลุํมสาระการเรียนร๎ู วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ท่ี จัดทาข้ึนนี้ได๎ปรับปรุง เพ่ือให๎มีความสอดคล๎องและเช่ือมโยงกันภายในสาระการเรียนรู๎เดียวกันและระหวําง สาระการเรียนร๎ูในกลุํมสาระการเรียนรู๎วิทยาศาสตร์ ตลอดจนการเช่ือมโยงเน้ือหาความรู๎ทางวิทยาศาสตร์กับ คณิตศาสตร์ด๎วย นอกจากน้ียังได๎ปรับปรุงเพ่ือให๎มีความทันสมัยตํอการเปล่ียนแปลง และความเจริญก๎าวหน๎า ของวทิ ยาการตาํ ง ๆ และทดั เทียมกบั นานาชาติ กลํมุ สาระการเรียนร๎ูวิทยาศาสตร์ สรุปเปน็ แผนภาพได๎ ดงั น้ี
๑๐๕ เปา้ หมายของวทิ ยาศาสตร์ ในการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรม์ ุงํ เน๎นใหผ๎ ู๎เรียนได๎ค๎นพบความร๎ูด๎วยตนเองมากที่สุด เพ่ือให๎ไดท๎ ั้ง กระบวนการและความร๎ู จากวิธีการสงั เกต การสารวจตรวจสอบ การทดลอง แล๎วนาผลทไี่ ด๎มาจัดระบบเปน็ หลกั การ แนวคิด และองค์ความร๎ู การจัดการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์จึงมีเปูาหมายท่ีสาคัญ ดงั นี้ ๑. เพื่อใหเ๎ ขา๎ ใจหลกั การ ทฤษฎี และกฎทีเ่ ป็นพน้ื ฐานในวิชาวทิ ยาศาสตร์ ๒. เพ่ือให๎เขา๎ ใจขอบเขตของธรรมชาตขิ องวิชาวทิ ยาศาสตร์และข๎อจากดั ในการศกึ ษาวชิ า วิทยาศาสตร์ ๓. เพื่อให๎มที ักษะท่ีสาคญั ในการศกึ ษาค๎นคว๎าและคิดค๎นทางเทคโนโลยี ๔. เพื่อให๎ตระหนักถึงความสมั พันธร์ ะหวํางวิชาวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และ สภาพแวดล๎อมในเชงิ ที่มีอทิ ธิพลและผลกระทบซึ่งกันและกัน ๕. เพื่อนาความร๎ู ความเข๎าใจ ในวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใช๎ใหเ๎ กดิ ประโยชนต์ ํอ สงั คมและการดารงชวี ติ ๖. เพอ่ื พฒั นากระบวนการคดิ และจนิ ตนาการ ความสามารถในการแก๎ปัญหา และการ จดั การ ทักษะในการสอื่ สาร และความสามารถในการตดั สนิ ใจ ๗. เพ่ือให๎เปน็ ผ๎ทู ่ีมจี ติ วทิ ยาศาสตร์ มีคณุ ธรรม จริยธรรม และคํานยิ มในการใช๎วิทยาศาสตร์ อยาํ งสรา๎ งสรรค์
๑๐๖ เรยี นรูอ้ ะไรในวิทยาศาสตร์ กลุํมสาระการเรียนรู๎วทิ ยาศาสตร์ มงํุ หวังใหผ๎ ๎ูเรยี นได๎เรยี นรว๎ู ิทยาศาสตร์ ทเ่ี นน๎ การเชื่อมโยงความร๎ูกับ กระบวนการ มที กั ษะสาคัญในการค๎นคว๎าและสรา๎ งองค์ความรู๎ โดยใชก๎ ระบวนการในการสบื เสาะหาความร๎ู และแก๎ปัญหาที่หลากหลาย ใหผ๎ เู๎ รยี นมสี วํ นรวํ มในการเรยี นร๎ูทกุ ขั้นตอน มกี ารทากิจกรรมด๎วยการลงมือปฏิบตั ิ จรงิ อยาํ งหลากหลาย เหมาะสมกบั ระดบั ชัน้ โดยกาหนดสาระสาคัญ ดงั น้ี ✧ วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ เรยี นร๎เู ก่ยี วกบั ชีวิตในสง่ิ แวดล๎อม องคป์ ระกอบของส่ิงมีชีวิตการดารงชวี ติ ของ มนษุ ย์และสตั ว์ การดารงชวี ติ ของพืช พนั ธุกรรม ความหลากหลายทางชวี ภาพ และววิ ัฒนาการของส่งิ มชี ีวิต ✧ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ เรียนรู๎เก่ยี วกับ ธรรมชาติของสาร การเปล่ียนแปลงของสารการเคล่ือนท่ี พลงั งาน และคลืน่ ✧ วิทยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ เรียนรเู๎ ก่ยี วกบั องค์ประกอบของเอกภพ ปฏสิ ัมพันธภ์ ายในระบบสรุ ยิ ะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปล่ยี นแปลงทางธรณวี ทิ ยา กระบวนการเปลย่ี นแปลงลมฟูาอากาศ และผล ตํอสงิ่ มีชีวติ และสิง่ แวดล๎อม ✧ เทคโนโลยี ● การออกแบบและเทคโนโลยี เรียนร๎เู กีย่ วกับเทคโนโลยีเพอื่ การดารงชีวิตในสังคมท่ีมีการ เปล่ียนแปลงอยํางรวดเรว็ ใชค๎ วามร๎แู ละทักษะทางด๎านวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตรอ์ ื่น ๆ เพื่อ แกป๎ ัญหาหรือพัฒนางานอยํางมคี วามคิดสรา๎ งสรรค์ด๎วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลอื กใช๎เทคโนโลยี อยาํ งเหมาะสมโดยคานึงถงึ ผลกระทบตํอชีวติ สงั คม และสิง่ แวดล๎อม ● วิทยาการคานวณ เรยี นรูเ๎ ก่ยี วกบั การคดิ เชงิ คานวณ การคิดวเิ คราะห์ แกป๎ ัญหาเปน็ ขั้นตอนและ เปน็ ระบบ ประยกุ ตใ์ ชค๎ วามร๎ูด๎านวิทยาการคอมพวิ เตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สาร ในการ แก๎ปญั หาที่พบในชวี ิตจริงไดอ๎ ยํางมปี ระสทิ ธภิ าพ
๑๐๗ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี ๑ วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑ เข๎าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหวาํ งสิ่งไมํมีชวี ติ กบั สงิ่ มชี ีวติ และ ความสมั พันธ์ระหวาํ งสงิ่ มชี วี ติ กับส่ิงมชี ีวิตตาํ ง ๆ ในระบบนเิ วศ การถาํ ยทอดพลงั งาน การเปล่ยี นแปลงแทนทีใ่ นระบบนเิ วศ ความหมายของประชากร ปญั หาและผลกระทบที่มี ตํอทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ๎ ม แนวทางในการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ การแก๎ไขปัญหาสิ่งแวดล๎อม รวมทั้งนาความรู๎ไปใช๎ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๒ เข๎าใจสมบัติของสงิ่ มชี ีวิต หนวํ ยพื้นฐานของส่ิงมชี วี ิต การลาเลียงสารเข๎าและออกจากเซลล์ ความสัมพนั ธข์ องโครงสร๎าง และหน๎าที่ของระบบตําง ๆ ของสัตว์และมนษุ ย์ที่ทางาน สัมพันธ์กนั ความสัมพนั ธ์ของโครงสรา๎ ง และหน๎าท่ีของอวยั วะตาํ ง ๆ ของพืชทที่ างาน สัมพนั ธก์ นั รวมท้งั นาความร๎ไู ปใช๎ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๓ เขา๎ ใจกระบวนการและความสาคัญของการถาํ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม สารพันธกุ รรม การเปลยี่ นแปลงทางพันธกุ รรมท่มี ีผลตํอส่งิ มชี ีวติ ความหลากหลายทางชีวภาพและ วิวฒั นาการของสิ่งมชี วี ติ รวมท้งั นาความรู๎ไปใช๎ประโยชน์ สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เข๎าใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พันธร์ ะหวํางสมบตั ิของสสารกับ โครงสรา๎ งและแรงยดึ เหน่ยี วระหวํางอนุภาค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปลย่ี นแปลง สถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี มาตรฐาน ว ๒.๒ เขา๎ ใจธรรมชาตขิ องแรงในชวี ติ ประจาวัน ผลของแรงท่ีกระทาตํอวตั ถุ ลกั ษณะการเคลื่อนท่ี แบบตําง ๆ ของวตั ถุ รวมทง้ั นาความรไู๎ ปใช๎ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๒.๓ เข๎าใจความหมายของพลงั งาน การเปลีย่ นแปลงและการถาํ ยโอนพลงั งาน ปฏิสมั พนั ธ์ ระหวาํ งสสารและพลงั งาน พลงั งานในชวี ติ ประจาวัน ธรรมชาติของคล่นื ปรากฏการณ์ท่ี เกี่ยวข๎องกับเสียง แสง และคลน่ื แมํเหล็กไฟฟูา รวมทง้ั นาความร๎ูไปใชป๎ ระโยชน์ สาระที่ ๓ วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑ เขา๎ ใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และววิ ฒั นาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาว ฤกษ์ และระบบสรุ ิยะ รวมท้ังปฏสิ ัมพนั ธภ์ ายในระบบสุรยิ ะท่ีสงํ ผลตํอส่งิ มีชวี ติ และการ ประยกุ ต์ใชเ๎ ทคโนโลยอี วกาศ มาตรฐาน ว ๓.๒ เขา๎ ใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบตั ภิ ัย กระบวนการเปลยี่ นแปลงลมฟาู อากาศและภมู ิอากาศโลก รวมทัง้ ผลตอํ สง่ิ มชี ีวิตและสง่ิ แวดลอ๎ ม
๑๐๘ สาระที่ ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑ เข๎าใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยเี พอ่ื การดารงชวี ิตในสงั คมท่ีมกี ารเปลี่ยนแปลงอยํางรวดเรว็ ใช๎ความรู๎และทักษะทางดา๎ นวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก๎ปัญหา หรือพัฒนางานอยาํ งมีความคิดสร๎างสรรค์ดว๎ ยกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม เลือกใช๎เทคโนโลยีอยํางเหมาะสมโดยคานึงถงึ ผลกระทบตํอชวี ติ สังคม และสงิ่ แวดล๎อม มาตรฐาน ว ๔.๒ เข๎าใจและใช๎แนวคิดเชงิ คานวณในการแก๎ปญั หาทีพ่ บในชีวติ จรงิ อยํางเปน็ ข้ันตอนและเป็น ระบบ ใชเ๎ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารในการเรยี นรู๎ การทางาน และการแก๎ปญั หาได๎ อยํางมปี ระสทิ ธภิ าพ รเ๎ู ทาํ ทนั และมจี รยิ ธรรม คุณภาพผู้เรียน จบชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๓ ❖ เข๎าใจลักษณะทว่ั ไปของสิ่งมีชวี ิตและการดารงชีวติ ของสิ่งมีชวี ติ รอบตวั ❖ เข๎าใจลกั ษณะทปี่ รากฏ ชนิดและสมบัตบิ างประการของวสั ดทุ ใี่ ชท๎ าวตั ถุ และการเปลยี่ นแปลง ของวสั ดุรอบตัว ❖ เขา๎ ใจการดึง การผลกั แรงแมํเหลก็ และผลของแรงที่มตี อํ การเปล่ียนแปลง การเคลือ่ นที่ของวตั ถุ พลังงานไฟฟาู และการผลิตไฟฟาู การเกิดเสียง แสงและการมองเห็น ❖ เข๎าใจการปรากฏของดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ และดาว ปรากฏการณ์ขน้ึ และตกของดวงอาทิตย์ การเกดิ กลางวันกลางคนื การกาหนดทิศ ลักษณะของหิน การจาแนกชนดิ ดนิ และการใช๎ประโยชน์ ลักษณะ และความสาคญั ของอากาศ การเกดิ ลม ประโยชนแ์ ละโทษของลม ❖ ตัง้ คาถามหรือกาหนดปญั หาเกี่ยวกับสง่ิ ทจ่ี ะเรียนร๎ูตามทีก่ าหนดให๎หรือตามความสนใจสงั เกต สารวจตรวจสอบโดยใชเ๎ ครอ่ื งมอื อยํางงาํ ย รวบรวมข๎อมลู บนั ทกึ และอธิบายผลการสารวจตรวจสอบดว๎ ยการ เขยี นหรอื วาดภาพ และสื่อสารส่ิงท่เี รียนร๎ูดว๎ ยการเลําเรอื่ ง หรอื ด๎วยการแสดงทําทางเพ่ือใหผ๎ อ๎ู ่นื เข๎าใจ ❖ แก๎ปัญหาอยํางงํายโดยใชข๎ ั้นตอนการแกป๎ ัญหา มที กั ษะในการใชเ๎ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการ ส่อื สารเบือ้ งตน๎ รักษาข๎อมลู สํวนตัว ❖ แสดงความกระตือรอื ร๎น สนใจทจ่ี ะเรียนร๎ู มคี วามคิดสร๎างสรรคเ์ กีย่ วกบั เรือ่ งท่ีจะศกึ ษาตามที่ กาหนดให๎หรือตามความสนใจ มสี วํ นรํวมในการแสดงความคิดเหน็ และยอมรบั ฟังความคิดเหน็ ผ๎ูอื่น ❖ แสดงความรับผดิ ชอบด๎วยการทางานท่ีไดร๎ ับมอบหมายอยาํ งมุํงมั่น รอบคอบ ประหยัด ซ่อื สตั ย์ จนงานลุลํวงเปน็ ผลสาเร็จ และทางานรวํ มกับผูอ๎ ืน่ อยํางมคี วามสขุ ❖ ตระหนกั ถึงประโยชนข์ องการใช๎ความร๎ูและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดารงชวี ิต ศึกษา หาความรเ๎ู พ่ิมเตมิ ทาโครงงานหรือช้ินงานตามที่กาหนดให๎หรือตามความสนใจ จบช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ ๖ ❖ เข๎าใจโครงสร๎าง ลักษณะเฉพาะและการปรบั ตัวของสง่ิ มีชีวิต รวมทงั้ ความสัมพนั ธ์ของสิง่ มีชีวติ ใน แหลงํ ทอี่ ยํู การทาหนา๎ ท่ีของสํวนตาํ ง ๆ ของพชื และการทางานของระบบยํอยอาหารของมนษุ ย์ ❖ เขา๎ ใจสมบัติและการจาแนกกลุํมของวสั ดุ สถานะและการเปลีย่ นสถานะของสสารการละลาย การ เปล่ียนแปลงทางเคมี การเปล่ยี นแปลงท่ีผันกลบั ไดแ๎ ละผนั กลบั ไมํได๎ และการแยกสารอยํางงําย
๑๐๙ ❖ เขา๎ ใจลกั ษณะของแรงโน๎มถวํ งของโลก แรงลพั ธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟูาและผลของแรงตาํ งๆ ผล ทีเ่ กดิ จากแรงกระทาตํอวตั ถุ ความดนั หลักการท่มี ตี ํอวตั ถุ วงจรไฟฟูาอยํางงาํ ย ปรากฏการณ์เบื้องต๎นของเสียง และแสง ❖ เข๎าใจปรากฏการณ์การขน้ึ และตก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรปู ราํ งปรากฏของดวงจันทร์ องค์ประกอบของระบบสรุ ยิ ะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกตํางของดาวเคราะหแ์ ละดาวฤกษ์ การ ขึ้นและตกของกลํุมดาวฤกษ์ การใช๎แผนทด่ี าว การเกิดอุปราคา พฒั นาการและประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ ❖ เขา๎ ใจลกั ษณะของแหลงํ นา้ วฏั จักรน้า กระบวนการเกดิ เมฆ หมอก น้าคา๎ ง นา้ คา๎ งแขง็ หยาดน้า ฟาู กระบวนการเกดิ หิน วัฏจกั รหนิ การใชป๎ ระโยชน์หนิ และแรํ การเกดิ ซากดึกดาบรรพ์ การเกิดลมบก ลม ทะเล มรสมุ ลกั ษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบตั ภิ ยั การเกิดและผลกระทบของปรากฏการณ์ เรือนกระจก ❖ คน๎ หาข๎อมลู อยาํ งมีประสิทธิภาพและประเมนิ ความนําเชื่อถอื ตดั สนิ ใจเลอื กข๎อมูลใชเ๎ หตผุ ลเชิง ตรรกะในการแก๎ปัญหา ใช๎เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารในการทางานรวํ มกัน เขา๎ ใจสทิ ธแิ ละหน๎าท่ีของ ตน เคารพสทิ ธิของผู๎อน่ื ❖ ต้งั คาถามหรือกาหนดปัญหาเก่ยี วกบั สิ่งทจ่ี ะเรยี นรู๎ตามทกี่ าหนดให๎หรอื ตามความสนใจ คาดคะเน คาตอบหลายแนวทาง สร๎างสมมตฐิ านท่ีสอดคลอ๎ งกบั คาถามหรือปัญหาทีจ่ ะสารวจตรวจสอบ วางแผนและ สารวจตรวจสอบโดยใชเ๎ คร่ืองมอื อุปกรณ์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศทเ่ี หมาะสม ในการเกบ็ รวบรวมข๎อมลู ทัง้ เชิงปริมาณและคุณภาพ ❖ วิเคราะห์ข๎อมลู ลงความเหน็ และสรปุ ความสัมพนั ธ์ของขอ๎ มูลท่มี าจากการสารวจตรวจสอบใน รูปแบบท่เี หมาะสม เพ่ือสื่อสารความรจู๎ ากผลการสารวจตรวจสอบได๎อยํางมีเหตุผลและหลกั ฐานอา๎ งอิง ❖ แสดงถงึ ความสนใจ มํงุ มั่น ในส่งิ ทีจ่ ะเรียนร๎ู มคี วามคดิ สร๎างสรรค์เกยี่ วกบั เรื่องท่ีจะศึกษาตาม ความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข๎อมลู ที่มีหลักฐานอา๎ งองิ และรับฟงั ความ คิดเหน็ ผู๎อนื่ ❖ แสดงความรบั ผดิ ชอบด๎วยการทางานที่ได๎รับมอบหมายอยาํ งมุํงม่ัน รอบคอบ ประหยัด ซ่ือสัตย์ จนงานลลุ วํ งเปน็ ผลสาเร็จ และทางานรํวมกบั ผูอ๎ ่นื อยํางสร๎างสรรค์ ❖ ตระหนักในคณุ คําของความร๎ูวิทยาศาสตร์ ใชค๎ วามร๎ูและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ในการ ดารงชีวติ แสดงความช่นื ชม ยกยํอง และเคารพสทิ ธิในผลงานของผคู๎ ดิ คน๎ และศกึ ษาหาความรเู๎ พิ่มเตมิ ทา โครงงานหรอื ช้นิ งานตามทกี่ าหนดใหห๎ รือตามความสนใจ ❖ แสดงถึงความซาบซ้ึง หวํ งใย แสดงพฤตกิ รรมเกีย่ วกับการใช๎ การดูแลรกั ษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิง่ แวดลอ๎ มอยาํ งรู๎คุณคํา
๑๑๐ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓ ❖ เขา๎ ใจลักษณะและองค์ประกอบท่สี าคัญของเซลลส์ ิ่งมีชวี ติ ความสมั พันธข์ องการทางานของระบบ ตาํ ง ๆ ในราํ งกายมนุษย์ การดารงชีวติ ของพชื การถาํ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม การเปลยี่ นแปลงของยีน หรือโครโมโซม และตวั อยํางโรคที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ประโยชน์และผลกระทบของ สิง่ มชี วี ิตดดั แปรพนั ธกุ รรม ความหลากหลายทางชวี ภาพ ปฏสิ ัมพันธข์ ององค์ประกอบของระบบนิเวศและการ ถาํ ยทอดพลังงานในส่ิงมชี ีวิต ❖ เขา๎ ใจองคป์ ระกอบและสมบัตขิ องธาตุ สารละลาย สารบรสิ ุทธิ์ สารผสม หลกั การแยกสาร การ เปลี่ยนแปลงของสารในรูปแบบของการเปล่ียนสถานะ การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี และสมบตั ิ ทางกายภาพ และการใชป๎ ระโยชนข์ องวัสดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามกิ ส์ และวสั ดผุ สม ❖ เขา๎ ใจการเคล่ือนท่ี แรงลพั ธ์และผลของแรงลัพธ์กระทาตอํ วัตถุ โมเมนตข์ องแรงแรงท่ีปรากฏใน ชวี ติ ประจาวัน สนามของแรง ความสมั พนั ธ์ของงาน พลงั งานจลน์ พลงั งานศักย์โนม๎ ถํวง กฎการอนุรักษ์ พลงั งาน การถํายโอนพลงั งาน สมดลุ ความร๎อน ความสมั พันธข์ องปริมาณทางไฟฟูา การตํอวงจรไฟฟาู ในบา๎ น พลังงานไฟฟาู และหลักการเบอ้ื งต๎นของวงจรอิเลก็ ทรอนกิ ส์ ❖ เขา๎ ใจสมบัตขิ องคลน่ื และลกั ษณะของคลื่นแบบตําง ๆ แสง การสะทอ๎ น การหกั เหของแสงและ ทศั นอปุ กรณ์ ❖ เข๎าใจการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทติ ย์ การเกิดฤดู การเคลือ่ นทีป่ รากฏของดวงอาทิตย์ การเกิดขา๎ งขึ้นขา๎ งแรม การข้ึนและตกของดวงจันทร์ การเกิดน้าข้ึนน้าลง ประโยชน์ของเทคโนโลยอี วกาศ และ ความกา๎ วหน๎าของโครงการสารวจอวกาศ ❖ เขา๎ ใจลกั ษณะของชน้ั บรรยากาศ องค์ประกอบและปัจจัยทมี่ ีผลตํอลมฟูาอากาศ การเกิดและ ผลกระทบของพายุฟูาคะนอง พายุหมนุ เขตร๎อน การพยากรณอ์ ากาศ สถานการณ์การเปล่ยี นแปลงภมู ิอากาศ โลก กระบวนการเกดิ เชื้อเพลงิ ซากดกึ ดาบรรพ์และการใช๎ประโยชน์ พลงั งานทดแทนและการใช๎ประโยชน์ ลักษณะโครงสร๎างภายในโลก กระบวนการเปลย่ี นแปลงทางธรณวี ทิ ยาบนผิวโลก ลักษณะชน้ั หนา๎ ตัดดนิ กระบวนการเกดิ ดนิ แหลํงนา้ ผวิ ดิน แหลงํ น้าใตด๎ ิน กระบวนการเกิดและผลกระทบของภัยธรรมชาติ และธรณี พิบตั ภิ ัย ❖ เข๎าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได๎แกํ ระบบทางเทคโนโลยี การเปล่ยี นแปลงของเทคโนโลยี ความสมั พันธ์ระหวํางเทคโนโลยีกับศาสตรอ์ ่ืน โดยเฉพาะวทิ ยาศาสตร์ หรอื คณติ ศาสตร์ วิเคราะห์ เปรยี บเทียบ และตัดสินใจเพ่อื เลือกใชเ๎ ทคโนโลยี โดยคานึงถงึ ผลกระทบตอํ ชวี ิต สงั คม และสงิ่ แวดล๎อม ประยุกต์ใชค๎ วามร๎ู ทกั ษะ และทรพั ยากรเพื่อออกแบบและสรา๎ งผลงานสาหรับการแก๎ปัญหาในชวี ิตประจาวันหรือการประกอบ อาชีพ โดยใช๎กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม รวมทัง้ เลือกใชว๎ ัสดุ อปุ กรณ์ และเคร่ืองมือไดอ๎ ยํางถูกต๎อง เหมาะสม ปลอดภยั รวมทั้งคานึงถงึ ทรัพยส์ ินทางปัญญา ❖ นาข๎อมูลปฐมภูมเิ ขา๎ สูรํ ะบบคอมพิวเตอร์ วเิ คราะห์ ประเมนิ นาเสนอขอ๎ มลู และสารสนเทศได๎ตาม วัตถปุ ระสงค์ ใช๎ทกั ษะการคิดเชิงคานวณในการแก๎ปญั หาที่พบในชีวิตจรงิ และเขียนโปรแกรมอยํางงาํ ยเพื่อชํวย ในการแก๎ปญั หา ใชเ๎ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารอยํางรเ๎ู ทาํ ทันและรับผดิ ชอบตํอสังคม ❖ ต้ังคาถามหรอื กาหนดปัญหาทีเ่ ช่อื มโยงกับพยานหลักฐาน หรอื หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ท่ีมีการ กาหนดและควบคุมตวั แปร คิดคาดคะเนคาตอบหลายแนวทาง สรา๎ งสมมติฐานท่สี ามารถนาไปสกูํ ารสารวจ
๑๑๑ ตรวจสอบ ออกแบบและลงมอื สารวจตรวจสอบโดยใช๎วสั ดุและเครื่องมือทเ่ี หมาะสม เลือกใช๎เครื่องมือและ เทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมในการเก็บรวบรวมขอ๎ มูล ทงั้ ในเชิงปริมาณและคุณภาพท่ีได๎ผลเทย่ี งตรงและ ปลอดภัย ❖ วเิ คราะห์และประเมินความสอดคลอ๎ งของข๎อมูลท่ีได๎จากการสารวจตรวจสอบจากพยานหลกั ฐาน โดยใชค๎ วามร๎แู ละหลักการทางวิทยาศาสตรใ์ นการแปลความหมายและลงขอ๎ สรปุ และส่อื สารความคดิ ความร๎ู จากผลการสารวจตรวจสอบหลากหลายรปู แบบหรือใชเ๎ ทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือใหผ๎ ๎ูอ่นื เขา๎ ใจได๎อยาํ งเหมาะสม ❖ แสดงถงึ ความสนใจ มุํงม่ัน รบั ผิดชอบ รอบคอบ และซอื่ สตั ย์ ในส่งิ ที่จะเรียนร๎ู มคี วามคดิ สรา๎ งสรรคเ์ ก่ียวกับเร่ืองท่จี ะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใชเ๎ คร่อื งมือและวิธกี ารทีใ่ หไ๎ ด๎ผลถูกต๎อง เชือ่ ถือได๎ ศึกษาค๎นคว๎าเพิ่มเติมจากแหลํงความร๎ตู าํ ง ๆ แสดงความคิดเห็นของตนเอง รับฟงั ความคิดเห็นผ๎ูอนื่ และยอมรบั การเปล่ียนแปลงความรู๎ที่ค๎นพบ เมื่อมขี ๎อมลู และประจักษพ์ ยานใหมเํ พ่ิมขน้ึ หรือโต๎แยง๎ จากเดิม ❖ ตระหนกั ในคุณคําของความร๎ูวิทยาศาสตร์ที่ใช๎ในชีวติ ประจาวนั ใช๎ความร๎ูและกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ในการดารงชีวติ และการประกอบอาชีพ แสดงความชนื่ ชม ยกยอํ ง และเคารพสิทธิใน ผลงานของผ๎คู ดิ ค๎น เขา๎ ใจผลกระทบท้ังด๎านบวกและด๎านลบของการพัฒนาทางวทิ ยาศาสตรต์ ํอสง่ิ แวดล๎อมและ ตอํ บรบิ ทอ่นื ๆ และศกึ ษาหาความร๎เู พ่มิ เติม ทาโครงงานหรือสร๎างชน้ิ งานตามความสนใจ ❖ แสดงถึงความซาบซึ้ง หํวงใย มพี ฤติกรรมเกย่ี วกับการดแู ลรกั ษาความสมดลุ ของระบบนเิ วศ และ ความหลากหลายทางชีวภาพ
๑๑๒ ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระท่ี ๑ วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑ เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งส่ิงไมม่ ีชีวิตกับสิง่ มชี ีวติ และความสัมพนั ธร์ ะหว่างสง่ิ มชี ีวิตกับส่ิงมชี ีวิตตา่ ง ๆ ในระบบนเิ วศ การถา่ ยทอด พลงั งาน การเปล่ียนแปลงแทนทีใ่ นระบบนเิ วศ ความหมายของประชากร ปัญหาและ ผลกระทบท่ีมตี ่อทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ ม แนวทางในการอนรุ กั ษ์ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละการแก้ไขปัญหาสงิ่ แวดลอ้ ม รวมทงั้ นาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ชัน้ ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ป.๑ ๑. ระบุช่อื พชื และสตั ว์ที่อาศัยอยบูํ รเิ วณ • บรเิ วณตาํ ง ๆ ในท๎องถนิ่ เชนํ สนามหญ๎า ใต๎ตน๎ ไม๎ ตาํ ง ๆ จากข๎อมูลทร่ี วบรวมได๎ สวนหยอํ ม แหลํงนา้ อาจพบพชื และสัตว์หลายชนดิ ๒. บอกสภาพแวดลอ๎ มท่ีเหมาะสมกบั อาศัยอยูํ การดารงชีวติ ของสัตวใ์ นบริเวณท่อี าศยั • บริเวณทแ่ี ตกตาํ งกันอาจพบพชื และสัตว์แตกตาํ งกนั อยูํ เพราะสภาพแวดล๎อมของแตํละบริเวณจะมี ความ เหมาะสมตํอการดารงชวี ติ ของพชื และสัตว์ ที่อาศยั อยูํ ในแตลํ ะบรเิ วณ เชํน สระนา้ มนี า้ เป็นที่อยูํอาศัยของ หอย ปลา สาหรําย เปน็ ทีห่ ลบภยั และมีแหลํงอาหาร ของหอยและปลา บรเิ วณต๎นมะมวํ งมีต๎นมะมวํ งเปน็ แหลํงทอ่ี ยูํ และมีอาหารสาหรับกระรอกและมด • ถา๎ สภาพแวดล๎อมในบรเิ วณทพ่ี ชื และสตั วอ์ าศยั อยูํมี การเปลีย่ นแปลง จะมผี ลตํอการดารงชวี ิตของพชื และ สตั ว์ ป.๒ - - ป.๓ - - ป.๔ - - ป.๕ ๑. บรรยายโครงสร๎างและลักษณะของ • ส่ิงมีชีวติ ท้ังพชื และสัตวม์ ีโครงสรา๎ งและลักษณะ ที่ สง่ิ มชี ีวิตทเี่ หมาะสมกบั การดารงชวี ิต ซง่ึ เหมาะสมในแตลํ ะแหลํงท่อี ยํู ซง่ึ เปน็ ผลมาจาก การ เป็นผลมาจากการปรับตัวของสง่ิ มีชวี ิต ปรบั ตัวของสง่ิ มชี ีวิต เพื่อใหด๎ ารงชีวิตและอยํรู อดได๎ใน ในแตํละแหลงํ ท่อี ยูํ แตํละแหลํงท่ีอยํู เชํน ผกั ตบชวามชี ํองอากาศในก๎าน ใบ ชวํ ยใหล๎ อยน้าได๎ ตน๎ โกงกางทีข่ นึ้ อยูํในปุาชายเลน มีรากค้าจนุ ทาให๎ลาต๎นไมลํ ม๎ ปลามีครีบชวํ ยในการ เคลอ่ื นทใ่ี นน้า ๒. อธิบายความสัมพนั ธ์ระหวํางส่งิ มชี ีวิต • ในแหลํงท่อี ยหํู นง่ึ ๆ สง่ิ มชี วี ติ จะมีความสัมพนั ธ์ ซง่ึ กบั ส่งิ มชี ีวติ และความสัมพนั ธ์ระหวําง กันและกันและสัมพันธก์ บั สิง่ ไมมํ ีชีวติ เพือ่ ประโยชน์ ส่งิ มีชีวิตกับส่ิงไมํมีชวี ิต เพอื่ ประโยชนต์ ํอ ตํอการดารงชวี ิต เชนํ ความสัมพันธก์ ัน ดา๎ นการกินกัน การดารงชีวติ เป็นอาหาร เปน็ แหลํงทอี่ ยูํอาศยั หลบภยั และเลยี้ งดู ๓. เขียนโซอํ าหารและระบบุ ทบาท ลกู ออํ น ใช๎อากาศในการหายใจ หนา๎ ที่ของส่งิ มชี ีวิตที่เป็นผูผ๎ ลิตและ • ส่ิงมีชวี ติ มีการกนิ กนั เป็นอาหาร โดยกนิ ตอํ กัน เป็น ผ๎ูบรโิ ภคในโซํอาหาร ทอด ๆ ในรูปแบบของโซอํ าหาร ทาใหส๎ ามารถระบุ
๑๑๓ ๔. ตระหนกั ในคณุ คาํ ของสง่ิ แวดล๎อมท่ีมี บทบาทหน๎าที่ของสิง่ มชี ีวติ เป็นผผ๎ู ลติ และผู๎บรโิ ภค ตอํ การดารงชวี ติ ของสิ่งมชี ีวิต โดยมีสํวน รวํ มในการดูแลรักษาสิ่งแวดล๎อม ป.๖ - - ม.๑ - - ม.๒ - - ม.๓ • ระบบนิเวศประกอบดว๎ ยองค์ประกอบท่ีมีชีวติ เชํน ๑ อธบิ ายรูปแบบ พชื สตั ว์ จุลินทรยี ์ และองคป์ ระกอบท่ีไมมํ ชี วี ิต เชํน ความสมั พนั ธ์ระหวาํ ง แสง นา้ อณุ หภมู ิ แรธํ าตุ แก๏ส องคป์ ระกอบเหลาํ นมี้ ี สิง่ มีชีวติ กบั ส่ิงมชี ีวิต ปฏิสัมพันธ์กนั เชนํ พืชต๎องการแสง น้า และแกส๏ รูปแบบตาํ ง ๆ ในแหลํงท่ี คารบ์ อนไดออกไซด์ ในการสร๎างอาหาร สตั วต์ อ๎ งการ อยํูเดยี วกัน ท่ีได๎จากการ อาหาร และสภาพแวดล๎อมท่ีเหมาะสมในการ สารวจ ดารงชวี ิต เชํน อณุ หภูมิ ความช้นื องคป์ ระกอบทง้ั สอง สวํ นนจี้ ะตอ๎ งมีความสัมพนั ธก์ ันอยาํ งเหมาะสม ระบบ นเิ วศจงึ จะสามารถคงอยูํตํอไปได๎ ๒. อธิบายรูปแบบความสมั พันธ์ระหวาํ ง • สิ่งมชี วี ติ กับส่งิ มีชวี ติ มี ส่ิงมีชีวติ กบั สงิ่ มีชวี ิตรปู แบบตําง ๆ ใน ความสัมพนั ธ์กันในรูปแบบตําง ๆ แหลงํ ท่อี ยํเู ดยี วกัน ท่ไี ดจ๎ ากการสารวจ เชํน ภาวะพงึ่ พากนั ภาวะองิ อาศัย ภาวะเหยื่อกับผลู๎ ํา ภาวะปรสติ • สง่ิ มชี ีวิตชนดิ เดียวกนั ท่ีอาศัยอยํู รํวมกนั ในแหลงํ ท่ีอยเูํ ดยี วกัน ในชํวง เวลาเดียวกัน เรยี กวาํ ประชากร • กลมุํ สิง่ มีชีวติ ประกอบด๎วย ประชากรของสงิ่ มีชวี ติ หลาย ๆ ชนดิ อาศัยอยรํู ํวมกันในแหลงํ ทอ่ี ยํู เดยี วกนั ๓. สร๎างแบบจาลองในการอธิบายการ ถํายทอดพลังงานในสายใยอาหาร -กลมํุ ส่ิงมีชีวติ ในระบบนเิ วศแบงํ ๔. อธบิ ายความสมั พันธ์ของผ๎ูผลติ ตามหนา๎ ที่ได๎เปน็ ๓ กลุํม ไดแ๎ กํ ผ๎ูบริโภค และผ๎ูยอํ ยสลายสารอินทรยี ์ใน ผู๎ผลติ ผบ๎ู ริโภค และผู๎ยํอยสลาย ระบบนเิ วศ สารอนิ ทรีย์ สิ่งมีชวี ติ ท้งั ๓ กลุํมนี้ มี ๕. อธิบายการสะสมสารพิษในสงิ่ มชี วี ิต ความสัมพนั ธก์ ัน ผ๎ูผลิตเปน็ สิ่งมีชวี ิต ในโซํอาหาร ท่สี รา๎ งอาหารได๎เอง โดย ๖. ตระหนักถงึ ความสัมพนั ธข์ อง กระบวนการสงั เคราะห์ดว๎ ยแสง สง่ิ มชี ีวติ และสิง่ แวดลอ๎ มในระบบนเิ วศ ผู๎บริโภค เป็นส่ิงมชี ีวติ ทีไ่ มสํ ามารถ โดยไมทํ าลายสมดุลของระบบนเิ วศ สร๎างอาหารได๎เอง และต๎องกิน ผผ๎ู ลติ หรอื ส่งิ มชี ีวติ อ่ืนเป็นอาหาร เมอื่ ผู๎ผลิตและผู๎บริโภคตายลง จะถกู ยอํ ยโดยผ๎ยู ํอยสลายสารอนิ ทรยี ์ซง่ึ
๑๑๔ จะเปลยี่ นสารอนิ ทรยี เ์ ป็นสารอนนิ ท รีย์กลบั คนื สูํสง่ิ แวดลอ๎ ม ทาให๎เกดิ การหมุนเวยี นสารเป็นวฏั จักร จานวนผูผ๎ ลติ ผ๎บู รโิ ภค และผ๎ูยํอย สลายสารอินทรีย์ จะต๎องมีความ เหมาะสม จึงทาให๎กลุํมสิ่งมชี วี ิตอยูํ ได๎อยํางสมดุล • พลงั งานถูกถาํ ยทอดจากผูผ๎ ลติ ไปยังผ๎ูบริโภคลาดบั ตาํ ง ๆ รวมท้ังผ๎ยู ํอยสลายสารอนิ ทรีย์ ในรปู แบบ สายใยอาหาร ทปี่ ระกอบดว๎ ย โซํอาหารหลายโซํที่ สัมพนั ธก์ ัน ในการถาํ ยทอด พลงั งานในโซํอาหาร พลงั งานท่ถี ูกถาํ ยทอดไปจะ ลดลงเร่ือย ๆ ตามลาดบั ของการบริโภค • การถาํ ยทอดพลังงานในระบบนิเวศ อาจทาให๎ มี สารพิษสะสมอยูํในสิ่งมีชีวิตได๎ จนอาจกํอใหเ๎ กิด อนั ตรายตํอส่งิ มีชวี ติ และทาลายสมดุลในระบบนเิ วศ ดังนนั้ การดูแลรักษาระบบนเิ วศใหเ๎ กดิ ความสมดลุ และคงอยํตู ลอดไปจึงเปน็ สิ่งสาคัญ
๑๑๕ สาระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว ๑.๒ เขา้ ใจสมบัติของส่ิงมีชีวติ หน่วยพน้ื ฐานของส่ิงมีชีวิต การลาเลียงสารเขา้ และออกจาก เซลล์ความสัมพนั ธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสตั วแ์ ละมนุษยท์ ่ี ทางานสัมพันธ์กนั ความสัมพนั ธข์ องโครงสรา้ งและหนา้ ท่ขี องอวยั วะตา่ ง ๆ ของพืชที่ ทางานสัมพนั ธก์ นั รวมท้ังนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ชัน้ ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๑ ๑. ระบชุ ื่อ บรรยายลกั ษณะและบอก • มนุษยม์ สี ํวนตําง ๆ ท่มี ลี ักษณะและหนา๎ ที่แตกตํางกนั หนา๎ ท่ขี องสวํ นตําง ๆ ของรํางกาย เพื่อให๎เหมาะสมในการดารงชีวติ เชํน ตามหี น๎าท่ีไว๎มองดู มนุษย์ สตั ว์ และพชื รวมท้ังบรรยาย โดยมีหนังตาและขนตา เพอื่ ปูองกนั อนั ตรายให๎กบั ตา หูมี การทาหนา๎ ที่รํวมกันของสวํ นตําง ๆ หนา๎ ทีร่ ับฟงั เสยี ง โดยมใี บหูและรูหู เพ่อื เปน็ ทางผาํ นของ ของราํ งกายมนุษย์ในการทากิจกรรม เสียง ปากมีหนา๎ ที่พูด กนิ อาหาร มีชํองปากและมรี ิมฝปี าก ตาํ ง ๆ จากข๎อมูลที่รวบรวมได๎ บนลาํ ง แขนและมือมีหน๎าท่ยี ก หยิบ จบั มีทํอนแขนและ ๒. ตระหนักถึงความสาคญั ของสวํ น นิ้วมือทีข่ ยับได๎ สมองมหี นา๎ ท่ีควบคมุ การทางานของสวํ น ตาํ ง ๆ ของรํางกายตนเอง โดยการ ตาํ ง ๆ ของรํางกาย อยํใู นกะโหลกศีรษะ โดยสํวนตาํ ง ๆ ดแู ลสวํ นตําง ๆ อยํางถูกต๎อง ให๎ ของราํ งกายจะทาหนา๎ ท่ีรวํ มกันในการทากิจกรรม ใน ปลอดภัย และรักษาความสะอาดอยูํ ชีวิตประจาวัน เสมอ • สัตวม์ ีหลายชนดิ แตํละชนิดมสี ํวนตําง ๆ ท่ีมีลักษณะ และหนา๎ ท่ีแตกตาํ งกัน เพอื่ ให๎เหมาะสม ในการดารงชวี ติ เชํน ปลามคี รีบเปน็ แผํน สํวนกบ เตํา แมว มขี า ๔ ขา และมีเท๎าสาหรบั ใช๎ในการเคลอื่ นท่ี • พชื มสี วํ นตําง ๆ ท่ีมลี ักษณะและหน๎าทแ่ี ตกตํางกัน เพื่อให๎เหมาะสมในการดารงชีวิต โดยท่ัวไป รากมลี กั ษณะ เรยี วยาว และแตกแขนงเป็นรากเลก็ ๆ ทาหน๎าท่ีดดู นา้ ลาต๎นมีลักษณะเป็นทรงกระบอกต้งั ตรงและมีกง่ิ ก๎าน ทา หนา๎ ทีช่ กู ิ่งกา๎ น ใบ และดอก ใบมีลกั ษณะเปน็ แผํนแบน ทาหนา๎ ทสี่ ร๎างอาหาร นอกจากนพ้ี ชื หลายชนดิ อาจมดี อก ท่มี สี ี รปู ราํ งตําง ๆ ทาหน๎าท่ีสืบพันธ์ุ รวมท้งั มีผลที่มี เปลือก มีเน้อื หอํ หุ๎มเมล็ด และมีเมล็ดซ่ึงสามารถงอกเปน็ ต๎นใหมไํ ด๎
๑๑๖ ชัน้ ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.๑ มนษุ ย์ใชส๎ วํ นตาํ ง ๆ ของรํางกายในการทากจิ กรรมตาํ ง ๆ (ตอ่ ) เพ่ือการดารงชวี ิต มนุษย์จงึ ควรใชส๎ วํ นตําง ๆ ของรํางกาย อยาํ งถูกต๎อง ปลอดภยั และรักษาความสะอาดอยํูเสมอ เชํน ใช๎ตามองตัวหนงั สอื ในที่ทมี่ แี สงสวาํ งเพียงพอ ดแู ล ตาใหป๎ ลอดภัยจากอันตราย และรกั ษาความสะอาดตาอยูํ เสมอ ป.๒ ๑. ระบุวาํ พืชต๎องการแสงและน้า เพ่อื • พชื ตอ๎ งการน้า แสง เพื่อการเจรญิ เตบิ โต การเจริญเตบิ โต โดยใช๎ข๎อมลู จาก หลักฐานเชิงประจักษ์ ๒. ตระหนกั ถงึ ความจาเป็นท่ีพชื ตอ๎ ง ไดร๎ ับนา้ และแสงเพ่ือการเจริญเติบโต โดยดูแลพชื ให๎ได๎รับส่ิงดังกลาํ วอยําง เหมาะสม ๓. สรา๎ งแบบจาลองทบ่ี รรยายวัฏจกั ร • พชื ดอกเมื่อเจริญเติบโตและมีดอก ดอกจะมีการสืบพนั ธุ์ ชีวิตของพืชดอก เปลีย่ นแปลงไปเป็นผล ภายในผลมเี มลด็ เม่อื เมล็ดงอก ต๎นอํอนทีอ่ ยภูํ ายในเมล็ดจะเจริญเตบิ โตเป็นพืชตน๎ ใหมํ พืชต๎นใหมจํ ะเจริญเติบโต ออกดอกเพ่ือสืบพันธุม์ ผี ลตํอไป ไดอ๎ ีกหมุนเวียนตํอเน่อื งเปน็ วัฏจักรชีวิตของพชื ดอก ป.๓ ๑. บรรยายส่ิงทีจ่ าเปน็ ตํอการ • มนุษยแ์ ละสตั ว์ต๎องการอาหาร นา้ และอากาศ เพ่อื การ ดารงชวี ิต และการเจริญเติบโตของ ดารงชวี ติ และการเจริญเติบโต มนษุ ย์และสัตว์ โดยใชข๎ อ๎ มลู ท่ีรวบรวม • อาหารชํวยให๎รํางกายแข็งแรงและเจรญิ เตบิ โต นา้ ชํวยให๎ ได๎ รํางกายทางานได๎อยํางปกติ อากาศใช๎ ในการหายใจ ๒. ตระหนักถึงประโยชนข์ องอาหาร น้า และอากาศ โดยการดแู ลตนเอง และสตั ว์ให๎ไดร๎ ับสง่ิ เหลํานี้อยําง เหมาะสม ๓. สรา๎ งแบบจาลองทีบ่ รรยายวฏั จกั ร • สตั ว์เม่อื เปน็ ตัวเตม็ วยั จะสบื พนั ธ์มุ ีลกู เม่ือลกู เจริญเตบิ โต ชีวติ ของสัตว์ และเปรียบเทียบวัฏจักร เป็นตวั เต็มวัยก็สบื พันธม์ุ ีลกู ตํอไปไดอ๎ ีก หมุนเวยี นตอํ เนื่อง ชวี ิตของสตั ว์บางชนิด เป็นวฏั จักรชีวติ ของสตั ว์ ซึง่ สตั ว์แตํละชนิด เชนํ ผีเสื้อ กบ ๔. ตระหนักถงึ คุณคําของชวี ติ สตั ว์ โดย ไกํ มนษุ ย์จะมีวฏั จักรชีวติ ท่ีเฉพาะและแตกตํางกนั ไมํทาใหว๎ ัฏจกั รชวี ติ ของสัตว์ เปลีย่ นแปลง
๑๑๗ ช้ัน ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๔ ๑. บรรยายหน๎าทีข่ องราก ลาตน๎ ใบ • สวํ นตําง ๆ ของพชื ดอกทาหน๎าท่ีแตกตํางกนั และดอกของพชื ดอก โดยใช๎ข๎อมูลท่ี - รากทาหน๎าทีด่ ดู นา้ และธาตุอาหารขน้ึ ไปยังลาตน๎ รวบรวมได๎ - ลาตน๎ ทาหน๎าท่ีลาเลียงน้าตํอไปยังสํวนตําง ๆ ของพืช - ใบทาหนา๎ ท่ีสร๎างอาหาร อาหารทพี่ ืชสร๎างขึ้น คอื น้าตาลซ่งึ จะเปลยี่ นเป็นแปงู - ดอกทาหน๎าทีส่ ืบพันธุ์ ประกอบด๎วย สํวนประกอบตําง ๆ ไดแ๎ กํ กลีบเลย้ี ง กลีบดอก เกสรเพศผ๎ู และเกสรเพศเมีย ซงึ่ สํวนประกอบแตลํ ะสํวนของดอกทาหน๎าท่ีแตกตาํ งกนั ป.๕ - - ป.๖ ๑. ระบสุ ารอาหารและบอกประโยชน์ • สารอาหารทอ่ี ยูํในอาหารมี ๖ ประเภท ไดแ๎ กํ ของสารอาหารแตลํ ะประเภทจาก คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี ไขมัน เกลือแรํ วติ ามนิ และน้า อาหารทต่ี นเองรับประทาน • อาหารแตํละชนิดประกอบด๎วยสารอาหารทแ่ี ตกตาํ งกัน ๒. บอกแนวทางในการเลอื ก อาหารบางอยํางประกอบดว๎ ยสารอาหารประเภทเดียว รับประทานอาหารให๎ไดส๎ ารอาหาร อาหารบางอยาํ งประกอบดว๎ ยสารอาหารมากกวาํ หนึ่ง ครบถ๎วน ในสดั สวํ นที่เหมาะสมกบั เพศ ประเภท และวัย รวมทงั้ ความปลอดภยั ตํอ • สารอาหารแตํละประเภทมีประโยชน์ตํอรํางกายแตกตาํ ง สุขภาพ กนั โดยคาร์โบไฮเดรต โปรตนี และไขมนั เป็นสารอาหาร ๓. ตระหนักถงึ ความสาคญั ของ ทใี่ ห๎พลงั งานแกํรํางกาย สวํ นเกลือแรํ วิตามิน และน้า สารอาหาร โดยการเลอื กรับประทาน เป็นสารอาหารที่ไมํให๎พลงั งานแกํรํางกาย แตชํ ํวยให๎ อาหารทม่ี สี ารอาหารครบถ๎วนใน รํางกายทางานได๎เป็นปกติ สดั สํวนท่ีเหมาะสมกับเพศและวยั • การรับประทานอาหาร เพื่อใหร๎ ํางกายเจริญเติบโต มี รวมทั้งปลอดภัยตํอสขุ ภาพ การเปลี่ยนแปลงของราํ งกายตามเพศและวยั และมี สุขภาพดี จาเป็นตอ๎ งรบั ประทานให๎ได๎พลงั งานเพียงพอกับ ความต๎องการของรํางกาย และให๎ได๎สารอาหารครบถ๎วน ในสดั สํวนท่เี หมาะสมกบั เพศและวยั รวมท้ังตอ๎ งคานงึ ถงึ ชนดิ และปริมาณของวัตถุเจือปนในอาหาร เพือ่ ความ ปลอดภัยตํอสุขภาพ
๑๑๘ ชั้น ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ๔. สรา๎ งแบบจาลองระบบยํอยอาหาร • ระบบยอํ ยอาหารประกอบด๎วยอวัยวะตาํ ง ๆ ไดแ๎ กํ ปาก และบรรยายหนา๎ ท่ีของอวัยวะในระบบ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลาไส๎เล็ก ลาไสใ๎ หญํ ทวาร ยํอยอาหาร รวมท้ังอธบิ ายการยอํ ย หนัก ตบั และตบั ออํ น ซง่ึ ทาหนา๎ ที่รวํ มกันในการยํอยและ อาหารและการดดู ซึมสารอาหาร ดดู ซึมสารอาหาร ๕. ตระหนักถึงความสาคญั ของระบบ - ปากมีฟนั ชวํ ยบดเคี้ยวอาหารใหม๎ ขี นาดเล็กลงและมลี น้ิ ยอํ ยอาหาร โดยการบอกแนวทางใน ชวํ ยคลกุ เคล๎าอาหารกับนา้ ลาย ในน้าลายมเี อนไซมย์ ํอย การดูแลรักษาอวยั วะในระบบยํอย แปงู ใหเ๎ ปน็ นา้ ตาล อาหารใหท๎ างานเป็นปกติ - หลอดอาหารทาหน๎าทล่ี าเลียงอาหารจากปากไปยงั กระเพาะอาหาร ภายในกระเพาะอาหาร มีการยอํ ยโปรตีน โดยกรดและเอนไซมท์ ่สี ร๎างจากกระเพาะอาหาร - ลาไส๎เล็กมีเอนไซม์ที่สรา๎ งจากผนงั ลาไส๎เล็กเองและจาก ตับอํอนทช่ี วํ ยยอํ ยโปรตีน คารโ์ บไฮเดรต และไขมนั โดย โปรตีน คารโ์ บไฮเดรต และไขมันท่ีผาํ นการยํอยจนเปน็ สารอาหารขนาดเล็กพอท่ีจะดูดซึมได๎ รวมถึงนา้ เกลือแรํ และวติ ามิน จะถูกดูดซมึ ที่ผนังลาไสเ๎ ลก็ เขา๎ สูํกระแสเลือด เพือ่ ลาเลยี งไปยงั สํวนตําง ๆ ของรํางกาย ซึง่ โปรตีน คารโ์ บไฮเดรต และไขมัน จะถูกนาไปใช๎เปน็ แหลํงพลงั งาน สาหรบั ใช๎ในกิจกรรมตาํ ง ๆ สํวนน้า เกลอื แรํ และวติ ามนิ จะชํวยให๎ราํ งกายทางานได๎เป็นปกติ - ตบั สรา๎ งนา้ ดแี ลว๎ สํงมายังลาไสเ๎ ล็กชวํ ยใหไ๎ ขมันแตกตัว - ลาไส๎ใหญํทาหน๎าทด่ี ูดน้าและเกลือแรํ เป็นบรเิ วณที่มี อาหารทีย่ ํอยไมไํ ด๎หรือยอํ ยไมํหมด เป็นกากอาหาร ซึ่งจะ ถกู กาจัดออกทางทวารหนัก • อวัยวะตําง ๆ ในระบบยํอยอาหารมคี วามสาคัญ จงึ ควร ปฏบิ ตั ติ น ดแู ลรักษาอวัยวะให๎ทางานเป็นปกติ
๑๑๙ ชั้น ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ม.๑ ๑. เปรียบเทยี บรปู รําง ลกั ษณะ และ • เซลล์เปน็ หนํวยพ้นื ฐานของสิง่ มชี ีวิต ส่งิ มีชวี ิตบางชนิดมี โครงสร๎างของเซลลพ์ ืชและเซลล์สตั ว์ เซลล์เพียงเซลลเ์ ดยี ว เชํน อะมบี า พารามีเซยี ม ยสี ต์ บาง รวมทงั้ บรรยายหนา๎ ทีข่ องผนงั เซลล์ ชนดิ มหี ลายเซลล์ เชนํ พชื สตั ว์ เย่อื ห๎ุมเซลล์ ไซโทพลาซึม นิวเคลยี ส • โครงสรา๎ งพนื้ ฐานทพ่ี บทั้งในเซลลพ์ ืชและเซลล์สตั ว์ และ แวควิ โอล ไมโทคอนเดรีย และคลอ สามารถสังเกตไดด๎ ๎วยกล๎องจุลทรรศนใ์ ชแ๎ สง ได๎แกํ เยือ่ หุม๎ โรพลาสต์ เซลล์ ไซโทพลาซมึ และนิวเคลยี ส โครงสร๎างท่ีพบในเซลล์ ๒. ใช๎กล๎องจุลทรรศนใ์ ช๎แสงศึกษา พชื แตํไมํพบในเซลล์สตั ว์ ได๎แกํ ผนังเซลล์และคลอโรพลาสต์ เซลล์ และโครงสร๎างตําง ๆ ภายใน • โครงสรา๎ งตําง ๆ ของเซลล์มีหน๎าทีแ่ ตกตํางกนั เซลล์ - ผนังเซลล์ ทาหน๎าที่ให๎ความแขง็ แรงแกํเซลล์ - เย่อื หุ๎มเซลล์ ทาหนา๎ ท่ีหํอห๎ุมเซลล์และควบคุมการลาเลยี ง สารเข๎าและออกจากเซลล์ - นวิ เคลียส ทาหน๎าท่ีควบคมุ การทางานของเซลล์ - ไซโทพลาซึม มอี อร์แกเนลล์ท่ที าหน๎าท่ีแตกตํางกนั - แวคิวโอล ทาหนา๎ ทเ่ี กบ็ น้าและสารตําง ๆ - ไมโทคอนเดรีย ทาหนา๎ ท่ีเกี่ยวกับการสลายสารอาหาร เพอ่ื ให๎ได๎พลังงานแกเํ ซลล์ - คลอโรพลาสต์ เปน็ แหลํงทเี่ กิดการสงั เคราะหด์ ๎วยแสง ๓. อธบิ ายความสัมพันธร์ ะหวํางรปู รําง • เซลลข์ องสงิ่ มชี ีวิตมรี ปู รําง ลกั ษณะ ท่หี ลากหลาย และมี กบั การทาหน๎าท่ีของเซลล์ ความเหมาะสมกบั หน๎าทขี่ องเซลลน์ ้ัน เชนํ เซลล์ประสาท สํวนใหญํ มีเสน๎ ใยประสาทเป็นแขนงยาว นากระแส ประสาทไปยังเซลล์อ่นื ๆ ทอี่ ยํูไกลออกไป เซลล์ขนราก เป็น เซลลผ์ วิ ของรากท่ีมีผนงั เซลล์และเย่อื หุ๎มเซลล์ย่นื ยาว ออกมา ลกั ษณะคล๎ายขนเส๎นเล็ก ๆ เพอ่ื เพิม่ พ้นื ท่ีผิวในการ ดูดนา้ และธาตุอาหาร ๔. อธิบายการจัดระบบของสิ่งมีชีวติ • พืชและสตั วเ์ ปน็ ส่ิงมีชีวิตหลายเซลลม์ กี ารจดั ระบบ โดย โดยเร่มิ จากเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ เริม่ จากเซลล์ไปเป็นเนื้อเยื่อ อวยั วะ ระบบอวัยวะ และ ระบบอวยั วะ จนเปน็ สงิ่ มชี วี ิต สง่ิ มชี ีวติ ตามลาดบั เซลล์หลายเซลลม์ ารวมกันเปน็ เน้ือเยือ่ เนอื้ เยื่อหลายชนดิ มารวมกนั และทางานรํวมกันเป็นอวัยวะ อวัยวะตาํ ง ๆ ทางานรํวมกนั เป็นระบบอวยั วะ ระบบอวยั วะ ทุกระบบทางานรวํ มกนั เป็นสิ่งมชี ีวิต
ชน้ั ตัวช้ีวดั ๑๒๐ ม.๑ ๕. อธบิ ายกระบวนการแพรแํ ละ (ตอ่ ) ออสโมซิสจากหลักฐานเชิง สาระการเรียนรแู้ กนกลาง เซลลม์ ีการนาสารเขา๎ สเํู ซลล์ เพอื่ ใชใ๎ นกระบวนการ ประจกั ษ์ และยกตัวอยํางการแพรํ ตาํ ง ๆ ของเซลล์ และมีการขจัดสารบางอยาํ งทเี่ ซลล์ และออสโมซิสในชวี ิตประจาวัน ไมตํ ๎องการออกนอกเซลล์ การนาสารเขา๎ และออกจาก เซลล์มีหลายวธิ ี เชํน การแพรํเปน็ การเคล่ือนที่ของสาร ๖. ระบปุ จั จัยทจี่ าเปน็ ในการ จากบริเวณที่มีความเข๎มขน๎ ของสารสงู ไปสํูบริเวณทม่ี ี สังเคราะหด์ ว๎ ยแสงและผลผลิตที่ ความเข๎มข๎นของสารตา่ สวํ นออสโมซสิ เปน็ การแพรํ เกดิ ขน้ึ จากการสงั เคราะห์ดว๎ ยแสง ของน้า ผาํ นเยอ่ื ห๎มุ เซลล์ จากดา๎ นทมี่ คี วามเขม๎ ข๎นของ โดยใช๎หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ สารละลายต่าไปยังด๎านท่ีมีความเข๎มข๎นของ ๗. อธิบายความสาคัญของการ สารละลายสูงกวาํ สงั เคราะห์ด๎วยแสงของพืชตํอ กระบวนการสงั เคราะห์ดว๎ ยแสงของพืชท่เี กดิ ข้นึ ใน สิ่งมีชวี ติ และสง่ิ แวดล๎อม คลอโรพลาสต์ จาเป็นต๎องใชแ๎ สง แกส๏ คารบ์ อนได- ๘. ตระหนกั ในคณุ คาํ ของพืชทม่ี ี ออกไซด์ คลอโรฟิลล์ และนา้ ผลผลติ ทไี่ ดจ๎ าก การ ตํอส่ิงมชี ีวิตและส่ิงแวดล๎อม โดย สังเคราะห์ด๎วยแสง ได๎แกํ น้าตาลและแก๏สออกซเิ จน การรํวมกนั ปลกู และดแู ลรักษา การสังเคราะห์ด๎วยแสง เปน็ กระบวนการทสี่ าคัญตอํ ต๎นไมใ๎ นโรงเรียนและชุมชน สิ่งมชี วี ิต เพราะเปน็ กระบวนการเดยี ว ท่ีสามารถนา พลงั งานแสงมาเปลยี่ นเปน็ พลังงานในรูปสารประกอบ ๙. บรรยายลักษณะและหนา๎ ท่ี อนิ ทรีย์และเก็บสะสมในรูปแบบตําง ๆ ในโครงสรา๎ ง ของไซเล็มและโฟลเอ็ม ของพืช พืชจึงเป็นแหลงํ อาหารและพลงั งานทส่ี าคญั ๑๐. เขยี นแผนภาพที่บรรยายทศิ ของสิ่งมชี ีวติ อน่ื นอกจากน้ีกระบวนการสงั เคราะห์ ทางการลาเลยี งสารในไซเล็ม ด๎วยแสงยังเป็นกระบวนการหลกั ในการสร๎างแก๏ส และโฟลเอ็มของพืช ออกซิเจนให๎กับบรรยากาศเพื่อให๎สิ่งมชี ีวติ อ่ืน ใช๎ใน กระบวนการหายใจ พืชมไี ซเล็มและโฟลเอม็ ซง่ึ เป็นเนอื้ เยื่อมลี ักษณะ คลา๎ ยทํอ เรียงตวั กันเปน็ กลมํุ เฉพาะที่ โดยไซเลม็ ทา หน๎าที่ลาเลียงน้าและธาตุอาหาร มีทศิ ทางลาเลียง จากรากไปสํูลาตน๎ ใบ และสํวนตาํ ง ๆ ของพืช เพ่อื ใชใ๎ นการสังเคราะหด์ ว๎ ยแสงรวมถึงกระบวนการอนื่ ๆ สํวนโฟลเอ็มทาหนา๎ ทีล่ าเลียงอาหารท่ีได๎จากการ สงั เคราะหด์ ว๎ ยแสง มีทศิ ทางลาเลยี งจากบรเิ วณทม่ี ี การสังเคราะหด์ ๎วยแสงไปสูสํ วํ นตําง ๆ ของพืช
ชนั้ ตวั ชี้วัด ๑๒๑ ม.๑ ๑๑. อธิบายการสบื พนั ธแุ์ บบอาศัย (ตอ่ ) เพศ และไมํอาศัยเพศของพชื ดอก สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • พืชดอกทุกชนิดสามารถสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศได๎ และ ๑๒. อธิบายลกั ษณะโครงสรา๎ ง บางชนิดสามารถสืบพันธแ์ุ บบไมํอาศยั เพศได๎ ของดอกทมี่ สี วํ นทาใหเ๎ กิดการถําย เรณู รวมทง้ั บรรยาย การปฏสิ นธิ • การสบื พนั ธแ์ุ บบอาศัยเพศเปน็ การสืบพนั ธทุ์ ม่ี ีการผสม ของพชื ดอก การเกดิ ผลและเมล็ด กันของสเปริ ์มกบั เซลลไ์ ขํ การสบื พันธุ์ แบบอาศัยเพศ การกระจายเมล็ด และการงอก ของพืชดอกเกดิ ข้ึนทดี่ อก โดยภายในอับเรณูของสวํ น ของเมลด็ เกสรเพศผูม๎ ีเรณู ซึ่งทาหนา๎ ท่ีสรา๎ งสเปิร์ม ภายในออวลุ ๑๓. ตระหนักถึงความสาคญั ของ ของสํวนเกสรเพศเมีย มีถุงเอ็มบริโอ ทาหนา๎ ที่สร๎างเซลล์ สัตว์ท่ีชวํ ยในการถํายเรณขู องพชื ไขํ ดอก โดยการไมํทาลายชีวติ ของ • การสืบพันธ์ุแบบไมํอาศัยเพศ เป็นการสืบพันธท์ุ ่ีพืชต๎น สตั ว์ทช่ี วํ ยในการถํายเรณู ใหมไํ มํได๎เกดิ จากการปฏสิ นธิระหวํางสเปริ ์ม กับเซลล์ไขํ แตเํ กดิ จากสวํ นตําง ๆ ของพืช เชนํ ราก ลาต๎น ใบ มกี าร เจรญิ เติบโตและพัฒนาข้นึ มา เปน็ ต๎นใหมไํ ด๎ • การถาํ ยเรณู คือ การเคลือ่ นยา๎ ยของเรณจู ากอับเรณู ไปยังยอดเกสรเพศเมยี ซึ่งเกี่ยวข๎องกบั ลักษณะและ โครงสร๎างของดอก เชนํ สีของกลีบดอก ตาแหนงํ ของ เกสรเพศผ๎ูและเกสรเพศเมยี โดยมสี ิ่งท่ชี ํวยในการถําย เรณู เชนํ แมลง ลม • การถํายเรณจู ะนาไปสํูการปฏิสนธิ ซง่ึ จะเกิดข้ึนท่ีถุง เอ็มบริโอภายในออวลุ หลงั การปฏิสนธิจะได๎ไซโกต และ เอนโดสเปิรม์ ไซโกตจะพฒั นาตํอไปเปน็ เอ็มบรโิ อ ออวลุ พฒั นาไปเป็นเมล็ด และรังไขํพฒั นาไปเป็นผล • ผลและเมล็ดมีการกระจายออกจากต๎นเดมิ โดยวธิ ีการ ตาํ ง ๆ เม่ือเมล็ดไปตกในสภาพแวดลอ๎ มท่ีเหมาะสมจะ เกดิ การงอกของเมล็ด โดยเอม็ บริโอภายในเมลด็ จะเจริญ ออกมา โดยระยะแรกจะอาศัยอาหารที่สะสมภายใน เมล็ด จนกระทั่งใบแทพ๎ ฒั นา จนสามารถสงั เคราะห์ดว๎ ย แสงไดเ๎ ต็มที่ และสร๎างอาหารไดเ๎ องตามปกติ
๑๒๒ ชนั้ ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ม.๒ ๑. ระบุอวยั วะและบรรยายหนา๎ ท่ีของ • ระบบหายใจมีอวัยวะตาํ ง ๆ ทเี่ กย่ี วข๎อง ได๎แกํ จมูก ทอํ อวัยวะทเี่ ก่ยี วข๎องในระบบหายใจ ลม ปอด กะบงั ลม และกระดูกซ่โี ครง ๒. อธบิ ายกลไกการหายใจเข๎าและ • มนษุ ยห์ ายใจเข๎า เพอ่ื นาแก๏สออกซเิ จนเข๎าสํูรํางกายเพือ่ ออก โดยใชแ๎ บบจาลอง รวมทั้งอธบิ าย นาไปใชใ๎ นเซลล์ และหายใจออก เพอื่ กาจดั แกส๏ กระบวนการแลกเปลี่ยนแกส๏ คาร์บอนไดออกไซด์ออกจากรํางกาย ๓. ตระหนักถงึ ความสาคัญของระบบ • อากาศเคลอื่ นท่เี ขา๎ และออกจากปอดได๎ เนอ่ื งจากการ หายใจ โดยการบอกแนวทางในการ เปลยี่ นแปลงปรมิ าตรและความดนั ของอากาศภายในชํอง ดแู ลรักษาอวยั วะในระบบหายใจให๎ อกซึง่ เก่ยี วข๎องกับการทางานของกะบังลม และกระดูก ทางานเปน็ ปกติ ซโ่ี ครง • การแลกเปล่ียนแกส๏ ออกซิเจนกบั แก๏สคาร์บอนไดออกไซด์ ในรํางกาย เกดิ ขนึ้ บริเวณถงุ ลมในปอดกับหลอดเลือดฝอยที่ ถงุ ลม และระหวํางหลอดเลือดฝอยกับเน้ือเยื่อ • การสบู บุหร่ี การสูดอากาศท่ีมีสารปนเป้ือน และการเป็น โรคเก่ียวกับระบบหายใจบางโรค อาจทาให๎เกิดโรคถุงลม โปงุ พอง ซ่ึงมผี ลให๎ความจุอากาศของปอดลดลง ดังนั้นจงึ ควรดูแลรกั ษาระบบหายใจ ให๎ทาหน๎าทเ่ี ป็นปกติ ๔. ระบอุ วยั วะและบรรยายหนา๎ ท่ขี อง • ระบบขบั ถํายมอี วัยวะทเ่ี ก่ียวขอ๎ ง คือ ไต ทํอไต กระเพาะ อวยั วะ ในระบบขบั ถํายในการกาจดั ปัสสาวะ และทํอปัสสาวะ โดยมีไตทาหน๎าท่ีกาจัดของเสยี ของเสยี ทางไต เชนํ ยเู รยี แอมโมเนีย กรดยูริก รวมทั้งสารที่รํางกายไมํ ๕. ตระหนกั ถึงความสาคัญของระบบ ต๎องการออกจากเลอื ด และควบคุมสารทม่ี ีมากหรอื น๎อย ขับถําย ในการกาจดั ของเสียทางไต เกินไป เชนํ นา้ โดยขับออกมาในรปู ของปัสสาวะ โดยการบอกแนวทางในการปฏิบตั ิตน • การเลือกรับประทานอาหารทเ่ี หมาะสม เชํน รับประทาน ท่ชี วํ ยใหร๎ ะบบขบั ถํายทาหน๎าท่ีได๎อยาํ ง อาหารที่ไมํมรี สเค็มจดั การดมื่ นา้ สะอาดให๎เพียงพอ เป็น ปกติ แนวทางหน่ึงท่ชี ํวยใหร๎ ะบบขับถํายทาหน๎าที่ได๎อยาํ งปกติ
๑๒๓ ชั้น ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๖. บรรยายโครงสร๎างและหน๎าที่ของ • ระบบหมนุ เวียนเลอื ดประกอบดว๎ ย หัวใจ หลอดเลือด หวั ใจ หลอดเลอื ด และเลือด และเลอื ด ๗. อธิบายการทางานของระบบ • หวั ใจของมนุษย์แบํงเปน็ ๔ ห๎อง ได๎แกํ หวั ใจ หอ๎ งบน ๒ หมุนเวียนเลอื ด โดยใช๎แบบจาลอง หอ๎ ง และห๎องลําง ๒ ห๎อง ระหวาํ งหวั ใจหอ๎ งบนและหัวใจ หอ๎ งลํางมีลิน้ หัวใจกั้น • หลอดเลอื ด แบํงเป็น หลอดเลอื ดอารเ์ ตอรี หลอดเลือด เวน หลอดเลือดฝอย ซึ่งมีโครงสร๎างตาํ งกัน • เลอื ด ประกอบด๎วย เซลล์เม็ดเลอื ด เพลตเลต และ พลาสมา • การบีบและคลายตวั ของหวั ใจทาใหเ๎ ลือดหมุนเวียนและ ลาเลียงสารอาหาร แกส๏ ของเสยี และสารอน่ื ๆ ไปยัง อวัยวะและเซลลต์ าํ ง ๆ ท่ัวราํ งกาย • เลือดท่ีมีปรมิ าณแกส๏ ออกซเิ จนสูงจะออกจากหวั ใจไปยัง เซลลต์ าํ ง ๆ ทัว่ ราํ งกาย ขณะเดียวกันแก๏ส คาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์จะแพรํเขา๎ สํูเลอื ดและลาเลยี ง กลบั เข๎าสหํู วั ใจและถูกสํงไปแลกเปลยี่ นแก๏สทปี่ อด ๘. ออกแบบการทดลองและทดลอง • ชพี จรบอกถงึ จังหวะการเต๎นของหวั ใจ ซงึ่ อัตราการเต๎น ในการเปรียบเทยี บอตั ราการเต๎นของ ของหัวใจในขณะปกติและหลังจากทากิจกรรมตําง ๆ จะ หัวใจ ขณะปกติและหลงั ทากิจกรรม แตกตาํ งกนั สวํ นความดนั เลอื ด ระบบหมุนเวยี นเลอื ดเกิด ๙. ตระหนกั ถงึ ความสาคัญของระบบ จากการทางานของหวั ใจและหลอดเลอื ด หมนุ เวียนเลอื ด โดยการบอกแนวทาง • อตั ราการเตน๎ ของหวั ใจมคี วามแตกตํางกันในแตลํ ะบุคคล ในการดแู ลรักษาอวยั วะในระบบ คนทีเ่ ป็นโรคหัวใจและหลอดเลอื ดจะสํงผลทาให๎หวั ใจสบู ฉีด หมนุ เวยี นเลือดให๎ทางานเป็นปกติ เลอื ดไมํเปน็ ปกติ • การออกกาลังกาย การเลอื กรบั ประทานอาหาร การ พักผํอน และการรักษาภาวะอารมณ์ให๎เป็นปกติ จึงเป็น ทางเลอื กหนง่ึ ในการดแู ลรกั ษาระบบหมุนเวียนเลือดให๎เป็น ปกติ
๑๒๔ ชั้น ตวั ชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๑๐. ระบุอวยั วะและบรรยายหนา๎ ที่ • ระบบประสาทสํวนกลาง ประกอบดว๎ ยสมองและไขสนั ของอวัยวะในระบบประสาทสวํ นกลาง หลงั จะทาหนา๎ ท่รี วํ มกับเส๎นประสาท ซ่ึงเปน็ ระบบประสาท ในการควบคุม การทางานตาํ ง ๆ ของ รอบนอก ในการควบคมุ การทางานของอวัยวะตําง ๆ ราํ งกาย รวมถึงการแสดงพฤตกิ รรม เพ่ือการตอบสนองตํอสงิ่ เร๎า ๑๑. ตระหนกั ถึงความสาคญั ของ • เม่ือมีสิ่งเร๎ามากระต๎ุนหนํวยรบั ความรส๎ู กึ จะเกิดกระแส ระบบประสาท โดยการบอกแนวทาง ประสาทสํงไปตามเซลลป์ ระสาทรับความรูส๎ ึก ไปยงั ระบบ ในการดแู ลรกั ษา รวมถงึ การปอู งกนั ประสาทสํวนกลาง แลว๎ สงํ กระแสประสาทมาตามเซลล์ การกระทบกระเทือนและอนั ตรายตอํ ประสาทส่ังการ ไปยงั หนํวยปฏิบตั งิ าน เชนํ กลา๎ มเนอ้ื สมองและไขสันหลัง • ระบบประสาทเป็นระบบที่มีความซับซ๎อนและมี ความสัมพนั ธ์กับทกุ ระบบในรํางกาย ดงั นั้น จงึ ควรปูองกัน การเกิดอบุ ัติเหตุท่ีกระทบกระเทอื นตํอสมอง หลกี เล่ียงการ ใชส๎ ารเสพติด หลกี เล่ียงภาวะเครยี ด และรบั ประทาน อาหารที่มีประโยชนเ์ พ่ือดูแลรักษาระบบประสาทใหท๎ างาน เปน็ ปกติ ๑๒. ระบอุ วัยวะและบรรยายหน๎าท่ี • มนษุ ย์มีระบบสืบพันธ์ทุ ่ปี ระกอบด๎วยอวยั วะตําง ๆ ที่ทา ของอวยั วะในระบบสบื พันธ์ขุ องเพศ หนา๎ ทเี่ ฉพาะ โดยรังไขํในเพศหญงิ จะทาหน๎าท่ผี ลิตเซลล์ไขํ ชายและเพศหญิง โดยใชแ๎ บบจาลอง สํวนอัณฑะในเพศชายจะทาหนา๎ ท่ีสรา๎ งเซลลอ์ สุจิ ๑๓. อธิบายผลของฮอร์โมนเพศชาย • ฮอร์โมนเพศทาหน๎าท่ีควบคุมการแสดงออกของลกั ษณะ และเพศหญงิ ที่ควบคุมการ ทางเพศทีแ่ ตกตาํ งกัน เม่อื เข๎าสวํู ยั หนํุมสาว จะมีการสร๎าง เปลยี่ นแปลงของราํ งกาย เมื่อเขา๎ สูวํ ัย เซลล์ไขํและเซลลอ์ สุจิ การตกไขํ การมีรอบเดือน และถ๎ามี หนํุมสาว การปฏสิ นธขิ องเซลลไ์ ขํและเซลลอ์ สจุ จิ ะทาใหเ๎ กดิ การ ๑๔. ตระหนกั ถึงการเปล่ยี นแปลงของ ตัง้ ครรภ์ รํางกายเม่ือเข๎าสวูํ ัยหนุํมสาว โดยการ ดูแลรกั ษาราํ งกายและจติ ใจของตนเอง ในชวํ งทม่ี กี ารเปลยี่ นแปลง
๑๒๕ ชั้น ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๑๕. อธิบายการตกไขํ การมี • การมปี ระจาเดือน มคี วามสัมพนั ธก์ บั การตกไขํ โดยเป็น ประจาเดอื น การปฏิสนธิ และการ ผลจากการเปลยี่ นแปลงของระดบั ฮอร์โมนเพศหญงิ พฒั นาของไซโกต จนคลอดเป็นทารก • เม่ือเพศหญิงมีการตกไขํและเซลล์ไขไํ ดร๎ ับการปฏิสนธิกบั ๑๖. เลือกวธิ กี ารคุมกาเนิดท่ีเหมาะสม เซลลอ์ สุจิจะทาให๎ได๎ไซโกต ไซโกตจะเจรญิ เปน็ เอ็มบรโิ อ กับสถานการณท์ ่ีกาหนด และฟตี ัส จนกระท่ังคลอดเป็นทารก แตํถ๎าไมํมีการปฏสิ นธิ ๑๗. ตระหนกั ถงึ ผลกระทบของการ เซลล์ไขํจะสลายตัว ผนงั ดา๎ นในมดลกู รวมทัง้ หลอดเลือดจะ ตง้ั ครรภ์ กํอนวัยอนั ควร โดยการ สลายตวั และหลุดลอกออก เรียกวํา ประจาเดือน ประพฤติตนให๎เหมาะสม • การคุมกาเนิดเปน็ วิธปี ูองกันไมํใหเ๎ กิดการตั้งครรภ์ โดย ปอู งกันไมใํ ห๎เกดิ การปฏิสนธหิ รือไมํให๎มีการฝังตัวของ เอ็มบรโิ อ ซง่ึ มีหลายวธิ ี เชํน การใชถ๎ งุ ยางอนามยั การกินยา คุมกาเนิด ม.๓ - -
๑๒๖ สาระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๓ เขา้ ใจกระบวนการและความสาคญั ของการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรมสาร พนั ธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพนั ธกุ รรมที่มีผลต่อสง่ิ มีชีวติ ความหลากหลายทาง ชวี ภาพและวิวฒั นาการของสิ่งมีชวี ิต รวมทงั้ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๑ - - ป.๒ ๑. เปรยี บเทยี บลกั ษณะของส่ิงมชี วี ติ • ส่ิงที่อยรูํ อบตัวเรามีทั้งทเ่ี ป็นสิ่งมีชวี ติ และสง่ิ ไมํมีชวี ิต และสิ่งไมํมีชีวติ จากข๎อมลู ทรี่ วบรวม ส่ิงมชี ีวิตตอ๎ งการอาหาร มีการหายใจ เจรญิ เติบโต ขบั ถําย ได๎ เคลอื่ นไหว ตอบสนองตํอสิง่ เร๎า และสบื พันธ์ไุ ดล๎ ูกทีม่ ี ลกั ษณะคล๎ายคลงึ กบั พอํ แมสํ ํวนสิ่งไมมํ ีชวี ติ จะไมํมลี ักษณะ ดงั กลาํ ว ป.๓ - - ป.๔ ๑. จาแนกสงิ่ มชี ีวิตโดยใชค๎ วามเหมือน • ส่งิ มชี ีวิตมีหลายชนิด สามารถจัดกลุํมได๎ โดยใชค๎ วาม และความแตกตํางของลกั ษณะของ เหมอื นและความแตกตํางของลักษณะตําง ๆ เชนํ กลํุมพชื สิ่งมชี วี ิตออกเป็นกลมํุ พชื กลํุมสตั ว์ สร๎างอาหารเองได๎ และเคล่ือนที่ดว๎ ยตนเองไมํได๎ กลมํุ สัตว์ และกลุํมทไ่ี มํใชํพชื และสัตว์ กนิ สิง่ มชี วี ติ อน่ื เปน็ อาหารและเคล่ือนท่ีได๎ กลํุมท่ีไมใํ ชํพชื และสัตว์ เชํน เห็ด รา จลุ นิ ทรีย์ ๒. จาแนกพชื ออกเปน็ พืชดอกและพืช • การจาแนกพืช สามารถใชก๎ ารมดี อกเปน็ เกณฑใ์ นการ ไมํมดี อก โดยใชก๎ ารมีดอกเป็นเกณฑ์ จาแนก ไดเ๎ ปน็ พืชดอกและพืชไมํมดี อก โดยใช๎ข๎อมูล ทร่ี วบรวมได๎ ๓. จาแนกสตั วอ์ อกเปน็ สัตว์มกี ระดูก • การจาแนกสัตว์ สามารถใช๎การมกี ระดูกสันหลัง เป็น สนั หลังและสัตว์ไมมํ ีกระดูกสันหลงั เกณฑ์ในการจาแนก ไดเ๎ ป็นสตั ว์มีกระดูกสนั หลงั และสตั ว์ไมํ โดยใช๎การมกี ระดกู สันหลังเป็นเกณฑ์ มีกระดูกสนั หลงั โดยใชข๎ อ๎ มลู ท่รี วบรวมได๎ • สัตวม์ ีกระดกู สันหลงั มีหลายกลมํุ ได๎แกํ กลุมํ ปลา กลมุํ ๔. บรรยายลักษณะเฉพาะท่สี ังเกตได๎ สตั วส์ ะเทินนา้ สะเทนิ บก กลุมํ สตั วเ์ ล้ือยคลาน กลมํุ นก และ ของสัตวม์ ีกระดูกสันหลงั ในกลมํุ ปลา กลํมุ สตั ว์เลี้ยงลูกด๎วยนา้ นม ซง่ึ แตลํ ะกลํุมจะมลี ักษณะ กลุมํ สัตว์สะเทนิ นา้ สะเทินบก กลุํม เฉพาะทสี่ งั เกตได๎ สัตวเ์ ล้ือยคลาน กลมํุ นก และกลุมํ สัตว์ เล้ยี งลกู ดว๎ ยนา้ นม และยกตัวอยาํ ง สิ่งมีชีวิตในแตํละกลุํม
๑๒๗ ชั้น ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๕ ๑. อธิบายลักษณะทางพันธุกรรมทม่ี ี • สง่ิ มชี ีวิตท้งั พชื สตั ว์ และมนุษย์ เม่ือโตเต็มทีจ่ ะมีการ การถาํ ยทอดจากพํอแมสํ ํูลกู ของพืช สืบพนั ธเุ์ พื่อเพมิ่ จานวนและดารงพนั ธ์ุ โดยลกู ที่เกิดมาจะ สัตว์ และมนุษย์ ได๎รับการถํายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมจากพํอแมทํ าให๎มี ๒. แสดงความอยากร๎ูอยากเห็น โดย ลกั ษณะทางพันธุกรรมท่เี ฉพาะแตกตาํ งจากสง่ิ มีชีวิตชนดิ การถามคาถามเกย่ี วกบั ลกั ษณะที่ อืน่ คล๎ายคลึงกนั ของตนเองกับพํอแมํ • พืชมกี ารถํายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม เชํน ลกั ษณะ ของใบ สดี อก • สตั ว์มีการถาํ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม เชนํ สีขน ลกั ษณะของขน ลักษณะของหู • มนุษยม์ กี ารถํายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม เชํน เชิงผมท่ี หนา๎ ผาก ลักย้มิ ลกั ษณะหนังตา การหํอลนิ้ ลกั ษณะของติง่ หู ป.๖ - - ม.๑ - - ม.๒ - - ม.๓ ๑. อธิบายความสมั พันธ์ระหวําง ยนี ดี • ลักษณะทางพนั ธกุ รรมของสิ่งมชี ีวิตสามารถถาํ ยทอดจาก เอน็ เอ และโครโมโซม โดยใช๎ รนํุ หนง่ึ ไปยงั อีกรนํุ หนึ่งได๎ โดยมยี ีนเป็นหนวํ ยควบคมุ แบบจาลอง ลกั ษณะทางพันธกุ รรม • โครโมโซมประกอบดว๎ ย ดีเอ็นเอ และโปรตีน ขดอยูํใน นิวเคลยี ส ยนี ดีเอ็นเอ และโครโมโซมมีความสมั พันธ์กัน โดยบางสํวนของดีเอน็ เอทาหน๎าทเี่ ปน็ ยีนทกี่ าหนดลักษณะ ของสิง่ มชี วี ิต • สง่ิ มชี วี ิตท่ีมโี ครโมโซม ๒ ชดุ โครโมโซมทเ่ี ป็นคูกํ ันมกี าร เรยี งลาดับของยีนบนโครโมโซมเหมือนกัน เรียกวาํ ฮอมอโลกสั โครโมโซม ยนี หน่ึงท่อี ยํบู นคํูฮอมอโลกสั โครโมโซม อาจมีรูปแบบแตกตาํ งกนั เรยี กแตํละรปู แบบ ของยนี ทีต่ าํ งกนั นี้วําแอลลีล ซ่ึงการเขา๎ คกูํ ันของแอลลีลตาํ ง ๆ อาจสํงผลทาให๎สิ่งมชี วี ิตมลี ักษณะทแี่ ตกตาํ งกนั ได๎
๑๒๘ ชน้ั ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๕ • สิ่งมชี วี ติ แตํละชนิดมีจานวนโครโมโซมคงท่ี มนษุ ยม์ ี จานวนโครโมโซม ๒๓ คูํ เปน็ ออโตโซม ๒๒ คูํ และ โครโมโซมเพศ ๑ คูํ เพศหญิงมีโครโมโซมเพศเปน็ XX เพศชายมโี ครโมโซมเพศเปน็ XY ป.๖ ๒. อธิบายการถาํ ยทอดลกั ษณะทาง • เมนเดลได๎ศึกษาการถาํ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม พันธุกรรมจากการผสมโดยพิจารณา ของตน๎ ถั่วชนดิ หน่งึ และนามาสํูหลักการพนื้ ฐานของ ลกั ษณะเดยี วทแี่ อลลีลเดํนขํมแอลลี การถาํ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมของส่ิงมชี วี ติ ลด๎อยอยาํ งสมบูรณ์ • สงิ่ มีชวี ติ ทม่ี โี ครโมโซมเปน็ ๒ ชดุ ยนี แตํละตาแหนงํ ๓. อธบิ ายการเกดิ จีโนไทป์และฟโี น บนฮอมอโลกัสโครโมโซมมี ๒ แอลลีล โดยแอลลีลหนึ่ง ไทปข์ องลกู และคานวณอตั ราสวํ น มาจากพํอ และอีกแอลลลี มาจากแมํ ซงึ่ อาจมรี ปู แบบ การเกิดจโี นไทป์ และฟีโนไทป์ของรํนุ เดยี วกนั หรือแตกตาํ งกัน แอลลีลทแี่ ตกตาํ งกนั นี้ แอล ลกู ลีลหน่งึ อาจมกี ารแสดงออกขํมอกี แอลลีลหนึ่งได๎ เรยี ก แอลลีลนั้นวํา เป็นแอลลีลเดํน สํวนแอลลลี ทีถ่ ูกขํม อยาํ งสมบรู ณ์เรยี กวาํ เปน็ แอลลีลด๎อย • เม่ือมีการสร๎างเซลล์สืบพันธ์ุ แอลลลี ท่เี ป็นคํกู ัน ในแตํ ละฮอมอโลกัสโครโมโซมจะแยกจากกนั ไปสเํู ซลล์ สืบพันธแ์ุ ตํละเซลล์ โดยแตลํ ะเซลล์สบื พนั ธุ์จะไดร๎ ับ เพียง ๑ แอลลีล และจะมาเข๎าคํกู ับแอลลีลท่ตี าแหนํง เดยี วกนั ของอีกเซลลส์ ืบพันธ์ุหน่ึงเมื่อเกิดการปฏสิ นธิ จนเกิดเป็นจีโนไทป์และแสดงฟีโนไทป์ในรํุนลูก
ชั้น ตัวชี้วดั ๑๒๙ ๔. อธิบายความแตกตําง ของการแบํงเซลลแ์ บบไมโท สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ซสิ และไมโอซสิ • กระบวนการแบํงเซลล์ของส่ิงมชี วี ติ มี ๒ แบบ คือ ไม โทซสิ และไมโอซสิ ๕. บอกได๎วาํ การเปลยี่ นแปลงของ • ไมโทซสิ เปน็ การแบํงเซลลเ์ พื่อเพ่ิมจานวนเซลล์ ยีนหรอื โครโมโซมอาจทาใหเ๎ กิดโรค ราํ งกาย ผลจากการแบงํ จะได๎เซลล์ใหมํ ๒ เซลล์ ท่ีมี ทางพนั ธุกรรม พร๎อมทัง้ ยกตวั อยาํ ง ลกั ษณะและจานวนโครโมโซมเหมอื นเซลลต์ ้ังต๎น โรคทางพันธุกรรม • ไมโอซสิ เปน็ การแบํงเซลลเ์ พือ่ สรา๎ งเซลล์สืบพันธ์ุ ผล ๖. ตระหนักถึงประโยชนข์ อง จากการแบํงจะได๎เซลล์ใหมํ ๔ เซลล์ ที่มจี านวน ความรูเ๎ ร่ืองโรคทางพันธกุ รรม โดย โครโมโซมเป็นครึ่งหนง่ึ ของเซลลต์ งั้ ตน๎ ร๎วู าํ กอํ นแตํงงานควรปรกึ ษาแพทย์ เม่ือเกดิ การปฏสิ นธิของเซลล์สบื พนั ธ์ุ ลกู จะไดร๎ ับการ เพ่ือตรวจและวินจิ ฉยั ภาวะเส่ียง ถาํ ยทอดโครโมโซมชุดหนึง่ จากพํอและอกี ชุดหนึง่ จากแมํ ของลูกท่ีอาจเกดิ โรคทางพนั ธุกรรม จึงเปน็ ผลใหร๎ ุํนลูกมีจานวนโครโมโซมเทาํ กบั รุํนพอํ แมํ และจะคงทีใ่ นทกุ ๆ รุนํ • การเปลย่ี นแปลงของยนี หรือโครโมโซม สงํ ผลใหเ๎ กดิ การเปลยี่ นแปลงลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของสิ่งมชี วี ติ เชํน โรคธาลสั ซีเมียเกดิ จากการเปลี่ยนแปลงของยีน กลมํุ อาการดาวน์เกิดจากการเปลีย่ นแปลงจานวน โครโมโซม • โรคทางพันธกุ รรมสามารถถํายทอดจากพํอแมไํ ปสูํลกู ได๎ ดังนั้นกํอนแตํงงานและมบี ุตรจงึ ควรปอู งกันโดยการ ตรวจและวินจิ ฉยั ภาวะเสีย่ งจากการถํายทอดโรคทาง พันธุกรรม
๑๓๐ ชั้น ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๗. อธบิ ายการใช๎ประโยชน์จาก • มนุษย์เปลยี่ นแปลงพนั ธุกรรมของสิง่ มชี วี ติ ตาม สง่ิ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรม และ ธรรมชาติ เพือ่ ให๎ไดส๎ ่งิ มชี ีวติ ที่มีลักษณะตามตอ๎ งการ ผลกระทบท่ีอาจมีตํอมนุษย์และ เรยี กสง่ิ มีชวี ติ น้วี าํ ส่ิงมชี ีวติ ดัดแปรพันธกุ รรม สิง่ แวดล๎อม โดยใช๎ขอ๎ มูลที่รวบรวม • ในปจั จบุ ันมนุษย์มีการใช๎ประโยชน์จากสงิ่ มีชวี ติ ดดั ได๎ แปรพนั ธุกรรมเปน็ จานวนมาก เชนํ การผลติ อาหาร ๘. ตระหนกั ถึงประโยชน์และ การผลติ ยารักษาโรค การเกษตร อยํางไรกด็ ี สงั คมยังมี ผลกระทบของสงิ่ มีชวี ิตดดั แปร ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงิ่ มีชีวิตดดั แปร พันธกุ รรมท่ีอาจมตี ํอมนุษย์และ พันธุกรรมท่ีมตี อํ สง่ิ มีชีวติ และสงิ่ แวดลอ๎ ม ซ่ึงยงั ทาการ สิ่งแวดลอ๎ ม โดยการเผยแพรํความร๎ู ติดตามศึกษาผลกระทบดังกลําว ทีไ่ ดจ๎ ากการโตแ๎ ย๎งทาง วทิ ยาศาสตร์ ซึ่งมีขอ๎ มูลสนบั สนุน ๙. เปรียบเทยี บความหลากหลายทางชวี ภาพ ใน • ความหลากหลายทางชวี ภาพ มี ๓ ระดับ ระดับชนิดส่งิ มีชวี ิตในระบบนิเวศตาํ ง ๆ ได๎แกํ ความหลากหลายของระบบนิเวศ ๑๐. อธบิ ายความสาคัญของความหลากหลายทาง ความหลากหลายของชนิดสงิ่ มชี วี ิต และ ชีวภาพที่มีตอํ การรักษาสมดลุ ของระบบนิเวศ และ ความหลากหลายทางพันธุกรรม ความ ตํอมนษุ ย์ หลากหลายทางชีวภาพนีม้ คี วามสาคญั ตํอ ๑๑. แสดงความตระหนกั ในคุณคําและความสาคญั การรักษาสมดลุ ของระบบนิเวศ ระบบนิเวศที่ ของความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีสํวนรวํ มใน มคี วามหลากหลายทางชวี ภาพสูง จะรักษา การดูแลรกั ษาความหลากหลายทางชีวภาพ สมดลุ ไดด๎ กี วําระบบนิเวศท่ีมีความ หลากหลายทางชีวภาพตา่ กวํา นอกจากน้ี ความหลากหลายทางชีวภาพยังมคี วามสาคัญ ตํอมนุษย์ในด๎านตาํ ง ๆ เชํน ใชเ๎ ป็นอาหาร ยารกั ษาโรค วตั ถดุ บิ ในอตุ สาหกรรมตําง ๆ ดงั นัน้ จงึ เป็นหน๎าทีข่ องทุกคนในการดแู ล รักษา ความหลากหลายทางชีวภาพให๎คงอยูํ
๑๓๑ สาระท่ี ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เขา้ ใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสมบัติของสสารกบั โครงสรา้ งและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลกั และธรรมชาติของการเปล่ยี นแปลง สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี ชน้ั ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.๑ ๑. อธบิ ายสมบตั ทิ ี่สังเกตไดข๎ องวสั ดุ • วัสดุทใี่ ช๎ทาวตั ถุทเ่ี ปน็ ของเลํน ของใช๎ มหี ลายชนิด เชนํ ทีใ่ ช๎ทาวตั ถซุ ่งึ ทาจากวัสดชุ นิดเดยี ว ผา๎ แกว๎ พลาสตกิ ยาง ไม๎ อิฐ หนิ กระดาษ โลหะ วัสดุ หรอื หลายชนดิ ประกอบกันโดยใช๎ แตลํ ะชนิดมีสมบตั ิทสี่ ังเกตได๎ตาํ ง ๆ เชนํ สี นํุม แข็ง หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ขรุขระ เรียบ ใส ขนํุ ยดื หดได๎ บดิ งอได๎ ๒. ระบุชนดิ ของวัสดแุ ละจัดกลมุํ • สมบตั ิท่ีสังเกตไดข๎ องวัสดุแตลํ ะชนิดอาจเหมือนกัน ซง่ึ วัสดุตามสมบัตทิ ่ีสงั เกตได๎ สามารถนามาใชเ๎ ป็นเกณฑใ์ นการจดั กลุมํ วสั ดุได๎ • วสั ดบุ างอยํางสามารถนามาประกอบกัน เพ่ือทาเป็น วตั ถุตาํ ง ๆ เชนํ ผ๎าและกระดุม ใชท๎ าเสื้อ ไมแ๎ ละโลหะ ใช๎ ทากระทะ ป.๒ ๑. เปรียบเทียบสมบัติการดูดซบั น้า • วสั ดแุ ตํละชนดิ มสี มบัติการดูดซับน้าแตกตํางกนั จงึ ของวสั ดุโดยใช๎หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ นาไปทาวตั ถุเพื่อใช๎ประโยชน์ไดแ๎ ตกตํางกัน เชนํ ใชผ๎ า๎ ท่ี และระบุการนาสมบัติการดูดซับนา้ ดูดซับน้าได๎มากทาผ๎าเชด็ ตวั ใชพ๎ ลาสตกิ ซ่งึ ไมํดดู ซับนา้ ของวสั ดไุ ปประยุกตใ์ ชใ๎ นการทาวตั ถุ ทารํม ในชีวิตประจาวัน • วสั ดุบางอยํางสามารถนามาผสมกันซงึ่ ทาให๎ไดส๎ มบัตทิ ี่ ๒. อธิบายสมบัติทสี่ งั เกตได๎ของวัสดุ เหมาะสม เพือ่ นาไปใช๎ประโยชน์ตามตอ๎ งการ เชนํ แปูง ทเี่ กิดจากการนาวสั ดุมาผสมกันโดย ผสมนา้ ตาลและกะทิ ใช๎ทาขนมไทย ปูนปลาสเตอร์ผสม ใช๎หลกั ฐานเชิงประจักษ์ เย่ือกระดาษใช๎ทากระปกุ ออมสิน ปนู ผสมหิน ทราย และ นา้ ใชท๎ าคอนกรีต
๑๓๒ ชน้ั ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ๓. เปรยี บเทียบสมบัติที่สังเกตได๎ของ • การนาวสั ดุมาทาเป็นวตั ถใุ นการใช๎งานตามวัตถุประสงค์ วัสดุ เพื่อนามาทาเป็นวตั ถุในการใช๎ ขึ้นอยกูํ ับสมบัติของวสั ดุ วัสดทุ ใี่ ชแ๎ ลว๎ อาจนากลับมาใชใ๎ หมํ งานตามวัตถปุ ระสงค์ และอธิบายการ ได๎ เชํน กระดาษใช๎แล๎ว อาจนามาทาเป็นจรวดกระดาษ นาวสั ดทุ ่ใี ช๎แลว๎ กลบั มาใช๎ใหมํโดยใช๎ ดอกไม๎ประดษิ ฐ์ ถุงใสขํ อง หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ๔. ตระหนักถงึ ประโยชนข์ องการนา วสั ดทุ ่ใี ช๎แล๎วกลบั มาใชใ๎ หมํ โดยการนา วัสดุท่ใี ชแ๎ ล๎วกลับมาใชใ๎ หมํ ป.๓ ๑. อธบิ ายวาํ วตั ถปุ ระกอบขึ้นจากชิ้น • วตั ถอุ าจทาจากช้นิ สวํ นยอํ ย ๆ ซง่ึ แตลํ ะชน้ิ มลี กั ษณะ สวํ นยอํ ย ๆ ซึ่งสามารถแยกออกจาก เหมอื นกนั มาประกอบเข๎าดว๎ ยกนั เมอ่ื แยกชนิ้ สํวนยํอย ๆ กนั ได๎และประกอบกนั เป็นวตั ถชุ ิ้นใหมํ แตํละชิ้นของวตั ถุออกจากกัน สามารถนาชน้ิ สวํ นเหลาํ นัน้ ได๎ โดยใชห๎ ลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ มาประกอบเป็นวัตถุช้ินใหมํได๎ เชนํ กาแพงบา๎ นมีก๎อนอิฐ หลาย ๆ ก๎อนประกอบเข๎าด๎วยกนั และสามารถนาก๎อนอิฐ จากกาแพงบา๎ นมาประกอบเปน็ พนื้ ทางเดนิ ได๎ ๒. อธิบายการเปลย่ี นแปลงของวัสดุ • เมอื่ ใหค๎ วามร๎อนหรือทาใหว๎ ัสดรุ อ๎ นขึ้น และเมื่อ ลดความ เมือ่ ทาใหร๎ อ๎ นขึน้ หรือทาให๎เย็นลง โดย ร๎อนหรอื ทาใหว๎ ัสดเุ ย็นลง วัสดจุ ะเกิด การเปลยี่ นแปลงได๎ ใช๎หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ เชนํ สีเปลี่ยน รูปราํ งเปลีย่ น ป.๔ ๑. เปรยี บเทียบสมบัติทางกายภาพ • วสั ดุแตํละชนดิ มสี มบัตทิ างกายภาพแตกตาํ งกัน วสั ดุท่มี ี ดา๎ นความแข็ง สภาพยืดหยุํน การนา ความแข็งจะทนตํอแรงขดู ขีด วสั ดุท่ีมสี ภาพยดื หยุํนจะ ความรอ๎ น และการนาไฟฟูาของวัสดุ เปลีย่ นแปลงรปู ราํ งเม่ือมแี รงมากระทาและกลับสภาพเดิม โดยใชห๎ ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์จากการ ได๎ วสั ดทุ ี่นาความร๎อนจะร๎อนได๎เร็วเมื่อไดร๎ ับความรอ๎ น ทดลองและระบุการนาสมบตั เิ รื่อง และวสั ดทุ ีน่ าไฟฟาู ได๎ จะใหก๎ ระแสไฟฟูาผาํ นได๎ ดังน้ันจงึ ความแขง็ สภาพยดื หยุนํ การนาความ อาจนาสมบตั ิตาํ ง ๆ มาพจิ ารณาเพื่อใช๎ในกระบวนการ ร๎อน และการนาไฟฟูาของวสั ดุไปใชใ๎ น ออกแบบชนิ้ งานเพื่อใชป๎ ระโยชนใ์ นชวี ิตประจาวนั ชีวติ ประจาวนั ผํานกระบวนการ ออกแบบช้นิ งาน ๒. แลกเปล่ยี นความคิดกบั ผ๎ูอ่ืนโดย การอภิปรายเก่ยี วกับสมบัติทาง กายภาพของวสั ดุอยํางมีเหตผุ ลจาก การทดลอง
๑๓๓ ช้นั ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๓. เปรยี บเทียบสมบัติของสสารท้งั ๓ • วัสดเุ ปน็ สสารเพราะมมี วลและตอ๎ งการที่อยูํ สสารมี สถานะ จากข๎อมลู ทไ่ี ด๎จากการสังเกตมวล สถานะเป็นของแข็ง ของเหลว หรอื แกส๏ ของแข็ง มี การต๎องการที่อยูํ รปู ราํ งและปรมิ าตรของ ปริมาตรและรปู ราํ งคงที่ ของเหลวมปี ริมาตรคงท่ี แตมํ ี สสาร รูปราํ งเปลีย่ นไปตามภาชนะเฉพาะสํวนท่บี รรจุ ๔. ใชเ๎ ครื่องมือเพื่อวดั มวล และปรมิ าตร ของเหลว สํวนแกส๏ มีปรมิ าตรและรูปราํ งเปล่ยี นไป ของสสารท้ัง ๓ สถานะ ตามภาชนะทีบ่ รรจุ ป.๕ ๑. อธิบายการเปลย่ี นสถานะของสสาร • การเปล่ยี นสถานะของสสารเปน็ การเปลี่ยนแปลง เมื่อทาใหส๎ สารรอ๎ นขน้ึ หรือเย็นลง โดยใช๎ ทางกายภาพ เมื่อเพ่ิมความร๎อนให๎กับสสารถึงระดบั หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ หน่ึงจะทาให๎สสารทเ่ี ป็นของแขง็ เปล่ียนสถานะเปน็ ของเหลว เรยี กวํา การหลอมเหลว และเมื่อเพิ่มความ รอ๎ นตอํ ไปจนถึงอีกระดบั หน่งึ ของเหลวจะเปล่ยี นเปน็ แก๏ส เรียกวาํ การกลายเป็นไอ แตเํ ม่ือลดความร๎อนลง ถงึ ระดับหนงึ่ แกส๏ จะเปล่ียนสถานะเปน็ ของเหลว เรยี กวํา การควบแนนํ และถ๎าลดความร๎อนตํอไปอกี จนถึงระดับหนึ่งของเหลวจะเปลี่ยนสถานะเปน็ ของแข็ง เรยี กวํา การแข็งตัว สสารบางชนดิ สามารถ เปล่ียนสถานะจากของแข็งเป็นแก๏สโดยไมผํ าํ นการ เปน็ ของเหลว เรียกวํา การระเหดิ สวํ นแกส๏ บางชนดิ สามารถเปลี่ยนสถานะเปน็ ของแข็งโดยไมํผาํ นการเปน็ ของเหลว เรียกวาํ การระเหิดกลบั ๒. อธิบายการละลายของสารในนา้ โดย • เม่ือใสํสารลงในน้าแลว๎ สารนั้นรวมเปน็ เน้ือเดียวกัน ใชห๎ ลักฐานเชิงประจักษ์ กับน้าท่ัวทกุ สํวน แสดงวําสารเกิดการละลาย เรียก สารผสมที่ไดว๎ ําสารละลาย
๑๓๔ ชั้น ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๓. วิเคราะหก์ ารเปลยี่ นแปลงของสาร • เมอ่ื ผสมสาร ๒ ชนิดข้นึ ไปแล๎วมสี ารใหมํเกดิ ข้ึน ซึง่ มี เม่ือเกดิ การเปลยี่ นแปลงทางเคมี โดย สมบัติตาํ งจากสารเดิมหรือเมื่อสารชนดิ เดยี ว เกิดการ ใชห๎ ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ เปลยี่ นแปลงแล๎วมีสารใหมํเกิดข้ึน การเปลย่ี นแปลงนี้ เรยี กวํา การเปลย่ี นแปลงทางเคมี ซ่งึ สงั เกตได๎จากมีสีหรือ กลิ่นตํางจากสารเดิม หรอื มีฟองแก๏ส หรอื มตี ะกอน เกดิ ข้ึน หรอื มีการเพ่มิ ขึน้ หรือลดลงของอุณหภมู ิ ๔. วเิ คราะห์และระบุการเปลี่ยนแปลง • เม่ือสารเกดิ การเปลี่ยนแปลงแลว๎ สารสามารถเปลี่ยน ทีผ่ ันกลับไดแ๎ ละการเปลี่ยนแปลงที่ผนั กลบั เป็นสารเดมิ ได๎ เปน็ การเปลยี่ นแปลงที่ผนั กลบั ได๎ กลบั ไมํได๎ เชํน การหลอมเหลว การกลายเป็นไอ การละลาย แตํสาร บางอยํางเกิดการเปลี่ยนแปลง แลว๎ ไมํสามารถเปล่ยี น กลับเป็นสารเดิมได๎ เป็นการเปล่ยี นแปลงทผ่ี นั กลับไมไํ ด๎ เชนํ การเผาไหม๎ การเกิดสนิม ป.๖ ๑. อธบิ ายและเปรยี บเทียบการแยก • สารผสมประกอบด๎วยสารตั้งแตํ ๒ สารผสม โดยการหยบิ ออก การรํอน ชนดิ ขน้ึ ไปผสมกนั เชนํ นา้ มนั ผสม การใช๎แมํเหล็กดึงดดู การรินออก การ นา้ ข๎าวสารปนกรวดทราย วธิ กี ารท่ี กรอง และการตกตะกอน โดยใช๎ เหมาะสมในการแยกสารผสมข้นึ อยูํ หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ รวมท้ังระบุวิธี กบั ลกั ษณะและสมบัติของสารที่ แก๎ปญั หาในชวี ิตประจาวนั เกี่ยวกับ ผสมกนั ถ๎าองคป์ ระกอบของสาร การแยกสาร ผสมเป็นของแข็งกับของแข็งท่ีมี ขนาดแตกตาํ งกันอยาํ งชดั เจน อาจ ใช๎วธิ กี ารหยิบออกหรอื การรํอน ผาํ นวัสดุที่มีรู ถ๎ามีสารใดสารหนึง่ เปน็ สารแมํเหล็กอาจใชว๎ ิธีการใช๎ แมเํ หลก็ ดงึ ดดู ถา๎ องค์ประกอบเปน็ ของแขง็ ท่ีไมลํ ะลายในของเหลว อาจใช๎วธิ ีการรินออก การกรอง หรือการตกตะกอน ซึง่ วิธกี ารแยก สารสามารถนาไปใชป๎ ระโยชนใ์ น ชีวิตประจาวนั ได๎
๑๓๕ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๑ ๑. อธบิ ายสมบตั ทิ างกายภาพบาง • ธาตแุ ตลํ ะชนิดมีสมบัตเิ ฉพาะตวั และมีสมบตั ิ ทาง ประการของธาตุโลหะ อโลหะ และก่งึ กายภาพบางประการเหมือนกันและบางประการตํางกัน โลหะ โดยใชห๎ ลักฐานเชงิ ประจักษ์ที่ได๎ ซ่งึ สามารถนามาจัดกลุํมธาตุเป็นโลหะ อโลหะ และก่ึง จากการสังเกตและการทดสอบ และ โลหะ ธาตุโลหะมจี ุดเดือด จุดหลอมเหลวสูง มีผิวมันวาว ใช๎สารสนเทศท่ีได๎จากแหลงํ ข๎อมูลตําง นาความรอ๎ นนาไฟฟูา ดึงเปน็ เสน๎ หรือตีเป็นแผนํ บาง ๆ ได๎ ๆ รวมทงั้ จดั กลุํมธาตุเป็นโลหะ อโลหะ และมคี วามหนาแนํนท้งั สูงและต่า ธาตอุ โลหะ มีจดุ เดอื ด และก่งึ โลหะ จดุ หลอมเหลวต่า มีผวิ ไมมํ นั วาว ไมํนาความร๎อน ไมนํ า ไฟฟาู เปราะ แตกหักงาํ ย และมีความหนาแนํนตา่ ธาตกุ ึง่ โลหะมสี มบัติบางประการเหมือนโลหะ และสมบัติบาง ประการเหมือนอโลหะ ๒. วเิ คราะห์ผลจากการใช๎ธาตุโลหะ • ธาตโุ ลหะ อโลหะ และกึง่ โลหะ ทีส่ ามารถแผํรงั สไี ด๎ อโลหะ กงึ่ โลหะ และธาตุกมั มันตรงั สี จัดเป็นธาตุกมั มนั ตรังสี ทม่ี ีตํอส่งิ มชี ีวติ สิ่งแวดลอ๎ ม เศรษฐกจิ • ธาตุมีท้ังประโยชน์และโทษ การใช๎ธาตโุ ลหะ อโลหะ กงึ่ และสงั คม จากข๎อมูลทรี่ วบรวมได๎ โลหะ ธาตุกัมมันตรงั สี ควรคานงึ ถึงผลกระทบตํอสิง่ มีชวี ิต ๓. ตระหนกั ถึงคุณคําของการใชธ๎ าตุ สิ่งแวดล๎อม เศรษฐกจิ และสงั คม โลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตุ กัมมันตรงั สี โดยเสนอแนวทางการใช๎ ธาตุอยาํ งปลอดภัย คม๎ุ คํา ๔. เปรียบเทียบจุดเดือด จดุ • สารบรสิ ุทธิ์ประกอบด๎วยสารเพียงชนดิ เดยี ว สํวนสาร หลอมเหลวของสารบรสิ ทุ ธ์แิ ละสาร ผสมประกอบดว๎ ยสารต้งั แตํ ๒ ชนดิ ขึ้นไป สารบรสิ ุทธิ์แตํ ผสม โดยการวดั อณุ หภมู ิ เขียนกราฟ ละชนิดมีสมบัติบางประการที่เป็นคาํ เฉพาะตวั เชนํ จุด แปลความหมายข๎อมูลจากกราฟ หรือ เดือดและจดุ หลอมเหลวคงท่ี แตสํ ารผสมมีจดุ เดือดและ สารสนเทศ จดุ หลอมเหลวไมํคงที่ ข้นึ อยกํู ับชนดิ และสดั สํวนของสาร ทผี่ สมอยดํู ว๎ ยกัน
๑๓๖ ชั้น ตวั ชี้วัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ๕. อธบิ ายและเปรยี บเทียบความ • สารบรสิ ุทธิ์แตํละชนิดมีความหนาแนนํ หรอื มวลตํอ หนาแนํนของสารบรสิ ุทธแ์ิ ละสารผสม หนึ่งหนวํ ยปรมิ าตรคงท่ี เป็นคําเฉพาะของสารนนั้ ณ ๖. ใชเ๎ ครือ่ งมือเพื่อวัดมวลและปรมิ าตร สถานะและอุณหภูมหิ นึง่ แตํสารผสมมคี วามหนาแนํน ของสารบริสุทธแิ์ ละสารผสม ไมํคงทข่ี ึน้ อยูํกับชนิดและสดั สํวนของสารทผี่ สมอยูํ ดว๎ ยกนั ๗. อธบิ ายเกยี่ วกับความสัมพันธร์ ะหวาํ ง • สารบรสิ ทุ ธ์ิแบํงออกเปน็ ธาตุและสารประกอบ ธาตุ อะตอม ธาตุ และสารประกอบ โดยใช๎ ประกอบดว๎ ยอนภุ าคท่เี ลก็ ทส่ี ุดท่ียงั แสดงสมบัติของ แบบจาลองและสารสนเทศ ธาตุนนั้ เรียกวํา อะตอม ธาตุแตลํ ะชนิดประกอบด๎วย อะตอมเพียงชนิดเดียวและไมํสามารถแยกสลายเปน็ สารอน่ื ไดด๎ ๎วยวธิ ที างเคมี ธาตเุ ขียนแทนด๎วย สญั ลักษณธ์ าตุ สารประกอบเกิดจากอะตอมของธาตุ ต้งั แตํ ๒ ชนดิ ขึ้นไปรวมตัวกนั ทางเคมีในอตั ราสํวน คงที่ มสี มบตั แิ ตกตํางจากธาตุทเ่ี ป็นองค์ประกอบ สามารถแยกเป็นธาตุได๎ดว๎ ยวิธที างเคมี ธาตุและ สารประกอบสามารถเขียนแทนได๎ดว๎ ยสตู รเคมี ๘. อธบิ ายโครงสร๎างอะตอมท่ี • อะตอมประกอบด๎วยโปรตอน นวิ ตรอน และ ประกอบด๎วยโปรตอน นวิ ตรอน และ อเิ ลก็ ตรอน โปรตอนมีประจไุ ฟฟาู บวก ธาตชุ นิด อิเลก็ ตรอน โดยใช๎แบบจาลอง เดยี วกนั มีจานวนโปรตอนเทาํ กันและเป็นคําเฉพาะ ของธาตุนน้ั นวิ ตรอนเปน็ กลางทางไฟฟูา สํวน อเิ ลก็ ตรอนมปี ระจุไฟฟาู ลบ เมือ่ อะตอมมจี านวน โปรตอนเทํากับจานวนอเิ ลก็ ตรอน จะเปน็ กลางทาง ไฟฟาู โปรตอนและนิวตรอนรวมกนั ตรงกลางอะตอม เรียกวาํ นวิ เคลยี ส สํวนอเิ ลก็ ตรอนเคลื่อนที่อยใูํ น ทว่ี ํางรอบนิวเคลยี ส
๑๓๗ ชั้น ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๙. อธิบายและเปรยี บเทียบการ • สสารทกุ ชนดิ ประกอบดว๎ ยอนภุ าค โดยสารชนิด จัดเรยี งอนภุ าค แรงยดึ เหนย่ี วระหวาํ ง เดยี วกันทีม่ สี ถานะของแข็ง ของเหลว แก๏ส จะมีการ อนุภาค และการเคลื่อนทขี่ องอนภุ าค จดั เรยี งอนภุ าค แรงยึดเหนีย่ วระหวาํ งอนภุ าค การ ของสสารชนดิ เดียวกนั ในสถานะ เคลื่อนที่ของอนุภาคแตกตาํ งกนั ซ่ึงมผี ลตํอรูปราํ งและ ของแขง็ ของเหลว และแก๏ส โดยใช๎ ปริมาตรของสสาร แบบจาลอง • อนภุ าคของของแข็งเรยี งชดิ กัน มแี รงยดึ เหนยี่ วระหวาํ ง อนุภาคมากท่สี ดุ อนุภาคส่ันอยํกู บั ท่ี ทาให๎มรี ูปราํ งและ ปริมาตรคงที่ • อนุภาคของของเหลวอยใูํ กล๎กนั มแี รงยึดเหน่ยี วระหวาํ ง อนภุ าคน๎อยกวําของแข็งแตํมากกวําแก๏ส อนุภาคเคลอ่ื นท่ี ได๎แตํไมเํ ปน็ อสิ ระเทําแกส๏ ทาใหม๎ รี ปู รํางไมคํ งท่ี แตํ ปรมิ าตรคงที่ • อนภุ าคของแกส๏ อยูํหาํ งกันมาก มีแรงยึดเหนยี่ วระหวําง อนุภาคนอ๎ ยทส่ี ดุ อนภุ าคเคลื่อนท่ีได๎อยาํ งอิสระทุก ทศิ ทาง ทาให๎มีรูปรํางและปริมาตรไมํคงที่ ๑๐. อธบิ ายความสัมพนั ธ์ระหวําง • ความรอ๎ นมีผลตํอการเปล่ยี นสถานะของสสาร เมือ่ ให๎ พลงั งานความร๎อนกับการเปลี่ยน ความร๎อนแกขํ องแข็ง อนภุ าคของของแข็ง จะมีพลังงาน สถานะของสสาร โดยใช๎หลักฐานเชงิ และอุณหภมู ิเพ่ิมขน้ึ จนถึงระดับหนงึ่ ซึ่งของแขง็ จะใช๎ ประจักษ์และแบบจาลอง ความรอ๎ นในการเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เรยี กความ รอ๎ นที่ใชใ๎ นการเปลยี่ นสถานะจากของแข็งเปน็ ของเหลว วํา ความร๎อนแฝงของการหลอมเหลว และอุณหภมู ขิ ณะ เปลี่ยนสถานะจะคงที่ เรยี กอุณหภูมิน้ีวํา จุดหลอมเหลว
๑๓๘ ช้นั ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • เมื่อใหค๎ วามร๎อนแกขํ องเหลว อนภุ าคของของเหลวจะ มพี ลังงานและอุณหภูมิเพิ่มข้ึนจนถึงระดบั หนงึ่ ซง่ึ ของเหลวจะใช๎ความรอ๎ นในการเปล่ยี นสถานะเป็นแกส๏ เรียกความร๎อนทใี่ ช๎ในการเปล่ียนสถานะจากของเหลว เปน็ แกส๏ วาํ ความรอ๎ นแฝงของการกลายเปน็ ไอ และ อณุ หภมู ขิ ณะเปลยี่ นสถานะจะคงที่ เรียกอุณหภูมินีว้ ํา จุดเดือด • เมื่อทาให๎อณุ หภูมิของแก๏สลดลงจนถงึ ระดับหนึ่งแก๏ส จะเปล่ียนสถานะเป็นของเหลว เรยี กอุณหภูมนิ ้ีวาํ จดุ ควบแนนํ ซึง่ มีอุณหภูมเิ ดียวกับจดุ เดอื ดของของเหลวนั้น • เม่ือทาให๎อุณหภูมิของของเหลวลดลงจนถึงระดบั หนึง่ ของเหลวจะเปลย่ี นสถานะเป็นของแขง็ เรยี กอณุ หภมู นิ ้ี วาํ จดุ เยอื กแข็ง ซ่ึงมีอณุ หภูมิเดียวกบั จุดหลอมเหลวของ ของแข็งน้ัน ม.๒ ๑. อธิบายการแยกสารผสมโดยการ • การแยกสารผสมให๎เปน็ สารบริสทุ ธิ์ทาได๎หลายวธิ ขี ึ้นอยํู ระเหยแห๎ง การตกผลกึ การกลน่ั อยําง กับสมบัตขิ องสารน้นั ๆ การระเหยแหง๎ ใช๎แยกสารละลาย งําย โครมาโทกราฟีแบบกระดาษ การ ซึง่ ประกอบดว๎ ยตัวละลายที่เปน็ ของแข็งในตัวทาละลายท่ี สกัดด๎วยตวั ทาละลาย โดยใชห๎ ลกั ฐาน เปน็ ของเหลว โดยใช๎ความร๎อนระเหยตวั ทาละลายออกไป เชิงประจกั ษ์ จนหมดเหลือแตตํ ัวละลาย การตกผลกึ ใชแ๎ ยกสารละลายที่ ๒. แยกสารโดยการระเหยแห๎ง การ ประกอบดว๎ ยตัวละลายท่ีเป็นของแขง็ ในตวั ทาละลายทเี่ ป็น ตกผลึก การกลน่ั อยาํ งงําย โครมาโทก ของเหลว โดยทาให๎สารละลายอิม่ ตัว แล๎วปลํอยใหต๎ วั ทา ราฟแี บบกระดาษ การสกัดด๎วยตัวทา ละลายระเหยออกไปบางสวํ น ตัวละลายจะตกผลกึ แยก ละลาย ออกมา การกล่นั อยํางงํายใชแ๎ ยกสารละลายทป่ี ระกอบด๎วย
ชั้น ตวั ชี้วัด ๑๓๙ สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ตวั ละลายและตัวทาละลายท่ีเป็นของเหลวทีม่ จี ุด เดอื ดตํางกันมาก วิธนี ้ีจะแยกของเหลวบริสทุ ธอ์ิ อก จากสารละลายโดยใหค๎ วามร๎อนกบั สารละลาย ของเหลวจะเดือดและกลายเปน็ ไอแยกจาก สารละลายแล๎วควบแนนํ กลับเป็นของเหลวอีกครงั้ ขณะท่ขี องเหลวเดอื ด อุณหภูมิของไอจะคงท่ี โคร มาโทกราฟีแบบกระดาษเป็นวธิ กี ารแยกสารผสมท่มี ี ปรมิ าณนอ๎ ยโดยใชแ๎ ยกสารที่มีสมบัติการละลายใน ตัวทาละลายและการถูกดดู ซับดว๎ ยตวั ดดู ซบั แตกตาํ ง กัน ทาใหส๎ ารแตํละชนดิ เคลือ่ นทีไ่ ปบนตัวดดู ซับได๎ ตํางกัน สารจงึ แยกออกจากกันได๎ อัตราสวํ นระหวําง ระยะทางทีส่ ารองคป์ ระกอบแตํละชนิดเคลือ่ นท่ีได๎ บนตวั ดูดซบั กับระยะทางทีต่ ัวทาละลายเคลื่อนท่ไี ด๎ เปน็ คาํ เฉพาะตวั ของสารแตํละชนิดในตวั ทาละลาย และตัวดดู ซบั หนึ่ง ๆ การสกดั ด๎วยตวั ทาละลาย เป็น วิธกี ารแยกสารผสมท่มี ีสมบตั ิการละลายใน ตวั ทา ละลายทต่ี ํางกนั โดยชนิดของตัวทาละลายมผี ลตอํ ชนดิ และปริมาณของสารทสี่ กัดได๎ การสกดั โดยการ กล่นั ด๎วยไอน้า ใช๎แยกสารที่ระเหยงาํ ย ไมํละลายน้า และไมํทาปฏิกริ ิยากับนา้ ออกจากสารที่ระเหยยาก โดยใชไ๎ อนา้ เปน็ ตวั พา
๑๔๐ ชั้น ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๓. นาวธิ กี ารแยกสารไปใช๎แก๎ปญั หาใน • ความร๎ดู า๎ นวิทยาศาสตรเ์ ก่ียวกับการแยกสาร บรู ณา ชีวติ ประจาวนั โดยบรู ณาการ การกับคณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี โดยใช๎กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม สามารถนาไปใชแ๎ ก๎ปญั หาในชวี ติ ประจาวัน และวศิ วกรรมศาสตร์ หรอื ปญั หาท่ีพบในชุมชนหรือสรา๎ งนวตั กรรม โดยมี ขน้ั ตอน ดังน้ี - ระบุปัญหาในชีวิตประจาวนั ท่เี ก่ียวกับการแยกสารโดย ใชส๎ มบตั ิทางกายภาพ หรอื นวัตกรรมทต่ี ๎องการพัฒนา โดยใช๎หลกั การดงั กลาํ ว - รวบรวมขอ๎ มูลและแนวคิดเกยี่ วกบั การแยกสาร โดยใช๎ สมบัตทิ างกายภาพทีส่ อดคล๎องกบั ปญั หาทรี่ ะบุ หรอื นาไปสูกํ ารพัฒนานวตั กรรมน้ัน - ออกแบบวธิ ีการแกป๎ ัญหา หรอื พฒั นานวัตกรรมท่ี เกี่ยวกบั การแยกสารในสารผสม โดยใชส๎ มบัติทาง กายภาพ โดยเช่ือมโยงความรู๎ด๎านวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และกระบวนการทางวศิ วกรรม รวมทั้งกาหนดและควบคุมตวั แปรอยาํ งเหมาะสม ครอบคลุม - วางแผนและดาเนินการแกป๎ ัญหา หรอื พัฒนานวัตกรรม รวบรวมขอ๎ มลู จัดกระทาข๎อมูลและเลือกวิธีการสื่อ ความหมายที่เหมาะสมในการนาเสนอผล - ทดสอบ ประเมินผล ปรบั ปรงุ วิธกี ารแก๎ปัญหา หรือ นวัตกรรมท่พี ัฒนาขึ้น โดยใชห๎ ลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ที่ รวบรวมได๎ - นาเสนอวิธีการแกป๎ ญั หา หรอื ผลของนวัตกรรมท่ี พัฒนาขน้ึ และผลท่ีได๎ โดยใชว๎ ิธกี ารสอื่ สารที่เหมาะสม และนําสนใจ
ชั้น ตัวชี้วดั ๑๔๑ ๔. ออกแบบการทดลองและทดลอง สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ในการอธิบายผลของชนิดตัวละลาย • สารละลายอาจมีสถานะเป็นของแขง็ ของเหลว และ ชนิดตัวทาละลาย อุณหภมู ิท่ีมีตํอ แก๏ส สารละลายประกอบด๎วยตวั ทาละลาย และตัว สภาพละลายได๎ของสาร รวมทงั้ ละลาย กรณสี ารละลายเกิดจากสารทีม่ สี ถานะเดยี วกนั อธบิ ายผลของความดนั ที่มีตอํ สภาพ สารทีม่ ีปริมาณมากที่สดุ จัดเป็นตัวทาละลาย กรณี ละลายได๎ของสาร โดยใช๎สารสนเทศ สารละลายเกดิ จากสารทม่ี ีสถานะตาํ งกนั สารท่มี ี สถานะเดียวกนั กับสารละลายจัดเป็นตัวทาละลาย • สารละลายทตี่ ัวละลายไมสํ ามารถละลายในตวั ทา ละลายได๎อกี ที่อุณหภูมหิ น่ึง ๆ เรยี กวาํ สารละลาย อ่ิมตัว • สภาพละลายไดข๎ องสารในตัวทาละลาย เปน็ คาํ ที่ บอกปรมิ าณของสารทล่ี ะลายไดใ๎ นตัวทาละลาย ๑๐๐ กรมั จนได๎สารละลายอมิ่ ตัว ณ อุณหภูมแิ ละความดัน หนงึ่ ๆ สภาพละลายได๎ของสารบงํ บอกความสามารถ ในการละลายได๎ของตัวละลาย ในตวั ทาละลาย ซง่ึ ความสามารถในการละลายของสารข้นึ อยูํกับชนดิ ของ ตวั ทาละลายและตัวละลาย อุณหภมู ิ และความดนั • สารชนิดหนึง่ ๆ มีสภาพละลายไดแ๎ ตกตาํ งกันในตวั ทาละลายทแ่ี ตกตํางกนั และสารตํางชนดิ กัน มีสภาพ ละลายไดใ๎ นตัวทาละลายหน่ึง ๆ ไมํเทาํ กัน • เม่ืออุณหภูมสิ ูงขึน้ สารสํวนมาก สภาพละลายไดข๎ อง สารจะเพม่ิ ขึน้ ยกเว๎นแกส๏ เมือ่ อุณหภูมิสงู ข้ึนสภาพการ ละลายได๎จะลดลง สวํ นความดนั มีผลตํอแก๏ส โดยเม่ือ ความดันเพ่ิมข้นึ สภาพละลายไดจ๎ ะสูงข้นึ • ความรเ๎ู กีย่ วกบั สภาพละลายได๎ของสาร เม่อื เปล่ยี นแปลงชนดิ ตวั ละลาย ตัวทาละลาย และ อุณหภูมิ สามารถนาไปใชป๎ ระโยชนใ์ นชวี ิตประจาวนั เชํน การทานา้ เชือ่ มเขม๎ ข๎น การสกัดสารออกจาก สมนุ ไพรให๎ได๎ปรมิ าณมากทสี่ ุด
๑๔๒ ชั้น ตัวช้ีวดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ๕. ระบปุ รมิ าณตัวละลายในสารละลาย • ความเขม๎ ข๎นของสารละลาย เปน็ การระบุ ในหนํวยความเข๎มข๎นเป็นรอ๎ ยละ ปริมาณ ตัวละลายในสารละลาย หนวํ ยความ ปริมาตรตอํ ปริมาตร มวลตํอมวล และ เข๎มข๎นมีหลายหนํวย ท่นี ิยมระบุเปน็ หนํวยเปน็ มวลตํอปรมิ าตร ร๎อยละ ปริมาตรตํอปรมิ าตร มวลตํอมวล และ ๖. ตระหนักถึงความสาคญั ของการนา มวลตํอปรมิ าตร ความรู๎เรื่องความเข๎มขน๎ ของสารไปใช๎ • ร๎อยละโดยปริมาตรตํอปรมิ าตร เป็นการระบุ โดยยกตัวอยํางการใช๎สารละลายใน ปรมิ าตรตัวละลายในสารละลาย ๑๐๐ หนวํ ย ชีวติ ประจาวันอยาํ งถูกต๎องและปลอดภัย ปรมิ าตรเดยี วกัน นิยมใชก๎ บั สารละลายที่เปน็ ของเหลวหรอื แกส๏ • ร๎อยละโดยมวลตอํ มวล เป็นการระบมุ วลตวั ละลายในสารละลาย ๑๐๐ หนวํ ยมวลเดยี วกนั นิยมใช๎กับสารละลายที่มสี ถานะเป็นของแข็ง • ร๎อยละโดยมวลตอํ ปริมาตร เปน็ การระบุมวล ตัวละลายในสารละลาย ๑๐๐ หนํวยปรมิ าตร นยิ มใช๎กับสารละลายท่ีมตี วั ละลายเป็น ของแขง็ ในตัวทาละลายท่ีเป็นของเหลว • การใชส๎ ารละลาย ในชวี ติ ประจาวนั ควร พจิ ารณาจากความเข๎มข๎นของสารละลาย ข้ึนอยํูกับจุดประสงคข์ องการใช๎งาน และ ผลกระทบตํอสิง่ ชวี ติ และสง่ิ แวดลอ๎ ม
๑๔๓ ชัน้ ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.๓ ๑. ระบุสมบัติทางกายภาพและการใช๎ • พอลเิ มอร์ เซรามิกส์ และวสั ดผุ สม เป็นวัสดุท่ใี ช๎มากใน ประโยชน์วสั ดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรา ชีวิตประจาวัน มกิ ส์ และวสั ดุผสม โดยใช๎หลักฐานเชงิ • พอลิเมอรเ์ ปน็ สารประกอบโมเลกลุ ใหญํทเี่ กิดจาก ประจักษ์ และสารสนเทศ โมเลกุลจานวนมากรวมตวั กันทางเคมี เชนํ พลาสติก ยาง ๒. ตระหนกั ถงึ คุณคําของการใชว๎ สั ดุ เส๎นใย ซงึ่ เป็นพอลเิ มอรท์ มี่ สี มบัตแิ ตกตํางกนั โดย ประเภทพอลเิ มอร์ เซรามิกส์ และวสั ดุ พลาสติกเปน็ พอลเิ มอร์ท่ีขน้ึ รูปเป็นรูปทรงตําง ๆ ได๎ ยาง ผสม โดยเสนอ แนะแนวทางการใช๎ ยืดหยํุนได๎ สํวนเส๎นใยเป็นพอลเิ มอร์ทีส่ ามารถดงึ เปน็ เสน๎ วัสดอุ ยํางประหยัดและคุ๎มคํา ยาวได๎ พอลิเมอร์จงึ ใชป๎ ระโยชน์ได๎แตกตํางกัน • เซรามกิ สเ์ ปน็ วัสดทุ ผี่ ลติ จาก ดนิ หิน ทราย และแรํธาตุ ตาํ ง ๆ จากธรรมชาติ และสํวนมากจะผํานการเผาท่ี อุณหภูมสิ งู เพอ่ื ให๎ไดเ๎ น้ือสารทีแ่ ข็งแรงเซรามิกส์สามารถ ทาเป็นรปู ทรงตําง ๆ ได๎ สมบตั ิทวั่ ไปของเซรามิกสจ์ ะแขง็ ทนตอํ การสกึ กรํอน และเปราะ สามารถนาไปใช๎ ประโยชน์ได๎ เชํน ภาชนะท่ีเป็นเครอื่ งปนั้ ดินเผา ชนิ้ สํวน อเิ ล็กทรอนกิ ส์ • วัสดุผสมเป็นวสั ดทุ ี่เกิดจากวสั ดตุ ัง้ แตํ ๒ ประเภท ที่มี สมบัติแตกตาํ งกนั มารวมตวั กัน เพ่อื นาไปใชป๎ ระโยชน์ได๎ มากข้นึ เชนํ เสือ้ กันฝนบางชนดิ เป็นวสั ดผุ สมระหวํางผา๎ กบั ยาง คอนกรตี เสริมเหล็ก เปน็ วัสดผุ สมระหวําง คอนกรีตกบั เหล็ก • วัสดบุ างชนิดสลายตัวยาก เชนํ พลาสตกิ การใช๎วัสดุ อยํางฟมุ เฟือยและไมรํ ะมัดระวังอาจกํอปัญหาตํอ สงิ่ แวดลอ๎ ม
๑๔๔ ชั้น ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๓. อธบิ ายการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี รวมถึง • การเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมหี รือการเปลย่ี นแปลงทาง การจดั เรียงตวั ใหมํของอะตอมเมือ่ เคมีของสาร เปน็ การเปล่ียนแปลงท่ที าใหเ๎ กดิ สาร เกิดปฏิกิริยาเคมี โดยใช๎แบบจาลองและ ใหมํ โดยสารที่เขา๎ ทาปฏิกิริยา เรยี กวาํ สารตงั้ ต๎น สมการข๎อความ สารใหมํท่เี กิดข้ึนจากปฏิกริ ยิ า เรียกวํา ผลิตภัณฑ์ การเกิดปฏิกิริยาเคมีสามารถเขยี นแทนไดด๎ ๎วย สมการข๎อความ • การเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี อะตอมของสารตั้งต๎นจะมี การจดั เรียงตัวใหมํ ไดเ๎ ปน็ ผลติ ภณั ฑ์ ซ่ึงมีสมบัติ แตกตํางจากสารต้งั ต๎น โดยอะตอมแตํละชนิดกํอน และหลงั เกิดปฏกิ ิริยาเคมีมจี านวนเทํากนั ๔. อธบิ ายกฎทรงมวล โดยใชห๎ ลักฐานเชิง • เมื่อเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี มวลรวมของสารตั้งตน๎ ประจักษ์ เทํากับมวลรวมของผลิตภัณฑ์ ซง่ึ เป็นไปตามกฎ ทรงมวล ๕. วเิ คราะหป์ ฏกิ ิรยิ าดูดความร๎อน และ • เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี มีการถํายโอนความร๎อน ปฏกิ ริ ิยาคายความร๎อน จากการ ควบคูไํ ปกับการจัดเรียงตัวใหมขํ องอะตอมของสาร เปลีย่ นแปลงพลงั งานความรอ๎ นของ ปฏกิ ริ ิยาทมี่ กี ารถาํ ยโอนความร๎อนจากสง่ิ แวดล๎อม ปฏิกิรยิ า เขา๎ สูรํ ะบบเปน็ ปฏกิ ริ ยิ าดดู ความรอ๎ น ปฏิกิริยาทมี่ ี การถาํ ยโอนความรอ๎ นจากระบบออกสํสู ิง่ แวดล๎อม เปน็ ปฏิกิรยิ าคายความรอ๎ น โดยใชเ๎ ครอื่ งมือที่ เหมาะสมในการวัดอุณหภูมิ เชํน เทอร์มอมเิ ตอร์ หวั วัดท่สี ามารถตรวจสอบการเปล่ยี นแปลงของ อณุ หภูมิได๎อยาํ งตอํ เนื่อง
๑๔๕ ชั้น ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๖. อธบิ ายปฏิกิริยาการเกิดสนมิ ของเหล็ก • ปฏิกริ ิยาเคมีที่พบในชีวิตประจาวนั มีหลายชนิด เชํน ปฏกิ ิรยิ าของกรดกับโลหะ ปฏิกริ ิยาของ ปฏิกิรยิ าการเผาไหม๎ การเกิดสนมิ ของเหล็ก ปฏกิ ิริยา กรดกับเบส และปฏิกริ ิยาของเบสกับ ของกรดกับโลหะ ปฏิกิรยิ าของกรดกับเบส ปฏกิ ริ ยิ า โลหะ โดยใชห๎ ลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ และ ของเบสกับโลหะ การเกิดฝนกรด การสงั เคราะหด์ ๎วย อธบิ ายปฏกิ ิรยิ าการเผาไหม๎ การเกิดฝน แสง ปฏิกิริยาเคมีสามารถเขยี นแทนไดด๎ ๎วยสมการ กรด การสังเคราะหด์ ว๎ ยแสง โดยใช๎ ขอ๎ ความ ซ่ึงแสดงชื่อของสารตั้งตน๎ และผลติ ภณั ฑ์ เชํน สารสนเทศ รวมทงั้ เขียนสมการข๎อความ เช้ือเพลงิ + ออกซเิ จน → คารบ์ อนไดออกไซด์ + น้า แสดงปฏกิ ริ ยิ าดังกลาํ ว ปฏกิ ิรยิ าการเผาไหมเ๎ ป็นปฏิกิริยาระหวาํ งสารกบั ออกซิเจน สารทเ่ี กดิ ปฏกิ ิรยิ าการเผาไหมส๎ วํ นใหญเํ ปน็ สารประกอบท่ีมีคารบ์ อนและไฮโดรเจนเป็น องค์ประกอบ ซ่งึ ถา๎ เกดิ การเผาไหม๎อยํางสมบูรณ์ จะได๎ ผลิตภัณฑ์เป็นคาร์บอนไดออกไซด์และนา้ • การเกดิ สนมิ ของเหลก็ เกดิ จากปฏิกิริยาเคมรี ะหวําง เหลก็ น้าและออกซิเจน ได๎ผลติ ภัณฑ์เป็นสนิมของเหลก็ • ปฏิกริ ิยาการเผาไหม๎และการเกดิ สนมิ ของเหล็ก เป็น ปฏิกริ ิยาระหวํางสารตาํ ง ๆ กับออกซเิ จน • ปฏิกิรยิ าของกรดกับโลหะ กรดทาปฏกิ ริ ิยากบั โลหะได๎ หลายชนิด ได๎ผลติ ภณั ฑ์เปน็ เกลือของโลหะและแก๏ส ไฮโดรเจน • ปฏิกิรยิ าของกรดกบั สารประกอบคารบ์ อเนต ได๎ ผลิตภัณฑ์เป็นแก๏สคารบ์ อนไดออกไซด์ เกลือของโลหะ และน้า • ปฏิกิริยาของกรดกับเบส ได๎ผลติ ภณั ฑเ์ ปน็ เกลือของ โลหะและน้า หรืออาจไดเ๎ พียงเกลอื ของโลหะ • ปฏิกริ ิยาของเบสกบั โลหะบางชนดิ ไดผ๎ ลิตภัณฑ์เป็น เกลือของเบสและแก๏สไฮโดรเจน • การเกดิ ฝนกรด เปน็ ผลจากปฏิกิรยิ าระหวาํ งน้าฝนกับ ออกไซดข์ องไนโตรเจน หรอื ออกไซด์ของซลั เฟอร์ ทาให๎ นา้ ฝนมีสมบตั ิเป็นกรด • การสังเคราะห์ดว๎ ยแสงของพืช เป็นปฏกิ ริ ยิ าระหวําง แกส๏ คารบ์ อนไดออกไซดก์ ับน้า โดยมแี สงชํวยในการ เกิดปฏกิ ริ ยิ า ไดผ๎ ลติ ภณั ฑ์เป็นน้าตาลกลโู คสและ ออกซเิ จน
๑๔๖ ชั้น ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ๗. ระบปุ ระโยชน์และโทษของปฏกิ ิริยา • ปฏกิ ริ ยิ าเคมีที่พบในชีวิตประจาวนั มีท้ังประโยชน์ เคมที ่มี ีตอํ สิง่ มชี ีวิตและส่ิงแวดล๎อม และ และโทษตํอสงิ่ มีชวี ติ และสง่ิ แวดลอ๎ ม จงึ ต๎อง ยกตัวอยาํ งวิธีการปูองกนั และแกป๎ ญั หาท่ี ระมัดระวงั ผลจากปฏกิ ริ ยิ าเคมี ตลอดจนรจู๎ ักวธิ ี เกดิ จากปฏกิ ิรยิ าเคมีทีพ่ บใน ปูองกนั และแก๎ปัญหาที่เกิดจากปฏิกิรยิ าเคมีทพี่ บ ใน ชีวติ ประจาวัน จากการสืบค๎นข๎อมลู ชวี ติ ประจาวัน ๘. ออกแบบวิธแี ก๎ปัญหาในชีวิตประจาวนั • ความรเู๎ กีย่ วกบั ปฏกิ ริ ิยาเคมี สามารถนาไปใช๎ โดยใชค๎ วามรเ๎ู กี่ยวกับปฏกิ ิรยิ าเคมี โดย ประโยชนใ์ นชวี ิตประจาวนั และสามารถบรู ณาการกบั บรู ณาการวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ เพ่อื ใช๎ เทคโนโลยี และวศิ วกรรมศาสตร์ ปรับปรงุ ผลิตภัณฑ์ให๎มีคุณภาพตามต๎องการหรอื อาจ สรา๎ งนวตั กรรมเพ่ือปูองกนั และแกป๎ ัญหาที่เกดิ ข้ึนจาก ปฏกิ ริ ยิ าเคมี โดยใชค๎ วามรู๎เก่ียวกับปฏกิ ริ ยิ าเคมี เชนํ การเปลีย่ นแปลงพลงั งานความร๎อนอันเนอื่ งมาจาก ปฏิกริ ิยาเคมี การเพิ่มปริมาณผลผลิต
๑๔๗ ช้นั ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๑ - - ป.๒ - - ป.๓ ๑. ระบุผลของแรงท่ีมีตํอการ • การดงึ หรือการผลกั เป็นการออกแรงกระทาตอํ วตั ถุ แรงมี เปลย่ี นแปลง การเคล่ือนท่ีของวัตถุ ผลตํอการเคล่ือนท่ีของวัตถุ แรงอาจทาให๎วัตถุเกดิ การ จากหลักฐานเชิงประจักษ์ เคลื่อนที่โดยเปลีย่ นตาแหนํงจากท่ีหนึ่งไปยังอีกที่หนง่ึ • การเปลยี่ นแปลงการเคล่ือนที่ของวัตถุ ไดแ๎ กํ วัตถุทอี่ ยูํนงิ่ เปลยี่ นเป็นเคล่ือนที่ วตั ถทุ ก่ี าลงั เคลอื่ นทเ่ี ปลีย่ นเปน็ เคลอ่ื นที่เรว็ ขึน้ หรือช๎าลงหรอื หยุดน่ิง หรอื เปลย่ี นทศิ ทางการเคลอ่ื นท่ี ๒. เปรียบเทียบและยกตัวอยํางแรง • การดึงหรอื การผลักเปน็ การออกแรงที่เกดิ จากวัตถหุ น่ึง สัมผัสและแรงไมสํ มั ผัสทม่ี ีผลตอํ การ กระทากบั อกี วัตถหุ นึง่ โดยวตั ถุทงั้ สองอาจสัมผัสหรอื ไมตํ ๎อง เคลือ่ นท่ีของวัตถุ โดยใช๎หลกั ฐานเชงิ สัมผสั กนั เชนํ การออกแรงโดยใชม๎ อื ดงึ หรือการผลักโต๏ะให๎ ประจักษ์ เคลอ่ื นทเี่ ปน็ การออกแรงทีว่ ตั ถุต๎องสมั ผัสกัน แรงนี้จงึ เปน็ แรงสมั ผสั สวํ นการทแี่ มํเหล็กดึงดดู หรอื ผลกั ระหวาํ ง แมํเหลก็ เปน็ แรงที่เกิดขนึ้ โดยแมํเหล็กไมจํ าเป็นต๎องสัมผัส กัน แรงแมเํ หล็กนจี้ งึ เป็นแรงไมํสัมผัส ๓. จาแนกวัตถุโดยใชก๎ ารดึงดูดกับ • แมเํ หล็กสามารถดึงดดู สารแมเํ หลก็ ได๎ แมํเหลก็ เปน็ เกณฑ์จากหลักฐานเชิง • แรงแมํเหลก็ เปน็ แรงท่เี กิดขึ้นระหวํางแมเํ หล็ก กับสาร ประจักษ์ แมํเหลก็ หรอื แมเํ หลก็ กบั แมํเหลก็ แมํเหลก็ มี ๒ ขั้ว คอื ข้ัว ๔. ระบุขวั้ แมเํ หล็กและพยากรณผ์ ลที่ เหนอื และข้วั ใต๎ ข้วั แมํเหลก็ ชนดิ เดียวกันจะผลกั กนั ตาํ ง เกิดขนึ้ ระหวํางข้ัวแมํเหล็กเม่ือนามา ชนดิ กันจะดึงดดู กัน เขา๎ ใกล๎กันจากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ป.๔ ๑. ระบผุ ลของแรงโน๎มถํวงทม่ี ีตํอวตั ถุ • แรงโนม๎ ถวํ งของโลกเป็นแรงดงึ ดูดทโี่ ลกกระทาตํอวตั ถุ มี จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ ทศิ ทางเข๎าสูศํ นู ย์กลางโลก และเปน็ แรงไมสํ ัมผสั แรงดึงดดู ๒. ใช๎เครื่องชั่งสปริงในการวัดนา้ หนัก ท่โี ลกกระทากับวตั ถหุ น่ึง ๆ ทาใหว๎ ตั ถุตกลงสํูพ้ืนโลก และ ของวัตถุ ทาให๎วตั ถุมนี ้าหนัก วัดน้าหนกั ของวัตถุไดจ๎ ากเครอื่ งชั่ง สปรงิ นา้ หนกั ของวตั ถขุ น้ึ กบั มวลของวตั ถุ โดยวัตถทุ ี่มีมวล มากจะมีน้าหนกั มาก วตั ถทุ ่ีมีมวลน๎อยจะมนี ้าหนักนอ๎ ย
๑๔๘ ชน้ั ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๓. บรรยายมวลของวัตถุท่ีมีผลตํอการ • มวล คือ ปริมาณเน้ือของสสารทง้ั หมดท่ีประกอบกัน เปล่ียนแปลงการเคล่ือนท่ีของวตั ถจุ าก เป็นวัตถุ ซึ่งมผี ลตอํ ความยากงํายในการเปล่ยี นแปลง หลักฐานเชิงประจกั ษ์ การเคล่อื นท่ีของวตั ถุ วตั ถทุ ่ีมีมวลมากจะเปลี่ยนแปลง การเคลอื่ นท่ีได๎ยากกวําวัตถุท่ีมมี วลนอ๎ ย ดังนั้นมวลของ วัตถนุ อกจากจะหมายถงึ เนื้อทั้งหมดของวัตถนุ ้นั แลว๎ ยัง หมายถึงการต๎านการเปลย่ี นแปลงการเคลื่อนท่ขี องวตั ถุ นั้นด๎วย ป.๕ ๑. อธิบายวิธกี ารหาแรงลัพธ์ของแรง • แรงลัพธ์เป็นผลรวมของแรงทก่ี ระทาตํอวัตถุ โดย หลายแรงในแนวเดียวกนั ท่ีกระทาตํอ แรงลพั ธ์ของแรง ๒ แรงทก่ี ระทาตอํ วัตถเุ ดยี วกันจะมี วตั ถใุ นกรณีทีว่ ตั ถอุ ยํูน่ิงจากหลักฐานเชิง ขนาดเทาํ กบั ผลรวมของแรงทั้งสองเม่ือแรงทงั้ สองอยูํ ประจกั ษ์ ในแนวเดยี วกันและมีทิศทางเดยี วกัน แตํจะมีขนาด ๒. เขียนแผนภาพแสดงแรงท่ีกระทาตอํ เทํากบั ผลตํางของแรงท้งั สอง เมือ่ แรงท้ังสองอยใํู นแนว วัตถทุ ีอ่ ยํูในแนวเดยี วกนั และแรงลัพธท์ ี่ เดียวกันแตมํ ีทิศทางตรงข๎ามกัน สาหรับวตั ถุทีอ่ ยูนํ ง่ิ กระทาตอํ วตั ถุ แรงลัพธท์ ก่ี ระทาตํอวตั ถุมคี ําเปน็ ศูนย์ ๓. ใช๎เครื่องชงั่ สปรงิ ในการวัดแรงที่ • การเขยี นแผนภาพของแรงทก่ี ระทาตํอวัตถุสามารถ กระทาตํอวัตถุ เขยี นได๎โดยใชล๎ ูกศร โดยหวั ลกู ศรแสดงทศิ ทางของ แรง และความยาวของลูกศรแสดงขนาดของแรงท่ี กระทาตํอวัตถุ ๔. ระบผุ ลของแรงเสียดทานทีม่ ตี ํอการ • แรงเสียดทานเป็นแรงทีเ่ กิดข้ึนระหวํางผวิ สัมผัสของ เปล่ยี นแปลงการเคล่ือนทข่ี องวตั ถจุ าก วตั ถุ เพ่ือต๎านการเคล่อื นท่ีของวัตถุนัน้ โดยถา๎ ออกแรง หลักฐานเชิงประจกั ษ์ กระทาตอํ วัตถุท่ีอยูํนิ่งบนพน้ื ผิวหนึ่งใหเ๎ คล่อื นท่ี แรง ๕. เขยี นแผนภาพแสดงแรงเสียดทาน เสียดทานจากพนื้ ผิวนัน้ ก็จะต๎านการเคลื่อนท่ขี องวตั ถุ และแรง ท่อี ยํใู นแนวเดียวกันทกี่ ระทา แตํถ๎าวัตถุกาลงั เคลื่อนที่ แรงเสียดทานก็จะทาใหว๎ ัตถุ ตอํ วตั ถุ น้ันเคลื่อนท่ีช๎าลงหรือหยดุ นิง่ ป.๖ ๑. อธบิ ายการเกดิ และผลของแรงไฟฟูา • วตั ถุ ๒ ชนิดที่ผาํ นการขดั ถูแลว๎ เมื่อนาเขา๎ ใกลก๎ นั ซ่ึงเกิดจากวตั ถุท่ผี ํานการขัดถู โดยใช๎ อาจดงึ ดดู หรือผลักกนั แรงทเ่ี กดิ ข้นึ นเี้ ปน็ แรงไฟฟูา ซง่ึ หลกั ฐานเชิงประจักษ์ เปน็ แรงไมสํ ัมผสั เกิดข้ึนระหวาํ งวตั ถทุ ่มี ปี ระจไุ ฟฟาู ซง่ึ ประจไุ ฟฟาู มี ๒ ชนิด คือ ประจุไฟฟูาบวกและ ประจุไฟฟูาลบ วัตถุท่ีมีประจไุ ฟฟาู ชนดิ เดยี วกันผลัก กนั ชนิดตรงข๎ามกนั ดงึ ดูดกัน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435