๑๔๙ ชั้น ตวั ชวี้ ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.๑ ๑. สร๎างแบบจาลองท่ีอธิบาย • เมื่อวตั ถอุ ยํูในอากาศจะมีแรงทอี่ ากาศกระทาตํอวตั ถุ ความสมั พันธ์ระหวํางความดันอากาศกบั ในทุกทิศทาง แรงท่ีอากาศกระทาตํอวตั ถุข้ึนอยํูกับ ความสงู จากพ้นื โลก ขนาดพ้ืนท่ีของวตั ถนุ ้ัน แรงที่อากาศกระทาตั้งฉากกบั ผวิ วัตถตุ ํอหนึง่ หนํวยพนื้ ที่ เรียกวาํ ความดันอากาศ • ความดันอากาศมีความสมั พันธ์กับความสูงจากพื้น โลก โดยบริเวณทส่ี งู จากพนื้ โลกขน้ึ ไป อากาศเบาบาง ลง มวลอากาศน๎อยลง ความดนั อากาศก็จะลดลง ม.๒ ๑. พยากรณ์การเคลอื่ นทข่ี องวตั ถทุ เี่ ปน็ • แรงเปน็ ปรมิ าณเวกเตอร์ เมือ่ มีแรงหลาย ๆ แรง ผลของแรงลัพธ์ทีเ่ กิดจากแรงหลายแรงท่ี กระทาตอํ วตั ถุ แลว๎ แรงลพั ธ์ท่ีกระทาตํอวัตถุมคี ําเป็น กระทาตํอวัตถุในแนวเดยี วกนั จาก ศูนย์ วตั ถุจะไมํเปลี่ยนแปลงการเคลอ่ื นท่ี แตํถ๎าแรง หลักฐานเชงิ ประจักษ์ ลพั ธ์ทกี่ ระทาตํอวัตถมุ ีคาํ ไมเํ ป็นศนู ย์ วตั ถุจะ ๒. เขยี นแผนภาพแสดงแรงและแรงลัพธ์ท่ี เปลีย่ นแปลงการเคลื่อนท่ี เกิดจากแรงหลายแรงท่ีกระทาตํอวตั ถใุ น แนวเดียวกัน ๓. ออกแบบการทดลองและทดลองด๎วย • เมอื่ วตั ถอุ ยํูในของเหลวจะมีแรงทข่ี องเหลวกระทาตํอ วธิ ี ทเี่ หมาะสมในการอธบิ ายปจั จัยที่มผี ล วตั ถุในทกุ ทิศทาง โดยแรงทข่ี องเหลวกระทาตงั้ ฉากกับ ตํอความดันของของเหลว ผวิ วตั ถตุ ํอหน่งึ หนํวยพน้ื ท่ี เรียกวําความดนั ของ ของเหลว • ความดันของของเหลวมคี วามสัมพนั ธ์กับความลึกจาก ระดบั ผิวหนา๎ ของของเหลว โดยบริเวณที่ลึกลงไปจาก ระดบั ผวิ หนา๎ ของของเหลวมากขนึ้ ความดันของ ของเหลวจะเพิ่มข้ึน เนอ่ื งจากของเหลวที่อยํลู ึกกวํา จะ มีน้าหนักของของเหลวด๎านบนกระทามากกวํา ๔. วิเคราะห์แรงพยงุ และการจม การลอย • เมื่อวัตถุอยํูในของเหลว จะมแี รงพยุงเนอื่ งจาก ของวัตถุในของเหลวจากหลักฐานเชงิ ของเหลวกระทาตํอวตั ถุ โดยมที ศิ ขึ้นในแนวด่ิง การจม ประจักษ์ หรือการลอยของวัตถขุ ้ึนกบั น้าหนกั ของวตั ถแุ ละแรง ๕. เขียนแผนภาพแสดงแรงท่ีกระทาตํอ พยงุ ถา๎ นา้ หนกั ของวตั ถุและแรงพยุงของของเหลวมีคาํ วัตถุ ในของเหลว เทาํ กัน วัตถุจะลอยนิง่ อยํูในของเหลว แตถํ ๎านา้ หนักของ วตั ถมุ ีคํามากกวาํ แรงพยุงของของเหลววตั ถจุ ะจม
๑๕๐ ชั้น ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ๖. อธิบายแรงเสยี ดทานสถติ และแรงเสียด • แรงเสยี ดทานเปน็ แรงท่ีเกิดขึ้นระหวาํ งผิวสัมผสั ของ ทานจลน์จากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ วตั ถุ เพอ่ื ต๎านการเคลอื่ นที่ของวตั ถุน้ัน โดยถา๎ ออกแรง กระทาตอํ วัตถุทีอ่ ยูํนิ่งบนพน้ื ผวิ ให๎เคล่อื นท่ี แรงเสยี ด ทานก็จะต๎านการเคลื่อนทีข่ องวตั ถุ แรงเสยี ดทานที่ เกิดขนึ้ ในขณะทีว่ ตั ถยุ ังไมํเคลื่อนท่เี รยี ก แรงเสยี ดทาน สถิต แตํถ๎าวัตถุกาลงั เคล่ือนท่ี แรงเสยี ดทานกจ็ ะทาให๎ วตั ถุน้นั เคลอ่ื นท่ีช๎าลงหรือหยุดนิ่ง เรยี ก แรงเสียดทาน จลน์ ๗. ออกแบบการทดลองและทดลองดว๎ ย • ขนาดของแรงเสียดทานระหวาํ งผิวสมั ผสั ของวตั ถุ วธิ ที ่เี หมาะสมในการอธบิ ายปัจจยั ที่มผี ล ขน้ึ กบั ลกั ษณะผิวสัมผสั และขนาดของแรงปฏิกริ ยิ าตั้ง ตอํ ขนาดของแรงเสียดทาน ฉากระหวาํ งผวิ สัมผสั ๘. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและ • กิจกรรมในชวี ิตประจาวันบางกจิ กรรมต๎องการ แรง แรงอน่ื ๆ ท่ีกระทาตํอวตั ถุ เสียดทาน เชํน การเปดิ ฝาเกลียวขวดน้า การใช๎แผนํ กนั ๙. ตระหนกั ถึงประโยชน์ของความรเู๎ รือ่ ง ลน่ื ในหอ๎ งนา้ บางกิจกรรมไมํตอ๎ งการแรงเสยี ดทาน เชนํ แรงเสยี ดทานโดยวิเคราะห์สถานการณ์ การลากวัตถบุ นพน้ื การใชน๎ ้ามันหลํอลื่นในเคร่ืองยนต์ ปัญหาและเสนอแนะวิธีการลดหรือเพ่ิม • ความรู๎เรื่องแรงเสียดทานสามารถนาไปใชป๎ ระโยชน์ แรงเสียดทานที่เปน็ ประโยชน์ตํอการทา ในชวี ิตประจาวนั ได๎ กจิ กรรมในชวี ิตประจาวัน ๑๐. ออกแบบการทดลองและทดลองดว๎ ย • เมอ่ื มแี รงท่ีกระทาตํอวตั ถุโดยไมํผํานศนู ย์กลางมวล วิธี ทีเ่ หมาะสมในการอธิบายโมเมนตข์ อง ของวัตถุ จะเกดิ โมเมนต์ของแรง ทาใหว๎ ัตถุหมุนรอบ แรง เม่อื วตั ถุอยใํู นสภาพสมดุลตอํ การ ศูนยก์ ลางมวลของวัตถุน้ัน หมุน และคานวณ • โมเมนต์ของแรงเป็นผลคณู ของแรงทก่ี ระทาตํอวัตถุ โดยใช๎สมการ M = Fl กบั ระยะทางจากจดุ หมุนไปต้ังฉากกับแนวแรง เม่ือ ผลรวมของโมเมนต์ของแรงมีคําเป็นศูนย์ วตั ถุจะอยํูใน สภาพสมดลุ ตอํ การหมนุ โดยโมเมนตข์ องแรงในทิศทวน เขม็ นาฬิกาจะมขี นาดเทํากับโมเมนต์ของแรงในทิศตาม เข็มนาฬิกา • ของเลนํ หลายชนดิ ประกอบด๎วยอปุ กรณห์ ลายสํวนที่ ใชห๎ ลกั การโมเมนต์ของแรง ความรเู๎ ร่อื งโมเมนต์ของแรง สามารถนาไปใช๎ออกแบบและประดิษฐ์ของเลนํ ได๎
๑๕๑ ชั้น ตวั ชวี้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๑๑. เปรียบเทยี บแหลํงของสนามแมเํ หล็ก • วตั ถุทมี่ ีมวลจะมีสนามโน๎มถํวงอยํโู ดยรอบ แรงโน๎ม สนามไฟฟาู และสนามโน๎มถํวง และ ถํวงทก่ี ระทาตํอวัตถทุ ี่อยใํู นสนามโนม๎ ถํวงจะมีทิศพงํุ เข๎า ทศิ ทางของแรงท่ีกระทาตํอวัตถุทีอ่ ยูํในแตํ หาวตั ถทุ ่ีเป็นแหลํงของสนามโนม๎ ถํวง ละสนามจากข๎อมูลทร่ี วบรวมได๎ • วตั ถุท่มี ีประจุไฟฟูาจะมีสนามไฟฟูาอยโํู ดยรอบ แรง ๑๒. เขียนแผนภาพแสดงแรงแมเํ หล็ก ไฟฟูาท่ีกระทาตํอวัตถทุ ่มี ีประจจุ ะมีทิศพงุํ เข๎าหาหรือ แรงไฟฟูาและแรงโน๎มถํวงท่ีกระทาตํอวตั ถุ ออกจากวตั ถุท่ีมปี ระจุทเ่ี ปน็ แหลงํ ของสนามไฟฟาู • วตั ถทุ เี่ ปน็ แมํเหล็กจะมสี นามแมเํ หล็กอยโํู ดยรอบ แรงแมํเหล็กท่ีกระทาตํอขัว้ แมเํ หล็กจะมีทศิ พงํุ เข๎าหา หรือออกจากขั้วแมํเหล็กทีเ่ ป็นแหลํงของสนามแมเํ หล็ก ๑๓. วิเคราะหค์ วามสัมพนั ธร์ ะหวํางขนาด • ขนาดของแรงโนม๎ ถวํ ง แรงไฟฟูา และแรงแมํเหล็กท่ี ของแรงแมํเหล็ก แรงไฟฟูา และแรงโนม๎ กระทาตํอวัตถุที่อยํูในสนามนั้น ๆ จะมีคาํ ลดลง เมอื่ ถํวงท่กี ระทาตํอวัตถุที่อยูใํ นสนามนน้ั ๆ วัตถอุ ยูํหํางจากแหลํงของสนามน้นั ๆ มากขึน้ กบั ระยะหํางจากแหลงํ ของสนามถงึ วตั ถุ จากข๎อมูลทรี่ วบรวมได๎ ๑๔. อธบิ ายและคานวณอัตราเรว็ และ • การเคลือ่ นที่ของวัตถุเปน็ การเปล่ียนตาแหนํงของ ความเร็วของการเคลื่อนท่ีของวัตถุ โดยใช๎ วัตถเุ ทยี บกบั ตาแหนํงอ๎างอิง โดยมีปรมิ าณท่ีเกย่ี วข๎อง สมการ จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ กบั การเคล่อื นที่ซ่ึงมที ้ังปรมิ าณสเกลารแ์ ละปริมาณ ๑๕. เขยี นแผนภาพแสดงการกระจัดและ เวกเตอร์ เชํน ระยะทาง อัตราเรว็ การกระจัด ความเร็ว ความเร็ ปรมิ าณสเกลาร์ เป็นปริมาณทม่ี ีขนาด เชํน ระยะทาง อัตราเรว็ ปริมาณเวกเตอร์เป็นปรมิ าณที่มีท้งั ขนาดและ ทศิ ทาง เชนํ การกระจัด ความเรว็ • เขียนแผนภาพแทนปริมาณเวกเตอรไ์ ดด๎ ๎วยลูกศร โดย ความยาวของลูกศรแสดงขนาดและหวั ลูกศรแสดง ทศิ ทางของเวกเตอรน์ นั้ ๆ • ระยะทางเป็นปรมิ าณสเกลาร์ โดยระยะทาง เป็น ความยาวของเส๎นทางที่เคล่ือนท่ไี ด๎ • การกระจดั เป็นปริมาณเวกเตอร์ โดยการกระจดั มีทิศ ชจ้ี ากตาแหนํงเรมิ่ ตน๎ ไปยงั ตาแหนงํ สดุ ท๎าย และมีขนาด เทํากบั ระยะทสี่ น้ั ท่สี ุดระหวํางสองตาแหนงํ น้นั • อัตราเร็วเป็นปริมาณสเกลาร์ โดยอัตราเร็วเป็น อตั ราสํวนของระยะทางตํอเวลา • ความเร็วปรมิ าณเวกเตอร์มีทิศเดยี วกบั ทิศของการ กระจดั โดยความเร็วเปน็ อัตราสํวนของการกระจัดตํอ เวลา
๑๕๒ สาระที่ ๒ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลีย่ นแปลงและการถา่ ยโอนพลังงาน ปฏิสมั พันธ์ ระหวา่ งสสารและพลังงาน พลงั งานในชวี ิตประจาวัน ธรรมชาตขิ องคลน่ื ปรากฏการณ์ท่ี เก่ยี วข้องกับเสียง แสง และคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้ารวมท้งั นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ชั้น ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.๑ ๑. บรรยายการเกิดเสยี งและทิศทางการ • เสยี งเกดิ จากการส่นั ของวตั ถุ วตั ถทุ ที่ าให๎เกิดเสียงเปน็ เคลอื่ นที่ของเสยี งจากหลักฐานเชิง แหลํงกาเนดิ เสียง ซ่ึงมที ั้งแหลํงกาเนดิ เสยี งตาม ประจกั ษ์ ธรรมชาตแิ ละแหลงํ กาเนิดเสยี งท่ีมนษุ ยส์ รา๎ งขึน้ เสียง เคลื่อนท่ีออกจากแหลํงกาเนดิ เสียงทุกทิศทาง ป.๒ ๑. บรรยายแนวการเคล่ือนท่ีของแสงจาก • แสงเคลือ่ นท่ีจากแหลงํ กาเนิดแสงทุกทิศทางเป็นแนว แหลงํ กาเนดิ แสง และอธิบายการมองเหน็ ตรง เมอื่ มีแสงจากวัตถุมาเข๎าตาจะทาให๎มองเห็นวัตถุ วัตถุจากหลักฐานเชิงประจักษ์ น้ัน การมองเหน็ วตั ถทุ ่ีเป็นแหลงํ กาเนดิ แสง แสงจาก ๒. ตระหนักในคุณคาํ ของความรข๎ู องการ วตั ถุนนั้ จะเข๎าสํูตาโดยตรง สวํ นการมองเหน็ วัตถทุ ี่ไมใํ ชํ มองเหน็ โดยเสนอแนะแนวทางการปูองกัน แหลํงกาเนิดแสง ตอ๎ งมีแสงจากแหลํงกาเนิดแสงไป อนั ตราย จากการมองวตั ถุที่อยูใํ นบรเิ วณที่ กระทบวตั ถแุ ล๎วสะท๎อนเข๎าตา ถ๎ามีแสงทสี่ วํางมาก ๆ มแี สงสวาํ งไมเํ หมาะสม เข๎าสูํตาอาจเกิดอนั ตรายตํอตาได๎ จงึ ตอ๎ งหลีกเล่ยี งการ มองหรือใช๎แผํนกรองแสงท่ีมีคุณภาพเมอื่ จาเปน็ และ ตอ๎ งจดั ความสวํางใหเ๎ หมาะสมกบั การทากจิ กรรมตาํ ง ๆ เชํน การอาํ นหนงั สือ การดจู อโทรทศั น์ การใช๎ โทรศัพทเ์ คลอื่ นท่ีและแท็บเล็ต ป.๓ ๑. ยกตวั อยาํ งการเปล่ียนพลงั งานหน่ึงไป • พลังงานเป็นปริมาณท่แี สดงถึงความสามารถ ในการ เป็นอกี พลังงานหน่ึงจากหลกั ฐานเชิง ทางาน พลงั งานมีหลายแบบ เชนํ พลงั งานกล พลงั งาน ประจักษ์ ไฟฟาู พลงั งานแสง พลังงานเสียง และพลงั งานความ รอ๎ น โดยพลังงานสามารถเปลี่ยนจากพลังงานหน่ึงไป เปน็ อกี พลังงานหนงึ่ ได๎ เชํน การถมู อื จนรส๎ู ึกรอ๎ น เป็น การเปล่ียนพลงั งานกลเป็นพลังงานความร๎อน แผงเซลล์ สุริยะเปลย่ี นพลงั งานแสงเป็นพลังงานไฟฟูา หรือ เครอื่ งใช๎ไฟฟาู เปลย่ี นพลังงานไฟฟูาเป็นพลงั งานอ่นื
๑๕๓ ชนั้ ตัวชี้วดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ๒. บรรยายการทางานของเครอ่ื งกาเนิด • ไฟฟาู ผลติ จากเคร่ืองกาเนิดไฟฟาู ซึง่ ใช๎พลงั งานจาก ไฟฟูาและระบแุ หลํงพลังงานในการผลติ แหลํงพลังงานธรรมชาติหลายแหลํง เชํน พลังงานจาก ไฟฟาู จากข๎อมูลทรี่ วบรวมได๎ ลม พลงั งานจากน้า พลังงานจากแกส๏ ธรรมชาติ ๓. ตระหนกั ในประโยชนแ์ ละโทษของ • พลังงานไฟฟาู มคี วามสาคญั ตํอชีวติ ประจาวัน การใช๎ ไฟฟาู โดยนาเสนอวิธกี ารใช๎ไฟฟาู อยําง ไฟฟาู นอกจากตอ๎ งใชอ๎ ยาํ งถูกวิธี ประหยดั และคม๎ุ คํา ประหยดั และปลอดภัย แล๎ว ยงั ตอ๎ งคานงึ ถึงความปลอดภัยด๎วย ป.๔ ๑. จาแนกวตั ถุเปน็ ตัวกลางโปรํงใส • เม่ือมองสง่ิ ตาํ ง ๆ โดยมวี ัตถตุ ํางชนิดกนั มาก้ันแสง จะ ตัวกลางโปรงํ แสง และวตั ถุทึบแสง จาก ทาให๎ลกั ษณะการมองเห็นสง่ิ นนั้ ๆ ชดั เจนตํางกนั จึง ลกั ษณะ การมองเหน็ สงิ่ ตําง ๆ ผํานวตั ถุ จาแนกวัตถุท่ีมากั้นออกเปน็ ตัวกลางโปรํงใส ซงึ่ ทาให๎ นัน้ เปน็ เกณฑ์โดยใชห๎ ลักฐานเชิงประจกั ษ์ มองเหน็ สิ่งตาํ ง ๆ ได๎ชัดเจน ตัวกลางโปรํงแสงทาให๎ มองเห็นสิ่งตาํ ง ๆ ได๎ไมชํ ดั เจน และวตั ถุทบึ แสงทาให๎ มองไมํเห็นสิ่งตําง ๆ นน้ั ป.๕ ๑. อธบิ ายการได๎ยินเสยี งผํานตัวกลางจาก • การได๎ยนิ เสียงต๎องอาศัยตัวกลาง โดยอาจเปน็ หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ของแข็ง ของเหลว หรืออากาศ เสยี งจะสํงผาํ นตวั กลาง มายังหู ๒. ระบุตัวแปร ทดลอง และอธิบาย • เสยี งทไี่ ดย๎ ินมีระดบั สงู ตา่ ของเสยี งตํางกันขน้ึ กับ ลักษณะและการเกิดเสยี งสูง เสียงต่า ความถี่ของการสัน่ ของแหลํงกาเนิดเสยี ง โดยเม่อื ๓. ออกแบบการทดลองและอธิบาย แหลงํ กาเนดิ เสยี งสัน่ ด๎วยความถตี่ ่าจะเกดิ เสยี งต่า แตํถา๎ ลกั ษณะและการเกิดเสยี งดัง เสยี งคํอย สนั่ ด๎วยความถส่ี งู จะเกิดเสียงสูง สํวนเสยี งดงั คอํ ยที่ได๎ ๔. วัดระดบั เสียงโดยใช๎เครื่องมอื วดั ระดบั ยินขึ้นกับพลังงานการสั่นของแหลงํ กาเนดิ เสยี ง โดยเมื่อ เสยี ง แหลํงกาเนิดเสียงส่ันดว๎ ยพลังงานมากจะเกดิ เสียงดัง แตํ ๕. ตระหนักในคณุ คาํ ของความร๎ูเร่ือง ถา๎ แหลงํ กาเนิดเสยี งสน่ั ดว๎ ยพลงั งานน๎อยจะเกดิ เสียง ระดบั เสียงโดยเสนอแนะแนวทางในการ คํอย หลกี เลยี่ งและลดมลพิษทางเสียง • เสยี งดังมาก ๆ เปน็ อนั ตรายตอํ การไดย๎ นิ และเสยี งท่ี กอํ ให๎เกิดความราคาญเป็นมลพษิ ทางเสียง เดซิเบลเป็น หนวํ ยที่บอกถึงความดังของเสียง ป.๖ ๑. ระบุสํวนประกอบและบรรยายหน๎าที่ • วงจรไฟฟูาอยาํ งงํายประกอบด๎วย แหลงํ กาเนิดไฟฟูา ของแตํละสํวนประกอบของวงจรไฟฟาู สายไฟฟาู และเครอ่ื งใช๎ไฟฟาู หรอื อุปกรณไ์ ฟฟูา อยํางงาํ ยจากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ แหลํงกาเนดิ ไฟฟาู เชนํ ถํานไฟฉาย หรือแบตเตอรี่ ทา ๒. เขียนแผนภาพและตํอวงจรไฟฟูาอยําง หนา๎ ทใ่ี หพ๎ ลังงานไฟฟาู สายไฟฟูาเป็นตัวนาไฟฟาู ทา งาํ ย หนา๎ ที่เชอื่ มตํอระหวาํ งแหลงํ กาเนดิ ไฟฟูาและ เครื่องใช๎ไฟฟูาเข๎าดว๎ ยกัน เคร่อื งใช๎ไฟฟูามหี นา๎ ทเี่ ปลย่ี น พลงั งานไฟฟาู เปน็ พลังงานอนื่
๑๕๔ ช้ัน ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๖ ๓. ออกแบบการทดลองและทดลองด๎วยวธิ ี • เมือ่ นาเซลล์ไฟฟูาหลายเซลล์มาตํอเรยี งกนั โดยให๎ (ตอํ ) ทเี่ หมาะสมในการอธบิ ายวิธีการและผล ขว้ั บวกของเซลล์ไฟฟาู เซลล์หนง่ึ ตอํ กับข้ัวลบของอีก ของการตอํ เซลลไ์ ฟฟูาแบบอนกุ รม เซลลห์ น่งึ เปน็ การตํอแบบอนุกรม ทาให๎มพี ลังงาน ๔. ตระหนักถงึ ประโยชน์ของความร๎ูของ ไฟฟูาเหมาะสมกับเคร่ืองใช๎ไฟฟูา ซ่งึ การตํอ การตํอเซลลไ์ ฟฟูาแบบอนุกรมโดยบอก เซลล์ไฟฟูาแบบอนกุ รมสามารถนาไปใช๎ประโยชนใ์ น ประโยชน์และการประยกุ ต์ใชใ๎ น ชวี ิตประจาวัน เชนํ การตํอเซลล์ไฟฟูาในไฟฉาย ชวี ติ ประจาวนั ๕. ออกแบบการทดลองและทดลองดว๎ ยวธิ ี • การตํอหลอดไฟฟาู แบบอนุกรมเมื่อถอดหลอดไฟฟาู ที่เหมาะสมในการอธิบายการตอํ หลอด ดวงใดดวงหนงึ่ ออกทาให๎หลอดไฟฟูาท่เี หลือดับ ไฟฟาู แบบอนกุ รมและแบบขนาน ท้งั หมด สวํ นการตอํ หลอดไฟฟูาแบบขนาน เมื่อถอด ๖. ตระหนกั ถึงประโยชนข์ องความร๎ูของ หลอดไฟฟาู ดวงใดดวงหน่งึ ออก หลอดไฟฟูาทเ่ี หลอื ก็ การตอํ หลอดไฟฟูาแบบอนกุ รมและแบบ ยงั สวาํ งได๎ การตํอหลอดไฟฟูาแตลํ ะแบบสามารถ ขนาน โดยบอกประโยชน์ ข๎อจากดั และ นาไปใช๎ประโยชน์ได๎ เชํน การตอํ หลอดไฟฟูาหลาย การประยุกต์ใช๎ ในชวี ิตประจาวนั ดวงในบา๎ นจึงตอ๎ งตอํ หลอดไฟฟูาแบบขนาน เพ่ือ เลือกใช๎หลอดไฟฟูาดวงใดดวงหน่ึงได๎ตามต๎องการ ๗. อธิบายการเกดิ เงามืดเงามัวจาก • เมือ่ นาวัตถุทึบแสงมากน้ั แสงจะเกดิ เงาบนฉาก รับ หลักฐานเชงิ ประจักษ์ แสงทอี่ ยํูดา๎ นหลงั วัตถุ โดยเงามีรปู ราํ งคล๎ายวัตถุที่ทา ๘. เขยี นแผนภาพรงั สีของแสงแสดงการ ใหเ๎ กิดเงา เงามวั เป็นบรเิ วณท่ีมีแสงบางสํวนตกลงบน เกดิ เงามืดเงามัว ฉาก สํวนเงามดื เปน็ บรเิ วณที่ไมมํ ีแสงตกลงบนฉาก เลย ม.๑ ๑. วิเคราะห์ แปลความหมายข๎อมูล และ • เม่อื สสารได๎รบั หรอื สญู เสยี ความรอ๎ นอาจทาให๎ คานวณปรมิ าณความร๎อนทท่ี าให๎สสาร สสารเปลีย่ นอณุ หภมู ิ เปล่ียนสถานะ หรือเปลี่ยน เปลยี่ นอณุ หภมู ิและเปล่ยี นสถานะ รปู ราํ ง โดยใช๎สมการ และ • ปรมิ าณความร๎อนทที่ าให๎สสารเปลยี่ นอุณหภูมิ ๒. ใชเ๎ ทอร์มอมเิ ตอรใ์ นการวัดอณุ หภมู ิ ขนึ้ กับมวล ความร๎อนจาเพาะ และอณุ หภมู ิ ที่ ของสสาร เปลี่ยนไป • ปรมิ าณความร๎อนที่ทาใหส๎ สารเปลี่ยนสถานะขึ้นกบั มวลและความร๎อนแฝงจาเพาะ โดยขณะที่สสาร เปลยี่ นสถานะ อุณหภมู ิจะไมํเปล่ยี นแปลง ๓. สรา๎ งแบบจาลองท่อี ธิบายการขยายตัว • ความร๎อนทาให๎สสารขยายตัวหรือหดตวั ได๎ หรอื หดตวั ของสสารเนอ่ื งจากได๎รับหรอื เนื่องจากเมอื่ สสารได๎รับความร๎อนจะทาใหอ๎ นุภาค สูญเสียความรอ๎ น เคล่อื นท่เี รว็ ขนึ้ ทาใหเ๎ กิดการขยายตัว
๑๕๕ ชนั้ ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.๑ ๔. ตระหนักถงึ ประโยชน์ของความร๎ูของ แตเํ มื่อสสารคายความร๎อนจะทาให๎อนุภาคเคล่ือนทช่ี ๎า (ตํอ) การหดและขยายตวั ของสสารเนือ่ งจาก ลง ทาใหเ๎ กดิ การหดตวั ความรอ๎ น โดยวิเคราะหส์ ถานการณป์ ัญหา • ความร๎เู รื่องการหดและขยายตวั ของสสารเนอ่ื งจาก และเสนอแนะวิธกี ารนาความร๎มู า ความรอ๎ นนาไปใชป๎ ระโยชนไ์ ดด๎ ๎านตําง ๆ เชนํ การสร๎าง แกป๎ ัญหาในชวี ติ ประจาวัน ถนน การสร๎างรางรถไฟ การทาเทอร์มอมเิ ตอร์ ๕. วเิ คราะหส์ ถานการณ์การถํายโอนความ • ความรอ๎ นถํายโอนจากสสารท่ีมอี ุณหภูมิสงู กวาํ ไปยงั รอ๎ นและคานวณปรมิ าณความร๎อนที่ถําย สสารทีม่ ีอณุ หภมู ิต่ากวําจนกระทัง่ อุณหภูมิของสสารท้ัง โอนระหวาํ งสสารจนเกิดสมดุลความร๎อน สองเทํากนั สภาพทส่ี สารทั้งสองมีอณุ หภมู ิเทํากัน โดยใช๎สมการ Qสูญเสยี = Qได๎รบั เรยี กวํา สมดุลความรอ๎ น • เม่อื มกี ารถํายโอนความร๎อนจากสสารท่ีมีอุณหภูมิ ตํางกันจนเกิดสมดุลความร๎อน ความร๎อนที่เพ่มิ ขึ้นของ สสารหนึง่ จะเทาํ กบั ความร๎อนท่ีลดลงของอีกสสารหนง่ึ ซงึ่ เป็นไปตามกฎการอนรุ ักษ์พลังงาน ๖. สร๎างแบบจาลองทอ่ี ธบิ ายการถํายโอน • การถาํ ยโอนความร๎อนมี ๓ แบบ คอื การนาความร๎อน ความร๎อนโดยการนาความร๎อน การพา การพาความรอ๎ น และการแผํรงั สีความร๎อน การนา ความร๎อน การแผรํ ังสีความร๎อน ความร๎อนเป็นการถํายโอนความร๎อนท่ีอาศยั ตวั กลาง ๗. ออกแบบ เลือกใช๎ และสร๎างอปุ กรณ์ โดยทตี่ วั กลางไมํเคลอื่ นที่ การพาความร๎อนเป็นการถาํ ย เพ่ือแก๎ปญั หาในชวี ติ ประจาวนั โดยใช๎ โอนความรอ๎ นทอ่ี าศัยตัวกลาง โดยทตี่ วั กลางเคลอ่ื นทไี่ ป ความรู๎เกย่ี วกับการถํายโอนความร๎อน ดว๎ ย สวํ นการแผรํ ังสคี วามรอ๎ นเปน็ การถาํ ยโอนความ ร๎อนทไี่ มตํ อ๎ งอาศยั ตัวกลาง • ความรเ๎ู กย่ี วกบั การถํายโอนความร๎อนสามารถนาไปใช๎ ประโยชนใ์ นชีวติ ประจาวันได๎ เชํน การเลอื กใชว๎ สั ดเุ พ่ือ นามาทาภาชนะบรรจุอาหาร เพ่ือเก็บความร๎อน หรือ การออกแบบระบบระบายความร๎อนในอาคาร
๑๕๖ ชน้ั ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๒ ๑. วิเคราะหส์ ถานการณ์และคานวณ • เม่อื ออกแรงกระทาตํอวตั ถุ แล๎วทาให๎วัตถเุ คล่ือนที่ เกยี่ วกบั งานและกาลงั ที่เกิดจากแรงที่ โดยแรงอยูใํ นแนวเดียวกบั การเคลอ่ื นทจ่ี ะเกดิ งาน งาน กระทาตอํ วตั ถุ จะมีคํามากหรือน๎อยขึ้นกับขนาดของแรงและระยะทาง โดยใชส๎ มการ W = Fs และ P = ในแนวเดยี วกับแรง จากข๎อมูลท่รี วบรวมได๎ • งานทที่ าในหน่ึงหนวํ ยเวลาเรียกวาํ กาลัง หลกั การ ๒. วเิ คราะห์หลักการทางานของเครื่องกล ของงานนาไปอธบิ ายการทางานของ อยํางงํายจากข๎อมูลที่รวบรวมได๎ ๓. ตระหนักถึงประโยชน์ของความร๎ูของ เครื่องกลอยาํ งงาํ ย ไดแ๎ กํ คาน พืน้ เอียง รอกเดีย่ ว ลม่ิ เครอื่ งกลอยํางงาํ ย โดยบอกประโยชน์และ สกรู ลอ๎ และเพลา ซ่ีงนาไปใช๎ประโยชน์ด๎านตําง ๆ ใน การประยุกต์ใชใ๎ นชวี ติ ประจาวัน ชีวติ ประจาวัน ๔. ออกแบบและทดลองด๎วยวิธที ่เี หมาะสม • พลังงานจลน์เปน็ พลังงานของวตั ถุทเ่ี คลื่อนที่ พลังงาน ในการอธิบายปัจจัยท่มี ีผลตํอพลังงานจลน์ จลน์จะมีคาํ มากหรือน๎อยขึ้นกับมวลและอตั ราเรว็ สวํ น และพลังงานศกั ย์โน๎มถวํ ง พลงั งานศักยโ์ น๎มถํวงเกยี่ วข๎องกบั ตาแหนงํ ของวตั ถุ จะมี คํามากหรือน๎อยขึน้ กับมวลและตาแหนํงของวัตถุ เมอื่ วตั ถุอยูํในสนามโน๎มถวํ ง วตั ถุจะมพี ลงั งานศักย์โน๎มถํวง พลงั งานจลน์และพลงั งานศกั ย์โน๎มถํวงเป็นพลังงานกล ๕. แปลความหมายขอ๎ มูลและอธิบายการ • ผลรวมของพลงั งานศกั ยโ์ นม๎ ถวํ งและพลงั งานจลน์เป็น เปลีย่ นพลงั งานระหวาํ งพลังงานศกั ยโ์ นม๎ พลงั งานกล พลงั งานศักย์โน๎มถํวงและพลังงานจลน์ของ ถํวงและพลังงานจลนข์ องวตั ถุโดยพลงั งาน วัตถหุ นงึ่ ๆ สามารถเปลย่ี นกลับไปมาได๎ โดยผลรวมของ กลของวตั ถุ มีคาํ คงตวั จากขอ๎ มลู ทร่ี วบรวม พลงั งานศักยโ์ นม๎ ถวํ งและพลังงานจลนม์ ีคําคงตวั นั่นคือ ได๎ พลงั งานกลของวตั ถมุ ีคําคงตัว ๖. วเิ คราะห์สถานการณ์และอธิบายการ • พลังงานรวมของระบบมคี ําคงตัวซ่งึ อาจเปลีย่ นจาก เปลยี่ นและการถาํ ยโอนพลงั งานโดยใชก๎ ฎ พลังงานหนึง่ เป็นอีกพลังงานหน่ึง เชํน พลังงานกล การอนรุ ักษ์พลงั งาน เปล่ียนเป็นพลงั งานไฟฟูา พลังงานจลน์เปลีย่ นเป็น พลังงานความร๎อน พลงั งานเสยี ง พลังงานแสง เนอื่ งมาจากแรงเสยี ดทาน พลังงานเคมีในอาหาร เปล่ยี นเป็นพลังงานที่ไปใช๎ในการทางานของสงิ่ มีชีวิต • นอกจากน้ีพลงั งานยังสามารถถาํ ยโอนไปยงั อีกระบบ หน่ึงหรอื ได๎รบั พลังงานจากระบบอืน่ ได๎ เชนํ การถําย โอนความรอ๎ นระหวาํ งสสาร การถาํ ยโอนพลังงานของ การสัน่ ของแหลํงกาเนิดเสยี งไปยงั ผู๎ฟัง ท้งั การเปลี่ยน พลังงานและการถํายโอนพลังงาน พลังงานรวมทั้งหมดมี คําเทําเดิมตามกฎการอนุรกั ษ์พลังงาน
๑๕๗ ชัน้ ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.๓ ๑. วเิ คราะห์ความสัมพนั ธ์ระหวํางความ • เมอ่ื ตอํ วงจรไฟฟูาครบวงจรจะมีกระแสไฟฟาู ออกจาก ตํางศักย์ กระแสไฟฟาู และความต๎านทาน ข้ัวบวกผาํ นวงจรไฟฟาู ไปยังข้ัวลบของแหลํงกาเนดิ ไฟฟาู และคานวณปริมาณทีเ่ กี่ยวข๎องโดยใช๎ ซ่ึงวัดคําไดจ๎ ากแอมมิเตอร์ สมการ V = IR • คาํ ทีบ่ อกความแตกตาํ งของพลงั งานไฟฟูาตํอหนํวย จากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ประจรุ ะหวาํ งจดุ ๒ จุด เรียกวํา ความตํางศกั ย์ ซ่ึงวดั คํา ๒. เขยี นกราฟความสัมพนั ธ์ระหวําง ได๎จากโวลต์มิเตอร์ กระแสไฟฟูาและความตํางศักย์ไฟฟาู • ขนาดของกระแสไฟฟาู มีคาํ แปรผนั ตรงกับความตําง ๓. ใช๎โวลต์มิเตอร์ แอมมเิ ตอร์ในการวดั ศกั ย์ระหวาํ งปลายทง้ั สองของตัวนา โดยอัตราสํวน ปริมาณทางไฟฟาู ระหวาํ งความตาํ งศักย์และกระแสไฟฟูา มคี ําคงที่ เรียก คําคงทนี่ ้วี ํา ความต๎านทาน ๔. วิเคราะหค์ วามตํางศักย์ไฟฟูาและ • ในวงจรไฟฟูาประกอบด๎วยแหลงํ กาเนิดไฟฟูา กระแสไฟฟูาในวงจรไฟฟูาเม่ือตํอตัว สายไฟฟาู และอุปกรณไ์ ฟฟูา โดยอุปกรณ์ไฟฟาู แตํละ ต๎านทานหลายตวั แบบอนุกรมและแบบ ช้ินมคี วามต๎านทาน ในการตํอตัวต๎านทาน หลายตวั มี ขนานจากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ทั้งตอํ แบบอนุกรมและแบบขนาน ๕. เขียนแผนภาพวงจรไฟฟูาแสดงการตํอ • การตอํ ตวั ตา๎ นทานหลายตัวแบบอนุกรมในวงจรไฟฟาู ตัวต๎านทานแบบอนุกรมและขนาน ความตํางศักย์ที่ครอํ มตวั ต๎านทานแตํละตัวมีคําเทํากบั ผลรวมของความตํางศักย์ทีค่ รํอมตวั ตา๎ นทานแตลํ ะตัว โดยกระแสไฟฟาู ท่ีผาํ นตวั ตา๎ นทานแตลํ ะตัวมีคําเทํากนั ๖. บรรยายการทางานของชิ้นสํวน • การตอํ ตัวตา๎ นทานหลายตวั แบบขนานในวงจรไฟฟูา อเิ ล็กทรอนกิ ส์อยาํ งงํายในวงจรจากขอ๎ มูล กระแสไฟฟาู ทผ่ี ํานวงจรมีคาํ เทํากับผลรวมของ ทรี่ วบรวมได๎ กระแสไฟฟูาทีผ่ ํานตัวตา๎ นทานแตลํ ะตวั โดยความตาํ ง ๗. เขยี นแผนภาพและตํอช้ินสํวน ศกั ย์ที่ครํอมตวั ต๎านทานแตลํ ะตัวมีคําเทาํ กนั อเิ ล็กทรอนกิ ส์อยํางงาํ ยในวงจรไฟฟาู • ช้ินสวํ นอเิ ลก็ ทรอนิกสม์ หี ลายชนิด เชํน ตัวต๎านทาน ไดโอด ทรานซิสเตอร์ ตัวเกบ็ ประจุ โดยชิ้นสํวนแตํละ ชนิดทาหนา๎ ทแ่ี ตกตํางกนั เพื่อให๎วงจรทางานได๎ตาม ตอ๎ งการ • ตวั ตา๎ นทานทาหนา๎ ทคี่ วบคุมปรมิ าณกระแสไฟฟูาใน วงจรไฟฟูา ไดโอดทาหนา๎ ที่ให๎กระแสไฟฟาู ผาํ นทางเดยี ว ทรานซสิ เตอร์ทาหนา๎ ทเ่ี ป็นสวิตช์ปิดหรอื เปิดวงจรไฟฟาู และควบคุมปรมิ าณกระแสไฟฟูา ตัวเก็บประจุทาหนา๎ ที่ เกบ็ และคายประจุไฟฟูา
๑๕๘ ชนั้ ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ม.๓ • เคร่ืองใชไ๎ ฟฟูาอยํางงาํ ยประกอบด๎วยชิน้ สํวน (ตอ่ ) อเิ ลก็ ทรอนิกส์หลายชนิดทท่ี างานรํวมกัน การตํอวงจร อเิ ล็กทรอนกิ ส์โดยเลอื กใช๎ช้ินสวํ นอเิ ลก็ ทรอนิกส์ท่ี เหมาะสมตามหนา๎ ที่ของช้นิ สํวนนั้น ๆ จะสามารถทาให๎ วงจรไฟฟูาทางานไดต๎ ามต๎องการ ๘. อธิบายและคานวณพลังงานไฟฟาู โดย • เคร่ืองใชไ๎ ฟฟูาจะมคี ํากาลังไฟฟาู และความตาํ งศักย์ ใชส๎ มการ W = Pt รวมทง้ั คานวณคําไฟฟูา กากับไว๎ กาลงั ไฟฟูามีหนํวยเป็นวตั ต์ ความตํางศักย์ มี ของเครอ่ื งใชไ๎ ฟฟูาในบา๎ น หนํวยเปน็ โวลต์ คําไฟฟาู สวํ นใหญํคดิ จากพลังงานไฟฟาู ๙. ตระหนกั ในคณุ คาํ ของการเลือกใช๎ ท่ีใช๎ทงั้ หมด ซง่ึ หาได๎จากผลคูณของกาลังไฟฟูา ในหนํวย เคร่อื งใช๎ไฟฟาู โดยนาเสนอวธิ ีการใช๎ กิโลวตั ต์ กบั เวลาในหนํวยชั่วโมง พลงั งานไฟฟูามหี นวํ ย เคร่อื งใช๎ไฟฟูาอยํางประหยัดและปลอดภยั เป็น กโิ ลวตั ต์ ช่ัวโมง หรอื หนวํ ย • วงจรไฟฟาู ในบ๎านมีการตํอเครอ่ื งใช๎ไฟฟาู แบบขนาน เพือ่ ให๎ความตํางศักย์เทาํ กัน การใชเ๎ ครื่องใช๎ไฟฟูาใน ชีวติ ประจาวันต๎องเลือกใช๎เคร่ืองใชไ๎ ฟฟูาทม่ี ีความตําง ศักยแ์ ละกาลงั ไฟฟูาให๎เหมาะกบั การใชง๎ าน และการใช๎ เคร่ืองใช๎ไฟฟูาและอุปกรณ์ไฟฟูาต๎องใช๎อยํางถกู ต๎อง ปลอดภยั และประหยดั ๑๐. สร๎างแบบจาลองทอ่ี ธบิ ายการเกิด • คล่นื เกิดจากการสงํ ผาํ นพลังงานโดยอาศยั ตัวกลาง คลนื่ และบรรยายสวํ นประกอบของคลน่ื และไมํอาศัยตวั กลาง ในคลนื่ กล พลงั งานจะถกู ถาํ ยโอน ผํานตวั กลางโดยอนุภาคของตัวกลางไมเํ คลอื่ นท่ีไปกับ คลืน่ คลืน่ ที่แผอํ อกมาจากแหลํงกาเนดิ คล่นื อยาํ ง ตอํ เน่ืองและมรี ูปแบบที่ซ้ากนั บรรยายได๎ด๎วยความยาว คล่ืน ความถ่ี แอมพลิจดู ๑๑. อธิบายคล่นื แมํเหล็กไฟฟูาและ • คลน่ื แมเํ หล็กไฟฟูาเปน็ คลืน่ ท่ไี มํอาศัยตัวกลาง ในการ สเปกตรัมคลื่นแมํเหล็กไฟฟูาจากข๎อมูลท่ี เคล่อื นที่ มคี วามถ่ตี ํอเน่ืองเป็นชวํ งกว๎างมาก เคลอื่ นท่ใี น รวบรวมได๎ สญุ ญากาศด๎วยอตั ราเร็วเทาํ กัน แตจํ ะเคลื่อนท่ีด๎วย ๑๒. ตระหนกั ถงึ ประโยชน์และอันตราย อัตราเร็วตาํ งกนั ในตัวกลางอน่ื คลื่นแมํเหลก็ ไฟฟูาแบํง จากคล่ืนแมํเหล็กไฟฟูาโดยนาเสนอการใช๎ ออกเปน็ ชํวงความถี่ตําง ๆ เรยี กวาํ สเปกตรัมของคลื่น ประโยชนใ์ นดา๎ นตาํ ง ๆ และอันตรายจาก แมเํ หลก็ ไฟฟาู แตํละชํวงความถมี่ ชี ่อื เรียกตํางกัน ไดแ๎ กํ คลนื่ แมเํ หล็กไฟฟูาในชวี ิตประจาวนั คลนื่ วทิ ยุ ไมโครเวฟ อนิ ฟราเรด แสงทมี่ องเหน็ อัลตราไวโอเลต รังสีเอกซแ์ ละรงั สีแกมมา ซง่ึ สามารถ นาไปใช๎ประโยชนไ์ ด๎
๑๕๙ ชน้ั ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๓ เลเซอรเ์ ป็นคลน่ื แมํเหล็กไฟฟูาท่ีมีความยาวคลื่นเดียว (ต่อ) เปน็ ลาแสงขนานและมีความเขม๎ สงู นาไปใชป๎ ระโยชนใ์ น ด๎านตาํ ง ๆ เชํน ดา๎ นการสอ่ื สารมกี ารใชเ๎ ลเซอรส์ าหรบั สํงสารสนเทศผาํ นเส๎นใยนาแสง โดยอาศัยหลกั การการ สะท๎อนกลบั หมดของแสง ดา๎ นการแพทยใ์ ชใ๎ นการผาํ ตดั • คลืน่ แมเํ หล็กไฟฟูานอกจากจะสามารถนาไปใช๎ ประโยชนแ์ ล๎ว ยังมีโทษตํอมนุษย์ด๎วย เชํน ถา๎ มนุษย์ ได๎รบั รังสอี ลั ตราไวโอเลตมากเกนิ ไป อาจจะทาใหเ๎ กิด มะเร็งผวิ หนงั หรือถ๎าได๎รงั สแี กมมาซ่ึงเปน็ คลน่ื แมํเหลก็ ไฟฟาู ท่มี ีพลังงานสูงและสามารถทะลุผาํ นเซลล์ และอวยั วะได๎ อาจทาลายเนอ้ื เยือ่ หรืออาจทาให๎เสียชีวิต ไดเ๎ มื่อไดร๎ ับรงั สีแกมมาในปริมาณสูง ๑๓. ออกแบบการทดลองและดาเนนิ การ • เม่ือแสงตกกระทบวัตถจุ ะเกิดการสะท๎อนซง่ึ เปน็ ไป ทดลองด๎วยวิธีท่เี หมาะสมในการอธบิ ายกฎ ตามกฎการสะท๎อนของแสง โดยรังสตี กกระทบ เสน๎ แนว การสะท๎อนของแสง ฉาก รังสสี ะทอ๎ นอยใํู นระนาบเดียวกัน และมุมตก ๑๔. เขียนแผนภาพการเคล่ือนทขี่ องแสง กระทบเทํากบั มมุ สะท๎อน ภาพจากกระจกเงาเกิดจาก แสดงการเกิดภาพจากกระจกเงา รงั สีสะทอ๎ นตัดกันหรือตอํ แนวรังสสี ะท๎อนให๎ตดั กัน โดย ถ๎ารงั สสี ะท๎อนตดั กันจรงิ จะเกิดภาพจริง แตํถา๎ ตํอแนว รงั สีสะท๎อนให๎ไปตดั กัน จะเกิดภาพเสมือน ๑๕. อธบิ ายการหักเหของแสงเมื่อผาํ น • เมือ่ แสงเดินทางผํานตวั กลางโปรํงใสท่แี ตกตํางกัน เชนํ ตวั กลางโปรงํ ใสท่แี ตกตาํ งกัน และอธิบาย อากาศและน้า อากาศและแก๎ว จะเกิดการหักเห หรอื การกระจายแสงของแสงขาวเมื่อผาํ น อาจเกดิ การสะท๎อนกลับหมดในตัวกลางทีแ่ สงตก ปริซมึ จากหลกั ฐาน เชงิ ประจกั ษ์ กระทบการหักเหของแสงผํานเลนสท์ าให๎เกิดภาพทมี่ ี ๑๖. เขียนแผนภาพการเคล่ือนท่ขี องแสง ชนดิ และขนาดตําง ๆ แสดงการเกิดภาพจากเลนสบ์ าง • แสงขาวประกอบดว๎ ยแสงสีตาํ ง ๆ เมอื่ แสงขาวผําน ปรซิ มึ จะเกดิ การกระจายแสงเป็นแสงสีตาํ ง ๆ เรยี กวาํ สเปกตรัมของแสงขาว เมื่อเคลือ่ นท่ใี นตัวกลางใด ๆ ที่ ไมํใชํอากาศ จะมีอัตราเรว็ ตํางกนั จงึ มกี ารหักเหตํางกนั ๑๗. อธิบายปรากฏการณ์ทีเ่ กี่ยวกับแสง • การสะท๎อนและการหกั เหของแสงนาไปใชอ๎ ธิบาย และการทางานของทศั นอปุ กรณจ์ ากข๎อมูล ปรากฏการณ์ทเี่ กยี่ วกบั แสง เชํน ร๎งุ มริ าจ และอธบิ าย ทร่ี วบรวมได๎ การทางานของทศั นอุปกรณ์ เชํน แวนํ ขยาย กระจกโค๎ง ๑๘.เขียนแผนภาพการเคลื่อนที่ของแสง จราจร กลอ๎ งโทรทรรศน์ กล๎องจลุ ทรรศน์ และแวนํ แสดงการเกิดภาพของทัศนอุปกรณ์และ สายตา เลนส์ตา • ในการมองวตั ถุ เลนสต์ าจะถูกปรับโฟกัส เพื่อให๎เกดิ ภาพชัดที่จอตา ความบกพรํองทางสายตา เชนํ สายตา สน้ั และสายตายาว
๑๖๐ ชนั้ ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ม.๓ เป็นเพราะตาแหนงํ ทเี่ กดิ ภาพไมํไดอ๎ ยทํู ่จี อตา (ต่อ) พอดี จึงตอ๎ งใช๎เลนส์ในการแก๎ไขเพือ่ ชวํ ยให๎มองเห็น เหมอื นคนสายตาปกติ โดยคนสายตาสนั้ ใช๎เลนสเ์ วา๎ สํวนคนสายตายาวใช๎เลนส์นูน ๑๙. อธบิ ายผลของความสวํางท่มี ตี ํอ • ความสวํางของแสงมผี ลตํอดวงตามนษุ ย์ การใช๎สายตา ดวงตาจากข๎อมูลท่ีไดจ๎ ากการสบื ค๎น ในสภาพแวดล๎อมท่มี ีความสวาํ งไมํเหมาะสมจะเปน็ ๒๐. วดั ความสวาํ งของแสงโดยใช๎อุปกรณ์ อันตรายตํอดวงตา เชนํ การดูวัตถใุ นทม่ี ี ความสวาํ งมาก วดั ความสวํางของแสง หรอื นอ๎ ยเกนิ ไป การจ๎องดูหน๎าจอภาพเป็นเวลานาน ๒๑. ตระหนักในคณุ คําของความรเ๎ู รือ่ ง ความสวาํ งบนพืน้ ท่ีรบั แสงมหี นวํ ยเปน็ ลักซ์ ความร๎ู ความสวํางของแสงที่มตี อํ ดวงตา โดย เกีย่ วกบั ความสวํางสามารถนามาใชจ๎ ดั ความสวาํ งให๎ วิเคราะห์สถานการณ์ปญั หาและเสนอแนะ เหมาะสมกับการทากจิ กรรมตําง ๆ เชนํ การจัดความ การจัดความสวํางให๎เหมาะสมในการทา สวาํ งที่เหมาะสมสาหรบั การอํานหนังสือ กิจกรรมตําง ๆ
๑๖๑ สาระท่ี ๓ วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาว ฤกษ์ และระบบสุรยิ ะ รวมท้ังปฏิสัมพนั ธ์ภายในระบบสุรยิ ะท่ีส่งผลต่อส่ิงมีชีวติ และ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ ชนั้ ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.๑ ๑. ระบุดาวทปี่ รากฏบนทอ๎ งฟาู ในเวลา • บนทอ๎ งฟูามดี วงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และดาว ซึ่งใน กลางวนั และกลางคนื จากขอ๎ มูลทร่ี วบรวม เวลากลางวันจะมองเห็นดวงอาทิตย์และอาจมองเห็น ได๎ ดวงจันทร์บางเวลาในบางวนั แตํไมํสามารถมองเห็น ๒. อธบิ ายสาเหตทุ ี่มองไมํเห็นดาวสํวนใหญํ ดาว ในเวลากลางวันจากหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ • ในเวลากลางวันมองไมํเหน็ ดาวสํวนใหญํ เน่ืองจาก แสงอาทิตย์สวาํ งกวาํ จึงกลบแสงของดาว สํวนในเวลา กลางคืนจะมองเหน็ ดาวและมองเห็นดวงจันทร์เกอื บ ทุกคนื ป.๒ - - ป.๓ ๑. อธบิ ายแบบรูปเส๎นทางการขึน้ และตก • คนบนโลกมองเหน็ ดวงอาทิตยป์ รากฏข้ึนทางดา๎ นหนึ่ง ของดวงอาทิตยโ์ ดยใชห๎ ลกั ฐานเชงิ และตกทางอกี ดา๎ นหนงึ่ ทุกวนั หมุนเวยี นเป็นแบบรูป ประจกั ษ์ ซา้ ๆ ๒. อธบิ ายสาเหตกุ ารเกดิ ปรากฏการณ์การ • โลกกลมและหมนุ รอบตัวเองขณะโคจรรอบดวงอาทิตย์ ข้นึ และตกของดวงอาทติ ย์ การเกดิ ทาให๎บรเิ วณของโลกไดร๎ ับแสงอาทติ ย์ไมํพรอ๎ มกนั โลก กลางวันกลางคนื และการกาหนดทศิ โดย ดา๎ นทีไ่ ด๎รบั แสงจากดวงอาทิตย์จะเป็นกลางวนั สํวน ใช๎แบบจาลอง ดา๎ นตรงข๎ามท่ไี มํไดร๎ บั แสงจะเปน็ กลางคืน นอกจากนี้ ๓. ตระหนกั ถึงความสาคญั ของดวงอาทติ ย์ คนบนโลกจะมองเหน็ ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นทางดา๎ น โดยบรรยายประโยชน์ของดวงอาทติ ย์ตอํ หนง่ึ ซึ่งกาหนดใหเ๎ ป็นทศิ ตะวันออก และมองเหน็ ดวง สิ่งมีชวี ิต อาทติ ย์ตกทางอีกดา๎ นหน่งึ ซึ่งกาหนดให๎เป็นทิศ ตะวันตก และเม่ือให๎ด๎านขวามอื อยทํู างทิศตะวนั ออก ดา๎ นซา๎ ยมืออยูํทางทิศตะวนั ตก ด๎านหนา๎ จะเปน็ ทศิ เหนือ และด๎านหลังจะเป็นทิศใต๎ • ในเวลากลางวันโลกจะได๎รับพลงั งานแสงและพลังงาน ความรอ๎ นจากดวงอาทิตย์ ทาให๎ส่ิงมีชวี ติ ดารงชีวติ อยูํ ได๎
๑๖๒ ชน้ั ตวั ชวี้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.๔ ๑. อธิบายแบบรปู เส๎นทางการขน้ึ และตก • ดวงจนั ทร์เปน็ บรวิ ารของโลก โดยดวงจนั ทรห์ มุนรอบ ของดวงจันทร์ โดยใช๎หลกั ฐานเชงิ ตวั เองขณะโคจรรอบโลก ขณะท่ีโลกก็หมุนรอบตวั เอง ประจกั ษ์ ดว๎ ยเชํนกัน การหมุนรอบตวั เองของโลกจากทิศตะวนั ตก ไปทศิ ตะวันออกในทิศทางทวนเขม็ นาฬิกาเมื่อมองจากขั้ว โลกเหนอื ทาใหม๎ องเหน็ ดวงจันทร์ปรากฏขน้ึ ทางด๎านทิศ ตะวนั ออกและตกทางดา๎ นทศิ ตะวนั ตกหมุนเวียนเปน็ แบบ รูปซ้า ๆ ๒. สร๎างแบบจาลองทอ่ี ธิบายแบบรปู การ • ดวงจันทร์เป็นวัตถทุ ี่เป็นทรงกลม แตํรปู รํางของดวง เปลี่ยนแปลงรูปรํางปรากฏของดวงจนั ทร์ จนั ทร์ท่ีมองเหน็ หรอื รปู ราํ งปรากฏของดวงจนั ทรบ์ น และพยากรณร์ ูปรํางปรากฏของดวง ทอ๎ งฟาู แตกตํางกันไปในแตลํ ะวัน โดยในแตํละวนั ดวง จันทร์ จันทรจ์ ะมรี ูปรํางปรากฏเปน็ เสี้ยวที่มีขนาดเพิ่มขนึ้ อยําง ตอํ เน่อื งจนเตม็ ดวง จากนั้นรปู รํางปรากฏของดวงจันทร์ จะแหวํงและมีขนาดลดลงอยํางตํอเน่ืองจนมองไมเํ ห็นดวง จันทร์ จากน้นั รปู รํางปรากฏของดวงจนั ทร์จะเป็นเสีย้ ว ใหญํขึ้นจนเตม็ ดวงอกี ครง้ั การเปล่ยี นแปลงเชํนนเ้ี ปน็ แบบรูปซา้ กันทกุ เดือน ๓. สรา๎ งแบบจาลองแสดงองค์ประกอบของ • ระบบสรุ ยิ ะเป็นระบบท่ีมดี วงอาทติ ยเ์ ปน็ ศูนย์กลางและ ระบบสรุ ยิ ะ และอธิบายเปรยี บเทยี บคาบ มีบรวิ ารประกอบด๎วย ดาวเคราะห์แปดดวง และบรวิ าร การโคจรของดาวเคราะห์ตําง ๆ จาก ซง่ึ ดาวเคราะห์แตลํ ะดวงมีขนาดและระยะหาํ งจากดวง แบบจาลอง อาทิตยแ์ ตกตํางกนั และยังประกอบด๎วย ดาวเคราะห์ แคระ ดาวเคราะหน์ ๎อย ดาวหาง และวตั ถขุ นาดเล็กอื่น ๆ โคจรอยรํู อบดวงอาทติ ย์ วัตถขุ นาดเล็กอน่ื ๆ เมอื่ เขา๎ มา ในช้ันบรรยากาศเนื่องจากแรงโน๎มถวํ งของโลก ทาให๎เกิด เปน็ ดาวตกหรอื ผีพํุงไต๎และอุกกาบาต ป.๕ ๑. เปรยี บเทยี บความแตกตํางของดาว • ดาวทีม่ องเหน็ บนท๎องฟาู อยูํในอวกาศซ่ึงเป็นบรเิ วณที่ เคราะหแ์ ละดาวฤกษ์จากแบบจาลอง อยนูํ อกบรรยากาศของโลก มที ัง้ ดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์เป็นแหลํงกาเนดิ แสงจึงสามารถมองเหน็ ได๎ สํวน ดาวเคราะห์ไมใํ ชํแหลํงกาเนิดแสง แตสํ ามารถมองเหน็ ได๎ เน่อื งจากแสงจากดวงอาทิตย์ตกกระทบดาวเคราะห์แลว๎ สะทอ๎ นเขา๎ สํูตา
๑๖๓ ชน้ั ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.๕ ๒. ใช๎แผนทีด่ าวระบตุ าแหนงํ และเส๎นทาง • การมองเหน็ กลํุมดาวฤกษ์มีรูปราํ งตาํ ง ๆ เกดิ จาก (ต่อ) การข้ึนและตกของกลมํุ ดาวฤกษบ์ น จนิ ตนาการของผส๎ู ังเกต กลมํุ ดาวฤกษต์ ําง ๆ ทีป่ รากฏ ท๎องฟาู และอธบิ ายแบบรปู เส๎นทางการ ในท๎องฟูาแตํละกลํุมมีดาวฤกษแ์ ตลํ ะดวงเรียงกันที่ ขึ้นและตกของกลํุมดาวฤกษ์บนทอ๎ งฟาู ใน ตาแหนงํ คงที่ และมีเส๎นทางการขึน้ และตกตามเสน๎ ทาง รอบปี เดมิ ทกุ คืน ซ่งึ จะปรากฏตาแหนงํ เดิม การสังเกต ตาแหนํงและการข้ึนและตกของดาวฤกษ์ และกลมุํ ดาว ฤกษ์ สามารถทาได๎โดยใช๎แผนท่ดี าว ซง่ึ ระบมุ ุมทิศและ มุมเงยท่ีกลํุมดาวน้ันปรากฏ ผส๎ู ังเกตสามารถใชม๎ อื ใน การประมาณคําของมุมเงยเม่ือสังเกตดาวในท๎องฟูา ๑. สรา๎ งแบบจาลองทอี่ ธบิ ายการ • เมอื่ โลกและดวงจนั ทร์ โคจรมาอยํใู นแนวเสน๎ ตรง เกิด และเปรียบเทยี บ เดียวกนั กับดวงอาทติ ย์ในระยะทางทีเ่ หมาะสม ทาให๎ ปรากฏการณ์สรุ ยิ ุปราคา และ ดวงจันทร์บังดวงอาทติ ย์ เงาของดวงจันทร์ทอดมายัง จนั ทรุปราคา โลก ผ๎สู ังเกตทอ่ี ยํบู ริเวณเงาจะมองเหน็ ดวงอาทิตย์ มดื ไป เกดิ ปรากฏการณส์ ุรยิ ุปราคา ซึ่งมีทั้ง สุริยุปราคาเต็มดวง สุริยปุ ราคาบางสวํ น และ สรุ ยิ ุปราคาวงแหวน • หากดวงจนั ทรแ์ ละโลกโคจรมาอยํูในแนวเส๎นตรง เดยี วกันกบั ดวงอาทิตย์ แล๎วดวงจนั ทรเ์ คล่ือนทีผ่ ําน เงาของโลก จะมองเห็นดวงจันทรม์ ืดไป เกิด ปรากฏการณจ์ นั ทรปุ ราคา ซง่ึ มที ั้งจนั ทรปุ ราคาเตม็ ดวง และจันทรุปราคาบางสวํ น ๒๒. อธิบายพัฒนาการของเทคโนโลยี • เทคโนโลยอี วกาศเริม่ จากความตอ๎ งการของมนุษย์ อวกาศ และยกตัวอยํางการนาเทคโนโลยี ในการสารวจวัตถทุ ๎องฟาู โดยใช๎ตาเปลํา กล๎อง อวกาศมาใช๎ประโยชน์ในชีวติ ประจาวนั โทรทรรศน์ และไดพ๎ ัฒนาไปสํูการขนสงํ เพ่ือสารวจ จากข๎อมูลทร่ี วบรวมได๎ อวกาศด๎วยจรวดและยานขนสํงอวกาศ และยงั คง พัฒนาอยํางตอํ เนื่อง ปจั จุบนั มีการนาเทคโนโลยี อวกาศบางประเภทมาประยุกต์ใช๎ในชวี ติ ประจาวัน เชํน การใช๎ดาวเทียมเพ่ือการสอ่ื สาร การพยากรณ์ อากาศ หรือการสารวจทรัพยากรธรรมชาติ การใช๎ อุปกรณว์ ัดชีพจรและการเตน๎ ของหวั ใจ หมวกนิรภยั ชุดกฬี า
๑๖๔ ชน้ั ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๓ ๑๑ อธบิ ายการโคจรของดาว • ในระบบสรุ ิยะมดี วงอาทิตย์เปน็ ศนู ย์กลางโดยมดี าว (ต่อ) เคราะหร์ อบดวงอาทติ ยด์ ว๎ ยแรง เคราะหแ์ ละบรวิ าร ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์ โนม๎ ถํวงจากสมการ นอ๎ ย ดาวหาง และอ่ืน ๆ เชํน วัตถุคอยเปอร์ โคจรอยํู F = (Gm1m2)/r2 โดยรอบ ซง่ึ ดาวเคราะห์ และวัตถุเหลาํ นโ้ี คจรรอบ ดวงอาทติ ยด์ ๎วยแรงโนม๎ ถวํ ง แรงโนม๎ ถวํ งเป็นแรง ดงึ ดูดระหวํางวตั ถุสองวัตถุ โดยเปน็ สัดสํวนกบั ผลคูณ ของมวลทง้ั สอง และเป็นสัดสํวนผกผันกบั กาลงั สอง ของระยะทางระหวาํ งวัตถทุ ้งั สอง แสดงไดโ๎ ดยสมการ F = (Gm1m2)/r2 เมอ่ื F แทนความโน๎มถวํ งระหวําง มวลทง้ั สอง G แทนคํานจิ โน๎มถวํ งสากล m1 แทน มวลของวัตถุแรก m2 แทนมวลของวัตถุทส่ี อง และ r แทนระยะหาํ งระหวํางวตั ถุทัง้ สอง ๒. สร๎างแบบจาลองทอี่ ธบิ ายการ • การทีโ่ ลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในลักษณะที่แกน เกิดฤดู และการเคลื่อนที่ปรากฏของ โลกเอียงกบั แนวตง้ั ฉากของระนาบทางโคจร ทาให๎ ดวงอาทติ ย์ สวํ นตาํ ง ๆ บนโลกไดร๎ ับปริมาณแสงจากดวงอาทติ ย์ แตกตาํ งกนั ในรอบปี เกิดเปน็ ฤดู กลางวนั กลางคืน ยาวไมเํ ทํากัน และตาแหนงํ การขน้ึ และตกของดวง อาทิตย์ท่ขี อบฟูาและเสน๎ ทางการข้นึ และตกของดวง อาทติ ย์เปล่ยี นไปในรอบปี ซง่ึ สงํ ผลตอํ การดารงชีวิต • ดวงจันทร์โคจรรอบโลก โลกและดวงจันทรโ์ คจรรอบ ๓๓. สรา๎ งแบบจาลองที่อธบิ ายการเกิด ดวงอาทติ ย์ ดวงจันทรร์ ับแสงจากดวงอาทติ ยค์ รึง่ ดวง ขา๎ งขนึ้ ข๎างแรม การเปล่ียนแปลงเวลา ตลอดเวลา เม่อื ดวงจันทร์โคจรรอบโลกไดห๎ นั สวํ น การขน้ึ และตกของดวงจันทร์ และการ สวาํ งมายังโลกแตกตํางกัน จึงทาใหค๎ นบนโลกสังเกต เกิดน้าขึ้นน้าลง สํวนสวาํ งของดวงจันทร์แตกตํางไปในแตํละวนั เกิด เป็นขา๎ งข้นึ ข๎างแรม • ดวงจันทร์โคจรรอบโลกในทิศทางเดยี วกันกบั ทโ่ี ลก หมนุ รอบตวั เอง จงึ ทาใหเ๎ หน็ ดวงจนั ทรข์ ้ึนชา๎ ไป ประมาณวันละ ๕๐ นาที
ช้ัน ตวั ชว้ี ัด ๑๖๕ ม.๓ (ต่อ) สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • แรงโน๎มถํวงทด่ี วงจันทร์ ดวงอาทิตย์กระทาตํอโลก ๔. อธบิ ายการใช๎ประโยชน์ของ ทาใหเ๎ กดิ ปรากฏการณ์นา้ ขนึ้ น้าลง ซง่ึ สงํ ผลตํอ เทคโนโลยีอวกาศ และยกตวั อยาํ ง สง่ิ แวดลอ๎ มและสง่ิ มีชวี ิตบนโลก วนั ทนี่ ้ามีระดับการ ความกา๎ วหน๎าของโครงการสารวจ ขน้ึ สูงสดุ และลงต่าสดุ เรียก วนั น้าเกิด สวํ นวนั ที่ อวกาศ จากข๎อมูลท่ีรวบรวมได๎ ระดบั น้ามีการข้ึนและลงนอ๎ ยเรยี ก วนั น้าตาย โดย วันน้าเกิด นา้ ตาย มีความสมั พันธก์ บั ข๎างขนึ้ ข๎างแรม • เทคโนโลยอี วกาศได๎มีบทบาทตอํ การดารงชวี ติ ของ มนุษยใ์ นปจั จบุ นั มากมาย มนุษย์ได๎ใชป๎ ระโยชน์จาก เทคโนโลยีอวกาศ เชนํ ระบบนาทางด๎วยดาวเทยี ม (GNSS) การตดิ ตามพายุ สถานการณไ์ ฟปาุ ดาวเทยี มชวํ ยภัยแลง๎ การตรวจคราบนา้ มนั ในทะเล • โครงการสารวจอวกาศตําง ๆ ได๎พัฒนาเพิม่ พนู ความรคู๎ วามเข๎าใจตํอโลก ระบบสุรยิ ะและเอกภพ มากขึ้นเป็นลาดบั ตวั อยาํ งโครงการสารวจอวกาศ เชนํ การสารวจสง่ิ มีชวี ิตนอกโลก การสารวจดาว เคราะห์นอกระบบสุริยะ การสารวจดาวอังคาร และ บริวารอ่ืนของดวงอาทิตย์
๑๖๖ สาระที่ ๓ วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๒ เขา้ ใจองค์ประกอบและความสมั พนั ธข์ องระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพบิ ัตภิ ัย กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมท้ังผลต่อสงิ่ มชี ีวติ และส่ิงแวดล้อม ชน้ั ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๑ ๑. อธบิ ายลักษณะภายนอกของหิน จาก • หนิ ท่ีอยํูในธรรมชาตมิ ลี ักษณะภายนอกเฉพาะตวั ท่ี ลักษณะเฉพาะตวั ทสี่ งั เกตได๎ สังเกตได๎ เชนํ สี ลวดลาย นา้ หนัก ความแข็ง และ เนอื้ หิน ป.๒ ๑. ระบสุ วํ นประกอบของดิน และจาแนก • ดนิ ประกอบดว๎ ยเศษหนิ ซากพืช ซากสตั ว์ผสมอยํู ชนดิ ของดนิ โดยใช๎ลักษณะเนื้อดนิ และ ในเนื้อดิน มอี ากาศและนา้ แทรกอยูํตามชํองวํางใน การจับตัวเป็นเกณฑ์ เนื้อดนิ ดินจาแนกเปน็ ดินรวํ น ดนิ เหนียว และดนิ ๒. อธิบายการใชป๎ ระโยชน์จากดิน จาก ทราย ตามลกั ษณะเน้ือดินและการจบั ตัวของดินซง่ึ มี ข๎อมลู ท่ีรวบรวมได๎ ผลตํอการอุ๎มน้าท่ีแตกตาํ งกนั •ดินแตํละชนดิ นาไปใชป๎ ระโยชน์ได๎แตกตํางกนั ตาม ลักษณะและสมบัติของดิน ป.๓ ๑. ระบุสวํ นประกอบของอากาศ บรรยาย • อากาศโดยท่วั ไปไมํมีสี ไมมํ ีกล่ิน ประกอบดว๎ ย แก๏ส ความสาคญั ของอากาศ และผลกระทบ ไนโตรเจน แกส๏ ออกซิเจน แก๏สคารบ์ อนไดออกไซด์ ของมลพิษทางอากาศตํอสง่ิ มีชีวิต จาก แก๏สอ่ืน ๆ รวมทัง้ ไอน้า และฝุนละออง อากาศมี ขอ๎ มูลทรี่ วบรวมได๎ ความสาคญั ตํอสิ่งมชี ีวติ หากสวํ นประกอบของ ๒๒. ตระหนกั ถึงความสาคัญของอากาศ โดย อากาศไมเํ หมาะสม เนอื่ งจากมแี ก๏สบางชนดิ หรือฝนุ นาเสนอแนวทางการปฏบิ ัติตนในการลด ละอองในปริมาณมาก อาจเป็นอันตรายตํอส่งิ มีชวี ิต การเกิดมลพิษทางอากาศ ชนดิ ตําง ๆ จัดเป็นมลพษิ ทางอากาศ • แนวทางการปฏบิ ัตติ นเพ่อื ลดการปลํอยมลพษิ ทาง อากาศ เชํน ใชพ๎ าหนะรวํ มกัน หรือเลือกใช๎ เทคโนโลยที ลี่ ดมลพษิ ทางอากาศ ๓. อธิบายการเกิดลมจากหลกั ฐานเชิง • ลม คอื อากาศทเ่ี คล่อื นที่ เกิดจากความแตกตํางกัน ประจักษ์ ของอณุ หภูมิอากาศบรเิ วณท่ีอยูํใกล๎กัน โดยอากาศ บริเวณทม่ี อี ุณหภูมิสูงจะลอยตัวสงู ขึ้น และอากาศ บรเิ วณทม่ี อี ุณหภูมติ า่ กวาํ จะเคลอ่ื นเขา๎ ไปแทนที่ ๔. บรรยายประโยชนแ์ ละโทษของลม • ลมสามารถนามาใชเ๎ ปน็ แหลํงพลังงานทดแทนใน จากข๎อมูลท่รี วบรวมได๎ การผลติ ไฟฟูา และนาไปใช๎ประโยชนใ์ นการทา กิจกรรมตาํ ง ๆ ของมนษุ ย์ หากลมเคล่อื นท่ดี ว๎ ย ความเรว็ สงู อาจทาใหเ๎ กิดอนั ตรายและความเสยี หาย ตอํ ชวี ติ และทรัพย์สินได๎
๑๖๗ ชัน้ ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๔ - - ป.๕ ๑. เปรยี บเทียบปริมาณน้าในแตํละแหลํง • โลกมที ั้งนา้ จืดและนา้ เคม็ ซ่ึงอยูํในแหลํงน้าตําง ๆ ท่ี และระบปุ ริมาณนา้ ท่ีมนษุ ย์สามารถ มีทัง้ แหลํงนา้ ผวิ ดิน เชนํ ทะเล มหาสมทุ ร บึง แมนํ ้า นามาใช๎ประโยชน์ได๎ จากขอ๎ มูลที่ และแหลํงน้าใต๎ดิน เชํน นา้ ในดนิ และน้าบาดาล นา้ รวบรวมได๎ ทง้ั หมดของโลกแบํงเป็นน้าเค็มประมาณรอ๎ ยละ ๙๗.๕ ซึ่งอยใูํ นมหาสมุทรและแหลํงน้าอืน่ ๆ และที่ เหลืออีกประมาณร๎อยละ ๒.๕ เป็นนา้ จืด ถ๎า เรียงลาดบั ปริมาณนา้ จดื จากมากไปนอ๎ ยจะอยูํที่ ธาร น้าแขง็ และพืดนา้ แข็ง น้าใต๎ดนิ ชัน้ ดินเยอื กแขง็ คง ตัวและน้าแข็งใต๎ดนิ ทะเลสาบ ความชืน้ ในดนิ ความชน้ื ในบรรยากาศ บึง แมนํ ้า และน้าในสิง่ มชี ีวติ ๒. ตระหนกั ถงึ คุณคาํ ของนา้ โดย • น้าจดื ทีม่ นุษย์นามาใช๎ได๎มีปรมิ าณน๎อยมาก จงึ ควร นาเสนอแนวทางการใช๎นา้ อยําง ใชน๎ า้ อยํางประหยัดและรวํ มกันอนรุ ักษ์น้า ประหยัดและการอนรุ กั ษน์ ้า ๓. สร๎างแบบจาลองท่อี ธิบายการ • วฏั จกั รน้า เปน็ การหมนุ เวียนของนา้ ทม่ี แี บบรปู ซา้ หมนุ เวยี นของนา้ ในวัฏจักรนา้ เดิม และตํอเนอ่ื งระหวาํ งนา้ ในบรรยากาศ น้าผิวดิน และน้าใตด๎ ิน โดยพฤติกรรมการดารงชวี ิตของพืช และสตั วส์ งํ ผลตํอวัฏจักรน้า ๔. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดเมฆ • ไอน้าในอากาศจะควบแนํนเปน็ ละอองน้าเล็ก ๆ หมอก นา้ คา๎ ง และนา้ คา๎ งแข็ง จาก โดยมลี ะอองลอย เชนํ เกลอื ฝุนละออง ละอองเรณู แบบจาลอง ของดอกไม๎ เปน็ อนุภาคแกนกลาง เมอ่ื ละอองนา้ จานวนมากเกาะกลุํมรวมกนั ลอยอยสูํ งู จากพน้ื ดิน มาก เรยี กวาํ เมฆ แตลํ ะอองนา้ ทเ่ี กาะกลุํมรวมกนั อยํู ใกล๎พ้ืนดนิ เรยี กวํา หมอก สํวนไอนา้ ทค่ี วบแนนํ เปน็ ละอองน้าเกาะอยูบํ นพืน้ ผิววัตถใุ กล๎พืน้ ดนิ เรยี กวาํ น้าคา๎ ง ถา๎ อุณหภูมิใกลพ๎ ื้นดินตา่ กวาํ จดุ เยือกแข็ง น้าคา๎ งก็จะกลายเป็นน้าค๎างแข็ง
ชั้น ตัวชวี้ ดั ๑๖๘ ป.๕ ๕. เปรยี บเทียบกระบวนการเกิดฝน (ต่อ) หิมะ และลูกเหบ็ จากข๎อมูลท่ี สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • ฝน หิมะ ลกู เห็บ เปน็ หยาดน้าฟาู ซ่ึงเป็นน้าที่มี รวบรวมได๎ สถานะตําง ๆ ทตี่ กจากฟาู ถึงพืน้ ดิน ฝนเกิดจาก ละอองน้าในเมฆท่ีรวมตวั กันจนอากาศไมสํ ามารถ ป.๖ ๑. เปรียบเทียบกระบวนการเกดิ หนิ พยุงไว๎ไดจ๎ งึ ตกลงมา หิมะเกิดจากไอน้าในอากาศ อัคนี หินตะกอน และหินแปร และ ระเหิดกลบั เป็นผลึกนา้ แขง็ รวมตวั กนั จนมนี ้าหนกั อธิบายวัฏจกั รหินจากแบบจาลอง มากข้ึนจนเกนิ กวําอากาศจะพยงุ ไวจ๎ งึ ตกลงมา ลูกเหบ็ เกิดจากหยดน้าทเี่ ปลี่ยนสถานะเปน็ น้าแข็ง แล๎วถกู พายุพดั วนซ้าไปซา้ มาในเมฆฝนฟาู คะนองทีม่ ี ขนาดใหญํและอยํูในระดับสงู จนเป็นกอ๎ นน้าแขง็ ขนาดใหญํข้นึ แล๎วตกลงมา • หินเป็นวสั ดแุ ขง็ เกดิ ข้ึนเองตามธรรมชาติ ประกอบด๎วย แรํต้ังแตํหนงึ่ ชนดิ ขึน้ ไป สามารถ จาแนกหนิ ตามกระบวนการเกดิ ได๎เป็น ๓ ประเภท ไดแ๎ กํ หินอัคนี หนิ ตะกอน และหนิ แปร • หินอัคนีเกิดจากการเยน็ ตัวของแมกมา เนอ้ื หิน มี ลักษณะเปน็ ผลึก ทง้ั ผลึกขนาดใหญํและขนาดเลก็ บางชนิดอาจเป็นเน้ือแกว๎ หรือมีรพู รุน • หินตะกอน เกดิ จากการทับถมของตะกอนเมื่อถูก แรงกดทบั และมสี ารเชื่อมประสานจึงเกิดเป็นหนิ เน้ือ หนิ กลุํมนส้ี วํ นใหญมํ ลี กั ษณะเป็นเมด็ ตะกอนมีทง้ั เนื้อ หยาบและเน้อื ละเอียด บางชนดิ เปน็ เนื้อผลกึ ที่ยึด เกาะกนั เกิดจากการตกผลกึ หรือตกตะกอนจากนา้ โดยเฉพาะน้าทะเล บางชนิดมีลกั ษณะเป็นชนั้ ๆ จึง เรียกอีกชอื่ วาํ หินชัน้ • หนิ แปร เกิดจากการแปรสภาพของหินเดิม ซ่ึงอาจ เป็นหินอัคนี หนิ ตะกอน หรือหินแปร โดยการกระทา ของความรอ๎ น ความดนั และปฏกิ ริ ยิ าเคมี เน้ือหนิ ของหินแปรบางชนดิ ผลึกของแรํเรียงตัวขนานกันเป็น แถบ บางชนิดแซะออกเปน็ แผํนได๎ บางชนดิ เปน็ เน้ือ ผลึกทีม่ ีความแข็งมาก • หนิ ในธรรมชาตทิ ้ัง ๓ ประเภท มกี ารเปลยี่ นแปลง จากประเภทหน่งึ ไปเป็นอกี ประเภทหน่ึง หรอื ประเภทเดิมได๎ โดยมแี บบรปู กาพ
๑๖๙ ชน้ั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๖ ๒. บรรยายและยกตัวอยํางการใช๎ • หนิ และแรํแตํละชนดิ มลี ักษณะและสมบตั ิแตกตําง (ตอ่ ) ประโยชนข์ องหินและแรํใน กัน มนุษย์ใช๎ประโยชนจ์ ากแรํในชวี ติ ประจาวันใน ชีวิตประจาวันจากข๎อมลู ทีร่ วบรวมได๎ ลักษณะตาํ ง ๆ เชํน นาแรํมาทาเครื่องสาอาง ยาสี ฟัน เครอื่ งประดับ อปุ กรณท์ างการแพทย์ และนา หินมาใชใ๎ นงานกํอสร๎างตําง ๆ เปน็ ตน๎ ๓. สร๎างแบบจาลองทอ่ี ธิบายการเกิดซาก • ซากดึกดาบรรพ์เกิดจากการทับถมหรือการประทบั ดกึ ดาบรรพ์และคาดคะเนสภาพแวดลอ๎ ม รอยของสิง่ มีชวี ติ ในอดตี จนเกิดเป็นโครงสรา๎ งของ ในอดีตของซากดึกดาบรรพ์ ซากหรอื รํองรอยของสง่ิ มชี ีวติ ที่ปรากฏอยูใํ นหิน ใน ประเทศไทยพบซากดกึ ดาบรรพ์ทีห่ ลากหลาย เชนํ พชื ปะการัง หอย ปลา เตํา ไดโนเสาร์ และรอยตนี สัตว์ • ซากดึกดาบรรพส์ ามารถใช๎เป็นหลักฐานหน่งึ ท่ีชํวย อธิบายสภาพแวดล๎อมของพน้ื ท่ใี นอดีตขณะเกิด สิ่งมชี ีวติ นนั้ เชนํ หากพบซากดึกดาบรรพ์ ของหอย นา้ จดื สภาพแวดล๎อมบรเิ วณน้นั อาจเคยเป็นแหลํงน้า จดื มากํอน และหากพบซากดึกดาบรรพ์ของพชื สภาพแวดลอ๎ มบริเวณนน้ั อาจเคยเปน็ ปุามากํอน นอกจากนี้ซากดกึ ดาบรรพ์ ยังสามารถใช๎ระบุอายุ ของหิน และเปน็ ข๎อมลู ในการศึกษาววิ ฒั นาการของ สง่ิ มีชวี ติ ๔. เปรยี บเทียบการเกดิ ลมบก ลมทะเล • ลมบก ลมทะเล และมรสุม เกิดจากพืน้ ดินและพื้น และมรสมุ รวมทั้งอธบิ ายผลท่ีมตี ํอ นา้ รอ๎ นและเยน็ ไมํเทาํ กนั ทาให๎อณุ หภูมิอากาศเหนือ สงิ่ มีชวี ิตและสิง่ แวดล๎อม จากแบบจาลอง พ้นื ดินและพน้ื นา้ แตกตํางกัน จึงเกิด การเคลื่อนที่ ของอากาศจากบริเวณท่ีมี•• อุณหภูมติ า่ ไปยังบริเวณ ท่มี อี ุณหภูมสิ ูง • ลมบกและลมทะเลเป็นลมประจาถิน่ ท่ีพบบรเิ วณ ชายฝั่ง โดยลมบกเกิดในเวลากลางคืน ทาใหม๎ ลี มพดั จากชายฝัง่ ไปสทํู ะเล สํวนลมทะเลเกดิ ในเวลา กลางวนั ทาให๎มลี มพดั จากทะเลเข๎าสชํู ายฝั่ง
๑๗๐ ชั้น ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.๖ ๕. อธิบายผลของมรสมุ ตํอการเกิดฤดูของ • มรสุมเปน็ ลมประจาฤดเู กิดบริเวณเขตร๎อนของโลก (ต่อ) ประเทศไทย จากข๎อมลู ทรี่ วบรวมได๎ ซง่ึ เปน็ บรเิ วณกวา๎ งระดับภูมิภาค ประเทศไทยไดร๎ บั ผลจากมรสุมตะวันออกเฉยี งเหนอื ในชวํ งประมาณ กลางเดือนตุลาคมจนถงึ เดือนกมุ ภาพันธ์ทาใหเ๎ กิดฤดู หนาว และไดร๎ บั ผลจากมรสมุ ตะวันตกเฉยี งใต๎ในชํวง ประมาณกลางเดือนพฤษภาคมจนถึงกลางเดือน ตุลาคมทาใหเ๎ กิดฤดฝู น สํวนชวํ งประมาณกลางเดือน กมุ ภาพันธ์จนถงึ กลางเดือนพฤษภาคมเปน็ ชํวง เปล่ยี นมรสุมและประเทศไทยอยใํู กลเ๎ สน๎ ศูนยส์ ตู ร แสงอาทิตย์เกือบต้ังตรงและต้ังตรงประเทศไทยใน เวลาเท่ียงวัน ทาให๎ได๎รบั ความร๎อนจากดวงอาทิตย์ อยาํ งเต็มท่ี อากาศจึงรอ๎ นอบอา๎ วทาให๎เกดิ ฤดรู ๎อน ๖. บรรยายลักษณะและผลกระทบของ • น้าทวํ ม การกัดเซาะชายฝัง่ ดนิ ถลํม แผํนดนิ ไหว น้าทวํ ม การกัดเซาะชายฝ่งั ดินถลมํ และสนึ ามิ มีผลกระทบตํอชวี ิตและสง่ิ แวดล๎อม แผนํ ดนิ ไหว สนึ ามิ แตกตาํ งกนั ๗. ตระหนกั ถงึ ผลกระทบของภัย • มนุษยค์ วรเรยี นรูว๎ ิธีปฏิบัติตนให๎ปลอดภัย เชนํ ธรรมชาติและธรณีพิบตั ภิ ยั โดยนาเสนอ ตดิ ตามขาํ วสารอยาํ งสมา่ เสมอ เตรยี มถุงยังชีพ ให๎ แนวทางในการเฝูาระวังและปฏิบัตติ นให๎ พรอ๎ มใช๎ตลอดเวลา และปฏิบตั ิตามคาส่งั ของ ปลอดภยั จากภัยธรรมชาตแิ ละธรณพี บิ ตั ิ ผ๎ปู กครองและเจ๎าหนา๎ ท่ีอยํางเครงํ ครัดเม่ือเกิดภนั ภิ ภยั ทีอ่ าจเกิดในท๎องถิน่ บตั แิ ละธรณภี ัยภบิ ัติ ๘. สรา๎ งแบบจาลองที่อธบิ ายการเกดิ • ปรากฏการณ์เรอื นกระจกเกิดจากแก๏สเรือนกระจกใน ปรากฏการณเ์ รือนกระจก และผลของ ช้นั บรรยากาศของโลกกักเก็บความร๎อนแลว๎ คายความ ปรากฏการณ์เรือนกระจกตํอสิ่งมีชวี ติ รอ๎ นบางสํวนกลับสูํผิวโลก ทาใหอ๎ ากาศ บนโลกมี ๙. ตระหนักถึงผลกระทบของ อุณหภมู เิ หมาะสมตํอการดารงชวี ิต ปรากฏการณ์เรือนกระจก โดยนาเสนอ • หากปรากฏการณเ์ รือนกระจกรุนแรงมากขนึ้ จะมีผล แนวทางการปฏบิ ัติตนเพื่อลดกจิ กรรมที่ ตํอการเปลีย่ นแปลงภมู ิอากาศโลก มนษุ ยจ์ ึงควร กํอใหเ๎ กิดแก๏สเรือนกระจก รํวมกนั ลดกจิ กรรมทีก่ ํอใหเ๎ กิดแกส๏ เรือนกระจก ม.๑ ๑. สร๎างแบบจาลองทีอ่ ธบิ ายการแบํงชน้ั • โลกมบี รรยากาศหํอห๎ุม นักวิทยาศาสตร์ใชส๎ มบตั ิ บรรยากาศ และเปรียบเทยี บประโยชน์ และองคป์ ระกอบของบรรยากาศในการแบงํ ของบรรยากาศแตลํ ะชั้น บรรยากาศของโลกออกเป็นชั้น ซงึ่ แบงํ ไดห๎ ลาย รูปแบบตามเกณฑ์ทแ่ี ตกตาํ งกัน โดยท่ัวไป นักวทิ ยาศาสตรใ์ ช๎เกณฑ์การเปลีย่ นแปลงอุณหภมู ิ ตามความสงู แบํงบรรยากาศได๎เป็น ๕ ช้นั ไดแ๎ กํ ช้ัน โทรโพสเฟยี ร์ ชั้นสตราโตสเฟยี ร์ ช้ันมโี ซสเฟียร์ ชั้น เทอรโ์ มสเฟียร์ และช้นั เอกโซสเฟียร์
๑๗๑ ชน้ั ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.๑ • บรรยากาศแตํละชั้นมีประโยชน์ตอํ สง่ิ มชี วี ติ (ตอ่ ) แตกตํางกัน โดยช้ันโทรโพสเฟียรม์ ปี รากฏการณ์ ลม ฟาู อากาศทสี่ าคญั ตอํ การดารงชีวติ ของส่ิงมีชวี ติ ชน้ั สตราโตสเฟียรช์ ํวยดดู กลนื รงั สอี ลั ตราไวโอเลตจาก ดวงอาทิตย์ไมํให๎มายงั โลกมากเกินไป ชัน้ มีโซสเฟยี ร์ ชวํ ยชะลอวตั ถนุ อกโลกทผ่ี ํานเข๎ามา ให๎เกิดการเผา ไหมก๎ ลายเปน็ วัตถุขนาดเล็ก ลดโอกาสท่ีจะทาความ เสียหายแกสํ ง่ิ มชี ีวติ บนโลก ช้ันเทอรโ์ มสเฟยี ร์ สามารถสะท๎อนคลนื่ วิทยุ และช้ันเอกโซสเฟยี รเ์ หมาะ สาหรับการโคจรของดาวเทียมรอบโลกในระดับตา่ ๒. อธิบายปัจจยั ท่ีมผี ลตํอการ • ลมฟาู อากาศ เปน็ สภาวะของอากาศในเวลาหน่ึง เปล่ียนแปลงองคป์ ระกอบของลมฟาู ของพื้นทหี่ นึง่ ท่ีมีการเปลยี่ นแปลงตลอดเวลาข้ึนอยํู อากาศ จากขอ๎ มูล ที่รวบรวมได๎ กับองค์ประกอบลมฟูาอากาศ ได๎แกํ อณุ หภมู ิอากาศ ความกดอากาศ ลม ความชนื้ เมฆ และหยาดน้าฟาู โดยหยาดน้าฟาู ท่ีพบบํอยในประเทศไทยได๎แกํ ฝน องค์ประกอบลมฟูาอากาศเปล่ยี นแปลงตลอดเวลา ขึ้นอยํกู ับปัจจัยตาํ ง ๆ เชํน ปรมิ าณรังสีจากดวง อาทติ ยแ์ ละลกั ษณะพนื้ ผิวโลกสงํ ผลตอํ อุณหภมู ิ อากาศ อุณหภมู ิอากาศและปริมาณไอนา้ สงํ ผลตํอ ความชน้ื ความกดอากาศสงํ ผลตํอลม ความชน้ื และ ลมสงํ ผลตอํ เมฆ ๓. เปรยี บเทียบกระบวนการเกดิ พายุ • พายฝุ นฟาู คะนอง เกิดจากการทอี่ ากาศท่ีมีอุณหภมู ิ ฝนฟูาคะนองและพายุหมุนเขตรอ๎ น และความชืน้ สูงเคลื่อนท่ีขึ้นสูํระดบั ความสงู ท่ีมี และผลทมี่ ีตํอสงิ่ มชี วี ติ และสงิ่ แวดล๎อม อุณหภูมติ ่าลง จนกระทั่งไอน้าในอากาศเกิดการ รวมทงั้ นาเสนอแนวทางการปฏบิ ัติตน ควบแนนํ เปน็ ละอองน้า และเกดิ ตํอเนื่องเป็นเมฆ ให๎เหมาะสมและปลอดภัย ขนาดใหญํ พายฝุ นฟูาคะนองทาใหเ๎ กิดฝนตกหนกั ลมกรรโชกแรง ฟาู แลบฟูาผํา ซงึ่ อาจกอํ ให๎เกิด อนั ตรายตํอชีวิตและทรัพยส์ นิ
๑๗๒ ชนั้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๑ (ตอ่ ) • พายหุ มนุ เขตร๎อนเกิดเหนอื มหาสมทุ รหรอื ทะเล ที่ น้ามอี ุณหภูมสิ งู ต้ังแตํ ๒๖-๒๗ องศาเซลเซยี ส ข้ึนไป ๔. อธิบายการพยากรณ์อากาศ และ ทาใหอ๎ ากาศที่มีอณุ หภูมแิ ละความช้นื สูงบริเวณนั้น พยากรณ์อากาศอยํางงํายจากขอ๎ มลู ที่ เคลอ่ื นท่ีสูงขึน้ อยาํ งรวดเรว็ เปน็ บรเิ วณกวา๎ ง อากาศ รวบรวมได๎ จากบริเวณอืน่ เคลอื่ นเขา๎ มาแทนทีแ่ ละพัดเวียนเขา๎ หาศูนย์กลางของพายุ ยิง่ ใกล๎ศนู ย์กลาง อากาศจะ ๕. ตระหนกั ถงึ คุณคาํ ของการพยากรณ์ เคล่อื นท่ีพัดเวียนเกือบเปน็ วงกลมและมีอตั ราเรว็ สงู อากาศ โดยนาเสนอแนวทางการปฏบิ ตั ิ ที่สุด พายหุ มุนเขตร๎อนทาให๎เกดิ คลน่ื พายุซดั ฝงั่ ฝน ตนและการใช๎ประโยชน์จากคา ตกหนกั ซงึ่ อาจกํอใหเ๎ กิดอันตรายตอํ ชีวิตและ พยากรณ์อากาศ ทรพั ยส์ ิน จึงควรปฏติ นใหป๎ ลอดภัยโดยตดิ ตาม ๖. อธิบายสถานการณแ์ ละผลกระทบ ขําวสาร การพยากรณ์อากาศ และไมํเข๎าไปอยูใํ น การเปล่ยี นแปลงภมู อิ ากาศโลกจาก พืน้ ทที่ ี่เสี่ยงภยั ข๎อมลู ท่ีรวบรวมได๎ • การพยากรณ์อากาศเปน็ การคาดการณล์ มฟูา อากาศ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมกี ารตรวจวัด องคป์ ระกอบลมฟูาอากาศ การสื่อสารแลกเปล่ียน ขอ๎ มูลองคป์ ระกอบลมฟูาอากาศระหวํางพืน้ ท่ี การ วเิ คราะห์ข๎อมลู และสรา๎ งคาพยากรณ์อากาศ • การพยากรณ์อากาศสามารถนามาใช๎ประโยชน์ดา๎ น ตาํ ง ๆ เชนํ การใชช๎ ีวิตประจาวนั การคมนาคม การเกษตร การปูองกนั และเฝูาระวังภยั พิบตั ิ ทาง ธรรมชาติ • ภูมิอากาศโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอยํางตํอเน่ือง โดยปจั จยั ทางธรรมชาติ แตํปัจจุบันการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศเกิดขึน้ อยํางรวดเร็วเนื่องจากกจิ กรรมของ มนุษยใ์ นการปลดปลอํ ยแกส๏ เรือนกระจกสูํ บรรยากาศ แก๏สเรอื นกระจกที่ถกู ปลดปลํอยมาก ทส่ี ุด ไดแ๎ กํ แกส๏ คาร์บอนไดออกไซดซ์ ่งึ หมนุ เวียนอยํู ในวฏั จักรคาร์บอน
๑๗๓ ชั้น ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.๑ ๗. ตระหนกั ถงึ ผลกระทบของการ • การเปล่ยี นแปลงภูมอิ ากาศโลกกอํ ให๎เกิดผลกระทบ (ต่อ) เปลย่ี นแปลงภูมอิ ากาศโลก โดย ตอํ ส่ิงมชี วี ิตและสิง่ แวดล๎อม เชนํ การหลอมเหลวของ นาเสนอแนวทางการปฏิบัติตนภายใต๎ น้าแขง็ ขั้วโลก การเพม่ิ ขึ้นของระดบั ทะเล การ การเปล่ียนแปลงภมู อิ ากาศโลก เปลยี่ นแปลงวัฏจกั รน้า การเกิดโรคอุบัติใหมํและ อบุ ัตซิ า้ และการเกดิ ภัยพิบัติทางธรรมชาตทิ ีร่ นุ แรง ขน้ึ มนษุ ยจ์ งึ ควรเรยี นรแ๎ู นวทางการปฏิบตั ิตนภายใต๎ สถานการณ์ดังกลาํ ว ท้ังแนวทางการปฏิบัติตนให๎ เหมาะสมและแนวทางการลดกจิ กรรมที่สงํ ผลตํอการ เปลีย่ นแปลงภูมิอากาศโลก ม.๒ ๑. เปรยี บเทยี บกระบวนการเกิด • เช้อื เพลงิ ซากดึกดาบรรพ์ เกดิ จากการเปลีย่ นแปลง สมบตั ิ และการใช๎ประโยชน์ รวมทั้ง สภาพของซากสงิ่ มีชีวติ ในอดีต โดยกระบวนการ ทาง อธบิ ายผลกระทบจากการใชเ๎ ช้อื เพลงิ เคมีและธรณีวทิ ยา เช้ือเพลิงซากดึกดาบรรพ์ ไดแ๎ กํ ซากดกึ ดาบรรพ์ จากข๎อมลู ที่รวบรวม ถํานหนิ หนิ นา้ มนั และปิโตรเลียม ซึ่งเกิดจากวตั ถตุ ๎น ได๎ กาเนิด และสภาพแวดลอ๎ มการเกดิ ทแี่ ตกตาํ งกนั ทา ใหไ๎ ด๎ชนิดของเชือ้ เพลิงซากดึกดาบรรพ์ที่มีลกั ษณะ สมบัติ และการนาไปใช๎ประโยชนแ์ ตกตาํ งกนั สาหรบั ปโิ ตรเลยี มจะต๎องมีการผํานการกล่ันลาดบั สวํ นกอํ น การใชง๎ านเพื่อให๎ได๎ผลิตภณั ฑ์ทีเ่ หมาะสมตํอการใช๎ ประโยชน์ เช้อื เพลิงซากดึกดาบรรพเ์ ป็นทรัพยากรท่ี ใช๎แลว๎ หมดไป เน่ืองจากต๎องใชเ๎ วลานานหลายล๎านปี จึงจะเกิดขึน้ ใหมํได๎ ๒. แสดงความตระหนักถึงผลจากการ • การเผาไหมเ๎ ชือ้ เพลิงซากดกึ ดาบรรพ์ในกิจกรรม ใช๎เช้อื เพลงิ ซากดกึ ดาบรรพ์ โดย ตาํ ง ๆ ของมนุษย์จะทาให๎เกดิ มลพิษทางอากาศ ซง่ึ นาเสนอแนวทางการใชเ๎ ชื้อเพลงิ ซาก สงํ ผลกระทบตํอส่ิงมชี ีวิตและสง่ิ แวดล๎อม นอกจากน้ี ดึกดาบรรพ์ แกส๏ บางชนิดทเ่ี กิดจากการเผาไหมเ๎ ชื้อเพลงิ ซากดกึ ดาบรรพ์ เชํน แกส๏ คารบ์ อนไดออกไซด์ และไนตรัส ออกไซด์ ยงั เป็นแกส๏ เรือนกระจกซ่งึ สงํ ผลใหเ๎ กดิ การ เปล่ียนแปลงภูมอิ ากาศของโลกรุนแรงขน้ึ ดงั น้ันจงึ ควรใช๎เชือ้ เพลิงซากดึกดาบรรพ์ โดยคานงึ ถงึ ผลที่ เกิดขึน้ ตํอสิง่ มีชวี ติ และสงิ่ แวดล๎อม เชํน เลือกใช๎ พลงั งานทดแทน หรอื เลอื กใช๎เทคโนโลยีที่ลดการใช๎ เชือ้ เพลงิ ซากดกึ ดาบรรพ์
๑๗๔ ชน้ั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ม.๒ ๓. เปรยี บเทียบข๎อดแี ละข๎อจากดั ของ • เชื้อเพลงิ ซากดกึ ดาบรรพ์เป็นแหลงํ พลังงานทส่ี าคญั (ต่อ) พลังงานทดแทนแตลํ ะประเภทจากการ ในกิจกรรมตําง ๆ ของมนุษย์ เนอ่ื งจากเช้ือเพลงิ ซาก รวบรวมข๎อมลู และนาเสนอแนวทางการ ดกึ ดาบรรพ์มีปริมาณจากดั และมักเพ่ิมมลภาวะใน ใชพ๎ ลงั งานทดแทน ท่ีเหมาะสมใน บรรยากาศมากขึน้ จงึ มกี ารใชพ๎ ลังงานทดแทนมาก ทอ๎ งถิน่ ข้ึน เชนํ พลังงานแสงอาทิตย์ พลงั งานลม พลังงานน้า พลังงานชีวมวล พลังงานคล่นื พลังงานความร๎อนใต๎ พิภพ พลงั งานไฮโดรเจน ซ่งึ พลงั งานทดแทนแตลํ ะ ชนิดจะมขี ๎อดแี ละข๎อจากดั ท่แี ตกตาํ งกนั ๔. สร๎างแบบจาลองทีอ่ ธิบายโครงสร๎าง • โครงสร๎างภายในโลกแบํงออกเปน็ ชั้นตาม ภายในโลกตามองค์ประกอบทางเคมีจาก องค์ประกอบทางเคมี ไดแ๎ กํ เปลอื กโลก ซึ่งอยนํู อก ขอ๎ มลู ที่รวบรวมได๎ สุด ประกอบดว๎ ยสารประกอบของซิลิกอน และ อะลูมเิ นียมเปน็ หลกั เนอ้ื โลกคอื สํวนที่อยูํใต๎เปลือก โลกลงไปจนถงึ แกนํ โลก มีองค์ประกอบหลกั เป็น สารประกอบของซิลิกอน แมกนีเซยี ม และเหล็ก และแกํนโลกคอื สวํ นท่ีอยใูํ จกลางของโลก มี องค์ประกอบหลักเป็นเหล็กและนิกเกิล ซง่ึ แตลํ ะชน้ั มลี ักษณะแตกตํางกนั ๕. อธิบายกระบวนการผุพังอยกูํ บั ที่ การ • การผุพงั อยํูกับท่ี การกรํอน และการสะสมตวั ของ กรํอน และการสะสมตวั ของตะกอนจาก ตะกอน เปน็ กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวทิ ยา แบบจาลอง รวมท้งั ยกตัวอยํางผลของ ทที่ าให๎ผวิ โลกเกดิ การเปล่ยี นแปลงเปน็ ภูมิลักษณ์ กระบวนการดังกลาํ วที่ทาใหผ๎ ิวโลกเกดิ แบบตาํ ง ๆ โดยมปี จั จยั สาคญั คือนา้ ลม ธารนา้ แข็ง การเปลย่ี นแปลง แรงโน๎มถํวงของโลก ส่ิงมชี วี ิต สภาพอากาศ และ ปฏิกิริยาเคมี • การผพุ ังอยํูกับที่ คือ การที่หินผพุ งั ทาลายลงดว๎ ย กระบวนการตําง ๆ ไดแ๎ กํ ลมฟูาอากาศกบั น้าฝน และรวมทงั้ การกระทาของตน๎ ไม๎กับแบคทีเรยี ตลอดจนการแตกตัวทางกลศาสตร์ซ่ึงมกี ารเพิ่มและ ลดอุณหภูมิสลับกนั เปน็ ต๎น • การกรอํ น คือ กระบวนการหน่งึ หรือหลาย กระบวนการท่ีทาให๎สารเปลือกโลกหลุดไป ละลายไป หรือกรอํ นไปโดยมีตวั นาพาธรรมชาติ คอื ลม น้า และธารนา้ แข็ง รวํ มกบั ปจั จยั อ่นื ๆ
๑๗๕ ชน้ั ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.๒ ไดแ๎ กํ ลมฟาู อากาศ สารละลาย การครดู ถู การนาพา (ตอ่ ) ท้งั นไ้ี มํรวมถงึ การพงั ทลายเป็นกลมุํ ก๎อน เชนํ แผนํ ดินถลมํ ภเู ขาไฟระเบิด • การสะสมตัวของตะกอน คือ การสะสมตัวของวตั ถุ จากการนาพาของน้า ลม หรือธารนา้ แขง็ ๖. อธบิ ายลกั ษณะของช้ันหน๎าตัดดนิ และ • ดินเกิดจากหินทีผ่ ุพงั ตามธรรมชาติผสมคลุกเคลา๎ กระบวนการเกิดดนิ จากแบบจาลอง กบั อนิ ทรยี วัตถุที่ได๎จากการเนําเป่อื ยของซากพชื รวมท้ังระบุปัจจยั ท่ีทาให๎ดินมีลกั ษณะและ ซากสัตว์ทับถมเป็นช้ัน ๆ บนผวิ โลก ชั้นดนิ แบํง สมบัตแิ ตกตํางกัน ออกเป็นหลายช้ัน ขนานหรือเกือบขนานไปกบั ผิวหนา๎ ดิน แตํละช้นั มีลักษณะแตกตาํ งกนั เนื่องจาก สมบตั ิทางกายภาพ เคมี ชีวภาพ และลกั ษณะอ่ืน ๆ เชนํ สี โครงสรา๎ ง เนือ้ ดิน การยึดตัว ความเปน็ กรด- เบส สามารถสังเกตได๎จากการสารวจภาคสนาม การ เรียกชือ่ ชนั้ ดินหลกั จะใชอ๎ กั ษรภาษาองั กฤษตัวใหญํ ได๎แกํ O, A, E, B, C, R • ชนั้ หน๎าตดั ดิน เป็นชนั้ ดนิ ท่มี ีลักษณะปรากฏใหเ๎ หน็ เรียงลาดับเปน็ ชั้นจากชนั้ บนสดุ ถงึ ชน้ั ลํางสดุ • ปจั จยั ที่ทาใหด๎ ินแตลํ ะทอ๎ งถิ่นมีลกั ษณะและสมบัติ แตกตํางกัน ได๎แกํ วัตถตุ ๎นกาเนดิ ดนิ ภมู อิ ากาศ สง่ิ มีชวี ติ ในดนิ สภาพภมู ปิ ระเทศ และระยะเวลา ใน การเกิดดนิ ๗. ตรวจวดั สมบัติบางประการของดิน • สมบัตบิ างประการของดนิ เชํน เน้อื ดนิ ความชื้นดิน โดยใชเ๎ ครื่องมือท่ีเหมาะสมและนาเสนอ คาํ ความเปน็ กรด-เบส ธาตุอาหารในดิน สามารถ แนวทางการใช๎ประโยชน์ดินจากข๎อมลู นาไปใช๎ในการตัดสนิ ใจถึงแนวทางการใชป๎ ระโยชน์ สมบัติของดิน ท่ดี ิน โดยอาจนาไปใชป๎ ระโยชน์ ทางการเกษตรหรือ อื่น ๆ ซึ่งดินที่ไมํเหมาะสมตํอการทาการเกษตร เชนํ ดินจดื ดินเปร้ยี ว ดนิ เคม็ และดินดาน อาจเกิดจาก สภาพดินตามธรรมชาติหรือการใช๎ประโยชนจ์ ะต๎อง ปรับปรุงให๎มีสภาพเหมาะสม เพือ่ นาไปใชป๎ ระโยชน์
๑๗๖ ชน้ั ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๒ ๗. อธบิ ายปจั จยั และกระบวนการเกิด • แหลงํ น้าผิวดนิ เกดิ จากนา้ ฝนทต่ี กลงบนพ้ืนโลก (ตอ่ ) แหลํงน้าผวิ ดินและแหลํงนา้ ใต๎ดิน จาก ไหลจากทีส่ งู ลงสูํที่ต่าดว๎ ยแรงโน๎มถํวง การไหลของ แบบจาลอง น้าทาใหพ๎ น้ื โลกเกดิ การกัดเซาะเป็นรอํ งนา้ เชํน ลา ธาร คลอง และแมนํ ้า ซง่ึ รอํ งนา้ จะมีขนาดและรูปรําง แตกตํางกัน ขึ้นอยูกํ บั ปริมาณน้าฝน ระยะเวลาใน การกัดเซาะ ชนดิ ดินและหิน และลกั ษณะภมู ิ ประเทศ เชนํ ความลาดชนั ความสูงต่าของพื้นท่ี เมอ่ื น้าไหลไปยงั บรเิ วณทเ่ี ปน็ แองํ จะเกดิ การสะสมตัวเป็น แหลํงนา้ เชํน บึง ทะเลสาบ ทะเล และมหาสมุทร • แหลํงนา้ ใต๎ดนิ เกดิ จากการซึมของน้าผวิ ดนิ ลงไป สะสมตวั ใต๎พื้นโลก ซ่ึงแบงํ เป็นนา้ ในดินและน้า บาดาล นา้ ในดนิ เป็นน้าที่อยรํู ํวมกับอากาศตาม ชอํ งวํางระหวํางเม็ดดนิ สํวนนา้ บาดาลเปน็ นา้ ที่ไหล ซมึ ลึกลงไปและถูกกักเก็บไวใ๎ นชั้นหินหรอื ชัน้ ดิน จน อิม่ ตัวไปด๎วยนา้ ๙. สร๎างแบบจาลองทีอ่ ธบิ ายการใชน๎ ้า • แหลงํ นา้ ผวิ ดินและแหลํงนา้ ใตด๎ นิ ถกู นามาใช๎ใน และนาเสนอแนวทางการใชน๎ า้ อยาํ ง กจิ กรรมตาํ ง ๆ ของมนุษย์ สํงผลตํอการจดั การการ ย่ังยนื ในทอ๎ งถิน่ ของตนเอง ใช๎ประโยชนน์ า้ และคุณภาพของแหลงํ น้า เนือ่ งจาก การเพ่ิมขึ้นของจานวนประชากร การใชป๎ ระโยชน์ พ้ืนทีใ่ นด๎านตาํ ง ๆ เชนํ ภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงภูมอิ ากาศ ทาให๎เกดิ การเปล่ยี นแปลงปริมาณน้าฝนในพ้ืนทีล่ ํมุ นา้ และแหลํงน้าผิวดนิ ไมํเพยี งพอสาหรับกิจกรรม ของมนษุ ย์ น้าจากแหลํงน้าใต๎ดนิ จึงถูกนามาใชม๎ าก ขึ้น สงํ ผลใหป๎ ริมาณน้าใต๎ดินลดลงมาก จึงต๎องมี การจัดการใชน๎ า้ อยาํ งเหมาะสมและยั่งยืน ซงึ่ อาจ ทาไดโ๎ ดยการจัดหาแหลํงน้าเพอื่ ให๎มแี หลงํ นา้ เพยี งพอสาหรับการดารงชีวิต การจดั สรรและการ ใชน๎ า้ อยาํ งมีประสทิ ธิภาพ การอนุรกั ษ์และฟื้นฟู แหลํงน้า การปอู งกันและแก๎ไขปัญหาคุณภาพน้า
๑๗๗ ชน้ั ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.๒ ๑๐. สรา๎ งแบบจาลองทีอ่ ธิบาย • นา้ ทวํ ม การกดั เซาะชายฝั่ง ดินถลมํ หลุมยบุ (ต่อ) กระบวนการเกิดและผลกระทบของน้า แผํนดนิ ทรดุ มกี ระบวนการเกิดและผลกระทบ ท่ี ทํวม การกดั เซาะชายฝง่ั ดินถลํม หลมุ ยบุ แตกตาํ งกนั ซึ่งอาจสร๎างความเสยี หายร๎ายแรง แกํ แผนํ ดนิ ทรดุ ชวี ติ และทรัพย์สิน • น้าทวํ ม เกิดจากพ้ืนท่ีหน่ึงได๎รับปริมาณน้าเกินกวาํ ที่จะกักเก็บได๎ ทาใหแ๎ ผนํ ดนิ จมอยใูํ ตน๎ ้า โดยขึน้ อยูํ กบั ปรมิ าณน้าและสภาพทางธรณีวทิ ยาของพื้นท่ี • การกัดเซาะชายฝ่งั เป็นกระบวนการเปลยี่ นแปลง ของชายฝง่ั ทะเลท่เี กิดข้นึ ตลอดเวลาจากการกดั เซาะ ของคลื่นหรือลม ทาให๎ตะกอนจากท่หี น่งึ ไปตกทับถม ในอีกบริเวณหน่ึง แนวของชายฝั่งเดมิ จงึ เปลย่ี นแปลง ไป บรเิ วณท่มี ตี ะกอนเคลอ่ื นเข๎ามาน๎อยกวาํ ปรมิ าณท่ี ตะกอนเคล่ือนออกไป ถอื วําเป็นบรเิ วณทม่ี ีการกัด เซาะชายฝง่ั • ดินถลํม เปน็ การเคล่ือนที่ของมวลดินหรอื หนิ จานวนมากลงตามลาดเขา เนื่องจากแรงโน๎มถํวงของ โลกเป็นหลกั ซึ่งเกิดจากปัจจัยสาคญั ได๎แกํ ความ ลาดชันของพ้ืนท่ี สภาพธรณีวทิ ยา ปรมิ าณน้าฝน พชื ปกคลมุ ดิน และการใชป๎ ระโยชน์พ้นื ท่ี • หลุมยบุ คอื แองํ หรือหลมุ บนแผํนดนิ ขนาดตําง ๆ ทอี่ าจเกิดจากการถลมํ ของโพรงถา้ หินปนู เกลือหนิ ใต๎ ดนิ หรอื เกิดจากน้าพัดพาตะกอนลงไปในโพรงถ้า หรอื ธารน้าใต๎ดนิ • แผํนดินทรดุ เกดิ จากการยบุ ตวั ของช้นั ดิน หรอื หนิ รวํ น เม่อื มวลของแข็งหรือของเหลวปริมาณมาก ท่ี รองรบั อยํูใตช๎ นั้ ดินบริเวณน้ันถูกเคล่ือนย๎ายออกไป โดยธรรมชาติหรือโดยการกระทาของมนุษย์
๑๗๘ สาระที่ ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑ เขา้ ใจแนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยีเพื่อการดารงชีวิตในสงั คมท่ีมีการเปล่ยี นแปลงอยา่ ง รวดเรว็ ใช้ความรแู้ ละทักษะทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตรอ์ ื่น ๆ เพื่อ แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคดิ สรา้ งสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิง วิศวกรรม เลอื กใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคานึงถึงผลกระทบต่อชีวติ สังคม และ สิ่งแวดล้อม ชั้น ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ป.๑ - - ป.๒ - - ป.๓ - - ป.๔ - - ป.๕ - - ป.๖ - - ม.๑ ๑. อธิบายแนวคิดหลักของเทคโนโลยใี น • เทคโนโลยี เปน็ สิ่งทมี่ นุษย์สรา๎ งหรือพฒั นาขึ้น ซง่ึ ชีวติ ประจาวนั และวิเคราะหส์ าเหตุหรือ อาจเปน็ ได๎ทง้ั ชน้ิ งานหรือวิธกี าร เพื่อใช๎แก๎ปญั หา ปจั จยั ท่ีสํงผลตํอการเปลีย่ นแปลงของ สนองความต๎องการ หรือเพ่มิ ความสามารถในการ เทคโนโลยี ทางานของมนุษย์ • ระบบทางเทคโนโลยี เปน็ กลุํมของสวํ นตําง ๆ ตงั้ แตํ สองสวํ นข้ึนไปประกอบเขา๎ ดว๎ ยกันและทางานรวํ มกนั เพอ่ื ใหบ๎ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ โดยในการทางานของ ระบบทางเทคโนโลยจี ะประกอบไปด๎วยตัวปูอน (input) กระบวนการ (process) และผลผลิต (output) ท่ีสมั พนั ธ์กัน นอกจากนี้ระบบทาง เทคโนโลยอี าจมีข๎อมลู ย๎อนกลับ (feedback) เพื่อใช๎ ปรับปรงุ การทางานได๎ตามวตั ถุประสงค์ ซง่ึ การ วิเคราะห์ระบบทางเทคโนโลยีชํวยใหเ๎ ข๎าใจ องค์ประกอบและการทางานของเทคโนโลยี รวมถงึ สามารถปรบั ปรุงให๎เทคโนโลยีทางานได๎ตามต๎องการ • เทคโนโลยีมีการเปลีย่ นแปลงตลอดเวลาตง้ั แตํอดีต จนถึงปจั จุบนั ซ่ึงมสี าเหตหุ รือปัจจยั มาจากหลายด๎าน เชนํ ปัญหา ความต๎องการ ความกา๎ วหนา๎ ของศาสตร์ ตาํ ง ๆ เศรษฐกจิ สังคม
๑๗๙ ชน้ั ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ม.๑ ๒. ระบุปญั หาหรือความต๎องการใน • ปญั หาหรอื ความต๎องการในชวี ติ ประจาวันพบได๎ (ตอ่ ) ชีวิตประจาวนั รวบรวม วเิ คราะหข์ ๎อมูล จากหลายบรบิ ทขน้ึ กบั สถานการณ์ทป่ี ระสบ เชํน และแนวคดิ ท่ีเก่ยี วข๎องกับปัญหา การเกษตร การอาหาร • การแกป๎ ัญหาจาเป็นตอ๎ งสืบคน๎ รวบรวมข๎อมูล ความร๎ูจากศาสตร์ตาํ ง ๆ ท่ีเกี่ยวขอ๎ ง เพือ่ นาไปสูํ การ ออกแบบแนวทางการแกป๎ ัญหา ๓. ออกแบบวธิ ีการแกป๎ ญั หา โดย • การวิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตดั สินใจเลอื ก วิเคราะห์เปรียบเทียบ และตดั สนิ ใจ ขอ๎ มูลท่จี าเปน็ โดยคานงึ ถึงเง่ือนไข และทรัพยากรที่ เลอื กข๎อมูลทจี่ าเป็น นาเสนอแนวทาง มอี ยํู ชํวยให๎ได๎แนวทางการแก๎ปญั หาท่เี หมาะสม การแก๎ปัญหาให๎ผูอ๎ ่นื เข๎าใจ วางแผนและ • การออกแบบแนวทางการแก๎ปัญหาทาได๎ ดาเนินการแกป๎ ญั หา หลากหลายวธิ ี เชํน การราํ งภาพ การเขยี นแผนภาพ การเขียนผงั งาน • การกาหนดขน้ั ตอนและระยะเวลาในการทางาน กํอนดาเนินการแกป๎ ญั หาจะชํวยให๎ทางานสาเรจ็ ได๎ ตามเปาู หมายและลดข๎อผิดพลาดของการทางานท่ี อาจเกิดข้นึ ๔. ทดสอบ ประเมินผล และระบุ • การทดสอบ และประเมนิ ผลเป็นการตรวจสอบ ขอ๎ บกพรํองทีเ่ กิดขึ้น พร๎อมทั้งหาแนว ชิน้ งานหรอื วธิ กี ารวาํ สามารถแกป๎ ญั หาไดต๎ าม ทางการปรบั ปรุงแก๎ไขและนาเสนอผลการ วัตถปุ ระสงค์ภายใต๎กรอบของปัญหา เพอื่ หา แกป๎ ัญหา ขอ๎ บกพรํอง และดาเนนิ การปรับปรงุ โดยอาจ ทดสอบซ้าเพื่อใหส๎ ามารถแก๎ปัญหาได๎ • การนาเสนอผลงานเปน็ การถาํ ยทอดแนวคดิ เพื่อให๎ผ๎ูอ่ืนเขา๎ ใจเกยี่ วกบั กระบวนการทางานและ ช้นิ งานหรอื วิธีการที่ได๎ ซึ่งสามารถทาได๎หลายวธิ ี เชํน การเขียนรายงาน การทาแผนํ นาเสนอผลงาน การจดั นทิ รรศการ การนาเสนอผํานส่ือออนไลน์ ๕. ใชค๎ วามร๎ูและทักษะเกยี่ วกับวัสดุ • วสั ดแุ ตํละประเภทมีสมบตั ิแตกตํางกนั เชํน ไม๎ อุปกรณ์ เครือ่ งมอื กลไก ไฟฟูา หรอื โลหะ พลาสติก จึงตอ๎ งมีการวเิ คราะห์สมบตั ิ เพ่ือ อิเล็กทรอนกิ ส์ เพอ่ื แกป๎ ัญหาได๎อยาํ ง เลือกใชใ๎ ห๎เหมาะสมกับลกั ษณะของงาน ถกู ต๎อง เหมาะสมและปลอดภัย • การสรา๎ งช้นิ งานอาจใชค๎ วามรู๎ เร่ืองกลไก ไฟฟูา อเิ ล็กทรอนกิ ส์ เชํน LED บัซเซอร์ มอเตอร์ วงจรไฟฟูา • อปุ กรณ์และเคร่ืองมือในการสร๎างชน้ิ งานหรือ พฒั นาวธิ ีการมีหลายประเภท ต๎องเลอื กใชใ๎ หถ๎ ูกต๎อง เหมาะสม และปลอดภัย รวมทงั้ ร๎จู กั เก็บรักษา
๑๘๐ ชั้น ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.๒ ๑. คาดการณ์แนวโนม๎ เทคโนโลยที ่ีจะ • สาเหตหุ รอื ปจั จัยตาํ ง ๆ เชํน ความกา๎ วหน๎าของ เกิดข้นึ โดยพิจารณาจากสาเหตุหรอื ศาสตร์ตาํ ง ๆ การเปล่ยี นแปลงทางด๎านเศรษฐกิจ ปัจจยั ทสี่ ํงผลตํอการเปล่ยี นแปลงของ สังคม วฒั นธรรม ทาใหเ๎ ทคโนโลยมี ีการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยี และวิเคราะห์ เปรียบเทียบ ตลอดเวลา ตดั สนิ ใจเลอื กใช๎เทคโนโลยี โดยคานึงถึง • เทคโนโลยีแตลํ ะประเภทมีผลกระทบตํอชีวิต สงั คม ผลกระทบท่เี กดิ ขึน้ ตํอชีวติ สงั คม และ และสิง่ แวดล๎อมทแี่ ตกตาํ งกนั จึงตอ๎ งวิเคราะห์ สงิ่ แวดล๎อม เปรยี บเทียบข๎อดี ข๎อเสยี และตดั สินใจเลอื กใช๎ให๎ เหมาะสม ๒. ระบุปัญหาหรือความต๎องการในชุมชน • ปญั หาหรือความต๎องการในชุมชนหรือท๎องถ่นิ มี หรอื ทอ๎ งถิ่น สรปุ กรอบของปัญหา หลายอยาํ ง ขน้ึ กับบริบทหรือสถานการณ์ท่ปี ระสบ รวบรวม วิเคราะห์ข๎อมูลและแนวคิดที่ เชนํ ดา๎ นพลังงาน สิ่งแวดล๎อม การเกษตร การ เก่ยี วขอ๎ งกับปัญหา อาหาร • การระบุปัญหาจาเปน็ ต๎องมีการวเิ คราะห์ สถานการณ์ของปัญหาเพ่อื สรุปกรอบของปัญหา แล๎ว ดาเนนิ การสบื คน๎ รวบรวมขอ๎ มูล ความรจู๎ ากศาสตร์ ตาํ ง ๆ ทีเ่ กยี่ วข๎อง เพ่ือนาไปสูํการออกแบบแนว ทางการแกป๎ ัญหา ๓. ออกแบบวธิ กี ารแกป๎ ญั หา โดย • การวเิ คราะห์ เปรียบเทยี บ และตัดสินใจเลือก วเิ คราะห์เปรยี บเทยี บ และตัดสินใจ ขอ๎ มูลท่ีจาเปน็ โดยคานึงถึงเง่ือนไขและทรัพยากร เลือกข๎อมลู ทีจ่ าเป็นภายใต๎เงื่อนไขและ เชนํ งบประมาณ เวลา ข๎อมลู และสารสนเทศ วัสดุ ทรัพยากรทม่ี ีอยํู นาเสนอแนวทางการ เครอ่ื งมอื และอุปกรณ์ ชวํ ยให๎ได๎แนวทางการ แกป๎ ญั หาให๎ผู๎อืน่ เข๎าใจ วางแผนขัน้ ตอน แกป๎ ัญหาท่ีเหมาะสม การทางานและดาเนินการแก๎ปัญหา • การออกแบบแนวทางการแก๎ปัญหาทาได๎ อยํางเป็นข้ันตอน หลากหลายวิธี เชํน การรํางภาพ การเขียนแผนภาพ การเขียนผังงาน • การกาหนดขน้ั ตอนระยะเวลาในการทางานกํอน ดาเนินการแกป๎ ญั หาจะชวํ ยใหก๎ ารทางานสาเรจ็ ได๎ ตามเปูาหมาย และลดข๎อผดิ พลาดของการทางานที่ อาจเกิดขึน้
๑๘๑ ชน้ั ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๒ ๔. ทดสอบ ประเมนิ ผล และอธบิ าย • การทดสอบและประเมนิ ผลเปน็ การตรวจสอบ (ตอ่ ) ปญั หาหรือข๎อบกพรํองทเ่ี กิดข้ึน ภายใต๎ ชิ้นงาน หรอื วธิ ีการวําสามารถแกป๎ ญั หาไดต๎ าม กรอบเงื่อนไข พรอ๎ มทั้งหาแนวทางการ วตั ถุประสงค์ภายใต๎กรอบของปัญหา เพ่ือหา ปรับปรงุ แก๎ไข และนาเสนอผลการ ขอ๎ บกพรํอง และดาเนนิ การปรบั ปรุงให๎สามารถแก๎ไข แก๎ปัญหา ปญั หาได๎ • การนาเสนอผลงานเป็นการถาํ ยทอดแนวคดิ เพ่อื ให๎ ผูอ๎ น่ื เขา๎ ใจเก่ียวกับกระบวนการทางานและชิน้ งาน หรือวิธกี ารท่ไี ด๎ ซ่งึ สามารถทาได๎หลายวธิ ี เชนํ การ เขยี นรายงาน การทาแผํนนาเสนอผลงาน การจดั นทิ รรศการ ๕. ใชค๎ วามรู๎ และทักษะเกย่ี วกับวสั ดุ อปุ กรณ์ เครอื่ งมือ กลไก ไฟฟูา และ • วสั ดแุ ตลํ ะประเภทมสี มบตั ิแตกตาํ งกนั เชํน ไม๎ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เพอ่ื แก๎ปัญหาหรอื พฒั นา โลหะ พลาสตกิ จึงต๎องมีการวิเคราะห์สมบตั ิ เพ่ือ งานได๎อยาํ งถูกต๎อง เหมาะสม และ เลอื กใช๎ใหเ๎ หมาะสมกบั ลกั ษณะของงาน ปลอดภัย • การสร๎างช้ินงานอาจใช๎ความรู๎ เร่ืองกลไก ไฟฟาู อเิ ลก็ ทรอนิกส์ เชํน LED มอเตอร์ บัซเซอร์ เฟือง รอก ลอ๎ เพลา • อปุ กรณแ์ ละเครื่องมือในการสร๎างช้นิ งานหรอื พัฒนาวธิ กี ารมหี ลายประเภท ตอ๎ งเลอื กใช๎ให๎ถูกตอ๎ ง เหมาะสม และปลอดภยั รวมทัง้ รจ๎ู ักเกบ็ รักษา ม.๓ ๑. วิเคราะหส์ าเหตุ หรอื ปจั จัยทสี่ ํงผลตอํ • เทคโนโลยีมีการเปลย่ี นแปลงตลอดเวลาตั้งแตํอดีต การเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยี และ จนถึงปจั จบุ นั ซ่ึงมีสาเหตหุ รือปัจจัยมาจากหลายดา๎ น ความสมั พนั ธ์ของเทคโนโลยกี ับศาสตร์ เชํน ปญั หาหรอื ความต๎องการของมนุษย์ อ่นื โดยเฉพาะวทิ ยาศาสตร์ หรือ ความก๎าวหนา๎ ของศาสตร์ตําง ๆ การเปลยี่ นแปลง คณิตศาสตร์ เพ่ือเปน็ แนวทางการ ทางด๎านเศรษฐกิจ สงั คม วัฒนธรรม สิ่งแวดล๎อม แก๎ปัญหาหรือพัฒนางาน • เทคโนโลยมี ีความสัมพนั ธ์กับศาสตร์อนื่ โดยเฉพาะ วทิ ยาศาสตร์ โดยวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐานความร๎ู ท่ี นาไปสูํการพฒั นาเทคโนโลยี และเทคโนโลยีทไ่ี ด๎ สามารถเป็นเครื่องมือที่ใชใ๎ นการศึกษา ค๎นควา๎ เพ่ือให๎ไดม๎ าซึง่ องค์ความรใ๎ู หมํ
๑๘๒ ชนั้ ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๓ ๒. ระบปุ ัญหาหรือความต๎องการของ • ปญั หาหรอื ความต๎องการอาจพบได๎ในงานอาชีพ (ตอ่ ) ชมุ ชนหรือท๎องถนิ่ เพอื่ พัฒนางานอาชพี ของชมุ ชนหรอื ท๎องถิ่น ซง่ึ อาจมหี ลายดา๎ น เชํน ดา๎ น สรปุ กรอบของปญั หา รวบรวม วิเคราะห์ การเกษตร อาหาร พลงั งาน การขนสงํ ขอ๎ มลู และแนวคดิ ทีเ่ กย่ี วข๎องกับปญั หา • การวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาชํวยให๎เขา๎ ใจ โดยคานงึ ถงึ ความถูกต๎องด๎านทรัพย์สิน เงือ่ นไขและกรอบของปัญหาไดช๎ ัดเจน จากนน้ั ทางปัญญา ดาเนนิ การสืบคน๎ รวบรวมข๎อมูล ความรูจ๎ ากศาสตร์ ตาํ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วข๎อง เพือ่ นาไปสํูการออกแบบแนว ทางการแก๎ปัญหา ๓. ออกแบบวิธีการแก๎ปญั หา โดย วิเคราะหเ์ ปรยี บเทียบ และตัดสนิ ใจเลือก • การวเิ คราะห์ เปรยี บเทียบ และตัดสนิ ใจเลอื ก ขอ๎ มลู ทีจ่ าเปน็ ภายใตเ๎ ง่ือนไขและ ขอ๎ มลู ท่จี าเปน็ โดยคานงึ ถึงทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา ทรัพยากรทมี่ ีอยํู นาเสนอแนวทางการ เงอ่ื นไขและทรพั ยากร เชนํ งบประมาณ เวลา ข๎อมลู แกป๎ ญั หาให๎ผ๎ูอื่นเขา๎ ใจดว๎ ยเทคนคิ หรอื และสารสนเทศ วสั ดุ เครื่องมือและอปุ กรณ์ ชวํ ยให๎ วิธกี ารทห่ี ลากหลาย วางแผนข้ันตอน ได๎แนวทางการแก๎ปญั หาที่เหมาะสม การทางานและดาเนนิ การแก๎ปญั หา • การออกแบบแนวทางการแกป๎ ัญหาทาได๎ อยาํ งเปน็ ขั้นตอน หลากหลายวธิ ี เชนํ การรํางภาพ การเขียนแผนภาพ การเขียนผงั งาน • เทคนิคหรอื วิธกี ารในการนาเสนอแนวทาง การ แก๎ปัญหามหี ลากหลาย เชํน การใช๎แผนภูมิ ตาราง ภาพเคลอ่ื นไหว • การกาหนดขัน้ ตอนและระยะเวลาในการทางาน กอํ นดาเนินการแก๎ปญั หาจะชวํ ยให๎การทางานสาเรจ็ ได๎ตามเปูาหมาย และลดขอ๎ ผิดพลาดของการทางาน ท่อี าจเกดิ ข้ึน
๑๘๓ สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๒ เขา้ ใจและใช้แนวคิดเชงิ คานวณในการแกป้ ญั หาท่ีพบในชีวติ จริงอย่างเปน็ ขนั้ ตอนและเป็นระบบ ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารในการเรยี นรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้เทา่ ทนั และมจี รยิ ธรรม ชัน้ ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.๑ ๑. แก๎ปญั หาอยาํ งงาํ ยโดยใช๎การลอง • การแกป๎ ัญหาให๎ประสบความสาเรจ็ ทาได๎โดยใช๎ ผดิ ลองถกู การเปรยี บเทียบ ข้ันตอนการแก๎ปัญหา • ปญั หาอยํางงําย เชํน เกมเขาวงกต เกมหาจุด แตกตํางของภาพ การจัดหนังสือใสกํ ระเปา๋ ๒. แสดงลาดับข้นั ตอนการทางานหรือ • การแสดงขั้นตอนการแก๎ปัญหา ทาไดโ๎ ดยการเขยี น การแกป๎ ัญหาอยาํ งงาํ ยโดยใช๎ภาพ บอกเลํา วาดภาพ หรอื ใช๎สญั ลักษณ์ สญั ลักษณ์ หรอื ข๎อความ • ปญั หาอยํางงําย เชนํ เกมเขาวงกต เกมหาจุด แตกตาํ งของภาพ การจดั หนงั สอื ใสกํ ระเปา๋ ๓. เขียนโปรแกรมอยาํ งงาํ ย โดยใช๎ • การเขยี นโปรแกรมเปน็ การสรา๎ งลาดบั ของคาสงั่ ให๎ ซอฟตแ์ วรห์ รอื สอื่ คอมพวิ เตอร์ทางาน • ตวั อยํางโปรแกรม เชนํ เขียนโปรแกรมสงั่ ให๎ ตวั ละครยา๎ ยตาแหนํง ยอํ ขยายขนาด เปลย่ี นรูปรําง • ซอฟต์แวรห์ รือสื่อท่ีใชใ๎ นการเขยี นโปรแกรม เชํน ใช๎บตั รคาสง่ั แสดงการเขียนโปรแกรม, Code.org ๔. ใชเ๎ ทคโนโลยีในการสร๎าง จดั เก็บ • การใช๎งานอปุ กรณเ์ ทคโนโลยีเบ้ืองต๎น เชนํ การใช๎ เรียกใช๎ขอ๎ มูลตามวตั ถุประสงค์ เมาส์ คยี ์บอร์ด จอสัมผสั การเปดิ -ปิด อปุ กรณ์ เทคโนโลยี • การใชง๎ านซอฟตแ์ วรเ์ บ้ืองต๎น เชนํ การเขา๎ และออก จากโปรแกรม การสร๎างไฟล์ การจดั เก็บ การเรยี กใช๎ ไฟล์ ทาได๎ในโปรแกรม เชํน โปรแกรมประมวลคา โปรแกรมกราฟิก โปรแกรมนาเสนอ • การสรา๎ งและจดั เกบ็ ไฟล์อยํางเปน็ ระบบจะทาให๎ เรยี กใช๎ คน๎ หาข๎อมูลได๎งํายและรวดเรว็ ๕. ใช๎เทคโนโลยีสารสนเทศอยําง • การใช๎เทคโนโลยสี ารสนเทศอยาํ งปลอดภยั เชํน ปลอดภัย ปฏบิ ตั ติ ามข๎อตกลงในการใช๎ รู๎จกั ข๎อมลู สวํ นตัว อันตรายจากการเผยแพรํข๎อมูล คอมพวิ เตอรร์ ํวมกัน ดูแลรักษาอุปกรณ์ สํวนตวั และไมํบอกข๎อมูลสวํ นตวั กบั บุคคลอื่นยกเวน๎ เบอ้ื งต๎น ใช๎งานอยาํ งเหมาะสม ผป๎ู กครองหรือครู แจ๎งผ๎ูเกย่ี วขอ๎ งเมอื่ ต๎องการความ ชวํ ยเหลอื เกีย่ วกับการใชง๎ าน
๑๘๔ ป.๑ • ขอ๎ ปฏบิ ัตใิ นการใช๎งานและการดูแลรักษาอปุ กรณ์ (ต่อ) เชนํ ไมํขดี เขยี นบนอุปกรณ์ ทาความสะอาด ใช๎ อุปกรณ์อยํางถกู วิธี • การใชง๎ านอยาํ งเหมาะสม เชํน จดั ทํานัง่ ให๎ถูกต๎อง การพักสายตาเม่ือใช๎อุปกรณเ์ ป็นเวลานาน ระมดั ระวงั อบุ ัติเหตุจากการใช๎งาน ป.๒ ๑.แสดงลาดับข้ันตอนการทางานหรอื การ • การแสดงขั้นตอนการแกป๎ ัญหา ทาได๎โดยการเขียน แกป๎ ัญหาอยาํ งงํายโดยใชภ๎ าพ สัญลกั ษณ์ บอกเลํา วาดภาพ หรือใช๎สญั ลักษณ์ หรอื ข๎อความ • ปัญหาอยาํ งงําย เชนํ เกมตัวตอํ ๖-๑๒ ชิ้น การ แตงํ ตวั มาโรงเรียน ๒. เขียนโปรแกรมอยํางงาํ ย โดยใช๎ • ตัวอยํางโปรแกรม เชํน เขยี นโปรแกรมสัง่ ให๎ ตวั ซอฟตแ์ วรห์ รอื ส่ือ และตรวจหา ละครทางานตามทีต่ อ๎ งการ และตรวจสอบข๎อผดิ พลาด ขอ๎ ผดิ พลาดของโปรแกรม ปรับแก๎ไขใหไ๎ ดผ๎ ลลัพธต์ ามที่กาหนด • การตรวจหาข๎อผิดพลาด ทาได๎โดยตรวจสอบคาสงั่ ท่ี แจง๎ ข๎อผดิ พลาด หรอื หากผลลพั ธไ์ มเํ ป็นไปตามที่ ต๎องการใหต๎ รวจสอบการทางานทีละคาสั่ง • ซอฟตแ์ วร์หรือส่ือที่ใช๎ในการเขียนโปรแกรม เชนํ ใช๎ บัตรคาสัง่ แสดงการเขียนโปรแกรม, Code.org ๓. ใช๎เทคโนโลยใี นการสร๎าง จัดหมวดหมํู • การใชง๎ านซอฟตแ์ วรเ์ บ้ืองต๎น เชนํ การเขา๎ และออก คน๎ หา จัดเกบ็ เรยี กใช๎ข๎อมลู ตาม จากโปรแกรม การสร๎างไฟล์ การจัดเก็บ การเรียกใช๎ วัตถุประสงค์ ไฟล์ การแก๎ไขตกแตํงเอกสาร ทาได๎ ในโปรแกรม เชนํ โปรแกรมประมวลคา โปรแกรมกราฟิก โปรแกรมนาเสนอ • การสร๎าง คดั ลอก ยา๎ ย ลบ เปล่ยี นชือ่ จัดหมวดหมูํ ไฟล์ และโฟลเดอร์อยาํ งเปน็ ระบบจะทาให๎เรยี กใช๎ คน๎ หาข๎อมูลได๎งํายและรวดเร็ว ๔. ใช๎เทคโนโลยีสารสนเทศอยําง • การใชเ๎ ทคโนโลยีสารสนเทศอยํางปลอดภยั เชนํ ปลอดภยั ปฏบิ ตั ติ ามข๎อตกลงในการใช๎ ร๎ูจักข๎อมลู สํวนตัว อันตรายจากการเผยแพรขํ ๎อมลู คอมพิวเตอร์รวํ มกัน ดแู ลรักษาอปุ กรณ์ สวํ นตวั และไมบํ อกข๎อมูลสํวนตวั กบั บุคคลอ่ืนยกเว๎น เบอ้ื งตน๎ ใช๎งานอยํางเหมาะสม ผป๎ู กครองหรือครู แจง๎ ผูเ๎ กีย่ วข๎องเมื่อต๎องการความ ชํวยเหลือเก่ยี วกับการใชง๎ าน • ขอ๎ ปฏบิ ตั ิในการใช๎งานและการดูแลรักษาอุปกรณ์ เชํน ไมขํ ีดเขียนบนอปุ กรณ์ ทาความสะอาด ใช๎ อุปกรณ์อยํางถูกวิธี
๑๘๕ ชน้ั ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ป.๒ • การใช๎งานอยํางเหมาะสม เชนํ จดั ทําน่งั ให๎ถูกต๎อง (ต่อ) การพักสายตาเมื่อใช๎อปุ กรณ์เปน็ เวลานาน ระมดั ระวงั อบุ ตั เิ หตุจากการใชง๎ าน ป.๓ ๑. แสดงอัลกอรทิ ึมในการทางานหรอื • อลั กอริทึมเป็นขัน้ ตอนที่ใชใ๎ นการแกป๎ ัญหา การแกป๎ ัญหาอยาํ งงาํ ยโดยใช๎ภาพ • การแสดงอัลกอริทึม ทาได๎โดยการเขียน บอกเลํา สญั ลกั ษณ์ หรอื ขอ๎ ความ วาดภาพ หรอื ใช๎สัญลกั ษณ์ • ตวั อยํางปัญหา เชํน เกมเศรษฐี เกมบันไดงู เกม Tetris เกม OX การเดินไปโรงอาหาร การทาความ สะอาดห๎องเรียน ๒. เขียนโปรแกรมอยํางงําย โดยใช๎ • การเขียนโปรแกรมเป็นการสร๎างลาดับของคาสงั่ ให๎ ซอฟตแ์ วร์หรอื ส่ือ และตรวจหา คอมพิวเตอร์ทางาน ขอ๎ ผิดพลาดของโปรแกรม • ตัวอยาํ งโปรแกรม เชนํ เขยี นโปรแกรมทสี่ ั่งให๎ ตวั ละครทางานซา้ ไมสํ ้นิ สุด • การตรวจหาขอ๎ ผดิ พลาด ทาไดโ๎ ดยตรวจสอบคาสง่ั ที่แจง๎ ข๎อผิดพลาด หรอื หากผลลพั ธไ์ มํเป็นไปตามท่ี ตอ๎ งการใหต๎ รวจสอบการทางานทลี ะคาส่ัง • ซอฟตแ์ วรห์ รือส่ือที่ใชใ๎ นการเขียนโปรแกรม เชํน ใช๎บัตรคาส่งั แสดงการเขียนโปรแกรม, Code.org ๓. ใชอ๎ ินเทอรเ์ น็ตค๎นหาความร๎ู • อนิ เทอรเ์ นต็ เป็นเครือขาํ ยขนาดใหญํชํวยให๎ การ ตดิ ตํอสื่อสารทาได๎สะดวกและรวดเรว็ และเป็น แหลํงขอ๎ มูลความร๎ทู ีช่ วํ ยในการเรียน และการดาเนนิ ชีวติ • เว็บเบราว์เซอร์เป็นโปรแกรมสาหรับอํานเอกสาร บนเวบ็ เพจ • การสืบค๎นข๎อมลู บนอินเทอร์เน็ต ทาได๎โดยใช๎ เวบ็ ไซตส์ าหรบั สืบคน๎ และตอ๎ งกาหนดคาคน๎ ที่ เหมาะสมจงึ จะไดข๎ ๎อมูลตามต๎องการ • ข๎อมูลความร๎ู เชํน วธิ ที าอาหาร วิธพี ับกระดาษ เป็น รปู ตาํ ง ๆ ขอ๎ มลู ประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทย (อาจเปน็ ความรใ๎ู นวิชาอื่น ๆ หรอื เรอ่ื งท่ีเปน็ ประเดน็ ที่สนใจใน ชํวงเวลานน้ั ) • การใชอ๎ นิ เทอร์เนต็ อยํางปลอดภยั คารอยํูในการ ดแู ลของครูหรือผปู๎ กครอง
๑๘๖ ชน้ั ตวั ชี้วดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ป.๓ ๔. รวบรวม ประมวลผล และนาเสนอ • การรวบรวมข๎อมูล ทาได๎โดยกาหนดหวั ข๎อที่ (ตอ่ ) ข๎อมลู โดยใชซ๎ อฟตแ์ วรต์ ามวตั ถปุ ระสงค์ ต๎องการ เตรยี มอปุ กรณ์ในการจดบนั ทึก • การประมวลผลอยํางงําย เชํน เปรียบเทียบ จัดกลํมุ เรียงลาดับ • การนาเสนอข๎อมูลทาไดห๎ ลายลกั ษณะตามความ เหมาะสม เชนํ การบอกเลาํ การทาเอกสารรายงาน การจัดทาปูายประกาศ • การใช๎ซอฟตแ์ วร์ทางานตามวตั ถุประสงค์ เชนํ ใช๎ ซอฟตแ์ วร์นาเสนอ หรอื ซอฟต์แวร์กราฟิก สรา๎ ง แผนภูมิรูปภาพ ใชซ๎ อฟตแ์ วร์ประมวลคา ทาปาู ย ประกาศหรือเอกสารรายงาน ใช๎ซอฟต์แวร์ตาราง ทางานในการประมวลผลขอ๎ มูล ๕. ใช๎เทคโนโลยีสารสนเทศอยําง • การใชเ๎ ทคโนโลยีสารสนเทศอยาํ งปลอดภัย เชนํ ปลอดภัย ปฏิบตั ิตามข๎อตกลงในการใช๎ ปกปอู งขอ๎ มลู สํวนตวั อินเทอร์เนต็ • ขอความชวํ ยเหลือจากครหู รือผูป๎ กครอง เมื่อเกิด ปญั หาจากการใช๎งาน เม่อื พบข๎อมลู หรือบคุ คลทีท่ า ใหไ๎ มสํ บายใจ • การปฏิบตั ติ ามข๎อตกลงในการใช๎อินเทอรเ์ น็ต จะ ทาใหไ๎ มเํ กดิ ความเสยี หายตอํ ตนเองและผ๎ูอ่นื เชํน ไมํ ใชค๎ าหยาบ ลอ๎ เลียน ดาํ ทอ ทาใหผ๎ ู๎อ่ืนเสยี หายหรอื เสียใจ • ขอ๎ ดีและขอ๎ เสียในการใช๎เทคโนโลยีสารสนเทศ และ การส่อื สาร ป.๔ ๑. ใช๎เหตุผลเชิงตรรกะในการแก๎ปญั หา • การใชเ๎ หตุผลเชงิ ตรรกะเป็นการนากฎเกณฑ์ หรอื การอธิบายการทางาน การคาดการณ์ เงือ่ นไขท่ีครอบคลุมทุกกรณีมาใช๎พจิ ารณาในการ ผลลพั ธ์ จากปญั หาอยํางงาํ ย แกป๎ ญั หา การอธิบายการทางาน หรอื การคาดการณ์ ผลลัพธ์ • สถานะเรมิ่ ตน๎ ของการทางานที่แตกตาํ งกันจะให๎ ผลลพั ธท์ แี่ ตกตาํ งกัน • ตวั อยํางปัญหา เชํน เกม OX โปรแกรมท่ีมี การ คานวณ โปรแกรมที่มตี ัวละครหลายตัวและมีการ ส่ังงานที่แตกตํางหรือมีการส่ือสารระหวาํ งกนั การ เดนิ ทางไปโรงเรยี น โดยวิธกี ารตําง ๆ
ชน้ั ตวั ชี้วัด ๑๘๗ ป.๔ ๒. ออกแบบ และเขยี นโปรแกรมอยําง (ต่อ) งาํ ย โดยใช๎ซอฟต์แวรห์ รือสื่อ และ สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • การออกแบบโปรแกรมอยํางงาํ ย เชํน การออกแบบ ตรวจหาข๎อผดิ พลาดและแกไ๎ ข โดยใช๎ storyboard หรือการออกแบบอัลกอริทมึ • การเขยี นโปรแกรมเป็นการสร๎างลาดับของคาสง่ั ให๎ ๓. ใช๎อินเทอร์เน็ตคน๎ หาความร๎ู และ คอมพวิ เตอร์ทางาน เพ่อื ให๎ได๎ผลลพั ธ์ตาม ความ ประเมนิ ความนําเชือ่ ถือของข๎อมูล ตอ๎ งการ หากมีขอ๎ ผิดพลาดให๎ตรวจสอบ การทางาน ทีละคาสง่ั เม่อื พบจดุ ท่ีทาให๎ผลัลพั ธ์ ไมํถูกตอ๎ ง ใหท๎ า การแก๎ไขจนกวําจะได๎ผลลัพธท์ ถี่ ูกต๎อง • ตวั อยาํ งโปรแกรมที่มเี รอ่ื งราว เชนํ นทิ านทม่ี ี การ โตต๎ อบกบั ผ๎ูใช๎ การต์ ูนสน้ั เลาํ กิจวัตรประจาวนั ภาพเคลอ่ื นไหว • การฝกึ ตรวจหาข๎อผิดพลาดจากโปรแกรมของผู๎อ่ืน จะชํวยพัฒนาทกั ษะการหาสาเหตขุ องปัญหาได๎ดี ยงิ่ ขนึ้ • ซอฟต์แวร์ท่ีใช๎ในการเขียนโปรแกรม เชํน Scratch, logo • การใชค๎ าค๎นทต่ี รงประเดน็ กระชับ จะทาใหไ๎ ด๎ ผลลพั ธ์ท่รี วดเร็วและตรงตามความต๎องการ • การประเมนิ ความนําเชอ่ื ถอื ของขอ๎ มูล เชนํ พจิ ารณาประเภทของเวบ็ ไซต์ (หนวํ ยงานราชการ สานักขาํ ว องค์กร) ผ๎ูเขียน วันทีเ่ ผยแพรขํ ๎อมูล การ อ๎างองิ • เม่อื ได๎ขอ๎ มูลทตี่ ๎องการจากเว็บไซต์ตําง ๆ จะตอ๎ งนา เนื้อหามาพิจารณา เปรยี บเทียบ แล๎วเลอื กข๎อมลู ท่ีมี ความสอดคล๎องและสมั พันธ์กัน • การทารายงานหรือการนาเสนอขอ๎ มลู จะต๎อง นา ขอ๎ มลู มาเรียบเรยี ง สรปุ เปน็ ภาษาของตนเอง ท่ี เหมาะสมกบั กลมํุ เปาู หมายและวิธีการนาเสนอ (บูรณาการกับวิชาภาษาไทย)
๑๘๘ ช้นั ตัวชี้วดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๔ ๔. รวบรวม ประเมนิ นาเสนอข๎อมูลและ • การรวบรวมข๎อมลู ทาได๎โดยกาหนดหวั ขอ๎ ที่ (ต่อ) สารสนเทศ โดยใชซ๎ อฟตแ์ วร์ที่ ตอ๎ งการ เตรยี มอปุ กรณ์ในการจดบนั ทึก หลากหลาย เพ่อื แกป๎ ญั หาใน • การประมวลผลอยํางงําย เชนํ เปรยี บเทียบ จัดกลํุม ชวี ิตประจาวัน เรียงลาดบั การหาผลรวม • วิเคราะหผ์ ลและสร๎างทางเลือกทีเ่ ป็นไปได๎ ประเมิน ทางเลอื ก (เปรียบเทยี บ ตดั สิน) • การนาเสนอข๎อมูลทาไดห๎ ลายลกั ษณะตามความ เหมาะสม เชนํ การบอกเลาํ เอกสารรายงาน โปสเตอร์ โปรแกรมนาเสนอ • การใชซ๎ อฟตแ์ วรเ์ พ่ือแก๎ปญั หาในชวี ติ ประจาวนั เชนํ การสารวจเมนูอาหารกลางวนั โดยใช๎ซอฟต์แวร์ สร๎างแบบสอบถามและเกบ็ ข๎อมูล ใช๎ซอฟตแ์ วร์ ตารางทางานเพื่อประมวลผลข๎อมลู รวบรวมขอ๎ มลู เกี่ยวกับคุณคําทางโภชนาการและสร๎างรายการ อาหารสาหรับ ๕ วัน ใช๎ซอฟต์แวร์นาเสนอผลการ สารวจรายการอาหารทเ่ี ป็นทางเลอื กและข๎อมูลดา๎ น โภชนาการ ๕. ใชเ๎ ทคโนโลยีสารสนเทศอยาํ ง • การใชเ๎ ทคโนโลยีสารสนเทศอยาํ งปลอดภยั เข๎าใจ ปลอดภยั เข๎าใจสิทธิและหน๎าท่ีของตน สทิ ธแิ ละหนา๎ ทขี่ องตน เคารพในสิทธขิ องผู๎อนื่ เชนํ เคารพในสิทธขิ องผ๎ูอน่ื แจง๎ ผ๎เู กี่ยวข๎อง ไมํสร๎างข๎อความเทจ็ และสํงให๎ผ๎ูอื่น ไมสํ รา๎ ง ความ เมื่อพบข๎อมลู หรอื บุคคลท่ีไมเํ หมาะสม เดือดร๎อนตํอผ๎ูอ่นื โดยการสํงสแปม ขอ๎ ความลกู โซํ สงํ ตอํ โพสตท์ ี่มขี ๎อมูลสํวนตัวของผ๎ูอ่นื สงํ คาเชิญเลํนเกม ไมํเขา๎ ถึงข๎อมลู สํวนตวั หรอื การบ๎านของบุคคลอื่นโดย ไมํไดร๎ บั อนุญาต ไมํใช๎เครอื่ งคอมพิวเตอร์/ชอื่ บัญชี ของผู๎อื่น • การสื่อสารอยาํ งมมี ารยาทและรก๎ู าลเทศะ • การปกปูองข๎อมูลสํวนตัว เชนํ การออกจากระบบ เมอื่ เลิกใชง๎ าน ไมบํ อกรหสั ผําน ไมบํ อกเลขประจาตัว ประชาชน
๑๘๙ ชั้น ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๕ ๑. ใช๎เหตผุ ลเชงิ ตรรกะในการแกป๎ ัญหา • การใชเ๎ หตุผลเชงิ ตรรกะเปน็ การนากฎเกณฑ์ หรือ การอธิบายการทางาน การคาดการณ์ เงอ่ื นไขท่ีครอบคลมุ ทุกกรณีมาใช๎พิจารณาในการ ผลลพั ธ์ จากปญั หาอยํางงาํ ย แก๎ปญั หา การอธิบายการทางาน หรอื การคาดการณ์ ผลลพั ธ์ • สถานะเรมิ่ ต๎นของการทางานทแี่ ตกตํางกนั จะให๎ ผลลพั ธ์ท่แี ตกตํางกนั • ตัวอยาํ งปญั หา เชํน เกม Sudoku โปรแกรม ทานายตวั เลข โปรแกรมสรา๎ งรปู เรขาคณิตตามคาํ ข๎อมลู เข๎า การจดั ลาดับการทางานบา๎ นในชวํ งวันหยดุ จดั วางของในครวั ๒. ออกแบบ และเขียนโปรแกรมที่มีการ • การออกแบบโปรแกรมสามารถทาได๎โดยเขียน เป็น ใชเ๎ หตผุ ลเชิงตรรกะอยํางงาํ ย ตรวจหา ขอ๎ ความหรอื ผงั งาน ขอ๎ ผดิ พลาดและแก๎ไข • การออกแบบและเขยี นโปรแกรมท่ีมีการตรวจสอบ เง่อื นไขท่ีครอบคลมุ ทุกกรณีเพอื่ ให๎ได๎ผลลัพธ์ท่ี ถูกต๎องตรงตามความต๎องการ • หากมีขอ๎ ผดิ พลาดให๎ตรวจสอบการทางาน ทลี ะ คาสัง่ เมื่อพบจุดที่ทาใหผ๎ ลัลพั ธไ์ มํถูกต๎อง ให๎ทาการ แก๎ไขจนกวาํ จะได๎ผลลัพธท์ ี่ถูกตอ๎ ง • การฝึกตรวจหาข๎อผิดพลาดจากโปรแกรมของผู๎อื่น จะชวํ ยพฒั นาทักษะการหาสาเหตขุ องปัญหาได๎ดี ยิ่งขึ้น • ตัวอยาํ งโปรแกรม เชนํ โปรแกรมตรวจสอบเลขคูํ เลขคี่ โปรแกรมรับขอ๎ มลู นา้ หนักหรอื สวํ นสงู แล๎ว แสดงผลความสมสํวนของราํ งกาย โปรแกรมส่งั ให๎ตัว ละครทาตามเงื่อนไขทกี่ าหนด • ซอฟตแ์ วรท์ ี่ใช๎ในการเขยี นโปรแกรม เชนํ Scratch, logo
๑๙๐ ชนั้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๕ ๓. ใช๎อินเทอร์เนต็ ค๎นหาข๎อมูล • การค๎นหาข๎อมลู ในอนิ เทอร์เน็ต และการพิจารณา (ต่อ) ตดิ ตํอส่ือสารและทางานรวํ มกัน ประเมนิ ผลการคน๎ หา ความนําเช่ือถือของข๎อมลู • การตดิ ตอํ ส่ือสารผาํ นอินเทอรเ์ น็ต เชํน อีเมล บลอ็ ก โปรแกรมสนทนา • การเขียนจดหมาย (บรู ณาการกบั วิชาภาษาไทย) • การใชอ๎ ินเทอร์เนต็ ในการติดตอํ ส่ือสารและทางาน รวํ มกัน เชํน ใช๎นดั หมายในการประชมุ กลุํม ประชาสัมพันธ์กจิ กรรมในห๎องเรยี น การแลกเปลี่ยน ความร๎ู ความคดิ เหน็ ในการเรียน ภายใตก๎ ารดแู ลของ ครู • การประเมนิ ความนาํ เชอื่ ถอื ของขอ๎ มูล เชนํ เปรยี บเทยี บความสอดคล๎อง สมบูรณ์ของข๎อมูลจาก หลายแหลํง แหลํงต๎นตอของข๎อมลู ผูเ๎ ขียน วันที่ เผยแพรขํ ๎อมลู • ข๎อมลู ท่ีดตี ๎องมีรายละเอยี ดครบทุกดา๎ น เชนํ ข๎อดี และข๎อเสยี ประโยชนแ์ ละโทษ ๔. รวบรวม ประเมนิ นาเสนอข๎อมูล • การรวบรวมข๎อมูล ประมวลผล สรา๎ งทางเลือก และสารสนเทศ ตามวตั ถุประสงค์โดยใช๎ ประเมนิ ผล จะทาให๎ได๎สารสนเทศเพ่ือใช๎ในการ ซอฟต์แวร์หรือบริการบนอนิ เทอร์เน็ตที่ แก๎ปัญหาหรือการตัดสินใจได๎อยํางมีประสิทธิภาพ หลากหลาย เพ่ือแกป๎ ัญหาใน • การใช๎ซอฟต์แวรห์ รอื บรกิ ารบนอินเทอร์เน็ต ที่ ชีวติ ประจาวัน หลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สร๎าง ทางเลอื ก ประเมนิ ผล นาเสนอ จะชํวยให๎ การ แกป๎ ญั หาทาได๎อยํางรวดเร็ว ถูกต๎อง และแมนํ ยา • ตัวอยาํ งปัญหา เชํน ถาํ ยภาพ และสารวจแผนท่ี ใน ทอ๎ งถ่นิ เพ่ือนาเสนอแนวทางในการจัดการพื้นท่ีวาํ ง ให๎เกิดประโยชน์ ทาแบบสารวจความคิดเหน็ ออนไลน์ และวเิ คราะห์ขอ๎ มูล นาเสนอข๎อมูลโดยการใช๎ blog หรอื web page ๕. ใชเ๎ ทคโนโลยีสารสนเทศอยําง • อันตรายจากการใชง๎ านและอาชญากรรม ทาง ปลอดภัย มีมารยาท เข๎าใจสิทธแิ ละ อินเทอร์เน็ต หนา๎ ท่ีของตน เคารพในสทิ ธิของผ๎ูอื่น • มารยาทในการติดตอํ สื่อสารผาํ นอนิ เทอร์เนต็ แจ๎งผูเ๎ กี่ยวขอ๎ งเมื่อพบข๎อมูลหรอื บุคคลท่ี (บูรณาการกับวิชาที่เกย่ี วข๎อง) ไมเํ หมาะสม
๑๙๑ ชั้น ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๖ ๖๑. ใชเ๎ หตผุ ลเชิงตรรกะในการอธบิ ายและ • การแกป๎ ัญหาอยาํ งเป็นข้นั ตอนจะชํวยให๎แก๎ปัญหา ออกแบบวิธีการแกป๎ ัญหาที่พบใน ได๎อยาํ งมปี ระสิทธิภาพ ชวี ติ ประจาวัน • การใช๎เหตผุ ลเชงิ ตรรกะเป็นการนากฎเกณฑ์ หรือ เง่ือนไขที่ครอบคลมุ ทุกกรณีมาใชพ๎ จิ ารณาในการ ๒. ออกแบบและเขียนโปรแกรมอยาํ งงําย แกป๎ ญั หา เพื่อแกป๎ ญั หาในชวี ติ ประจาวัน ตรวจหา • แนวคิดของการทางานแบบวนซ้า และเงอื่ นไข ข๎อผดิ พลาดของโปรแกรมและแก๎ไข • การพิจารณากระบวนการทางานท่ีมีการทางาน แบบวนซา้ หรือเงื่อนไขเปน็ วิธีการท่จี ะชํวยให๎การ ๓. ใชอ๎ นิ เทอรเ์ น็ตในการคน๎ หาขอ๎ มลู ออกแบบวิธกี ารแก๎ปัญหาเปน็ ไปอยาํ งมีประสิทธิภาพ อยํางมปี ระสทิ ธภิ าพ • ตวั อยาํ งปัญหา เชนํ การค๎นหาเลขหนา๎ ทตี่ อ๎ งการให๎ เรว็ ทส่ี ดุ การทายเลข ๑-๑,๐๐๐,๐๐๐ โดยตอบใหถ๎ กู ภายใน ๒๐ คาถาม การคานวณเวลาในการเดนิ ทาง โดยคานึงถงึ ระยะทาง เวลา จุดหยุดพกั • การออกแบบโปรแกรมสามารถทาไดโ๎ ดยเขียน เป็น ขอ๎ ความหรอื ผงั งาน • การออกแบบและเขียนโปรแกรมท่ีมีการใช๎ตวั แปร การวนซ้า การตรวจสอบเงื่อนไข • หากมขี อ๎ ผดิ พลาดให๎ตรวจสอบการทางานทลี ะ คาส่ัง เมอื่ พบจดุ ที่ทาใหผ๎ ลลพั ธไ์ มถํ ูกตอ๎ ง ใหท๎ าการ แก๎ไขจนกวําจะไดผ๎ ลลพั ธ์ท่ีถูกตอ๎ ง • การฝึกตรวจหาขอ๎ ผดิ พลาดจากโปรแกรมของผ๎ูอื่น จะชวํ ยพัฒนาทักษะการหาสาเหตุของปัญหาได๎ดี ยง่ิ ขน้ึ • ตัวอยาํ งโปรแกรม เชนํ โปรแกรมเกม โปรแกรมหา คาํ ค.ร.น. เกมฝกึ พิมพ์ • ซอฟตแ์ วรท์ ี่ใช๎ในการเขียนโปรแกรม เชํน Scratch, logo • การคน๎ หาอยาํ งมปี ระสทิ ธภิ าพ เป็นการค๎นหา ข๎อมลู ที่ได๎ตรงตามความตอ๎ งการในเวลาท่รี วดเร็ว จากแหลํงข๎อมูลทีน่ ําเชื่อถือหลายแหลงํ และข๎อมลู มี ความสอดคล๎องกัน • การใชเ๎ ทคนคิ การค๎นหาขน้ั สูง เชนํ การใช๎ตัว ดาเนนิ การ การระบรุ ปู แบบของข๎อมูลหรอื ชนดิ ของ ไฟล์
๑๙๒ ชั้น ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.๖ • การจดั ลาดับผลลพั ธจ์ ากการค๎นหาของโปรแกรม (ตอ่ ) ค๎นหา • การเรียบเรียง สรุปสาระสาคัญ (บูรณาการกับวชิ า ภาษาไทย) ๔. ใชเ๎ ทคโนโลยีสารสนเทศทางาน • อนั ตรายจากการใช๎งานและอาชญากรรม ทาง รํวมกันอยาํ งปลอดภัย เขา๎ ใจสทิ ธิและ อินเทอรเ์ น็ต แนวทางในการปูองกนั หนา๎ ที่ของตน เคารพในสิทธิของผอู๎ ่ืน • วิธกี าหนดรหสั ผาํ น แจง๎ ผู๎เกย่ี วขอ๎ งเมื่อพบข๎อมูลหรอื บุคคล • การกาหนดสิทธกิ์ ารใชง๎ าน (สิทธิ์ในการเข๎าถึง) ทไ่ี มเํ หมาะสม • แนวทางการตรวจสอบและปูองกนั มัลแวร์ • อนั ตรายจากการติดตัง้ ซอฟตแ์ วร์ทอ่ี ยํูบน อนิ เทอร์เนต็ ม.๑ ๑. ออกแบบอัลกอริทึมท่ใี ช๎แนวคิดเชิง • แนวคิดเชิงนามธรรม เปน็ การประเมนิ นามธรรมเพ่ือแกป๎ ัญหาหรืออธิบายการ ความสาคญั ของรายละเอยี ดของปัญหา ทางานท่ีพบในชีวิตจริง แยกแยะสวํ นที่เปน็ สาระสาคัญออกจาก สํวนท่ีไมใํ ชสํ าระสาคัญ • ตวั อยาํ งปัญหา เชํน ตอ๎ งการปหู ญา๎ ใน สนาม ตามพน้ื ทท่ี ่กี าหนด โดยหญ๎าหนึง่ ผนื มคี วามกวา๎ ง ๕๐ เซนติเมตร ยาว ๕๐ เซนตเิ มตร จะใช๎หญ๎าท้ังหมดก่ีผืน ๒. ออกแบบและเขยี นโปรแกรมอยํางงําย • การออกแบบและเขียนโปรแกรมที่มกี ารใช๎ตวั แปร เพือ่ แกป๎ ัญหาทางคณิตศาสตรห์ รอื เงือ่ นไข วนซา้ วทิ ยาศาสตร์ • การออกแบบอัลกอริทมึ เพื่อแกป๎ ัญหา ทาง คณติ ศาสตร์ วิทยาศาสตร์อยํางงําย อาจใชแ๎ นวคิด เชิงนามธรรมในการออกแบบ เพื่อให๎การแกป๎ ัญหามี ประสทิ ธภิ าพ • การแก๎ปัญหาอยํางเปน็ ขน้ั ตอนจะชํวยให๎แก๎ปัญหา ได๎อยาํ งมีประสิทธิภาพ • ซอฟตแ์ วร์ที่ใช๎ในการเขียนโปรแกรม เชนํ Scratch, python, java, c • ตวั อยํางโปรแกรม เชนํ โปรแกรมสมการ การ เคล่ือนท่ี โปรแกรมคานวณหาพ้นื ที่ โปรแกรม คานวณดัชนีมวลกาย
๑๙๓ ชัน้ ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.๑ ๓. รวบรวมข๎อมลู ปฐมภูมิ ประมวลผล • การรวบรวมข๎อมูลจากแหลํงขอ๎ มูลปฐมภูมิ (ตอ่ ) ประเมินผล นาเสนอข๎อมูล และ ประมวลผล สร๎างทางเลือก ประเมนิ ผล จะทาใหไ๎ ด๎ สารสนเทศ ตามวตั ถุประสงค์โดยใช๎ สารสนเทศเพื่อใช๎ในการแก๎ปัญหาหรือการตัดสนิ ใจ ซอฟตแ์ วร์ หรอื บริการบนอนิ เทอรเ์ นต็ ที่ ได๎อยํางมีประสทิ ธภิ าพ หลากหลาย • การประมวลผลเปน็ การกระทากับข๎อมลู เพอ่ื ใหไ๎ ด๎ ผลลพั ธท์ ีม่ ีความหมายและมีประโยชน์ตอํ การนาไปใช๎ งาน สามารถทาไดห๎ ลายวธิ ี เชนํ คานวณอัตราสํวน คานวณคาํ เฉลี่ย • การใช๎ซอฟต์แวรห์ รอื บรกิ ารบนอินเทอรเ์ นต็ ท่ี หลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สรา๎ ง ทางเลือก ประเมนิ ผล นาเสนอ จะชํวยให๎แก๎ปัญหา ได๎อยํางรวดเร็ว ถูกตอ๎ ง และแมนํ ยา • ตัวอยาํ งปญั หา เน๎นการบรู ณาการกบั วิชาอืน่ เชํน ตม๎ ไขํให๎ตรงกับพฤติกรรมการบรโิ ภค คาํ ดัชนีมวล กายของคนในท๎องถิน่ การสร๎างกราฟผลการทดลอง และวเิ คราะห์แนวโน๎ม ๔. ใช๎เทคโนโลยสี ารสนเทศอยําง • ใช๎เทคโนโลยีสารสนเทศอยาํ งปลอดภัย เชํน การ ปลอดภัย ใช๎ส่ือและแหลงํ ข๎อมลู ตาม ปกปอู งความเปน็ สวํ นตัวและอตั ลกั ษณ์ ข๎อกาหนดและข๎อตกลง • การจดั การอตั ลักษณ์ เชนํ การตั้งรหัสผาํ น การ ปกปอู งขอ๎ มูลสํวนตวั • การพจิ ารณาความเหมาะสมของเน้อื หา เชนํ ละเมิดความเป็นสวํ นตวั ผ๎ูอนื่ อนาจาร วจิ ารณ์ผอ๎ู น่ื อยาํ งหยาบคาย • ข๎อตกลง ขอ๎ กาหนดในการใชส๎ ่อื หรือแหลงํ ข๎อมลู ตาํ ง ๆ เชํน Creative commons ม.๒ ๑. ออกแบบอลั กอริทึมท่ีใชแ๎ นวคดิ เชิง • แนวคดิ เชิงคานวณ คานวณในการแกป๎ ญั หา หรือการทางาน • การแกป๎ ัญหาโดยใช๎แนวคิดเชิงคานวณ ท่พี บในชีวิตจริง • ตัวอยํางปญั หา เชนํ การเข๎าแถวตามลาดับ ความ สูงให๎เร็วที่สุด จัดเรียงเสอื้ ให๎หาได๎งํายทสี่ ุด
๑๙๔ ชน้ั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ม.๒ ๒. ออกแบบและเขยี นโปรแกรมท่ีใช๎ • ตวั ดาเนนิ การบูลนี (ตอ่ ) ตรรกะและฟังกช์ นั ในการแก๎ปญั หา • ฟงั กช์ นั • การออกแบบและเขยี นโปรแกรมท่ีมกี ารใช๎ตรรกะ และฟังกช์ ัน • การออกแบบอัลกอรทิ มึ เพื่อแก๎ปัญหาอาจใช๎ แนวคิดเชิงคานวณในการออกแบบ เพื่อให๎ การ แก๎ปัญหามปี ระสิทธภิ าพ • การแกป๎ ญั หาอยํางเป็นขน้ั ตอนจะชวํ ยให๎แก๎ปญั หา ได๎อยาํ งมีประสทิ ธภิ าพ • ซอฟตแ์ วร์ที่ใชใ๎ นการเขียนโปรแกรม เชนํ Scratch, python, java, c • ตัวอยํางโปรแกรม เชนํ โปรแกรมตัดเกรดหา คาตอบทั้งหมดของอสมการหลายตัวแปร ๓. อภปิ รายองคป์ ระกอบและหลกั การ • องค์ประกอบและหลักการทางานของระบบ ทางานของระบบคอมพิวเตอร์ และ คอมพวิ เตอร์ เทคโนโลยกี ารส่ือสาร เพื่อประยกุ ต์ใช๎ • เทคโนโลยีการสอื่ สาร งานหรือแกป๎ ญั หาเบื้องตน๎ • การประยุกต์ใช๎งานและการแกป๎ ัญหาเบื้องตน๎ ๔. ใช๎เทคโนโลยสี ารสนเทศอยาํ ง • ใชเ๎ ทคโนโลยีสารสนเทศอยํางปลอดภัย โดยเลือก ปลอดภัย มคี วามรับผดิ ชอบ สรา๎ งและ แนวทางปฏบิ ตั ิเม่ือพบเนื้อหาท่ีไมํเหมาะสม เชนํ แสดงสทิ ธิในการเผยแพรผํ ลงาน แจ๎งรายงานผเ๎ู ก่ียวข๎อง ปูองกันการเข๎ามาของ ขอ๎ มูลท่ีไมํเหมาะสม ไมํตอบโต๎ ไมํเผยแพรํ • การใชเ๎ ทคโนโลยสี ารสนเทศอยาํ งมีความ รบั ผิดชอบ เชํน ตระหนกั ถงึ ผลกระทบในการ เผยแพรขํ ๎อมูล • การสรา๎ งและแสดงสทิ ธิความเปน็ เจา๎ ของผลงาน • การกาหนดสทิ ธกิ ารใช๎ข๎อมูล ม.๓ ๑. พัฒนาแอปพลเิ คชนั ทม่ี ีการบรู ณาการ • ข้นั ตอนการพฒั นาแอปพลิเคชนั กับวิชาอน่ื อยํางสร๎างสรรค์ • Internet of Things (IoT) • ซอฟตแ์ วรท์ ี่ใช๎ในการพัฒนาแอปพลิเคชนั เชนํ Scratch, python, java, c, AppInventor • ตัวอยาํ งแอปพลเิ คชัน เชํน โปรแกรมแปลง สกุล เงนิ โปรแกรมผนั เสียงวรรณยุกต์ โปรแกรมจาลอง การแบํงเซลล์ ระบบรดนา้ อตั โนมตั ิ
๑๙๕ ชนั้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๓ ๒. รวบรวมข๎อมูล ประมวลผล • การรวบรวมข๎อมลู จากแหลํงขอ๎ มลู ปฐมภมู ิและทุตยิ (ต่อ) ประเมินผล นาเสนอข๎อมลู และ ภมู ิ ประมวลผล สรา๎ งทางเลอื ก ประเมินผล จะทาให๎ สารสนเทศตามวตั ถุประสงค์ โดยใช๎ ได๎สารสนเทศเพื่อใชใ๎ นการแก๎ปญั หาหรือการ ซอฟตแ์ วร์หรอื บรกิ ารบนอินเทอรเ์ น็ตท่ี ตัดสินใจได๎อยาํ งมีประสิทธิภาพ หลากหลาย • การประมวลผลเป็นการกระทากบั ข๎อมลู เพอ่ื ให๎ได๎ ผลลัพธท์ ่ีมีความหมายและมปี ระโยชน์ตอํ การนาไปใช๎ งาน • การใช๎ซอฟต์แวร์หรือบรกิ ารบนอนิ เทอร์เน็ต ท่ี หลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สรา๎ ง ทางเลือก ประเมินผล นาเสนอ จะชวํ ยให๎แก๎ปัญหา ได๎อยาํ งรวดเร็ว ถกู ต๎อง และแมํนยา • ตวั อยาํ งปัญหา เชํน การเลือกโปรโมชันโทรศพั ทใ์ ห๎ เหมาะกบั พฤติกรรมการใช๎งาน สินค๎าเกษตร ที่ ต๎องการและสามารถปลูกได๎ในสภาพดินของท๎องถ่นิ ๓. ประเมนิ ความนาํ เช่อื ถือของขอ๎ มลู • การประเมนิ ความนําเชอื่ ถือของข๎อมูล เชนํ วเิ คราะหส์ ่ือและผลกระทบจากการให๎ ตรวจสอบและยืนยันข๎อมูล โดยเทยี บเคียงจากข๎อมลู ขําวสารที่ผดิ เพอ่ื การใชง๎ านอยํางรูเ๎ ทํา หลายแหลงํ แยกแยะข๎อมูลทีเ่ ปน็ ข๎อเท็จจรงิ และ ทัน ข๎อคิดเห็น หรือใช๎ PROMPT • การสบื คน๎ หาแหลงํ ต๎นตอของข๎อมลู • เหตุผลวิบัติ (logical fallacy) • ผลกระทบจากขําวสารทีผ่ ิดพลาด • การรู๎เทําทนั ส่ือ เชํน การวเิ คราะห์ถึงจุดประสงค์ ของข๎อมลู และผใู๎ หข๎ ๎อมูล ตีความ แยกแยะเนื้อหา สาระของสอื่ เลอื กแนวปฏิบัติได๎อยํางเหมาะสม เมื่อ พบข๎อมลู ตาํ ง ๆ ๔. ใช๎เทคโนโลยสี ารสนเทศอยาํ ง • การใช๎เทคโนโลยีสารสนเทศอยํางปลอดภยั เชํน ปลอดภัย และมีความรบั ผิดชอบตํอ การทาธุรกรรมออนไลน์ การซอื้ สินคา๎ ซื้อซอฟต์แวร์ สังคม ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกบั คาํ บรกิ ารสมาชกิ ซอื้ ไอเทม็ คอมพวิ เตอร์ ใชล๎ ขิ สิทธิข์ องผ๎ูอืน่ โดยชอบ • การใช๎เทคโนโลยสี ารสนเทศอยํางมีความรบั ผดิ ชอบ ธรรม เชํน ไมสํ รา๎ งขําวลวง ไมํแชร์ข๎อมลู โดยไมตํ รวจสอบ ข๎อเทจ็ จรงิ • กฎหมายเก่ียวกบั คอมพิวเตอร์ • การใชล๎ ิขสทิ ธิ์ของผู๎อน่ื โดยชอบธรรม (fair use)
๑๙๖ รายวิชาวิทยาศาสตร์ คาอธิบายรายวชิ า กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศึกษาปท่ี ๑ รหสั วิชา ว ๑๑๑๐๑ เวลา ๑๐๐ ชว่ั โมง ศึกษา คน๎ ควา๎ ทดลอง ระบชุ อื่ พืชและสตั ว์ รวบรวมข๎อมลู เก่ยี วกบั ความแตกตาํ งของแหลํงท่อี ยูํ อาศยั ของพืชและสัตวท์ ่ีพบเห็นในบริเวณโรงเรยี นหรอื ชมุ ชนบอกสภาพแวดล๎อมทเี่ หมาะสมกับการดารงชีวิต ของสตั วใ์ นบริเวณที่อาศยั อยํูลักษณะหนาท่ีของอวัยวะภายนอกของมนษุ ยตลอดจนการปูองกนั ดูแลรกั ษา อวัยวะตํางๆของสตั ว์ที่มลี ักษณะและหนา๎ ทีแ่ ตกตํางกัน สวํ นประกอบของพชื และหนา๎ ที่อธิบายลักษณะทป่ี รากฏ หรือสมบตั ิของวสั ดุทสี่ งั เกตได๎ การจาแนกวสั ดทุ ่ใี ชทาของเลนของใชตามลกั ษณะทป่ี รากฏหรอื สมบัติ บรรยาย การเกดิ เสียงชนิดของแหลํงกาเนิดเสยี งและทิศทางการเคลอ่ื นทีข่ องเสยี งดาวทปี่ รากฏให๎เห็นในท๎องฟูาเวลา กลางวนั และกลางคนื ลกั ษณะภายนอกของหนิ จากลกั ษณะเฉพาะตวั ทส่ี ังเกตได๎ ท้ังนโ้ี ดยใชกระบวนการแก๎ปัญหาอยาํ งงําย ได๎แกํ การลองผิดลองถกู การเปรยี บเทียบ แสดงลาดบั ขน้ั ตอนการทางานหรอื การแกป๎ ัญหาอยํางงาํ ยโดยใชภ๎ าพ สญั ลกั ษณห์ รือข๎อความ เขยี นโปรแกรมอยํางงํายโดย ใชซ๎ อฟต์แวร์หรอื สอื่ ใช๎เทคโนโลยีในการสร๎าง จดั เกบ็ เรยี กใชข๎ อ๎ มูลตามวัตถุประสงค์ และใช๎เทคโนโลยี สารสนเทศอยาํ งปลอดภยั ปฏิบัติตามขอ๎ ตกลงในการใชค๎ อมพิวเตอร์ รํวมกันดูแลรักษาอปุ กรณ์เบอ้ื งต๎น ใชง๎ าน อยํางเหมาะสม เพอ่ื ใหเกดิ ความรูความคดิ ความเขาใจหลักการ ทฤษฎี และกฎที่เปน็ พืน้ ฐานในวิชาวิทยาศาสตรม์ ี ทกั ษะท่สี าคัญในการศึกษาค๎นควา๎ และคิดคน๎ ทางเทคโนโลยีนาความรูค๎ วามเขา๎ ใจไปใชใ๎ ห๎เกิดประโยชน์ตอํ สังคม และการดารงชีวติ พัฒนากระบวนการคดิ และจินตนาการ ความสามารถในการแก๎ปัญหาและการจดั การ ทกั ษะ ในการส่ือสาร และความสามารถในการตัดสนิ ใจมจี ิตวิทยาศาสตร์ มีคณุ ธรรม จริยธรรม และคาํ นิยมในการใช๎ วิทยาศาสตร์อยํางสรา๎ งสรรค์ วดั ผลและประเมนิ ผลตามสภาพจริง ดว๎ ยวธิ กี ารท่หี ลากหลายและตํอเน่ือง ได๎แกํ การทดสอบ การ สัมภาษณ์ การตรวจชิน้ งาน สังเกตพฤติกรมและคุณลกั ษณะที่พึงประสงค์ พร๎อมทง้ั เจตคตใิ นการทางาน ตัวชว้ี ดั ป.๑/๑, ป.๑/๒ ว ๑.๑ ป.๑/๑, ป.๑/๒ ว ๑.๒ ป.๑/๑, ป.๑/๒ ว ๒.๑ ป.๑/๑ ว ๒.๓ ป.๑/๑, ป.๑/๒ ว ๓.๑ ป.๑/๑ ว ๓.๒ ป.๑/๑, ป.๑/๒, ป.๑/๓, ป.๑/๔, ป.๑/๕ ว ๔.๒ ๑๕ ตวั ช้ีวดั รวมทั้งหมด
๑๙๗ สมรรถนะ ๑ ความสามารถในการสอื่ สาร ๒ ความสามารถในการแกป๎ ญั หา ๓ ความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ ๔ ความสามารถในการใชเ๎ ทคโนโลยี ๕ ความสามารถในการใช๎ทักษะชีวติ คุณลกั ษณะที่พึงประสงค์ ๑ รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ ๒ ซ่ือสตั ย์สุจริต ๓ มีวนิ ยั ๔ ใฝุเรียนร๎ู ๕ อยูํอยาํ งพอเพียง ๖ มํงุ ม่ันในการทางาน ๗ รกั ความเป็นไทย ๘ มจี ิตสาธารณะ
๑๙๘ คาอธิบายวิทยาการคานวณ รายวชิ าวิทยาการคานวณ รหัสวิชา ว ๑๑๑๐๒ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เวลา 40ช่วั โมง ------------------------------------------------------------------------------------- ศึกษาและฝกึ ทกั ษะในการแก๎ปัญหาโดยใชข๎ ้ันตอนการแก๎ปัญหาอยาํ งงําย การแสดง ข้ันตอนการแก๎ปัญหาโดยการเขียน บอกเลาํ วาดภาพ หรือใช๎สญั ลักษณ์ การเขยี นโปรแกรมอยาํ งงําย โดยใช๎ซอฟตแ์ วร์หรือสื่อ การใชง๎ านอปุ กรณ์เทคโนโลยีเบ้ืองตน๎ การใช๎งานซอฟต์แวรเ์ บ้อื งต๎น การสรา๎ ง จดั เกบ็ และเรยี กใช๎ไฟล์ตามวัตถปุ ระสงค์ การใชเ๎ ทคโนโลยีสารสนเทศอยาํ งปลอดภยั ขอ๎ ปฏบิ ัตใิ นการใช๎งานและการดแู ลรกั ษาอปุ กรณ์ การใช๎งานเทคโนโลยีสารสนเทศอยํางเหมาะสม ตวั ชว้ี ัด ว. 4.2 เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) 1. แกป๎ ญั หาอยํางงํายโดยใช๎การลองผดิ ลองถกู การเปรียบเทยี บ 2. แสดงลาดับขั้นตอนการทางานหรอื การแกป๎ ญั หาอยาํ งงาํ ยโดยใช๎ภาพ สัญลักษณ์ หรอื ข๎อความ 3. เขยี นโปรแกรมอยํางงาํ ยโดยใช๎ซอฟต์แวร์หรือสอ่ื 4. ใชเ๎ ทคโนโลยีในการสรา๎ ง จดั เก็บ เรยี กใชข๎ ๎อมูลตามวัตถุประสงค์ 5. ใชเ๎ ทคโนโลยีสารสนเทศอยํางปลอดภยั ปฏบิ ตั ติ ามข๎อตกลงในการใชค๎ อมพิวเตอรร์ วํ มกัน ดแู ลรักษาอปุ กรณ์เบอ้ื งตน๎ ใชง๎ านอยํางเหมาะสม รวมท้ังหมด 5 ตัวชี้วัด
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435